42 1. หลักแหง่ ประสทิ ธภิ าพ (Efficiency) หมายถงึ การไดม้ ผี ลผลติ เพม่ิ ข้นึ โดยไม่เพม่ิ การลงทนุ นั่น คือ ผู้เรียนสามารถสาเร็จการศึกษาตามกาหนดของหลกั สูตร โดยไมล่ าออกกลางคัน เรียนเกนิ เวลา และชา้ กวา่ กาหนด 2. หลักแห่งประสิทธผิ ล (Effectiveness) หมายถึง ผลผลิตได้ตามจดุ ม่งุ หมายทว่ี าง ไว้ คอื ผเู้ รียนมคี ุณภาพตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร มคี วามรู้ ความสามารถ ทักษะ และการจดั การ สรุปไดว้ ่า หลักการบริหารงานวิชาการ เป็นแนวทางเพื่อใหป้ ฏิบัตงิ านไปสู่ ความสาเรจ็ บรรลสุ ู่เป้าหมาย การบรหิ ารงานวชิ าการผู้บริหารจึงจาเป็นตอ้ งใช้ท้งั หลักพัฒนาคุณภาพ การศกึ ษา การมสี ว่ นร่วมของทกุ ภาคสว่ น หลักการประสทิ ธภิ าพเพอื่ ให้ผเู้ รยี นสามารสาเร็จการศกึ ษา ตามกาหนดของหลกั สูตร หลักการประสิทธผิ ลเพ่อื ใหค้ ุณภาพของผเู้ ยนเปน็ ไปตามจุดมุ่งหมาย หลักการประหยดั และหลกั การเป็นวิชาการ ขอบขา่ ยของการบริหารงานวิชาการ การบรหิ ารงานวิชาการ เป็นการดาเนนิ งานทเี่ ก่ยี วกบั การจดั กจิ กรรมทกุ ชนดิ ที่ชว่ ย ส่งเสริมการจดั การเรยี นการสอนให้มีคุณภาพและมาตรฐาน จนบรรลเุ ปา้ หมายของสถานศึกษา ดังมี หน่วยงานและนักการศึกษานักวิชาการไดเ้ สนอขอบขา่ ยการบรหิ ารงานวชิ าการไว้ ดงั น้ี กระทรวงศึกษาธกิ าร (2550) ได้เสนอขอบขา่ ยการบริหารงานวชิ าการท่ีกระจาย อานาจให้สถานศึกษา 17 ดา้ น ดังน้ี 1. การพัฒนาสาระการเรยี นรูท้ ้องถิน่ 2. การวางแผนงานวิชาการ 3. การจดั การเรยี นการสอน 4. การพฒั นาหลักสูตรสถานศกึ ษา 5. การพฒั นากระบวนการเรยี นการสอน 6. การวดั ผล ประเมนิ ผลและดาเนินการเทียบโอนผลการเรียน 7. การวจิ ัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 8. การพฒั นาและสง่ เสริมใหม้ ีแหล่งเรยี นรู้ 9. การนิเทศการศกึ ษา 10. การแนะแนว 11. การพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา 12. การสง่ เสรมิ ชุมชนให้มีความเข้มแข็งทางวิชาการ 13. การประสานความรว่ มมอื ในการพฒั นาวชิ าการกบั สถานศกึ ษาและองค์กรอื่น
43 14. การส่งเสริมและสนับสนุนทางวชิ าการแก่บคุ คล ครอบครวั องค์กร หนว่ ยงาน และสถาบนั อ่นื ทจ่ี ัดการศึกษา 15. การจัดทาระเบียบและแนวปฏบิ ตั ิเกยี่ วกับงานดา้ นวชิ าการ 16. การคดั เลือกหนงั สือ แบบเรียนเพือ่ ใช้ในสถานศกึ ษา 17. การพฒั นาและใช้สอ่ื เทคโนโลยี Faber and Gilberg (1970) ได้กาหนดขอบข่ายการบริหารงานวิชาการออกเป็น 6 ดา้ น คือ 1. การกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ของหลกั สตู ร 2. การกาหนดเน้อื หาของหลักสูตร 3. การนาหลักสูตรไปใช้ 4. การจัดอปุ กรณ์การสอน 5. การนเิ ทศการสอน 6. การส่งเสรมิ ครปู ระจาการ สานักงานปฏริ ปู การศกึ ษา (2545) ได้กาหนดขอบข่ายภารกิจของการบรหิ ารงาน วชิ าการ ตามพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ ไวด้ งั น้ี 1. การพัฒนาหลกั สตู รสถานศึกษา 2. การพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ 3. การวัดผล ประเมินผลและการเทียบโอนผลการเรียน 4. การประกันคณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศกึ ษา 5. การพัฒนาและใช้ส่อื และเทคโนโลยีเพื่อการศกึ ษา 6. การพัฒนาและสง่ เสริมใหม้ แี หล่งเรียนรู้ 7. การวิจยั เพื่อพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา 8. การสง่ เสริมชุมชนใหม้ ีความเข้มแข็งทางวชิ าการ กมล ศริ ิบรรณ (2539) ได้กาหนดขอบขา่ ยและภารกิจของงานวิชาการ ไวด้ งั นี้ 1. งานด้านหลักสตู รและการนาหลกั สูตรไปใช้ จัดหาหลักสูตร เอกสารหลกั สูตรคู่มอื การใช้หลักสตู รให้เพียงพอสาหรับการปฏบิ ตั งิ านของครู 2. งานดา้ นการเรยี นการสอน ปรับปรุงพฒั นากระบวนการเรยี นการสอนใหม้ ี ประสทิ ธภิ าพ บรรลจุ ุดม่งุ หมายของหลักสตู ร การจัดอบรม สาธิต การแลกเปลยี่ นความรคู้ วามคดิ กับ เพอื่ นครูหรอื ผทู้ รง คณุ วฒุ ิอื่น ๆ เกยี่ วกับวิธสี อนแบบใหม่ ๆ
44 3. งานส่ือการเรยี นการสอน จัดใหม้ อี ปุ กรณ์การเรียนการสอนตามทีห่ ลักสตู ร กาหนดทกุ กล่มุ ประสบการณ์ สง่ เสริมใหค้ รูใชอ้ ปุ กรณก์ ารสอนให้ตรงจดุ ประสงค์ เนื้อหาและกจิ กรรม ของผเู้ รยี นและอาจเลอื กใช้สือ่ ทอ่ี ยรู่ อบตัวมาใช้ประโยชน์ เชน่ วิทยุโรงเรียน 4. งานวัดผลและประเมินผล จดั ให้มีการวดั ผลและประเมินผลให้เปน็ ไปตาม หลกั เกณฑท์ ่กี าหนด ปรบั ปรงุ การสร้างเครื่องมอื วดั ผลใหม้ ีประสทิ ธิภาพ จัดทาธนาคารข้อสอบ มกี าร ตรวจสอบการจัดทาสมดุ ประจาชน้ั และสมุดประจาตัวผ้เู รียนให้ถูกต้องเรียบรอ้ ย และเปน็ ปจั จุบนั อยู่ เสมอ 5. งานหอ้ งสมุด จัดทาและจัดหาเอกสาร หนังสือ สาหรับคน้ คว้าหาความรู้ สาหรบั ครูและผูเ้ รยี นอย่างเพียงพอ เพือ่ สนบั สนนุ กิจกรรมการเรยี นการสอนให้มคี ณุ ภาพ ช่วยให้ครแู ละ ผเู้ รียนมคี วามรูก้ ว้างขวางและทนั สมยั อยูเ่ สมอ 6. งานนิเทศการศึกษา จัดให้มีการนเิ ทศภายในโรงเรียนอยา่ งสูมา่ เสมอ 7. งานดา้ นการวางแผนและกาหนดวิธีดาเนนิ การกาหนดใหม้ กี ารให้มีการวางแผน ปฏบิ ตั ิงานวชิ าการล่วงหน้าอย่างมขี ัน้ ตอน ใหบ้ ุคลากรทุกฝ่ายมีสว่ นร่วมและรบั ผดิ ชอบในการ ปฏบิ ตั ิงานกาหนดหน้าท่แี ละขอบเขตในการปฏิบัติงาน และประสานงานกับผู้เก่ียวขอ้ งใหช้ ดั เจน 8. งานสง่ เสรมิ การสอน จัดกิจกรรมตา่ ง ๆ ทีม่ ีส่วนส่งเสรมิ การเรียนการสอน เช่น กิจกรรมสง่ เสรมิ การอา่ น การแข่งขนั ตอบปญั หา การแสดงละคร ดนตรี กฬี า ตลอดจนเร่ืองการสอน ซอ่ มเสรมิ 9. งานประชุมอบรมทางวชิ าการ จดั ให้มีการประชมุ ครใู นโอกาสต่าง ๆ เพือ่ ประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวชิ าการเกี่ยวกบั การเรยี นการสอนเพอื่ นามาพัฒนาการเรียน การสอนให้ดยี งิ่ ข้นึ กมล ภูป่ ระเสริฐ (2547) ได้กาหนดขอบขา่ ยงานวชิ าการ ไว้ดังนี้ 1. การบรหิ ารหลกั สูตร 2. การบรหิ ารการเรยี นการสอน 3. การบริหารการประเมินผลการเรียน 4. การบรหิ ารการนิเทศภายในสถานศึกษา 5. การบรหิ ารการพฒั นาบคุ ลากรทางวชิ าการ 6. การบรหิ ารการวิจัยและพัฒนา 7. การบรหิ ารโครงการทางวิชาการอืน่ 8. การบริหารระบบขอ้ มลู และสารสนเทศทางวิชาการ 9. การบริหารการประเมนิ ผลงานทางวิชาการของสถานศึกษา จนั ทรานี สงวนนาม (2545) ได้กาหนดขอบขา่ ยการบริหารงานวิชาการ ดงั นี้
45 1. หลกั สูตรและการบรหิ ารหลกั สูตร 1.1 การศึกษาสาระการเรียนรูข้ องหลกั สูตรและการจัดระบบ 1.2 การพฒั นากระบวนการการเรียนรู้ 1.3 ส่อื การเรียนรู้ 1.4 การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้ 2. การวจิ ยั ในช้นั เรียน 3. การสอนซ่อมเสรมิ 4. การจดั กิจกรรมเสริมหลกั สูตร 5. การนเิ ทศภายในสถานศึกษา 6. การประกันคุณภาพการศึกษา ชุมศักดิ์ อนิ ทรร์ กั ษ์ (2546) ได้กาหนดงานหลักของการบรหิ ารงานวชิ าการ ดังน้ี 1. งานหลักสตู รและงานพฒั นาหลกั สตู ร 2. งานบริหารหลักสูตร 3. งานสือ่ และนวัฒกรรม 4. งานวดั และประเมินผล 5. งานนเิ ทศภายใน 6. งานส่งเสรมิ วชิ าการ ปรยี าพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553) กลา่ ววา่ ขอบข่ายของการบรหิ ารงานวิชาการ ประกอบด้วย 1. การวางแผนเกี่ยวกบั งานวชิ าการ เปน็ การวางแผนเกีย่ วกับการพฒั นา หลักสตู ร และการนาหลักสูตรไปใช้การจัดการลว่ งหนา้ เกี่ยวกบั การเรยี นการสอน คอื 1.1 มแี ผนปฏบิ ตั งิ านวชิ าการ ได้แก่ การประชมุ เก่ียวกบั หลกั สูตรการ จดั ปฏทิ นิ การศึกษา ความรบั ผิดชอบของงานตามภาระหน้าที่ การจัดขน้ั ตอนและเวลาในการทางาน 1.2 โครงการสอนเป็นการจดั รายละเอยี ดเกย่ี วกบั วิชาทีต่ อ้ งสอนตาม หลักสูตร 1.3 บนั ทึกการสอนเป็นการแสดงรายละเอียดของกาหนดการ เนือ้ หาท่ีจะ สอน โดยการวางแผนไว้ล่วงหน้าและยดึ โครงสรา้ งการสอนเป็นหลกั 2. การจดั การดาเนินงานเกี่ยวกับการเรียนการสอน เพอ่ื ใหก้ ารสอนใน สถานศึกษาดาเนินไปด้วยดีและสามารถปฏบิ ัตไิ ด้มี ดงั น้ี 2.1 การจดั ตารางสอนเป็นการกาหนดวชิ า เวลา ผสู้ อน สถานท่ี ตลอดจน ผู้เรียนในแตล่ ะรายวชิ า
46 2.2 การจดั ช้นั เรียนเปน็ งานทฝี่ า่ ยวิชาการ ตอ้ งประสานกบั ฝ่ายอาคาร สถานท่ี รวมท้งั การจัดสิ่งอานวยความสะดวกต่าง ๆ ในห้องเรียน 2.3 การจดั ครเู ข้าสอน การจัดครูเข้าสอนต้องพจิ ารณาถึงความพรอ้ มของ สถานศกึ ษาและความพรอ้ มของบคุ ลากร 2.4 การจดั แบบเรยี น โดยปกติสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ใช้แบบเรยี นที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนด และครอู าจจะใชใ้ นส่ืออนื่ เป็นหนังสอื ประกอบได้ 2.5 การปรบั ปรงุ การเรียนการสอนเป็น การพฒั นาครผู ูส้ อนให้ก้าวทนั วิทยาการเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพอ่ื พฒั นาการสอนใหส้ อดคลอ้ งกับความตอ้ งการความกา้ วหนา้ ของสังคม 2.6 การฝกึ งาน จดุ ม่งุ หมายของการฝกึ งานเป็นการให้ผู้เรียนรู้จักนาเอา ทฤษฎมี าประยุกต์ใชก้ ับชีวติ จรงิ 3. การจดั บรหิ ารเก่ียวกบั การเรยี นการสอน เปน็ ส่งิ อานวยความสะดวก และสง่ เสรมิ การจัดหลกั สูตร และโปรแกรมการศึกษาใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ ไดแ้ ก่ 3.1 ส่ือการเรียนการสอน เป็นสิง่ ท่เี ออ้ื ต่อการศกึ ษาของผเู้ รียน เครื่องมอื และกิจกรรมใหค้ รไู ด้เลือกใช้ในการสอน 3.2 การจัดห้องสมดุ เป็นที่รวมหนงั สอื เอกสารสงิ่ พิมพ์และวสั ดุอปุ กรณ์ ท่เี ปน็ แหล่งวทิ ยาการให้ผเู้ รียนได้ศกึ ษาและค้นคว้าเพ่มิ เตมิ 3.3 การนเิ ทศการสอนเปน็ การช่วยเหลือแนะแนวครใู ห้เกิดการปรับปรุง แก้ไขปัญหาในการจดั การเรียนการสอน 4. การวัดและประเมนิ ผลกระบวนการเพอ่ื ใช้เปน็ เคร่ืองมอื ในด้านการ ตรวจสอบและวิเคราะห์ผลการเรยี น จากขอบข่ายการบริหารงานวชิ าการขา้ งต้น จะเห็นได้ว่าขอบขา่ ยการบรหิ ารงาน วชิ าการน้ัน มคี วามสอดคล้องคล้ายคลึงกนั ซึ่งในการวจิ ยั ครงั้ น้ีผู้วจิ ยั ได้วเิ คราะหจ์ ากนกั วชิ าการ หน่วยงานต่างๆ ที่ให้ความสาคญั ตรงกัน ดังทีก่ ลา่ วมาข้างต้น สามารถสรปุ เปน็ 5 ด้าน คอื 1) ด้าน การพัฒนาหลักสูตรสถานศกึ ษา 2) ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3) ด้านการวดั ผล ประเมินผล และเทยี บโอนผล การเรยี น 4) ด้านการพัฒนาสอื่ นวตั กรรม และเทคโนโลยเี พ่อื การศึกษา และ 5) ด้านการนิเทศภายใน ซ่ึงมีรายละเอยี ดดังน้ี 1. ด้านการพฒั นาหลักสูตรสถานศกึ ษา การพฒั นาหลักสูตรสถานศึกษาเปน็ เรอ่ื งทสี่ าคญั อย่างย่ิง ผูบ้ รหิ าร ครู และผู้มสี ่วน เกย่ี วขอ้ ง ตอ้ งทาความเข้าใจให้ชัดเจนกอ่ นท่ีจะนาไปใชใ้ นกระบวนการเรียนรขู้ องแต่ละระดบั ซ่ึง
47 จะตอ้ งดาเนนิ การให้สอดคล้องกบั หลักการ จุดมงุ่ หมาย โครงสร้าง และแนวดาเนินการตามหลกั สตู ร ได้กาหนดไว้ มนี กั การศึกษาและนักวิชาการใหค้ วามหมายของการพฒั นาหลักสตู รดงั นี้ อมรา เลก็ เรงิ สินธ์ุ (2540) ใหค้ วามหมายของการพัฒนาหลักสตู รวา่ มี 2 ลักษณะ คือ 1. การปรบั ปรุงหลักสตู ร หมายถึง การแก้ไขหลกั สตู รบางส่วนท่ีกาลังใช้อยู่ให้ เหมาะสมยง่ิ ข้ึน ซง่ึ ลักษณะนเี้ ป็นสิ่งท่ตี ้องกระทาอยู่เสมอขณะกาลงั ใช้หลกั สูตร 2. การเปลย่ี นแปลงหลักสูตร หมายถึง การสรา้ งหลกั สูตรขึ้นมาใหม่ โดยเปล่ยี นไป จาก หลกั สูตรเก่าทง้ั ระบบทุกองค์ประกอบของหลักสูตรโดยอาศัยพน้ื ฐานข้อมลู ต่างๆ ในการจดั ทา หลักสูตร ปรยี าพร วงศอ์ นตุ รโรจน์ (2543) ได้ใหค้ วามหมาย การพัฒนาหลกั สตู ร หมายถึง การตัง้ วตั ถุประสงคท์ ่ัวไปและวตั ถปุ ระสงค์เฉพาะ การเลือกเนอื้ หาให้ตรงและครอบคลุมชนดิ ของ ประสบการณก์ ารเรียนรู้ทสี่ อดคล้องกบั เนื้อหาวิชาและวัตถุประสงคแ์ ละท้ายสดุ คอื วิธกี ารประเมนิ ผล ของการเรยี นรู้ วฒั นาพร ระงบั ทุกข์ (2545) กลา่ วว่า การพัฒนาหลักสตู รระดบั สถานศกึ ษา ท่ี จะตอ้ ง ดาเนินการตามกรอบพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พุทธศกั ราช 2542 มาตรา 27 โดยมี คณะกรรมการการศึกษาข้นั พน้ื ฐานเปน็ ผ้กู าหนดหลักสตู รแกนกลางขน้ึ ทม่ี ีสาระการเรยี นรู้หลักและ มาตรฐานเปน็ ข้อกาหนด และเป็นแนวทางใหส้ ถานศกึ ษาจัดทาสาระหรือรายละเอยี ดของหลักสตู ร เพอื่ ใหส้ อดคล้องกับจุดมุง่ หมายของหลกั สตู ร Taba (1962 อ้างถงึ ในสนุ ยี ์ ภู่พันธ์, 2546 : 143) ได้กล่าวไวว้ ่า การพฒั นาหลกั สตู ร หมายถงึ การเปลย่ี นแปลงและการปรับปรุงหลกั สูตรอนั เดมิ ใหไ้ ด้ผลดียิ่งข้ึนในดา้ นการวางจดุ มุ่งหมาย การจัดเน้อื หาวิชาการเรยี นการสอน การวดั ผลประเมินผลและอื่น ๆ เพอื่ ให้บรรลุจดุ มุง่ หมายอันใหม่ ที่วางไวก้ ารเปล่ียนแปลงหลักสูตรเป็นการเปล่ยี นแปลงท้งั ระบบหรอื เปลยี่ นแปลงท้งั หมด ต้ังแตก่ าร เปลี่ยนแปลงจุดมุง่ หมายและวิธกี าร และการเปล่ียนแปลงหลักสตู รนี้จะมผี ลกระทบกระเทอื นทางด้าน ความคดิ และความรสู้ กึ นกึ คดิ ของผูเ้ กย่ี วข้องทุกฝ่าย ส่วนการปรบั ปรุงหลักสตู รหมายถงึ การ เปลี่ยนแปลงหลกั สตู รบางส่วน โดยไม่เปลยี่ นแปลงแนวคิดพ้ืนฐานหรือรูปแบบของหลกั สูตร กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2546ก.) ไดใ้ หแ้ นวคดิ การพฒั นาหลักสูตรสถานศกึ ษา คอื ศกึ ษา วเิ คราะห์หลกั สตู รการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. 2544 สาระแกนกลาง ขอ้ มลู สาระสนเทศและ ความตอ้ งการของสังคม ชมุ ชนและท้องถ่นิ กาหนดวสิ ัยทัศน์ ภารกิจ เป้าหมายและคุณลกั ษณะ ทีพ่ ึง ประสงค์ โดยการมีส่วนร่วมคณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน จัดทาโครงสร้างหลกั สูตรและสาระ ต่าง ๆ ทีก่ าหนดให้มใี นหลกั สูตรสถานศึกษาท่ีสอดคล้องกบั วสิ ยั ทัศน์ เป้าหมายและคณุ ลกั ษณะทีพ่ ึง
48 ประสงค์ การเรียนรู้ นาหลักสูตรไปใช้ นิเทศ ตดิ ตามประเมนิ ผลการ ปรับปรงุ และพฒั นาหลกั สูตร ตามความเหมาะสม ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธกิ าร (2551) ไดม้ ีการพัฒนาหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษา ขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ 1. วสิ ยั ทัศนข์ องหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มงุ่ พฒั นาผเู้ รยี นทกุ คน ซง่ึ เป็นกาลงั ของชาตใิ ห้เป็นมนษุ ยท์ ี่มคี วามสมดุลทงั้ ด้านรา่ งกาย ความรู้ คุณธรรม มจี ิตสานกึ ในความ เป็นพลเมอื งไทยและเปน็ พลโลก ยดึ มัน่ ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์ ทรงเป็นประมุข มคี วามรแู้ ละทักษะพื้นฐาน รวมทัง้ เจตคติ ท่จี าเปน็ ตอ่ การศึกษาตอ่ การประกอบ อาชพี และการศึกษาตลอดชีวิต โดยม่งุ เนน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคญั บนพ้นื ฐานความเช่ือวา่ ทุกคนสามารถ เรยี นรู้และพฒั นาตนเองไดเ้ ตม็ ตามศักยภาพ 2. หลักการของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน มหี ลักการที่สาคญั ดงั นี้ 2.1. เปน็ หลกั สูตรการศึกษาเพอ่ื ความเปน็ เอกภาพของชาติ มจี ดุ หมายและ มาตรฐานการเรียนร้เู ปน็ เป้าหมายสาหรบั พัฒนาเดก็ และเยาวชนใหม้ ีความรู้ ทักษะ เจตคติและ คณุ ธรรมบนพ้ืนฐานของความเป็นไทยควบค่กู บั ความเป็นสากล 2.2 เปน็ หลักสูตรการศึกษาเพ่ือปวงชน ท่ปี ระชาชนทกุ คนมีโอกาสได้รับ การศึกษาอย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ 2.3 เป็นหลกั สูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอานาจใหส้ ังคมมีส่วนร่วมใน การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถ่ิน 2.4 เป็นหลักสูตรการศกึ ษาที่มีโครงสร้างยืดหยนุ่ ทั้งดา้ นสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการเรียนรู้ 2.5 เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาทเี่ นน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญ 2.6 เปน็ หลักสูตรการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบและตาม อัธยาศยั ครอบคลมุ ทกุ กลุ่มเปา้ หมาย สามารถเทียบโอนผลการเรยี นร้แู ละประสบการณ์ 3. จุดหมายหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน มุง่ พฒั นาผเู้ รียนให้เปน็ คนดี มีปัญญา มีความสขุ มีศกั ยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกาหนดเปน็ จุดหมายเพื่อให้เกิด กับผู้เรยี นเมื่อจบการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน ดังนี้ 3.1 มคี ณุ ธรรม จริยธรรมและคา่ นิยมทพี่ ึงประสงค์ เหน็ คุณค่าของตนเอง มวี ินัย และปฏิบตั ิตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาท่ีตนนับถอื ยึดหลักปรชั ญาของ เศรษฐกจิ พอเพียง 3.2 มคี วามรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแกป้ ัญหา การใช้ เทคโนโลยีและมที กั ษะชีวิต
49 3.3 มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิตทด่ี ี มสี ขุ นิสยั และรกั การออกกาลงั กาย 3.4 มีความรักชาติ มีจิตสานกึ ในความเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ยดึ มนั่ ในวิถี ชวี ติ และการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมุข 3.5 มีจติ สานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษแ์ ละ พฒั นาส่งิ แวดล้อม มจี ิตสาธารณะท่ีมงุ่ ทาประโยชนแ์ ละสร้างส่งิ ท่ดี ีงามในสงั คมและอย่รู ่วมกนั ใน สงั คมอยา่ งมีความสุข 4. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน มงุ่ ให้ผูเ้ รียน เกิดสมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดังน้ี 4.1 ความสามารถในการส่อื สาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวฒั นธรรมในการใช้ภาษาถา่ ยทอดความคดิ ความร้คู วามเขา้ ใจ ความรสู้ ึกและทัศนะของตนเองเพอ่ื แลกเปลย่ี นขอ้ มูลขา่ วสารและประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสงั คม รวมท้ังการเจรจาตอ่ รองเพ่ือขจัดและลดปัญหาความขัดแยง้ ต่าง ๆ การเลือกรับหรอื ไม่รับข้อมูล ขา่ วสารดว้ ยหลกั เหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลอื กใชว้ ธิ กี ารสอื่ สารทม่ี ีประสทิ ธิภาพ โดยคานงึ ถงึ ผลกระทบทีม่ ีตอ่ ตนเองและสังคม 4.2 ความสามารถในการคิด เปน็ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคดิ อย่างสรา้ งสรรค์ การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณและการคิดเปน็ ระบบ เพ่ือนาไปสูก่ าร สรา้ งองค์ความร้หู รือสารสนเทศเพ่อื การตัดสนิ ใจเก่ยี วกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 4.3 ความสามารถในการแกป้ ญั หา เปน็ ความสามารถในการแกป้ ัญหาและ อปุ สรรคต่าง ๆ ท่ีเผชญิ ไดอ้ ย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและขอ้ มูล สารสนเทศ เข้าใจความสมั พนั ธ์และการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกตค์ วามรูม้ าใชใ้ นการป้องกนั และแกไ้ ขปญั หา และมีการตดั สินใจที่มีประสิทธภิ าพโดยคานงึ ถึง ผลกระทบที่เกิดขน้ึ ตอ่ ตนเอง สังคมและสงิ่ แวดลอ้ ม 4.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ เปน็ ความสามารถในการนากระบวนการ ต่าง ๆ ไปใช้ในการดาเนินชีวิตประจาวนั การเรียนรดู้ ้วยตนเอง การเรยี นรูอ้ ย่างต่อเนือ่ ง การทางาน และการอย่รู ว่ มกนั ในสงั คมด้วยการสรา้ งเสริมความสมั พนั ธ์อันดีระหวา่ งบคุ คล การจดั การปญั หาและ ความขดั แยง้ ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตวั ให้ทนั กบั การเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดลอ้ ม และการรู้จกั หลีกเลี่ยงพฤตกิ รรมไม่พึงประสงค์ท่ีส่งผลกระทบต่อตนเองและผอู้ ่นื 4.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลอื กและใช้ เทคโนโลยดี ้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพอื่ การพัฒนาตนเองและสังคมในดา้ น การเรียนรู้ การส่อื สาร การทางาน การแก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ ถกู ต้อง เหมาะสมและมคี ุณธรรม
50 5. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน ม่งุ พัฒนา ผเู้ รียนให้มคี ณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ เพือ่ ใหส้ ามารถอยรู่ ่วมกับผ้อู ่นื ในสังคมได้อย่างมคี วามสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดงั นี้ 1) รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 2) ซือ่ สัตย์สจุ ริต 3) มีวนิ ยั 4) ใฝ่เรยี นรู้ 5) อยู่อยา่ งพอเพยี ง 6) มงุ่ ม่นั ในการทางาน 7) รักความเปน็ ไทย และ8) มจี ิตสาธารณะ นอกจากน้สี ถานศกึ ษาสามารถกาหนดคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์เพิม่ เตมิ ใหส้ อดคล้องตามบริบทและ จุดเน้นของตนเอง 6. มาตรฐานการเรยี นรู้ การพฒั นาผู้เรียนให้เกดิ ความสมดุล ต้องคานงึ ถงึ หลกั พัฒนาการทางสมองและพหปุ ญั ญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน จึงกาหนดให้ผู้เรียน เรียนรู้ 8 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ดงั น้ี 1) ภาษาไทย 2) คณิตศาสตร์ 3) วิทยาศาสตร์ 4) สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 5) สขุ ศึกษาและพลศึกษา 6) ศิลปะ 7) การงานอาชพี และเทคโนโลยี 8) ภาษาตา่ งประเทศ ซึง่ ในแต่ละกลมุ่ สาระการเรียนรู้ได้กาหนดมาตรฐานการเรียนร้เู ปน็ เป้าหมายสาคัญ ของการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี น มาตรฐานการเรยี นรู้ระบสุ ิ่งทผี่ ูเ้ รยี นพงึ่ รู้ ปฏบิ ตั ิได้ มคี ณุ ธรรม จริยธรรมและคา่ นยิ มที่พึงประสงคเ์ มอื่ จบการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน นอกจากน้นั มาตรฐานการเรยี นรยู้ ัง เป็นกลไกสาคญั ในการขับเคลอ่ื นพฒั นาการศกึ ษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรยี นร้จู ะสะทอ้ นให้ ทราบวา่ ตอ้ งการอะไรจะสอนอย่างไรและประเมนิ อย่างไร รวมท้งั เป็นเครอื่ งมือในการตรวจสอบเพื่อ การประกนั คณุ ภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมนิ คณุ ภาพภายในและการประเมนิ คุณภาพ ภายนอก ซง่ึ รวมถงึ การทดสอบระดบั เขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาและการทดสอบระดบั ชาติ ระบบการ ตรวจสอบเพ่ือประกนั คุณภาพดังกล่าวเปน็ สง่ิ สาคัญท่ีช่วยสะทอ้ นภาพการจัดการศกึ ษาว่าสามารถ พัฒนาผู้เรยี นใหม้ คี ุณภาพตามท่ีมาตรฐานการเรยี นรกู้ าหนดเพยี งใด 7. ตัวช้ีวัด ตวั ช้วี ัดระบสุ ่งิ ที่ผเู้ รยี นพงึ รแู้ ละปฏบิ ัติได้ รวมท้งั คณุ ลกั ษณะของผเู้ รียน ในแตล่ ะระดบั ชน้ั ซงึ่ สะทอ้ นถึงมาตรฐานการเรยี นรู้ มคี วามเฉพาะเจาะจงและมคี วามเป็นรูปธรรม นาไปใช้ในการกาหนดเนือ้ หา จัดทาหน่วยการเรยี นรู้ จดั การเรยี นการสอนและเป็นเกณฑส์ าคญั สาหรับการวดั ประเมนิ ผลเพอื่ ตรวจสอบคุณภาพผู้เรยี น 7.1 ตวั ชี้วดั ชั้นปี เปน็ เปา้ หมายในการพฒั นาผ้เู รียนแต่ละชนั้ ปีในระดบั การศึกษาภาคบังคบั (ประถมศึกษาปที ี่ 1 – มัธยมศกึ ษาปีที่ 3) 7.2 ตัวชว้ี ัดชว่ งช้นั เป็นเป้าหมายในการพฒั นาผู้เรียนในระดบั มัธยมศกึ ษาตอน ปลาย (มัธยมศกึ ษาปีที่ 4- 6) 3 ระดบั ดงั นี้ 8. ระดบั การศกึ ษาหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน จัดระดับการศึกษา 8.1 ระดบั ประถมศึกษา (ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1 – 6) การศกึ ษาระดบั น้เี ปน็ ช่วงแรกของการศึกษาภาคบงั คับ มงุ่ เน้นทกั ษะพืน้ ฐานดา้ นการอา่ น การเขยี น การคดิ คานวณ ทกั ษะการคิดพน้ื ฐาน การติดตอ่ ส่ือสาร กระบวนการเรยี นรทู้ างสังคมและพ้ืนฐานความเป็นมนุษย์
51 การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ อย่างสมบูรณ์และสมดุลท้ังในด้านรา่ งกาย สตปิ ญั ญา อารมณ์ สังคมและ วัฒนธรรม โดยเนน้ จัดการเรยี นร้แู บบบรู ณาการ 8.2 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น (ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 – 3) เป็นชว่ งสุดทา้ ย ของการศกึ ษาภาคบงั คับ ม่งุ เน้นให้ผูเ้ รยี นได้สารวจความถนดั และความสนใจของตนเอง ส่งเสรมิ การ พฒั นาบุคลกิ ภาพส่วนตน มที ักษะในการคิดวิจารณญาณ คิดสร้างสรรคแ์ ละคิดแก้ปัญหา มีทักษะใน การดาเนินชีวิต มที กั ษะการใช้เทคโนโลยีเพ่อื เป็นเคร่ืองมอื ในการเรียนรู้ มีความรบั ผิดชอบต่อสังคม มีความสมดุลทง้ั ด้านความรู้ ความคิด ความดีงามและมคี วามภมู ใิ จในความเปน็ ไทย ตลอดจนใช้เป็น พ้ืนฐานในการประกอบอาชพี หรอื การศกึ ษาต่อ 8.3 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 – 6) การศกึ ษาระดับน้ี เนน้ การเพ่ิมพนู ความรู้และทักษะเฉพาะดา้ น สนองตอบความสามารถ ความถนดั และความ สนใจของ ผูเ้ รียน แตล่ ะคนทัง้ ด้านวิชาการและวชิ าชพี มีทักษะในการใชว้ ิทยาการและเทคโนโลยี ทักษะ กระบวนการคิดข้ันสงู สามารถนาความร้ไู ปประยกุ ตใ์ ชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ในการศึกษาต่อและการ ประกอบอาชพี มุ่งพฒั นาตนและประเทศตามบทบาทของตนสามารถเป็นผ้นู าและผ้ใู หบ้ รกิ ารชมุ ชน ในดา้ นต่าง ๆ 9. การจัดเวลาเรียน หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน ไดก้ าหนดกรอบ โครงสร้างเวลาเรียนขนั้ ูต่าสาหรบั กลุ่มสาระการเรยี นรู้ 8 กลมุ่ และกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รยี น ซ่ึง สถานศึกษาสามารถเพิ่มเตมิ ไดต้ ามความพรอ้ มและจุดเนน้ โดยสามารถปรบั ให้เหมาะสมตามบรบิ ท ของสถานศึกษาและสภาพของผู้เรยี น ดังน้ี 9.1 ระดับชั้นประถมศึกษา (ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 1 - 6) ให้จดั เวลาเรยี นเป็น รายปี โดยมีเวลาเรยี นวันละไมเ่ กิน 5 ชว่ั โมง 9.2 ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาตอนต้น (ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 - 3) ใหจ้ ัดเวลาเรยี น เป็นรายภาค มีเวลาเรียนวนั ละไม่เกนิ 6 ชั่วโมง คิดูน้าหนักของรายวชิ าท่ีเรยี นเปน็ หนว่ ยกิต ใช้ เกณฑ์ 40 ชว่ั โมงต่อภาคเรยี น มคี า่ นา้ หนกั วชิ า เท่ากับ 1 หน่วยกติ (นก.) 9.3 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย (ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 - 6) ให้จดั เวลาเรยี น เปน็ รายภาคมเี วลาเรยี นวันละไมน่ ้อยกว่า 6 ชว่ั โมง คดิ ูน้าหนกั ของรายวชิ าทเ่ี รียนเป็นหน่วยกิต ใช้เกณฑ์ 40 ชั่วโมงตอ่ ภาคเรยี น มีคา่ น้าหนกั วชิ า เทา่ กับ 1 หน่วยกติ (นก.) สรปุ ไดว้ า่ การพฒั นาหลักสตู ร หมายถงึ กระบวนการปรบั ปรงุ หลกั สตู รเดมิ ใหด้ ีขนึ้ หรือจัดทา หลกั สูตรขน้ึ ใหมใ่ ห้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคมเพื่อพฒั นาผู้เรยี น ประกอบดว้ ย การ วเิ คราะห์ข้อมูลด้านตา่ งๆ เพ่ือการวางแผนการกาหนดจดุ มงุ่ หมาย วิสัยทศั น์ ภารกิจ เป้าหมาย
52 และคุณลักษณะอนั พึงประสงคข์ องหลกั สูตรแล้วการกาหนดโครงสรา้ ง เน้ือหาวชิ า กลุม่ สาระการ เรียนรู้และการนาหลกั สูตรไปใช้ การประเมินหลกั สตู ร การปรับปรุงหลกั สูตรตามลาดับ 2. ดา้ นการพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ การพฒั นากระบวนการเรียนรู้ได้มีนกั วชิ าการและหนว่ ยงานทางการศึกษา แนวคดิ การเรยี นการสอน การพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ ดงั นี้ กระทรวงศึกษาธกิ าร (2542) ได้กาหนดใน พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 24 ได้กาหนดแนวทางการพัฒนา กระบวนการเรยี นรใู้ หส้ ถานศกึ ษาและหน่วยงานทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ดังน้ี 1. จดั เนื้อหาสาระและกจิ กรรมใหส้ อดคลอ้ งกับความสนใจและความถนัดของ ผเู้ รียนโดยคานงึ ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล 2. ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจดั การ การเผชิญสถานการณ์และการประยกุ ต์ ความรูม้ าใช้เพือ่ ปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หา 3. จัดกจิ กรรมใหผ้ ู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝกึ ปฏิบตั ิ ให้ทาได้ คิดเปน็ ทาเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝร่ อู้ ยา่ งต่อเนอื่ ง 4. จดั การเรยี นการสอนโดยผสมผสานสาระความรูด้ ้านตา่ ง ๆ อยา่ งไดส้ ดั สว่ นสมดุล กัน รวมทัง้ ปลกู ฝงั คณุ ธรรม ค่านยิ มทีด่ ีงามและคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ไว้ในทุกวชิ า 5. ส่งเสรมิ สนับสนนุ ให้ผ้สู อนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม ส่อื การเรยี น และอานวยความสะดวกเพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ และมคี วามรอบรรู้ วมทั้งสามารถใช้การวจิ ยั เป็น สว่ นหนงึ่ ของกระบวนการเรยี นรู้ ทั้งนี้ผูส้ อนและผเู้ รียนอาจเรยี นร้พู ร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอน และแหล่งวทิ ยาการประเภทต่าง ๆ 6. จัดการเรยี นรู้ให้เกดิ ขึน้ ไดท้ กุ เวลาทุกสถานท่ีมีการประสานความร่วมมอื กับบิดา มารดา ผู้ปกครองและบคุ คลในชมุ ชนทุกฝา่ ย เพ่ือร่วมพัฒนาผเู้ รยี นตามศกั ยภาพ จนั ทรานี สงวนนาม (2545) ไดส้ รปุ การพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ หมายถึง การ สอนโดยยึดผเู้ รียนเป็นสาคัญ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนไดฝ้ ึกคดิ วเิ คราะหแ์ ละศกึ ษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง โดย มคี รเู ปน็ ผคู้ วบคมุ ดูแล เป็นการฝึกปฏิบัติใหผ้ ู้เรยี นมปี ระสบการณก์ ารเรียนรู้ดว้ ยตนเอง รู้จกั วิธีคิด วิธกี ารดาเนนิ ชวี ติ และมีทักษะในการเผชิญกบั ปัญหาต่าง ๆ ได้ การจัดการเรียนการสอนตามแนวทาง ของหลักสูตรใหม่ มีหลกั การและแนวปฏิบัติ ดงั นี้ 1. เนน้ การเรียนการสอนตามสภาพจริง 2. เปิดโอกาสให้ผ้เู รยี นได้คว้าหาและสรุปองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง และสรา้ งองค์ ความร้ใู หม่ไดจ้ ากข้อมูลท่ีมี
53 3. ผ้เู รยี นเป็นผู้ปฏบิ ัติ ครูเปน็ เพยี งแหล่งข้อมลู และอานวยความสะดวกใหแ้ ก่ผู้เรียน 4. เนน้ การปฏิบตั ทิ ี่ควบค่ไู ปกับหลักการและทฤษฎี 5. เนน้ วธิ กี ารสอนจากการเรียนรหู้ ลาย ๆ รูปแบบ 6. สง่ เสริมให้ผเู้ รยี นใช้กระบวนการคดิ มากกว่าการค้นหาคาตอบท่ีตายตวั เพียง คาตอบเดยี ว 7. ถอื ว่ากระบวนการเรยี นร้มู ีความสาคัญมากกว่าเนื้อหา เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นมีขอ้ มูล เพียงพอทีส่ ร้างองคค์ วามรู้ใหม่ 8. ใช้กระบวนการกลุ่มในการเรียนรู้รว่ มกนั และเรียนรูด้ ้วยตนเอง กระทรวงศึกษาธิการ (2546ก.) ได้ให้แนวทางการพฒั นากระบวนการเรียนรไู้ วด้ งั น้ี 1. สง่ เสรมิ ให้ครูจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ ตามสาระและหน่วยการเรยี นรโู้ ดยเน้น ผเู้ รียนเป็นสาคัญ 2. สง่ เสริมให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยจัดเน้ือหาสาระและกจิ กรรมให้ สอดคลอ้ งกบั ความสนใจ ความถนดั ของผเู้ รยี น ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจดั การ การเผชิญ สถานการณก์ ารประยกุ ต์ใช้ความรเู้ พอ่ื ปอ้ งกนั และแกป้ ญั หา การเรยี นรูจ้ ากประสบการณ์จริงและ การปฏิบตั จิ รงิ สง่ เสรมิ ให้รักการอา่ นและใฝร่ ู้ ปลกู ฝงั คุณธรรม คา่ นิยมที่ดีงามและคุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงคจ์ ัดบรรยากาศแหล่งเรียนร้ทู ีเ่ ออ้ื ตอ่ การจัดกระบวนการเรียนรู้ นาภมู ิปัญญาผู้ปกครอง ชมุ ชน ในทอ้ งถ่ินมามีส่วนร่วมในการจดั การเรียนการสอนตามความเหมาะสม 3. จัดใหม้ ีการนเิ ทศการเรียนการสอนแก่ครูในกลุ่มสาระตา่ ง ๆ โดยเน้นการนิเทศ ที่รว่ มมือช่วยเหลือกนั แบบกัลยาณมติ ร เชน่ นเิ ทศแบบเพื่อนชว่ ยเพ่อื น เพ่ือพัฒนาการเรยี นการสอน ร่วมกนั หรอื แบบอื่น ๆ ตามความเหมาะสม 4. ส่งเสรมิ ให้มกี ารพัฒนาครูเพอื่ พฒั นากระบวนการเรยี นการสอนตามความ เหมาะสม นอกจากนีก้ ระทรวงศึกษาธกิ าร (2551) ได้ระบไุ วใ้ นหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ว่า การจดั การเรียนรเู้ ป็นกระบวนการสาคัญในการนาหลักสตู รสู่ การปฏิบัติ หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน เป็นหลักสตู รท่ีมีมาตรฐานการเรยี นรู้ สมรรถนะ สาคญั และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ของผเู้ รยี น เป็นเปา้ หมายสาหรบั พฒั นาเด็กและเยาวชน ใน การพฒั นาผู้เรียนใหม้ คี ณุ สมบัตติ ามเป้าหมายหลักสตู ร ผู้สอนพยายามคัดสรร กระบวนการเรียนรู้ จดั การเรยี นรโู้ ดยชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นเรียนร้ผู า่ นสาระที่กาหนดไว้ในหลักสตู ร 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมท้ัง ปลูกฝงั เสรมิ สร้างคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ พฒั นาทักษะต่าง ๆ อันเป็นสมรรถนะสาคญั ให้ ผูเ้ รยี นบรรลุตามเป้าหมาย รายละเอยี ดดังต่อไปน้ี 1. หลักการจัดการเรียนรู้
54 การจัดการเรยี นร้เู พื่อใหผ้ ู้เรียนมคี วามรู้ ความสามารถตามมาตรฐานการ เรยี นรู้ สมรรถนะ สาคัญและคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ตามท่กี าหนดไวใ้ นหลกั สูตรแกนกลาง การศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน โดยยึดหลกั ว่า ผเู้ รยี นมีความสาคญั ท่ีสุด เชอ่ื ว่าทุกคนมคี วามสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชนท์ ่เี กดิ กับผ้เู รียน กระบวนการจัดการเรียนรตู้ ้องส่งเสรมิ ใหผ้ ้เู รยี น สามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเตม็ ตามศักยภาพ คานงึ ถงึ ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลและ พัฒนาการทางสมอง เน้นให้ความสาคัญท้ังความรู้และคุณธรรม 2. กระบวนการเรยี นรู้ การจัดการเรียนรู้ท่เี นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคัญ ผู้เรยี นจะต้องอาศยั กระบวนการ เรยี นรู้ทหี่ ลากหลาย เปน็ เครอื่ งมอื ที่จะนาพาตนเองไปสู่เปา้ หมายของหลกั สูตร กระบวนการเรยี นรู้ที่ จาเป็นสาหรบั ผ้เู รยี น อาทิ กระบวนการเรยี นรูแ้ บบบูรณาการ กระบวนการสรา้ งความรู้ กระบวนการ คิด กระบวนการทางสงั คม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรจู้ าก ประสบการณ์จรงิ กระบวนการปฏบิ ตั ิลงมอื ทาจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจยั กระบวนการเรยี นรู้การเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการพฒั นาลกั ษณะนิสยั กระบวนการเหล่านเี้ ป็น แนวทางในการจดั การเรยี นรทู้ ี่ผ้เู รยี นควรได้รบั การฝึกฝน พฒั นา เพราะจะสามารถช่วยให้ผูเ้ รียนเกดิ การเรียนรไู้ ด้ดี บรรลุเป้าหมายของหลกั สูตร ดงั น้ันผู้สอนจึงจาเป็นตอ้ งศกึ ษาทาความเขา้ ใจใน กระบวนการเรยี นรตู้ า่ ง ๆ เพอื่ ให้สามารถเลือกใช้ในการจัดกระบวนการเรยี นรไู้ ด้อยา่ งมีประสิทธิภาพ 3. การออกแบบการจัดการเรียนรู้ ผูส้ อนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาใหเ้ ข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชี้วัด สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น คุณลกั ษณะอันพึงประสงคแ์ ละสาระการเรียนรู้ท่เี หมาะสมกับ ผเู้ รยี น แล้วจึงพิจารณาออกแบบการจัดการเรยี นรู้โดยเลือกใช้วิธสี อนและเทคนคิ การสอน สือ่ หรอื แหลง่ เรียนรู้ การวัดและประเมินผล เพ่อื ให้ผู้เรียนไดพ้ ฒั นาเต็มตามศกั ยภาพและบรรลตุ ามเปา้ หมาย ที่กาหนด 4. บทบาทของผสู้ อนและผ้เู รยี น การจดั การเรยี นร้เู พอ่ื ให้ผเู้ รียนมีคณุ ภาพตามเป้าหมายของหลักสตู ร ทง้ั ผสู้ อนและผเู้ รียนควรมบี ทบาท ดงั น้ี 4.1 บทบาทของผสู้ อน 1) ศึกษาวเิ คราะหผ์ เู้ รียนเปน็ รายบุคคล แลว้ นาข้อมูลมาใช้ในการวาง แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ท้าทายความสามารถของผ้เู รยี น 2) กาหนดเป้าหมายที่ตอ้ งการให้เกิดข้นึ กับผเู้ รียน ด้านความรูแ้ ละทักษะ กระบวนการท่ีเปน็ ความคิดรวบยอด หลกั การและความสัมพนั ธ์ รวมท้ังคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
55 3) ออกแบบการเรยี นรู้และจัดการเรียนรทู้ ่ตี อบสนองความแตกต่างระหวา่ ง บคุ คล และพัฒนาการทางสมองเพอื่ นาผ้เู รยี นไปส่เู ปา้ หมาย 4) จดั บรรยากาศทเ่ี อื้อตอ่ การเรียนรู้และดแู ลช่วยเหลอื ผู้เรียนใหเ้ กิดการ เรียนรู้ 5) จัดเตรียมและเลือกใช้สอื่ ให้เหมาะสมกับกจิ กรรมนาภูมิปัญญาทอ้ งถิน่ เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั การเรียนการสอน 6) ประเมินความกา้ วหน้าของผ้เู รยี นด้วยวิธีการทห่ี ลากหลายเหมาะสมกับ ธรรมชาติของวิชาและระดับพัฒนาการของผู้เรยี น 7) วิเคราะหผ์ ลการประเมินมาใชใ้ นการซ่อมเสรมิ และพัฒนาผ้เู รยี น รวมทง้ั ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของตนเอง 4.2 บทบาทของผู้เรยี น 1) กาหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง 2) เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถงึ แหล่งการเรยี นรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ขอ้ ความรู้ ต้ังคาถาม คดิ หาคาตอบหรือหาแนวทางแกป้ ัญหาดว้ ยวิธกี ารตา่ ง ๆ 3) ลงมือปฏิบัติจรงิ สรปุ สิ่งท่ไี ด้เรียนรดู้ ้วยตนเองและนาความรไู้ ป ประยกุ ต์ใช้ ในสถานการณต์ ่าง ๆ 4) มปี ฏสิ ัมพนั ธ์ ทางาน ทากจิ กรรมรว่ มกบั กลุม่ และครู 5) ประเมนิ และพัฒนากระบวนการเรยี นร้ขู องตนเองอยา่ งตอ่ เนื่อง สรปุ ได้วา่ การบริหารงานวชิ าการดา้ นการพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ หมายถึง การวางแผน การจดั ทาแผนการเรยี นรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรูท้ ี่เนน้ ผ้เู รียนเป็นสาคัญ การจัด กจิ กรรมการเรียนการสอนท่ีหลากหลายและปฏบิ ัตจิ ริง เนน้ กระบวนการคดิ การจดั ครูเขา้ สอน การพฒั นาครแู ละนิเทศ ตดิ ตามการสอนของครู 3. ดา้ นการวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรยี น การวดั ผลและประเมินผลถอื วา่ เป็นหน้าที่อนั สาคัญของผูบ้ รหิ าร เพราะเป็น เคร่ืองมือที่จะชข้ี ้อดีข้อเสยี ของงานทีป่ ฏบิ ตั ิไปจนสาเร็จ ตลอดจนการเรียนการสอนของครูและผเู้ รียน ว่า เป็นไปตามจุดประสงค์หรือไม่ เพ่อื ผู้บริหารจะไดน้ ามาปรับปรบั ปรงุ แก้ไข เพื่อดาเนนิ งานในคร้ัง ต่อไป ซง่ึ มีนักการศึกษาได้กล่าวไว้ดงั น้ี ปรยี าพร วงศอ์ นตุ รโรจน์ (2543) กล่าวถงึ หนา้ ที่ของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาเก่ียวกับ การวดั ผล ประเมนิ ดงั นี้
56 1. กาหนดนโยบายทว่ั ไปเกย่ี วกบั การวดั ผล ประเมนิ ในเร่ือง ประเภทของ ข้อสอบที่ใช้วัดผล ระยะเวลาท่ีใช้ในการสอบ จานวนครัง้ ท่ีสอบและการเกบ็ คะแนนสอบแต่ละครัง้ มาตรฐานในการสอบ วัดผลและการเตรยี มแบบฟอร์มสาหรับรายงานผลการสอบแก่ผู้ปกครอง 2. จดั หาวัสดอุ ปุ กรณ์เคร่อื งมอื เคร่อื งใช้ทีจ่ าเป็นในการสอบ เช่น เครอ่ื งพมิ พ์ เครอ่ื งโรเนยี ว ตลอดจนเจา้ หนา้ ทอ่ี านวยความสะดวก 3. พยายามส่งเสรมิ ครูอาจารยใ์ หม้ ีความร้ทู างวัดและประเมนิ ผล โดยการจดั ฝึกอบรม การประชุมปฏิบัติการในดา้ นเทคนิคการออกขอ้ สอบการให้คะแนน การประเมนิ ผลข้อสอบ ตลอดจนการรายงานผลการสอบ 4. การจัดตารางสอบ ห้องสอบและระเบียบในการสอบและการคุมสอบ 5. ควรมกี ารประเมนิ ผลการสอน หากมกี ารบกพร่องจะได้หาทางแกไ้ ขตอ่ ไป หรอื เสนอแนวทางในการนาไปปรบั ใชใ้ นครั้งตอ่ ไป จันทรานี สงวนนาม (2545) กลา่ ววา่ การวดั และการประเมนิ ผลเป็นการตรวจสอบ คุณภาพของผูเ้ รียนดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการ คุณธรรมและค่านยิ มทีพ่ งึ ประสงค์จากการจัด กิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการประเมนิ ทจี่ ะชว่ ยให้ครูผสู้ อนรขู้ ้อบกพร่องหรือความกา้ วหน้าของผู้เรียน ทาให้สามารถจัดกิจกรรมและวธิ แี กป้ ัญหาหรือพฒั นาให้เหมาะสมได้ โดยแบ่งเปน็ 3 ระดบั คอื การ ประเมินผลระดบั ชั้นเรยี น การประเมนิ ผลระดบั สถานศึกษา การประเมินผลระดับชาติและกิจกรรม การวัดและการประเมนิ ผลอาจทาไดด้ ้วยวิธีต่อไปนี้ 1. การประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ (Authentic assessment) เปน็ การประเมนิ ผล จากงานหรอื ผลงานท่ีเป็นจริงทส่ี ะท้อนถงึ พฤตกิ รรมและทกั ษะท่จี าเปน็ ของผเู้ รยี นในสถานการณจ์ ริง เนน้ ภาคปฏิบตั ิท่ีผู้เรยี นแสดงออก 2. การประเมนิ โดยใชแ้ ฟม้ สะสมงาน (Portfolio assessment) เป็นวิธกี าร ประเมินผลการเรยี นการสอน โดยผ้เู รียนมีส่วนรว่ มในการประเมนิ คอื ผูเ้ รยี นแตล่ ะคนรวบรวมผลงาน และบนั ทกึ ผลการประเมนิ ไวใ้ นแฟ้มรวบรวมผลงาน 3. การประเมนิ โดยใชแ้ บบทดสอบมาตรฐาน (Standardize test) เปน็ แบบทดสอบ ในรปู แบบของข้อสอบแบบปรนยั และอัตนัยตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กบั จดุ มุ่งหมายของการประเมนิ เปน็ สาคัญ ดว้ ยเครอื่ งมือหรอื แบบทดสอบทไ่ี ดม้ าตรฐาน เอกรินทร์ สมี่ หาศาล (2546) กาหนดหลักเกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผลการเรยี น ดังนี้ 1. สถานศกึ ษาเป็นผูร้ บั ผิดชอบประเมนิ ผลการเรียนของผูเ้ รียน โดยเปิดโอกาสใหท้ กุ ฝา่ ยทเี่ ก่ียวข้องมีสว่ นร่วม
57 2. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนตอ้ งสอดคล้องและครอบคลมุ มาตรฐาน การศึกษาทก่ี าหนดในหลกั สตู ร 3. การประเมินผลการเรยี นต้องประกอบด้วยการประเมนิ ผล เพอื่ ปรับปรุงพฒั นา ผเู้ รยี น การจดั การเรียนการสอนและการประเมนิ เพอื่ ตดั สนิ ผลการเรียน 4. การประเมนิ ผลเปน็ ส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนการสอนต้อง ดาเนนิ การด้วยวิธีทีห่ ลากหลายเหมาะสมกับสิ่งทีต่ ้องการวดั ธรรมชาติของวิชาและระดับช่วงชน้ั ของ ผูเ้ รียน 5. ให้มกี ารประเมนิ ความสามารถของผเู้ รยี นในการอา่ นคดิ วเิ คราะหแ์ ละเขียนสอ่ื ความในแต่ละช่วงชั้น 6. ให้มกี ารประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคข์ องผเู้ รียนในแต่ละชว่ งช้ัน 7. ให้มกี ารประเมินคณุ ภาพผู้เรยี นในระดับชาตใิ นแต่ละชว่ งชั้น 8. เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นตรวจสอบผลการประเมินผลการเรยี นได้ 9. ให้มกี ารเทียบโอนผลการเรยี นระหวา่ งสถานศึกษาและรูปแบบการศึกษาต่าง ๆ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2545) กาหนดภารกจิ ในการประเมินผลการเรยี นทีต่ ้อง ดาเนนิ การมีดงั น้ี 1. การประเมินผลการเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรียนรทู้ ้งั 8 กลมุ่ สาระตามหลักสูตรของ สถานศึกษาแตล่ ะช่วงชน้ั ภารกจิ ท่ีตอ้ งดาเนินการมีดังน้ี 1.1 กาหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั รายปีหรือรายภาค โดยการวเิ คราะหจ์ าก มาตรฐานการเรยี นรชู้ ่วงชั้นของแตล่ ะกลุ่มสาระการเรียนรู้ 1.2 กาหนดเกณฑ์สาหรบั ตัดสนิ การผ่านผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดหวงั รายขอ้ 1.3 กาหนดเกณฑก์ ารให้ระดบั ผลการเรียนสาระการเรียนรู้รายปหี รือรายภาค 1.4 กาหนดเกณฑแ์ ละวิธปี ระเมินผลระหว่างเรียนซ่งึ เปน็ การประเมินผล ระดบั ชนั้ เรยี น 1.5 กาหนดวิธีประเมินผลการเรียนสาระการเรยี นรู้รายปหี รือรายภาค 1.6 กาหนดวิธกี ารประเมนิ ตัดสนิ ผลการเรียนสาระเรียนรผู้ า่ นชว่ งช้นั 1.7 ประเมนิ สรปุ ผลการเรยี นสาระการเรยี นร้ผู า่ นชว่ งชั้น 1.8 แต่งต้งั คณะอนุกรรมการประเมินผลกลุ่มสาระการเรียนรทู้ ั้ง 8 กลมุ่ สาระ 2. การประเมนิ กิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี นเป็นการประเมินผลรว่ มกิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น ตามท่ีหลกั สูตรสถานศกึ ษากาหนดภารกจิ ทต่ี ้องดาเนินการ มดี งั น้ี 2.1 กาหนดจุดประสงคก์ ารเข้าร่วมกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียนแตล่ ะกิจกรรม
58 2.2 กาหนดเกณฑ์สาหรับตัดสนิ การผ่านกิจกรรม จาแนกเปน็ เกณฑ์สาหรับ ตดั สิน การผ่านจดุ ประสงค์ของกิจกรรมและเกณฑ์สาหรบั ตัดสนิ เวลาการเขา้ ร่วมกิจกรรม 2.3 หลกั เกณฑ์และวิธกี ารประเมนิ ผู้เรียนระหว่างเข้ารว่ มกจิ กรรม 2.4 วธิ ีประเมินผู้เรยี นเม่ือสนิ้ สดุ กิจกรรม 2.5 วิธกี ารประเมินการเข้ารว่ มกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียนเพ่อื ตดั สนิ การผา่ นชว่ งชนั้ 2.6 แต่งตัง้ คณะกรรมการประเมนิ ผลกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น 3. การประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ เปน็ การประเมินคณุ ลกั ษณะอันพึง ประสงค์เกี่ยวกับคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและค่านยิ มที่สถานศกึ ษากาหนดข้ึน เพอ่ื แก้ปญั หาหรอื สรา้ ง ค่านยิ มอนั ดีใหแ้ ก่ผูเ้ รียนตามจดุ เน้นของหลกั สตู ร ภารกจิ ท่ีต้องดาเนนิ การ มดี ังน้ี 3.1 กาหนดคุณลักษณะอันพงึ ประสงคเ์ ก่ียวกับคุณธรรม จริยธรรมและคา่ นิยม ของสถานศกึ ษา 3.2 กาหนดเกณฑส์ าหรับตดั สินการผ่านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์แตล่ ะ ประการ 3.3 กาหนดแนวทางและวิธปี ระเมนิ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงคข์ องสถานศึกษา 3.4 ดาเนนิ การประเมินการแสดงคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ของผูเ้ รียนตาม แนวทางและวธิ ีการทีส่ ถานศกึ ษากาหนด 3.5 ประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงคร์ ายปหี รอื รายภาค 3.6 ประเมินตัดสินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคผ์ า่ นช่วงชนั้ 3.7 แตง่ ต้ังคณะกรรมการประเมินคุณลักษณะอนั พึงประสงคข์ องผเู้ รยี น 4. การประเมนิ การอ่าน คดิ วเิ คราะห์และการเขียน เป็นการประเมินความสามารถ ในการอา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขียนของผูเ้ รียนตามจดุ เนน้ ของหลักสตู ร ภารกจิ ท่ตี ้องดาเนินการ มดี ังน้ี 4.1 กาหนดมาตรฐานการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขียน สาหรบั หลักสูตร สถานศกึ ษาแต่ละช่วงชั้น 4.2 กาหนดเกณฑส์ าหรบั ตัดสนิ ผลการประเมนิ มาตรฐานการอา่ นคดิ วิเคราะห์ และเขยี นของแต่ละระดับชัน้ และแตล่ ะช่วงช้ัน 4.3 กาหนดแนวทางและวธิ กี ารประเมนิ การอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขียนใหช้ ดั เจน 4.4 ประเมินความสามารถการอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขยี นตามแนวทางและ วธิ กี ารที่ สถานศึกษากาหนด 4.5 ประเมนิ ความสวามารถการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขยี นรายปหี รือรายภาค 4.6 ประเมนิ ตัดสินความสามารถการอ่าน คิดวเิ คราะหแ์ ละเขียนผ่านช่วงช้นั 4.7 แต่งตัง้ คณะกรรมการประเมนิ ผลการอ่าน คดิ วิเคราะห์และเขียน
59 5. การประเมินตัดสินผลการเรยี นผ่านชว่ งชนั้ เป็นการประเมินตดั สนิ ตัดสนิ ผลการ เรียนให้ ผเู้ รียนทีม่ คี ุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑใ์ หเ้ ป็นผผู้ ่านชว่ งช้ัน (ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3 หรือชั้น ประถมศึกษาปที ่ี 6) 6. การประเมินคุณภาพการศกึ ษาระดบั ชาติ เป็นการจัดให้ผ้เู รยี นทุกคนทีศ่ ึกษาอยู่ ในปสี ุดท้ายของแตล่ ะชว่ งชั้น คือ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 3 ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 เข้ารับการประเมนิ คุณภาพการศึกษาระดับชาติ ดว้ ยวิธีการและเครอ่ื งมอื ประเมนิ มาตรฐานระดับชาติ ในกลุ่มสาระการ เรยี นร้ตู า่ ง ๆ ตามทกี่ ระทรวงศึกษาธิการกาหนดในแตล่ ะปี 7. การเทยี บโอนผลการเรยี น เปน็ การผลประเมนิ ผลการเรียนความรคู้ วามสามารถ และ ประสบการณ์ของผู้เรยี นที่ศกึ ษาจากสถานศึกษาอ่ืนหรอื รูปแบบการศกึ ษาอื่นใหเ้ ป็นสว่ นหนง่ึ ของผลการเรียนของผูเ้ รียนตามหลกั สตู รของสถานศึกษา 8. การจัดทาเอกสารหลักฐานการศึกษา เปน็ การจัดทาเอกสารหลักฐานเก่ยี วกับ การวดั และ ประเมินผลการเรียนของผ้เู รียน เพ่ือเป็นข้อมลู แสดงผลการดาเนินการวัดและประเมินผล ของสถานศกึ ษาและผ้เู กยี่ วขอ้ งและเปน็ เอกสารหลักฐานแสดงวุฒิทางการศกึ ษาของผเู้ รียน ซึง่ มี 2 ลกั ษณะ คอื 8.1 หลกั ฐานตามรปู แบบทกี่ ระทรวงศกึ ษาธิการกาหนด ไดแ้ ก่ ปพ. 1 ระเบียนสะสมผลการเรียน ออกใหผ้ ู้เรยี นเปน็ รายบุคคล ปพ. 2 ประกาศนียบัตรสาหรบั ออกใหผ้ เู้ รียนหลังจากจบช่วงชนั้ ที่ 3 และ ชว่ งช้นั ท่ี 4 ออกใหผ้ ู้เรยี นเปน็ รายบคุ คล ปพ. 3 แบบรายงานผู้สาเรจ็ การศึกษา สถานศกึ ษาต้องนาส่งสานกั งาน เขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาและกระทรวงศึกษาแหง่ ละ 1 ชดุ 8.2 หลักฐานตามรปู แบบที่สถานศกึ ษากาหนดเอง ได้แก่ ปพ. 4 เอกสารแสดงคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคข์ องผเู้ รยี นออกให้กับ ผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คลคูก่ ับ ปพ.1 ปพ. 5 สมุดบนั ทกึ เวลาเรียน บันทกึ ขอ้ มูลแสดงผลการเรยี นของผู้เรยี น คะแนนคุณลักษณะอันพึงประสงคเ์ ป็นรายบคุ คล ปพ. 6 แบบแสดงการพัฒนาการผูเ้ รยี น ปพ. 7 ใบรับรองผลการศกึ ษา (ใชไ้ ด้ 60 วนั ) ปพ. 8 ระเบยี นสะสม สาหรับครูทีป่ รกึ ษา ครแู นะแนวใช้เป็นข้อมูลดูแล ชว่ ยเหลือผู้เรยี นเป็นรายบคุ คล ปพ. 9 สมุดบนั ทกึ ผลการเรียน สถานศกึ ษาจัดทาเพอื่ แสดงรายวิชาทง้ั หมด ตามหลักสูตรของแตล่ ะสถานศึกษาแต่ละชว่ งช้ัน
60 9. การจดั การซอ่ มเสรมิ ผลการเรียน เปน็ การจัดแนวทางการปรบั ปรุงแกไ้ ข ผเู้ รียนทม่ี ขี อ้ บกพรอ่ งในการเรยี นด้านตา่ ง ๆ ใหเ้ กิดการเรียนร้แู ละพฒั นาตามผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวัง และมาตรฐานการเรยี นรูข้ องหลักสตู ร เพือ่ ความสาเรจ็ ในการเรียนตามหลักสตู รสถานศึกษา 10. การกากบั ตดิ ตามและประเมินผลการเรยี นเป็นการวางระบบและแผนงาน การตรวจสอบ การดาเนนิ การประเมนิ ผลการเรียนของผมู้ หี น้าท่ีรบั ผดิ ชอบฝา่ ยต่าง ๆ เพอ่ื ให้การ ดาเนินการเปน็ ไปตามกาหนดไว้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพและสามารถปรบั ปรงุ แก้ไขข้อพกพรอ่ งทเ่ี กดิ ขึน้ ไดท้ นั เหตุการณ์ 11. การรายงานผลการประเมนิ ผลการเรียน เป็นการรายงานผลการดาเนนิ งาน ประเมินผลการเรยี นรูร้ ะดบั ตา่ ง ๆ ให้ผู้เรียน ผู้สอน ผู้ปกครองและผ้เู กี่ยวขอ้ งทุกฝ่ายได้รบั ทราบ ความกา้ วหน้าและผลการเรยี นรูข้ องผ้เู รียน เพ่อื ใหท้ ุกฝา่ ยใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลร่วมกนั ในการปรับปรุงการ เรียนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของสอนและการบริหารจัดการศกึ ษาของสถานศกึ ษาให้เป็นไปอยา่ ง มีประสิทธิภาพและเกิดประสทิ ธิผลตามเปา้ หมายทว่ี างไว้ 12. การจัดทาเกณฑ์และแนวปฏิบัตกิ ารประเมนิ ผลของสถานศกึ ษาเป็นการ กาหนด หลักเกณฑ์และแนวปฏบิ ัติในการดาเนนิ การประเมินผลการเรยี นและภารกิจต่าง ๆ ของ สถานศกึ ษา เพอ่ื ให้ผู้เกยี่ วขอ้ งทุกฝ่ายรับรูแ้ ละถือปฏิบัตเิ ป็นแนวเดยี วกัน ให้การประเมินผลการเรียน ของสถานศึกษามคี วามเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย ถูกตอ้ ง ยตุ ิธรรมและมผี ลการดาเนนิ งานท่ีน่าเช่อื ถอื เป็นท่ียอมรับทง้ั ดา้ นสงั คมและกฎหมายจากทุกฝา่ ย ซ่ึงสถานศกึ ษาอาจจดั ทาเปน็ ระเบียบของ สถานศกึ ษาได้ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2546ข.) ได้ใหแ้ นวทางการวดั ผล ประเมินผลและการเทียบ โอน ผลการเรียนไวด้ ังนี้ 1. กาหนดระเบียบ แนวปฏบิ ตั ิเก่ียวกับการวดั ผลและประเมนิ ผลสถานศึกษา 2. สง่ เสรมิ ให้ครจู ัดทาแผนวดั ผลและประเมนิ ผล โดยเน้นประเมินตามสภาพ จริงสอดคลอ้ งกับมาตรฐานการศึกษา สาระการเรียนรู้ หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นร้แู ละ กิจกรรมการเรยี นรู้ 3. สง่ เสรมิ ให้ครดู าเนินการวดั ผลและประเมินผลการเรยี นการสอน โดยเนน้ การ ประเมินตามสภาพทแี่ ท้จริง จากกระบวนการ การปฏิบตั แิ ละผลงาน 4. จัดใหม้ กี ารเทยี บโอนความรู้ ทักษะ ประสบการณแ์ ละผลการเรียนจาก สถานศกึ ษาอ่ืน ตามแนวทางท่กี ระทรวงศึกษาธิการกาหนด 5. พฒั นาเครอ่ื งมือวัดผลและประเมนิ ผลใหไ้ ดม้ าตรฐาน นอกจากน้ีกระทรวงศึกษาธกิ าร (2551) ไดร้ ะบรุ ายละเอียดเกีย่ วกบั การวัดและ ประเมินผลไว้ในหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ดังน้ี
61 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรยี นตอ้ งอยบู่ นหลกั การพ้ืนฐานสองประการ คอื การประเมินเพอ่ื พฒั นาผูเ้ รยี นและเพื่อตดั สนิ ผลการเรียนในการพฒั นาคุณภาพการเรยี นรูข้ อง ผู้เรียนใหป้ ระสบผลสาเรจ็ นั้น ผ้เู รียนจะต้องไดร้ บั การพฒั นาและประเมนิ ตามตัวชีว้ ดั เพื่อใหบ้ รรลตุ าม มาตรฐาน การเรียนรู้ สะทอ้ นสมรรถนะสาคญั และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ของผูเ้ รียนซ่ึงเป็น เป้าหมายหลกั ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในทุกระดบั ไมว่ ่าจะเป็นระดบั ชั้นเรยี น ระดบั สถานศกึ ษา ระดับเขต พื้นท่ีการศกึ ษาและระดบั ชาติ การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เป็นกระบวนการพฒั นาคุณภาพผูเ้ รียน โดยใช้ผลการประเมินเปน็ ขอ้ มูลและสารสนเทศท่ีแสดง พัฒนาการความก้าวหนา้ และความสาเรจ็ ทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดจนขอ้ มูลทเ่ี ปน็ ประโยชน์ต่อ การส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้อยา่ งเตม็ ตามศักยภาพ 1. ระดับของการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ แบง่ ออกเป็น 4 ระดับ ไดแ้ ก่ ระดบั ช้นั เรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษา และระดับชาติ มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี 1.1 การประเมินระดบั ชัน้ เรยี น เปน็ การวดั และประเมินผลที่อยใู่ น กระบวนการ จัดการเรยี นรู้ ผู้สอนดาเนนิ การเป็นปกตแิ ละสม่าเสมอในการจัดการเรยี นการสอนใช้ เทคนิคการประเมนิ อยา่ งหลากหลาย เชน่ การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมนิ โครงงาน การประเมินชน้ิ งาน/ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน การใชแ้ บบทดสอบ ฯลฯ โดยผสู้ อนเป็นผู้ ประเมนิ เองหรือเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนประเมนิ ตนเอง เพ่อื นประเมินเพอื่ น ผ้ปู กครองร่วมประเมิน ในกรณที ไี่ มผ่ า่ นตวั ชวี้ ดั ให้มกี ารสอนซ่อมเสริม การประเมนิ ระดบั ช้นั เรียนเป็นการตรวจสอบว่าผเู้ รียน มพี ัฒนาการ ความกา้ วหนา้ ในการเรยี นร้อู ันเปน็ ผลมาจากการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนหรือไม่ และมากนอ้ ยเพยี งใด มีส่ิงทจี่ ะต้องไดร้ ับการพฒั นาปรับปรุงและส่งเสริมในดา้ นใด นอกจากนี้ยังเปน็ ข้อมูลให้ผู้สอนใช้ปรับปรุงการเรยี นการสอนของตนดว้ ย ทงั้ น้ีโดยสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ และตวั ช้วี ัด 1.2 การประเมินระดับสถานศึกษา เปน็ การประเมินที่สถานศกึ ษา ดาเนินการเพ่อื ตัดสินผลการเรยี นของผเู้ รยี นเป็นรายป/ี รายภาค ผลการประเมินการอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขยี น คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ และกจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากน้ีเพอ่ื ใหไ้ ด้ข้อมลู เกย่ี วกบั การจัดการศึกษาของสถานศกึ ษาว่า สง่ ผลต่อการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี นตามเป้าหมายหรือไม่ ผู้เรียนมีจดุ พฒั นาใน ด้านใด รวมทัง้ สามารถนาผลการเรยี นของผ้เู รียนในสถานศกึ ษาเปรยี บเทียบกับเกณฑ์ ระดบั ชาติ ผลการประเมนิ ระดบั สถานศกึ ษาจะเป็นข้อมูลและสารสนเทศเพื่อการปรบั ปรุงนโยบาย หลักสูตร โครงการ หรือวธิ กี ารจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพอื่ การจดั ทาแผนพัฒนาคุณภาพ การศึกษาของ สถานศกึ ษาตามแนวทางการประกนั คณุ ภาพการศึกษาและการรายงานผลการจดั การศกึ ษาต่อคณะกรรมการสถานศกึ ษาสานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษา สานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน ผปู้ กครองและชมุ ชน
62 1.3 การประเมนิ ระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียน ในระดับ เขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาตามมาตรฐานการเรียนรูต้ ามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน เพ่ือใช้เป็นข้อมลู พนื้ ฐานในการพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาของเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษา ตามภาระความ รบั ผดิ ชอบ สามารถดาเนนิ การโดยประเมินคณุ ภาพผลสมั ฤทธ์ิของผูเ้ รยี นดว้ ยข้อสอบมาตรฐานที่ จดั ทาและดาเนินการโดยเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษา หรือดว้ ยความร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกดั ในการ ดาเนินการจัดสอบ นอกจากนี้ยังได้จากการตรวจสอบทบทวนข้อมลู จากการประเมินระดับ สถานศกึ ษาในเขตพ้ืนท่ีการศึกษา 1.4 การประเมินระดบั ชาติเปน็ การประเมินคณุ ภาพผเู้ รยี นในระดับชาติ ตามมาตรฐานการเรยี นรูต้ ามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน สถานศกึ ษาตอ้ งจัดให้ผู้เรียนทุก คนที่เรยี นในช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 3 ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 และช้ันมัธยมศกึ ษาปี ท่ี 6 เข้ารบั การประเมนิ ผลจากการประเมินใชเ้ ป็นข้อมลู ในการเทยี บเคียงคุณภาพการศกึ ษาในระดับ ตา่ ง ๆ เพ่อื นาไปใชใ้ นการวางแผนยกระดบั คุณภาพการจัดการศึกษา ตลอดจนเปน็ ข้อมูลสนบั สนนุ การตัดสินใจในระดับนโยบายของประเทศ ขอ้ มูลการประเมนิ ในระดับตา่ ง ๆ ข้างต้น เปน็ ประโยชน์ตอ่ สถานศึกษาในการ ตรวจสอบทบทวนพัฒนาคุณภาพผู้เรยี น ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศกึ ษาทจี่ ะต้อง จัดระบบดแู ลชว่ ยเหลือ ปรบั ปรงุ แก้ไข สง่ เสริมสนับสนนุ เพื่อให้ผูเ้ รียนไดพ้ ัฒนาเต็มตามศักยภาพบน พน้ื ฐานความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จาแนกตามสภาพปัญหาและความต้องการ ไดแ้ ก่ กลุม่ ผู้เรยี น ทั่วไป กลุม่ ผูเ้ รียนทมี่ ีความสามารถพเิ ศษ กล่มุ ผูเ้ รียนทม่ี ผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน กล่มุ ผู้เรียนทีม่ ี ปัญหาดา้ นวินยั และพฤตกิ รรม กลุ่มผเู้ รียนที่ปฏเิ สธโรงเรียน กลมุ่ ผเู้ รียนที่มปี ัญหาทางเศรษฐกจิ และ สงั คม กลุ่มพิการทางร่างกายและสติปญั ญา เป็นต้น ข้อมลู จากการประเมินจึงเป็นหวั ใจของ สถานศึกษาในการดาเนินการช่วยเหลอื ผเู้ รียนได้ทนั ทว่ งที ปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นไดร้ ับการพฒั นาและ ประสบความสาเรจ็ ในการเรียน สถานศกึ ษาในฐานะผรู้ บั ผิดชอบจัดการศกึ ษา จะตอ้ งจัดทาระเบียบ ว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรยี นของสถานศกึ ษาให้สอดคลอ้ งและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และ แนวปฏบิ ตั ทิ ่เี ป็นข้อกาหนดของหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน เพื่อใหบ้ คุ ลากรทเี่ ก่ียวขอ้ ง ทุกฝ่ายถอื ปฏิบัติร่วมกัน 2. เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผลการเรยี น 2.1. การตดั สนิ ผลการเรียน ในการตดั สนิ ผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรยี นรู้ การอา่ น คิดวิเคราะห์ และเขยี น คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคแ์ ละกจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี นนนั้ ผู้สอนต้องคานึงถงึ การพฒั นา ผู้เรียนแตล่ ะคนเป็นหลักและตอ้ งเก็บข้อมูลของผู้เรียนทกุ ดา้ นอย่างสูมา่ เสมอและต่อเนอื่ งในแตล่ ะ ภาคเรียน รวมทง้ั สอนซอ่ มเสรมิ ผู้เรียนให้พฒั นาจนเต็มตามศกั ยภาพ โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้
63 2.1.1 ระดับประถมศกึ ษา 1) ผเู้ รียนต้องมีเวลาเรยี นไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียน ทั้งหมด 2) ผเู้ รียนตอ้ งไดร้ ับการประเมนิ ทกุ ตวั ช้ีวดั และผ่านตามเกณฑ์ ที่สถานศึกษากาหนด 3) ผเู้ รยี นต้องไดร้ ับการตัดสนิ ผลการเรยี นทกุ รายวชิ า 4) ผู้เรยี นตอ้ งได้รบั การประเมนิ และมผี ลการประเมนิ ผ่านตาม เกณฑ์ที่ สถานศึกษากาหนด ในการอ่าน คิดวิเคราะหแ์ ละเขยี น คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์และ กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น 2.1.2 ระดบั มัธยมศกึ ษา 1) ตัดสนิ ผลการเรยี นเป็นรายวิชา ผเู้ รียนตอ้ งมเี วลาเรยี นตลอด ภาคเรยี นไม่ นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 80 ของเวลาเรียนทงั้ หมดในรายวชิ านัน้ ๆ 2) ผเู้ รียนตอ้ งไดร้ ับการประเมนิ ทุกตวั ชีว้ ดั และผา่ นตามเกณฑ์ ทสี่ ถานศกึ ษากาหนด 3) ผู้เรยี นตอ้ งได้รับการตดั สินผลการเรยี นทกุ รายวชิ า 4) ผูเ้ รียนตอ้ งได้รับการประเมนิ และมผี ลการประเมินผ่านตาม เกณฑท์ ่ี สถานศึกษากาหนด ในการอา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขียน คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคแ์ ละ กิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน การพิจารณาเลื่อนชัน้ ทัง้ ระดบั ประถมศึกษาและมัธยมศกึ ษา ถ้าผ้เู รยี นมีขอ้ บกพรอ่ ง เพียงเลก็ น้อยและสถานศึกษาพจิ ารณาเหน็ วา่ สามารถพัฒนาและสอนซอ่ มเสรมิ ได้ ใหอ้ ยใู่ นดุลพนิ ิจ ของสถานศกึ ษาท่ีจะผ่อนผันให้เล่อื นช้นั ได้ แตห่ ากผเู้ รียนไม่ผา่ นรายวิชาจานวนมากและมแี นวโนม้ ว่า จะเป็นปัญหาตอ่ การเรียนในระดบั ชนั้ ที่สูงขนึ้ สถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการพจิ ารณาใหเ้ รยี นซ้า ชั้นได้ ทง้ั นใ้ี หค้ านงึ ถงึ วฒุ ิภาวะและความรู้ความสามารถของผู้เรียนเปน็ สาคัญ 2.2 การใหร้ ะดับผลการเรียน มีรายละเอยี ดดังน้ี 2.2.1 ระดบั ประถมศึกษา ในการตัดสนิ เพ่อื ใหร้ ะดับผลการเรยี น รายวิชา สถานศกึ ษาสามารถให้ระดบั ผลการเรยี นหรือระดบั คุณภาพการปฏบิ ัติของผ้เู รียนเปน็ ระบบ ตัวเลข ระบบตัวอกั ษร ระบบร้อยละ และระบบที่ใชค้ าสาคญั สะทอ้ นมาตรฐาน การประเมนิ การอา่ น คิดวิเคราะห์และเขียนและคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคน์ ั้น ให้ระดบั ผลการประเมินเปน็ ดีเยย่ี ม ดี และผ่านการประเมิน กจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียนจะต้องพจิ ารณาทง้ั เวลาการเข้าร่วมกจิ กรรม การปฏิบัติ กจิ กรรมและผลงานของผเู้ รียน ตามเกณฑ์ทสี่ ถานศกึ ษากาหนดและใหผ้ ลการเข้าร่วมกจิ กรรมเป็น ผ่านและไมผ่ า่ น
64 2.2.2 ระดบั มธั ยมศึกษา ในการตดั สนิ เพ่อื ใหร้ ะดบั ผลการเรียนรายวชิ า ใหใ้ ช้ตัวเลข แสดงระดับผลการเรยี นเป็น 8 ระดับ การประเมินการอา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขยี นและ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคน์ นั้ ให้ระดบั ผลการประเมินเป็น ดเี ยี่ยม ดี และผ่านการประเมินกจิ กรรม พัฒนาผู้เรียนจะตอ้ งพิจารณาท้งั เวลาการเขา้ รว่ มกิจกรรม การปฏบิ ัติกจิ กรรมและผลงานของผู้เรยี น ตามเกณฑ์ที่สถานศกึ ษากาหนดและใหผ้ ลการเขา้ ร่วมกิจกรรมเปน็ ผ่านและไม่ผ่าน 2.3 การรายงานผลการเรียน การรายงานผลการเรยี นเป็นการส่อื สารให้ผู้ปกครองและผู้เรยี นทราบ ความก้าวหนา้ ในการเรียนรขู้ องผ้เู รียน ซ่ึงสถานศึกษาตอ้ งสรปุ ผลการประเมินและจัดทา เอกสารรายงานให้ ผู้ปกครองทราบเป็นระยะ ๆ หรืออย่างน้อยภาคเรยี นละ 1 ครง้ั การรายงานผล การเรยี นสามารถ รายงานเป็นระดับคณุ ภาพการปฏิบตั ขิ องผเู้ รียนทีส่ ะทอ้ นมาตรฐานการเรียนรูก้ ลมุ่ สาระการเรยี นรู้ 3. เกณฑก์ ารจบการศกึ ษา หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน กาหนดเกณฑก์ ลางสาหรับการจบ การศึกษาเปน็ 3 ระดบั คอื ระดบั ประถมศกึ ษา ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้นและระดับมธั ยมศึกษาตอน ปลาย 3.1 เกณฑก์ ารจบระดบั ประถมศกึ ษา 1) ผเู้ รียนเรยี นรายวิชาพนื้ ฐาน และรายวิชา/กจิ กรรมเพิม่ เติมตาม โครงสรา้ ง เวลาเรียนท่หี ลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐานกาหนด 2) ผูเ้ รยี นต้องมผี ลการประเมนิ รายวิชาพน้ื ฐาน ผ่านเกณฑ์การประเมนิ ตามที่สถานศกึ ษากาหนด 3) ผเู้ รียนมผี ลการประเมินการอา่ น คิดวเิ คราะห์ และเขยี นในระดับผ่าน เกณฑ์ การประเมินตามทส่ี ถานศกึ ษากาหนด 4) ผเู้ รยี นมผี ลการประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคใ์ นระดับผา่ น เกณฑก์ าร ประเมินตามทส่ี ถานศึกษากาหนด 5) ผูเ้ รยี นเขา้ ร่วมกจิ กรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมนิ ผา่ นเกณฑ์ การ ประเมินตามท่ีสถานศึกษากาหนด 3.2 เกณฑ์การจบระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น 1) ผ้เู รยี นเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพม่ิ เติมไม่เกิน 81 หนว่ ยกิต โดย เปน็ รายวชิ าพื้นฐาน 63 หน่วยกติ และรายวชิ าเพ่มิ เติมตามที่สถานศกึ ษากาหนด 2) ผู้เรยี นต้องได้หนว่ ยกติ ตลอดหลักสูตรไมน่ อ้ ยกวา่ 77 หนว่ ยกิต โดย เปน็ รายวชิ าพ้นื ฐาน 63 หน่วยกติ และรายวชิ าเพ่ิมเติมไม่นอ้ ยกว่า 14 หนว่ ยกิต
65 3) ผเู้ รยี นมีผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขยี นในระดบั ผ่าน เกณฑ์การประเมินตามทส่ี ถานศกึ ษากาหนด 4) ผู้เรียนมผี ลการประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ในระดบั ผา่ น เกณฑก์ าร ประเมนิ ตามทสี่ ถานศึกษากาหนด 5) ผู้เรยี นเขา้ ร่วมกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รยี นและมีผลการประเมนิ ผา่ นเกณฑ์ การ ประเมนิ ตามท่สี ถานศึกษากาหนด 3.3 เกณฑก์ ารจบระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย 1) ผู้เรียนเรยี นรายวิชาพ้นื ฐานและเพม่ิ เติม ไม่นอ้ ยกว่า 81 หน่วยกิต โดยเปน็ รายวชิ าพืน้ ฐาน 39 หน่วยกติ และรายวิชาเพ่ิมเตมิ ตามที่สถานศกึ ษากาหนด 2) ผ้เู รียนตอ้ งไดห้ นว่ ยกิตตลอดหลกั สูตรไม่นอ้ ยกวา่ 77 หนว่ ยกติ โดย เป็นรายวชิ าพืน้ ฐาน 39 หน่วยกติ และรายวิชาเพิม่ เตมิ ไมน่ อ้ ยว่า 38 หน่วยกติ 3) ผ้เู รียนมผี ลการประเมนิ การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ในระดบั ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ตามที่สถานศกึ ษากาหนด 4) ผเู้ รียนมีผลการประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ในระดับผ่าน เกณฑก์ าร ประเมนิ ตามทีส่ ถานศึกษากาหนด 5) ผเู้ รยี นเข้ารว่ มกิจกรรมพฒั นาผูเ้ รยี นและมผี ลการประเมินผา่ นเกณฑ์ การ ประเมนิ ตามท่ีสถานศึกษากาหนด 4. เอกสารหลักฐานการศกึ ษา เอกสารหลักฐานการศกึ ษา เปน็ เอกสารสาคญั ท่ีบันทกึ ผลการเรยี น ขอ้ มลู และสารสนเทศท่ีเกี่ยวข้องกบั พัฒนาการของผูเ้ รยี นในด้านตา่ ง ๆ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ดงั นี้ 4.1 เอกสารหลักฐานการศกึ ษาทกี่ ระทรวงศึกษาธิการกาหนด 1) ระเบยี นแสดงผลการเรยี น เป็นเอกสารแสดงผลการเรยี นและ รบั รองผลการ เรียนของผู้เรียนตามรายวชิ า ผลการประเมินการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขยี น ผลการ ประเมิน คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงคข์ องสถานศึกษาและผลการประเมนิ กิจกรรมพฒั นาผ้เู รียน สถานศึกษาจะต้องบนั ทกึ ข้อมลู และออกเอกสารนี้ใหผ้ ูเ้ รยี นเป็นรายบคุ คล เมื่อผู้เรียนจบการศกึ ษา ระดับประถมศกึ ษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6) จบการศึกษาภาคบังคับ (ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3) จบการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6) หรือเม่อื ลาออกจากสถานศกึ ษาในทกุ กรณี 2) ประกาศนยี บตั ร เปน็ เอกสารแสดงวุฒิการศกึ ษาเพื่อรบั รองศักดิ์ และสทิ ธิข์ องผู้จบการศกึ ษา ท่ีสถานศึกษาให้ไวแ้ ก่ผจู้ บการศกึ ษาภาคบังคับและผู้จบการศกึ ษาข้นั พื้นฐานตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน
66 3) แบบรายงานผูส้ าเรจ็ การศกึ ษา เป็นเอกสารอนุมตั กิ ารจบหลกั สตู ร โดยบนั ทึกรายชื่อและข้อมูลของผู้จบการศกึ ษาระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6) ผู้จบ การศึกษาภาคบงั คบั (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3) และผจู้ บการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน (ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6) 4.2 เอกสารหลกั ฐานการศึกษาท่ีสถานศึกษากาหนด เปน็ เอกสารท่ี สถานศกึ ษาจดั ทาขึ้นเพ่อื บนั ทึกพฒั นาการ ผลการเรยี นรูแ้ ละข้อมลู สาคญั เกี่ยวกับผเู้ รียน เชน่ แบบรายงาน ประจาตัวผูเ้ รยี น แบบบันทึกผลการเรียนประจารายวชิ า ระเบยี นสะสม ใบรบั รองผล การเรยี นและเอกสารอื่น ๆ ตามวตั ถุประสงคข์ องการนาเอกสารไปใช้ 5. การเทยี บโอนผลการเรียน สถานศกึ ษาสามารถเทยี บโอนผลการเรียนของผู้เรยี นในกรณตี ่าง ๆ ไดแ้ ก่ การยา้ ยสถานศึกษา การเปล่ียนรูปแบบการศึกษา การยา้ ยหลกั สูตร การออกกลางคนั และขอกลับเข้า รบั การศึกษาตอ่ การศึกษาจากต่างประเทศและขอเข้าศกึ ษาตอ่ ในประเทศ นอกจากน้ี ยังสามารถ เทยี บโอนความรู้ ทกั ษะ ประสบการณ์จากแหลง่ การเรียนรูอ้ ื่น ๆ เชน่ สถานประกอบการ สถาบนั ศาสนา สถาบันการ ฝึกอบรมอาชีพ การจดั การศึกษาโดยครอบครวั การเทียบโอนผลการเรยี นควรดาเนนิ การในช่วงกอ่ นเปิดภาคเรยี นแรก หรอื ตน้ ภาค เรียนแรก ท่สี ถานศกึ ษารบั ผู้ขอเทียบโอนเป็นผูเ้ รยี น ทัง้ น้ี ผเู้ รียนท่ไี ดร้ ับการเทียบโอนผลการเรียน ตอ้ งศึกษาต่อเนื่องในสถานศึกษาทร่ี บั เทียบโอนอยา่ งน้อย 1 ภาคเรียน โดยสถานศึกษาที่รบั ผเู้ รียน จากการเทียบโอนควรกาหนดรายวชิ า/จานวนหน่วยกติ ทจี่ ะรบั เทยี บโอนตามความเหมาะสม การพจิ ารณาการเทยี บโอน สามารถดาเนนิ การได้ ดงั นี้ 1) พิจารณาจากหลักฐานการศกึ ษา และเอกสารอืน่ ๆ ที่ใหข้ ้อมูลแสดงความรู้ ความสามารถของผู้เรียน 2) พจิ ารณาจากความรู้ ความสามารถของผ้เู รียนโดยการทดสอบด้วยวธิ ีการต่าง ๆ ทั้งภาคความรแู้ ละภาคปฏิบัติ 3) พจิ ารณาจากความสามารถและการปฏิบัติในสภาพจริง การเทียบโอนผลการ เรยี นให้เปน็ ไปตามประกาศหรือแนวปฏบิ ตั ิของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร สรุปได้วา่ การวัดผล ประเมินผลและการเทียบโอนผลการเรยี น หมายถงึ การศึกษา ระเบยี บ การวดั ผลประเมินจากกระทรวงศึกษาธิการ การจัดทาแผนการวัดผลประเมินผล การกาหนด แนว ปฏบิ ตั กิ ารวดั ผลประเมินผลทห่ี ลากหลายเน้นตามสภาพทแี่ ทจ้ ริงการพัฒนาเครือ่ งมอื วดั ผล ประเมินผล การตดิ ตามเอกสารการวดั ผลประเมินผลและการรายงานผล การเทียบโอนผลการเรยี น
67 4. ดา้ นการพฒั นาส่อื นวตั กรรม และเทคโนโลยีทางการศกึ ษา การนาสือ่ และเทคโนโลยีทางการศึกษามาใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ ในการเรยี นการสอน เปน็ ส่ิงท่ีครูผู้สอนควรไดศ้ กึ ษาและนามาใชใ้ นการสอนของตน เพอ่ื เพม่ิ ประสิทธิภาพของการเรยี นรู้ และประสบการณ์ให้กว้างขวางย่ิงข้นึ เป็นการกระตนุ้ ความสนใจและส่งเสริมให้ผ้เู รยี นไดเ้ รียนตาม ความสามารถของตนเอง นับเปน็ ความก้าวหน้าทางการเรยี นการสอน ซ่งึ สามารถผอ่ นกาลังของครู เปน็ การพัฒนาวิชาชีพให้ก้าวหน้าทันกบั สภาพแวดลอ้ มและเหตกุ ารณไ์ ดอ้ ย่างเหมาะสม ซง่ึ ได้มี นักการศึกษาไดก้ ล่าวไวด้ ังนี้ จนิ ตนา ใบกาซูยี (2542) ไดก้ ลา่ วถงึ กระบวนการพฒั นาส่ือการเรียนการสอน ซึ่งมี ข้นั ตอนดงั น้ี 1. การกาหนดจุดประสงคท์ ่วั ไป 2. การศึกษาและกาหนดคุณสมบัติของผูเ้ รียน 3. การกาหนดและวเิ คราะห์เน้ือหาสาระ 4. การกาหนดจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 5. การกาหนดรปู แบบและวธิ ปี ระเมิน 6. การกาหนดวิธสี อนและแนวทางการเสนอเนอื้ หา 7. การกาหนดแหลง่ ขอ้ มลู ที่สนับสนุนการจดั ทาสื่อการเรยี นการสอน 8. การทดสอบคณุ ภาพของสอื่ การเรยี นการสอน 9. การปรบั ปรุงสือ่ การเรยี นการสอน ปรยี าพร วงศอ์ นุตรโรจน์ (2543) กลา่ วถึงการพฒั นาสือ่ การสอนว่า งานสื่อการสอน เปน็ การนาเทคโนโลยที างการศึกษามาใช้ในการเรียนการสอน เพอื่ ให้มปี ระสิทธภิ าพทางวชิ าการ สถานศึกษาจะมีงานสอ่ื การสอน โดยเรยี กช่อื ต่างกันไป เชน่ ศนู ย์โสตทัศนปู กรณ์ งานสอ่ื การเรยี นการ สอน ศนู ย์เทคโนโลยีทางการศึกษา อย่างไรกต็ ามงานส่ือการสอนเปน็ งานบรกิ ารในดา้ นวสั ดุ เครือ่ งมือ โสตทัศนปู กรณ์แก่ครอู าจารยแ์ ละผู้เรยี น ในด้านงานบรกิ ารส่ือการสอนจะมีการจัดหาสือ่ การสอน เพื่อไวบ้ ริการการจดั บริการในรปู แบบตา่ ง ๆ การบารงุ รักษาสือ่ การสอนการประชาสัมพันธ์การจัดทา โครงการด้านวชิ าการและการประเมนิ ผลงานส่อื การสอน อาคารสถานท่กี เ็ ปน็ ส่งิ ทต่ี อ้ งคานงึ ถึงในด้าน การใหบ้ รกิ ารส่ือการสอน ฉลอง บญุ ญานันต์ (2547) กล่าวถงึ วิธีวางแผนพัฒนาเทคโนโลยเี พ่ือการศึกษา ดังน้ี 1. การวางแผนเปน็ กระบวนการในขณะปฏบิ ัตกิ าร โดยสอดคลอ้ งกับธรรมนญู ของโรงเรียน ซง่ึ ไม่ใช่แผนตายตวั สามารถเปล่ียนแปลงไดอ้ ย่างตอ่ เนื่อง 2. การตัง้ ทีมงานขึ้นอยกู่ บั ลักษณะของงานทรี่ บั ผิดชอบ สามารถเปลีย่ นแปลงได้ 3. รวมข้อกาหนดทางการศกึ ษา การบริหารและการจัดลาดับความสาคัญ
68 4. จัดทาเอกสารรายการเทคโนโลยกี ารเรยี นรู้และการใช้ประโยชน์ 5. ประเมนิ จุดแข็งและข้อจากดั ของเทคโนโลยีการเรยี นรทู้ ีม่ ีอยู่ 6. สารวจแนวทางเพื่อการปรบั ปรุงใหด้ ีขึน้ 7. ประเมนิ ศกั ยภาพของการใช้และความเส่ียงในเทคโนโลยีใหม่ 8. การพฒั นาเปา้ หมายเทคโนโลยสี าหรบั โรงเรียน เช่น ทิศทาง วัตถุประสงคท์ ่ี ตอ้ งการ 9. กาหนดขอบขา่ ยและความต้องการในอนาคตเพอื่ บรรลเุ ป้าหมาย 10. กาหนดคณุ สมบตั ิของฮารด์ แวร์ ซอฟต์แวร์ การสือ่ สารและอปุ กรณ์อ่นื ๆ 11. กาหนดความตอ้ งการความปลอดภัย เชน่ ประเภทของมาตรฐานความ ปลอดภัยท่ี เหมาะสมท่ีสุด 12. ประเมนิ กลยุทธใ์ นการใช้เทคโนโลยีทเี่ ลอื กไว้ 13. กาหนดความตอ้ งการด้านการสนับสนนุ 14. กาหนดการฝึกอบรมและความตอ้ งการของการพฒั นาวิชาชพี 15. รวบรวมแผนและพฒั นางบประมาณ 16. ติดตามผลความก้าวหน้าและปรบั ปรงุ แผนเทคโนโลยเี พอื่ การศกึ ษา กระทรวงศึกษาธิการ (2546ข.) ไดใ้ หแ้ นวทางการพฒั นาสือ่ นวัตกรรมและ เทคโนโลยี เพอื่ การศึกษาไว้ดงั นี้ 1. ศกึ ษาวเิ คราะห์ ความจาเป็นในการใช้สื่อและเทคโนโลยีเพื่อจดั การเรยี นการ สอนและการบริหารงานวชิ าการ 2. ส่งเสริมให้ครผู ลิตสื่อ จดั หา พัฒนาส่ือ และนวตั กรรมการเรยี นการสอน 3. จัดหาสื่อและเทคโนโลยเี พอ่ื ใชใ้ นการเรยี นการสอนและการพฒั นางานดา้ น วิชาการ 4. ประสานความร่วมมอื ในการผลิต จัดหา พฒั นาและการใช้สอื่ นวัตกรรมและ เทคโนโลยเี พ่ือการจัดการเรียนการสอน และพฒั นางานวิชาการกบั สถานศึกษา บุคคล ครอบครัว องค์กร หนว่ ยงานและสถาบนั อน่ื 5. ประเมนิ ผล การพัฒนาการใชส้ ่ือ นวตั กรรมและเทคโนโลยเี พ่ือการศกึ ษา นอกจากนีก้ ระทรวงศึกษาธกิ าร (2551) ได้กล่าวถึงรายละเอยี ดเกีย่ วกับส่ือการ เรยี นรู้ไว้ ในหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 วา่ สอ่ื การเรยี นรู้เป็น เครอื่ งมือสง่ เสรมิ สนับสนนุ การจัดการกระบวนการเรยี นรู้ ให้ผู้เรียนเขา้ ถงึ ความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และคณุ ลักษณะ ตามมาตรฐานของหลกั สตู รได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ สอื่ การเรยี นร้มู ีหลากหลาย ประเภท ทง้ั สอ่ื ธรรมชาติ สือ่ สง่ิ พมิ พ์ ส่อื เทคโนโลยี และเครือข่ายการเรยี นรู้ตา่ ง ๆ ท่มี ีในท้องถ่ิน
69 การเลอื กใช้สอื่ ควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดบั พัฒนาการ และลีลาการเรียนรู้ทีห่ ลากหลายของ ผเู้ รียน การจัดหาสอื่ การเรียนรู้ ผเู้ รียนและผู้สอนสามารถจัดทาและพฒั นาขน้ึ เอง หรอื ปรับปรงุ เลือกใชอ้ ย่างมีคุณภาพจากส่ือต่าง ๆ ที่มอี ยูร่ อบตัวเพ่อื นามาใชป้ ระกอบในการจัดการ เรยี นรู้ท่ีสามารถ ส่งเสรมิ และสื่อสารให้ผ้เู รียนเกดิ การเรียนรู้ โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่าง พอเพยี ง เพ่ือพฒั นาใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งแทจ้ รงิ สถานศึกษา เขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษา หน่วยงาน ทเี่ ก่ียวขอ้ งและผ้มู ีหนา้ ท่ีจัดการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน ควรดาเนินการดังน้ี 1) จดั ใหม้ แี หลง่ การเรยี นรู้ ศนู ยส์ ื่อการเรยี นรู้ ระบบสารสนเทศการเรยี นรแู้ ละ เครอื ขา่ ยการเรียนรทู้ มี่ ีประสิทธิภาพทงั้ ในสถานศึกษาและในชุมชน เพอ่ื การศึกษาค้นคว้าและการ แลกเปล่ยี นประสบการณก์ ารเรียนรู้ ระหว่างสถานศึกษา ทอ้ งถ่ิน ชุมชน สังคมโลก 2) จดั ทาและจัดหาสอื่ การเรยี นรสู้ าหรับการศกึ ษาคน้ ควา้ ของผู้เรยี นเสริมความรู้ ให้ผูส้ อน รวมทัง้ จัดหาส่งิ ท่ีมอี ยู่ในทอ้ งถ่นิ มาประยกุ ต์ใชเ้ ปน็ สือ่ การเรียนรู้ 3) เลือกและใช้สอื่ การเรยี นรู้ท่มี คี ุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคลอ้ งกับวธิ ีการเรียนรู้ ธรรมชาติของสาระการเรียนร้แู ละความแตกตา่ งระหว่างบุคคลของผเู้ รยี น 4) ประเมนิ คุณภาพของสอ่ื การเรียนรูท้ ่เี ลอื กใชอ้ ย่างเป็นระบบ 5) ศกึ ษาค้นควา้ วิจยั เพือ่ พฒั นาสือ่ การเรียนรใู้ หส้ อดคลอ้ งกบั กระบวนการเรียนรู้ ของผู้เรียน 6) จัดให้มีการกากบั ติดตาม ประเมนิ คุณภาพและประสิทธิภาพเก่ยี วกบั สื่อและการ ใช้สือ่ การเรยี นรเู้ ปน็ ระยะ ๆ และสม่าเสมอ สรปุ ไดว้ า่ การพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษา หมายถึง กระบวนการพฒั นา จดั หาและผลิตสอื่ การเรยี นร้ใู หม้ คี วามสอดคลอ้ งกับหลักสตู ร วตั ถปุ ระสงค์การ เรยี นรู้ การออกแบบกจิ กรรม การเรียนรู้ การจดั ประสบการณใ์ หผ้ ู้เรยี น เนอ้ื หามีความถกู ตอ้ งและ ทันสมยั ไม่กระทบความม่นั คงของชาติ ไมข่ ัดตอ่ ศีลธรรม มกี ารใชภ้ าษาทถี่ กู ตอ้ ง รปู แบบการนาเสนอ ทีเ่ ขา้ ใจง่ายและนา่ สนใจและต้องมีการติดตามประเมินผลการใช้ส่อื นวตั กรรม และเทคโนโลยี เพื่อการศึกษาอย่างตอ่ เนอ่ื ง 5. ดา้ นการนเิ ทศภายใน การนิเทศภายในเปน็ ภารกิจของผู้บริหารสถานศึกษาในอันท่จี ะดาเนนิ การพฒั นา คณุ ภาพ การศึกษาให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การนิเทศจะสามารถส่งเสรมิ สนบั สนุน
70 แก้ไข ปรบั ปรุง และพัฒนาภารกิจของโรงเรียนได้เป็นอย่างดี มนี ักวชิ าการและหนว่ ยงานทางการ ศึกษาได้ กล่าวถึงการนิเทศการศกึ ษา ดังนี้ ปรยี าพร วงศอ์ นตุ รโรจน์ (2543 : 232-234) กลา่ วถึงข้ันตอนในการบรหิ ารงาน นิเทศในสถานศึกษา ดังนี้ ขน้ั ตอนที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปญั หาและความตอ้ งการในการนิเทศ เป็นขน้ั ตอนทีเ่ ป็นพ้นื ฐานท่สี าคญั ทส่ี ดุ ก่อนท่ีผู้นิเทศจะดาเนินการนิเทศ ซึง่ ประกอบด้วย 1) นโยบายของสถานศกึ ษาในดา้ นการนิเทศ 2) ปัญหาปจั จุบันที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา 3) ขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากสภาพปัจจุบัน หมายถงึ สิ่งทีม่ ีอย่ทู ั้งทรัพยากรบุคคลและวตั ถุ 4) ผลการสารวจความคดิ เหน็ ท่มี ีต่อสภาพปญั หาและความต้องการนิเทศ ขน้ั ตอนที่ 2 การวางแผนและการจัดทาโครงการนเิ ทศ การวางแผนตามลกั ษณะงาน นเิ ทศในโรงเรียน หมายถงึ วธิ ีการทอี่ าศยั หลกั การและเหตผุ ลและข้อมูลท่ไี ด้จาการศึกษาสภาพ ปัจจุบนั มคี วามต้องการนเิ ทศในดา้ นใดบา้ งแล้วนามาจดั ทาแผนและโครงการ โดยกาหนดเป้าหมายให้ ชดั เจนดงั น้ี 1) แจกแจงกิจกรรมการนิเทศทีจ่ ะทาโครงการนัน้ 2) กาหนดแผนงานนเิ ทศ หน่วยปฏบิ ัติ ค่าใช้จา่ ย เวลา สถานทเ่ี ปน็ ต้น 3) จัดทางบประมาณโครงการ การขออนมุ ตั ิและการดาเนนิ งาน ขัน้ ตอนที่ 3 การดาเนินงาน การดาเนินการนิเทศเป็นการนาแผนงานหรือโครงการ ไปปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ใหไ้ ด้ตามความต้องการหรือเป้าหมายท่วี างไว้ ซง่ึ มีดังน้ี 1) การใหค้ วามรู้ในงานท่ีปฏบิ ัติ ว่าจะดาเนินการท่ีต้องอาศยั ความรู้ ความสามารถอยา่ งไรขน้ั ตอนการดาเนนิ การ เพอ่ื ใหผ้ ลงานท่อี อกมามีคุณภาพ 2) การปฏบิ ตั งิ านประกอบด้วยการปฏิบัติงานทไี่ ด้รับความร่วมมอื จากบคุ คล หลาย ฝ่ายคอื ผรู้ บั การนิเทศ ผู้ใหก้ ารนเิ ทศ ผบู้ ริหาร 3) การสร้างขวัญและกาลงั ใจเพ่อื ใหผ้ รู้ บั การนิเทศมคี วามมั่นใจและทางานดว้ ย ความพึงพอใจ ขน้ั ตอนท่ี 4 การประเมินผลการนเิ ทศ มีดงั น้ี 1) การประเมนิ ผลตอ้ งอาศัยขอ้ มูลท่ีนา่ เช่อื ถอื การใชเ้ คร่อื งมือและการรวบรวม ขอ้ มูลท่ไี ดต้ ้องเป็นท่ียอมรับของฝ่ายนเิ ทศ 2) การประเมินผลเปน็ ขั้นตอนหนงึ่ ของการนเิ ทศทจ่ี าเป็นต้องทา เมอ่ื ได้จดั ทา โครงการนิเทศแลว้
71 3) การประเมินผลต้องอาศยั ข้อมูลจากหลายฝ่ายท้งั จากผู้บริหาร ผู้นิเทศและ ผรู้ บั การนเิ ทศ 4) การประเมนิ ผลสามารถทาได้ 2 ระยะ คอื ระหว่างดาเนนิ การและประเมินผล สรุป 5) การประเมนิ ผลเป็นระบบ มี 3 สว่ น คือ 5.1) การประเมินปัจจัยนาเขา้ ไดแ้ ก่ การประเมินผลที่ม่งุ ตวั ผู้เรยี น เครือ่ งมอื วัสดุอปุ กรณ์ที่ใชใ้ นการสอน รวมท้งั คุณสมบัติและความสามารถของครผู ู้สอน 5.2) การประเมนิ ผลที่กระบวนการ เป็นการประเมินขณะดาเนนิ การตาม โครงการเพือ่ การปรับปรุงโครงการ 5.3) การประเมนิ ผลผลิต เป็นการประเมินผลหลังจากดาเนินตามโครงการ แลว้ พจิ ารณาผลท่ีได้จากโครงการว่าบรรลุจุดมุ่งหมายตั้งไว้หรอื ไม่ จันทรานี สงวนนาม (2545) ไดก้ ลา่ วถงึ กจิ กรรมการนเิ ทศภายในสถานศกึ ษาที่ ผบู้ รหิ ารสามารถดาเนนิ การได้หลายอย่างการท่จี ะนาวิธีการใดมาใช้ควรคานงึ ถงึ สภาพปัจจุบนั ปัญหา และความตอ้ งการของสถานศึกษาแต่ละแหง่ กระทรวงศกึ ษาธิการ (2546ข.) กล่าวถึงการนิเทศภายใน ไวด้ ังนี้ 1. จัดระบบการนเิ ทศงานวิชาการและการเรียนการสอนภายในสถานศึกษา 2. ดาเนนิ การนเิ ทศงานวิชาการและการเรียนการสอนในรปู แบบหลากหลาย และเหมาะสมกับสถานศกึ ษา 3. ประเมินผลการจดั ระบบและกระบวนการนิเทศการศึกษาในสถานศึกษา 4. ติดตาม ประสานงานกับเขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษาเพื่อพฒั นาระบบและ กระบวนการนเิ ทศงานวชิ าการและการเรยี นการสอน 5. การแลกเปล่ยี นเรียนร้แู ละประสบการณ์การจดั ระบบนเิ ทศการศกึ ษาภายใน สถานศกึ ษากับสถานศกึ ษาอน่ื หรอื เครอื ข่ายการนิเทศการศกึ ษาภายในเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษา สรุปไดว้ ่า การนิเทศการศึกษา หมายถงึ กระบวนการชแ้ี นะชว่ ยเหลอื และรว่ มมอื กัน ระหวา่ ง ผู้นิเทศกับผ้รู บั การนเิ ทศ เพ่อื ปรบั ปรงุ การเรียนการสอนให้มคี ณุ ภาพใหม้ ีประสิทธิภาพให้ บรรลุจุดมงุ่ หมายทก่ี าหนดไว้อย่างเป็นระบบประกอบด้วย การจดั ระบบการนเิ ทศ การแต่งต้ัง คณะกรรมการรับผดิ ชอบดาเนินการนเิ ทศ การใช้การนิเทศที่หลากหลายและมีสว่ นรว่ ม การตดิ ตาม ประเมินผลการนิเทศ การประสานกบั เขตพื้นที่การศึกษาเพ่อื พฒั นาระบบการนเิ ทศภายใน
72 งานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ ง อ๊ตู ตรอี ุดม (2547 : บทคัดยอ่ ) ศึกษาเร่อื ง การบรหิ ารงานวิชาการตามแนวทางการ บริหาร สถานศกึ ษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนติ บิ คุ คล สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาสรุ าษฎรธ์ านี เขต 2 กลุ่ม ตัวอย่าง ทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ไดแ้ ก่ ผบู้ รหิ ารโรงเรียนในปกี ารศึกษา 2547 จานวน 224 โรงเรียนมีจานวน 224 คน ผลการวิจยั พบว่า สภาพการบรหิ ารงานวชิ าการตามแนวทางการบริหารสถานศกึ ษาข้ัน พื้นฐานมีการ ปฏิบัติท้ัง 12 ด้าน ท้ังโรงเรยี นขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยมีระดับการปฏิบัตมิ ากถึง ปานกลาง คือ การวัดผลประเมนิ ผลและเทียบโอนผลการเรียน การพฒั นาสือ่ นวตั กรรมและ เทคโนโลยเี พ่ือการศกึ ษา การพัฒนาแหลง่ เรยี นรู้ การนิเทศการศึกษา การพฒั นาระบบประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา การส่งเสริมความรู้ทางวิชาการแกช่ ุมชน การประสานความร่วมมือในการ พฒั นาวิชาการกบั สถานศกึ ษาและองคก์ รอน่ื และโรงเรียนขนาดเลก็ มรี ะดบั การปฏิบตั ิปานกลางถึง มาก คือ การวิจัยเพื่อ พัฒนาคุณภาพการศึกษา การแนะแนวการศึกษาการสง่ เสริมและสนบั สนุนงาน วชิ าการแกบ่ คุ คล ครอบครัว องคก์ ร หนว่ ยงานและสถาบนั อืน่ ท่จี ัดการศกึ ษา และปฏิบัติระดับมากถึง ปานกลาง คือ การพฒั นาหลักสูตรสถานศกึ ษาและการพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ส่วนโรงเรยี นขนาด ใหญ่มรี ะดับ การปฏิบัติมากถึงมากที่สุด คือ การพัฒนาหลักสตู รสถานศกึ ษาและมีการพัฒนา กระบวนการเรยี นรู้ และปฏบิ ตั ิระดบั มากถึงปานกลางคือ การวจิ ัยเพือ่ พัฒนาคุณภาพ การศึกษา การ แนะแนวการศึกษา และการสง่ เสรมิ และสนบั สนุนงานวชิ าการแกบ่ คคลครอบครัว องคก์ ร หน่วยงาน และสถาบันอ่นื ที่จัดการศกึ ษา สว่ นการเปรยี บเทียบตามขนาดของโรงเรียน พบวา่ ระดับการปฏิบัติ ของผู้บริหารเอง 24 ขนาดเล็กขนาดใหญส่ ว่ นมากมีการปฏิบตั ิท่ีเหมอื นกัน โดยมีระดบั การปฏบิ ัติมาก ถงึ ปานกลาง ปรยี า พรหมศกั ด์ิ (2547 : บทคดั ย่อ) ได้ศกึ ษาการบรหิ ารงานวิชาการของผบู้ รหิ าร ทีส่ ง่ ผลตอ่ การวัดและประเมินผลตามสภาพจริงในสถานศึกษาเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษากรงุ เทพมหานคร เขต 3 พบวา่ การบริหารงานวิชาการของผ้บู รหิ ารในสถานศกึ ษาโดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก สมชาย จนิ ตนพนั ธ์ (2546 : บทคัดย่อ) ศึกษาเรือ่ ง การบริหารงานวิชาการของ ผู้บรหิ ารโรงเรียนประถมศกึ ษา สังกดั สานักงานการประถมศึกษาจังหวดั สุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวจิ ัย ไดแ้ ก่ ผู้บรหิ ารโรงเรียนประถมศกึ ษา สังกัดสานกั งานการประถมศึกษาจงั หวดั สุราษฎร์ธานี ใชก้ ลุม่ ตัวอยา่ ง จานวน 220 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ การบรหิ ารงานวิชาการของ ผู้บรหิ ารโรงเรียน ประถมศกึ ษาสงั กัดสานกั งานการประถมศกึ ษาจังหวัดสรุ าษฎร์ธานี มกี ารปฏบิ ัตงิ าน วชิ าการ ในระดับ มาก 6 ดา้ น คือ ดา้ นหลกั สตู รและการนาหลกั สตู รไปใช้ ดา้ นการเรยี นการสอน ด้านการนิเทศภายใน ด้านการวดั ผลและประเมนิ ผล ดา้ นหอ้ งสมดุ และด้านการประชมุ อบรม สมั มนา ทางวิชาการมีรายการท่ีมอี ันดบั สงู สดุ ของแตล่ ะด้านเรยี งตามลาดบั ดังกลา่ วมดี ังนี้คือ มีการจัด ใหค้ รู เข้าประชมุ อบรมหรือสมั มนาเพ่อื ฝึกจัดทากาหนดการสอนและแผนการสอนให้ครูมีสว่ นรว่ มในการ
73 วางแผน กาหนดคาบเวลาเรียน มีการประชุมชแ้ี จง สร้างความเข้าใจและการยอมรับระหว่างครผู สู้ อน และผู้ นเิ ทศ มกี ารตรวจหลักฐานการวดั ผลและประเมินผลการวดั ผล และประเมินผล ประจาช้ันเรียน เปน็ ปัจจุบนั สง่ เสริมให้ผู้เรยี นมสี ว่ นร่วมปฏบิ ตั ิกิจกรรมซึ่งหอ้ งสมดุ จัดข้ึน ส่งเสรมิ ใหค้ รูและหวั หนา้ ฝ่ายตา่ ง ๆ เขา้ รับการอบรมด้านวชิ าการ มีการปฏิบัติระดบั ปานกลาง 1 ด้าน คือ ด้านสอื่ การเรยี น การสอน และรายการท่มี อี นั ดับสงู สุดคือ มีการประชมุ วางแผนเพ่ือดาเนินการจดั สร้าง บารุงรักษา และ พฒั นาสอ่ื การเรยี นการสอน ไพรัช หงสเ์ ทียบ (2544 : บทคัดย่อ) ได้ศกึ ษาวจิ ยั เรื่อง การบรหิ ารงานวิชาการของ ผ้บู รหิ าร ตามมาตรฐานคุณภาพการศึกษาท่ีส่งผลต่อการจดั การเรยี นการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรยี นเป็น ศนู ยก์ ลางใน โรงเรียนมัธยมศกึ ษา สงั กดั กรมสามัญศกึ ษา เขตการศึกษา 5 ผลการวจิ ยั พบว่า 1) การบรหิ ารงาน วชิ าการของผบู้ รหิ ารตามมาตรฐานคณุ ภาพการศกึ ษา โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั ปานกลาง เมือ่ พิจารณาเปน็ รายมาตรฐานพบวา่ มาตรฐานท่ี 4 และ 6 อยู่ในระดับมาก 2) การบรหิ ารงานวชิ าการ ของผ้บู ริหารตามมาตรฐานคุณภาพการศึกษาโดยภาพรวมและมาตรฐาน ที่ 3, 4 และ6 มีความสมพนั ธ์กบั การจัดการเรียนการสอนทีเ่ น้นผเู้ รยี นเป็นศูนย์กลางอย่างมนี ยั สาคัญ ทางสถติ ิทร่ี ะดบั .01 3) การบรหิ ารงานวชิ าการของผบู้ รหิ ารตามมาตรฐานคุณภาพการศึกษาสง่ ผลตอ่ การจัดการเรยี นการสอนที่เน้นผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลางโดยภาพรวม เม่อื พจิ ารณารายมาตรฐานพบว่า มาตรฐานที่ 3 และ 4 สง่ ผล ต่อด้านพฤตกิ รรมการเรียนของผเู้ รียนและพฤตกิ รรมการสอนอยา่ งมี นัยสาคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .01 เช่นกนั กลุ ฑรี พิกลุ แกม (2551 : บทคัดย่อ) การศกึ ษาการบรหิ ารงานวชิ าการที่สง่ ผลตอ่ คณุ ภาพ ผ้เู รียนในสถานศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน สังกดั สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษานครปฐม เขต 2 พบวา่ 1) การบรหิ ารงานวชิ าการโดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก 2) คณุ ภาพผูเ้ รยี นในสถานศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน โดยภาพ รวมอยใู่ นระดับมาก และ 3) การบริหารงานวชิ าการโดยภาพรวมและด้านการนิเทศ การศกึ ษาสง่ ผลต่อคุณภาพผเู้ รียนในสถานศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน สงั กัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา นครปฐม เขต 2 อย่าง มีนัยสาคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .01 กฤษณา ปญั ญา (2552) ไดท้ าการสรา้ งและหาคุณภาพแบบวดั ทักษะชวี ติ ของ ผู้เรยี นในระดับช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 และศึกษาทักษะชีวติ ของผูเ้ รยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ในจงั หวดั เชียงรายกล่มุ ตวั อย่างท่ีใช้ในการวจิ ัยเปน็ ผู้เรยี นในระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 ในจงั หวดั เชียงราย ซ่ึงได้มาจากการสุ่มแบบหลายขนั้ ตอนผลการวิจัยพบวา่ แบบวดั ทกั ษะชวี ิตของผู้เรียนในระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 มขี ้อคาถามวดั ทกั ษะชีวติ 3 ด้านคอื ดา้ นการสรา้ งสัมพนั ธภาพและการส่อื สาร ด้านการตัดสินใจและแก้ไขปญั หาและด้านการจัดการอารมณแ์ ละความเครยี ดมีลกั ษณะเปน็ แบบ กาหนดสถานการณ์ให้เลือกตอบมี 5 ตัวเลือกจานวนทั้งสน้ิ 30 ขอ้ ซ่งึ แบบวัดที่ได้มคี ุณภาพด้าน ความเทยี่ งตรงเชิงเนอื้ หา โดยมีคา่ IOC ต้งั แต่ .67 ถึง 1.00 ด้านอานาจจาแนกรายข้อโดยมคี ่า T
74 ตงั้ แต่ 2.257 ถงึ 6.000 ความเชอื่ มน่ั ทั้งฉบบั มีค่า rxy ตง้ั แต่ .503 ถึง .554 และผลการศึกษาทักษะ ชีวติ ของผ้เู รยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ในจงั หวัดเชียงรายพบวา่ ด้านทักษะชีวติ ด้านการสร้าง สัมพันธภาพและการสื่อสารอย่ใู นระดับดี ส่วนด้านการตดั สนิ ใจและการแกไ้ ขปญั หา ดา้ นการจดั การ อารมณ์และความเครยี ดเกนิ คร่ึงอยใู่ นระดบั ดีมาก Kamisah Osman, Tuan Mastura Tuan Soh and Nurazidawati Mohamad Arsad (2010) ไดศ้ ึกษาการพัฒนาและตรวจสอบคณุ ภาพของแบบวัดทักษะศตวรรษที่ 21 สาหรบั ผู้เรียนสายวทิ ยาศาสตร์ โดยมวี ัตถุประสงคเ์ พ่ือสร้างและตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดทกั ษะ ศตวรรษท่ี 21 ในบรบิ ทของการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรใ์ นประเทศมาเลเซีย ผูว้ ิจยั ทาการ สังเคราะหเ์ อกสารเก่ยี วกับทกั ษะศตวรรษที่ 21 จาก enGauge 21st Cent ury Skills และภาคี เครือขา่ ยเพ่ือทกั ษะศตวรรษท่ี 21 จากนน้ั ทาการสมั ภาษณ์และจัดการสนทนากลมุ่ ผู้เชี่ยวชาญด้าน การสอนวทิ ยาศาสตรถ์ ึงบรบิ ทของการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์และจัดหมวดหมู่ตวั บง่ ช้ที ักษะ ศตวรรษที่ 21 โดยใชเ้ ทคนิคเดลฟาย ไดอ้ งค์ประกอบหลักของทกั ษะศตวรรษท่ี 21 จานวน 5 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ ความรู้ด้านดจิ ิตัล การคิดเชิงสรา้ งสรรค์ การสื่อสารอย่างมปี ระสิทธภิ าพ ความสามารถในการสร้างผลผลิตและคุณคา่ ทางจิตวญิ ญาณ จากนั้นนาองคป์ ระกอบทไี่ ดไ้ ปสร้างแบบ วัดทกั ษะศตวรรษที่ 21 เปน็ แบบสอบถามเกย่ี วกับความสามารถของผเู้ รยี นจานวน 106 ข้อ แลว้ นา แบบทดสอบไปทดลองกบั ผู้เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาจานวน 760 คน ทาการตรวจสอบความตรงดว้ ย วิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันพบวา่ แบบวดั ทักษะศตวรรษท่ี 21 มีความตรงเชิงโครงสร้าง โดยองคป์ ระกอบทั้ง 5 สามารถอธิบายความแปรปรวนรวมได้รอ้ ยละ 51.81 และตรวจสอบความ เชื่อมน่ั โดยใช้สมั ประสทิ ธแิ์ อลฟาของครอนบาค พบว่า แบบวดั ทักษะศตวรรษท่ี 21 มีความเชอ่ื มนั่ ใน ระดับสูงโดยมีคา่ ความเชื่อมน่ั อย่รู ะหวา่ งจุด .74 - .92 Myunghee Kang, et, al. (2010) ได้พฒั นาตัวบง่ ช้ีความสามารถทางการศึกษา สาหรบั ผู้เรยี นในยุคใหม่ ดาเนนิ การวจิ ยั โดยจดั ทาศึกษาเอกสารและงานวิจยั ทเี่ กีย่ วขอ้ งและจัดการ สนทนากลุ่มของผู้เช่ียวชาญจานวน 17 คนเพอื่ กาหนดกรอบในการศกึ ษาไดก้ รอบองคป์ ระกอบหลกั ในการศึกษา 3 ด้าน คือ องค์ประกอบด้านสติปัญญา องค์ประกอบดา้ นอารมณค์ วามรู้สกึ นึกคดิ และ องค์ประกอบด้านสงั คมและวฒั นธรรม จากนน้ั สรา้ งตวั บ่งช้ีจานวน 72 ตัวบ่งชี้ นาไปทดลองใช้กับ ผเู้ รยี นระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาจานวน 115 คน เพือ่ ตรวจสอบความเหมาะสม ความเปน็ ปรนัย ความ เชอ่ื มนั่ และอานาจจาแนก แล้วทาการเก็บข้อมูลกับผเู้ รยี นระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาจานวน 400 คน แล้ว ทาการวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบเชิงสารวจเพอื่ คัดเลือกและจัดกลุ่มตัวบ่งช้ีได้ผลดังน้ี กรอบองคป์ ระกอบ ดา้ นสติปัญญาประกอบดว้ ย 13 ตวั บ่งช้ี จดั องคป์ ระกอบได้ 4 องค์ประกอบคือ องค์ประกอบด้านการ จัดการข้อมูล องค์ประกอบด้านการสร้างองคค์ วามรู้ องคป์ ระกอบด้านการใช้ความรูใ้ หเ้ กิดประโยชน์ และองคป์ ระกอบด้านความสามารถในการแกป้ ญั หา กรอบองค์ประกอบดา้ นอารมณค์ วามรูส้ ึกนึกคิด
75 ประกอบดว้ ยตัวบ่งช้ี 10 ตวั บง่ ช้ี จัดองคป์ ระกอบได้ 4 องค์ประกอบคือ องค์ประกอบดา้ นการรบั รู้ ตนเอง องค์ประกอบดา้ นการเห็นคุณค่าในตนเอง องคป์ ระกอบดา้ นความสามารถในการกากับตวั เอง และด้านการรบั ผิดชอบตนเอง กรอบองคป์ ระกอบด้านสงั คมและวฒั นธรรมประกอบด้วยตัวบง่ ชี้ 10 ตัวบง่ ช้ีจัดเป็นองคป์ ระกอบได้ 4 องค์ประกอบคือ องค์ประกอบด้านการมสี ว่ นรว่ มในฐานะสมาชกิ ของสงั คม องคป์ ระกอบดา้ นการยอมรับความแตกตา่ งทางสังคม องค์ประกอบดา้ นการเรยี นรทู้ าง สังคม และองค์ประกอบด้านความเป็นผ้นู าทางสังคม จากน้ันทาการเก็บข้อมลู อีกครง้ั กับผู้เรยี น ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาจานวน 300 คนแลว้ ทาการวิเคราะห์องคป์ ระกอบเชงิ ยนื ยนั เพ่ือตรวจสอบความ ตรงเชงิ โครงสร้างขององค์ประกอบและตัวชี้วดั ทไ่ี ด้ ผลการวิเคราะหพ์ บวา่ ตัวชี้วดั ความสามารถทาง การศึกษาสาหรับผเู้ รยี นยุคใหม่ท่สี ร้างข้นึ มีความตรงเชิงโครงสรา้ ง
76 บทท่ี 3 การดาเนนิ การวิจัย การวจิ ยั คร้งั นี้มวี ัตถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาระดับการบรหิ ารงานวชิ าการและทักษะของ ผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 และเพ่ือศึกษาการบรหิ ารงานวชิ าการทส่ี ง่ ผลตอ่ ทักษะของผเู้ รียนในศตวรรษ ท่ี 21 ในสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน สังกดั สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 โดย ใช้วิธวี ิจยั เชิงสารวจ (Survey Research) โดยใช้สถานศกึ ษาเป็นหน่วยวเิ คราะห์ ผู้ใหข้ ้อมูล ประกอบดว้ ย ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าฝ่ายวิชาการ ตวั แทนครผู ู้สอนชว่ งชนั้ ที่ 1 และตัวแทน ครูผูส้ อนชว่ งช้นั ท่ี 2 โดยมีรายละเอยี ดการดาเนินการวจิ ัย ดงั นี้ ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง 1. ประชากรทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ครง้ั นี้ ได้แก่ สถานศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน ในโครงการจัดการ เรียนรูด้ ว้ ยวธิ กี าร Active Learning เพ่อื ยกระดบั คณุ ภาพการศกึ ษา สังกัดสานกั งานเขตพ้ืนที่ การศกึ ษาประถมศึกษานราธวิ าส เขต 3 จานวน 51 แหง่ 2. กลมุ่ ตวั อย่างท่ใี ช้ในการวจิ ัยครง้ั นี้ ได้แก่ สถานศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน ในโครงการ จดั การเรยี นรู้ดว้ ยวิธีการ Active Learning เพอ่ื ยกระดับคุณภาพการศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ท่ี การศกึ ษาประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 จานวน 46 แห่ง ไดม้ าจากคานวณหาขนาดของกลมุ่ ตัวอยา่ ง โดยใช้สูตร Yamane (1973 อ้างถงึ ใน ผอ่ งศรี วาณชิ ย์ศุภวงศ,์ 2546 ) โดยส่มุ ตวั อย่างเพื่อเลอื ก สถานศึกษาตามสัดสว่ นทีค่ านวณได้ โดยวธิ กี ารสุ่มอยา่ งง่าย (Sample Random Sampling) มีผู้ให้ ข้อมูลสถานศึกษาละ 4 คน คอื ผอู้ านวยการสถานศึกษา หัวหน้าฝ่ายวิชาการ ตวั แทนครูผู้สอนชว่ ง ชั้นท่ี 1 และตวั แทนครผู ู้สอนชว่ งชน้ั ท่ี 2 รวมท้ังส้ิน 184 คน โดยมวี ิธกี ารคานวน ดังนี้ N n= 1+Ne2 เมื่อ n แทน ขนาดของกลุ่มตัวอยา่ ง N แทน ขนาดของประชากร 76
77 e แทน ค่าคลาดเคล่ือนของการส่มุ ท่ยี อมรับได้ (Sampling Error) ในทน่ี ี้กาหนดเทา่ กับ .05 แทนค่าจะได้ขนาดของกลมุ่ ตัวอย่าง ดงั น้ี 51 n = 1 + 51(0.05)2 n = 45.305 ดงั นน้ั จะได้กลมุ่ ตัวอย่างที่ใชใ้ นการศึกษาครั้งนีค้ ือ สถานศึกษาจานวน 46 แหง่ ดงั ตาราง 1 ตาราง 1 จานวนประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ งสถานศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน สงั กดั สานักงานเขตพื้นท่ี การศกึ ษาประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 จาแนกตามอาเภอ เขตพ้นื ที่การศึกษา จานวนประชากร จานวนกลุ่มตวั อย่าง จานวนผูใ้ ห้ข้อมูล ประถมศึกษา นราธวิ าส เขต 3 25 24 96 12 10 40 ระแงะ 14 12 48 จะแนะ 51 46 184 เจาะไอรอ้ ง รวม เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการวิจยั เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ครงั้ นี้ ผู้วิจยั ใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็น เคร่ืองมือในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู มีรายละเอียดดงั น้ี 1. แบบสอบถามการบริหารงานวิชาการ จานวน 2 ตอน ดงั น้ี ตอนท่ี 1 ข้อมูลท่ัวไปของผูต้ อบแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบ ตรวจสอบ รายการ (Check list) ประกอบดว้ ย เพศ วุฒิการศกึ ษา ตาแหนง่ ประสบการณใ์ น ตาแหน่ง ตอนท่ี 2 แบบสอบถามเก่ียวกับระดับการบรหิ ารงานวิชาการใน สถานศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 จานวน 5 ดา้ น มรี ายละเอียดดงั ต่อไปนี้
78 1) ด้านการพัฒนาหลักสตู รสถานศกึ ษา จานวน 6 ข้อ 2) ด้านการพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ จานวน 6 ข้อ 3) ด้านการวดั ผลประเมนิ ผลและเทยี บโอนผลการเรยี น จานวน 6 ขอ้ 4) ดา้ นการพฒั นาสอื่ นวัตกรรมและเทคโนโลยเี พื่อการศึกษา จานวน 6 ข้อ 5) ด้านการนเิ ทศภายใน จานวน 6 ข้อ โดยตอนที่ 2 เปน็ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดับ ของไลเคริ ท์ (Likert’s Five Rating Scale) ซ่ึงมคี วามหมาย ดงั นี้ ระดบั 5 หมายถึง การบริหารงานวิชาการอยู่ในระดบั มากท่สี ดุ ระดับ 4 หมายถึง การบริหารงานวชิ าการอยใู่ นระดบั มาก ระดบั 3 หมายถึง การบริหารงานวชิ าการอยใู่ นระดับปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง การบริหารงานวชิ าการอยู่ในระดบั นอ้ ย ระดับ 1 หมายถึง การบริหารงานวชิ าการอยู่ในระดบั น้อยทีส่ ดุ 2. แบบสอบถามเกี่ยวกับทกั ษะของผูเ้ รียนในศตวรรษที่ 21 ในสถานศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน สังกัดสานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 จานวน 5 ด้าน มี รายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ 1) ทกั ษะการคิดอยา่ งสร้างสรรค์ จานวน 4 ขอ้ 2) ทักษะการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณและการแก้ปัญหา จานวน 4 ขอ้ 3) ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี จานวน 6 ข้อ 4) ทักษะการส่อื สาร จานวน 4 ขอ้ 5) ทักษะชวี ิตและอาชพี จานวน 7 ข้อ โดยเป็นแบบสอบถามมาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดับ ของไลเคริ ท์ (Likert’s Five Rating Scale) ซึ่งมีความหมาย ดังนี้ ระดับ 5 หมายถงึ ทกั ษะของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 อยใู่ นระดบั มากท่ีสุด ระดับ 4 หมายถงึ ทักษะของผูเ้ รยี นในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับมาก ระดบั 3 หมายถึง ทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 อยูใ่ นระดบั ปานกลาง ระดับ 2 หมายถงึ ทักษะของผ้เู รยี นในศตวรรษท่ี 21 อยูใ่ นระดบั นอ้ ย ระดับ 1 หมายถึง ทกั ษะของผ้เู รยี นในศตวรรษท่ี 21 อยูใ่ นระดบั น้อยทสี่ ดุ
79 การสร้างเคร่ืองมือและหาคณุ ภาพเครอื่ งมือ เคร่อื งมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ผ้วู ิจยั ได้ดาเนินการสรา้ งแบบสอบถามเกีย่ วกับการ บริหารงานวิชาการทสี่ ่งผลทกั ษะของผ้เู รยี นในศตวรรษท่ี 21 ในสถานศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน สังกัด สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 โดยมขี นั้ ตอนการดาเนินการดงั น้ี 1. ศกึ ษารายละเอยี ดเก่ยี วกบั การบรหิ ารงานวชิ าการทีส่ ่งผลทกั ษะของผูเ้ รยี นใน ศตวรรษที่ 21 จากเอกสาร ตารา ผลการวิจัยต่าง ๆ เพอื่ เป็นแนวทางในการสรา้ งแบบสอบถาม 2. ดาเนินการสร้างแบบสอบถามให้ครอบคลุมเนื้อหาเกีย่ วกบั การบรหิ ารงานวิชาการ ท่สี ่งผลทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 ผูว้ ิจัยได้สังเคราะห์องคป์ ระกอบการบริหารงานวชิ าการ กับทกั ษะของผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 จากแนวคิดทฤษฎตี า่ ง ๆ และได้สรา้ งข้อคาถามตามกรอบ แนวคดิ และวตั ถปุ ระสงค์ของการวัดตามนยิ ามศพั ท์ กาหนดโครงสรา้ งแบบสอบถามที่จะใช้ใน การศึกษาแล้วนาสนออาจารยท์ ่ีปรกึ ษา 3. นาแบบสอบถามท่ีสรา้ งเสร็จเรยี บร้อยเสนออาจารย์ท่ีปรึกษาสารนิพนธ์ เพ่ือพิจารณาตรวจสอบความถูกตอ้ งและใหค้ าแนะนาเพ่ือมาปรบั ปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ย่งิ ขึ้น 4. นาแบบสอบถามที่สรา้ งขน้ึ ปรกึ ษาผเู้ ชี่ยวชาญ 3 ท่าน (ดรู ายละเอียดภาคผนวก ง) เพ่ือพจิ ารณาหาความเทีย่ งตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) ในการตรวจสอบความถกู ต้องของการ ใชค้ า การใช้คาถาม รายละเอยี ดในกรอบการวิจยั เพื่อให้มคี วามเหมาะสม แล้วนามาคานวณหาค่า ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง ระหว่างข้อคาถามกับลกั ษณะพฤติกรรม โดยเฉพาะพิจารณาเกณฑ์คะแนน ความเที่ยงตรงของเนื้อหาดังน้ี +1 แนใจวา่ ขอ้ คาถามนั้น สอดคลอ้ งตามประเดน็ หลักของเนอื้ หา 0 ไม่แนใ่ จขอ้ คาถามน้นั สอดคลอ้ งตามประเด็นหลกั ของเนอ้ื หา - 1 แนใ่ จวา่ ขอ้ คาถามนนั้ สอดคล้องตามประเด็นหลักของเน้ือหา 5. บนั ทึกผลการพจิ ารณาลงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญแต่ละทา่ นในแต่ละข้อ แลว้ หา ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผูเ้ ช่ยี วชาญทั้ง 3 ทา่ น เป็นรายขอ้ และแทนค่าสูตร IC ตามวธิ กี าร ของ Rovinelli และ Hambleton (1978 อ้างถงึ ใน ผ่องศรี วานิชยศ์ ภุ วงศ์, 2546) พร้อมทง้ั ขอ คาแนะนาในการปรับปรุงแบบสอบถามให้สมบูรณ์และชดั เจน งา่ ยต่อความเข้าใจของผ้ตู อบ แบบสอบถาม ผวู้ ิจยั คดั เลอื กข้อคาถามทีไ่ ดค้ ่าดัชนคี วามสอดคล้อง ตัง้ แต่คะแนน 0.67 ข้ึนไป และแก้ไขตามคาแนะนาของผู้เชยี่ วชาญ 6. นาแบบสอบถามที่ปรับปรงุ แก้ไขจนเสรจ็ สมบูรณ์ จดั พมิ พ์และนาไปทดลองใช้ (Try out) กับบุคลากรในสถานศกึ ษา สังกดั สานกั งานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานราธวิ าส เขต 3 ที่ไมใ่ ช่กลุม่ ตวั อย่างในการวจิ ัยครง้ั น้ี จานวน 30 คน แล้วนามาหาค่าความเชอื่ ม่นั (Reliability) ความเชือ่ มนั่ รายด้าน โดยใช้สูตรสัมประสทิ ธิแ์ อลฟา (Alpha coefficient)
80 (สุวมิ ล ติรกานนั ท์, 2555) ดา้ นการบรหิ ารงานวชิ าการและทกั ษะของผูเ้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 โดย ความเชือ่ มน่ั ทัง้ ฉบบั เทา่ กบั .984 7. นาแบบสอบถามท่ีผา่ นการตรวจสอบคุณภาพความเชอ่ื มน่ั แล้วเกบ็ ขอ้ มูลกับกลุ่ม ตัวอยา่ งต่อไป การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ผูว้ ิจยั ดาเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมลู ตามลาดบั ข้ันตอนดังน้ี 1. ผู้วจิ ัยทาหนังสือถึงหวั หนา้ ภาควชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี เพ่ือทาหนงั สือขอความรว่ มมอื จากผู้ตอบ แบบสอบถาม ในสถานศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน สงั กดั สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 เพ่ือขอความร่วมมอื ในการตอบแบบสอบถาม 2. ผวู้ จิ ัยดาเนนิ การสง่ แบบสอบถามถึงผอู้ านวยการโรงเรียน ในสงั กดั สานักงานเขต พ้ืนท่ีการศึกษาประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 ทเ่ี ป็นกลมุ่ ตัวอย่าง โดยผวู้ ิจยั ส่งแบบสอบถามเปน็ ลักษณะแบบสอบถามผา่ นระบบสานักงานอเิ ล็กทรอนกิ ส์ My Office ของสานกั งานเขตพนื้ ท่ี การศึกษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 3 พร้อมขอความรว่ มมือผตู้ อบแบบสอบถามให้ตอบกลบั ภายใน 2 สปั ดาห์ นบั ตง้ั แต่ไดร้ บั หนังสอื แจง้ 3. ผวู้ ิจยั นาแบบสอบถามท่ไี ดร้ บั กลบั คืนมา ตรวจสอบความถูกตอ้ งและครบถ้วน หากยังมขี อ้ ผดิ พลาด บกพร่อง จะไดเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มูลเพม่ิ เติมใหค้ รบถว้ น 4. ผ้วู จิ ยั นาแบบสอบถามท่ีได้รบั กลับคืน จานวน 184 ชุด คิดเป็นร้อยละ 100 ของแบบสอบถามทงั้ หมด ไปวิเคราะห์ทางสถิติของการบริหารงานวชิ าการที่ส่งผลต่อทกั ษะของ ผูเ้ รยี นในศตวรรษที่ 21 ในสถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน สงั กดั สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษา นราธวิ าส เขต 3 เพือ่ นาไปสรปุ ผลและอภปิ รายผลการวิจัย
81 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู การวิจัยคร้ังนี้ ผูว้ ิจยั ดาเนินการวเิ คราะหข์ อ้ มูลเพื่อหาคา่ สถติ ิต่าง ๆ โดยใช้ โปรแกรมสาเรจ็ รูปทางสถิติ เพ่ือประมวลผลและหาค่าสถิติ ซงึ่ มขี ัน้ ตอนในการดาเนนิ การ ดงั นี้ 1. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถาม และคัดเลอื กเฉพาะแบบสอบถามทมี่ ี ความสมบรู ณ์ 2. วิเคราะหข์ ้อมูลเกีย่ วกับการบรหิ ารงานวิชาการ ในสถานศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน สงั กดั สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 เป็นคาถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) โดยการหาคา่ เฉลีย่ เลขคณติ (x)̅ และหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD.) เป็นรายด้าน และรายขอ้ บรรยายประกอบตารางเกณฑก์ ารแปลความหมายคา่ เฉลย่ี โดยใช้เกณฑส์ มั บูรณใ์ นการ แปลความหมาย (พวงรัตน์ ทวรี ัตน์, 2543) โดยแปลความหมาย ดงั น้ี ค่าเฉลีย่ 4.51 - 5.00 หมายถงึ การบริหารงานวิชาการอยใู่ นระดบั มากทีส่ ดุ ค่าเฉล่ยี 3.51 - 4.50 หมายถึง การบริหารงานวชิ าการอยู่ในระดบั มาก ค่าเฉล่ีย 2.51 - 3.50 หมายถึง การบรหิ ารงานวชิ าการอยู่ในระดบั ปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 - 2.50 หมายถึง การบรหิ ารงานวชิ าการอยใู่ นระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.50 หมายถึง การบรหิ ารงานวิชาการอยใู่ นระดบั น้อยทสี่ ุด 3. วเิ คราะห์ขอ้ มูลเกย่ี วกับทักษะของผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 ในสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน สงั กัดสานกั งานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 3 โดยการหาค่าเฉลย่ี เลขคณิต (x)̅ และหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เป็นรายด้านและรายข้อ บรรยายประกอบตารางเกณฑ์การ แปลความหมายค่าเฉลี่ย โดยใชเ้ กณฑ์สัมบูรณใ์ นการแปลความหมาย (พวงรตั น์ ทวีรัตน์, 2543) โดย แปลความหมายดังน้ี ค่าเฉลย่ี 4.51 - 5.00 หมายถึง ทกั ษะของผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 อย่ใู นระดบั มากที่สุด ค่าเฉล่ีย 3.51 - 4.50 หมายถงึ ทักษะของผ้เู รียนในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดบั มาก คา่ เฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถงึ ทักษะของผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 อย่ใู นระดับปานกลาง คา่ เฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถงึ ทกั ษะของผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 อยใู่ นระดับนอ้ ย ค่าเฉล่ีย 1.00 – 1.50 หมายถึง ทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 อย่ใู นระดับนอ้ ยทส่ี ดุ 4. วเิ คราะหค์ ่าสมั ประสทิ ธสิ์ หสัมพันธ์แบบเพยี รส์ ัน (Pearson's Product Moment Correlation Coefficient) ระหว่างการบริหารงานวิชาการกบั ทกั ษะของผเู้ รยี นใน ศตวรรษท่ี 21 ในสถานศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน สังกดั สานักงานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 3 สาหรับเกณฑ์การแปลความหมายคา่ สมั ประสิทธิส์ หสัมพนั ธ์ ใช้เกณฑ์ในการแปลความหมาย (พวงรตั น์ ทวีรัตน์, 2543) ดงั นี้
82 .80 ขน้ึ ไป หมายถึง มคี วามสัมพันธ์กันในระดบั สงู .60-.79 หมายถงึ มีความสัมพันธ์กันในระดบั ค่อนข้างสูง .40-.59 หมายถงึ มคี วามสัมพนั ธ์กันในระดบั ปานกลาง .20-.39 หมายถึง มีความสัมพันธ์กนั ในระดบั คอ่ นข้างตา่ .20 หมายถึง มคี วามสมั พันธก์ ันในระดบั ตา่ 5. วิเคราะหต์ วั แปรพยากรณข์ องการบรหิ ารงานวิชาการกับทกั ษะของผูเ้ รียนใน ศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษาข้นั พื้นฐาน สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษานราธวิ าส เขต 3 โดยวิธีสร้างสมการพยากรณ์ โดยการวเิ คราะห์การถดถอยพหุคณุ แบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Coefficient) สถิติทีใ่ ชใ้ นการวิจยั 1. สถติ ิทีใ่ ช้ในการตรวจสอบคณุ ภาพของเครอื่ งมือ 1.1 หาความเทยี่ งตรงตามเน้ือหา (Content validity) ของแบบสอบถามโดยใช้สูตร (Rovinelli & Hambleton, 1978 อ้างถงึ ในพวงรตั น์ ทวีรตั น์, 2540) โดยใช้สตู ร IC= ∑R N เมื่อ IC แทน ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งข้อคาถามกบั ประเด็นหลกั ของ เนือ้ หา ∑R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผเู้ ชยี่ วชาญ N แทน จานวนผเู้ ชย่ี วชาญ 1.2 หาความเช่อื ม่ัน (Reliability) ของแบบสอบถามใช้สูตรการหาค่า สัมประสิทธิ์ แอลฟา (Alpha-Coefficient) ตามวิธขี องครอนบาค (Cronbach, 1990 อ้างถึงใน พวงรตั น์ ทวีรตั น์, 2540) โดยใช้สตู ร ∝ = k [1- ∑sst22i ] (k-1)
83 เมอ่ื ∝ แทน คา่ สมั ประสทิ ธแ์ิ อลฟา k แทน จานวนข้อของเคร่ืองมือ ∑si2 แทน ผลรวมคะแนนความแปรปรวนเป็นรายข้อ s2i แทน ความแปรปรวนของคะแนนแตล่ ะขอ้ st2 แทน คะแนนความแปรปรวนของเครอ่ื งมือท้ังฉบบั 2. สถิติทใี่ ช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 2.1. หาค่าเฉลีย่ (Mean) ใช้สตู ร Ferguson (Ferguson, 1981 อา้ งถึงในพสิ ณุ ฟองสี, 2549) ดงั น้ี x̅= ∑in=1 xi n เม่อื x̅ แทน คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง ∑ni=1 xi แทน ผลรวมตวั เลขหรือคา่ คะแนนแต่ละตัว n แทน จานวนทัง้ หมดในกลุ่มตวั อย่าง 2.2. หาคา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตร Ferguson (Ferguson, 1981 อ้างถงึ ในพิสณุ ฟองสี, 2549) ดังน้ี S.D.= √∑ni=1(xi-x)̅ 2 n-1 เมื่อ S.D. แทน คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน x̅ แทน ค่าเฉลี่ยของกล่มุ ตัวอยา่ ง xi แทน คา่ ตัวเลขหรอื ค่าคะแนนในแตล่ ะข้อ n แทน จานวนทงั้ หมดในกลุ่ม 2.3. หาค่าสัมประสทิ ธส์ิ หสัมพันธอ์ ย่างง่ายแบบเพยี ร์สัน Pearson's Product Moment Correlation Coefficient (พวงรัตน์ ทวรี ัตน์, 2540) โดยใช้สูตร ดงั นี้
84 rxy= N∑XY-(∑X)(∑Y) ] √[N∑X2-(∑X)2][N∑Y2-(∑Y)2 เม่ือ rxy แทน คา่ สัมประสิทธ์ิสหสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปร x กับ ตวั แปร y N แทน จานวนคนหรือจานวนคู่ของข้อมลู ∑X แทน ผลรวมของคะแนนตัวแปร x ∑Y แทน ผลรวมของคะแนนตวั แปร y ∑X2 แทน ผลรวมของกาลงั สองของคะแนนตวั แปร x ∑Y2 แทน ผลรวมของกาลังสองของคะแนนตัวแปร y ∑XY แทน ผลรวมของผลคณู ของคะแนนตัวแปร x กบั คะแนนของตัวแปร y 2.4. ทดสอบนัยสาคญั ของค่าสมั ประสิทธสิ์ หสมั พนั ธ์ (r) โดยการทดสอบค่าที (t- test) ใช้สูตร ดงั น้ี (อ้างถงึ ในชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550) t= r√N-2 1-r2 เม่ือ t แทน คา่ ของการแจกแจงแบบที (t-Distribution) r แทน ค่าสัมประสทิ ธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน N แทน จานวนคนในกลุ่มตัวอยา่ ง 2.5. ค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพนั ธพ์ หคุ ณู (Multiple Correlation Coefficient) โดยใชส้ ูตร (อา้ งถึงในชศู รี วงศ์รตั นะ, 2550) ดงั นี้ R12…k.y = β1ry1+β2ry2+β3ry3+...+βkryk เม่อื R12…k.y แทนคา่ สมั ประสิทธส์ิ หสมั พนั ธพ์ หุคูณระหว่างตวั แปรเกณฑ์ (y) กับตัว แปรพยากรณ์ (1),(2),(3),…,(k)
85 2.6. การทดสอบนยั สาคญั ของค่าสมั ประสทิ ธิส์ หสัมพันธพ์ หุคณู (R) ใช้การ ทดสอบคา่ เอฟ (F-test) โดยใชส้ ูตร ดังน้ี (อ้างถึงในชศู รี วงศ์รตั นะ, 2550) F = R2 N-k-1 (1-R2) ( K ) เมอื่ F แทน ค่าแจกแจงของคา่ F R แทน ค่าสัมประสิทธิส์ หสมั พันธพ์ หคุ ณู N แทน จานวนส่งิ ทีศ่ ึกษา K แทน จานวนพยากรณ์ 2.7 สร้างสมการถดถอยเพ่ือพยากรณ์ตวั แปรตามโดยการวเิ คราะหก์ ารถดถอย พหุคูณแบบขัน้ ตอน (Stepwise Multiple Regression Coefficient) (อ้างถงึ ในชศู รี วงศ์รตั นะ, 2550) ดงั นี้ สมการพยากรณใ์ นรูปคะแนนดิบ Ŷ = a+b1X1+b2X2+...+bkXk เมอื่ Ŷ แทน คะแนนพยากรณข์ องตัวเกณฑ์ (ตัวแปรตาม) a แทน ค่าคงท่ีของสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ b1b2, … , bk แทน ค่าสมั ประสิทธก์ิ ารถดถอยของตวั แปรอิสระตวั ท่ี 1 ถงึ k X1X2,…,Xk แทน ค่าของตัวแปรอิสระตวั ที่ 1 ถึง k ตามลาดบั K แทน จานวนตวั พยากรณ์ (ตวั แปรอิสระ) รูปแบบสมการพยากรณใ์ นรูปคะแนนมาตรฐาน Ẑ = β1Z1+β2Z2+β3Z3+...+βkZk เมือ่ Ẑ แทน คะแนนพยากรณใ์ นรปู ของคะแนนมาตรฐาน β1, β2, … , βk แทน สัมประสิทธกิ์ ารถดถอยในรปู ของคะแนนมาตรฐานของ ตัวพยากรณต์ ัวที่ 1 ถึงตัวท่ี k ตามลาดบั
86 Z1, Z2, … , Zk แทน คะแนนมาตรฐานของตัวพยากรณ์ (ตวั แปรอสิ ระ) ตัวท่ี 1 ถงึ ตัวที่ k ตามลาดับ k แทน จานวนตัวพยากรณ์
87 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล การวิจัยเรอ่ื ง การบริหารงานวชิ าการท่สี ง่ ผลตอ่ ทักษะของผ้เู รียนในศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษาข้นั พน้ื ฐาน สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 ผวู้ ิจัยได้ เสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ตามลาดับนี้ การเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ตอนที่ 1 การวิเคราะหข์ อ้ มูลท่วั ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม ตอนท่ี 2 การวเิ คราะห์ข้อมูลตามวตั ถุประสงค์และสมมติฐานของการวจิ ัย ดังน้ี 2.1 วิเคราะห์ข้อมลู เพอ่ื ศึกษาระดบั การบรหิ ารงานวชิ าการในสถานศกึ ษา ข้นั พื้นฐาน สงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 โดยการหาคา่ เฉล่ยี เลข คณติ (Arithmetic Mean) และคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2.2 วเิ คราะห์ข้อมลู เพือ่ ศึกษาระดบั ทกั ษะของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 ในสถานศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐานสงั กัด สานกั งานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 โดยการ หาคา่ เฉล่ยี เลขคณติ (Arithmetic Mean) และคา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2.3 วิเคราะหข์ อ้ มลู เพอ่ื ศกึ ษาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งการบรหิ ารงานวชิ าการ กบั ทักษะของผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 ในสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน สังกดั สานักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษา ประถมศกึ ษาในจงั หวดั นราธวิ าส 2.4 เพอ่ื คน้ หาตวั พยากรณ์ท่ีใช้ในการพยากรณ์ทักษะของผู้เรียนใน ศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน สงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 3 สัญลักษณท์ ี่ใชใ้ นการนาเสนอผลวเิ คราะห์ขอ้ มูล X หมายถึง ค่าเฉลี่ยเลขคณิต SD. หมายถงึ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน r หมายถึง ค่าสัมประสิทธส์ิ หสัมพนั ธ์ 87
88 R หมายถึง คา่ สมั ประสทิ ธิ์สหสมั พันธพ์ หคุ ูณ a หมายถึง คา่ คงท่ขี องสมการพยากรณ์ในรปู คะแนนดบิ b หมายถึง ค่าสัมประสทิ ธกิ์ ารถดถอยของตวั พยากรณร์ ูปของคะแนนดบิ β หมายถึง คา่ สมั ประสทิ ธก์ิ ารถดถอยในรปู ของคะแนนมาตรฐาน S.E. หมายถงึ คา่ ความคลาดเคลือ่ นของสมั ประสิทธิ์การถดถอยของตัวพยากรณ์ มาตรฐาน S.EEST หมายถึง ค่าความคลาดเคลอ่ื นมาตรฐานของการทานาย R2 หมายถึง ค่าสัมประสิทธขิ์ องการพยากรณจ์ ากสหสมั พนั ธ์พหคุณ R2change หมายถงึ ค่าสมั ประสิทธ์ขิ องการพยากรณ์ท่ีเปลย่ี นไปจากเดิมเมอ่ื เพิม่ ตัว พยากรณท์ ลี่ ะตัว X1 หมายถงึ การบรหิ ารงานวิชาการด้านการพัฒนาหลกั สตู รสถานศึกษา X2 หมายถึง การบรหิ ารงานวชิ าการด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ X3 หมายถึง การบรหิ ารงานวชิ าการดา้ นการวัดผลประเมนิ ผลและเทียบโอนผล การเรยี น X4 หมายถึง การบรหิ ารงานวิชาการด้านการพฒั นาสอ่ื นวัตกรรมและ เทคโนโลยเี พือ่ การศกึ ษา X5 หมายถงึ การบรหิ ารงานวิชาการดา้ นการนเิ ทศการศึกษา Xรวม หมายถงึ การบริหารงานวิชาการโดยภาพรวม Yรวม หมายถงึ ทกั ษะของผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 โดยภาพรวม ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู จากกลุ่มตวั อยา่ งจานวน 184 คน แบง่ เป็นผบู้ ริหารสถานศกึ ษา 46 คน และหัวหนา้ บริหารวชิ าการ 46 คน ตัวแทนครผู ู้สอนช่วงช้ันที่ 1 จานวน 46 คน และตัวแทนครผู สู้ อนชว่ งชัน้ ท่ี 2 จานวน 46 คน มีผู้ตอบแบบสอบถามส่งคืนกลบั มา จานวน 184 ชดุ คิดเป็นร้อยละ 100 ของ แบบสอบถามทงั้ หมด ซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วจิ ยั ไดน้ าเสนอตามวัตถปุ ระสงค์และสมมติฐานดังน้ี 1. ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลท่ัวไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม จาแนกข้อมูลตาม ตาแหน่ง วุฒกิ ารศึกษา และประสบการณ์ในการทางานปรากฏผลดงั ตาราง 2
89 ตาราง 2 จานวนและร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจาแนกตามตาแหนง่ วุฒิการศึกษา และ ประสบการณ์ในการทางาน ขอ้ มูลทว่ั ไป จานวน ร้อยละ 1.เพศ ชาย 77 41.80 หญิง 107 58.20 รวม 184 100.00 2.วุฒกิ ารศกึ ษา ระดับปริญญาตรี 109 59.20 ระดบั สูงกวา่ ปริญญาตรี 75 40.80 รวม 184 100.00 3.ตาแหน่ง ผู้อานวยการสถานศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน 46 25.00 หวั หน้างานวชิ าการ 46 25.00 ครผู ูส้ อนชว่ งชัน้ ที่ 1 46 25.00 ครผู สู้ อนชว่ งช้นั ท่ี 2 46 25.00 รวม 184 100.00 4.ประสบการณใ์ นการทางาน ตากวา่ 5 ปี 31 16.80 5-10 ปี 67 36.50 11 ปีข้ึนไป 86 46.70 รวม 184 100.00 จากตาราง 2 พบวา่ ผูต้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญงิ 107 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 58.20 เปน็ เพศชาย 77 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 41.80 มีวุฒิการศึกษาส่วนใหญร่ ะดบั ปรญิ ญาตรี 109 คน คิดเป็นร้อยละ 59.20 ระดับสงู กว่าปรญิ ญาตรี 75 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 40.80 เป็นตาแหนง่ ผู้บริหารสถานศกึ ษา 46 คนคิดเปน็ ร้อยละ 25 ตาแหนง่ หวั หนา้ งานวชิ าการ 46 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 25 ตาแหน่งครผู ู้สอนช่วงช้นั ท่ี 1 46 คน คิดเป็นร้อยละ 25 และตาแหนง่ ครผู ู้สอนช่วงชนั้ ท่ี 2 46 คน คิดเปน็ ร้อยละ 25 ประสบการณใ์ นตาแหนง่ สว่ นใหญ่ 11 ปีขึน้ ไป 86 คน คิดเป็นร้อยละ 46.70
90 ประสบการณใ์ นตาแหน่ง 5-10 ปี 67 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 36.40 ประสบการณ์ในตาแหน่งต่ากวา่ 5 ปี 31 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 16.80 2. การวเิ คราะหข์ อ้ มูลระดับการบรหิ ารงานวิชาการในสถานศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน สังกดั สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 โดยภาพรวมและรายด้าน ปรากฏผล ดังน้ี 2.1 ผลวเิ คราะห์ข้อมลู ระดับการบรหิ ารงานวิชาการในสถานศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานราธวิ าส เขต 3 โดยภาพรวมและรายดา้ น ปรากฏผลดงั ตาราง 3 ตาราง 3 ค่าเฉลย่ี ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐานและระดับการบรหิ ารงานวิชาการในสถานศึกษาข้ันพน้ื ฐาน สงั กัดสานักงานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศึกษานราธวิ าส เขต 3 โดยภาพรวมและรายดา้ น ด้านที่ การบริหารงานวิชาการ X SD. ระดับการ ดาเนนิ การ 1 การพัฒนาหลกั สตู รสถานศึกษา 4.56 0.39 มากทส่ี ุด 2 การพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ 4.63 0.36 มากทีส่ ุด 3 การวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการ เรยี น 4.59 0.36 มากท่ีสดุ 4 การพฒั นาสอื่ นวตั กรรม และเทคโนโลยีเพ่ือ การศึกษา 4.56 0.44 มากที่สดุ 5 การนเิ ทศภายใน 4.62 0.38 มากทส่ี ุด รวม 4.60 0.34 มากทส่ี ดุ จากตาราง 3 พบวา่ การบรหิ ารงานวิชาการในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สงั กัด สานกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มากท่ีสุด เมื่อ พิจารณาเป็นรายด้าน พบวา่ อยู่ในระดบั มากที่สดุ ทกุ ดา้ น โดยด้านการพัฒนากระบวนการเรยี นรู้มี ค่าเฉลีย่ สูงท่สี ุด ส่วนดา้ นการพัฒนาหลกั สตู รสถานศึกษาและดา้ นการพัฒนาส่อื นวัตกรรม และ เทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษามีค่าเฉลย่ี ต่าท่ีสุด เมื่อพจิ ารณาเปน็ รายด้านปรากฏผลดังนี้
91 2.2 ผลการวิเคราะหร์ ะดับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน สังกัด สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 ดา้ นการพฒั นาหลักสตู ร สถานศกึ ษา ปรากฏผลดงั ตาราง 4 ตาราง 4 ค่าเฉล่ยี คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐานและระดบั การบรหิ ารงานวิชาการในสถานศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน สงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 ด้านการพฒั นา หลกั สูตรสถานศกึ ษาโดยภาพรวมและรายข้อ ดา้ นท่ี การบรหิ ารงานวิชาการ X SD. ระดบั การ ด้านการพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษา ดาเนินการ 1 สถานศึกษามีการวิเคราะห์เอกสารหลักสูตร แกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน เพ่ือกาหนด วสิ ัยทัศน์ ภารกจิ เป้าหมาย คุณลกั ษณะอันพึง ประสงคข์ องหลักสูตร 4.64 0.48 มากท่สี ดุ 2 สถานศกึ ษารว่ มกับคณะกรรมการสถานศกึ ษา ขัน้ พ้นื ฐานมกี ารวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และ ประเมินสถานภาพสถานศกึ ษา เพ่ือกาหนด วิสัยทัศน์ ภารกจิ เป้าหมาย คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ของหลักสูตร 4.59 0.60 มากทส่ี ุด 3 สถานศึกษาจัดทาโครงสร้างและสาระของ หลักสตู รที่สอดคล้องกบั วิสยั ทัศน์ เป้าหมาย และคุณลักษณะอนั พึงประสงคข์ องสถานศึกษา 4.58 0.61 มากที่สุด 4 สถานศึกษานาหลกั สูตรไปใช้ในการจัดการ เรียนรู้ และบรหิ ารจัดการการใช้หลกั สูตรให้ เหมาะสม 4.60 0.54 มากที่สุด 5 สถานศึกษามีการติดตามและประเมนิ ผลการ ใช้หลักสูตร 4.50 0.62 มาก 6 สถานศึกษานาผลการประเมินหลกั สูตรมา ปรับปรงุ และพัฒนาหลักสูตร 4.47 0.62 มาก รวม 4.56 0.39 มากที่สดุ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158