แนวปฏิบัติในการปอ้ งกนั และคุม้ ครองเดก็ สาหรับองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควดิ -19 เนอื้ หาเรียบเรียงและทบทวนโดย กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมั่นคงของมนษุ ย์ กรมสง่ เสรมิ การปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ กระทรวงมหาดไทย กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสขุ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร องคก์ ารยูนิเซฟประเทศไทย สนับสนนุ งบประมาณจดั พมิ พ์โดย องค์กรเพ่ือการพัฒนาระหวา่ งประเทศของสหรฐั อเมริกา (USAID)
แนวปฏบิ ตั ิในการป้องกนั และคุม้ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโควิด-19 ก คานา สืบเน่ืองจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ซ่ึงองค์การอนามัยโลก (World Health Organization – WHO) ได้ออกแถลงการณ์ประกาศให้การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นการระบาดใหญ่ (Pandemic) หลังมีการแพร่กระจายเช้ืออย่างกว้างขวางในหลายประเทศท่ัวโลก รวมถึงประเทศไทย ได้ส่งผลกระทบวง กว้างท้ังดา้ นสาธารณสขุ เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง ตลอดจนการดารงชีวิตของประชาชน ตั้งแต่ระดับจังหวัดไปจนถึง ระดับตาบล ชุมชนท่ีห่างไกล ส่งผลให้เด็กได้รับผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม และไม่อาจขอความช่วยเหลือได้ เหมอื นเช่นสถานการณ์ปกติ องคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นส่วนงานสาคญั ที่อยู่ใกล้ชดิ เด็กและครอบครัวมากที่สุด และมีความรู้ ความเข้าใจ ต่อสถานการณ์การคุ้มครองเด็กและเยาวชนในพื้นท่ีของตนเองมากกว่าผู้อ่ืน จึงเป็นกลไกสาคัญที่ใช้ขับเคลื่อนงานด้าน คุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กในชุมชน เพราะสามารถเข้าถึงตัวเด็กเพื่อให้ความช่วยเหลือ หรือคุ้มครองเด็กให้ปลอดภัยได้ อย่างรวดเรว็ “แนวปฏบิ ตั ิในการปอ้ งกันและคุม้ ครองเด็กสาหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด- 19” ฉบับนี้ ได้มีการพัฒนาข้ึนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเป็นแนวทางให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในการดูแล ปกป้องคุ้มครองเด็กในพ้ืนท่ีได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และเพื่อรองรับ ผลกระทบท่ีเกิดกบั เดก็ และครอบครวั ในช่วงของการฟ้นื ฟชู ุมชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย หวังเป็นอย่างย่ิงว่า แนวปฏิบัติฉบับน้ีจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติงานในองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น เพ่ือให้เด็กได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างเหมาะสม ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2546 ตอ่ ไป มิถนุ ายน 2563
ข แนวปฏิบตั ใิ นการปอ้ งกนั และคุม้ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 สารบญั 1. การคมุ้ ครองเดก็ ในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 1 2. องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ กับกลุม่ เดก็ และครอบครัวที่ต้องการการคมุ้ ครองเด็ก จากผลกระทบของโควิด-19 3 3 2.1 บทบาทขององค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ ในการคุ้มครองเด็ก 4 2.2 บทบาทขององค์กรอื่นท่ีเกยี่ วขอ้ งในงานคมุ้ ครองเด็ก 4 2.3 กลมุ่ เดก็ และครอบครวั ท่ตี ้องการการคมุ้ ครองจากผลกระทบของโควดิ -19 6 3. การเตรียมความพร้อมในการดแู ลคุ้มครองเดก็ 6 3.1 การวางแผน 6 7 3.1.1 การกาหนดบคุ ลากร 8 3.1.2 การสร้างระบบเครอื ขา่ ย 8 3.1.3 การจัดทาระบบข้อมลู 10 3.2 การใหค้ วามรู้ 10 3.3 แนวทางการทางานรว่ มกับหน่วยงานภายนอก 12 3.4 แนวปฏบิ ัติสาหรับเจ้าหนา้ ที่และเครอื ข่ายในการลงพ้นื ที/่ เย่ยี มบา้ น 12 4. การป้องกนั และคน้ หากลุ่มเสยี่ ง 12 4.1 การสนบั สนุนคา่ นิยมและพฤตกิ รรมท่ีช่วยดแู ลคุม้ ครองเดก็ 12 4.2 อปท กับการจัดบรกิ ารทมี่ ีความจาเปน็ ใหแ้ ก่เด็กและครอบครัว 13 4.2.1 การดแู ลช่วยเหลือดา้ นความเป็นอยูข่ องครอบครัวทไี่ ด้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ 14 4.2.2 การดูแลสภาวะทางจติ สงั คมของเดก็ 14 4.2.3 การดูแลสภาวะทางจติ สังคมของผดู้ ูแลเด็ก/ครอบครวั 15 4.2.4 การฟืน้ ฟูบรกิ ารปกติของทอ้ งถน่ิ 16 4.3 การจัดให้มแี ละประชาสัมพันธช์ อ่ งทางการแจง้ เหตุ 18 4.4 การระบคุ น้ หาเด็กและครอบครัวทีม่ คี วามเส่ยี ง 18 5. การช่วยเหลอื เดก็ และครอบครัวกลมุ่ เสี่ยง 18 5.1 การช่วยเหลอื ตามระดบั ความเสย่ี ง 18 5.1.1 กรณมี คี วามเสยี่ งระดับตา่ (สีเขียว) 18 5.1.2 กรณมี ีความเสีย่ งระดับปานกลาง (สเี หลือง) 5.1.3 กรณมี คี วามเส่ยี งระดบั สงู (สแี ดง)
แนวปฏบิ ัติในการปอ้ งกันและคุ้มครองเดก็ สาหรบั องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโควดิ -19 ค สารบัญ 5.2 การจดั การเล้ยี งดทู ดแทนสาหรับเดก็ 20 5.3 การตดิ ตามดูแลกลุ่มเด็กและครอบครวั ทมี่ คี วามเปราะบาง 20 ภาคผนวก 22 23 ภาคผนวก 1 กล่มุ เด็กและครอบครัวท่ีต้องการการคุ้มครองจากผลกระทบของโควดิ -19 ภาคผนวก 2 แนวการประเมินตนเองด้านการดูแลคุ้มครองเด็กเพื่อรองรับสถานการณ์โควิด-19 สาหรับองค์กร ภาคผนวก 3 ตัวอย่างหน่วยงานให้บรกิ ารดูแลค้มุ ครองเดก็ 24 รายละเอยี ดการตดิ ตอ่ บ้านพกั เดก็ และครอบครวั 26 30 ภาคผนวก 4 ตัวอยา่ งแบบทะเบียนการเก็บขอ้ มูลกรณีการใช้ความรนุ แรงต่อเด็ก 31 ภาคผนวก 5 ความเสี่ยงเพ่ิมขึ้นด้านความรุนแรง การถูกทอดท้ิง และการถูกแสวง ประโยชน์ ในช่วงการควบคุม ภาคผนวก 6 ประเภทของการใช้ความรุนแรง/การปล่อยปละละเลย/แสวงประโยชน์ต่อเด็ก และผลกระทบท่ี 32 ภาคผนวก 7 แนวปฏิบัติการคัดกรองและช่วยเหลือเด็ก จากคู่มือ “แนวปฏิบัติการพัฒนาระบบคุ้มครองเด็กระดับ 42 ภาคผนวก 8 มาตรฐานสากลแนวปฏบิ ตั ดิ ้านการเลย้ี งดทู ดแทนสาหรับเดก็ แห่งสหประชาชาติ 43 ภาคผนวก 9 ตัวอยา่ งส่อื สาหรับดแู ลจิตสังคมของเดก็ 44 ภาคผนวก 10 ตัวอย่างสอ่ื สาหรับดูแลจิตสงั คมของผู้ดูแล 45 ภาคผนวก 11 ตวั อยา่ งสอื่ ประชาสมั พนั ธช์ อ่ งทางการเขา้ ถงึ บรกิ ารคุ้มครองเดก็ 46 ภาคผนวก 12 แบบคัดกรองเพ่ือสนับสนุนการเลี้ยงดูเด็กตามมาตรฐานข้ันต่า (Child Maltreatment Surveil- 47 ภาคผนวก 13 รายละเอียดของ “แบบคดั กรองเพื่อสนับสนุนการเลย้ี งดูเด็กตามมาตรฐานขัน้ ต่า” 53
1 แนวปฏบิ ตั ิในการปอ้ งกนั และคุ้มครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 1. การคุม้ ครองเด็ก ในสถานการณ์การระบาดของโควดิ -19 การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุใหม่หรือโรคโควิด-19 (COVID-19) ได้รับการประกาศจากองค์การอนามัย โลก (World Health Organization - WHO) ให้เปน็ “ภาวะการแพรร่ ะบาดใหญ่ระดับโลก” (Pandemic) ภายหลังจาก ท่ีมกี ารแพร่ระบาดไปยังประเทศต่าง ๆ ทว่ั โลก รวมถึงประเทศไทย และมีแนวโน้มจะรุนแรงและขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีผลกระทบตง้ั แตร่ ะดับจงั หวดั ไปจนถงึ ระดับตาบล และชมุ ชนทห่ี า่ งไกล ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ท่ีเกิดขึ้นกับเด็กและครอบครัวมีท้ังที่ส่งผลในระยะสั้น ซึ่งรวมถึง ความวิตกกังวล ต่อการติดโรค การเจบ็ ปว่ ยตอ้ งเข้ารบั การรักษาพยาบาล การหยดุ ให้บริการบางอย่าง เช่น โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก การถูก จากัดการออกจากบ้าน และผลกระทบในระยะยาว เช่น การเสียชีวิตจากโรคระบาด การตกงานและขาดความมั่นคงทาง เศรษฐกิจ ฯลฯ ซ่ึงล้วนมีผลต่อความสามารถในการจัดการและความเครียดท่ีเกิดขึ้นภายในครอบครัว ทาให้เกิดความ เสีย่ งต่อความเปน็ อยูท่ ่ีดขี องตวั เดก็ ครอบครัวและชุมชนได้ 1.1 ผลกระทบด้านการคุ้มครองเด็ก ทอ่ี าจเกิดข้ึนในชว่ งของการระบาดของโควิด-19 • ผลกระทบต่อตัวเด็ก - เด็กได้รับผลกระทบทางจิตใจ/พัฒนาการ รวมถึงมีความเสี่ยงต่อการเล้ียงดูท่ีไม่ เหมาะสมเพม่ิ มากขน้ึ ท้งั การปล่อยปละละเลย การใช้ความรุนแรง (ท้ังต่อเด็กและระหว่างคนในครอบครัว) และการแสวงประโยชน์จากเดก็ หรอื การขาดผ้ดู ูแล • ผลกระทบต่อผูด้ แู ล – ผลกระทบทางความเครียด (กงั วลในการตดิ โรค) และดา้ นสภาวะเศรษฐกิจ • ผลกระทบตอ่ ชมุ ชน – ในสภาวการณข์ องโรคระบาด อาจเกดิ ความไมไ่ วเ้ นอื้ เชอ่ื ใจในชมุ ชน สง่ิ ของขาดแคลน มี ขอ้ จากดั ในการเขา้ ถงึ บริการ/ พ้ืนทกี่ ารศึกษา-เล่น สาหรบั เดก็ และมีการเลือกปฏบิ ตั กิ ับคนบางกลุม่
แนวปฏิบัตใิ นการปอ้ งกนั และคุ้มครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโควิด-19 2 สง่ิ ท่ีต้องคานงึ ถงึ ในการดแู ลคมุ้ ครองเด็ก • การทางานเชิงลึก เพ่อื ให้ความรูก้ ับเด็ก ครอบครวั และชุมชน เพือ่ ลดผลกระทบเชงิ ลบท่อี าจเกดิ ข้ึน • การทางานรว่ มกับเครอื ขา่ ยเพือ่ สอดส่องความเป็นอย่ขู องเด็กและครอบครัวในพื้นที่ • มาตรการดแู ลดา้ นจิตสังคมสาหรับครอบครัวและเด็ก ทีม่ ีความเหมาะสมตามชว่ งวยั • มาตรการรกั ษาความสัมพันธร์ ะหว่างเดก็ และครอบครวั หากเด็กถูกแยกจากครอบครวั • มาตรการดูแลไม่ให้เกิดการใช้ความรนุ แรงระหวา่ งเดก็ หรือกับเด็ก ในชว่ งภาวะท่ีมคี วามเครียด ขณะนี้เด็กทั่วโลกหลายร้อยล้านคนกาลังเผชิญความเส่ียงเพิ่มข้ึนหลายด้านในช่วงการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส โควดิ -19 เชน่ การปลอ่ ยปละละเลย การถูกละเมิด ความรุนแรง การถูกแสวงประโยชน์ การถูกกีดกันจากสังคม รวมถึง การถูกแยกจากผู้ปกครอง องค์กรยูนิเซฟ ประเทศไทย ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธกิ าร จึงได้พฒั นา “แนวปฏิบัติในการดูแลคุ้มครองเด็กท่ี ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 สาหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเป็น แนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถดูแลปกป้องคุ้มครองเด็กในพื้นท่ีได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้การแพร่ ระบาดของโควดิ -19 และเพ่ือรองรบั ผลกระทบที่เกิดกบั เด็กและครอบครวั ในชว่ งของการฟ้นื ฟชู ุมชน
3 แนวปฏิบัตใิ นการปอ้ งกนั และค้มุ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 2. องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่นกับกลมุ่ เดก็ และครอบครวั ท่ีต้องการการคมุ้ ครองเดก็ จากผลกระทบของโควดิ -19 2.1 บทบาทขององคก์ รปกครองส่วนท้องถิน่ ในการคมุ้ ครองเดก็ ในช่วงทศวรรษท่ีผ่านมามีหลายหน่วยงานตระหนักถึงการคุ้มครองและส่งเสริมเด็กและเยาวชน เพ่ือสร้างคนรุ่นใหม่ที่มี คุณภาพ อันจะเป็นกาลังสาคัญในการพัฒนาบ้านเมืองต่อไป โดยเฉพาะในส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีบทบาท สาคัญต่อการพัฒนาและปกป้องคุ้มครองเด็ก เร่ิมให้ความสาคัญกับเด็กและเยาวชนมากขึ้นเนื่องจากเป็นการลงทุนเพ่ือ สร้างประชากรที่มีคุณภาพให้กับพ้ืนที่ระยะยาว กฎหมายที่กาหนดอานาจและหน้าท่ีขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินใน การคุม้ ครองเดก็ ได้แก่ • รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 250 กาหนดอานาจและหน้าท่ีขององค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ิน ในการดูแลและจัดทาบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพ่ือประโยชน์ของ ประชาชน ในท้องถน่ิ ตามหลกั การพัฒนาอย่างย่ังยืน รวมทั้งส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ ประชาชนในทอ้ งถนิ่ • พระราชบัญญัติกาหนดแผนและข้ันตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 16 กาหนดให้เทศบาล เมืองพัทยา และองค์การบริหารส่วนตาบล จัดระบบบริการ สาธารณะเพ่ือประโยชน์ของประชาชนในท้องถ่ินของตนเอง (7) ด้านการสังคมสงเคราะห์ และการพฒั นาคุณภาพชวี ติ เด็ก สตรี คนชรา และ ผดู้ ้อยโอกาส • พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม กาหนดให้เทศบาลตาบล เทศบาลเมือง และ เทศบาลนคร มีหนา้ ทใ่ี นการสง่ เสริมการพฒั นาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สงู อายุ และผ้พู กิ าร (มาตรา 50, 53, 56 ตามลาดับ) รวมถึงเทศบาลเมืองและเทศบาลนคร สามารถจัดกิจการด้านสงเคราะห์มารดาและเด็กได้ (มาตรา 54, 57 ตามลาดับ) • พระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม มาตรา 67 กาหนดหน้าทีอ่ งคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลในการสง่ เสริม การพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผ้สู งู อายุ และผ้พู กิ าร • พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 24 กาหนดให้นายกเทศมนตรี นายกเมืองทัพยา นายก องค์การบรหิ ารสว่ นตาบล เป็นผคู้ ้มุ ครองสวสั ดภิ าพเดก็ ที่อยู่ในเขตพนื้ ที่รบั ผิดชอบ • พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 8 กาหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน จัดสรรงบประมาณเพ่ือการพัฒนาเด็กและเยาวชนที่อยู่ในพ้ืนท่ี องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นส่วนงานสาคัญท่ีอยู่ใกล้ชิดเด็กและครอบครัวมากที่สุด และมีความรู้และ ความเข้าใจต่อสถานการณ์การคุ้มครองเด็กและเยาวชนในท้องถิ่นพื้นท่ีตนเองมากกว่าผู้อ่ืน ดังนั้นจึงเป็น กลไกสาคัญที่ใช้ขับเคล่ือนงานด้านคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กในชุมชน เพราะสามารถเข้าถึงตัวเด็กเพื่อให้ ความชว่ ยเหลอื หรอื คมุ้ ครองเดก็ ใหป้ ลอดภัยไดอ้ ย่างรวดเร็ว
แนวปฏิบัติในการปอ้ งกันและคมุ้ ครองเด็กสาหรับองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควดิ -19 4 2.2 บทบาทขององคก์ รอืน่ ที่เก่ียวขอ้ งในงานคมุ้ ครองเดก็ เพื่อขับเคล่ือนงานด้านการคุ้มครองเด็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินแล้ว ยังต้องมีการประสานหน่วยงานภายนอกท่ี เก่ียวข้อง ซ่ึงจะช่วยให้เห็นถึงบริการสนับสนุนที่มีอยู่ รวมถึงนักวิชาชีพที่มีความหลากหลาย อันเป็นส่วนหนึ่งของ ทรัพยากรที่มีความสาคัญในการจัดบริการด้านคุ้มครองเด็ก ซึ่งต้องอาศัยทีมสหวิชาชีพที่เข้มแข็ง โดยหน่วยงานที่ เก่ยี วข้องรวมถงึ • หน่วยงานดา้ นสวัสดิการสงั คม เช่น สานักงานพัฒนาสงั คมและความมั่นงของมนุษยจ์ งั หวดั บ้านพักเด็กและ ครอบครวั ซีง่ มีพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 สถานรองรับเด็กทั้งภาครัฐ และเอกชน • หน่วยงานด้านสาธารณสุข เช่น ศูนย์พึ่งได้เพื่อเด็กและสตรี ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลระดับอาเภอ และจังหวัด ทาหน้าทใี่ นการตรวจรกั ษาทางกายและจิตแก่เด็กและสตรีท่ีถูกใช้ความรุนแรง รวมท้ังการช่วยเหลือเฉพาะ ทางจติ วทิ ยา บรกิ ารสงเคราะหช์ ว่ ยเหลอื และบริการทางกฎหมาย • หน่วยงานด้านการศึกษา เช่น โรงเรียนในสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีระบบการ ดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยครูออกเย่ียมบ้านทั้งเปิด/ปิดภาคเรียน และบันทึกข้อมูลเด็กและครอบครัว คัด กรองเด็กท่ที ีอ่ ยใู่ นภาวะเส่ียงเพ่ือให้การชว่ ยเหลือ ประสานสง่ ต่อหนว่ ยงานทีเ่ กี่ยวข้อง • หน่วยงานด้านกฎหมายและความปลอดภัย เช่น พนักงานฝ่ายปกครอง ตารวจ อัยการ ยุติธรรม ศาล เยาวชนและครอบครัว สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ทาหน้าท่ีในการคุ้มครองเด็กเก่ียวกับการรับรองสถานะบุคคล เด็กท่ีอยู่ในกระบวนการยุติธรรม และเด็กท่ี ตอ้ งมีการดาเนินการดา้ นกฎหมาย • หน่วยงานอ่ืน ๆ เช่น องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรศาสนา สภาเด็กและเยาวชน เครือข่ายอาสาสมัคร ใน การสนับสนุนการรณรงค์ การจัดกิจกรรมปอ้ งกนั และการให้บริการแกเ่ ด็กและครอบครวั การแก้ไขปัญหาตา่ ง ๆ ในงานคุ้มครองเด็ก ตอ้ งใชก้ ารประสานความร่วมมือร่วมกันระหว่างหนว่ ยงานด้านสวัสดิการสังคม การศกึ ษา และกฎหมาย เชื่อมโยงกนั ในระดบั ชุมชน ท้องถนิ่ จังหวัด และกระทรวง รวมถึงความร่วมมือกับองค์กรพัฒนา เอกชน องค์กรศาสนา สภาเด็กและเยาวชน และเครือข่ายอาสาสมัคร ซ่ึงแม้ว่าจะไม่ได้มีกฎหมายกาหนดบทบาทหน้าท่ี ในการจัดสวัสดิการและการคุ้มครองเด็ก แต่ก็มีบทบาทสาคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการทางานของรัฐ เพ่ือให้เด็ก และครอบครวั กลมุ่ เส่ยี งเข้าถึงบรกิ ารได้ทันการณ์ 2.3 กลมุ่ เดก็ และครอบครวั ท่ตี ้องการการคมุ้ ครองจากผลกระทบของโควดิ -19 ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ท่ีเด็กและครอบครัวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงท้ังทางด้านสังคมและ เศรษฐกจิ สง่ ผลใหจ้ านวนเด็กและครอบครวั ท่ตี อ้ งการการสงเคราะหแ์ ละคมุ้ ครองสวสั ดิภาพตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง เด็ก พ.ศ.2546 เพิ่มสูงขึ้น
5 แนวปฏิบตั ิในการปอ้ งกนั และคมุ้ ครองเดก็ สาหรบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 เดก็ ทพ่ี งึ ได้รับการสงเคราะห์ (ม.32 พรบ.คุ้มครองเดก็ 2546) เด็กทพี่ ึงได้รบั การค้มุ ครองสวสั ดิภาพ (ม.40 พรบ. ค้มุ ครองเดก็ 2546) (๑) เด็กทถี่ กู ทารุณกรรม (๑) เดก็ เรร่ อ่ น หรือเดก็ กาพร้า (๒) เด็กท่ีเสย่ี งตอ่ การกระทาผดิ (๒) เดก็ ท่ถี ูกทอดท้ิงหรือพลดั หลง ณ ทใ่ี ดท่หี นงึ่ (๓) เด็กท่อี ย่ใู นสภาพท่ีจาตอ้ งไดร้ ับการคุ้มครองสวัสดภิ าพตามท่ี (๓) เดก็ ทผ่ี ปู้ กครองไมส่ ามารถอุปการะเล้ียงดไู ดด้ ว้ ยเหตใุ ด ๆ เช่น ถูก กาหนดในกฎกระทรวง จาคกุ กกั ขงั พกิ าร ทพุ พลภาพ เจ็บปว่ ยเรอ้ื รงั ยากจน เปน็ ผเู้ ยาว์ หย่า ถกู ทิ้งรา้ ง เปน็ โรคจติ หรือโรคประสาท (๔) เด็กทผี่ ปู้ กครองมีพฤติกรรมหรือประกอบอาชพี ไมเ่ หมาะสมอนั อาจสง่ ผลกระทบต่อพฒั นาการทางรา่ งกายหรือจิตใจของเดก็ ที่อยใู่ น ความปกครองดูแล (๕) เด็กทไี่ ดร้ ับการเลย้ี งดโู ดยมิชอบ ถูกใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื ในการกระทา หรือแสวงหาประโยชนโ์ ดยมิชอบ ถกู ทารณุ กรรม หรือตกอยใู่ นภาวะ อ่นื ใดอันอาจเปน็ เหตใุ ห้เด็กมคี วามประพฤติเสือ่ มเสียในทางศีลธรรม อันดีหรือเป็นเหตใุ หเ้ กดิ อันตรายแก่กายหรอื จติ ใจ (๖) เด็กพิการ (๗) เด็กทอ่ี ยใู่ นสภาพยากลาบาก (๘) เด็กทอี่ ยู่ในสภาพที่จาตอ้ งได้รับการสงเคราะห์ตามทีก่ าหนดใน กฎกระทรวง โดยกลุ่มเดก็ ทไี่ ด้รบั ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และจาเป็นต้องได้รับการดูแลและคุ้มครองเป็นพิเศษ (ภาคผนวก 1) ท้ังในชว่ งของการระบาดของโรคนี้ รวมถึงช่วงของการฟน้ื ฟูทางเศรษฐกิจและสังคมนัน้ กลุ่มที่ 1 เด็กและครอบครัวท่ีได้รับผลกระทบทางตรง ได้แก่ ครอบครัวที่มีสมาชิกถูกกักตัวหรือติดเช้ือ รวมถึงเด็ก/ ผู้ดแู ลท่ถี กู กักตัวหรือตดิ เช้อื กล่มุ ที่ 2 เด็กและครอบครวั ทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ เด็กที่ผู้ปกครองได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และ ไม่สามารถเลีย้ งดูเด็กไดอ้ ยา่ งเหมาะสม รวมถึงกรณที มี่ กี ารใช้ความรุนแรงตอ่ เดก็
แนวปฏิบตั ิในการป้องกนั และคุม้ ครองเด็กสาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 6 3. การเตรยี มความพร้อมในการดูแลคมุ้ ครองเด็ก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรต้องมีการเตรียมความพร้อมในการรองรับกลุ่มเด็กและครอบครัวในพื้นที่ ท่ีได้รับ ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โดยจะต้องจัดทาแนวปฏิบัติเพื่อดูแลคุ้มครองเด็ก เพ่ือการจัดบริการที่เหมาะสม และการสง่ ตอ่ ระหว่างหน่วยงานท่เี ก่ียวข้องภายในพ่ีนท่ีและนอกพ้ืนที่ สมมตุ ิฐานเบือ้ งต้นเกยี่ วกบั การแพรร่ ะบาดและผลกระทบของโควดิ -19 (สมมตุ ิฐานเหลา่ นี้อาจเปล่ียนแปลงไปเมื่อมีข้อมูล เพ่มิ มากข้นึ ) • การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีผลกระทบต่อบริการโดยรวม ทั้งระบบสาธารณสุข สวัสดิการสังคม และ บริการอ่ืน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาจไม่สามารถพึ่งพาการสนับสนุนจากหน่วยงานเหล่านี้ได้เหมือน ในสภาวะปกติ • วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ต้องรอไปอีกอย่างน้อย 12 เดือน ซ่ึงทาให้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต สภาพ เศรษฐกจิ และสงั คมอยา่ งตอ่ เน่อื ง อยา่ งนอ้ ยจนถงึ ปี 2564 • เครือข่ายทางสังคมในการดูแลเด็กของชุมชน ได้รับผลกระทบเนื่องจากอาสาสมัคร เครือข่ายอาจได้รับ ผลกระทบทางเศรษฐกจิ และสงั คม ทาใหไ้ มส่ ามารถให้บริการ หรือใชเ้ วลาในการดแู ลเด็กไดอ้ ย่างเต็มที่ จากสมมุติฐานข้างต้น หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโควิด-19 เพอ่ื ลดผลกระทบตอ่ เด็กและครอบครัวให้น้อยที่สุด ก็จะส่งผลให้สภาพสังคมและเศรษฐกิจฟ้ืนตัวได้ เร็วท่สี ุดเชน่ กัน 3.1 การวางแผน ข้ันตอนแรกในการจดั ทาแผนอาจเริม่ จากการกาหนดบคุ ลากร เพอื่ ให้มีกลไกในการขบั เคลอ่ื นงานอย่างชัดเจน รวมถึงการ จัดทาแผนการดูแลคุ้มครองเด็กในพื้นที่ ซึ่งครอบคลุมทั้งการเตรียมความพร้อม การป้องกัน และการรับมือกรณีเด็กต้อง ได้รับการคุ้มครอง โดยอาจเริ่มจากการประเมินตนเอง โดยใช้ “แนวการประเมินตนเองด้านการดูแลคุ้มครองเด็กเพ่ือ รองรับสถานการณ์โควิด-19 สาหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน” (ภาคผนวก 2) เพ่ือให้เห็นว่าได้มีการดาเนินการใน ส่วนใดไปบ้างแลว้ และจาเป็นตอ้ งดาเนนิ การเพิม่ เตมิ ในส่วนใดบ้าง 3.1.1 การกาหนดบุคลากร เร่ิมจากการกาหนดเจ้าหน้าท่ีหรือบุคลากรเพ่ือรับผิดชอบด้านการดูแลคุ้มครองเด็กในพื้นท่ี ซึ่งจะเรียกว่า “เจ้าหน้าท่ี คุ้มครองเด็ก” โดยหากเป็นไปได้ควรเป็นนักสังคมสงเคราะห์ หรือเจ้าหน้าท่ีท่ีดูแลเรื่องสวัสดิการสังคม กรณีที่ไม่มีส่วน งานสวัสดิการสังคม อาจพิจารณาเจ้าหน้าท่ีที่ดูแลด้านงานสังคมอ่ืน ๆ เช่น งานพัฒนาชุมชน หรือด้านการศึกษา หรือ ด้านการสาธารณสุข เจ้าหน้าท่ีคุ้มครองเด็กจะมีหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูล ประสานงานและติดตามการดาเนินงานร่วมกับ เครือข่าย/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเตรียมแผนป้องกันซึ่งจะช่วยระบุและจัดการผลกระทบต่อเด็กและครอบครัวท่ี เกิดจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งนาไปสู่มาตรการที่ลดความเปราะบางของครอบครัว และแนวทางในการค้นหากลุ่ม เสี่ยงท่คี รอบคลุมและทันการณ์ เพือ่ ลดความรนุ แรงของผลกระทบ
7 แนวปฏบิ ัตใิ นการปอ้ งกนั และคุ้มครองเดก็ สาหรับองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 ทั้งนี้จานวนบุคลากรท่ีจาเป็นในการดูแลคุ้มครองเด็กน้ัน ขึ้นกับจานวนเด็กและครอบครัวที่มีความเสี่ยงในพ้ืนท่ี (ตาม มาตรฐานสากล เจ้าหนา้ ท่ี 1 คน สามารถดแู ลรบั ผดิ ชอบเดก็ ไดป้ ระมาณ 25-30 คน) 3.1.2 การสร้างระบบเครอื ขา่ ย เพื่อให้สามารถดูแลเด็กและครอบครัวท้ังหมดในพื้นท่ีภายใต้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินได้อย่างครอบคลุมและทันต่อ เหตกุ ารณ์นน้ั จาเปน็ ต้องมีการสรา้ งระบบเครอื ข่ายเพือ่ ดงึ การมสี ว่ นรว่ มของทุกภาคส่วนที่เก่ียวข้อง รวมถงึ • หน่วยงานด้านสาธารณสุข เช่น อาสาสมัครสาธารณสุข ประจาหม่บู า้ น (อสม.) โรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตาบล • หน่วยงานด้านการศึกษา เช่น ครูในโรงเรียน ครู/ผู้ดูแลใน ศูนย์พฒั นาเดก็ เลก็ • หน่วยงานด้านกฎหมายและความปลอดภัย เช่น พนักงาน ฝ่ายปกครอง ตารวจ อัยการ ยุติธรรม ทหาร • เครือขา่ ยด้านสังคม เช่น อาสาสมคั รพัฒนาสงั คมและความ มั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ผู้นาชุมชน ผู้นาศาสนา ปราชญ์ ชาวบา้ น เครอื ขา่ ยองคก์ รการพัฒนาเด็กและเยาวขน • เครือข่ายเด็กและเยาวชน เช่น สภาเด็กและเยาวชน ช มรม/สมาคม/กลุ่ม/เค รือข่ายเด็กและเยาว ช น นอกจากน้ียังรวมถึงการทางานร่วมกับทีมอาสาโควิด-19 ของพื้นท่ี ที่มีบทบาทในการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก โดยเครือข่ายในการทางานคุ้มครองเด็กควรประกอบด้วย สมาชิกท่ีมีความหลากหลาย โดยให้ความสาคัญกับมุมมองความเข้าใจเร่ืองมิติทางเพศและช่วงวัยของเด็ก เครอื ขา่ ยมีบทบาทในการร่วมติดตามสถานการณแ์ ละเข้าดแู ลชว่ ยเหลอื กรณเี ด็กในชมุ ชนที่ต้องการการดูแล คุ้มครอง ท้ังน้ีต้องมีการสร้างความเข้าใจถึงความจาเป็นในการเก็บรักษาความลับของข้อมูล เพื่อไม่ให้เกิด ผลกระทบเชิงลบต่อตวั เดก็ และครอบครวั การทางานร่วมกับสภาเด็กและเยาวชนระดับตาบล/เทศบาล ชมรม/สมาคม/กลุ่ม/เครือข่ายเด็กและ เยาวชน สามารถเป็นช่องทางเพ่ือรับฟังเสียงของเด็กในมุมมองของความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรง/ปล่อย ปละละเลย/แสวงประโยชน์ต่อเด็ก และสามารถเปน็ ชอ่ งทางในการให้ข้อมูลความรู้แก่เด็กและเยาวชน โดย เด็กและเยาวชนด้วยกันเองได้ • เครือขา่ ยในพืน้ ที่จะต้องทาหน้าทใ่ี นการประสานส่งต่อเด็กและครอบครัว ร่วมกับหน่วยงานในระดับอาเภอ และจังหวดั ในขอ้ 2.2 เพื่อให้บรกิ ารด้านการคมุ้ ครองเดก็ ดว้ ย
แนวปฏบิ ัตใิ นการปอ้ งกนั และค้มุ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโควดิ -19 8 3.1.3 การจดั ทาระบบข้อมูล จัดทาทะเบียนข้อมูลหน่วยบริการท่ีมีอยู่ สาหรับเด็กท่ีอยู่ในสถานการณ์ความรุนแรง/ปล่อยปละละเลย/แสวงประโยชน์ ทั้งภายในพ้ืนที่ และนอกพ้ืนที่ เช่น หน่วยงานระดับอาเภอ ระดับจังหวัด หรือระดับภูมิภาค เพื่อสื่อสารกับเจ้าหน้าท่ี เครอื ข่าย และครอบครวั ในชมุ ชน สาหรับใชใ้ นการดาเนนิ การดแู ลช่วยเหลือ และส่งต่อเด็กหรือครอบครัวไปรับบริการได้ อยา่ งเหมาะสม (ตวั อย่างหน่วยงานให้บรกิ ารดแู ลคมุ้ ครองเดก็ ในภาคผนวก 3) จัดทาทะเบยี นเพอื่ ใชเ้ ก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกรณกี ารใชค้ วามรุนแรง/ปลอ่ ยปละละเลย/แสวงประโยชน์ต่อเด็กในพ้ืนที่ หรือเด็กทไี่ ด้รบั ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดยจาแนกตามเพศ อายุ ความพิการ สัญชาติ ประเภทความรุนแรง รวมถงึ สาเหตทุ ีเ่ ดก็ ไดร้ ับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 (ถ้ามี) ฯลฯ (ตัวอย่างแบบทะเบียนการเก็บข้อมูลกรณีการ ใช้ความรนุ แรงต่อเดก็ ในภาคผนวก 4) ข้อมูล ตัวเลข สถิติ ตลอดจนพฤติกรรม และปัจจัยเสี่ยงในการใช้ความรุนแรงต่อ เด็ก จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นภาพรวม ของปัญหา และสามารถร่วมกันป้องกัน และคุ้มครองเด็กได้ตรงจุด การเก็บ บันทกึ ข้อมลู เปน็ ประโยชน์ในการติดตาม และช่วยเหลือเด็กให้มีประสิทธิภาพมาก ย่ิง มาตรการในการรักษาความลับและ ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ข อ ง ข้ อ มู ล เ ด็ ก แ ล ะ ครอบครัวเป็นไปตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองเด็กฯ โดยควรมีการกาหนดสิทธิ ในการเข้าถึงข้อมูลท้ังระบบการจัดเก็บ แบบแฟ้ม หรือการจัดเก็บไว้ในระบบ โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ ระบบการรักษาความปลอดภยั และระบบการสารองข้อมูลด้วย 3.2 การใหค้ วามรู้ การให้ความรู้กับผู้ปฏิบัติงานและเครือข่าย เป็นแนวทางท่ีมี ความสาคญั ในการเตรียมความพร้อมเพ่ือดูแลคุ้มครองเด็กท่ีได้รับ ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย เจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กจะมีหน้าท่ีในการประสานและจัดให้มีการ ใหค้ วามรดู้ ังตอ่ ไปนี้
9 แนวปฏิบตั ิในการปอ้ งกนั และคมุ้ ครองเดก็ สาหรับองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 • “ผลกระทบของโควิด-19 ต่อสถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก/ความรุนแรงในครอบครัว การปล่อยปละ ละเลย/แสวงประโยชน์จากเด็ก” (ภาคผนวก 5 เด็กเผชิญความเสี่ยงเพ่ิมข้ึนด้านความรุนแรง การถูก ทอดทง้ิ และการถกู แสวงประโยชน์ ในชว่ งการควบคุมการแพรร่ ะบาดของโควดิ -19) • “ประเภทของการใช้ความรุนแรง/การปล่อยปละละเลย/แสวงประโยชน์ต่อเด็ก ผลกระทบท่ีเกิดข้ึน กลุ่ม เดก็ และครอบครัวทมี่ ีความเส่ยี ง” (ภาคผนวก 6) • “การอยรู่ ่วมกันในชุมชนของกลุ่มคนที่มีความต่างในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยไม่ตีตรา หรือรังเกียจเด็กหรือครอบครัวกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง (รวมถึงกรณีท่ีมีการติดเช้ือเกิดข้ึน)” มุ่งสร้างความเข้าใจ เก่ียวกับตัวเช้ือไวรัส สาเหตุ แนวทางการแพร่กระจายของโรค แนวทางในการดูแลป้องกันตนเองจากการ ติดเช้อื และแก้ไขความเขา้ ใจทผี่ ิดที่นาไปสู่การแปลกแยกและเลอื กปฏิบตั ิ ประเดน็ สาคัญ ความรุนแรงต่อเด็ก คือการกระทาหรือละเว้นการกระทาในการเล้ียงดูเด็ก จนส่งผลให้เด็ก ได้รบั อนั ตรายด้านร่างกาย พัฒนาการ และสุขภาพจิต แนวทางการให้ความรู้ รวมถึงการจัดอบรม (ทั้งแบบพบหน้า และแบบออนไลน์ เพื่อช่วยรักษาระยะห่างทางสังคม) การจัดทาส่ือเพ่ือใช้แจกจ่ายเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การรณรงค์ (เช่น เสียงตามสาย หรือหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น) ซ่ึงต้อง พิจารณาถึงความเหมาะสมในการเข้าถึงและทาความเข้าใจกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ที่อาจมีความแตกต่างกันในการรับรู้ โดยเฉพาะการส่ือสารกับกลุ่มเด็ก ต้องเลือกใช้วิธีการและแนวทางที่คานึงถึงเพศและอายุของเด็ก รวมถึงความเหมาะสม กบั พัฒนาการตามช่วงวยั ของเด็ก เพื่อใหเ้ ด็กสามารถเขา้ ใจถงึ เนอื้ หาท่ีตอ้ งการสือ่ สารได้ กรณีที่ต้องการสร้างความตระหนักในวงกว้าง พิจารณาใช้แนวทางการ รณรงคป์ ระชาสมั พันธ์ เช่น การสร้างความตระหนักเก่ียวกับความเส่ียง ที่อาจเกิดข้ึนกับเด็กและครอบครัว รวมถึงแนวทางการป้องกันและ เข้าถึงบริการ หรือการรณรงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องเพื่อ ไมใ่ หม้ ีการตตี รา หรือเบียดขบั คนกลุ่มใดกลุ่มหนง่ึ การให้ความรู้เบื้องต้นน้ี เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างศักยภาพ ของผู้ปฏิบัติงานและเครือข่าย ซ่ึงต้องมีการต่อยอดความรู้เพิ่มเติมใน ส่วนของเนือ้ หาอ่นื ๆ ทเี่ กีย่ วข้อง ดงั จะไดก้ ล่าวตอ่ ไป
แนวปฏิบัตใิ นการป้องกนั และคมุ้ ครองเดก็ สาหรบั องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิน่ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 10 3.3 แนวทางการทางานรว่ มกบั หน่วยงานภายนอก นอกจากการมีเครือขา่ ยในพน้ื ท่ี การทางานคุ้มครองเด็กต้องขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานภายนอกเป็นจานวนมาก เพื่อให้ การประสานงานและทางานร่วมกันเป็นไปอย่างราบร่ืน จาเป็นต้องมีการหารือเพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติร่วมกัน เพ่ือให้เกิด การขบั เคลื่อนงานทีส่ อดคลอ้ งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยแนวปฏิบัตนิ นั้ รวมถึง • มีแนวปฏิบตั ริ ่วมในการแบง่ ปันขอ้ มูลเด็กและครอบครัวกับหน่วยงานอื่น เช่น สาธารณสุข บ้านพักเด็กและ ครอบครัว โรงเรียน เพื่อส่งต่อเด็กในกรณีท่ีต้องการรับบริการคุ้มครองเด็ก เน่ืองจากข้อมูลเหล่านี้มีความ อ่อนไหว จึงต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะต้องแบ่งปันข้อมูลส่วนใดบ้าง และข้อมูลใดท่ีเป็นความลับและไม่ ควรมีการเปิดเผย การแชร์ข้อมูลจะต้องเลือกแชร์เฉพาะข้อมูลท่ีผู้รับจาเป็นต้องรู้เท่านั้น และควร หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลบน social media ท่ีไม่มีกลไกท่ีชัดเจนในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เช่น ควรหลีกเล่ยี งการส่งผ่านข้อมลู ทาง Facebook Messenger หรอื LINE • มีแนวปฏิบัติและส่งต่อระหว่างหน่วยงานที่เก่ียวข้องภายในพี่นท่ีและนอกพื้นที่ กรณีเด็กและครอบครัวท่ี ต้องการการคุ้มครอง โดยพจิ ารณานาแนวปฏบิ ตั ิการคดั กรองและชว่ ยเหลือเด็ก จากแนวปฏิบัติเพื่อพัฒนา ระบบคุ้มครองเด็กระดับท้องถ่ิน (ภาคผนวก 7) มาปรับใช้ในพ้ืนที่เพื่อให้เกิดแนวทางการทางานงาน รว่ มกัน • มีแนวปฏบิ ตั ิด้านการเล้ียงดทู ดแทนสาหรับเด็ก ในกรณที ผ่ี ู้ดูแลปัจจุบันไม่สามารถทาหน้าที่เล้ียงดูเด็กต่อไป ได้ อันอาจเนื่องมาจากการเจ็บป่วย เสียชีวิต หรือมีการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก โดยแนวปฏิบัติควรเป็นไป ตามมาตรฐานสากลแนวปฏบิ ตั ิด้านการเล้ียงดูทดแทนสาหรับเด็กแหง่ สหประชาชาติ (ภาคผนวก 8) 3.4 แนวปฏบิ ตั ิสาหรบั เจ้าหนา้ ที่และเครือขา่ ยในการลงพ้ืนที/่ เยยี่ มบ้าน การปฏิบัติงานลงพ้ืนท่ีของเจ้าหน้าท่ีและเครือข่ายอาจรวมถึงการเยี่ยมบ้านเพื่อให้ความรู้ ค้นหากลุ่มเสี่ยง หรือให้การ ช่วยเหลือเด็กท่ีอยู่ในความยากลาบาก หรือประสบปัญหาความรุนแรง หรือเตรียมความพร้อมในการส่งคืนเด็กสู่ ครอบครัว ซ่ึงการเยี่ยมบ้านในสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของโค วิด-19 อาจนาไปสู่ความเส่ียงในการติดเช้ือท้ังตัวเด็กและครอบครัว และตัวผูป้ ฏิบัตงิ าน ดังนั้นควรมีการกาหนดมาตรการท่ีชัดเจนเกี่ยวกับ การลงพ้ืนที่ • ควรมีการนัดหมายล่วงหน้ากับครอบครัว เพ่ือประเมิน สภาวะความเสี่ยงของครอบครัวกับการติดเชื้อโควิด-19 ก่อนการลงพ้ืนที่ด้วย (มีสมาชิกในครอบครัวท่ีมีอาการ เก่ียวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ หรือ หายใจหอบเหนื่อยหรือไม่ และมีสมาชิกในครอบครัวท่ี image: Freepik.com ถูกกาหนดใหก้ กั ตวั โดยบุคลากรทางการแพทย์หรือไม่) รวมถึงครอบครัวรู้สึกกังวลกับการมีคนภายนอกเข้า ไปที่บา้ นหรอื ไม่
11 แนวปฏบิ ัติในการปอ้ งกนั และคุม้ ครองเดก็ สาหรบั องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 • กรณที คี่ รอบครวั มผี ้ตู ิดเช้อื หรือเสย่ี งติดเชือ้ หรือครอบครัวไม่ยินดีให้ลงพื้นที่ อาจต้องพิจารณาใช้วิธีการอ่ืน ทดแทน เช่น เย่ียมผ่านโทรศัพท์ หรือ Online network ท่ีสามารถเห็นหน้าได้ ทั้งน้ีหากเป็นไปได้ควรได้มี โอกาสพูดคุยกับตัวเด็กด้วย (กรณีที่อยู่ในช่วงวัยท่ีสามารถสื่อสารผ่านสื่อได้) กรณีมีข้อกังวล อาจพิจารณา เพม่ิ ความถ่ใี นการเยีย่ มผ่านโทรศพั ท์ หรอื Online network • หากสามารถลงพื้นท่ีเยี่ยมบ้านด้วยตนเองได้ ผู้ปฏิบัติงานจะต้องประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพของตัว ผู้ปฏิบัติงานเองด้วย (เพื่อไม่สร้างความเสี่ยงให้กับตัวเด็กและครอบครัว) โดยจะต้องมีอุปกรณ์ป้องกันส่วน บุคคลทเ่ี หมาะสม มีการเว้นระยะห่างทางกายภาพจากสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะกรณีท่ีมีคนเจ็บป่วย หลกี เลยี่ งการสมั ผสั ทางกายท้งั กับตวั บคุ คลและพ้ืนผวิ ใด ๆ และควรลา้ งมือใหส้ ะอาดเสมอ • องคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ ควรจัดหาอุปกรณ์ปอ้ งกันสว่ นบุคคลอยา่ งเพียงพอในการดูแลป้องกันตัวเองของ เจ้าหน้าท่ีและเครือข่าย โดยเฉพาะผู้ท่ีมีหน้าท่ีเย่ียมบ้านและดาเนินการกรณีที่พบความรุนแรง/การปล่อย ปละละเลย/แสวงประโยชน์ตอ่ เด็กในชมุ ชน หรือตอ้ งเยยี่ มบ้านเพอ่ื ดแู ลเด็ก
แนวปฏบิ ัตใิ นการป้องกันและคมุ้ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควดิ -19 12 4. การป้องกนั และค้นหากลุม่ เสีย่ ง การทางานเชิงป้องกันมุ่งเน้นการสร้างส่ิงแวดล้อมที่ปลอดภัย เพื่อไม่ให้เด็กต้องตกอยู่ในสถานการณ์ของการขาดผู้ดูแล ปล่อยปละละเลยทอดทิ้ง แสวงประโยชน์ หรอื ถกู ใชค้ วามรุนแรง 4.1 การสนบั สนุนค่านยิ มและพฤตกิ รรมทีช่ ่วยดูแลคมุ้ ครองเด็ก มุ่งสร้างและสนับสนุนค่านิยมและพฤติกรรมเชิงบวกในการดูแลเด็ก และไม่ส่งเสริมค่านิยมและพฤติกรรมท่ีส่งผลเชิงลบ ตอ่ เดก็ โดย • ระบุพฤตกิ รรมทงั้ เชิงบวกและเชงิ ลบ ท่เี ป็นผลกระทบจากการระบาดของโควดิ -19 เก่ียวกับโรคโควิด-19 ค่านิยมและพฤติกรรมเชิงบวก ได้แก่ การที่คนในชุมชนสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลท่ี เหมาะสมและมกี ารรกั ษาระยะห่างทางกายภาพ คา่ นิยมและพฤตกิ รรมเชงิ ลบ ได้แก่ การตตี ราหรอื รงั เกียจผทู้ ่ตี ิดเช้อื โควิด-19 เกย่ี วกับการใชค้ วามรุนแรงต่อเด็ก ค่านิยมและพฤติกรรมเชิงบวก ได้แก่ การที่ชุมชน ช่วยกนั ดูแลและสอดส่องเรื่องความปลอดภัยของเด็ก (รวมถึงสอดส่องบุคคลภายนอกที่เข้ามาให้ความ ช่วยเหลอื ในพ้นื ท)่ี ค่านิยมและพฤติกรรมเชิงลบ ได้แก่ การด่ืมสุราหรือ ใช้ยาเสพติด การใช้ความรุนแรงต่อเด็กเพื่อระบาย ความเครียด (รวมถึงความเช่ือเร่ืองรักวัวให้ผูก รักลูก ให้ตี ซงึ่ ส่งเสริมการใชค้ วามรนุ แรงต่อเดก็ ) • พัฒนาสื่อสาหรับส่งข้อความท่ีมีความเหมาะสมกับวัฒนธรรมและอายุของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเสริมสร้าง พฤตกิ รรมทเี่ ปน็ เชิงบวกและไม่ส่งเสริมพฤติกรรมเขิงลบ • เผยแพร่ข้อความผ่านสื่อที่เหมาะสมกับบริบทพื้นท่ี ซึ่งอาจรวมถึง สื่อออนไลน์ การส่งข้อความผ่าน โทรศพั ทม์ อื ถอื ประชาสัมพนั ธผ์ า่ นสถานีวิทยทุ ้องถนิ่ เครือ่ งกระจายเสยี ง ฯลฯ • ทางานร่วมกับชุมชนและผู้นา ซึ่งรวมถึง ผู้นาชุมชน ผู้นาทางศาสนา ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อสร้างความ ตระหนกั และสง่ เสริมพฤติกรรมเชิงบวก 4.2 อปท. กบั การจัดบรกิ ารท่ีมคี วามจาเปน็ ใหแ้ กเ่ ด็กและครอบครวั 4.2.1 การดแู ลช่วยเหลอื ดา้ นความเป็นอยู่ของครอบครวั ท่ีไดร้ บั ผลกระทบทางเศรษฐกจิ สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจกับครอบครัวจานวนมาก ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินควรพิจารณา ให้ความช่วยเหลอื เปน็ เงินสดฉุกเฉินหรือสิ่งของจาเป็นแก่ครอบครัวท่ีได้รับผลกระทบต่อความเป็นอยู่ เพื่อเสริมศักยภาพ ของครอบครวั ให้สามารถดแู ลคุม้ ครองเด็กได้ รวมถึงป้องกันการทงิ้ เดก็ ท่ีอาจเกิดขนึ้
13 แนวปฏิบัตใิ นการปอ้ งกนั และคมุ้ ครองเดก็ สาหรบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 4.2.2 การดแู ลสภาวะทางจติ สังคมของเดก็ เด็กมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดแตกต่างกันไป อาการท่ัว ๆ ไปประกอบด้วย นอนหลับยาก ปัสสาวะรดท่ีนอน ปวดท้องหรือปวดหัว วิตกกังวล เก็บตัว ฉุนเฉียว ติดผู้ดูแลหรือไม่กล้าอยู่คนเดียว ทั้งน้ีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถมีบทบาทในการดูแลสภาวะทางจิตสังคมของเด็ก โดยการนาเสนอ ข้อมูลและสื่อ เพ่ือสะท้อนว่า ส่ิงที่เกิดข้ึนเป็นส่ิงปกติในสถานการณ์เช่นนี้ และให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้เด็กได้เล่นและผ่อนคลายด้วยการทากิจวัตร ประจาวันตามเดิมให้ได้มากที่สุด (บรรเทาผลกระทบจากความไม่แน่นอน ต่างๆที่เด็กต้องเผชิญอยู่) โดยควรรณรงค์ให้ความรู้กับเด็กและชุมชน เกี่ยวกับการใช้ส่ือออนไลน์อย่างเหมาะสม เน่ืองจากมีข้อมูลจากประเทศ อื่น ๆ ถึงการเพิ่มขึ้นของการล่อลวงเด็กออนไลน์ ในสภาวะการแพร่ระบาด ของโรค ทเ่ี ด็กต้องอยู่ในพ้ืนท่ีจากัด และมักใช้เวลาจานวนมากในการใช้สื่อ ออนไลน์ โดยไมไ่ ดอ้ ย่ภู ายใตก้ ารควบคุมดูแลอยา่ งเหมาะสม นอกจากนี้ยังควรช้ีแจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ให้เด็ก ทราบตามความเหมาะสม โดยอธิบายสถานการณ์พร้อมยกตัวอย่างที่ ชัดเจนเกี่ยวกับส่ิงท่ีเด็กสามารถทาได้เพื่อปกป้องตัวเองและผู้อ่ืนจากการ ตดิ เชือ้ รวมทั้งบอกเล่าส่ิงทอี่ าจเกิดขึน้ ตอ่ ไปใหเ้ ดก็ รู้สกึ อุ่นใจ1 ส่อื ท่อี าจนาไปใช้ในการส่ือสารกับเดก็ รวมถงึ • ข้อมูลเก่ียวกับโควิด-19 สาหรับเด็ก โดยเลือกใช้ภาษาและส่ือที่มีความเหมาะสมกับวัยและเพศของเด็ก โดยเลือกให้ข้อมูลที่ช่วยให้เด็กสามารถดูแลตัวเอง มากกว่าท่ีจะสร้างความวิตก เพื่อหลีกเล่ียงการสร้าง ความกังวลท่ไี ม่จาเป็นให้กับเด็ก • ข้อมูลเก่ียวกับการดูแลจิตใจ/การลดความเครียดในช่วงโควิด-19, การปรับตัวเมื่อต้องใช้เวลาร่วมกับ ครอบครัว, การใช้เวลาว่างของวัยรุ่น, วิธีการป้องกันตัวในโลกออนไลน์, การขอความช่วยเหลือเมื่อรู้สึกไม่ ปลอดภยั • ตัวอยา่ งส่อื (ภาคผนวก 9) image: Freepik.com 1 สาระสาคัญและขอ้ ควรปฏบิ ัตใิ นการปอ้ งกันและควบคมุ โรคโควิด-19 ในสถานศกึ ษา
แนวปฏิบัติในการปอ้ งกันและคมุ้ ครองเดก็ สาหรับองคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโควิด-19 14 4.2.3 การดแู ลสภาวะทางจติ สังคมของผู้ดแู ลเดก็ /ครอบครัว ผู้ดูแลมีบทบาทสาคัญในการดูแลสภาวะทางจิตสังคมของเด็ก โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถสนับสนุนสื่อและ จัดให้มีทรัพยากรทสี่ ่งเสริมการทาหนา้ ทใ่ี นการเล้ยี งดูและข้อมลู ที่ผดู้ ูแลเด็กสามารถนาไปใช้ได้ รวมถึง • แนวทางที่ผู้ดูแลสามารถนาไปใช้ในการสื่อสารกับเด็กเกี่ยวกับโควิด-19 ตัวอย่างวิธีสื่อสารกับเด็กนักเรียน เก่ียวกับโรคไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) สาหรับเด็กหลากหลายช่วงวัย ได้จาก https://www.unicef.org/ thailand/th/coronavirus/how-teachers-can-talk-children-about-coronavirus-disease-covid- 19 • สอื่ สาหรับพ่อแมใ่ นการชว่ ยวยั รนุ่ จดั การความเครียด • การอบรมเลีย้ งดูในเชงิ บวก การสร้างวินยั โดยไม่ใช้ความรนุ แรง ทกั ษะการจัดการความเครียด • ตวั อย่างสื่อ (ภาคผนวก 10) นอกจากนี้ผู้ดูแลควรได้รับการดูแลสภาวะทางจิตใจด้วย โดยเฉพาะกลุ่มท่ีมีความเส่ียงพิเศษ เช่น ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต อยู่แล้ว ผู้ที่มีความเครียดสูง เช่น อาจเกิดจากการตกงาน ครอบครัวท่ีมีคนพิการ ครอบครัวที่มีปัญหาติดสุรา/ยาเสพติด หรือครอบครัวที่มีประวัติการใช้ความรุนแรงระหว่างสามี-ภรรยา โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินควรมีการจัดสรร ทรัพยากร เพื่อสนบั สนนุ ครอบครัว และลดความเครียดในสถานการณ์นี้ เช่น การจัดให้ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตได้รับบริการ ทางการแพทยอ์ ยา่ งต่อเน่ือง การจดั ใหม้ ีบรกิ ารดูแลเด็กช่วั คราวทป่ี ลอดภัย ในกรณีท่ีผู้ดูแลไม่สามารถดูแลเด็กได้เป็นการ ชั่วคราว หรือจัดสรรทรัพยากร เช่น เงิน หรือเคร่ืองอุปโภคบริโภคให้กับครอบครัว หรือจัดให้มีกลุ่มในการพูดคุยเพ่ือลด ภาวะความเครียด 4.2.4 การฟน้ื ฟูบรกิ ารปกตขิ องทอ้ งถนิ่ สถานการณ์โควิด-19 ทาให้บริการบางอย่างในท้องถิ่นต้องปิดตัวลง เพ่ือเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของเด็กและ ครอบครัว รวมถึงเพื่อดูแลคุ้มครองความปลอดภัยของเด็ก องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินควรพิจารณาฟ้ืนฟูบริการปกติ สาหรับเด็กและครอบครัว เช่น โรงเรยี น และศนู ยเ์ ด็กเล็ก ท่ีจะสนับสนุนให้เด็กและครอบครัวสามารถกลับไปดาเนินชีวิต ได้ตามสภาวะปกติ โดยมมี าตรการในการดแู ลควบคมุ โควดิ -19 ทเี่ หมาะสม
15 แนวปฏบิ ัติในการปอ้ งกนั และคุม้ ครองเดก็ สาหรบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 ท้ังนี้ การดูแลให้เด็กกลับเข้าสู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และ โรงเรียน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมีบทบาทสาคัญท่ี จะสนบั สนนุ ผู้ดูแลท่ไี มม่ ีความพรอ้ ม เช่น ไม่มีอุปกรณ์ใน การเรียนรูปแบบใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ที่บ้าน หรือ อินเตอร์เน็ต เพื่อช่วยให้เด็กและครอบครัวสามารถกลับ เขา้ สู่สถานการณ์การใช้ชีวิตตามปกติได้ ซ่ึงจะส่งผลดีต่อ สภาพจิตใจของเด็ก ท้ังนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรทาหน้าท่ีติดตามเด็กท่ีไม่ได้กลับเข้าระบบการศึกษา หรือต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน อันเป็นผลกระทบ จากสถานการณโ์ ควิด-19 นอกจากบรกิ ารที่จดั โดยท้องถิน่ แลว้ บทบาททสี่ าคญั ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น คือการช่วยเหลือเด็กและครอบครัว ให้สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่าง ๆ ทั้งของรัฐ/ เอกชน ดังน้ันจึงควรมีการรวบรวมข้อมูลสวัสดิการท่ีจัดข้ึนเพื่อช่วยเหลือผู้ ไดร้ ับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 สาหรับประชาสัมพันธ์ และจัดให้มีจุดให้ข้อมูลเพ่ือช่วยให้ชุมชนได้รับทราบถึง บริการที่มีอยู่ ท้ังท่ีจัดโดยรัฐส่วนกลาง หรือท้องถ่ิน หรือเอกชน รวมถึงอานวยความสะดวกเพ่ือช่วยในการเข้าถึงบริการ ด้วย 4.3 การจัดใหม้ แี ละประชาสัมพันธ์ช่องทางการแจ้งเหตุ จัดให้มีช่องทางในการแจ้งเหตุ ท้ังช่องทางส่วนกลาง และช่องทางการแจ้งเหตุในพื้นท่ี เช่น การกาหนดเบอรโ์ ทรศัพท์ที่จะใช้รับแจ้งเหตุขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน รวมถึงให้ความรู้ บุคคลที่จะทาหน้าที่รับสายให้เข้าใจแนวทางการให้ข้อมูลและดาเนินการช่วยเหลือที่เป็นมิตร กับเด็ก • เก่ียวกับโรคโควิด-19: สายด่วน 1422 ให้ ข้อมูลเก่ียวกับโควิด-19 ประสานงาน โรงพยาบาล และรับแจ้งเหตุผู้มีความเสี่ยง เข้าเกณฑต์ ดิ เชื้อโควิด-19 • เกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก: ศูนย์ ช่วยเหลือสังคม 1300 ของกระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศูนย์ให้คาแนะนาปรึกษาปัญหาด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว ของบา้ นพกั เด็กและครอบครวั ในจังหวดั และชอ่ งทางการแจ้งเหตใุ นพนื้ ทอ่ี ่ืน มกี ารประชาสมั พนั ธช์ ่องทางการเขา้ ถึงบรกิ ารให้กบั ชมุ ชน ครอบครัว และตวั เดก็ เอง (ตัวอย่างสอื่ ตามภาคผนวก 11)
แนวปฏบิ ัติในการป้องกันและคุ้มครองเดก็ สาหรับองค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 16 4.4 การระบุคน้ หาเดก็ และครอบครวั ท่มี ีความเสี่ยง การคัดกรองเด็กและครอบครัวกลุ่มเส่ียง เป็นการดาเนินงานร่วมกับเครือข่ายในพ้ืนที่เพ่ือระบุกลุ่มเป้าหมาย โดย หัวใจสาคัญคือการค้นพบกลุ่มเส่ียงแต่เน่ิน เพ่ือให้ความช่วยเหลือแก่ตัวเด็กและครอบครัว อันนาไปสู่การลดปัจจัยเส่ียง และความเปราะบาง ผ่านการจัดบริการทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวทาหน้าที่ดูแล เด็กได้อย่างเหมาะสมต่อไป โดยอาจแบ่งความรับผิดชอบในการคัดกรองตามพ้ืนท่ี (เพ่ือไม่ให้มีเด็กตกหล่น) ซึ่ง สามารถดาเนินการร่วมกับทีมอาสาโควิด-19 ระดับหมู่บ้าน และระดับอาเภอ หรือเครือข่ายอาสาสมัครอื่น เพื่อให้เกิด การบูรณาการทางานในพืน้ ท่ี นอกจากการค้นหากลุ่มเส่ียงโดยเครือข่ายอาสาสมัครแล้ว กลุ่มนักวิชาชีพในพ้ืนที่ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากร การศึกษา ตารวจ ท่ีมีการพบปะกับเด็กในการปฏิบัติงานหน้าท่ี เป็นอีกหน่ึงช่องทางท่ีสาคัญในการค้นหากลุ่มเสี่ยงซึ่ง กาหนดไว้ในพระราชบญั ญัตคิ ้มุ ครองเด็ก พ.ศ. 2546 (มาตรา 29 วรรค 2) เม่ือเครือข่ายพบเห็นเด็กหรือครอบครัวที่มีความน่าเป็นห่วง ซ่ึงรวมถึงกลุ่มเด็กและครอบครัวที่มีความเปราะบาง เช่น เด็กและครอบครัวที่มีปัญหาทางสุขภาพจิต ครอบครัวท่ีต้องดูแลคน/เด็กพิการ ครอบครัวที่มีการใช้สารเสพติด และ ครอบครัวที่มีการใช้ความรุนแรงระหว่างสามีภรรยา เครือข่ายสามารถนาแบบคัดกรองเพื่อสนับสนุนการเล้ียงดูเด็กตาม มาตรฐานข้ันต่า (Child Maltreatment Surveillance Tool -CMST) (ภาคผนวก 12) ซ่ึงใช้สาหรับระบุระดับความ เส่ียงของเด็กรายบุคคล ที่ต้องการความช่วยเหลือตามปัจจัยความเส่ียงที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 โดยผลจากการคัดกรองสามารถแบง่ เดก็ ออกได้เป็นสามกลมุ่ คือ ผลจากแบบคัดกรอง ระดบั ความเสี่ยง ความหมาย กรณีตอบวา่ “ใช่” มคี วามเสยี่ งระดบั ต่า ยังไม่พบขอ้ มลู ทตี่ อ้ งเฝ้าระวงั น้อยกวา่ 3 ข้อ (สีเขียว) กรณตี อบว่า “ใช่” พบว่ามีความเส่ยี งท่ีอาจสง่ ผลกระทบต่อเด็ก ตั้งแต่ 3 - 4 ข้อ มีความเสี่ยงระดบั ปานกลาง เดก็ มคี วามเส่ียงที่จะไดร้ บั อนั ตราย และตอ้ งอาศยั กรณีตอบวา่ “ใช่” (สเี หลือง) การประเมนิ เชงิ ลกึ จากทีมสหวชิ าชีพเพ่อื ค้นหา ตัง้ แต่ 5 ขอ้ ขนึ้ ไป มีความเสยี่ งระดับสูง ข้อเท็จจรงิ (สีแดง) เจ้าหน้าท่ีคุ้มครองเด็กจะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลเด็กและครอบครัวท่ีมีความเส่ียง โดยหากเครือข่ายมีการค้นพบเด็กและ ครอบครัวกลุ่มเส่ียง จะต้องแจ้งให้กับทางเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กรับทราบ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการติดตามความคืบหน้า ของสถานการณ์และการจัดบริการ (ผ่านการประสานเครือข่ายท่ีมีอยู่) การดาเนินการช่วยเหลือเด็กน้ัน สามารถเรียง ตามลาดับความเร่งด่วน จากเด็กกลุ่มที่มีความเสี่ยงระดับสูง (สีแดง) สู่เด็กท่ีมีความเส่ียงระดับปานกลาง (สีเหลือง) และ เด็กทีม่ คี วามเสีย่ งระดบั ต่า (สีเขียว) เพือ่ ใหเ้ ครือข่ายสามารถดาเนินการคัดกรองได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีการทาความเข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดของ “แบบคดั กรองเพือ่ สนบั สนุนการเลี้ยงดูเดก็ ตามมาตรฐานขัน้ ตา่ ” รวมถงึ “การเก็บรักษาความลบั ” (ภาคผนวก 13) image: Freepik.com
17 แนวปฏบิ ัตใิ นการปอ้ งกนั และคุ้มครองเดก็ สาหรับองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 เพ่อื ใหเ้ ครือข่ายสามารถดาเนินการคัดกรองได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีการทาความเข้าใจเก่ียวกับรายละเอียดของ “แบบคัดกรองเพ่อื สนบั สนุนการเลยี้ งดูเด็กตามมาตรฐานข้นั ตา่ ” รวมถงึ “การเกบ็ รกั ษาความลับ” (ภาคผนวก 13) image: Freepik.com
แนวปฏิบตั ใิ นการป้องกนั และคุ้มครองเด็กสาหรับองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 18 5. การชว่ ยเหลือเดก็ และครอบครวั กลมุ่ เสี่ยง 5.1 การชว่ ยเหลอื ตามระดบั ความเส่ยี ง 5.1.1 กรณีมคี วามเสีย่ งระดับตา่ (สีเขยี ว) การทางานกับกลุ่มเด็กและครอบครัวท่ีมีระดับความเส่ียงต่าน้ัน เน้นการทางานเชิง ป้องกัน ซ่ึงรวมถึงการส่งเสริมค่านิยมและพฤติกรรมที่เหมาะสมในการดูแลคุ้มครอง เดก็ (หวั ข้อ 4.1) สาหรับสถานการณโ์ ควิด-19 การทางานเชิงป้องกนั ยงั รวมถงึ การมีอาสาสมคั รเพอ่ื ดูแลความปลอดภัยของพ้ืนท่ีส่วนกลาง ในชมุ ชน เพือ่ ลดความเส่ียงและดูแลเร่ืองการรักษาระยะห่างระหวา่ งบุคคล และสุขอนามัยของเด็ก 5.1.2 กรณีมีความเส่ยี งระดบั ปานกลาง (สีเหลือง) เด็กและครอบครัวท่ีมีความเสี่ยงระดับปานกลาง จะต้องได้รับการดูแลเป็นลักษณะของรายกรณี โดยเจ้าหน้าที่คุ้มครอง เด็กจะต้องมีการหารือกับเครือข่าย (เฉพาะคนท่ีเก่ียวข้องเพ่ือเป็นการรักษาความลับของข้อมูล) เพื่อแบ่งหน้าท่ีในการ รวบรวมขอ้ เท็จจรงิ เชิงลึกเพิ่มเติม ทั้งในด้านความปลอดภัยและประเด็นปัญหา เพื่อนามาใช้ในการประเมินและวางแผน จัดบริการสาหรับเด็กแตล่ ะคนต่อไป โดยจะตอ้ งรวบรวมทรพั ยากรที่มีอยู่ รวมถงึ ทรพั ยากรของตัวเด็กและครอบครัว และ ทรัพยากรของพ้ืนที่ รวมถึงประสานงานหน่วยงานเครือข่ายท้ังในระดับตาบล อาเภอ และจังหวัด เพ่ือสามารถเข้าถึง บริการทเี่ ป็นประโยชน์ต่อเด็กและครอบครวั ขั้นตอนที่สาคัญคือการดูแลเรื่องความปลอดภัยของเด็ก หากประเมินแล้วเห็นว่าเด็กอยู่ในอันตราย ควรประสานงานกับ นักวชิ าชีพระดับจงั หวดั เชน่ บ้านพกั เดก็ และครอบครวั เพ่อื เข้ามารว่ มดแู ลให้เกดิ ความปลอดภยั กับตวั เด็ก 5.1.3 กรณมี ีความเสีย่ งระดบั สงู (สแี ดง) กรณที ี่เดก็ ไดร้ บั การประเมินว่ามีความเสยี่ งระดบั สูงนน้ั ต้องดาเนนิ การช่วยเหลือรายกรณีโดยทันที ผ่านการหารือร่วมกับ ทีมสหวิชาชีพท้งั ภายในและภายนอกพืน้ ท่ีรวมถึงนกั สังคมสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว เจ้าหน้าที่ศูนย์ พึ่งได้ ตามแนวปฏบิ ัตกิ ารคัดกรองและช่วยเหลือเด็ก กรณีเด็กท่ีต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษ (สีแดง) (ภาคผนวก 7) เพอ่ื รว่ มพิจารณาใหค้ วามเหน็ เพอ่ื ให้เกิดประโยชนส์ งู สดุ กับเดก็ ในกรณีเด็กถูกทารุณกรรม หรือมีความไม่ปลอดภัย ต้องมีการพิจารณาเพื่อส่งต่อการดูแลเด็กให้กับหน่วยงานที่มีความ เชี่ยวชาญเฉพาะดา้ น เช่น บา้ นพกั เดก็ และครอบครวั โดยเร็ว ครอบครัวทมี่ ีสมาชิกถูกกกั ตัวหรือติดเชื้อ ซ่ึงรวมถึงกรณีเด็กท่ีถูกกักตัวหรือติดเช้ือ และกรณีท่ีผู้ดูแลถูกกักตัวหรือติดเช้ือ ซงึ่ สง่ ผลให้เด็กไมม่ ีผู้ดูแล ในกรณที ่ีสงสัย หรือมีการวนิ ิจฉัยวา่ เดก็ หรือครอบครัวติดโควดิ -19 ต้องมีการดาเนนิ การตามขน้ั ตอนตอ่ ไปนี้ • ทาการตรวจหาโควิด-19 ตามระเบียบการคดั กรองของกระทรวงสาธารณสุข • แยกตวั เดก็ ท่ีมอี าการ โดยใหเ้ ด็กและสมาชิกในครอบครวั คนอืน่ ๆ ที่อยรู่ ่วมบา้ นใส่หน้ากากอนามัย
19 แนวปฏบิ ัตใิ นการปอ้ งกนั และคุม้ ครองเดก็ สาหรับองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 • กรณีทีผ่ ลการตรวจหาเชื้อเป็นบวก ให้แจง้ ตัวเดก็ และผูป้ กครอง และหนว่ ยงานสาธารณสุขในพ้ืนท่ีรับทราบ โดยทันที • องค์การอนามัยโลกแนะนาให้ผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับการดูแลในสถานพยาบาล โดยเฉพาะผู้ป่วยท่ีมีปัจจัย เสยี่ ง เชน่ มีโรคประจาตัว ทั้งนี้ต้องมีการประเมินทางการแพทย์โดยทีมแพทย์เก่ียวกับความรุนแรงของโรค และความเป็นไปได้ในการเคล่ือนย้ายผู้ป่วยเข้าสู่สถานพยาบาล หากไม่สามารถเคล่ือนย้ายได้ ให้จัดห้อง แยก และการดแู ลท่เี หมาะสมใหก้ ับผ้ปู ่วย • องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ควรจัดทาทะเบียนสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ และผู้ที่มีความเส่ียงต่อการติดเชื้อใน ชุมชน • ทางานร่วมกับผู้นาชุมชน รวมถึงผู้นาศาสนา ปราชญ์ชาวบ้าน เพ่ือลดการตีตราหรือรังเกียจต่อกลุ่มเด็ก/ ครอบครัวที่เป็นกลุม่ เสย่ี ง หรือติดเช้ือ (และได้รบั การรกั ษาจนหายแล้ว) หรือเด็กท่ีถูกส่งมาจากครอบครัวที่ ติดเชื้อ เพ่ือให้เด็กและครอบครัวสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติในชุมชนโดยไม่ถูกตีตราหรือ ถูกทาให้แปลก แยก หรอื ถูกกล่นั แกลง้ จากความรงั เกยี จ กรณีทเี่ ดก็ ถูกกักตวั หรอื ติดเชื้อ ต้องมีการดูแลให้เด็กสามารถติดต่อกับผู้ดูแลได้อย่างน้อยวันละ 1 คร้ัง โดยอาจเป็นการ ติดต่อออนไลน์ หรือสื่ออ่ืนๆ ที่มีความเหมาะสม เพ่ือลดผลกระทบทางจิตใจต่อเด็ก ในกรณีท่ีครอบครัวมีเด็กหลายคน และมีทั้งเด็กท่ีถูกกักตัว/ติดเช้ือ และไม่ถูกกักตัว/ไม่ติดเชื้อ ต้องมีการจัดการให้เด็กทั้งสองกลุ่มได้รับการดูแล เล้ียงดูที่ เหมาะสม กรณีท่ผี ดู้ ูแลถกู กกั ตวั หรอื ตดิ เช้ือหรือเสียชีวิต ต้องมีการเข้าไปช่วยเหลือดูแลว่าเด็กในครอบครัวมีผู้ท่ีสามารถทาหน้าท่ี เล้ยี งดูทดแทนได้หรือไม่ หากไมม่ จี ะต้องดาเนนิ การตามแนวทางการจัดการเลี้ยงดูทดแทนสาหรบั เด็ก (หวั ข้อ 5.2) กรณีเด็กท่ีผู้ปกครองได้รับผลกระทบและไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้อย่างเหมาะสม รวมถึงกรณีท่ีมีการใช้ความรุนแรง ต่อเด็ก ดูแลช่วยเหลือโดยประสานการเข้าถึงบริการของนักวิชาชีพ ท้ังท่ีมีอยู่ในพ้ืนท่ี เช่น รพ.สต. และหน่วยงาน ภายนอก ซ่ึงรวมถึง บ้านพักเด็กและครอบครัว พัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์จังหวัด โรงพยาบาล ตารวจ เพ่ือ ทาการประเมิน และให้การช่วยเหลือเป็นรายกรณี ตามแนวปฏิบัติการคัดกรองและช่วยเหลือเด็ก กรณีเด็กที่ต้องได้รับ การช่วยเหลือเป็นพิเศษ (ภาคผนวก 7) และตามแนวทางใน “คู่มือปฏิบัติงานและข้อตกลงร่วมกันในการคุ้มครองและ ช่วยเหลือเดก็ ในภาวะเส่ียงและเปน็ ผู้เสยี หายจากการละเมดิ ละเลยทอดทิ้ง แสวงประโยชน์ และใช้ความรุนแรง2” image: Freepik.com 2 พฒั นาโดยคณะกรรมการคมุ้ ครองเดก็ แหง่ ชาติ รวมกบั องค์การยนู ิเซฟ ประเทศไทย
แนวปฏิบตั ิในการปอ้ งกนั และคมุ้ ครองเด็กสาหรบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 20 5.2 การจัดการเลี้ยงดูทดแทนสาหรบั เด็ก กรณีที่ผดู้ ูแลปจั จบุ ันของเด็กไม่สามารถให้การเลย้ี งดเู ด็กได้ อนั อาจเปน็ ผลของการเจบ็ ปว่ ย ถกู กักตัว ติดเชอื้ เสยี ชีวิต หรือมพี ฤติกรรมใช้ความรุนแรงต่อเด็ก จะนาไปสู่ความจาเปน็ ในการจดั หาการเลย้ี งดทู ดแทนให้กับเด็ก ทั้งในลักษณะ ช่ัวคราว (กรณผี ดู้ แู ลตอ้ งเขา้ รับการรักษาพยาบาล หรือถูกกักตัว หรอื อยูใ่ นช่วงการปรับเปลีย่ นพฤติกรรม) หรือระยะยาว (กรณที ี่ผดู้ ูแลเสยี ชวี ิต หรอื ไมม่ ีศักยภาพทจี่ ะดูแลเด็กตอ่ ไปไดอ้ ีก) โดยการจัดการเลีย้ งดูทดแทนสาหรบั เด็ก ควรเป็นไป ตามแนวปฏบิ ัตใิ นการเล้ยี งดูทดแทนสาหรับเดก็ แหง่ สหประชาชาติ (ภาคผนวก 8) คือเน้นการดแู ลบนฐานครอบครัว และ ป้องกนั ไม่ให้เด็กต้องเขา้ ส่สู ถานดแู ลเด็กโดยไมจ่ าเป็น image: Freepik.com ทางเลอื กในการพิจารณาควรเริ่มจากเครือญาติท่เี ด็กมคี วามสนิทสนมและอยู่ในชุมชนเดิม เพ่ือไม่ให้เด็กต้องมีการปรับตัว มากนัก แต่หากญาติไม่มีความพร้อมอาจต้องพิจารณาทางเลือกอื่น ซ่ึงรวมถึงญาติที่อยู่ในพ้ืนท่ีอ่ืน หรือครอบครัวอื่นที่ อาจไม่ใช่ญาติที่มีความพร้อมในการรับเด็กไปเล้ียงดู ทั้งน้ีควรมีการทางานร่วมกับบ้านพักเด็กและครอบครัว เพื่อเตรียม ความพร้อมของญาติ หรือครอบครัวท่จี ะรับเดก็ ไปดูแล เพอื่ ลดปญั หาอุปสรรคในการเปล่ียนผ่านผู้ดูแลของตัวเด็ก การส่ง เดก็ เข้าสู่สถานสงเคราะห์ควรเป็นทางเลอื กสดุ ทา้ ยในการเลีย้ งดูเด็ก เน่อื งจากอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเด็กในระยะยาว ได้ ทั้งนี้ควรมีการจัดทาทะเบียนข้อมูลครอบครัวของตัวเด็กที่ส่งเข้าไปรับการเล้ียงดูทดแทน (ท่ีมีระบบการเก็บรักษา ความลับ) เพื่อใช้ในการตดิ ตาม/ สง่ เดก็ คืนครอบครวั ตอ่ ไป 5.3 การตดิ ตามดแู ลกลุ่มเดก็ และครอบครัวทีม่ ีความเปราะบาง เจ้าหน้าท่ีคุ้มครองเด็ก มีหน้าท่ีในการติดตามความคืบหน้า ของการดาเนินการหรือให้บริการแก่เด็กและครอบครัว โดย อาจดาเนินการเอง หรือผ่านการประสานเครือข่ายที่มีอยู่ รวมถึงการจัดประชุมร่วมกับทีมสหวิชาชีพ เพ่ือติดตาม ความก้าวหน้าและวิเคราะห์ผลการดาเนินงานท่ีเกิดข้ึน ซ่ึง อาจนาไปสู่การปรับแผน หรือปรับเปลี่ยนผู้ให้บริการ เพ่ือให้ เกิดประโยชน์สงู สดุ ตอ่ เดก็ image: Freepik.com
21 แนวปฏิบัตใิ นการปอ้ งกนั และคมุ้ ครองเดก็ สาหรับองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 ท้ังนีค้ วรมีการตดิ ตามผลการช่วยเหลือเป็นระยะ จนกวา่ เด็กและครอบครวั สามารถกลับไปดาเนินชวี ิตได้ตามปกติ เช่น ใน กรณีท่ีเด็กหรือครอบครัว ต้องถูกกักตัว หรือติดเช้ือ ต้องติดตามจนการรักษาเสร็จสิ้น รวมถึงเด็กและครอบครัวสามารถ กลับคืนสู่ชุมชนไปใช้ชีวิตตามปกติ โดยไม่ถูกตีตรา หรือรังเกียจจากชุมชน ในกรณีของเด็กท่ีถูกใช้ความรุนแรงนั้น การ ติดตามจะต้องทาอยา่ งต่อเนื่อง จนแน่ใจว่าเด็กจะไม่ถูกใช้ความรุนแรงอีก ซึ่งรวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ดูแล ปัจจุบัน หรือการหาครอบครัวทดแทนที่เหมาะสมสาหรับเด็ก ถูกกักตัว หรือติดเชื้อ ต้องติดตามจนการรักษาเสร็จส้ิน รวมถึงเด็กและครอบครัวสามารถกลบั คืนส่ชู ุมชนไปใชช้ ีวิตตามปกติ โดยไม่ถูกตีตรา หรือรังเกียจจากชุมชน ในกรณีของ เด็กท่ีถูกใช้ความรุนแรงน้ัน การติดตามจะต้องทาอย่างต่อเน่ือง จนแน่ใจว่าเด็กจะไม่ถูกใช้ความรุนแรงอีก ซ่ึงรวมถึงการ ปรบั เปล่ียนพฤติกรรมของผ้ดู แู ลปัจจุบนั หรือการหาครอบครวั ทดแทนท่เี หมาะสมสาหรบั เด็ก นอกจากนี้มาตรการกักตัวในบ้านท่ีทาให้ครอบครัวถูกจากัดอยู่ในพื้นท่ีร่วมกันเป็นระยะเวลานาน ส่งผลต่อความเครียด ซง่ึ นาไปส่กู ารทะเลาะเบาะแว้ง และการใชค้ วามรุนแรงภายในครอบครวั และความรนุ แรงต่อเด็กได้ด้วย เด็กท่ถี กู กระทาความรนุ แรงในระหว่างสถานการณโ์ ควดิ -19 บางกรณีของการใช้ความรุนแรงต่อเด็กโดยบุคคลในครอบครัวอาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนมาตั้งแต่อดีต แต่เด็กยังได้รับ การดูแลคุม้ ครองจากครูในโรงเรียน หรอื ผู้ดแู ลในศูนยเ์ ดก็ เล็ก ทาใหส้ ถานการณไ์ ม่มีความเลวร้าย แต่การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่ทาให้สถานศึกษาและศูนย์เด็กเล็กต้องปิดตัวลงช่ัวคราวนั้น ส่งผลให้ไม่มีกลไกภายนอกเข้ามาร่วมปกป้อง คุ้มครองเด็ก และมาตรการกักตัวในบ้านที่ทาให้เด็กถูกจากัดอยู่ในพ้ืนท่ีร่วมกับผู้กระทาเป็นระยะเวลานาน อาจทาให้ สถานการณ์ความรนุ แรงท่ีเกดิ ขน้ึ กบั เด็กนั้นเลวรา้ ยมากยิ่งขึ้น รูปแบบของความรุนแรงที่เกิดข้ึนกับเด็ก รวมถึง กรณีที่ต้องเป็นพยานรู้เห็นการใช้ความรุนแรงระหว่างผู้ใหญ่ ซ่ึงส่งผล กระทบเชิงลบด้านจิตใจต่อเด็ก การใช้ความรุนแรงกับตัวเด็กท้ังความรุนแรงทางกาย (รวมถึง การลงโทษอย่างรุนแรง) ความรุนแรงทางจติ ใจ (เช่น การดา่ ทอหรอื ว่ากล่าวเสียดสีด้วยอารมณ์ หรือการกีดกันจากการเข้าร่วมกิจกรรมกับสมาชิก อ่ืนในครอบครัว) การล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น ทั้งน้ีเมื่อต้องอยู่บ้าน เนื่องจากไม่ได้ไปสถานศึกษา และผู้ปกครองต้อง ไปทางาน มหี ลายกรณีที่พบวา่ บคุ คลใกลต้ วั อาจเปน็ ผูก้ ่อเหตคุ วามรนุ แรงแก่เด็กได้อย่างคาดไมถ่ ึงหรือคนไม่สงสยั ในอดีตทผ่ี ่านมา พบว่าอัตราการใช้ความรุนแรงและแสวงประโยชน์ต่อเด็กมักเพ่ิมสูงขึ้นในช่วงมีท่ีมีโรคระบาดและต้องมี การกักตัวอยู่บ้าน ยกตัวอย่างเช่น จานวนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง แรงงานเด็ก เด็กที่ถูกกระทารุนแรงทางเพศ รวมถึงการ ต้ังครรภ์ในวัยรุ่นได้พุ่งขึ้นสูงกว่าปกติในช่วงท่ีมีการปิดโรงเรียนตอนท่ีเชื้อไวรัสอีโบล่ากาลังแพร่ระบาดในทวีปแอฟริกา ตะวนั ตกเมอ่ื ปี พ.ศ. 2557-2559 นอกจากน้ีในสถานการณ์ของโรคระบาด อาจมีความรุนแรงในรูปแบบของการตีตรา เบียดขับ คนบางกลุ่ม เนื่องจาก ความรังเกียจและกังวลในการติดโรค ซึ่งส่งผลให้คนกลุ่มเหล่าน้ันมีความยากลาบากในการอาศัยร่วมกับชุมชน และอาจ เกดิ เปน็ ขอ้ จากัดในการเข้าถงึ บริการท่ีมีความจาเป็นได้
แนวปฏบิ ตั ใิ นการปอ้ งกนั และค้มุ ครองเดก็ สาหรับองคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 22 ภาคผนวก ภาคผนวก 1 กลุม่ เด็กและครอบครวั ทต่ี ้องการการค้มุ ครองจากผลกระทบของโควดิ -19 กลุม่ เด็กและครอบครวั ทต่ี อ้ งการการคุ้มครองจากผลกระทบของโควิด-19 รวมถงึ 1) ครอบครัวทมี่ ีสมาชิกถูกกักตัวหรอื ติดเชอ้ื ซึ่งรวมถึงกรณีเดก็ ทีถ่ กู กกั ตวั หรือติดเชื้อ และกรณีท่ีผู้ดูแลถูกกักตัวหรือติด เชอ้ื ซึง่ สง่ ผลให้เด็กไมม่ ีผดู้ แู ล เดก็ ที่ถูกกกั ตัวหรอื ตดิ เช้อื หากตัวเด็กต้องถูกกักตัวหรือติดเชื้อโควิด-19 ต้องจัดให้เด็กสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ โดยเด็กควรจะสามารถ ติดต่อกับผู้ดูแลได้อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง โดยอาจเป็นการติดต่อออนไลน์ หรือส่ืออ่ืน ๆ ท่ีมีความเหมาะสม เพื่อลด ผลกระทบทางจติ ใจตอ่ เด็ก กรณีทใี่ นครอบครัวมีเดก็ หลายคน และมีท้ังเด็กที่ถูกกักตัว/ติดเชื้อ และไม่ถูกกักตัว/ไม่ติดเช้ือ ต้องมีการจัดการให้เด็กท้ัง สองกลมุ่ ได้รับการเล้ียงดทู ีเ่ หมาะสม เด็กท่ผี ้ดู แู ลถกู กักตัวหรอื ตดิ เช้ือ ซง่ึ ส่งผลให้เด็กไม่มีผดู้ ูแล การแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจส่งผลให้เด็ก หรือผู้ที่มีหน้าท่ีดูแลเด็กได้รับเชื้อโควิด หรือโรคอื่นๆ อันเป็นผลจาก สถานการณก์ ารระบาดของโควดิ -19 สง่ ผลให้เกดิ อาการเจบ็ ป่วย ต้องเขา้ รบั การรกั ษาพยาบาล หรือเสยี ชวี ิตลงได้ กรณีที่ผู้ดแู ลเดก็ ต้องเข้ารับการรกั ษา หรอื เสียชีวิต จะส่งผลให้เดก็ ไมม่ ีผูด้ แู ลได้ โดยเฉพาะกรณีทเ่ี ป็นครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว และไม่มีญาตอิ าศัยอยใู่ นพ้นื ท่ีใกล้เคียง 2) เด็กทีผ่ ้ปู กครองไดร้ บั ผลกระทบและไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้อย่างเหมาะสม รวมถึงกรณีที่มีการใช้ความรุนแรงต่อ เด็ก เดก็ ท่ผี ้ดู ูแลไดร้ ับผลกระทบและไมส่ ามารถเลีย้ งดูเด็กไดอ้ ย่างเหมาะสม ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 นั้นมีความรุนแรง และส่งผลให้หลายครอบครัวต้องตกงาน หรือขาด รายได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการเล้ียงดูเด็ก เช่น การจัดหาอาหารท่ีมีประโยชน์และพอเพียงสาหรับ เด็ก โดยหากมีความรุนแรงมาก อาจทาให้เด็กขาดสารอาหาร หรือไม่สามารถเล้ียงดูเด็กต่อไปได้ หรือต้องส่งเด็กเข้าสู่ ตลาดแรงงาน เพ่ือแบ่งเบาผลกระทบทางเศรษฐกจิ ใหค้ รอบครัว ซึ่งส่งผลไม่ได้กลับเข้าระบบการศึกษาหรือ ต้องออกจาก โรงเรียนกลางคนั อันมีผลต่อการพัฒนาเดก็ ในระยะยาว ในกรณีที่ผู้ปกครองยังมีงานทาและมีรายได้ อาจได้รับผลกระทบจากการไม่มีบริการดูแลเด็กในระหว่างวัน เนื่องจากการ ปิดตัวชั่วคราวของโรงเรียน และสถานรับเล้ียงเด็ก ทาให้ต้องทิ้งเด็กไว้ลาพังระหว่างวัน ซึ่งอาจเกิดอันตรายกับเด็ก โดยเฉพาะในกรณขี องเดก็ เล็ก หรืออาจต้องฝากเด็กไว้กับบุคคลอ่ืน ซึ่งหากเป็นผู้สูงอายุอาจดูแลเด็กท่ีมีความซุกซนได้ไม่ ทั่วถึง อาจสง่ ผลตอ่ ความปลอดภยั ของเดก็ เชน่ การพลดั หลง หรอื การเกดิ อุบตั เิ หตุได้
23 แนวปฏิบตั ิในการปอ้ งกนั และค้มุ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่นิ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 ภาคผนวก 2 แนวการประเมินตนเองดา้ นการดูแลค้มุ ครองเดก็ เพอื่ รองรับสถานการณ์โควดิ -19 สาหรบั องคก์ รปกครองส่วนท้องถิน่ ประเด็นการประเมินตนเอง มี ไม่มี 1. การเตรียมความพร้อม • มกี ารกาหนดทมี งานรับผดิ ชอบการคมุ้ ครองเดก็ หรือไม่ • มกี ารจดั ทาแผนงานด้านการป้องกัน และการชว่ ยเหลอื เด็กและครอบครวั หรอื ไม่ • มกี ารสรา้ งระบบเครอื ข่ายติดตามสถานการณแ์ ละเขา้ ดแู ลชว่ ยเหลือเด็กและครอบครัว หรอื ไม่ • มีการทางานกับสภาเด็กและเยาวชน กลุ่มเด็กเยาวชน ในการรับฟังความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการแก้ไข ปญั หา หรอื ไม่ • มีการจดั ทาฐานข้อมลู เดก็ โดยการรักษาความลับ และขอ้ มูลการบรกิ ารสาหรับเดก็ และครอบครวั หรือไม่ • มีการจัดทาขอ้ มลู เก่ียวกบั โควดิ -19 เพื่อสอ่ื สารกบั เจา้ หน้าที่ เครือข่าย ชุมชน และครอบครวั หรอื ไม่ • เจ้าหน้าที่ เครือข่ายมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 เพ่ือเตรียมการป้องกันและช่วยเหลือ เด็กและครอบครวั การเก็บรกั ษาความลับ หรอื ไม่ • มีการทาความเข้าใจกับชุมชน เพื่อลดการตีตราหรือรังเกียจเด็กหรือครอบครัวที่มีการติดเช้ือ (เช่น ทาความ เข้าใจแนวทางในการควบคมุ ไม่ใหเ้ กิดการแพร่เชอื้ ในชุมชน โดยอาศัยความรว่ มมอื ของทุกฝา่ ย) • มีแนวทางการประสานส่งตอ่ เด็กทีต่ อ้ งการรับบรกิ ารคุ้มครองเด็ก รวมถงึ การเลยี้ งดทู ดแทน หรือไม่ • มีการจดั หาอุปกรณ์ในการดูแลป้องกันตัวเองของเจา้ หนา้ ที่ เครอื ขา่ ย โดยเฉพาะผ้ทู ม่ี หี น้าทเี่ ย่ยี มบา้ น หรือไม่ • มีแนวปฏบิ ตั ิสาหรบั เจา้ หนา้ ท่ี เครือข่ายทีต่ ้องลงพน้ื ที่ เยี่ยมบา้ น/ชุมชน หรอื ไม่ 2. การปอ้ งกัน และการค้นหาเด็กกลมุ่ เส่ยี ง • มกี ารดาเนินงานเพื่อลดปัจจัยเสยี่ งจากการใช้ความรุนแรง/ปล่อยปละละเลย/แสวงประโยชน์ ตอ่ เด็กหรอื ไม่ • มีเครอื ขา่ ยดแู ลความปลอดภัยของพ้ืนท่ีส่วนกลางในชุมชน เพื่อลดความเส่ียงและดูแลเร่ืองการรักษาระยะห่าง ระหวา่ งบุคคล และสุขอนามยั ของเด็ก หรอื ไม่ • มีแนวทางการฟืน้ ฟูบริการสาหรับเดก็ และครอบครัว เช่น โรงเรยี น ศนู ยเ์ ดก็ เลก็ บรกิ ารดา้ นสุขภาพ หรอื ไม่ • มกี ารติดตามสถานการณ์ และเขา้ ดูแลช่วยเหลือเดก็ และครอบครวั ในชมุ ชนทมี่ ีความเสย่ี ง หรือไม่ • มกี ลไก ช่องทางใหเ้ ดก็ และครอบครัว เขา้ ถึงบริการชว่ ยเหลือ หรือไม่ • มกี ารจัดกิจกรรมสาหรบั เด็กตามวัยเพ่ือสร้างกจิ วัตรประจาวันและลดความเครยี ด หรือไม่ • มีการจัดสรรทรพั ยากรเพ่อื สนับสนุนครอบครัว และลดความเครียด หรือไม่ 3. การคมุ้ ครองเดก็ • มกี ารแจง้ เหตกุ รณที มี่ เี ดก็ ไดร้ บั ผลกระทบจากโควดิ -19 /ถกู ใชค้ วามรนุ แรง/ปลอ่ ยปละละเลย/แสวงประโยชน์ หรอื ไม่ • มกี ารประสานสง่ ตอ่ สง่ เดก็ เข้ารบั การคมุ้ ครอง และบริการอ่นื อยา่ งเหมาะสมตามแนวปฏิบตั ทิ ่จี ัดทาไว้ หรือไม่ • มีแนวทางการคืนเดก็ ที่เปน็ กลุ่มเสย่ี ง ติดเช้ือ หรอื ครอบครัวทต่ี ดิ เชือ้ คืนสู่ชุมชนโดยไมถ่ ูกตตี รา หรือไม่ • มกี ารให้คาปรกึ ษากรณีท่ีมีการสญู เสีย และชว่ ยเหลอื สนับสนนุ ดา้ นอนื่ ๆ แกเ่ ด็กและครอบครวั หรือไม่ • มกี ารติดตามความเป็นอยขู่ องเดก็ และครอบครวั หรือไม่
แนวปฏิบัตใิ นการปอ้ งกันและคมุ้ ครองเด็กสาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 24 ภาคผนวก 3 ตวั อยา่ งหนว่ ยงานให้บรกิ ารดูแลคุ้มครองเดก็ กรณีท่พี บเดก็ มปี ัญหาด้านสุขภาพและพฒั นาการ 1) เด็กมีปัญหาโรคตดิ ตอ่ และโรครา้ ยแรง - โรค COVID-19 หากพบเด็กมีอาการตัวร้อน เจ็บคอ มีไข้ อาจจะมีหรือไม่มีน้ามูก คัดจมูก แต่มีอาการไอแห้ง ๆ ไอเยอะ ไอรุนแรง ควรแนะนาให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กนาเด็กไปพบเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขในหน่วยบริการปฐมภูมิท่ีรับผิดชอบ ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล (รพ.สต.) โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์ หรือโรงพยาบาลทั่วไป ที่พร้อมให้ข้อมูล ตรวจประเมิน และให้คาแนะนาเก่ียวกับอาการของโรค ซ่ึงเด็กอาจเป็นโรคไข้หวัดธรรมดา (Common cold) ซ่งึ เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กเลก็ ก็เปน็ ได้ ช่องทางการสื่อสารดา้ นสุขภาพในสถานการณโ์ ควิด-19 7 ช่องทาง ไดแ้ ก่ • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข • ศนู ย์ข้อมูล COVID-19 • สายด่วนกรมควบคมุ โรค โทร. 1422 • สถาบันการแพทย์ฉกุ เฉินแห่งชาติ - สพฉ. 1669 • Facebook: กดดู รโู้ รค • LINE Official: ChatBot 1422 • LINE Official: ไทยรู้ สู้โควิด 2) เด็กมีปญั หาทุพโภชนาการ หากพบว่า เดก็ มคี วามเสีย่ งด้านภาวะทพุ โภชนาการ ได้แก่ ผอมกว่าเกณฑ์ เต้ียแคระแกร็น ผอมแห้ง หรือ อ้วน ควร แนะนาใหพ้ อ่ แม่หรอื ผปู้ กครองของเด็กศึกษาข้อมูลใชส้ มุดบันทึกสขุ ภาพแมแ่ ละเด็ก และถ้าภายหลัง 1 เดือน พบว่า เด็กยังมีปัญหาภาวะทางโภชนาการอยู่ ควรแนะนาพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กพาเด็กไปพบเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข ในหน่วยบริการสาธารณสุขปฐมภูมิที่รับผิดชอบ ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล (รพ.สต.) โรงพยาบาล ชมุ ชน โรงพยาบาลศนู ย์ หรือโรงพยาบาลศนู ยท์ ่วั ไป ที่พรอ้ มใหข้ ้อมูล ตรวจประเมนิ ให้คาแนะนา และรกั ษาต่อไป ชอ่ งทางการส่ือสารดา้ นสุขภาพ ได้แก่ • คลินกิ สุขภาพเด็กดคี ณุ ภาพ (Well Child Clinic: WCC) • ศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เล็กหรือโรงเรียนเทศบาลต้นสงั กดั • เวบ็ ไซตส์ านักโภชนาการ สาหรบั ดาวน์โหลดองค์ความร้ดู ้านโภชนาการ
25 แนวปฏิบตั ิในการปอ้ งกนั และคุม้ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 กรณีทพ่ี บเด็กมปี ญั หาดา้ นสุขภาพและพัฒนาการ 3) เดก็ มีปญั หาทนั ตกรรม หากพบวา่ เดก็ มีความเสี่ยงด้านทันตกรรม ไดแ้ ก่ ฝนั ผุ เหงือกบวม ควรแนะนาใหพ้ อ่ แมห่ รือผู้ปกครองของเด็กศึกษา ข้อมลู ใชส้ มดุ บนั ทกึ สขุ ภาพแมแ่ ละเด็ก และพาเด็กไปพบเจ้าหน้าท่ีทันตสาธารณสุขในหน่วยบริการสาธารณสุขปฐม ภูมิท่ีรับผิดชอบ ถ้าภายหลัง 1 เดือน ยังพบว่า เด็กยังมีความเส่ียงต่อปัญหาทันตกรรมอยู่ ควรแนะนาพ่อแม่และ ผู้ปกครองของเด็กพาเด็กไปพบเจ้าหน้าที่ทันตสาธารณสุขในหน่วยบริการสาธารณสุขปฐมภูมิท่ีรับผิดชอบ ได้แก่ โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตาบล (รพ.สต.) โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์ หรือโรงพยาบาลทั่วไป ที่พร้อมให้ ข้อมูล ตรวจประเมนิ ให้คาแนะนา และรกั ษาต่อไป ชอ่ งทางการส่อื สารด้านสขุ ภาพ ไดแ้ ก่ • คลนิ ิกสุขภาพเด็กดคี ณุ ภาพ (Well Child Clinic: WCC) 4) เดก็ มปี ัญหาพัฒนาการและการเรียนรู้ หากพบว่า เดก็ อยใู่ นบริบทที่ไม่เอือ้ ตอ่ การพัฒนาท้ังด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ตลอดจนการเรียนรู้ ท่ีหยุดชะงัก ควรแนะนาพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กฝึกทักษะต่าง ๆ ผ่านการแลกเปล่ียนองค์ความรู้จากครูและ ผู้ดูแลเด็กหรือเครือข่ายผู้ปกครองของสถานศึกษาของเด็ก ทั้งนี้ ควรใช้คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ปฐมวัย: DSPM สาหรบั ประเมินพัฒนาการเด็กในช่วงอายุน้อยกว่า 2 ปี และ เด็กอายุมากกว่า 2 ปี ที่กาลังเรียนอยู่ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียนเทศบาล เป็นเวลา 1 เดือน โดยเมื่อพ่อแม่และผู้ปกครองของเด็กพาเด็กไปพบ เจ้าหน้าท่ีทนั ตสาธารณสขุ ในหน่วยบริการสาธารณสุขปฐมภูมิท่ีรับผิดชอบ ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล (รพ.สต.) โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์ หรือโรงพยาบาลท่ัวไป เพ่ือสังเกตการตอบสนองแล้วเด็กยังไม่ผ่าน ทักษะ จะได้รับคาแนะนาว่า ให้เฝ้าระวังพัฒนาการตามวัยต่อเน่ืองตามปกติ แต่หากเด็กยังไม่ผ่านทักษะที่เคยตรวจ พบว่าล่าช้า หน่วยบริการสาธารณสุขจะปฐมภูมิจะส่งต่อไปยังหน่วยบริการทุติยภูมิท่ีมีแพทย์ กุมารแพทย์ และ คลนิ ิกกระตนุ้ พัฒนาการตอ่ ไป ช่องทางการส่ือสารดา้ นพัฒนาการและการเรียนรู้ ได้แก่ • คลนิ กิ สขุ ภาพเดก็ ดคี ณุ ภาพ (Well Child Clinic: WCC) • ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนเทศบาลต้นสังกัด (รวมถึงเครือข่ายขององค์กรท่ีทางานด้านเด็ก เช่น มูลนิธิรกั ษ์ไทย) • แอปพลิเคชนั คุณลกู (KhunLook) โดย กรมอนามัย • Facebook: UNICEF Thailand สาหรับติดตามองค์ความรู้ด้านพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ปฐมวยั
แนวปฏบิ ัติในการปอ้ งกันและคมุ้ ครองเดก็ สาหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 26 กรณที พ่ี บเด็กถูกกระทารุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ 1) สามารถแจ้งศูนย์ให้คาแนะนาปรึกษาปัญหาด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว ผ่านบ้านพักเด็กและครอบครัวใน จังหวัด 2) กรณีที่เห็นว่า เด็กอาจไม่ปลอดภัยจากบุคคลในครอบครัว สามารถประสานงานกับพนักงานเจ้าหน้าท่ี (ตาม พรบ.คุ้มครองเด็ก) ผ่านบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัด หรือ สายด่วนศูนย์ข่วยเหลือสังคม 1300 หรือสายด่วน เดก็ 1387 (Child Line) เพ่อื ให้มีการประเมินและช่วยเหลือเด็กตอ่ ไป ท้ังนี้ แนะนาใหศ้ ูนย์พัฒนาเด็กเลก็ หรือโรงเรียนเทศบาลเพิ่มช่องทางสื่อสารกับพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กมากขึ้น โดยอาจจะสร้างกลุ่มออนไลน์ร่วมกับสหวิชาชีพหรือเครือข่ายขององค์กรในพื้นที่ท่ีทางานด้านเด็ก ท่ีสามารถช่วย แลกเปลี่ยนความรู้ ทักษะ และเจตคติในการเล้ียงดูเด็กได้อย่างเหมาะสมและตรงกับความต้องการได้ เช่น องคค์ วามรเู้ กย่ี วกบั วนิ ยั เชงิ บวก การปฏิสมั พนั ธ์เชงิ บวก ซึ่งช่องทางเหล่าน้ีอาจเอื้อให้ครูและผู้ดูแลเด็กเห็นถึงสภาพ ความเป็นอยู่ของเดก็ ไดง้ ่ายข้ึน รายละเอยี ดการติดตอ่ บ้านพกั เด็กและครอบครัว ท่ี บพด.จงั หวดั เบอร์โทรศัพท์ เบอรโ์ ทรสาร เบอรม์ ือถือ ทอี่ ยู่ 1 กาแพงเพชร 0-5571-6881-2 0-5571-6881 08-4439-4977 20 หมู่ 12 ต.นิคมทงุ่ โพธท์ิ ะเล อ.เมอื ง จ.กาแพงเพชร 62000 2 เชยี งราย 0-5360-2528 0-5360-2527 09-1858-6096 104 ม.5 ต.ปา่ ซาง อ.แม่จนั จ.เชยี งราย 57110 3 เชียงใหม่ 0-5312-1036 0-5312-1164 08-9956-1360 63/4 ม.4 ต.ดอนแกว้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 50180 4 ตาก 0-5589-6341-2 0-5589-6341-2 08-1727-6386 555 ม.9 ต.นา้ รึม อ.เมืองตาก จ.ตาก 63000 5 นครสวรรค์ 0-5625-7313 0-5625-7317 08-1727-6385 62/1 ม.6 ต.นครสวรรค์ออก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 60000 6 น่าน 0-5468-2060 0-5468-2061 08-4439-4978 271 ม.7 ถ.น่าน-ทุ่งช้าง ต.ผาสิงห์ อ.เมือง จ.นา่ น 55000 7 พะเยา 0-5488-7252 0-5488-7252 08-9956-1361 29 ม.1 ต.บ้านตา อ.เมอื ง จ.พะเยา 56000 8 พจิ ติ ร 0-5699-0392-3 0-5699-0394 08-9810-5045 29/85 ถ.คลองคะเชนทร์ ต.ในเมอื ง อ.เมอื ง จ.พิจิตร 66000 9 พษิ ณุโลก 0-5526-5017 0-5526-5018 08-4439-4979 334/17 ม.6 ต.ทา่ ทอง อ.เมอื ง จ.พษิ ณุโลก 65000 10 เพชรบูรณ์ 0-5672-2612 0/5672-2611 08-4439-4980 99/10 ม.5 ต.สะเดียง อ.เมืองเพชรบูรณ์ จ.เพชรบรู ณ์ 67000 11 แพร่ 0-5452-0743 0-5452-0744 08-4439-4981 119 ม.1 บา้ นบุญเจริญ ต.แมห่ ล่าย อ.เมืองแพร่ จ.แพร่ 54000 12 แม่ฮอ่ งสอน 0-5369-5001-2 0-5369-5001 08-1764-1126 5/3 ถ.ปางล้อนิคม ต.จองคา อ.เมอื ง จ.แมฮ่ ่องสอน 58000 13 ลาปาง 0-5482-5647-9 0-5482-5648 08-9956-1363 124 ม.1 ถ.ลาปาง-แจห้ ม่ ต.นคิ มพฒั นา อ.เมอื งลาปาง จ.ลาปาง 52000 14 ลาพูน 0-5352-5604 0-5352-5605 08-4429-4985 126 ม.10 ต.บา้ นกลาง อ.เมอื ง จ.ลาพูน 51000 0-5352-5608 15 สโุ ขทยั 0-5561-0791 0-5561-0790 08-4439-4982 157/1 ม.10 ต.ยางซ้าย อ.เมือง จ.สุโขทัย 64000
27 แนวปฏิบตั ิในการปอ้ งกนั และคุ้มครองเดก็ สาหรบั องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 ท่ี บพด.จังหวดั เบอรโ์ ทรศพั ท์ เบอรโ์ ทรสาร เบอร์มือถอื ทีอ่ ยู่ 16 อตุ รดติ ถ์ 0-5547-9791 0-5547-9792 08-4439-4983 209 ม.6 ต.ชยั จุมพล อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ 53130 17 อทุ ยั ธานี 0-5650-3505 0-5650-3504 08-9811-0212 164 ม.3 ต.หลุมเข้า อ.หนองขาหยา่ ง จ.อทุ ยั ธานี 61130 18 กรุงเทพมหานคร 0-2354-7580 0-2354-7582 08-9202-1046 255 ถ.พระราม 6 แขวงท่งุ พญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 0-2354-7582 19 กาญจนบรุ ี 0-3456-4517 0-3456-4517 08-1858-3169 8/8 ม.12 ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบรุ ี 71000 20 ชยั นาท 0-5640-5548 0-5640-5549 08-9810-5769 อาคารสานักงานเลขที่ 119 ม.7 ต.ชัยนาท อ.เมืองชัยนาท จ.ชัยนาท 17000 21 นครนายก 0-3731-5501 0-3731-5502 08-9811-0063 124 ม.10 ต.พรหมณี อ.เมอื ง จ.นครนายก 26000 22 นครปฐม 0-3427-2125-6 0-3427-2127 08-4439-4988 258 ถ.ทวารวดใี ต้ ต.ห้วยจรเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม 73000 23 นนทบุรี 0-2582-1267 0-2582-1266 08-4439-4966 78/64 ม.1 ถ.ตวิ านนท์ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120 0-2582-1299 24 ปทุมธานี 0-2577-2372 0-2577-4955 08-4700-0560 1/119 ม.2 ถ.รังสิต-นครนายก ต.รังสิต อ.ธญั บุรี จ.ปทุมธานี 12110 25 ประจวบคีรขี นั ธ์ 0-3260-0826 08-1736-6358 99/9 ม.7 ต.อา่ วน้อย อ.เมือง จ.ประจวบครี ีขนั ธ์ 77210 0-3260-0830 0-3260-0825 26 ปราจีนบุรี 0-3745-2632-34 0-3745-2632 08-9811-0083 231 ม.5 ต.เนนิ หอม อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี 25230 27 พระนครศรีอยธุ ยา 0-3574-3354 0-3574-3348 08-4439-4967 200/11 ม.2 ต.บอ่ โพง อ.นครหลวง จ.พระนครศรอี ยธุ ยา 13260 28 เพชรบรุ ี 0-3240-1780 0-3240-1781 08-1626-4264 40 ม.3 ต.ช่องสะแก อ.เมือง จ.เพชรบรุ ี 76000 29 ราชบุรี 0-3273-8781 0-3273-8782 08-1736-0297 อาคารศูนย์ส่งเสริมและจัดสวัสดิการสังคมระดับชุมชน ต.บ้านไร่ อ. เมืองราชบุรี จ.ราชบรุ ี 70000 30 ลพบรุ ี 0-3668-9844-5 0-3668-9845 08-4439-4984 212 ม.3 ต.ทะเลชบุ ศร อ.เมอื ง ลพบรุ ี 15000 31 สมทุ รปราการ 0-2463-5963 0-2462-5422 08-1803-8464 51 ม. 7 ต.ทรงคนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ 10130 0-2463-5964 0-2463-5975 32 สมทุ รสาคร 0-3443-2522-4 0-3443-2521 06-2597-2644 9/14 ม.1 ต.บางโทรดั อ.เมอื ง จ.สมทุ รสาคร 74000 33 สมุทรสงคราม 0-3471-0592 0-3471-0593 08-1375-3067 99/4 ม.6 ต.บางแกว้ อ.เมือง จ.สมทุ รสงคราม 75000 0-3471-0593 34 สระแกว้ 0-3724-7330-1 0-3724-7351 08-1377-0714 200 ม.13 ต.สระแก้ว อ.เมอื ง จ.สระแก้ว 27000 0-3724-7351-2 35 สระบุรี 0-3635-1794-7 0-3635-1796 08-1174-9793 437/5 ถ.มิตรภาพ ต.ปากเพรียว อ.เมอื ง จ.สระบุรี 18000 0-3635-1818 36 สิงห์บุรี 0-3651-0950 0-3651-0950 08-9810-8207 246 ม.4 ต.มว่ งหมู่ อ.เมอื งสงิ ห์บุรี จ.สงิ ห์บรุ ี 16000 37 สพุ รรณบรุ ี 0-3552-5223 0-3552-5224 08-1736-0290 1/1 ถ.นางสายทอง ต.ทา่ พเี่ ลย้ี ง อ.เมอื ง จ.สพุ รรณบุรี 72000 0-3552-5224 0-3552-5225
แนวปฏิบตั ิในการป้องกันและค้มุ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่นิ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควดิ -19 28 ที่ บพด.จังหวดั เบอรโ์ ทรศพั ท์ เบอร์โทรสาร เบอร์มือถอื ทีอ่ ยู่ 38 อา่ งทอง 0-3594-9842-3 0-3594-9843 08-4700-8167 20/1 ม.1 ต.หวั ตะพาน อ.วเิ ศษชัยชาญ จ.อา่ งทอง 14110 39 จนั ทบรุ ี 0-3932-7577 0-3932-7577 08-1377-0712 29-93-94 ม.ยลดาวิวล์ 1 ต.วัดใหม่ อ.เมือง จ.จันทบรุ ี 22000 40 ฉะเชิงเทรา 0-3853-5736-7 0-3853-5736 09-8228-2996 12/61-62 ถ.ประชาสวรรค์ ต.หนา้ เมอื ง อ.เมอื ง จ.ฉะเชงิ เทรา 24000 41 ชลบุรี 0-3824-0220 0-3824-0135 08-1861-6830 172/32 ม.4 ถ.สุขมุ วิท ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี 201500 0-3824-0135 42 ตราด 0-3951-0730 0-3951-0731 08-4439-4987 5/1 ถ.ทา่ เรอื จ้าง ต.วงั กระแจะ อ.เมอื ง จ.ตราด 23000 43 ระยอง 0-3868-4895-6 0-3868-4895 08-1861-6831 281/18 ถ.สขุ มุ วทิ ต.ห้วยโปง่ อ.เมือง จ.ระยอง 21150 44 กาฬสนิ ธุ์ 0-4381-2456 0-4381-2224 08-4439-4968 6/19 ถ.เล่ียงเมอื งท่งุ มน ต.กาฬสนิ ธุ์ อ.เมือง จ.กาฬสนิ ธ์ุ 46000 45 ขอนแกน่ 0-4339-3380-1 0-4339-3380 08-1871-2650 222 ม.3 ถ.มิตรภาพ ต.สาราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000 46 ชัยภูมิ 0-4405-6545 0-4405-6547 08-9811-0085 98/1 ม.8 ต.ในเมือง อ.เมืองชัยภมู ิ จ.ชยั ภมู ิ 36000 0-4405-6102 0-4405-6104 47 นครพนม 0-4253-0621 0-4253-0622 09-8363-9799 155 ม.10 ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม 48000 48 นครราชสมี า 0-4492-2765 0-4492-2735 08-1760-1482 1422/1 ถ.สุรนารายณ์ ต.ในเมอื ง อ.เมอื ง จ.นครราชสีมา 30000 49 บงึ กาฬ 0-4249-0640 0-4249-0641 09-0197-7364 346 ม.5 บ้านท่าไคร้ ต.บึงกาฬ อ.เมอื ง จ.บงึ กาฬ 38000 50 บรุ ีรัมย์ 0-4411-0873-74 0-4411-0874 08-1760-1480 1159 ศูนย์ราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ 31000 51 มหาสารคาม 0-4370-6580 0-4375-0860 08-1871-2648 494 ม.11 ต.แวงนา่ ง อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม 44000 52 มกุ ดาหาร 0-4267-3511 0-4267-3511 08-1708-7057 309 ม.4 บ.กุดโงง้ น้อย ต.มกุ ดาหาร อ.เมอื ง จ.มกุ ดาหาร 49000 53 ยโสธร 0-4575-6849 0-4575-6848 08-4439-4969 170 ม.13 บา้ นสะเดา ต.ตาดทอง อ.เมือง จ.ยโสธร 35000 54 ร้อยเอด็ 0-4356-9334 0-4356-9334 08-4439-4970 334 ม.5 ต.นเิ วศน์ อ.ธวชั บรุ ี จ.ร้อยเอ็ด 45170 0-4356-9324 55 เลย 0-4281-0213-4 0-4281-0213 06-3215-4826 253 ม.2 ต.กกดู่ อ.เมือง จ.เลย 42000 56 ศรสี ะเกษ 0-4561-7833 0-4561-7834 08-4439-4971 203/6 ม.9 ถ.กสกิ รรม ต.โพธ์ิ อ.เมอื ง จ.ศรสี ะเกษ 33000 57 สกลนคร 0-4271-2072 0-4271-2072 08-1708-7059 1914 ถ.ศนู ย์ราชการ ต.ธาตุเชิงชมุ อ.เมอื ง จ.สกลนคร 47000 0-4217-4155 58 สุรินทร์ 0-4451-5018 0-4451-5018 08-1877-0354 350/1 ม.14 ต.นอกเมอื ง อ.เมืองสุรนิ ทร์ จ.สุรินทร์ 32000 0-4414-0203 59 หนองคาย 0-4249-5091 0-4249-5229 08/4439-4972 250 ม.14 ถ.หนองสองห้อง-ท่าบ่อ ต.ค่ายบกหวาน อ.เมือง จ.หนองคาย 43100 60 หนองบวั ลาภู 0-4237-8034 0-4237-5450 08-4439-4973 ภายในบริเวณศูนย์ราชการจังหวัดหนองบัวลาภู 985 ม.2 ต.ลาภู อ.เมอื ง จ.หนองบัวลาภู 39000 61 อดุ รธานี 0-4223-7151 0-4223-7151 08-1871-2649 205 ม.10 ถ.อุดรธานี-หนองบัวลาภู ต.นิคมสงเคราะห์ อ.เมือง จ.อดุ รธานี 41000
29 แนวปฏิบตั ิในการปอ้ งกนั และคมุ้ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 ท่ี บพด.จังหวดั เบอรโ์ ทรศัพท์ เบอรโ์ ทรสาร เบอร์มือถือ ทีอ่ ยู่ 62 อบุ ลราชธานี 0-4542-9351-2 0-4542-9351 08-1877-0353 122 ม.8 ถ.เลีย่ งเมือง ต.แจระแม อ.เมอื ง จ.อุบลราชธานี 34000 63 อานาจเจริญ 0-4552-3194 0-4552-3197 08-4439-4974 101 ม.13 ต.โนนหนามแท่ง อ.เมอื ง จ.อานาจเจรญิ 37000 0-4552-3197 04552-3198 64 กระบี่ 0-7561-2323-4 0-7561-2323 08-1271-3218 359 ม.7 ถ.ทา่ เรอื ต.ไสไทย อ.เมอื ง จ.กระบ่ี 81000 65 ชุมพร 0-7759-8573-4 0-7759-8574 08-1891-1640 58/14 ม.11 ต.บางหมาก อ.เมอื ง จ.ชุมพร 86000 66 ตรัง 0-7557-1605-6 0-7557-1605 08-1891-1641 38/17 ถ.โคกขัน ต.ทบั เทีย่ ง อ.เมือง จ.ตรัง 92000 67 นครศรีธรรมราช 0-7535-7990 0-7534-3892 08-1891-1644 (ภายในสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านศรีธรรมราช) 193 ถ.ราชดาเนิน ต.ในเมอื ง อ.เมอื ง จ.นครศรีธรรมราช 80000 68 นราธิวาส 0-7353-2669-70 0-7353-2670 08-1897-9057 79 ม. 8 ต.ลาภู อ.เมือง จ.นราธวิ าส 96000 69 ปัตตานี 0-7346-0246-47 0-7346-0246 08-1738-0121 186/76 ม.6 ถ.หน้าสงเคราะห์ ต.รสู ะมิแล อ.เมอื ง จ.ปัตตานี 94000 70 พังงา 0-7648-6814 0-7648-6815 08-9973-6134 56/122 ม.5 ต.คกึ คกั อ.ตะกั่วปา่ จ.พังงา 82190 71 พทั ลุง 0-7482-9991-2 0-7482-9992 08-4439-4975 185 ม.1 ต.โคกชะงาย อ.เมอื ง จ.พทั ลุง 93000 72 ภูเก็ต 0-7621-3315 0-7621-4369 08-1891-1643 3/96 ม.1 ถ.ศรสี ทุ ัศน์ ต.รษั ฎา อ.เมอื ง จ.ภูเก็ต 83000 0-7621-8165 73 ระนอง 0-7781-0347 0-7781-0346 08-4439-4976 990 ม.3 ต.บางริน้ อ.เมืองระนอง จ.ระนอง 85000 74 สตลู 0-7477-2068 0-7477-2172 08-1738-0120 276 ม.2 ถ.คลองขดุ -นาแค ต.คลองขุด อ.เมอื ง จ.สตูล 91000 75 สงขลา 0-7433-0149-50 0-7433-0149 08-1897-9065 331/25 ม.2 ถ.สงขลา-เกาะยอ ต.พะวง อ.เมอื ง จ.สงขลา 90100 76 สรุ าษฎร์ธานี 0-7735-5092-93 0-7735-5092 08-1891-1645 39/19 ม.1 ต.ขนุ ทะเล อ.เมือง จ.สรุ าษฎรธ์ านี 84100 77 ยะลา 0-7327-4091-92 0-7327-4091 08-1897-9058 62/62 ถ.สขุ ยางค์ ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา 95000 กองคุ้มครองเด็กและเยาวชน (กคค.) กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) โทรศัพท/์ โทรสาร 0-2651-6969
แนวป ิฏ ับ ิตในการ ้ปองกันและคุ้มครองเ ็ดกสาหรับองค์กรปกครอง ่สวนท้องถิ่น ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 30 ภาคผนวก 4 ตวั อย่างแบบทะเบียนการเก็บขอ้ มลู กรณกี ารใช้ความรนุ แรงตอ่ เด็กให้บรกิ ารดูแลคุ้มครองเดก็ ทะเบียนการเกบ็ ข้อมูลกรณกี ารใช้ความรนุ แรงตอ่ เดก็ (ขอ้ มลู น้ีตอ้ งเกบ็ เป็นความลับ) ลาดบั ที่ ชือ่ -นามสกลุ ของเด็ก อายุ เพศ สญั ชาติ ความพิการ ประเภทความรุนแรง (กรณีท่ีมี) ทางกายภาพ ทางเพศ ทางจิตใจ ละเลย แสวงประโยชน์
31 แนวปฏบิ ัติในการปอ้ งกนั และคมุ้ ครองเดก็ สาหรับองคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่น ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 ภาคผนวก 5 ความเสยี่ งเพิม่ ข้นึ ดา้ นความรนุ แรง การถกู ทอดทิง้ และการถูกแสวงประโยชน์ ในช่วงการ ควบคมุ การแพร่ระบาดของโควดิ -19” “เด็กไดร้ ับผลกระทบมากกว่า 1,500 ล้านคนใน 188 ชาติทวั่ โลก 3” • เด็กเกือบทุกคนต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน • เดก็ เขา้ ไม่ถึงการเรยี นทางไกล ไมม่ อี ินเทอร์เนต็ แพง ไมม่ อี ุปกรณ์ • เดก็ ทต่ี ้องพง่ึ พาอาหารท่ีโรงเรยี น จาเป็นต้องได้รบั ความชว่ ยเหลอื ดา้ นอาหาร จากแหลง่ อื่นแทนโรงเรยี น • โรงเรียนปิด ไม่มีกลไกเฝ้าระวัง ช่วยเหลอื • ผู้ปกครองมคี วามเครียด เด็กถูกกระทารุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้น • เด็กอยู่บ้านใช้อินเทอร์เน็ตมากข้ึน เสี่ยงต่อการถูกกระทารุนแรง ถูกละเมิด ถูกแสวงประโยชน์ออนไลน์ • เข้าไม่ถงึ ชอ่ งทางการแจ้งเหตุ บรกิ ารชว่ ยเหลอื • ครอบครวั ขาดรายได้ ลดค่าใช้จ่าย เดก็ และหญิงตงั้ ครรภ์ไม่ได้รับการดูแล สุขภาพและอาหารทจี่ าเปน็ • การรณรงค์วัคซนี ป้องกนั โรคโปลโิ อและโรคหัดในประเทศต่าง ๆ ลดลง • เดก็ ทมี่ ปี ัญหาสขุ ภาพอย่แู ล้ว ไม่ไดร้ บั บริการอย่างต่อเนื่อง 3 อ้างอิง แถลงการณ์ของนายอนั โตนิโอ กูร์เตอร์เรส เลขาธกิ รสหประชาชาติ เรยี กรอ้ งให้รัฐบาลทัว่ โลก “ปกป้องคุ้มครองเดก็ ” ในสถานการณแ์ พร่ระบาดของโควดิ – 19 และ Ms.Najat Maalla M'jid ผ้แู ทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาตวิ ่าดว้ ยการความรุนแรงตอ่ เด็ก
แนวปฏบิ ัติในการป้องกนั และคมุ้ ครองเด็กสาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 32 ภาคผนวก 6 ประเภทของการใช้ความรุนแรง/การปล่อยปละละเลย/แสวงประโยชน์ต่อเด็ก และ ผลกระทบที่เกิดขน้ึ โดย รศ.พญ.วนดิ า เปาอนิ ทร์ หลกั สูตรการคุ้มครองเด็กออนไลน์ www.thailandprotection.org ความรุนแรงต่อเด็ก คือ การกระทาหรือละเว้นการกระทาในการเล้ียงดูเด็กจน ส่งผลใหเ้ ดก็ เสยี ชีวติ หรือได้รับอันตรายด้านร่างกาย พัฒนาการ และ สุขภาพจิต การ ล่วงละเมิดทางเพศ ตลอดจนการแสวงหาผลประโยชน์จากเด็ก ใช้ให้เด็กกระทาหรือ ประพฤติในลักษณะที่น่าจะเป็นอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ พัฒนาการ หรือขัดต่อ กฎหมาย ศีลธรรมอันดี ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ ท้ังน้ี รวมถึงละเว้นการกระทา จน ทาใหเ้ กิดความเสี่ยงตอ่ ภาวะดงั กล่าวขา้ งต้นดว้ ย ความรุนแรงด้านร่างกาย หมายถึง การกระทาใด ๆ ก็ตามท่ีทาให้เด็กเกิดการ บาดเจ็บทางรา่ งกาย โดยตงั้ ใจรวมถงึ การฝกึ วนิ ยั ทีม่ ีการลงโทษทางกาย ทงั้ การใชแ้ ละไม่ใชว้ ัตถุ เช่น การชกต่อย ตบตี ใช้ ของร้อน การกดน้า การใช้สารพิษ การผูกมัด รวมถงึ การเขย่าเด็กเล็ก ทราบได้อย่างไรวา่ เด็กถูกทา่ รา้ ย เด็กที่ถูกทาร้ายอาจมีหลายลักษณะบาดแผลอาจมีร่องรอยเล็กน้อยจนถึงบาดเจ็บ เสียชีวิต อาจได้ประวัติการถูกทาร้าย ชัดเจนหรอื ไมม่ ีผู้ให้ประวัติการทารา้ ยเด็ก การตรวจสอบว่า เด็กถูกทาร้ายหรือไม่ ควรสอบถามประวัติการบาดเจ็บให้ได้ รายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน ดีท่ีสุดคือให้ผู้ท่ีอยู่ในเหตุการณ์เล่าเรื่องเอง โดย ไม่มีการขัดจังหวะเม่ือเล่าแล้วจึงถามรายละเอียดเพิ่มเติมเพ่ือให้มีความชัดเจน มากขึ้น ถ้ามีผู้ท่ีอยู่ในเหตุการณ์หลายคนให้ซักถามแยกทีละคน บันทึกลาดับ เหตุการณ์ตามคาบอกเล่าของ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แต่ละคนโดยละเอียด ถ้าเด็ก โตพอท่ีจะเล่าเร่ืองได้ ควรแยกคุยกับเด็กโดยไม่มีผู้ดูแลอยู่ด้วย ในกรณีที่ไม่ สามารถแยกเด็กออกจากผู้ดูแลเน่ืองจากเด็กกลัวการอยู่กับคนอ่ืน สามารถให้ ผู้ดแู ลทไ่ี ม่ใชผ่ ู้กระทาอยู่ด้วยในขณะทาการซักถามเด็กได้ โดยแนะนาให้ผู้ดูแลน่ัง แยกกับเด็กและอยู่ทางด้านหลังเด็ก แจ้งผู้ดูแลไม่ให้ตอบคาถามแทนเด็กการทา แบบนี้จะช่วยให้เด็กรู้สึกปลอดภัยที่ไม่ต้องอยู่กับผู้อื่นตามลาพังและจะช่วยให้ผู้ดูแลไม่รบกวนการเล่าเร่ืองของเด็กไม่ว่า จะโดยคาพดู หรือทา่ ทาง เม่ือสอบถามข้อมูลเก่ียวกับเหตุการณ์แล้ว ให้ซักถามเพ่ิมเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมและอาการของเด็กก่อนขณะและหลัง เหตกุ ารณ์ สอบถามพัฒนาการหรอื ความสามารถของเด็ก ลักษณะกจิ วัตรของเด็กในแตล่ ะวนั ใครเป็นผู้ดแู ล
33 แนวปฏิบัติในการปอ้ งกนั และค้มุ ครองเดก็ สาหรบั องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 เดก็ ประวัตกิ ารเจ็บป่วยของเดก็ และการรักษาทีผ่ ่านมา วิธกี ารซักถามตอ้ งไม่เปน็ การกล่าวหาไมต่ าหนิ เช่น อาจถามผู้เล้ียงดูว่า “เคยคิด หรือกังวลหรือไม่ว่าอาจมีคน ทาร้าย เด็ก” และไม่ว่าจะมีการให้ข้อมูลหรือปฏิเสธการทาร้ายควรบันทึกไว้ ควรบันทึกโดยละเอียดตามคาบอกเล่าของผู้ให้ ข้อมูลระบุว่าใครเป็นผู้ให้ข้อมูลและการซักถามประวัติอย่างรอบคอบการบันทึกอย่างละเอียดจะช่วยในการค้นหา ข้อเทจ็ จรงิ และช่วยเม่ือมีการตรวจสอบขอ้ มลู ในเวลาต่อมา พึงระวงั วา่ เดก็ อาจไมย่ อมเปิดเผยเร่ืองการถูกทารา้ ย เน่ืองจากอาจกลัวการถกู ทาร้ายซ้า หรือไม่ อยากใหผ้ ู้ทารา้ ยเดอื ดรอ้ น หรืออาจกลัวการถกู แยกจากครอบครัว ในกรณีทผี่ ู้ดูแลไม่ยนิ ยอมใหม้ ีการพดู คุยกบั เด็กตามลาพัง สามารถตั้งเป็นข้อสังเกตได้ และ ควรสอบถามโดยมที ่าทที ี่เป็นกลาง วา่ ผู้ดูแลมีความกงั วลอะไรหรือไม่ สังเกตท่าที และควร บันทึกท้ังคาพดู และทา่ ทีของผดู้ แู ล ข้อมลู ท่คี วรรวบรวมเมอื่ มีเดก็ สงสัยถกู ทารณุ กรรม 1. พื้นอารมณข์ องเด็ก ลักษณะนิสัย กจิ วตั รของเด็กทบ่ี ้านที่โรงเรียน (กรณีท่ีเข้าโรงเรียนแล้ว) หรือสถานท่ีอ่ืน ท่เี ดก็ ใชช้ วี ิตอยู่ เช่น สถานรบั เลีย้ งเดก็ 2. รูปแบบครอบครัวในการเลีย้ งดูเดก็ ความคาดหวังของบิดามารดาในเรื่อง พฤติกรรมและความสามารถของ เด็ก 3. ประวัติการตั้งครรภ์ การวางแผนมีบุตร ความต้องการบุตร การดูแลและภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ คลอดและหลังคลอด ภาวะซึมเศร้าของมารดาหลังคลอด 4. ผู้ดูแลหรือคนในครอบครัวใช้สารเสพติดมีปัญหาสุขภาพจิต เคยถูกจับกุมดาเนินคดีหรือมีความรุนแรงใน ครอบครัว 5. ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ฐานะของครอบครวั หรอื ปญั หาการถูกกดดนั จากสงั คม 6. ประวัตเิ ด็ก พ่นี ้อง หรอื คนในครอบครวั ทถ่ี ูกทาร้าย 7. ประวตั ิการเจ็บป่วย พัฒนาการของเด็ก 8. ประวัตคิ รอบครัว ไดแ้ ก่ โรคพันธกุ รรม โรคเลอื ดออกง่าย โรคกระดกู และอน่ื ๆ การตั้งข้อสังเกตและข้อสงสัยการทาร้ายเด็ก ถ้าสามารถทาได้เร็วจะช่วยให้สหวิชาชีพเข้ามาดาเนินการได้โดยเร็ว ช่วย ป้องกันการกระทาซ้าหรืออาจเป็นการช่วยป้องกันไม่ให้เด็กเสียชีวิต เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่พบว่าเด็กจานวนมากท่ีถูก ทาร้ายไม่ไดเ้ ป็นการทารา้ ยครง้ั แรก
แนวปฏบิ ตั ิในการป้องกนั และคมุ้ ครองเด็กสาหรับองคก์ รปกครองส่วนท้องถิน่ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 34 ข้อมลู จากประวตั ทิ ่คี วรสง่ สยั ว่ามีการท่าร้ายเดก็ 1. ไมม่ ีคาอธิบาย หรือมคี าอธิบายท่ไี มส่ มเหตผุ ล หรือไมต่ รงกบั ลกั ษณะหรือ ความรุนแรงของการบาดเจ็บของเด็ก หรอื ลกั ษณะเหตกุ ารณไ์ ม่สอดคล้อง กับพัฒนาการของเด็ก 2. เม่อื เลา่ ซ้า มีการเปลยี่ นแปลงรายละเอยี ดสาคญั ในเหตุการณ์ที่เกดิ ข้นึ 3. ไม่นาเด็กไปรบั การรักษาหรอื พาไปชา้ โดยไมม่ ีคาอธบิ ายท่ีเหมาะสม 4. คนท่ีอยหู่ รือเห็นเหตุการณเ์ ล่าเหตกุ ารณ์ต่างกนั อยา่ งชัดเจน การตรวจสภาพรา่ งกาย ควรตรวจสภาพรา่ งกายทวั่ ตัวเพอ่ื หาร่องรอยการบาดเจ็บและร่องรอยท่ีแสดงถึงการละเลยไม่เอาใจใส่เด็ก ได้แก่ ตัวผอม ขาดสารอาหาร ฟันผุท่ัวปาก เนื้อตัว เส้ือผ้าสกปรก ตรวจหาบาดแผลทั่วร่างกาย บริเวณศีรษะ หนังศีรษะ ทรวงอก ซ่ีโครง ท้อง แขน ขา มือ เท้า ช่องปาก ฟัน ตรวจหาบาดแผล รอยฟกช้า (ระบุสีของรอยฟกช้า) รอยไหม้ รอยกัด ควร ถ่ายภาพหรอื บนั ทกึ ลักษณะ ขนาด ตาแหน่งไว้ คลาตามร่างกายว่าเด็กเจ็บบริเวณใดหรือไม่ สังเกตการเคล่ือนไหว ความ รู้สึกตัว ตรวจวดั นา้ หนกั สว่ นสงู พฒั นาการ (ถ้าทาได)้ และสง่ พบแพทย์เพ่ือคน้ หาข้อมูลการบาดเจบ็ เพ่ิมเตมิ ขอ้ มูลจากสภาพรา่ งกายที่ควรสงสัยว่ามกี ารทา่ รา้ ยเดก็ 1. การบาดเจ็บที่เกดิ ขน้ึ ในทารกทีย่ งั คลานไม่เป็นหรือไม่สามารถเคล่ือนที่ด้วยตนเองแต่มีรอยฟกช้าตามตัว มีแผลฉีก ขาดในปาก กระดกู หกั มีการบาดเจบ็ ในกะโหลกศรี ษะหรือในชอ่ งท้อง 2. การบาดเจ็บทีเ่ กดิ กับอวยั วะหลายอย่าง 3. การบาดเจ็บที่แสดงวา่ เกิดขึน้ ตา่ งเวลากัน 4. รูปแบบการบาดเจบ็ ทบี่ ง่ บอกวัตถเุ ฉพาะ เช่น เตารีด บุหรี่ ไม้แขวนเสอื้ รวมถึงรอยกัด 5. การบาดเจบ็ ท่ีอยใู่ นตาแหนง่ ทพ่ี บได้นอ้ ยจากอุบตั เิ หตุ เช่นที่กลางลาตัว หน้า ใบหู คอ ดา้ นในของแขน ขา 6. มลี ักษณะบง่ บอกถงึ การละเลยไมเ่ อาใจใสเ่ ด็ก 7. การบาดเจ็บตอ่ สมอง กระดกู หกั หรอื การบาดเจบ็ ตอ่ อวัยวะอืน่ ๆ ทแ่ี พทย์ระบุหรือสงสัยว่าเกดิ จากการทาร้าย 8. บาดแผลนา้ ร้อนลวกแบบถุงมือ ถุงเท้า แสดงถึงการจับมือหรือเท้าเด็กกดจุ่มในน้าร้อน หรือในกรณีท่ีวางเด็กไว้ใน อ่างหรือภาชนะอื่น แล้วเทราดน้าร้อนใส่อ่างทาให้ผิวหนังเด็กที่ติดอยู่กับก้นอ่างไม่โดนลวกอยู่ตรงกลางล้อมรอบ ด้วยผิวหนังท่ีโดนลวก (แบบโดนทั )
35 แนวปฏบิ ัติในการปอ้ งกนั และค้มุ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่น ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 ประเด็นสาคญั ความรุนแรงทางด้านร่างกาย หมายถึง การกระทาใด ๆ ก็ตาม ที่ทาให้เด็กเกิดการบาดเจ็บ ทางรา่ งกาย โดยตง้ั ใจ ให้ซักถามประวัติผู้ท่ีอยู่ในเหตุการณ์แยกกันทีละคน รวมถึงตัวเด็กด้วย บันทึกลาดับ เหตกุ ารณ์ตามคาบอกเลา่ ของผทู้ ่อี ยู่ในเหตกุ ารณแ์ ตล่ ะคนโดยละเอียด ตรวจสภาพร่างกายเบื้องต้นทั่วตัว บันทึกลักษณะการบาดเจ็บ ถ่ายรูปเก็บไว้และส่งพบ แพทยเ์ พ่ือตรวจเพม่ิ เตมิ ต้ังข้อสงสัยการทาร้ายเด็กเม่ือพบการบาดเจ็บที่ไม่มีคาอธิบายท่ีสมเหตุผล การบาดเจ็บท่ี เกิดกับอวัยวะหลายอย่าง หรือหลายครั้ง การบาดเจ็บที่มีลักษณะของวัตถุเฉพาะ รวมถึง การพบลกั ษณะเดก็ ถูกละเลย หรือการบาดเจ็บที่แพทยร์ ะบวุ า่ สงสยั เกดิ จากการทารา้ ย การบันทึกท่ีมีรายละเอียดตามคาบอกเล่า และระบุผู้ให้ข้อมูลรวมถึงการส่งต่อข้อมูล และ ประสานการทางานกับสหวิชาชีพ จะช่วยให้การสืบค้นข้อเท็จจริงและช่วยในกระบวนการ ช่วยเหลือเดก็ ความรนุ แรงดา้ นเพศ หมายถึง การให้เด็กเขา้ ไปมสี ว่ นร่วมกับกิจกรรมทางเพศของผู้ใหญ่ ไมว่ ่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม ซ่ึงตามพัฒนาการแล้วเด็กมักจะไม่มีความเข้าใจกับส่ิงท่ีเกิดข้ึน ผู้กระทาอาจเป็นผ้ใู หญห่ รือเป็นเดก็ ท่โี ตกวา่ ซง่ึ สามารถใช้อายุ หรือพัฒนาการ ที่มากกว่าทา ใหเ้ ดก็ ถูกควบคุม ชกั นา หรือใช้กาลังบังคับ ให้ร่วมกิจกรรมทางเพศ ท้ังนี้ อาจมี หรือไม่มี การจับต้องเด็ก กรณีที่ไม่ได้จับ ต้องเด็ก เช่น การเปิดเผยอวัยวะเพศให้เด็กดู การแอบดู การถ่ายภาพเด็กเพอื่ เปน็ การโฆษณาการค้าทางเพศ รวมถงึ การพูดจาที่ส่อไปทางด้านเพศกับ เด็ก สว่ นกรณีที่มกี ารจับต้องเด็ก มีตั้งแต่การจับอวัยวะเพศ หน้าอก สะโพก ก้น หรือการให้ เด็กจับต้องร่างกายของผู้กระทาบริเวณดังกล่าว จนถึงการมีสอดใส่อวัยวะเพศ หรือวัตถุ ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือ การใชอ้ วัยวะเพศกับรา่ งกายสว่ นอน่ื ของเด็ก การส่งพบแพทย์เพื่อตรวจหาร่องรอยความรุนแรงทางเพศ ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นควรนาส่งแพทย์ทันที โดยไม่มี การชาระลา้ งรา่ งกาย และไมต่ อ้ งเปลยี่ นเส้ือผ้า หรอื นาเสอ้ื ผ้าที่ใสข่ ณะเกิดเหตุ (ท่ียังไม่ได้ซัก) รวมถึงเก็บวัสดุต่าง ๆ ในท่ี เกดิ เหตุท่ีอาจมกี ารปนเป้อื นมาดว้ ย เชน่ ผ้าเช็ดตวั ผ้าปูที่นอน ฯลฯ ถ้าแพทย์ตรวจพบตัวอสุจิ หรือส่วนประกอบของน้าอสุจิ หรือตรวจพบการต้ังครรภ์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะ ช่วยยนื ยนั การกระทาชาเราหรอื การล่วงละเมดิ ทางเพศได้ แตส่ ่วนใหญม่ ักตรวจไม่พบความผิดปกติ เน่ืองจากปัจจัยหลาย อย่าง ได้แก่ ระยะเวลาที่พามาตรวจ ถ้าเกินสามวันหลังเกิดเหตุการณ์ มักตรวจไม่พบตัวอสุจิ และส่วนประกอบของน้า อสจุ ิ และเน่ืองจากเน้อื เย่ืออวัยวะเพศโดยเฉพาะในเด็กวยั รุ่นมีความยืดหยนุ่ สูง อาจไม่มีการบาดเจ็บเม่ือมีการสอดใส่วัตถุ และถึงแมจ้ ะมบี าดแผลหรือการบาดเจ็บจากการสอดใส่ การบาดเจบ็ มกั จะหายไดใ้ นเวลารวดเรว็
แนวปฏิบตั ใิ นการปอ้ งกนั และคมุ้ ครองเดก็ สาหรบั องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 36 ข้อมูลจากการศึกษาพบว่าวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่ตรวจอวัยวะเพศไม่พบความผิดปกติ และข้อมูลจาก การศึกษาท่ีผู้กระทารับสารภาพว่าได้ทาการล่วงละเมิดทางเพศเด็กเล็ก ผลการตรวจเด็กท่ีถูกกระทาส่วน ใหญ่ ก็ไม่พบความผิดปกติเช่นเดียวกัน จึงควรระลึกไว้เสมอว่า ผลการตรวจท่ีไม่พบความผิดปกติ ไม่ สามารถนามาใช้ปฏเิ สธความรนุ แรงดา้ นเพศต่อเด็ก การซักประวัติเด็กที่สงสัยถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีความสาคัญมาก เพราะอาจเป็นข้อมูลอย่างเดียวที่มี ควรแยกคุยกับ เด็กโดยไม่มีผู้ดูแลอยู่ด้วย ในกรณีท่ีไม่สามารถแยกเด็กออกจากผู้ดูแล เนื่องจากเด็กกลัวการอยู่ตามลาพังกับคนอื่น สามารถให้ผู้ดูแลที่ไม่ใช่ผู้ท่ีถูกสงสัยว่าเป็นผู้กระทาอยู่ด้วยในขณะทาการซักถามเด็กได้ โดยแนะนาให้ผู้ดูแลน่ังแยกกับ เด็ก และให้อยู่ทางด้านหลังเด็ก แจ้งผู้ดูแล ไม่ให้ตอบคาถามแทนเด็ก การทาแบบน้ีจะช่วยให้เด็กรู้สึกปลอดภัยที่ไม่ต้อง อยกู่ บั ผ้อู นื่ ตามลาพัง และช่วยใหผ้ ้ดู ูแลไม่รบกวนการเล่าเร่ืองของเดก็ ไม่ว่าจะโดยคาพดู หรือท่าทาง ในกรณีที่ผู้ดูแลไม่ยินยอมให้มีการพูดคุยกับเด็กตามลาพัง สามารถต้ังเป็นข้อสังเกตได้ และควรสอบถามโดยมีท่าทีท่ี เป็นกลาง ถึงสาเหตุท่ีไม่ยินยอมให้มีการพูดคุยกับเด็กตามลาพัง สอบถามว่าผู้ดูแลมีความกังวลอะไรหรือไม่ สังเกต ท่าที และควรบันทกึ ทา่ ที และคาพดู ของผูด้ ูแลไว้ วิธกี ารพดู คยุ กบั เดก็ เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มูลทนี่ า่ เช่ือถอื ได้ แนะนาแบง่ เปน็ ขั้นตอนดงั นี้ 1. ขั้นตอนการสร้างความคุ้นเคยและไว้วางใจ ชวนเด็กคุย เร่ืองท่ัว ๆ ไป เช่น ชอบกินอะไร เพ่อื นช่ืออะไร 2. ข้ันตอนนาเข้าสู่เร่ืองที่ต้องการ โดยใช้คาถาม ปลายเปิด เช่น “หนูมีเร่ืองไม่สบายใจม้ัย” “แม่พาหนูมาทาอะไร” ถ้าเด็กยังไม่เล่าเร่ือง อาจใช้คาถามที่ใกล้เร่ืองมากขึ้น เช่น “หนูเล่า ให้แม่ฟังเรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้น หนูลองเล่า เรื่องนั้นให้ฟังหน่อยได้ม้ัย” หรือ “แม่บอกว่า หนูเจ็บเวลาฉ่ี หนูลองเล่าให้ฟังหน่อยว่าเกิด อะไรข้นึ ” 3. ข้ันตอนรวบรวมข้อมูล เม่ือเด็กสามารถเล่าเร่ืองราวได้ ให้เด็กเล่าโดยไม่ขัดจังหวะ และให้ถามข้อมูลเพิ่มเติม โดย ให้เป็นคาถามปลายเปิด เพ่ือรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับจานวนผู้กระทา เด็กที่ถูกกระทา คนอื่น การทาร้ายหรือการขู่ทาร้าย การถ่าย ภาพนิ่งหรือบันทึกภาพเคลื่อนไหว ถ้า พึงระวัง ว่าอาจมีข้อจากัดหลายอย่างในการ จาเป็นต้องถามคาถามปลายปิดควร พยายามถามให้มีตัวเลือก เช่น แทนท่ี ซักถามเด็ก ได้แก่ พัฒนาการด้านภาษาของเด็ก ความ จะถามว่า “เกิดข้ึนตอนเย็นใช่ม้ัย” ให้ เข้าใจอย่างจากัดต่อเร่ืองที่เกิดขึ้น หรือเด็กอาจไม่ยอม ถามว่า “เกิดข้ึนตอนไหน เช้า กลางวัน เปิดเผยเรื่องราว เนอ่ื งจากถกู ข่มขู่ หรอื กลัวผู้กระทา เยน็ คา่ ”
37 แนวปฏบิ ตั ิในการปอ้ งกนั และคุ้มครองเดก็ สาหรับองคก์ รปกครองสว่ นท้องถนิ่ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 ความรนุ แรงดา้ นจิตใจ คอื การทผ่ี ดู้ แู ลไม่ให้ความรัก ความเอาใจใสด่ แู ล หรอื มกี ารทาร้ายจิตใจ หรือ อารมณ์ของเด็ก รวมถึงการไม่สนบั สนนุ ให้เดก็ เติบโตได้อย่างม่ันคง ท้ังทางด้านร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ความดีงาม และการอยู่ร่วมใน สงั คม ตัวอยา่ งความรุนแรงด้านจติ ใจ • การมีปฏิสัมพันธ์หรือปฏิบัติต่อเด็กอย่างต่อเนื่อง ในลักษณะท่ีทาให้รู้สึกต่าต้อย ด้อยค่า ไม่มีตัวตน ตาหนิ ไมเ่ ปน็ ที่รัก ไมเ่ ปน็ ทต่ี ้องการ แสดงทา่ ทีไมต่ อ้ งการเด็ก ทาให้เดก็ เปน็ ส่วนเกนิ หรอื ท่าทที ร่ี งั เกียจเด็ก • การทารา้ ยสัตว์เล้ยี ง หรอื ทาลายของรกั ของเดก็ โดยตงั้ ใจให้เกิดผลกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึกของเดก็ • ทาให้เดก็ รสู้ ึกแปลกแยกแตกต่าง ยวั่ ใหโ้ กรธ หรอื ให้เปน็ ตวั ตลกซา้ ๆ • การขใู่ หก้ ลัวซ้า ๆ ขทู่ าร้าย ขวู่ ่าจะทิ้ง ไม่ดูแล • กล่าวโทษว่าเด็กเป็นต้นเหตขุ องความเดือดรอ้ น หรอื ความไมป่ กติสุขของครอบครวั • การควบคุมจากัดเดก็ ทงั้ ทางด้านร่างกายให้อยู่ในที่จากัด กักขัง ควบคุมไม่ให้เด็ก ทากิจกรรมที่ควรทาเพ่ือ การพฒั นา • ควบคุมหรอื ครอบงาความคดิ ทาใหเ้ ดก็ เกดิ ความคดิ ในแง่ลบ ต่อตนเอง ตอ่ ผอู้ ืน่ ต่อสังคม การละเลยทอดทิ้ง คือ การทอดทิ้ง ไม่ให้การดูแล หรือจัดหาสิ่งท่ีจาเป็นในการดาเนินชีวิตให้เป็นปกติสุขแก่เด็ก ทั้งที่ อยู่ในฐานะท่ีสามารถจัดหาได้ อาจเกิดทุกด้านหรือเพียงบางด้าน เช่น อาหาร เส้ือผ้า ที่พักอาศัย ความสะอาดร่างกาย สภาพแวดลอ้ ม การรักษาพยาบาล การรับวัคซีนตามวัย การศึกษา การละเลยหรือไม่ปกป้องเด็กจากอันตราย ไม่ดูแลให้ เดก็ มีความปลอดภยั ในชีวติ ประจาวนั รวมถงึ การละเลยด้านอารมณจ์ ติ ใจ ไมต่ อบสนอง ไม่เปน็ ท่พี ่ึงพิง ความรุนแรงด้านอื่น ๆ ได้แก่ การแสวงประโยชน์ การค้าเด็ก การใช้แรงงานเด็ก การใช้ให้เด็กขอทาน ค้ายาเสพติด การให้เด็กขายบริการ หรือเป็นส่วนหนึ่งของการขายบริการทางเพศ การบังคับแต่งงาน การบังคับหรือชักจูงเด็กเข้าร่วม ในการสู้รบหรือกิจกรรมอื่น ๆ ท่ีส่งผลกระทบต่อร่างกาย สุขภาพจิต การเรียนรู้ และจิตวิญญาณ รวมถึงการท่ีผู้ดูแลมี ปญั หา สุขภาพจติ เปน็ โรคจติ เภทท่คี วบคุมอาการไมไ่ ด้ ผู้ดแู ลไม่สามารถควบคุมอารมณ์หรือพฤติกรรมของตนเอง มีความบกพร่องทางสติปัญญา ผู้ดูแลติดแอลกอฮอล์หรือสาร เสพตดิ ผดู้ แู ลคา้ ยาเสพติดหรอื ทางานผิดกฎหมาย หรือการเติบโตในครอบครวั ทใี่ ช้ความรุนแรง
แนวปฏบิ ตั ใิ นการปอ้ งกนั และคุ้มครองเดก็ สาหรบั องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโควิด-19 38 ขอ้ มลู จากที่ควรสงสยั ว่าเด็กถกู กระท่ารุนแรง หรือได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตเป็นปกติสุข นอกจากประเด็นข้อมูลท่ีบ่งถึงการถูกกระทารุนแรง รูปแบบต่าง ๆ ดังที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว อาจสังเกตประเด็นอ่ืน ๆ ร่วมด้วย ท่ีควรต้ังข้อสงสัย การกระทารุนแรงต่อเด็ก ไดแ้ ก่ • เด็กมีพฤตกิ รรมเปลย่ี นแปลงไปจากการมีกิจวัตรที่เป็นปกติ เช่น กินน้อย ไม่ยอม กิน หรือกินมาก ไม่อิ่ม การนอน นอน ไม่หลับ ฝันร้าย ไม่เล่นของเล่นท่ีเคยชอบ มีปัญหาการเรียน ผลการเรียนตก • เดก็ มลี ักษณะทแี่ สดงใหเ้ หน็ ว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ • มีการเจ็บปว่ ย โรคเร้อื รงั โรคประจาตวั โดยไมไ่ ด้รบั การดูแล • ไม่มีความสขุ หรือมอี าการซมึ เศร้า หวาดกลวั ระแวง ทาร้ายตัวเอง • อยากฆ่าตัวตาย หรือปญั หาทางดา้ นอารมณ์ในรปู แบบอนื่ • ไมเ่ ห็นขอ้ ดีของตนเอง รูส้ กึ ว่าเปน็ คนไมม่ ีคา่ ไมม่ ใี คร ต้องการ หรอื ไม่มีใครรกั • ไม่มีปฏสิ ัมพนั ธก์ บั คนอน่ื • ก้าวรา้ ว ทารา้ ยเด็ก ทารา้ ยสัตว์ ทาลาย ข้าวของ มีพฤติกรรมที่เป็นอันตราย ต่อ ตนเอง หรอื ปญั หาพฤติกรรมรปู แบบอนื่ อ่นื • ปัญหาพฤติกรรม เช่น ขโมย หนีออกจากบ้าน แยกตัว ด่ืมเหล้า ใช้สารเสพติด เล่นการพนนั • พฤติกรรมทีแ่ สดงออกด้านเพศ หรอื มีความรู้หรอื การพูดถงึ เร่อื งเพศเกินกว่าวยั • มีช่วงเวลาท่ีเด็กเล็กต้องอยู่ตามลาพัง หรือเด็กวัยรุ่นที่อยู่ลาพงโดยไม่สามารถ ตดิ ต่อขอความชว่ ยเหลือเมอ่ื ต้องการ
39 แนวปฏบิ ตั ิในการปอ้ งกนั และคุ้มครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นท้องถิน่ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 ประเด็นสาคญั ความรนุ แรงตอ่ เด็ก คอื การกระทาหรือละเวน้ การกระทาในการดูแลเด็ก จนส่งผลให้เด็ก ไดร้ บั อันตรายดา้ นร่างกาย พัฒนาการ และสขุ ภาพจติ ความรนุ แรงดา้ นเพศ หมายถึง การใหเ้ ด็กเข้าไปมีส่วน ร่วมกับกิจกรรมทางเพศของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบใดกต็ าม ทั้งแบบทม่ี ีและไม่มีการสัมผัสจับต้อง ตัวเดก็ การตรวจหาร่องรอยความรุนแรงทางเพศโดยแพทย์ ส่วนใหญ่มักไม่พบความผิดปกติ ผลการตรวจที่ไม่พบ ความผิดปกติ ไม่สามารถนามาใช้ปฏิเสธความรุนแรง ด้านเพศตอ่ เดก็ การซักประวัติเด็กที่สงสัยถูกล่วงละเมิดทางเพศมีความสาคัญมาก เพราะอาจเป็นข้อมูล อย่างเดียวที่มี ควรแยกคุยกับเด็กโดยไม่มีผู้ดูแลอยู่ด้วย แนะนาให้ใช้วิธีการพูดคุยเป็น กันเอง โดยพยายามใหเ้ ด็กเลา่ เรือ่ งเอง และใชค้ าถามปลายเปิด ความรุนแรงด้านจิตใจ เป็นการทาร้ายเด็กด้านจิตใจซ้า ๆ ในลักษณะที่ทาให้รู้สึกต่าต้อย ไมเ่ ป็นทร่ี ัก ไม่เปน็ ที่ตอ้ งการ หวาดกลัว กลา่ วโทษ ควบคมุ หรือครอบงาความคดิ การละเลยทอดท้ิง คอื การทอดทิ้ง ไม่ให้การดแู ลหรือจัดหาส่ิงท่ีจาเป็นในการดาเนินชีวิต ให้เป็นปกติสุขแก่เด็ก ทั้งที่อยู่ในฐานะท่ีสามารถจัดหาให้ได้ เช่น อาหาร เส้ือผ้า ท่ีพัก อาศัย การรักษาพยาบาล การศึกษา ความปลอดภัย รวมถึงไม่ตอบสนองด้านอารมณ์ จิตใจ ความรุนแรงด้านอ่ืน ๆ ได้แก่ การแสวงประโยชน์ การค้าเด็ก การใช้งานเด็ก การใช้ให้ เด็กขอทาน ค้ายาเสพติด การให้เด็กขายบริการ หรือกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องที่ส่งผลกระทบ ต่อรา่ งกาย สุขภาพจิต การเรียนรู้ และจติ วิญญาณ รวมถึงการทผี่ ู้ดูแลมีปัญหาสุขภาพจิต หรือพฤตกิ รรม หรือการเติบโตในครอบครัวทใ่ี ชค้ วามรนุ แรง ประเด็นอ่ืน ๆ ท่ีควรตั้งข้อสงสัยการกระทารุนแรงต่อเด็ก ได้แก่ เด็กมีปัญหาพฤติกรรม การเรยี น อารมณ์ ทีไ่ มส่ ามารถหาสาเหตุอ่ืนได้
แนวปฏิบัติในการปอ้ งกันและคมุ้ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโควิด-19 40 ผลกระทบของความรุนแรงตอ่ เด็ก เด็กท่ีได้รับความรุนแรงไม่ว่าทางด้านใดจะเกิดผลกระทบขึ้นโดยทันทีและบางรายเกิดข้ึนต่อเน่ืองหรือเกิดตามมาใน ภายหลัง แบ่งออกเป็นผลกระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต พฤติกรรมและทางสังคมผลกระทบในรูปแบบต่าง ๆ มักไม่ สามารถแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน เช่นถ้าเด็กถูกทาร้ายมีการบาดเจ็บของสมอง สติปัญญา และพฤติกรรมก็จะ เปลย่ี นไป เกิดปัญหาของ อารมณ์จติ ใจและการเขา้ สงั คมตามมาดว้ ย หรอื ในกรณีทเี่ รม่ิ ด้วยความรุนแรงดา้ นสขุ ภาพจติ กอ็ าจมผี ลใหเ้ กิดพฤติกรรมเสี่ยงจนเปน็ ปญั หาสุขภาพกายตามมา เช่น ผู้ ที่มีปัญหาซึมเศร้าวิตกกังวล จะมีอัตราการติดบุหร่ี แอลกอฮอล์ สารเสพติด มีพฤติกรรมการกินท่ีผิดปกติเป็นโรคอ้วน ปัญหาพฤตกิ รรมทางเพศทาใหเ้ กิดโรคตดิ ต่อทางเพศสัมพันธเ์ ป็นตน้ ปัจจยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ผลกระทบจากความรนุ แรง ผลกระทบท่ีเกิดข้ึนโดยทันทีจะเกิดกับเด็กท่ีถูกกระทารุนแรงทุกราย แต่ไม่ใช่เด็กทุกรายท่ีจะเกิดผลกระทบต่อเน่ือง ผลเสยี ที่เกิดข้ึนตามมาในเด็กแต่ละรายมีความแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งนี้เป็นผลจากผลรวมของปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ อายุ และพัฒนาการของเดก็ ในขณะเกิดเหตกุ ารณ์ความรนุ แรง ประเภทความรนุ แรง ความรนุ แรงเกิดข้ึนหลายรูปแบบ ความถี่ ระยะเวลา ระดับของความรุนแรง ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและผู้กระทา โดยหากเหตุการณ์การถูกทาร้ายเกิดข้ึนต้ังแต่ อายุน้อยมาก เกิดขึ้นต่อเนื่องมีระดับความรุนแรงสูง มีการถูกทาร้ายหลายรูปแบบจากผู้กระทาหลายคน รวมถึงการถูก กระทาจากคนใกล้ชิดจะเพ่ิมความเส่ียงต่อการเกิดผลกระทบรุนแรงและต่อเนื่องยาวนานได้ นอกจากนี้เด็กท่ีเช่ือว่า เหตกุ ารณค์ วามรุนแรงที่เกิดข้นึ กบั ตวั เอง เป็นผลจากความผดิ หรอื พฤตกิ รรมของตวั เดก็ เอง ผลกระทบที่เกิดข้ึนมีแนวโน้ม จะมากข้ึน ผลกระทบตอ่ สุขภาพกาย ร่องรอยการบาดเจ็บรา่ งกายทีเ่ กิดขนึ้ ทันทที ี่ถูกทารา้ ยอาจไมร่ ุนแรงหรอื มองไม่เห็น เช่น รอยฟกช้า บาดแผลฉีกขาด หรือ อาจมี การบาดเจ็บรุนแรง เช่น กระดูกหัก เลือดออก หรือเสียชีวิต บางรายการบาดเจ็บหายเป็นปกติ บางรายเกิดความ พิการถาวร เชน่ ทารกที่มีการบาดเจบ็ สมองจากการเขย่า เม่ือเกิดเหตุการณ์เด็กอาจมีอาการอาเจียน หายใจลาบาก ชัก จนถึง เสียชีวิต สว่ นผลเสียระยะยาวเด็กอาจจะมีปญั ญาอ่อน สมองพิการ อัมพาต ตาบอด ปญั หาการเรียน (LD; learning disabilities) ตามมาได้ ผู้ใหญ่ท่ีมีประวัติถูกกระทารุนแรงในวัยเด็กมีปัญหาสุขภาพมากกว่าคน ทั่วไป โดยอาจเกิดจากการบาดเจ็บที่เป็นผลโดยตรงจากการทาร้ายหรือ จากการมีพฤตกิ รรมเส่ยี งตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ การติดบุหร่ี แอลกอฮอล์ ความเส่ียง ในเร่อื งเพศสัมพันธ์ พฤตกิ รรมการกินผดิ ปกติ ทาให้เกิดโรคและปัญหาด้าน สุขภาพ ได้แก่เบาหวาน โรคระบบทางเดินอาหาร โรคกระดูกและข้อ ปวด ศีรษะ โรคทางนรีเวช โรคระบบประสาท โรคหลอดเลือดสมอง ตับอักเสบ ความดันโลหติ สูง โรคหัวใจ โรคอว้ น และมะเรง็ เป็นต้น
41 แนวปฏบิ ัตใิ นการปอ้ งกนั และคมุ้ ครองเดก็ สาหรับองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 ผลกระทบทางด้านสติปัญญา เด็กทถ่ี กู ทารา้ ยพบว่ามีสติปัญญา ความคิด การวิเคราะห์ การพัฒนาด้านภาษา ความจาและ การเรียนต่ากว่าเด็กท่ัวไป ส่วนหนึ่งเกิดจากเด็กที่ถูกทาร้ายมานานจะถูกเร้าจากคนหรือ เหตุการณ์รอบตัวได้ง่าย เป็นผลให้มีสมาธิสั้น การนอนผิดปกติ วิตกกังวล มีพฤติกรรมใช้ ความรนุ แรง จงึ เกดิ ผลเสียตา่ ง ๆ ตามมา ผลกระทบดา้ นพฤตกิ รรม เด็กที่ถูกทาร้ายมีแนวโน้มจะมีปัญหาพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ส่วนหนึ่งเกิดจากการเลียนแบบ พฤติกรรมบางรายเช่ือว่าต้องใช้ความรุนแรงเพ่ือยุติปัญหาความขัดแย้ง และถ้าเป็นวัยรุ่นหรือ ผู้ใหญ่ติดยาอาจใช้ความรุนแรงเพ่ือให้ได้ยา อัตราการถูกจับเน่ืองจากทาผิดกฎหมายสูงข้ึนท้ังเม่ือ เปน็ วยั รนุ่ และเปน็ ผู้ใหญ่ ซ่ึงนอกจากจะมีพฤติกรรมรุนแรงนอกบ้าน ยังมีปัญหาการทาร้ายคู่ครอง และทาร้ายลูกสูงกว่าคนท่ัวไปเด็กที่ถูกทาร้ายจะมีปัญหาติดส่ิงเสพติดมีแนวโน้มติดบุหรี่ แอลกอฮอล์ ยาและสารเสพติด ทั้งขณะที่ยังเป็นวัยรุ่นและ เมื่อเป็นผูใ้ หญ่ ปัญหาพฤติกรรมทางเพศสามารถพบหลังจากการได้รับความรุนแรงทุกประเภทแต่ พบมากที่สุดในกลุ่มที่เคยได้รับความรุนแรงด้านเพศ เด็กเหล่านี้มักจะไม่สามารถ ปฏิเสธหรือปกป้องตัวเองจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ต้องการ นอกจากน้ีผลจากการ ถูกทาร้ายทาให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและอาจใช้พฤติกรรมทางเพศเพ่ือตอบสนอง ความรู้สึกขาดรักหรือความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของใครบางคน ทาให้มีปัญหา โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือการต้ังครรภ์ในวัยรุ่นตามมา นอกจากนี้ยังพบ แนวโนม้ การขายบริการทางเพศ ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ จากงบประมาณด้านสาธารณสุข ระบบบริการสังคม และกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง ค่าใช้จ่ายท่ีเกิดขึ้นจากการ เจ็บปว่ ยทางสุขภาพกายและจติ และความสูญเสียทางออ้ ม ได้แก่ ค่าใช้จ่ายเก่ียวกับอาชญากรรม ทั้งด้านการป้องกัน การ จดั การ การฟื้นฟู ผกู้ ระทาผิดปญั หาดา้ นยาเสพติด การวา่ งงาน รวมถงึ ค่าใชจ้ า่ ยที่ใชใ้ นมาตรการองกนั ประเด็นสาคัญ ผลกระทบจากความรุนแรงต่อเด็กมีรูปแบบและระดับต่าง ๆ กัน โดยมีอิทธิพลจากปัจจัย หลายอย่างรว่ มกัน อาจเกิดขนึ้ แล้วหายไปในระยะสน้ั หรอื เกดิ ข้นึ ระยะยาวต่อเนื่องตลอดชีวิต ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ทั้งด้านสุขภาพกาย จิต สังคม พฤติกรรม ซ่ึงทุกด้านมีผลกระทบ ต่อเนอ่ื งกัน
แนวปฏิบตั ใิ นการปอ้ งกนั และค้มุ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 42 ภาคผนวก 7 แนวปฏบิ ตั กิ ารคดั กรองและชว่ ยเหลอื เด็ก จากคู่มอื แนวปฏบิ ตั ิการพัฒนาระบบค้มุ ครองเด็กระดับตาบล
43 แนวปฏิบตั ใิ นการปอ้ งกนั และคมุ้ ครองเดก็ สาหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโควิด-19 ภาคผนวก 8 มาตรฐานสากล แนวปฏบิ ตั ิดา้ นการเล้ยี งดทู ดแทนสาหรบั เดก็ แหง่ สหประชาชาติ
Search