การสะสมคาร์บอนในดินและพรรณไม้ ในพื้นทป่ี ่าอุทยานธรรมชาตวิ ิทยาตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี อำเภอสวนผ้ึง จังหวัดราชบรุ ี โครงการอนรุ ักษ์พนั ธุกรรมพืชอันเน่ืองมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี สนองพระราชดำริโดย มหาวทิ ยาราชภฏั หมู่บ้านจอมบงึ
การสะสมคารบ์ อนในดินและพรรณไม้ในพืน้ ทีป่ า่ อทุ ยานธรรมชาตวิ ิทยา ตามพระราชดำรสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี อำเภอสวนผง้ึ จงั หวัดราชบุรี จัดทำโดย : คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏหมบู่ ้านจอมบึง คณะผู้จัดทำ : อาจารย์ ดร.อเุ ทน จนั ละบตุ ร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมบู่ ้านจอมบงึ อาจารย์ ดร.เบญจวรรณ นาหก มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ที่ปรกึ ษา : นายสุเทพ ไกรเทพ หัวหน้าโครงการอทุ ยานธรรมชาติวิทยา อันเนื่องมาจากพระราชดำรฯิ 1
คำนำ อุทยานธรรมชาติวิทยาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก่อตั้งขึ้นเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟู พื้นที่ป่า รวมไปถึงเพื่อการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย สภาพธรรมชาติและ พรรณไม้ เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องความสำคัญของสภาพ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผลกระทบที่เกิดจากการทำลาย ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยว สำหรับประชาชน เอกสารเล่มนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อสนองพระราชดำริโครงการอนุรักษ์ พันธุกรรมพืชฯ โดยเป็นการศึกษาความสำคัญทางด้านการสะสมคาร์บอน ในมวลชีวภาพเหนือดินและในดินภายในพื้นที่ในอุทยานธรรมชาติวิทยาอัน เนื่องมาจากพระราชดำริฯ ทำการศึกษาใน 3 พื้นที่ป่า ได้แก่ ป่าหลัง อุทยานธรรมชาติวิทยาฯ ป่าห้วยคอกหมู และป่าเขากระโจม ซึ่งเน้นเป็น การศึกษาศักยภาพการสะสมคาร์บอนในมวลชีวภาพเหนือดินและในดิน ของระบบนิเวศป่าไม้ เพื่อชี้ให้เห็นถึงบทบาทของพรรณพืชในระบบนิเวศ ป่าไม้ ว่ามีความสามารถในการดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากบรรยากาศ และ สามารถบรรเทาความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ โดย การศึกษาในครั้งนี้จะช่วยชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของระบบนิเวศป่าไม้และ ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การตระหนักถึงความสูญเสียทาง ความหลากหลายทางชวี ภาพและก่อให้เกดิ การอนรุ ักษอ์ ยา่ งยั่งยนื ต่อไป คณะผ้จู ดั ทำ 2
สารบญั 2 3 คำนำ 4 สารบญั 5 สารบญั ตาราง 9 สารบัญรูปภาพ 9 1 บทนำ 11 25 ความเปน็ มา 27 ขอ้ มูลทัว่ ไปของพ้ืนท่ี 33 คณุ คา่ และความสำคญั ของพืน้ ท่ี 40 การเปล่ยี นแปลงสภาพภูมอิ ากาศกับระบบนิเวศป่าไม้ 47 แหล่งสะสมคารบ์ อนในระบบนิเวศป่าไม้ 49 ปา่ เขตร้อนและการสะสมคารบ์ อน 63 2 คารบ์ อนทสี่ ะสมในพ้นื ทีป่ า่ ของอทุ ยานธรรมชาติวทิ ยาฯ 66 พรรณไมแ้ ละโครงสร้างป่าในพื้นที่อทุ ยานธรรมชาติวิทยาฯ 68 ปริมาณคาร์บอนท่สี ะสมในมวลชวี ภาพเหนอื ดิน 71 ปรมิ าณคาร์บอนที่สะสมในดิน 73 ปรมิ าณกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถกู ดดู ซับ 75 3 แนวทางการศกึ ษาคาร์บอนทสี่ ะสมในพื้นท่ีปา่ ไม้ 77 การวางแปลงเก็บตัวอยา่ ง 79 การเกบ็ ตวั อย่างข้อมูลพรรณไม้ 81 การเก็บตัวอยา่ งดิน 82 การเตรียมและวเิ คราะห์ตัวอยา่ งดิน 85 การคำนวณคารบ์ อนในดิน การคำนวณคาร์บอนในมวลชวี ภาพ 3 บรรณานุกรม
สารบัญตาราง ตารางท่ี 1 การจำแนกแหล่งสะสมคารบ์ อน (Carbon pools) ในระบบนเิ วศปา่ ไม้ ตามเกณฑ์ของ IPCC (2003) 35 ตารางท่ี 2 ปริมาณคาร์บอนทสี่ ะสมในป่าไมบ้ ริเวณต่าง ๆ ของโลก 41 ตารางท่ี 3 พรรณไม้ทพ่ี บในป่าของพื้นทอ่ี ุทยานธรรมชาตวิ ทิ ยาฯ 49 ตารางที่ 4 สมการแอลโลเมตริกในปา่ ประเภทตา่ ง ๆ ทีน่ ำมาใช้ในการคำนวณหามวล ชวี ภาพ 83 4
สารบญั รูปภาพ ภาพท่ี 1 พน้ื ทอี่ ุทยานธรรมชาตวิ ทิ ยาตามพระราชดำรฯิ 10 ภาพท่ี 2 กลไกการเกิดปรากฏการณเ์ รือนกระจก (greenhouse effect) 26 ภาพท่ี 3 ปริมาณกา๊ ซเรอื นกระจกในบรรยากาศทเี่ พ่ิมสงู ขนึ้ 28 ภาพท่ี 4 กจิ กรรมของมนุษย์ทที่ ำให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซดส์ ู่ บรรยากาศ 29 ภาพท่ี 5 การสะสมคาร์บอนในระบบนิเวศปา่ ไม้ 30 ภาพท่ี 6 แหล่งสะสมคาร์บอน (carbon pool) ในระบบนเิ วศป่าไม้ 32 ภาพที่ 7 สัดสว่ นของปา่ ไมใ้ นเขตตา่ ง ๆ ของโลก 40 ภาพที่ 8 แผนที่การกระจายของปา่ ไม้ในประเทศไทย ปี 2563 43 ภาพที่ 9 แผนที่ปา่ ไม้ของจังหวดั ราชบรุ ี 44 ภาพท่ี 10 สภาพพ้ืนทีป่ า่ ภายในพืน้ ท่อี ุทยานธรรมชาตวิ ทิ ยาฯ 48 ภาพที่ 11 วงศ์ (Family) ทีพ่ บมากทีส่ ดุ 10 อันดับแรก 54 ภาพที่ 12 ชนดิ ไม้ 15 อันดบั แรกทีพ่ บในป่าพน้ื ที่อุทยานธรรมชาตวิ ทิ ยาฯ 55 ภาพท่ี 13 ดัชนคี วามสำคัญทางนเิ วศวทิ ยาของชนิดชนิดไม้ 20 อันดบั แรก 55 ภาพที่ 14 การกระจายของต้นไม้ตามชน้ั เสน้ ผ่าศูนย์กลาง (DBH Class) 62 ภาพท่ี 15 ปริมาณคารบ์ อนรวมของไมท้ ่ีสะสมในมวลชวี ภาพเหนือดนิ 63 ภาพที่ 16 แหล่งสะสมคารบ์ อนหลักในมวลชีวภาพเหนอื ดิน 64 ภาพท่ี 17 สดั สว่ นคารบ์ อนทสี่ ะสมในมวลชวี ภาพเหนือดนิ 65 ภาพที่ 18 ปริมาณคาร์บอนอนิ ทรีย์ในดนิ 66 ภาพท่ี 19 ปรมิ าณคาร์บอนที่สะสมในดนิ ท่ีระดับความลึก 1 เมตร 67 ภาพที่ 20 ปริมาณคาร์บอนทถี่ กู ดดู ซบั ของพ้ืนที่ป่าไม้ 68 5
สารบัญรปู ภาพ (ต่อ) 72 74 ภาพที่ 21 การวางแปลงเพือ่ เก็บตวั อยา่ งในพืน้ ทีป่ ่าไม้ ภาพท่ี 22 การเกบ็ ตวั อย่างข้อมลู พรรณไม้ 75 ภาพที่ 23 การใชเ้ ครือ่ งวัดมุมเอยี ง (clinometer) วดั ความสงู ของต้นไม้ ภาพที่ 24 การหาความสูงของของตน้ ไมโ้ ดยใช้เครือ่ งวดั มมุ เอยี ง 76 ภาพที่ 25 การวางจดุ เกบ็ ตัวอย่างดินในแปลงขนาด 20x20 เมตร 77 ภาพที่ 26 การเก็บตัวอย่างดนิ แบบรบกวนโครงสรา้ ง ภาพที่ 27 การเกบ็ ตัวอย่างดินแบบไม่รบกวนโครงสรา้ ง 77 ภาพท่ี 28 การวิเคราะหาคารบ์ อนอนิ ทรีย์ในดนิ ด้วยวธิ ี Wet oxidation 78 80 6
บทนำ • ความเป็นมา • ความสำคญั ของระบบนิเวศป่าไม้ • การเปลีย่ นแปลงสภาพภมู ิอากาศกับระบบนเิ วศปา่ ไม้ • แหล่งสะสมคาร์บอนในระบบนิเวศป่าไม้ • ปา่ เขตรอ้ นและการสะสมคาร์บอน 7
อุทยานธรรมชาตวิ ิทยาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี อำเภอสวนผงึ้ จังหวัดราชบรุ ี 8
1 บทนำ ความเป็นมา อุทยานธรรมชาติวิทยาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี จัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นการตอบสนองพระราชประสงค์ของพระองค์ ที่ทรงสนพระทัยใน การศึกษาสภาพธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลักษณะของการ ดำเนินงานด้านวิชาการ พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าสภาพป่าไม้ในหลายพื้นท่ี ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ควรที่จะได้มีการอนุรักษ์ไว้ให้ เยาวชนและราษฎรในท้องถิ่น ตลอดจนผู้ที่มีความสนใจในธรรมชาติได้ใช้ เป็นสถานที่สำหรับการศึกษาสภาพธรรมชาติ ดังนั้น ทางสำนักโครงการ ส่วนพระองค์ฯ ร่วมกับกองทัพบกและส่วนราชการจังหวัดราชบุรี ตลอดจน นกั วชิ าการในสาขาตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง จงึ ไดด้ ำเนินการคดั เลอื กพนื้ ท่บี รเิ วณ ที่ราชพัสดุในความควบคุมดูแลของกองทัพบก อำเภอสวนผึ้ง จังหวัด ราชบุรี 9
ภาพท่ี 1 พืน้ ที่อุทยานธรรมชาติวิทยาตามพระราชดำริฯ อำเภอสวนผ้ึง จังหวดั ราชบุรี 10
ขอ้ มูลท่ัวไปของพ้นื ท่ี อาณาเขต อุทยานธรรมชาติวิทยาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ครอบคลุมพื้นที่ 2 ตำบลคือ ตำบลสวนผึ้ง และตำบลตะนาวศรี มีพื้นท่ี โครงการประมาณ 132,905 ไร่ พ้ืนทีต่ ดิ ต่อ ติดกับจังหวดั กาญจนบรุ ี ทิศเหนอื ติดกบั ป่าสงวนแห่งชาตปิ ่าฝัง่ ซ้ายแมน่ ้ำภาชี ทศิ ใต้ ติดกับประเทศสหภาพเมียนมาร์ โดยมีความยาว ทิศตะวนั ตก เรยี บแนวชายแดนประมาณ 38 กิโลเมตร ตดิ กบั ถนน รพช. บา้ นบอ่ หวี – บ้านตะโกปดิ ทอง ทศิ ตะวันออก 11
ลักษณะภูมิประเทศเป็นปา่ และภูเขา เปน็ สว่ นหนึง่ ของเทือกเขาตะนาวศรี 12
ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานธรรมชาติวิทยาฯ มีภูมิประเทศเป็นป่า และภูเขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาตะนาวศรี มีความสูงจาก ระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 210 – 1,150 เมตร มีความลาดชันส่วน ใหญ่มากกว่า 45 เปอร์เซ็นต์ เป็นแหล่งกำเนิดของลุ่มน้ำย่อยหลายลุ่มน้ำ เช่น ลุ่มน้ำห้วยบ่อหวี ลุ่มน้ำห้วยบ่อคลึง ลุ่มน้ำห้วยคอกหมู ลุ่มน้ำห้วย ค้างคาว โดยลุ่มน้ำเหล่านี้จะไหลลงสู่แม่น้ำภาชี ซึ่งอยู่ทางด้านทิศ ตะวนั ออกของพน้ื ท่ี (กรมอทุ ยานแหง่ ชาตสิ ัตวป์ า่ และพนั ธพุ์ ชื , 2563) 13
สภาพภมู ิอากาศสว่ นใหญ่แห้งแล้ง ถอื เป็นเขตเงาฝน ฝนตกมักจะทิง้ ชว่ ง 14
สภาพภูมอิ ากาศ ลักษณะภูมิอากาศโดยทั่วไป มีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 35 องศา เซลเซียส และต่ำสุดเฉลี่ย 22 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์อยู่ระหว่าง 65 – 80 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ประมาณ 1,060 มิลลิเมตร ต่อปี ระยะเวลาที่ฝนตกอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม และมักจะ ทิ้งช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม (กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช, 2563) 15
ปจั จุบันมีปัญหาด้านการบกุ รุกแพว่ ถางป่าเพอื่ การเกษตร โดยเฉพาะหน้าแล้งเกดิ ปัญหาไฟป่าทส่ี ่วนมากมาจากฝมี ือมนุษย์ 16
การใชป้ ระโยชนท์ ีด่ นิ และสภาพปัญหา อุทยานธรรมชาติวิทยาตามพระราชดำริฯ ครอบคลุมพื้นท่ี 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลสวนผึ้ง และตำบลตะนาวศรี ประกอบด้วย 12 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านตะโกบน บ้านตะโกล่าง บ้านห้วยสุด บ้านหวายน้อย บ้านห้วย ผาก บ้านผาปก บ้านห้วยน้ำใส บ้านเขากระโจม บ้านหัวสาม บ้านห้วยน้ำ ขาว บ้านทุ่งเจดีย์ และบ้านบ่อหวี โดยมีพื้นที่ที่เป็นที่อยู่อาศัย ประมาณ 3,235 ไร่ และพื้นที่ทำกิน ประมาณ 40,152 ไร่ ในอนาคตมีแนวโน้มที่จะ ขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรทั้งจากภายในชุมชน และจากการอพยพเข้ามาอยู่ใหม่ (กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช , 2563) 17
พ้ืนท่ีศกึ ษาปา่ หลงั อทุ ยานธรรมชาติวทิ ยาตามพระราชดำริฯ 18
พน้ื ทป่ี า่ หลงั อุทยานธรรมชาตวิ ทิ ยาตามพระราชดำรฯิ สภาพปา่ ส่วนใหญ่เป็นป่าทตุ ิยภูมิ (secondary forest) โดย ดงั้ เดิมเปน็ ป่าเบญจพรรณ ซ่ึงเห็นได้จากยังหลงเหลอื พรรณไม้เดมิ ให้เห็น เชน่ ไม้แดง ประดู่ กระพีเ้ ขาควาย ตะแบก เปน็ ตน้ ภายในอทุ ยานฯ นั้น ประกอบดว้ ยโซนต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ศาลาขอ้ มูลธรรมชาติวทิ ยาเป็นแหล่งรวม ข้อมูลทั่วไปของอุทยานฯ เชน่ ขอ้ มูลทางสงั คมศาสตร์ ข้อมลู ทางกายภาพที่ สำรวจพบในอทุ ยานฯ และเส้นทางศึกษาธรรมชาตเิ พื่อศึกษาพรรณไม้ตา่ ง ๆ 2 เสน้ ทาง เสน้ ทางแรก เร่ิมจากสำนกั งานผา่ นธารนำ้ ร้อนบอ่ คลงึ แล้ววนกลบั มายงั สำนักงาน ใช้เวลาในการเดิน 1 ช่ัวโมง เสน้ ทางท่สี อง เรม่ิ จากสำนักงานเดินเลาะน้ำตก ผ่านธารนำ้ ร้อนบอ่ คลึง แลว้ วนกลบั มายังสำนกั งาน ใชเ้ วลาในการเดิน 3 ชวั่ โมง 19
พ้ืนท่ีศกึ ษาปา่ หว้ ยคอกหมู 20
พืน้ ท่ีป่าหว้ ยคอกหมู หว้ ยคอกหมู ตัง้ อยทู่ ่ีตำบลตะนาวศรี บนทวิ เขาตะนาวศรี สูงกวา่ ระดับนำ้ ทะเล 867 เมตร บรเิ วณรอยตอ่ พรมแดนไทยติดกบั จงั หวัดมะรดิ ของสหภาพเมยี นมา บรเิ วณจุดชมววิ ห้วยคอกหมู เป็นพ้ืนที่ปา่ เขาอดุ ม สมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาตขิ องพนื้ ทปี่ ่าไมข้ นาดใหญ่ ซ่ึงมพี รรณไม้ นานาชนดิ และเป็นท่ีตัง้ ฐานปฏิบัติการของตำรวจตระเวนชายแดน 137 ใน การเฝ้าตรวจและควบคมุ ภมู ิประเทศท่สี ำคัญ ปัจจุบนั ไดพ้ ฒั นาภมู ิทัศนใ์ ห้ เป็นแหล่งท่องเทย่ี วเชิงนิเวศและอนรุ กั ษ์ธรรมชาติ ซึง่ สามารถชม ทัศนียภาพสวยงามของอาณาเขตประเทศไทยและสหภาพเมียนมา 21
พ้ืนท่ีศกึ ษาปา่ เขากระโจม 22
พ้นื ท่ีปา่ เขากระโจม เขากระโจม ตงั้ อย่ทู ่ตี ำบลสวนผ้ึง บรเิ วณฐานปฏบิ ตั กิ ารตำรวจ ตระเวนชายแดน สุดชายแดนประเทศไทยทางภาคตะวนั ตก สงู จาก ระดับน้ำทะเล 1,000 เมตร เขากระโจมมีลกั ษณะภูมปิ ระเทศเปน็ ภเู ขาลูก โดด อุดมไปด้วยไม้ปา่ นานาชนดิ เขากระโจมเดิมเรียกวา่ เขาลันดา หรือใน ภาษากะเหรยี่ งโพลง่ เรยี กวา่ คู้หลอ่ งหลง่ั ดา ซึ่งมีความหมายวา่ ภเู ขาทมี่ ีท่ี ราบ ปัจจุบนั เขากระโจมจดั เปน็ พ้นื ทค่ี วามม่นั คง เนอ่ื งจากอย่บู ริเวณสดุ เขตชายแดนภาคตะวนั ตกของประเทศไทย โดยอยตู่ ิดกับประเทศพมา่ และ มีแนวสันปนั น้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติ บรเิ วณยอดเขากระโจม เปน็ ทต่ี ั้งของฐานปฏิบัตกิ ารตำรวจตระเวนชายแดนที่ 137 ซึ่งทำหนา้ ทด่ี ูแล รักษาชายแดน และป้องกนั การรกุ ลำ้ ของชนกลมุ่ นอ้ ย 23
คุณค่าและความสำคัญของพื้นที่ ในแงข่ องการมคี วามหลากหลายทางชวี ภาพที่มคี วามอุดมสมบรู ณ์ 24
คุณคา่ และความสำคญั ของพ้นื ที่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้รายงานถึง ความสำคัญของพื้นที่อุทยานธรรมชาติวิทยาอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ว่ามคี ณุ ค่าและความสำคัญในดา้ นตา่ ง ๆ ดังน้ี 1. เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธารของแม่น้ำภาชี ซึ่งถือเป็นแม่น้ำ สาขาของแม่น้ำแม่กลอง ที่มีความสำคัญยิ่งต่อชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชนจงั หวดั กาญจนบรุ ี ราชบุรี และสมทุ รสงคราม 2. เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญในเชิงภูมิศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ป่า ไม้และสัตว์ป่า เนื่องจากยังเป็นพื้นที่ที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ และเป็น พื้นที่เช่ือมต่อระหว่างผืนป่าอนุรักษ์ผืนใหญ่ที่สุดในประเทศ ไทย คือ ผืนป่า ตะวันตก (Western Forest Complex) กับ ผืนป่าแก่งกระจาน (Kaeng Krachan Forest Complex) 3. เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญสำหรับการอนุรักษ์สัตว์ป่า และป่า ไม้ เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตรอยต่อทางชีวภูมิศาสตร์ (Biogeographical Zone) ถึง 4 เขต ได้แก่ อินโด-ไชนิส (Indo-Chinese) ชิโน-มาลายัน (Sino-Malayan) อินโด-เบอร์มิส (Indo-Bermese) และอินเดียตะวันออก (Eastern Indian) ดงั นัน้ จงึ เปน็ แหลง่ รวมความหลากหลายทางชวี ภาพของ ชนดิ พันธท์ุ ่มี คี วามโดดเดน่ ในพื้นที่ 4. เป็นพื้นที่ท่ีมีศักยภาพในการพัฒนาความร่วมมือด้านการ อนรุ ักษก์ ับประเทศสหภาพเมียนมาร์ 25
ภาพท่ี 2 กลไกการเกดิ ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก (greenhouse effect) โดยการดูดซบั ความร้อนบางส่วนเอาไว้ของก๊าซเรอื นกระจกชนิดตา่ ง ๆ ที่มา: การไฟฟ้าส่วนภมู ิภาค (2564) 26
การเปลย่ี นแปลงสภาพภมู อิ ากาศกบั ระบบนเิ วศปา่ ไม้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระยะยาว เป็นผลมาจาก ปรากฏการณ์โลกร้อน และกิจกรรมของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน ความถี่และความ รุนแรงของการเกิดพายุ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล และ การเปล่ียนแปลงองค์ประกอบของบรรยากาศโลก สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศมาจากอุณหภูมิโลกที่ เพิ่มสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน (global warming) ซึ่งเกิดจากปรากฎการณ์ เรือนกระจก (greenhouse effect) โดยก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) และไนตรัสออกไซด์ (N2O) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชั้นบรรยากาศโลก ทำหน้าที่ดูดซับรังสี ความร้อนจากแสงอาทิตย์เอาไว้บางส่วน ทำให้โลกมีอุณหภูมิที่มีความ อบอุ่น ดงั แสดงในภาพที่ 2 27
เมื่อก๊าซเรือนกระจกมีปริมาณเพิ่มขึ้นเปรียบเสมือนโลกของเรา ห่มผ้าที่หนาขึ้น ผลก็คือเกิดการสะสมความร้อนที่บริเวณผิวโลกทำให้มี อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น โดยตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1750 ส่งผลให้ปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ เพมิ่ ขน้ึ อยา่ งเห็นได้ชัดเจน (ภาพท่ี 3) ภาพท่ี 3 ปรมิ าณกา๊ ซเรือนกระจกในบรรยากาศท่ีเพิม่ สงู ขึ้น อยา่ งชดั เจนตง้ั แต่ปี ค.ศ. 1750 เป็นผลมาจากกจิ กรรมของมนุษย์ ในช่วงยคุ ปฏิวัติอตุ สาหกรรม ทมี่ า: IPCC (2007) 28
คาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีการปลดปล่อยสู่ บรรยากาศมากที่สุด จึงถือว่ามีความสำคัญมากที่สุดในบรรดาก๊าซเรือน กระจกทั้งหมด โดยปัจจุบันมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ทะลุ 400 ppm ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย (IPCC, 2007) สาเหตุหลักส่วน ใหญ่ที่ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลถูกปลดปล่อยสู่บรรยากาศ มาจากการใช้เชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์ (เช่น น้ำมัน ถ่านหิน เป็นต้น) การตดั ไมท้ ำลายป่า และอุตสาหกรรมการผลิตซีเมนต์ (ภาพท่ี 4) ภาพท่ี 4 กจิ กรรมของมนุษยท์ ท่ี ำให้เกดิ การปลดปล่อยกา๊ ซ คารบ์ อนไดออกไซด์สู่บรรยากาศ (ก) การตดั ไม้ทำลายปา่ (ข) อุตสาหกรรมปูนซเี มนต์ (ค) การใช้เชื้อเพลงิ จากซากดึกดำบรรพ์ และ (ง) เกษตรกรรม 29
ภาพที่ 5 การสะสมคารบ์ อนในระบบนิเวศป่าไม้ ท่มี า: CMG Landscape Architecture (2021) 30
ระบบนิเวศป่าไม้มีความสำคัญต่อการเปล่ียนแปลงสภาพ ภ ู ม ิ อ า ก า ศ เ น่ื อ ง จ า ก ป่ า ไ ม ้ ม ี ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร ก ั ก เ ก็ บ คาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญที่ ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยต้นไม้จะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากบรรยากาศมาสร้างเป็นอาหาร ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) แล้วเก็บสะสมเอาไว้ในรูปของเนื้อเยื่อภายในส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ ได้แก่ ลำต้น กง่ิ ใบ ราก (ภาพที่ 5) เศษซากที่ร่วงหล่นรวมทั้งส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ เมื่อตายลงไปจะ ย่อยสลายกลายเป็นอินทรียวัตถุสะสมเอาไว้ในดิน ในขณะเดียวกันป่าไม้ก็ ปลดปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศผ่านกระบวนการหายใจของต้นไม้ และ การย่อยสลายของอินทรียวัตถุในดิน ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ป่าไม้ ปลดปล่อยออกมามีสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณที่ดูดซับเข้าไป เก็บสะสมเอาไว้ ดังนั้นป่าไม้จึงเป็นแหล่งสะสมคาร์บอน (carbon pool) มากกวา่ ทจ่ี ะเปน็ แหลง่ ปลดปลอ่ ย 31
ภาพที่ 6 แหล่งสะสมคาร์บอน (carbon pool) ในระบบนิเวศปา่ ไม้ ทม่ี า: Hoover & Riddle (2020) 32
แหลง่ สะสมคารบ์ อนในระบบนิเวศป่าไม้ ปา่ ไมเ้ ปน็ แหลง่ สะสมคารบ์ อนทีส่ ำคัญของโลก IPCC (2003) ได้ จำแนกแหล่งสะสมคาร์บอน (carbon pool) ภายในระบบนิเวศป่าไม้ ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ 5 แหลง่ ดังน้ี (ภาพที่ 6) กลมุ่ ของมวลชวี ภาพท่มี ีมีชวี ิต(Living Biomass) ซ่งึ ประกอบด้วย (1) มวลชวี ภาพเหนือพื้นดิน (Above-ground Biomass) (2) มวลชวี ภาพใต้พ้นื ดิน (Below-ground Biomass) กลมุ่ ของเศษซากท่ตี าย (Dead Organic Matter) ประกอบดว้ ย (3) ต้นไมต้ าย รวมถึงไม้ล้มขอนนอนไพร (Dead wood) (4) ซากพชื ทร่ี ่วงหล่น (Litter) กลุม่ ของดนิ (Soils) ประกอบด้วย (5) คาร์บอนในดิน (Soil organic matter) รายละเอียดนยิ ามของแหล่งสะสมคาร์บอนแสดงดงั ตารางท่ี 1 33
มวลชีวภาพเหนอื ดิน (Above-ground Biomass) มวลชีวภาพใตด้ ิน (Below-ground Biomass) 34
ตารางท่ี 1 การจำแนกแหล่งสะสมคาร์บอน (Carbon pools) ในระบบ นิเวศปา่ ไมต้ ามเกณฑข์ อง IPCC (2003) แหล่งสะสมคารบ์ อน (Pools) คำจำกัดความ กลมุ่ ของ มวลชีวภาพ มวลชีวภาพที่มีชีวิตทั้งหมดที่อยู่เหนือ มวลชวี ภาพ เหนือดิน ดิน ได้แก่ ลำตน้ ตอไม้ กง่ิ กา้ น เปลือก ทีม่ ชี ีวิต (Above- เมล็ด และใบ (Living ground Biomass) Biomass) มวลชีวภาพใต้ มวลชีวภาพที่มชี วี ิตใต้ดนิ ได้แก่ รากท่ี ดิน ยังมีชีวิต ยกเว้น รากฝอยที่มีขนาด (Below- เส้นผ่าศนู ยก์ ลางน้อยกวา่ 2 มิลลเิ มตร ground ไม่นำมาพิจารณาเนื่องจากไม่ Biomass) ก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างมี นัยสำคัญของปรมิ าณอินทรียวัตถุ 35
ต้นไมต้ าย รวมถงึ ไม้ล้มขอนนอนไพร (Dead wood) ซากพืชทร่ี ว่ งหล่น (Litter) 36
ตารางที่ 1 การจำแนกแหลง่ สะสมคารบ์ อน (Carbon pools) ในระบบ นเิ วศป่าไม้ตามเกณฑข์ อง IPCC (2003) (ตอ่ ) แหลง่ สะสมคาร์บอน (Pools) คำจำกัดความ กลุ่มของเศษ ต ้ น ไ ม ้ ต า ย ได้แก่ มวลชีวภาพของต้นไม้ตายที่ ซากที่ตาย รวมถึงไม้ล้มขอน ปราศจากเศษซากที่ร่วงหล่น ไม่ว่า (Dead นอนไพร (Dead จะเป็นไม้ยืนต้นตาย ไม้ล้มขอน Organic wood) นอนไพร หรือไม้ที่ฝังอยู่ในดิน Matter) รวมทั้งไม้ที่อยู่บนพื้น รากที่ตาย แล้ว ตอไม้ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ กว่าหรือเท่ากับ 10 ซม. หรือตามที่ แต่ละประเทศไดก้ ำหนดเอาไว้ ซากพืชทรี่ ว่ ง ได้แก่ มวลชีวภาพที่ไม่มีชีวิตที่มี หลน่ (Litter) เส้นผ่าศูนย์กลางต่ำกว่า 10 ซม. หรือตามแต่ที่ประเทศกำหนด ซึ่ง ตายแล้ว และมีสภาพอยู่ในระหว่าง การย่อยสลายระยะต่าง ๆ รวมท้ัง เศษซาก ชั้นฮิวมัสในชั้นดิน และ รากฝอยที่มีขนาดเล็กกว่า 2 มลิ ลิเมตร 37
คาร์บอนในดิน (Soil organic matter) 38
ตารางท่ี 1 การจำแนกแหล่งสะสมคารบ์ อน (Carbon pools) ในระบบ นเิ วศป่าไมต้ ามเกณฑ์ของ IPCC (2003) (ต่อ) แหลง่ สะสมคารบ์ อน (Pools) คำจำกัดความ กลุ่มของดิน คารบ์ อนในดนิ ได้แก่ ดินอินทรีย์ (organic soils) (Soils) (Soil organic และดินแร่ (mineral soil) รวมทั้ง matter) พีท (peat) ตามระดับความลึกที่ กำหนด รวมทั้งรากฝอยที่มีขนาด เล็ก (ที่นอกเหนือจากที่พิจารณา รวมกับมวลชวี ภาพใต้ดิน) ทีม่ า: ดดั แปลงมาจาก IPCC (2003) 39
ป่าเขตรอ้ นและการสะสมคารบ์ อน ปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้ทั่วโลกลดลงเนื่องจากประชากรที่เพิ่มมากข้ึน ความต้องการทรัพยากรและความต้องการปัจจัยสี่ รวมถึงความอดอยาก ของผู้คนทำให้ต้องเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อผลิตอาหารให้ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่ง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้มาสู่พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ป่าไม้ท่ัว โลกเหลืออยู่ประมาณร้อยละ 30.8 ของพื้นที่โลก คิดเป็นพื้นที่เท่ากับ 4.06 พันล้านเฮกตาร์ (FAO and UNEP, 2020) เขตร้อนมีพื้นที่ป่าไม้มากที่สุด รองลงมาได้แก่ ป่าเขตขั้วโลก ป่าเขตอบอุ่น และป่ากึ่งเขตร้อน ตามลำดับ (ภาพท่ี 7) ป่ าเขตขวั( โลก (Boreal) 27% ป่ าเขตรอ้ น (Tropical) 46% ป่ าเขตอบอุน่ (Temperate) 16% ป่ ากงDึ เขตรอ้ น (Semitropical) 11% ภาพที่ 7 สดั ส่วนของป่าไมใ้ นเขตตา่ ง ๆ ของโลก ทมี่ า: ดัดแปลงมาจาก FAO (2020) 40
ระบบนิเวศป่าไม้สะสมคาร์บอนส่วนใหญ่ไว้ในดินและมวล ชีวภาพ สัดส่วนคาร์บอนที่สะสมในดินและมวลชีวภาพในระบบนิเวศป่าไม้ มักเปลี่ยนแปลงไปตามเส้นละติจูด กล่าวคือป่าไม้ในเขตใกล้ขั้วโลกมีการ สะสมคาร์บอนส่วนใหญ่ในดิน ขณะที่ป่าเขตร้อนบริเวณเส้นศูนย์สูตรสะสม คาร์บอนส่วนใหญ่ไว้ในมวลชีวภาพ (Lal, 2005) ป่าเขตร้อน (tropical forest) เป็นแหล่งสะสมสะสมคาร์บอนที่สำคัญ โดยสะสมคาร์บอนร้อยละ 49 ของคาร์บอนทั้งหมดที่สะสมในระบบนิเวศป่าไม้ทั้งโลก ซึ่งมากกว่า ระบบนิเวศป่าไม้ในเขตอบอุ่น (ร้อยละ 14) และเขตขั้วโลก (ร้อยละ 37) ดงั แสดงในตารางท่ี 2 ตารางที่ 2 ปริมาณคารบ์ อนที่สะสมในป่าไม้บริเวณตา่ ง ๆ ของโลก พน้ื ท่ี ปริมาณคาร์บอน ความหนาแน่น (ตนั /เฮกตาร์) ระบบนิเวศป่าไม้ (ล้าน (เพตะกรัม) พชื ดนิ เฮกตาร์) พืช ดิน รวม 157 122 96 122 ปา่ เขตร้อน 1.76 340 213 553 53 296 ป่าเขตอบอุ่น 1.04 139 153 292 -- ปา่ เขตขัว้ โลก 1.37 57 338 395 รวม 4.17 536 704 1,240 ที่มา: ดดั แปลงมาจาก Lal (2005) 41
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร พื้นที่ป่าใน ประเทศไทยจึงจัดว่าเป็นป่าเขตร้อน จากการสำรวจของสำนักจัดการที่ดิน ป่าไม้ (2563) ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่าเหลืออยู่ 102,353,484.76 ไร่ หรือร้อยละ 31.64 ของพ้ืนทีป่ ระเทศ (ภาพที่ 8) ภูมิภาคที่มีพ้นื ทปี่ ่าไม้มาก ที่สุด คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมา ได้แก่ ภาคตะวันตก ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออก จังหวัดราชบุรีมีพื้นที่ป่า เป็นอันดับ 5 ของภูมิภาคตะวันตก โดยมีพื้นที่ป่า 1,067,631.46 ไร่ หรือ ร้อยละ 32.92 ของพื้นที่จังหวัด (ภาพที่ 9) พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยาน ธรรมชาติวิทยาตามพระราชดำริฯ เป็นพื้นที่ป่าอีกส่วนหนึ่งในจังหวัด ราชบุรี ปกคลุมด้วยระบบนิเวศป่าไม้หลายชนิด คิดเป็นร้อยละ 8 – 12 ของพื้นที่ป่าทั้งหมดภายในจังหวัด ในบทถัดไปจะได้กล่าวถึงความสำคัญใน การเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศและแหล่ง สะสมคาร์บอนของพื้นที่ป่าไม้ในอุทยานธรรมชาติวิทยาตามพระราชดำริฯ อำเภอสวนผ้งึ จังหวัดราชบรุ ี 42
ภาพท่ี 8 แผนทก่ี ารกระจายของป่าไม้ในประเทศไทย ปี 2563 ท่มี า: ดดั แปลงมาจาก สำนกั จดั การท่ีดนิ ปา่ ไม้ (2563) 43
ภาพท่ี 9 แผนทปี่ ่าไมข้ องจงั หวดั ราชบรุ ี ภาพผนวกท่ี 51 ขท้อ่มีมลูา:ภดำพัดพแ้นื ปท่ีปลำ่ งไมม้ าจงัจาวกัดรำสชำบนุรี กัปีจพดั.ศก. 2า5ร6ท3 ด่ี นิ ป่าไม้ (2563) 44 ำนักจัดกำรทดี่ นิ ปำ่ ไม้ กรมปำ่ ไม้ กระทรวงทรพั ยำกรธรรมชำตแิ ละ ่งิ แวดลอ้ ม
คารบ์ อนท่สี ะสมใน พื้นทปี่ า่ อุทยาน ธรรมชาติวิทยาฯ • พรรณไมแ้ ละโครงสรา้ งปา่ ในพื้นท่ีอทุ ยานธรรมชาตวิ ทิ ยาฯ • ปรมิ าณคารบ์ อนท่สี ะสมในมวลชีวภาพเหนือดิน • ปรมิ าณคาร์บอนที่สะสมในดิน • ปรมิ าณก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ทถี่ ูกดูดซับ 45
46
2 คารบ์ อนท่สี ะสมในพนื้ ทป่ี ่าของอุทยานธรรมชาติวิทยาฯ การศึกษาการสะสมคาร์บอนในพื้นท่ีอุทยานธรรมชาติวิทยาตาม พระราชดำริฯ ได้ดำเนินการศึกษาและสำรวจในพื้นที่ป่าไม้ 3 บริเวณ ไดแ้ ก่ (1) พื้นที่ป่าหลังที่ทำการอุทยานธรรมชาติวิทยาฯ (180 – 210 เมตร จากระดับน้ำทะเล) บริเวณพื้นที่เหมืองแร่เก่าที่ถูกฟื้นฟูให้เป็นสภาพ ปา่ ไม้ (2) พื้นที่ป่าห้วยคอกหมู ประกอบด้วย 2 บริเวณ ได้แก่ พื้นที่ป่า ด้านบน (690 เมตรจากระดับน้ำทะเล) พื้นที่ป่าห้วยคอกหมูด้านล่าง (360 เมตรจากระดับนำ้ ทะเล) (3) พื้นที่ป่าเขากระโจม (850 – 900 เมตร จากระดับน้ำทะเล) บริเวณทางขน้ึ ซง่ึ เปน็ พนื้ ท่ีปา่ ก่อนถึงทางเขา้ นำ้ ตกผาแดง สภาพแวดล้อมของพื้นที่เข้าทำการศึกษาแสดงในภาพที่ 10 มี สภาพเป็นป่าไม่ผลัดใบและป่าผลัดใบ โดยบริเวณพื้นที่ป่าด้านบนของห้วย คอกหมูและป่าไม้บริเวณเขากระโจมมีสภาพเป็นป่าไม่ผลัดใบ (ภาพที่ 10 ก, ข) ขณะที่ป่าไม้หลังพื้นที่อุทยานฯ และป่าไม้ด้านล่างของห้วยคอกหมูมี สภาพเปน็ ป่าผลัดใบ (ภาพท่ี 10 ข, ค) 47
ภาพที่ 10 สภาพพืน้ ทป่ี า่ ภายในพน้ื ทอี่ ุทยานธรรมชาติวทิ ยาฯ (ก) ปา่ ไม้ด้านบนพืน้ ทห่ี ว้ ยคอกหมู (ข) ปา่ ไมด้ ้านล่างพื้นที่หว้ ยคอกหมู (ค) ปา่ ไมห้ ลังที่ทำการอทุ ยาน และ (ง) ปา่ ไมบ้ รเิ วณเขากระโจม 48
พรรณไม้และโครงสร้างป่าในพืน้ ท่อี ทุ ยานธรรมชาตวิ ทิ ยาฯ ป่าไม้ในพื้นที่อุทยานธรรมชาติวิทยามีสภาพเป็นป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) ป่าผสมผลัดใบ (Mixed Deciduous Forest) จาก การสำรวจพบพนั ธุไ์ ม้ประมาณ 70 ชนิด 30 วงศ์ ดังแสดงใน (ตารางท่ี 3) ตารางที่ 3 พรรณไมท้ พ่ี บในป่าของพน้ื ท่อี ทุ ยานธรรมชาตวิ ิทยาฯ ช่อื ทอ้ งถน่ิ ช่ือวิทยาศาสตร์ วงศ์ กระไดลงิ Lasiobema scandens (L.) de FABACEAE กระเบา กระบาก Wit กระพี้เขา ควาย Hydnocarpus calvipetala Craib ACHARIACEAE กล้วยป่า ก่อ Anisoptera costata Korth. DIPTEROCARPACEAE ก่อขี้หมู Millettia leucantha Kurz FABACEAE ขนนุ ขนุนป่า Musa acuminata Colla MUSACEAE ขอ่ ย FAGACEAE ข้ีหนอน Castanopsis spp. FAGACEAE ขี้อ้าย Castanopsis rhamnifolia (Miq.) A.DC. MORACEAE MORACEAE Artocarpus heterophyllus Lam. MORACEAE SAPINDACEAE Artocarpus chama Buch.-Ham. COMBRETACEAE Streblus asper Lour. Zollingeria dongnaiensis Pierre Terminalia nigrovenulosa Pierre 49
Search