Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บริหารสถานศึกษา

จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บริหารสถานศึกษา

Published by Baw Chitchua, 2022-01-27 09:59:00

Description: จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บริหารสถานศึกษา

Search

Read the Text Version

จรรยาบรรณและความสาคญั ตํอผูบ๎ รหิ ารสถานศกึ ษา ข คานา รายงานเลํมนี้จัดทาขึ้นเพื่อเป็นสํวนหน่ึงของวิชาคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณทางวิชาชีพ เพ่อื ศึกษาหาความร๎ใู นเร่อื งทสี่ ดุ ทั้งสองอยําง และทางสายกลาง โดยได๎ศึกษาผํานแหลํงความรู๎ตําง ๆ อาทิเชํน ตารา หนังสือ หนังสือพิมพ์ วารสาร ห๎องสมุด และแหลํงความร๎ูจากเว็บไซต์ตํางๆ โดยรายงานเลํมนี้ ประกอบด๎วยเน้ือหา ความหมายของจรรยาบรรณ องค์ประกอบของจรรยาบรรณผู๎บริหารสถานศึกษา ประเภทของจรรยาบรรณ ความสาคัญของจรรยาบรรณ ประโยชน์ของจรรยาบรรณ หลักธรรมที่เก่ียวข๎องกับ จรรยาบรรณ และแนวคดิ ทฤษฎีที่เกีย่ วขอ๎ งกบั จรรยาบรรณ ผ๎ูจัดทาคาดหวังเป็นอยํางย่ิงวําการจัดทารายงายเลํมน้ีจะมีข๎อมูลที่เป็นประโยชน์ตํอผู๎ที่สนใจศึกษา เรือ่ งจรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผ๎บู ริหารสถานศึกษา คณะผู้จดั ทา

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผู๎บรหิ ารสถานศกึ ษา ค สารบญั หนา้ เร่อื ง ข ค คานา 1 สารบัญ ๓ ความหมายของจรรยาบรรณ ๗ องคป์ ระกอบของจรรยาบรรณผู๎บริหารสถานศกึ ษา ๑๒ ประเภทของจรรยาบรรณ ๑๖ ความสาคญั ของจรรยาบรรณ ๑๘ ประโยชนข์ องจรรยาบรรณ ๔๔ หลักธรรมท่ีเกยี่ วขอ๎ งกบั จรรยาบรรณ ๕๓ แนวคดิ ทฤษฎที ่ีเกยี่ วขอ๎ งกบั จรรยาบรรณ ๕๔ บทสรุป บรรณานกุ รม

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผ๎บู รหิ ารสถานศึกษา ๑ เมือ่ กลาํ วถงึ จรรยาบรรณ มีคาศพั ทอ์ ยํู 3 คา ที่ได๎มีการนาไปใช๎และมีความหมายคล๎ายคลึงกัน ได๎แกํ คาวํา จริยธรรม จริยศาสตร์ และจรรยาบรรณ จริยธรรม เมื่อนาไปประยุกต์ใช๎กับกลุํมวิชาชีพ เรียกวํา “จรรยาบรรณ” สํวนคาวําจรยิ ศาสตร(์ ethics) หมายถงึ ความูร๎ท่ีกลาํ วถงึ แนวทางการประพฤติที่ถูกต๎อง ดีงาม สํวนจรยิ ธรรม(morals) หมายถงึ หลกั ความประพฤตทิ ดี่ ีงามเพื่อประโยชน์แหงํ ตนและสงั คม ความประพฤติทีป่ ราศจากการควบคมุ จะไมกํ อํ ให๎เกดิ ความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ๎ ย ความดีงาม ความ สงบสุขและความเจรญิ ในตวั คน ดังน้ัน ในกจิ การและในสงั คมจงึ ตอ๎ งมีการควบคุมความประพฤติ โดยกาหนด กฎเกณฑ์ สาหรบั ยดึ ถือเป็นแนวปฏบิ ตั ิ ในภาษาวิชาการเรยี กวํา “ปทัสถาน” หรือบรรทัดฐาน หรอื ศัพท์ทาง ปรชั ญาเรียกวาํ “จรยิ ธรรม” 1. ความหมายของจรรยาบรรณตอ่ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ผู๎บริหารในวงการศึกษา ตามลักษณะของงานและหนํวยงาน ก็จะต๎องประพฤติปฏิบัติตนตาม จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู หากผ๎บู ริหารในวงการศึกษาผู๎ใด เป็นข๎าราชการ หรือพนักงาน หรือลูกจ๎างอ่ืนของรัฐ จะต๎องปฏิบัติตนตาม “จรรยาบรรณกลางของข๎าราชการและพนักงานหรือลูกจ๎างอ่ืนของรัฐ”จรรยาบรรณใน วิชาชีพของผ๎ูบริหาร เป็นประโยชน์ตํอการเสริมสร๎างเกียรติภูมิและศักด์ิศรีของผ๎ูบริหาร ให๎ได๎รับการยกยํอง เชื่อถือ ศรัทธา จากสงั คม พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยรู ชมมจิตโต) (2538) มีแนวคิดวํา ปัญหาจรรยาบรรณทุกวันน้ี ไมํวําใน กลุํมวิชาชีพใดก็ตามท่ีเกดิ ขน้ึ เพราะคนมักจะคิดวําฉนั ทาคนเดียว ไมเํ ก่ยี วกบั สวํ นรวม คนมักจะคดิ แยกเอาเร่ือง สํวนตัวออกจากสํวนรวมจงึ เกิดปัญหามากมายมากระทบตํอสังคมในการประชาสัมพันธ์เร่ืองจรรยาบรรณน้ัน หวงั ผล 3 ประการ คอื จกั ขมุ า : สอนให๎เกิดความรู๎ความเข๎าใจ รู๎วําจรรยาบรรณคืออะ ไร ชํวยยกฐานะ เกียรติ ศักด์ิศรีของ สํวนรวมข้นึ มาได๎อยาํ งไร วิฐโร : สามารถนาเอาสิ่งทร่ี ไู๎ ปประยกุ ตใ์ ช๎ในสถานการณต์ ําง ๆ นิสสขสัมปันโณ : ต๎องมีท่ีพ่ึง กลําวคือ ถ๎าเป็นคนดีแตํขาคที่พ่ึงผู๎ใหญํไมํให๎การสนับสนุน ขาด กัลยาณมติ รก็จะท๎อแท๎ เราจงึ ตอ๎ งพิทักคนทาดแี ละใหก๎ าลงั ใจ ในหลกั การเกีย่ วกับจรรยาบรรณทางพทุ ธศาสนา กลําวถงึ แรงจูงใจให๎คนทาตาม มีจรรยาบรรณไว๎ 3 ประเด็น คือ อัตตาธปิ ไตย หมายถึง อา๎ งผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญํเม่ือทาดีแล๎วได๎ประ โยชน์หรือไมํกระทา เพราะกลัวถูกลงโทย เพราะฉะนัน้ ถ๎าจะสงํ เสรมิ จรรยาบรรณเพราะบางทํานอยากได๎รางวัล หรือบางคนก็กลัว จะถกู ลงโทษมาตรการของกาใหร๎ างวลั และลงโทษดอ๎ งเปน็ ธรรมก็จะทาให๎คนมีจรรยาบรรณ โลกาธปิ ไตย หมายถงึ การเอาคนอืน่ เปน็ ใหญํ หรอื เปน็ ตวั แบบ เชนํ จะทาอะไรด๎องดูเพ่ือนกํอน จะมา เช๎ามาสายขน้ึ อยูกํ ับผู๎นาทาอยาํ งไร อังนน้ั เราจะต๎องสร๎างแมํแบบท่ผี น๎ู า ธรรมาธิปไตย หมายถึง การถือธรรมหรอื หลักการเป็นสาคัญ และยึดเอาความสาเร็จของงานเป็นท่ีต้ัง เพือ่ ทางานใหส๎ าเร็จ ยนิ ดรี ับฟังคาแนะนาจากทกุ ฝุาย รวมท้งั คนทไ่ี มชํ อบกันเป็นสวํ นตัว สามารถแยกเร่ืองงาน ออกจากความขัดแยง๎ สํวนตัว ขอมไงํเพอ่ื ศกึ ษาความรูจ๎ ากผ๎เู ชยี่ วชาญ

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผบ๎ู รหิ ารสถานศึกษา ๒ จรรยาบรรณวชิ าชพี นีเ้ ปน็ เรือ่ งพฤตกิ รรมในการท่ีจะพัฒนาต๎องตีความออกไปวํา พฤติกรรมเหลําน้ีมี ฐานมาจากคุณธรรมอันไหน ผ๎ูบังคับบัญชาเองจะชํวยสอนจริยธรรม คุณธรรมให๎ได๎ผลต๎องทาครบ 3 วิธี คือ สอนใหจ๎ า ทาใหด๎ ู และอยํูให๎เห็น กลาํ วคือ สอนใหจ๎ าหรอื แนะนา ตกั เตือนอยํางเดียวจะไมํพอ ต๎องทาให๎ดูเป็น ตวั อยาํ ง และอยใูํ ห๎เหน็ วาํ เป็นคนดี ราชกิจจานุเบกษา พ.ศ.2556 ได๎ให๎ความหมายของคาวํา จรรยาบรรวิชาชีพ ไว๎วํา คือ มาตรฐาน การปฏบิ ัตติ นท่กี าหนดข้นึ เป็นแบบแผนในการประพฤติตน ซงึ่ ผู๎ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต๎องปฏิบัติตาม เพ่ือรกั ษาและสงํ เสรมิ เกยี รตคิ ุณชอ่ื เสียงและฐานะของผู๎ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาให๎เป็นท่ีเชื่อถือศรัทธา แกผํ ๎รู บั บริการและสังคม อนั จะนามาซ่ึงเกียรตแิ ละศักด์ิศรแี หงํ วิชาชพี พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได๎ให๎ความหมายของคาวํา จรรยาบรรณ ไว๎ดังนี้ คอื จรรยาบรรณ หมายถงึ ประมวลความประพฤติทผ่ี ปู๎ ระกอบอาชพี การงานแตํละอยํางกาหนดขึ้น เพ่ือรักษา และสํงเสริมเกยี รตคิ ณุ ชื่อเสยี งและฐานะของสมาชิก อาจเขียนเปน็ ลายลักษณ์อกั ษรหรือไมํกไ็ ด๎ ปทานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให๎ความหมายของคาวํา จรรยาบรรณ ไว๎วํา \"จรรยา\" คาน้ี มคี วามหมายเชนํ เดียวกับคาวํา จริยา ซึ่งหมายถึง กิริยาที่ควรประพฤติในหมํูคณะดังในบทไหว๎ ครทู ่ีวํา \"ท้ังทํานผู๎ปะสาทวิชา อบรมจริยา แกํข๎าฯ ในกาลปัจจุบัน\" สํวนคาวํา \"บรรณ\" หมายถึงหนังสือ หรือ ใบไม๎ เชํน บรรณศาลา ก็หมายถึง ศาลาที่มุงด๎วยใบไม๎ บรรณพิภพ หมายถึง โลก หนังสือ เป็นต๎น เมื่อนา 2 คานมี้ ารวมกันเข๎าเปน็ \"จรรยาบรรณ\" กห็ มายถงึ ความประพฤตทิ ่ผี ๎ูประกอบอาชพี ตําง ๆ ได๎รํวมกันกาหนดข้ึน ไว๎เปน็ แนวทางประพฤตปิ ฏบิ ัตเิ พือ่ รํวมกันรักษาชื่อเสยี ง เกยี รติคุณ ของวิชาชพี นน้ั ๆ ให๎เจรญิ รุํงเรอื งถาวร ไมํมี ความดํางพรอ๎ ยเขา๎ มาแผํวพาน เป็นการกาหนดไวเ๎ ป็นลายลกั ษณอ์ ักษร เพื่อเป็นหลักฐานให๎ติดตามสืบค๎นและ อ๎างองิ กนั ได๎ อมรา เล็กเริงสนิ ธ์ุ (2552) ได๎กลําววํา จรรยาบรรณ เปน็ ข๎อกาหนดสาหรบั ผ๎ปู ระกอบวิชาชีพท่ีเป็น ศาสตร์ชั้นสูง มีองค์กรหรือสมาคมรองรับ จะต๎องประพฤติปฏิบัติเพ่ือการครองตนและครองงาน ผ๎ูประกอบ วชิ าชพี ที่ตอ๎ งการศึกษาศาสตร์เฉพาะช้ันสูงที่มีจรรยาบรรณนั้น ถือวําเป็นผ๎ูทาหน๎าท่ีมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ต๎องมี องคป์ ระกอบสาคญั 4 ประการ คือ 1. เป็นอาชพี ท่ตี ๎องผํานการศึกษาเลาํ เรยี นระดับสูง 2. มีการคดั เลือกสรรหาบุคคลเขา๎ มาในวงการวิชาชพี 3. มจี รรยาบรรณหรือจริยธรรมของผ๎ูท่ีอยํูในวงการวชิ าชพี 4. มีสมาคมวชิ าชีพทีÉควบควบคมุ กากับดแู ล การกาหนดจุดมงุํ หมายของจรรยาบรรณ เพ่อื 1. ใหค๎ นทอ่ี ยใูํ นวชิ าชีพนัÊนมีประสทิ ธภิ าพในการทางาน 2. เพอ่ื กํอให๎เกิดความเปน็ ธรรมในการใหบ๎ ริการ 3. เพอ่ื รกั ษาเกียรตยิ ศ ศกั ดิศ์ รขี องผ๎ูท่ีอยูํในวิชาชพี นัน้ 4. การกาหนดจรรยาบรรณ เป็นลายลักษณ์อักษร จะชํวยให๎ผ๎ูประกอบวิชาชีพตระหนักใน ความสาคญั ของวชิ าชพี ตน และใหผ๎ ร๎ู บั บรกิ ารรับรูแ๎ ละเขา๎ ใจ

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผู๎บรหิ ารสถานศึกษา ๓ ปราชญา กลา้ ผจญั (2556) กลาํ ววํา จรรยาบรรณ หมายถึง ศาสตร์และหลักการเกี่ยวกับศีลธรรม จรรยาบรรณจงึ เปน็ เรื่องท่ีเกี่ยวข๎องกับความร๎ูสึกวําอะไรถูกอะไรผิด อะไรที่อนุญาตให๎ทาได๎ และอะไรคือข๎อ ห๎ามมใิ หก๎ ระทา และกฎเกณฑ์แหํงความดีท่ีสมาชิกของสังคมพึงปฏิบัติ ซ่ึงเกิดข้ึนเม่ือสมาชิกสํวนใหญํเห็นวํา พฤติกรรมทด่ี ีงามนัน้ จาเป็นตอ๎ งมีการกาหนดอยํางเป็นทางการ เพื่อสมาชิกทุกคนจะได๎ถือปฏิบัติตามเกณฑ์ท่ี เป็นทางการ เพราะสมาชิกแตํละคนมิได๎ผํานกระบวนการขัดเกลาทางสังคมมาเหมือน ๆ กัน ยํอมมีความ แตกตาํ งกนั ทางคํานิยม ทัศนคตแิ ละพฤตกิ รรม ดงั นัน้ การท่ีจะใหส๎ มาชิกใหมํและสมาชกิ เกาํ รํวมกันเพ่ือเกียรติ ศักดิ์ศรีของวงวิชาชีพและเพ่ือปูองกันการเสียหายท่ีเกิดขึ้นจากการประพฤติมิชอบของสมาชิก และควบคุม ความประพฤติของสมาชิกใหอ๎ ยํูในแนวทางที่เหมาะสม จึงได๎บัญญัติหรือ ออกข๎อบังคับของวิชาชีพ ซ่ึงเรียกวํา จรรยาบรรณวชิ าชีพ สรุปไดวา จรรยาบรรณตอํ ผูบ๎ รหิ ารสถานศกึ ษา หมายถึง การปฏิบัติตนหรือการประพฤติตน กริยาท่ี ควรประพฤติ เพื่อรักษาชอื่ เสยี ง เกยี รติ ฐานะของความเป็นขาราชการตอตนเอง ตอสงั คม ตอหนวยงาน โดยมี การกากับการปฏิบัติงาน ตามมาตรฐานวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพจึง เป็นมาตรฐาน ความประพฤติและ วิจารณญาณ ทางศลี ธรรม และวชิ าชีพ ท่ีเป็นกฎเกณฑ์หรือแบบแผนของความประพฤติสาหรับยึดถือเป็นแนว ปฏบิ ตั ขิ องผ๎ูบรหิ าร หลกั ปฏิบตั ิดงั กลาํ ว อาศยั หลกั ธรรม ความถูกต๎อง 2.องคป์ ระกอบของจรรยาบรรณต่อผบู้ รหิ ารสถานศึกษา คารณ ล้อมในเมือง (2547) กลําววํา องค์ประกอบจรรยาบรรณวิชาชีพของผ๎ูบริหารสถานศึกษา ตามมาตรฐาน การปฏิบัติตนท่ีกาหนดเป็นข๎อบังคับของคุรุสภาวําด๎วยจรรยาบรรณวิชาชีพ มีองค์ประกอบ ดว๎ ยกัน 5 ด๎าน ดงั นี้ 1. ด๎านจรรยาบรรณตํอตนเอง คอื ผป๎ู ระกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา ต๎องมีวินัยในตนเองพัฒนาตนเอง ดา๎ นวิชาชีพ บุคลกิ ภาพ และวิสยั ทัศน์ ใหท๎ นั ตอํ การพฒั นาทางวทิ ยาการ เศรษฐกิจ 2. ด๎านจรรยาบรรณตํอวิชาชีพ คือ ผู๎ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต๎องรัก ศรัทธาซื่อสัตย์สุจริต รบั ผดิ ชอบตอํ วชิ าชีพ และเปน็ สมาชกิ ท่ดี ขี ององคก์ รวชิ าชีพ 3. ดา๎ นจรรยาบรรณตอํ ผู๎รบั บรกิ าร คือ 1) ผู๎ประกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา ตอ๎ งเมตตาเอาใจใสํ ชํวยเหลอื สํงเสริม ให๎กาลังใจแกํศิษย์และ ผรู๎ ับบรกิ าร ตามบทบาทหน๎าทโ่ี ดยเสมอหนา๎ 2) ผป๎ู ระกอบวิชาชีพทางการศกึ ษา ต๎องสํงเสรมิ ให๎เกดิ การเรียนรู๎ ทักษะ และนิสัย ที่ถูกต๎องดีงาม แกํศิษย์ และผ๎ูรับบรกิ าร ตามบทบาทหน๎าท่ีอยํางเต็มความสามารถดว๎ ยความบริสุทธิ์ใจ 3) ผ๎ูประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต๎องไมํกระทาตนเป็นปฏิปักข์ตํอความเจริญทางกาย สตปิ ญั ญา จิตใจ อารมณ์ สงั คมของศษิ ย์ และผรู๎ ับบริการ 4) ผ๎ปู ระกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต๎องให๎บริการด๎วยความจริงใจ และเสมอภาคโดยไมํเรียกรับ หรอื ขอมรบั ผลประ โยชน์จากการใช๎ตาแหนํงหน๎าท่ี โดยมิชอบ 4. ด๎านจรรยาบรรณตํอผู๎รํวมประกอบวิชาชีพ คือ ผู๎ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงชํวยเหลือ เก้อื กูลซึง่ กันและกันอยํางสร๎างสรรค์ โดยยึดมัน่ ในระบบคณุ ธรรม สรา๎ งความสามคั คี

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผบ๎ู รหิ ารสถานศกึ ษา ๔ 5. ด๎านจรรยาบรรณ์ตํอสงั คม คือ ผ๎ูประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู๎นาใน การอนุรักษ์และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา ส่ิงแวดล๎อม รักษาผลประ โยชน์ ของ สํวนรวม และยึดม่นั ในการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย อันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมุข อัจฉราพร ช้างอินทร์ (2560) กลําววํา จรรยาบรรณเป็นแนวทางที่บุคคลในองค์กรน้ัน ๆ ใช๎เป็น หลกั ยดึ ถือปฏิบัติในการทางาน และแนวทางนั้นจะตอ๎ งสอดคล๎องกับสภาพสังคม หลักธรรมท่ีดีงามขององค์กร และเกิดประโยชน์ตํอสังคม ซ่ึงผ๎ูประกอบวิชาชีพทางการศึกษา หมายความถึง ครู ผ๎ูบริหารสถานศึกษาและ บุคลากรทางการศึกษาอ่ืน ที่ได๎รับใบอนุญาตเป็นผู๎ประกอบวิชาชีพตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ. 2546 และกาหนดในหมวด 2 มาตรฐานการปฏิบัติงาน ข๎อ 11 ผู๎ประกอบวิชาชีพ ผ๎บู รหิ ารสถานศึกษาและผู๎บรหิ ารการศึกษาต๎องปฏิบัตงิ านตามมาตรฐานการปฏิบัติงาน ดังน้ี 1. ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมทางวิชาการเกีย่ วกบั การพฒั นาวิชาชพี การบรหิ ารการศกึ ษา 2. ตดั สินใจปฏิบตั กิ จิ กรรมตําง ๆ โดยคานงึ ถึงผลทจ่ี ะเกิดขึ้นกับการพัฒนาของบุคลากร ผู๎เรียน และ ชุมชน 3. มุงํ มนั่ พฒั นาผรู๎ ํวมงานให๎สามารถปฏบิ ตั งิ านได๎เตม็ ศกั ยภาพ 4. พัฒนาแผนงานขององคก์ ารใหส๎ ามารถปฏบิ ัตไิ ด๎เกดิ ผลจริง 5. พัฒนาและใช๎นวัตกรรมการบรหิ ารจนเกิดผลงานทีÉมคี ุณภาพสงู เป็นลาดับ 6. ปฏบิ ตั งิ านขององค์การโดยเนน๎ ผลถาวร 7. รายงานผลการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไดอ๎ ยาํ งเป็นระบบ 8. ปฏิบตั ติ นเป็นแบบอยาํ งท่ีดี 9. รวํ มมือกับชุมชนและหนํวยงานอืÉนอยํางสร๎างสรรค์ 10. แสวงหาและใช๎ขอ๎ มลู ขาํ วสารในการพฒั นา 11. เป็นผู๎นาและสรา๎ งผูน๎ า 12. สร๎างโอกาสในการพัฒนาได๎ทกุ สถานการณ์ หมวด 3 จรรยาบรรณของวชิ าชีพ ข๎อ 13 ผ๎ูประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต๎องปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพและแบบแผน พฤตกิ รรมตามจรรยาบรรณของวชิ าชพี สวํ นที่ 1 จรรยาบรรณตอํ ตนเอง ข๎อ 14 ผ๎ูประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต๎องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด๎านวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสัยทศั น์ ใหท๎ นั ตอํ การพัฒนาทางวทิ ยาการ เศรษฐกิจ สงั คมและการเมืองอยูํเสมอ สวํ นที่ 2 จรรยาบรรณตํอวิชาชีพ ขอ๎ 15 ผู๎ประกอบวชิ าชีพทางการศึกษาต๎องรัก ศรัทธา ซ่ือสัตย์สุจริต รับผิดชอบตํอวิชาชีพและเป็น สมาชิกท่ดี ีขององคก์ รวชิ าชพี สวํ นที่ 3 จรรยาบรรณตอํ ผ๎รู ับบรกิ าร ข๎อ 16 ผู๎ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต๎องรัก เมตตา เอาใจใสํ ชํวยเหลือ สํงเสริมให๎กาลังใจศิษย์ และผรู๎ ับบริการ ตามบทบาทหน๎าทีโ่ ดยเสมอหน๎า

จรรยาบรรณและความสาคญั ตอํ ผู๎บรหิ ารสถานศึกษา ๕ ข๎อ 17 ผ๎ูประกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษา ต๎องสงํ เสริมให๎เกดิ การเรยี นรู๎ ทักษะ และนิสัยที่ถูกต๎องดีงาม แกศํ ิษยแ์ ละผรู๎ บั บริการ ตามบทบาทหน๎าทอ่ี ยาํ งเต็มความสามารถ ดว๎ ยความบริสุทธใิ์ จ ข๎อ 18 ผ๎ูประกอบวิชาชพี ทางการศึกษา ต๎องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอยํางที่ดี ทั้งทางกาย วาจา และจติ ใจ ข๎อ 19 ผ๎ูประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต๎องไมํกระทาตนเป็นปฏิปักษ์ตํอความเจริญ ทางกาย สติปัญญา จติ ใจ อารมณแ์ ละสังคมของศษิ ย์ และผร๎ู บั บริการ ข๎อ 20 ผปู๎ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษา ตอ๎ งใหบ๎ รกิ ารด๎วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไมํเรียกรับ หรอื ยอมรับผลประโยชน์จากการใช๎ตาแหนงํ หนา๎ ที่โดยมิชอบ สวํ นที่ 4 จรรยาบรรณตอํ ผ๎ูรํวมประกอบวชิ าชีพ ข๎อ 21 ผ๎ปู ระกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงชํวยเหลือเกืÊอกูลซ่ึงกันและกันอยํางสร๎างสรรค์ โดยยึด มน่ั ในระบบคุณธรรม สร๎างความสามัคคใี นหมูํคณะ สํวนที่ 5 จรรยาบรรณตอํ สงั คม ข๎อ 22 ผ๎ูประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู๎นาในการอนุรักษ์และพัฒนา เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวฒั นธรรม ภูมิปญั ญา สิง่ แวดลอ๎ ม รกั ษาผลประโยชนข์ องสํวนรวม และยึดมั่นใน การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ จรัส ต้งั โซะ๊ (2556) กลา่ วว่า องค์ประกอบจรรยาบรรณของผบู๎ ริหารมี ดงั นี้ จรรยาบรรณตํอตนเอง 1. พงึ ประพฤติปฏบิ ตั ิตนเป็นแบบอยํางท่ีดี และพัฒนาตน ให๎มีคุณธรรม มี สุขภาพดี ท้ังกายและจิต รวมทัง้ เพิ่มพนู ความร๎ูความสามารถในการบรหิ ารงาน 2. พงึ อุทิศตนเพอ่ื หน๎าท่ี มคี วามเสยี สละ และมคี วามกล๎าหาญทางจรยิ ธรรม 3. พงึ มีความซ่ือสตั ยต์ ํอตนเอง จรรยาบรรณตอํ วิชาชีพ 1. พงึ ซื่อสัตยต์ อํ วชิ าชพี 2. พงึ ใชว๎ ิชาชีพในการบริหารจดั การด๎วยความซ่ือสตั ยส์ ุจริต 3. พึงละเวน๎ การทาธุรกิจที่อาศยั อานาจหน๎าท่ขี องตนเพอ่ื ประโยชน์ในกิจการนนั้ จรรยาบรรณตอํ ผู๎รับบริการ 1. พงึ ซอื่ สตั ย์ตอํ ผร๎ู ับบริการรักษาความลบั และผลประโยชนใ์ นทางท่ถี กู ของ ผ๎ูรบั บรกิ าร 2. พงึ ละเว๎นการแสวงหาผลประโยชน์อันมชิ อบ และใหบ๎ ริการดว๎ ยความเสมอภาค ไมใํ ช๎อภสิ ิทธิ 3. พงึ ให๎ความสาคัญแกผํ รู๎ บั บริการ บรหิ ารงานเพ่ือผลประโยชน์ของผู๎รับบริการ มใิ ชเํ พ่ือผลประโยชน์ ของตนเอง จรรยาบรรณตํอบุคลากรในองค์การ 1. พึงมีความยุตธิ รรม มีใจเปน็ กลาง ไมํเลือกปฏิบตั ดิ ๎วยอคติ 2. พงึ บริหารคนดว๎ ยระบบคุณธรรม ไมเํ ลนํ พรรคเลํนพวก 3. พึงรกั ษาความสามัคคี ปฏิบัติตอํ บคุ ลากรดว๎ ยหลกั การและเหตผุ ล จรรยาบรรณตอํ องคก์ าร ชมุ ชน และสงั คม

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผ๎ูบรหิ ารสถานศกึ ษา ๖ 1. พึงให๎ความสาคัญ และมคี วามจงรกั ภกั ดตี ํอองคก์ าร 2. พึงดแู ลรกั ษาและใชท๎ รพั ยากรสวํ นรวมขององคก์ าร ยํางประหยดั ค๎มุ คาํ และมีประสิทธภิ าพ 3. พงึ สร๎างความเขม๎ แขง็ แกํชุมชน และสรา๎ งสันติภาพ สนั ตสิ ขุ ให๎เกดิ ขึ้นในสงั คม ครูแมนสรวง (2557) ได๎เขียนบทความ เร่ือง จรรยาบรรณผู๎บริหารสถานศึกษา และกลําวถึง องคป์ ระกอบของจรรยาบรรณผู๎บรหิ ารสถานศกึ ษา 9 ประการ ดังน้ี จรรยาบรรณตอํ ตนเอง 1. ผบู๎ ริหารสถานศกึ ษา ต๎องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด๎านวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ ให๎ ทันตํอการพัฒนาทางวทิ ยาการ เศรษฐกจิ สงั คม และการเมืองอยเํู สมอ จรรยาบรรณตํอวิชาชพี 2. ผูบ๎ รหิ ารสถานศึกษา ต๎องรัก ศรัทธา ซ่ือสัตย์สุจริต รับผิดชอบตํอวิชาชีพ และเป็นสมาชิกที่ดีของ องค์กรวชิ าชพี จรรยาบรรณตํอผ๎รู ับบริการ 3. ผ๎ูบริหารสถานศึกษา ต๎องรัก เมตตา เอาใจใสํ ชํวยเหลือ สํงเสริม ให๎กาลังใจแกํศิษ ย์และ ผู๎รบั บรกิ ารตามบทบาทหน๎าที่โดยเสมอหน๎า 4. ผู๎บริหารสถานศึกษา ต๎องสํงเสริมให๎เกิดการเรียนร๎ู ทักษะ และนิสัยท่ีถูกต๎องดีงามแกํศิษย์และ ผ๎รู บั บริการตามบทบาทหน๎าทอ่ี ยาํ งเตม็ ความสามารถดว๎ ยความบริสทุ ธ์ิใจ 5. ผบ๎ู รหิ ารสถานศกึ ษา ต๎องประพฤติตนเปน็ แบบอยํางทีด่ ี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ 6. ผ๎ูบริหารสถานศึกษา ต๎องไมํกระทาตนเป็นปฏิปักษ์ตํอความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศษิ ยแ์ ละผ๎ูรับบริการ 7. ผ๎ูบริหารสถานศึกษา ต๎องให๎บริการด๎วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไมํเรียกรับหรือยอมรับ ผลประโยชนจ์ ากการใช๎ตาแหนํงหนา๎ ที่โดยมิชอบ จรรยาบรรณตํอผ๎ูรํวมประกอบวชิ าชีพ 8. ผู๎บริหารสถานศึกษา พึงชํวยเหลือเก้ือกูลซึ่งกันและกันอยํางสร๎างสรรค์ โดยยึดม่ันในระบบ คณุ ธรรม สร๎างความสามคั คีในหมคํู ณะ จรรยาบรรณตอํ สังคม 9. ผู๎บริหารสถานศึกษา พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู๎นาในการอนุรักษ์และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา ส่ิงแวดล๎อม รักษาผลประโยชน์ของสํวนรวมและยึดม่ันในการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมขุ สรุปไดวา องค์ประกอบของจรรยาบรรณตํอผู๎บริหารสถานศึกษา มีองค์ประกอบด๎วยกัน 5 ด๎าน 9 ขอ๎ ดงั นี้ ด๎านท่ี 1 จรรยาบรรณตอํ ตนเอง ข๎อที่ 1 ผ๎ูผ๎ูประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต๎องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด๎านวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ ให๎ทนั ตํอการพัฒนาทางวทิ ยาการ เศรษฐกจิ สังคม และการเมืองอยเูํ สมอ ด๎านที่ 2 จรรยาบรรณตํอวิชาชีพ

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผ๎ูบรหิ ารสถานศึกษา ๗ ขอ๎ ที่ 2 ผ๎ูประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต๎องรัก ศรัทธา ซ่ือสัตย์สุจริต รับผิดชอบตํอวิชาชีพ และ เปน็ สมาชกิ ท่ีดีขององค์กรวชิ าชพี ดา๎ นท่ี 3 จรรยาบรรณตอํ ผ๎รู บั บรกิ าร ข๎อที่ 3 ผู๎ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต๎องรัก เมตตา เอาใจใสํ ชํวยเหลือ สํงเสริม ให๎ กาลงั ใจแกศํ ิษยแ์ ละผูร๎ ับบรกิ ารตามบทบาทหนา๎ ที่โดยเสมอหน๎า ข๎อท่ี 4 ผปู๎ ระกอบวิชาชีพทางการศกึ ษา ต๎องสงํ เสรมิ ใหเ๎ กิดการเรียนรู๎ ทักษะ และนิสัยท่ีถูกต๎อง ดงี ามแกํศษิ ยแ์ ละผร๎ู บั บรกิ ารตามบทบาทหนา๎ ที่อยํางเต็มความสามารถดว๎ ยความบริสุทธใิ์ จ ข๎อท่ี 5 ผ๎ูประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต๎องประพฤติตนเป็นแบบอยํางท่ีดี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ ข๎อท่ี 6 ผ๎ูประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต๎องไมํกระทาตนเป็นปฏิปักษ์ตํอความเจริญทางกาย สตปิ ญั ญา จิตใจ อารมณ์ และสงั คมของศิษย์และผ๎ูรับบรกิ าร ข๎อที่ 7 ผป๎ู ระกอบวชิ าชีพทางการศึกษา ตอ๎ งใหบ๎ รกิ ารดว๎ ยความจรงิ ใจและเสมอภาค โดยไมํเรียก รบั หรอื ยอมรบั ผลประโยชน์จากการใช๎ตาแหนํงหนา๎ ท่ีโดยมิชอบ ดา๎ นที่ 4 จรรยาบรรณตํอผ๎ูรํวมประกอบวชิ าชีพ ขอ๎ ท่ี 8 ผป๎ู ระกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา พึงชํวยเหลือเกื้อกูลซ่งึ กนั และกันอยํางสร๎างสรรค์ โดยยึด มั่นในระบบคุณธรรม สร๎างความสามคั คีในหมคูํ ณะ ดา๎ นที่ 5 จรรยาบรรณตํอสังคม ขอ๎ ที่ 9 ผ๎ปู ระกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษา พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผ๎ูนาในการอนุรักษ์และพัฒนา เศรษฐกิจ สงั คม ศาสนา ศลิ ปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิง่ แวดล๎อม รกั ษาผลประโยชน์ของสํวนรวมและยึดมั่นใน การปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข 3. ประเภทของจรรยาบรรณ ผ๎ูท่ีมีจรรยาบรรณในวิชาชีพท่ีตนเองทาอยํูนั้น ยํอมมีความเจริญก๎าวหน๎าที่ในหน๎าที่การงาน และ ประสบความสาเร็จในชีวิต ซึ่งจรรยาบรรณมีหลากหลายประเภท หลากหลายอาชีพ เชํน จรรยาบรรณทาง การแพทย์ จรรยาบรรณวิศวกร จรรยาบรรณทหาร จรรยาบรรณสถาปนิก จรรยาบรรณและหลักการท่ียึดม่ัน ของธนาคาร จรรยาบรรณกบั งานคอมพิวเตอร์ จรรยาบรรณของข๎าราชการพลเรือน จรรยาบรรณวิชาชีพ ซึ่ง จรรยาบรรณวชิ าชีพ หมายถึง ผ๎ูประกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา ท้งั ครู ผูบ๎ ริหารสถานศึกษา ผู๎บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอน่ื จะมี 5 หมวด 9 ข๎อ ดงั ท่กี ลําวไว๎ในองค์ประกอบของจรรยาบรรณตํอผู๎บริหาร สถานศกึ ษา จรรยาบรรณนั้นมาจากคุณธรรมและจริยธรรมกากับในวิชาชีพ ดังน้ันแหล่งกาเนิดคุณธรรมและ จรยิ ธรรม กค็ ือแหลงํ กาเนินของจรรยาบรรณดังนี้ คุณธรรมและจรยิ ธรรม เปน็ หลักการทม่ี นษุ ย์ในสงั คมควรยดึ ถอื ปฏบิ ัตเิ พ่อื การอยูํรํวมกันอยํางเป็นสุข ในสังคม ปัจจยั ทม่ี ีอิทธิพลตํอการเกิดคุณธรรมและจริยธรรมข้ึนในสังคมตลอดมา เนื่องจากมีความพยายามท่ี ต๎องการสรา๎ งหลกั คุณธรรมและจริยธรรมทเ่ี ป็นสากลใหบ๎ ุคคลเกดิ ความรูส๎ กึ ในเร่อื งของคุณธรรมและจริยธรรม ในแนวทางท่สี อดคลอ๎ งกบั พฤตกิ รรม แหลงํ กอํ กาเนดิ ของคุณธรรมจรยิ ธรรมอาจแบงํ ออกไดเ๎ ป็น 2 ประการ คือ

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผบ๎ู รหิ ารสถานศกึ ษา ๘ 1.2.1 แหลํงกาเนิดภายในตัวบุคคล อริสโตเติล (Aristotle) ได๎แยกแยะแหลํงท่ีเกิดของคุณธรรมวําเป็น คุณธรรมอนั เกิดจากปัญญา และคณุ ธรรมอนั เกดิ จากศลี ธรรมและจรยิ ธรรมวํา คณุ ธรรมอนั เกดิ จากปัญญา เป็น คุณธรรมในระดบั ปจั เจกบุคคล กลําวคอื ผ๎ูที่มีสติปัญญามักจะสามารถพัฒนาจริยธรรมได๎ด๎วยหลักของการคิด ไตรํตรอง สํวนคุณธรรมอันเกิดจากศีลธรรมและจริยธรรมนั้น เป็นคุณธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติจริงด๎วยการ เรียนรจ๎ู ากการอยูรํ วํ มกนั เป็นการแสดงพฤติกรรมที่ถูกต๎องซงึ่ นาไปสํูสภาวะของความเป็นสุข (จาเริญรัตน์ เจือ จนั ทร.์ 2537) แหลํงกาเนิดนี้กลําวถึงพื้นฐานของมนุษย์ที่ได๎มาจากธรรมชาติเป็นตัวกาหนด ซ่ึงแบํงแยก ออกเปน็ 2 ประการ คือ 1) ตัวกาหนดมาจากพันธุกรรมที่สงํ ทอดมาจากบรรพบุรษุ มนุษย์เกิดมาพร๎อมดว๎ ยคุณภาพของสมองที่ จะพัฒนาขึ้นเป็นความเฉลียวฉลาดด๎านปัญญาโดยได๎รับการถํายทอดสํวนนี้มาจากบรรพบุรุษโดยผํานกระ กระบวนการทางพันธุกรรม การพัฒนาของสมองจะดาเนินไปตามรหัสพันธุกรรมที่กาหนดไว๎ตั้งแตํเกิด แม๎วํา การพัฒนาด๎านการคิดและสติปัญญาจะเจริญพัฒนาตํอมาภายใต๎อิทธิพลของการอบรมเล้ียงดูและ ส่ิงแวดล๎อม แตคํ ุณภาพของสมองทีบ่ คุ คลได๎รับจะเป็นพน้ื ฐานเบ้ืองตน๎ ดังเชํน ท่ีพระพุทธเจ๎าได๎ทรงตรัสรู๎ธรรม ได๎ด๎วยตนเองด๎วยปัญญาของพระองค์ แตํการเกิดมโนธรรมในมนุษย์ พระองค์ได๎ทรงแบํงประเภทของบุคคล ออกเปน็ ดอกบัวประเภทตาํ ง ๆ บคุ คลทเี่ ปน็ ประเภทดอกบัวทีอ่ ยํบู านชูชํอเหนือน้า คือ บุคคลที่สามารถเรียนร๎ู และประจักษ์ในความดีและความช่ัวด๎วยปัญญานั่นเอง สํวนบุคคลท่ีเป็นประเภทดอกบัวประเภทอื่น ๆ ก็อาจ สามารถรู๎ผดิ ชอบชั่วดไี ดด๎ ว๎ ยการอบรมสัง่ สอนตามระดับความสามารถของสติปัญญา นอกจากนี้ สัญชาตญาณ แหํงชีวิต (Life instinct) ของมนุษย์ ทาให๎มนุษย์คิดหาแนวทางในการที่จะมีชีวิตอยํูรอด และการมีสติปัญญาใน ระดับท่สี งู ทาใหม๎ นษุ ยส์ ามารถคดิ พิจารณา และแยกแยะเหตแุ ละผลไดเ๎ พือ่ มีชีวติ อยรํู อดได๎อยาํ งยัง่ ยนื 2) ตัวกาหนดมาจากสภาพจิต จากแนวความคิดท่วี าํ จริยธรรมมแี หลํงกาเนิดจาก ความร๎ูสึกผิดชอบชั่ว ดี ซึ่งเกิดข้ึนจากมโนธรรมที่อยูํในความร๎ูสึกนึกคิด ดังนั้น แหลํงกาเนิดของคุณธรรมและจริยธรรมจึงเป็น คุณภาพของสมองในการคดิ และคุณภาพของจิตท่สี ามารถแยกแยะความถูก ความผิดได๎เป็นพ้ืนฐาน สภาพของ จิตน้ันทาให๎บุคคลจดจาสิ่งที่เป็นเคียดแค๎น บาดหมางใจ หรือร๎ูสึกผิดตลอดเวลากับการตัดสินท่ีพลาดพลั้ง ไป ดังน้ันสภาพจิตกํอให๎เกิดอารมณ์และความร๎ูสึกท่ีอาจนาไปสํูการมีคุณธรรมและจริยธรรมและการขาด คุณธรรมและจรยิ ธรรมไดเ๎ ทาํ ๆ กนั แตํอยํางไรก็ตามคุณธรรมและจริยธรรมมีความสัมพันธ์กับสติปัญญา นักบริหารการศึกษาท่ีมี คณุ สมบัติด๎านสติปัญญายํอมได๎เปรียบในด๎านความคิดและการแสวงหาเหตุผล และสามารถพิจารณาผลท่ีจะ บังเกิดขึ้นจากการกระทาของตนได๎ นกั บรหิ ารท่ีมีสติปัญญาในระดับสูงจะเป็นผ๎ูท่ีสามารถคิดแก๎ปัญญาโดยยึด หลักเหตุผลทใ่ี หป๎ ระโยชน์สุขแกตํ นเองและไมํทาให๎ตนเองได๎รบั ความเดอื ดรอ๎ นในภายหลังได๎ ซึ่งกลําวได๎วําเกิด เปน็ ผลประโยชน์ท่ยี งั ความสุขมาให๎อยํางยั่งยนื 1.2.2 แหลํงกาเนิดภายนอกตัวบุคคล สํวนสาเหตุภายนอกตัวบุคคล ดวงเดือน พันธุม นาวิน (2538) กลําววํา ในการท่ีบุคคลนั้นจะทาความดี หรือละเว๎นการกระทาที่ไมํนําพึงปรารถนามากน๎อย เพียงใดน้ัน สาเหตุท่ีสาคัญ คือ คนรอบข๎าง กฎระเบียบ สังคม วัฒนธรรมและสถานการณ์ที่บุคคลประสบ อยูํ นอกจากสภาพแวดล๎อมในการทางาน การมีหรือการขาดแคลนสิ่งเอื้ออานวยในการทางาน ตลอดจน บรรยากาศทางสังคมในที่ทางาน กลุํมเพื่อนและวัฒนธรรมในองค์กร จะมีผลตํอพฤติกรรมการทางาน และ สุขภาพจิต ตลอดจนความสุขความพอใจในการทางาน

จรรยาบรรณและความสาคญั ตอํ ผู๎บรหิ ารสถานศกึ ษา ๙ วรยิ า ชนิ วรรโณ (2546) ได๎อธบิ ายถึงอิทธิพลท่ีเป็นผลตํอการเกิดคุณธรรมและจริยธรรมในประเทศ ไทยซึ่งเริ่มมีข้ึนในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล๎าเจ๎าอยูํหัว ซึ่งอาจกลําวได๎วําเป็นรากฐานของแหลํงคุณธรรม จรยิ ธรรม ซ่งึ สามารถนามาอธิบายได๎ ดงั น้ี 1) อิทธิพลของคาสาบานกฎหมาย ระเบียบและวินัย หลักจริยธรมที่ได๎จากคาสาบาน ถือเป็นราช ประเพณีท่ีผู๎บริหารบ๎านเมืองต๎องกระทา นอกจากกฎหมายที่ระบุไว๎เป็นจริยธรรมหรือวินัยของ ผู๎ปฏบิ ตั ิงาน การให๎คาสาบานจึงเป็นการกาหนดพฤติกรรมท่ีเป็นคุณธรรมจริยธรรมซึ่งเป็นเงื่อนไขผูกมัดด๎วย วาจาท่เี ช่ือมโยงกับความศักด์ิของพิธีกรรม ซึ่งทาให๎เกิดเป็นข๎อกาหนดแนวทางความประพฤติซึ่งมีวัฒนธรรม เปน็ ตวั กากับอยูดํ ๎วยและอาจกลายมาเปน็ กฎเกณฑใ์ นที่สดุ สํวนในเรื่องของกฎหมายในปัจจุบัน นักบริหารต๎องคานึงถึงหลักกฎหมายอยํางเป็นธรรม กฎหมาย บ๎านเมืองเป็นตัวกาหนดคุณธรรมและจริยธรรมในด๎านการกระทาตํอกันในการดาเนินชีวิตและการประกอบ อาชีพ เพอื่ ขจัดความขัดแยง๎ ระหวาํ งประชาชนในประเทศน้ัน ๆ ประชาชนจาเป็นจะต๎องเรียนร๎ูและต๎องปฏิบัติ ตามกฎหมายทเี่ ป็นเปน็ กฎหมายสาหรับประชาชนซง่ึ สํวนใหญจํ ะเปน็ การดาเนินชวี ติ ประจาวันซ่ึงเป็นเรื่องของ คุณธรรมและจริยธรรม ดวงเดอื น พนั ธมุ นาวนิ (2538) พบวํา การท่ีบคุ คลร๎ูวําอะไรดีอะไรเหมาะสมและสาคัญ น้ันไมํเพียงพอ ท่ีจะทาให๎เขามีพฤติกรรมตามน้ันได๎ เพราะคนท่ีทาผิดกฎหมาย เชํน ไปลักทรัพย์หรือทาร๎าย รํางกายผอู๎ นื่ ไมไํ ด๎ทาไปเพราะรเู๎ ทําไมํถึงการณ์ แตํทาไปทั้ง ๆ ที่ร๎ูวําผิด เพราะหลังจากท่ีกระทาลงไปแล๎วก็จะ หลบหนีซํอนตัวเพราะกลัวถูกจับมาลงโทษนั่นเอง นักบริหารก็เชํนกัน เม่ือร๎ูตัววํากระทาผิดมักจะรู๎แกํใจและ มักจะแสดงพฤติกรรมอน่ื ๆ เพ่ือกลบเกล่ือน 2) อิทธิพลของศาสนา ทกุ ศาสนายํอมมคี าสง่ั สอนเปน็ ศลี และธรรมใหบ๎ คุ คลผ๎นู ับถือและศรัทธาให๎การ ยอมรับและเชื่อฟัง พร๎อมที่จะปฏิบัติตามโดยไมํมีเงื่อนไง ดังเชํน พุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจาชาติของ ประเทศไทย ได๎กลําวแถลงธรรมในการบริหารจัดการและการปกครองแผํนดินของพระมหากษัตริย์ อัน ได๎แกํ ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร ราชสังคหวัตถุ และราชวสดธี รรม เป็นต๎น (วริยา ชนิ วรรโณ, 2546) ธรรม เหลาํ น้อี นั ที่จรงิ แลว๎ เป็นหลกั ธรรมทข่ี า๎ ราชการ ผู๎บรหิ ารและผูป๎ ระกอบวชิ าชพี ตําง ๆ ควรยดึ ถือปฏบิ ัตติ ามดว๎ ย ทศพิธราชธรรม คือ ธรรมของพระราชา มีข๎อปฏิบัติรวม 10 ประการ ซ่ึงนามาประยุกต์ใช๎ได๎ กับ หลักการบริหารอยํางมคี ณุ ธรรมและจริยธรรมได๎ ดังนี้ (1) ทาน คือ การให๎ทานทรพั ยส์ ินสิ่งของ (2) ศลี คือ ความประพฤตทิ ี่ดงี าม (3) ปรจิ จาคะ คอื การบรจิ าค การยอมสละผลประโยชนส์ ํวนตน เพ่อื ผลประโยชนส์ วํ นรวม (4) อาชชวะ คือความซอ่ื ตรงตอํ ตนเองและผู๎อนื่ มีความเป็นกลาง คอื ความไมํลาเอยี งหรอื มีอคติ (5) มัททวะ คอื ความสขุ ภาพอํอนโยนตอํ ปวงชนทั้งปวง มีสมั มาคารวะ (6) ตบะ คอื มีความเพยี ร ไมเํ กยี จครา๎ น มคี วามพยายามแสวงหาแนวทางสํคู วามสาเร็จ (7) อักโกธะ คือ ความไมโํ กรธ การทาจติ ใจใหผ๎ อํ งใส มสี ตแิ ละร๎ูเหตผุ ลอยูตํ ลอดเวลา (8) อวิหิงสา คือ ความไมํเบยี ดเบยี นขมํ เหง ความไมํลวํ งละเมดิ สทิ ธขิ องผ๎ูอืน่ (9) ขันติ คอื ความอดทน ความคงสภาพใหส๎ ามารถตอํ สกํู ับอุปสรรคไดโ๎ ดยไมํทอ๎ ถอย (10) อวิโรธนะ คอื ไมํประพฤติผิดในธรรม ไมํผิดพลาด เป็นผู๎ท่ีทาแตํความดีและได๎ผลลัพธ์ของการ กระทาท่ีดี จักรวรรดิวัตร คือ หลักธรรมที่พระมหากษัตริย์และข๎าราชการของพระองค์ใช๎ในการดาเนินนโยบาย ทางการบริหารบ๎านเมอื ง มีหลกั ปฏบิ ัติ 12 ประการ ซ่งึ นาไปประยุกต์ใชใ๎ หต๎ รงตามกบั บทบาทหน๎าท่ีได๎ ดังนี้ (1) การอบรมผป๎ู กครองใหอ๎ ยํใู นศลี ธรรมอนั ดงี าม

จรรยาบรรณและความสาคญั ตอํ ผู๎บรหิ ารสถานศกึ ษา ๑๐ (2) การผกู สมั พันธไมตรกี ับตาํ งประเทศ (3) การให๎รางวลั อันสมควรแกํผูบ๎ าเพญ็ ตนใหเ๎ ปน็ ประโยชนต์ อํ สังคม (4) การเกื้อกลู ผ๎ูทรงศลี เคร่อื งพรต และไทยธรรม และอนุเคราะห์คหบดี ด๎วยความชํวยเหลือให๎สิ่งท่ี จาเปน็ สาหรับอาชีพ (5) การอนเุ คราะห์ใหเ๎ ล้ยี งชีพไดต๎ ามควรแกอํ ัตภาพ (6) การใหค๎ วามอุปการะแกํผู๎ทรงศลี ทปี่ ระพฤติชอบ (7) การห๎ามการเบยี ดเบยี นสตั ว์ (8) การชักนาใหบ๎ คุ คลทงั้ หลายต้ังอยใูํ นธรรม ขจดั การทาบาปทากรรม และความไมํเป็นธรรม (9) การให๎การสงเคราะห์แกํผูท๎ ี่ขดั สนไมํพอเลี้ยงชีพ (10) การเข๎าหาผ๎ูทรงศีลในโอกาสอนั ควร เพอ่ื ศกึ ษาถงึ บุญบาป (11) การตั้งวิรัตจิ ิตไมํใหเ๎ กดิ ธรรมราคะดากฤษณา (12) การระงบั ความโลภ ห๎ามจิตใจไมํใหป๎ รารถนาลาภทไ่ี มํควรได๎ ราชวสดธี รรม คือ ธรรมทีเ่ ป็นหลกั ในการปฏบิ ัติราชการ ซง่ึ มีสาระสรปุ ได๎เป็น 3 หลกั ใหญํ รวม 49 ข๎อ ปฏบิ ัติ หลักใหญํ 3 ประการ ไดแ๎ กํ (1) หลกั ธรรมทเี่ กย่ี วกบั การปฏบิ ัตติ นตอํ พระราชาโดยตรง (2) หลักธรรมทเ่ี ก่ียวกับการควบคมุ ตนเอง (3) หลกั ธรรมทเี่ ก่ียวกบั การทางาน 3) อิทธิพลที่ได๎จากหลักธรรมตามแนวพระราชดาริและพระบรมราโชวาท รวมทั้งโอวาทของผู๎นา ระดบั สงู ในอดตี ประเทศไทยเป็นประเทศท่ปี กครองโดยพระมหากษัตริย์ซ่ึงทรงเป็นที่รักเคารพอยํางยิ่ง ดังน้ัน พระบรมราโชวาทของพระมหากษัตริย์ทุกประองค์เป็นเสมอนหลักธรรมในการครองตน ครองคนและครอง งาน ดงั เชํน พระบรมราโชวาทตอนหนึ่งของพระบาทสมเดจ็ พระเจา๎ อยหํู วั ทใี่ ห๎ไว๎เมื่อ วันท่ี 8 กรกฎาคม 2520 ท่ี จะขออัญเชญิ มาแสดงไว๎ ณ ท่ีน้ี ความวาํ “...การที่จะทางานให๎สัมฤทธ์ิผลที่พึงปรารถนา คือท่ีเป็นประโยชน์และเป็นธรรมด๎วยน้ัน จะอาศัย ความรู๎แตํเพียงอยํางเดียวมิได๎ จาเป็นต๎องอาศัยความสุจริต ความบริสุทธ์ิใจและความถูกต๎องเป็น ธรรม ประกอบด๎วย เพราะเหตุวํา ความรู๎นั้นเป็นเหมือนเคร่ืองยนต์ ที่ทาให๎ยวดยานเคล่ือนท่ีไปได๎ประการ เดียว สวํ นคณุ ธรรมดงั กลาํ วเปน็ เหมือนหนึ่งพวงมาลัยหรือหางเสือ ซงึ่ เปน็ ปจั จัยท่นี าพาใหย๎ วดยานดาเนนิ ไปถูก ทาง ด๎วยความสวัสดี คอื ความปลอดภยั จนบรรลุถงึ จุดหมายทพ่ี ึงประสงค์…” พระบรมราโชวาทตอนหน่ึงของพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัว ท่ีให๎ไว๎เม่ือ วันท่ี 15 มีนาคม 2526 ท่ี จะขออญั เชิญ มา แสดงไว๎ ณ ท่นี ้ี มขี ๎อคดิ 4 ประการ ความวาํ “ การกระทาการงานสร๎างเกยี รติยศช่ือเสียง และความเจริญก๎าวหนา๎ นอกจากจะต๎องใช๎วชิ าความร๎ูที่ดี แลว๎ แตํละคนยังต๎องมีจติ ใจทม่ี ่นั คงในความสุจริต และมุํงม่ันตํอความสาเร็จเป็นรากฐานรองรับ กับต๎องอาศัย กศุ โลบายหรือวิธกี ารอันแยบคาย ในการประพฤติปฏบิ ัตเิ ขา๎ ประกอบอีกหลายประการ ประการแรก ได๎แกํ การสร๎างศรัทธาความเช่ือถือในงานท่ีทาซ่ึงเป็นพละกาลัง สํงเสริมให๎เกิดความ พอใจ และความเพยี รพยายามอยาํ งสาคญั ในอันท่ีจะทาการงานให๎บรรลุผลเลิศ ประการท่ีสอง ได๎แกํ การไมํประมาทปัญญา ความรู๎ความฉลาด ความสามารถท้ังของตนเองทั้งของ ผอ๎ู นื่ ซึง่ เป็นเคร่ืองชวํ ยทางานให๎กา๎ วหนา๎ กวา๎ งไกล

จรรยาบรรณและความสาคญั ตอํ ผูบ๎ รหิ ารสถานศกึ ษา ๑๑ ประการที่สาม ได๎แกํ การรักษาความจริงใจท้ังตํอผ๎ูอ่ืนและตํอตัวเอง ซ่ึงเป็นเคร่ืองทาให๎ไว๎วางใจ รวํ มมอื กนั และทาให๎งานสาเร็จโดยราบรื่น ประการที่ส่ี ได๎แกํ การกาจัดจิตใจที่ต่าทราม รวมทั้งสร๎างเสริมความคิดจิตใจท่ีสะอาด เข๎มแข็งที่จะ ชวํ ยให๎ฝักใฝแุ ตํในการที่จะปฏิบตั ิดี ใหเ๎ กิดความก๎าวหน๎า ประการที่หา๎ ไดแ๎ กํ การรู๎จกั สงบใจ ซ่งึ เป็นเคร่ืองชํวยให๎ย้ังคิดได๎ ในเม่ือมีเหตุทาให๎เกิดความหว่ันไหว ฟูงุ ซาํ น และสามารถพิจารณาแกไ๎ ขปัญหาไดโ๎ ดยถูกต๎อง...” นอกจากนี้พระราชดารสั ของสมเดจ็ พระศรนี ครินทราบรมราชชนนี ทท่ี รงกลําวถึง คนดี ก็เป็นพระราช ดารสั ทม่ี ีอทิ ธพิ ลตํอการเกิดจิตสานกึ ในคุณธรรมและจรยิ ธรรม ดังความวํา “คนดีของฉันรึ จะต๎องเป็นคนไมํพูดปด ไมํสอพลอ ไมํอิจฉาริษยา ไมํคดโกงและไมํมีความ ทะเยอทะยานอยาํ งบ๎า ๆ แตํพยายามทาหน๎าทข่ี องตนใหด๎ ีในขอบเขตของศีลธรรม” สาหรบั คุณธรรมจริยธรรมในวิชาชีพทางการศึกษาน้นั สุภทั ร ปญั ญาทีป (2546) กลําววํา องค์ความร๎ู ด๎านคุณธรรมและจริยธรรมในสังคมตะวันออกและสังคมตะวันตกมีอิทธิพลตํอคุณธรรมจริยธรรมของ ไทย โดยเฉพาะในวงการการศกึ ษาวาํ เมอ่ื นามาพิจารณาถงึ กรอบขององค์ความร๎อู าจมาจาก 3 แหลงํ คือ 1) แหลํงศาสนา ซึ่งเป็นแหลํงของคาวํา จริยธรรม ศีลธรรมและคุณธรรม จนกลายเป็นบทบัญญัติท่ี เป็นกฎระเบียบ – จรรยาบรรณ ในวิชาชีพตาํ ง ๆ 2) แ ห ลํ ง ป รั ช ญ า โ ด ย เ ฉ พ า ะ ส า ข า ที่ เ ป็ น คุ ณ คํ า วิ ท ย า ซึ่ ง ไ ด๎ แ กํ จ ริ ย ศาสตร์ ศลี ธรรม สุนทรียศาสตร์ และปรชั ญาการศึกษา 3) จ า ก แ ห ลํ ง จ ริ ย ธ ร ร ม ป ร ะ เ พ ณี ท า ง สั ง ค ม เ ชํ น ก ฎ ห ม า ย ภู มิ ปั ญ ญ า วิ ถี ประชา คาํ นยิ ม ภาษา และ วัฒนธรรม เปน็ ต๎น แหลํงองค์ความร๎ูเหลํานี้ล๎วนเป็นกรอบความประพฤติที่นามาสูํการวางแนวทางการปฏิบัติตาม มาตรฐานของวชิ าชีพและนาไปสกํู ารกาหนดไว๎เป็นจรรยาบรรณวชิ าชพี 1.2.3 ปัจจัยท้ังภายนอกและภายในรํวมกัน การท่ีคนเราจะทาความดีหรือไมํ มากน๎อยเพียงใด น้ัน ขึ้นอยํูกับสาเหตุท้ังภายนอกและภายในตัวบุคคล สาเหตุภายในคือลักษณะจิตตําง ๆ เชํน การไมํเห็นแกํ ตัว แตํเห็นแกํสํวนรวม การมํุงอนาคตและความสามารถในการควบคุมตนเอง ความเชื่อท่ีวําทาดีจะนาไปสูํ ผลดี และการทาช่ัวต๎องได๎รับโทษ นอกจากน้ันการมีความพอใจและเห็นด๎วยกับความดีตําง ๆ และเห็น ความสาคัญของความดีเหลําน้ัน เชํน ความซ่ือสัตย์ การเคารพกฎระเบียบละกฎหมาย ความสามัคคี เป็น ต๎น ลกั ษณะทางจติ เหลาํ นีม้ ีความสาคัญมาก (ดวงเดอื น พนั ธุมนาวิน, 2538) บุคคลแตํละคนจะอยํูภายใต๎อิทธิพลของจิตใจของตนและสภาพแวดล๎อมภายนอกไปพร๎อม ๆ กัน ใน การท่ีจะกลาํ ววําการทาหรือไมทํ าพฤติกรรมตาํ ง ๆ นน้ั จิตใจหรอื สภาพแวดลอ๎ มจะมอี ิทธพิ ลมากกวาํ กัน ในการ ทีบ่ ุคคลนนั้ จะทาความดลี ะเว๎นความช่ัวก็ตอบได๎วําใครจะอยํูภายใต๎อิทธิพลของสภาพแวดล๎อมมากหรือน๎อย นัน้ ยอํ มขนึ้ อยกํู บั คณุ ภาพทางจิตใจของบุคคลน้ัน คนที่จิตใจยังไมํพัฒนาไปสํูขั้นสูง เชํน เด็ก หรือคนท่ีมีจิตใจ ตา่ แม๎วาํ จะเป็นผใ๎ู หญํแล๎วก็ตาม จะเปน็ ผ๎ูท่อี ยํูภายใตอ๎ ิทธพิ ลของสภาพแวดล๎อมภายนอก บุคคลน้ันจะทาความ ดีละเว๎นความช่ัว ในสถานการณ์ท่ีมีคนออกคาส่ังคอยสอดสํอง และควบคุมบังคับเทํานั้น และจะทาความดี เพราะต๎องการรางวัล หรืองดเว๎นการกระทาที่ไมํดีเพราะกลัวถูกลงโทษ กลัวคนอื่นเห็น กลัวโดนจับได๎ เทําน้ัน สํวนผู๎ท่ีอยํูภายใต๎อิทธิพลของสภาพแวดล๎อมน๎อยจะกระทาหรือไมํกระทาส่ิงใดจึงมักขึ้นอยํูกับการ พิจารณาโดยตนเองอยํางรอบคอบโดยไมํเห็นแกํตัว แตํทาตามกฎระเบียบ ทางานเพ่ืองานอยํางเต็ม ความสามารถด๎วยใจรกั และทาเพอื่ หนํวยงานและสวํ นรวมเปน็ สาคัญ ผ๎ูทมี่ จี ิตใจแกรงํ ไมพํ ํายแพ๎ตอํ สถานการณ์

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผูบ๎ รหิ ารสถานศกึ ษา ๑๒ ท่ีย่ัวยุให๎ทาช่ัว มีระเบียบวินัย ควบคุมบังคับตนเองได๎ ทาความดีเสมอ แม๎จะไมํได๎รับการสนับสนุนจากผ๎ูอื่นก็ ตาม บุคคลประเภทน้ีมจี ิตใจสงู จากการพิจารณาพฤติกรรมด๎านคุณธรรมและจริยธรรมของ สุนทร โคตรบรรเทา (2544) ซ่ึงกลําว วํา จริยธรรม คือ คํานิยมในระดับตําง ๆ ซึ่งสังคมและบุคคลจาเป็นต๎องยึดมั่นถือม่ันในการที่จะศึกษาเร่ือง คํานิยมให๎ลึกซึ่งต๎องศึกษาเรื่องคํานิยมให๎กว๎างขวางออกไป แสดงวําสิ่งที่มีความสาคัญตํอการเกิด คุณธรรม คือ คํานิยม เพราะคํานิยมหมายถึงส่ิงที่บุคคลยอมรับวํามีความสาคัญมากซ่ึงมีความแตกตํางกันไป ตามกลุํมบุคคลและวัฒนธรรม เชํน คํานิยมในการมีการศึกษาระดับสูง ความกตัญญูตํอบิด มารดาและครู อาจารย์นัน้ ในบางสังคมเห็นวําสองสิ่งนีเ้ ปน็ สง่ิ ท่ีสาคัญมาก แตํในบางกลุํมอาจเห็นวําเป็นส่ิงท่ีไมํสาคัญ เพราะ อาจไมํใชํสิ่งที่จาเป็น หรือความกตัญญูอาจจะมีความสาคัญในระดับที่ต่าเพราะยังมีสิ่งอื่นท่ีสาคัญกวําความ กตญั ญู เชํน ความรับผิดชอบตอํ สวํ นรวมและความเสยี สละ เปน็ ตน๎ ดังนัน้ จงึ กลาํ วไดว๎ าํ คณุ ธรรมและคํานยิ มของบคุ คลนัน้ คือ การยอมรบั วําสง่ิ ใดดี สิ่งใดช่ัว สิ่งใด สาคัญสิง่ ใดไมํสาคัญ ส่ิงเหลําน้ีต๎องได๎รับการปลูกฝังต้ังแตํเด็กจนถึงผู๎ใหญํ การเห็นผิดเป็นชอบ ยํอมขึ้นอยูํกับ การเรียนร๎ูซึ่งเป็นประสบการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน นอกจากน้ันการท่ีบุคคลจะมองเห็นวําส่ิงใดสาคัญมาก หรือน๎อยก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได๎ ตามสถานการณ์และยุคสมัยด๎วย เชํน การอนุรักษ์ส่ิงแวดล๎อมและ ธรรมชาติน้นั เป็นคณุ ธรรมและคาํ นิยมท่ีมคี วามสาคญั มากกวําในอดีต เป็นต๎น คุณธรรมและคํานิยมตําง ๆ น้ัน จงึ เป็นสาเหตุของการทาดีละเว๎นความช่ัว การท่ีบุคคลมีคุณธรรมและมีคํานิยมที่เหมาะสมแล๎วนําจะเป็นผู๎ท่ีมี จรยิ ธรรมที่เหมาะสมดว๎ ย เหลาํ นน้ี าไปสํูจรรยาบรรณแหงํ วชิ าชพี ตาํ ง ๆ ๔. ความสาคัญของจรรยาบรรณตอ่ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู๎บริหารสถานศึกษาท่ีมีคุณภาพต๎องเป็นผู๎นามีคุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณในวิชาชีพ เกิด ค ว า ม พึ ง พ อ ใ จ ตํ อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น สํ ง ผ ล ใ ห๎ ก า ร ท า ง า น มี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ข อ ง อ ง ค์ ก ร ห รื อ ส ถ า น ศึ ก ษ า กระทรวงศึกษาธิการจึงเน๎นให๎ผ๎ูบริหารสถานศึกษามีความร๎ูคํูคุณธรรม มํุงเน๎นการพัฒนาและเสริมสร๎าง ศักยภาพคน โดยมียุทธศาสตร์สาหรับผูบ๎ รหิ ารสถานศกึ ษา มศี ักยภาพความเป็นผ๎ูนาท่ีมีจิตวิญาณของผ๎ูบริหาร อยํางย่ังยืน และตระหนักในบทบาทหน๎าท่ีความรับผิดชอบ อยํางมีความภาคภูมิใจในวิชาชีพผ๎ูบริหาร สถานศกึ ษา รัตนวดี โชติกพนิช (2550:1) จรรยาบรรณมีความสาคัญดงั นี้ 1) ชํวยควบคุมมาตรฐาน รับประกนั คุณภาพท่ีถกู ตอ๎ งในการประกอบอาชพี ในการผลิตและ การค๎า 2) ชวํ ยควบคมุ จริยธรรมของผูป๎ ระกอบอาชีพ 3) ชวํ ยสงํ เสริมมาตรฐาน คุณภาพและปริมาณที่ดี มคี ุณคําและเผยแพรํใหร๎ ูจ๎ ักเป็นท่ีนยิ ม เช่อื ถอื 4) ชวํ ยสงํ เสริมจริยธรรมของผูป๎ ระกอบอาชพี 5) ชวํ ยลดปญั หาอาชญากรรม ลดปัญหาการกดโกง เอารัดเอาเปรียบ เหน็ แกํตวั 6) ชํวยเนน๎ ให๎เหน็ ชดั เจนย่งิ ข้นึ ในภาพพจนท์ ดี่ ขี องผม๎ู ีจริยธรรม 7) ชํวยทาหนา๎ ท่ีพทิ กั ษส์ ิทธิตามกฎหมายสาหรับผ๎ปู ระกอบอาชพี ใหเ๎ ปน็ ไปถูกต๎องตาม ทานองคลองธรรม

จรรยาบรรณและความสาคญั ตํอผ๎ูบรหิ ารสถานศึกษา ๑๓ พฤทธิ์ ศีริบรรณพิทัษ์ (2557: 1) จรรยาบรรณวิชาชีพ มีความสาคัญตํอวิชาชีพครูเชํนเดียวกับท่ี จรรยาบรรณวิชาชีพมีความสาคญั ตอํ วชิ าชีพอื่น ๆ ซง่ึ สรปุ ได๎ 3 ประการ คอื 1) ปกปูองการปฏิบตั ิงานของสมาชิกในวชิ าชพี 2) รกั ษามาตรฐานวิชาชพี 3) พฒั นาวิชาชีพ ครเู ชียงราย (2563) จากการศึกษาความสาคัญของจรรยาบรรณ สามารถไดข๎ ๎อสรปุ วาํ จรรยาบรรณ ครมู ีความสาคญั ตํอผท๎ู เ่ี กีย่ วขอ๎ งในสวํ นของผปู๎ ระกอบวิชาชีพครดู งั น้ี 1) ชํวยควบคุมมาตฐานคุณภาพของครูให๎ครูมีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ท้ังด๎านการประพฤติปฏิบัติ ตนเละจริยธรรมของครู 2) ชํวยสํงเสริมมาตรฐานคุณภาพและปริมาณที่ดีมีคุณคําสูํสังคม ทาให๎ครูได๎รับความเชื่อถือศรัทธา จากผ๎พู บเห็น 3) ชํวยพทิ ักษส์ ิทธใิ นการประกอบวชิ าชีพครแู ละควบคุมมาตรฐานในการประกอบวชิ าชีพ 4) ชํวยลดปญั หาความประพฤติปฏบิ ตั ขิ องครูท่ีไมํเหมาะสมไมํสมควร ผิดหลักศีลธรรมคุณธรรม เชํน ความประพฤติผดิ ทางเพศ การทารา๎ ยรํางกายเดก็ การเอารัดเอาเปรยี บเดก็ 5) ชํวยเน๎นภาพลักษณ์ของครูท่ีมีคุณธรรมจริยธรรมให๎เห็นเดํนชัดยิ่งข้ึนเชํน ความรัก ความเมตตา ความเสยี สละ อทุ ศิ ตนเพือ่ ประโยชนส์ ํวนรวม ความรับผดิ ชอบในหนา๎ ที่การงานและอาชพี ความโอบอ๎อมอารี 6) ชํวยรกั ษาชื่อเสยี ง เกียรตยิ ศ และศักดศิ์ รีของผ๎ูอยํใู นวงการวิชาชพี 7) ชํวยใหค๎ รไู ดต๎ ระหนกั รู๎ในความสาคัญของบทบาทหน๎าที่ และภาระงานของตนตอํ สงั คม 8) ชํวยปลูกฝังคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์และการประพฤติปฏิบัติตนของครูให๎ถูกต๎องตามครรลอง ครองธรรม จานง กมลศิลป์ (2559) ได๎สรุปความสาคัญของจรรยาบรรณตํอผู๎บริหารสถานศึกษา และความ คาดหวังของสังคมที่มีตํอผู๎บริหารสถานศึกษาและผู๎ประกอบวิชาชีพครู ไว๎วํา ผู๎บริหารสถานศึกษาและผ๎ู ประกอบวิชาชีพครูไมํอาจปฏิเสธความรับผิดชอบตํอปัญหาด๎านคุณธรรมของสังคมโดยเฉพาะอยํางย่ิงของ นักเรียนและตํอวิชาชีพครู เพราะสังคมมีความคาดหวังด๎านจริยธรรมจากครูใหญํ หรือผ๎ูบริหารสถานศึกษา ตลอดจนผ๎ูประกอบวชิ าชีพครู ดงั น้ี 1. สถานศึกษาต๎องเป็นสถาบันแหํงศีลธรรม (moral institute) ท่ีชํวยกาหนดบรรทัดฐาน ของ สงั คม (social norm) 2. ผ๎ูบริหารสถานศึกษาต๎องเป็นผ๎ูมีศีลธรรมและเป็นตัวแทนด๎านศีลธรรม (moral agent) การตัดสินใจเรื่องใด ๆ ก็ตามต๎องอยํูบนเหตุผลของคานิยมทางศีลธรรม (moral value) เป็นหลักมากกวํา หลักการอืน่ ๆ 3. การบริหารและการจัดการศึกษา ผู๎บริหารสถานศึกษาจะต๎องทํุมเททรัพยากรทุกอยําง เพ่ือใหเ๎ กดิ บรรยากาศที่ดี ทาให๎นักเรยี นมคี วามเจรญิ งอกงามได๎อยํางสมดุล พัฒนาศักยภาพในทุก ๆ ด๎านให๎มี คุณภาพ และได๎ฝึกปฏบิ ัติให๎เป็นคนดมี คี ุณธรรมและมีความสขุ (ดี เกํง และมีความสุข)

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผบู๎ รหิ ารสถานศกึ ษา ๑๔ 4. ผูบ๎ รหิ ารสถานศกึ ษาจะตอ๎ งมีระเบียบวินยั ในตนเองไมเํ กี่ยวขอ๎ งกบั อบายมุขหรือส่ิงเสพติด หรอื ประพฤตผิ ดิ ทางชส๎ู าว แตํปฏิบัติหน๎าท่ีด๎วยความรบั ผิดชอบและซื่อสตั ยส์ จุ ริต ไมํเรียกรับผลประโยชน์ตอบ แทนจากผร๎ู ับบรกิ ารในงานตามบทบาทหนา๎ ท่ี ปรีดาวรรณ วชิ าธคิ ุณ และคณะ (2564) ได๎สรปุ ความสาคัญของจรรยาบรรณตํอผ๎ูบรหิ ารสถานศึกษา ไว๎วํา คุณธรรม จริธรรมถือเป็นคุณลักษณะพ้ืนฐานท่ีสาคัญสาหรับผ๎ูบริหารสถานศึกษาที่จะนาไปสูํความสุข สงบ และความเจริญก๎าวหน๎าทางด๎านวิชาชีพ การนาหลักไตรสิกขา ศีล(ความประพฤติทางกาย) สมาธิ (การ ฝึกอบรมจิตใจ) ปัญญา (ความร๎ูแจ๎ง) และจรรยาบรรณผ๎ูบริหารสถานศึกษามาประยุกต์ใช๎กับการบริหาร สถานศึกษา ทาใหเ๎ กดิ ผลการพัฒนาสถานศึกษาที่ครอบคลมุ ทงั้ 4 ด๎าน ได๎แกํ 1) ด๎านคุณภาพ เป็นผู๎มีวิสัยทัศน์กว๎างไกล มีเทคนิคการบริหารและการวางแผนกลยุทธ์ สถานศึกษาไดม๎ าตรฐาน และมีคุณภาพในระดบั สงู การศึกษามคี ณุ ภาพ มผี ลงานทางวิชาการทเ่ี ปน็ ประจกั ษ์ 2) ด๎านสังคม เสริมสร๎างความม่ันใจและความศรัทธาให๎แกํครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน ผู๎ปกครอง และชุมชน ได๎เป็นอยํางดีเป็นรากฐานท่ีสะท๎อนให๎เห็นความสามารถทางวิชาการของ ผบู๎ รหิ ารสถานศกึ ษา 3) ด๎านเศรษฐกิจ มคี วามสามารถในการแสวงหาทุน การระดมทรพั ยากรทด่ี ี มีความคลํองตัว โปรงํ ใส ตรวจสอบได๎ และการบริหารงานงบประมาณของสถานศกึ ษาให๎มปี ระสิทธิภาพ และ 4) ด๎านสิ่งแวดล๎อม เป็นผู๎เทําทันตํอการเปล่ียนแปลง เป็นผ๎ูนานวัตกรรมและเทคโนโลยี สารสนเทศ ปรับตัวได๎เหมาะสมกับสถานการณ์โลกและสังคมที่เปลี่ยนแปลง ซ่ึงสํงผลตํอคุณภาพของครู บุคลากร และนักเรียนท่ีมีคุณภาพท่ีสมบูรณ์ เป็นท้ังคนเกํง คนดี และมีความสุขซ่ึงเป็นผลมาจากการ บริหารงานทม่ี คี ุณภาพของผ๎บู ริหารสถานศกึ ษามอื อาชีพ รัชวลี วรวุฒ (2548) ได๎สรุปความสาคัญของจรรยาบรรณตํอผู๎บริหารสถานศึกษา ไว๎วํา ถ๎า ผู๎บริหารสถานศึกษามีจรรยาบรรณวิชาชีพ ยํอมสํงผลให๎เกิดความพึงพอใจตํอการปฏิบัติงานของครู อันจะ นาไปสํูการทางานทกี่ อํ ให๎เกิดประสิทธิภาพขององค์กร หรือสถานศึกษา ความพึงพอใจตํอการปฏิบัติงานของ ครู จากการทางานท่ีมีความสุข ตํอหน๎าที่ในสถานศึกษาน้ันต๎องเกิดจากความศรัทธาความเช่ือถือตามความ คดิ เหน็ ของผู๎ปฏบิ ัตงิ านโดยอาศยั ประสบการณ์เดมิ ผสมผสานกับข๎อมลู ทเ่ี กย่ี วขอ๎ งจนเกดิ เปน็ ความร๎ูสึก ที่พอใจ ตํอการปฏิบัตงิ าน ประกอบดว๎ ย 5 ด๎าน ดังนี้ 1. ด๎านความก๎าวหนา๎ หรอื ความม่ันคงในการทางาน 2. ด๎านนโยบายในการบรหิ ารงาน 3. ดา๎ นความศรัทธาตอํ ผู๎บรหิ ารและผ๎ูรวํ มงาน 4. ดา๎ นความสาเรจ็ ในการปฏบิ ัตงิ าน และ 5. ด๎านความมัน่ คงปลอดภยั ในการทางาน

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผบู๎ รหิ ารสถานศึกษา ๑๕ สฎายุ ธีระวนิชตระกูล (2553) ได๎สรุปความสาคัญของจรรยาบรรณตํอผ๎ูบริหารสถานศึกษา ไว๎วํา ถ๎าผูบรหิ ารท่ปี ฏิบตั ติ นตามแบบแผนมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพท่ีกาหนดไวอยางเครงครัดยอม ทาใหตนมีบารมเี ปนทีเ่ ล่อื มใสศรัทธาของผูรวมงานและผูใตบังคบั บญั ชา สุชาดา นันทะไชย (2554) ได๎สรุปความสาคัญของจรรยาบรรณตํอผ๎ูบริหารสถานศึกษา ไว๎วํา ผ๎ูบริหารสถานศึกษายํอมเป็นผ๎ูมีบทบาทสาคัญทั้งด๎านการบริหารจัดการภายในสถานศึกษาและการจัด การศกึ ษาใหก๎ ับผูเ๎ รียน การบริหารการศกึ ษาในยคุ ทเ่ี กดิ ความเปลี่ยนทางสงั คม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีอยําง ก๎าวกระโดด ผ๎ูบรหิ ารสถานศึกษาจะตอ๎ งมกี ารปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให๎เป็นผ๎ูมีความรู๎และประสบการณ์สม กับที่เป็นวิชาชีพช้ันสูงทางการบริหารการศึกษา เป็นบุคคลทางวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารการศึกษาให๎ ครอบคลุมทกุ ดา๎ นอยาํ งเตม็ ศักยภาพ ผู๎บริหารยุคใหมํต๎องเป็นผ๎ูนาทางวิชาการ เป็นผ๎ูนาการปฏิรูปการเรียนร๎ู ผู๎บรหิ ารสถานศึกษานน้ั เป็นท่ีสังคมมีความคดิ เหน็ ท่ีจะให๎เปน็ ต๎นแบบทางคุณธรรม จริยธรรม ยึดหลักธรรมใน การครองตนและมพี ฤตกิ รรมทพี่ ง่ึ ประสงคต์ ามจรรยาบรรณของวิชาชีพ ในการดาเนินชีวิตของผ๎ูบริหารเป็นสิ่ง ทสี่ ามารถชีน้ าสังคมไปในทางที่เหมาะสม ภายใตส๎ ภาพสงั คมทเ่ี ปลี่ยนแปลงอยํูตลอดและมีการเปลี่ยนแปลงอยูํ เรื่อย ๆ นั้น สิ่งที่องค์กรการศึกษาควรดารงไว๎ นั่นคือความรู๎ความเข๎าใจท่ีตรงกันเกี่ยวกับเรื่องคุณธรรม จรยิ ธรรมในองคก์ รกลําวไดว๎ าํ ผูบ๎ รหิ ารสถานศึกษาต๎องเปน็ ผู๎นาทางจริยธรรมและสถานศึกษาต๎องเป็นองค์กร แหํงศีลธรรมด๎วย ชาเรือง วุฒิจันทร์ (2540, น.108-109) ได๎กลําวถึงความสาคัญของจรรยาบรรณวิชาชีพของ ผ๎บู ริหารสถานศกึ ษาไว๎ 7 ประการ ดังนี้ 1) ชํวยควบคุมมาตรฐานรับประกันคุณภาพและปริมาณท่ีถูกต๎องใน การประกอบวชิ าชีพ และการดาเนินงานของผ๎ูประกอบวิชาชพี 2) ชํวยควบคมุ จริยธรรมของผู๎ประกอบวิชาชีพ ให๎เป็นผู๎มีความซ่ือสัตย์สุจริดและยุติธรรม 3) ชํวยสํงเสริมมาตร ฐานคุณภาพและปริมาณของผลผลิตท่ีผู๎ ประกอบวิชาชีพจัดทาขึ้นให๎อยูํในเกณฑ์ท่ีดีอยํูเสมอ 4) ชํวยสํงเสริมจริยธรรมของผ๎ูประกอบการและ ผ๎ูดาเนินการให๎มีความเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจตํอผ๎ูรํวมงาน และผู๎รับผิดชอบ 5) ชํวยลดการเอารัดเอา เปรยี บ การอโกง ความเห็นแกํตัว ตลอดจนความมักงําย ใจแคบไมํยอมเสียสละ 6) ชํวยเน๎นให๎เห็นชัดเจนชิ่ง ข้ึนในภาพพจนท์ ี่ดีของผ๎มู ีจรยิ ธรรม เชํน ในเรอื่ งการเสยี สละ การเห็นประโยชน์สํวนรวมมากกวําสํวนตน และ 1 ชวํ ยทาหน๎าท่พี ิทกั ษส์ ทิ ธติ ามกฎหมายสาหรับผู๎ดาเนินการ หรือผ๎ูประกอบวิชาชีพให๎เป็นไปโดยถูกต๎องตาม ทานองครองธรรม จึงสรุปได๎วํา จรรยาบรรณมีความสาคัญตํอผ๎ูบริหารสถานศึกษา ถือเป็นคุณลักษณะพ้ืนฐานท่ีสาคัญ สาหรับผ๎ูบริหารสถานศึกษาที่จะนาไปสํูความสุข สงบ และความเจริญก๎าวหน๎าทางด๎านวิชาชีพ สํงผลให๎เกิด ความพึงพอใจตํอการปฏิบัติงานของครู อันจะนาไปสูํการทางานที่กํอให๎เกิดประสิทธิภาพขององค์กร หรือ สถานศึกษา และมศี ักยภาพความเปน็ ผนู๎ าท่ีมจี ติ วญิ าณของผบ๎ู ริหารอยํางยงั่ ยนื

จรรยาบรรณและความสาคญั ตอํ ผบ๎ู รหิ ารสถานศึกษา ๑๖ ๕. ประโยชนข์ องจรรยาบรรณต่อผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ผ๎ูบริหารสถานศึกษายุคใหมํควรมีคุณธรรมจริยธรรม บุคลิกภาพดี มีความร๎ูสูํสากล เป็นผ๎ูมี คณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ สามารถบรหิ ารสถานศึกษาได๎อยํางมีคุณภาพ ตลอดจนดารงชีวิตได๎อยํางมีความสุข เป็นแบบอยํางที่ดีให๎แกํเพ่ือนรํวมงาน สํงผลสัมฤทธิ์ตํอผู๎เรียน อันเป็นการพัฒนาการศึกษาของชาติ โดยการ พฒั นาบคุ ลกิ ภาพของผ๎บู รหิ าร การพฒั นากาย การพฒั นาทกั ษะการคดิ การพูด การฟัง เจตคติและคํานิยมท่ีดี การมีความมํุงมั่นและเกิดแรงบันดาลใจในการบริหารจดั การศกึ ษา การมีวินัยคุณธรรม จริยธรรมจรรยาบรรณ วิชาชีพและพัฒนาจิต การมีวัฒนธรรมคุณภาพและวัฒนธรรมประชาธิปไตย โดยใช๎วิธีการเรียนร๎ูและการ ประเมินผลท่หี ลากหลาย เพอ่ื ใหผ๎ ูบ๎ ริหารสถานศกึ ษามคี ณุ ลักษณะที่พงึ ประสงค์ จรัส ตง้ั โซ๏ะ (2555) ได๎สรปุ ประโยชนข์ องจรรยาบรรณตํอผ๎ูบริหารสถานศึกษา ไว๎วํา จรรยาบรรณ ในวิชาชีพของผู๎บริหาร เป็นประโยชน์ตํอการเสริมสร๎างเกียรติภูมิ และศักด์ิศรีของ ผู๎บริหาร ให๎ได๎รับการยก ยํอง เช่ือถอื ศรทั ธา จากสังคมมาก ศภุ มาส วสิ ัชนาม (2560) ไดส๎ รุปประโยชนข์ องจรรยาบรรณตํอผบ๎ู ริหารสถานศึกษา ไว๎วํา ผ๎ูบริหาร ควรมีวิสัยทัศน์ในการจัดการศึกษาให๎ทันตํอการเปล่ียนแปลง มีภาวะผ๎ูนาสูงตลอดจนมนุษยสัมพันธ์ซ่ึงเป็นที่ ยอมรบั ของผูท๎ เี่ ก่ยี วข๎อง และความเปน็ ประชาธปิ ไตยหากผบ๎ู ริหารมคี ณุ ลักษณะ และความสามารถที่เหมาะสม กจ็ ะได๎รับความรํวมมอื รํวมใจจาก ผู๎รํวมงานในหนํวยงาน องค์กร ชุมชนและท๎องถิ่นอื่น ๆ ซ่ึงจะสํงผลให๎การ ปฏบิ ัตงิ านประสบความสาเร็จ อัญชลี โพธ์ิทอง และสงศักด์ิ คงเท่ียง (2564) ได๎สรุปประโยชน์ของจรรยาบรรณตํอผู๎บริหาร สถานศึกษา ไวว๎ ํา การทผี่ ๎บู ริหารโรงเรยี นมีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวชิ าชพี กจ็ ะเป็นทย่ี อมรับนับ ถือของผู๎รํวมงาน ท าให๎ผ๎ูรํวมงานเกิดขวัญและก าลังใจ ร๎ูสึกวําตนเองมีความม่ันคง ความปลอดภัยในการ ปฏิบัติงาน ซ่ึงสํงผลให๎การปฏิบัติงานในองค์กรสามารถด าเนินไปได๎อยํางมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพเป็นส่ิงสาคัญและเป็นประโยชน์ตํอบุคคลทั่วไป จึงควรให๎มีการปลูกฝัง คุณธรรมใหเ๎ กดิ กบั บุคคลทกุ ๆ คน สุเมธ งามกนก ได๎สรุปประโยชน์ของจรรยาบรรณตํอผ๎ูบริหารสถานศึกษา ไว๎วํา หากผ๎ูบริหาร สถานศึกษาได๎ตระหนักถึงคุณลักษณะของผ๎ูบริหารสถานศึกษาท่ีพึงประสงค์ที่จะชํวยให๎การบริหารงาน บรรลผุ ลสาเรจ็ ตามที่ต๎องการ และตระหนกั ถึงคุณธรรมจรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพและพิจารณานาไป ปรบั ใช๎ให๎เหมาะกับภารกิจของผบ๎ู ริหาร กจ็ ะเกิดประโยชนต์ ํอองคก์ รและสงั คม และการประเมินวิทยฐานะของ ผ๎ูบริหารสถานศึกษาก็จะต๎องมีการประเมินจรรยาบรรณวิชาชีพผ๎ูบริหารสถานศึกษาเป็นประจาทุกปี เชํนเดียวกัน ดังน้ัน คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพของผู๎บริหารสถานศึกษา จึงเป็นสิ่งสาคัญ และจาเป็นสาหรับผู๎บริหารสถานศึกษาเป็นอยํางยิ่ง ดังนั้นผู๎บริหารสถานศึกษาจึงควรพัฒนาตนเองให๎มี คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เพ่ือให๎การทางานสาเร็จลุลํวงไปได๎ด๎วยดี และจะต๎องหมั่นพิจารณาด๎วยปัญญาให๎ ปรากฏแกใํ จตนเองวาํ ความช่ัวเปน็ สิ่งเศรา๎ หมอง นํารงั เกียจ นาความทุกข์ ความเส่ือมมาสูํท้ังตนเองและผ๎ูอ่ืน แม๎ไมมํ ผี ๎ใู ดรูเ๎ ห็นแตํตนเองยํอมทราบดี และตอ๎ งรบั ผลร๎ายของความชั่วนั้นโดยแนํนอน หากผู๎บริหารยังรักตนก็ ต๎องไมพํ าตัวไปกระทาความชวั่ และต๎องสารวมระวังตัวไวใ๎ หต๎ ัง้ ตนอยํูแตํในความดี มีความเทยี่ งธรรม ความชอบ ธรรม ความเป็นธรรม อันเปน็ การเลือกกระทาการปฏิบัติ การวินิจฉัยด๎วยเหตุผลและเป็นไปเพื่อความถูกต๎อง ไมตํ กอยภูํ ายใต๎อคตกิ จ็ ะทาใหค๎ นในองค์กรนัน้ อยํูรวํ มกนั อยาํ งมคี วามสขุ

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผู๎บรหิ ารสถานศึกษา ๑๗ สุวิมล บุญดี (2557, น.31) กลําวถึงความสาคัญของจรรยาบรรณวิชาชีพทางการศึกษาในประเด็น ของการสร๎างประโยชน์ตํอสํวนรวม โดยสรุปออกเป็น 3 ดา๎ น ดงั นี้ 1) ประโยชน์ตํอสังคม คือ เป็นการสร๎างความยุดิธรรมให๎เกิดข้ึนในสังคม โดยมืองกันไมํให๎ กลุํมคนท่ีอยํใู นวชิ าชีพ ซ่ึงมักจะรวมตัวกนั เพอื่ รักษาผลประไยชนข์ องดนเอง เอารัดเอาเปรียบผ๎ูอ่ืน หรือปฏิบัติ ตผี่ อู๎ ืน่ อยาํ งไร๎จรรยาบรรณ 2.) ประโยชน์ตํอวิชาชีพทางการศึกษา คือ จรรยาบรรณของวิชาชีพเป็นเสมือนเกราะเมือง กับวิชาชีพให๎ไห๎รับความคุ๎มครองจากกฎหมายและสังคม สร๎างคุณประโยชน์ให๎วิชาชีพยาวนานเน่ืองจาก จรรยาบรรณวิชาชีพนั้นได๎แสดงถึงภาระหน๎าที่และความรับผิดชอบตํอสํวนรวม จึงสร๎างภาพลักษณ์ให๎แก วิชาชพี ทาให๎สังคมเกดิ ความศรัทธา 3) ประโยชน์ตอํ สมาริกในวิชาชพี คือ เปน็ ระเบียบหรอื กฎเกณฑ์ในการปฏิบัติของสมาชิกทุก คนในวชิ าชพี เปน็ การปูองกันไมํให๎เกิดปัญหาตํางๆ ลดความเสี่ยงตํอการปฏิบัติตนผิดตํอกฎหมาย หลักธรรม และกฎเกณฑส์ ังคม เปน็ เกราะปอู งกันสมาชิกจากการกระทาในสง่ิ ทไ่ี มถํ ูกล๎อง สถาบันราชภัฏเลย (2541, น.108-109) กลําวถึงประโยชน์ของจรรยาบรรณตํอผ๎ูบริหาร สถานศึกษา ดังน้ี 1) จรรยาบรรณชํวยควบคุมมาตรฐานรับประกันคุณภาพและปริมาณที่ถูกล๎องในการ ประกอบการและการดาเนินงานของผ๎ูประกอบการ 2) จรรยาบรรณชํวยควบคุมจริยธรรมของผู๎ประกอบการให๎เป็นผู๎มีความซ่ือสัตย์สุจริตและ ยุตธิ รรม 3) จรรยาบรรณชํวยสํงเสริมมาตรฐาน คุณภาพและปริมาณของผลผลิตที่ผ๎ูประกอบการ จัดทาขนึ้ ใหอ๎ ยใํู นเกณฑ์ที่คือยูํเสมอ 4) จรรยาบรรณชํวยสํงเสริมจรยิ ธรรมของผ๎ปู ระกอบการและผด๎ู าหนินการให๎มีความเมตดาก รุณา เหน็ อกเห็นใจตํอผูร๎ วํ มงาน และผร๎ู บั ผิดชอบ 5) จรรยาบรรณลคการเอารัดเอาเปรียบ การฉ๎อฉล ความเห็นแกํตัว ตลอดจบความมักงําย ใจแคบ ไมํยอมเสียสละ 6) จรรยาบรรณชวํ ยน้นั ให๎เห็นชดั เจนย่ิงข้ึนในภาพพจบทั ด่ี ขี องผมู๎ จี ริยธรรม เชํน ในเรื่องการ เสียสละ การเหน็ ประโชชน์สวํ นรวํ มมากกวาํ สํวนตน และการรับผดิ ชอบในหน๎าท่กี ารงานๆ 7) จรรยาบรรณชํวยทาหน๎าท่ีพิทักษ์สิทธิตามกฎหมายสาหรับผ๎ูดาเนินการ หรือ ผู๎ประกอบการให๎เป็นไป โดยถกู ต๎องตามทานองคลองธรรม จึงสรุปได๎วํา จรรยาบรรณในวิชาชีพของผู๎บริหารถือเป็นประโยชน์ตํอการเสริมสร๎างเกียรติภูมิ และ ศักด์ิศรีของผ๎ูบริหาร ให๎ได๎รับการยกยํอง เช่ือถือ ศรัทธา อีกท่ังชํวยให๎การบริหารงานบรรลุผลสาเร็จตามที่ ต๎องการ ตลอดจนชํวยสํงเสริมการมีมนุษยสัมพันธ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู๎ท่ีเก่ียวข๎อง และความเป็น

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผ๎ูบรหิ ารสถานศกึ ษา ๑๘ ประชาธิปไตย ให๎มีคุณลักษณะ และความสามารถท่ีเหมาะสม ได๎รับความรํวมมือรํวมใจจากผ๎ูรํวมงานใน หนวํ ยงาน องคก์ ร ชุมชน และทอ๎ งถน่ิ อนื่ ๆ ซึ่งจะสํงผลให๎การปฏิบตั งิ านประสบความสาเร็จ ๖. หลักธรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั จรรยาบรรณของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ผู๎บริหารสถานศึกษาถือเป็นผู๎ที่มีบทบาทในการสร๎างทิศทางขององค์กร ให๎ขับเคล่ือนไปอยํางมี ประสิทธิภาพ ทั้งในดา๎ นการจัดการศึกษา และพัฒนาองค์กรให๎ประสบความสาเร็จ ดังน้ัน ผ๎ูบริหารจึงเป็นตัว 8 แปรสาคัญในด๎านการจัดการศึกษาให๎มีคุณภาพที่ซึ่งต๎องมีภาวะผ๎ูนาเชิงจริยธรรมด๎วย ดังน้ัน ผ๎ูบริหาร สถานศึกษาทีด่ ีควรมคี ุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ทงั้ การปฏบิ ัตติ นและปฏิบัติงาน เพ่ือเป็นต๎นแบบที่ดีในการสร๎าง คน และเสริมสร๎างงานในองค์กรให๎เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล สอดคล๎องกับที่รํุงรัชดาพร เวหะชาติ (2560) ไดก๎ ลําววํา การทผี่ ๎ูบริหารมีคุณธรรมจริยธรรมจะเป็นท่ยี อมรับของเพือ่ นรวํ มงาน ทาให๎เกดิ ขวญั และ กาลังใจในการทางาน ร๎ูสึกวําตนเองมั่นคง ความปลอดภัยในการทางาน ซึ่งสํงผลตํอการปฏิบัติงานในองค์ สามารถดาเนินงานไปได๎อยาํ งมีประสทิ ธภิ าพ ดังน้ัน คณุ ธรรมจริยธรรมสาหรบั ผูบ๎ รหิ ารจงึ จาเปน็ และเป็นส่งิ สาคญั ทจี่ ะใช๎ในการบริหารองคก์ ร ผ๎ูบริหารการศึกษา หมายถึง บุคคลที่รับผิดชอบกระบวนการดาเนินงานการศึกษาเพ่ือให๎บรรลุ จุดหมายขององค์การเป็ไปอยํางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีหน๎าท่ีบริหารที่สาคัญ คือ การวางแผน (Planing การจัดองคก์ าร (Oganizing) การนา (Leading) และการควบคมุ (Controling ในองค์การธุรกิจเรียกวํา ผู๎จัดการ (Manager) แตํในหนํวยงาน องค์การของรัฐเรียกวํา ผู๎บริหาร inistrator) ดังนั้น องค์รธุรกิจช๎คาวํา การจัดการ (Management) และองค์การของรั คาวํา การบริหาร (Administration) ผ๎ูบริหารมี ๓ ระดับ คือระดับต๎น ระดับกลาง และระดับสูง แตํละ ระดับมีความ เก่ียวพัน กับทักษะทางการบริหาร บทบาททางการบริหาร และหน๎าท่ีทางการบริหารท่ี แตกตํางกัน ดังน้ัน ผู๎บริหาร การศึกษาท่ีมีความสามารถจะต๎องใช๎ทักษะทางการบริหาร การแสดง บทบาท และหน๎าที่ทางการบริหารให๎ สอดคลอ๎ งกบั ระดับการเป็นผ๎ูบริหารของตนเอง นอกจากนั้น ผ๎ูบริหารยังจะต๎องเข๎าใจสภาพแวดล๎อมองค์การ ใน ๒ ลักษณะ คือ สภาพแวดล๎อมภายนอก (สภาพ แวดล๎อมท่ัวไปและสภาพแวดล๎อมในงาน เชํน ลูกค๎า ผู๎ บริการ คํูแขํงฯๆ) และสภาพแวดล๎อมภายใน (สภาพท่ัวไปดารงอยูํ ท่ีคนในองค์การยืดถือรํวมกัน ที่เรียกวํา วฒั นธรรมองค์การ) จรยิ ธรรมทางบรหิ ารการศึกษา หมายถึง มาตรฐานของการปฏบิ ตั งิ านหรือการประเมิน เชิงคุณธรรม ท่ผี ๎บู ริหารใชใ๎ นการบรหิ ารองค์การ โดยทั่วไปมาดฐานนี้มีพื้นฐานมาจากปหัฏฐานและ คานิยมทางสังคม จาก ภมู ิหลังทางครอบครวั จากศาสนา จากสถาบันการศึกษา หรือสถาบันอื่น และ ผ๎ูบริหารต๎องมีจริยธรรมในการ บรหิ าร คุณลกั ษณะทีส่ าคัญของนักบรหิ าร นกั บรหิ ารจะทาหน๎าท่ีสาเรจ็ สุลํวงไปด๎วยดี จะต๎องมีคุณลักษณะ ๓ ประการ ดังท่ีพระพทุ ธเจา๎ คุณลกั ษณะท่สี าคญั ของนักบริหาร นกั บริหารจะทาหน๎าทส่ี าเร็จลุลวํ งไปดว๎ ยดี จะต๎องมคี ุณลกั ษณะ ๓ ประการ ดังที่พระพทุ ธเจา๎ ตรสั ไวใ๎ น ทุตยิ ปาปณิกสตู ร\" มใี จความวํา

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผูบ๎ รหิ ารสถานศกึ ษา ๑๙ ๑) จักขมุ า หมายถงึ มปี ัญญามองการณ์ไกล เชนํ ถ๎าเป็นพํอคา๎ หรอื นักบรหิ ารธุรกิจ ต๎องรู๎ วําสนิ ค๎าท่ี ไหนไดร๎ าคาถกู แล๎วนาไปขายที่ไหนจงึ ไดร๎ าคาแพง ในสมยั นต้ี อ๎ งรวู๎ าํ หน๎ุ จะข้นึ หรือจะตก ถ๎าเป็นนักบรหิ าร ทว่ั ไปต๎องสามารถวางแผนและฉลาดในการใช๎คน คุณลกั ษณะขอ๎ แรกนี้ตรงกับภาษา อังกฤษวาํ Conceptual skill คือความชานาญในการใช๎ความคดิ ๒) วิฐโร หมายถงึ จัดการธุระไดด๎ ี มคี วามเชย่ี วชาญเฉพาะด๎าน เชํน พอํ ค๎าเพชรต๎องดอู อก วาํ เปน็ เพชรแท๎เหรือเพชรเทียม ผู๎เปน็ นายแพทยห์ วั หน๎าคณะผําตัดต๎องเชย่ี วชาญการผาํ ตัด คุณลักษณะ ท่ี ๒ น้ี ตรง กบั Technical Skill คือความชานาญในดา๎ นเทคนิค ๓) นิสสยสัมปันใน หมายถงึ พึ่งพาอาศยั คนอ่ืนได๎ เพราะเป็นคนมมี นุษยสมั พันธ์ดี เชนํ พอํ คา๎ เดนิ ทาง ไปค๎าขายตํางเมอื งกม็ ีเพ่ือนพํอคา๎ ในเมืองน้นั ให๎ทีพ่ ักอาศยั หรือใหก๎ ๎ูยมื เงนิ เพราะมีเครดิตดี นกั บริหารที่ดตี อ๎ ง ผกู ใจคนไว๎ได๎ คณุ ลักษณะที่ ๓ นี้ สาคัญมาก มีคากลาํ ววํา\"นกไมมํ ขี น คนไมํมเี พือ่ น ขน้ึ ท่สี งู ไมํได๎\" ขอ๎ นตี้ รงกับ คาวาํ Human Relation skil คือความชานาญในด๎าน คุณลกั ษณะทั้ง ๓ ประการมีความสาคัญมากนอ๎ ยตํางกัน ข้ึนอยกูํ บั ระดับของผบู๎ รหิ าร ถ๎าเปน็ ผูบ๎ ริหารระดบั สูงทต่ี ๎องรับผดิ ชอบในการวางแผนและควบคุมคนจานวนมาก คณุ ลกั ษณะ ข๎อที่ ๑ และขอ๎ ท่ี ๓ สาคญั มาก สวํ นข๎อท่ี ๒ มีความสาคญั น๎อย เพราะเขาสามารถใช๎ผูใ๎ ต๎บงั คบั บญั ชาท่ีมี ความชานาญเฉพาะด๎าน ได๎ สาหรบั นักบริหารระดบั กลาง คุณลักษณะทัง้ ๓ ขอ๎ มีความสาคัญพอ ๆ กัน น่ันคอื เขาต๎องมี ความชานาญ เฉพาะดา๎ น และมนษุ ยสมั พนั ธ์ท่ีดตี อํ เพอื่ นรํวมงานและผูใ๎ ตบ๎ งั คบั บัญชาในขณะเดียวกัน ระดบั กลางบางคน ไมไํ ดเ๎ ตรียมตวั ใหพ๎ ร๎อมในด๎านสติปญั ญา เมื่อเลือ่ นขน้ึ ไประดบั สูงขึน้ ก็ถกู ผูใ๎ ต๎ เขาตอ๎ งมีปัญญาทม่ี องภาพกว๎วง และไกล เพือ่ เตรียมตัวสาหรบั ขึ้นเป็นนกั บริหารระดบั สงู นักบรหิ าร บงั คบั บญั ชานนิ ทาวํา \"โงแํ ลว๎ ยังขยนั \" เหมือนกับภาษิดทีว่ าํ \"สัญชาติสงิ ยิ่งปนี สงู ขน้ึ ไปเทาํ ไร คนกร็ ๎ู วาํ เป็นลิงมากข้นึ เทํานน้ั \" ใกลัชดิ น้นั คุณลักษณะ ขอ๎ ท่ี - และท่ี ๓ คือ ความชานาญเฉพาะด๎าน และมนุษยสมั พันธ์สาคัญมาก สาหรับนกั บรหิ ารระดับต๎นที่ต๎อง ลงมอื ปฏิบัติงานรวํ มกบั พนักงานหรอื ผใ๎ู ด๎บงั คบั บัญขาอยาํ ง แตํกระน้นั เขากต็ อ๎ งพฒั นาคุณลักษณะขอ๎ ท่ี ๓ คอื ปญั ญา เพอื่ เอาไว๎เลอื่ นไปสรํู ะดับกลางตอํ ไป สาหรับนักบรหิ ารระดับต๎นท่ตี อ๎ งลงมอื ปฏิบตั งิ านรํวมกับพนักงานหรอื ผ๎ูใตบ๎ ังคบั บัญชาอยําง ใกล๎ชิด นั้น คุณลักษณะข๎อที่ ๒ และท่ี ๓ คอื ความชานาญเฉพาะดา๎ น และมนุษยสัมพันธส์ าคัญมาก แตํกระนน้ั เขาก็ ตอ๎ งพฒั นาคณุ ลักษณะข๎อที่ ๑ คอื ปัญญา เพ่ือเอาไว๎เลอื่ นไปสูํระดับกลางตอํ ไป ขงจอ้ื กลาํ วเตอื นวํา \"อยําหํวง วําใครไมํร๎ูวาํ ทํานเกงํ หรือมคี วามสามารถ แตจํ งเป็นหวํ งวํา สกั วนั หนงึ่ เมื่อคน เขายกยํองหรือเลือนตาแหนํง ทํานมีความเกํงและความสามารถสมกบั ที่เขายกยํองหรอื เปลาํ \" นักบริหารที่ดจี ะต๎องมีวธิ กี ารบรหิ าร อนั เปน็ ปัจจัยสาคญั ในการสรา๎ งความสาเร็จหรือความ ล๎มเหลวในการบริหาร วธิ กี ารบรหิ ารตาํ ง ๆ ท่ีปรากฎใน อธิปไตย ๓ พอสรปุ ได๎ ดงั น้ี

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผูบ๎ รหิ ารสถานศึกษา ๒๐ ๑) อัตตาธิปไตย ความมีตนเป็นใหญํ หมายถึง การถือวําตนเองเป็นใหญํ นักบริหารที่เป็น อตั ตาธปิ ไตย ถือตนเองเปน็ ศูนยก์ ลางของการตัดสินใจ เขามักจะเช่ือมั่นตนเองสูงมาก คิดวํา ตัวเองฉลาดกวํา ใคร จงึ ไมรํ ับฟังความคิดเหน็ ของใคร เขาไมอํ ดทนตํอการวิพากษ์วิจารณ์ เขานิยม ใช๎พระเดชมากกวําพระคุณ เมือ่ บริหารงานไปนาน ๆ จะไมํมคี นกล๎าคัดคา๎ นหรอื ทดั ทาน สดุ ท๎าย นักบริหารประเภทนี้มักเป็นเผด็จการ วิธกี ารบริหารแบบนี้ทาให๎ได๎งาน แตํเสียคน นั่นคือ งานเสร็จรวดเร็วทันใจนักบริหาร แตํไมํถูกใจคน รวํ มงาน เขาผูกใจคนไมใํ ด๎ เขาได๎ความสาเรจ็ ของงานแตํผูกใจคนไมไํ ด๎ ๒) โลกาธปิ ไตย ความมโี ลกเปน็ ใหญํ หมายถึง การถือผ๎ูอ่ืนเป็นใหญํ นักบริหารประเภทนี้ มีวิธีทางาน ทีต่ รงกันข๎ามกบั ประเภทแรก นัน่ คอื นักบริหารโลกาธิปไตยไมํมีจุดยืนเป็นชํองตัวเอง เขาขาดความเชื่อมันใน ตนเอง ไมํสามารถตัดสินใจอะโรได๎ ถ๎าน่ังเป็นประธานอยํูในที่ประชุม แม๎เขา จะฟังทุกฝุายก็จริง แตํเม่ือฝูาย ตําง ๆ พูดขัดแยง๎ กนั เขาจะไมํตดั สินชข้ี าด แตํเปิดโอกาสให๎ทุกฝุาย ถกเถียงทะเลาะกันเอง ใครเสนอความคิด อะไรข้นึ มาเขาก็เหน็ คลอ๎ ยตามด๎วย จนไมํยอมตัดสินใจ เด็ดขาดลงไปวําฝุายไหนถูกหรือผิด ทาให๎ลูกน๎องต๎อง เปน็ ฝุายว่ิงเตน๎ เขา๎ หานักบรหิ ารประเภทนี้อยํู เรื่อยไป สุดทา๎ ยลกู นอ๎ งตอ๎ งถกเถียงกันเอง เพราะผ๎ูบรหิ ารไมํยอม วนิ ิจฉยั ข้ขี าดวําจะทาตามขอ๎ เสนอ ของใคร นักบริหารประเภทน้ีได๎คนแตํเสียงาน น่ันคือ ผู๎ใต๎บังคับบัญชาทุก คนชอบเขา เพราะเขา เป็นคนออํ นให๎ทกุ ฝุาย ไมํเคยตาหนใี คร ลูกน๎องจะทางานหรอื ทิ้งงานก็ได๎ เขาไมํกล๎าเอา ผิดลงโทษ ㆍ เขาสภุ าพกบั ทุกคน แตํจะเป็นการทาให๎องคก์ ารวนํุ วาย ร๎ระเบียบและไมมํ ผี ลงาน ๓) ธรรมาธิปไตย ความมีธรรมเป็นใหญํ หมายถึง การถือธรรม หรือ หลักการเป็นสาคัญ นักบริหาร ประเภทนี้ ยึดเอาความสาเร็จของงานเป็นที่ตั้ง เพื่อทางานให๎สาเร็จเขายินดีรับฟังคาแนะนา จากทุกฝุาย ซึ่ง รวมทง้ั คนท่ไี มํชอบเขาเป็นการสวํ นตัว เขาแยกเรอื่ งงานออกจากความขัดแย๎งสํวนตัว เขายอมโงํ เพ่ือศึกษาหา ความรูจ๎ ากผูเ๎ ชย่ี วชาญ นักบริหารประเภทนเ้ี ดนิ ทางสายกลาง คือ ใช๎ทั้ง พระเดชและพระคุณ ใครทาดีต๎องให๎ รางวัลใครทาชั่วต๎องลงโทษ ดงั พระพทุ ธพจน์ท่ีวํา นิคคณุเห นิคคหารท ปคคณเห ปคคหารหั พึงขํม คนท่ีควร ขมํ ยกยอํ ง คนท่ีควรยกยํอง น่ันคือ ความยตุ ธิ รรมใช๎การให๎รางวัลและการทาโทษ ข๎อสาคัญ คือ ผู๎บริหารต๎อง รู๎เทําทัน บุคลากรในองค์การ บางครั้งต๎องวางเฉยด๎วยปัญญา มีอุเบกขาอยํางร๎ูเทําทัน ที่สาคัญที่สุดผู๎บริหาร ต๎องเป็นคนฉลาดรอบร๎ู ขยัน และต๎องมีปัญญา คือความรอบร๎ูเกี่ยวกับงานในหน๎าที่และบุคคล ที่เกี่ยวข๎อง ผ๎ูบริหารต๎องทาหน๎าท่ีบริหารตน บริหารคน และบริหารงาน ดังนั้น เขาต๎องมีความรอบรู๎ เก่ียวกับ ตนเอง ผู๎อน่ื และงานในความรบั ผิดชอบ ไดแ๎ กํ รู๎ตน ร๎ูคน และรงู๎ าน ร๎ูตน นักบรหิ ารตอ๎ งรจู๎ กั ความเดํน เป็นข๎อ ได๎เปรียบหรือจุดแข็ง และความด๎อยอันเป็นข๎อจากัด หรือจุดอํอน เพ่ือท่ีจะทางานให๎เหมาะสมกับ ความสามารถของตนเอง ตามปกตผิ ๎ูบรหิ ารมักมองเหน็ ความผดิ พลาดของลูกน๎องได๎งํายแตํกลับมองข๎ามความ ผิดพลาดของตนเอง ดังพุทธพจน์วํา \"คนพาล มีการเพํงโทษผ๎ูอื่นเป็นกาลัง บัณฑิตไมํมีการเพํงโทษผู๎อื่นเป็น กาลัง คนผเ๎ู ป็นพหสู ตู มีการพิจารณา เม่อื ผ๎บู ริหารทางานผิดพลาด ลูกนอ๎ งยํอมไมกํ ล๎าแนะนา ดังนั้น นักบริหาร ตอ๎ งหดั มอง ตนและตักเตือนตนเอง ดังพทุ ธพจนท์ ่วี ํา อตตนา.โจทยตตานี จงเตือนตนด๎วยตนเอง รู้คน หมายถึง ความรอบรเ๎ู กีย่ วกับผรู๎ ํวมงาน ผ๎บู รหิ ารต๎องรวู๎ ําใครมีความสามารถในด๎านใด เพอื่ จะได๎ ใช๎คนให๎เหมาะกับงาน นอกจากน้นั นกั บริหารต๎องรูจ๎ ักจริตของผรู๎ ํวมงาน เพือ่ ใช๎งานท่ี เหมาะสมกับจริตของ เขา จริต ไดแ๎ กํ ความประพฤติบางอยาํ งเคยชินจนเปน็ นิสัย หมายถึง ประเภท นสิ ัยของคนมี ๖ แบบด๎วยกนั คือ ๑) ราคะจริต คอื พวกรกั สวยรักงาม มักทางานอยาํ งประณตี เรยี บรอ๎ ยและใจเย็น คนพวกน้ี ชอบ ทางานท่ตี อ๎ งใชค๎ วามละเอยี ดประณตี

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผ๎ูบรหิ ารสถานศกึ ษา ๒๑ ๒) โทสจริต คือ พวกใจรอ๎ น ขอบความเรว็ และมักหงดุ หงดิ งํายถา๎ ถูกขดั ใจ คนพวกน้ี ชอบทางานท่ี ตอ๎ งใชค๎ วามรวดเรว็ เป็นกาลงั ๆ นิสัยของคนมี ๖ แบบด๎วยกัน คือ ๓) โมหจรติ ํ คอื พวกเหงาซึม ขาดความกระตื อรนั ทางานอีดอาด เฉ่อื ยชา ชอบหลับ ในท่ีทางานเป็น ประจา ๔) สทั ธาจริต คือ พวกเช่อื งาํ ย เวลามขี าํ วเรอื่ งแปลกแตํจริง เช่อื หรอื ไมํ พวกน้ีจะเชื่อ กํอนใครคนพวก น้ีถา๎ ขอบใครจะทางานให๎เตม็ ท่ี ๕) พุทธิจรติ คือ พวกฝรุ ๎ู เป็นคนชํางสงสัย รกั การศึกษา คน๎ คว๎าหาความรู๎ มักต๎องการราย ละเอียด มากกวาํ คนอืน่ คนพวกน้ีถนัดทางานดา๎ นวชิ าการ ๖) วติ กจรติ คือพวกชํางกังวล เป็นคนไมํกล๎าตดั สินใจ มักปลํอยเรื่องค่งั คา๎ งไวเ๎ ป็นเวลานาน โดยไมํ ยอมดาเนนิ การอยํางใดอยาํ งหนงึ่ รงู้ าน หมายถึง ความรอบรเ๎ู กีย่ วกับงานในความรับผดิ ชอบ เพื่อประโยชน์ในการวางแผนบรรจุ บุคลากร อานวยการ และติดตามประเมินผล ความรเู๎ ร่ืองงานมี ๒ ลกั ษณะ คือ ร๎เู ทาํ และรู๎ทัน 'ร๎เู ทาํ ' คอื ความรู๎รอบด๎านเกย่ี วกับงั านวาํ มีขน้ั ตอนอยาํ งไร มสี ํวนเกีย่ วข๎องกับคนอน่ื ๆ อยาํ งไร และมคี วาม รู๎เทําถงึ การณ์ ในเมอื่ เห็นเหตุแลว๎ คาดวําผลอะไรจะตามมา แลว๎ เตรียมการปูองกันไว๎ ความร๎ูเทํา จงึ ชวํ ยให๎มีการ ปอู งกนั ไวก๎ อํ น 'ร๎ูทัน' หมายถึง ความรู๎เทําทันสถานการณ์ เมอื่ เกดิ ปญั หาขึน้ กส็ ามารถ แกป๎ ญั หาเฉพาะหน๎าได๎ ดี เม่ือเจอกับสภาพปญั หาที่ไมํคาดคดิ ไว๎กอํ น กส็ ามารถตัดสินใจวําจะทาอยํางไร เป็นความรูท๎ นั เพื่อแกป๎ ญั หา เฉพาะหน๎า ความร๎เู ก่ียวกบั งานจงึ ได๎แกํ ความร๎ูเทําและความรทู๎ นั 'ร๎ูเทาํ เอาไว๎ปูองกนั รท๎ู ันเอาไวแ๎ ก๎ไข คณุ ธรรมจรยิ ธรรมของผูบ๎ รหิ ารการศึกษาไทย ท่ีสังคมไทยคาดหวงั ไว๎วาํ ผู๎นาหรอื ผบ๎ู ริหาร องคก์ ารท่ีดไี ดน๎ นั้ ควรจะตอ๎ งมีคณุ ธรรมจรยิ ์ธรรม ครองตน ครองคน และครองงาน ดงั นี้ ๑. มคี ณุ ธรรมและจรยิ ธรรมตํอตนเอง (ครองตน) ๒. มคี ณุ ธรรมและจริยธรรมตํอผู๎อน่ื และสังคม (ครองคน) ๓. มคี ุณธรรมและจริยธรรมตอํ หนา๎ ท่กี ารงาน (ครองงาน) จริยธรรม ที่ผ๎บู ริห๎ารการศกึ ษาพงึ มีในการบริหารงาน ไดแ๎ กํ (๑) สัปปุริ สธรรม ๗ ธรรมของคนเปน็ คนดสี มบรู ณแ์ บบ ๗ อยําง คือ ๑) จกั เหตุ ๒) ธัมมญั ญตุ า ๓) อัตถัญญตุ า ร๎คู วามมํุงหมาย ๔) อตั ตัญญุตา รู๎จักตน ๕) มตั ตญั ญุตา รู๎จักประมาณ ๖) ปรสิ ัญญตุ า ร๎ูจกั ชุมชน ๗) กาลญั ญุตา จักกาล ๘) ปคุ คลญั ญุตา รู๎จักบคุ คล (๒) อิทธบิ าท ธรรมแหงํ ความสาเร็จ ๔ ประการ

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผูบ๎ รหิ ารสถานศึกษา ๒๒ ๑) ฉันทะ ความพอใจรักใครํส่งิ นั้น ๒) วิรยิ ะ ความเพียรพยายามทาสง่ิ นน้ั ๓) จติ ตะ ความเอาใจฝักใฝุในสิ่งน้ัน ๔) วมิ ังสา ความใครํครวญหาเหตผุ ลในสิ่งน้นั (๓) พรหมวิหาร ธรรมประจาใจ ๔ ประการ คือ เมตตา กรณุ า มุทิตา อุเกขา (๔) สงั คหวัตถุ ธรรมเปน็ หลักการสงเคราะห์ ๔ ประการ คอื ๑) ทาน การแบงํ ปนั เอื้อเฟื้อเผอื่ แผํ ๒) ปิยวาจา พูดจานาํ นิยมนับถอื ๓) อตั ถจรยิ า บาเพ็ญประโยชน์ ๔) สมานตั ตตา ไมํถือตวั รวํ มทุกข์สุข (๕) ฆราวาสธรรม ธรรมสาหรับผู๎ครองเรือน ๔ ประการ คอื ๑) สัจจะ ความซื่อสัตย)์ ๒) ทมะ ขํมใจ ควบคุมอารมณ์ได๎ ๓) ขันติ ความอดทน ๔) จาคะ ความเสียสละ (๖) ทศพธิ ราชธรรม ธรรมสาหรับผ๎ูบริหาร ๑๐ ประการ คอื ๑) ทาน ๒) ศีล ๓) การบรจิ าค ๔) ความซ่อื ตรง ๕) ความออํ นโยน ๖) ความเพียรเผากิเลส (ตบะ) ๗) ความไมํโกรธ ๘) ความไมํเบยี ดเบียน ๙) ความอดทน ๑๐) ความไมํคลาดธรรม บทสรุป คณุ ธรรม จริยธรรมจึงนบั วาํ มีความสาคญั อยํางยงิ่ ในสังคมปจั จุบันทม่ี ีผู๎คนในสงั คมจานวน มาก มคี วามกา๎ วหน๎าทางเทคโนโลยี การปลูกฝงั คุณธรรม จริยธรรมแกเํ ดก็ และเยาวชน ในรูปแบบตําง ๆ จะ ทาให๎คณุ ธรร จรยิ ธรรมของประชาชนเปน็ ไปอยาํ งย่งั ยืน โดยกระทรวงศกึ ษาธิการได๎กาหนด เปาู หมาย การศกึ ษาไวว๎ าํ การจดั การศกึ ษาตอ๎ งเป็นไปเพื่อพฒั นาคนไทยใหเ๎ ป็นมนษุ ยท์ ่สี มบูรณ์ ทงั้ ราํ งกาย จิตใจ สติปญั ญา ความร๎ูคํูคุณธรรม มจี ริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถ อยํรู ํวมกับผอู๎ น่ื ไดอ๎ ยํางมี ความสขุ การจัดกระบวนการเรียนรู๎ใหส๎ ถานศึกษาจดั การเรยี นการสอน ธรรมเพ่อื การบริหาร : ภาวะผู๎นาโดยทว่ั ไป วิธบี ริหารงานที่ดี คือ ธรรมาธิปไตยท่ีใช๎ท้ังพระเดชและพระคุณ ซึ่งทาให๎ได๎ทั้งน้าคนและผลของงาน นักบริหารแบบธรรมาธปิ ไตยยดึ ธรรมเปน็ หลักในการบริหาร เขามธี รรมทีเ่ รียกวํา พละ ๔ ประการ

จรรยาบรรณและความสาคญั ตอํ ผ๎บู รหิ ารสถานศกึ ษา ๒๓ ๑) ปญั ญาพละ กาลังความรหู๎ รือความฉลาด ๒) วิริยพละ กาลงั แหงํ ความเพยี ร ๓) อนวัชชพละ กาลงั การงานทีไ่ มมํ ีโทษหรือความสุจรติ ๔) สงั คหพละ กาลังการสงเคราะห์ หรือ มนษุ ยสมั พนั ธ์ พละหรือกาลังแหํงคุณธรรมท้ัง ๔ ประการนี้ ชํวยทาให๎นักบริหารปฏิบัติหน๎าที่อยํางมีประสิทธิภาพ กลําวคือ นักบริหารจะสามารถวางแผน จัดองค์การ แตํงต้ังบุคลากรอานวยการ และควบคุมได๎ดีต๎องมี ความฉลาด ขยัน สุจริต และมนุษยสัมพันธ์ ย่ิงเขามีคุณธรรมทั้ง ๔ ข๎อน้ีเพิ่มมากขึ้นเทําใด ก็ยิ่งทางานได๎มี ประสิทธภิ าพมากขึ้นเทํานั้น ตรงกันข๎ามถ๎าใครคนใดขาดคุณธรรมท้ัง ๔ ประการแม๎เพียงบางข๎อ เขาก็เป็นนัก บรหิ ารที่ดีไมํได๎ นักบริหารต๎องเป็นคนฉลาดรอบรแ๎ู ละขยันขันแข็ง เรื่องน้ีเข๎าใจได๎งํายวําเพราะเหตุใด คนโงํและเกียจ คร๎านเป็นนกั บรหิ ารเม่อื ใดก็พาให๎องค์กรลมํ จมเมอ่ื น้นั คนบางคนมีท้งั ความฉลาดและความขยนั แตเํ ขาก็ไมํได๎รบั การเล่อื นตาแหนํงเป็นนักบริหาร เม่ือสอบถามแล๎วก็ ไดร๎ ับคาอธิบายจากผู๎ใหญวํ าํ “คนคนน้ีอะไร ๆ ก็ดีหรอก สียอยูํอยํางเดียวคือเลว เขาเป็นคนท่ีฉลาดและขยัน แตฉํ ลาดโกงและขยันโกง”ดงั นัน้ นักบริหารท่ีดีต๎องมีความฉลาด ความขยัน และความสุจริต คนบางคนมีคุณธรรมทั้งสามประการ คือเป็นคนฉลาดขยันและสุจริต แตํเขาก็ไมํได๎รับการเลื่อน ตาแหนํงเป็นนักบริหารเม่ือสอบถามแล๎วก็ได๎รับคาอธิบายวํา “คนคนนี้เป็นคนดีจริง แตํเป็นคนดีท่ีโลกไมํ ต๎องการ เพราะเขาถอื วําตวั ฉลาดกวาํ คนอ่นื จงึ ไดเ๎ ทยี่ ววพิ ากษ์วจิ ารณ์ชาวบา๎ น ขยันกอํ ศตั รูท่ัวไป เขาเป็นคนที่ พูดไมํเขา๎ หูคน และคํอนข๎างจะแลง๎ นา้ ใจ” น่แี สดงวํา คนคนนขี้ าดมนษุ ยสมั พนั ธ์ จงึ ทางานรํวมกบั คนอืน่ ไมํได๎ เหตุน้นั นักบริหารท่เี กํงและดี ต๎องมีพละหรือกาลังภายใน ๔ ประการ คือ ความฉลาด ความขยัน ความสุจริต และมนุษยสมั พนั ธ์ นกั บรหิ ารต๎องหมั่นพิจารณาตรวจสอบตนเองวํา มีพละความท้ัง ๔ ข๎อหรือไมํ หากพบวําตนขาดพละ ขอ๎ ใด ต๎องพัฒนาข๎อนั้น แมพ๎ ละทงั้ ๔ ข๎อนจี้ ะมีความสาคญั เทําเทยี มกัน แตํละพละข๎อที่ ๔ คือ สังคหพละ จะ สาคัญมาก เน่ืองจากนักบริหารทางานให๎สาเร็จโดยอาศัยคนอื่น ดังน้ัน นักบริหารจะเสียเร่ืองมนุษยสัมพันธ์ ไมํได๎ นโปเลยี นมหาราชกลําววําการจะเปน็ ใหญํ ทํานตอ๎ งมี ๒ สิ่ง คอื ๑) มีศัตรูทก่ี ล๎าแข็งท่สี ดุ และ ๒) มีมติ รทซ่ี ่ือสตั ย์ที่สุด เพอ่ื จะข้นึ สงู ทาํ นจะตอ๎ งผาํ นดาํ นอันตรายให๎ได๎ น่ันคือต๎องเอาชนะอุปสรรคหรือศัตรูท่ีกล๎าแข็งเสียกํอน ทาํ นจึงจะเปน็ ผ๎ูยง่ิ ใหญํ แตํทํานจะเอาชนะอปุ สรรคหรือศัตรูไมไํ ด๎ ถา๎ ทาํ นไมํมกี ัลยาณมิตรท่ีซ่ือสัตย์ท่ีสุดไว๎คอย ชํวยเหลือทําน ทํานจะมีมติ รเชนํ นั้นได๎กด็ ๎วย “สงั คหพละ” ตํอไปนเี้ ราจะพิจารณาความหมายของพละแตลํ ะขอ๎ และวธิ พี ัฒนาพละสาหรับนกั บริหาร ๑. ปญั ญาพละ : กาลงั แหํงความรอบรู๎ ปญั ญาพละ หมายถงึ กาลงั แหํงความรอบรู๎ ความร๎ูมีหลายระดบั บางคนเห็นคาวํา “ปัญญาพละ” ก็สะกดและ อํานได๎ แตํไมํรูค๎ วามหมายของคา ในกรณีนี้ความรู๎แคํอํานออกจัดเป็นความรู๎ระดับ “สัญญา” คือ ความจาได๎ หมายรู๎ เม่ือตาเห็นภาพ การรับร๎ูภาพจัดเป็นรูปสัญญา เมื่อหูได๎ยินเสียง การรับรู๎เสียงเป็นสัททสัญญา ฯลฯ สัญญา (perception) จึงเปน็ การรับรูเ๎ ฉพาะสวํ น คือ เห็นแคํไหน รับรู๎แคํนั้น ได๎ยินแคํไหน เช๎าใจแคํน้ัน ฯลฯ แตํปญั ญาร๎มู ากกวาํ นั้น เพราะปญั ญาเปน็ ความรอบรู๎ เชํน บางคนพอเห็นคาวํา “ปัญญาพละ” ก็อธิบายได๎วํา หมายความวาํ อยํางไร และจะพัฒนาขนึ้ ได๎ดว๎ ยวิธีไหน ความร๎ขู องเขาจดั เปน็ ปัญญา คอื ร๎ูมากกวําที่เห็น เข๎าใจ มากกวาํ ที่ไดย๎ ิน เชํน เด็กของเราไมํสบายเราจับตัวเด็ก ก็ร๎ูตัววําเด็กตัวร๎อนจึงพาไปหาหมอ พอหมอจับตัวเด็ก

จรรยาบรรณและความสาคญั ตํอผ๎บู รหิ ารสถานศึกษา ๒๔ ตรวจดอู าการเทําน้ัน หมอร๎ูวําเด็กปุวยเป็นโรคอะไร และสั่งยารักษาโรคได๎ ความร๎ูของเราวําเด็กตัวร๎อนเป็น ความร๎ูระดับสัญญา สํวนความรู๎ของหมอเป็นความร๎ูระดับปัญญานักบริหารต๎องมีปัญญา คือ ความรอบร๎ู เกี่ยวกับงานในหน๎าท่ีและบุคคลท่ีเกี่ยวข๎อง โดยสรุปนักบริหารต๎องทาหน๎าท่ีบริหารตน บริหารคน และ บรหิ ารงาน ดังนนั้ เขาต๎องมีความรอบร๎เู ก่ยี วกบั ตนเอง คนอนื่ และงานในความรบั ผิดชอบน้ันคือนักบริหารต๎อง มคี วามร๎ู ๓ เรื่อง ได๎แกํ รตู้ น รู้คน รงู้ าน ก. รตู้ น หมายความวํา นักบริหารต๎องรู๎จักความเดํนและความด๎อยของตนเอง การรู๎ความเดํนก็เพ่ือทางานที่ เหมาะกับความสามารถของตน ตามปกตินักบริหารมักมองเป็นความผิดพลาดของลูกน๎องได๎งําย แตํมองข๎าม ความผิดพลาดของตน ดงั พทุ ธพจนท์ ่วี ํา “ความผดิ พลาดของคนอื่นเห็นได๎งาํ น แตคํ วามผิดพลาดชองตนเองเห็นไดย๎ าก” เม่ือนักบริหารทางานผิดพลาด ลูกน๎องไมํกล๎าบอกหรือแนะนา ดังน้ันนกบริหารต๎องหัดมองตนและ ตักเตือนตนเอง ดังพุทธพจนท์ ีว่ ํา “อตตฺ นา โจทยตฺตาน จงเตอื นตนดว๎ ยตนเอง” เชนํ ถ๎านักบรหิ ารส่ังการหลาย คร้ัง แตํลูกน๎องไมํเข๎าใจ นักบริหารก็อยําดํวนตาหนิลูกน๎องวําโงํเงํา บางทีตัวเราเองอาจสั่งการไมํชัดเจนก็ เป็นได๎ ดังภาษติ อุทานธรรมทว่ี าํ “ถา้ พดู ไป เขาไมร่ ู้ อยา่ ขเู่ ขา ว่าโงเ่ งา่ งมเงอะ เซอะนักหนา ตวั ของเรา ทาไม ไมโ่ กรธา วา่ พูดจา ใหเ้ ขา ไม่เขา้ ใจ” ภาพ การตาหนิลกู น้อง การทน่ี ักบริหารมกั มองไมํเหน็ ความผิดพลาดของตนน้ันเป็นเร่ืองธรรมดา เพราะวันหน่ึง ๆ ดวงตาของ เรามีไว๎สาหรับมองด๎านนอกมันไมํได๎มองตัวเราเอง เวลาคนอื่นทาผิดพลาดเราจึงเห็นทันที แตํเวลาเราทา ผิดพลาดเองกลบั มองไมํเห็น ดังนัน้ เพื่อสารวจตนเอง นักบรหิ ารต๎องหัดมองด๎านใน คือ เจริญวิปัสสนา ซึ่งแปล เป็นภาษาอังกฤษวํา Insight คือทองด๎านในน่ันเองวิปัสสนากรรมฐานเน๎นเรื่องการเจริญสติ พิจารณากาย เวทนา จิต และธรรม หรือความดแี ละความชั่วในใจของเรา โลกภายนอก กว้างไกล ใครใครรู้

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผ๎บู รหิ ารสถานศึกษา ๒๕ โลกภายใน ลึกซงึ้ อยู่ รบู้ า้ งไหม จะมองโลก ภายนอก มองออกไป จะมองโลก ภายใน ให้มองคน ภาพ การเจริ ญวปิ สั สนา ข. รู้คน หมายถึง ความรอบรู๎เก่ียวกับคนรํวมงาน นักบริหารต๎องรู๎วําใครมีความสามารถในด๎านใด เพ่ือจะไดใ๎ ชค๎ นใหเ๎ หมะกับงานนอกจากน้ัน นักบริหารต๎องร๎ูจักจริตของคนรํวมงาน เพื่อใช๎งานท่ีเหมาะสมกับ จรติ ของเขา จริต ได๎แกํคนที่ประพฤติบางอยํางเคยชินจนเป็นนิสัย จริตจึงหมายถึงประเภทนิสัยของคนมี ๖ แบบ ดว้ ยกัน คอื ๑) ราคจริตคือ พวกรักสวยรักงาม มักทาอะไรประณีตเรียบร๎อยและใจเย็น คนพวกน้ีชอบทางานที่ ตอ๎ งใชค๎ วามละเอียดประณตี ๒) โทสจริตคือ พวกใจร๎อน ชอบความเร็ว และมักหงุดหงิดงํายถ๎าถูกขัดใจ คนพวกน้ีชอบทางานที่ ตอ๎ งใชค๎ วามรวดเร็ว ๓) โมหจรติ คอื พวกเขลาซมึ ขาดความกระตอื รือร๎นทางานอืดอาด เฉ่ือยชา ชอบหลบั ในที่ทางานเป็น ประจา ๔) สัทธาจรติ คือ พวกเชือ่ งาํ ย เวลามขี าํ วเรอ่ื งแปลกแตจํ ริง เชอ่ื หรือไมํ พวกนี้จะเชือ่ กํอนใคร คนพวก นีถ้ า๎ ชอบใครจะทางานใหเ๎ ตม็ ที่ ๕) พทุ ธจิ รติ คอื พวกใฝุรู๎ เป็นคนชํางสงสัย รักการศึกษาหาความร๎ู มักต๎องการรายละเอียดมากกวํา คนอื่น คนพวกนี้ถนัดทางานดา๎ นวิชาการ ๖) วิตกจริตคือ พวกชํางกงั วล เป็นคนไมํกล๎าตัดสินใจมักปลํอยเร่ืองค๎างไว๎เป็นเวลานาน โดยไมํยอม ลงนาม หรือดาเนนิ การอยาํ งใดอยาํ งหน่ึง ถ๎าเราต๎องการคนใสํเบรคให๎กับการตัดสินใจของเราบ๎างลองปรึกษา คนพวกนี้ คนจริตใดเราก็พอทางานรํวมกันกับพวกเขาได๎พวกที่นักบริหารต๎องระวังให๎มากคือ วิกลจริตท่ีแฝงเข๎ามาใน องคก์ ร

จรรยาบรรณและความสาคญั ตอํ ผ๎บู รหิ ารสถานศกึ ษา ๒๖ ค. รู้งาน หมายถึง ความรอบรู๎เก่ียวกับงานในความรับผิดชอบเพื่อประโยชน์ในการวางแผนบรรจุ บคุ ลากร อานวยการและติดตามประเมินผล ความรเู๎ รอ่ื งงานมี ๒ ลักษณะ คือ ร๎ูเทําและรูท๎ นั “ร้เู ท่า” คอื ความรร๎ู อบด๎านเกยี่ วกบั งานวาํ มขี ั้นตอนอยํางไรและมสี วํ นเก่ียวข๎องกับคนอื่น ๆ อยํางไร และยังหมายถึงความร๎ูเทําถึงการณ์ในเมื่อเห็นเหตุแล๎วคาดวําผลอะไรจะตามมา แล๎วเตรียมการ ปอู งกันไว๎ เหมอื นคนขบั รถลงจากภูเขาท่ีเขาชินกบั เส๎นทางวาํ ท่ีใดมีเหวหรือเป็นทางโค๎งอันตราย แล๎วขับอยําง ระมดั ระวังเมอื่ ถงึ ทีน่ น้ั ความรเ๎ู ทาํ จึงชํวยใหม๎ กี ารปูองกันไวก๎ อํ น “ร้ทู นั ” หมายถึงความร๎ูเทําทนั สถานการณ์ เมอื่ เกิดปัญหาขน้ึ กส็ ามารถแกป๎ ัญหาเฉพาะหน๎า ได๎ดี ดังกรณขี องคนท่ขี บั รถลงจากภเู ขาแลว๎ รถเบรกแตก เม่ือเจอกับสภาพปัญหาเชํนนั้น เขาตัดสินใจฉับพลัน วาํ จะทาอยํางไร นน้ั เปน็ ความรู๎ทนั เพอ่ื นแก๎ปญั หาเฉพาะหน๎าความร๎เู ก่ยี วกับงานจึงได๎แกํ ความร๎ูเทําและความ รู๎ทนั ร้เู ท่าเอาไว้ป้องกนั รู้ทนั เอาไวแ้ กไ้ ข นักบริหารตอ้ งพัฒนาป๎ญญา ปญั ญา คือ ความรู๎ตน รู๎คน และร๎ูงาน เป็นสิ่งสาคัญในการบริหาร นักบริหารต๎องพัฒนาปัญญาอยํูเสมอ ดว๎ ยวธิ พี ัฒนาปญั ญา ๓ ประการ ดงั นี้ ภาพ ปญั ญา 3 ระดับ ๑. สุตามยปญ๎ ญา หมายถึง ความรอบร๎ูท่ีเกิดจากสุตะ คือ การรับข๎อมูลจากแหลํงตําง ๆ คนที่มีปัญญาประเภทน้ีต๎อง เปน็ คนอํานมากและฟงั มาก ใครที่จดจาเร่อื งราวท่ีอํานและฟังแลว๎ ไดม๎ ากมาย เรียกวํา พหสู ูต

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผู๎บรหิ ารสถานศกึ ษา ๒๗ นักบริหารต๎องพัฒนาปัญญาขนั้ สุตะอยูเํ สมอ น่นั คือเกาะติดสถานการณ์ ด๎วยการขยันอํานหนังสือ ใช๎ ข๎อมลู จากงานวจิ ยั และฟงั คาแนะนาของวิทยากรหรอื ผ๎ูเชี่ยวชาญ กอํ นส่งั การแตํละคร้ังนักบริหารต๎องมีข๎อมูล พร๎อมเพอ่ื ประกอบการตดั สินใจ นักบริหารควรมใี จกวา๎ ง รบั ฟงั ความคดิ เห็นท่ีเสนอแนะจากทุกฝุายเขาไมํควรปิดใจตัวเองไมํรับข๎อมูล ใหมํ เพราะหลงผิดคิดวําตัวเองรดู๎ อี ยูแํ ลว๎ เขาควรยดึ แนวปฏิบตั ขิ อง โสคราตีสผ๎กู ลาํ ววํา “หนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้า รู้ คอื รวู้ า่ ขา้ พเจ้าไม่รูอ้ ะไร”เม่ือรต๎ู ัววําขาดความร๎ูในเร่อื งใด โสคราตสี ก็ศกึ ษาหาความรูใ๎ นเร่อื งน้ัน พระพุทธเจ๎าเสนอคาสอนในทานองเดียวกันเม่ือพระองค์ตรัสวํา “คนโงํ (พาล) ท่ีรู๎ตัวเองวําเป็นคนโงํ ยงั พอเปน็ คนฉลาด (บณั ฑติ ) ได๎บา๎ ง แตํคนโงํทสี่ าคญั ผิดคิดวําตัวเปน็ คนฉลาด จัดเปน็ คนโงแํ ท๎ ๆ” ดงั น้ัน นักบรหิ ารต๎องรู๎จกั แกล๎งทาโงํเพ่ือศึกษาหาความรู๎จากผเู๎ ชี่ยวชาญ ดงั ภาษติ ทวี่ ํา “หดั น่งิ เปน็ บ้าง หดั โง่เป็นบ้าง หดั แพ้เปน็ บ้าง นน่ั แหละ ท่านกาลงั ชนะ และกาลังฉลาดขน้ึ ” เวลาศึกษาความรู๎เร่ืองใหมํ นักบริหารต๎องเก็บความรู๎เกําใสํลิ้นชักสมองไว๎ชั่วคราว อยําให๎เร่ืองเกํา ครอบงาความคิด กลายเป็นอคติบังตาเสียจนไมํยอมรับข๎อมูลใหมํ หรือไมํยอมรับปรับเปล่ียนความคิดให๎ทัน เหตุการณ์ น่ันคือต๎องมียถาภูตญาณทัสสนะ หมายถึง ความร๎ูเห็นตามความเป็นจริง นักบริหารต๎องร๎ูจักคน ตามท่ีเขาเปน็ ไมํใชํวําชอบใคร หลงใคร ก็ปกปูองคนนั้น ทั้ง ๆ ท่ีเขาทาผิดมหันต์ หรือเกลียดใคร ก็ตาหนิคน นน้ั ท้งั ๆ ท่ีเขาไมไํ ดท๎ าผดิ อะไรเลย นักบริหารต๎องมองคนทีเ่ ป็นจริง ดว๎ ยการถอดแวํนสอี อกจากปญั ญาจกั ษุ อคตหิ รอื ความลาเอียงเปรียบเสมอื นแวนํ สที เ่ี ราสวมใสํ ซ่งึ กาหนดให๎เรามองโลกไปตามสีของแวํน เรา ไมํสามารถมองเหน็ สงิ่ ตําง ๆ ตามท่ีเป็นจริง คนที่สวมแวํนสีเขียวจะมองเห็นทุกส่ิงเป็นสีเขียว คนท่ีสวมแวํนสี แดงจะมองเห็นทกุ ส่ิงเป็นสีแดง สีที่แท๎จริง คืออะไรเขาไมํมที างทราบ อคตทิ ่ีวํานัน้ มี ๔ ประการ คือ ๑) ฉนั ทาคติ(ลาเอยี งเพราะชอบ) ถา๎ เราชอบใครไมวํ ําเขาจะพูดหรือทาอะไร เราเห็นกับเขาไปเสียทุก อยําง ๒) โทสาคติ(ลาเอียงเพราะชัง) ถ๎าเราชังใครไมํวําเขาจะพูดหรือทาอะไร เราร๎ูสึกขวางหูขวางตาไป หมด ๓) โมหาคติ(ลาเอียงเพราะหลง) ถ๎าเราขาดข๎อมูลในเร่ืองใด พอมีคนให๎ข๎อมูลเท็จในเรื่องนั้น เรามัก เชอ่ื เขาและตัดสินใจผิดพลาดไดง๎ าํ ย ๔) ภยาคติ(ลาเอยี งเพราะกลัว) ถ๎าผมู๎ ีอานาจสัง่ ให๎เราพดู หรอื ทาส่งิ ทข่ี ดั กับความรู๎สึกของเรา บางคร้ัง เราจาเปน็ ต๎องทาตามเพราะความกลวั ภัย นักบริหารทีด่ ตี ๎องมคี วามยุติธรรมในหัวใจ เขาตัดสินคนตามที่เป็นจริง เพราะเขาไมํยอมให๎อคติท้ัง ๔ ประการมาเปน็ มาํ นบังตา เขาจะทาอยํางน้ันได๎กต็ ํอเมือ่ ร๎ูจักวิเคราะหว์ ิจารณเ์ รอื่ งท่ีเห็นหรือได๎ยินด๎วยจินตามย ปัญญา ๒. จนิ ตามยปญ๎ ญา หมายถึง ความรอบรทู๎ ี่เกดิ จากการคดิ วเิ คราะหข์ อ๎ มูลที่เรารับมาจากการฟงั หรือการอําน สุตมยปัญญา เปรียบเสมอื นการรับประทานอาหารในขัน้ ตักบาตรใสปํ าก จินตามยปญั ญาเปรียบเหมอื นการเคี้ยวอาหารให๎ละเอียดแล๎วกลืนลงไป คนบางคนฟังเร่ืองอะไรแล๎ว เชื่อทันทีโดยไมํทันพิจารณา เหมอื นกบั คนทกี่ ลนื อาหารโดยไมทํ ันไดเ๎ คย้ี ว การพนิ ิจพิจารณาไตรํตรองเร่ืองท่ีฟัง หรืออําน รวมถึงการตรวจสอบแหลงํ ขาํ ว แหลํงขอ๎ มลู หรอื หนังสืออา๎ งอิง เหลํานเ้ี ป็นกระบวนการของจินตามย ปัญญาคนบางคนจดจาเรื่องราวตําง ๆ ได๎มาก แตํวิเคราะห์ไมํเป็น บางคนทํองกฎหมายได๎ทุกมาตรา แตํไมํ

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผูบ๎ รหิ ารสถานศึกษา ๒๘ สามารถตีความกฎหมายเหลํานนั้ คนเหลาํ นข้ี าดจินตามยปัญญาคนทมี ีจินตามยปัญญา ได๎แกํ คนท่ีคิดเป็นตาม แบบโยนิโสมนสิการ โยนโิ ส แปลวา่ ถูกต้อง แยบคาย มนสกิ าร แปลว่า ทาไว้ในใจหรอื การคดิ ดังนั้น โยนิโสมนสกิ ารจงึ หมายถงึ การทาไว๎ในใจโดยแยบคาย หรือการคิดเป็นถูกต๎องตรงตามความเป็น จริงคนโบราณเข๎าใจความสาคัญของโยนโิ สมนสิการดี จึงกลําวได๎วาํ “สิบปากว่าไม่เท่าหนงึ่ ตาเห็น สิบตาเหน็ ไม่เท่าหน่งึ มือคลา สิบมอื คลาไม่เทา่ หน่งึ ทาไว้ในใจ” คาวาํ “ทาไว้ในใจ” คอื โยนิโสมนสิการ การคิดแบบโยนิโสมนสิการ สรุปได๎ ๔ วิธี คอื ๑) อปายมนสกิ าร(คิดถูกวิธ)ี หมายถึง การคดิ ท่ีอาศัยวิธีการ (Methodology) อันสอดคล๎องกับเรื่อง ทศี่ กึ ษา เชํนเดียวกบั การทาวิจยั ต๎องมีระเบียบวิธีวิจัยที่เหมาะสม หากใช๎วิธีวิจัยผิดก็จะไมํได๎ความจริงในเร่ือง น้นั การตรวจสอบความจรงิ บางเร่ืองต๎องใช๎วิธีอุปนัย (Induction) บางเร่ืองต๎องใช๎วิธีนิรนัย (Deduction) แตํบาง เรอื่ งตอ๎ งใชป๎ ระสบการณต์ รงเปน็ เคร่ืองตรวจสอบยืนยันความจรงิ เชํน พระพุทธเจ๎าทรงค๎นพบวํา การทรมาน ตนหรอื ทกุ ขกริ ิยาไมใํ ชํวธิ บี าเพญ็ เพียรท่ถี กู ต๎อง เมือ่ พระองค์ทรงหันมาใช๎วิธีบาเพ็ญเพียรทางจิต จึงต๎องตรัสรู๎ เป็นพระพทุ ธเจา๎ ๒) ปตมนสิการ(คิดมีระเบียบ) หมายถึง การคิดท่ีดาเนินตามข้ันตอนของวิธีการน้ัน ๆ ไมํมีการลัด ข้ันตอน หรอื ดํวนสรปุ เกินข๎อมูลทไ่ี ดม๎ า การดํวนสรุปจัดเป็นเหตุผลวิบัติ (Fallacy) ประการหน่ึง ดังกรณีที่เราหยิบส๎มผลหนึ่งมาชิม เมื่อส๎มผลน้ัน เปรี้ยว เราก็ดํวนสรุปวําส๎มท่ีเหลือในลังท้ังหมดเปร้ียว นอกจากน้ันการคิดต๎องดาเนินตรงทางไปส๎ูเปูาหมาย โดยไมมํ กี ารฟุูงซาํ นออกนอกทาง นน่ั คือ นักบรหิ ารต๎องมีสมาธิในการคิด บางคนกาลังค๎นควา๎ ข๎อมูลเพื่อทาวิจัย เรอ่ื งนา้ ทวํ มอยดํู ี ๆ เมื่อพบข๎อมูลทน่ี ําสนใจเกยี่ วกับเรอื่ งภยั แล๎งกล็ มื จดุ มํุงหมายเดมิ เขาไปเสียเวลาอํานข๎อมูล เรื่องภยั แล๎ง ซง่ึ ออกนอกทางไปเลย คนน้ไี มมํ ปี ถมนสกิ าร ๓) การณมนสิการ(คดิ มีเหตุผล) หมายถึง การคิดจากเหตุโยงไปหาผล (ธัมมัญญุตา) และการคิดจาก ผลสาวกลับไปหาเหตุ (อตั ถญั ญุตา) และการคิดแบบนี้จะทาให๎นักบริหารเป็นคนรู๎เทําทันเหตุการณ์ เม่ือจะส่ัง การแตํละคร้งั ตอ๎ งคาดไดว๎ ําผลอะไรจะคามมาหรือเม่อื เห็นความผิดปกติเกิดขึ้นในองค์การต๎องสามารถบอกได๎ วาํ จากสาเหตุอะไร นอกจากน้ันนักบริหารไมํกลัวความล๎มเหลว อันท่ีจริงความล๎มเหลวไมํมีสิ่งที่เรียกวําความ ลม๎ เหลวนั้นแท๎ทีจ่ ริงคอื วิบากหรอื ผลของกรรมทไ่ี มดํ ี ถา๎ เราอยากประสบความสาเร็จ ครั้งตํอไปเรํต๎องทากรรม คือเหตุทด่ี ี แลว๎ วบิ ากหรอื ผลทด่ี กี จ็ ะตามมา ๔) อุปปาทมนสิการ(คิดเป็นกุศล) หมายถึงการคิดแงํสร๎างสรรค์ (Creative thinking) คือคิดให๎มี ความหวัง และไดก๎ าลังใจในการทางาน เม่ือเห็นหรือได๎ยินอะไรก็เก็บมาปรับใช๎ประโยชน์ในหนํวยงานของตน ดงั ทีข่ งจื้อกลาํ ววาํ “เมอื่ ข้าพเจา้ เห็นคนสองคนเดินสวนทางมา คนหน่ึงเป็นคนดี อีกคนหน่ึงเป็นคนเลว คนทั้งสอง เป็นครูของข้าพเจา้ ได้เทา่ กนั เมอ่ื เห็นคนดี ขา้ พเจา้ พยายามเอาอยา่ งเขา” คนทีค่ ดิ สรา๎ งสรรค์ จะรูจ๎ กั แสวงหาประโยชน์แม๎จากสง่ิ ทดี่ เู หมอื นไมมํ ีประโยชน์ เขาหาสาระแม๎จากเรื่องท่ี ดูไร๎สาระ เขาเห็นความงามในความนําชัง ดังคาประพันธ์ที่วํา “ศิลปินอยําดูหม่ินศิลปะ กองขยะดูให๎ดียังมี ศิลป”์

จรรยาบรรณและความสาคญั ตอํ ผบู๎ รหิ ารสถานศึกษา ๒๙ ๓. ภาวนามยป๎ญญา หมายถึงความรอบรู๎ทีเ่ กิดโดยประสบการณจ์ ากภาคปฏิบัตหิ รือการลงมอื ทาจริง ๆ สุตมยปัญญาทาให๎ นกั บริหารไดข๎ อ๎ มลู ใหมํ จนิ ตามยปญั ญาทาใหไ๎ ดค๎ วามคดิ ท่ดี ี สวํ นภาวนามยปัญญาทาให๎มผี ลงานเป็นรปู ธรรม นักบรหิ ารบางคนมีความร๎แู ละความคดิ ดี แตํไมมํ ผี ลงานเพราะไมํยอมลงมอื ทาตามความคิด สํวนบาง คนมคี วามรู๎ดี แตํไมสํ ามารถนาความรูอ๎ อกมาใชท๎ ันทวํ งที คนเหลาํ นข้ี าดความชานาญในการปฏิบัติ ดังคากลําว ท่ีวํา “มีเงินให๎เขากู๎ มีความร๎ูอยํูในตารา” เมื่อเกิดความจาเป็นก็เรียกความรู๎น้ันมาใช๎ไมํได๎ ดังนั้นภาวนามย ปญั ญาจึงมีความสาคญั ในการบรหิ าร เพราะเป็นความรอบร๎ูทีแ่ ปรทฤษฎีสภูํ าคปฏบิ ตั ิ ดังกรณตี อํ ไปนี้ เมื่อพระเจ๎าจันทรคุปต์ผู๎กํอตั้งราชวงศ์เมารยะของอินเดีย ยกทัพเข๎าตีเมืองหลวงของกษัตริย์เช้ือสายกรีก ผู๎ปกครองภาคเหนือของอินเดียนั้น ปรากฏวํากองทัพของพระเจ๎าจันทรคุปต์ประสบความปราชัย พระเจ๎ า จันทรคปุ ต์หนีเอาชีวิตรอด ไปซํอนพระองคด์ า๎ นหลงั กระทํอมชาวนาในหมํบู ๎านแหงํ หนงึ่ ขณะทหี่ ลบซํอนอยูํน้ัน พระองค์ได๎ยินเสียงเดก็ ร๎อง และแมํของเด็กได๎กลาํ วกับเดก็ ดว๎ ยเสียงอนั ดังวาํ “เจา้ โง่ ขนมเบื้องยังรอ้ นอยู่ เจ้า กัดกินมันท่ีตรงกลางได้อย่างไร ปากเจ้าก็พองหมดหรอก เจ้าควรกัดกินขนมเบื้องท่ีร้อน โดยเร่ิมจากมุม รอบ ๆ กอ่ นมใิ ช่หรือ” เม่อื ไดย๎ ินคาพดู ประโยคนี้ พระเจา๎ จนั ทรคุปต์ได๎ความคิดวําพระองคเ์ องก็ไมํตํางจากเด็กคนนั้น การยก ทัพเข๎าตีเมืองหลวงในขณะท่ีข๎าศึกยังเข๎มแข็ง ก็มีลักษณะเหมือนกับการกัดกินขนมเบื้องร๎อน ๆ ที่ตรงกลาง พระองคจ์ ึงประสบความพาํ ยแพ๎ ดังน้ัน พระเจ๎าจันทรคุปต์จึงคิดเปลี่ยนยุทธวิธีใหมํ โดยใช๎ยุทธการ “ปุาล๎อม เมอื ง” คอื นาทัพยดึ เมืองเล็กรอบนอกให๎ได๎กํอนที่จะบุกตีเมืองหลวงเชํนเดียวกับการเร่ิมกินขนมเบ้ืองจากมุม โดยรอบมากํอน ในท่สี ุดพระเจา๎ จันทรคุปต์ได๎ประสบชัยชนะเพราะใชํยุทธวิธีน้ี ซ่ึงเกิดจากการได๎ยินคาดําเด็ก ของหญิงชาวนาคนหน่งึ ในกรณีนีพ้ ระเจ๎าจันทรคุปต์ไดป๎ ญั ญาท้ังสามประการ คือพระองคไ์ ดส๎ ตุ มยปัญญา จาก การฟงั คาพูดของหญิงชาวนาได๎จนิ ตมยปญั ญาจากการนาคาพูดน้ันมาไตรตํ รอง จนค๎นพบยุทธวธิ ใี หมํ และได๎ภาวนามยปญั ญาจากการแปรยทุ ธวธิ ีเป็นยุทธการในสนามรบ นักบริหารบางคนมีความคิดแปลกใหมํดี แตํไมํยอมนาความคิดนั้นไปปฏิบัติ เขาจึงไมํมีภาวนามย ปัญญา ที่เปน็ เชนํ น้นั เพราะเขาขาดกาลงั ใจในการปฏบิ ตั ิ คอื วริ ิยะพละ ๒. วริ ิยะพละ : กาลงั ความเพยี ร วิริยะพละ หมายถึง กาลังความเพียรหรือความขยัน คนมีความขยันต๎องมีกาลังใจเข๎มแข็ง อาจกลําว ไดว๎ าํ วิริยะพละกค็ ือกาลังใจนนั่ เอง กาลงั ใจตอ๎ งมาคูํกบั กาลงั ปัญญาเสมอ คนมกี าลงั ใจแตไํ มมํ ีกาลงั ปญั ญาจะเปน็ คนบ๎าบิน่ คนมกี าลังปัญญาแตํขาดกาลงั ใจจะเป็นคนขลาด คน ทีม่ ที ้งั กาลังใจและกาลังปัญญาจงึ จะเปน็ คนกลา๎ หาญ นกั บรหิ ารที่มกี าลงั ปญั ญาแตํขาดกาลังใจ มักถือนโยบาย หลบภยั หนปี ัญหา เหมือนกับนักมวยชั้นเชิงท่ีเอาแตํหนีตลอด ๑๒ ยก แม๎วําคูํตํอส๎ูเพลี่ยงพล้า เขาก็ไมํกล๎าใช๎ หมัดเด็ดเก็บคูํตํอส๎ู คนดูเบื่อนักมวยประเภทหนีลูกเดียวฉันใด ประชาชนก็เบ่ือผ๎ูบริหารที่เอาแตํหลบภัยหนี ปัญหาฉนั นนั้ นักมวยท่ีนําสนใจคือ นักมวยที่มีท้ังชั้นเชิงและหมัดหนักพอท่ีจะเก็บคํูตํอส๎ู นักบริหารที่ดีควรเป็น เชนํ นัน้ เขามชี ้ันเชงิ คือกาลงั ปญั ญาและมีหมัดหนักคือกาลังใจ รวมท้ังสองอยํางเข๎าด๎วยกัน เรียกวําความกล๎า หาญ นกั บรหิ ารทีด่ ีต๎องเปน็ คนกล๎าตัดสินใจ กล๎าได๎กล๎าเสีย ไมํกลัวความยากลาบากที่รอคอยอยูํเบ้ืองหน๎า เขาจะถอื คติวํา “ล๎มเพราะก๎าวไปข๎างหน๎า ดีกวํายืนเต๏ะทําอยูํกับท่ี” ใครที่ไมํก๎าวเดินไปข๎างหน๎าจะกลายเป็น คนล๎าหลัง เพราะคนอ่ืน ๆ ไดแ๎ ซงขึ้นหน๎าไปหมด นักบริหารต๎องกล๎าลองผิดลองถูก ถ๎าทาผิดพลาดก็ถือวําผิด เปน็ ครู ใครที่ถนอมตัวจนไมํกลา๎ ทาอะไรเลย จดั เป็นคนขลาด เขาควรฟังคาเตอื นของนโปเลยี นมหาราลท่วี ํา...

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผ๎บู รหิ ารสถานศึกษา ๓๐ “คนทไี่ มอ่ ะไรผดิ คอื คนไมท่ าอะไรเลย” ผู๎ทาการใหญํยํอมต๎องเจออุปสรรค เหมือนต๎นไม๎สูงใหญํมักจะเจอลมแรง นักบริหารต๎องกล๎าจับทา โครงการใหญํหรืองานใหญํ ถือคติวํา “คนสร๎างงาน งานก็สร๎างคน” ถ๎าขยันทางานยาก ๆ ความชานาญก็ ตามมา คนท่ีผํานร๎อนผํานหนาวมามาก จะฉลาดและแกรํงขึ้นดังนั้น นักบริหารจะต๎องไมํหลบเล่ียงหน๎าท่ีที่ ลาบากยากเย็น ถือภาษิตที่วํา “วาํ วขึ้นสูงเพราะมีลมต๎าน คนจะข้ึนสูงเพราะเผชิญอุปสรรค” พระพุทธเจ๎ายัง ต๎องรบกับมารกํอนตรัสร๎ูเป็นพระพุทธเจ๎า ดังคากลําวท่ีวํา “มารมามี บารมีไมํแกํ” ไมํมีความสาเร็จอันใดท่ี ได๎มาโดยไมํต๎องลงทนุ ลงแรง พระพุทธองค์ตรัสวํา...“วริ เิ ยน ทกุ ขฺ มจเฺ จติ คนจะล่วงทุกข์ได้ดว้ ยความขยัน” ดังสุภาษติ อทุ านธรรมที่วาํ ... จะเป็นสขุ กต็ อ้ งทกุ ข์ ลงทนุ ก่อน จะเป็นกอ้ น ทลี ะนอ้ ย ค่อยผสม จะเป็นพระ ก็ต้องละ กามารมณ์ จะเป็นพรหม ก็ตอ้ งหมนั่ เพียร เรยี นทาฌาน วิริยะในการบริหาร วริ ยิ ะหรอื ความขยันมี ๒ ประเภท คือ ๑) สสงั ขาริกวิริยะ ความขยันท่ีต๎องมีคนอื่นปลุกใจ หรือมีสถานการณ์บีบบังคับ ถ๎าไมํมีคน ปลกุ หรือบีบบงั คบั บางคนกห็ มดกาลงั ใจ และไมยํ อมทาอะไรตํอไป ๒) อสังขาริกวิริยะ ความขยันที่เกิดจากการปลุกใจตัวเอง แม๎คนอื่นจะหมดกาลังใจ ล๎มเลิก การทางานไปแล๎ว แตคํ นทีป่ ลุกใจตัวเองจะลกุ ขนึ้ สต๎ู ํอไป ในฐานะผู๎นาคนอ่ืน ๆ นักบรหิ ารต๎องมอี สงั ขาริกวิรยิ ะ คือ ไมยํ อมแพ๎งาํ ย ๆ เม่ือเผชิญอุปสรรค เขาต๎องปลุกใจ ตนเอง และปลกุ ระดมคนอ่ืนให๎ทางานตํอไป ถา๎ หวั ขบวนยอมแพ๎เสยี คนเดยี วองคก์ รทง้ั หมดก็สิ้นฤทธิ์ เหตนุ นั้ พระพุทธเจ๎าจึงตรัสวํา “วายเมเถวปุรโิ ส ยาว อตถฺ สฺส นปิ ฺปทา เกดิ เปน็ คนตอ้ งพยายามร่าไปจนกว่าจะไดส้ ิ่งทปี่ รารถนา” แนํนอนวํา คนที่ทาการใหญํบางครั้งทานแรงต๎านไมํไหวก็ต๎องถอยบ๎าง แตํเป็นการถอยตั้งหลักแล๎ว คอํ ยรุกคบื หนา๎ ไปใหมํ ถา๎ จาเปน็ ตอ๎ งซวนเซกป็ ระคองตัวไว๎อยําให๎ล๎ม ถ๎าหากต๎องล๎มลงไปจงลุกข้ึนมาอีก และ อยําลุกข้ึนมามือเปลํา นั่นคือ ถ๎าต๎องพํายแพ๎ผิดหวังต๎องหาบทเรียนจากความผิดพลาดในอดีต เม่ือกลับคืน สงั เวยี นอกี ครง้ั เขาต๎องฉลาดกวําเกํา สขุ ุมกวําเกาํ และเขม๎ แขง็ กวําเกาํ นักบริหารทย่ี ง่ิ ใหญํหลายคนเคยล้มิ รสชาติของความพํายแพ๎กันมากํอน เมื่อคนท่ีมีวิริยะล๎มลง เขาจะ ลุกขึ้นมาอีกดังชีวิตอดีตประธานาธิบดีคนหน่ึงของสหรัฐอเมริกา บุคคลผู๎น้ีประสบความล๎มเหลวคร้ังแล๎วคร้ัง เลาํ ดงั น้ี อายุ ๒๑ ปี ล๎มเหลวในการประกอบธุรกจิ อายุ ๒๒ ปี พํายการเลือกตั้ง สมาชกิ สภานติ ิบญั ญตั ิของรฐั อายุ ๒๔ ปี ล๎มเหลวในการประกอบธรุ กิจอีกครง้ั อายุ ๒๖ ปี คนรกั ของเขาตายจากไป อายุ ๓๔ ปี พํายการเลอื กต้งั สมาชิกสภาผู๎แทนราษฎร อายุ ๓๖ ปี พํายการเลือกตง้ั สมาชิกสภาผ๎ูแทนราษฎร

จรรยาบรรณและความสาคญั ตํอผบู๎ รหิ ารสถานศกึ ษา ๓๑ อายุ ๔๕ ปี พาํ ยการเลอื กตง้ั วุฒิสมาชิก อายุ ๔๗ ปี พยายามเป็นรองประธานาธิบดแี ตํไมํมีใครสนับสนุน อายุ ๔๘ ปี พํายการเลอื กตงั้ วุฒสิ มาชิก อายุ ๕๒ ปี ชนะการเลือกต้งั ชงิ ตาแหนงํ ประธานาธิบดี บุคคลผ๎ูนมี้ ชี ื่อวาํ อับราฮ๎ม ลินคอลน์ ประธานาธบิ ดีคนท่ี ๑๖ ของสหรัฐอเมริกา เขาจะไมํมีวันได๎เป็น ประธานาธบิ ดเี ลย ถ๎าไมํร๎ูจกั ปลุกใจตวั เองดว๎ ยอสังขาริกวริ ยิ ะใหล๎ กุ ข้นึ เดินหน๎าตอํ ไป สนุ ทรภเูํ ขียนไว๎วาํ ... จบั ใหม้ ่ันคน้ั หมายใหว้ ายวอด ชว่ ยใหร้ อดรักใหช้ ิดพสิ มยั ตัดใหข้ าดปรารถนาหาสงิ่ ใด เพียรจงไดด้ ังประสงคท์ ่ีตรงดี นักบรหิ ารท่ปี ระสบความสาเรจ็ ต๎องเปน็ คนพากเพยี รอยํางหนักข๎อสาคัญเขาต๎องพากเพียรเพื่อบรรลุ ถงึ เปาู หมายที่ดี ดังคากลอนของสุนทรภํนู ้ัน ความสาเร็จรวมทงั้ ชื่อเสียงเกียรติยศคงทนถาวรนั่นคือ นักบริหาร ต๎องมพี ละขอ๎ ท่สี าม คือ อนวชั ชพละ ๓. อนวัชชพละ : กาลังแห่งการงานทไ่ี มม่ ีโทษ อนวชั ชพละ แปลวาํ กาลงั แหงํ การงานทีไ่ มํมีโทษ หรอื ขอ๎ เสียหาย หมายถงึ นักบริหารตอ๎ งปฏิบตั หิ นา๎ ที่ด๎วยความซ่ือสัตยส์ ุจรติ ดังพุทธพจนท์ ี่วาํ “ธมฺมํฺจเร สจุ รติ บคุ คลควรปฏบิ ตั ิธรรม (หนา้ ท)่ี ใหส้ ุจรติ ” ชีวิตคนเราเปรียบเหมือนเรือหรือนาวาชีวิตที่แลํนไปในห๎องมหาสมุทร เรือสํวนมากอับปางกํอนถึง จุดหมาย เพราะมีรูร่ัวให๎น้าทะเลไหลเข๎าข๎างใน เรือจึงจมลงอยํางรวดเร็ว เหมือนนักบริหารห ลายคนเสีย อนาคตเพราะถูกจับได๎วําทุจริตตํอหน๎าท่ี หรือมีประวัติดํางพร๎อย นาวาชีวิตของพวกเขามีรูร่ัว เรื่องตํอไปนี้ นับเป็นอุทาหรณ์ท่ดี ี เม่ือวันท่ี ๑๑ มีนาคม ๒๕๓๖ วุฒิสภาของสหรัฐอเมริกาได๎ลงมติด๎วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ให๎ ความเห็นชอบตํอการที่ประธานาธิบดี บิล คลินตัน ได๎แตํงต้ังนางเจเนต เรโน เป็นรัฐมนตรีวําการกระทรวง ยตุ ธิ รรมดงั นั้น นางเจเนต เรโน จงึ ไดร๎ บั เกียรติประวัติเป็นรฐั มนตรหี ญิงคนแรกของกระทรวงยตุ ธิ รรม ซงึ่ ถอื กัน วาํ เป็นหนงึ่ ในกระทรวงเกรดเอกของสหรฐั อเมริกา อันท่ีจริงเกียรติยศอันนี้ควรตกเป็นของนางโช ไบร์ด ผู๎เคยถูกเสนอช่ือตํอวุฒิสภา เพ่ือแตํงต้ังเป็น รฐั มนตรีวาํ การกระทรวงยุติธรรม แตํส่ือมวลชนไดข๎ ดุ คุ๎ยจดุ ดํางพรอ๎ ยในชวี ติ ของเธอท่ีวํานางโช ไบร์ด ได๎วําจ๎าง ชาวเปรูสองคนผู๎ลักลอบเข๎าประเทศมาเป็นคนเล้ียงลูกท่ีบ๎านของเธอ จุดดํางพร๎อยนี้น๎อยนิดก็จริง แตํก็มีผล เลวร๎ายเทํากับรูรว่ั ของเรอื เดนิ สมุทร ท่ที าให๎เรอื จมได๎ ในทสี่ ุด นางโช ไบรด์ จึงขอถอนตัวออกจากการเสนอชื่อ เปน็ รฐั มนตรีวาํ การกระทรวงยุติธรรม และนางเจเนต เรโน กไ็ ดร๎ ับการเสนอชอื่ แทน รูร่ัวของชีวิตเชํนนี้ พระทํานเรียกวํา อบายมุข แปลวํา ทางแหํงความเสื่อม นักบริหารหลายคนเสียอนาคต เพราะถกู ผอี บายมุขเขา๎ สิง นกั บรหิ ารตอ๎ งหลกี เวน๎ อบายมุข พระทาํ นเตือนไปวําไปงานศพครั้งใดเมื่อเผาศพทั้ง ทตี อ๎ งเผาผเี สยี ดว๎ ย มฉิ ะน้นั ผีจะสงิ เรากลบั บา๎ นและทาใหค๎ นเรามีอาการแปลกไป ตามประเภทของผีท่ีเข๎าสิง ผี มี ๖ ตัว คอื

จรรยาบรรณและความสาคญั ตอํ ผ๎ูบรหิ ารสถานศึกษา ๓๒ ผีตวั ท่หี นึ่ง ชอบด่ืมสรุ าเป็นอาจณิ ไมช่ อบกินขา้ วปลาเป็นอาหาร ผีตัวทส่ี อง ชอบท่องเท่ียวยามวกิ าล ไม่รักลูกรกั บ้านของตน ผีตวั ที่สาม ชอบเทยี่ วดูการเล่น ไมล่ ะเว้นบารค์ ลับละครโขน ผตี ัวทีส่ ่ี ชอบคบคนชัว่ ม่ัวกบั โจร หนไี ม่พน้ อาญาตราแผ่นดนิ ผตี วั ทห่ี ้า ชอบเล่นไพเ่ ล่นม้ากฬี าบัตร สารพดั ถัว่ โปไฮโลสิ้น ผีตัวทหี่ ก ชอบเกียจครา้ นการหากนิ มที งั้ ส้นิ หกผอี ัปรีย์เอย ภาพ อบายมขุ ๖ ผที ง้ั หกตวั ก็คืออบายมขุ ๖ น่ันเอง คนทถี่ กู ผีอบายมุขเข๎าสิงเสียแล๎ว มักไลํผีออกไปจากชีวิตได๎ยากมาก เพราะเขาตดิ ใจในอบายมุข นักบริหารบางคนถูกผีการพนนั เข๎าสิง ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนฉลาด แตํก็เลิกเลํนการพ น้นั ไมํได๎ เขามลี กั ษณะเชํนเดียวกับชา๎ งตกหลมํ ลึก ช๎างตวั ใหญมํ นี ้าหนักมาก ยงิ่ ชา๎ งดิน้ กย็ ิ่งจมลงไป ชา้ งตกหลม่ มวี ธิ ขี ึ้นจากหลม่ อยู่ ๒ วธิ ีคอื ๑) ช๎างจะต๎องชํวยตัวเองกํอน ด๎วยการเอางวงจับกิ่งไม๎หรือต๎นไม๎ใกล๎ตัว เพ่ือพยุงตัวไมํให๎จมลงไป อยาํ งรวดเร็ว ๒) จากนน้ั ช๎างจะรอ๎ งดงั ล่ันเรียกควาญให๎มาชํวยดึงมนั ขนึ้ จากหลํม พระพุทธเจา๎ สอนวํา คนท่ีติดอบายมุขหากประสงค์ท่ีจะถอนตัวออกมา ต๎องใช๎วิธีทั้งสองของช๎างตกหลํม ดงั นี้

จรรยาบรรณและความสาคญั ตอํ ผูบ๎ รหิ ารสถานศึกษา ๓๓ ๑) เขาจะตอ้ งชว่ ยตัวเองกอ่ นด้วย โยนิโสมนสิการ คือการคิดถึงโทษภัยของอบายมุข และอธิษฐาน จิตวําจะต๎องเลิกอบายมุขให๎จงได๎ วัดถ้ากระบอกรักษาคนติดยาเสพติดด๎วยการจัดพิธีสาบานตนในเบ้ืองต๎น กํอนที่จะใชย๎ าบาบัดรกั ษา คนเราถา๎ ใจไมํคิดจะเลกิ อบายมุขเสยี แล๎ว ไมชํ า๎ ก็เร็วเขาต๎องหวนกลบั ไปหามันอกี ๒) เม่ืออธิษฐานจิตแน่วแน่แล้วเขาต้องขอรับความช่วยเหลือจากกัลยาณมิตร เชํนขอรับการ บาบดั รกั ษาด๎วยยาจากแพทย์ ในกรณีของคนติดยาเสพติด ขอคาแนะนาจากพระสงฆ์ หรือการปลุกปลอบให๎ กาลงั ใจจากสมาชกิ ในครอบครวั นกั บริหารท่ีปลอดอบายมขุ จะไมมํ ีรรู ่ัวในชีวติ และไมํมคี วามจาเป็นที่เขาจะต๎องทุจริตคอรัปชั่น เมื่อตัวเองเป็น คนซอ่ื มอื สะอาด เขายํอมสามารถควบคุมคนอ่ืนให๎สจุ ริตตํอหนา๎ ท่ีนกั บริหารทม่ี ีแผลเตม็ ตัวจะไมํกล๎าตาหนีหรือ ลงโทษใคร เขา๎ ทานองวํา “ไกเ่ หน็ ตนี งู งูเหน็ นมไก่” เหตุนั้นนักบริหารต๎องถนอมตัวไว๎อยําให๎มีประวัติดํางพร๎อยด๎วยการรักษาศีล ๕ และหลีกเว๎นจาก อบายมขุ นกั บรหิ ารผ๎ปู ระกอบพฤติธรรมดารงม่ันในความสุจรติ เชนํ นนั้ ยํอมเปน็ แบบอยาํ งท่ดี สี าหรับผู๎รํวมงาน เมือ่ มผี น๎ู าทีด่ ี คนดอี น่ื ๆ ในองค์กรยอํ มมีกาลังใจ และคนชว่ั กไ็ มํกล๎าทาช่วั พระพทุ ธเจ๎าตรัสวํา คนุ ฺนญฺเจตรมานาน อุชคจฺฉติ ปุงฺคโว แปลความวํา เมื่อฝูงโดข๎ามแมํน้า ถ๎าโคหัว โจกขา๎ มไปตรง ลูกฝงู กจ็ ะข๎ามไปตรงตาม ถ๎าโคหวั โจกข๎ามคดไปคดมา ลูกฝูงก็จะข๎ามคดไปคดมา เชํนเดียวกับ สงั คมหรือประเทศชาติ ถา๎ ผนู๎ าประพฤติธรรมผู๎ตามก็จะประพฤตธิ รรมตาม ถา๎ ผูน๎ าไมปํ ระพฤตธิ รรม ผู๎ตามก็จะ ไมปํ ระพฤติธรรม ยามฝูงโคขา๎ มฟาก นที โคโจกไปตรงดี ไปเุ คีย้ ว ฝงู โคลํองวารี รีบเรงํ ทั้งหมดไปลุ ดเลยี้ ว ไตเํ ต๎าตามกนั นักบริหารผ๎ูสุจริตยํอมเป็นท่ีเคารพยาเกรงของคนรํวมงานก็จริง แตํเขาจะน่ังอยูํในหัวใจของคน รวํ มงานไมไํ ด๎ ถา๎ ขาดกาลังที่ ๔ คือ สงั คหพละ ๔. สังคหพละ : กาลงั แห่งการสงเคราะห์ สังคหพละ แปลวํา กาลังแหํงการสงเคราะห์ หรือมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งเป็นธรรมท่ีสาคัญมากสาหรับนัก บริหาร ผ๎ูทางานให๎สาเรจ็ โดยอาศยั คนอื่น ถา๎ นกั บริหารบกพรํองเร่อื งมนษุ ยสมั พันธ์ กจ็ ะไมํมคี นมาชํวยทางาน เม่อื ไมมํ ใี ครชํวยทางานเขาก็เป็นนกั บรหิ าร ไมํได๎ พระพุทธเจ๎าทรงสอนหลักการสร๎างมนุษยสัมพันธ์ไว๎เรียกวําสังคหวัตถุ หมายถึงวิธีผูกใจคน พระองค์ ตรัสวํา รถมา๎ แลํนไปได๎เพราะมีล่ิมสลักคอยตรึงสํวนประกอบตําง ๆ ของรถม๎าเข๎าด๎วยกันฉันใด คนในสังคมก็ ฉนั น้นั คอื ทาหน๎าท่เี ปน็ กาวใจเชอื่ มประสานคนท้งั หลายเข๎าด๎วยกัน ลมิ่ สลักดงั กลาํ วน้ันคือ สงั คหวตั ถุ นักบรหิ ารจะสามารถผกู ใจเพื่อนรว่ มงาน และผู้ใต้บงั คับบญั ชาไว้ได้ ถ้ามสี งั คหวตั ถุ ๔ ประการ สังคหวตั ถุ ๔ ประการ ได๎แกํ ๑. ทาน หมายถึง การให้ (โอบอ้อมอาร)ี นักบริหารทด่ี ตี ๎องมนี ้าใจรจ๎ู กั เออื้ เฟ้อื เผ่ือแผํ ให๎ทานแกเํ พ่อื นรวํ มงานและผู๎ใต๎บงั คบั บัญชา การใหท๎ างจะชํวยให๎ผกู คนอ่ืนไวไ๎ ด๎ ดังพุทธพจน์ท่วี ํา “ทโท คนฺถติมิตตฺ านิ ผู๎ใหย๎ อมํ ผูกใจมิตรไวไ๎ ด๎” นกั บรหิ ารอาจใหท๎ านได๎ ๓ วธิ ี คอื

จรรยาบรรณและความสาคญั ตอํ ผูบ๎ รหิ ารสถานศึกษา ๓๔ ก. อามิสทานหมายถงึ การใหส๎ ่ิงของแกํเพ่ือนรํวมงานและผ๎ูใต๎บังคับบัญชา โดยเฉพาะการให๎เพ่ือผูก ใจนสี้ าคัญมาก ในยามที่เขาตกตา่ หรอื มีความเดอื ดรอ๎ น ดังภาษติ อังกฤษท่วี ํา “เพื่อนแท้ คือเพ่ือนท่ีช่วยเหลือ ในยามตกยาก”การให๎รางวัลหรอื ขึ้นเงินเดือนกจ็ ดั เข๎าในอามิสทาน ข. วิทยาทาน คือ ธรรมทาน หมายถึง การให๎คาแนะนาหรือสอนวิธีทางานที่ถูกต๎อง รวมถึงการจัด หลกั สตู รพัฒนาบุคลากรหรือสํงไปศกึ ษาและดูงาน ค. อภัยทาน หมายถงึ การใหอ๎ ภยั เม่อื เกิดข๎อผดิ พลาดในการทางาน หรือลวํ งเกินซ่งึ กนั และกนั การให๎ อภัยไมทํ าใหผ๎ ู๎ใหต๎ ๎องสญู เสียอะไร เป็นการลงทนุ ราคาถูกแตํได๎ผลตอบแทนราคาสงู น่ันคือ ได๎มิตรภาพกลับคืน มา และมีคนสนองงานเพ่มิ ข้ึนอกี คนหนง่ึ มภี าษิตจนี ทวี่ าํ “มีมติ ร ๕๐๐ คน นบั วาํ ยงั นอ๎ ยเกนิ ไป มศี ตั รู ๑ คน นับวาํ มากเกินไป” อบั ราฮมั ลนิ คอลน์ กลาํ ววํา “วธิ ที าลายศตั รทู ่ีดที ส่ี ดุ คือ เปลีย่ นศัตรใู ห๎เป็นมติ ร” เราจะทาอยาํ งน้ันได๎ก็ตํอเม่ือ เรารู๎จกั ให๎อภยั ๒. ปิยวาจา หมายถึง การพดู ถอ้ ยคาไพเราะอ่อนหวาน (วจไี พเราะ) นักบริหารที่ดจี ะรู๎จักผูกใจคนด๎วยคาพดู อํอนหวาน คาพดู หยาบกระดา๎ งผกู ใจใครไมํได๎ ตามปกติคนเรา จะมัดส่ิงของต๎องใช๎ของอํอน เชํน เช่ือก หรือลวดมัด ในทานองเดียวกันเราจะมัดใจคนได๎ก็ด๎วยถ๎อยคา อํอนหวาน ดังโคลงโลกนิตทิ ี่วาํ ออ่ นหวานมานมติ รล้น เหลือหลาย หยาบบม่ ีเกลอราย เกลอื่ นใกล้ ดุจดวงศศฉิ าย ดาวดาษ ประดับนา สรุ ยิ สอ่ งดาราไร้ เมอื่ ร้อนแรงแสง ๓. อัตถจริยา หมายถงึ การทาตวั ใหเ้ ป็นประโยชนแ์ ก่ผูอ้ ่ืน (สงเคราะหป์ ระชาชน) ตรงกบั คาพังเพยที่วํา“อยูบ่ า้ นทา่ นอยา่ นงิ่ ดดู าย ปน๎้ วัวป๎้นควายให้ลูกท่านเลน่ ” นักบริหารทาอัตถจริยาได๎หลายวิธี เชํน บริการชํวยเหลือยามเขาปุวยไข๎ หรือเป็นประธานในงานพิธี ของผู๎ใตบ๎ ังคับบญั ชา อาศยั เรือนทา่ นให้ วจิ ารณ์ เหน็ ท่านทาการงาน ช่วยพร้อง แม้มกี จิ โดยสาร นาเวศ พายค่อยชว่ ยคา้ จ้วง จรดใหจ้ นถงึ ๔. สมานัตตา หมายถงึ การวางตวั สม่าเสมอ (วางตนพอดี) เมอื่ นกั บรหิ ารไมํทอดทิ้งผ๎ูรวํ มงานท้ังหลาย เขาจึงจะสามารถสรา๎ งทีมงานขึน้ มาได๎ น่ันคือถือคติวํา “มี ทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุขรร่วมเสพ” นกั บริหารต๎องกล๎ารับผิดชอบในผลการตัดสินใจของตนเอง ถ๎าผลเสียตกมาถึงผู๎ปฏิบัติตามคาส่ังของ ตน นกั บริหารตอ๎ งออกมาปกปูองคนนัน้ ไมใํ ชํหนเี อาตวั รอดตามลาพัง ตวั อยํางคนทม่ี สี มานตั ตาก็คือคนท่เี ปน็ “เพอ่ื นตาย” ในโคลงบทน้ี เพ่ือนกิน สิ้นทรัพย์แลว้ แหนงหนี หาง่าย หลายหมนื่ ปี มากได้ เพ่อื นตาย ถา่ ยแทนชี- วาวาตม์ หายาก ฝากผึไข้ ยากแทจ้ ักหา

จรรยาบรรณและความสาคญั ตํอผู๎บรหิ ารสถานศึกษา ๓๕ ธรรมะสาหรับผู้ใหญ่ เมอื่ นักบรหิ ารมสี ังคหวัตถุท้ัง ๔ ประการ คือ โอบอ๎อมอารี วจีไพเราะ สงเคราะห์ประชาชน และวาง ตนพอดี เขามีมนษุ ยสมั พนั ธ์ท่ดี ี สามารถผกู ใจคนไวไ๎ ด๎ แตสํ ังคหวตั ถเุ หลาํ นเ้ี ปน็ เร่ืองพฤตกิ รรมภายนอกที่แสดง ออกมา เพ่อื ใหแ๎ สดงพฤตกิ รรมเหลาํ น้ันมาโดยไมํตอ๎ งฝนื ใจ นักบริหารตอ้ งมีพรหมวิหารธรรมคือธรรมสาหรับ ผู๎ใหญํ ๔ ประการ คือ ภาพ พรหมวิหาร ๔ ๑. เมตตา ได้แก่ ความรกั ความหวงั ดี ที่ปรารถนาให้ผอู้ ื่นมีความสขุ นักบริหารต๎องมีความรักและความหวังดีแกํเพ่ือนรํวมงาน ความรักจะเกิดได๎ถ๎านักบริหารรู๎จักมองแงํดี หรอื สํวนที่ดขี องเพ่อื นรํวมงาน ถ๎าพบสํวนเสียในตัวเขา นักบริหารต๎องรู๎จักมองข๎ามและให๎อภัย เมื่อพบสํวนดีก็จดจาไว๎ เพื่อจะได๎ใช๎คนให๎ เหมาะสมกับลักษณะทดี่ ีของเขา ดังนัน้ เมตตาหรือความรักจงึ เกดิ จากการมองแงดํ ขี องคนอื่น ทํานพทุ ธทาสภิกขุประพนั ธ์ไว๎วาํ ... เขามีส่วน เลวบา้ ง ช่างหวั เขา จงเลือกเอา ส่วนดี เขามีอยู่ เป็นประโยชน์ โลกบา้ ง ยังน่าดู สว่ นที่ชวั่ อยา่ ไปรู ของเขาเลย จะหา คนมดี ี โดยส่วนเดยี ว อยา่ มวั เที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย เหมอื นมองหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย ฝึกให้เคย มองแตด่ ี มีคณุ จริง ๒. กรณุ า คอื ความสงสารเหน็ ใจ ปรารถนาใหผ้ อู้ นื่ พ้นทุกข์ เม่อื เพือ่ นรํวมงานประสบเคราะหก์ รรม นกั บรหิ ารตอ๎ งมีความสงสาร เห็นใจ และคิดหาทางชํวยให๎เขาพ๎นทุกข์นั้น ความสงสารจะเกิดข้ึนได๎ก็ ตอํ เม่อื นกั บรหิ ารเปดิ ใจกวา๎ ง รับฟงั ปญั หาของคนอน่ื กรณุ าตาํ งจากเมตตาตรงทวี่ ํา กรณุ าเกิดขึ้นเมื่อมองจุดด๎อยของคนอื่น สํวนเมตตาเกิดข้ึนเมื่อมองจุดดีของเขา เชํน เราเหน็ เดก็ นอ๎ ยหน๎าตานาํ รกั เดนิ มา เรามจี ติ เมตตาเขา เมือ่ เด็กนั้นหกลม๎ ปากแตก เรามีจติ กรุณาเขา ๓. มทุ ติ า คือ ความรู้สกึ พลอยชน่ื ชมยนิ ดเี มอื่ ผ้อู ื่นไดด้ มี สี ุข

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผ๎บู รหิ ารสถานศึกษา ๓๖ นักบริหารต๎องสํงเสริมให๎คนทางานมีโอกาสพัฒนาความร๎ู ความสามารถจนได๎เลื่อนตาแหนํงสูงขึ้น โดยไมกํ ลวั วาํ ลูกนอ๎ งจะข้ึนมาทาบรัศมี เขาไมํกีดกันใคร แตํเปิดโอกาสให๎ทุกคนได๎ทางานแสดงความสามารถ เตม็ ที่ และพลอยช่นื ชมยินดีในความกา๎ วหน๎าของคนรํวมงาน มุทติ าจะทาลายความรษิ ยาในใจนักบรหิ าร ถา๎ นกั บรหิ ารมีจติ รษิ ยาลกู น๎องเสียแลว๎ ลกู นอ๎ งจะรบั รคู๎ วามรษิ ยานนั้ และจะไมํทํุมเททางานให๎ ดังคากลอนท่ีวาํ อันเพือ่ นดีมหี นึ่งถงึ จะนอ้ ย ดีกว่ารอ้ ยเพ่ือนคิดรษิ ยา แมเ้ กลอื หยบิ หน่งึ น้อยดว้ ยราคา ยังดีกว่านา้ เค็มเต็มทะเล ๔. อเุ บกขา คือ ความรูส้ ึกวางเฉยเปน็ กลาง ไม่ลาเอยี งเข้าขา้ งคนใดคนหน่ึง นัน่ คอื มีความยุติธรรมในการให๎รางวัลและลงโทษ ข๎อสาคัญก็คือนักบริหารต๎องร๎ูเทําทันคนรํวมงาน ทุกคน นกั บริหารท่ีไมรํ เู๎ ทําทนั ผ๎รู วํ มงาน ไมํรู๎เทําทนั สถานการณอ์ าจวางเฉยไดเ๎ หมอื นกัน แตํการวางเฉยเชํนน้ัน เรียกวาํ “อญั ญณุเบกขา” คอื วางเฉยเพราะโงํ ซ่งึ ไมใํ ชํสง่ิ ท่ีดี นักบริหารต๎องวางเฉยด๎วยปัญญา คือ มีอุเบกขาอยํางร๎ูเทําทันคน เมื่อทึกคนทางานในหน๎าท่ีอยํางขยัน ขนั แขง็ นักบริหารก็มองดพู วกเขาเฉย ๆ ถงึ คราวใหบ๎ าเหนจ็ รางวัล ก็เฉล่ียให๎แกํทุกคนอยํางถ๎วนหน๎า ถ๎ามีการ ทะเลาะเบาะแว๎งเกิดขึ้น นักบริหารต๎องลงไปห๎ามทัพทันที และจัดการลงโทษคนผิดตามความเหมาะสม นัก บริหารตอ๎ งไมํนงั่ ดูลกู นอ๎ งทะเลาะกันแลว๎ เอาตัวรอดคนเดียว ธรรมการบรหิ าร : หลักธรรมเชงิ พทุ ธของผู้บริหารสถานศึกษา ภาพ สถานศึกษา ในทัศนะของพระพุทธศาสนา ผู๎จะทาหน๎าท่ีผู๎นาต๎องได๎รับการพัฒนาทั้งกาย วาจา และใจ จนมี ความสามารถยอมรับหลักการและปฏิบัติตามคุณธรรมของผ๎ูนาได๎ด๎วยตนเองกํอน ดังพุทธพจน์วํา เม่ือฝูงโค วํายข๎ามน้าไป ถ๎าโคจําฝูงไปคดเคี้ยว โคทั้งฝูงก็ไปคดเค้ียวตามกัน ในเมื่อโคจําฝูงไปคดเคี้ยว ในหมํูมนุษย์ก็ เหมือนกัน ผ๎ูใดได๎รับแตํงตั้งให๎เป็นใหญํ ถ๎าผู๎นั้นประพฤติไมํเป็นธรรมประชาชนชาวเมืองน้ันก็จะประพฤติไมํ เป็นธรรมตามไปด๎วย หากพระราชาไมตํ งั้ อยูํในธรรมเมื่อฝงู โคข๎ามน้าไป ถ๎าโคจําฝูงไปตรงโคท้ังฝูงก็ไปตรงตาม กันในเมื่อโคจําฝูงไปตรง ในหมูํมนุษย์ก็เหมือนกัน ผู๎ใดได๎รับแตํงต้ังให๎เป็นใหญํ ถ๎าผ๎ูนั้นประพฤติชอบธรรม ประชาชนชาวเมอื ง นน้ั กจ็ ะประพฤติชอบธรรมตามไปด๎วยหาก พระราชาต้ังอยํูในธรรมชาวเมืองน้ันก็เป็นสุข (ดู รายละเอยี ดใน อง.ฺ จตุกกฺ . (ไทย) ๒๑/๗๐/๑๑๕- ๑๑๖) การสรา๎ งลกั ษณะความเป็นผูน๎ า ให๎กับตนเองเป็นพืน้ ฐานเป็นสิง่ สาคัญ โดยเฉพาะ อยํางยิ่งการวางตน ใหเ๎ หมาะสม เอาชนะอกศุ ลในใจตนได๎ มธี รรมประจาตนก็สามารถยึดเหน่ียว น้าใจของผ๎ูใต๎ปกครองได๎ จึงเป็น

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผู๎บรหิ ารสถานศึกษา ๓๗ มรรควิธีนาไปสเํู ปาู หมายการปกครองคาสอนที่กลําวเกี่ยวกบั ลักษณะของผน๎ู าในพระพทุ ธศาสนาประกอบด๎วย ลักษณะ ดังนี้คือ ๑. จักขุมา มีปัญญามองการณ์ไกล เป็นผู๎มีวิสัยทัศน์กว๎างไกล มองสภาพเหตุการณ์ ออกวางแผน เตรยี มรับ หรอื รุกได๎ ๒. วธิ โู ร จัดการธรุ ะไดด๎ ี เปน็ ผูช๎ านาญในงาน ร๎ูจักวธิ ีการไมํบกพรํองในหนา๎ ทที่ ีต่ นได๎รับผดิ ชอบ ๓. นิสสยสัมปันโน พ่ึงพาอาศัยคนอื่นได๎เพราะเป็นผู๎ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี และได๎รับความเชื่อถือจาก ผอู๎ นื่ จะเหน็ ไดว๎ าํ การเปน็ ผูน๎ านั้น ตอ๎ งเป็นผู๎มีปัญญา มีประสบการณ์ เขา๎ ใจบคุ คลหรือผ๎ูใต๎บังคับบัญชาได๎เป็น อยํางด(ี ดูรายละเอยี ดใน อง.ฺ ติก. (ไทย) ๒๐/๒๐/๑๖๓) การที่ผบู๎ ริหารนาหลักพุทธธรรมมาใชใ๎ นการบริหารการศกึ ษาเป็นการสร๎างความเช่ือถือให๎การยอมรับ จากสงั คม สร๎างความพึงพอใจให๎แกํผู๎ใต๎บังคับบัญชาภายในสถานศึกษา ในการท่ีจะสร๎างศรัทธาทาให๎องค์กร ตาํ งๆ ใน สถานศึกษาขบั เคลื่อนหรอื พฒั นาไปในทิศทางท่ีต๎องการได๎ หลักพุทธธรรมท่ีผ๎ูบริหารเลือกสรร และ นามาประยุกต์ใช๎ในการบริหารสถานศึกษา ในการปฏิบัติตนท่ีสํงผลตํอสมรรถนะที่สาคัญ และจาเป็นของ ผู๎บริหารสถานศึกษา การปฏิบัติงานของครูและบุคลากรทางการศึกษาได๎อยํางมีประสิทธิภาพและเกิด ประสิทธิผลสูงสุด ทั้งน้ี คณุ ธรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีเป็นหลักในการปฏิบัติของผ๎ูบริหารโรงเรียน โดย แบํง คุณธรรมออกเป็น ๓ หมวดคือ คุณธรรมที่ใช๎ ในการครองตน ครองคนและครองงานของผ๎ูบริหารไว๎ (นิติรัฐ วรรณวิริยวตั ร, ๒๕๕๒) ไดแ๎ กํ ๑. คณุ ธรรมในการครองตน ได๎แกํ สัปปุริสธรรม ๗ ธรรมค๎มุ ครองโลก ธรรมมี อปุ การะมาก อริยสัจ ๔ ทิฏฐธมั มิกัตถประโยชน์ ความสขุ ของคฤหสั ถ์ ศลี ๕ โดยเฉพาะสปั ปุรสิ ธรรม ๗ เป็นธรรมท่คี รอบคลุมข๎อธรรม อน่ื ๆ ใน หมวดการครองตนไดเ๎ ปน็ อยํางดี ๒. คุณธรรมในการครองคน ได๎แกํ พรหมวิหาร ๔ สังคหวัตถุ ๔ ทศพิธราชธรรม ทิศ ๖หลักธรรมใน เรื่องการครองตนนั้น พรหมวิหาร ๔ เป็นธรรมที่ครอบคลุมหลักธรรมข๎ออื่นๆ ได๎ดี และถือวําพรหมวิหาร ๔ เป็นธรรมสาหรับนักปกครอง ๓. คุณธรรมในการครองงาน ได๎แกํ ฆราวาสธรรม และอิทธิบาท ๔ สาหรับอิทธิบาท ๔ เป็นคุณธรรม ในการครองงาน เป็นธรรมที่ สาคัญที่สุด เพราะหากมีคุณธรรมข๎อนี้แล๎วการ ดาเนินงานตํางๆ จะประสบ ความสาเรจ็ สามารถครองงานไว๎ได๎ ถอื ไดว๎ ําฆราวาสธรรมครอบคลุม คุณธรรมในการครองงานได๎ดีท่ีสุด ดังนั้น หลักพุทธธรรมทส่ี อดคล๎องกับ หลักการบริหารการศึกษาด๎านครองตน มีจานวน ๑๙ หลกั ธรรม หลกั พุทธธรรม ที่สอดคล๎องกับ หลักการบริหารการศึกษาด๎านครองคน มีจานวน ๑๕ หลักธรรม และหลักพุทธธรรมที่ สอดคล๎อง กบั หลกั การบริหารการศึกษาดา๎ นครองงาน มี จานวน ๑๙ หลกั ธรรม ดังนี้ ๑ . กัลยาณมติ ร คือ มีผแ๎ู นะนาสงั่ สอน ท่ปี รกึ ษา เพอื่ นทีค่ บหาและบคุ คลผ๎ูแวดล๎อมที่ดี ๒. โยนิโสมนสกิ าร เปน็ การใช๎ความคิดถูกวธิ ีคือ การทาในใจโดยแยบคาย ๓. ธรรมคุ๎มครองโลก ๒ ธรรมที่ชํวย ให๎โลกมีความเป็นระเบียบเรียบร๎อย ไมํเดือดร๎อน และสับสน วุํนวาย มีข๎อธรรม ๒ ข๎อคือ หิริ คือ ความละอายตํอบาป ละอายใจตํอการทาความช่ัว โอตตัปปะ คือ ความ เกรงกลัวตอํ บาป เกรงกลวั ตอํ ความช่วั ๔. ธรรมทาใหง๎ าม ๒ มขี อ๎ ธรรม ๒ ขอ๎ คอื ขนั ติคอื ความอดทน และโสรัจจะคือ ความเสงี่ยม ๕. ธรรมมอี ุปการะมาก ๒ ธรรมที่ เกื้อกูลในกจิ หรอื ในการทาความดีทุกอยําง มีข๎อธรรม ๒ ข๎อคือ สติ คอื ความระลึกได๎ นึกได๎สานกึ อยูํไมํเผลอ และสมั ปชญั ญะคือ ความรู๎ชดั ร๎ชู ัดสิง่ ท่นี กึ ได๎ ตระหนักเข๎าใจชัดตาม ความเป็นจรงิ

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผบ๎ู รหิ ารสถานศกึ ษา ๓๘ ๖. กศุ ลมูล ๓ รากเหงา๎ ของกุศล ตน๎ ตอของความดี มขี ๎อธรรม ๓ ข๎อคือ อโลภะคอื ความไมโํ ลภ อโทสะ คอื ความไมคํ ิดประทุษรา๎ ย อโมหะคอื ความไมํหลง ๗ . สจุ รติ ๓ ความประพฤติดีประพฤติชอบมีข๎อธรรม ๓ ข๎อ คือ กายสุจริต การประพฤติชอบด๎วยก ายวจีสจุ รติ การประพฤตชิ อบดว๎ ยวาจา และมโนสจุ รติ การประพฤตชิ อบดว๎ ยใจ ๘. สนั โดษ ๓ ความยินดี ความพอใจ ความรูจ๎ ักอ่ิมร๎จู ักพอ มีขอ๎ ธรรม ๓ ขอ๎ คือ ยถา ลาภสันโดษ ยินดี ตามท่ไี ด๎ ยนิ ดตี ามทพ่ี งึ ได๎ ยถาพลสนั โดษ ยนิ ดีตามกาลงั ยถาสารุปปสนั โดษ ยนิ ดีตามสมควร ๙. อธิปไตย ๓ ความเป็นใหญํ มีข๎อธรรม ๓ ข๎อคือ อัตตาธิปไตย ความมีตนเป็นใหญํ โลกาธิปไตย ความมโี ลกเปน็ ใหญํถอื โลกเป็นใหญํ ธัมมาธิปไตย ความมีธรรมเปน็ ใหญํ ๑๐. ฆราวาสธรรม ๔ ธรรมสาหรับฆราวาส ธรรมสาหรับการครองเรือน หลักการครองชีวิตของ คฤหัสถ์ มีข๎อธรรม ๔ ข๎อคือ สัจจะ คือ ความจริง ซื่อตรง ซ่ือสัตย์ จริงใจ พูดจริง ทาจริง ทมะคือ การฝึกฝน การขํมใจ ฝกึ นิสัย ปรบั ตัว ขันตคิ ือ ความอดทน จาคะคือ ความเสยี สละ ๑๑. พรหมวหิ าร ๔ ธรรมประจาใจอันประเสริฐ หลักความประพฤติท่ีประเสริฐ บริสุทธ์ิมีข๎อธรรม ๔ ข๎อคือ เมตตาคือ ความรกั ปรารถนาดอี ยากให๎เขามคี วามสุข กรุณาคือ ความสงสาร คือชํวยให๎พ๎นทุกข์ มุฑิตา คือ ความ ยนิ ดเี มอ่ื ผูอ๎ ืน่ ได๎ดี อุเบกขาคอื การวางเฉย มใี จ เปน็ กลาง ๑๒. สงั คหวัตถุ ๔ ธรรมยึดเหนี่ยวใจ บคุ คลและประสานหมูํชนไว๎ในสามัคคี หลักการสงเคราะห์ มีข๎อ ธรรม ๔ ข๎อคือ ทานคือ การให๎ ปิยวาจาคือ การใช๎วาจาเป็นที่รัก อัตถจริยาคือ การประพฤติประโยชน์ และ สมานตั ตตาคอื ความเสมอต๎นเสมอปลาย ๑๓. อธษิ ฐานธรรม ๔ ธรรมเป็นท่ีม่ันธรรมอันเป็นฐานท่ีมั่นคงของบุคคลมีข๎อธรรม ๔ ข๎อคือ ปัญญา คอื ความร๎ชู ดั หย่งั รูใ๎ นเหตผุ ล สจั จะคือ ความจริง จาคะคือ ความ เสียสละ และอุปสมะคือ ความสงบ ๑๔. อิทธิบาท ๔ คุณธรรมท่ีนาไปสูํความสาเร็จแหํงผลท่ีมุํงหมาย มีข๎อธรรม ๔ ข๎อ คือฉันทะคือ ความพอใจ วิริยะคือ ความเพียร จิตตะคือ ความคิดมํุงไป อุทิศตัวอุทิศใจให๎แกํสิ่ง ท่ีทาและวิมังสาคือ ความ ไตรํตรอง ๑๕. เบญจธรรม คํูกับเบญจศีล มีข๎อธรรม ๕ ข๎อคือ เมตตาและกรุณา ความรักใครํ ปรารถนาให๎มี ความสขุ ความเจริญ และความสงสารคิดชํวยให๎พน๎ ทุกขค์ ํกู บั ศลี ข๎อ๑ สัมมาอาชีวะการหาเล้ียงชีพในทางสุจริต คกํู ับศีล ข๎อ ๒ กามสังวร ความสังวรในกาม ความสารวม ระวังร๎จู ักยบั ยัง้ ควบคุมตนในทางกามารมณ์ คูํกับ ศีล ข๎อ ๓ สัจจะ ความสัตย์ ความซือ่ ตรง คํูกบั ศีล ข๎อ ๔ สตสิ มั ปชญั ญะ ระลกึ ไดแ๎ ละรู๎ตัวอยูํเสมอ คือฝึกตนให๎เป็น คนรจ๎ู ักย้ังคดิ รูส๎ ึกตวั อยํูเสมอวํา สิ่งใดควรทาส่งิ ใดไมคํ วรทา ไมมํ ัวเมาประมาท คูํ กบั ศีลข๎อ ๕ ๑๖. พละ ๕ ธรรมอันเปน็ กาลงั มีขอ๎ ธรรม ๕ ขอ๎ คือ สัทธาคือ ความเช่ือ วิริยะคือ ความเพียร สติคือ ความระลกึ ได๎ สมาธิคือ ความตงั้ จติ ม่นั ปญั ญาคอื ความร๎ทู ัว่ ชัด ๑๗. กัลยาณมิตรธรรม ๗ คุณสมบัติ ของมิตรดีและมิตรแท๎ มีข๎อธรรม ๗ ข๎อ ได๎แกํ ปิโย คือ นํารัก ภาวนีโย คอื นําเจรญิ ใจหรอื นาํ ยกยอํ ง วตตฺ า จ คอื รู๎จกั พูดให๎ได๎ผล ร๎ูจักช้ีแจงให๎ เข๎าใจ วจนกฺขโม คือ อดทน ตอํ ถ๎อยคาคอื พรอ๎ มทจี่ ะรบั ฟงั คาปรกึ ษา ซกั ถามคาเสนอและ คมฺ ภีรญจ กถ กตตฺ า คือ แถลงเร่อื งล๎าลกึ ได๎ โน จฏฐาเน นิโยชเย คอื ไมํแนะนาในเร่ืองเหลวไหล หรอื ชกั จูงไปในทางเสือ่ มเสยี ๑๘. สัปปุริสธรรม ๗ ธรรมของ สัตบุรุษ คุณสมบัติของคนดี ธรรมของผ๎ูดี มีข๎อ ธรรม ๗ ข๎อคือ ธมั มัญญตุ า คือ ความรจ๎ู กั ธรรม ร๎หู ลกั อตั ถัญญุตา คอื ความรจ๎ู ักอรรถ รค๎ู วามมุงํ หมายหรือรู๎จักผล กาลัญญุตา คือ ร๎ูจกั กาลเวลา อันเหมาะสม ปรสิ ัญญตุ า คอื ร๎ูจกั ชุมชนและร๎ูจักทปี่ ระชุม ร๎ูกิริยาท่ีจะประพฤติตํอชุมชนนั้น และ ปุคคลญั ญุตา คือ ความร๎จู กั บคุ คล

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผ๎บู รหิ ารสถานศกึ ษา ๓๙ ๑๙. ทศพิศราชธรรม เป็นธรรมของ พระราชา คุณธรรมของผู๎ปกครองบ๎านเมือง ธรรมของนัก ปกครองมีข๎อธรรม ๗ ขอ๎ คือ ทาน คือ การให๎ ศีลคือ ความประพฤติดีงาม ปริจจาคะคือ การบริจาค อาชชวะ คือ ความซือ่ ตรง มัททวะคอื ความอํอนโยน ตปะคือ ระงบั ยบั ยัง้ ขมํ ใจไดอ๎ ักโกธะคอื ความไมํโกรธ อวิหิงสาคือ ความไมเํ บียดเบยี น ขนั ติคอื ความอดทน อวิโรธนะคือ ความไมํคลาดธรรม (วรภาส ประสมสุข และนิพนธ์ กิ นาวงศ์, ๒๕๕๐). สรุปได๎วํา การที่ผ๎ูบริหารนาหลักพุทธธรรมมาใช๎ในการบริหารการศึกษา แบํงคุณธรรมออกเป็น ๓ หมวดคือ คุณธรรมที่ใช๎ ในการครองตน ครองคนและครองงานของผ๎ูบริหารไว๎ เป็นการสร๎างความเช่ือถือให๎ การยอมรบั จากสงั คม สรา๎ งความพึงพอใจให๎แกผํ ๎ใู ตบ๎ งั คับบญั ชาภายในสถานศึกษา ในการที่จะสร๎างศรัทธาทา ให๎องค์กรตํางๆ ใน สถานศึกษาขับเคลื่อนหรือพัฒนาไปในทิศทางที่ต๎องการได๎ หลักพุทธธรรมที่ผู๎บริหาร เลอื กสรร และนามาประยุกต์ใช๎ในการบริหารสถานศึกษา ในการปฏิบัติตนที่สํงผลตํอสมรรถนะที่สาคัญ และ จาเป็นของผู๎บริหารสถานศกึ ษา การปฏิบัติงานของครูและบุคลากรทางการศึกษาได๎อยํางมีประสิทธิภาพและ เกิดประสทิ ธิผลสูงสุด ทั้งน้ี คุณธรรมทางพระพุทธศาสนาท่เี ป็นหลักในการปฏิบตั ขิ องผบู๎ รหิ ารโรงเรยี น หลกั การบรหิ ารเชงิ พุทธศาสตร์ เกี่ยวข๎องกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาทมี่ คี ณุ คํา มากกวําสองพันห๎าร๎อยกวําปี ในยุคโลกาภิวัตน์ หรือยคุ ทนุ นิยมในปจั จุบนั การบริหารจดั การสมัยใหมํ ตํางกก็ ลับมาทบทวนบทบาททางวิชาการในการบริหาร จดั การสมัยใหมํวาํ ยังคงเป็นแนวทางเดียวหรือไมํ ที่การบริหารจัดการท่ีมีประสิทธิภาพ จะต๎องสนองตอบตํอ ระบบทนุ นยิ มที่เนน๎ การแขํงขนั และสรา๎ งผลกาไร หรือการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรเพียงอยํางเดียว การ บรหิ ารจดั การสมยั ใหมํ ยงั ขาดอะไรบ๎างทีเ่ ปน็ นามธรรมที่เก่ยี วกบั มนษุ ยท์ จ่ี ะตอ๎ งอยรํู ํวมกัน รวมท้ังสิ่งแวดล๎อม ในโลกทก่ี าลงั เปล่ียนแปลงและ มผี ลกระทบตอํ สงั คมและองค์กร หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีกลําวถึงการ บรหิ ารจดั การมอี ยํมู ากมาย เปน็ คาสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจ๎าท่ียังทันสมัยอยูํจนถึงปัจจุบันและ ในอนาคต แตํในที่น้ี จะได๎นาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาบางประการ ได๎แกํ หลักสัปปุริสธรรมท่ี พระพุทธเจ๎าทรงแสดง ไว๎ในสัปปุริสสูตร ( พระไตรปิฎกเลํมท่ี ๒๓) อันเป็นแนวทางในการบริหารจัดการเชิง พุทธศาสตร์เพียง หลกั ธรรมหนึ่ง เพือ่ ประกอบการพจิ ารณาวาํ หลักการบรหิ ารเชงิ พุทธศาสตร์มิได๎มํุงหวังกาไร หรือการแขงํ ขัน เพียงอยํางเดยี ว แตไํ ด๎บรรจหุ ลักการท่สี รา๎ งความย่งั ยืน การไมํเบียดเบยี น การอยูํรํวมกันอยําง สงบสันติ มีความเมตตาตํอกัน และรู๎เทําทันโลก โดยมิได๎ปฎิเสธกระแสโลกาภิวัตน์ หรือระบบทุนนิยมใน ปัจจบุ นั แตํใหย๎ ึดหลกั การอยรํู ํวมกันและรเ๎ู ทาํ ทันโลก หลักสัปปุรสิ ธรรม ท่เี กย่ี วข๎องกับ การบริหารจัดการ มี ๗ ประการ คือ ภาพ สปั ปุริสธรรม ๗

จรรยาบรรณและความสาคญั ตํอผู๎บรหิ ารสถานศึกษา ๔๐ ๑. ธัมมัญญุตา (Knowing the Law, Knowing the Cause) ความเป็นผ๎ูร๎ูจักเหตุ คือร๎ูความจริง รู๎ หลักการ ร๎ูกฎเกณฑ์ ร๎ูกฎแหงํ ธรรมได๎ ร๎ูกฎเกณฑ์แหํงเหตุผล และรูจ๎ กั หลกั การที่จะทา ให๎เกิดผล รวมความวํา การบริหารจัดการในองค์กร ผู๎บริหารจาเป็นต๎องพิจารณาข๎อเท็จจริงอยํางถูกต๎อง เพื่อบรรลุเปูาหมายของ องค์กรใหม๎ ปี ระสิทธภิ าพ ประสทิ ธผิ ล รู๎จักการวเิ คราะห์ความจริงทเี่ กดิ ขนึ้ ตามธรรมชาติ อันวํา “ ส่ิงทั้งหลาย เกดิ ขึ้น ต้งั อยํดู บั ไป เป็นธรรมดา” โดยพิจารณาหลักการและเกณฑ์แหํงเหตผุ ลมาบริหารจัดการองคก์ ร ๒. อตั ถญั ญุตา (Knowing the Meaning, Knowing the Purpose) ความเปน็ ผู๎ร๎จู ักผล หรอื ความมํุง หมาย คือร๎ูความหมาย ร๎ูความมุํงหมาย ร๎ูประโยชน์ท่ีประสงค์ ร๎ูจักผลที่เกิดขึ้น สืบเน่ืองจากการกระทาตาม หลัก หมายถึง การบริหารงานองค์กรให๎บรรลุถึงวัตถุประสงค์ และร๎ูถึงประโยชน์ของ องค์กรท่ีนาไปสํูความ ม่นั คง และไมํมีผลกระทบใดๆ ตอํ องคก์ ร ในทน่ี ก้ี ็หมายถึงการมีแผนงานทดี่ ี การวางแผนท่ีวิเคราะห์ผลกระทบ ด๎านตําง ๆ ๓. อัตตัญญุตา (Knowing Oneself) ความเป็นผู๎ร๎ูจักตน คือ ร๎ูจักเราวําเรานั้นโดยฐานะภาวะเพศ ความรค๎ู วามสามารถ และคุณธรรมเป็นอยํางไร และเทําใด แล๎วประพฤติให๎เหมาะสม และรู๎จักท่ีจะปรับปรุง ตํอไป ในท่ีนหี้ มายถึง ร๎จู ักองคก์ รทเี่ ราบรหิ ารเปน็ อยํางดวี ํามจี ุดด๎อย จุดแขง็ อยํางไร มขี ีดความสามารถอยํางไร และร๎ูจักการปรับปรุงองค์กรให๎ทันตํอเหตุการณ์ที่มีผลกระทบ รวมท้ังการบริหาร ความแตกตํางที่จะทาให๎ องคก์ รเป็นเลิศมปี ระสิทธิภาพ และม่นั คงถาวร ๔. มัตตัญญุตา (Moderation, Knowing how to be temperate) ความผ๎ูร๎ูจักประมาณ คือ ความ พอดีในการจํายโภคทรัพย์ ในที่น้ีหมายถึงการบริหารการเงิน หรือการขยายกิจการต๎องพิจารณา ให๎ร๎ูจัก ประมาณในความเพียงพอขององค์กรขีดความสามารถขององค์กร ขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ใน องค์กร รวมท้งั การ แขงํ ขนั ท่รี อบคอบและรูจ๎ ักประมาณขีดความสามารถขององค์กร ๕. กาลัญญุตา (Knowing the Propertime) ความเป็นผู๎รู๎จักกาล คือ รู๎กาลเวลา อันเหมาะสม และ ระยะเวลาในการประกอบกิจ ในท่ีน้ีหมายถงึ การบริหารจัดการ จะต๎องมีความเข๎าใจถึงระยะเวลาท่ีเหมาะสม การสร๎างโอกาสขององค์กรจะต๎องพิจารณาถึงสถานการณ์ในเวลานั้น ๆ วํา ควรจะดาเนินการอยํางไร อะไร ควรงด อะไรควรกระทา เวลาใดควรขยายกิจการ หรือชํวงเวลาใดท่ีจะบริหารองค์กรให๎ประสบผลสาเร็จตํอ องค์กรมากที่สุด ๖. ปริสัญญุตา (Knowing the Assembly, Knowing the Society) ความเป็นผู๎รู๎จัก ชุมชน คือ รู๎ กริยาที่จะประพฤติตํอชุมชนน้ัน วําควรจะดาเนินการอยํางไร การบริหารจัดการ จาเป็นต๎อง ปฏิสัมพันธ์กับ องคก์ รตําง ๆ ท้ังที่เป็นพนั ธมติ ร และคูํแขงํ การสร๎างสรร หรือ การประสานงานกับชุมชน หรือกลุํมบุคคลที่มี ผลตํอองค์กร ก็คือเข๎าถึง เข๎าใจ และพัฒนา เป็นการบริหารจัดการท่ีสร๎างความสัมพันธ์ด๎วยเมตตา ความ เออื้ เฟอ้ื เผอ่ื แผํตํอชมุ ชนหรอื สาธารณะชน จะเป็นภาพลักษณท์ ด่ี ีขององคก์ ร ๗. ปุคคลัญญุตา (Knowing the individual, Knowing the different individuals) ความเป็นผ๎ูร๎ู จักบุคคล คือ ร๎ูจักความแตกตํางของบุคคลวําโดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม ตลอดถึงร๎ูใน ความสามารถของบุคคล และใช๎มอบงานท่ีเหมาะสมให๎การบริหารจัดการในการรู๎บุคคล เปรียบเสมือนการ พัฒนาและบรหิ ารทรพั ยากรมนุษย์ท่จี ะต๎องมีการพัฒนา และบริหารบุคคลในองค์กรให๎มีความรู๎ความสามารถ และภักดีตํอองค์กร มีความสามัคคี สร๎างความเป็นธรรม และเสมอภาคให๎แกํ บุคลากรในองค์กร รวมถึงการ ทางานเป็นหมูํคณะการตดิ ตอํ สื่อสารกบั บุคคลตาํ ง ๆ ด๎วยความเปน็ มติ รไมตรี รวมทัง้ มีความจรงิ ใจตํอกัน

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผ๎บู รหิ ารสถานศึกษา ๔๑ สรปุ ได๎วาํ หากผ๎ูบรหิ ารยึดธรรมการบริหารที่กลาํ วมาแล๎วข๎างต๎นในการทางานบริหาร ก็จะไปสํูการมี คณุ ลักษณะของนกั บริการตามหลักการบริหารเชงิ พุทธ ๓ ประการ ภาวะผู้นาเชงิ พทุ ธของผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษากับคณุ ลักษณะของนกั บรหิ าร ในทัศนะของพระพุทธศาสนา ผ๎ูจะทาหน๎าที่ผ๎ูนาต๎องได๎รับการพัฒนาทั้งกาย วาจา และใจ จนมี ความสามารถยอมรับหลักการและปฏิบัติตามคุณธรรมของผ๎ูนาได๎ด๎วยตนเองกํอน ดังพุทธพจน์วํา เม่ือฝูงโค วํายข๎ามน้าไป ถ๎าโคจําฝูงไปคดเค้ียว โคท้ังฝูงก็ไปคดเค้ียวตามกัน ในเม่ือโคจําฝูงไปคดเค้ียว ในหมํูมนุษย์ก็ เหมือนกัน ผู๎ใดได๎รับแตํงต้ังให๎เป็นใหญํ ถ๎าผู๎นั้นประพฤติไมํเป็นธรรมประชาชนชาวเมืองนั้นก็จะประพฤติไมํ เป็นธรรมตามไปดว๎ ย หากพระราชาไมํตง้ั อยูํในธรรมเมอื่ ฝงู โคขา๎ มน้าไป ถ๎าโคจําฝูงไปตรงโคทั้งฝูงก็ไปตรงตาม กันในเม่ือโคจําฝูงไปตรง ในหมูํมนุษย์ก็เหมือนกัน ผู๎ใดได๎รับแตํงตั้งให๎เป็นใหญํ ถ๎าผ๎ูนั้นประพฤติชอบธรรม ประชาชนชาวเมือง นั้นกจ็ ะประพฤติชอบธรรมตามไปด๎วยหาก พระราชาตั้งอยํูในธรรมชาวเมืองนั้นก็เป็นสุข (ดู รายละเอียดใน อง.ฺ จตกุ กฺ . (ไทย) ๒๑/๗๐/๑๑๕- ๑๑๖) แนวคดิ การบริหารจดั การองคก์ รของผนู้ าเชิงพุทธ การบริหารจดั การองค์กรตําง ๆ ในปัจจุบันมีความจาเป็นที่ต๎องอาศัยวิทยาการบริหารจัดการ เข๎ามา ใช๎เพื่อให๎เกิดประโยชน์สูงสุดแกํองค์กร และส่ิงที่สาคัญมากคือผ๎ูบริหารต๎องมีวิสัยทัศน์ พระพุทธเจ๎าตรัสวํา “ผบู๎ ริหารต๎องมีจักขุมา แปลวํา มีสายตาท่ียาวไกล คือมองการณ์ไกล” วิสัยทัศน์ชํวยให๎ผู๎บริหารสามารถ วาดภาพจุดหมายปลายทางได๎ชัดเจนและใช๎สื่อสารให๎สมาชิกในองค์กรยอมรับ และดาเนินไปสูํจุดหมาย ปลายทางนั้นองค์กรทง้ั หมดก็จะถูกขับเคลอื่ นไปด๎วยวิสัยทัศน์นี้ พระพุทธเจ๎าทรงกาหนดจุดหมายปลายทาง ในพระพทุ ธศาสนาไว๎วํา การประพฤติปฏบิ ัตธิ รรมทกุ อยํางมีเปูาหมายสูงสดุ อยทํู จ่ี ุดเดียวคือ วมิ ตุ ติ (ความหลุด พน๎ ทกุ ข)์ ดังพทุ ธพจน์ทีว่ าํ “เปรยี บเหมือนมหาสมุทรมีรสเดียวคือรสเค็ม ฉันใด ธรรมวินัยน้ีก็มีรสเดียวคือ วิมุตตริ ส ฉนั น้นั ” ซ่งึ สอดคลอ๎ งคุณลกั ษณะ ๓ ประการ ดังทพี่ ระพทุ ธเจ๎าตรสั ไวใ๎ นทุตยิ ปาปณกิ สตู ร การสร๎างลักษณะความเป็นผ๎นู า ให๎กับตนเองเปน็ พ้นื ฐานเปน็ สง่ิ สาคัญ โดยเฉพาะ อยํางย่ิงการวางตน ใหเ๎ หมาะสม เอาชนะอกุศลในใจตนได๎ มีธรรมประจาตนก็สามารถยึดเหนี่ยว น้าใจของผ๎ูใต๎ปกครองได๎ จึงเป็น มรรควธิ ีนาไปสํเู ปาู หมายการปกครองคาสอนทก่ี ลําวเกีย่ วกบั ลักษณะของผูน๎ าในพระพทุ ธศาสนาประกอบด๎วย ถ๎ามีคณุ ลักษณะ ๓ ประการหรอื ท่เี รียกวํา หลักการบริหารเชงิ พุทธ ๓ ข๎อ การบริหารงานในพระพุทธศาสนามีหลักธรรมที่ใช๎ในการบริหารเพื่อให๎เกิดประโยชน์สูงสุดและ บรรลุเปูาหมายท่ีตัง้ ไว๎ใน ทุตยิ ปาปณิกสูตร อังคุตตรนิกาย ปญจกนิบาต พระพุทธองค์ได๎ตรัสถึงลักษณะของ นักบริหารไว๎ดงั นี้ - จักขุมา - วิธูโร - นิสสยสมั ปันโน หมายถงึ มีปัญญามองการณ์ไกล เชํน ถ๎าเป็นพํอค๎าหรือนักบริหารธุรกิจ ต๎องร๎ูวําสินค๎าที่ไหนได๎ราคา ถูก แล๎วนาไปขายท่ีไหนจึงได๎ราคาแพง ในสมัยนี้ต๎องร๎ูวําห๎ุนจะข้ึนหรือจะตก ถ๎าเป็นนักบริหารท่ัวไปต๎อง สามารถวางแผนและฉลาดในการใช๎คนคุณลักษณะข๎อแรกน้ีตรงกับภาษาอังกฤษวํา conceptual skill คือ ความชานาญในการใช๎ความคดิ หมายถงึ จดั การธรุ ะได๎ดี มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด๎าน เชํน พํอค๎าเพชร ต๎องดู ออกวําเป็นเพชรแท๎หรือเพชรเทยี ม แพทย์หัวหน๎าคณะผําตัดต๎องเช่ียวชาญการผําตัด คุณลักษณะท่ีสองนี้ตรง กับภาษาองั กฤษวํา technical skill คอื ความชานาญดา๎ นเทคนิค หมายถึง พ่ึงพาอาศัยคนได๎ เพราะเป็นคนมี

จรรยาบรรณและความสาคญั ตํอผูบ๎ รหิ ารสถานศึกษา ๔๒ มนษุ ยสมั พันธด์ ี เชนํ พํอคา๎ เดินทางไปคา๎ ขายตาํ งเมอื งก็มีเพ่ือนพํอค๎าในเมืองนั้น ๆ ให๎ท่ีพักอาศัยหรือให๎ก๎ูยืม เงนิ มีเครดิตดี นักบริหารที่ดีต๎องผูกใจคนไว๎ได๎ คณุ ลกั ษณะที่สามน้ีสาคัญมาก “นกไมํมีขน คนไมํมีเพ่ือน ข้ึนสํู ที่สงู ไมไํ ด๎” ขอ๎ น้ตี รงกบั คาวาํ human relation skill คอื ความชานาญด๎านมนษุ ยสัมพนั ธ์ คุณลักษณะทงั้ สามประการมคี วามสาคญั มากนอ๎ ยตํางกันน่ันขึ้นอยํกู ับระดบั ของนักบรหิ าร นักบริหารระดับสูง ต๎องรับผิดชอบในการวางแผนและควบคุมคนจานวนมาก คุณลักษณะ ข๎อท่ี ๑ และข๎อท่ี ๓ สาคญั มาก สํวนข๎อที่ ๒ มีความสาคัญน๎อยเพราะเขาสามารถใช๎ผ๎ูใต๎บังคับบัญชาท่ีมีความชานาญ เฉพาะดา๎ นได๎ นักบริหารระดับกลาง คุณลักษณะท้ังสามข๎อมีความสาคัญพอ ๆ กัน น่ันคือ เขาต๎องมีความชานาญ เฉพาะดา๎ นและมนุษยสมั พนั ธท์ ดี่ ตี ํอเพ่อื นรวํ มงานและผู๎ใต๎บังคบั บัญชา ในขณะเดียวกันเขาต๎องมีปัญญาที่มอง ภาพกวา๎ งและไกล เพ่อื เตรียมตวั สาหรับข้ึนเป็นนักบริหารระดับสูง นักบริหารระดับกลางบางคนไมํได๎เตรียม ตัวให๎พร๎อมในด๎านสติปัญญา เม่ือข้ึนสูงก็ถูกผู๎ใต๎บังคับบัญชานินทาวํา “โงํแล๎วยังขยัน” เหมือนกับภาษิต องั กฤษที่วํา “สัญชาตลิ งิ ย่ิงปนื สูงข้นึ ไปเทําไร คนกร็ ู๎วาํ เป็นลงิ มากขนึ้ เทํานั้น” นักบริหารระดับต๎นท่ีต๎องลงมือปฏิบัติงานที่รํวมกับพนักงานหรือผ๎ูใต๎บังคับบัญชาอยํางใกล๎ชิดนั้น คุณลักษณะข๎อท่ี ๒ และข๎อที่ ๓ คือ ความชานาญเฉพาะด๎าน และมนุษยสัมพันธ์สาคัญมากแตํกระนั้นเขาก็ ตอ๎ งพฒั นาคณุ ลักษณะขอ๎ ท่ี ๑ คอื ปญั ญาเอาไว๎เพ่อื เตรยี มเลือ่ นสํูระดับกลางตํอไป ขงจ้ือเตือนวาํ “อยาํ หํวงวาํ ใครไมํรูว๎ าํ ทํานเกงํ หรือมีความสามารถ จงหํวงแตํวํา สักวันหนึ่งเม่ือคนเขา ยกยํองหรือเล่ือนตาแหนํงทําน ทํานมีความเกํง และความสามารถสมกับท่ีเขายกยํองหรือเล่ือนตาแหนํงหรือ เปลาํ ” การบริหารรจู้ กั ใช้เครอื่ งมือแหง่ ความสาเรจ็ ๔ ขอ้ (ปสิทธธิ ัมมูปกรณกถา) ในทางพระพทุ ธศาสนาน้นั เม่ือเราพิจารณาถึงองค์ความรก๎ู ารบริหารเชิงพุทธแล๎วสามารถนาหลักการ มาประยุกต์ใช๎ เพ่ือบริหารจัดการองค์กร ให๎บรรลุเปูาหมายโดยเฉพาะอยํางยิ่ง การนาหลักธรรมมาใช๎นั้นมี หลกั ตาํ ง ๆ ดังน้ี หลักธรรมทใ่ี ช๎ประกอบกับการดาเนินงานให๎เกิดความสาเรจ็ มี ๔ ประการ คือ ๑. ศรัทธา ทาให๎ขา๎ มโอฆะได๎ ๒. ความไมปํ ระมาท ทาใหข๎ ๎ามอรรณพได๎ ๓. ความเพียร ทาให๎ลวํ งทุกข์ได๎ ๔. ปญั ญา ทาใหบ๎ ริสทุ ธไิ์ ด๎ ในพระสตุ ตันตปฎิ ก สงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค อาฬาวกสูตร ยักขสังยุต ได๎แสดงเกี่ยวกับเร่ืองวําด๎วย เคร่อื งมือแหํงความสาเรจ็ ๔ ดังนี้ “ความวาํ คนจะขา๎ มโอฆะไดด๎ ๎วยศรัทธา ๑ จะขา๎ มอรรณพไดด๎ ว๎ ยความไมปํ ระมาท ๑ จะลวํ งทุกข์ได๎ ด๎วยความเพียร ๑ จะบรสิ ุทธ์ิไดด๎ ๎วยปญั ญา” ขอ๎ ๑ ศรทั ธาที่อธบิ ายความวําคนจะขา๎ มโอฆะได๎ด๎วยศรัทธา หรือศรัทธาทาให๎ข๎ามโอฆะได๎น้ันในการ ทางานอะไรถา๎ คนเราหรือผท๎ู างานนั้นไมํมีความเชื่อมน่ั ในส่งิ ทต่ี นเองกระทาผลของงานก็จะไมํสาเร็จแตํเม่ือเรา ทาดว๎ ยความเช่ือมั่นวําการกระทาในสิ่งน้ัน ๆเมื่อสาเร็จแล๎วจะได๎ผลตามที่ตนคิดเหลําน้ีโดยไมํยํอท๎ออุปสรรค ความเชอ่ื เหลํานี้จะขา๎ มพ๎นอุปสรรคไปได๎ ข๎อ ๒ ความไมํประมาท ทาให๎ข๎ามอรรณพได๎ความหมายวํา การบริหารงานตําง ๆ ถ๎าเราทาด๎วย ความไมํประมาทพิจารณาถึงเหตุผลคอยระมัดระวังจะทาให๎งานเรียบร๎อย ความประมาททาให๎เกิดความ ผิดพลาดและมีปัญหาตามมาหลาย ๆ อยําง การจะก๎าวไปสํูความสาเร็จต๎องไมํมองข๎ามปัญหาเล็ก ๆ น๎อย ๆ

จรรยาบรรณและความสาคญั ตํอผู๎บรหิ ารสถานศึกษา ๔๓ เมื่อมีปัญหาแล๎วต๎องรีบแก๎ไขหาทางปูองกันไมํให๎เกิดปัญหา การมองปัญหาวําเป็นเรื่องเล็กน๎อยไมํรีบหา ทางแก๎ไขหรือปูองกันถือวํามีความประมาทความสาเร็จของงานจะไมํราบรื่นหรือไมํสาเร็จตามเปูาหมายได๎ ดังน้ันหลักความไมปํ ระมาทจึงเป็นหัวใจสาคัญของการบริหารจัดการที่ผ๎ูนาหรือผ๎ูบริหารต๎องมีความตระหนัก อยเํู สมอ ข๎อ ๓ ความเพียร ทาให๎ลวํ งทุกขไ์ ด๎หมายความวํา ความเพยี รคือหวั ใจสาคัญของการทางานผ๎ูนาหรือ ผ๎บู ริหารเม่อื เจอปัญหาแลว๎ ไมํอดทนไมํมคี วามเพียรพยายามทีจ่ ะแก๎ไขปรับปรุงให๎ดีข้ึนก็จะพบแตํความทุกข์ใจ ผู๎นาหรือผู๎บริหารท่ีเข๎าใจสภาพปัญหาแล๎วคํอยเพียรพยายามแก๎ไขด๎วยความมุํงม่ันที่จะให๎บรรลุเปูาหมายที่ ตัวเองตัง้ ไว๎ถงึ แมจ๎ ะพบอปุ สรรคปญั หากย็ ังไมํถอ๎ ถอยในที่สุดก็จะประสบความสาเร็จ ดงั นค้ี วามเพียรจึงไดช๎ ่ือวํา ทาให๎ลํวงทุกข์ได๎ ขอ๎ ๔ ปัญญา ทาให๎บริสุทธ์ิได๎ หมายความวํา การบรหิ ารงานตาํ ง ๆ ของผ๎ูนาต๎องใช๎ปัญญาพิจารณา ไตตํ รอง มองใหท๎ ะลใุ นปญั หาทุกด๎าน สรุปไดว๎ ํา หลกั ธรรมทใี่ ช๎ประกอบดาเนนิ งานให๎เกดิ ความสาเรจ็ หรอื ที่เรียกทว่ั ไปวํา ปสิทธิธัมมูปกรณกถาหรือธรรมเป็นเครื่องมือแหํงความสาเร็จมี ๔ ประการ คือ ศรัทธาทาให๎ข๎ามโอฆะ ได๎ ความไมปํ ระมาททาให๎ข๎ามอรรณพได๎ ความเพียร ทาให๎ลํวงทุกข์ได๎ และปัญญาทาให๎บริสุทธ์ิได๎ บุคคล ท้งั หลายควรมเี คร่ืองมือทัง้ ๔ ประการจะทาใหป๎ ระสบความสาเรจ็ ได๎ สรุปได๎วํา ผู๎บริหารที่ดีต๎องธรรมการบริหารจึงนาไปสูํผ๎ูมีคุณลักษณะเป็นผ๎ูบริหารที่ดีตมหลักการ บริหารเชงิ พุทธ ๓ ประการ และในการบริหารรจ๎ู ักใชเ๎ ครอื่ งมือแหงํ ความสาเรจ็ ๔ ข๎อ (ปสิทธิธมั มปู กรณกถา) บทสรุปสาหรบั นักบริหาร นักบรหิ ารคือ ผูท๎ างานให๎สาเร็จโดยอาศัยคนอื่นชวํ ยทา เขาบริหารดว๎ ย ธรรมาธิไตย โดยที่ถือหลักการและความสาเร็จของงานเป็นใหญํ จึงเป็นผ๎ูนาท่ีน่ังอยูํในหัวใจของคน รวํ มงาน ท้ังน้ีเพราะเขามธี รรมเป็นพลังในการบรหิ าร ๔ ประการคอื ๑) ปญ๎ ญาพละกาลังแหํงความรอบร๎เู รอื่ งตน เรอ่ื งคน และเร่อื งงาน ๒) วิริยะพละกาลงั แหงํ ความขยันท่ปี ลุกใจตนเองและคนอื่นตลอดเวลา ๓) อนวชั ชพละกาลงั แหํงความสุจรติ ท่ีปราศจากรูรัว่ แหงํ ชีวติ อนั เกดิ จากอบายมขุ ๔) สังคหพละกาลงั แหํงมนษุ ยสัมพนั ธท์ ีป่ ระสานใจคนรํวมงานเข๎าด๎วยความโอบอ๎อมอารี วจีไพเราะ สงเคราะห์ประชาชน และวางตนพอดี นักบริหารผ๎ูมีธรรมอยูํในหัวใจ ยํอมเป็นศูนย์รวมใจของคนรํวมงาน และสามารถจัดการให๎งานใน หนา๎ ทีล่ ุลํวงไปด๎วยดี ดังพุทธศาสนสภุ าษติ ที่วํา “เอโส หิ อตุ ฺตรติ โร ภาราวโห ธุรนธฺ โร โย ปเรสาธิปนนฺ าน สย สนธฺ าตุมรหติ” ผู้ใดเมื่อคนเหลา่ อืน่ ขัดแย้งกนั อยู่ ตนเองเปน็ ผูป้ ระสานให้พวกเขาดกี ัน ผนู้ ้นั เป็นคนรบั ภาระและจดั การธรุ ะท่ยี อดเย่ยี ม ภาวะผ๎ูนาเป็นส่ิงสาคัญย่ิงสาหรับผ๎ูบริหาร เพราะผู๎บริหารคือผ๎ูนา ผ๎ูนาในการที่จะบริหารองค์การ ตาํ งๆ ไมํวาํ จะเปน็ องคก์ ารในระดบั ใดกต็ าม เพราะผ๎ูนาต๎องอาศัยภาวะผ๎ูนาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนในการพัฒนา

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผ๎ูบรหิ ารสถานศึกษา ๔๔ องคก์ ารน้นั ๆ และในขณะเดียวกันผ๎ูนาควรเป็นผ๎ูที่มีหลักธรรมในการบริหารชุมชนหรือ องค์การให๎มีความสุข ไมใํ ห๎เกิดความขดั แยง๎ และเปน็ ผท๎ู ีส่ ามารถไกลเกลี่ยข๎อพิพาทท่ีเกิดขึ้นได๎ คุณลักษณะของบุคคลที่มีภาวะผู๎นา จะต๎องมีคือ คุณลกั ษณะภายนอก คณุ ลกั ษณะภายใน และมคี วามแตกตํางจากบุคคลอ่ืน มีความสามารถทาให๎ ผูอ๎ ่นื คล๎อยตาม เคารพเช่ือฟัง และพร๎อมที่จะใหค๎ วามรํวมมอื ในการปฏิบตั งิ านมีรูปแบบ โดยใช๎วิธีการบริหารที่ สอดคล๎องกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีถือวําหลักธรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ๎าทรงค๎นพบเป็น หลักปฏบิ ตั ทิ ส่ี ามารถนามาใช๎พฒั นาภาวะผนู๎ าไดเ๎ ปน็ อยาํ งดี ดงั นั้นผู๎นาเชิงพุทธศาสนาควรเป็นผ๎ูรู๎จัก และควร ประยกุ ต์ใชห๎ ลกั ธรรมตํางๆ ท่ีเก่ียวกับ ผู๎ปกครองหรือผ๎ูนาที่ปรากฏในพระไตรปิฎก รวมท้ังควรมีความอดทน อดกลน้ั มีจติ ใจหนกั แนนํ ม่นั คง เป็นผ๎นู าทเี่ น๎นคณุ ธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ความซ่ือสัตย์ มีความละอายแกํใจ ตนเอง โดยไมํทาความชั่วและเกรงกลัวผลของความช่ัว ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอ่ืน โดยมํุงให๎เกิด ประโยชนส์ ุขแกปํ วงชนหรือหมคูํ ณะ เปน็ ผ๎เู สียสละเพอ่ื ประโยชนส์ วํ นรวม สรุปได๎วํา คุณธรรม จริยธรรม คือหลักธรรมนาไปสํูจรรยาบรรณ ท่ีเป็นเครื่องควบคุมกระบวนการ หรือแนวทางทกี่ อํ ใหเ๎ กิดความเหมาะสมทางดา๎ นพฤติกรรม ของมนุษย์ทม่ี ุํงเน๎นการบริหารทางกายบริหาร และ บริหารใจ มีระเบียบการวินิจฉัยสั่งการหรือการแก๎ปัญหา ซ่ึงต๎องอาศัยข๎อเท็จจริงและหลักเหตุผล และ กฎเกณฑอ์ ยํางเหมาะสมซง่ึ ทาให๎การบริหารเกดิ คณุ คําตอํ องคก์ ร ซ่งึ พฤติกรรมเหลําน้ีเป็นการสร๎างจิตสานึกให๎ เกดิ กบั บุคลากรในหนํวยงานทั้ง ๓ ด๎าน คือ ครองตน ครองคน ครองงาน จนเกิดองค์ความรู๎และความเข๎าใจ โดยไมํมีอคตติ อํ ผู๎รํวมงาน ปฏบิ ัติหน๎าท่ีอยํางถูกต๎องและเป็นธรรม หลักการบริหารเชิงพุทธศาสตร์มิได๎มํุงหวัง กาไรหรอื การแขงํ ขนั เพยี งอยํางเดียว แตไํ ด๎บรรจหุ ลกั การท่สี รา๎ ง ความยงั่ ยนื การไมํเบียดเบียน การอยูํรํวมกัน อยํางสงบสันติ มคี วามเมตตาตํอกนั การพิจารณาดว๎ ยเหตดุ ว๎ ยผล ร๎ูจักโลก รู๎จักธรรมชาติ เพราะมนุษย์เทํานั้น ทจี่ ะเปน็ ผท๎ู ่ีบริหารจัดการองคก์ ารทด่ี ีได๎ ๗. แนวคดิ และทฤษฎที เี่ ก่ียวขอ๎ งกบั หลักธรรม ทฤษฎีทางจรยิ ธรรมมรี ากฐานมาจากองค์ความร๎ูด๎าน จรยิ ศาสตร์ (Ethics) หรอื ปรัชญาจริยะ (Moral philosophy) ซ่ึง จาเริญรตั น์ เจอื จนั ทร์ (2548) อธิบายวํา เป็นศาสตร์ที่พยายามจะทาการศึกษาเพ่ือให๎เกิด ความเข๎าใจระบบแนวคิดหรือสังกัปทางจริยธรรม รวมทั้งตัดสินหลักการและทฤษฎีทางจริยธรรมโดยการ วเิ คราะหแ์ นวความคดิ เชนํ วิเคราะห์ความถกู ตอ๎ ง ความผดิ ความพอเหมาะพอควร ความดี หรือความเลว กฎ และทฤษฎีทางจริยธรรมท่ีจะกลําวถึงในตอนการเรียนรู๎ท่ี 2 นี้ จะเป็นหลักท่ีนักบริหารสามารถนามา ประยุกต์ใช๎เพอื่ ประโยชนใ์ นดา๎ นการบรหิ ารงานได๎อยํางผ๎มู คี ุณธรรมและจริยธรรม 2.1 สมั พันธ์ระหวา่ งกฎกับทฤษฎี กฎ คือ ส่ิงท่ีเป็นสากลที่ทุกคนในสังคมยอมรับได๎ เป็นข๎อตกลงท่ียอมรับรํวมกันเป็นเหตุเป็นผลที่ พิสจู นไ์ ด๎วาํ เป็นความจริง กฎ อาจเกิดได๎ใน สองลักษณะด๎วยกัน คือ เกิดจากการอุปมานข๎อเท็จจริง โดยการ รวบรวมจากข๎อเท็จจริงทั้งหลาย ๆ ข๎อเท็จจริง หรือจากการอนุมานทฤษฎี โดยการดึงเอาสํวนยํอย ๆ ของ ทฤษฎีมาสงั เคราะห์เปน็ กฎ กฎทด่ี ีตอ๎ งเป็นหลักท่ีเน๎นความสาคัญระหวํางเหตุผลและกฎมีความเป็นจริงในตัว ของมันเอง มีความเป็นปรนัยและสามารถพิสูจน์ทดลองได๎ผลตรงกันทุกคร้ังและถ๎าหากมีผลการทดลองใดท่ี ขัดแย๎งกับกฎแล๎ว กฎน้ันต๎องยกเลิกไป แตํกฎไมํสามารถอธิบายให๎เข๎าใจได๎วํา ทาไมเหตุกับผลจึงมี ความสัมพันธ์กันเชํนน้ัน ส่ิงที่สามารถอธิบายได๎ระหวํางเหตุกับผลในตัวกฎ กฎและทฤษฎีจึงมีความสัมพันธ์ เกี่ยวโยงกัน เชํน กฎของพุทธจริยศาสตร์ คือ หลักของทฤษฎีพุทธศาสตร์ เพราะเกิดจากการอุปมาน

จรรยาบรรณและความสาคญั ตอํ ผ๎บู รหิ ารสถานศึกษา ๔๕ ข๎อเท็จจริง โดยการรวบรวมจากข๎อเท็จจริงท้ังหลาย ๆ ข๎อเท็จจริงของพุทธจริยศาสตร์มาสังเคราะห์ เป็น มโนคติแลว๎ เอามโนคตทิ ้ังหลายมาสังเคราะห์เป็นหลกั การ 2. 2 ทฤษฎที างจรยิ ธรรม ทฤษฎที างจริยธรรมมคี วามหลากหลายทัง้ จากมุมมองของนักปรชั ญา นกั จิตวทิ ยา และนกั จรยิ ศาตร์ เปน็ ตน๎ ซ่งึ เปน็ ประโยชน์ในการพจิ ารณาหลกั คณุ ธรรมและจรยิ ธรรม 2.2.1 ทฤษฎที างจริยธรรมเชิงจริยศาสตร์ ในแตํละทฤษฎจี ริยธรรมเชงิ จริยศาสตรม์ สี าระสาคัญ ซง่ึ จาเริญรัตน์ เจือจนั ทร์ (2548) ได๎นามาสรุปเปน็ แนวทางเพ่อื ประยกุ ต์ใช๎ ดงั น้ี 1) ทฤษฏีจริยศาสตร์ของ อริสโตเติล (Aristotle) อริสโตเติล มองวํา คุณธรรมจริยธรรมทาให๎ มนุษย์มองเห็นแตสํ ิง่ ที่มีคณุ คําเป็นลักษณะคุณธรรมเชิงพุทธิปัญญา ซ่งึ เกิดจากการเรยี นการสอน การไดร๎ ับการ ปลูกฝงั คุณธรรม จริยธรรม และคุณธรรมจริยธรรมท่เี กดิ จากพฤติกรรมที่อยํูในธรรมชาติของมนุษย์ ต๎องอาศัย การอยํูรํวมกัน ประพฤติปฏิบัติอยํางถูกต๎องรํวมกันคุณธรรมจริยธรรมจะต๎องมีลักษณะสภาวะความเป็น กลาง ความดีหรือลกั ษณะทางสายกลางเป็นส่ิงที่ทาได๎ยากเพราะต๎องสลัดสิ่งท่ีติดอยํูที่ปลายทั้งสองด๎านที่เป็น ค ว า ม เ ข๎ ม ข๎ น แ ล ะ ค ว า ม อํ อ น ด๎ อ ย อ อ ก เ สี ย กํ อ น ก า ร ท า ไ ด๎ ก็ จ ะ เ ข๎ า ถึ ง ค ว า ม ดี ค ว า ม ดี ท่ี อริสโตเติล กลาํ วถึง คือ การอยํดู ี ทาดแี ละชวี ิตประสบความสขุ โดยมงํุ หวังใหท๎ ุกอยาํ งเปน็ ไปตามสภาวการณ์ หรอื เป็นไปตามธรรมชาติอยํางแท๎จริง หลักทฤษฎีทางจริยธรรมของ อริสโตเติล สามารถนามาปรับใช๎กับการ บริหารการศึกษาได๎เป็นอยํางดี โดยเฉพาะหลักการวําด๎วยความดี ความสุขและทางสายกลาง เป็นต๎น การ นามาใชเ๎ พือ่ ปลูกฝงั ให๎ นกั เรยี น ครู อาจารย์ ผ๎ใู ต๎บงั คบั บัญชาให๎ฝักใฝใุ นความดกี จ็ ะทาให๎สงั คมมีความสงบสุข 2) ทฤษฎีสมั พทั ธนิยมทางจรยิ ธรรม ยึดถอื วาํ หลักการทางจริยธรรมทั้งหลายขึ้นอยํูกับการยึดถือของ สังคมท่ีบุคคลนั้นอาศัยอยํู กลุํมบุคคลในสังคมอื่นอาจจะไมํได๎มีสํวนเกี่ยวข๎องโดยตรง การยึดถือของคนใน สังคมมีพ้ืนฐานมาจากวัฒนธรรม ประเพณี วิถีประชา วิถีทางการชีวิต ซ่ึงยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมา ช๎านาน ดังน้ันจริยธรรมของสังคมนั้นจึงเป็นเรื่องปรากฏตํอสายตาของผ๎ูยึดถือซึ่งเป็นส่ิงท่ีในสังคมน้ันยึดถือ รํวมกัน ดังเชํน การที่ภรรยาหม๎ายต๎องกระโดดกองไฟตายตามสามี เป็นพฤติกรรมท่ีแสดงความรักและ ซอ่ื สัตยต์ ํอสามขี องคนในสงั คมหน่งึ ซึง่ สงั คมอ่ืน อาจมองวําเป็นความโหดร๎ายการยึดถือจริยธรรมแบบสัมพัทธ นิยมอาจจะมีลักษณะของการตัดสินใจด๎วยตนเองหรือให๎กลํุมคนในสังคมเป็นผู๎ตัดสินซึ่งถือวําเป็นข๎อยุติไมํ สามารถโต๎แย๎งได๎ ซ่ึงไมํอาจนาเอาแนวความคิดของสังคมอื่น ๆ มาเป็นข๎อโต๎แย๎งได๎ เพราะการตัดสินใจของ กลํมุ คนในสงั คมเปน็ ความตง้ั ใจ แมว๎ ําจะเกิดจากความไมํเข๎าใจหรือกอํ ใหเ๎ กิดอันตรายก็ตามก็ถือวําเป็นสิทธิอัน ชอบธรรมของสงั คมนน้ั ในเวลาน้ัน นักบริหารจึงต๎องมีความระมัดระวังท่ีจะต๎องมีจริยธรรมบนฐานความคิดที่ ถกู ตอ๎ ง 3) ทฤษฎีอัตนยิ ม เปน็ ทฤษฎที างจริยศาสตรท์ ่ีมีหลักการในการมุํงเนน๎ ตนเองเหน็ หลกั หรือยึดถือ ประโยชน์สํวนตัวเป็นประการสาคัญ และถือวําเป็นหลักการทีถ่ ูกต๎องตามหลกั จรยิ ธรรมแมจ๎ ะไมํเป็นท่ยี อมรับ เพราะถอื วําไมสํ มเหตสุ มผลของอกี ฝุายหนง่ึ แตํอยํางไรก็ตามแม๎วําทฤษฎีอตั นิยมจะสดึ ตนเองเปน็ สาคญั แตํกม็ ี ลกั ษณะของความสมเหตสุ มผลในเชิงความคิดด๎านจริยธรรมในมุมมองทีเ่ ป็นการสํงเสริมตนเองซึง่ มสี ํวนเกยี่ ว โยงกับการสงํ เสรมิ ความดีใหแ๎ กํคนสวํ นใหญดํ ๎วย อตั นยิ มมกี ารประเมนิ ทางเลอื กไวว๎ าํ จะยึดถือในส่งิ ทตี่ นเอง ชอบใจและทาในสิง่ ทต่ี นชอบถ๎าไมขํ ัดตํอหลกั ศีลธรรมจริยธรรมอันดี และเลอื กที่จะไมํทาในส่ิงทตี่ นไมํชอบ การ ได๎รบั ความสุขจากสง่ิ ทีต่ นทาและการชํวยเหลือผู๎อื่นเนื่องจากเกิดความตอ๎ งการทจี่ ะชํวยเหลอื ซง่ึ เปน็ แรงผลกั ดันใหท๎ าพฤตกิ รรมน้ันก็เป็นหลักการของอัตนิยมเชํนกัน ดงั น้ันอตั นิยมจึงมลี กั ษณะที่ยดึ ถือตนเองเป็น หลกั เพ่ือเลอื กแนวทางซึ่งแนวทางท่เี ลอื กกํอใหเ๎ กิดประโยชน์ตํอตนเองและในทางกลับกันตนเองไดร๎ บั ประโยชน์จากการให๎ประโยชน์แกสํ ังคมดว๎ ย

จรรยาบรรณและความสาคัญตอํ ผ๎บู รหิ ารสถานศึกษา ๔๖ นักบริหารที่ยึดอัตนยิ มจะมคี วามเชอ่ื วาํ ทุกคนมีความคิดเหน็ เปน็ ของตนเอง และยึดถอื ความคิดเห็น ของตนเองในการตดั สินปัญหาตําง ๆ โดยคดิ วาํ ตนเป็นทพ่ี ่งึ แหงํ ตน ซึง่ อาจจะทาใหข๎ าดความเคารพในความ คิดเห็นของผ๎รู ํวมงาน แตอํ ยํางไรก็ตามการบูรณาความคดิ ท่ีพ่ึงพาตนเองและการเปิดใจกว๎างยอมรบั ความ คดิ เหน็ ของผ๎อู น่ื เพ่อื เปน็ แนวทางในการตดั สินใจจึงเปน็ หวั ใจสาคัญของทฤษฎอี ัตนยิ ม 4) ทฤษฎอี รรถประโยชน์เชิงการกระทาและเชิงระเบยี บ อรรถประโยชนเ์ ชิงการกระทา แถลงวาํ การ กระทาจะถูกหรอื ผิดขนึ้ อยกํู ับข๎อเท็จจริงวาํ ผลของการกระทานน้ั กอํ ให๎เกิดประโยชนม์ ากน๎อยเพยี งใด การ กระทาที่ถกู คือการการทาทีก่ อํ ให๎เกิดความสุขหรือหลุดพน๎ จากความทกุ ขแ์ ละเป็นการกระทาที่ใหผ๎ ลแหํง ความสุขแกํคนจานวนมากดว๎ ย เรยี กการกระทาท่ีถูกต๎องนี้วําเปน็ ความดี การกระทาทีผ่ ิด คอื การกระทาท่นี า ความทุกข์ความเดือดรอ๎ นมาสูํคนจานวนมาก การวดั การกระทาดังกลาํ วต๎องพิจารณาจากสถานการณแ์ ละ สง่ิ แวดล๎อมเพ่ือนามาคานวณคาํ ของความสขุ และความทุกขเ์ ปน็ เชิงปรมิ าณ ดังนนั้ การกระทาท้งั หลายยํอมมี ผลเปน็ ประโยชนห์ รอื โทษแกผํ ๎ูทาตามมาเสมอ ทฤษฎีอรรถประโยชนเ์ ชิงระเบยี บ เป็นการมองถงึ การจดั ระเบียบทางสงั คมโดยใชก๎ ฎระเบยี บทาง สงั คม กฎหมายบ๎านเมืองมาใชเ๎ พราะส่ิงเหลําน้จี ะให๎ความสาคญั ของรูปแบบการกระทาที่ตอ๎ งเป็นไปตามหลัก จรยิ ธรรมโดยมกี ฎระเบยี บรองรบั ซงึ่ ตอ๎ งเปน็ กฎระเบียบทตี่ อ๎ งไดร๎ บั การยอมรับตามหลักตรรกวทิ ยาดว๎ ย นกั บรหิ ารอรรถประโยชน์ตอ๎ งคานึงถงึ หลกั การทจี่ ะนามาใช๎เพือ่ ใหเ๎ กดิ ประสิทธิภาพในการทางานสงู สุด แตํ นักจรยิ ศาสตรย์ ังเช่ือวํา กฎระเบยี บจะเกดิ ผลดีตํอสงั คมในลักษณะของการประนีประนอมอกี ด๎วย 5) ทฤษฎีสุขนิยม เป็นทฤษฎีทเ่ี ช่อื วาํ ความสขุ เป็นสง่ิ ทดี่ ีทสี่ ุดสาหรับมนุษย์ดังนนั้ สงิ่ ทีด่ ีคือสิ่งท่พี าไปสํู ความสุข และแนวทางในการนาไปสคํู วามสขุ ตามทศั นะของสุขนยิ มนเ้ี นน๎ ไปทีค่ วามสขุ ทสี่ มั ผัสไดอ๎ ยํางเปน็ รูปธรรม บุญมี แทํนแก๎ว (2541) กลาํ ววํา ความสุขทีเ่ ปน็ จดุ หมายของชีวติ ตามความเชือ่ นแ้ี บงํ ออกเปน็ 2 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง ความสุขสํวนตน ไดแ๎ กํ ความสุขที่เนน๎ ตัวเองเป็นสาคญั และให๎คุณคําของ สงิ่ น้ันมากทีส่ ดุ ความสุขสํวนนีไ้ ดจ๎ ากการสัมผัสถูกตอ๎ งดว๎ ยอวยั วะรับสมั ผสั เชนํ ตาดู หูฟงั จมกู ไดก๎ ล่นิ ลิ้นรับ รส และผวิ หนังรบั ความร๎สู ึก ประการท่สี อง ความสุขสวํ นรวม ไดแ๎ กํ ความสขุ ที่เนน๎ คนสํวนรวมเปน็ สาคัญ การแสดง พฤติกรรมท่คี นสํวนใหญํกระทาจึงเปน็ สง่ิ ทด่ี ี เพราะเป็นการชวํ ยให๎สังคมมคี วามสุขดว๎ ย หลักธรรมที่สขุ นยิ ม นาเสนอวําเป็นความดีสูงสุดและเปน็ แนวทางที่นาไปสํคู วามสุขหลายประการ เชนํ ทางสาย กลาง อริยทรัพย์ เบญจศีลเบญจธรรม มงคลชวี ิต บุญกริ ิยาวัตถุ อิทธบิ าท อริยทรัพย์ เป็นต๎น โดยเฉพาะธรรม ทเี่ ป็นอริยทรพั ย์นนั้ จาเรญิ รัตน์ เจอื จนั ทร์ (2548) กลาํ ววํา นักบริหารการศึกษาสามารถจะนาไปประยุกตใ์ ชไ๎ ดใ๎ นทกุ ประเดน็ ตามเจตนารมณ์ของพระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหงํ ชาติ ดังน้ี (1) ศรทั ธา การมคี วามเช่อื อยํางมีเหตุผล (2) ศลี การควบคมุ พฤติกรรมทางกาย วาจา ใจให๎อยูใํ นกฎระเบยี บอนั ดงี ามของสังคมซง่ึ ไดแ๎ กํการ มศี ลี (3) หริ ิ การมคี วามละอายตํอพฤตกิ รรมท่ีไมํพึงประสงค์ เชํน คิดฉอ๎ ราษฎร์บงั หลวง (4) โอตัปปะ การมคี วามอดกล้ันโดยเกรงกลัวทีจ่ ะไมํทาชวั่ (5) พาหุสัจจะ การรอบรู๎ รูล๎ กึ โดยใช๎หลกั การรบั ฟงั ข๎อเสนอแนะ รจู๎ ักโตแ๎ ย๎งด๎วยหลกั การท่เี ปน็ เหตุเป็นผล ร๎จู ักวธิ ีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และนาไปสกํู ารบรู ณาการเป็นขอ๎ มูล สาหรับการบริหารจัดการ การศกึ ษา

จรรยาบรรณและความสาคัญตํอผูบ๎ รหิ ารสถานศึกษา ๔๗ (6) จาคะ การมีความเอื้อเฟ้อื เผือ่ แผํ มคี วามเสยี สละ มนี ้าใจตอํ ผู๎ใต๎บงั คับบญั ชาและผอ๎ู ืน่ (7) ปัญญา การมคี วามรทู๎ ีก่ ว๎างและเหน็ จรงิ มคี วามเขา๎ ใจอยํางถํองแท๎ในเหตุผล ร๎วู าํ อะไรดี อะไร ชัว่ ถกู ผิด มคี ุณ มีโทษ มีประโยน์หรือไมํมีประโยชน์ เป็นต๎น นักบรหิ ารหากวําตอ๎ งการจะประสบความสาเร็จและมคี วามสุขท้งั ในสวํ นตนและในสวํ นรวม จะต๎องเปน็ ผ๎ูที่มี อริยทรพั ยใ์ นตน โดยมุํงยดึ หลกั การแหงํ วชิ าชีพของตนวําองคก์ รทางการศกึ ษาเป็นองคก์ รท่บี มํ เพาะภมู ิ ปัญญา ตลอดจนมํงุ สรา๎ งและสัง่ สมความดี เป็นแหลํงปลกุ ฝงั คุณธรรมเพอื่ ความสขุ ในการดารงชีวติ 6) ทฤษฎจี ริยธรรมของคานท์ (Kant) เปน็ ทฤษฎีท่กี ลําวถึงคุณคําของการปฏบิ ัติตามหลักจรยิ ธรม วําตอ๎ งเปน็ เจตนาที่ดแี ละเกดิ จากความตัง้ ใจจริง หรอื มมี ลู เหตุท่ีจูงใจให๎ทาในสงิ่ ท่ีถกู ต๎อง โดยเร่ิมจาก เหตุการณจ์ ูงใจที่ดีจะเปน็ เง่อื นไขในการกระทาดแี ละผลจากการกระทาดีน้ันจะเป็นผลดีและมปี ระโยชน์ การ กระทาในส่งิ ทถี่ ูกตอ๎ งเป็นหลกั สากล เปน็ ลักษณะของการกระทาตามหนา๎ ทีแ่ ละการให๎ความเคารพยาเกรง มี เงอ่ื นไขและมีความเด็ดขาด โดยใช๎ คติบท (Maxim) เปน็ ลักษณะการบรรยายการกระทาเชงิ อัตนัยโดยมี พื้นฐานทดี่ ี และมีความร๎ูสกึ แฝงด๎วยเจตนาดีเสมอ ตามหลักการของ คานท์ ผู๎บรหิ ารจะต๎องทาตามหน๎าทีบ่ รหิ ารการศึกษาให๎กํอประโยชนต์ อํ บคุ คลท่ีเข๎ามา เก่ยี วข๎องในดา๎ นการศกึ ษา และส่งิ ทสี่ าคญั ท่ีสุด คือ ตอ๎ งรู๎วําหนา๎ ท่ีของตนคืออะไร 7) ทฤษฎีอภจิ ริยศาสตร์ เปน็ หลกั การท่กี ลาํ วถึงความหมายในรายละเอียดดว๎ ยการวิเคราะหเ์ ชงิ ลึก ในสิ่งทปี่ รากฏวาํ คอื อะไร เพื่อนามากาหนดให๎ชัดเจน เพ่ือนาไปสูกํ ารแก๎ปัญญาและความไมเํ ขา๎ ใจท่ี ตรงกัน โดยเฉพาะในความหมายของคาวาํ ความดี ความเลว ความถกู ตอ๎ งและความผิด การกาหนดนยิ ามที่ เฉพาะลงไปให๎ชดั เจนตรงกันโดยเฉพาะในเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ปรากฏใน ขณะนั้น แตตํ ามหลักการ แล๎ว ธรรมชาติ คอื ความจรงิ และความดีความงามเป็นคุณสมบัตขิ องธรรมชาตแิ ละมคี ุณคําอยใูํ นตวั เองอยเูํ สมอ จาเรญิ รัตน์ เจอื จนั ทร์ (2548) อ๎างถึงนักจริยศาสตร์ มัวร์ (Moore) วาํ ไดก๎ ลําวถงึ คุณคําทางจรยิ ธรรมวําไมํ อาจนิยามได๎ดว๎ ยส่งิ ทีป่ รากฏให๎เห็นชดั เจนไมํวําจะเปน็ วัตถสุ งิ่ ของหรอื ปรากฏการณ์ และความดีไมํอาจนิยาม ได๎เพราะเป็นคณุ สมบตั ิทีไ่ มํใชํเป็นธรรมชาติ ความดเี ป็นความจริงท่อี ยูํในตัวมนั เอง สามารถรับร๎ูจินตนาการ และสมั ผัสได๎จากจิตสานึก ทฤษฎนี ี้ยังมีความคิดท่ีลกึ ซึ้งในเร่อื งของธรรมชาตจิ ึงเกดิ เปน็ หลกั ในการศึกษาข้ึน เรยี กวํา ทฤษฎี ธรรมชาตินยิ มในอภจิ รยิ ศาสตร์ เนือ่ งจากนกั ธรรมชาตินิยมไมํไดม๎ องธรรมชาติในแงํดีเสมอไป เพราะความดี และความไมดํ ีของธรรมชาติมีอยํูในตวั เองและแยกออกจากกันไมไํ ด๎ ดงั นนั้ มนุษย์จงึ มองสงิ่ ที่เป็นวตั ถุสิ่ง เดียวกนั ไมํเหมอื นกัน บางคนอาจจะมองวาํ ดแี ละบางคนอาจจะมองวําไมดํ ีก็ได๎ นกั บรหิ ารการศึกษาต๎องเรยี นรู๎ ในเรื่องธรรมชาติของคน เพราะการรธู๎ รรมชาติเป็นกลยทุ ธของการบริหารอยํางมคี ุณธรรมและจริยธรรม 8) ทฤษฎแี บบแผน จากแนวความคิดของ รอสส์ (Ross) กลาํ ววาํ จากหลักของพหนุ ยิ ม นน้ั คุณลักษณะทีห่ ลากหลายสามารถกอํ ให๎เกดิ ความถกู ตอ๎ งได๎ ดังนัน้ แนวคิดพ้ืนฐานเกยี่ วกับหนา๎ ที่จงึ เปน็ หลัก เดนํ สาคัญท่ีต๎องพิจารณากอํ น โดยกาหนดให๎หนา๎ ทเ่ี ป็นเงือ่ นไขซึ่งผกู พันกับขอ๎ เท็จจริง ถือวาํ เปน็ หน๎าทท่ี ่ีตอ๎ ง กระทาโดยหลกี เลย่ี งไมไํ ด๎ เชํน ความซอ่ื สตั ย์ การชดใช๎ ความกตัญญู ความยตุ ธิ รรม เป็นต๎น นอกจากน้ยี งั ต๎อง มีการจัดลาดบั ความสาคัญและตรวจสอบการกระทาวาํ ตกอยูํในรายการใด ดงั ตวั อยาํ งเชํน (1) หน๎าทีท่ ีต่ อ๎ งรักษาคาม่ันสัญญา (2) หน๎าทท่ี ีต่ อ๎ งชดใชห๎ รือชดเชย (3) หน๎าทท่ี ตี่ อ๎ งกตญั ญรู ๎ูคณุ (4) หนา๎ ที่ที่ต๎องใหค๎ วามยุติธรรม (5) หนา๎ ทท่ี ตี่ ๎องไดร๎ ับประโยชน์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook