ชวี วิทยาสาํ หรับครู 2 Chapter 4 Animal form and function อ.ดร.อเุ ทน จันละบุตร
เนอ้ื หาบทเรยี น โครงสร&างพื้นฐานของ การรกั ษาดลุ ยภาพของ การรักษาอณุ หภูมขิ อง ระบบไหลเวยี น สัตว2 น้ำและสารตา= ง ๆ สิ่งมีชวี ติ ระบบภมู ิคม&ุ กนั ระบบแลกเปลี่ยนแกสL ระบบขบั ถา= ย
โครงสร้างพนื้ ฐานของสตั ว์ Cell • หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต เซลล์ที่มี ลกั ษณะคล้ายกนั จะรวมกนั เปน็ เน้ือเยื่อ Tissue • เซลล์ 2 เซลล์ขึ้นไป รวมกันเพื่อทํา หน้าทบี่ างอยา่ ง Organ • เนื้อเยื่อหลาย ๆ ประเภทร่วมกันเพื่อทํา หนา้ ทีเ่ ฉพาะอยา่ ง Organ system • multiple organs that work together to perform a specific physiological function within the organism.
โครงสร้างพ้ืนฐานของสตั ว์ Source : Mason et al. (2016)
โครงสร้างพื้นฐานของสตั ว์ • Biologists enable to categorize tissues into 4 major types ØEpithelial Tissue เนือ้ เย่อื บผุ วิ บตุ ามมอวัยวะต่าง ๆ เพอ่ื ปอ้ งกนั อวัยวะ ØConnective Tissue เนื้อเยอื่ บเุ กยี่ วพนั เสรมิ ความแขง็ แรง และความยดื หยุ่น ØMuscle Tissue เนอื้ เย่อื กล้ามเน้ือ ทําหนา้ ท่ีเก่ยี วกับการ เคล่ือนทข่ี องอวัยวะต่าง ๆ ØNervous Tissue เนื้อเยื่อประสาท ทําหนา้ ท่ีรับความรสู้ กึ และ ตอบสนองตอ่ ส่ิงเร้าต่าง ๆ
โครงสร้างพื้นฐานของสตั ว์ Epitheial Tissues (เนื้อเยือ่ บผุ วิ ) แบง่ ตามรปู รา่ ง • แบน (squamous) • ทรงลกู บาศก์ (cuboidal) • ทรงกระบอก (columnar) แบ่งตามชัน้ • Simple ชนั้ เดียว • Stratified หลายชน้ั
โครงสร้างพนื้ ฐานของสัตว์ Connective Tissue (เน้ือเยื่อเกย่ี วพนั )
โครงสร้างพน้ื ฐานของสัตว์ Connective Tissue (เนอื้ เยอื่ เกีย่ วพัน) • ทําหน้าทย่ี ดึ เนอื้ เย่อื ตา่ ง ๆ และเสริมความแขง็ แรง
โครงสร้างพื้นฐานของสัตว์ Muscular Tissues (เน้อื เย่อื กล้ามเนื้อ)
โครงสร้างพื้นฐานของสตั ว์ Muscular Tissues (เนอ้ื เย่อื กล้ามเนอ้ื ) • กลา# มเนือ้ ลาย (skeleton muscle) เคล่อื นท่ีใต,อำนาจจิตใจ ยดึ ติดกับกระดูกและเอ็น รปู ร>างเป@น แทง> มีลายสลับ มีหลายนิวเคลยี สเบียดดา, นขา, ง • กล#ามเนือ้ หัวใจ (Cardiac muscle) เกี่ยวกับการบีบเต,นของหัวใจ ทำงานนอกอำนาจจติ ใจ คลา, ย กลา, มเนื้อลาย แต>มีการแตกแขนงหากนั • กล#ามเนอ้ื เรยี บ (smooth muscle) เคล่ือนทน่ี อกอำนาจจติ ใจ เกยี่ วขอ, งกบั การเคล่ือนท่ขี อง อวัยวะภายใน รูปร>างเหมือนกระสวย
โครงสร้างพนื้ ฐานของสตั ว์ N• ทeำrหvนoา%uทs่ี ตTอiบsสsuนอeงsต(/อเสนง่ิ อื้เรเ%ายื่อประสาท) • การถา/ ยทอดกระแสประสาท
โครงสร้างพน้ื ฐานของสตั ว์ ระบบอวยั วะ (organ system) : หลาย ๆ อวยั วะมาทำงานร?วมกัน 1. ระบบย>อยอาหาร 7. ระบบตอ> มไรท, >อ 2. ระบบหายใจ 8. ระบบสืบพันธุV 3. ระบบหมุนเวียน 9. ระบบกระดูก 4. ระบบน้ำเหลอื งและภูมคิ ุ,มกัน 10. ระบบกล,ามเนื้อ 5. ระบบขบั ถา> ย 11. ระบบห>อหุ,มรา> งกาย 6. ระบบประสาท 2+3+4+5 = ทำงานเกี่ยวกับภาวะธำรงดุลในรา> งกาย homeostasis 6+7 = การตอบสนองต>อส่ิงเรา, การแสดงพฤติกรรม เรยี กรวมวา> ระบบประสานงาน (coordinating system) 9+10 = ทำงานรว> มกันเก่ยี วกบั การเคล่ือนไหว
การรกั ษาดลุ ยภาพของน้าํ และสารตา่ ง ๆ การรักษาดลุ ยภาพของนํ้าและสารตา่ ง ๆ ในรา่ งกายมนษุ ย์ • ไต : ดูดกลับ ขบั สาร • ฮอร์โมน (Antidiuretic Hormone : ADH) หรอื วาโซเพรสซนิ (Vasopressin) เป็นฮอร์โมนสาํ คญั ทที่ ําหนา้ ทก่ี ระตุ้นการดดู นํ้ากลบั เขา้ สู่ร่างกายบริเวณทอ่ รวมของ หน่วยไต ด่มื นา้ํ มาก ฉ่เี ยอะ เขม้ ข้นน้าํ น้อย ADH มีปริมาณน้อย ดดู นาํ้ กลับในปริมาณนอ้ ย ด่มื นาํ้ นอ้ ย ฉนี่ ดิ เดียว เขม้ ข้นมาก ADH มปี รมิ าณมาก ดูดน้าํ กลับในปรมิ าณมาก
การรักษาดุลยภาพของนํ้าและสารตา่ ง ๆ การรักษาดลุ ยภาพของกรด-เบสในรา่ งกายมนุษย์ การเพ่ิมหรอื ลดอัตราการหายใจ ถ้า CO2 ในเลอื ดมีปริมาณมากจะสง่ ผลใหศ้ นู ย์ควบคุมการหายใจ ซ่งึ คอื สมอง ส่วนเมดัลลาออบลองกาตา (Medulla Oblongata) ส่งกระแสประสาทไปควบคมุ ให้ กล้ามเนื้อกะบังลมและกล้ามเน้ือยดึ กระดูกซโี่ ครงทํางาน มากข้นึ เพอ่ื จะได้หายใจออกถขี่ ้นึ ระบบบัฟเฟอร์ (Buffer) คอื ระบบที่ทาํ ใหเ้ ลือดมีค่า pH คงทีแ่ ม้ว่าจะมีการเพ่ิมของสารที่ มีฤทธเ์ิ ป็น กรดหรอื เบส การควบคมุ กรดและเบสของไต ไต (Kidneys) สามารถปรบั ระดบั กรดหรือเบสออกทางปัสสาวะไดม้ าก สามารถ แกไ้ ขค่า pH ที่ เปล่ยี นแปลงไปมากใหเ้ ข้าสภู่ าวะสมดลุ
การรกั ษาดุลยภาพของน้ําและสารต่าง ๆ การรกั ษาดลุ ยภาพของนํา้ และแร่ธาตใุ นสิ่งมีชวี ติ อน่ื ๆ • Paramecium : contractile vacuole
การรักษาดุลยภาพของนํา้ และสารต่าง ๆ การรักษาดลุ ยภาพของน้าํ และแรธ่ าตุในส่ิงมชี วี ติ อื่น ๆ • Nasal gland or Salt gland: Marine Iguana & Sea birds
การรกั ษาดุลยภาพของน้ําและสารตา่ ง ๆ การรกั ษาดลุ ยภาพของนา้ํ และแรธ่ าตใุ นสิ่งมีชีวิตอ่นื ๆ
การรกั ษาดลุ ยภาพของนํา้ และสารต่าง ๆ ปลานํ้าเคม็ VS ปลาน้าํ จดื รกั ษาสมดลุ อยา่ งไร • ปลาน้ําเค็ม (Osmotic Pressure ของของเหลวในร่างกายน้อยกว่าน้าํ ทะเล) : กลไก การรักษาสมดุล คือ มีผิวหนังและเกล็ดป้องกันนํ้าซึมออก ขับปัสสาวะน้อยและ ปัสสาวะมีความเข้มข้นสูง มีเซลล์ซึ่งอยู่บริเวณเหงือก ทําหน้าท่ีขับแร่ธาตุส่วนเกินออก โดยวธิ แี อกทีฟทรานสปอรต์ ขบั แรธ่ าตสุ ่วนเกนิ ออกทางทวารหนัก • ปลาน้ําจืด (Osmotic Pressure ของของเหลวในร่างกายมากกว่าน้ําจืด) : กลไกการ รักษาสมดุล คือ มีผิวหนังและเกล็ดป้องกันน้ําซึมเข้า ขับปัสสาวะมากและปัสสาวะ เจือจาง มีโครงสรา้ งพเิ ศษทเี่ หงอื กทําหน้าทด่ี ูด แรธ่ าตกุ ลบั คืนสู่รา่ งกาย
การรกั ษาอณุ ภมู ิของสิ่งมชี วี ติ • สตั วเ์ ลอื ดเย็น (Poikilothermic Animal / Ectotherm) หมายถึง สตั ว์ทม่ี ีอณุ หภูมิรา่ งกาย ไมค่ งท่ี เพราะจะเปลย่ี นแปลงไปตามอณุ หภูมิ ของสิ่งแวดลอ้ มภายนอก ตวั อย่างเช่น ไส้เดือน ดนิ หอย แมลง ปลา สัตวส์ ะเทนิ นา้ํ สะเทนิ บก และสตั ว์เลือ้ ยคลาน • สตั ว์เลือดอนุ่ (Homeothermic Animal / Endotherm) หมายถึง สตั วท์ ่ีมีกลไกรกั ษา อุณหภมู ิ รา่ งกายใหค้ งท่ีไม่เปลย่ี นแปลงไปตาม อุณหภูมิของสงิ่ แวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ สัตว์ปีกและสัตว์ เลย้ี งลกู ด้วยนาํ้ นม
การรักษาอณุ ภมู ิของสิง่ มีชีวติ การรกั ษาดลุ ยภาพของอุณหภูมริ า่ งกายของมนุษย์ ปัจจยั จากสงิ่ แวดล้อม อณุ หภูมิของเลอื ด อุณหภูมขิ องเลือด ตา่ํ กว่า 37 ºC สูงกว่า 37 ºC กระตุ้นศนู ย์ควบคุม ที่ไฮโพทาลามัส • ลดอัตราเมแทบอลิซึม • เพ่มิ อตั ราเมแทบอลิซมึ • หลอดเลอื ดขยายตัว • หลอดเลือดหดตวั • ตอ่ มเหงือ่ สรา้ งเหงื่อ • ต่อมเหงอ่ื ไม่สร้างเหงื่อ • เพ่มิ การระเหยและการแผ่รงั สี • ลดการระเหยและการแผ่รังสี อณุ หภมู ิของเลอื ด ลดลง อุณหภมู ิของเลอื ด เพ่ิมขน้ึ อณุ หภมู ิของเลือด ปกติ 37°C
ระบบไหลเวยี น (Circulatory System) • รขะอบงเบลหือมดุนทเ่ีเวกียิดนขึ้นโลจหากิต แ(Cรงirทcห่ี uวั laใจtบorีบyตัวSสy่งsเลteือmด )ตาหมมหาลยอถดงึ เลรือะดบไบปกยางั รปไอหดลเวเพยี น่ือ การแลกเปลีย่ นคารบ์ อนไดออกไซดเ์ ปน็ ออกซเิ จน จากน้ันกลบั มาเขา้ หวั ใจเพ่ือ สง่ ไปเลยี้ งสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกาย การไหลเวียนแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ส่วน • วงจรไหลเวียนทว่ั กาย (Systemic Circulation) เลอื ดทไี่ หลเวยี นจะออกจากเวนท รเิ คลิ ซ้าย (Left Ventricle) ไปสสู่ ่วนต่าง ๆ ของรา่ งกาย แลว้ กลับมาเขา้ เอเทรยี มขวา วงจรนท้ี ำงานกวา้ งขวางจงึ อาจเรียกวา่ วงจรใหญ่ (Greater Circulation) • วงจรไหลเวยี นผ่านปอด (Pulmonary Circulation) เลือดทส่ี ง่ มาเข้าเอเทรียมขวา จะเทลงสู่ เวนทรเิ คิลขวา (Right Ventricle) แล้วสง่ ไปยังปอด หลงั จากนน้ั จะกลับมา เข้าเอเทรียมซา้ ยใหม่ การไหลเวียน ในวงจรนท้ี ำงานน้อยกวา่ จงึ เรียกวา่ วงจรเล็ก (Lesser Circulation)
ระบบไหลเวียน (Circulatory System) ระบบหมุนเวยี นโลหิตในสตั ว์ • ไม่มรี ะบบเลือด ได้แก่ พวก Porifera Cnidaria Platyhelminthes อาศัยการ แลกเปล่ยี นสารกับ ส่งิ แวดลอ้ มโดยตรง
ระบบไหลเวยี น (Circulatory System) • ระบบหมุนเวยี นเลือดแบบปิด (Closed Circulatory System) พบในสัตว์ จําพวก Annelids Mollusk Chordate เลือดท่ีอยู่ในหลอดเลือดเดินตลอดเวลา ของเหลวในหลอดเลือดเรียก Blood นอกหลอด เลอื ดเรยี ก Lymph
ระบบไหลเวยี น (Circulatory System) • ระบบหมนุ เวยี นเลอื ดแบบเปิด (Open Circulatory System) พบในสัตว์ จําพวก Arthropods และ Echinoderm ของเหลวในหลอดเลอื ดจะปะปนกัน เรยี กวา่ Hemolymph
ระบบไหลเวียน (Circulatory System) ระบบไหลเวียนโลหติ ในสตั วม์ กี ระดูกสันหลัง • ปลา มีหวั ใจ 2 ห้อง คือ Atrium, Ventricle โดยมกี ารนําเลือดไปฟอกทป่ี อด • สัตว์สะเทนิ นำ้ สะเทินบก มหี วั ใจ 3 ห้อง คอื Right Atrium, Left Atrium, Ventricle ทาํ ใหเ้ ลอื ดมีการ ปะปนกัน • สตั ว์เล้ือยคลาน มีหวั ใจ 4 หอ้ งไม่สมบูรณผ์ นงั Ventricle ปิดไม่สนิทเลือดผสมกนั (ยกเวน้ จระเขท้ ม่ี ี 4 หอ้ งสมบูรณ)์ • สัตว์เล้ียงลกู ด้วยนา้ํ นม และสตั วป์ ีก มีหัวใจ 4 ห้องสมบูรณ์
ระบบไหลเวยี น (Circulatory System)
ระบบไหลเวยี น (Circulatory System) สัตวม์ ีกระดูกสนั หลังมีหัวใจอยู่ 3 แบบ สามารถแบ่งได้ตามจํานวนห้องของหัวใจ ได้แก่ หัวใจ 2 หอ้ ง • พบในสตั ว์น้ํา จําพวกปลา • ประกอบไปดว้ ย ห้องบนของหวั ใจ (Atrium) + หอ้ งล่างของหัวใจ (Ventricle) • เลอื ดทใี่ ช้แลว้ จากอวัยวะทัว่ ร่างกายจะถกู ส่งเขา้ ไปในแอง่ รับเลอื ด (Sinus Vernosus) ตอ่ จากนนั้ เมอื่ เลือดไดถ้ กู ส่งไปยังหัวใจหอ้ งบนแลว้ จะถกู ส่งไปห้องลา่ งของหัวใจ (หวั ใจห้องล่างจะมีผนงั หนากว่าหัวใจ หอ้ งบน) เนอื่ งจากจะต้องส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วตัว ปลา ห้องใจห้องล่างจะสง่ เลือดเข้าสู่หลอดเลือดสนั้ ๆ เรยี กวา่ เวนทรัลเอออร์ตา (Ventral Aorta) เข้าสู่หลอดเลือดฝอยทเี่ หงอื กเพ่ือแลกเปลี่ยนแก๊ส เลอื ดทฟ่ี อก เรยี บรอ้ ย แล้วจะเข้าสหู่ ลอดเลือด ดอร์ซอลเอออร์ตา (Dorsal Aorta) • เลือดท่ีผา่ นหวั ใจจะเป็นเลือดดาํ ทั้งส้ิน
ระบบไหลเวยี น (Circulatory System) ระบบหวั ใจ 2 ห้อง
ระบบไหลเวียน (Circulatory System) หัวใจ 3 ห้อง • พบในสตั วส์ ะเทินนํ้าสะเทนิ บกและ สัตว์เลอ้ื ยคลาน • ประกอบไปด้วย หวั ใจหอ้ งบน 2 ห้อง หัวใจ หอ้ งล่างอีก 1 ห้อง • หวั ใจหอ้ งขวาบนทําหน้าท่ี รับเลอื ดทใี่ ช้แล้ว จากหลอดเลือดเวน (Vein) จากนั้นจงึ สง่ ไป ฟอกเลือด ที่ปอด แลว้ กลบั ลงมาทห่ี ัวใจห้อง ซ้ายบน ต่อจากนนั้ เลอื ดจากหวั ใจห้องซ้ายบน จงึ จะลงมาหัวใจหอ้ งลา่ ง เพ่อื สง่ เลอื ดไปเลีย้ ง ส่วนต่าง ๆ • เนอื่ งจากมหี ัวใจหอ้ งลา่ งเพยี งห้องเดียวดงั น้นั เลอื ดจึงมีการปนกนั บ้างในหัวใจหอ้ งล่าง
ระบบไหลเวยี น (Circulatory System)
ระบบไหลเวียน (Circulatory System) หวั ใจ 4 หอ้ ง • พบในสัตว์ปีกและสตั วเ์ ลยี้ งลูกด้วยนํา้ นม จระเข้เปน็ สตั ว์เล้อื ยคลานชนิดเดียวที่มี หัวใจครบ 4 หอ้ งสมบรู ณ์ • ประกอบไปด้วย หวั ใจหอ้ งบน 2 หอ้ ง หัวใจหอ้ งลา่ งอีก 2 หอ้ ง รวมท้งั หมด 4 หอ้ ง • เลอื ดทใี่ ชแ้ ล้ว (เลอื ดดํา) และเลอื ดทยี่ ังไม่ ใช้ (เลอื ดแดง) จะแยกเปน็ คนละส่วน อยา่ งชัดเจนและไม่มกี ารปนกัน
ระบบไหลเวียน (Circulatory System) หวั ใจของมนุษย์
ระบบไหลเวยี น (Circulatory System) • หวั ใจหอ้ งบนขวาจะรบั เลอื ดดาํ จากหลอดเลือดเวนขนาดใหญ่ 2 เสน้ คือ ซพู เี รียเวนาคาวา (Superior Vena Cava) จากสว่ นหวั และแขน และอิน ฟีเรียเวนาคาวา (Inferior Vena Cava) จากสว่ นลาํ ตัวและขา • หัวใจหอ้ งบนขวาบีบตวั นาํ เลอื ดเขา้ สู่หัวใจหอ้ งลา่ งขวา โดยผา่ นลนิ้ ไตรคสั ปิด (Tricuspid Valve) ทกี่ ้ันอยรู่ ะหวา่ งห้องบนขวาและหอ้ งลา่ ง ขวา • หวั ใจห้องล่างขวาบีบตัว เลือดจะไหลผ่านลน้ิ พลั โมนารเี ซมลิ นู าร์ (Pulmonary Semilunar Valve) เพอ่ื ฉดี ไปยงั หลอดเลือดพัลโมนารี อาร์เทอรี (Pulmonary Artery) นําไปแลกเปลี่ยนแกส๊ ท่ีปอด โดยจะ โปมลนอ่ ายรีเCวOน2(Pอuอlกmแoลnะaรryับ VOe2inเข) ้าเขแา้ทหนัวใเจลหอื อ้ดงจบะนไหซลา้ กยลับสหู่ วั ใจทางพลั • หวั ใจห้องบนซา้ ยบบี ตวั นาํ เลือดเขา้ สูห่ วั ใจห้องล่างซา้ ย โดยผา่ นลนิ้ ไบคัสปิด (Bicuspid Valve) หรือ เรยี กอีกชอ่ื วา่ ล้ินไมทรอล (Mitral Valve) ท่กี ัน้ อยู่ระหว่างห้องบนซา้ ยและหอ้ งลา่ งซา้ ย • หัวใจห้องลา่ งซ้ายบีบตัว เลือดจะไหลเข้าส่เู อออรต์ า (Aorta) หลอด เลือดแดงขนาดใหญท่ ่ีสดุ ใน รา่ งกาย และล้ินเอออรต์ กิ เซมลิ นู าร์ (Aortic Semilunar Valve) ก้นั ไมใ่ หเ้ ลือดไหลยอ้ นกลับเข้าหัวใจ • เอออรต์ าจะมีแขนงต่าง ๆ คอื หลอดเลอื ดอารเ์ ทอรี (Artery) ส่งเลือดท่ี ฟอกแลว้ ไปยงั สว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย
ระบบไหลเวียน (Circulatory System) หลอดเลอื ดของมนษุ ย์
ระบบไหลเวยี น (Circulatory System) หลอดเลือดของมนษุ ย์ • หลอดเลือดแดง หรือเรียกว่า อาร์เทอรี เป็นหลอดเลือดท่นี ําเลือดออกจากหวั ใจ นําเลือดที่มีปรมิ าณ O2 สงู จากหัวใจไปเล้ยี งส่วนตา่ งๆ ของร่างกาย ยกเว้นเลอื ดทอี่ ยู่ในอารเ์ ทอรีท่ีไปยังปอดเป็นเลือดที่มี O2 ตาํ่ หลอดเลอื ดประเภทนจี้ ะมผี นังหนาแข็งและกลา้ มเน้ือที่มคี วามยดื หยุ่นสงู สามารถทนต่อ แรงดัน เลือดได้ ไม่มลี น้ิ กน้ั มขี นาดต่างๆ กัน ขนาดใหญ่สดุ คือ เอออรต์ า (aorta) • หลอดเลือดดํา หรือเรียกว่า เวน เปน็ หลอดเลอื ดท่นี าํ เลอื ดเขา้ สู่หัวใจ ยกเวน้ เวนทนี่ าํ เลือดจากปอด เขา้ สู่ หวั ใจ จะเป็นหลอดเลือดแดง หลอดเลอื ดเวนมีผนังบาง เพราะมกี ลา้ มเนอื้ นอ้ ยกวา่ ความ ยืดหยุ่นนอ้ ยและได้รับ แรงดันจากเลือดตํา่ และมรี กู ว้างกว่าหลอดเลอื ดแดง มลี ิน้ กั้นภายในเป็น ระยะ ๆ เพ่ือป้องกันเลือดไหลย้อนกลับ ยกเวน้ หลอดเลอื ดดาํ พัลโมนารนี ําเลอื ดทแี่ ลกเปล่ียนแก๊ส จากปอดกลบั สหู่ วั ใจ เลือดทอี่ ย่ใู นหลอดเลอื ดดาํ เป็น เลอื ดท่มี ี O2 ต่ํา ยกเวน้ หลอดเลือดดาํ ที่นําเลอื ด จากปอดเขา้ สหู่ วั ใจ • หลอดเลือดฝอย เป็นหลอดเลือดขนาดเลก็ จาํ นวนมากสานกนั เป็นรา่ งแหแทรกอยู่ตามเน้อื เยอ่ื และ เชอ่ื มต่ออยู่ระหว่างอาร์เทอรี และเวน มีพน้ื ผวิ มาก และมคี วามหนานอ้ ยจึงเหมาะสาํ หรบั ทําหน้าที่ แลกเปลย่ี น แก๊ส อาหาร สารต่างๆ ของเสียระหว่างเลอื ดกบั เซลล์รา่ งกายโดยวิธกี ารแพร่
ระบบไหลเวยี น (Circulatory System) ตารางเปรียบเทียบหลอดเลอื ดของมนุษย์ ข้อเปรยี บเทยี บ หลอดเลอื ด artery หลอดเลอื ด vein หลอดเลือดฝอย 3 ช้นั 1 ช้นั ผนงั หลอดเลือด 3 ช้ัน บางทส่ี ดุ หนานอ้ ยกวา่ ความหนาของผนังหลอด หนามากกวา่ เลือด โพรงในหลอดเลอื ด น้อยกวา่ มากกวา่ นอ้ ยทส่ี ุด ลิ้น มักไม่มีล้ิน มกั มีลิน้ ไม่มลี ิ้น ปริมาณเลือด 10 - 12% 60 - 70% 4 - 5% ความดันเลือด ต่ำท่ีสุด ความเรว็ เลอื ด สูง นอ้ ย ต่ำ มาก น้อยทส่ี ุด
ระบบไหลเวียน (Circulatory System) เลอื ด (Blood) นำ้ เลือด (plasma) + เม็ดเลือดแดง (erythrocyte) + เม็ดเลือดขาว (leucocytes) + เกล็ดเลือด (Thrombocyte)
ระบบไหลเวยี น (Circulatory System) ระบบหมูเ่ ลอื ด • Antigen อย่บู นเยือ่ ห้มุ เซลล์เมด็ เลอื ดแดงมสี ารพวก Glycolipids (Carbohydrate + Lipid) • Antibody อยู่ในพลาสมาโปรตนี ถ้า Antigen กับ Antibody ชนิดเดยี วกนั มาจบั กันก็จะทาํ ให้เกิด เลือด ตกตะกอน
ระบบไหลเวียน (Circulatory System) ระบบห ู่มเ ืลอด Rh หมู่เลือด แอนติเจน แอนติบอดี กรปุ๊ เลอื ดทใี่ ห้ Rh+ Rh- Rh+ มี ไมม่ ี ✓✓ Rh- ไม่มี ไม่มี ✕✓ • หมูเ่ ลอื ดระบบ Rh ซึ่งไดม้ าจากคาํ วา่ Rhesus Monkey ซงึ่ เป็นลงิ วอกชนดิ หนง่ึ หมเู่ ลอื ดระบบ Rh แบ่งเปน็ 2 พวก คือ Rh+ และ Rh- • คนทม่ี หี มูเ่ ลือด Rh+ มีแอนติเจน Rh ทผ่ี วิ เมด็ เลอื ดแดง แต่ไม่มีแอนตบิ อดี Rh ในน้ํา เลือด คนท่ีมหี มเู่ ลือด Rh- ไม่มแี อนติเจน Rh ที่ผวิ เมด็ เลือดแดง และไมม่ ีแอนติบอดี Rh ในนา้ํ เลือด
ระบบไหลเวยี น (Circulatory System) Erythroblastosis Fetalis • คนที่มี Rh- นส้ี ามารถสรา้ งแอนตบิ อดี Rh ในนา้ํ เลือดได้ เมอ่ื ไดร้ บั เลือดหมู่ Rh+ เข้าไป • ในการถา่ ยเลอื ดต้องคำนงึ ถึง เลือด Rh ดว้ ย เพราะคนท่ีมเี ลือด Rh- ครัง้ แรกเม่ือได้รบั เลอื ด Rh+ อาจถูกกระตนุ้ ให้สรา้ ง แอนตบิ อดี Rh ในรา่ งกายผรู้ ับและมกี ารสะสมแอนติบอดี Rh ในการรับเลอื ดคราวต่อไปอาจมีการจับกลุ่มของ เมด็ เลือดแดง ทาํ ใหถ้ งึ ตายได้
ระบบไหลเวียน (Circulatory System) Erythroblastosis fetalis • ในกรณที หี่ ญิงมีเลือด Rh- แตง่ งานกับชายทีม่ เี ลือด Rh+ หากทารกในครรภม์ ี เลอื ด Rh+ ซง่ึ ไดย้ นี มาจากพ่อ เลือดทารกในครรภ์นั้นจะกระตุ้นให้แมส่ รา้ งแอนตบิ อดี Rh ข้ึนมาตอ่ ต้าน Rh+ • ทารกคนแรกอย่ใู นครรภเ์ พยี ง 9 เดอื น แอนตบิ อดี Rh ของแม่ยังไม่มากพอทจ่ี ะ ทาํ ลาย Rh+ ได้ ลกู คนแรกจึง คลอดออกมาปกติ • แต่ถา้ ลูกคนถัดมาเกดิ มี Rh+ เปน็ คนท่ีสองอกี เลอื ดของแมจ่ ะสร้างแอนตบิ อดี Rh เพิม่ มากขน้ึ และสามารถสง่ เข้าไปยงั รกสูท่ ารกในครรภ์ ทาํ ใหเ้ ม็ดเลือดแดงของทารก จับกลุ่มตกตะกอน ส่งผลใหท้ ารกถึงตายได้ โรคนี้เรยี กวา่ อริ ิโทรบลาสโทซิสฟีทาลสิ (Erythroblastosisfetalis)
ระบบภมู ิคมุ้ กนั (immunity system) ภมู คิ มุ้ กนั รา่ งกายแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดงั นี้ • ภูมิคมุ้ กนั ท่มี มี าแตก่ ําเนดิ (Innate Immunity) ซึง่ ประกอบดว้ ย กลไก ภูมิคมุ้ กนั ร่างกาย 2 ดา่ น ตามลาํ ดบั ดังนี้ • ระบบปกคลมุ รา่ งกาย (ผิวหนัง) จัดเป็นภมู ิคมุ้ กันดา่ นแรกสดุ ของรา่ งกาย • ภมู คิ ุม้ กันแบบไมจ่ าํ เพาะ(Nonspecific Immunity)เป็นภูมิค้มุ กนั ด่านทสี่ อง ของรา่ งกาย • ภมู ิคมุ้ กนั ทเี่ กดิ ขน้ึ หลังกาํ เนดิ (Acquired Immunity) ซึง่ เปน็ ภมู ิคมุ้ กนั ด่านที่ สาม (ดา่ นสุดท้าย) ของรา่ งกายและจัดเป็นภูมิคมุ้ กนั แบบจาํ เพาะ (Specific Immunity)
ระบบภมู ิคุ้มกัน (immunity system) ระบบนาํ้ เหลือง (Lymphatic System) หนา้ ท่ขี องระบบน้ําเหลอื ง v นาํ ของเหลวที่อย่รู ะหว่างเซลลก์ ลบั เข้าสรู่ ะบบหมุนเวียน เลอื ด v ดูดซมึ สารอาหารประเภทไขมนั บริเวณลาํ ไส้เล็ก v เป็นสว่ นหนึ่งของระบบภมู ิคุ้มกนั ร่างกาย สว่ นประกอบของระบบนํ้าเหลอื ง v นํ้าเหลอื ง v หลอดน้าํ เหลอื ง อวยั วะนํา้ เหลอื ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท v อวยั วะนา้ํ เหลอื งปฐมภมู ิ : ไขกระดกู และ ตอ่ มไทมัส v อวัยวะน้าํ เหลอื งทุติยภมู ิ : ม้าม ตอ่ มนํ้าเหลือง และต่อมทอนซลิ
ระบบภูมิคมุ้ กัน (immunity system) • นา้ํ เหลือง (Lymph) คอื ของเหลว ไม่มสี ที ีซ่ ึมผ่าน ผนงั หลอดเลอื ดฝอยออกมาอยู่บรเิ วณช่องว่าง ระหวา่ งเซลล์ ซึ่งของเหลวดังกล่าวจะเคล่ือนที่เข้าสู่ หลอดนํา้ เหลอื งตอ่ ไป นา้ํ เหลอื งมสี ว่ นประกอบ คลา้ ยคลึงกบั เลอื ด แต่มีจํานวนและปรมิ าณโปรตนี น้อยกวา่ รวมทัง้ ไม่มเี มด็ เลอื ดแดงและเกล็ดเลือด • นา้ํ เหลืองจะไหลเข้าส่หู ัวใจหอ้ งบนขวาร่วมกับเลอื ด เสยี จากส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย ซงึ่ การไหลเวยี น ของนํ้าเหลืองภายในหลอดนา้ํ เหลืองจะอาศยั การหด ตัวของกลา้ มเน้ือทอ่ี ยู่รอบๆ โดยภายในหลอด นํ้าเหลอื งจะมลี นิ้ ก้ัน เพอื่ ควบคุมทศิ ทางการเคล่ือนท่ี ของนํ้าเหลืองใหไ้ ปในทศิ ทางเดียวกนั
ระบบภมู คิ มุ้ กนั (immunity system) • หลอดน้ําเหลือง (Lymphatic Vessels) หลอดน้ําเหลืองมหี ลายขนาด เป็น หลอดทม่ี ีปลายด้านหนงึ่ ตนั หลอดนํา้ เหลอื งบรเิ วณอก (Thoracic Duct) จะมี ขนาดใหญ่ทส่ี ุด ทาํ หนา้ ทล่ี าํ เลยี งนา้ํ เหลืองไปยังหลอดเลือดดําบรเิ วณไหปลาร้า (Subclavian Vein) เพอื่ สง่ เขา้ สู่หลอดเลือดดําใหญ่ (Vena Cava) ต่อไป
ระบบภมู คิ ุ้มกนั (immunity system) • อวยั วะนํา้ เหลือง แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท vอวยั วะน้ําเหลอื งปฐมภูมิ : ไขกระดกู และ ตอ่ มไทมัส vอวยั วะนาํ้ เหลอื งทตุ ยิ ภูมิ : มา้ ม ตอ่ มนาํ้ เหลือง และต่อมทอนซลิ
ระบบภมู คิ ุ้มกนั (immunity system) อวยั วะนา้ํ เหลืองปฐมภูมิ ไดแ้ ก่ ไขกระดกู และ ตอ่ มไทมัส • ไขกระดกู (Bone Marrow) เปน็ เนื้อเยอื่ ท่ี อยใู่ นโพรงกระดูก ทําหน้าท่ีสรา้ งเซลลเ์ ม็ด เลอื ดขาว และเม็ดเลอื ดแดง รวมทงั้ เกลด็ เลอื ดดว้ ย • ต่อมไทมัส (Thymus) เป็นอวยั วะนาํ้ เหลืองท่ีเปน็ ต่อมไร้ทอ่ (สรา้ งฮอร์โมนได)้ อยู่ตรง ทรวงอกรอบหลอดเลือดเอออร์ตา (Aorta) โดยหน้าที่ของต่อมไทมสั สรา้ งและพฒั นา เซลล์เมด็ เลอื ดขาวชนิดลมิ โฟไซต์ (Lymphocyte) ลมิ โฟไซต์ที่ไทมัสไมส่ ามารถต่อสู้กับ เชื้อโรคทเี่ ขา้ สู่ร่างกายได้ แต่เมือ่ โตเต็มทจ่ี ะเขา้ สู่ระบบ หมนุ เวยี นเลอื ดเพอื่ ไปยงั อวัยวะ นํา้ เหลอื งอน่ื ๆ และสามารถต่อสู้กับเช้อื โรคได้
ระบบภูมิคมุ้ กัน (immunity system) อวัยวะนาํ้ เหลอื งทุติยภูมิ ได้แก่ มา้ ม ตอ่ มนํา้ เหลืองและต่อม ทอนซิล • มา้ ม (Spleen) เป็นอวัยวะน้าํ เหลอื งท่มี ีขนาดใหญท่ ส่ี ุด มี ลกั ษณะนุ่ม สมี ่วงอยใู่ นช่องท้องด้านซา้ ยใต้กะบงั ลมติดกับ ด้านหลังของกระเพาะอาหาร ภายในม้ามมแี มโครฟาจ (Macrophage) และเมด็ เลือด แดงอยู่เป็นจํานวนมาก • มา้ ม มีหน้าท่ี ดังน้ี • กรองจุลนิ ทรีย(์ แบคทเี รยี )และสงิ่ แปลกปลอมออกจากเลือด • สร้างและทําลายเซลล์เมด็ เลอื ดขาว • ทําลายเซลลเ์ มด็ เลือดแดงที่หมดอายุแลว้ • เป็นอวยั วะเก็บสํารองเลือดไว้ใช้ในยามฉุกเฉนิ เช่นภาวะที่ร่างกาย สญู เสยี เลือดมาก
ระบบภูมคิ ้มุ กัน (immunity system) • ต่อมนาํ้ เหลือง (Lymph Node) มลี ักษณะค่อนข้างกลม มีหลากหลายขนาด กระจายตัว อยู่ภายในหลอดนาํ้ เหลือง ท่ัวร่างกาย พบมากตามบริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ เป็น ตน้ ซงึ่ ภายในต่อมนา้ํ เหลอื ง จะพบเซลล์เม็ดเลอื ดขาวอยู่ รวมกนั เปน็ กระจุก มลี กั ษณะคลา้ ยฟองน้าํ ต่อมนาํ้ เหลืองมหี นา้ ท่ี ดงั นี้ • กรองเช้อื โรคหรือส่งิ แปลกปลอมออกจากนํ้าเหลือง • ทาํ ลายแบคทีเรยี และไวรสั
ระบบภมู ิค้มุ กัน (immunity system) • ต่อมทอนซิล (Tonsils) มหี นา้ ท่ี ปกป้องไมใ่ ห้เช้ือ โรค หรอื สงิ่ แปลกปลอมเข้าสูห่ ลอด อาหารและ กลอ่ งเสียง มอี ยู่ 3 บริเวณ ดงั น้ี • บริเวณเพดานปาก • บริเวณคอหอย • บริเวณล้นิ
Search