คู่มอื การทาวจิ ัยปฏิบตั กิ ารในชุมชน สว่ นวิจัยและพัฒนา สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยภาคเหนอื สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
คานา คมู่ ือการทาวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการในชุมชนเล่มนี้ มีวตั ถปุ ระสงค์ใหค้ รู กศน.นาไปใช้เป็นแนว ทางการทาวิจัยปฏบิ ตั ิการในชุมชนท่ีตนปฏิบัติงานได้อย่างเป็นรปู ธรรม เนือ่ งจากปจั จุบนั ครู กศน.เป็นผู้ มีบทบาทสาคัญทีส่ ุดในการทาวิจัยควบค่ไู ปกับการจัดการศกึ ษาต่อเนอื่ งในชุมชนตามปกติ ปัญหาสาคัญ ประการหน่งึ ของครู กศน.ทจ่ี ะทาวิจยั ปฏิบตั ิการในชุมชน ซึง่ ไดจ้ ากการรวบรวมเอกสาร การสอบถาม ผู้เก่ยี วขอ้ ง การพดู คยุ กบั ครโู ดยตรง พบว่า ครู กศน.บางสว่ นยังขาดความรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องระเบยี บ วิธวี ิจยั และยงั มีความสบั สนเร่อื งการวิจัยเร่อื งการวิจัยท่วั ไปกับการวิจยั ปฏบิ ตั กิ ารในชุมชนอยู่หลาย ประการ เช่น สงสัยว่ามคี วามแตกต่างหรอื เหมอื นกันอยา่ งไรบ้าง นามาใช้แทนกันได้หรือไม่อย่างไร หรือ ควรจะทาวจิ ยั ปฏิบัติการในชมุ ชนอยา่ งเปน็ ทางการ หรือไม่ เป็นต้น คู่มือฯ เล่มนีจ้ งึ นาเสนอสาระในประเด็นดงั กล่าวเพอื่ ให้เห็นภาพหลกั ของการทาวิจัย ปฏิบัตกิ ารในชุมชนโดยรวบรวมเนอ้ื หาได้แก่ ความหมาย ความสาคญั กระบวนการดาเนินการวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในชมุ ชน การตงั้ คาถามการวจิ ยั ตัวอย่างงานวิจยั ปฏิบัติการในชมุ ชนจากสานักงานกองทุน สนับสนุนการวิจยั (สกว.) และตวั อย่างงานวจิ ยั ของ กศน.โดยเฉพาะตัวอยา่ งงานวิจยั ทีย่ กมาประกอบไว้ ในคู่มอื มือเล่มน้ี นอกจากจะสามารถเลือกและนาไปปรบั ใช้กบั ตนเองได้แล้ว และอกี ความร้สู ึกหนง่ึ ท่ี คาดหวังวา่ น่าจะเกดิ กบั ท่านผอู้ า่ นคือ “งานวจิ ยั ไมใ่ ชเ่ ร่อื งยาก” สถาบัน กศน.ภาคเหนอื หวังเปน็ อยา่ งย่งิ ว่าคู่มือการทาวจิ ยั ปฏิบตั กิ ารในชมุ ชนเลม่ นี้ จะ ชว่ ยจุดประกายใหท้ า่ นคดิ และใช้ “งานวจิ ยั ” เปน็ เคร่อื งมือสาคัญ แกป้ ัญหาและคน้ หาคาตอบให้กบั ชุมชนและตัวทา่ นเองต่อไป (นายประเสริฐ หอมดี) ผู้อานวยการ สถาบัน กศน.ภาคเหนอื คู่มอื การทาวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชุมชน : ก
สารบัญ หนา้ ก คานา ข สารบัญ ค โครงสรา้ งคู่มือการทาวจิ ัยปฏิบตั กิ ารในชมุ ชน ง คาแนะนาการใชค้ ู่มือการทาวิจัยปฏบิ ัติการในชุมชน จ แบบทดสอบก่อนเรยี น 1 ตอนที่ 1 บทนา 2 ใบความรูท้ ี่ 1 ความหมายของการวิจัยเชงิ ปฏิบัตกิ าร 7 ใบความรทู้ ่ี 2 ความสาคัญของการวิจัยปฏบิ ตั กิ าร 9 ใบความรู้ที่ 3 กระบวนการสาคัญของการวิจัยปฏิบัติการในชุมชน 11 ใบงานที่ 1 15 ตอนที่ 2 การวจิ ัยปฏิบัตกิ ารในชมุ ชนรปู แบบการวิจยั เพ่ือทอ้ งถิ่น 16 ใบความรู้ที่ 4 ความหมายและรปู แบบการวิจยั เพือ่ ท้องถิ่น 19 ใบความรทู้ ่ี 5 ระเบยี บวธิ ีวิจยั เพ่ือทอ้ งถิ่น 23 ใบงานที่ 2 26 ตอนท่ี 3 การต้ังคาถามการวจิ ัย และตัวอยา่ งงานวจิ ัยปฏิบตั ิการในชมุ ชน 27 ใบความรู้ที่ 6 การตั้งคาถามการวิจยั 33 ใบความรูท้ ่ี 7 ตัวอยา่ งงานวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการในชุมชนตวั อยา่ งจากครู กศน. 45 ใบความร้ทู ี่ 8 ตวั อย่างงานวจิ ยั เพ่อื ทอ้ งถ่นิ 57 ใบงานท่ี 3 60 แนวคาตอบ ใบงานท่ี 1 , 2 , 3 71 แบบทดสอบหลงั เรยี น 75 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี นและแบบทดสอบหลังเรยี น 76 บรรณานกุ รม 77 คณะผู้จดั ทา คูม่ ือการทาวิจยั ปฏบิ ตั กิ ารในชมุ ชน : ข
โครงสรา้ งคู่มอื การทาวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารในชุมชน สาระสาคัญ ครู กศน.มีภารกิจจัดการศึกษานอกระบบขั้นพืน้ ฐานและจัด การศกึ ษาต่อเนือ่ งในชมุ ชน ภารกจิ ทงั้ 2 ประการดงั กล่าวจาเป็นต้อง อาศัยวิธีการวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการเข้ามาพัฒนางาน การวจิ ยั ปฏิบตั ิการใน ชมุ ชนจึงเป็นเรื่องสาคัญควบคูไ่ ปกบั การวิจัยในชั้นเรียนท่คี รู กศน. ตอ้ งศึกษาเรียนร้แู ละลงมอื ทาวิจยั แน่นอนวา่ ผลงานวจิ ัยนัน้ เปน็ เปา้ หมายทสี่ าคัญอยา่ งยง่ิ ของการวิจัยแตเ่ ปา้ หมายสงู สุดของการวจิ ัย คอื การพฒั นาวธิ ีคดิ ของนกั วจิ ยั ใหม้ ีคณุ ภาพมากขึน้ โดยมงี านวิจัย เปน็ วถิ ีทาง วัตถุประสงค์ เพอ่ื ให้ผู้ปฏบิ ัติงานการศึกษานอกโรงเรยี น มีความรู้ ความเข้าใจ เก่ยี วกับการทาวิจยั ปฏบิ ัติการในชุมชน และสามารถนาความรไู้ ป ปฏบิ ตั กิ ารทาวิจยั ปฏิบตั ิการ (action research) ในชุมชนได้ ขอบข่ายเนอื้ หา ประกอบด้วยเนอ้ื หา 3 ตอน ดงั น้ี ตอนท่ี 1 บทนา 1.1 ความหมายของการวิจยั เชงิ ปฏิบตั กิ าร 1.2 ความสาคัญของการวิจยั ปฏิบตั ิการในชมุ ชน 1.3 กระบวนการสาคัญของการวิจยั ปฏบิ ัติการในชมุ ชน ตอนท่ี 2 การวิจยั เพื่อท้องถิน่ 1.4 ความหมายและรปู แบบการวจิ ัยเพอ่ื ท้องถน่ิ 1.5 ระเบยี บวจิ ัยเพอ่ื ท้องถิน่ ตอนที่ 3 การตัง้ คาถามการวจิ ัยและตวั อย่างการวจิ ยั ปฏิบตั กิ ารใน ชุมชน 1.6 การต้ังคาถามการวิจยั 1.7 ตัวอย่างงานวิจยั ปฏิบตั ิการในชมุ ชนจากครู กศน. 1.8 ตัวอย่างงานวจิ ยั เพอ่ื ท้องถ่ิน ระยะเวลาเรียน ระยะเวลาในการเรยี นรู้ภาคทฤษฏี 20 ชั่วโมง ภาคปฏิบัติ20 ชัว่ โมง รวม 40 ช่ัวโมง ค่มู ือการทาวิจยั ปฏิบตั กิ ารในชมุ ชน : ค
คาแนะนาการใช้คู่มือการทาวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชุมชน คู่มือการทาวจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชน ประกอบด้วย 1. เอกสารใบความรู้ที่ 1-8 2. ใบงานที่ 1-3 ครู กศน.จะตอ้ งศึกษาเอกสารและทากิจกรรมตามที่กาหนดไว้ในคู่มือการทาวิจยั ปฏิบัตกิ ารใน ชมุ ชน 1. การศึกษาเนอ้ื หาในคู่มอื การศึกษาด้วยตนเองแตกตา่ งจากการศกึ ษาโดยการเข้าอบรม ฟงั คาบรรยายโดยวทิ ยากรผ้มู ี ความชานาญเป็นอยา่ งมาก ครู กศน.จะต้องฝกึ ฝนตนเอง โดยอา่ นและทาความเขา้ ใจเอกสารค่มู ือทุก หนา้ ตามลาดับ แต่การอา่ นเพียงอยา่ งเดียวอาจทาให้ครู กศน.ขาดขอ้ มลู บางอย่าง ควรศึกษาเพิม่ เติม จากเอกสารอนื่ หรอื ค้นควา้ ทางอนิ เตอรเ์ น็ตเพมิ่ เติม 2. การประเมนิ ผลตนเอง กอ่ นทคี่ รู กศน.จะเร่มิ ศกึ ษาใบความรแู้ ละทากิจกรรม ครู กศน.จะตอ้ งทาแบบประเมนิ ผล ตนเองกอ่ นเรียน ทง้ั น้เี พอ่ื ชว่ ยใหค้ รู กศน.ประเมนิ ความเขา้ ใจก่อนทาการศกึ ษาวา่ มคี วามเขา้ ใจมากน้อย หรือถกู ต้องเพยี งใด แลว้ จึงศึกษาเน้อื หาในคมู่ อื เมอ่ื ศึกษาจบแล้ว ครู กศน.จะตอ้ งทาแบบประเมนิ ผล ตนเองหลงั เรยี นอกี ครั้ง เพือ่ ทดสอบดวู า่ มีความเข้าใจเน้อื หาเพียงใด แบบประเมินผลเป็นแบบปรนยั จานวน 20 ขอ้ ไมค่ วรเสียเวลาเกินกวา่ 25 นาที ถึงแมว้ า่ ครู กศน.จะทาแบบประเมินผลก่อนเรยี นไดด้ ี (มากกวา่ รอ้ ยละ 80 ) ก็ไม่สมควรจะงด ศกึ ษาใบความรู้ในคมู่ ือ เพราะอาจมีแง่มุมต่าง ๆ ที่แตกตา่ งจากความคิดของครู กศน.และจะทาใหค้ รู กศน.มคี วามเข้าใจความรูก้ วา้ งขวางขึ้นกวา่ เดมิ 3. การทากิจกรรม 3.1 กจิ กรรมในใบงาน ขอใหค้ รู กศน.ใชค้ วามคิดและทากิจกรรมลงในใบงาน จะช่วยใหค้ รู กศน.ทบทวนความเขา้ ใจของตนเองในเรอ่ื งนั้น ๆ ดีข้ึน ซึง่ ครู กศน.ไมค่ วรเปิดดเู ฉลยกอ่ นทาใบงาน เพียงแตค่ รู กศน.ใชค้ วามคิดเพ่ิมเตมิ เล็กนอ้ ยก็จะสามารถทากิจกรรมไดไ้ มย่ ากนัก 3.2 ครู กศน.ควรศกึ ษาเอกสารค่มู ือตามขั้นตอนทกี่ าหนดไว้ จะได้รับผลอย่างเตม็ ท่ี มปี ระสทิ ธภิ าพพรอ้ มท้ังเขา้ ใจเนอ้ื หาดีขน้ึ ค่มู อื การทาวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชมุ ชน : ง
แบบทดสอบกอ่ นเรียน คาสัง่ เลือกคาตอบท่ถี ูกทสี่ ุดเพยี งขอ้ เดียว 1. ข้อใดคอื ความหมายของการวจิ ัยปฏิบตั กิ ารในชมุ ชน ก. การคน้ หาความจริงอยา่ งมเี ทคนคิ เฉพาะ ข. การรวมกันหาความจรงิ อย่างมขี ั้นตอน โดยนักวิชาการ ค. การคน้ หาความจรงิ อย่างมีแบบแผน โดยนักพัฒนาชมุ ชน ง. การค้นหาความจริงอย่างมีระบบ โดยชาวบ้านในชมุ ชนรว่ มมือกัน 2. ข้อใดเปน็ องค์ประกอบสาคญั ของการวจิ ยั ปฏบิ ัตกิ ารในชุมชน ก. การมีส่วนรว่ มของประชาชน ข. การเกบ็ ขอ้ มูลโดยการสมั ภาษณแ์ บบมโี ครงสรา้ ง ค. การศกึ ษาเอกสารงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ง. การมรี ูปแบบการวจิ ยั ที่ชดั เจน 3. ข้อใดเปน็ จดุ มุ่งหมายการทาวจิ ยั ปฏบิ ัติการในชุมชน ก. บันทกึ ขอ้ มลู ของชุมชน ข. พัฒนาผลงานวชิ าการของชุมชน ค. ประเมนิ ตดั สินผูเ้ รียนในชมุ ชน ง. หาสาเหตุของปญั หาและแกป้ ัญหาในชมุ ชน 4. ส่ิงที่ต้องการศกึ ษาหรือหาคาตอบจากประเดน็ ปญั หาการทาวิจัยปฏิบัตกิ ารในชมุ ชน คอื ขอ้ ใด ก. ชื่องานวจิ ยั ข. วตั ถุประสงคข์ องงานวจิ ยั ค. ความสาคญั ของการความเป็นมา ง. ขนั้ ตอนการดาเนนิ งานวจิ ยั 5. ประโยชน์สูงสุดของการทาวิจัยปฏบิ ัติการในชมุ ชนคือ ขอ้ ใด ก. การไดแ้ นวทางการแกป้ ัญหา ข. ประยุกต์ใชใ้ นการดาเนินงาน ค. การได้ทฤษฏีการศกึ ษาชมุ ชนทีต่ รงกับสภาพจริง ง. การเพิม่ พนู ข้อมลู พื้นฐานสาหรับการวางแผน ค่มู ือการทาวจิ ยั ปฏิบัติการในชุมชน : จ
6. การศกึ ษา “กรณตี วั อยา่ งงานวจิ ัยชุมชน” ใหป้ ระโยชน์ต่อผู้วิจยั ในขอ้ ใดมากทส่ี ดุ ก. กาหนดชอื่ เรอื่ งได้กะทดั รัด ข. ตง้ั สมมตุ ิฐานงานวจิ ัยได้ถูกตอ้ ง ค. ได้แนวคดิ ในการออกแบบการวิจัย ง. นาเครือ่ งมอื วจิ ยั มาประยกุ ต์ใช้ 7. การสรปุ ผลการวจิ ัยท่ถี ูกต้อง ต้องสอดคล้องกับขอ้ ใด ก. ความเป็นมาของการวจิ ัย ข. วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั ค. แบบแผนการวจิ ยั ง. กลุ่มตัวอย่างในการวจิ ยั 8. การวางแผนการวิจัยควรคานงึ ถึงขอ้ ใดมากทส่ี ดุ ก. คน เวลา และการจดั การ ข. มผี ู้รู้เรอื่ งการวิจยั ชว่ ยดาเนินการ ค. สามารถดาเนนิ การโดยใช้งบประมาณน้อยท่ีสุด ง. สามารถตอบคาถามวตั ถปุ ระสงค์การวิจัยได้ 9. การวจิ ัยเพื่อท้องถน่ิ มคี วามสาคญั ตอ่ การพัฒนาอย่างไร ก. คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการวิจัย ข. เข้าใจสภาพของชมุ ชนท้องถนิ่ อย่างถ่องแท้ ค. ไดข้ อ้ มลู แทจ้ ริงเพ่ือไปใชใ้ นการวางแผนพัฒนา ง. ได้คาตอบที่แท้จรงิ ไม่มปี ระเดน็ บิดเบือน 10. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ กลวธิ ีที่เกี่ยวขอ้ งกับการวิจยั ปฏบิ ตั กิ ารอย่างมสี ่วนรว่ ม ก. การศึกษาผใู้ หญ่ ข. การฝึกฝนอาชีพ ค. กระบวนการกลุ่ม ง. กระบวนการแกป้ ญั หา 11. ผลที่เกดิ จากการวจิ ยั เพ่ือท้องถน่ิ คือ ข้อใด ก. ประชาชนมคี วามรู้เพ่มิ ข้ึน ข. ประชาชนมงี านทาเพมิ่ ขึน้ ค. ประชาชนมีการกนิ ดีอยู่ดขี ้นึ ง. ประชาชนตระหนกั ในหน้าท่ขี องตนเองตอ่ ชมุ ชน คมู่ อื การทาวิจัยปฏิบัติการในชมุ ชน : ฉ
12. ข้อใด ไมใ่ ช่ แนวคิดเกย่ี วกบั การวจิ ัยเพื่อท้องถน่ิ ก. คนทกุ คนมีความสามารถในการคดิ และแกป้ ญั หา ข. ปัญหาท่จี ะแก้ควรเริม่ จากความรู้สึกของประชาชน ค. ความรคู้ วามสามารถของประชาชนมีความสาคัญเทา่ ๆ กบั นกั วิจยั ง. ประชาชนมีการศึกษานอ้ ยจงึ ต้องมีนกั วิจยั เข้าไปชว่ ยแก้ปัญหา 13. การวเิ คราะหป์ ญั หาของชุมชน คอื ขนั้ ตอนใดของการวจิ ยั ปฏบิ ัตกิ ารอย่างมสี ่วนร่วม ก. การคดั เลอื กชุมชน ข. สารวจขอ้ มูลเบอ้ื งตน้ ค. ศึกษาปัญหาและประเมินทรัพยากร ง. แจ้งชุมชนทราบปัญหาของตนเอง 14. องค์ประกอบทีค่ วรนามาใช้ในการประเมนิ ความเป็นไปไดข้ องการดาเนินงานงานวจิ ัยเพอื่ ท้องถนิ่ คอื ข้อใด ก. นโยบายของรฐั ข. ทรัพยากรท่มี ีอยใู่ นทอ้ งถ่ิน ค. ความพร้อมของนักวิจัย ง. ความต้องการของคณะกรรมการบริหารหมบู่ า้ น 15. หัวข้อการวิจยั ข้อใดควรใชร้ ูปแบบการวจิ ยั เพอื่ ทอ้ งถ่นิ ก. การพัฒนามาตรฐานเกษตรธรรมชาตเิ พือ่ เพ่มิ มลู ค่าเศรษฐกิจชมุ ชน ข. การจัดการงานศพโดยยดึ หลักเศรษฐกจิ พอเพียงตาบลไหลห่ ิน อาเภอเกาะคา จงั หวดั ลาปาง ค. การเปรียบเทียบปญั หาการใช้และความตอ้ งการเทคโนโลยสี ารสนเทศของสานักงาน กศน. จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน ง. การพฒั นาความเขม้ แข็งของกล่มุ อาชพี ไม้เทพธาโร หมู่ท่ี 1 ตาบลเขากอบ อาเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง 16. การวิจัยเพ่อื ท้องถนิ่ หวั เร่ืองใดเกยี่ วข้องกับพลังสตรใี นชนุ ชนมากทีส่ ุด ก. การสรา้ งสานตสิ ขุ ในครวั เรอื น ข. การฟืน้ ฟูวัฒนธรรมท้องถิน่ ค. การอนรุ ักษแ์ ละฟืน้ ฟูลายผา้ นาหมน่ื ศรี ง. การสรา้ งเศรษฐกจิ ชมุ ชน ค่มู อื การทาวจิ ยั ปฏบิ ัติการในชมุ ชน : ช
17. งานวจิ ัยเร่อื งการศกึ ษาความคิดเหน็ ของกานันผใู้ หญบ่ า้ นเกยี่ วกับการมีสว่ นรว่ มทางการเมือง ระดบั ทอ้ งถิ่นในจังหวัดแพร่ เครอื่ งมอื ท่นี ิยมใช้เกบ็ ข้อมูล คือขอ้ ใด ก. แบบทดสอบ ข. แบบสอบถาม ค. แบบสังเกต ง. แบบสมั ภาษณ์ 18. การวิจยั เพือ่ ท้องถิน่ มคี วามสาคญั ตอ่ การพฒั นาอย่างไร ก. คนในชมุ ชนท้องถิ่นมีสว่ นร่วมในการวจิ ยั ข. ได้คาตอบทแ่ี ท้จรงิ ไมม่ ีประเด็นท่บี ดิ เบือน ค. เขา้ ใจสภาพของชุมชนทอ้ งถิ่นอยา่ งถอ่ งแท้ ง. ไดข้ ้อมลู ทีแ่ ทจ้ ริงเพ่อื นาไปใช้ในการวางแผนพัฒนา 19. เมอื่ ใดต้องใชก้ ารวจิ ัยเพอ่ื พัฒนาชมุ ชน ก. เม่อื ตอ้ งการค้นหาชมุ ชนเพ่อื พัฒนา ข. เมอ่ื ตอ้ งการศกึ ษาปญั หาความยากจน ค. เมื่อผ้ศู ึกษาต้องไปใชช้ ีวติ ร่วมกับคนในชมุ ชน ง. เมื่อต้องการแก้ปญั หาในชมุ ชน แตย่ งั ไม่พบวิธีการทีด่ ที ่ีสดุ 20. หัวใจสาคญั โครงการวิจัยเรือ่ งการอนุรักษแ์ ละฟนื้ ฟูปแู สมโดยการมสี ่วนร่วมของโรงเรยี นและ ชุมชนวดั ศรสี วุ รรณคงคาราม อาเภอเมอื ง จงั หวดั สมุทรสงคราม อยูท่ ี่ข้อใด ก. อนรุ ักษ์และฟนื้ ฟูปแู สมทมี่ ีจานวนลดน้อยลงให้มีปรมิ าณเพิ่มขนึ้ ข. กระบวนการสร้างจติ สานึกแก่เด็กและเยาวชนใหม้ ีความรกั และหวงแหนทอ้ งถิ่น ค. ได้เรียนรูแ้ ละเข้าใจถึงประวตั ศิ าสตรข์ องชุมชน ง. ความสาคญั ของสายน้าและลาคลองทเ่ี ช่อื มโยงกับการประกอบอาชีพ ***************** ค่มู ือการทาวจิ ยั ปฏิบตั ิการในชมุ ชน : ซ
1ตอนท่ี บทนา วัตถุประสงค์ 1. อธบิ ายความหมาย ความสาํ คญั และกระบวนการสําคัญของการ วจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชุมชนได้ 2. ยอมรับและเห็นความสาํ คญั ของกระบวนการวิจัยปฏิบัติการใน ชมุ ชนวา่ เปน็ งานวจิ ัยขนาดเลก็ ช่วยแก้ปัญหาทเ่ี ป็นโจทยว์ ิจัยจาก ชมุ ชนได้พอเหมาะกับสภาพของครู กศน.ทมี่ ีภาระงานมากมาย 3. เหน็ ความแตกตา่ งระหวา่ งการวิจัยวชิ าการกับการวจิ ัยปฏิบตั กิ าร ในชุมชน สาระสาคญั ประกอบด้วยใบความรู้ 3 เร่อื ง คือ 1. ความหมายของการวิจยั เชิงปฏิบัตกิ าร 2. ความสําคญั ของการวิจยั ปฏบิ ัติการในชุมชน 3. กระบวนการสําคัญของการวจิ ัยปฏิบตั ิการในชมุ ชน ข้ันตอนการเรียนรู้ 1. อ่านและทําความเขา้ ใจใบความรทู้ ี่ 1-3 2. ศึกษาใบงานท่ี 1 แล้วตอบคาํ ถาม 3. ศึกษาหาความรทู้ ่ีเกี่ยวกบั ความหมาย ความสาํ คญั และ กระบวนการในการทําวจิ ัยปฏบิ ัติการในชุมชนจากเอกสาร หรือ จากอนิ เตอรเ์ น็ ตเพมิ่ เตมิ แลว้ ทาํ เปน็ ใบความรู้ คู่มอื การทาวจิ ัยปฏิบตั กิ ารในชมุ ชน : 1
ใบความรูท้ ี่ 1 ความหมายของการวจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ าร ปจั จบุ นั การวจิ ยั เชิงปฏิบัติการไดน้ าํ ไปใชใ้ นชัน้ เรยี นเรยี กว่าการวิจัยในชั้นเรียน (classroom action research ) และเมื่อนาํ วจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารไปใช้ในชุมชนมีชือ่ เรยี กต่าง ๆ กัน คือ “การวจิ ยั ชุมชน” “ชาวบ้านวจิ ยั ” หรอื “ชุมชนแหง่ การเรียนรู้” เชน่ หมบู่ ้านสามขา อาํ เภอแม่ทะ จังหวัดลําปาง หรอื ชมุ ขนแหง่ การเรยี นรู้ตําบลน้ําเกี๋ยน อาํ เภอภเู พียง จงั หวัดน่าน รปู แบบการจดั การนา้ํ ในคลอง ตําบลแพรกหนามแดง อําเภออมั พวา จังหวัดสมทุ รสงคราม เป็นตน้ ปลายปี 2541 สํานกั งาน กองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั ได้เร่ิมเปดิ แนวคิดวิจัยปฏิบัติการในชมุ ชนรปู แบบ “งานวิจัยเพอ่ื ท้องถิ่น” ขนึ้ โดยมีหลกั การชัดเจนคอื เป็นโจทย์ทีม่ าจากท้องถิ่น อาศยั กระบวนการมสี ่วนรว่ มจากท้องถนิ่ และตอ้ ง ปฏบิ ตั ิการจริง ความหมายของการวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั ิการ ความหมายที่ 1 เปน็ ความหมายทีย่ ึดเอากระบวนการดาํ เนนิ การอย่างตอ่ เนอ่ื ง (P-A-O-R) เปน็ หลัก เมอ่ื ครู กศน. อ่านแล้วจะไดร้ ับประโยชนค์ อื นาํ เอากระบวนการต่อเนอ่ื งไปใชว้ ิจยั ปฏิบัติการ พัฒนากิจกรรม กศน. การวจิ ัยเชิงปฏิบตั ิการคือ การวิจยั ทีด่ าํ เนนิ โดยผ้ปู ฏิบัตงิ านเพ่ือแก้ปัญหาและพัฒนาการ ปฏิบตั ิงานให้มีประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผลย่ิงขึ้นเปน็ กระบวนการท่ดี าํ เนินการอยา่ งตอ่ เนอื่ งเป็นวงจร ประกอบดว้ ย การวางแผน (P : Plan) การปฏิบตั ิ (A : Act) การสังเกตผล (O : Observe) และการ สะท้อนผลการปฏบิ ัติ (R : Reflect) โดยผ้ปู ฏบิ ตั สิ ามารถดําเนนิ การวิจยั คนเดียว หรือดําเนินการแบบ ร่วมมือกันระหวา่ งผู้มสี ่วนได้ส่วนเสยี นาํ ผลการวจิ ัยไปใชป้ ระโยชน์ในทนั ที ไม่มุ่งนาํ ผลไปวางนัยสรปุ ท่วั ไปในเชงิ ทฤษฎีหรือหลกั การทว่ั ไปเหมือนการวจิ ัยเชิงวิชาการทั่วไป จากความหมายของการวิจยั เชิง ปฏิบัติการข้างตน้ ครู กศน.สามารถนาํ กระบวนการวจิ ยั เชงิ ปฏิบัติการ 4 ข้นั ตอน คอื 1) ขั้นวางแผน 2) ข้ันปฏิบตั กิ าร 3) ขัน้ สงั เกตการณ์ และ 4) ขน้ั สะท้อนผลการปฏบิ ัติการมาใชใ้ นการพฒั นาการจัดกจิ กรรม กศน.ตามภาระ งานในชุมชน ดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้ คู่มือการทาวิจยั ปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชน : 2
ช่อื เรือ่ ง การพฒั นากระบวนการเรยี นรูใ้ หค้ รอบครัวเปาู หมายสามารถพ่ึงพาตนเองไดแ้ ละอยใู่ น สงั คมอยา่ งมคี วามสขุ : กรณศี ึกษาบ้านมลู บน หมู่ 7 ตําบลจระเขห้ ิน อาํ เภอครบุรี จังหวดั นครราชสีมา ผวู้ ิจยั เรอื งยศ จักรบุตร ศนู ย์การศกึ ษานอกโรงเรียนจงั หวัดนครราชสมี า 2540. การวจิ ยั ครง้ั นีม้ วี ัตถปุ ระสงค์ 1) เพ่อื พัฒนากระบวนการเรยี นรใู้ ห้ครอบครวั เปูาหมาย สามารถพึ่งพาตนเองได้ 2)เพอ่ื พฒั นากระบวนการเรยี นร้ใู หส้ มาชิกครอบครัวเปาู หมายสามารถ ดาํ รงชวี ติ อยูใ่ นสังคมอย่างมคี วามสุข กลุ่มเปาู หมาย ในการวจิ ยั ได้แก่ 1)กลมุ่ ครอบครัวเปูาหมาย ประกอบอาชีพปลูกพืชผกั ทํานา ทําไร่ จาํ นวน 32 ครอบครวั 2)กลุ่มครอบครัวเปูาหมายประกอบ อาชพี เลี้ยงปลา จับปลา รับจา้ ง และอ่ืน ๆ จํานวน 25 ครอบครัว ท้งั 2 กลุ่ม รวม 57 คน และมีกลุ่ม ผูใ้ หข้ ่าวสารสําคญั (Key Informants) จาํ นวน 5 คน วิธกี ารดําเนินการวิจยั โดยใช้กระบวนการวจิ ัย ปฏิบตั ิการ (Action Research) ประกอบดว้ ย 4 ขน้ั ตอน ขั้นการวางแผน (Planning) ข้นั ปฏิบตั ิ ตามแผน (Action) ข้นั สงั เกต (Observation) และขน้ั สะทอ้ นผล (Reflection) จํานวน 3 วงรอบ และใช้กลยุทธ์ การมสี ่วนรว่ มระดมพลังสมอง การจดั ศนู ยก์ ารเรยี นชมุ ชน การรจู้ กั ครอบครวั ตนเอง การฝึกทกั ษะอาชพี การเป็นสมาชกิ กลมุ่ กองทนุ ตา่ ง ๆ และการเข้าค่ายทักษะชีวิต เคร่ืองมือในการ วจิ ัย ประกอบดว้ ย แบบบันทึก แบบสาํ รวจ และแบบประเมินผลสภาพจริง วเิ คราะหข์ อ้ มลู ด้วยวิธี เชงิ คณุ ภาพ ตรวจสอบข้อมลู แบบสามเสา้ นาํ เสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลเชิงบรรยายในรูปแบบการ วจิ ัยปฏิบัตกิ าร ผลการวจิ ัย ประเดน็ การวจิ ยั ท่ี 1 การพัฒนากระบวนการเรียนรใู้ ห้กับครอบครวั เปาู หมายสามารถ พ่ึงพาตนเองได้ พบว่า 1.กลยุทธก์ ารมีส่วนรว่ มในรูปแบบระดมพลังสมอง ทาํ ใหไ้ ดร้ บั กลยทุ ธใ์ นการพฒั นา ครอบครวั เปาู หมาย เช่น การจัดศูนย์การเรยี นชุมชน การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง การรูจ้ ักครอบครัว ตนเอง การฝึกทักษะชีวติ การเขา้ ค่ายทักษะชีวติ และการร่วมเป็นสมาชกิ กองทุน 2. กลยทุ ธก์ ารรจู้ ักครอบครัวตนเอง ทําให้ครอบครัวเปาู หมายได้พฒั นากระบวนการเรียนรู้ การวเิ คราะหเ์ ศรษฐกจิ ของครอบครัว ฝกึ ปฏิบัตบิ นั ทึกสมุดบญั ชีรายรับ-รายจา่ ยภายในครอบครวั และบันทกึ บญั ชีตน้ ทนุ กาํ ไรในการลงทนุ รสู้ ถานการณ์ทางการเงินภายในครอบครวั สรา้ งความ ตระหนัก การควบคุมรายรับ-รายจ่าย การลดหน้ี การออม ส่งผลให้ครอบครวั พึง่ พาตนเอง 3. กลยทุ ธก์ ารเข้าร่วมเปน็ สมาชกิ กองทุน สง่ ผลให้มีการออม มที ุนสาํ หรับการลงทนุ ได้ แลกเปลยี่ นเรยี นรกู้ ารผลิต ประเด็นการวจิ ยั ท่ี 2 การพัฒนากระบวนการเรียนรใู้ ห้กับสมาชิกครอบครัวเปาู หมาย สามารถดาํ รงชวี ิตอย่ใู นสังคมอยา่ งมคี วามสุข พบว่า การจัดโครงการเขา้ คา่ ยทักษะชีวิตสามารถ สนองความต้องการของสมาชิก และสอดแทรกเน้ือหา ด้านการอยู่ในสังคมอย่างเปน็ สุข ได้แก่ การ ปูองกนั ยาเสพตดิ ลดละ เลกิ อบายมุข ไมท่ ะเลาะววิ าท ไม่ลกั ขโมย ไม่ เลน่ การพนัน ดาํ รงชวี ติ อยใู่ น กรอบศีลธรรมอันดี สง่ ผลใหส้ มาชิกกลุม่ เปาู หมายดาํ รงชวี ติ ในสังคมอย่างมคี วามสขุ และพืน้ ฐาน สงั คมวัฒนธรรม หมูบ่ ้านน้ีมีพฤตกิ รรมอยใู่ นระดบั ดมี าตลอด การพัฒนากระบวนการเรียนรูจ้ ึงเสรมิ จดุ แขง็ ย่งิ ขึ้น ค่มู อื การทาวิจยั ปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชน : 3
สรุปผลการวิจยั วงรอบที่ 1 ระหว่างเดือนตุลาคม 2544 – มีนาคม 2545 ประเด็นที่ 1 ไม่บรรลุ วัตถปุ ระสงค์ ประเด็นท่ี 2 บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ วงรอบที่ 2 ระหว่างเดือนเมษายน 2545 – เดอื นกันยายน 2545 ประเด็นที่ 1 และ 2 บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ วงรอบท่ี 3 ระหว่างเดอื นตลุ าคม 2545 – เดอื นมีนาคม 2546 ประเด็นท่ี 1 และ 2 บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ ระหวา่ งเดือนเมษายน 2546-เดอื นกนั ยายน 2546 ได้พฒั นาตามกลยทุ ธอ์ ย่างตอ่ เนอ่ื ง ไดร้ บั รางวัล ชนะเลิศระดับประเทศ เปน็ หม่บู า้ นวิสาหกจิ ชุมชนดีเด่น กรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวง ศกึ ษาธกิ าร ในวนั ที่ 8 กันยายน 2546 ณ เมอื งทองธานี ข้อเสนอแนะ การวิจัยปฏิบตั กิ ารควรหากลยุทธ์ท่หี ลากหลาย จะทาํ ใหค้ ้นพบกลยทุ ธท์ ่ีเหมาะสมกับพ้ืนที่ วฒั นธรรมทอ้ งท่นี ้นั และควรวจิ ยั อยา่ งนอ้ ย 3 วงรอบ จงึ จะสามารถยนื ยันได้ คมู่ ือการทาวิจัยปฏบิ ัติการในชมุ ชน : 4
ความหมาย ท่ี 2 เป็นความหมายของการวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารทคี่ รู กศน.ดาํ เนนิ การอยใู่ น ปัจจบุ ัน ซ่ึงไมเ่ ป็นไปตามกระบวนการดําเนินการอย่างต่อเนื่อง (P-A-O-R) ซ่งึ มีความหมาย ดงั น้ี การวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั ิการ เปน็ กระบวนการที่ครู กศน. เปน็ ศูนยก์ ลางของการวิจยั โดยครู ผู้วจิ ัยจะเลือกหรือกําหนดกิจกรรมอยา่ งใดอย่างหนึ่งขึ้นมาวิจัยเปน็ ผู้พจิ ารณาว่าเหมาะสมแลว้ จากน้ันก็ นํากจิ กรรมน้นั ๆ มาทดลองปฏิบตั กิ ารวา่ ใช้ได้หรอื ไม่ โดยผวู้ จิ ยั จะกําหนดเกณฑใ์ นการติดตามและ ประเมนิ ผล เปน็ การออกแบบงานวิจยั (Research design) รปู แบบ “การทดลองจรงิ ในสนาม” (Field experiment) ขอยกตัวอยา่ ง ประกอบ 2 ตัวอย่าง ดงั นี้ ตัวอยา่ งท่ี 1 ช่อื งานวจิ ัย การพัฒนารูปแบบการพฒั นาอาชพี เพ่อื แกป้ ญั หาความยากจนระดบั บุคคล บ้านหนอง กลางดง ตาํ บลการแอ่น อําเภอพยัคฆภูมพิ ิสยั จงั หวัดมหาสารคาม ชอ่ื ผูว้ จิ ยั นางรัตนา ปะกคิ ะเน (2551) โจทย์คาถามการวิจัย การแก้ปัญหาความยากจนระดบั บุคคล จํานวน 17 คน บ้านกลางดง ผู้มี รายได้ตํา่ กว่าเกณฑ์ จปฐ.ควรมีรูปแบบอย่างไร นวัตกรรม การสร้างอาชีพเพ่ิมข้ึน จํานวน 3 อาชพี คือ 1) การเพาะเหด็ นางฟูา 2)การเลยี้ งปลาดุก ในบอ่ พลาสติก 3) การเลย้ี งกบในบอ่ ดิน โดยใช้กระบวนการ จัดเวทวี ิเคราะหส์ ภาพปญั หา วางแผน พฒั นาอาชีพทเ่ี หมาะกับพ้นื ที่ การไปศกึ ษาดูงาน การฝึกอบรมอาชีพ และการประเมนิ ผล วัตถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือพฒั นารปู แบบการพัฒนาอาชพี เพ่ือแกป้ ญั หาความยากจนระดบั บคุ คล 2. เพือ่ ศกึ ษาผลกระทบตอ่ ผมู้ ีรายได้ต่ํากวา่ เกณฑ์ จปฐ.จํานวน 17 คน 3. เพือ่ ประเมินความพึงพอใจในรูปแบบการพัฒนาอาชีพเพื่อแก้ปัญหาความยากจนระดบั ตาํ บล วธิ ีดาเนินการ 1. ผู้รว่ มโครงการจาํ นวน 17 คน เป็นผู้มรี ายไดต้ ่าํ กว่าเกณฑ์ จปฐ. 2. จัดกระบวนการพัฒนาอาชีพประกอบดว้ ย การจัดเวทีชาวบา้ น การศกึ ษาอาชพี และ การฝกึ อบรมอาชีพ (การเพาะเห็ดนางฟูา การเล้ยี งปลาดกุ ในบ่อพลาสตกิ และการ เลยี้ งกบในบ่อดนิ ) 3. การตดิ ตามผลกระทบและความพงึ พอใจ 4. ใช้เครื่องมือเก็บรวบรวมขอ้ มูล ไดแ้ ก่ แบบสงั เกต แบบสัมภาษณ์ แบบตรวจสอบผล แบบสอบถาม เพ่ือการประเมนิ ผลทกุ ขนั้ ตอน คู่มือการทาวิจยั ปฏบิ ตั กิ ารในชมุ ชน : 5
ผลการศกึ ษา 1. เม่ือผู้วจิ ยั พบว่าหลงั จากนําชาวบา้ นไปศกึ ษาดูงานแล้วทดลองปฏิบตั กิ ารพบปญั หาท่ี ตามมา คือได้ผลผลติ เหด็ นางฟาู น้อย ทาํ กอ้ นเหด็ ไม่เป็น ปลาดุกทเี่ ลยี้ งในบอ่ พลาสติกโตชา้ การ ขยายพันธ์กุ บและการเลยี้ งกบในบอ่ ดนิ ลกู กบมอี าการตาแดง มุมปากเป็นแผล จึงได้ทําการจดั อบรม เพมิ่ เตมิ เพื่อแก้ปัญหาทพี่ บจากการสร้างอาชพี ใหม่ จํานวน 3 อาชีพ ๆ ละ 2 วนั โดยเชญิ วิทยากร มาให้ความรูแ้ ละฝกึ ปฏบิ ัติเพ่มิ เติม 2. ชาวบา้ นไดน้ ําความรูจ้ ากการอบรมเพิม่ เตมิ ไปปรับปรงุ แก้ไขและจากการติดตามผล พบวา่ ชาวบา้ นสามารถทํากอ้ นเหด็ ได้ ปลาดกุ โตเร็วไม่เกิดโรคระบาด สามารถขยายพันธล์ุ กู กบได้ ตัวอย่างท่ี 2 ชื่องานวิจยั การส่อื สารแบบมสี ่วนรว่ มเพอ่ื จัดการปัญหาขยะของประชาชนท้องถิน่ อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ชื่อผู้วิจยั สทิ ธิชยั เทวธรี ะรัตน์ เสาวนีย์ โคตรพนั ธ์ จตรุ ภัทร ชยั สุวรรณ ประสทิ ธิ เฉดิ จินดา รักจิต มัน่ พลศรี 2547 งานวจิ ัยเร่อื งการสอ่ื สารแบบมสี ่วนรว่ มเพ่ือจดั การปัญหาขยะของอําเภอปากช่อง จังหวัด นครราชสมี า ของสทิ ธชิ ยั เทวธรี ะรตั น์ และคณะ ไดใ้ ชแ้ นวคิดเรอื่ งการสื่อสารแบบมีสว่ นรว่ มที่มี การระบุคุณลกั ษณะต่าง ๆ ของการสอ่ื สารดังกลา่ วเอาไว้ คณะวิจัยต้องการพิสูจน์วา่ รูปแบบการ สอื่ สารดังกล่าวมีศักยภาพในการแก้ไขปญั หาของชมุ ชนไดจ้ ริงหรือไม่ จึงไดเ้ ลอื กแบบการวจิ ัยเป็น “การทดลองจริงในสนาม” (Field experiment) ดว้ ยการเลือกชุมชนทม่ี กี ารส่อื สารแบบไมม่ สี ว่ น รว่ มแล้วใส่ treatment (การสือ่ สารแบบมีส่วนร่วม) เขา้ ไป แลว้ วัดผลออกมา หมายเหตุ : โครงการน้ีเป็นโครงการยอ่ ยโครงการหน่ึงในชดุ โครงการ “การส่ือสารเพอ่ื ชุมชน” ซง่ึ ประกอบด้วยโครงการวจิ ัยยอ่ ย 30 โครงการ สนับสนนุ โดยสาํ นักงานกองทุนสนบั สนนุ การวจิ ัย (สกว.) นาํ มาเสนอไวเ้ ปน็ ตัวอย่าง เพอ่ื ยืนยนั วา่ “งานวจิ ัยไมใ่ ช้เรื่องยากอยา่ งท่ีคดิ ” คู่มอื การทาวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการในชมุ ชน : 6
ใบความรทู้ ี่ 2 ความสาคัญของการวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารในชมุ ชน ในการทําวจิ ยั ของครู กศน.ส่วนใหญเ่ ป็นการวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารในกลุ่มผูเ้ รียนท้งั การศกึ ษา นอกระบบขนั้ พน้ื ฐานและการศกึ ษาต่อเนอื่ ง ความคาดหวังให้ครูทาํ การวิจัยเชิงปฏิบตั กิ ารตาม เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแกไ้ ขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 ท่ีระบใุ นมาตรา 30 ทร่ี ะบวุ า่ “ใหส้ ถาน ศกึ ษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนท่มี ปี ระสทิ ธิภาพรวมทงั้ การส่งเสรมิ ให้ผสู้ อนสามารถวจิ ยั เพ่ือพฒั นาการเรยี นร้ทู ี่เหมาะสมกบั ผูเ้ รียนในแตล่ ะระดับ การศึกษา” จงึ สง่ ผลใหก้ ารวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั ิการมคี วามสาํ คัญ ดังนี้ ความสําคญั ของการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารในการจัดการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตาม อัธยาศยั มีดังนี้ 1. การพัฒนาคณุ ภาพของผ้เู รยี น ผลการวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการในกลุ่มผเู้ รยี น มีผลกระทบ โดยตรงตอ่ ผู้เรียนซ่งึ เป็นสิ่งสาํ คญั ทส่ี ุดของการจัดการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยใน กระบวนการดาํ เนินการวิจยั จะสง่ ผลใหผ้ ู้เรียนไดร้ ับการพัฒนาเพอื่ ใหส้ ามารถเรยี นรู้ไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธภิ าพ 2. การพฒั นาประสทิ ธิภาพในการปฏิบัติงานของครู ผลการวิจยั เชิงปฏิบัตกิ ารในกลุม่ ผู้เรยี นมผี ลกระทบโดยตรงต่อครใู นการพัฒนาบทบาทผูอ้ ํานวยความสะดวกการเรียนรู้ เช่นเดียวกันทาํ ให้ครมู วี ถิ ชี ีวติ ในการทาํ งานทเี่ ปน็ ระบบในเชิงวิทยาศาสตรม์ ากย่ิงข้ึนนาํ การวิจัยมาใชใ้ นการพฒั นา กระบวนการเรียนการสอนซง่ึ จะพฒั นาไปส่คู วามเป็นครูมอื อาชพี ดา้ นการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย (Professional teacher) ได้รับการยอมรบั จากผเู้ รยี น วงการวชิ าชพี และสงั คม ท่ัวไปไดม้ ากขึน้ 3. การสร้างสถานศึกษาและศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยให้ เป็นองคก์ รแหง่ การเรยี นรู้ (Learning organization) เกิดการจดั การความรู้ (Knowledge management) ดา้ นการวจิ ัยอยา่ งเป็นระบบเกดิ เครอื ข่ายการเรยี นรูด้ ้านการวิจยั ระหวา่ งเพอ่ื นครใู น สถานศกึ ษา ระหว่างผบู้ ริหารครแู ละระหวา่ งสถานศึกษาดว้ ยกัน ตลอดจนระหวา่ งสถานศกึ ษาและ ชมุ ชนซ่ึงผลพลอยได้ทด่ี ที ต่ี ามมาคือความรว่ มมอื และการผนึกกําลงั กนั พัฒนากจิ กรรมการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยต่าง ๆ ตัง้ แตก่ ารพบกลุม่ จนกระทง่ั สูช่ มุ ชน 4. การตอบสนองเจตนารมณ์การปฏิรปู การศกึ ษา การวจิ ยั เชิงปฏิบัตกิ ารในกลุ่มการ เรยี น เป็นการดําเนินการเพือ่ การตอบสนองเจตนารมณก์ ารปฏิรปู การศึกษาที่ระบไุ วใ้ นบทบัญญตั ิของ กฎหมายว่าดว้ ยการศกึ ษาแหง่ ชาตโิ ดยตรงเปน็ กลไกสาํ คญั สว่ นหนงึ่ ท่จี ะแปลงความคาดหวงั ไปสู่การ ปฏบิ ตั อิ ย่างเป็นรปู ธรรมท่ีจะส่งผลใหก้ ารศึกษาตลอดชีวิตเกิดคณุ ภาพการศกึ ษาของประเทศโดยรวม สงู ขึ้น 5. การเช่ือมโยงทฤษฎสี ่กู ารปฏบิ ตั ิ ลดช่องวา่ งระหวา่ งนักทฤษฏใี นฐานะนักวจิ ยั และนกั ปฏบิ ัติงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ให้แคบลงเปน็ การเติมเต็มศกั ยภาพ (empowerment) ใหก้ บั นักปฏิบตั เิ พราะการวจิ ยั ทเี่ ปน็ ทางการแบบดงั้ เดิมน้นั นกั ปฏบิ ตั อิ ยู่ในฐานะ ผูถ้ กู กระทาํ (passive) ในฐานะของผใู้ หข้ อ้ มลู หรอื ผรู้ ับการทดลองเพ่อื ตอบวตั ถุประสงคก์ ารวจิ ัยของ ผู้วิจยั ตลอดมาจนเป็นท่เี ขา้ ใจและยอมรับกนั วา่ การวจิ ัยเปน็ เรอื่ งยากหรอื เปน็ เรือ่ งของนกั วิจัยมอื อาชีพ เทา่ นนั้ คู่มือการทาวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการในชุมชน : 7
ความสาคญั ของการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารต่อชมุ ชน มดี งั น้ี 1. การวิจยั ปฏิบัติการในชุมชน คอื กระบวนการทางปญั ญาทีท่ าํ ให้ชุมชนสามารถสรา้ ง กระบวนการเรยี นรูไ้ ดด้ ว้ ยตนเองและสามารถจดั การเรยี นรู้ คอื การนาํ ความรู้ ภมู ิปญั ญาเดมิ ท่มี ีอยูม่ า ผสมผสานกบั ความรู้จากภายนอกท่ีมีการเปลยี่ นแปลงไป เพอ่ื ทาํ ให้ชุมชนสามารถกําหนดทศิ ทาง แกป้ ัญหาทเี่ หมาะสมได้ ดังนน้ั การวิจัยปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชน จึงเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการทางสงั คมมี ความสมั พนั ธ์กบั บริบทของสังคม การมีส่วนร่วมของคนในชมุ ชน ทาํ ใหป้ ระชาชนมีความรสู้ ึกเป็นเจา้ ของ ชมุ ชน สง่ ผลให้มกี ารดาํ รงอยู่อยา่ งสงบสขุ และมกี ารพัฒนาอย่างย่ังยืน 2. ชาวบา้ น ประชาชน ผ้ดู ้อยโอกาสจะตนื่ ตวั ได้รบั การศกึ ษามากขึน้ สามารถคิดและ วิเคราะหเ์ หตุการณ์ตา่ ง ๆ ได้อยา่ งถูกตอ้ ง มคี วามเชอื่ ม่ันในการท่ีจะให้ความรว่ มมือกันในการดําเนิน กิจกรรมท้ังทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง เพื่อกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อตนเองและชมุ ชน 3. ปญั หาหลักสําคญั ในชุมชนได้รบั การแก้ไข ประชาชนผดู้ ้อยโอกาสจะมโี อกาสมากขนึ้ การจัดสรรทรพั ยากรและผลประโยชนต์ า่ ง ๆในชุมชน จะมีการกระจายอยา่ งทวั่ ถึงและเป็นธรรม รวมท้งั ความรู้และขอ้ มูลข่าวสารซ่ึงจะสง่ ผลใหค้ ุณภาพชวี ิตของคนในชุมชนดีขึ้น 4. สําหรับผวู้ จิ ยั และนักพฒั นา จะไดเ้ รียนรจู้ ากชุมชน ได้ประสบการณใ์ นการทํางาน ร่วมกับชมุ ชน อันจะกอ่ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจชุมชนไดด้ ี และเกดิ แนวคิดในการพัฒนาท่ีแท้จริง 5. นกั วจิ ัยได้ทาํ งานพฒั นาตามอดุ มคติของตนเอง 6. การวจิ ัย เป็นงานทีส่ าํ คญั ตอ่ คนในชมุ ชนเพราะการวจิ ยั เป็นรากฐานของการประดษิ ฐ์ คดิ คน้ และการพฒั นาทจี่ ะนาํ ไปสูค่ วามเจริญก้าวหน้าของชุมชน สงั คม และประเทศที่ใหค้ วามสําคัญแก่ การวจิ ัย ยอ่ มมผี ลใหป้ ระเทศนน้ั มคี วามร่งุ เรือง มน่ั คงในด้านเศรษฐกจิ และสังคม เน่ืองจากงานวิจยั เปน็ สิ่งทท่ี ําให้เกิดการค้นพบความรใู้ หม่ อนั จะนําไปสกู่ ารสรา้ งสรรค์พัฒนาใหเ้ กดิ ประโยชน์ ซง่ึ ความอยากรู้ อยากเห็น และการแสวงหาคําตอบจนบรรลผุ ลสําเรจ็ ไดก้ ่อให้เกดิ ส่ิงแปลกใหม่ สง่ิ อํานวยความสะดวก และการแกไ้ ขปญั หาของผทู้ ่ี ทาํ การวจิ ัย ครอบครัว ชมุ ชน และสังคมโดยรวม ล้วนเปน็ ผลจากการ ศึกษาวจิ ยั เพอื่ ตอบคาํ ถามอันนําไปสกู่ ารสรา้ งสรรค์และพฒั นาทัง้ สิ้น คมู่ อื การทาวจิ ยั ปฏบิ ัติการในชมุ ชน : 8
ใบความรู้ที่ 3 กระบวนการสาคัญของการวิจยั ปฏิบตั กิ ารในชุมชน การวจิ ัยปฏิบัตกิ ารในชมุ ชนอาจจําแนกระยะเวลาดําเนินการได้ 2 ระยะคอื ระยะท่ี 1 การ เตรียมการ และระยะท่ี 2 การปฏบิ ตั กิ าร ระยะท่ี 1 การเตรียมการ เปน็ ระยะของการค้นหาความทกุ ขแ์ ละเหตุการณใ์ นระยะนี้ ตอ้ งคน้ หาเรื่องราวต่อไปน้ี 1.1 สภาพบรบิ ทของทอ้ งถิน่ ซงึ่ มกั ประกอบด้วย สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เชน่ แหล่ง นา้ํ ปาุ ไม้ แหลง่ การเกษตร ความอดุ มสมบูรณข์ องดิน นา้ํ ปาุ ฯลฯ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกจิ เช่น อาชพี และการทํามาหากนิ ของตนในท้องถน่ิ ปฏทิ นิ การผลิต หนีส้ นิ ฯลฯ สภาพแวดล้อมทางสังคมและ วฒั นธรรม เช่น วิถชี วี ติ ชนเผ่า วัฒนธรรมประเพณี ระบบความสมั พันธข์ องชุมชนท้องถน่ิ ปราชญ์ ทอ้ งถ่ิน ปราชญช์ าวบ้าน องคก์ รชุมชนท้องถน่ิ ปฏิทินประเพณี ฯลฯ 1.2 สถานการณป์ ัญหาและการเปลี่ยนแปลงของชุมชนทอ้ งถิ่น มกั เป็นการศกึ ษา สถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงเฉพาะเร่อื ง เชน่ การศึกษาสถานการณ์ปัญหาหน้สี นิ การศึกษาการ แก้ปัญหาการทะเลาะวิวาทของวยั รุน่ เป็นตน้ ประวัติศาสตร์ท้องถนิ่ เป็นฐานสาํ คัญของการวิจยั เพ่อื ทอ้ งถิน่ ทีจ่ ะช่วยให้ชุมชนท้องถนิ่ รู้จักรากเหงา้ ของตนเอง ประวตั ศิ าสตร์จากคําบอกเลา่ ของชุมชน ท้องถ่นิ ประกอบการวเิ คราะห์การเปลย่ี นแปลงในแตล่ ะชว่ ง จะช่วยให้เราเขา้ ใจชุมชนทอ้ งถิ่นได้ลกึ ซ้ึง ขึ้น 1.3 ภมู ปิ ญั ญาชมุ ชนทอ้ งถิน่ กเ็ ป็นต้นตอทส่ี าํ คัญของชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ก่อนที่ชมุ ชนจะลอก เลยี นภมู ิปัญญาจากทีอ่ นื่ มาใช้ จะต้องมกี ารค้นหาภมู ิปัญญาของตนเองกอ่ นแล้ววเิ คราะหใ์ หเ้ ห็นวา่ ภมู ปิ ัญญาดังกล่าวใช้ได้หรอื ไม่ได้กบั สถานการณ์แวดล้อมทเ่ี ปล่ียนแปลงไป และจะต้องปรบั ภูมิปัญญา อยา่ งไร ระยะที่ 2 การปฏบิ ัตกิ าร เปน็ การดาํ เนนิ การใหพ้ ้นทุกขแ์ ละประเมินสภาพการพน้ ทกุ ข์ ในระยะน้ีแบ่งไดเ้ ป็น 3 ขั้นตอน คอื 2.1 การวางแผนปฏบิ ัตกิ ารเปน็ การใช้ขอ้ มูลจากระยะที่ 1 มาวางแผนปฏิบตั กิ าร ซง่ึ มกั จะใชข้ อ้ มูลภายนอกมาประกอบดว้ ย เชน่ ขอ้ มลู จากการศึกษาดงู าน ขอ้ มลู จากนักวิชาการ เป็นตน้ 2.2 การลงมือปฏิบัติการ เป็นระบบปฏิบัตกิ ารที่คนในชุมชนท้องถนิ่ มกั จะมสี ว่ นร่วมอยา่ ง กวา้ งขวาง นอกเหนือไปจากกลมุ่ นักวิจัยชุมชนแล้ว การปฏบิ ตั ิการนี้อาจจะอาจะมหี ลายชุดของการ ปฏบิ ตั กิ าร 2.3 การประเมนิ ผลการปฏิบัติการ หรอื ที่นกั วจิ ัยชุมชนท้องถ่ินเรยี กวา่ การสรปุ บทเรยี น และการถอดบทเรียน เป็นการสรปุ ความรทู้ ีเ่ กดิ จากการปฏิบัตกิ าร เพยี งแต่ในระยะทผี่ า่ นมาการถอด บทเรยี นและการสรปุ บทเรียนส่วนใหญย่ ังทาํ ได้ไม่ลกึ และละเอียดมากนัก ทาํ ใหไ้ ม่สามารถดงึ ความรูท้ ี่ เกดิ ขน้ึ จากการปฏบิ ตั ิการได้ชัดเจนนกั การทจี่ ะดาํ เนนิ การตามกระบวนการสาํ คัญของการวจิ ยั ปฏิบัติการในชุมชนใหป้ ระสบผลดี จาํ เป็นตอ้ งใช้การ “คดิ ” ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญของการวิจัย ซ่งึ ประกอบดว้ ย 1. การคดิ โจทย์การวิจัย ซึง่ อาจตอ้ งคดิ ถึงปัญหาปัจจุบันและอนาคตของชุมชนท้องถ่ิน หากปญั หาดังกลา่ วตอ้ งการความรูเ้ รอื่ งอะไรมาใชใ้ นการแกป้ ัญหา กจ็ ะไดโ้ จทย์วจิ ยั ทเี่ หมาะสม คู่มอื การทาวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการในชมุ ชน : 9
2. การคดิ การออกแบบเพ่อื ตอบปญั หาการวิจยั เม่อื ได้โจทย์วิจัยแล้วคงต้องออกแบบว่า จะเก็บขอ้ มูลอะไรบ้าง จะเกบ็ ขอ้ มูลอย่างไร จะเก็บจากใคร และจะวเิ คราะห์อย่างไรเพอื่ ตอบปญั หา ดงั กล่าว 3. การคิดวิเคราะห์เพื่อกาหนดการปฏบิ ตั ิการทีเ่ หมาะสม เป็นการคดิ วิเคราะหบ์ น ฐานข้อมลู ทเี่ ก็บรวบรวมมา เป็นการคดิ ทเ่ี ช่ือมโยงอดตี และปจั จบุ ัน คิดให้เห็นศกั ยภาพในอดตี คดิ ให้ เห็นข้อจาํ กัดของศักยภาพในอดีต คดิ ใหเ้ ห็นสภาพความร้จู ากภายนอกท่จี ะชว่ ยเติมเตม็ ภูมิปญั ญาทเี่ คย มี และเชื่อมโยงวางเป็นแนวปฏิบตั ิการทเี่ หมาะสมกับสภาพการณป์ จั จุบนั ถ้ามีการคดิ วิเคราะห์อย่าง เขม้ ข้นจะช่วยใหก้ ารวางแผนการปฏิบัตกิ ารมคี วามเหมาะสม สอดคล้องอยา่ งจรงิ จัง 4. การคิดเชิงระบบให้เหน็ องคร์ วมของความรู้ เปน็ สว่ นสําคัญของการคิดในชว่ งสรปุ บทเรียนและความรู้ การคดิ แบบนีเ้ ป็นความคดิ เชงิ ประจักษ์จากปรากฏการณข์ องการปฏิบตั กิ าร ไดจ้ าก กระบวนการถอดบทเรียนร่วมใหเ้ หน็ ความรู้ในภาพรวมและภาพยอ่ ย และโยงใยให้เหน็ ความรู้ท้ังหมด ซ่งึ โดยปฏบิ ัติการจรงิ แล้วการวิจยั ในชุมชนท่วั ไปยงั ทําได้น้อย 5. การคดิ เชงิ ประยกุ ต์กระบวนการวจิ ัยไปใช้ในกระบวนการแกไ้ ขปัญหาอน่ื ของชุมชน ท้องถนิ่ การคิดแบบน้มี อี ยู่ค่อนข้างมากในงานวจิ ยั ในชุมชน เพราะมักจะพบวา่ มีการขยายผลนาํ ไปสูก่ าร แกไ้ ขปัญหาอ่ืน ๆ โดยทว่ั ไป คู่มือการทาวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในชุมชน : 10
ใบงานที่ 1 ความหมาย ความสาคญั และกระบวนการสาคัญของการวจิ ยั ปฏบิ ัตกิ ารในชุมชน เมื่อทา่ นศกึ ษาใบความร้ทู ี่ 1-3 เสรจ็ แล้วใหแ้ สวงหาความรู้เพ่มิ เติมเพ่อื ตอบประเด็น คาํ ถาม 5 ขอ้ ต่อไปนี้ ----------------------------------- 1. ความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบตั ิการ (Action research หรอื Field experiment) อย่างนอ้ ย 2 ความหมาย .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 2. เพราะเหตใุ ดจงึ กล่าววา่ การวิจัยปฏบิ ตั กิ ารในชุมชนมีข้อจากัดในการสรุปอ้างองิ ผลการวิจัย .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 3. สภาพการและวธิ ีคดิ ของนกั วิชาการและคนทอ้ งถ่นิ มีช่องวา่ งในการส่ือสารและความคาดหวังของ แต่ละฝุายท่ีมตี อ่ งานวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารในชมุ ชนแตกตา่ งกนั อย่างไร แนวคิดของฝุายนักวชิ าการตอ่ งานวิจยั มดี ังน้ี .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... คู่มอื การทาวิจยั ปฏบิ ตั กิ ารในชุมชน : 11
แนวคิดของฝุายคนในทอ้ งถ่ินต่องานวจิ ยั มีดังนี้ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 4. สาํ นักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั (สาํ นกั งาน กศน.) ได้ให้ความ สําคญั ของการวิจยั ปฏบิ ัตกิ ารในชุมชนอย่างไรบา้ ง .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... คมู่ ือการทาวจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชุมชน : 12
5. ให้บอกความแตกตา่ งระหวา่ งการวิจัยปฏิบัติการในชมุ ชนกบั การวิจยั เชิงวชิ าการ ประเดน็ การวิจัยปฏิบตั ิการในชุมชน การวิจัยเชิงวชิ าการ 1. เปาู หมาย 2. ผู้วิจัย 3. วงจรของ การวิจัย 4. วธิ ีการวิจยั 5. การกําหนด วธิ ีการแกไ้ ข ปญั หาในชุมชน ค่มู อื การทาวิจัยปฏิบตั ิการในชมุ ชน : 13
ประเด็น การวิจัยปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชน การวิจยั เชงิ วชิ าการ 6. กลุม่ เปาู หมาย ท่ีต้องการทาํ วิจัย 7. ข้อมลู วจิ ยั 8. การวิเคราะห์ ขอ้ มลู 9. การอภิปราย แปลความหมาย ขอ้ คน้ พบจาก การวิจยั 10. ช่วงเวลาใน การทาํ วิจัย 11. การใชผ้ ล การวจิ ยั ค่มู ือการทาวจิ ัยปฏิบตั ิการในชมุ ชน : 14
2ตอนท่ี ก การวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการในชุมชนรปู แบบการวิจัยเพอื่ ท้องถ่ิน วัตถุประสงค์ 1. อธบิ ายความหมาย และรปู แบบการวจิ ยั เพอื่ ท้องถิน่ ได้ 2. เข้าใจข้นั ตอนในการดาํ เนินงานการวจิ ัยในลักษณะของการวิจัย เพอ่ื ท้องถน่ิ ได้ 3. เขา้ ใจและมองเห็นประโยชนข์ องการวิจยั ปฏิบตั ิการในชุมชน รูปแบบการวิจัยเพ่ือท้องถิ่น 4. สามารถเปรียบเทียบลักษณะของงานวจิ ัยปฏิบตั ิการในชมุ ชนที่ ดาํ เนนิ การโดยครู กศน.และการวจิ ยั เพ่อื ทอ้ งถนิ่ (สกว.)ได้ สาระสาคัญ ประกอบด้วยใบความรู้ 3 เรือ่ ง คือ 1. ความหมายและรปู แบบการวจิ ัยเพ่ือท้องถ่นิ 2. ระเบียบวธิ วี จิ ยั เพ่ือท้องถ่นิ ข้ันตอนการเรยี นรู้ 1. อา่ นและทําความเข้าใจใบความรู้ท่ี 4-5 ต 2. ศกึ ษาใบงานที่ 2 แล้วตอบคาํ ถาม 3. ศกึ ษาดว้ ยตนเองเกยี่ วกับหลกั การ วธิ ีการ ของการวจิ ยั เพื่อ ท้องถิน่ (สกว.) ตลอดจนศกึ ษาช้ินงานวจิ ัยเพื่อทอ้ งถิ่น ที่ สกว. นําเสนอในรปู เอกสาร และทางอนิ เตอร์เน็ คู่มอื การทาวิจัยปฏบิ ตั กิ ารในชุมชน : 15
ใบความรทู้ ่ี 4 ความหมายและรปู แบบการวจิ ัยเพื่อทอ้ งถ่ิน สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปน็ หน่วยงานในกาํ กับของสํานกั นายกรัฐมนตรี ทีม่ ีระบบบริหารท่แี ตกต่างจากระบบราชการ จดั ตัง้ ตามพระราชบัญญตั กิ องทุนสนับสนนุ การวิจัย พ.ศ.2535 ดาํ เนนิ งานภายใตก้ ารกํากับดูแลของคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการ ตดิ ตามและประเมินผลการสนบั สนนุ การวิจยั โดยการแต่งต้ังของคณะรฐั มนตรี สกว.ได้ต้งั สํานกั งานภาค (สกว.สาํ นกั งานภาค) ทจ่ี ังหวัดเชยี งใหม่ เมอ่ื เดอื นตลุ าคม 2541 เพ่ือเริม่ ดาํ เนนิ งานวิจยั แบบใหม่ ทเ่ี รยี กว่า “งานวิจยั ทอ้ งถิน่ ” (Community-Based Research) โดยมเี ป้าหมายอยู่ทก่ี ารทาให้ชมุ ชน ท้องถน่ิ ไดเ้ รียนรู้และไดร้ บั ประโยชน์จากงานวิจัยโดยตรง เพ่อื ใหง้ านวิจัยมสี ่วนในการแกป้ ญั หาของ ชุมชนและก่อใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงขึ้นอยา่ งมแี บบแผนในชุมชนท้องถิ่น ความหมายกระบวนการวจิ ัยเพื่อท้องถนิ่ กระบวนการวิจัยเพ่อื ท้องถ่ิน หมายถงึ การทํางานอยา่ งเป็นระบบ เปน็ ข้นั ตอนเพือ่ ตอบ “คาถาม” หรอื “ความสงสยั ” บางอยา่ งโดยมีการแยกแยะประเด็นวา่ ขอ้ สงสัยอยตู่ รงไหน มีการค้นหา “ขอ้ มูล” ก่อนทํา มกี ารวิเคราะหค์ วามนา่ เชอ่ื ถือของข้อมูล มีการ “วางแผน” การทาํ งานบนฐานข้อมลู ที่มอี ยูแ่ ละในระหว่างลงมอื ทาํ กจ็ ะมีการทบทวนความกา้ วหน้า วิเคราะหค์ วามสาํ เรจ็ และอปุ สรรคอยา่ ง สมา่ํ เสมอในท่สี ุดก็จะสามารถ “สรุปบทเรยี น” เพอ่ื ตอบคาํ ถามทีต่ ้งั ไว้แล้วอาจทําใหม่ให้ดขี ้ึน โดย ทง้ั หมดดาํ เนนิ การโดยชุมชนทอ้ งถ่นิ ซง่ึ เป็น “ผสู้ งสัย” นนั่ เอง ผลงานวิจยั ท่ีสําคัญย่งิ ของงานวิจยั น้ี คอื “คน” และ “กลุม่ ” ท่เี กดิ ข้นึ จากการเข้ารว่ ม กระบวนการวิจยั ซ่งึ จะนําไปส่กู ารแกป้ ญั หาของชมุ ชนตัวเองท่ีเปน็ อยูใ่ นปจั จุบนั และมีความพรอ้ มใน การรบั มือกับอนาคต สามารถช้ีนาํ และเฝาู ระวงั การเปลย่ี นแปลงของชมุ ชนต่อไปด้วย และชมุ ชนท้องถ่ิน จะไดป้ ระโยชนจ์ ากงานวิจัยอย่างแทจ้ รงิ ก็ต่อเมอ่ื ประการแรก เร่อื งท่ที าํ วิจัยเป็นเร่อื งทีช่ ุมชนและคน ทอ้ งถน่ิ ต้องการ ประการทีส่ อง คนในชมุ ชน คนในทอ้ งถน่ิ ได้รว่ มกนั ทาํ วจิ ัยอยา่ งเขม้ ข้น และ ประการที่ สาม งานวิจยั นท้ี าํ ใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงทีเ่ หน็ ได้เปน็ รูปธรรมกับชมุ ชนทอ้ งถิ่น การทาํ งานตามเงือ่ นไขสามประการดังกลา่ วจาํ เป็นตอ้ งให้มกี ระบวนการ “คิดรว่ มกนั ทารว่ มกนั ” ระหว่างผทู้ ีเ่ ก่ียวขอ้ งทั้งชาวบ้าน ผูน้ าํ ชุมชน นักพัฒนา นกั วิจัย และภาคอี ่ืน ๆ โดยใช้ “เวที เรียนรู้” เป็นเครอ่ื งมือสําคัญในทุกข้ันตอน ตงั้ แต่การประมวลสถานภาพและองค์ความรใู้ นชุมชน การตง้ั โจทยว์ ิจัย การวางแผน การวิจัย เสนอโครงการ การเกบ็ ขอ้ มลู การวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลและ รายงานผลการวิจยั โดยเฉพาะในส่วนของหวั ขอ้ วิจัยหรือโจทย์วจิ ยั ตอ้ งอาศัย “เวทีเรียนรู้” และการตรวจสอบ หลาย ๆ ทางให้แนใ่ จวา่ เป็นความต้องการของชุมชนอย่างแท้จรงิ เพราะความตอ้ งการและปญั หาของ ชุมชนมีหลากหลายและซับซ้อน บางเรือ่ งสามารถแกไ้ ขไดด้ ้วยงานพัฒนา แตบ่ างเรอ่ื งตอ้ งการงานวิจัย เป็นเครอื่ งมือเพือ่ หาคําตอบ หรือหาทางเลอื กทีเ่ หมาะสม อกี ท้งั คาํ วา่ “วจิ ัย” ในความร้สู กึ ของชาวบ้าน หรือผทู้ ่ไี ม่เคยทาํ งานวิจยั มากอ่ นยังเห็นวา่ เปน็ เรอ่ื งที่ “ยากมาก” ดังนั้นการประสานงานและสนบั สนุน ให้เกิดการ “คดิ เปน็ หมู่ ทําเปน็ หมู่” ของคนในชุมชน จึงมีความสาํ คญั อย่างยง่ิ คมู่ อื การทาวจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชน : 16
รปู แบบการวจิ ัยเพ่อื ท้องถิน่ การวิจยั เพ่อื สามารถดาํ เนนิ การได้ 2 รูปแบบ คอื 1) การวจิ ยั แบบเตม็ รูปแบบ (PAR) และ 2) การวจิ ัยทางเลอื กใหมเ่ พ่ือทอ้ งถ่นิ รายละเอียดมีดงั นี้ 1) การวิจัยแบบเต็มรปู แบบ (PAR) เปน็ งานวิจยั ทีม่ ลี กั ษณะสมบูรณ์แบบตามแนวความคิดการวจิ ยั เพือ่ ท้องถิน่ ทงั้ ในเชิงเนื้อหา และในเชงิ กระบวนการ ภายใตห้ ลักการวา่ “เป็นปญั หาของชาวบา้ น ชาวบา้ นเปน็ ทีมวจิ ัย และ มปี ฏบิ ัติการเพื่อแกป้ ญั หา” โดยใช้ระยะเวลาดาํ เนนิ การไม่เกนิ 2 ปี ผ่านกระบวนการวิจยั เชิง ปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research : PAR) งานวิจัยแบบนีม้ ี 2 ลักษณะ กล่าวคอื 1.1 การวิจยั ทีเ่ น้นกระบวนการแก้ปัญหาสังคมในทกุ ประเด็น เปน็ การศกึ ษาในเชิง กระบวนการเคลอื่ นตวั ของชุมชนท้องถ่นิ ในบริบทหนงึ่ ๆ ตอ่ การแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ท่ีชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ร่วมกัน ดําเนินการ ไดแ้ ก่ ชมุ ชนกับการจัดการปญั หาตา่ ง ๆ การรวมกลุม่ หรือการสรา้ งเครอื ข่ายปญั หาหรือ เครือข่ายอาชพี การเรยี นรู้และการศึกษาทางเลอื ก 1.2 การวจิ ัยที่เน้นการทดลองเปรยี บเทยี บและทดสอบปจั จัยต่าง ๆ เป็นการศกึ ษา เพอื่ ที่จะทดสอบทางเลอื กจากหลาย ๆ ทางเลอื ก เพ่ือทีจ่ ะหาทางเลอื กทม่ี ปี ระสิทธภิ าพ ๆได้แก่ ในการ ผลติ การแปรรูปและการตลาด โดยเนน้ ทางเลอื กอาชีพเปน็ หลัก 2) การวิจยั ทางเลือกใหมเ่ พอ่ื ทอ้ งถิ่น เป็นงานวิจยั เพ่ือทอ้ งถิ่นรปู แบบใหมท่ ่ีพัฒนามาจากแบบแรกเพอื่ ใหเ้ หมาะสมกบั ความ ต้องการและสอดคล้องกบั ศักยภาพของท้องถนิ่ และกลุม่ คนซึ่งมหี ลากหลา ยระดบั หรอื เพ่อื ให้ท้องถ่ิน สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม เป็นการเริม่ ต้นทดลองทาํ งานวิจยั อย่างง่าย ๆ โดยใช้ระยะเวลา ดําเนินการไม่มากนกั ประมาณ 3 – 6 เดอื น หรือไมเ่ กนิ 1 ปี มีหลายทางเลอื ก ดงั น้ี 2.1 การวจิ ยั เบอื้ งตน้ เปน็ กระบวนการพฒั นาโจทยว์ จิ ัยและการรวบรวมความรู้ รวมถงึ การเตรียมชมุ ชน เตรยี มทีมวิจยั ชาวบา้ น เพ่ือวางแผนและแก้ปญั หาในเบอ้ื งตน้ หรือพัฒนาไปสู่งานวิจยั เต็มรูปแบบตอ่ ไป เช่น การสรปุ ถอดความรู้ จากงานพัฒนาในอดีตทที่ ําสาํ เรจ็ มาแลว้ เพอ่ื การพัฒนา ต่อยอด การรวบรวมขอ้ มูลความรเู้ พือ่ นาํ มาใช้ในการวางแผนพัฒนา 2.2 การวจิ ัยที่เน้นการสรุปความรู้และรวบรวมองคค์ วามรู้จากการทางานพัฒนาของ ชุมชน เป็นเร่อื งที่ชมุ ชนอยากรู้ อยากรวบรวมความรู้ของตนเองและชุมชน รว่ มกันทํางานวจิ ยั โดยไมไ่ ด้ มุง่ แกป้ ญั หาชุมชนมากนกั เช่น การวิจยั เพื่อรวบรวมความร้ภู ูมิปญั ญาท้องถนิ่ และปราชญ์ชาวบา้ น การศกึ ษารวบรวมความรู้เกีย่ วกับประเพณี การศึกษาประวตั ิศาสตรท์ ้องถ่นิ คมู่ อื การทาวจิ ัยปฏิบัตกิ ารในชมุ ชน : 17
2.3 การวจิ ัยเชงิ ความรว่ มมือ เปน็ การสนับสนนุ การสร้างความรูร้ ว่ มกับหนว่ ยงานหรือ ภาคอี ื่น ๆ เพ่ือให้เกิดความรว่ มมอื ในการทาํ งานเพือ่ ชมุ ชนท้องถน่ิ และเปน็ ความร่วมมอื ทัง้ ในแง่การมี เปูาหมายเพ่อื ทอ้ งถิ่น ความรว่ มมือของคนหรือทีมงาน การสนบั สนุนปัจจยั และทนุ ดําเนินการรว่ มกนั งานวิจยั ลักษณะน้จี ะมงุ่ สรา้ งวธิ ีการทํางานทเ่ี ปน็ ทางเลือกใหมข่ องภาคีภายนอกรว่ มกบั คนในท้องถน่ิ ตอ่ การพฒั นาและแก้ไขปัญหาทอ้ งถน่ิ เช่น การสรา้ งกลไกความรว่ มมอื การวิจัยและพฒั นาทอ้ งถิ่น การสรา้ งเครื่องมอื / ตัวชวี้ ัดการพฒั นาและการแกป้ ญั หาทอ้ งถน่ิ การประเมนิ ผลการทํางานพัฒนารว่ ม การเชอื่ มร้อยประสานความรรู้ ะหว่างหน่วยงาน เป็นต้น ท้ังนี้ การวจิ ัยทางเลือกใหม่ทงั้ สามลกั ษณะ เปน็ การทําวจิ ยั ในเบ้อื งตน้ เพอื่ พัฒนาความ พรอ้ มของประเด็นศึกษาหรือกลมุ่ คน โดยคาดหวังวา่ จะนาํ ไปสูก่ ารทําวิจัยแบบเต็มรูปแบบตอ่ ไป คู่มอื การทาวิจัยปฏิบัติการในชุมชน : 18
ใบความรู้ท่ี 5 ระเบยี บวิธีวิจัยเพื่อท้องถิ่น ความหมายของระเบียบวธิ ีวิจัย ระเบียบวธิ ีวิจยั หรือวธิ วี ทิ ยาการวิจัย (Research methodology) หมายถงึ โลกทัศน์ (Word View) หรือบางทีกเ็ รยี กว่า กระบวนทศั น์ (Paradigm) ทฤษฎี หลกั การ และการดําเนนิ งานท่ี ครอบคลุมทุกข้นั ตอน ต้ังแต่การกาํ หนด กรอบปญั หาการวจิ ยั จนกระทัง่ การนําผลการวจิ ัยไปเผยแพรใ่ ช้ ประโยชน์ จากความหมายทาํ นองนี้ จะเหน็ วา่ เมอ่ื ใช้คําวา่ ระเบียบวธิ วี ิจัย จงึ ครอบคลุมถึงคําวา่ วธิ กี าร หรอื เทคนิคการวจิ ัยไปด้วย นัน่ คือระเบยี บวธิ ีวิจัยหนง่ึ ๆ อาจจะใชว้ ิธีการหรอื เทคนคิ การวิจยั ได้หลาย แบบ ท้ังนเี้ มอ่ื ใชค้ าํ วา่ ระเบียบวธิ วี ิจยั จะสะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ ความเชอ่ื หรอื ปรัชญาท่ีอยู่เบื้องหลังของ นกั วจิ ยั ที่ใช้ทาํ วิจยั เรือ่ งนนั้ ๆ เสมอ ซึ่งตา่ งจากวธิ กี ารหรือเทคนคิ วิจัยท่เี ป็นเรอื่ งของการทาํ กจิ กรรมวจิ ยั ในข้ันตอนใดขั้นตอนหน่ึง อาทกิ ารทดลอง การสงั เกต การสาํ รวจ ส่งิ เหลา่ น้ีลว้ นเปน็ วธิ กี ารไมใ่ ชร่ ะเบยี บ วิธีวิจยั (รัตนะ บวั สนธ์ , 2551) “งานวจิ ยั เพือ่ ท้องถิน่ ” มีกระบวนทศั นข์ องการวิจัยเปน็ การทํางานเพือ่ เสริมสร้างฐานแรก เดมิ ของชุมชนให้มคี วามเข้มแข็งขึ้น ดังนี้ ประการแรก เปน็ การสรา้ งและผสมผสานรวมทัง้ การปรบั ใชภ้ มู ปิ ญั ญาความร้ทู อ้ งถิ่น ประการทีส่ อง เป็นการสบื ทอดวฒั นธรรมและความเชื่อของท้องถิน่ ในเกือ้ กลู และยง่ั ยนื ประการที่สาม เปน็ การชว่ ยเสรมิ วธิ กี าร จัดการฐานทรพั ยากรของชมุ ชนใหเ้ ออ้ื และหนุน ต่อการดาํ รงชีพ ประการท่สี ี่ เป็นการเพม่ิ ศักยภาพของเครือขา่ ยการทํางานในทอ้ งถ่นิ ภาคประชาชนท่มี ีอยู่ ในชุมชน ใหม้ วี ิธีการทาํ งานและจดั การกบั ปญั หาของตนเองได้ดขี ้ึน ดังนัน้ “งานวิจัยเพอ่ื ทอ้ งถิ่น” (Community -Based Research) จึงมีเป้าหมายอยทู่ ีก่ าร ทาให้ชุมชนทอ้ งถน่ิ ไดเ้ รียนรู้ และได้รบั ประโยชน์จากงานวจิ ัยโดยตรง เพ่อื ใหง้ านวจิ ัยมสี ว่ นในการ แกไ้ ขปญั หาของชมุ ชนและกอ่ ใหเ้ กิดความเปลี่ยนแปลงข้นึ อยา่ งมีแบบแผนในชมุ ชนทอ้ งถนิ่ เปาู หมายดงั กลา่ วนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างฐาน รากเดมิ ของชุมชนใหม้ คี วามเข้มแขง็ ดังกระบวนทศั นท์ กี่ ลา่ วไวข้ า้ งต้นแลว้ ยังมีเหตุผลทีส่ ําคัญคอื งานวจิ ัยท่มี อี ยเู่ ดิมสว่ นใหญด่ าํ เนินการโดย นักวชิ าการ ขา้ ราชการหรือหนว่ ยงานท้องถ่นิ ซงึ่ เปน็ ประเดน็ หรอื โจทย์วิจัยท่ีเปน็ ไปตามความสนใจของ ผู้วจิ ัยเอง มุ่งผลในเชิงการสร้างองคค์ วามรู้ หรือหาคําตอบทางทฤษฏี หรือเพ่อื นาํ ขอ้ มลู ไปประกอบการ กาํ หนดนโยบายบางอย่าง หรอื แมแ้ ต่ในงานวจิ ยั ที่คนภายนอกพยายามทาํ เพ่ือช่วยหาคําตอบ หาทาง เลอื กที่เหมาะสม หรือหาทางแกไ้ ขใหก้ ับชาวบ้าน ก็มักจะพบเสมอวา่ ไมส่ ามารถแกไ้ ขปญั หาให้กบั ชาวบา้ นได้ เพราะนักวจิ ยั ขาดความเขา้ ใจหรอื บางครง้ั งานวิจยั กลับกลายเป็นการสร้างปญั หาให้กบั ชาวบ้านอกี ด้วย และในกระบวนการทาํ วิจัยดงั กลา่ ว ชาวบา้ นจะเปน็ เพยี งผู้ถกู วจิ ัย ถูกถาม ถูกสังเกต เท่านนั้ คมู่ ือการทาวิจัยปฏิบัตกิ ารในชมุ ชน : 19
ระเบยี บวธิ ีวจิ ัย : การวิจัยเพื่อทอ้ งถ่ิน การวจิ ยั ท้องถิ่นมพี ื้นฐานมาจากการวจิ ยั เชิงวชิ าการ และวิถีแบบชาวบา้ น มีเปูาหมาย สาํ คัญอย่ทู ก่ี ารพัฒนาตัวผูว้ ิจยั ซึ่งกค็ อื ชาวบา้ นนัน่ เอง รองลงไปคือการนําความรทู้ ่เี กดิ ขึ้นไปใชใ้ นการ แก้ไขปญั หาของตนเอง และสดุ ท้ายคือการไดอ้ งคค์ วามรใู้ หมท่ างวิชาการงานวจิ ัยมลี ักษณะเปน็ สหวทิ ยาการและบูรณาการสงู ท้งั ในด้านบูรณาการระหวา่ งสาขาวชิ าตา่ ง ๆ และบรู ณาการระหว่าง ภมู ิปัญญาท้องถิ่นและความรูส้ มัยใหม่ มีการใช้กระบวนการจดั การความร้มู าทดแทนการอ่านทบทวน วรรณกรรม เน้นการใชป้ ระโยชนไ์ ด้จรงิ จึงมีคณุ สมบัติเปน็ การวิจัยและพฒั นา (Research and development) หรอื การพัฒนาและการวจิ ยั (Development research) และมกี ารสร้างความเขา้ ใจ ร่วมกนั ของผู้มีส่วนรว่ มในการวิจัยอย่างตอ่ เนื่อง วิธคี ิดที่เป็นตัวกาํ หนดทิศทางการดําเนินการวิจยั ในแตล่ ะขนั้ ตอนคอื ประการแรก โจทย์ วิจัยตอ้ งมาจากความตอ้ งการของชุมชน ชุมชนเปน็ ผูร้ ิเรม่ิ หรือแมจ้ ะมีการจดุ ประกายจาก บคุ คลภายนอกกต็ าม แตใ่ นท่สี ุดแล้วชุมชนจะต้องตัดสนิ ใจเองว่าโจทยก์ ารวิจัยนน้ั เป็นความต้องการของ ชุมชนหรอื ไม่ ประการท่สี อง คือการมสี ่วนร่วม การวจิ ัยเพื่อทอ้ งถ่ินมคี ณุ ลักษณะแบบเดียวกบั การวจิ ัย เชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมีสว่ นรว่ มนัน่ เอง แต่อาจจะมคี วามเข้มข้นสงู กวา่ เน่อื งจากถอื ว่าการมสี ว่ นรว่ มของ ทุกฝาุ ยทเ่ี ก่ียวขอ้ งเป็นส่ิงทหี่ ลอ่ เลย้ี งการวิจัยต้ังแตเ่ รม่ิ ต้นไปจนเสร็จส้นิ ประการที่สาม คือการคิด กจิ กรรมบนฐานขอ้ มูล เป็นการคดิ กจิ กรรมบนสภาพความเปน็ จรงิ ท่ีผา่ นการไตร่ตรองแล้ว และ ประการ สดุ ทา้ ย คอื ความสมั พันธร์ ะหวา่ งการคิดและการลงมอื ทําใหม้ ีความลงตัว เข้าลักษณะกอ่ นจะลงมอื ทาํ อะไรตอ้ งคดิ กอ่ นและเมื่อคิดจะทาํ อะไรกใ็ หส้ ามารถทําไดจ้ ริง ขั้นตอน/กระบวนการวธิ ีวิทยาของงานวจิ ัยเพ่ือทอ้ งถน่ิ มีดังนี้ ข้นั ท่ี 1 แสวงหาตัวนกั วิจยั ผ้ทู ่ีสามารถเขา้ มาเปน็ นักวิจยั ควรมคี ุณสมบตั สิ าํ คัญคือ มจี ิต สาธารณะ มีความใฝรุ ้ใู ฝเุ รียน และมคี วามอดทน โดยเฉพาะความอดทนกบั ความไม่รู้ ไมเ่ ข้าใจ ตลอด ระยะเวลาการวจิ ัย นักวจิ ัยอาจจะเปน็ ภายนอกหรอื คนในชุมชนกไ็ ด้ ส่วนใหญใ่ นทีมวิจัยหนึง่ ๆ จะมี สมาชิกจาํ นวนมาก ดังนัน้ ความเข้าใจร่วมกนั และความสัมพนั ธท์ ด่ี ีตอ่ กันจึงเปน็ สงิ่ สําคัญ ข้นั ท่ี 2 การพฒั นาโจทยว์ จิ ัย/พฒั นาโครงการวิจยั ถือเป็นขัน้ ตอนทีส่ าํ คญั เร่มิ ด้วยการ ชว่ ยใหช้ าวบ้านเขา้ ใจการวิจยั เพอื่ ทอ้ งถิน่ ชว่ ยให้เขา้ ใจตนเอง กลมุ่ และชมุ ชนของตนเอง เพื่อเชื่อมโยง การกําหนดปัญหาให้สัมพนั ธก์ บั บริบท รปู แบบที่ใช้มหี ลากหลาย เช่น ใหด้ วู ดี ทิ ศั น์ตัวอยา่ งงานวจิ ัยของ คนอืน่ เชิญชาวบ้านท่ที ําวจิ ยั ในโครงการอื่นมาเป็นวทิ ยากร จดั เวทเี สวนาแลกเปล่ยี นนาํ ไปศกึ ษาดงู าน เป็นต้น เพอ่ื เปิดมมุ มองตอ่ โจทยป์ ญั หาการวิจัยที่หลากหลาย นอกจากน้นั แล้วจะตอ้ งมีหลักการสําคัญ ๆ กาํ กบั คือ ต้องแนใ่ จว่าโจทยเ์ ป็นความตอ้ งการของชุมชน การพฒั นาโจทยต์ อ้ งยกระดับทกั ษะการ แกป้ ญั หาของชาวบา้ น ไม่ใชเ่ ห็นปัญหาแล้วกล็ งมือแก้ไขเลยโดยที่ยงั ไมม่ ขี อ้ มูลรอบดา้ น ต้องให้ทกุ คนที่ เข้าร่วมการวิจยั เข้าใจโจทยอ์ ยา่ งชดั เจน และที่สาํ คญั ชว่ งเวลาการพัฒนาโจทย์อาจจะยาวนานนบั ปี ซึ่ง เปน็ การพิสูจน์ความอยากร้ขู องผู้วจิ ยั ไปดว้ ยในตวั ขนั้ ที่ 3 การออกแบบวิจัย ขัน้ ที่ 4 การทาํ ความเข้าใจรว่ ม ขน้ั ที่ 5 การจดั การขอ้ มูล คมู่ อื การทาวิจยั ปฏบิ ตั ิการในชุมชน : 20
ขั้น 3 – 5 มลี กั ษณะคล้ายกบั การวิจยั แบบอ่นื ๆ แต่ควรเนน้ การสรา้ งความเขา้ ใจรว่ มกนั ของผวู้ จิ ัยเป็นสําคญั ขนั้ ท่ี 6 การใช้ประโยชน์จากขอ้ มูล ซ่ึงมหี ลากหลายวิธี เช่น นาํ ไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการ แก้ปญั หาในพืน้ ท่หี รอื องคก์ ร เชน่ แกป้ ญั หาเรื่องขยะ นาํ ขอ้ มูลไปคนื ให้กบั ชมุ ชน เช่น นําภาพรวมของ หนี้สนิ ของชุมชนไปเสนอใหช้ ุมชนเหน็ ความรุนแรงของภาวะหนส้ี ิน เข้าใจสาเหตุของหนี้สิน การนําเข้า ไปเปน็ หลกั สตู รท้องถน่ิ ในโรงเรียน นาํ ไปขยายผลส่กู ลุ่มอ่นื ๆ เป็นเนอื้ หาสําหรบั การสร้างกลไกการ จัดการของชุมชน เชน่ ตง้ั กตกิ าที่เป็นทีย่ อมรบั ของชมุ ชน เป็นตน้ หรอื นําเข้าส่รู ะดบั นโยบายทอ้ งถ่ิน เชน่ เปน็ วาระของจงั หวดั เป็นต้น ขน้ั ท่ี 7 การถอด/สรุปบทเรยี น ถอื เปน็ วธิ กี ารแสวงหาความรู้ตามแนวการจัดการความรู้ (Knowledge management) ถือว่าความร้ทู แ่ี ทจ้ ริงเกดิ จากการลงมอื ปฏิบัติ เม่อื ปฏบิ ัตแิ ล้วกต็ ้องมี เครื่องมือหรือกลไกในการสกดั และเก็บสะสมความรู้ ท่ีจรงิ การถอดบทเรยี นกด็ ําเนินการมาเป็นระยะ ๆ ตลอดเสน้ ทางการวิจยั อยู่แล้ว การถอดบทเรยี นในขนั้ ตอนสุดทา้ ยเป็นเสมือนการประมวลความเขา้ ใจ รว่ มกันทเี่ กบ็ สะสม ตลอดมาน่ันเอง การถอดบทเรยี นอาจดําเนินการอยูเ่ ฉพาะในกลมุ่ ผวู้ ิจัยหรือใน ทา่ มกลางภาคเี ครือขา่ ยที่เก่ยี วขอ้ งกับงานวจิ ยั ก็ได้ การดาํ เนินการวิจยั เพอ่ื ทอ้ งถิน่ น้นั อาจมีการสลับขน้ั ตอนได้ ผ่านแตล่ ะขัน้ ตอนได้หลายครั้ง กลับไปกลบั มาได้ อาจมีข้นั ย่อยแทรกตามความจาํ เปน็ และบางตอนอาจยุบรวมได้ ผลสาํ คัญทเี่ กดิ ข้ึน จากโครงการวจิ ยั เพ่ือท้องถิ่นจาํ นวนมากในระยะทผี่ า่ นมา คอื การพฒั นาปัญญาหรือวิธคี ดิ ของผวู้ ิจยั จงึ เป็นเครื่องมอื ทใี่ ชพ้ ฒั นาคนได้เป็นอย่างดี นาํ ไปใชใ้ นการปรับปรงุ การวิจัยเชิงวิชาการของ สถาบนั การศกึ ษาต่าง ๆ ได้ นาํ ไปประยุกตใ์ ช้ในหน่วยงานของรัฐท่มี หี น้าทสี่ นับสนุนงานของชุมชนได้ คู่มอื การทาวิจยั ปฏิบัติการในชุมชน : 21
ตัวอยา่ งงานวิจัยเพือ่ ท้องถิ่น เน่อื งจากกระบวนทัศน์ของการวจิ ยั เพือ่ ทอ้ งถนิ่ เปน็ การทํางานเพือ่ เสริมฐาน รากเดมิ ของ ชมุ ชนให้มีความเข้มแข็ง เพ่ือใหค้ รู กศน.เขา้ ใจความสอดคล้องระหว่างการออกแบบงานวจิ ัยกับกระบวน ทศั น์ดงั กลา่ ว ขอยกตัวอยา่ งชนิ้ งานวิจัยเพอ่ื ท้องถิน่ ให้ศึกษาจาํ นวน 1 เรือ่ ง ดังน้ี ชอื่ เรอ่ื ง โครงการศึกษากระบวนการรวมกล่มุ ผผู้ ลิตกะปิเยาะห์ รายยอ่ ย เพ่ือสร้างความเขม้ แขง็ โดยการมสี ่วนรว่ มของผผู้ ลติ กะปเิ ยาะห์รายยอ่ ยในตําบลกะมยิ อ อาํ เภอเมือง จังหวัดปัตตานี หัวหนา้ ทมี วจิ ยั อาจารยก์ รวิภา ขวญั เพช็ ร กศน.อาํ เภอเมือง จงั หวัดปัตตานี กะปิเยาะห์ คือ หมวกแบบไมม่ ปี กี ท่ชี ายมุสลมิ ใชส้ วมใสเ่ พ่อื ประกอบพธิ กี รรมทางศาสนา และในพน้ื ท่ี 3 จงั หวัดภาคใต้ จะมีแหล่งผลติ อยหู่ ลายแหง่ 1 ในน้ันคอื ที่ตําบลกะมยิ อ จงั หวัด ปัตตานี “ที่ตาํ บลกะมิยอมอี าชพี ทํากะปเิ ยาะห์มาช้านานแล้ว สมัยก่อนมรี าคาดี แต่หลัง ๆ ตกตํ่า จะขายดีกใ็ นช่วงประกอบพิธฮี ัจญ์โดยฝากไปกบั แซะ (คนทนี่ ําคนไปทาํ ฮจั ญ์) ปญั หาคือขายแล้วไมไ่ ด้ เงนิ บ้าง หรือผลติ แลว้ สง่ ขายไปกอ่ นกลับมาถงึ จะไดเ้ งิน ทาํ ให้เกดิ ปญั หา เนอื่ งจากตน้ ทนุ มีนอ้ ย อกี สว่ นหน่ึงคอื กลุ่มผผู้ ลติ เองเมื่อไมม่ ีการรวมกลมุ่ ก็จะขายตัดราคากนั เอง ... น่คี อื สภาพปัญหาที่ต้อง ช่วยกันแก้ไข” อาจารย์กรวภิ า ขวัญเพ็ชร ขณะนน้ั ซึ่งทํางานอยู่ทีศ่ นู ยบ์ ริการการศึกษานอกโรงเรียน อาํ เภอเมอื ง จังหวัดปัตตานี เห็นปัญหาจึงนําทีมกลุ่มผผู้ ลิตส่วนหนึง่ ร่วมกนั คิดแก้ไขปัญหาดังกลา่ ว ดว้ ยกระบวนการวิจยั ในโครงการ “ศึกษากระบวนการรวมกลุ่มผ้ผู ลติ กะปเิ ยาะหร์ ายยอ่ ย เพ่อื สร้าง ความเขม้ แขง็ โดยการมีสว่ นรว่ มของผผู้ ลิตกะปเิ ยาะรายย่อยในตาํ บลกะมิยอ อําเภอเมอื ง จงั หวดั ปัตตานี” ตอ้ งหาแนวทางการรวม กลุม่ ผ้ผู ลิตรายย่อยเพ่อื เป็นการนาํ ร่องและสร้างความเป็นหนง่ึ เดียว รวมทง้ั สรา้ งอํานาจในการตอ่ รองราคาที่เป็นธรรม ยกระดับมาตรฐานการผลติ ให้มคี ุณภาพ นาํ ไปสู่ รายไดแ้ ละความเปน็ อย่ทู ีด่ ีขนึ้ ของคนในชุมชน ซ่ึงกส็ อดคล้องกบั ยทุ ธศาสตรข์ องจังหวดั ปตั ตานีทีม่ ี นโยบายให้จังหวัดปตั ตานีเป็นศูนย์กลางของการผลิตเคร่อื งแต่งกายมุสลิม ให้ประชาชนสามารถ ประกอบอาชพี อย่ใู นท้องถน่ิ ตามวิถชี ีวติ ของชาวมสุ ลิม และการวจิ ัยในคร้งั นที้ ําเพื่อแกป้ ัญหาของ ชาวบา้ น เราก็จะให้ชาวบ้านเป็นหลกั เพราะถา้ ทําสําเรจ็ จะเปน็ แบบอยา่ งในเรอ่ื งเปน็ พลังท่เี ขม้ แข็ง จนถึงวันน้ี “กลุม่ ก้อน” ของผผู้ ลิต “กะปเิ ยาะห์” เริม่ ชัดเจนมากขนึ้ ชาวบ้านซึ่งเป็นผู้ผลติ มอี ํานาจในการตอ่ รองและเปน็ ฝาุ ยตั้งราคา ซง่ึ จากแต่กอ่ นที่..พอ่ ค้าเป็นผู้กําหนดราคา คู่มือการทาวิจัยปฏิบตั ิการในชมุ ชน : 22
ใบงานที่ 2 ความหมาย รูปแบบและระเบียบวจิ ยั เพ่ือท้องถ่ิน 1. การวิจัยเชิงปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research : PAR) นอกจากจะ มีความหมายภายใต้หลกั การว่า “เปน็ ปัญหาของชาวบา้ น ชาวบ้านเปน็ ทมี วิจยั และมีการปฏบิ ตั กิ าร เพอ่ื แก้ปัญหา” แล้วยงั มีผู้นยิ ามความหมายของ PAR ไวอ้ ยา่ งหลากหลาย ขอให้ทา่ นยกตัวอยา่ ง ความหมายของ PAR จํานวน 2 ขอ้ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... คมู่ อื การทาวิจยั ปฏิบัติการในชมุ ชน : 23
2. ให้ยกตัวอยา่ งงานวจิ ยั ปฏบิ ัติการในชมุ ชนที่มี “ลักษณะเปน็ ปญั หาของชาวบา้ น ชาวบา้ น เปน็ ทีมวิจยั และมีการปฏิบตั ิการเพอื่ แก้ปัญหา” จาํ นวน 1 เรอื่ ง (อาจเปน็ งานวจิ ยั ทไ่ี ด้จากการอ่าน เอกสาร คน้ ควา้ ทางอินเตอร์เน็ต หรอื ลงมือปฏบิ ตั ิการจริงในสนาม) .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... คมู่ อื การทาวจิ ัยปฏิบัตกิ ารในชุมชน : 24
3. ใหย้ กตวั อยา่ งกระบวนการคดิ โจทย์วิจัยในชุมชน โดยใช้เวทีชาวบ้าน จาํ นวน 1 กรณตี ัวอยา่ ง .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... คมู่ ือการทาวิจัยปฏบิ ตั กิ ารในชุมชน : 25
3ตอนที่ ก การวจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชุมชนรปู แบบการวจิ ัยเพ่อื ท้องถนิ่ วตั ถุประสงค์ 1. เข้าใจวงจรชวี ติ (Life cycle) ของปรากฏการณ์ในสังคม 2. สามารถตัง้ คาํ ถามการวิจยั ทสี่ อดคล้องกับวงจรชีวติ (life cycle) ของปรากฏการณ์ในสังคมได้ 3. ศึกษาและเขา้ ใจตวั อย่างงานวิจัยในชั้นเรยี นของครู กศน. 4. ศกึ ษาและเขา้ ใจตวั อยา่ งงานวิจัยเพอ่ื ทอ้ งถิ่นเพ่ือนาํ ไปใช้ประโยชน์ ในการทาํ วจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชนต่อไป สาระสาคญั ประกอบดว้ ยใบความรู้ 3 เรอ่ื ง คอื 1. การต้งั คาํ ถามการวิจยั 2. ตวั อยา่ งงานวจิ ัยปฏิบัติการในชมุ ชนจากครู กศน. 3. ตัวอย่างงานวิจัยเพื่อทอ้ งถน่ิ ข้ันตอนการเรียนรู้ 1. อา่ นและทาํ ความเข้าใจใบความร้ทู ี่ 6 –8 2. ศึกษาใบงานที่ 3 แลว้ ตอบคาํ ถาม 3. ศกึ ษาเพ่ิมเติมดว้ ยตนเองเกย่ี วกับตวั อย่างงานวิจยั ปฏิบตั ิการใน ต แลว้ รวบรวม ชมุ ชน ท้งั ท่ีเปน็ ของครู กศน. ชาวบ้าน และงานวจิ ยั เพอื่ ทอ้ งถ่นิ ของ สกว.ทเี่ ผยแพรโ่ ดยเอกสารและอินเตอรเ์ น็ เป็นกรณศี ึกษา ค่มู ือการทาวิจยั ปฏิบตั ิการในชมุ ชน : 26
ใบความรู้ที่ 6 การต้ังคาถามการวจิ ยั การวจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชนนนั้ การกําหนดคําถามการวิจัย (Research question) มี อุปสรรคน้อยกว่าการวจิ ยั ของนักวจิ ยั สาขา สงั คมศาสตร์และสาขา มนษุ ยศาสตร์ โดยเฉพาะการวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการในชุมชนของครู กศน. ซง่ึ ส่วนใหญห่ รือเกอื บท้ังหมด เปน็ งานวจิ ยั ขนาดเล็กใช้ระยะเวลา 1 ปีงบประมาณ มคี รู กศน.เปน็ ศนู ย์กลางของการวจิ ัย มีการดําเนินงานเปน็ 3 ขัน้ ตอนคือ 1) วางแผนเพื่อเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมของกลุ่มบคุ คลในชุมชน เชน่ กล่มุ อาชพี กลมุ่ เยาวชน กลุ่มผสู้ งู อายุ เปน็ ตน้ 2) นํากจิ กรรมการเปลยี่ นแปลงใส่ลงไป และ 3) ประเมินผลการเปลี่ยนแปลง การตงั้ คาํ ถามการวจิ ยั จากปรากฏการณท์ างสังคม (Social phenomena) มดี ังนี้ การตงั้ คาถามการวจิ ัยปรากฏการณท์ างสงั คม การวจิ ัยท่ีแท้จรงิ คือ การต้ังโจทยค์ าํ ถาม (Research question) ในสิ่งที่อยากรู้ และ ดําเนินการตามวธิ ีการหรือกระบวนการทส่ี อดคล้องกับโจทย์คาํ ถาม เพอื่ ใหไ้ ด้คาํ ตอบในสิ่งที่เราอยากรู้ นัน่ เอง (อุทยั ดุลยเกษม.2543) ในการต้ังโจทยห์ รือคําถามการวจิ ยั น้นั อาจมาจากหลายทาง แตม่ ที างหนงึ่ ทนี่ ยิ มกนั มาก คือการตัง้ คําถามการวิจัย จากการไดส้ ังเกตเห็นปรากฏการณ์และเกดิ การกระหายใคร่รวู้ า่ ปรากฏการณ์ น้นั มีความเป็นมาอยา่ งไร หรอื ปรากฏการณ์นัน้ เกิดขึน้ ไดอ้ ย่างไร สง่ิ ท่อี ยากรู้เป็นเร่อื งอะไรกไ็ ด้ แตส่ ิง่ ทอ่ี ยากรูท้ ่เี รียกว่าปรากฏการณ์ (Phenomena) ซง่ึ มี อยู่มากมายในโลกนแี้ บง่ เปน็ 2 ประเภท คอื 1. ปรากฏการ ณ์ธรรมชาติ ไดแ้ ก่ แผน่ ดนิ ไหว นํา้ ทว่ ม ฝนไม่ตกตามฤดกู าล ฯลฯ ผทู้ ี่ตั้ง คําถามกับปรากฏการณ์จาํ พวกนี้ คือนกั วจิ ยั สาขาวทิ ยาศาสตร์ภายภาพ หรือวิทยาศาสตรธ์ รรมชาติ เช่น นกั ฟิสกิ ส์ นักเคมี เป็นตน้ 2. ปรากฏการณ์ทางสังคมมีมนษุ ยเ์ ข้าไปเกี่ยวขอ้ งมนุษยเ์ ป็นผกู้ ระทาํ ถ้าเราไม่เข้าใจ ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ท่ีมีความสลับซับซอ้ นมากเพราะมีอารมณ์ความรูส้ ึกและไม่เขา้ ใจในบริบททางสังคม วฒั นธรรม และการเมืองของพ้ืนที่ทีเ่ ราทาํ วิจยั เราจะตีความหมายของข้อมลู ที่เราเก็บรวบรวมมาไมต่ รง หรือไมส่ อดคลอ้ งกับความเปน็ จริง ปรากฏการณท์ ี่มนษุ ยเ์ ป็นผกู้ ระทําได้แก่ ปรากฏการณส์ งคราม ปรากฏการณย์ ้ายถน่ิ ของผู้คน ปรากฏการณด์ ่มื ยาพษิ ฆ่าตัวตายพรอ้ ม ๆ กันของชนบางหมู่บางกลมุ่ เปน็ ตน้ ปรากฏการณจ์ ําพวกนี้อาจเรยี กรวม ๆ กนั ว่าปรากฏการณ์ทางสังคม (Social phenomena) ผูส้ นใจต้งั คําถามกับปรากฏการณ์ประเภทน้ี ได้แก่ นักสงั คมวทิ ยา นกั มานษุ ยวิทยา นกั รัฐศาสตร์ เปน็ ตน้ เพ่อื เปน็ การสร้างความเข้าใจใหต้ รงกัน เก่ยี วกับการตัง้ คําถามการวจิ ยั และรปู แบบการ วิจยั ซึ่งต้องคล้อยตามกนั เสมอ ขอแบ่งประเภทของงานวจิ ัยออกเปน็ 2 ประเภท โดยใช้จดุ มุ่งหมายของ การวจิ ัยเปน็ ฐานในการจดั ประเภท ดงั นี้ ค่มู ือการทาวิจัยปฏบิ ัตกิ ารในชุมชน : 27
ประเภทท่ี 1 เรยี กวา่ งานวิจัยประเภทมงุ่ พรรณนาปรากฏการณ์ (Descriptive research) ต้องใชล้ ักษณะคําถามในเชิงพรรณนา (descriptive question) ซึง่ เป็นโจทย์คําถามท่ีไม่ซบั ซอ้ น สอดคล้องกับการวจิ ยั ท่ีเปน็ แบบพรรณนาทีม่ ุ่งจะตอบคําถามตามประเด็นท่นี กั วจิ ัยตอ้ งการรู้ในลกั ษณะ ท่วี า่ รายละเอยี ดของเรื่องหรือประเดน็ ทศี่ กึ ษานนั้ เปน็ อย่างไร (เทา่ ท่ขี อบขา่ ยงานกาํ หนดไว้) โดยไม่ พยายามตอบคาํ ถาม “ทาํ ไมจึงเป็นเชน่ น้ัน” ตัวอย่างคําถามประเภทนีไ้ ดแ้ ก่ ก. ความคิดเห็นชาวบ้านท่มี ตี อ่ กศน.ตาํ บลในอําเภอเมืองเป็นอยา่ งไร ข. การบรหิ ารสถานศึกษา กศน.อาํ เภอชนแดนเปน็ อย่างไร ค. ความพึงพอใจของนกั ศึกษา กศน. โครงการ ม.6 แปดเดือนเปน็ อยา่ งไร ง. สภาพการพัฒนากลุ่มอาชีพของ กศน.อาํ เภอโกรกพระ เป็นวิสาหกจิ ชมุ ชนเป็นอยา่ งไร ฯลฯ งานวจิ ยั ที่ใช้โจทยค์ ําถามวจิ ยั เชิงพรรณนาในลักษณะน้มี จี ํานวนมากมาย จดุ มุ่งหมาย ชดั เจน คอื ตอ้ งการหาคําตอบว่าประเดน็ ตา่ ง ๆ ที่ทําการศึกษาน้ันมีสภาพหรอื ลักษณะแบบใด (What is หรือ what was แล้วแต่ชว่ งเวลา) คณุ ภาพของการวจิ ัยแบบมุง่ พรรณนาขึน้ อยกู่ บั ความน่าเช่อื ถือของ ข้อมลู ทีเ่ ก็บรวบรวมไดแ้ ละการวเิ คราะหข์ ้อมูลเหล่าน้ีเปน็ สําคญั ประเภทท่ี 2 เรยี กวา่ งานวิจัยประเภทมุ่งอธิบายปรากฏการณ์ (Explanatory research) ต้องใชล้ กั ษณะคาํ ถามในเชงิ อธบิ าย (Explanatory question) เพราะมจี ดุ มงุ่ หมายทจี่ ะหา “เหตุ-ผล” วา่ เพราะเหตุใดปรากฏการณ์ทก่ี าํ ลังศึกษาอยู่จงึ มีสภาพหรอื คณุ สมบัติดงั ทเ่ี ปน็ อยู่ ดงั นั้นข้ันตอนและ วธิ ีการทจ่ี ะตอบโจทย์คําถามดงั กล่าว จงึ มีความซับซ้อนมากกวา่ การวจิ ัยเชิงพรรณนา (Descriptive research) การต้งั คําถามการวิจยั ลักษณะท่เี ปน็ คาํ ถามเชิงอธบิ ายจงึ เป็นสิง่ สําคัญอันดับแรกของ กระบวนการทําวิจัยเชงิ อธิบายหรอื วิจัยเชงิ อรรถาธิบาย และตอ้ งคํานึงถงึ ธรรมชาติของปรากฏการณ์ ทางสงั คม ทีม่ วี งจรชีวติ (Life cycle) ดังจะกลา่ วถึงต่อไปนี้ ประเด็นสาคญั ทต่ี ้องพิจารณาในการต้ังคาถามการวิจัย การต้ังคําถามการวิจยั น้นั มปี ระเด็นที่ควรพิจารณาที่สาํ คญั คือจะต้องรูจ้ กั และเข้าใจ ธรรมชาตขิ องปรากฏการณ์ทจ่ี ะทาํ วิจัย (Nature of Phenomena) อยา่ งถ่องแทพ้ อสมควร เพราะ ปรากฏการณท์ างสังคม (Social Phenomena) มวี งจรชีวติ (Life cycle) ของมัน เชน่ มีการเกดิ ขึน้ (Emergence) การดารงอยู่ (Existence) การเปลีย่ นแปลง (Change) และการสูญสลาย (death) เพราะฉะนั้นเราจะตอ้ งมีความชดั เจนว่าช่วยใดของวงจรชีวติ ของปรากฏการณท์ างสังคมทเ่ี ราตอ้ งการจะ ทาํ วจิ ยั ยกตัวอยา่ ง เชน่ เราอาจสนใจเร่ืองกลมุ่ อาชีพของสตรีในหม่บู ้าน ซึง่ เป็นปรากฏการณท์ ตี่ ้องการ จะทาํ วจิ ัย เมอื่ จะตงั้ คาํ ถามเราจะต้องมีความชัดเจนวา่ ชว่ งใดของวงจรชีวติ ของกลมุ่ อาชีพสตรที ่เี ราจะ ทําการวิจัยแลว้ ต้งั โจทยค์ าํ ถามการวจิ ยั ให้สอดคลอ้ งกบั วงจรชวี ิตของปรากฏการณ์ทางสงั คม เช่น - กลมุ่ อาชีพของสตรีในหมบู่ า้ นเกดิ ข้นึ ได้อย่างไร มีเหตปุ จั จัยหรือตวั แปรอะไรบ้างที่ชว่ ย อธิบายปรากฏการณ์การเกดิ ขึ้นของกลมุ่ อาชพี สตรดี งั กล่าว - กลมุ่ อาชีพของสตรใี นหมบู่ า้ น ดารงอยู่ได้อย่างไร มเี หตุปจั จยั หรอื ตัวแปรอะไรบ้างที่ เกื้อหนุนใหก้ ลมุ่ อาชีพของสตรใี นหมบู่ า้ นดํารงอยู่ได้ โดยไม่ลม่ สลายไปเหมือนที่อื่น ๆ - เพราะเหตใุ ดกลมุ่ อาชพี ของสตรจี ึงเปลีย่ นแปลงไป (จากเดิมเม่อื เกิดข้นึ คร้งั แรก) มีเหตุ หรอื ตัวแปรอะไรบา้ งทีจ่ ะชว่ ยอธิบายการเปลยี่ นแปลงดังกลา่ วได้ คู่มือการทาวิจยั ปฏิบตั ิการในชมุ ชน : 28
- เพราะอะไรกลมุ่ อาชีพของสตรจี งึ ล่มสลายไปมเี หตปุ ัจจยั หรือตวั แปรอะไรบ้างที่จะช่วย อธิบายการล่มสลายของกลุม่ ดังกล่าวได้ จะเห็นว่าคําถามการวิจัยแตล่ ะขอ้ คาํ ถามจะมีชดุ ของคาํ อธบิ าย (Set of explanation) ท่ี ไม่เหมอื นกันแมจ้ ะมีความเป็นไปได้ว่าในชุดของคําอธิบายน้นั มีตวั แปรย่อยบางตวั ในแตล่ ะชดุ ซํา้ กนั ได้ก็ ตาม การต้ังคาํ ถามทีม่ คี วามชัดเจน กระชบั และสอดคล้องกบั ธรรมชาติของปรากฏการณ์ทเี่ ราจะ ทําวจิ ยั มคี วามสาํ คญั มาก เพราะจะนาํ ไปสู่การสรา้ งกรอบความคิดหรือกรอบทฤษฏี (Conceptualization) ในการทําวิจัยประเภทมุ่งอธบิ าย แตส่ ําหรับการวิจยั ประเภทมงุ่ พรรณนาไม่ จาํ เปน็ ตอ้ งมกี รอบความคิดเชิงทฤษฏีท่จี ะนาํ มาอธบิ าย จากตัวอย่างทยี่ กมาข้างตน้ เรือ่ ง กลุ่มอาชพี ของสตรใี นหมู่บา้ น ถ้ามีคาํ ถามว่าเพราะเหตุใด กลมุ่ อาชีพของสตรีจึง เกดิ ข้นึ เรากจ็ ะสามารถทจ่ี ะสร้างกรอบความคิดที่จะนํามาอธิบายปรากฏการณ์ ดังกล่าวไดโ้ ดยพจิ ารณาวา่ มีเหตุ-ปจั จัย (ตัวแปร) อะไรบ้าง ท่ีน่าจะมีสว่ นเกื้อหนุนให้กลุ่มอาชีพสตรี เกิดข้นึ ในชมุ ชนนน้ั เชน่ การเกิดขนึ้ ของกลมุ่ อาชีพของสตรีในหมูบ่ ้านอาจมสี าเหตุมาจาก 1. มผี ู้นําทแ่ี ขง็ ขนั พยายามรวบรวมสมาชิกใหต้ ัง้ กลุ่มขึ้น 2. มีหน่วยงานของรฐั เขา้ ไปช่วยจัดตง้ั 3. มีหนว่ ยงานของเอกชน (เอ็นจีโอ) เข้าไปช่วยผลักดนั ให้เกิดการรวมกลมุ่ 4. มแี รงจูงใจทางด้านเศรษฐกจิ อนั เกดิ จากผลผลิตทสี่ มาชิกมองเหน็ ว่าถ้ารวมกลมุ่ แล้วจะ ไดผ้ ลตอบแทนมากกวา่ ไมร่ วมกลุ่ม 5. ผลผลติ ทท่ี ําขึ้นนน้ั ทาํ เด่ียวไมไ่ ด้ จะตอ้ งอาศยั กล่มุ คอื จะต้องทํางานรว่ มกันหรือแบ่ง งานกันทํา 6. มีความจาํ เปน็ จะต้องสร้างผลผลิตใหม้ ากพอเพ่ือลดตน้ ทุนจะได้มีโอกาสแขง่ ขนั กบั ผลผลิตจากท่ีอ่ืน ๆ ได้ ฯลฯ ส่งิ เหล่านเี้ ปน็ คําอธบิ ายเชิงทฤษฏีเทา่ น้ัน สว่ นความจริงจะเปน็ เชน่ ไรทําวิจัยแลว้ จงึ จะรู้ได้ คาํ อธบิ ายเชิงทฤษฏอี าจจะมีสว่ นถูกมากหรือมีส่วนผิดมากกข็ นึ้ เรามีความรู้มากพอทจี่ ะหาคาํ อธิบายได้ เพ่ิมเตมิ ครบถ้วนเพียงใด การทจี่ ะรดู้ ีนั้นคงหนีไม่พน้ ท่จี ะต้องมีการอ่านเอกสารทงั้ ทเ่ี ป็นทางทฤษฏีและ รายงานการวิจยั เก่ยี วกบั เร่ืองทท่ี าํ การวจิ ยั อยา่ งละเอียดและทะลุปรุโปรง่ พอสมควร และจะตอ้ งมี โลกทัศน์ของการมองสรรพสง่ิ ทง้ั หลายทงั้ ปวงในโลกน้ีแบบองค์รวม (Holistic view) การสร้างกรอบความคดิ หรือกรอบทางทฤษฏีก็คือ การระบหุ าตวั แปรต้นหรือตวั แปรอสิ ระ นน่ั เอง คอื จะต้องพยายามระบใุ หค้ รบถ้วนว่ามีตัวแปรตน้ อะไรบา้ งก่ีตวั เมอ่ื ค่าของมนั แปรผนั (Vary) ไป แล้วจะกอ่ ให้เกดิ การแปรผัน (Variation) ในตัวแปรตาม (หรือปรากฏการณท์ ี่กําลงั วิจัย) บางคนอาจเรยี กข้นั ตอนตรงนว้ี า่ เป็นการตัง้ สมมุติฐาน (Hypotheses) ก็ไดเ้ พราะ ความหมายกอ็ ย่างเดยี วกันนัน่ เอง ค่มู ือการทาวิจัยปฏบิ ตั กิ ารในชุมชน : 29
ความสมั พันธข์ องคาถามการวจิ ัยและกรอบความคิดการวจิ ยั คําถามการวิจัยกบั กรอบความคิดการวจิ ัย มีความเกีย่ วข้องสมั พันธก์ ัน ถา้ หากต้งั คาํ ถามผิด หรือไมช่ ัดเจน กรอบความคดิ การวจิ ยั ยอ่ มไมช่ ัดเจน และในทางกลบั กันกรอบความคดิ ไม่ถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริง การแสวงหาคําตอบตอ่ คาํ ถามการวิจยั จะไม่พบความจรงิ หรือไมไ่ ด้คําตอบที่ เป็นจรงิ เพ่อื ให้เข้าใจถึงประเดน็ น้ี ขอยกตัวอย่างเปรียบเทยี บว่า ถา้ เรามีทัศนะต่อความยากจนว่า เป็นเพราะมลี ูกมากดังสโลแกนท่เี ราไดเ้ ห็นไดย้ ินบ่อย ๆ วา่ “ลกู มากจะยากจน” ซง่ึ หมายความวา่ จาํ นวนลกู ทีค่ รอบครัวใดมเี ปน็ สง่ิ อธิบายฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวนนั้ เปน็ อยา่ งไร กลา่ วคือยิ่ง มลี ูกมากระดบั ความยากจนกจ็ ะมาก หากนกั วิจยั มีทัศนะตอ่ ความยากจนอยา่ งนี้ ยอ่ มเป็นท่ชี ัดเจนว่า ถ้ามีคําถามว่าอะไรเปน็ เหตุทําให้ครอบครัวยากจนแตกตา่ งกัน (หมายความว่า บางครอบครัวยากจนมาก บางครอบครัวยากจนนอ้ ย และบางครอบครวั ไม่ยากจน) คําตอบทีไ่ ดก้ ็อยู่ที่จํานวนลกู ทแี่ ต่ละครอบครัว ทไ่ี ม่เท่ากนั น่ันเอง คงไม่ตอ้ งอธบิ ายเพ่มิ เติมกย็ อ่ มเป็นท่กี ระจ่างชัดแลว้ ว่าการคน้ พบของการวิจัยนหี้ รอื คําตอบตอ่ คําถามการวิจัยน้มี ีความผดิ พลาดจากความเปน็ จรงิ มากมาย เพราะเป็นทร่ี ู้ ๆ กนั อย่วู ่าความ ยากจนนนั้ มสี าเหตมุ าจากหลายสาเหตมุ ใิ ช่จาํ นวนลูกอย่างเดยี ว และยงิ่ ร้ายกว่านน้ั ด้วยซํา้ เพราะการท่ี ครอบครัวมลี กู มากอาจเปน็ สาเหตใุ หค้ รอบครวั นัน้ ไม่ยากจนนักกไ็ ด้ นอกจากการยกตัวอย่างเปรยี บเทยี บให้เขา้ ใจความสัมพนั ธ์ระหว่างคําถามการวิจยั กับ กรอบความคิดการวิจัย กรณลี กู มากจะยากจนขา้ งตน้ แลว้ ขอยกตัวอย่างอกี จํานวน 2 ตัวอย่าง เพ่อื ให้ เข้าใจเร่อื งนี้ดังต่อไปนี้ ตัวอย่างท่ี 1 ผลการสงั เกตปรากฏการณ์ท่เี กดิ ขน้ึ ในจงั หวัดสุรนิ ทร์ คณะนกั วจิ ัยพบว่า กลุม่ ออมทรพั ยใ์ นจงั หวัดสุรินทรน์ น้ั มกี อ่ ต้ังอย่างมากมาย แตท่ วา่ หลงั จากผ่านไปสักระยะเวลาหน่งึ กลุ่ม ออมทรพั ย์ทีเ่ หลอื รอดชีวติ นน้ั มอี ยจู่ ํานวนไม่มาก และแมแ้ ตใ่ นจํานวนทร่ี อดชีวิตน้นั กล่มุ ออมทรัพยท์ จี่ ะ มสี ขุ ภาพสมบูรณแ์ ข็งแรงใหบ้ รกิ ารสมาชกิ ไดอ้ ยา่ งแท้จริงและเตม็ ท่ี กย็ ่ิงมีจํานวนนอ้ ยลงไปอกี คณะวจิ ัย ท่เี ข้าสังเกตปรากฏการณ์น้ีจึงได้ตง้ั คําถามวา่ “เอ๊ะ ทาํ ไมจึงเป็นเชน่ น้นั ” จากคําถามท่จี ดุ ประกายคําถามแรก คาํ ถามอื่น ๆ กจ็ ะตามตดิ กนั มาเป็นพรวน เช่น อะไร เป็นเหตุ/ปจั จัยทีเ่ ก่ยี วข้องกบั \"ความสาํ เรจ็ /ความล้มเหลว”ของกล่มุ ออมทรัพย์ “คําตอบ” ท่ที มี วิจัยจะ คาดเดานนั้ ก็จะได้มาจากการวเิ คราะห์คุณลกั ษณะน่ันเอง เชน่ (1) ที่มาของการเกดิ กลมุ่ (ใครกอ่ ตัง้ มูลเหตจุ ูงใจ) (2) เปาู หมาย (พงึ่ ตนเองดา้ นเศรษฐกิจ สวัสดิการ การผลิต ระดมทุน) (3) บคุ คลทเี่ กยี่ วขอ้ ง (คณะกรรมการ สมาชิก เจ้าหนา้ ที่) (4) หลักการดาํ เนินงาน (5) กจิ กรรม (ออม กยู้ มื การศึกษา) (6) การบรหิ ารจดั การ (บริหารงาน บริหารเงิน บรหิ ารคน) (7) ความสัมพันธก์ บั ภายนอก (เครือขา่ ย NGO สถาบันวชิ าการ) (8) บทบาทของการส่อื สาร (ก่อตง้ั การจัดการ ขอ้ ขัดแยง้ ภายในกลุ่ม สร้างความเขม้ แข็ง) (9) กระบวนทัศนใ์ หม่ของการส่อื สารเพอื่ การพัฒนา เปน็ ตน้ ค่มู ือการทาวิจยั ปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชน : 30
ในท่ามกลาง “ผู้ตอ้ งสงสัยเหลา่ น้ี” เนอ่ื งจากคณะวิจัยเปน็ นักวิชาการดา้ นการส่อื สาร คณะวิจัยจงึ ต้องใช้กล้องพิเศษเข้าไปดูเร่ือง “การสือ่ สาร” และตง้ั “ปัญหาหลักนาํ การวิจัย” ข้อหน่งึ ข้ึนมาวา่ การสื่อสารมีบทบาทอยา่ งไรบา้ งต่อความสาเรจ็ /ความล้มเหลวของกล่มุ ออมทรัพย์ ส่วนการจะวดั บทบาทของการสื่อสารในดา้ นไหนและอยา่ งไรบ้างนัน้ คณะนักวิจัยตอ้ งไปหา องคค์ วามรจู้ ากแนวคิดทฤษฏีท่ีวา่ ดว้ ยบทบาทของการสอ่ื สารตอ่ งานพัฒนาบา้ ง ไปหาอ่านจากงานวจิ ยั รนุ่ พที่ ไี่ ด้เดนิ ล่วงหนา้ เพื่อเอามาใช้เป็นแนวทางเป็นแบบอย่างสําหรับงานของเรา ซง่ึ ในการนีเ้ มื่อวเิ คราะหด์ ูคุณลักษณะของกลุม่ ออมทรัพย์ (ข้อ 1 -9) แล้ว เชน่ มีเรื่องการ ก่อตั้งกลมุ่ มเี รอ่ื งการบรหิ ารจัดการ มเี รือ่ งความขดั แย้ง (เพราะเงินทองเป็นของบาดใจกัน) มีเรอื่ งการ พัฒนากลุม่ /กิจกรรมให้เข้มแขง็ ฯลฯ คณะนกั วจิ ยั กจ็ ัดการเอาเร่ืองการส่อื สารผสมลงไปในคณุ ลกั ษณะ อ่นื ๆ (ขอ้ 1-9) ของกลุ่มออมทรพั ย์ ตวั อย่างที่ 2 นกั วิจยั คณะหน่งึ สนใจภาวะทโุ ภชนาการของเดก็ นกั เรยี นช้นั ประถมในจังหวัด สรุ ินทร์ ซึง่ เปน็ ปรากฏการณ์ท่นี ักวิจัยสนใจจะแสวงหาคําตอบ เมื่อจะต้ังคําถาม นกั วิจยั จะตอ้ งมคี วาม ชดั เจนว่า ชว่ งใดของ “วงจรชวี ติ ” ของภาวะทโุ ภชนาการของเด็กทนี่ กั วิจยั ต้องการจะรู้ บางคนอาจจะ สนใจทถ่ี ามคาํ ถามวา่ “ภาวะทุโภชนาการของเด็กในจงั หวดั สุรินทร์เกิดข้ึน (Emergence) ไดอ้ ย่างไร มี เหตปุ ัจจยั อะไรบา้ ง ท่ีจะชว่ ยอธิบายปรากฏการณ์การเกดิ ขนึ้ ของภาวะทโุ ภชนาการของเดก็ กล่มุ ดังกล่าว” บางคนอาจสนใจทจ่ี ะต้ังคําถามว่า “เพราะเหตใุ ดภาวะทโุ ภชนาการของเด็กในจงั หวัดสุรินทร์ จึงดาํ รงอยู่ได้ (existence) กล่าวคือ มเี หตุหรอื ปจั จัยอะไรบ้างทีท่ ําใหภ้ าวะทโุ ภชนาการซงึ่ เกดิ ขึน้ แล้ว และยังดํารงอยู่อีกในปจั จบุ ัน เพราะเหตใุ ดจึงไม่หมดไปเหมือนท่ีอน่ื ๆ” เปน็ ต้น บางคนอาจจะสนใจที่ จะถามว่า เพราะเหตใุ ดภาวะทโุ ภชนาการของเดก็ ในจังหวัดสุรนิ ทร์จงึ เปลย่ี นไป (Change) เช่น เปล่ยี น จากระดับ 1 ไปสู่ระดบั 2 หรอื จากระดับ 2 ไปสู่ระดับ 3 เปน็ ตน้ ในขณะเดียวกันอาจจะมีผูส้ นใจจะถามวา่ “เพราะเหตใุ ดภาวะทโุ ภชนาการของเด็กใน จงั หวัดสรุ ินทรจ์ งึ หมดไป (Death) ดังนเ้ี ปน็ ตน้ จะเหน็ ได้ว่าคาํ ถามแตล่ ะคาํ ถามทยี่ กมาข้างบนนีม้ ชี ุดของคาํ อธบิ าย ( Set of ex plana tion) ไมเ่ หมือนกัน แม้จะมีความเป็นไปไดว้ ่าในชดุ ของคําอธิบายแต่ละชุดนั้น มตี ัวแปรย่อยบางตัวบาง ตัวซ้ํากันไดก้ ต็ าม เพราะฉะน้นั ถ้านักวิจยั ตัง้ คาํ ถามการวิจยั ทีไ่ ม่ตรงประเดน็ กับที่ต้องการจะทาํ วิจยั คําตอบ ท่ไี ด้ก็จะผดิ พลาดไป งานวิจยั จาํ นวนมากท่ีมขี ้อผิดพลาดตรงจุดน้ี ซง่ึ ทําให้คุณคา่ ของงานวิจยั ทผี่ ลิตออกมาขาด คณุ คา่ ไปอยา่ งน่าเสยี ดาย การตัง้ คําถามการวจิ ยั ทถ่ี ูกต้องและสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องปรากฏการณ์ จะนําไปส่กู ารสรา้ งกรอบความคดิ หรอื กรอบทฤษฏีทจี่ ะนาํ มาอธบิ ายปรากฏการณน์ ้ันได้ตรงกับความ จรงิ ไดม้ ากทส่ี ุด การสรา้ งกรอบแนวคดิ น้ี นกั วจิ ัยจะต้องมคี วามรเู้ กีย่ วกับธรรมชาติของปรากฏการณท์ ีจ่ ะ ทําวิจัยเป็นอย่างดี มคี วามรทู้ างดา้ นแนวคิด (Perspectives) หรอื ทฤษฏี (Theories) ต่าง ๆ อย่าง กว้างขวาง และจะตอ้ งมโี ลกทศั น์ของการมองสรรพสง่ิ ท่ที ัง้ หลายทั้งปวงในโลกนีแ้ บบองคร์ วม (Holistic view) จงึ จะทาํ ใหก้ ารตั้งกรอบแนวคิดได้สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของปรากฏการณน์ น้ั ๆ การท่จี ะมี คมู่ ือการทาวิจัยปฏบิ ัตกิ ารในชุมชน : 31
ความรู้ความเขา้ ใจในแนวคิดและทฤษฎตี ่าง ๆ นั้น นกั วิจัยจะต้องเปน็ ผู้ทอี่ ่านมาก ฟังมาก นกั วจิ ยั ทไ่ี ม่มี ฉันทะในการอา่ นและการฟัง คงจะเป็นนักวิจยั ที่ดไี ด้ยากนกั จากตวั อย่างข้างตน้ เร่ือง “ภาวะทุโภชนาการของเดก็ ในจงั หวดั สุรินทร์” ถ้าคาํ ถามการ วิจัยมีว่า “เพราะเหตุใดหรือทาํ ไมภาวะทโุ ภชนาการของเด็กในจังหวัดสรุ นิ ทรจ์ ึงเกดิ ขน้ึ ” นกั วิจยั ก็ สามารถที่จะสร้างกรอบแนวคิดทจ่ี ะนาํ มาอธบิ ายปรากฏการณด์ งั กล่าวได้ โดยพจิ ารณาวา่ มีเหตุปจั จัย (ตวั แปร) อะไรบา้ งที่ “น่าจะ” มสี ว่ นเกือ้ หนุนให้เกดิ ภาวะทุโภชนาการข้นึ ในกลมุ่ เดก็ เหล่านน้ั เชน่ กรอบแนวคิดของการเกดิ ขน้ึ ของภาวะทุโภชนาการของเด็กกล่มุ นี้อาจจะมีสาเหตมุ าจาก 1. พ่อแม่ยากจน 2. พ่อแมข่ าดความร้ดู ้านโภชนาการ 3. นสิ ัยการกินของเดก็ เอง 4. พ่อแม่นยิ มซือ้ อาหารสาํ เรจ็ รปู รบั ประทานแทนการทาํ อาหารเอง 5. ความเชือ่ ในเรอื่ งการกินอาหาร เช่น ไมก่ ินอาหารบางชนิด เป็นต้น ฯลฯ ทั้งหา้ ขอ้ นเ้ี ปน็ เพียงคาํ อธิบายเชงิ ทฤษฏเี ท่านนั้ ส่วนความเป็นจริงจะเปน็ อย่างไรทาํ วิจัยเสรจ็ ส้ิน กระบวนการแล้วจงึ จะบอกได้ คําอธบิ ายเชิงทฤษฏีอาจจะมีส่วนถกู มาก หรอื มสี ว่ นผิดมากกข็ น้ึ อยู่กับวา่ นกั วิจยั มีความรใู้ นเรือ่ งที่จะทาํ วจิ ยั มากน้อยเพยี งใด ในการหาคําอธิบายทางทฤษฏหี รอื การสร้างกรอบ ความคิดหรือกรอบทางทฤษฏนี ้ี แท้ทจี่ ริงกค็ ือการการระบหุ า “ตวั แปร” หรอื “ตัวแปรอสิ ระ” (Independent variables) นั่นเอง เพราะฉะน้นั นกั วิจยั จึงต้องพยายามระบใุ หค้ รบถว้ นวา่ มีตัวแปรตน้ อะไรบ้าง กี่ตัวทเ่ี ม่อื คา่ ของตวั แปรเหล่าน้ีแปรผัน (Vary) ไปแล้ว จะก่อใหเ้ กิดการแปรผัน (Variation) ขนึ้ ในค่าของตัวแปรตาม (Dependent variables) หรอื ปรากฏการณ์ทกี่ ําลงั ทําวจิ ยั บางคนอาจจะเรยี กขั้นตอนตรงน้วี ่าเปน็ การตัง้ ข้อสมมุติฐาน (Hypotheses) ซึง่ กไ็ มผ่ ิด อะไร เพราะความหมายกค็ ล้าย ๆ กันนั่นเอง วธิ กี ารสร้างกรอบความคดิ หรือสอบทางทฤษฏนี ี้ เปน็ สิง่ ที่จะตอ้ งฝึกฝนกนั อกี มาก พอสมควร เพราะงานวิจัยตา่ ง ๆ ท่นี าํ มาวเิ คราะหเ์ พื่อเขยี นบทความชิ้นนี้ พบวา่ มีความบกพร่องอยมู่ าก ทีเดียว กลา่ วคือกรอบแนวคิดของการวิจัยส่วนใหญม่ ีความคบั แคบและผดิ เพ้ียนมาก (Specification error) คูม่ อื การทาวิจัยปฏิบัติการในชุมชน : 32
ใบความร้ทู ี่ 7 ตวั อยา่ งงานวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในชมุ ชนจากครู กศน. เม่อื พจิ ารณางานวิจยั ทีส่ ํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั (สาํ นักงาน กศน.) ไดร้ วบรวมและจัดพมิ พ์เปน็ เอกสาร 2 เล่ม คือ บทคัดยอ่ งานวจิ ัย กศน.ปี 2546-2551 และบทคดั ยอ่ งานวิจัยสาํ นักงานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ปีงบประมาณ 2549-2552 แล้วพบว่าบทคดั ย่อที่เปน็ งานวจิ ัยปฏบิ ตั กิ ารในชุมชนเปน็ การออกแบบงานวิจยั เปน็ “การ ทดลองจริงในสนาม (Field experiment) คือหลังจากเกบ็ สภาพข้อมูลชาวบา้ นทีเ่ ป็นกลมุ่ เปาู หมาย ตอ้ งใส่กิจกรรม (Treatment) ท่ีต้องการพฒั นากลมุ่ เปูาหมายเขา้ ไปแลว้ วดั ผลการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดข้ึน” เพื่อให้เกิดความเขา้ ใจเบื้องต้นของการออกแบบงานวิจยั “การทดลองจริงในสนาม (Field experiment) ซึ่งก็คอื ความหมายเดียวกนั กับการวิจัย เชิงปฏบิ ตั ิการ (Action research) ขอยกตัวอยา่ ง งานวจิ ยั ช้นิ หน่ึง ดงั น้ี งานวจิ ัย เรอ่ื งการสอื่ สารแบบมีสว่ นรว่ มเพือ่ จัดการปัญหาขยะของอาํ เภอปากชอ่ ง จงั หวัดนครราชสมี า ของสิทธิชยั เทวธรี ะรัตน์ และคณะ (2547) ซึ่งได้ใชแ้ นวคิดเรือ่ งการส่ือสารแบบมี สว่ นร่วมท่มี กี ารระบุคุณลกั ษณะต่าง ๆ ของการส่ือสารแบบมีส่วนรว่ มเอาไว้ คณะวจิ ยั ต้องการพิสจู น์ว่า รปู แบบสื่อสารดังกลา่ วมีศักยภาพในการแก้ปัญหาชมุ ชนไดจ้ ริงหรือไม่ จึงไดเ้ ลือกแบบการวิจัยเป็น “การทดลองจริงในภาคสนาม” (Field experiment) ด้วยการเลอื กชมุ ชนที่มกี ารส่อื สารแบบไม่มสี ว่ น ร่วมแลว้ ใส่ Treatment (การสอ่ื สารแบบมสี ่วนรว่ ม ซงึ่ ไดแ้ กก่ ารทัศนศึกษา มอบสือ่ ปรับปรงุ หอ กระจายข่าว ฝึกทกั ษะอาชีพ เวทเี สวนา) แลว้ วัดผลออกมา ต่อไปนเ้ี ปน็ ตวั อยา่ งงานวจิ ัยปฏิบัตกิ ารในชมุ ชนตัวอย่างจากครู กศน. จํานวน 6 เร่ือง คือ 1. การพัฒนารปู แบบการพัฒนาอาชีพเพ่ือแกป้ ญั หาความยากจนระดับบุคคลบา้ นหนอง กลางดง ตําบลการแอ่น อําเภอพยัคฆภูมพิ ิสัย จงั หวดั มหาสารคาม 2. รูปแบบการพัฒนาหมู่บ้านอยู่ดมี สี ขุ บ้านเหลา่ น้อย หมูท่ ่ี 10 ตําบลเขวา อาํ เภอเมอื ง จังหวดั มหาสารคาม 3. การเสริมสร้างประชาคมเพอ่ื พัฒนาอาชพี ของชาวสวนน้ําตาลมะพร้าว : กรณีศกึ ษา ตําบลนางตะเคียน อาํ เภอเมอื ง จังหวัดสมุทรสาคร 4. การพฒั นากระบวนการจดั การศึกษานอกโรงเรยี นเพ่ือการจัดทาํ แผนพฒั นาชมุ ชนแบบ มีส่วนร่วม : กรณีศึกษาบ้านหนิ ดาด ตําบลบางปดิ อําเภอแหลมงอบ จงั หวัดตราด 5. การพัฒนาความเขม้ แขง็ ของกลุม่ พฒั นาอาชีพไม้เทพธาโร หมู่ที่ 1 ตําบลเขากอบ อาํ เภอห้วยยอด จงั หวัดตรงั 6. วถิ ชี ีวติ แบบเศรษฐกจิ พอเพียง : กรณีบ้านดงเรือง หมู่ 6 ตําบลหนองเมก็ อําเภอหนอง หาน จังหวดั อุดรธานี คู่มอื การทาวจิ ยั ปฏบิ ัติการในชมุ ชน : 33
1. ชือ่ งานวิจัย การพฒั นารปู แบบการพฒั นาอาชพี เพ่ือแกป้ ญั หาความยากจนระดบั บุคคล บา้ นหนอง กลางดง ตําบลการแอ่น อาํ เภอพยคั ฆภูมพิ สิ ัย จงั หวัดมหาสารคาม ชือ่ ผูว้ ิจัย นางรตั นา ปะกคิ ะเน (2551) โจทยค์ าถามการวจิ ยั การแก้ปัญหาความยากจนระดับบคุ คล จาํ นวน 17 คน บา้ นหนองกลางดง ผมู้ ี รายไดต้ ่ํากวา่ เกณฑ์ จปฐ.ควรมีรปู แบบอยา่ งไร กิจกรรม (treatment) การสรา้ งอาชีพเพมิ่ ขึ้น จํานวน 3 อาชพี คอื 1) การเพาะเหด็ นางฟาู 2) การ เลยี้ งปลาดกุ ในบอ่ พลาสตกิ 3) การเลี้ยงกบในบ่อดิน โดยใชก้ ระบวนการ จดั เวทวี เิ คราะห์สภาพปัญหา วางแผนพฒั นาอาชีพที่เหมาะกับพื้นท่ี การไปศกึ ษาดูงาน การฝึกอบรมอาชีพ และการประเมนิ ผล วัตถุประสงค์ 1. เพ่ือพัฒนารูปแบบการพฒั นาอาชีพเพือ่ แก้ปัญหาความยากจนระดับบุคคล 2. เพื่อศกึ ษาผลกระทบต่อผู้มรี ายได้ต่ํากว่าเกณฑ์ จปฐ.จาํ นวน 17 คน 3. เพอ่ื ประเมนิ ความพงึ พอใจในรูปแบบการพัฒนาอาชีพเพือ่ แก้ปญั หาความยากจนระดบั ตาํ บล วธิ ีดาเนนิ การ 1. ผู้ร่วมโครงการจํานวน 17 คน เป็นผู้มรี ายได้ตา่ํ กว่าเกณฑ์ จปฐ. 2. จดั กระบวนการพฒั นาอาชีพประกอบด้วย การจัดเวทีชาวบา้ น การศกึ ษาอาชีพ และ การฝึกอบรมอาชีพ (การเพาะเหด็ นางฟาู การเลีย้ งปลาดุกในบอ่ พลาสติก และการเลี้ยงกบในบอ่ ดนิ ) 3. การติดตามผล ผลกระทบ และความพงึ พอใจ 4. ใชเ้ ครอ่ื งมือ เปน็ แบบสงั เกต แบบสัมภาษณ์ แบบตรวจสอบผล แบบสอบถาม เพื่อ การประเมินผลทกุ ข้นั ตอน ผลการศึกษา 1. เมือ่ ผ้วู จิ ยั พบว่าหลังจากนําชาวบา้ นไปศึกษาดูงานแล้วทดลองปฏิบัติการพบปัญหา ท่ีตามมา คอื ได้ผลผลิตเห็ดนางฟาู นอ้ ยทํากอ้ นเห็ดไมเ่ ป็น ปลาดุกในบอ่ พลาสตกิ ปลาโตชา้ การ ขยายพันธ์ุกบและการเลีย้ งกบในบอ่ ดนิ ลูกกบมีอาการตาแดง มมุ ปากเป็นแผล จึงไดท้ ําการจัดอบรม เพิม่ เติม เพ่ือแกป้ ญั หาท่ีพบจากการสร้างอาชพี ใหม่ จาํ นวน 3 อาชพี ๆ ละ 2 วัน โดยเชิญวิทยากรมา ให้ความรู้ ฝึกปฏิบัตเิ พ่มิ เติม 2. ชาวบ้านได้นําความรจู้ ากการอบรมเพ่มิ เตมิ ไปปรบั ปรงุ แกไ้ ขจากการติดตามผลพบวา่ ชาวบ้านสามารถทําก้อนเห็ดได้ ปลาดกุ โตเรว็ ไม่เกิดโรคระบาด สามารถขยายพันธล์ุ กู กบได้ คู่มือการทาวจิ ยั ปฏิบตั กิ ารในชุมชน : 34
2. ชื่องานวิจัย รูปแบบการพฒั นาหมบู่ า้ นอยู่ดีมีสขุ บ้านเหลา่ นอ้ ย หมู่ท่ี 10 ตาํ บล เขวา อําเภอเมือง จงั หวดั มหาสารคาม ผวู้ ิจัย นายอวริ ุทธ์ิ ภักดสี ุวรรณ (2551) กศน.อําเภอเมอื ง จังหวัดมหาสารคาม โจทยค์ าถามการวิจัย รปู แบบการพัฒนาหมู่บ้านดีมีสขุ สําหรับบา้ นเหลา่ น้อย หม่ทู ี่ 10 ตาํ บลเขวา อาํ เภอเมือง จงั หวัดมหาสารคาม คอื อย่างไร กจิ กรรม (treatment) รปู แบบการพฒั นาหมูบ่ ้านอยดู่ ีมีสขุ โดยมวี ิธดี ําเนินงาน 3 ขั้นตอน คือ 1) แสวงหาและศึกษาแนวคิดรูปแบบการดําเนนิ งานจากการศกึ ษาเอกสาร ศกึ ษาข้อมูลภาคสนามจากพืน้ ท่ี ตน้ แบบ 2) นาํ มาปรบั ปรุงเพือ่ สรา้ งรปู แบบการพฒั นาหม่บู ้านอยูด่ ีมีสุข 3) นําไปทดลองใช้กบั ชุมชน กลมุ่ เปูาหมาย วัตถปุ ระสงค์ ในการดําเนนิ งานเพอ่ื ให้พืน้ ท่เี ปูาหมายสู่การเปน็ หมู่บ้านอยู่ดีมสี ขุ ผูว้ จิ ัยไดต้ งั้ วัตถุประสงคไ์ ว้ 3 ประเดน็ คอื 1. เพอ่ื ศกึ ษารูปแบบการดาํ เนินงานหมบู่ ้านดีมสี ขุ จากเอกสาร/งานวิจยั และกรณีตวั อย่าง จริงในสนาม 2. เพอ่ื นาํ เอารปู แบบการดาํ เนินงานหมู่บา้ นดมี ีสขุ ไปทดลองใช้กับหมบู่ า้ นเปาู หมาย 3. เพ่ือประเมินผลการทดลองใชร้ ูปแบบการดาํ เนินงานหมบู่ ้านดมี ีสขุ วธิ ดี าเนนิ งาน 1. ข้ันเตรยี มการศกึ ษาเอกสารงานวิจยั ท่ีเกยี่ วขอ้ ง และศึกษาขอ้ มลู ภาคสนามพน้ื ท่ี ต้นแบบ ณ บ้านดงเค็ง ตําบลทา่ สองตอน อําเภอเมือง จงั หวัดมหาสารคาม พบว่า รปู แบบที่ ดําเนินการ ณ บา้ นดงเคง็ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คอื ขนั้ การคดิ ขนั้ การทํา ขัน้ การจํา ขนั้ การ แก้ปัญหา และขนั้ การพัฒนา 2. ข้นั ทดลองใช้และพัฒนารปู แบบ ผู้วิจัยได้นาํ องค์ความรูท้ ่ีได้ศกึ ษาในข้ันตอนที่ 1 ไป ทดลองใชท้ ี่บ้านเหล่านอ้ ย หมทู่ ่ี 10 ตําบลเขวา อําเภอเมือง จังหวดั มหาสารคาม แล้วปรับปรุงรปู แบบ ใหม้ ีวิธีดําเนินงาน 6 ขน้ั ตอน 3. การตดิ ตามผลการดําเนนิ งานและสรุปบทเรยี นโดยมขี ั้นตอนดําเนินงาน 3 ขนั้ ตอน คอื จดั เกบ็ องคค์ วามรู้ลงบนฐานขอ้ มลู ในประเด็นทีป่ ระสบผลสําเร็จ ประเมินผลสําเร็จในการดาํ เนินงานและ เผยแพรช่ ุดความรแู้ ละเปิดหม่บู า้ นอยู่ดีมีสุข เนื่องจากใชว้ ิธวี จิ ยั ปฏบิ ตั กิ าร (Action Research) จึงใช้เคร่อื งมอื เกบ็ รวบรวมข้อมูล หลากหลายไดแ้ ก่ การศึกษาเอกสาร การศกึ ษาขอ้ มลู ภาคสนาม การสาํ รวจกลมุ่ อาชีพ การลงมือปฏบิ ัติ การสงั เกต การสะท้อนกลับ ปรบั ปรงุ พัฒนากจิ กรรมของกลุม่ การใช้ประโยชน์จากผู้ร้ทู ้งั ภายในและ ภายนอกชุมชน พ้นื ท่ใี ช้ปฏิบตั กิ าร คอื บา้ นเหล่าน้อย หมทู่ ่ี 10 ตาํ บลเขวา อาํ เภอเมอื ง จงั หวัด มหาสารคาม โดยมีผู้รู้ ผนู้ าํ และชาวบา้ นรว่ มปฏบิ ัติการ 49 คน คมู่ ือการทาวิจัยปฏบิ ตั ิการในชุมชน : 35
ผลการวจิ ยั 1. บริบทชมุ ชนบา้ นเหลานอ้ ยหมู่ที่ 10 ตาํ บลเขวา อาํ เภอเมือง จงั หวดั มหาสารคาม มี ทงั้ หมด 75 หลงั คาเรอื น ประชากร 334 คน เปน็ ชาย 170 คน หญงิ 164 คน มีการตั้งถน่ิ ฐานและความ เปน็ อย่เู หมือนชุมชนอิสานทวั่ ๆไป ประกอบอาชพี เกษตรกรรมเปน็ หลัก 2. การคน้ หารูปแบบการดําเนินงานพฒั นาหมู่บา้ นดมี สี ขุ ท่ีเหมาะสมกับสภาพของบา้ น เหล่านอ้ ย หมู่ที่ 10 ตําบลเขวา อําเภอเมือง จงั หวดั มหาสารคาม มวี ธิ ดี าํ เนินงาน 6 ขนั้ ตอน คือ 1) การสาํ รวจปัญหาและความต้องการของชมุ ชน 2) จดั ทาํ แผนการเรยี นรู้การพัฒนาหม่บู ้านดีมีสุข 3) ส่งเสรมิ ใหแ้ ตล่ ะกลุม่ นาํ แผนการเรียนรหู้ มบู่ า้ นอยู่ดีมีสุขไปส่กู ารปฏบิ ตั ิ 4) จดั เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรกู้ ารดาํ เนินงานในแตล่ ะกิจกรรมและสรปุ บทเรยี น 5) ทบทวนแผนการจดั การเรียนร้ทู ีช่ ดั เจน 6) นาํ ไปสู่การจัดกจิ กรรม เพอื่ แกป้ ัญหาตามความตอ้ งการของกลุ่มในชุมชนนาํ มา ซงึ่ ความพึงพอใจของผู้ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง คมู่ ือการทาวิจยั ปฏิบัติการในชุมชน : 36
3. ช่อื งานวิจยั การเสริมสรา้ งประชาคมเพอื่ พัฒนาอาชีพของชาวสวน นาํ้ ตาลมะพรา้ ว : ตาํ บล นางตะเคยี น อําเภอเมือง จังหวดั สมทุ รสาคร ผูว้ จิ ัย สถาบัน กศน.ภาคกลาง (ไม่ระบุปที ที่ ําวจิ ัย) โจทย์คาถามการวิจยั เม่อื ดําเนินการสร้างเสรมิ ประชาคมเพื่อพัฒนาอาชีพของชาวสวนนาํ้ ตาลมะพรา้ ว ในตาํ บลนางตะเคียน อาํ เภอเมือง จังหวดั สมทุ รสงคราม แล้วผลเป็นอย่างไร กิจกรรม (Treatment) เวทปี ระชาคม 8 ข้ันตอน ใชเ้ วลาจดั เวที 14 ครง้ั ในช่วงเวลากวา่ 2 ปี วตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ ศกึ ษาความเป็นไปได้ในการสรา้ งประชาคมเพื่อพัฒนาอาชีพชาวสวนมะพรา้ ว :กรณี ตาํ บลนางตะเคียน อาํ เภอเมอื ง จังหวัดสมุทสงคราม ประชากรทศี่ ึกษาคอื ชาวสวนนาํ้ ตาลมะพรา้ ว ตาํ บลนางตะเคียนผนู้ าํ ชมุ ชน วิทยากรทเี่ ชิญ มารว่ มเวที เครอ่ื งมอื ท่ีใชใ้ นการศกึ ษา คอื ผู้วจิ ยั สมดุ บันทึกข้อสรปุ บทเวทนี าํ มาวิเคราะห์ประมวล สาระสาํ คัญในการจัดเวทีแต่ละครัง้ มาจัดเปน็ หมวดหมเู่ รียบเรยี งตามประเดน็ ทศี่ กึ ษา วธิ ีดาเนินงาน ใช้ระยะเวลาในการจัดเวทปี ระชาคม จาํ นวน 14 คร้งั ในช่วงเวลานาน 2 ปี เพื่อดําเนนิ งาน ตามยทุ ธศาสตรใ์ นการเสริมสร้างประชาคมเพื่อพฒั นาอาชีพการทํานํ้าตาลมะพรา้ ว 8 ขั้นตอน ดงั น้ี 1. การกําหนดประเดน็ ปญั หา โดยประชาชนมสี ว่ นรว่ ม 2. การสร้างทางเลือกโดยผา่ นกระบวนการคดิ รว่ มกันของสมาชิกในเวที 3. การรว่ มการทาํ กจิ กรรม โดยมกี ารมอบหมายงานผา่ นเวที 4. การร่วมกนั ประเมินผลกจิ กรรมทม่ี อบหมายงานผา่ นเวทเี พือ่ วิเคราะหจ์ ุดดีจุดด้อย สาํ หรบั การทาํ งานครง้ั ต่อไป 5. การประสานงานรว่ มกบั หน่วยงานของรัฐในพื้นที่เพอ่ื ให้เกิดการชว่ ยเหลือเกือ้ กูลกนั 6. การเรียนรรู้ ว่ มกนั 7. การสรา้ งจิตสาํ นกึ ความเปน็ พลเมือง 8. การสร้างเครือขา่ ย นับว่าเปน็ ชิน้ งานวิจยั ปฏบิ ตั กิ ารอย่างมีสว่ นร่วมในชมุ ชนทใ่ี ช้ความพยายามใหเ้ กดิ การมีสว่ นรว่ มของ ประชาชน (People Participatory) ท่ดี ชี ้นิ งานหน่ึง ผลการวิจยั ชาวสวนกลุ่มหนง่ึ ไดร้ ่วมดําเนินการแก้ปัญหาอยา่ งเปน็ รปู ธรรมหลายวิธี คือ 1. จดั ตง้ั กลุ่มผู้ผลิตนํา้ ตาลมะพรา้ วปลอดสารพิษอยา่ งเปน็ ทางการเพื่อเปน็ พลังของกลุ่มที่ จะดําเนนิ กิจกรรมต่าง ๆ 2. ร่วมกนั ประชาสมั พนั ธ์ใหผ้ บู้ ริโภครวู้ า่ ปัจจุบนั นํ้าตาลมะพรา้ วทว่ี างขายในท้องตลาดมี ท้งั นํา้ ตาลมะพรา้ วแทแ้ ละน้ําตาลมะพรา้ วไม่แท้ โดยเฉพาะน้าํ ตาลมะพรา้ วแท้ของตําบลนางตะเคยี นนนั้ คู่มอื การทาวิจยั ปฏบิ ตั กิ ารในชุมชน : 37
ไดป้ ระชาสมั พันธ์ผ่านทางรายการวทิ ยเุ พ่ือการศกึ ษาแห่งประเทศไทย การออกรา้ นแสดงนิทรรศการ แสดงกระบวนการผลิตนาํ้ ตาลมะพร้าวในงานประจําปี ของจังหวดั สมทุ รสงคราม 3. มีขอ้ ตกลงในหมสู่ มาชกิ เรอื่ งการควบคมุ คณุ ภาพนาํ้ ตาลมะพรา้ วและราคาให้มคี วาม ใกลเ้ คยี งกนั 4. น้ําตาลตาํ บลนางตะเคยี นไดร้ ับการรบั รองมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์สินค้าชมุ ชน (มผช.) และเป็นเครือข่ายสมชั ชาอาหารปลอดภัย จงั หวัดสมุทรสาคร 5. ไดร้ บั คัดเลอื กเปน็ สินคา้ ชมุ ชน (OTOP) ระดบั 3 ดาว 6. มีศูนย์สาธติ การเคี่ยวน้ําตาลมะพรา้ ว สําหรบั เปน็ ที่ศึกษาดงู านสง่ ผลใหเ้ กิดการ ปรับปรุงลกั ษณะทางกายภาพในชุมชนให้สะอาดเปน็ ระเบียบและสวยงาม 7. มกี ารเรียนรูร้ ่วมกนั ในด้านวิชาการในเรือ่ งเส้นทางการนําสินคา้ ไปสู่มาตรฐานสินค้า OTOP การรว่ มกันคิดแก้ปัญหาร่วมกนั ในเรือ่ งการบรหิ ารจดั การกลุ่ม การทาํ ธรุ กจิ โดยมีวทิ ยากรผมู้ ี ประสบการณ์มาแลกเปล่ยี นเรียนรู้ คู่มือการทาวิจัยปฏิบัติการในชมุ ชน : 38
4. ช่ืองานวจิ ยั การพฒั นากระบวนการจัดการศึกษานอกโรงเรียนเพอ่ื การจัดทาํ แผนพฒั นาชมุ ชน แบบมสี ว่ นร่วม:กรณีศกึ ษาบา้ นหนิ ดาด ตําบลบางปิด อําเภอแหลมงอบ จงั หวัดตราด ช่ือผู้วิจัย สุธี วรประเสริฐ (2550) สาํ นกั งาน กศน.จังหวัดตราด โจทยค์ าถามการวจิ ยั เมอื่ จัดกระบวนการเรียนรูเ้ พอื่ การจัดทําแผนชมุ ชนทบี่ ้านหนิ ดาด ตําบล บางปดิ อําเภอแหลมงอบ จังหวดั ตราด ซงึ่ เปน็ พืน้ ท่ีไม่เคยมกี ารจดั ทําแผนพฒั นาชุมชนแบบมีสว่ นรว่ มมากอ่ น แล้วผลเปน็ อย่างไร กจิ กรรม (Treatment) กระบวนการจัดทาํ แผนพฒั นาชุมชนแบบมีสว่ นรว่ ม วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศกึ ษาผลการใชก้ ระบวนการจดั การศกึ ษานอกโรงเรียนเพื่อการจัดทําแผนพฒั นา ชมุ ชนแบบมสี ว่ นรว่ มทพ่ี ฒั นาขนึ้ 2. เพื่อศึกษาปญั หาและแนวทางแก้ไขปญั หา ในการใช้กระบวนการจดั การศึกษานอก โรงเรยี นเพื่อการจดั ทาํ แผนชมุ ชนแบบมีสว่ นร่วม เพ่ือให้เกิดการมีสว่ นร่วมจากกลุม่ ตา่ ง ๆ จึงเลอื กกลมุ่ ร่วมดาํ เนนิ งานโดยพิจารณาจาก บทบาทหน้าทีจ่ ํานวน 30 คน ประกอบด้วย ผ้ใู หญบ่ ้าน 1 คน สมาชกิ องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาํ บล 1 คน ผแู้ ทนประชาชนในสาขาอาชีพตา่ ง ๆ 12 คน ผแู้ ทนกลุ่มผสู้ ูงอายุ 4 คน ผู้แทนกล่มุ สตรี 4 คน ผแู้ ทน กลุ่มเยาวชน 4 คน และผ้แู ทนประชาคมบ้านหนิ ดาด 4 คน วิธดี าเนินงาน การดําเนนิ งานผู้วิจัยได้ออกแบบขัน้ ตอนการดําเนนิ งานแบง่ เป็น 5 ข้นั ตอน ได้แก่ ข้ันตอน ที่ 1 การศกึ ษาขอ้ มูลพนื้ ฐานบา้ นหินดาด ตาํ บลบางปดิ อาํ เภอแหลมงอบ จังหวัดตราด ขั้นตอนท่ี 2 การ ดําเนินการวิเคราะหส์ ภาพการณข์ องชุมชน ข้นั ตอนท่ี 3 การศกึ ษาสภาพการณ์ของชมุ ชน ขนั้ ตอนท่ี 4 การจดั ทาํ แผนพัฒนาชุมชนบา้ นหนิ ดาด ตาํ บลบางปิด อําเภอแหลมงอบ จงั หวดั ตราด การผลักดนั แผนพฒั นาชุมชนสกู่ ารปฏบิ ัติและขน้ั ตอนท่ี 5 การประเมนิ กระบวนการเรียนรู้ โดยผู้วิจยั ได้สงั เคราะห์ กระบวนการมสี ว่ นร่วมและการเรยี นรู้ พร้อมไดก้ ําหนดใชเ้ ทคนิคการมสี ว่ นรว่ มได้แก่ เทคนคิ SWOT เทคนคิ AIC การสมั มนา การประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร และการประชมุ แบบซนิ ดเิ กต เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัยคร้ังน้ี ได้แก่ แบบสาํ รวจขอ้ มูลชมุ ชน และแบบประเมินและ วเิ คราะห์สภาพการณ์ของชมุ ชน โดยการวเิ คราะหข์ อ้ มลู จากการเกบ็ และรวบรวมข้อมลู เชิงคุณภาพจะ นาํ มาจําแนกขอ้ มูล ไดแ้ ก่ การวเิ คราะหค์ า่ ประเมิน การวเิ คราะหก์ ลมุ่ คํา ตคี วาม วเิ คราะห์สภาพการณ์ แล้วนําขอ้ มูลมาจาํ แนกประเภทแลว้ มาเปรยี บเทียบหาความเหมอื นและความแตกต่างของคณุ ลกั ษณะ ขอ้ มูล จากนั้นทาํ การวิเคราะห์ส่วนประกอบ พรอ้ มสร้างขอ้ สรุปจากขอ้ มลู ที่ผ่านการวเิ คราะห์มาเพอ่ื นํามาอภิปรายผลและการจัดทํารายงานการวจิ ยั คมู่ ือการทาวิจัยปฏิบตั ิการในชุมชน : 39
Search