คูม่ อื พฒั นาทักษะการเรียนรู้ เพ่ือเพ่มิ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนสำ� หรับนักศกึ ษา หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ (พว11001) ระดบั ประถมศึกษา ส�ำนกั งานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั กาฬสินธ์ุ สำ� นักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย ส�ำนกั งานปลัดกระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธิการ
ค�ำน�ำ สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ ในฐานะผรู้ บั ผดิ ชอบในการจดั การศกึ ษาใหก้ บั กลมุ่ เปา้ หมายประชาชน ทว่ั ไปทอี่ ยนู่ อกระบบโรงเรยี น โดยใชห้ ลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ในการจดั การศึกษาให้กับกลมุ่ เปา้ หมายดังกล่าว และเพ่อื เปน็ การตอบสนองนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ในการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน กศน. หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ใหส้ งู ขนึ้ สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ จงึ ไดจ้ ดั ทำ� คมู่ อื พฒั นาทกั ษะการเรยี น รู้ เพื่อเพ่ิมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนส�ำหรับนักศึกษา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ซง่ึ จะทำ� ใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ถงึ สอ่ื ไดส้ ะดวก รวดเรว็ อนั จะสง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นมผี ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น ดขี น้ึ คู่มือพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เพื่อเพ่ิมผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนส�ำหรับนักศึกษา หลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 มีเอกสารสรุปเนื้อหาท่ีต้องรู้และแนวข้อสอบจาก การน�ำหนงั สอื เรียนของส�ำนักงาน กศน. มาสรุปเนอื้ หา ประเดน็ สำ� คัญและจัดท�ำแนวข้อสอบท่สี อดคล้องตาม ผงั การออกขอ้ สอบในแตล่ ะรายวชิ าของสำ� นกั งาน กศน. สำ� หรบั คมู่ อื พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ เพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียนส�ำหรับนักศึกษา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธ์ุ ได้จัดทำ� รายวชิ าบังคับ จำ� นวน 42 รายวชิ า ทง้ั นี้ สำ� นักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์ ไดเ้ ชิญผู้เชีย่ วชาญดา้ นเนอื้ หา นกั วิชาการศกึ ษา ครผู ้สู อน และผู้เกย่ี วข้อง มาสรุปค่มู อื พัฒนาทกั ษะ การเรียนรู้ เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนส�ำหรับนักศึกษา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 ในรายวิชาดังกลา่ ว ส�ำนักงาน กศน.จังหวัดกาฬสินธุ์ หวังเป็นอย่างย่ิงว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้เรียน กศน. หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ตามสมควร จึงขอขอบคุณผู้เช่ียวชาญ ดา้ นเนอ้ื หา นักวิชาการศึกษา ครูผสู้ อน และผู้เกี่ยวข้องมา ณ โอกาสน้ี (นางสาวนพกนก บุรุษนนั ทน)์ ผอู้ ำ� นวยการสำ� นกั งาน กศน.จังหวดั กาฬสินธ์ุ มิถนุ ายน 2560 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 3 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
สารบญั หน้า 3 ค�ำนำ� 7 ค�ำแนะน�ำการใชค้ มู่ ือ 8 บทที่ 1 ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์ 11 บทท่ี 2 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 12 บทท่ี 3 ส่งิ มชี ีวิต 19 บทที่ 4 ระบบนเิ วศ 24 บทที่ 5 ทรัพยากรธรรมชาตสิ งิ่ แวดล้อมและการอนุรักษ์ 32 บทที่ 6 ปรากฎการณ์ทางธรรมชาตสิ ิ่งแวดลอ้ ม 38 บทท่ี 7 สารและสมบตั ขิ องสาร 42 บทที่ 8 การแยกสาร 46 บทที่ 9 สารในชีวติ ประจำ� วนั 50 บทท่ี 10 แรงและการขับเคลอื่ นของแรง 54 บทท่ี 11พลังงานในชีวิตประจ�ำวนั และการอนุรักษพ์ ลังงาน 58 บทท่ี 12 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ 60 บทที่ 13 อาชีพชา่ งไฟฟ้า กิจกรรมท้ายเล่ม 66 แนวข้อสอบชดุ ที่ 1 89 แนวข้อสอบชดุ ท่ี 2 97 แนวข้อสอบชุดที่ 3 105 แนวขอ้ สอบชุดที่ 4 113 บรรณานุกรม 121 คณะผู้จัดทำ� เอกสารสรปุ เนอ้ื หาท่ตี อ้ งรู้ สำ� นกั งาน กศน. 122 คณะผู้จัดทำ� แนวขอ้ สอบ สำ� นกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์ 123 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 5 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธ์ุ
ค�ำแนะน�ำการใชค้ มู่ ือ คมู่ อื พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ เพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นสำ� หรบั นกั ศกึ ษา หลกั สตู รการศกึ ษา นอกระบบระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เปน็ คมู่ อื ทจี่ ดั ทำ� ขนึ้ สำ� หรบั ผเู้ รยี นทเี่ ปน็ นกั ศกึ ษา การศกึ ษานอกระบบ ในการศกึ ษาคมู่ อื พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ เพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นสำ� หรบั นกั ศกึ ษาหลกั สตู ร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา พว 11001 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ผเู้ รยี นควรปฏบิ ตั ิดังน้ี 1. ศกึ ษาโครงสรา้ งรายวชิ าใหเ้ ขา้ ใจในหวั ขอ้ สาระสำ� คญั ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั และขอบขา่ ย เนอื้ หา 2. ศึกษารายละเอียดเน้ือหาของแต่ละบทอย่างละเอียดจากหนังสือแบบเรียน สรุปเนื้อหาที่ ต้องรู้ และท�ำแบบทดสอบแล้วตรวจสอบกับแนวค�ำตอบ ถ้าผู้เรียนตอบผิดควรกลับไปศึกษาและ ทำ� ความเข้าใจในเนื้อหานั้นอกี ครงั้ เพ่อื สรา้ งความเขา้ ใจก่อนท่ีจะศึกษาเรื่องตอ่ ไป 3. คมู่ ือเลม่ นมี้ ีเนอื้ หาประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1. ส่วนทเ่ี ป็นสรุปเนื้อหาทต่ี ้องรู้ 1. ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ 2. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 3. สง่ิ มีชีวิต 4. ระบบนิเวศ 5. ทรัพยากรธรรมชาติสง่ิ แวดล้อมและการอนรุ กั ษ์ 6. ปรากฎการณท์ างธรรมชาตสิ ิง่ แวดล้อม 7. สารและสมบัติของสาร 8. การแยกสาร 9. สารในชีวิตประจำ� วัน 10. แรงและการขับเคล่อื นของแรง 11. พลงั งานในชีวติ ประจ�ำวนั และการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน 12. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งดวงอาทติ ย์ โลก และดวงจันทร์ 13. อาชีพช่างไฟฟ้า 2. แนวข้อสอบ ดงั มีรายละเอยี ดดังนี้ แนวข้อสอบ ชุดท่ี 1 แนวข้อสอบ ชดุ ท่ี 2 แนวข้อสอบ ชุดท่ี 3 แนวข้อสอบ ชุดท่ี 4 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 7 ส�ำนักงาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธ์ุ
1 บทที่ 1 ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร วทิ ยาศาสตรค อื อะไร วิทยาศาสตร คือ การศกึ ษาหาความรเู รอื่ งราวหรอื ปรากฏการณธรรมชาติ อยา งมรี ะบบ ข้นั ตอนโดยใชก ระบวนการทักษะทางวิทยาศาสตร วทิ ยาศาสตร มีความสาํ คญั อยา งไร วิทยาศาสตรมีบทบาทสําคัญในการดําเนินชีวิต และมีนําความรูทางวิทยาศาสตรมาใชใหเกิด เทคโนโลยสี มยั ใหม และอาํ นวยความสะดวกมากมายแกมนษุ ย เชน ดานการส่ือสาร ปจจุบันท่ีใชกนั ทั่วไป คือ โทรศัพทมอื ถือ ดา นเทคโนโลยที างการแพทย ปจ จบุ ันท่ีใชคอื เคร่ืองเอกซเ รยค อมพิวเตอร เปนตน กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร หมายถึงอะไร กระบวนการทางวิทยาศาสตร หมายถงึ ขน้ั ตอนการเสาะหาความรูอยา งมีเหตุมผี ล มขี น้ั ตอน อยา งเปน ระบบ มี 5 ข้ันตอน คอื 1. ข้ันระบุปญหา 2. ขัน้ ตงั้ สมมตฐิ าน 3. ขนั้ รวบรวมขอมลู 4. ขน้ั การวเิ คราะหข อมลู 5. ข้นั สรุปผล ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร คืออะไร ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร เปนส่งิ ท่ีจาํ เปน ในการเรยี นวทิ ยาศาสตรซ ง่ึ จะทาํ ให นักศกึ ษาสามารถคิดและแกปญ หาไดด ว ยตนเอง จงึ ควรฝก ฝนใหเกดิ กระบวนการทางวิทยาศาสตร แบง ออกเปน 13 ทกั ษะ ไดแก 8 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธ์ุ
2 1. การสงั เกต 2. การวดั 3. การจาํ แนกประเภท 4. การใชต วั เลข 5. การหาความสมั พันธร ะหวางสเปซกับสเปซ และสเปซกับเวลา 6. การจดั ทาํ และส่ือความหมายขอมลู 7. การลงความคิดเหน็ ขอมลู 8. การพยากรณ 9. การต้งั สมมตฐิ าน 10. การกาํ หนดนิยามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร 11. การกาํ หนดนยิ ามและควบคุมตวั แปร 12. การทดลอง 13. การตคี วามหมายขอมลู และการสรปุ ผล เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร คอื อะไร เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร หมายถึง ความรูทีด่ ตี อวชิ าวิทยาศาสตร มี 6 ลกั ษณะดงั นี้ 1. มีเหตผุ ล 2. กระตอื รอื รน คน หาความรู 3. อยากรูอยากเหน็ 4. มคี วามพยายามและอดทน 5. ยอมรับฟง ความคดิ เหน็ ของผูอ น่ื 6. แกปญหาโดยใชว ิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร เทคโนโลยี หมายถึงอะไร เทคโนโลยี หมายถงึ การนาํ ความรดู านวิทยาศาสตรไปประยกุ ตใชแ ละอาํ นวยความสะดวก ใหก ับมนุษย เชน โทรศพั ทม ือถอื ที่ชว ยในการตดิ ตอสอ่ื สารไดร วดเร็วขนึ้ คอมพิวเตอรท ่ชี วยเก็บขอ มลู วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 9 สำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสินธุ์
3 ไดเปน จาํ นวนมากและถูกตอ งแมน ยาํ เปนตน ในการนําเทคโนโลยมี าใชควรศึกษาผลดีผลเสยี กอน และควรใชเ ทคโนโลยอี ยางถกู ตองและคุมคา ทส่ี ดุ อุปกรณท างวทิ ยาศาสตร ไดแ กอ ะไรบา ง อุปกรณส ําหรับการตวงสาร เชน บีกเกอร หลอดทดลอง กระบวกตวง ปเปตต เปนตน อปุ กรณส ําหรับช่ัง เชน เครื่องชง่ั ไฟฟา เครอ่ื งช่ังสองแขน เปน ตน อปุ กรณส าํ หรบั วัด เชน ไมโครมิเตอร เวอรเนยี ร คาลเิ ปอร เปน ตน อุปกรณอ่นื ๆ เชน กลองจลุ ทรรศน แวน ขยาย เปนตน 10 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธ์ุ
4 บทท่ี 2 โครงงานวทิ ยาศาสตร ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร มีอะไรบาง 1. โครงงานวิทยาศาสตรป ระเภททดลอง 2. โครงงานวทิ ยาศาสตรป ระเภทสาํ รวจ 3. โครงงานวิทยาศาสตรป ระเภทสิ่งประดษิ ฐ 4. โครงงานวิทยาศาสตรป ระเภททฤษฎี จงบอกลาํ ดบั ข้นั ตอนของการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร 1. สํารวจและตดั สนิ ใจเลือกเร่อื งท่ีจะทําโครงงาน 2. ศึกษาขอมลู ทเี่ ก่ียวของกบั เรือ่ งทีจ่ ะทาํ เอกสารและแหลงขอ มูลตา ง ๆ 3. วางแผนทดลอง การใชวัสดุอุปกรณ และระยะเวลาในการดาํ เนินงาน 4. เขยี นเคา โครงของโครงงานวิทยาศาสตร 5. ลงมอื ศึกษาทดลอง วิเคราะหขอ มลู และสรุปผล 6. เขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร 7. เสนอผลงานของโครงงานวิทยาศาสตร วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 11 สำ� นักงาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธ์ุ
5 บทที่ 3 ส่งิ มชี ีวติ สิ่งมชี วี ติ มีลักษณะอยางไร ลกั ษณะของส่ิงมชี วี ติ 1. การกินอาหาร สิ่งมชี ีวิตจะตองกินอาหารเพ่ือความอยูรอดของตนเอง พืชสามารถสราง อาหารไดเ องโดยกระบวนการสังเคราะหดวยแสงและดดู ซมึ นํา้ และแรธาตจุ ากราก สวนคนและสัตวไม สามารถสรางอาหารไดเองตอ งกินพชื หรอื สัตวอ นื่ เปน อาหาร 2. การหายใจ กระบวนการหายใจของสิ่งมีชีวิตเปนวิธีการเปล่ียนอาหารที่กินเขาไปเปน พลังงาน เพ่อื ใชใ นการดาํ รงชีวติ 3. การเคล่ือนไหว สิ่งมีชีวิตสามารถเคล่ือนท่ีไดดวยตนเอง ยกตัวอยาง เชน คนและสัตว สามารถว่ิงและเดินได สว นพืชที่เปนเถาสามารถเลอ้ื ยเกาะผนงั หรือตนไมอ ืน่ ได เปน ตน 4. การเจรญิ เตบิ โต สิ่งมชี ีวิตจะมกี ารเจรญิ เตบิ โต ส่ิงมีชวี ิตบางชนิดขณะเจริญเตบิ โตไมมีการ เปลยี่ นแปลงรปู ราง แตบางชนิดขณะเจริญเติบโตมีการเปล่ียนแปลงรูปราง ซ่ึงสามารถสังเกตเห็นได อยา งชัดเจน 5. การขับถาย เปน การกาํ จดั ของเสียที่สง่ิ มชี วี ติ นัน้ ไมตองการออกจากรางกาย พืชจะขับของ เสียออกมาทางปากใบ สัตวจ ะขับของเสียออกมาในรูปของเหง่ือ ปสสาวะ และปะปนออกมากับลม หายใจ 6. การตอบสนองตอส่ิงเรา สิ่งมีชีวิตจะมีการตอบสนองตอส่ิงเรา เพ่ือปรับตัวเองใหอยูรอด และปลอดภัยตอ อนั ตรายตา ง ๆ 7.การสืบพนั ธุ ส่งิ มีชวี ิตจะมกี ารสืบพันธแุ ละขยายพนั ธเุ พ่ือไมใ หเผา พนั ธุของตนเองตอ งสญู พันธุ 12 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธุ์
6 เกณฑทใ่ี ชใ นการจัดกลุมส่งิ มชี วี ติ มกี ป่ี ระเภท อะไรบา ง เกณฑทใ่ี ชในการจัดกลมุ ส่ิงมชี วี ิตแบงออกเปน 5 ประเภท ไดแ ก 1. เปรียบเทียบลกั ษณะโครงสรางภายนอกและภายใน คอื ส่งิ มีชวี ิตท่ีมโี ครงสรา งของอวยั วะ ท่ีมีตนกําเนิดเดียวกัน แตอาจมีหนาท่ีเหมือนกันหรือตางกันก็ได จัดอยูในกลุมเดียวกัน ในขณะที่ อวยั วะซงึ่ ทําหนาท่แี บบเดยี วกนั แตตน กาํ เนิดแตกตา งกนั จัดอยคู นละกลุมกัน 2. แบบแผนการเจริญเติบโต หากมีรูปแบบการเจริญเติบโต ตั้งแตตัวออนจนถึงตัวเต็มวัย เหมือนหรือคลา ยกันจัดอยูในกลุมเดยี วกัน 3. การเปรยี บเทยี บลกั ษณะรอ งรอยของซากดึกดําบรรพ ทําใหทราบวาสิ่งมีชีวิตใดมีบรรพ บุรุษรวมกันจัดอยใู นกลมุ เดยี วกนั 4. กระบวนการทางชีวเคมี และสรรี วทิ ยา พิจารณาจากชนิดสารเคมีท่ีสิ่งมีชีวิตสรางขึ้นวามี ความคลายคลึงกนั อยา งไร 5. เปรียบเทียบพฤติกรรมความสัมพันธของส่ิงมีชีวิตกับสิ่งแวดลอม ตลอดจนการ แพรกระจายทางภูมศิ าสตรข องสง่ิ มชี วี ติ พชื คอื อะไร พชื คือส่งิ มชี ีวิตที่สามารถสงั เคราะหอาหารไดเ อง โดยกระบวนการสงั เคราะหด วยแสง สวนประกอบของพืชประกอบดวยอะไรบางและแตล ะสว นทําหนาทอี่ ะไร 1. ราก เปนสวนของพชื ที่งอกออกจากเมล็ดกอนสวนอ่ืน และเจริญลงสูใตดิน รากมีหนาที่ยึด ลาํ ตนใหต งั้ บนดิน ดูดน้ําและแรธาตุที่สะสมอยูใ นดนิ แลวลาํ เลียงขนึ้ ไปยังสวนตางๆของพืช นอกจากนี้ รากของพืชบางชนิดทําหนา ทส่ี ะสมอาหาร สงั เคราะหด ว ยแสง หายใจ ราก ของพืชแบงเปน 2 ประเภท คือ รากแกว เปนรากทง่ี อกออกจากเมล็ดกอ นสวนอน่ื ในพชื บางชนดิ รากแกวจะเจริญตอ ไป รากฝอย เปน รากเสน เลก็ ๆมากมาย งอกออกจากรอบๆ โคนตน แทนรากแกวทหี่ ยุดเติบโต วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 13 สำ� นักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธุ์
7 2. ลาํ ตน เปนสวนของพืชที่อยูตอจากรากข้นึ มา พืชสวนมากจะมีลําตนอยูบนดิน แตพืชบาง ชนิดมีลําตนอยูใตดิน ลําตนมีหนาที่ชูกาน ใบ และดอกใหไดรับแสงแดด เปนทางลําเลียงนํ้าและแร ธาตุ และลาํ ตนบางชนิดสะสมน้าํ และอาหาร ขยายพันธุ 3. ใบ เปน สว นของพชื ทเี่ จริญเตบิ โตย่ืนออกมาทางขางของลําตน มีลักษณะแบน มีสีเขียว ใบ จะมีเสนใบซ่งึ มี 2 ลกั ษณะ คอื เสน ใบขนาน และเสนใบเปนรา งแห ทําหนาท่ีสรา งอาหาร คายนํ้าและ หายใจ บางชนดิ ทําหนา ที่สะสมอาหาร ขยายพนั ธุ ลอแมลง ดักและจับแมลง 4. ดอก เปนสวนของพืชที่ทําหนาที่ในการสืบพันธุ ดอกโดยทั่วไปประกอบดวยสวนตางๆ ดังนี้คือ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู เกสรตัวเมีย กานดอก และฐานรองดอกดอกไมมีอยูมากมาย หลายชนดิ บางชนดิ มีสีสนั สวยงามบางชนดิ มีกล่นิ หอมชวนดม 5. ผล เปน สว นทเี่ จริญมาจากรังไขห ลงั จากดอกไดร ับการผสมแลว ผนังรังไขช้ันนอกสุด เจริญ เปนเปลอื กของผล ปจ จัยท่จี าํ เปน ตอ การเจรญิ เตบิ โตของพชื มีอะไรบาง ปจ จัยทีม่ ีผลตอ การเจริญเติบโตของพืช ไดแ ก 1. ดนิ ใหท ่ียดึ เกาะแกพ ชื และเปนแหลง ธาตอุ าหาร น้ําและอากาศ 2. นา้ํ ชวยละลายแรธ าตอุ าหารในดิน เพอ่ื ใหรากลําเลยี งนํา้ และแรธ าตุ ดูดไปเลีย้ งสว นตางๆ ของลาํ ตน 3. ธาตุอาหารหรอื ปยุ ชว ยในกระบวนการตา ง ๆ ในการดํารงชวี ิตของพืชและชวยสรา ง คลอโรฟลล 4. อากาศ พืชใชแ กสออกซเิ จนในการหายใจ และใชแกสคารบ อนไดออกไซดใ นการสราง อาหาร 5. แสงสวาง พชื ตองการแสงแดดมาใชในการสรา งอาหาร 6. อุณหภูมิ อณุ หภูมิที่พอเหมาะอยรู ะหวาง 20–30 องศาเซลเซียส ชว ยในกระบวนการ สงั เคราะหดว ยแสง การงอกของเมล็ดและการทํางานของเอนไซม 14 วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์
8 การขยายพนั ธพุ ชื หมายถงึ อะไร การขยายพันธุพืช หมายถึง วิธีการที่ทําใหเกิดการเพ่ิมปริมาณของตนพืชใหมากขึ้น เพื่อดํารงสายพนั ธุ พชื ชนดิ ตา ง ๆ ไวไ มใหสูญพนั ธุ การขยายพนั ธุพ ืชมีกปี่ ระเภทอะไรบา ง การขยายพนั ธพุ ืชทีน่ ยิ มปฏิบตั โิ ดยทั่วไป มี 5 วธิ ี คือ 1. การตอนกิ่ง คือ การทาํ ใหก งิ่ หรอื ตน พืชเกดิ รากขณะตดิ อยูก บั ตน แม จะทําใหไดตนพชื ใหม ท่มี ีลักษณะทางสายพนั ธุ เหมอื นกับตนแมท ุกประการ 2. การทาบกง่ิ คอื การนําตน พชื 2 ตนเปนตนเดยี วกัน โดยสว นของตน ตอทีน่ าํ มาทาบกิ่ง จะ ทําหนา ทเ่ี ปน ระบบรากอาหารใหกับตนพันธดุ ี 3. การตดิ ตา คือ การเช่อื มประสานสว นของตน พชื เขาดวยกนั เพอื่ ใหเ จริญเปน พชื ตน เดียวกนั โดยการนาํ ตาจากกิง่ พนั ธุดไี ปตดิ บนตนตอ 4. การเสียบยอด คอื การเชอ่ื มประสานเนอื้ เย่อื ของตน พชื 2 ตน เขาดว ยกนั เพ่ือให เจริญเตบิ โตเปน ตน เดยี วกัน 5. การตดั ชาํ คือ การนําสวนตา ง ๆ ของพืชพันธดุ ี เชน ใบ และ ราก มาตัดและปกชาํ ในวัสดุ เพาะชํา เพ่ือใหไ ดพชื ตน ใหมท่ีนํามาตัดชาํ พชื ในทอ งถนิ่ จาํ แนกพืชไดก ปี่ ระเภท อะไรบา ง พืชในทอ งถิ่นแบง ไดเปน 2 ประเภท ไดแก 1. พชื มดี อก คอื พชื ท่ีเจริญเติบโตเต็มทีแ่ ลว มสี วนของดอกสาํ หรบั ใชในการผสมพนั ธุ 2. พืชไมม ดี อก คือพชื ท่ีไมมดี อกเลย ตลอดการดํารงชีวิต ไมวาจะเจริญเติบโตเต็มท่ีแลวก็ตาม พืชจําพวกนจ้ี ึงไมม ีดอกสาํ หรบั ใชใ นการผสมพันธุ แตจะสืบพันธุโดยการสรางสปอรซึ่งจะงอกเปนพืช ตนใหม วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 15 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธุ์
9 นอกจากจะเอาดอกมาเปนเกณฑในการจําแนกแลว เรายังสามารถใชลักษณะสวนประกอบ ของใบเล้ยี งมาใชใ นการจาํ แนกพชื ไดเ ปน 2 ประเภท ไดแ ก 1. พชื ใบเลีย้ งเดย่ี ว คอื พชื ที่มีใบเลี้ยงใบเด่ียว ลักษณะเสนใบเรียงกันแบบขนาน มีระบบราก ฝอยลาํ ตน มองเหน็ ขอปลอ งชัดเจน ไมม ีการเจริญทางดานขาง กลีบดอก มจี ํานวนเปน 3 หรือทวีคูณ ของ 3 2. พชื ใบเล้ยี งคู คือ พชื ที่มีใบเล้ยี งสองใบ ลกั ษณะเสนใบเปนรางแห มีระบบรากแกว ลําตน มองเหน็ ขอปลองไมช ัดเจน มีการเจริญออกทางดานขาง กลีบดอกมีจาํ นวนเปน 4-5 หรือ ทวีคูณของ 4-5 สตั วแ บง ออกเปน กปี่ ระเภทอะไรบาง สัตวแตล ะชนดิ ท่อี าศยั อยตู ามธรรมชาติ มีลกั ษณะโครงสรางภายนอก และภายในแตกตางกัน ทําใหเ ราสามารถจําแนกประเภทของสัตวออกเปน 2 ประเภทใหญ ๆ คอื 1. สัตวท ่ีมีกระดูกสันหลัง คือ สัตวที่มีกระดูกตอกันเปนขอๆ อยูเปนแนวยาวไปตามดานหลัง ของรางกาย มหี นา ท่ชี วยพยงุ รางกายใหเ ปนรูปรางอยูไดและยังชวยปองกันเสนประสาทอีกดวย เชน คน สนุข แมว ควาย เสอื เปนตน 2. สัตวที่ไมมีกระดูกสันหลัง คือ สัตวไมมีกระดูกเปนแกนของรางกาย สัตวบางชนิดจะสราง เปลือกแข็งขึน้ มาหอหุมรา งกายเพือ่ ปอ งกนั อันตราย เชน แมลงชนิดตา ง ๆ เปน ตน โครงสรางและหนาทีข่ องระบบตาง ๆ ในรางกายสตั วม ีความจาํ เปนตอการดํารงชวี ติ ของสตั ว มีอะไรบา ง โครงสรา งและหนา ท่ขี องระบบตา งๆ มีความจาํ เปนตอการดํารงชีวิตของสตั ว ดังน้ี 1. ระบบยอยอาหาร ทาํ หนา ทนี่ ําสารอาหารตาง ๆ เขา สรู างกาย เพ่อื เปนวัตถุดิบสําคัญในการ เจริญเตบิ โต 16 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธ์ุ
10 2. ระบบหมนุ เวียนเลือด ทําหนาท่ีหมุนเวียนเลือด นําสารตาง ๆ ที่มีประโยชนไปยังเซลลทั่ว รา งกาย และนาํ สารท่ีเซลลไ มต องการไปยงั อวยั วะขบั ถายเพอื่ กําจดั ออกนอกรางกาย 3. ระบบหายใจ ทาํ หนา ที่ นํากาซท่ีเซลลตองการเขาสูรางกายและกาํ จัดกาซทเี่ ซลลไ มต อ งการ ออกนอกรา งกาย นอกจากนี้ยังทําหนาท่ีสรางพลังงานใหแกเซลล ทําใหเซลลสามารถนําไปใชใหเกิด ประโยชน 4. ระบบขับถา ย ทําหนาทก่ี ําจดั ของเสียทเ่ี ซลลไ มต อ งการออกนอกรา งกาย 5. ระบบประสาท ทาํ หนาทคี่ วบคุมกลไกลการทาํ งานของทกุ ระบบในรางกาย 6. ระบบโครงกระดูก ถามีโครงรางแข็งท่ีอยูภายนอกรางกาย จะชวยปองกันอันตรายภายใน ไมใ หไ ดรบั อนั ตราย แตถ า มโี ครงรางแข็งทอี่ ยูภายใน จะชว ยในการเคลือ่ นไหวหรอื เคลื่อนท่ี 7. ระบบสบื พันธุ เม่อื สัตวเ จริญเตบิ โตเปนตัวเตม็ วัยก็พรอมที่สะสืบพนั ธเุ พ่ือที่จะเพิ่มลูกหลาน ทําใหสตั วแตล ะชนิดสามารถดํารงเผาพนั ธไุ วได ปจ จัยทจ่ี ําเปนตอ การดํารงชีวิตของสตั วม ีอะไรบา ง ปจจัยทีจ่ าํ เปนตอ การดาํ รงชีวติ ของสตั ว ไดแก 1. อาหาร เพ่ือจะไดม พี ลังงานในการทํากจิ กรรมตา ง ๆ สัตวแ ตละชนิดกนิ อาหารที่แตกตางกัน ไป บางชนดิ กนิ พชื เปน อาหาร บางชนดิ กินสัตวเปน อาหาร และบางชนดิ กินท้งั พืชและสตั วเปน อาหาร 2. นํ้า ชว ยใหร า งกายสดชืน่ ชว ยดบั กระหาย เปนทอ่ี าศยั ของสัตวบ างชนิด 3. อากาศ สัตวทุกชนิดตองใชกาซออกซิเจนในกระบวนการหายใจ พืชตองการกาซ คารบอนไดออกไซดใ นการสรา งอาหาร 4. ท่ีอยูอ าศยั เพอื่ ความอบอนุ และปลอดภยั จากศตั รู และดํารงชีวิตดานตาง ๆ ท่ีแตกตางกัน ไป สตั วบ างชนดิ อาศัย บนบก บางชนดิ อาศยั บนตน ไม บางชนิดอาศยั ในน้ํา วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 17 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธ์ุ
11 การสบื พนั ธุของสัตวมีกป่ี ระเภทอะไรบาง การสืบพันธขุ องสัตวม ี 2 ประเภท ไดแก 1. การสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศ คือ การเพิ่มจํานวนของส่ิงมีชีวิตโดยไมมีการผสมระหวาง เซลลส บื พนั ธุ ซ่ึงการสืบพันธแุ บบน้ีจะไมม ีการกลายพนั ธุ เชน การแตกหนอ ส่งิ มชี วี ิตตวั ใหมงอกออกมาจากตวั เดิม แลว หลดุ ออกมาเปน ส่งิ มชี วี ติ ตวั ใหม การแบง ตวั สง่ิ มชี วี ิตตัวหน่งึ แบง เปนส่งิ มชี วี ิตตัวใหมแบบเทา ๆกัน การแบง สว น สว นทีห่ ลุดไปจากสง่ิ มีชีวติ หน่ึงพฒั นาไปเปน สง่ิ มีชีวติ ตัวใหมไ ด 2. การสืบพันธุแบบอาศัยเพศ คือ การสืบพันธุท่ีตอ งมีการรวมกันของเซลลสืบพันธุเพศผู (สเปร ม ) และเซลลส ืบพนั ธุเพศเมยี (ไข) แลวเกิดเปน สงิ่ มชี ีวิตหนว ยใหม 18 วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จังหวัดกาฬสินธ์ุ
12 บทที่ 4 ระบบนเิ วศ คาํ วา ระบบนเิ วศ (Ecosystem) มีความหมายอยางไร ระบบนิเวศ (Ecosystem) หมายถงึ ความสมั พนั ธของกลุมส่งิ มชี ีวติ ในแหลง ที่อยู และมี ความสมั พนั ธซ ึง่ กนั และกัน องคป ระกอบพนื้ ฐาน 2 อยาง ในระบบนิเวศ มอี ะไรบาง 1. องคป ระกอบที่ไมม ีชวี ิต ไดแ ก สารประกอบอนิ ทรีย อนนิ ทรีย และสภาพแวดลอมทาง กายภาพ 2. องคป ระกอบทีม่ ีชวี ติ ไดแ ก ผผู ลติ ผบู ริโภค และผยู อยสลาย ความสมั พนั ธข องสงิ่ มชี ีวิตในระบบนิเวศ มแี บบใดบาง และสัมพันธก นั อยา งไร ความสมั พันธของส่ิงมีชวี ติ ในระบบนเิ วศ มี 2 แบบ คือ 1. ความสมั พันธร ะหวางสงิ่ มีชีวิตดว ยกันเอง ใชค ําวา ภาวะนําหนา ตัวอยา ง เชน 1) ภาวะไดประโยชนรวมกัน (protocooperation +/+) คือ สิ่งมีชีวิตท้ัง 2 ฝาย ตางได ประโยชนดว ยกันทั้งคู เชน ผึ้งกับดอกไม เพลีย้ กบั มดดาํ นกเอี้ยงกับควาย 2) ภาวะพึ่งพากนั (mutualism +/+ ) คอื สง่ิ มีชีวิตท้ัง 2 ฝายไดประโยชนรวมกัน แตตองอยู รวมกัน ตลอดเวลา หากแยกกันอยูจะทําใหอีกฝายไมสามารถดํารงชีวิตอยูได เชน ไลเคน โพรโทซวั ในลําไสป ลวก แบคทเี รียในปมรากพืชตระกูลถว่ั วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 19 สำ� นักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
13 3) ภาวะองิ อาศยั (commensalism +, o) สงิ่ มีชีวิตฝา ยหนง่ึ ไดประโยชน อกี ฝา ยหน่ึงไมได และไมเสียประโยชน เชน เถาวัลยเกาะบนตนไมใ หญ กลว ยไมกับตน ไม นกทํารงั บนตนไม เหาฉลาม กบั ปลาฉลาม เพรียงหินทีเ่ กาะบนตัวของสัตวท ะเล 2. ความสมั พนั ธระหวางสิ่งมชี วี ติ กบั สง่ิ แวดลอ ม เชน 1) แสงสวา ง พชื ใชแสงเปน พลงั งานในกระบวนการสังเคราะหแสงเพอ่ื สรา งสารอาหาร 2) อุณหภูมิ สิ่งมีชีวิตจะเลือกแหลงท่ีอยูอาศัยที่มีอุณหภูมิเหมาะสมกับตัวเอง สิ่งมีชีวิตจะ ปรบั ตวั ใหมีชีวิตรอด เชน นกนางแอนจากประเทศจีนจะอพยพมาหากินในประเทศไทย ในฤดูหนาว และการจําศีลของกบ 3) แรธาตุและแกส พืช และสัตว นําแรธาตุและแกสตาง ๆ ไปใชในการสรางอาหาร และ โครงสรางของรางกาย ความตอ งการแรธาตุ และแกส ของสิ่งมีชีวิตจะมีความแตกตา งกนั 4) ความเปนกรด-เบสของดนิ และนํา้ ส่ิงมชี วี ติ จะอาศยั ในแหลงที่อยู ที่มีความเปนกรด-เบส ที่ เหมาะสมกบั การดํารงชวี ติ ของตนเอง หวงโซอ าหาร (Food Chain) มคี วามหมายอยางไร หว งโซอ าหาร (Food Chain) หมายถงึ การถา ยทอดพลังงานในสิง่ มีชวี ิต โดยถายทอดในรูป ของอาหารตอเนอื่ งกันเปนทอด ๆ ตามลาํ ดับของการกิน สวนใหญหวงโซอาหารจะเร่มิ ถา ยทอดจาก ผผู ลติ ไปสผู ูบรโิ ภคตามลําดับขั้นในการกนิ อาหาร ตัวอยาง เชน ขา้ ว ต��ั �ต� �� ����� ว ผ้ผู ลติ ผู้บริโภค ผู้บรโิ ภค ผู้บรโิ ภค ล���บ� �� 1 ล���บ� �� 2 ล���บ� �� 3 20 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธ์ุ
14 หว งโซอาหาร มหี ลกั การเขยี นอยางไร หลกั การเขยี นหว งโซอ าหาร มีดงั นี้ 1. หว งโซอาหารแบบจบั กนิ 1) หวงโซท่ีมีผูผลิต เร่ิมการเขียนโดยต้ังตนจากผูผลิต และตามดวยผูบริโภคลําดับท่ี 1 ผบู รโิ ภคลาํ ดบั ที่ 2 ผูบริโภคลําดับที่ 3 และตอไปเรื่อย ๆ ตามลําดับขั้นของการบริโภค จนถงึ ผูบรโิ ภคลาํ ดับสุดทาย 2) ตอ งเขยี นลกู ศรแทนการถา ยทอดพลังงานจากผูผลิต ไปสูผูบริโภคตามลําดับขั้นดังกลาว โดยเขยี นใหห ัวลกู ศรหันไปทางผทู ไี่ ดรบั สารอาหารเทานั้น ในท่ีน้ี คือ หัวลูกศรหัน ไปทางผูท ี่บรโิ ภค หรอื เขียนใหหวั ลูกศรชไ้ี ปทางผูลา นน่ั เอง 2. หวงโซอ าหารแบบอนื่ ๆ ใหเขยี นโดยเร่ิมจากสงิ่ มชี วี ิตท่ีเปนจดุ เรมิ่ ของการถา ยทอด สารอาหาร เชน ซากสัตว หนอน นก งู เหยยี่ ว ดังตวั อยาง ������ �� ���� �� �� ����� � ซาก ผ้บู รโิ ภค ผู้บริโภค ผู้บริโภค ผู้บริโภค สิ����� ���ิ ลําดบั ท� 1 ลําดบั ท� 2 ลําดบั ท� 3 ลําดบั สดุ ท้าย สายใยอาหาร (Food Web) มีความหมายอยางไร สายใยอาหาร หมายถงึ หวงโซอาหารหลาย ๆ หวงโซ ทม่ี ีความสัมพันธกันอยา งซบั ซอน ในธรรมชาติ เราจะพบการถา ยทอดพลงั งานในรปู แบบของสายใยอาหาร มากกวาหวงโซ อาหารแบบเดีย่ วๆ เนอื่ งจากสง่ิ มชี วี ิตแตละชนิดกนิ อาหารไดห ลายชนดิ *** สามารถดูแผนภาพตัวอยา งสายใยอาหารไดใ นหนังสอื เรียน กศน. หนา 89 *** วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 21 สำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธุ์
15 ในระบบนิเวศมีการถายทอดพลงั งานอยางไร ดวงอาทิตยเปนแหลงพลังงานสําหรับสง่ิ มชี วี ติ กลุมสิ่งมีชวี ติ ที่เปน ผผู ลติ จะเปลีย่ นพลงั งานแสง ใหเปนพลังงานที่สะสมไวในโมเลกุลของสารอาหาร โดยกระบวนการสังเคราะหดวยแสง ซ่ึงไดผลผลิตเบ้ืองตน คือ นา้ํ ตาลกลูโคส สะสมไว ในกระบวนการน้ีไดปลอยกาซออกซิเจนออกสู บรรยากาศดว ย พลงั งานในโมเลกลุ ของสารอาหารที่สะสมไว จะถูกถา ยทอดจากผูผลิตไปสผู ูบริโภคลําดบั ตา งๆ จนถึงผูยอยสลายอินทรียส าร ซ่ึงพลังงานที่ถายทอดน้ันจะมีคาลดลงตามลําดับ เพราะสวนหนึ่งถูกใช ในการผลิตพลังงานใหแกรางกายโดยกระบวนการหายใจ อีกสวนหนึง่ สูญเสียไปในรูปของพลังงาน ความรอน การถายทอดพลังงานในระบบนิเวศมีความสําคัญมากเพราะไมเพียงแตสารอาหารเหลาน้ันมี การถายทอดแตสารทุกชนิดที่ปนเปอนอยูในระบบนิเวศ ท้ังที่เปนประโยชน และเปนโทษจะถูก ถายทอดไปในโซอาหารดวย ตัวอยางเชน การใชสารเคมีกําจัดศัตรูพืช การถายเทของเสียจากที่อยู อาศยั และกิจกรรมตางๆของมนษุ ย ทาํ ใหม ขี องเสยี ท่ีปลอย และสารตางๆ ดงั กลา วจะตกคา ง ในผูผลิต และถา ยทอดและไปสูผบู ริโภคตามลําดับในโซอ าหารและจะเพมิ่ ความเขมขนขน เร่ือย ๆ ในลําดับช้ันท่ี สูงขน้ึ ๆ รวมถงึ กลับมาสตู วั มนษุ ยดวย สภาพแวดลอมมคี วามสมั พนั ธกบั การดํารงชวี ิตของส่งิ มีชีวติ อยา งไรบาง สภาพแวดลอมมีความสัมพันธกับการดํารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต ในลักษณะตางๆ เนื่องจาก สง่ิ มชี วี ิตทกุ ชนิดตองใชสภาพแวดลอม เปน ทั้งแหลงท่ีอยู และเปนปจจัยที่สําคัญในการดํารงชีวิตรอด และแพรพันธุได ดังน้ันส่ิงมีชีวิตจึงตองมีการปรับตัวใหสามารถอยูรอดไดในสภาพแวดลอมและ ในสภาพทม่ี ปี จ จยั จาํ กดั 22 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 สำ� นกั งาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธ์ุ
16 การปรับตัวหมายถงึ อะไร การปรบั ตวั หมายถงึ กระบวนการทส่ี งิ่ มีชีวิตมีการเปล่ียนแปลงหรือปรับลักษณะบางประการ ใหเขา กบั สภาพแวดลอมทีอ่ าศัยอยู ซง่ึ ลักษณะท่ีเปล่ียนแปลงไปดังกลาวจะอํานวยประโยชนแกชีวิต ในการอยูรอดและสามารถสืบพนั ธุตอไปได สิง่ มีชวี ิตทีป่ รบั ตัวไดดจี ะสามารถดาํ รงชวี ิตและแพรพ นั ธุต อไปได ปจ จยั ใดบางทม่ี ผี ลตอ การดาํ รงชีวติ ของสิ่งมชี ีวิต ปจ จัยทมี่ ผี ลตอ การอยดู ํารงชีวิตของสิ่งมีชวี ิตไดแ ก อาหาร การสืบพันธุ ศัตรู และสง่ิ แวดลอม เปนตน สงิ่ มชี วี ิตมีการปรับตวั อยา งไรบา ง ส่ิงมีชีวิตมีการปรบั ตวั ดังนี้ 1. การปรบั รูปราง สรรี ะ และสี ส่งิ มชี ีวติ ตางๆ จะมกี ารปรับสรีระ ปรบั รางกาย หรอื เปลีย่ นสี ใหคลายคลึงกับสภาพแวดลอ ม หรอื อยูในแหลงอาศยั ได เพ่ืออําพรางศตั รู ลาเหย่ือ และ สืบพันธุ เชน - การปรบั สี เชน จง้ิ จก กง้ิ กา - การปรบั สรรี ะ รูปรา ง เชน ตั๊กแตนก่งิ ไม ตัก๊ แตนใบโศก นกเปด นํา้ มีพังผดื ระหวางนว้ิ หมี ข้วั โลกมีขนยาว การเปลี่ยนใบเปนหนามของตน กระบองเพชร - การปรับปากของแมลงชนดิ ตางๆ เชน ปากกดั ปากเลยี ปากเจาะ และปากดูด - การราํ แพนของนกยูง - กานใบทก่ี ลวงและพองออกเปนกระเปาะของผกั ตบชวา กานใบกลวงของผกั บุง 2. การปรบั พฤติกรรม เชน - การอพยพยา ยถ่นิ และการจาํ ศีล ในฤดูหนาว - การหากินในเวลากลางคนื วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 23 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
17 บทที่ 5 ทรัพยากรธรรมชาติสง่ิ แวดลอ มและการอนุรกั ษ ทรัพยากรธรรมชาติ คืออะไร ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สง่ิ ตาง ๆ ท่ีเกดิ ขึ้นเองตามธรรมชาติ และมนษุ ยสามารถ นาํ มาใชประโยชนได เชน ดนิ นาํ้ อากาศ ปาไม สิ่งแวดลอม หมายถึงอะไร สิง่ แวดลอ ม หมายถึง สิง่ ตา ง ๆ ทีอ่ ยรู อบตัวเรา ทง้ั ส่ิงที่มีชีวติ และไมมีชีวิต รวมทัง้ ส่งิ ท่ีเกดิ ขึ้น เองตามธรรมชาติ และสงิ่ ที่มนุษยสรางมา ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอม แบง ออกตามความสาํ คญั ไดก ล่ี กั ษณะ ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ ม สามารถแบง ออกตามความสําคญั ได 3 ลักษณะ 1. ดานเศรษฐกจิ ประเทศใดทมี่ ีทรพั ยากรธรรมชาตอิ ุดมสมบรู ณ จะสง ผลใหค ุณภาพชวี ิตของ ประชากรและเศรษฐกจิ ของประเทศนน้ั ดีขึน้ 2. ดา นสังคม ทรัพยากรธรรมชาติ เปน ปจ จยั สําคัญในการพัฒนาประเทศใหท ัดเทียมนานา อารยประเทศไดเร็วข้ึน 3. ดา นการเมอื ง ประเทศทีม่ ีทรัพยากรธรรมชาตอิ ุดมสมบรู ณ จะสงผลตอการสรางอาํ นาจ ตอรอง การยอมรบั ของอารยประเทศ และเวทรี ะดบั โลกได ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ ม แบง ออกเปน กป่ี ระเภท ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม แบง ไดเปน 2 ประเภท 24 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
18 1. ทรัพยากรทใ่ี ชแลวหมดไป คอื ทรัพยากรทใี่ ชแลวเม่อื นานไปไมสามารถเกิดข้ึนใหม หรอื ถา จะเกิดขนึ้ ใหมตองใชเวลานานหลายลานป เชน แรธาตุ กาซธรรมชาติ นํ้ามนั 2. ทรัพยากรท่ีใชไมหมดสนิ้ เชน ดิน นา้ํ อากาศ ปา ไม สัตวปา ฯลฯ ทรัพยากรแร หมายถึงอะไร ทรัพยากรแร หมายถึง แรธาตุตา ง ๆ ท่มี อี ยูในโลก ท้ังบริเวณสวนท่ีเปนพ้ืนนาํ้ แหลง กําเนิดแร มีสาเหตุหลกั ๆ อะไรบา งแรต าง ๆ มแี หลง กาํ เนิดมาจาก 1) ปรากฏการณธ รรมชาติ เชน การระเบดิ ของ ภูเขาไฟ การเคลอ่ื นท่ขี องแผนเปลอื กโลก 2) การแปรสภาพทางเคมขี องหินประเภทตา ง ๆ ทีอ่ ยูบนเปลอื กโลก เชน ถานหิน หินน้ํามนั เกลือหิน แร การอนุรกั ษท รพั ยากร มีวธิ อี ยา งไรบาง การอนุรกั ษแ รม หี ลายวธิ ี ดงั นี้ 1. ใชสิง่ ของเครอื่ งใชต าง ๆ อยา งรูคณุ คา โดยใชใ หเกิดประโยชนสูงสดุ 2. ใชแ รธ าตุใหต รงกบั ความตองการและตรงกับสมบัติแรธ าตุน้ัน ๆ 3. แยกขยะทีจ่ ะทง้ิ ออกตามประเภทของขยะ เพือ่ ใหการนําขยะไปผลิตเปน ผลติ ภณั ฑใ หมไ ด งายขน้ึ และลดการขดุ ใชแรธาตตุ าง ๆ ลง ทรพั ยากรดนิ เกดิ จากอะไร ทรัพยากรดิน เกิดจากการสลายและผุพังของหินชนิดตาง ๆ คลุกเคลาปะปนกับอินทรียสาร ชนดิ ตา ง ๆ รวมทงั้ น้าํ และอากาศ ลักษณะความแตกตางของดนิ จะตา งกนั ตามพืน้ ที่ ๆ พบ ไดแกอ ะไรบาง วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 25 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์
19 1. บริเวณที่ราบ น้ําทวมถึงสองฝงแมนํ้า เปนดินตะกอนท่ีมีอายุนอย ลักษณะของดินเปนดิน เหนยี ว เนื้อละเอยี ด เชน บริเวณพื้นดนิ สองฝง แมนํา้ ในจงั หวดั ปทุมธานี จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา 2. บริเวณท่ีราบลุมตํ่ามาก เปนบริเวณท่ีมีนํ้าทวมขัง มีซากพืช ซากสัตวทับถมกันเปนชั้น ๆ เปนดนิ ทมี่ อี ิทรยี วตั ถุปะปนอยูม าก เชน ชายฝงจังหวัดนราธวิ าส บงึ บอระเพด็ จังหวัดนครสวรรค 3. บรเิ วณทเี่ ปนชายฝงทะเล มลี ักษณะเปน เนินทรายหรอื หาดทราย ความอดุ มสมบรู ณ คอนขางนอย เชน ชายฝง ทะเล จังหวดั ประจวบคีรขี ันธ 4. บรเิ วณที่หา งจากสองฝงแมน ํา้ สวนมากเปน ดินเหนียวและคอ ย ๆ ลดความอุดมสมบูรณล ง ไปเรอ่ื ย ๆ เน่ืองจากโดนชะลา งจากการไหลของนํ้า 5. บรเิ วณภเู ขาไมส งู ชัน เปนดินทมี่ อี ินทรียสารสะสมอยู เนอื่ งจากถกู ปกคลุมดวยปา ไมตาม ธรรมชาติ 6. บริเวณดินท่ีมคี ุณสมบตั ิเปนเบสปะปนอยมู าก เชน หนิ ปนู ดินมารล เปนตน เม่อื สารเหลาน้ี สลายตวั ลงจะทาํ ใหด นิ มคี วามอุดมสมบรู ณ ปญหาทรพั ยากรดนิ ในประเทศไทย มกี ่แี บบอะไรบา ง ปญ หาทรัพยากรดินในประเทศไทยมี 2 แบบ คอื ปญ หาท่เี กดิ ขน้ึ จากธรรมชาติและปญหาท่ี เกิดจากการกระทําของมนุษย ปญหาทเ่ี กิดขึ้นโดยธรรมชาติ การชะลา ง ปญ หาการสึกกรอน และ แรธ าตใุ นดนิ การพังทลายของดิน ปญหาทีเ่ กดิ ขึ้นจากการกระทาํ ของมนุษย การปลกู พชื นิด การปลกู พชื โดย การทาํ ลายปา เพ่ือ การเผาปา เดียวกันซาํ้ ซาก ไมบ าํ รุงดนิ การอุตสาหกรรม 26 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธุ์
20 ทรพั ยากรนํ้าแบง ออกเปน กป่ี ระเภท 1. นํ้าบนดิน ไดแ ก นาํ้ ในแมนาํ้ ลําคลอง หนอง บึง อา งเก็บนํ้า นาํ้ จากแหลงนีจ้ ะมีปริมาณมาก หรือนอยข้ึนอยูก บั ปจจัยตอไปน้ี - ปรมิ าณของน้าํ ฝนทไ่ี ดร ับ - อตั ราการสญู เสียของนา้ํ ซง่ึ มีสาเหตมุ าจากการระเหยและการคายนาํ้ - ความสามารถในการกกั เก็บนาํ้ 2. นํ้าใตดิน เปนนํ้าที่แทรกอยูใตดิน ไดแก นํ้าบาดาล การที่ระดับนํ้าใตดินจะมีปริมาณมาก หรอื นอยเพียงใดขึ้นอยูกบั ปจ จัยตอ ไปนี้ - ปรมิ าณน้ําท่ไี หลจากผิวดิน - ความสามารถในการกกั เก็บนา้ํ ไวใ นช้นั หิน นาํ้ มคี วามสําคญั อยางไรบาง ความสาํ คญั ของน้าํ นา้ํ มีความสาํ คัญตอ สิ่งมีชวี ติ มากมายดังนี้ - ดา นเกษตรกรรม เพ่อื การเพาะปลกู เลยี้ งสตั ว ฯลฯ - ดานการคมนาคมขนสง ทางนา้ํ - ดานการอตุ สาหกรรม - ดา นการอุปโภคและการบรโิ ภค การอนุรกั ษทรพั ยากรน้าํ มีแนวทางในการปฏบิ ัตอิ ยางไรบา ง การอนุรักษท รพั ยากรน้ํา มีแนวทางในการปฏบิ ตั ดิ งั นี้ - การพฒั นาแหลงน้าํ โดยการขุดลอกแหลง นา้ํ ตาง ๆ ทต่ี นื้ เขนิ - ใชนาํ้ อยางประหยัด ไมป ลอยใหนํ้าท่ใี ชเสยี ไปโดยเปลา ประโยชน วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 27 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสินธุ์
21 - ไมตดั ไมทําลายปา - ปองกนั ไมใ หเกิดมลพษิ กับแหลง นํ้า ทานมคี วามเขา ใจเกย่ี วกบั ทรพั ยากรปาไมอ ยา งไร ปาไมเปนสวนท่มี คี วามสําคัญตอ ระบบนเิ วศเปน อยางยงิ่ เปนตน น้ํา เปนท่ีอยูอาศัยของสัตวปา มากมาย ชวยปองกันการชะลางหนาดิน เปนสวนสําคัญที่ทําใหเกิดการหมุนเวียนของสารตาง ๆ ใน ธรรมชาติ ฯลฯ การอนรุ กั ษทรพั ยากรปาไม มีแนวทางในการอนรุ กั ษอ ยางไรบาง 1. การทาํ ความเขา ใจถึงความสาํ คัญของปาตอการดํารงชีวิตของมนุษย สัตว และสิ่งตาง ๆ ท่ี อยูใ นโลก 2. การสรางจติ สาํ นึกรวมกนั ในการดูแลรกั ษาปาไมในชมุ ชน ซงึ่ แนวทางหนึง่ คือการเปดโอกาส โดยภาครัฐในการออกพระราชบญั ญัตปิ า ชุมชน 3. การออกกฎหมายเพื่อคุมครองพืน้ ทป่ี า และการออกกฎเพือ่ ปองกันการตัดไมทาํ ลายปา ชวยกันปลูกปาในพื้นท่ีปาเส่ือมโทรม โดยอาจจะเปนการวมมือกับสมาชิกในชุมชนเพื่อปลูกปาใน โอกาสตาง ๆ 4. ติดตามขาวสารเกี่ยวกับสิ่งแวดลอมเปนประจํา เพื่อจะไดทราบความเคลื่อนไหวเก่ียวกับ การรวมอนรุ ักษป า ไมรวมถงึ สิ่งแวดลอมในดา นอ่นื ดว ย หลักการอนรุ กั ษทรัพยากรธรรมชาติ ไดแกอ ะไรบาง 1. การอนุรักษแ ละการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ ตอ งคาํ นึงถึงทรัพยากรธรรมชาติอื่นควบคู กนั ไป เพราะทรัพยากรธรรมชาติตางกม็ ีความเก่ยี วขอ สัมพนั ธแ ละสงผลตอ กันอยา งแยกไมได 28 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
22 2. การวางแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอยางชาญฉลาด ตองเช่ือมโยงกับการพัฒนา สังคม เศรษฐกจิ การเมอื ง และคุณภาพชีวิตอยางกลมกลืน ตลอดจนรกั ษาไวซ ึง่ ความสมดุลของระบบ นเิ วศควบคูกันไป 3. การอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ ตองรวมมือกันทุกฝาย ท้ังประชาชนในเมือง ในชนบท และผบู ริหาร ทกุ คนควรตระหนกั ถงึ ความสาํ คัญของทรพั ยากรและส่ิงแวดลอมตลอดเวลา โดยเร่ิมตน ทต่ี นเองและทองถนิ่ ของตน รว มมือกันท้งั ภายในประเทศและท้งั โลก 4. ความสําเร็จของการพัฒนาประเทศขึ้นอยูกับความอุดมสมบูรณและความปลอดภัยของ ทรพั ยากรธรรมชาติ ดังน้ันการทาํ ลายทรัพยากรธรรมชาตจิ ึงเปนการทาํ ลายมรดกและอนาคตของชาติ ดวย 5. ประเทศมหาอํานาจท่เี จริญทางดานอตุ สาหกรรม มีความตองการทรัพยากรธรรมชาติเปน จาํ นวนมาก เพื่อใชป อนโรงงานอตุ สาหกรรมในประเทศของตน ดังน้ันประเทศท่ีกําลังพัฒนาท้ังหลาย จึงตอ งชวยกนั ปอ งกนั การแสวงหาผลประโยชนของประเทศมหาอาํ นาจ 6. มนุษยสามารถนําเทคโนโลยีตาง ๆ มาชวยในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได แตการ จัดการน้ันไมค วรมุง เพียงเพือ่ การอยูด กี ินดเี ทานนั้ ตอ งคํานึงถึงผลดที างดา นจิตใจดวย 7. การใชทรัพยากรธรรมชาติในแตละแหงนั้น จําเปนตองมีความรูในการรักษา ทรัพยากรธรรมชาตทิ จ่ี ะใหป ระโยชนแกมนษุ ยท ุกแงม ุม ทั้งขอดีและขอเสีย โดยคํานึงถึงการสูญเปลา อันเกิดจากการใชท รพั ยากรธรรมชาติดวย 8. รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่จําเปนและหายากดวยความระมัดระวัง พรอมท้ังประโยชน และการทําใหอยูในสภาพทเี่ พิ่มทั้งทางดานกายภาพและเศรษฐกิจเทาท่ที ําได รวมท้ังจะตองตระหนัก เสมอวา การใชท รพั ยากรธรรมชาตทิ มี่ ากเกินไปจะไมเ ปน การปลอดภัยตอ สง่ิ แวดลอ ม 9. ตอ งรกั ษาทรัพยากรท่ที ดแทนได โดยใหมีอัตราการผลิตเทากับอัตราการใชหรืออัตราการ เกิดเทากบั อัตราการตายเปนอยางนอย 10. หาทางปรับปรุงวิธีการใหม ๆ ในการผลิตและการใชทรัพยากรธรรมชาติอยางมี ประสทิ ธภิ าพ อีกทัง้ พยายามคนควา สิง่ ใหมมาใชทดแทน 11. ใหก ารศึกษาเพอ่ื ใหป ระชาชนเขา ใจถึงความสําคญั ในการรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 29 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ
23 สง่ิ แวดลอมคอื อะไร ส่ิงแวดลอม คือ ทุกสิ่งทุกอยางท่ีอยูรอบตัวมนุษยทั้งท่ีมีชีวิตและไมมีชีวิต รวมทั้งรูปธรรม (สามารถจบั ตองและมองเห็นได) และนามธรรม (ตัวอยางเชน วัฒนธรรม แบบแผน ประเพณี ความ เชื่อ) ทั้งที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติและที่มนุษยสรางข้ึน มีความสัมพันธเชื่อมโยงกัน เกื้อหนุนซ่ึงกัน และกัน สาเหตหุ ลกั ของปญ หาส่งิ แวดลอ มมกี ป่ี ระการ 1. การเพิม่ ของประชากร (Population growth) ปริมาณการเพมิ่ ของประชากรก็ยงั อยูใ น อตั ราทวคี ูณ (Exponential Growth) เมอ่ื ผคู นมากข้ึนความตองการบริโภคทรพั ยากรก็เพ่มิ มากขน้ึ ทุกทางไมวา จะเปนเรือ่ งอาหาร ทอ่ี ยูอาศัย พลงั งาน 2. การขยายตัวทางเศรษฐกิจและความกาวหนาทางดานเทคโนโลยี (Economic Growth & Technological Progress) ความเจริญทางเศรษฐกิจนั้นทําใหมาตรฐานในการดํารงชีวิตสูงตามไป ดว ย มกี ารบรโิ ภคทรัพยากรจนเกินกวาความจาํ เปน ข้นั พ้ืนฐานของชีวิต มีความจําเปนตองใชพลังงาน มากขึ้นตามไปดวย ในขณะเดียวกันความกาวหนาทางดานเทคโนโลยีก็ชวยเสริมใหวิธีการนํา ทรพั ยากรมาใชไดงา ยขึ้นและมากขึน้ ผลทไ่ี ดรบั จากปญ หาสงิ่ แวดลอ มไดแ กอ ะไรบาง 1. การเปล่ียนแปลงสง่ิ แวดลอมในทองถ่ินโดยธรรมชาติ ไดแก การเกิดอุทกภัยจากนํ้าปาไหล หลาก ทําใหสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะพืชถูกนํ้าทวม พืชบางชนิดไมสามารถดํารงชีวิตอยูไดในที่ที่มีนํ้าทวม จงึ ตายไปในท่สี ดุ และอทุ กภยั ยงั กอใหเกิดความเสียหายตอ สงิ่ มชี ีวิตทุกชนิด โดยเฉพาะสตั วและมนษุ ย 2. การเกิดลมพายุกเ็ ปนสาเหตุท่ที าํ ใหส ่ิงแวดลอมเกิดการเปล่ียนแปลง โดยลมพายุอาจพัดพา รุนแรงจนทําใหตนไมสูง ๆ บางตนตานแรงลมไมไหว จึงโดนลมลงไป ทําใหเกิดความเสียหายตาง ๆ ตามมาทําใหส ิง่ แวดลอ มเปลย่ี นไป 30 วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธุ์
24 3. การเกดิ ภเู ขาไฟระเบดิ กเ็ ปน สาเหตทุ ่ีทําใหส่ิงแวดลอมเกิดการเปลี่ยนแปลง ความรอนของ ลาวาทไี่ หลออกมาจากปลอ งภเู ขาไฟ ทําใหสิง่ มชี วี ติ ไมสามารถดํารงชีวิตได อีกทั้งกาซตาง ๆ ท่ีปลอย ออกมาจากปลอ งภูเขาไฟทําใหส ภาพอากาศเปลยี่ นไป 4. การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดลอมในทองถิ่นโดยมนุษย ไดแก มนุษยทําใหภูเขาไมมีตนไม กลายเปนภูเขาหัวโลน ตนไมในปาถูกตัดโคนทําลาย สัตวปาไมมีที่อยูอาศัยและขาดอาหาร นํ้าเสีย อากาศเปน พิษ ดินเสีย และเส่ือมสภาพ วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 31 ส�ำนักงาน กศน.จังหวัดกาฬสินธุ์
25 บทที่ 6 ปรากฏการณท างธรรมชาติ เมฆเกดิ จากอะไร “เมฆ” เปน ไอนาํ้ ทลี่ อยตวั อยูในอากาศ เม่ือไดร ับความรอนจากดวงอาทติ ยก็จะลอยตวั สูงขน้ึ จนไปกระทบกับมวลอากาศเยน็ ทีอ่ ยูดา นบนทําใหกลน่ั ตวั เปนละอองนํา้ ขนาดเล็กและเมื่อละอองนํา้ เหลานั้นรวมตัวกันก็จะเปน เมฆ นกั อตุ นุ ยิ มวิทยา แบงเมฆออกเปน กชี่ นดิ 1. เมฆชัน้ สูง เปนเมฆท่กี อตวั ทีร่ ะดบั ความสงู มากกวา 6 กโิ ลเมตร เมฆในช้ันนีส้ วนใหญมกั จะมี ลกั ษณะเปน กอนเล็ก ๆ และมกั จะคอนขา งโปรง ใส เมฆชน้ั สูง แบง ออกเปน 3 ชนิด คือ 1.1 เมฆเซอโรควิ มลู ัส เมฆสขี าว เปนผลึกนา้ํ แข็ง มีลักษณะ เปนรว้ิ คลื่นเลก็ ๆ มักเกิดข้ึนปก คลมุ ทอ งฟาบรเิ วณกวาง 1.2 เมฆเซอโรสเตรตัส มลี กั ษณะคลา ยกบั เมฆเซอรสั แตจะแผ ออกเปนแผน บางๆ ตาม ทิศทางของลม แผน บาง สีขาว เปนผลกึ นํ้าแข็ง ปกคลุมทองฟา เปนบริเวณกวาง โปรง แสง ตอแสงอาทติ ย บางคร้ังหกั เหแสง ทําใหเกิดดวงอาทติ ยท รงกลด และดวงจนั ทร ทรงกรด 1.3 เมฆเซอรสั เมฆริ้ว สขี าว รปู รางคลา ยขนนก เปนผลกึ นํา้ แข็ง มักเกดิ ข้ึนในวนั ทีม่ อี ากาศดี ทองฟา เปน สีฟา เขม 2. เมฆชนั้ กลาง เปนเมฆทกี่ อ ตวั ข้ึนจากหยดนํา้ หรอื ผลึกน้ําแข็ง อยทู ร่ี ะดบั ความสูงจากพืน้ ดนิ 2 - 6 กิโลเมตร เมฆช้นั กลาง แบงออกเปน 2 ชนดิ คือ 2.1 เมฆอัลโตควิ มลู ัส เมฆกอ น สขี าว ลักษณะเปน กลมุ กอนเล็ก ๆ คลายฝงู แกะมชี อ งวาง ระหวา งกอนเล็กนอย บางครั้งอาจกอตวั ตา่ํ ลงมาดคู ลาย ๆ กับเมฆสเตรโตคิวมลู ัส 32 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธ์ุ
26 2.2 เมฆอลั โตสเตรตัส มีลักษณะเปนแผน ปกคลมุ บริเวณทอ งฟาบรเิ วณกวาง สว นมากมกั มีสี เทา เนือ่ งจากบังแสงดวงอาทิตยห รือดวงจนั ทร ไมใ หลอด 3. เมฆช้นั ต่าํ เปนเมฆท่ีเกิดข้ึนท่รี ะดับความสูงจากพนื้ ดนิ ไมเ กิน 2 กิโลเมตร ซ่งึ สามารถจําแนกตาม ลกั ษณะรูปรา งไดด งั นี้ 3.1 เมฆสเตรตสั เปน เมฆแผนบาง สขี าว ปกคลุมทอ งฟาบริเวณกวาง และอาจทําใหเกดิ ฝน ละอองได มกั เกดิ ข้ึนตอนเชา หรือหลงั ฝนตก บางครั้งอาจลอยตํา่ ปกคลมุ พื้นดนิ เรียกวา “หมอก” 3.2 เมฆสเตรโตควิ มลู สั เมฆกอ น ลอยติดกนั เปนแพ ไมมีรูปทรงที่ชดั เจน มชี องวา งระหวา ง กอ นเพยี งเล็กนอย มักเกดิ ขนึ้ เวลาที่อากาศไมดี 3.3 เมฆนิมโบสเตรตสั เมฆแผน หนาสเี ทาเขม คลายพืน้ ดนิ ท่ีเปยกน้าํ ทาํ ใหเกิดฝนตกพรําๆ หรอื ฝนตกแดดออก ไมม พี ายฝุ นฟาคะนอง ฟา รอ งฟาผา มกั ปรากฏใหเหน็ สายฝนตกลง มาจากฐานเมฆ 4. เมฆกอตวั ในแนวตงั้ เปน เมฆท่ีอยสู งู จากพ้ืนดนิ ตัง้ แต 500-20,000 เมตร แบง ออกเปน 2 ชนดิ คอื 4.1 เมฆควิ มูลัส เมฆกอนปุกปยุ สีขาว รูปทรงคลายดอกกะหลาํ่ ฐานเมฆเปน สเี ทาเนอ่ื งจากมี ความหนามากพอทจี่ ะบดบังแสง จนทําใหเกดิ เงา มักปรากฏใหเ หน็ เวลาอากาศดี ทอ งฟา เปน สฟี าเขม 4.2 เมฆคิวมูโลนมิ บสั เมฆกอ ตัวในแนวต้ัง พัฒนามาจากเมฆควิ มูลัส มีขนาดใหญม ากปก คลมุ พืน้ ท่คี รอบคลุมท้ังจงั หวัด ทําใหเ กดิ ปรากฏการณท างธรรมชาติตา งๆ เชน ฟาแลบ ฟารอง พายุฝนฟา คะนอง และบางครัง้ อาจมลี กู เห็บตก สีของเมฆนนั้ สามารถใชใ นการบอกสภาพอากาศไดห รือไม 1. เมฆสีเขยี วจางๆ น้นั เกดิ จากการกระเจงิ ของแสงอาทติ ยเ มอื่ ตกกระทบน้ําแข็ง 2. เมฆสีเหลอื ง ไมคอยไดพ บเหน็ บอยครง้ั แตอาจเกิดข้ึนไดในชวงปลายฤดูใบไมผ ลิไป จนถงึ ชวงตนของฤดูใบไมรวง ซึ่งเปนชวงท่เี กิดไฟปา ไดงาย โดยสเี หลอื งนนั้ เกิดจากฝนุ ควนั ในอากาศ 3. เมฆสีแดง สสี ม หรอื สีชมพู โดยปกตเิ กิดในชวงพระอาทิตยขึ้น และพระอาทิตยต ก วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 33 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
27 หมอกเกดิ จากอะไร หมอกเกิดจากกล่ันตัวของไอนํ้าในอากาศ เมื่อไปกระทบกับความเย็นจะเปลี่ยนสถานะ ควบแนนเปนละอองน้ํา คลายควันสีขาว ลอยติดพืน้ ดิน บางครั้งจะหนามากจนเปนอุปสรรคในการ คมนาคม ซึ่งในวันที่มีอากาศช้ืน และทองฟาใส พอตกกลางคืนพ้ืนดินจะเย็นตัวอยางรวดเร็ว ทาํ ใหไ อน้ําในอากาศเหนอื พ้นื ดนิ ควบแนนเปนหยดน้ํา หมอกซ่ึงเกิดขึ้นโดยวิธีน้ีจะมีอุณหภูมิตํ่าและมี ความหนาแนน สูง เคลื่อนตัวลงสูท่ีตํ่า และมีอยูอยางหนาแนนในหุบเหว แตเม่ืออากาศอุนมีความช้ืน สูง ปะทะกับพื้นผิวที่มีความหนาวเย็น เชน ผิวน้ําในทะเลสาบ อากาศจะควบแนนกลายเปนหยดนํ้า ในลักษณะเชนเดยี วกับหยดน้ําซ่งึ เกาะอยูรอบแกว น้ําแข็ง น้ําคา งเกดิ จากอะไร นํ้าคางเปนหยดน้ําขนาดเล็กเกาะติดพ้ืนดินหรือตนไม เกิดจากการควบแนนของไอน้ําบน พนื้ ผิวของวัตถุ ซ่งึ มกี ารแผร ังสอี อกจนกระทั่งอณุ หภมู ลิ ดต่ําลงกวา จุดน้ําคางของอากาศซ่ึงอยู รอบ ๆ เนอื่ งจากพ้ืนผิวแตละชนิดมีการแผรังสีที่แตกตางกัน ดังนั้นในบริเวณเดียวกัน ปริมาณของนํ้าคางท่ี ปกคลุมพ้ืนผิวแตละชนิดจึงไมเทากัน เชน ในตอนหัวคํ่า อาจมีนํ้าคางปกคลุมพื้นหญา แตไมมี นํา้ คา งปกคลมุ พ้นื คอนกรตี เหตุผลอีกประการหน่ึงซึ่งทําใหน้ําคางมักเกิดขึ้นบนใบไมใบหญาก็คือ ใบ ของพชื คายไอนาํ้ ออกมา ทําใหอากาศบริเวณนั้นมคี วามช้นื สงู ฝนเกดิ จากอะไร ไอนํ้าท่ีกล่ันตัวเปนหยดนํ้า แลวตกลงมาบนพ้ืนผิวโลก ซ่ึงเปนรูปแบบหนึง่ ของการตกลงมา จากฟาของนาํ้ นอกจากฝนแลวยังมกี ารตกลงมาในรปู หิมะ เกลด็ นํ้าแข็ง ลูกเห็บ น้ําคาง ฝนนั้นอยูใน รปู หยดนํา้ ซึ่งตกลงมายังพ้ืนผวิ โลกจากเมฆ ลกั ษณะของการเกิดฝน สามารถแบงตามสาเหตุการเกดิ ได ดังนี้ 1. ฝนเกดิ จากการพาความรอน มวลอากาศรอ นลอยตัวสูงข้ึน 34 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธ์ุ
28 2. ฝนภูเขา มวลอากาศทอี่ ุมไอนา้ํ พดั จากทะเล ปะทะภูเขา จะลอยตัวสงู ขนึ้ 3. ฝนพายุหมนุ ความกดอากาศสงู เคล่ือนไปสูบริเวณความกดอากาศต่าํ มวลอากาศในบรเิ วณ ความกดอากาศตาํ่ ลอยตัวสูงขึ้น 4. ฝนในแนวอากาศ มวลอากาศรอ นปะทะมวลอากาศทมี่ ีอณุ หภูมิเย็น มวลอากาศรอน ลอยตัวสงู ขึ้น ลกู เหบ็ เกดิ จากอะไร หยดนาํ้ ที่กลายสภาพเปนนํ้าแขง็ เกิดจากมวลอากาศรอนท่ีลอยตัวสูงขึ้นพัดพาเม็ดฝนลอยขึ้น ไปปะทะกับมวลอากาศเย็นที่อยูดานบน ทําใหเม็ดฝนจับตัวกลายเปนนํ้าแข็ง เม่ือตกลงมายังมวล อากาศรอ นทอี่ ยูดานลาง ความชื้นจะเขาไปหอหุมเม็ดนํ้าแข็งใหเพิ่มขึ้น จากน้ันกระแสลมก็จะพัดพา เม็ดนํา้ แข็งวนซํา้ ไปซาํ้ มาหลายครั้งจนเมด็ น้ําแข็งมขี นาดใหญขึ้น และกระแสลมไมสามารถพยุงเอาไว ไดจึงตกลงมายังพื้นดนิ สว นใหญจะมขี นาดเสน ผา ศูนยก ลางประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ซึ่งมักจะเกิดขึ้น ในเขตพ้นื ที่ทม่ี ีอากาศรอนมาก และเกิดในชว งเปลยี่ นจากฤดูรอ นไปเปนฤดฝู น ทาํ ใหเ กดิ ความเสียหาย ตอการเลย้ี งสตั ว เรอื กสวนไรนา บานเรือน และเครือ่ งบิน กรณศี กึ ษาน้าํ คา งแขง็ “แมค ะนิง้ ” เกดิ จากอะไร นาํ้ คางแขง็ หรือ “แมค ะน้งิ ” และ“เหมยขาบ” เกิดจากไอนํ้าในอากาศที่ใกลๆกับพื้นผิวดิน ลดอุณหภมู ิลงจนถึงจุดนํา้ คาง จากน้ันก็จะกลั่นตัวเปนหยดน้ํา โดยอุณหภูมิยังคงลดลงอยางตอ เนื่อง จนถึงจดุ ตํา่ กวา จุดเยอื กแข็ง จากนนั้ นํ้าคางก็จะเกิดการแข็งตัวกลายเปนนํ้าคางแข็งเกาะอยูตามยอด ไมใบหญา ซ่ึงการเกิดแมคะน้ิงน้ันไมใชจะเกิดขึ้นไดงา ยๆ แตจะเกิดกต็ อเมื่อมีอากาศหนาวจัดจน นํา้ คางยอดหญา หรอื ยอดไมแข็งตัว ในอุณหภูมปิ ระมาณศูนยอ งศาเซลเซยี สหรอื ติดลบเล็กนอ ย วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 35 สำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสินธุ์
29 ผลกระทบของน้ําคางแขง็ “แมค ะนงิ้ ”ทาํ ใหเ กิดอะไรบา ง การเกดิ แมคะนงิ้ อาจจะนา สนใจสําหรับใครหลายๆคน แตก็มีทงั้ ผลดี และผลเสีย ซ่ึงถามองใน ดานการทองเท่ียวก็เปนตัวกระตุนนักทองเท่ียว แตในทางตรงกันขามจะมีผลกระทบโดยตรงทาง การเกษตร เพราะสรางความเสียหายแกพืชไรและผักตางๆ เชน ขาวท่ีกําลังออกรวงก็จะมีเมล็ดลีบ พืชไรชะงกั การเจรญิ เตบิ โต พชื ผักใบจะหงิกงอ ไหมเกรยี ม สวนพวกกลวย มะพราว และทุเรียนใบจะ แหงรวง เปนตน ซ่ึงหากแมคะนิ้งเกิดติดตอกันยาวนาน ถือวาชาวนา ชาวไร ชาวสวนเดือดรอน แนนอน การพยากรณอ ากาศหมายถึงอะไร การคาดหมายสภาพลมฟาอากาศ และปรากฏการณทางธรรมชาติในอนาคต เชน การคาดหมายสภาพอากาศของวนั พรุงน้ี เปน ตน การทจ่ี ะพยากรณอากาศไดตองมีองคประกอบอะไรบาง 1. ความรูความเขาใจในปรากฏการณและกระบวนการตาง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในบรรยากาศ โดยไดมาจากการเฝา สังเกตและบนั ทกึ ไว ซึ่งมนษุ ยไ ดม ีการสังเกตลมฟา อากาศมานานแลว 2. สภาวะอากาศปจจุบัน ซึ่งจําเปนตองใชเปนขอมูลเริ่มตนสําหรับการพยากรณอากาศ โดยขอ มูลนีไ้ ดม าจากการตรวจสภาพอากาศ ซึ่งมีท้งั การตรวจอากาศผิวพ้ืน การตรวจอากาศชั้นบนใน ระดับความสูงตาง ๆ สิ่งสําคัญทต่ี อ งทําการตรวจเพื่อพยากรณอากาศไดแก อุณหภูมิความกดอากาศ ความช้นื ลม และเมฆ 36 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธุ์
30 อุณหภูมขิ องอากาศ หมายถงึ อะไร ระดับความรอนของอากาศ ซ่ึงมีความสําคัญตอการหมุนเวียนของอากาศ โดยอากาศจะ เคลอ่ื นทจี่ ากบริเวณที่มีอุณหภูมิตํ่าไปยังบริเวณท่ีมีอุณหภูมิสูงกวา ทั้งนี้อุณหภูมิของอากาศในแตละ บรเิ วณนน้ั จะมลี ักษณะทแ่ี ตกตา งกันออกไป และสามารถเปลยี่ นแปลงไดตลอดเวลา ความกดอากาศ หมายถงึ อะไร นํ้าหนกั ของอากาศที่กดทับเหนือบรเิ วณนั้นๆ สามารถวดั ไดโดยใชเ ครือ่ งมือท่ีเรยี กวา \" บารอมเิ ตอร \" มีหนว ยเปน มลิ ลิบาร หรือ ปอนดต อ ตารางนว้ิ ความกดอากาศแบง ไดก ช่ี นิดอะไรบา ง 1. บริเวณความกดอากาศตาํ่ หรือ หยอมความกดอากาศตํ่า หมายถึง บริเวณซ่ึงมีปริมาณ อากาศอยูนอย ซ่ึงจะทําใหนํ้าหนักของอากาศนอยลงตามไปดวย ทําใหอากาศเบาและลอยตัวสูงขึ้น เกดิ การแทนที่ของอากาศทําใหเ กดิ ลม 2. บริเวณความกดอากาศสูง หรอื หยอมความกดอากาศสูง หมายถึง บริเวณที่มคี าความ กดอากาศสูงกวาบริเวณโดยรอบ เรียกอีกอยางหนึ่งวา \"แอนติไซโคลน\" เกิดจากศูนยกลางความกด อากาศสูงเคลื่อนตัวออกมายังบริเวณโดยรอบ ทําใหอากาศขางบนเคลื่อนตัวจมลงแทนที่ ทําให อุณหภูมิสูงข้ึนไมเ กดิ การ กล่ันตัวของไอนํา้ สภาพอากาศโดยท่วั ไปจงึ ปลอดโปรง ทอ งฟาแจมใส วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 37 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธุ์
31 บทท่ี 7 สารและสมบัตขิ องสาร สารคอื อะไร สาร หมายถึง สิ่งที่มีตัวตน มีมวล ตองการที่อยู และสัมผัสได สารแตละชนิดจะมีสมบัติ เฉพาะตัว ซ่ึงแตกตางจากสารอนื่ เชน นํ้ามีจุดเดือด 100๐ C เอทิลแอลกอฮอล มีจุดเดือด 78.5๐ C และตดิ ไฟได กรดบางชนดิ มรี สเปรย้ี ว สามารถกดั กรอนโลหะบางชนิดได เบสบางชนิดมีรสฝาด และ กดั กรอ นโลหะบางชนิด เปนตน สมบตั สิ ําคัญของสาร มีอะไรบา ง สมบตั ิของสารแบง ออกเปน 2 ประเภท 1) สมบัติทางกายภาพ หมายถึง สมบัติของสารท่ีแสดงใหเห็นลักษณะภายนอกของสาร สามารถสงั เกตไดงา ย เชน รปู รา ง สี กล่นิ รส สถานะของสาร จดุ เดอื ด จดุ หลอมเหลว เปน ตน 2) สมบัติทางเคมี หมายถงึ สมบัติของสารท่ีแสดงลักษณะภายในของสารโดยอาศัยการ เปลี่ยนแปลงทางเคมี เชน กรดมคี วามสามารถในการกัดกรอนโลหะ กาซออกซิเจนมีสมบัติทําใหสาร อื่นท่เี ปน เชือ้ เพลงิ สามารถติดไฟได กาซฮีเลยี ม เปน กาซเฉื่อย คือไมทําปฏกิ ริ ิยากบั สารใด ๆ เปนตน สถานะของสารมีอะไรไดบ าง ยกตวั อยา งสารทีอ่ ยสู ถานะตา ง ๆ สาร มี 3 สถานะ คอื 1) ของแขง็ (solid) เชน โลหะเหลก็ โลหะทองคาํ โลหะทองแดง กอ นถา น เพชร ผงกํามะถนั แกว ไม ผงการบูร น้ําแข็ง 2) ของเหลว (liquid) เชน นาํ้ กล่ัน น้ําเชื่อม โลหะปรอท นํา้ มันเชอ้ื เพลิง แกส หุงตม (เมื่อถูก อัดลงในถงั เกบ็ ) น้าํ มันพืช ทินเนอร 38 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
32 3) แกส (gas) เชน อากาศ ไอนํา้ กา ซออกซเิ จน กา ซไนโตรเจน กา ซคารบอนไดออกไซด กาซ หุงตม (ขณะพงุ ออกจากถงั เขา สูหวั เตา) การจดั เรียงอนุภาคของสารใน 3 สถานะ ขางตนดังกลา ว แตกตา งกันอยางไร 1) ของแขง็ อนุภาคชิดกันเปนระเบียบ มีความหนาแนนและแรงยึดเหน่ียวระหวางโมเลกุลสูง อนุภาคของสารถูกตรึงใหอยูกับที่ (แตสามารถหมุนได) ของแข็งจึงมีรูปรางแนนอน ไมเปล่ียนตาม ภาชนะบรรจุ 2) ของเหลว อนุภาคอยูใกลชิดกันไมเปนระเบียบ แตมีแรงยึดเหน่ียวระหวางกันสามารถ เคลอื่ นท่ีไดในชว งแคบ ๆ จึงมีการชนกันตลอดเวลา การท่ีอนุภาคสามารถเคล่ือนที่ได หมุนได สั่นได โมเลกลุ ของของเหลว จงึ มพี ลงั งานสูงกวา โมเลกลุ ของของแข็ง (เมอ่ื เปรยี บเทียบสารชนิดเดียวกัน เชน อนุภาคของนํ้ามีพลังงานสูงกวาอนุภาคของนํ้าแข็ง) การท่ีอนุภาคเรียงไมเปนระเบียบเทาของแข็ง จึงทําใหของเหลว ไหลได รปู รา งของของเหลวจึงเปลย่ี นตามรูปรางของภาชนะบรรจุ 3) แกส อนุภาคอยหู างกันเปน อสิ ระแกก นั โดยสิน้ เชิง แตละอนุภาคสามารถเคลื่อนท่ีไดอิสระ จึงมีการชนกันตลอดเวลา การที่อนุภาคสามารถเคลื่อนท่ีได อยางอิสระนี้ อนุภาคของแกสจึงมี พลงั งานสูงกวา อนภุ าคของของเหลวและของแข็ง (เมื่อเปรียบเทยี บสารชนดิ เดียวกัน เชน อนุภาคของ ไอนํา้ นาํ้ มพี ลงั งานสูงกวาอนภุ าคของน้ําและอนภุ าคของนํา้ แข็ง) การที่อนุภาคเรยี งไมเปนระเบียบและ ฟงุ กระจายตลอดเวลานี้ จึงทําใหแกสไหลได มีรูปรางของตามรูปรางของภาชนะบรรจุและบรรจุเต็ม ภาชนะเสมอ มีปจ จัยใดบา งทท่ี าํ ใหส ารมกี ารเปลี่ยนแปลงสถานะ ปจ จยั ท่ที าํ ใหส ารเปล่ียนแปลงสถานะ มี 2 ปจจยั คอื 1) การเปล่ยี นแปลงอุณหภมู ิ การใหความรอนแกสารหรือสารท่ีไดรับความรอน ทําใหสารมี อุณหภูมิสูงข้ึน มีผลทําใหสารเปลี่ยนสถานะจาก ของแข็ง ของเหลว และ ของเหลว แกส เชน การเกดิ ภาวะโลกรอน ทาํ ใหน าํ้ แข็งขัว้ โลกมีออุณหภมู ิสูงขึ้น ผลคอื น้าํ แขง็ เปลี่ยนเปนน้ํา วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 39 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสินธุ์
33 ในทางกลับกนั ถา บังคับใหส ารสูญเสียความรอนหรือดึงความรอนออกจากสาร เปนการทําใหสารมี อุณหภมู ิลดลง สารจะเปลยี่ นสถานะจาก แกส ของเหลว (เชนการใหไอนํ้าปะทะกับบริเวณที่เย็น กวา ไอนํ้าจะควบแนนเปนหยดน้ํา) ของเหลว ของแข็ง (เชนการนําน้ําใสในชองแชแข็ง น้ําจะ เปลี่ยนเปนน้ําแข็ง หรือในวันที่อากาศหนาวจัด เมื่ออุณหภูมิลดลงตํ่ากวา 0๐C นํ้าคางบนยอดหญา เปลยี่ นเปน นํ้าคา งแข็ง 2) การเปล่ยี นแปลงความดนั การเพิม่ ความดนั มาก ๆ เปน การบีบใหอนุภาคของสารอยูชิดกัน มากขนึ้ มผี ลทําใหแ กสมโี อกาสเปลียนเปน ของเหลวได ตวั อยางเชน การอดั แกสหุงตมดวยความดันสูง มาก ๆ ทําใหแ กส หุงตมเปลี่ยนเปนของเหลวไดเมื่ออยูในถังเก็บ การอัดน้ําหอมดวยความดันสูงลงใน ขวดหรอื กระปอ งของผลิตภัณฑสเปรย ทาํ ใหน าํ้ หอมน้นั อยูใ นสถานะของเหลว แตเมื่อพนออกมานอก กระปอง คา ความดันลดลงเปน คาความดันปกติ ทาํ ใหข องเหลวในกระปอ งสเปรยเปล่ยี นเปน แกสทนั ที ในบางกรณี มคี วามจําเปน ตอ งเปลี่ยนแปลงทัง้ อณุ หภูมแิ ละเปล่ยี นแปลงความดันไป พรอม ๆ กัน เชน ในการผลิตน้ําแข็งแหง (Dry ice) ซ่ึงหมายถึงคารบอนไดออกไซดที่ถูกทําใหเปนของแข็ง โดยการนําเอากาซคารบอนไดออกไซดที่ทําใหบริสุทธ์ิแลว มาลดอุณหภูมิพรอมกับการเพิ่มความดัน การลดอหุ ณหภูมิ เมื่ออุณหภมิลดลง อนุภาคของคารบอนไดออกไซด จะมีพลังงานลดลง จะอยูชิดกัน มากข้ึน การเพิ่มความดัน ชวยบีบใหอนุภาคชิดกันมากขึ้น จึงทําใหกาซคารบอนไดออกไซดเปล่ียน สถานะจากแกส ไปเปน ของแข็ง ท่เี รยี กวานํา้ แขง็ แหง นนั่ เอง ใหยกตัวอยางคาํ ทใ่ี ชเรยี กการเปลยี่ นแปลงสถานะของสาร คําท่ีใชเรียกการเปลย่ี นแปลงสถานะของสาร ไดแ ก คําตอ ไปน้ี 1. การกลายเปนไอ (vaporization) การกลายเปนไอเปนคําเรียกรวม ๆของการเปลี่ยน สถานะของสารจากของเหลวเปน แกส 2. การระเหย (Evaporation) หมายถึง การเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเปนแกส โดยการสง ผานพลงั งานจากการชนกันของอนุภาคที่อยูภายในของของเหลวจนถึงอนุภาคท่อี ยูผิวหนา ของของเหลว การระเหยจึงเกิดข้ึนไดในทุก ๆ ชวงอุณหภูมิ เชน น้ําสามารถระเหยได ท้ังในที่ที่ อหุ ณภูมสิ งู และอุณหภมู ิตาํ่ (แตจ ะระเหยไดเ รว็ ชา ตางกัน-เม่ืออุณหภมู ิสูงจะระเหยไดเ รว็ กวา ) 40 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ
34 3. การเดอื ด (Boiling) หมายถึงการทข่ี องเหลวเปลี่ยนเปนแกส เมื่อของเหลวถูกทําใหรอนขึ้น จนมีอุณหภูมิเทากับจุดเดือดของของเหลวน้ัน เชน ถาทําใหนํ้ารอนขึ้นจนถึง 100๐C น้ําจะเดือด และเปลี่ยนสถานะเปนไอนํ้า ถาทําใหเอทิลแอลกอฮอลรอนขึ้นจนถึง 78.5 ๐C เอทิลแอลกอฮอลจะ เดอื ด และเปลี่ยนสถานะเปน ไอของเอทลิ แอลกอฮอล 4. การหลอมเหลว (Melting) หมายถึงการท่ีของแข็งไดรับความรอนแลวเปล่ียนสถานะเปน ของเหลว เชน เม่ือนํากอนน้ําแข็งออกจากชองชแข็งมาวางท้ิงไว ณ อุณหภูมิหองน้ําแข็งจะคอย ๆ หลอมกลายเปน น้ํา การนําแทงเทียนไขใสลงในภาชนะแลวใหความรอน เทียนไขจะหลอทกลายเปน ของเหลว เปนตน 5. การแข็งตวั (Freezing) หมายถงึ การที่ของเหลวสูญเสียความรอน แลวเปลี่ยนเปนของแข็ง เชน การนํานํ้าเช่อื มเขา แชในถงั เกบ็ ไอศกรีม ซี่งมีอุณหภูมิตํ่ามาก นํ้าเช่ือมจะสูญเสียความรอนใหกับ บริเวณรอบ ๆ ในถังเก็บ จนในที่สุดน้ําเชื่อมแข็งตัว เมื่อหยุดใหความรอนแกเทียนท่ีเปนของเหลว เทียนเหลวนน้ั จะคอย ๆ คายความรอนออกมาอยางชา ๆ จนในท่ีสุด เทียนเหลวกลับเปนไขอยางเดิม ในฤดหู นาว นํา้ มันพชื บางชนดิ เชน นํ้ามนั มะพราว เปลีย่ นเปน ไข 6. การระเหิด (Sublimation) หมายถึง การท่ีของแข็งเปลี่ยนสถานะเปนไอโดยไมตองผาน การเปน ของเหลวกอน เชน แนฟธาลนี (ลูกเหม็น)ในตเู สือ้ ผา เปลย่ี นสถานะเปนไอของลูกเหม็น ไอของ ลูกเหม็นนี้มีสมบัติเปนสารไลแมลง (Insect repellant) ไอโอดีน ซ่ึงมีลักษณะเปนเกล็ดสีนํ้าตาล เปลีย่ นเปนไอของไอโอดนี มลี ักษณะเปน ไอสมี ว ง เปน ตน 7. การควบแนน (Condensation) หมายถงึ การท่ไี อของสารหรือสารในสถานะแกสถูกบังคับ ใหส ูญเสยี ความรอน(เชนใหป ะทะกบั บริเวณทเ่ี ย็นกวา ) ไอของสาร หรือแกส เปล่ียนเปนของเหลว วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 41 สำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
35 บทท่ี 8 การแยกสาร การแยกสารมคี วามสาํ คญั อยางไร ทําไมจงึ ตอ งมกี ารแยกสาร ในธรรมชาติสารมักอยูในรูปของผสม กลาวคือ มีสารหลาย ๆ ชนิดรวมกันหรือปนกันอยู แตเ รามีความจาํ เปน ตอ งใชประโยชนจ ากสารบางชนิดที่ปนอยใู นของผสมนั้น จึงจําเปนตองมีการแยก เอาสารน้ัน ๆ ออกมาก เชน เราตองการเกลือแกง(โซเดียมคลอไรด)ที่ปนอยูกับนํ้า และสารอ่ืน ๆ ในน้ําทะเล เราตองการดินประสิว (โพแทสซียมไนเตรต) จากดินมูลคางคาวที่เก็บจากถํ้า เราตองการนํ้าตาลทราย(นํ้าตาลซโู ครส) จากตน ออย เปนตน หลกั การสําคญั ของการแยกสาร มหี ลักสําคญั อยา งไร ในการแยกสารนั้น ตองอาศัยสมบัติของสารเปนสําคัญ กลาวคือ ตองทราบวาสารท่ีเรา ตอ งการนน้ั มสี มบตั สิ ําคญั ตางจากสารอ่ืนทีผ่ สมกนั อยูน้ันอยางไร ตัวอยา ง - ตองการแยกเกลอื แกงซ่งึ ผสมอยูก บั ผงถาน เกลือแกงกับผงถาน สาร 2 ชนิดนี้ ละลายในน้ําได แตกตา งกนั เกลอื แกงละลายนํ้าไดดี ผงถา นไมล ายน้าํ ดงั นัน้ เราใชสมบัติเรื่องการละลายนํ้า ในการแยก เกลือแกงกับผงถานจากกัน คือ นําของผสมใสภาชนะ เชน บีกเกอรหรือถวยแกว เติมน้ําลงไปเพียง เพอ่ื ใหละลายเกลอื แกงไดห มด ผงถา นไมล ะลายนํา้ นําไปกรองดวยกรวยแกวและกระดาษกรอง ผงถาน ติดอยทู ี่กระดาษกรอง เกลือทล่ี ะลายอยูในนา้ํ ผานกระดาษกรองไปได ขั้นตอนน้ีเรียกวา การกรอง เมือ่ วางทง้ิ ไวใ หนํ้าระเหยไป จะไดเ กลือบรสิ ทุ ธอ์ิ อกมา การทีเ่ กลอื แกงท่ีเคยละลายในนํ้าได ตอมาเม่ือนํ้า ระเหยไป เกลือสวนท่ีไมล ะลาย แยกออกมาจากนํ้าเกลือเขม ขนน้ี เรียกวา การตกผลึก หรือหากตองการ ใหน าํ้ ระเหยออกไปอยางรวดเร็ว ก็ใหความรอนชวย โดยการตมก็ได หลักการน้ีเปนหลักการท่ีใชในการ ทาํ เกลือสนิ เธาว คอื การแยกเกลืออกมาจากดนิ เค็ม - ตอ งการน้าํ บริสทุ ธ์ิ จากน้าํ ที่มีสารอน่ื ละลายปนอยดู วย ถาสารอื่นท่ีละลายปนอยูนั้น ระเหยได ยาก คือ มจี ุดเดอื ดสูง เชน นาํ้ ปนกับเกลือแกง เราสามารถแยกออกจากกนั โดยการกลนั่ กลาวคอื 42 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์
36 นาํ ของผสมใสใ นขวดแกว ที่ปดสนทิ มีชองทางใหไอออกไดทางเดียว เม่ือใหความรอนน้ําระเหยกลายเปน ไอผานทางชองทางออก เขาสูสวนท่ีเย็นกวา เรียกวา คอนเดนเซอร (Condensor) แปลวา สวนที่ทําให เกิดการควบแนน ไอนํ้า จะเปล่ียนเปนหยดน้ํา หยดลงสูภาชนะรองรับ สวนสารอื่น ๆ ท่ีไมระเหยยังคง คางในขวดแกว เราเรียกการแยกสารโดยวธิ นี ้วี า การกลัน่ (Distillation) - ตอ งการแยกนํา้ ตาลทรายออกมาจากตนออ ย เมือ่ นําลาํ ตนออย มาทาํ ความสะอาดใชแรงกล ในการบบี หรอื หีบออ ยใหนาํ้ ออยแยกออกมา แยกสว นทีเ่ ปนของแข็งออกจากน้ําออยโดยการกรอง ไดผล เปนนา้ํ ออย เมือ่ ทําใหรอน นํา้ ระเหยไปจนไดนา้ํ ออยท่ีเขมขน น้าํ ตาลทรายที่ละลายในนํ้าออยสวนท่ีเคย ละลายได จะละลายไดน อ ยลง จะแยกตวั ออกมา โดยการตกผลึก ผลึกที่ไดน้ี คอื นาํ้ ตาลทราย การกลนั่ ลําดับสว น มหี ลกั การสาํ คญั อยางไร แตกตา งจากการกลั่นแบบธรรมดาอยางไร ในกรณีท่ีของผสมเปนของเหลว ซ่ึงมีจุดเดือดแตกตางกัน ผสมกันอยู การกล่ันธรรมดา ไมอาจแยกของเหลวที่ผสมกันนั้นออกจากกันได เน่ืองจากในขณะที่ใหความรอ นของเหลวชนิดหน่ึง ระเหย ของเหลวชนิดอน่ื ๆ ก็ระเหยไดดวย จงึ มคี วามจําเปนตองเพ่ิมอุปกรณบางอยางเขาไป เพ่ือทํา ใหไอของของเหลวท่ีมีจุดเดือดสูงกวา ระเหยออกมาทีหลัง ตามลําดับของคาจุดเดือด กลาวคือ ของเหลวทม่ี ีจุดเดอื ดต่าํ ระเหยไดง า ยกวา จะกลายเปน ไอและเขาสูคอนเดนเซอร(สวนท่ีทําใหเกิดการ ควบแนน )กอน จงึ เก็บของเหลวท่ีกล่ันไดกอ น สว นของเหลวทีม่ ีจดุ เดือดสงู กวา กลายเปนไอออ/กมาที หลัง เขาสูคอนเดนเซอร และเก็บไดเปนลําดับถัดมา ของเหลวท่ีกล่ันได จะถูกเก็บแยกเปนสวน ๆ ตามลําดบั ของจุดเดือด จงึ เรียกการกลนั่ แบบน้วี า การกลนั่ ลําดับสวน (Fractional Distillation) อปุ กรณท ่ีเพิ่มจากการกลัน่ ธรรมดา คอื กระบอกแกว ทรงสงู บรรจดุ ว ยลกู แกว เศษแกว หรือแกวท่ีพับทบ ไปทบมาเพื่อเพิ่มพ้ืน ท่ี ผิวสัมผัส ทําใ หไอ ขอ ง ของเหลวท่ีมีจุดเดือดสูง กวาผานออกไปไดยากขึ้น เรียกก ระบอกแกวน้ีวา คอมลมั นกล่ันลําดับสว น วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 43 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธุ์
37 ในการกลั่นลําดับสวนปโตรเลียม ไดประยุกตหลักการนี้ โดยการดัดแปลงใหมีชองทางออก สาํ หรับไอของของเหลวหลาย ๆ ชอง ตามระดบั ความสงู ตาง ๆ กัน (ดภู าพหอกล่ันนํ้ามันดิบประกอบ) ของเหลวที่มีจุดเดอื ดตาํ่ กลายเปนไอกอน เม่ือใหความรอนจนของเหลวที่มีจุดเดือดสูงกวากลายเปน ไอตามมา ไอของของเหลวเหลานี้จะลอยอยูที่ความสูงแตกตางกัน สารที่มีจุดเดือดต่ําสุดลอยอยูที่ สูงสดุ ของหอกล่ัน สว นสารที่มจี ุดเดือดตา่ํ กวา จะลอยตํ่าลงมาตามลําดับ เม่ือตอทอใหไอเขาสูเครื่อง ควบแนน ท่ีระดบั ความสูงแตกตา งกัน จะไดของเหลวที่มีจุดเดือดแตกตางกันออกมาเปนสวน ๆ เรียก การกลัน่ แบบน้ี วา การกลั่นลําดับสวน เชนกัน ซึ่งใชในการแยกน้ํามันเชอ้ื เพลิงชนิดตาง ๆ ออกจาก นํ้ามนั ดิบ ไอของสารท่มี จี ุดเดือดต่ํากวา ระเหยงา ยกวา ลอยอยสู งู กวา ในหอกล่นั ไอของสารท่มี จี ดุ เดอื ดสงู กวา ระเหยยากกวา ลอยอยตู า่ํ กวา ในหอกลัน่ โครมาโทกราฟ คืออะไร มอี งคป ระกอบสําคญั อะไรบาง แยกสารผสมออกจากกนั ไดอยางไร โครมาโทกราฟ แปลตามศัพทแ ปลวาแยกออกเปน สี ๆ เปนวธิ กี ารแยกสารทอ่ี าศยั สมบตั ทิ แ่ี ตกตา ง กันของสารใน 2 ประการ คอื 1. สมบตั ิในการละลายในตัวทาํ ละลาย (ท่ีใชใ นโครมาโทกราฟค รง้ั นนั้ ) ไดแ ตกตา งกัน 2. สมบตั ิในการถูกดูดซับโดยตัวกลาง (ท่ใี ชในการทําโครมาโทกราฟค รง้ั นั้น) ไดแตกตา งกนั 44 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 สำ� นกั งาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธุ์
38 องคป ระกอบในการทาํ โครมาโทกราฟ ประกอบดว ยอะไรบาง - องคประกอบท่ี 1 สว นท่ีอยูกบั ที่ หรอื ตัวดดู ซบั - องคป ระกอบที่ 2 สวนทเี่ คลื่อนที่ หรอื ตัวทาํ ละลายทใ่ี ช กลไกการแยกเกิดขึ้นเมื่อปลอยใหสารผสมเคลื่อนที่ผานตัวดูดซับ สารแตละชนิดจะละลายในตัวทํา ละลายท่ใี ชไ ดต างกัน และถกู ดูดซับโดยตวั ดดู ซับไดแตกตา งกนั สารท่ีละลายไดดีและถูกดูดซับไดนอย จะเคล่อื นทีไ่ ปไดม ากกวา ในทางกลับกัน สารที่ละลายไดไมคอยดีและถูกดูดซับไดมากจะเคล่ือนที่ไป ไดน อยกวา การแยกจงึ เกิดข้ึน ในปจ จบุ นั มีเทคนคิ ทางโครมาโทกราฟท่สี ามารถใชแยกสารไดหลากหลาย ทั้งสารท่ีมสี ีและไม มีสี และเปน วิธีการที่สําคญั มากที่ใชทั้งกระบวนการแยกสารและกระบวนการตรวจวิเคราะห เพื่อบง บอกชนิดของสาร วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 45 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธ์ุ
39 บทที่ 9 สารในชีวิตประจาํ วนั สารเขา สูรา งกายไดอ ยา งไร ในชวี ิตประจาํ วนั สารมโี อกาสเขาสรู างกายในทางตอไปนี้ 1. ทางปาก โดยการกินจะกินโดยต้ังใจ หรือสารปนเปอนกับอาหาร เปอนมือมาในขณะที่จับ สารพิษแลวไมไดลางทําความสะอาดกอนหยิบจับอาหารมารับประทาน ตัวอยาง ผูที่ทํางานในภาค การเกษตร หยิบจับปุย ยาฆาแมลง สารกําจัดวัชพืช แลวไมลางมือ ทําความสะอาดใหดี เม่อื มารับประทานอาหาร โอกาสทจี่ ะสารเหลานี้จะเขา สรู างกายโดยการกนิ จึงมโี อกาสเกดิ ขึน้ ได 2. ทางจมูก โดยการสูดดมเอาไอของสารนั้น ๆ เขาไป เชน ผูท่ีทํางานในปมนํ้ามัน ในขณะท่ี เตมิ น้ํามันนน้ั ไอระเหยของน้าํ มนั เชอ้ื เพลงิ มีโอกาสเขาสรู า งกายได 3. ทางผิวหนัง โดยการสัมผัสกับสารเคมีเหลาน้ัน เชน ผูท่ีทํางานในภาคการเกษตรในขณะ หยิบจับ สารพษิ ท่ใี ชฆ าแมลงหรือยาปราบวชั พชื ในขณะสมั ผัสโดยไมใชถงุ มือปองกันที่ดีพอ สารพิษมี โอกาสซมึ ผา นผวิ หนงั ได ใหย กตัวอยางสารทพ่ี บในชวี ิตประจาํ วันและวีการใชส ารนั้น ๆ อยางปลอดภยั ในชวี ิตประจําวนั เราพบและใชส ารกลมุ ตาง ๆ มากมาย ขอยกตวั อยางสารกลมุ ตา งๆ ท่ีสําคญั ๆ ดงั น้ี 1. กลมุ ผลิตภัณฑจากการกลั่นปโตรเลียมและตัวทําละลายอินทรีย ไดแก นํ้ามันเชื้อเพลิง ชนิดตา ง ๆ ไดแก น้ํามันเบนซิน นํ้ามันดีเซล น้ํามันกาด ตัวทําละลาย เชน ทินเนอรผสมสี นํ้ามันสน น้าํ ยาลางเล็บ แอลกอฮอลจ ดุ ไฟ กาวบางชนดิ สารกลุมน้ีมีสมบัตทิ สี่ าํ คัญ คอื ไมล ะลายนํ้าหรือละลาย ไดนอ ยมาก เมือ่ ผสมกับนํา้ จะแยกชัน้ มสี มบตั เิ ปน เช้ือเพลิง ติดไฟไดด ี 2. สารกลุมละลายน้ําไดและมีฤทธิ์กัดกรอน ไดแก สารกลุมท่ีเปนกรด เชน นํ้าสมสายชู น้ํามะนาวสังเคราะห (กรดซิตริก) น้ํากรดในแบตเตอรีรถยนต (กรดซัลฟวริก) กรดเกลือ (กรดไฮโดรคลอริก) ในผลิตภัณฑลา งพ้นื หอ งน้ําบางชนดิ กรดกดั แกวในการกัดกระจกใหเปนลายแบบ 46 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ
40 ตาง ๆ สารกลมุ ทเี่ ปน เบส (ดา ง) เชน โซดาไฟทใ่ี ชในการลางทอท่ีอุดตันใชในการทําสบู และใชในการ ผลิตแกสไฮโดรเจนเพอื่ อดั เขา สลู ูกโปงชนิดลอยได แอมโมเนยี ในผลติ ภณั ฑเ ชด็ กระจก 3. กลมุ สารเคมีที่ใชใ นการทําความสะอาด สบู แชมพสู ระผม (นับเปน สบชู นดิ หนึ่ง) ผงซักฟอก นา้ํ ยาขจดั คราบ ยาสีฟน 4. สารเคมีทใี่ ชใ นการเกษตร ไดแ ก สารฆา แมลง (Insecticide) สารกนั รา (Fungicide) สาร ปราบวชั พืช (Herbicide) เปน ตน 5. กลุม สารทีใ่ ชใ นการขับไลแ มลง เชน สเปรยฉีดกนั ยุง/แมลงสาบ โลชัน่ ทากันยงุ ยาจุดกัน ยุง แนฟธาลีน (ลกู เหม็น) สารกลมุ ทก่ี ลาวมาขา งตน ตอ งใชดวยความเขาใจ ระมัดระวัง เนื่องจากอาจกอ ใหเกิดอนั ตราย โดยตรง เกดิ ผลกระทบตอ สิง่ แวดลอ ม โดยมีรายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ในแตล ะกลุม 1. กลุมผลติ ภัณฑจากการกล่ันปโตรเลียมและตัวทําละลายอินทรีย ไดแก นํ้ามันเช้ือเพลิง ชนดิ ตาง ๆ ไดแ ก นาํ้ มนั เบนซิน นํา้ มนั ดีเซล น้ํามันกาด ตัวทําละลาย เชน ทินเนอรผสมสี น้ํามันสน น้ํายาลางเลบ็ แอลกอฮอลจ ดุ ไฟ กาวบางชนิด สารกลุมน้มี ีสมบัตทิ สี่ าํ คัญ คือ ไมละลายนํ้าหรือละลาย ไดน อยมาก เมือ่ ผสมกบั น้ํา จะแยกชั้น มีสมบัติเปนเชื้อเพลิง ติดไฟไดดี กอใหเกิดความระคายเคือง ตอเน่ือเยอ่ื ของรางกาย หากสูดดม เผลอกินเขาไป หรือสัมผัส ในการใชสารกลุมนี้ จึงตองระมัดระวัง เก็บในภาชนะท่ีเหมาะสม เชน น้ํามันเบนซินไมควรเก็บในขวดพลาสติก เนื่องจากพลาสติกสามารถ ละลายในน้ํามันเบนซินได ภาชนะท่ีเก็บตองปดสนิทเพื่อไมใหไอระเหยออกมาได เก็บใหหางจาก บรเิ วณที่รอน มีเปลวไฟหรือประกายไฟ เก็บใหพนมือเด็ก เก็บไวในที่มืด แหง และเย็น และอากาศ ระบายถา ยเทไดดี ในขณะใชค วรสวมถุงมือ มีผาปดจมูก เปนตน การชําระลางสิ่งท่ีปนเปอนดวยสาร กลมุ น้ี ตอ งใชส ารกลมุ ผงซกั ฟอกหรอื สบู ชว ย เนื่องจากสารกลุมนไ้ี มละลายในน้ํา แตละลายปนกับน้ํา ไดด ีขึน้ เม่ือมผี งซักฟอกหรอื สบูชว ย 2. สารกลุมละลายนํ้าไดและมีฤทธิ์กัดกรอน ไดแก สารกลุมท่ีเปนกรด เชน น้ําสมสายชู นํ้ามะนาวสังเคราะห (กรดซิตริก) น้ํากรดในแบตเตอรีรถยนต (กรดซัลฟวริก) กรดเกลือ (กรดไฮโดรคลอริก) ในผลติ ภณั ฑลางพ้นื หองน้ําบางชนดิ กรดกัดแกว ในการกัดกระจกใหเปนลายแบบ ตาง ๆ สารกลมุ ท่เี ปน เบส (ดาง) เชน โซดาไฟที่ใชในการลา งทอ ทอ่ี ดุ ตันใชในการทําสบู และใชในการ วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 47 สำ� นักงาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธุ์
41 ผลิตแกสไฮโดรเจนเพ่ืออัดเขาสูลูกโปงชนิดลอยได แอมโมเนียในผลิตภัณฑเช็ดกระจก สารกลุมนี้ ละลายนํ้าไดดี สามารถเขาสูรางกายไดท้ังทางปาก ทางจมูกและโดยการสัมผัส และมีฤทธ์ิกัดกรอน อยางรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณเย่อื บุ เชน เย่ือบุตา หากเขาตาจะเปนอันตรายมาก ดังน้ันในการใชจึง ตองระมัดระวงั เปนพเิ ศษ หากเขาตา ตอ งลางดวยนํ้าสะอาดปรมิ าณมาก ๆ ทันทีและตองรีบพบแพทย พรอมนําขวดทบ่ี รรจุผลิตภัณฑน น้ั ๆ ไปดวย 3. กลุมสารเคมีท่ีใชในการทําความสะอาด สบู แชมพูสระผม(นับเปนสบูชนิดหนึ่ง) ผงซักฟอก น้ํายาขจัดคราบ ยาสีฟน สมบัติเฉพาะของสบูและผงซักฟอกคือ บางสวนของโมเลกุล ละลายไดใ นนํา้ ในขณะท่ีอีกบางสวนของโมเลกลุ ละลายไดในน้ํามัน จึงทําใหเมื่อใสสบูหรือผงซักฟอก ลงไปในของผสมระหวา งนํา้ กบั น้ํามัน มีผลทําใหน ้ํามันแตกออกเปนอนุภาคที่เล็กมากและกระจายอยู ในนํ้า เราจึงใชสบแู ละผงซักฟอกเปนสารทําความสะอาดและซักลาง ขอแตกตา งที่สําคัญระหวางสบู กับผงซักฟอกคือ สบไู มใ ชทําความสะอาดไดในนาํ้ ออน แตไมส ามารถทําความสะอาดไดในนํ้ากระดาง (นํ้าท่ีมีไอออนของธาตุแคลเซียมละลายอยู) สวนผงซกั ฟอกสามารถใชไ ดท ั้งในนํา้ ออ นและนา้ํ กระดาง สารกลุม นี้ มคี วามระคายเคือง ตอ รางกาย เนื่องจากสามารถทําละลายไขมันไดดี การสมั ผัสเปน เวลานาน ๆ จะทําใหผิวแหง แตก และอักเสบได ดังนั้น เมื่อใชสบหู รือผงซักฟอกติดตอกันนาน ๆ ควร ลางทาํ ความสะอาดผวิ หนังและใชครีม หรอื โลช่ันถนอมผวิ ทา เพอ่ื มิใหผวิ แหง การใชสารกลมุ นใี้ นปรมิ าณมาก ๆ สงผลกระทบตอส่ิงแวดลอ ม กลาวคือ เมื่อนํ้าผงซักฟอกถูก ถายเทลงแหลงน้ําในปริมาณมาก ๆ ฟอสเฟตที่ปนมากับผงซักฟอก จะทําใหพืชน้ํา เชน ผักตบชวา สาหราย จอก แหน เจริญไดร วดเร็ว เปนตน เหตใุ หเ กิดน้าํ เนา เสยี ได 4. สารเคมที ใ่ี ชในการเกษตร ไดแ ก สารฆาแมลง (Insecticide) สารกันรา (Fungicide) สาร ปราบวัชพชื (Herbicide) สารกลุมนี้เปนสารอนิ ทรยี สงั เคราะหท ี่มพี ษิ (Toxic) ตอ รา งกายอยา งรุนแรง ตอ งใชอยางระมัดระวังตามคูม อื และวิธกี ารทผี่ ผู ลิตแนะนําบนกลองหรอื ขวดบรรจภุ ัณฑอยางเครงครัด และใชเ ม่ือมกี ารระบาดของโรคพืช แมลงศตั รูพืชอยา งรนุ แรง ใชเทาท่จี าํ เปน และไมมีวิธีการอ่ืนใหเปน ทางเลือก ภายใตการดูแลและคําแนะนําของผูที่มีความรูเฉพาะ เชน เจาหนาที่การเกษตร นัก พษิ วทิ ยา เปน ตน เน่ืองจากสารเคมีกลมุ นี้ นอกจากเปนพิษโดยตรงตอผูใช ผูที่สัมผัสแลว เน่ืองจากมี ฤทธิต์ กคา งนานกวาสารจากธรรมชาติ จึงตกคางในสิ่งแวดลอม ตกคางในผลผลิตทางการเกษตรไปสู ผบู ริโภคผลผลติ นัน้ ๆ ไดด วย 48 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
42 5. กลุมสารที่ใชในการขับไลแมลง หรือฆาแมลงท่ีอาศัยในบาน แมลงท่ีอาศัยในบาน (Household Insect) เชน ยงุ แมลงสาบ เปนพาหะของโรคและทําความรําคาญ การใชสารไลแมลง เชน สเปรยฉดี กนั ยุง/แมลงสาบ โลช่ันทากนั ยุง ยาจดุ กันยงุ แนฟธาลนี (ลูกเหมน็ ) ที่ใชไลแมลงสาบใน ตูเสื้อผา สารเหลานไ้ี มเพียงแตเปน พิษตอแมลงเทาน้ัน แตเปนพิษโดยตรงตอมนุษย จึงตองใชเทาท่ี จาํ เปน และหลีกเลย่ี งการสมั ผสั โดยตรง การสดู ดมเอาไอ หรือควันของสารเหลา น้ี ยกตวั อยางผลกระทบทอี่ าจเกดิ ขนึ้ จากการใชสารตอ ชวี ิตและส่งิ แวดลอ ม ในชีวิตประจําวัน เราตองเก่ียวของกับสารมากมายหลายชนิดและเขาสูรางกายไดหลายทาง ดงั ท่ไี ดกลา วแลว การใชส ารอยางขาดความเขาใจและขาดความระมัดระวังอาจกอใหเกิดอันตรายได อยา งมหาศาล ท้งั ตอชีวติ มนษุ ยโ ยตรง ตอ พชื และสตั วตา ง ๆในระบบนเิ วศหรือสง่ิ แวดลอม นอกจากท่ี ไดกลาวแลว ขอยกตัวอยางอันตรายที่อาจเกิดข้ึนจากการใชสารอยางขาดความเขาใจและไม ระมัดระวัง ดงั ตอ ไปนี้ 1. กลุมสารที่ติดไฟได (Flamable) มีสมบัติเปนเช้ือเพลิงอยางดี เชน ทินเนอร น้ํามันสน นํ้ามันเช่ือเพลิงชนิดตาง ๆ นํ้ายาลางเล็บ แอลกอฮอล สารกลุมนี้ตองเก็บใหมิดชิด ในบริเวณท่ีแหง เย็น อากาศระบายไดดี เกบ็ ใหหางจากแหลงที่มีความรอน ประกายไฟ เพราะหากไมระมัดระวังแลว อาจเปน สาเหตุของการเกิดอัคคีภัยรุนแรงได และหากร่ัวไหลลงสูสิ่งแวดลอม จะเปนพิษตอพืชและ สตั ว 2. กลุมสารเคมีทางการเกษตร ทําใหเกิดอันตรายตอผูใชโดยตรงตอผูใชโดยตรง เปนพิษตอ ประชาชนทั่วไป ตกคางในส่ิงแวดลอม ตกคางในสัตวน้ํา สัตวอ่ืน ๆ ท่ีสามารถเขาสูรางกายมนุษย ตอไปไดเม่ือจับสัตวเหลา นั้นมาเปนอาหาร หรืออาจทําใหสัตวบางชนิดตายไปในปริมาณเกินสมดุล เชน ทําใหนกตายไปปริมาณมาก ๆ ปกติแมลงเปนอาหารของนก นกเปนผูควบคุมปริมาณแมลงใน ระบบนิเวศแมลง เม่ือนกตายไปมาก ๆ ทําใหแมลงศัตรูพืชระบาดได เปนตน นอกจากนี้ การใช สารเคมกี ลมุ น้ีเกินความจําเปน ทําใหเกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ เนื่องจากสวนใหญเราตองนําเขา สารกลมุ นี้จากตางประเทศ วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 49 สำ� นกั งาน กศน.จังหวดั กาฬสินธ์ุ
43 บทท่ี 10 แรงและการเคลื่อนท่ีของแรง จงอธบิ ายความหมายของแรง และประเภทของแรงโดยสังเขป แรง หมายถึง อํานาจภายนอกทีส่ ามารถทาํ ใหวัตถุเปลี่ยนสถานะได เชน ทาํ ใหวตั ถทุ ่ีอยนู ิง่ เคลือ่ นทไ่ี ป ทําใหว ตั ถุท่เี คล่ือนที่อยแู ลวเคลือ่ นทเี่ รว็ หรอื ชาลง ทาํ ใหว ัตถมุ ีการเปลยี่ นทศิ ตลอดจนทํา ใหวตั ถมุ ีการเปลี่ยนขนาดหรือรูปทรงไปจากเดมิ ได แรงเปนปริมาณเวกเตอรท ี่มที ้งั ขนาดและทศิ ทาง การรวมหรอื หกั ลางกนั ของแรงจงึ ตอ งเปนไปตามแบบเวกเตอร ประเภทของแรง แรงมหี ลายประเภท ไดแก แรงยอย แรงลพั ธ แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา แรงขนาน แรงคคู วบ แรงตงึ แรงสูศูนยกลาง แรงตา น แรงเสียดทาน จงอธบิ ายความหมาย ประโยชน และโทษของแรงเสียดทาน แรงเสียดทาน หมายถงึ แรงทเ่ี กดิ จากการเสียดสีระหวา งผิววตั ถทุ ่ีมีการเคลื่อนที่หรอื พยายาม ที่จะเคลื่อนที่ แรงเสียดทานเปนแรงตานการเคลื่อนที่ของวัตถุ มีทิศทางตรงขามกับทิศทางการ เคล่อื นท่ีเสมอ แรงเสียดทานมี 2 ชนิด คอื 1. แรงเสยี ดทานสถิต คอื แรงเสียดทานที่เกิดขึน้ ขณะวตั ถเุ รมิ่ เคล่ือนที่ 2. แรงเสียดทานจลน คอื แรงเสียดทานทเี่ กดิ ขนึ้ ขณะทว่ี ัตถเุ คลอ่ื นที่ ปจจัยทีม่ ีผลตอ แรงเสยี ดทาน 1. น้าํ หนกั ของวตั ถุ คือวัตถุท่ีมนี ้ําหนักกดทบั ลงบนพ้นื ผิวมากจะมแี รงเสยี ดทานมากกวาวัตถุท่ี มนี ํา้ หนักกดทับลงบนพ้นื ผิวนอ ย 2. พน้ื ผวิ สมั ผัส ผวิ สัมผสั ท่ีเรียบจะเกิดแรงเสียดทานนอยกวาผวิ สมั ผัสท่ขี รขุ ระ ประโยชนของแรงเสียดทาน ไดแ ก แรงท่ีทาํ ใหว ตั ถุท่กี ําลงั เคลื่อนที่ หยุด หรือเคลือ่ นท่ีชา ลง เชน - ระบบเบรคปองกนั การเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต - รองเทาปองกนั การหกลม 50 วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124