3. การทดสอบการอา่ นออกเสียง ใช้เคร่ืองมือ คือ แบบทดสอบการอ่านและการสังเกต วิธีการอาจเริ่มต้นด้วย ก า ร ใ ห้ ผู้ เ รี ย น อ่ า น แ บ บ ท ด ส อ บ ก า ร อ่ า น ต า ม ที่ ค รู ผู้ วิ จั ย สร้างข้ึน จากน้ัน ครูผู้วิจัยใช้วิธีการสังเกต และบันทึกผล การสังเกตจากการอา่ นของผู้เรียน เช่น ผู้เรียนอา่ นออกเสียง อย่างไร ทาปากแบบไหน เป็นต้น ในขณะเดียวกันครูผู้วิจัย ต้องบันทึกผลท่ีได้จากการสังเกต และครูผู้วิจัยยังสามารถ แก้ไข หรืออธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจหลักการออกเสียง อย่างถูกวิธีได้ด้วย จากนั้น ให้บันทึกความเปลี่ยนแปลง ทเ่ี กดิ ขน้ึ หลังจากได้รวบรวมข้อมูลตามแผนวิจัยอย่างง่ายท่ีกาหนดเสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการและ ข้ันตอนของการเขยี นผลการวจิ ัยและการแปลผลของขอ้ มลู ทัง้ หมดที่ไดเ้ กบ็ มา ซึ่งจะกลา่ วไวใ้ นลาดับต่อไป คู่มือการทาวิจัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 37
เรือ่ งท่ี 4 การวิเคราะหแ์ ละแปลผลข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลผลข้อมูล เป็นขั้นตอนท่ีครูผู้วิจัยเก็บรวบรวมมาจาก ผู้เรียน โดยท่ัวไปจะยังไม่มีความหมาย จะต้องนามาวิเคราะห์และแปลความหมาย ซึ่งอาจทาได้หลายวิธี เช่น วิธี พรรณนาวิเคราะห์ วิธีการทางสถิติ หรือวิธีการเปรียบเทียบ เป็นต้น ท้ังน้ี วิธีการเปรียบเทียบสามารถทาได้ หลายลักษณะ เช่น เปรียบเทียบกับคะแนนเต็ม หรือเปรียบเทียบกับคะแนนเกณฑ์ ดังน้ี บุญชม ศรีสะอาด (2546 : 137) 1. การเปรียบเทียบกับคะแนนเต็ม ในการจัดการเรียนการสอนโดยท่ัวไป มุ่งให้ผู้เรียนบรรลุ การเรียนรู้ระดับสูงทุกคน หรือส่วนใหญ่ถ้าผู้เรียนทุกคนสอบได้คะแนนเต็มก็ถือว่าจัดการเรียนการสอนบรรลุ อดุ มการณ์เป็นส่ิงท่ีดีเลิศ จากกรณีตัวอย่างท่ี 1 หน้า 25 ปญั หาผู้เรียนมักจะเขียนสะกดคาผิด ครูผู้วิจัยควรใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ (Achievement Test) ที่เป็นผู้กาหนดเกณฑ์การประเมินข้ึนมาเอง เช่น ผู้เรียนจะ ผ่านการทดสอบได้ต้องเขียนสะกดคาหลังเรียนได้ถูกต้องร้อยละ 100 หมายถึง ผู้เรียนแต่ละคนต้องเขียน คาสะกดได้ถูกต้องทกุ คา จนไมม่ ีผเู้ รียนคนใดเขยี นสะกดคาผิด 2. การเปรียบเทียบกับคะแนนเกณฑ์ ในการจดั การเรียนการสอน ครผู ู้วจิ ยั ควรต้งั เกณฑ์ การแปล ความหมาย เชน่ เกณฑ์สอบผา่ นใชค้ ่าร้อยละ 80 หรือเกณฑท์ ีใ่ ช้พิจารณาผเู้ รยี นท่จี ะได้ผลการเรยี น ระดับดมี าก คือ รอ้ ยละ 80 - 100 ระดบั ดี คอื ร้อยละ 65 - 79 ระดบั ปานกลาง คือ รอ้ ยละ 50 - 64 เป็นต้น ตัวอย่างการวเิ คราะห์หาประสิทธิผลของสอื่ วิธีสอนหรือนวัตกรรม กรณีการวิจัยตัวอย่างที่ 1 หน้า 25 ครูผู้วิจัยพบว่า มีผู้เรียนท่ีเขียนสะกดคาผิด จานวน 5 คน จานวนคาที่เขียนผิด 40 คา กาหนดให้คะแนน คาละ 1 คะแนน เม่ือครูผู้วิจัยใช้แบบฝึกหัดเสริมทักษะและ กระบวนการเรียนการสอนแล้ว เพ่ือให้ทราบว่า ส่ือการเรียนการสอนหรือวิธีสอนหรือนวัตกรรมที่ ครูผู้วิจัย พัฒนาข้ึนมีประสิทธิผล (Effectiveness) ต่อการเรียนของผู้เรียนเพียงใด (ครูผู้วิจัย ควรเขียนพรรณนา บรรยากาศการจัดการเรียนการสอนว่าครูใช้วิธีการอย่างไร ก่อนนาเข้าสู่บทเรียนมีการทดสอบความรู้ผู้เรียน ก่อนหรือไม่ หากไม่มีการทดสอบก่อนเรียน ให้ครูผู้วิจัยนาช้ินงานของผู้เรียนที่เขียนผิด มาอธิบายไว้ในวิธีการ วิจยั วา่ การจัดการเสรมิ ทักษะการเขยี นสะกดคาครั้งน้ี ครูผู้วจิ ัยไดน้ าข้อมูลจากช้นิ งานของผู้เรียนมาจัดทาเปน็ แบบฝึกหัดหรือใบงาน จึงถือว่ามีการทดสอบความรู้ก่อนเรียนของผู้เรียนมาแล้ว จากนั้นจึงนาเข้าสู่บทเรียน มีคาอธิบายแนะนาการใช้แบบฝึกหรือใบงานเพ่ิมเติมอย่างไร นอกจากแบบฝึก หรือใบงาน แล้วมีการใช้สื่อ อย่างอื่นประกอบการสอนอีกหรือไม่ เช่น การอธิบายคาสะกดบนกระดานดา ระยะเวลาในการสอนใช้จานวน กี่ชั่วโมง จากนั้นจึงทาการทดสอบความรู้ของผู้เรียนหลังเรียน โดยมีวิธกี ารทดสอบความรู้ ครูผู้วจิ ัยทาอย่างไร เช่น ใช้แบบทดสอบ ใชว้ ธิ กี ารอ่านคาแล้วให้ผเู้ รยี นเขยี นลงในกระดาษคาตอบ เป็นตน้ คมู่ อื การทาวจิ ัยอย่างง่ายของครู กศน. 38
เม่ือกระบวนการจัดการเรียนการสอนส้ินสุดลง ครูผู้วิจัยต้องนาผลจากการทดสอบมาวิเคราะห์ หาประสิทธิผล จากการพิจารณาผลของการพัฒนา โดยการเปรียบเทียบจากจุดเริ่มต้นกับจุดสุดท้าย เช่น ระหวา่ งกอ่ นเรียนกบั หลังเรียน เพอ่ื เห็นพัฒนาการของผู้เรียน โดยใชแ้ บบทดสอบท่ีครูผู้วิจัยสร้างขึ้นไวล้ ่วงหน้า เรยี กว่า การทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test) และหลงั จากเรียนเร่ืองน้ันจบ ก็นาแบบทดสอบชดุ เดิมมาทดสอบกับ ผู้เรียนกลุ่มเดิม (Post - test) จากน้ัน นาผลการสอบทั้งสองครั้งมาเปรียบเทียบกัน โดยให้เขียนคะแนน หลังเรียนไว้ข้างหน้าคะแนนก่อนเรียน ผลการทดสอบหลังเรียน และก่อนเรียนของผู้เรียน โดยใช้แบบฝึกหัด เสริมทักษะ ปรากฏคะแนน ดงั นี้ ช่ือ - สกุล ผเู้ รยี น คะแนนหลังเรียน คะแนนกอ่ นเรียน (40 คะแนน) (40 คะแนน) 1. นาย ก 2. นาย ข 30 10 3. นาย ค 36 14 4. นาย ง 40 16 5. นาย จ 32 12 22 8 รวม 160 60 วิธีหาประสิทธิผลของส่ือ วิธีการ/นวัตกรรม วิธีการหาประสิทธิผลทาได้ 2 วิธี คือ การหา ประสทิ ธผิ ลเป็นกลุ่มกบั การหาประสทิ ธผิ ลรายบุคคล (ครูผู้วิจัยสามารถเลือกใชไ้ ด้อย่างใดอย่างหน่ึงหรือทั้งสอง อย่าง) 1. การหาประสทิ ธผิ ลเป็นกลุ่ม จากตาราง ผลรวมคะแนนหลังเรียนของผู้เรียน 5 คนเท่ากับ 160 ผลรวมคะแนนก่อนเรียน ของผู้เรียน 5 คน เท่ากับ 60 หาค่าคะแนนเต็มของแบบทดสอบ โดยนาจานวนผู้เรียน (5 คน) x คะแนนเต็ม (40 คะแนน) จากนนั้ นามาแทนค่าลงในสตู รดรรชนีประสทิ ธผิ ล ดัชนีประสิทธิผล = ผลรวมคะแนนทดสอบหลงั เรียน - ผลรวมคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน (จานวนผู้เรียน x คะแนนเตม็ ) - ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียน = = 160-60 (5x40) - 60 = 100 140 = .7143 คมู่ อื การทาวจิ ัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 39
แปลผลเป็นค่าร้อยละ โดยนา 100 คูณ .7143 เท่ากับ 71.43 แสดงว่าหลังใช้แบบฝึกหัดเสริม ทักษะของผูเ้ รยี นทัง้ กล่มุ มีคะแนนเพม่ิ ข้นึ รอ้ ยละ 71.43 การแปลผลท้ายตารางให้เขยี นลกั ษณะนี้ จากตารางการวิเคราะห์ประสิทธิผลของส่ือ วิธีการ/นวัตกรรมการแก้ปัญหาผู้เรียนเขียนคาสะกด ผิดของ กศน. ตาบลหน่ึง พบว่า ก่อนการสอนเสริม ผู้เรียนทั้ง 5 คนมีคะแนนก่อนเรียนรวมกัน 60 คะแนน เมื่อผ่านกระบวนการจัดการเรียนการสอนแล้วพบว่า ผู้เรียนท้ัง 5 คนมีคะแนนรวมกัน จานวน 160 คะแนน เมอ่ื วิเคราะห์ทางสถติ ิแลว้ พบวา่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของผ้เู รียนทั้งกลุ่มเพ่ิมขน้ึ รอ้ ยละ 71.43 2. การหาประสิทธิผลรายบุคคล ผลการทดสอบดรรชนีประสิทธิผลและร้อยละท่ีเพิ่มหลังเรียนจากก่อนเรียน จากตาราง การวเิ คราะห์ ดังนี้ ผเู้ รียน หลังเรียน ผลการทดสอบ คะแนนเพมิ่ ดรรชนี ร้อยละท่ีเพม่ิ ขน้ึ (40 คะแนน) ก่อนเรยี น ประสิทธผิ ล หลงั เรียนจาก (40 คะแนน) กอ่ นเรียน 1. นาย ก 30 10 20 0.666 66.66 2. นาย ข 36 14 22 0.733 73.33 3. นาย ค 40 16 24 0.846 84.60 4. นาย ง 32 12 20 0.714 71.40 5. นาย จ 22 8 14 0.437 43.70 ดชั นปี ระสิทธผิ ล = คะแนนทดสอบหลงั เรยี น - คะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนเต็ม - คะแนนทดสอบก่อนเรยี น ดชั นีประสทิ ธผิ ลนาย ก = 30-10 = 40-10 20 30 = 0.6666 คิดเป็นร้อยละท่ีเพ่ิมขึ้น โดยนา 100 x 0.6666 เท่ากับ 66.66 (คนอ่นื ๆ ก็ใชว้ ิธีการคานวณและนา ข้อมลู มาแปลผลเช่นเดียวกัน) วธิ ีการแปลผลคะแนนทา้ ยตาราง จากตารางวิเคราะห์ประสิทธิผลของผู้เรียนหลังเรียนจากก่อนเรียนรายบุคคล พบว่า หลังเรียน นาย ก มีคะแนนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียน 20 คะแนน คิดเป็นคะแนนท่ีเพิ่มข้ึนร้อยละ 66.66 (นาย ข - จ ก็ แปลผลตามคา่ ทไี่ ดเ้ ช่นเดยี วกัน) ค่มู อื การทาวิจัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 40
เร่ืองท่ี 5 การเขียนสรปุ ผลและการอภิปรายผลการวิจยั อย่างง่ายและขอ้ เสนอแนะ การเขียนสรุปผลการวจิ ยั การสรุปผลการวิจัยเป็นหัวใจสาคัญของการเขียนรายงาน เป็นการนาเสนอผลท่ีได้จากการ วิเคราะห์ข้อมูลตามขอบเขตเน้ือหาท่ีกาหนด (ขอบเขตเนื้อหา คือ รายละเอียดของเน้ือหาท่ีผู้วิจัยเขียนระบุไว้ ในการวิจัย และผู้วิจัยต้องไปเก็บรวบรวมข้อมูลมาให้ได้) ขอบเขตเน้ือหามาจากวัตถุประสงค์ของการวิจัย การสรุปผลการวิจัย เป็นการสร้างความเข้าใจเก่ียวกับผลการวิจัย ก่อนเข้าสู่การอภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การเขยี นสรปุ ผลการวิจยั เริม่ เขยี นจาก การสรุปการดาเนินการวิจัยก่อนวา่ เป็นอย่างไร วัตถุประสงค์อะไรแล้ว ตามดว้ ยผลการวจิ ัย (สรปุ เพ่อื ตอบวตั ถปุ ระสงค์ หรือนาเอาขอ้ มูลจากตารางวเิ คราะหข์ อ้ มูลมาสรุป) การเขียนสรุปผลการวิจัย เขียนจากสิ่งที่พบ โดยเขียนเรียงลาดับเป็นข้อ ๆ ได้ โดยเร่ิมจาก คุณลกั ษณะของผู้ตอบแบบสอบถาม และวัตถปุ ระสงค์ของการทาวิจยั เพือ่ ให้เข้าใจไดง้ า่ ย การเขียนอภปิ รายผลการวิจยั อยา่ งงา่ ยและขอ้ เสนอแนะ การอภิปรายผลการวิจัย การอภิปรายผลเป็นข้ันตอนที่สาคัญของการวิจัย การอภิปรายผลจะเน้นไปท่ีการอธิบายสิ่งท่ีพบ มากกว่าท่ีจะอ้างอิงจากทฤษฎหี ลัก แตท่ ั้งนี้การนาผลการวจิ ัยท่ีมีมาก่อนหน้า หรือแนวคิดท่ีมีมาเป็นส่วนเติม เต็มหรืออภิปรายเพิ่มเติมจะทาให้การอภิปรายผลมีน้าหนักมากขึ้น (มีความหนักแน่นทางวิชาการ) โดยเฉพาะ ความรู้หรือแนวคิดท่ีผู้วจิ ัยไดไ้ ปทบทวนมาก่อนท่ีจะเร่ิมการวจิ ัย ว่าความรู้เหล่าน้ันสอดคล้องกับปรากฏการณ์ ทผ่ี วู้ ิจัยค้นพบหรือไม่ ในการอภิปรายผลวจิ ัย ให้นาเอาข้อสรุปมากล่าวนา แล้วจึงหาเหตุผลมาอภิปราย โดยเหตุผลท่ี นามาอภิปรายควรเป็นเหตุผลที่กล่าวถึงความสาคัญของวธิ ีการแก้ปัญหา และที่สาคัญต้องเขียนให้สอดคล้อง กลมกลืน เห็นภาพชัดเจน และเข้าใจง่าย ตวั อยา่ งการอภิปรายผล “ปัญหาผูเ้ รียนมักจะเขียนสะกดคาผิด” ตวั อย่างที่ 1 หน้า 25 การแก้ปัญหาผู้เรียนขาดทักษะการเขียนสะกดคาที่ถูกตอ้ ง ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังจากผู้เรียน ผ่านการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ/ใบงาน ผู้เรียนท้ัง 5 คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงข้ึน จากการวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายกลุ่ม ผู้เรียนมีทักษะสูงขึ้นร้อยละ 71.43 สาหรับ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายบุคคลพบว่า นาย ก มีคะแนนเพ่ิมขึ้นจากการทดสอบหลังเรียน 20 คะแนน ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนาย ก เพ่ิมข้ึนร้อยละ 66.66 ที่เป็นเช่นนี้เนื่องมาจาก ครูผู้วิจัยได้จัดทาบันทึก หลังสอนภายหลังจากทาการสอนเสร็จส้ินลงแล้ว บันทึกหลังสอนจึงมีความสาคัญสาหรับการทาวิจัยของครู ผู้วิจัยเป็นอย่างยิ่ง หากครูผู้สอนมีการบันทึกหลังสอนทุกคร้ังโดยละเอียด จะช่วยให้สามารถหาหัวข้อในการทา วจิ ัยได้ สาหรับผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของผู้เรยี นทีเ่ กดิ ข้นึ มาจากการสรา้ งกรอบความคดิ ในการวิจัย ที่ครูผู้วิจัย คูม่ ือการทาวจิ ัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 41
ได้ศึกษามาจากแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง คือ แนวคิดการสอนแบบปฏิบัติการ ทฤษฎีการเรียนรู้ต่อเน่ือง ของธอร์นไดค์และการสร้างแบบฝึกหัดเสริมทักษะ โดยผ่านกระบวนการเรียนในกลุ่มที่ครูผู้วิจัยได้อธิบายถึง การใช้ภาษาไทย การสะกดคา ความหมายของคา ประกอบการใช้สื่อการเขียนการยกตัวอย่างบนกระดานดา การให้ผู้เรียนฝึกทักษะการอ่านและเขียนสะกดคา โดยครูผู้วิจัยได้ควบคุมกระบวนการจัดการเรียนการสอน ตามทฤษฎกี ารเรียนรอู้ ย่างเครง่ ครัด จึงนามาสูผ่ ลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของผูเ้ รยี นทสี่ งู ขน้ึ ข้อเสนอแนะ งานวิจัยจะสมบูรณ์ได้ ผู้วิจัยต้องมีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ว่าผู้ที่นาวิจัยช้ินน้ีไปศึกษาแล้วจะ นาผลที่ศกึ ษาไปใชใ้ ห้เกิดประโยชนอ์ ยา่ งไรกับหน่วยงาน หรือบคุ คลใด ขอ้ เสนอแนะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ ข้อเสนอแนะท่ัวไปกับข้อเสนอแนะงานวจิ ัยคร้ังต่อไป การเขียน น้ันควรนาผลการวิจัยเป็นตัวชี้นาข้อเสนอแนะ โดยเฉพาะผลการวิจัยท่ีมีค่าเฉล่ียสูงสุดหรือต่าสุดในแต่ละ รายด้าน รายข้อของประเดน็ ท่ศี ึกษา ข้อเสนอแนะท่ัวไปควรให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ข้อเสนอแนะทัว่ ไปตอ้ งเสนอใหห้ น่วยงาน หรือบุคคลท่ีเกี่ยวข้องนาไปสกู่ ารปฏิบตั ิ สาหรับข้อเสนอแนะงานวิจัยคร้ังต่อไป ควรเขียนจากการอ้างอิงถึงผลการวิจัยที่ได้ก่อนแล้ว เสนอแนะว่า ควรจะวิจัยอะไรต่อไป ผู้วิจัยอยากหรือต้องการศึกษาในประเด็นท่ีสาคัญ ๆ หรือประเด็นท่ี มองเห็นว่ามีปัญหาต่อไปและควรเสนอวิธกี ารวจิ ัย กระบวนการวิจัย ประกอบไปด้วย ทั้งน้ีบุคคลหรือหน่วยงาน ท่ีสนใจในประเด็นดังกล่าวจะได้นาไปอา้ งองิ เพอื่ ทาวจิ ยั ในครงั้ ต่อไป คู่มือการทาวจิ ัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 42
ตอนท่ี รูปแบบการเขียนรายงาน การนาเสนอ และการเผยแพร่ ผลการวจิ ัยอยา่ งงา่ ย สาระสาคัญ การเขียนรายงานการวิจัยอย่างง่าย เป็นการสื่อสารให้ผู้อ่ืนได้รู้ถึงข้ันตอนการทาวิจัยอย่างง่าย และ สามารถนาความรู้ไปใช้พัฒนางาน ไดอ้ ย่างเหมาะสม รวมถึงสามารถใช้เปน็ สื่อการเรียนรู้ สาหรับบุคคลท่ีสนใจ ในการเขียนรายงานการวจิ ัยอย่างง่าย มีองค์ประกอบหลักท่ีสาคัญ 8 หัวข้อ ได้แก่ 1) ชอื่ เรื่อง 2) ช่อื ผู้วจิ ัย 3) ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา 4) วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย 5) วิธีดาเนินการวจิ ัย 6) ผลการวิจัย 7) สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ และ 8) เอกสารอ้างอิง บรรณานุกรม และภาคผนวก ซึ่งการเขียน รายงานการวิจัยน้ี จะเป็นประโยชน์สาหรับการเผยแพร่ผลงานวิจัยอย่างง่าย เพื่อให้ครู กศน. สถานศึกษาหรือ หน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง สามารถนาผลงานวิจัยอย่างงา่ ยไปใช้ประโยชน์ หรือพัฒนาต่อยอดได้ นอกจากนี้ ยังเป็น การส่งเสริมและเปิดโอกาส ให้สามารถเผยแพร่ได้หลากหลาย และน่าสนใจ เช่น นาเสนอผลงานวิจัย ในการประชุมวิชาการของหน่วยงานต่าง ๆ การจัดนิทรรศการ การเผยแพร่ทางเว็บไซต์และเอกสารสิ่งพิมพ์ เป็นต้น วัตถุประสงค์ เพือ่ ใหค้ รู กศน. รู้ เขา้ ใจและสามารถเขยี นรายงานและเผยแพร่ผลงานวิจยั อย่างงา่ ยได้ ขอบขา่ ยเนอ้ื หา เรอื่ งท่ี 1 รูปแบบการเขยี นรายงานการวิจัยอย่างง่าย เรือ่ งที่ 2 การเผยแพร่ผลงานวิจยั อย่างง่าย คู่มอื การทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 43
เรอื่ งที่ 1 รปู แบบการเขยี นรายงานการวิจัยอย่างง่าย เม่ือผู้วิจัยได้ดาเนินการวิจัย และสรุปผลการทาวิจัยอย่างง่ายตามกระบวนการในตอนท่ี 3 แล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การเขียนรายงานการวิจัย ซ่ึงนับว่าเป็นส่ิงสาคัญท่ีครูผู้วิจัยเป็นผู้ค้นพบจากการดาเนินการ ตามกระบวนการวิจัย เพ่ือตอบประเด็นท่ีสนใจศึกษาหรือแก้ปัญหาให้กับผู้เรียน แล้วรายงานส่ิงท่ีค้นพบให้ ผอู้ า่ นงานวิจยั ได้รับรู้ นอกจากจะเปน็ ประโยชน์ในการศึกษาแล้ว ยังแสดงถึงความรู้ ความสามารถเชิงวิชาการ ของครูผูส้ อนอกี ดว้ ย ท้งั นี้ การเขยี นรายงานผลการวจิ ยั โดยทั่วไป จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1. การเขียนรายงานผลการวิจัยเต็มรูป ซ่ึงจะเขียนให้เห็นถึงรายละเอียดในทุกข้ันตอน มักเป็น รายงานผลการวิจัยท่ีมีจานวนหน้าหลายสิบหน้า และต้องเขียนตามแบบมาตรฐานสากลที่นิยมเขียนกัน รายงานผลการวจิ ัยลักษณะนอ้ี าจเรียกว่า “รายงานผลการวจิ ัยแบบเป็นทางการ” มกั เขียนกัน 5 บท 2. การเขียนรายงานผลการวิจัยอย่างย่อ ๆ มักเขียนสรุปให้เห็นถึงสาระสาคัญ โดยไม่อิงกับ รูปแบบสากลมากนัก ลดความเข้มข้นของการเขียนเชิงวิชาการลง รายงานผลการวิจัยลักษณะนี้ จะเขียนเพยี ง ไม่กี่หน้าและเรียกวา่ “รายงานผลการวจิ ัยแบบไม่เปน็ ทางการ” ในการเขียนรายงานการวิจัยในที่นี้ ไดน้ าเสนอ รูปแบบการเขียนรายงานการวิจัยอย่างง่าย ประกอบด้วย 8 หัวข้อ พร้อมยกตัวอย่าง เพื่อให้ครูผู้วจิ ัยสามารถ นาไปปฏิบัตไิ ด้ องค์ประกอบของการเขยี นรายงานการวจิ ัยอยา่ งงา่ ย ประกอบด้วย 1. ชื่อเร่ือง 2. ช่อื ผวู้ ิจยั 3. ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา 4. วตั ถุประสงค์ของการวิจยั 5. วธิ ดี าเนินการวิจยั 6. ผลการวิจัย 7. สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 8. เอกสารอา้ งอิง บรรณานุกรม และภาคผนวก การเขยี นรายงานการวจิ ัยอยา่ งงา่ ยทีด่ ี ควรคานึงถงึ สิ่งตอ่ ไป 1. เน้อื หาสาระทนี่ ามาเขียน ต้องมาจากการศกึ ษาค้นคว้า และมคี วามถกู ต้องตามหลกั วิชาการ 2. เน้ือหาสาระในแต่ละหัวข้อ ตอ้ งมีความเชอื่ มโยงกัน โดยยึดวัตถุประสงค์ของการวจิ ัยเป็นหลัก ในการเรียบเรยี ง 3. ควรใช้ภาษาทเ่ี ขา้ ใจงา่ ย ชัดเจน ตรงตามวัตถุประสงค์ และไม่วกวน 4. รายงานการวจิ ยั อย่างง่าย ควรมสี าระสาคัญครบถ้วน สมบูรณ์ 5. ผ้เู ขียนรายงานการวจิ ัยอยา่ งง่าย ต้องเสนอผลการวจิ ยั อยา่ งตรงไปตรงมา ไมบ่ ิดเบือนข้อเทจ็ จรงิ ทีไ่ ด้ศกึ ษาหรือค้นพบ ค่มู อื การทาวจิ ยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 44
แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ยั อย่างงา่ ย 1. ช่ือเรอ่ื ง เขยี นให้ส่อื ความหมายใหช้ ัดเจน มีความหมายเฉพาะเจาะจงในสิ่งที่ศึกษา ระบวุ ่าศึกษาอะไร ศึกษา กับใคร ศึกษาอย่างไร (ด้วยวิธีการหรือนวัตกรรมอะไร) ทั้งนี้ ช่ือเร่ือง ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือ สอดคลอ้ งกับปัญหาการวจิ ยั ซึ่งสามารถดูตัวอยา่ งและวิธีการเขยี นชอื่ เรอื่ งในตอนท่ี 3 2. ชอื่ ผวู้ ิจยั ระบชุ ่อื ผทู้ าวจิ ยั และสถานศึกษาของผูว้ จิ ัย (ในที่นี้ หมายถงึ ชอ่ื ครูผู้สอนที่ทาวจิ ยั ) 3. ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา เขียนอธิบายความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา โดยชี้ให้เห็นถึงสภาพปัญหาในประเด็น ท่ีผู้วิจัยสนใจศึกษา เขียนให้ตรงประเด็น กระชับ เป็นเหตุเป็นผล โดยเขียนแสดงให้ผู้อ่านได้รู้ว่า ทาไมต้อง ทางานวิจัยอยา่ งงา่ ยชน้ิ นี้ มีที่มาและความสาคัญอย่างไร สภาพปัญหาท่ีเป็นอยู่ในปจั จบุ ันเป็นอย่างไร กอ่ ให้เกิด ปญั หาอะไรบ้างหรือสภาพดังกล่าว ถ้าได้รับการปรับปรุงหรือพัฒนาให้ดขี ึ้นกว่าท่ีเป็นอยู่ จะก่อให้เกิดประโยชน์ อะไรบ้าง และใคร คือผู้ได้ประโยชน์ มีแนวคิดอย่างไรในการแก้ปัญหา หรือแนวทางการพัฒนาปรับปรุงแก้ไข อย่างไร และหากมีการอ้างอิงเอกสารท่ีศึกษา จะทาให้ข้อมูลน้ัน ๆ มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น นอกจากนี้ ต้องอธิบายและชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปัญหาที่แท้จริงท่ีกาหนดมาเป็นหัวข้อของการวิจัยอย่างง่ายนั้น ได้มา อย่างไร เช่น จากการสังเกต การสัมภาษณ์ ผลการเรียน การพดู คุย เป็นต้น ซ่ึงหากมีข้อมูลเชิงปรมิ าณสนับสนุน ก็จะทาให้ปัญหาน้ัน ๆ มีน้าหนักมากข้ึน และวิธีการเขียนความเป็นมาและความสาคัญของปัญหาน้ี สามารถ ศกึ ษาได้จากตัวอยา่ ง และวิธีการกาหนดและวเิ คราะหป์ ัญหาในตอนท่ี 3 4. วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั การเขยี นวตั ถุประสงคข์ องการวิจัย เป็นการระบใุ ห้ผู้อา่ นได้รู้ว่า งานวจิ ัยในครั้งน้ี ผวู้ ิจัย ต้องการทา อะไร กับใคร จุดหมายปลายทางหรือผลลัพธ์สุดท้าย ท่ีผู้วิจัยต้องการคืออะไร ซ่ึงตามปกติแล้ว ไม่ควรกาหนด วัตถุประสงค์หลายข้อ เน่ืองจากจะมีผลถึงการสรุปผลการวิจัย และอย่าลืมว่าการวิจัยอย่างง่ายตามคู่มือนี้ วัตถปุ ระสงค์ คือ เพอ่ื แก้ไขปญั หาของผู้เรยี นท่เี กดิ จากการเรียนการสอนเพ่ือการพัฒนาผู้เรยี นเทา่ น้ัน 5. วธิ ีดาเนินการวิจัย การเขยี นวิธกี ารดาเนนิ การวจิ ยั อย่างง่าย ควรครอบคลุมหัวขอ้ ดังตอ่ ไปนี้ 5.1 กลมุ่ เป้าหมายที่ต้องการวจิ ัย ระบุให้ชัดเจนวา่ คือใคร จานวนเท่าไร ซึ่งหมายถึง ประชากร และกลมุ่ ตวั อย่าง ตามทีไ่ ดอ้ ธิบายไว้ในตอนท่ี 3 5.2 แหล่งข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมข้อมูล ควรระบุว่าเก็บจากแหล่งใดบ้าง ขึ้นอยู่กับขอบข่าย ที่กาหนดไว้ในวิธีดาเนินการวิจัย โดยปกติจะหมายถึงห้องเรียน หรือชั้นเรียน และนอกจากน้ี อาจหมายถึงบ้าน หรือชมุ ชนของผู้เรยี นทีต่ ้องไปเก็บขอ้ มูลด้วย คมู่ ือการทาวจิ ยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 45
5.3 เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัย ควรระบใุ หช้ ัดเจนว่าการวิจัยครั้งนี้ ใช้เครื่องมืออะไรบา้ ง ในการ เก็บรวบรวมข้อมูล หรือแก้ไขปัญหา โดยแยกเป็นเคร่ืองมือท่ีเป็นนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น ชุดฝึกทักษะ สื่อ หรือ วิธีการเรียนการสอน และเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต และแบบบนั ทกึ 5.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ระบุใหช้ ัดเจน ว่าผู้วิจัยดาเนนิ การวจิ ัยและรวบรวมข้อมูลอยา่ งไร 5.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ควรระบุให้ชัดเจนว่าผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร ใช้เชิงปริมาณ หรอื เชงิ คุณภาพ หรือทัง้ สองอยา่ ง 6. ผลการวิจัย เป็นการเขียนสรุปผลการวิจัย ท่ีได้จากการวิเคราะห์ข้อมูล ตามขอบเขตเนื้อหาท่ีกาหนด และ เนื้อหาท่ีนาเสนอ ต้องย้อนกลบั ไปตอบวตั ถุประสงคข์ องการวิจัยให้ครบทุกขอ้ 7. สรุปผล อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ 7.1 สรุปผล ควรเขียนในลักษณะการตีความจากข้อมูลให้สั้น กระชับ เข้าใจง่าย ไม่นาเสนอ ตวั เลขทางสถติ ทิ ซี่ ับซ้อน และเรยี งลาดบั ตามวตั ถุประสงค์ของการวิจยั 7.2 อภปิ รายผล เป็นการชี้แจงใหเ้ ห็น ว่าผลการวิจัยที่ได้ สอดคล้องหรือขัดแยง้ กับหลักการ ทฤษฎี หรอื ผลการวิจยั ท่ผี อู้ นื่ ทาเอาไว้ และควรเขียนแยกอภปิ รายเป็นรายประเดน็ 7.3 ข้อเสนอแนะ ต้องเป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อค้นพบของการวิจัยเท่าน้ัน โดยท่ัวไป ข้อเสนอแนะมี 2 หวั ขอ้ คือ ขอ้ เสนอแนะเพื่อการนาผลการวิจัยไปใช้ และขอ้ เสนอแนะในการทาวจิ ัยครงั้ ต่อไป 8. เอกสารอา้ งอิง บรรณานุกรม และภาคผนวก 8.1 เอกสารอ้างอิง ระบุถึงเอกสารต่าง ๆ งานวิจัย ตารา บทความต่าง ๆ รวมไปถึงบท สัมภาษณ์หรือข้อมูลอื่น ๆ ทผี่ ู้วจิ ัยนามาอ้างอิง เป็นการรวมแหล่งอา้ งอิงทุกรายการ ทไี่ ด้อ้างองิ ไวจ้ รงิ ในเน้ือหา งานวิจัย ค่มู ือการทาวิจยั อยา่ งง่ายของครู กศน. 46
วธิ เี ขยี นอ้างองิ มี 2 วิธี คือ 1. การอ้างอิงท่ีต้องการเน้นเนื้อหาสาระ หรือแนวคิดบางส่วน หรือต้องการบอกที่มา อย่างชดั เจน เพ่ือช้เี ฉพาะมากขึ้น ให้ใชข้ ้อความข้ึนต้น แล้วตามด้วยชือ่ ผู้แตง่ เครื่องหมายจุลภาค ( , ) ปีที่พิมพ์ เคร่อื งหมายทวิภาค ( : ) และเลขหนา้ ทีอ่ า้ ง โดยทั้งหมดอยใู่ นวงเลบ็ การอ้างอิงลักษณะเช่นน้ี นิยมใช้เพ่ือทาให้ ข้อความที่ผู้เขียนกล่าวมาข้างต้นมีน้าหนักและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยภาษาท่ีเขียนน้ันเป็นภาษา ของผ้เู ขยี นเองเพียงแต่นาแนวคิดบางส่วนมาจากรายการทอี่ า้ งไว้ เช่น หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้น้าหนักในการเรียนรู้ เรื่อง การฟัง ดู พูด อ่านและเขียนไว้มาก และคาดหวังให้ผู้เรียนปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการฟัง ดู พูด อา่ นและเขียน และสามารถสรุปสาระสาคัญของเรื่องที่ฟงั ได้ มีนิสัยรักการอา่ น และจดบันทึกอย่าง สมา่ เสมอ (สานักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั , 2555 : 92-98) 2. การอ้างอิงที่ต้องการอ้างชื่อผู้แต่งเอกสาร มากกว่าเนื้อหา หรือให้ความสาคัญแก่ผู้แต่ง มากกวา่ เนื้อหา ให้ระบุชื่อผู้แต่งไว้นอกวงเล็บ ตามด้วยปที ่ีพิมพ์ ค่ันดว้ ยเคร่ืองหมายทวภิ าค ( : ) และเลขหน้า ท่ีอา้ งไวใ้ นเครือ่ งหมายวงเล็บ ตามดว้ ยข้อความที่ต้องการอา้ งอิง เชน่ สุภาภรณ์ มนั่ เกตวุ ิทย์ (2544 : 30) ......................................................................... ธีระพฒั น์ ฤทธ์ิทอง (2547 : 47) .............................................................................. 8.2 บรรณานุกรม เป็นส่วนท่ีแสดงรายชื่อส่ือต่าง ๆ ท่ีผู้วจิ ัยใชเ้ ป็นหลักฐานอา้ งอิง ถือเปน็ จริยธรรมของนักวิจัยเมื่อนาข้อความ แนวคิดของผู้อ่ืน มาใช้กล่าวอ้างในการทาวิจัย นอกจากจะเขียนอ้างอิง ในเนอื้ หาของงานวิจัยแลว้ ต้องเขียนไว้ในบรรณานกุ รมด้วย คมู่ อื การทาวจิ ัยอย่างง่ายของครู กศน. 47
วธิ เี ขยี นบรรณานุกรม ให้เขียนเรียงลาดับตามอกั ษรตัวแรกที่ปรากฏ กรณีมีผู้เขียนคนเดียวกัน มากกวา่ 1 เล่ม ให้เรียงลาดับตามปีที่พิมพ์ (ก่อน-หลัง) โดยไม่ต้องระบุช่ือผู้เขียนซ้าอีก แต่ให้ขีดเส้นยาว (10 เคาะ) แทนการ พิมพ์ชื่อผู้เขียนท่ีซ้ากัน ในคู่มือเล่มน้ี จะกล่าวถึงรูปแบบการเขียนบรรณานุกรม จากหนังสือภาษาไทย วารสาร และเอกสารอิเล็กทรอนกิ ส์ ไวด้ ังน้ี 1) บรรณานกุ รมจากหนังสือภาษาไทย ช่อื ผู้เขยี น.//ปีท่ีพมิ พ์.//ช่อื หนังสือ.//ครั้งทพ่ี มิ พ์ (ถา้ มี).//เมืองที่พิมพ/์ :/ผรู้ บั ผดิ ชอบการพมิ พ์ (โรงพมิ พ์ สานักพมิ พ)์ ตัวอย่าง บุญชม ศรีสะอาด. (2543). การวิจัยเบอื้ งต้น. พมิ พค์ รั้งท่ี 7. กรุงเทพฯ : สวุ ีริยาสาส์น. __________ . (2546). การวิจัยสาหรับครู. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคเหนือ. (2552). คู่มือการทาวิจัย อย่างง่าย. อุบลราชธานี : ยงสวสั ด์อิ ินเตอรก์ รุ๊ป. 2) บรรณานกุ รมจากวารสาร ช่ือผู้เขียน./ชอื่ บทความ./ช่อื วารสาร./ปีท(ี่ หรอื เลม่ ทหี่ รือฉบบั ท่ี/วัน (ถ้ามี) เดอื น ปี,/เลขหนา้ . ตวั อยา่ ง วิทยาคม พิศาล. “การพัฒนาระบบงานศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์”. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. 43(3) กรกฎาคม 2547, 142 – 153. 3) บรรณานกุ รมจากเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือเว็บไซต์ ชือ่ ผูเ้ ขยี น.//ปที เี่ ขียน.//ชอื่ บทความ (ออนไลน์).//สืบคน้ จาก/:/ชอื่ เวบ็ ไซต์ [วัน เดอื น ปี ที่สืบค้น]. ตัวอยา่ ง พักตร์พร้ิง แสงด.ี (ม.ป.ป.). การนาเสนอผลงานด้วยโปสเตอร์ (ออนไลน)์ . สืบค้นจาก : http://www.agri.ubu.ac.th/~saran/1213461/text.doc [24 กมุ ภาพันธ์ 2559]. 8.3 ภาคผนวก เปน็ ส่วนหน่ึงท่ีจะนาเสนอตวั อย่างของเคร่ืองมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการวจิ ัยอย่างง่าย ตัวอยา่ งแสดงการวเิ คราะห์ข้อมลู หรอื อ่นื ๆ ทผ่ี ูว้ จิ ัยต้องการนาเสนอเพ่มิ เติมให้เห็นทมี่ าของงานวิจยั คู่มือการทาวิจยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 48
ตัวอยา่ งรายงานการวจิ ยั อยา่ งงา่ ย ตวั อย่างที่ 1 การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ภาษาไทยของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชยี งคา จงั หวดั พะเยา โดยใช้ชดุ ฝึกทักษะการฟัง อ่าน พดู และเขยี นภาษาไทยควบคู่กบั การใชภ้ าษาไทล้ือ ตวั อยา่ งที่ 2 ผลการใช้แบบฝกึ ทักษะการเขยี นสะกดคา รายวิชาภาษาไทย เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคา ของผเู้ รียนระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย กศน.ตาบลหา้ งฉัตร อาเภอหา้ งฉตั ร จังหวดั ลาปาง ตัวอยา่ งที่ 1 1. ชือ่ เรอื่ ง การพฒั นาทกั ษะการเรยี นรภู้ าษาไทยของผเู้ รียน ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชยี งคา จงั หวัดพะเยา โดยใชช้ ดุ ฝกึ ทกั ษะการฟงั อา่ น พูด และเขยี นภาษาไทยควบคู่กบั การใชภ้ าษาไทลือ้ 2. ชอ่ื ผ้วู จิ ัย นางสาวพรี ะพรรณ ฉันทะ ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล 3. ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งจัดการศึกษา เพ่ือตอบสนองอุดมการณ์การจัดการศึกษาตลอดชีวิต และการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ตามปรัชญา “คิดเป็น” เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและสังคม มีการบูรณาการอย่างสมดุล ระหว่างปัญญาธรรม ศีลธรรมและวัฒนธรรม มีหลักการข้อหน่ึงท่ีต้องการจะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิต โดยตระหนักว่าผู้เรียนมีความสาคัญ สามารถพัฒนาตนเองได้ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ โดยมีจุดหมาย เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้พ้ืนฐานสาหรับการดารงชีวิตและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (สานักงาน สง่ เสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั , 2553 : 1-2) กศน. ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา มีบทบาทหน้าที่ในการจัดการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ให้แก่ประชาชนในพน้ื ท่ี ตาบลหย่วน อาเภอเชยี งคา จังหวัดพะเยา ซึ่งประชาชน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไทล้ืออาศัยอยู่ มีการสื่อสารโดยใช้ภาษาท่ีมีความแตกต่างกันท้ังภาษาไทยและภาษาไทลื้อ จึงทาให้เกิดปัญหาในการสื่อสารระหว่างจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยเฉพาะรายวิชาภาษาไทย ซึ่งเป็นรายวิชาบังคับหน่ึงในสาระ ความรพู้ ้นื ฐานของหลกั สตู ร ท่ีให้น้าหนกั ในการเรยี นรู้เร่อื ง การฟัง ดู พดู อ่านและเขียนไว้มาก และคาดหวังให้ ผู้เรียนปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการฟัง ดู พูด อ่านและเขียน แล้วสามารถสรุปสาระสาคัญของเร่ืองที่ฟังได้ คู่มือการทาวจิ ัยอย่างง่ายของครู กศน. 49
ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน และจดบันทึกอย่างสม่าเสมอ (สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอัธยาศยั , 2555 : 92 - 98) ทผี่ า่ นมาผู้วจิ ัยจะใชภ้ าษาไทยสอ่ื สารกับกลุม่ ผู้เรียนทกุ คน แต่ผู้เรียนที่เป็นไทล้ือจะไม่ใชภ้ าษาไทย ส่ือสารกับผู้วิจัย จากการสังเกตพบว่า สาเหตุท่ีผู้เรียนไม่สื่อสารเป็นภาษาไทย เน่ืองจากพูดภาษาไทยไม่คล่อง และออกเสียงได้ไม่ชดั เจน โดยเฉพาะคาที่มีพยัญชนะ “ช” และ “ด” นอกจากน้ี คาในภาษาไทยที่มีตวั การันต์ ผู้เรียนกเ็ ขียนไมไ่ ดเ้ ชน่ กนั ปญั หาดงั กล่าวส่งผลกระทบในการทากิจกรรมกลุ่มของผู้เรียน จึงต้องสอนภาษาไทย โดยการส่ือสารสองภาษา ท้ังภาษาไทยและไทล้ือควบคู่กันไป เนื่องจากผู้วิจัยสามารถส่ือสารภาษาไทล้ือได้ดี ช่วงแรกจึงทดลองใช้ภาษาไทล้ือสื่อความหมายควบคู่กับภาษาไทยระหว่างการสอน และสังเกตพบว่าผู้เรียน สนใจเรียน เข้าใจเนื้อหา และสามารถปฏิบัติตามได้มากขึ้น พร้อมทั้งได้พัฒนาชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทยเป็นสือ่ ประกอบในการจดั การเรียนรู้ดว้ ย ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ควบคู่กับการใช้ภาษาไทล้ือในการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ เรยี นร้แู ละสื่อสารภาษาไทยไดท้ ้ังการฟงั อ่าน พูด และเขียน 4. วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 1. เพ่ือศึกษาผลการพัฒนาทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ของผู้เรียน ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา โดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขยี นภาษาไทยควบคกู่ ับการใช้ภาษาไทล้ือ 2. เพอื่ ศึกษาความคดิ เห็นของผูเ้ รียนตอ่ การใช้ชุดฝึกทกั ษะการฟัง อ่าน พูดและเขยี นภาษาไทย 5. วิธีดาเนนิ การวจิ ยั กลมุ่ เป้าหมาย ประชากร ผู้เรียน กศน. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ท่ีลงทะเบียนเรียนวิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศกึ ษา 2558 กศน.ตาบลหยว่ น อาเภอเชยี งคา จังหวดั พะเยา ทเี่ ปน็ ชาวไทยและชาวไทลอ้ื รวม 75 คน กลมุ่ ตวั อยา่ ง ผู้เรียน กศน. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ท่ีลงทะเบียนเรียนวิชาภาษาไทย ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศกึ ษา 2558 กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา ทีเ่ ปน็ ชาวไทลอื้ จานวน 35 คน เครอ่ื งมือ เครอ่ื งมือที่ใช้ในการศกึ ษาคร้ังน้ี ประกอบดว้ ย 1) เครื่องมือที่ใช้พัฒนาผู้เรียน ได้แก่ ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย จานวน 1 ชดุ มี 6 แบบฝึก ดังน้ี แบบฝึกท่ี 1 การฟังและการอา่ นออกเสยี งคาศัพท์ จานวน 100 คา คมู่ ือการทาวจิ ัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 50
แบบฝกึ ที่ 2 การฟงั และการอ่านออกเสียงเป็นประโยคส้ัน ๆ จานวน 20 ประโยค แบบฝึกที่ 3 การอา่ นเนอื้ เรื่อง ประเพณขี องท้องถ่นิ จานวน 1 เรือ่ ง แบบฝกึ ที่ 4 การพดู ตามบทสนทนาในชีวติ ประจาวัน จานวน 3 บท แบบฝกึ ท่ี 5 การเขยี นคาศพั ทท์ ่มี ตี ัวการันต์เพ่อื ให้ความหมาย จานวน 10 คา แบบฝึกที่ 6 การเขียนคาศัพท์ที่มีตัวการันต์เพื่อสื่อความหมายในประโยค จานวน 10 ประโยค 2) เครอ่ื งมือทใี่ ชเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู ไดแ้ ก่ (1) แบบทดสอบก่อนเรียน เป็นแบบทดสอบปรนยั เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ขอ้ (2) แบบทดสอบหลังเรยี น เป็นแบบทดสอบปรนยั เลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ข้อ เกณฑ์การตัดสินผลการประเมินทักษะการฟัง อ่าน พูดและเขียนภาษาไทย ใช้เกณฑ์ ท่ีปรับมาจากเกณฑ์การตัดสินผลการเรียนรายวิชา ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย, 2553 : 42) มีระดบั คุณภาพ 3 ระดบั ดงั นี้ คะแนนร้อยละ 70 - 100 หมายถึง ดี คะแนนร้อยละ 50 - 69 หมายถงึ ปานกลาง คะแนนร้อยละ 0 - 49 หมายถึง ตา่ กว่าเกณฑ์ (3) แบบสอบถามความความคดิ เห็นของผ้เู รียนต่อการใช้ชดุ ฝกึ ทกั ษะการฟงั อา่ น พูด และ เขยี นภาษาไทย เปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดับ จานวน 1 ฉบบั มี 9 ขอ้ ข้ันตอนการสร้างเครอื่ งมือ 1) ศกึ ษาหลักการ วธิ กี ารสรา้ งเครื่องมอื จากเอกสารและงานวิจัยที่เกีย่ วข้อง 2) สรา้ งชุดฝกึ ทกั ษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย แบบทดสอบก่อน - หลงั เรียน และ แบบสอบถามความคิดเห็นของผ้เู รียนต่อการใช้ชดุ ฝึกทักษะการฟงั อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย 3) นาเครอื่ งมอื ท่ีสรา้ งข้ึน ไปให้ที่ปรึกษาตรวจสอบความถกู ต้อง เหมาะสม ก่อนนาไปใช้ ดงั น้ี ชดุ ฝึกทกั ษะการฟงั อา่ น พูด และเขียนภาษาไทย - ตรวจคุณภาพชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย โดยตรวจสอบความ สอดคลอ้ งของเน้ือหากบั จุดประสงค์การเรียนรู้ - พิจารณาความเหมาะสมของเกณฑ์การให้คะแนนในแบบฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขยี นภาษาไทย โดยตรวจสอบประเดน็ ระดบั คะแนนและคาอธบิ ายคณุ ภาพใหเ้ หมาะสม แบบทดสอบก่อน/หลงั เรยี น ตรวจคุณภาพแบบทดสอบก่อน - หลงั เรยี น โดยตรวจสอบความสอดคล้องของประเดน็ คาถามกับจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ค่มู ือการทาวิจยั อย่างง่ายของครู กศน. 51
แบบสอบถามความคิดเห็น พิจารณาความสอดคล้องของแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการใช้ชุดฝึก ทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย โดยตรวจสอบความสอดคล้องของประเด็นคาถามกับวัตถุประสงค์ ของการวจิ ยั อยา่ งงา่ ย 4) ปรบั ปรุง แก้ไขเครอ่ื งมือตามคาแนะนาของที่ปรึกษา กอ่ นนาไปใช้กับกลมุ่ เปา้ หมาย การเก็บรวบรวมข้อมลู การเก็บรวบรวมขอ้ มูลครั้งนี้ ผูว้ จิ ัยดาเนินการตามขั้นตอน ต่อไปน้ี 1. ผูว้ จิ ัยนาชุดฝึกทักษะการฟัง อา่ น พดู และเขียนภาษาไทย ไปใช้จัดการเรียนการสอนกับผู้เรียน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย จานวน 35 คน ด้วยตนเอง ในเดือนสิงหาคม 2558 เป็นเวลา 5 คร้ัง ๆ ละ 3 ช่ัวโมง และเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดงั นี้ 1) ทดสอบก่อนเรยี น โดยใช้แบบทดสอบปรนยั เลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ขอ้ 2) ทาแบบฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทยของผู้เรียน จานวน 6 แบบฝึก และใหค้ ะแนน ในแต่ละข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้ ดงั นี้ (1) ผู้วิจัยให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงคาศัพท์ในแบบฝึกท่ี 1 คาใดท่ีผู้เรียนอ่านออกเสียง ไม่ชัดเจน ผู้วิจัยจะอ่านออกเสียงภาษาไทยท่ีถูกต้องให้ฟัง พร้อมทั้งออกเสียงภาษาไทล้ือควบคู่ไปด้วย และให้ ผเู้ รียนอา่ นซา้ ๆ และฝกึ อ่านออกเสียงกนั เองในกลุ่มยอ่ ย จนกระท่ังอา่ นไดค้ ล่องแลว้ จงึ ใหผ้ ู้เรียนสลบั กันมาอ่าน ใหผ้ ้วู จิ ยั ฟังทีละกลมุ่ (2) ผู้วิจัยให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงคาในประโยคส้ัน ๆ ตามแบบฝึกท่ี 2 ถ้าผู้เรียนอ่าน ออกเสียงคาใดในประโยคไม่ชัดเจน ผวู้ ิจัยจะอ่านนา และให้ผู้เรียนอ่านตาม โดยออกเสียงภาษาไทยหลาย ๆ ครั้ง พร้อมทั้งออกเสียงภาษาไทลื้อควบคู่ไปด้วย แล้วให้ผู้เรียนฝึกอ่านเป็นกลุ่ม เม่ืออ่านได้คล่องแล้ว ผู้วิจัยจึงให้ ผู้เรียนออกมาอา่ นออกเสียงหน้าหอ้ งเรียนทีละกลมุ่ ให้ผวู้ ิจัยและเพื่อน ๆ ฟัง (3) ผู้วิจัยกับผู้เรียนอ่านเนื้อเรื่อง ประเพณีของท้องถ่ิน ตามแบบฝึกท่ี 3 พร้อม ๆ กัน ในรอบแรก และให้ผู้เรียนอ่านเองพร้อม ๆ กัน ผู้วิจัยบันทึกคาที่ผู้เรียนอ่านออกเสียงไม่ชัดเจน และอ่านนา ให้ผเู้ รียนอ่านตามหลาย ๆ ครั้ง จนกระทง่ั ผู้เรยี นอ่านคล่องแลว้ จึงให้อ่านออกเสยี งให้ผวู้ ิจัยฟงั ทลี ะคน (4) ผู้วจิ ยั ใหผ้ ้เู รียนจับคู่กันฝึกอา่ นบทสนทนาในชวี ติ ประจาวนั จานวน 3 บท ตามแบบฝึก ท่ี 4 แล้วให้ผู้เรียนทั้งคอู่ อกมาแสดงบทบาทสมมติตามบทสนทนา หนา้ ห้องเรียน (5) ผู้วิจัยอธิบายให้ความรู้เรื่องคาท่ีมีตัวการันต์ แล้วให้ผู้เรียนทาแบบฝึกที่ 5 และ 6 แล้ว ผู้วิจัยจึงเฉลยคาตอบท่ีถูกต้อง โดยให้ผู้เรียนแลกเปล่ียนกันตรวจคาตอบในแบบฝึกตามทค่ี รูเฉลย คาใดท่ีผู้เรียน เขียนไม่ถูกต้อง ผู้วิจัยจะให้ผู้เรียนคัดคาท่ีถูกต้องด้วยตัวบรรจงลงในสมุด และเขียนในบัตรคา แล้วนาบัตรคาไป ตดิ บอร์ด 3) ทดสอบหลงั เรียน โดยใช้แบบทดสอบปรนยั เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ขอ้ คมู่ อื การทาวิจยั อย่างง่ายของครู กศน. 52
2. การตอบแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และ เขยี นภาษาไทย จากกล่มุ เปา้ หมาย จานวน 35 คน ผวู้ ิจัยดาเนนิ การหลังจากการพฒั นาผูเ้ รียนเสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ การวิเคราะหข์ อ้ มูล หลังจากเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากแบบฝึก แบบทดสอบ และแบบสอบถามเรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัย นาข้อมูลทั้งหมดมาดาเนินการ ดังน้ี 1) คานวณหาค่าร้อยละของคะแนนจากการทาแบบฝึกทักษะ การฟัง อ่าน พูด และเขียน ภาษาไทย จานวน 6 แบบฝึก และคะแนนทดสอบกอ่ นเรยี น - หลงั เรียนชุดฝกึ ทักษะการฟัง อา่ น พูด และเขียน ภาษาไทย แลว้ เทยี บเกณฑก์ ารตดั สินผลการประเมินทักษะการฟงั อา่ น พดู และเขียนภาษาไทย 2) วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย โดยการหาค่าร้อยละ และวเิ คราะห์เนอ้ื หา 6. ผลการวิจัย ผลจากการฝึกทักษะการฟงั อา่ น พดู และเขยี นภาษาไทยของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลหยว่ น อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา แบง่ เป็น 3 ตอน คือ ตอนท่ี 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้เรียน ตอนที่ 2 ผลการพัฒนาทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย โดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียน ภาษาไทยควบคกู่ ับการใช้ภาษาไทลอ้ื ตอนท่ี 3 ความคดิ เห็นของผเู้ รียนต่อการใช้ชุดฝึกทกั ษะการฟัง อา่ น พดู และเขยี นภาษาไทย ตอนที่ 1 ข้อมลู ทัว่ ไปของผูเ้ รยี น ดงั ตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 แสดงจานวนและร้อยละ ขอ้ มลู ทว่ั ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม (n = 35) ข้อมูล จานวน รอ้ ยละ 1. เพศ 15 42.80 ชาย 20 57.20 หญิง 2. อายุ 11 31.40 20-30 ปี 9 25.70 31-40 ปี 14 40.10 41-50 ปี 1 2.80 51 ปีข้ึนไป 35 100.00 รวม จากตารางที่ 1 พบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง จานวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 57.20 เพศชาย จานวน 15 คน คิดเปน็ ร้อยละ 42.80 ส่วนใหญ่มีอายุระหวา่ ง 41-50 ปี จานวน 14 คน คิดเปน็ ร้อย คมู่ ือการทาวิจยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 53
ละ 40.10 รองลงมา มีอายุระหว่าง 20-30 ปี จานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 31.40 อายุระหว่าง 31-40 ปี จานวน 9 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 25.70 และ อายุ 51 ปขี ้นึ ไป จานวน 1 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 2.80 ตอนท่ี 2 ผลการพฒั นาทกั ษะการฟัง อา่ น พดู และเขยี นภาษาไทย ของผเู้ รียน ระดบั มัธยมศกึ ษา ตอนปลาย กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา โดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียน ภาษาไทยควบคกู่ ับการใช้ภาษาไทล้ือ ดังตารางที่ 2 ตารางท่ี 2 แสดงค่าร้อยละของคะแนนแบบฝึกทักษะ การทดสอบก่อน - หลังเรียนแบบฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ทดสอบ คะแนนแบบฝกึ ทกั ษะ ทดสอบ ผเู้ รียน ก่อน 1 2 3 4 5 6 รวม หลงั คนที่ เรียน (30) (30) (10) (10) (10) (10) (100) เรียน (20) (20) 1 10 20 21 7 7 9 9 73 15 2 10 23 22 8 8 8 8 77 15 3 11 22 19 7 7 9 9 73 15 4 11 22 25 8 8 9 9 81 16 5 10 20 20 9 9 8 8 74 15 6 11 21 22 8 9 9 9 78 16 7 10 22 21 9 8 9 9 78 15 8 11 23 22 9 9 8 8 79 16 9 10 16 16 8 9 8 8 65 13 10 9 13 17 9 8 9 9 65 13 11 11 22 20 8 9 8 9 76 15 12 12. 24 24 9 9 9 8 83 17 13 11 22 25 9 8 8 9 81 16 14 11 22 20 8 9 9 9 77 15 15 11 21 26 9 9 10 8 83 17 16 11 21 25 9 8 9 9 81 16 17 11 22 22 7 7 8 9 75 15 18 12 22 25 7 7 8 8 77 15 19 11 22 22 7 7 8 8 74 15 20 11 22 22 7 7 8 9 75 15 ค่มู อื การทาวจิ ัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 54
ทดสอบ คะแนนแบบฝกึ ทกั ษะ ทดสอบ ผเู้ รยี น กอ่ น 1 2 3 4 5 6 รวม หลัง คนท่ี เรยี น (30) (30) (10) (10) (10) (10) (100) เรียน (20) (20) 21 11 22 20 7 7 8 9 73 15 22 12 22 24 8 8 10 9 81 17 23 10 22 23 8 8 8 9 78 15 24 11 22 20 7 8 8 9 74 15 25 10 20 20 7 8 8 9 72 15 26 10 20 19 7 8 9 9 72 15 27 11 22 25 9 9 10 9 84 17 28 12 25 27 8 9 9 9 87 17 29 12 22 25 8 8 10 9 82 17 30 11 22 22 8 8 8 9 77 15 31 11 22 23 8 9 8 9 79 16 32 11 22 22 8 9 8 9 78 16 33 11 14 26 8 7 9 8 72 14 34 11 22 21 8 8 10 9 78 16 35 11 22 22 8 8 10 9 79 16 รวม 380 743 775 279 284 304 306 2693 541 ร้อยละ 54.29 70.76 73.81 79.71 81.14 86.86 87.43 76.94 77.29 จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนจากการฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ของผู้เรียน กศน. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา จานวน 35 คน มีผลการ ปฏิบัติกิจกรรมระหว่างเรียนของผู้เรียนท้ังกลุ่ม อยู่ในระดับดี ร้อยละ 76.94 โดยมีค่าคะแนนอยู่ระหว่าง ร้อยละ 70 - 100 จานวน 33 คน คิดเป็นร้อยละ 94.29 ของจานวนผู้เรียนทั้งหมด และมีผู้เรียนที่มีผล การปฏิบัติกิจกรรมในระดับปานกลาง คือมีค่าคะแนนระหว่าง 50 - 69 จานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 5.71 และมีผลการทดสอบหลังเรียนทั้งกลุ่ม อยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 77.29 สูงกว่าผลการทดสอบก่อนเรียน คิดเปน็ รอ้ ยละ 23.00 คูม่ ือการทาวิจยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 55
ตอนที่ 3 ความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ปรากฏ ดังนี้ ตารางที่ 3 แสดงคา่ รอ้ ยละความคดิ เหน็ ของผ้เู รียนต่อการใชช้ ุดฝกึ ทกั ษะการฟัง อา่ น พดู และเขียนภาษาไทย รอ้ ยละของระดับความคิดเห็น รายการ มาก มาก ปาน น้อย น้อย ท่ีสดุ กลาง ที่สุด 1. เนอ้ื หาสอดคลอ้ งกับเนื้อหารายวิชาภาษาไทย 54.20 34.30 11.50 2. เนื้อหาในชุดฝึกฯ มีความสอดคล้องกนั 25.70 57.20 17.10 3. การจัดลาดบั เนอื้ หาเปน็ ไปตามลาดับขน้ั ตอน 34.30 57.20 8.50 4. เนื้อหาและกิจกรรมเหมาะสมตอ่ การเรียนรู้ 57.20 28.60 14.20 5. ชุดฝึกฯ ช่วยให้สามารถเข้าใจเนือ้ หาไดด้ ยี ง่ิ ขนึ้ 37.10 62.90 6. ระยะเวลาในการศกึ ษาและทากจิ กรรมมคี วามเหมาะสม 57.20 34.30 8.50 7. ครูผู้สอนให้ความรู้ตามชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และ 62.90 37.10 เขยี นภาษาไทย ควบคกู่ ับการใช้ภาษาไทล้อื ไดเ้ หมาะสม 8. เมื่อใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อา่ น พดู และเขียนภาษาไทยแล้ว 51.40 34.40 14.20 สามารถนาความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในชีวติ ประจาวันได้ 9. การประเมินผลการใช้ชุดฝึกทักษะการฟงั อ่าน พดู และเขียน 42.90 40.00 17.10 ภาษาไทย ทาใหผ้ ู้เรยี นได้รับการพฒั นาการเรียนรมู้ ากข้นึ เฉลี่ยในภาพรวม 46.98 42.89 3.48 จากตารางท่ี 3 พบว่า ผู้เรียนมีความคิดเห็นต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียน ภาษาไทย ภาพรวม ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 46.98 รองลงมา ระดับมาก ร้อยละ 42.89 เมื่อพิจารณาใน รายละเอยี ดพบวา่ ผเู้ รียนมีความคิดเหน็ ระดับมากท่ีสุด ร้อยละ 62.90 คือ ครผู ู้สอนให้ความรตู้ ามชุดฝึกทักษะ การฟัง อ่าน พดู และเขียนภาษาไทย ควบคู่กับการใช้ภาษาไทลื้อได้เหมาะสม รองลงมาคิดเป็นร้อยละ 57.20 จานวนเท่า ๆ กัน 2 รายการ คือ เน้ือหาและกิจกรรมเหมาะสมตอ่ การเรียนรู้ และระยะเวลาในการศึกษาและ ทากิจกรรมมีความเหมาะสม และยังพบว่า ผู้เรียนมีความคิดเห็นว่า ชุดฝึกฯ ช่วยให้สามารถเข้าใจเน้ือหาได้ดี ย่ิงข้ึน อยใู่ นระดับมาก สงู ถึงรอ้ ยละ 62.90 ข้อคดิ เห็นเพมิ่ เติมของผู้เรยี น - มีความม่ันใจในการพูดภาษาไทยมากขึ้น - มคี วามกล้าแสดงออก ไม่เขินอายในการสือ่ สาร ค่มู อื การทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 56
- พดู ภาษาไทยไดถ้ กู ตอ้ งตามอกั ขระวธิ ี สามารถสื่อสารภาษาไทยได้อยา่ งชดั เจน - กล้าท่ีจะใช้ภาษาไทยในการสือ่ สารกับผ้อู ื่นมากข้นึ - พูด ตวั “ช” ตัว “ด” ได้ชัดมากข้ึน - พดู ได้คลอ่ งแคล่วขน้ึ - เขา้ ใจเนอ้ื หาทเี่ รยี นมากขนึ้ - สามารถใชภ้ าษาไทยในการติดตอ่ งานราชการตา่ ง ๆ ได้ 7. สรุปผล อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ สรุปผล 1. ผลการพัฒนาทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอน ปลาย กศน.ตาบลหย่วน อาเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา โดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียน ภาษาไทยควบคู่กับการใช้ภาษาไทล้ือ มีผลการปฏิบัติกิจกรรมหลังเรียนทั้งกลุ่ม อยู่ในระดับดี ด้วยคะแนน ร้อยละ 76.94 และมผี ลการทดสอบหลงั เรียนอย่ใู นระดบั ดี ร้อยละ 77.29 สูงกวา่ กอ่ นเรียนร้อยละ 23.00 2. ผู้เรียนมีความคิดเห็นตอ่ การใช้ชุดฝึกทักษะการฟงั อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย อยู่ในระดับ มากถึงมากที่สุด โดยเห็นว่า ครูให้ความรู้ตามชุดฝึกทักษะควบคู่กับการใช้ภาษาไทลื้อได้เหมาะสม รวมท้ัง เน้ือหากจิ กรรมและระยะเวลามีความเหมาะสม ชว่ ยใหส้ ามารถเขา้ ใจเน้อื หาไดม้ ากยงิ่ ขน้ึ อภปิ รายผล 1. ผู้เรียนได้เรียนรู้ภาษาไทยจากการเรียนการสอน โดยใช้ภาษาไทล้ือและชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูดและเขียนภาษาไทย ทาให้ผู้เรียนทุกคนมีพัฒนาทางการเรียนสูงขึ้น โดยพิจารณาจากผลการสอบหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน แสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนได้รับการพัฒนาทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทยให้ดี ขึ้นได้ ทั้งน้ีอาจเน่ืองมาจากผู้วิจัยใช้ภาษาไทล้ือสื่อสารควบคู่กับการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ขณะเดียวกันผู้วิจัยได้ใช้สภาพแวดล้อมบริบทใกล้ตัวของผู้เรียน คือภาษาไทล้ือเป็นส่ือ เชื่อมโยงเข้าสู่บทเรียน ในการจัดการเรียนการสอน ทาให้ผู้เรียนมีความสนใจ เข้าใจเน้ือหาในชุดฝึกทักษะ การฟงั อ่าน พดู และเขยี นภาษาไทยไดด้ ยี ่ิงขึน้ 2. ผู้เรียนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นตอ่ ชดุ ฝึกทักษะการฟงั อา่ น พูดและเขียน ในระดับมากถึงมาก ที่สดุ ท้ังนีอ้ าจเป็นเพราะ ผู้วิจัยให้ความรู้จากชดุ ฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทยควบคู่กับการใช้ ภาษาไทลื้อได้เหมาะสม ทาให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น และผลการประเมินทาให้ผู้เรียนได้รับการพฒั นา ทักษะเรียนรู้เพม่ิ มากขึ้น 3. ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพ่ิมเติมต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทยในเชิงบวกเป็นส่วนใหญ่ โดยเห็นว่าผลจากการพัฒนาผู้เรียนโดยการฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูด และเขียนภาษาไทย ทาให้ผู้เรียนพูดภาษาไทยได้ชัดและคล่องแคล่วข้ึน มีความมั่นใจในการพูด กล้า แสดงออก สามารถส่ือสารภาษาไทยในชีวิตประจาวัน ติดต่อราชการและส่ือสารกับผู้อ่ืนไดม้ ากขึ้น ทั้งน้ีอาจ คู่มอื การทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 57
เป็นเพราะ ผเู้ รียนมีการพฒั นาทกั ษะการฟัง พดู อ่านและเขียนดขี ้ึน หลังจากไดร้ ับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ภาษาไทยโดยใชภ้ าษาไทล้ือเปน็ ส่ือในการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งได้รับการฝึกทักษะการฟัง อ่าน พูดและ เขยี น จากแบบฝกึ ทัง้ 6 แบบฝกึ แม้ว่าผลการพัฒนาทักษะโดยใช้ชุดฝึกทักษะการฟัง พูด อ่านและเขียนภาษาไทยของผู้เรียน จะดีข้ึนเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังมีประเด็นเก่ียวกับความสอดคล้องของเนื้อหาในชุดฝึกทักษะฯ ท่ีอาจทาให้ ผลการประเมินเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนมีความพึงพอใจต่ากว่าประเด็นอื่น ซึ่งสามารถใช้เป็น ข้อมูลในการพิจารณาปรับปรุงเน้ือหา ให้สอดคล้อง เหมาะสมเพ่ือการพัฒนาชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในครั้ง ต่อไป ข้อเสนอแนะ 1. ควรศึกษาและพัฒนาเน้ือหาชุดฝกึ ทักษะการฟัง อ่าน พดู และเขียน ให้สอดคล้องสภาพปัญหา ความต้องการของผูเ้ รยี น เพ่ือชว่ ยเหลอื และพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างตอ่ เน่ือง โดยคานึงถึงจุดประสงค์ การเรยี นรรู้ ายวชิ า ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 2. ครู กศน. ตาบล ควรมีการพัฒนาแบบฝึกทักษะเนื้อหาเรื่องอ่ืน ๆ ของรายวิชาภาษาไทยและ รายวชิ าอืน่ เพอ่ื แกป้ ัญหาการเรียนรู้ของผูเ้ รียนตอ่ ไป 8. บรรณานกุ รม สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย. (2553). คู่มือการดาเนินงาน หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. นนทบุรี : ไทย พับบลิค เอ็ดดเู คชน่ั . __________. (2555). หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : องคก์ ารสงเคราะห์ทหารผ่านศึก. ค่มู อื การทาวจิ ยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 58
ตวั อย่างท่ี 2 1. ช่ือเรอ่ื ง ผลการใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะการเขียนสะกดคา รายวชิ าภาษาไทย เพ่ือพัฒนาทกั ษะ การเขยี นสะกดคาของผ้เู รยี น ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย กศน.ตาบลหา้ งฉัตร อาเภอหา้ งฉัตร จังหวดั ลาปาง 2. ชอ่ื ผ้วู จิ ยั นางจรสั รัชช์ ถาน้อย ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล นายมณเฑยี ร นันทะศรี ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล นางสร้อยสุวรรณ เตชะธิ ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล 3. ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา การเขียนเป็นระบบการสื่อสาร หรือบันทึกถ่ายทอดภาษาเพ่ือแสดงออกซ่ึงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ โดยใช้ตัวหนังสือ และเครื่องหมายต่าง ๆ เป็นส่ือ ดังน้ัน การเขียนจึงเป็นทักษะการใช้ ภาษาแทนคาพูดที่สามารถสื่อความหมายให้เป็นหลักฐานปรากฏได้นานกว่าการพูด การเขียนท่ีเป็นเรื่องราว เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงตามความมุ่งหมายของผู้เขียนนั้น จะประสบความสาเร็จมากน้อยเพียงใด ส่วนสาคัญ ขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนมีทักษะในการใช้ภาษาเขียนได้ดีเพียงใด ทักษะการใช้ภาษาเขียนต้องอาศัยพ้ืนฐานความรู้ จากการฟัง การพูด และการอ่าน เพราะจากพื้นฐานดังกล่าว จะทาให้มีความรู้ มีข้อมูล และมีประสบการณ์ เพียงพอที่จะให้เกิดความคิด ความสามารถในการเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดออกมา สื่อสารกับผู้อ่านได้ อย่างมีประสิทธิภาพ (ชนิดา ภูมิสถิต, ม.ป.ป.) ดังน้ัน อาจกล่าวได้ว่า การเขียนเป็นการแสดงการติดต่อสื่อสาร ของมนษุ ยท์ อี่ าศยั ตวั อักษร เพ่ือถ่ายทอดความรู้สึก ความตอ้ งการของผู้เขียนให้ผู้อ่ืนได้ทราบ นับเปน็ สื่อถาวรท่ี สามารถตรวจสอบและใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ อีกท้ังใช้เป็นเคร่ืองมือในการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมได้ อกี วธิ ีหนึง่ กศน.ตาบลห้างฉัตร ได้ดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ภาคเรียนท่ี 1 ประจาปีการศึกษา 2557 พบว่าการจัดกิจกรรม การเรียนรู้วิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พบปัญหาเรื่องการเขียนสะกดคาของผู้เรียนท่ีเขียนผิด ใช้ศัพท์ภาษาวัยรุ่น ทาให้การเขียนไม่ถูกต้องตามหลักภาษาไทย ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงต้องการท่ีจะพัฒนาทักษะ การเขยี นสะกดคาให้กบั ผู้เรียน ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย กศน.ตาบลหา้ งฉตั ร โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะการเขียน สะกดคา รายวิชาภาษาไทย 4. วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา ของผูเ้ รยี น ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย คมู่ อื การทาวิจัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 59
2. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ของผเู้ รยี น ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย 5. วธิ ีการดาเนินการวิจัย กลุ่มเป้าหมาย ประชากร ผู้เรียน กศน. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ท่ีลงทะเบียนเรียนรายวิชาภาษาไทย ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2557 จานวน 47 คน ของ กศน.ตาบลห้างฉตั ร อาเภอห้างฉตั ร จงั หวดั ลาปาง กลุม่ ตวั อย่าง ผู้เรียน กศน. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 ท่ีมีปัญหาในการเขียนสะกดคาไม่ถูกต้องตามหลักภาษาไทย ของ กศน.ตาบลห้างฉัตร อาเภอหา้ งฉตั ร จงั หวัดลาปาง จานวน 20 คน เครอ่ื งมือ เคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการวจิ ัยครง้ั น้ี ประกอบด้วย 1. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการพัฒนาทักษะการเขียนของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้แก่ แบบฝกึ ทักษะการเขยี นสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย จานวน 5 แบบฝกึ 2. เครอ่ื งมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ไดแ้ ก่ 1) แบบทดสอบก่อนเรียน เป็นแบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ข้อ 2) แบบทดสอบหลังเรยี น เปน็ แบบปรนยั ชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ข้อ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชา ภาษาไทย ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ข้ันตอนการสรา้ งเคร่อื งมือ 1. ศึกษาหลักการ วิธีการ ในการสร้างแบบฝึกทักษะ แบบทดสอบ และแบบสอบถาม จาก เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกีย่ วข้อง 2. สร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน และแบบสอบถามความพงึ พอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย 3. นาเครอื่ งมือการวิจัยท่สี ร้างข้ึนไปให้ท่ปี รึกษาตรวจสอบความถกู ต้อง ดังนี้ แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพ่ือตรวจสอบความสอดคล้องของเนือ้ หากับจดุ ประสงค์การเรียนรู้ คูม่ อื การทาวจิ ัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 60
แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของข้อคาถามกับ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย เพ่ือตรวจสอบความสอดคลอ้ งของประเด็นคาถามกับวัตถุประสงคข์ องการวิจยั 4. ปรับปรุงแก้ไข้เคร่ืองมือการวิจัยตามคาแนะนาของท่ีปรึกษา ก่อนนาไปใช้ในการจัดการเรียน การสอนให้กับกลมุ่ ตวั อยา่ ง การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การเก็บรวบรวมข้อมลู ครง้ั นี้ ผ้วู ิจยั ไดด้ าเนินการตามขนั้ ตอน ดังตอ่ ไปนี้ 1. ผู้วิจัยดาเนินการนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย ไปใช้จัดการเรียนการสอนให้กับกลุ่มตัวอย่าง จานวน 20 คน ด้วยตนเอง จานวน 5 ครั้ง ๆ ละ 2 ช่วั โมง โดยดาเนินการ ดังน้ี 1) ดาเนนิ การทดสอบกอ่ นเรียน โดยใชแ้ บบทดสอบก่อนเรยี น จานวน 20 ข้อ 2) จัดการเรียนการสอน เร่ือง การเขียนสะกดคา โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวชิ าภาษาไทย ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย 3) ดาเนนิ การทดสอบหลงั เรียน โดยใช้แบบทดสอบหลังเรยี น จานวน 20 ข้อ 2. หลงั จากดาเนนิ การจดั การเรยี นการสอนเรยี บรอ้ ยแล้ว ผู้วิจัยให้กลุ่มเป้าหมาย จานวน 20 คน ตอบแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนปลาย การวเิ คราะหข์ อ้ มูล เมื่อดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลได้เรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยนาข้อมูลที่ได้ มาวิเคราะห์โดยดาเนินการ ดงั น้ี 1. คานวณหาค่าร้อยละ และคา่ เฉล่ยี จากคะแนนทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียนของผูเ้ รียน 2. เปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยคานวณหาค่าดัชนีประสิทธิผลและร้อยละที่เพ่ิมขึ้นหลัง เรียนของผู้เรียนทัง้ กลมุ่ จากคา่ เฉลยี่ ของคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี นของผ้เู รยี น 3. คานวณหาคา่ เฉลีย่ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของความพงึ พอใจต่อการใชแ้ บบฝึกทักษะการ เขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลายของผู้เรียน โดยแปลความหมายของระดบั ความ พึงพอใจ ตามเกณฑข์ องกาญจนา วัฒายุ (2548 : 166) ดังน้ี ค่าเฉลยี่ 4.50 - 5.00 หมายถงึ มากที่สุด ค่าเฉลยี่ 3.50 - 4.49 หมายถงึ มาก คา่ เฉลย่ี 2.50 - 3.49 หมายถึง ปานกลาง คู่มือการทาวิจยั อยา่ งง่ายของครู กศน. 61
คา่ เฉลี่ย 1.50 - 2.49 หมายถึง นอ้ ย ค่าเฉลีย่ 1.00 – 1.49 หมายถึง น้อยท่สี ุด 6. ผลการวิจยั ผลการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย เพ่ือพฒั นาทักษะการเขียนสะกดคา ของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลห้างฉัตร อาเภอห้างฉัตร จังหวัดลาปาง ซ่ึงผู้วิจัยจะ นาเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลในรปู แบบตารางประกอบคาบรรยาย ดังตารางที่ 1 - 3 โดยแบ่งเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 ขอ้ มลู ท่วั ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 การเปรียบเทยี บผลการทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน ด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวชิ าภาษาไทย ของผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และตอนท่ี 3 ความพึงพอใจของผู้เรยี นต่อการใช้แบบฝกึ ทกั ษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ตอนที่ 1 ข้อมูลทัว่ ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม ปรากฏดังตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 แสดงจานวนและร้อยละสถานภาพของผ้ตู อบแบบสอบถาม (n = 20) 1. เพศ ขอ้ มลู จานวน ร้อยละ ชาย รวม หญงิ 5 25.00 15 75.00 2. อายุ 10-20 ปี 5 25.00 21-30 ปี 9 45.00 31- 40 ปี 1 5.00 41- 50 ปี 3 15.00 51- 60 ปี 2 10.00 20 100.00 จากตารางท่ี 1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม จานวน 20 คน พบว่า เป็นเพศหญิง จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 75.00 เพศชาย จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 โดยส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 21-30 ปี จานวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 45.00 รองลงมามีอายุระหวา่ ง 10-20 ปี จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 ช่วงอายุระหว่าง 41- 50 ปี จานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 15.00 อายุระหว่าง 51- 60 ปี จานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 10.00 และอายรุ ะหวา่ ง 31- 40 ปี จานวน 1 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 5.00 คู่มอื การทาวิจัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 62
ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยแบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา รายวิชาภาษาไทย ปรากฏผลดงั ตารางที่ 2 ตารางที่ 2 แสดงคา่ รอ้ ยละ ดัชนปี ระสิทธผิ ลของการเรยี นดว้ ยแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวชิ าภาษาไทย (n = 20) ผู้เรียนคน คะแนนทดสอบ คะแนน คะแนน ดชั นี รอ้ ยละที่เพ่มิ ขึน้ ความแตกตา่ ง เพ่มิ สัมพทั ธ์ ประสทิ ธผิ ล หลงั เรียนของ ท่ี ก่อนเรยี น หลังเรยี น (พฒั นาการ) เป็นกลมุ่ ผู้เรยี นท้งั กล่มุ 100.00 12 20 18 50.00 0.6419 64.19 28 14 6 28.57 36 10 4 33.33 48 12 4 77.78 52 16 14 37.50 64 10 6 87.50 74 18 14 42.86 86 12 6 88.89 92 18 16 20.00 10 10 12 2 100.00 11 8 20 12 16.67 12 8 10 2 37.50 13 4 10 6 100.00 14 8 20 12 77.78 15 2 16 14 37.50 16 4 10 6 100.00 17 6 20 14 100.00 18 6 20 14 25.00 19 4 8 4 88.89 20 2 18 16 จากตารางท่ี 2 เม่ือนาผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยแบบฝึกทักษาการเขียน สะกดคา รายวิชาภาษาไทย ของผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มาเปรียบเทียบกัน พบว่า มีค่าดัชนี คู่มอื การทาวิจยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 63
ประสิทธิผล 0.6419 แสดงว่า การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคาของผู้เรียน ด้วยแบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา สามารถพัฒนาทกั ษะการเขยี นสะกดคาของผู้เรียน ทัง้ กล่มุ ไดเ้ พมิ่ ข้ึนร้อยละ 64.19 เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคล พบว่า ผู้เรียนทุกคน คิดเป็นร้อยละ 100 มีคะแนนทดสอบหลังเรียน สูงกวา่ กอ่ นเรียน แสดงให้เห็นวา่ ผู้เรียนทเ่ี รยี นด้วยแบบฝกึ ทกั ษะการเขยี นสะกดคา มีพัฒนาทางการเรียนสูงข้ึน และเม่ือพิจารณาผลคะแนนเพ่ิมสัมพัทธ์เป็นรายบุคคล พบว่า ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคา โดยพัฒนาการได้ร้อยละ 50 ข้ึนไปของปริมาณที่ควรพัฒนาได้ มีจานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 55 ของผู้เรียนท้ังหมด โดยสามารถพัฒนาการได้ร้อยละ 100 ของปริมาณท่ีควรพัฒนาได้ จานวน 5 คน คิดเป็น ร้อยละ 25 ของผู้เรียนทั้งหมด ได้แก่ ผู้เรียนคนที่ 1, 11, 14,17 และคนที่ 18 นอกจากนั้นยังพบว่า มีผู้เรียนท่ี พัฒนาการได้ต่ากว่าร้อยละ 50 ของปริมาณท่ีควรพัฒนาได้ มีจานวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 45 ของผู้เรียน ทั้งหมด ตอนที่ 3 ความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ปรากฏผลดงั ตารางที่ 3 ตารางที่ 3 แสดงค่าเฉลยี่ และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของความพงึ พอใจต่อการใชแ้ บบฝึกทักษะ การเขยี นสะกดคา รายวชิ าภาษาไทย (n = 20) ที่ ประเดน็ ระดับความพงึ พอใจ 1 ความเข้าใจคาชีแ้ จงการทาแบบฝกึ ทักษะฯ X S.D. แปลผล ลาดับ 2 ไดร้ ับความรจู้ ากคาในแบบฝึกทักษะฯ 3.50 1.00 มาก 5 3 จานวนข้อของแบบฝึกทกั ษะฯ มีความเหมาะสม 3.65 .99 มาก 2 4 รปู แบบของแบบฝึกทกั ษะฯ 3.55 .82 มาก 4 5 ทา่ นมีความพึงพอใจตอ่ แบบฝกึ ทกั ษะฯ 3.60 .68 มาก 3 3.70 1.22 มาก 1 ภาพรวม 3.60 0.94 มาก จากตารางท่ี 3 ผู้เรียนมีความพึงพอใจตอ่ การใชแ้ บบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวชิ าภาษาไทย อยูใ่ นระดบั มาก มคี ่าเฉล่ยี 3.60 (S.D.= 0.94) เม่ือพิจารณาเปน็ รายข้อ พบวา่ ประเดน็ ท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงสุดใน 2 ลาดับแรก คือ มีความพึงพอใจต่อ แบบฝึกทักษะฯ มีค่าเฉล่ีย 3.70 (S.D.=1.22) รองลงมา คือ ได้รับความรู้จากคาในแบบฝึกทักษะฯ ที่ค่าเฉล่ีย 3.65 (S.D.= .99) และประเดน็ ทม่ี ีค่าเฉล่ยี ท่นี ้อยทีส่ ดุ คือ ความเข้าใจคาช้แี จงการทาแบบฝกึ ทกั ษะฯ มคี า่ เฉลี่ย 3.50 (S.D.= 1.00) คมู่ อื การทาวิจยั อยา่ งง่ายของครู กศน. 64
7. สรปุ ผล อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ สรุปผล 1. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นหลังเรียนดว้ ยแบบฝึกทกั ษะการเขียนสะกดคา รายวชิ าภาษาไทย สงู กว่า กอ่ นเรียน 2. ผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลห้างฉัตร อาเภอห้างฉัตร จังหวัดลาปาง ท่เี รยี นรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย มีความพึงพอใจอยูใ่ นระดับมาก อภิปรายผล จากผลการวิจัยเรื่อง ผลการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย เพ่ือพัฒนา ทักษะการเขียนสะกดคาของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลห้างฉัตร อาเภอห้างฉัตร จังหวัด ลาปาง สามารถอภปิ รายผล ได้ดงั นี้ 1. ผู้เรียนทุกคนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงขึ้น ซ่ึงพิจารณาจากการท่ีผู้เรียนทุกคน มีคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน นอกจากน้ียังพบว่า แบบฝึกทักษะที่นามาใช้ ชว่ ยให้ผู้เรียนท้ังกลุ่ม มีทักษะการเขียนสะกดคาเพิ่มข้ึนอีกด้วย ซ่ึงพิจารณาจากค่าดัชนีประสิทธิผล และร้อยละท่ีเพิ่มข้ึนหลังเรียน ของผู้เรียนทั้งกลุ่ม ทั้งนี้ อาจเน่ืองมาจากแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย สร้างข้ึนจากสภาพปัญหาการเขียนสะกดคาของผู้เรียน จึงเน้นการเขียนสะกดคาที่เป็นคาใกล้ตัว หรือศัพท์ภาษาวัยรุ่นที่ผู้เรียนใช้ไม่ถูกต้องตามหลักภาษาไทย และผ่านการตรวจสอบความสอดคล้อง ของเนื้อหาจากที่ปรึกษา ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงส่งผลให้ผู้เรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย มีผลสัมฤทธิท์ างการเรียนหลงั เรียนสูงขึ้น 2. ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาอยู่ในระดับมาก อาจเป็น เพราะได้รับความรู้จากคาในแบบฝึกทักษะการเขียนท่ีเน้นการเขียนสะกดคาที่เป็นคาใกล้ตัว หรือศัพท์ภาษา วัยร่นุ ทผี่ ู้เรียนใชไ้ มถ่ กู ต้องตามหลกั ภาษาไทย รวมทั้งรูปแบบและจานวนข้อของแบบฝึกทักษะการเขียนมีความ เหมาะสม แม้ว่าการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย จะสามารถพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคาของผู้เรียนให้มีพฒั นาการท่ีดขี ้ึน และผู้เรียนมีความพึงพอใจตอ่ การใช้แบบฝึกทักษะดังกล่าว ก็ตาม แต่ยังมีข้อควรพิจารณาในเรื่อง พัฒนาการทางการเรียนของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ท่ีมีผลการพัฒนา ต่ากว่าร้อยละ 50 ของปริมาณท่ีควรพัฒนาได้ เพื่อนามาพิจารณาปรับปรุงสื่อ กระบวนการเรียนการสอน หรือพฤติกรรมผู้เรียนเป็นรายบุคคล แล้วแต่กรณี นอกจากนี้ ควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไข แบบฝึกทักษะ ในเร่ือง คาชี้แจงการทาแบบฝึกทักษะฯ และจานวนข้อของแบบฝึกทักษะ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยความพงึ พอใจน้อยกว่า เร่ืองอ่ืน ๆ อาจเป็นสาเหตุจาก ความไม่ชัดเจนรวมถึงควรพิจารณาปรับจานวนข้อในแบบฝึกให้มีมากข้ึน ซ่งึ แสดงได้ว่าผูเ้ รยี นตอ้ งการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคาเพ่ิมมากขึน้ คมู่ ือการทาวจิ ยั อย่างง่ายของครู กศน. 65
ข้อเสนอแนะ จากผลการวจิ ัย เรื่องผลการใช้ชุดฝกึ ทกั ษะการเขยี นสะกดคา เพือ่ พฒั นาทักษะการเขียนสะกดคา ของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน. ตาบลห้างฉัตร อาเภอห้างฉัตร จังหวัดลาปาง ผู้วิจัยมี ขอ้ เสนอแนะ ดังต่อไปน้ี 1. ครู กศน. ในแตล่ ะพ้นื ที่ ทุกตาบล ควรนาไปปรบั ใช้กบั ผเู้ รียน กศน.ตาบล ทรี่ ับผิดชอบ 2. ครู กศน.ตาบล ควรมีการพฒั นาแบบฝึกทักษะเน้อื หาเรื่องอื่น ๆ ของรายวชิ าภาษาไทย เพ่ือแก้ ปญั หาทางการเรียนของผูเ้ รียนต่อไป 8. เอกสารอา้ งอิง กาญจนา วฒั าย.ุ (2548). การวจิ ยั เพ่ือพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : ธนพรการพมิ พ์. ชนิดา ภูมิสถิต. (ม.ป.ป.). การพัฒนาทักษะทางการเขียน (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.npu.ac.th/ gad/pdf/m6.pdf [20 สงิ หาคม 2557]. ค่มู ือการทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 66
เร่อื งท่ี 2 รปู แบบและวธิ ีการเผยแพรผ่ ลงานวิจัยอย่างง่าย งานวิจัยของครผู ู้วิจัย เป็นงานวิจัยที่ได้มาจากการทดลองปฏิบัตจิ รงิ ในห้องเรียน ซ่งึ ครูผู้วิจัยจะได้ ประโยชน์โดยตรง เช่น ทาให้ได้องค์ความรู้ใหม่ ได้แก้ปัญหา ได้พัฒนาปรับปรุงการปฏิบัติงานตามวัตถุประสงค์ ของการวิจัยน้ันแล้ว ยังเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ของบุคลที่สนใจ ดังน้ัน ครูผู้วิจัยควรเผยแพร่ ประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ หรือข้อค้นพบที่ได้รับจากงานวิจัยในแต่ละคร้ัง เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้รับรู้และศึกษา แล้วนาไปปรับใช้กับสถานการณ์ที่มีปัญหาในทานองเดียวกัน โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดหาวิธีแก้ปัญหาใหม่ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผูอ้ นื่ ไดท้ ดสอบผลการแก้ปญั หาซ้า เพอ่ื นาไปใชใ้ นบริบททแ่ี ตกต่างกนั การวิจัยอย่างง่ายน้ี จะทรงคุณค่ามากข้ึน หากครูผู้วิจัยมีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ผ่านช่องทาง ดังตอ่ ไปนี้ 1. นาเสนอผลงานวจิ ัยอยา่ งงา่ ยในการประชมุ วชิ าการ ท่หี น่วยงาน สถานศึกษา องคก์ ร จัดข้นึ 2. ตดิ บอรด์ ของสถานศึกษาหรือติดบอร์ดนทิ รรศการ 3. นารายงานการวิจัยอย่างงา่ ยเผยแพร่ทางเว็บไซต์ 4. เขียนลงวารสาร หรือส่งรายงานการวิจัยอย่างงา่ ยไปให้ ห้องสมุด สถานศึกษา หน่วยงานตา่ ง ๆ หรือนาเสนอเป็นเอกสารส่ิงพิมพอ์ ่นื ๆ เชน่ โปสเตอร์ แผน่ พับ เปน็ ต้น คมู่ ือการทาวจิ ัยอย่างง่ายของครู กศน. 67
กจิ กรรม หลังจากศึกษาเรียนรู้ตามกระบวนการทาวิจัยอย่างง่ายเสร็จสิ้นแล้ว ให้เขียนรายงานการวิจัยอย่างง่าย ตามองค์ประกอบการเขียนรายงานการวจิ ยั 8 หวั ข้อตามท่กี าหนด ดงั น้ี 1. ชื่อเรอ่ื ง …..................................................................................................................................…… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ชอ่ื ผูว้ ิจยั ………………………………………………………………………………………………………..……………… 3. ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คู่มือการทาวจิ ยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 68
4. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. วธิ ดี าเนินการวิจยั กลมุ่ เป้าหมาย ประชากร .............................................................................................................................................................................. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… กล่มุ ตัวอย่าง .............................................................................................................................................................................. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ยั .............................................................................................................................................................................. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การเก็บรวบรวมขอ้ มูล .............................................................................................................................................................................. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การวเิ คราะห์ข้อมูล .............................................................................................................................................................................. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คมู่ ือการทาวจิ ยั อย่างง่ายของครู กศน. 69
6. ผลการวจิ ัย จากการศึกษาในครง้ั น้ี พบวา่ .............................................................................................................................................................................. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. สรุปผล อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ สรุปผล .............................................................................................................................................................................. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… อภปิ รายผล ................................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ .............................................................................................................................................................................. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 8. บรรณานุกรม และภาคผนวก (ถา้ มี) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คูม่ อื การทาวิจัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 70
แบบทดสอบหลังเรยี น คำส่ัง จงเลือกคำตอบท่ถี กู ตอ้ งที่สุดเพยี งขอ้ เดยี ว 1. ขอ้ ใดไม่ใชจ่ ุดมุง่ หมำยของกำรวิจัยอย่ำงงำ่ ย ก. หำสำเหตุของพฤติกรรม ข. ประเมนิ ตดั สินผู้เรยี น ค. แกป้ ัญหำผู้เรยี น ง. พัฒนำผ้เู รยี น 2. ขอ้ ใดกล่ำวถึงกำรวิจยั อยำ่ งง่ำย ตำม พรบ.กำรศึกษำแหง่ ชำติ พ.ศ. 2542 ไดถ้ กู ต้องท่ีสดุ ก. ครูทุกคนต้องดำเนินกำรวิจัยอย่ำงง่ำยเพื่อพัฒนำตนเอง ข. กำรวจิ ยั อยำ่ งง่ำยเป็นส่วนหนึ่งของกำรเรียนกำรสอน ค. กำรวจิ ยั อย่ำงง่ำยเปน็ เคร่อื งประเมินวทิ ยฐำนะครู ง. ครูต้องเช่ยี วชำญในกำรวจิ ัยอย่ำงง่ำย 3. กำรวิจยั ทมี่ ุ่งแก้ปญั หำอยำ่ งเร่งด่วนใชเ้ วลำไมม่ ำกนกั คอื กำรวิจัยแบบใด ก. กำรวิจัยเชงิ ปฏิบตั ิกำร ข. กำรวจิ ัยเชงิ บรรยำย ค. กำรวิจัยเชิงประเมนิ ง. กำรวจิ ัยต่อยอด 4. ลักษณะงำนวจิ ัยตรงกบั ข้อใดมำกทส่ี ุด ก. เปน็ กำรศกึ ษำควำมสัมพันธ์ของส่ิงที่ต้องกำรศึกษำ ข. มขี ้ันตอนและระบบกำรศึกษำอยำ่ งสมบรู ณ์ ค. หำคำตอบได้ดว้ ยวธิ ีกำรทำงวิทยำศำสตร์ ง. สำมำรถพิสจู นไ์ ด้ทกุ ขัน้ ตอน คมู่ ือการทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 71
5. กำรวจิ ัยอยำ่ งง่ำยจดั เป็นกำรวิจยั รปู แบบใด ก. กำรวิจยั เพื่อพฒั นำเครื่องมอื ข. กำรวจิ ัยเพอ่ื สร้ำงทฤษฎี ค. กำรวจิ ยั เชงิ ปฏิบัติกำร ง. กำรวจิ ยั เชงิ ปรมิ ำณ 6. คำกล่ำวในขอ้ ใด ไม่ถกู ตอ้ ง ก. กำรวิจยั ทำงกำรศกึ ษำของไทยเปน็ สง่ิ สร้ำงเสรมิ ควำมเป็นไทยทำงกำรศกึ ษำของประเทศไทย ข. กำรวิจัยเพือ่ ควำมเป็นเลิศทำงวชิ ำกำรส่วนใหญ่จะปรำกฏในระดบั มหำวิทยำลยั ค. กำรวิจยั เปน็ ขอ้ มูลรำกฐำนในกำรวำงแผนและบริหำรกำรศกึ ษำ ง. กำรวจิ ัยทกุ อยำ่ งลว้ นมงุ่ เพ่อื แก้ปญั หำทัง้ สนิ้ 7. ประโยชนส์ ูงสุดของกำรวิจัยอยำ่ งง่ำย คือข้อใด ก. กำรเพ่ิมพูนข้อมูลพ้นื ฐำนสำหรบั กำรวำงแผน ข. กำรได้ทฤษฎกี ำรศกึ ษำท่ตี รงกบั สภำพ ค. ประยกุ ตใ์ ชใ้ นกำรดำเนินงำนต่ำง ๆ ง. กำรไดแ้ นวทำงในกำรแกป้ ัญหำ 8. ปัญหำในขอ้ ใด ควรนำมำเป็นหวั ขอ้ ในกำรทำวิจยั อย่ำงงำ่ ยเพือ่ แก้ปัญหำและพฒั นำผู้เรยี นมำกที่สดุ ก. นักศึกษำ กศน. ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษำตอนต้น ของ กศน. ตำบลบ้ำนแม อำเภอสันปำ่ ตอง จำนวน 4 คน จำก 40 คน ไม่เข้ำเรียนวิชำภำษำอังกฤษ ข. กำรขำดแคลนงบประมำณในกำรจดั ซ้อื สื่อกำรเรยี นกำรสอนวชิ ำภำษำอังกฤษ ของ กศน. อำเภอสันปำ่ ตอง ค. นกั ศึกษำโครงกำร EP ของ กศน. อำเภอเมอื งเชยี งใหม่ ลำออกกลำงคัน จำนวน 15 คน จำก 25 คน ง. ผูเ้ รียนไมม่ คี วำมพงึ พอใจต่อกำรจัดระบบกำรเรยี นแบบประจำชั้นเรยี น 9. ในข้นั ตอนกำรเขยี นควำมจรงิ เก่ยี วกบั ปญั หำ ครูควรเขยี นในลักษณะใด ก. เขียนเฉพำะควำมจรงิ ทไี่ ด้พิจำรณำแล้วว่ำ เกยี่ วข้องกบั ปัญหำจริง ๆ ข. เขียนเฉพำะควำมจรงิ ท่สี ำมำรถตรวจสอบได้ ค. เขียนควำมจรงิ ท่เี ก่ียวขอ้ งท่นี กึ ไดใ้ นขณะน้ัน ง. เขยี นควำมจรงิ ท่ีคำดคะเนว่ำเปน็ เชน่ น้ัน คู่มอื การทาวิจยั อย่างง่ายของครู กศน. 72
10. กำรเขียนอธบิ ำยควำมจริงเกยี่ วกับปัญหำและคำอธิบำยเกีย่ วกบั สำเหตุปญั หำ มวี ตั ถปุ ระสงคห์ ลกั เพ่ือประโยชน์ในข้อใด ก. กำรแสวงหำปัญหำที่แท้จริงและกำรออกแบบวธิ ีกำรแกไ้ ขปญั หำ ข. กำรกำหนดวัตถปุ ระสงคข์ องกำรวิจัย ค. แนวทำงวเิ ครำะหข์ ้อมูลกำรวิจัย ง. กำรต้งั ชื่อเร่อื งกำรวิจยั 11. กำรเลือกหวั ข้อปญั หำทีจ่ ะทำกำรวจิ ยั อย่ำงง่ำยเพื่อแกป้ ญั หำและพฒั นำผ้เู รียน ควรให้ควำมสำคญั ในขอ้ ใดมำกที่สดุ ก. ควรเลือกเรอ่ื งที่ครูผสู้ อน มคี วำมรพู้ ืน้ ฐำนดพี อสำหรับท่จี ะทำวิจัยในเร่อื งน้ัน ข. ควรเลือกเรอื่ งที่ผู้เรียนใหค้ วำมสนใจ ค. ควรเลือกเรือ่ งทไ่ี ม่มีใครทำมำก่อน ง. ควรเลอื กเรอื่ งท่คี รสู นใจ 12. กรณีท่พี บวำ่ “นักศกึ ษำค้นคว้ำไม่เปน็ ” สำเหตุแทข้ องปัญหำตรงกับข้อใด ก. ครไู ม่ให้ควำมสำคญั ในกำรฝกึ กำรค้นคว้ำใหก้ บั นักศกึ ษำ ข. ห้องสมดุ มีหนงั สอื ไม่ตรงกบั ควำมตอ้ งกำรของนักศกึ ษำ ค. นกั ศึกษำไม่รเู้ ทคนคิ กำรคน้ ควำ้ ข้อมูล ง. นกั ศึกษำภำษำไม่ดี 13. หำกครผู สู้ อนตอ้ งกำรข้อมูลเกีย่ วกับครอบครัวและส่ิงแวดลอ้ มของผูเ้ รยี น ขอ้ ใดนำ่ จะเปน็ เคร่ืองมอื เกบ็ ขอ้ มูลได้ดีและมีควำมเชอ่ื ถอื มำกที่สดุ เพรำะอะไร ก. กำรสัมภำษณแ์ บบไม่มีโครงสร้ำง เนอื่ งจำกสำมำรถปรบั เปลย่ี นคำถำม เพือ่ ให้ผถู้ กู สมั ภำษณ์ แสดงควำมคิดเห็นไดอ้ ย่ำงอสิ ระ ข. กำรสมั ภำษณแ์ บบมีโครงสรำ้ ง เนือ่ งจำก สะดวกและรวดเร็วต่อกำรบนั ทึกขอ้ มลู ค. กำรสงั เกต เน่อื งจำกสำมำรถทำไดโ้ ดยผู้ถกู สงั เกตไมร่ ตู้ วั ง. แบบสอบถำมแบบเลอื กตอบ เนอ่ื งจำกประหยัดเวลำ 14. “ในวิชำภำษำไทย ระดับมัธยมศึกษำตอนต้น ครูให้นักศึกษำอ่ำนคำท่ีควบกล้ำด้วย คว พบว่ำ มีนักศึกษำ 3 คน ออกเสียง คำว่ำ ควำย เป็น คำว่ำ ฟำย และคำว่ำ เคว้งคว้ำง เป็น เฟ้งฟ้ำง จำกใจควำมดังกลำ่ ว นำไปเขยี นไวใ้ นส่วนใดของรำยงำนวจิ ยั อย่ำงง่ำย ก. ควำมเป็นมำและควำมสำคญั ของปัญหำ ข. ข้อเสนอแนะ ค. ผลกำรวิจัย ง. ชื่อเร่ือง ค่มู ือการทาวจิ ยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 73
15. หัวข้อใดเปน็ ส่วนสำคญั ทขี่ ำดไมไ่ ดใ้ นรำยงำนกำรวจิ ัยอยำ่ งงำ่ ย ก. วัตถุประสงคข์ องกำรวิจัย ข. สมมตฐิ ำนของกำรวิจัย ค. เอกสำรทเ่ี ก่ยี วข้อง ง. สำรบญั 16. เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นกำรวจิ ยั จะปรำกฏในส่วนใดของกำรรำยงำนวจิ ยั อย่ำงงำ่ ย ก. วัตถปุ ระสงคข์ องกำรวิจัย ข. วิธดี ำเนนิ กำรวจิ ยั ค. เอกสำรอำ้ งองิ ง. ช่ือเรื่อง 17. ขอ้ ใดเป็นกำรสรปุ ผลกำรวจิ ยั ท่ถี ูกตอ้ ง ก. สรปุ ผลในประเด็นกำรวิจัยท่เี ก่ยี วขอ้ ง ข. สรปุ ผลกำรวิจยั ท่สี ำมำรถอธิบำยได้ ค. สอดคล้องกับวัตถปุ ระสงคก์ ำรวิจัย ง. สอดคลอ้ งกบั มำตรฐำนกำรวจิ ัย 18. ขอ้ ใดเป็นหวั ใจสำคัญของกำรเขยี นรำยงำนวจิ ยั อยำ่ งงำ่ ย ก. ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปญั หำ ข. วัตถุประสงค์ของกำรวิจยั ค. ขอ้ เสนอแนะ ง. ผลกำรวิจยั 19. กำรอภปิ รำยผลกำรวจิ ยั ควรสอดคล้องกบั หวั ขอ้ ใดมำกที่สุด ก. ควำมสำคัญของวิธกี ำรแกป้ ญั หำ ข. กรอบแนวคดิ กำรวจิ ัย ค. วัตถปุ ระสงค์กำรวิจัย ง. งำนวจิ ัยท่เี กีย่ วขอ้ ง 20. ข้อใดเป็นกำรเผยแพรผ่ ลงำนวจิ ัยอย่ำงง่ำยในวงกวำ้ ง ก. กำรจัดเวทนี ำเสนองำนวจิ ัย ข. กำรเผยแพร่ด้วยโปสเตอร์ ค. กำรรำยงำนวจิ ยั ฉบบั เต็ม ง. กำรเผยแพรท่ ำงเว็บไซต์ คมู่ ือการทาวิจัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 74
บรรณานกุ รม กรมกำรศกึ ษำนอกโรงเรยี น, กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร. (2538). ชดุ วิชำวจิ ยั ทำงกำรศกึ ษำนอกโรงเรยี น กำรเลอื กปญั หำและกำรกำหนดปัญหำกำรวจิ ยั เล่มที่ 2. พิมพค์ รง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : ประชำชน. __________. (2538). ชดุ วชิ ำวิจัยทำงกำรศึกษำนอกโรงเรยี น กำรวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั ิกำรอย่ำงมสี ว่ นร่วม เลม่ ที่ 7. พมิ พค์ รั้งที่ 2. กรงุ เทพฯ : ประชำชน. __________. (2538). ชุดวชิ ำวจิ ยั ทำงกำรศึกษำนอกโรงเรยี น ระเบยี บวธิ ีวจิ ัยทำงกำรศกึ ษำ เลม่ ที่ 8. พมิ พ์คร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ : ประชำชน. __________. (2538). ชดุ วชิ ำวิจัยทำงกำรศึกษำนอกโรงเรียน กำรออกแบบกำรวิจยั เลม่ ที่ 9. พิมพ์คร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ : ประชำชน. เกียรตสิ ดุ ำ ศรีสขุ . เทคนคิ กำรเขยี นรำยงำนกำรวจิ ัย (ออนไลน์). สบื คน้ จำก : https://www.reg.cmu.ac.th/qa_new/fileslink/research02_3.pdf [19 เมษำยน 2559] เทยี มจันทร์ พำนชิ ผลินไชย. (ม.ป.ป.). กำรวิจัยเพื่อพฒั นำคณุ ภำพผเู้ รียน (ออนไลน์). สืบคน้ จำก : http://office.nu.ac.th/edu_teach/[23 ธันวำคม 2558]. ธรี ะพัฒน์ ฤทธิ์ทอง. (2547). วจิ ยั ในชัน้ เรียน. พิมพค์ รง้ั ที่ 3. กรุงเทพฯ : เฟ่ืองฟ้ำ พร้นิ ตง้ิ . บญุ ชม ศรีสะอำด. (2543). กำรวิจยั เบือ้ งต้น. พิมพ์ครงั้ ท่ี 7. กรงุ เทพฯ : สุวีรยิ ำสำส์น. __________. (2546). กำรวิจัยสำหรบั คร.ู กรุงเทพฯ : สุวรี ยิ ำสำส์น. เปรมปรดี ์ิ หมวู่ ิเศษ. (2554). เมื่อคดิ จะวจิ ัย งำนวจิ ยั ไม่ยำกอย่ำงท่คี ดิ . ลำปำง : โรงเรียนเถนิ เทคโนโลยี พณิชยกำร. ลว้ น สำยยศ และอังคณำ สำยยศ. (2538). เทคนิคกำรวจิ ัยทำงกำรศึกษำ. พิมพ์คร้ังท่ี 5. กรุงเทพฯ : สวุ รี ยิ ำสำสน์ . วำโร เพง็ สวัสด์.ิ (2546). กำรวจิ ัยในชั้นเรียน. กรุงเทพฯ : สวุ รี ยิ ำสำส์น. สถำบนั พัฒนำกำรศกึ ษำนอกระบบและกำรศกึ ษำตำมอัธยำศยั ภำคเหนือ. (2552). คู่มอื กำรทำวจิ ยั อย่ำงงำ่ ย. อบุ ลรำชธำนี : ยงสวัสดอ์ิ นิ เตอร์กรปุ๊ . __________. (2556). คู่มือกำรทำวิจัยชน้ั เรียนอยำ่ งงำ่ ย. อุบลรำชธำนี : ยงสวัสด์ิอนิ เตอร์กรุ๊ป. __________. (2556). บทเรยี นออนไลน์ กำรวจิ ยั อยำ่ งง่ำย หลักสตู รกำรอบรมครูศนู ย์กำรเรียนชมุ ชน ชำวไทยภูเขำ “แม่ฟ้ำหลวง” (เอกสำรอัดสำเนำ). __________. (ม.ป.ป.). บทเรยี นออนไลน์ หลกั สูตร “กำรวิจยั อยำ่ งงำ่ ยสำหรับครู กศน.” (เอกสำรอัดสำเนำ). คู่มือการทาวิจัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 75
สำนักงำนส่งเสรมิ กำรศึกษำนอกระบบและกำรศกึ ษำตำมอธั ยำศยั . (2553). แนวทำงกำรจัดกำรเรียนรตู้ ำม หลักสตู รกำรศกึ ษำนอกระบบระดบั กำรศึกษำข้นั พน้ื ฐำน พุทธศกั รำช 2551. กรุงเทพฯ : รงั สี กำรพมิ พ์ สุภำภรณ์ ม่ันเกตุวิทย์. (2544). ตวั อยำ่ งกำรวิจยั ในช้ันเรยี น ประสบกำรณ์ตรงของครูต้นแบบ. กรุงเทพฯ : 21 เซ็นจรู .่ี สรุ ชัย โกศิยะกลุ . (2548). กำรวจิ ยั ทำงกำรศกึ ษำ. คณะครศุ ำสตร์มหำวทิ ยำลยั รำชภัฏกำแพงเพชร. __________. (2550). กำรวิจยั เพื่อพัฒนำกำรเรยี นร.ู้ คณะครศุ ำสตรม์ หำวทิ ยำลัยรำชภัฏกำแพงเพชร. สวุ มิ ล ว่องวำณชิ . (2545). เคล็ดลบั กำรทำวิจัยในช้นั เรียน. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์อกั ษรไทย. คู่มอื การทาวจิ ยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 76
คณะผจู้ ดั ทา ทปี่ รึกษำ ผู้อำนวยกำร สถำบัน กศน. ภำคเหนอื รองผ้อู ำนวยกำร สถำบัน กศน. ภำคเหนอื นำยจำเรญิ มูลฟอง หัวหน้ำสว่ นจดั กำรศึกษำนอกระบบฯ นำยสมชำย เด็ดขำด นำงณิชำกร เมตำภรณ์ คณะผู้กำหนดเนื้อหำ ยกรำ่ งคู่มือกำรทำวิจัยอย่ำงง่ำยของครู กศน. นำงสำวพิมพใ์ จ นศิ ำวัฒนำนันท์ ข้ำรำชกำรบำนำญ สำนกั งำนเขตพน้ื ท่ีกำรศกึ ษำประถมศกึ ษำลำปำง เขต 1 นำงสำวอรทยั จำรุภทั รพำณิชย์ ผู้อำนวยกำร กศน.อำเภอเมืองพจิ ิตร จังหวัดพจิ ติ ร นำยอนณ วรจติ ต์ ศกึ ษำนิเทศก์ ชำนำญกำรพิเศษ สำนักงำน กศน.จังหวัดพษิ ณโุ ลก นำงสำวสุมำลี อรยิ ะสม ครู ชำนำญกำรพเิ ศษ กศน.อำเภอห้ำงฉัตร จังหวัดลำปำง นำยโยฑิน สมโนนนท์ ครู ชำนำญกำรพเิ ศษ กศน.อำเภอสนั ป่ำตอง จงั หวัดเชยี งใหม่ นำงชญำณี ดำ่ นขจรจิตร ครู อำสำฯ กศน.อำเภอเมอื งพิจติ ร จังหวดั พจิ ติ ร นำงวรินทรศ์ ิญำ ถำนอ้ ย ครู กศน.ตำบล กศน.อำเภอหำ้ งฉตั ร จงั หวัดลำปำง นำงสำวพรี ะพรรณ ฉนั ทะ ครู กศน.ตำบล กศน.อำเภอเชยี งคำ จังหวดั พะเยำ นำงอำไพ สมฤทธ์ิ ครู กศน.ตำบล กศน.อำเภอเชยี งคำ จงั หวดั พะเยำ นำงดวงทิพย์ แกว้ ประเสรฐิ ครู ชำนำญกำรพเิ ศษ สถำบัน กศน. ภำคเหนือ นำงพิมพรรณ ยอดคำ ครู ชำนำญกำรพเิ ศษ สถำบนั กศน. ภำคเหนอื นำงณิชำกร เมตำภรณ์ ครู ชำนำญกำรพเิ ศษ สถำบัน กศน. ภำคเหนอื นำงอรวรรณ ฟงั เพรำะ ครู ชำนำญกำรพเิ ศษ สถำบัน กศน. ภำคเหนอื นำงแกว้ ตำ ธีระกุลพศิ ุทธิ์ ครู ชำนำญกำร สถำบนั กศน. ภำคเหนอื คณะผ้บู รรณำธิกำร ข้ำรำชกำรบำนำญ สำนักงำนเขตพ้นื ท่กี ำรศึกษำประถมศกึ ษำลำปำง เขต 1 ขำ้ รำชกำรบำนำญ สำนักงำน กศน. นำงสำวพมิ พใ์ จ นศิ ำวัฒนำนนั ท์ ครูเช่ยี วชำญ กศน.อำเภอเมอื งอุทัยธำนี จงั หวัดอทุ ยั ธำนี นำงสำวสุดใจ บุตรอำกำศ ครู ชำนำญกำรพเิ ศษ กศน.อำเภอสันป่ำตอง จงั หวดั เชียงใหม่ นำงสำวอนงค์ ชชู ัยมงคล ครู ชำนำญกำรพเิ ศษ สถำบัน กศน. ภำคเหนือ นำยโยฑนิ สมโนนนท์ ครู ชำนำญกำร สถำบนั กศน. ภำคเหนอื นำงบุษบำ มำลนิ กี ุล นำงแก้วตำ ธรี ะกุลพิศทุ ธ์ิ คูม่ ือการทาวจิ ัยอย่างง่ายของครู กศน. 77
เรยี บเรยี ง ครู ชำนำญกำร สถำบัน กศน. ภำคเหนือ นำงแก้วตำ ธีระกุลพิศทุ ธ์ิ ครู ชำนำญกำร สถำบัน กศน. ภำคเหนอื ผู้รบั ผิดชอบโครงกำร ครู ชำนำญกำรพเิ ศษ สถำบัน กศน. ภำคเหนอื ครู ชำนำญกำรพิเศษ สถำบนั กศน. ภำคเหนอื นำงแก้วตำ ธีระกุลพศิ ทุ ธ์ิ ครู ชำนำญกำรพเิ ศษ สถำบัน กศน. ภำคเหนอื พิสูจนอ์ กั ษร ครู ชำนำญกำร สถำบนั กศน. ภำคเหนอื 7/2559 นำงณิชำกร เมตำภรณ์ 50 เล่ม นำงดวงทิพย์ แกว้ ประเสรฐิ งำนกำรพมิ พ์ สถำบนั กศน. ภำคเหนือ นำงพมิ พรรณ ยอดคำ พฤษภำคม 2559 จดั รปู เล่ม ออกแบบปก นำงลำเจยี ก สองสดี ำ เอกสำรวิชำกำรลำดบั ท่ี จำนวนพมิ พ์ พมิ พ์ที่ คู่มอื การทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. 78
Search