Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สรุปผลงานวิจัยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน)

สรุปผลงานวิจัยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน)

Published by Book, 2019-09-09 23:07:29

Description: สรุปผลงานวิจัยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561

Search

Read the Text Version

2) นําขอมูลการเติบโตของไผท่ีเกิดจากการเพาะเมล็ดมาคัดเลือกตนพันธุและขยายพันธุไผเพื่อใชเปน ตน กลาในการปลูกเพ่ืออนรุ ักษ ฟนฟแู ละใชป ระโยชนในชุมชน 1.2 นําเสนอผลงานวิจัยในการประชุมวิชาการประจําปของมูลนิธิโครงการหลวงและสถาบันวิจัยและพัฒนา พ้ืนทส่ี ูง (องคก รมหาชน) 2. การใชป ระโยชนเ ชิงสาธารณะ 2.1 แปลงรวบรวมพันธุไ ผทีเ่ กดิ จากการเพาะเมลด็ ที่อุทยานหลวงราชพฤกษ 2.2 แปลงรวบรวมพนั ธไุ ผท ี่เกดิ จากการเพาะเมล็ดท่ีสถานีฯ ปางดะ 2.3 โปสเตอรช นิดพันธุและการใชประโยชนไผบ นพื้นท่สี ูง 15. โครงการวิจยั เพื่อเสรมิ สรา งประสิทธภิ าพการผลิตสกุ รบนพน้ื ทสี่ ูง สกุ รเปน สตั วท ม่ี คี วามสาํ คญั สาํ หรบั ชมุ ชนบนพนื้ ทสี่ งู นอกเหนอื จากการใชบ รโิ ภคในครวั เรอื นแลว ยงั ใชเ พอ่ื ประกอบ พธิ ตี ามประเพณหี รอื ความเชอ่ื ทไ่ี ดส บื ทอดตอ กนั มาซง่ึ บางชนเผา ยงั มคี วามเชอ่ื ในเรอ่ื งสขี องสกุ รและลกั ษณะทไ่ี มพ งึ ประสงค โดยเฉพาะการไมยอมรับสุกรท่ีมีสีขาว ดวยเหตุน้ีสุกรที่เลี้ยงบนพื้นที่สูงจึงมักเปนสุกรสายพันธุพื้นเมืองหรือสุกรลูกผสม พื้นเมืองท่ีมีสีดําเทาน้ัน แตสุกรเหลานี้มักมีอัตราการเจริญเติบโต และประสิทธิภาพการใชอาหารต่ํามาก อีกทั้งมีคุณภาพ ซากทไ่ี มด หี รอื ไมเปน ทตี่ องการของตลาด การศกึ ษาโดยการคดั เลอื กและปรบั ปรงุ พนั ธลุ กู ผสมพนื้ เมอื งในพนื้ ทข่ี องมลู นธิ โิ ครงการหลวงและพนั ธทุ างการคา ทว่ั ไป เชน สุกรสายพันธุพื้นเมืองแท สุกรสายพันธุเหมยซานแท สายพันธุดูรอคแท ลูกผสมระหวางพ้ืนเมืองกับเปยแตรง (RPP) ลูกผสมระหวา งพน้ื เมืองกับเหมยซาน (RPM) โดยการผสมแบบ Line breeding เพ่ือใหไดลักษณะดีเดน ของแตล ะสายพันธุ จากน้ันนํามาผสมกัน ไดเปนสุกรลูกผสมสามสายเลือด ระหวางพื้นเมือง×เปยแตรง×เหมยซาน (RPPM) และระหวาง พน้ื เมอื ง×ดรู อค×เหมยซาน ทคี่ าดวา จะเปน สายพนั ธรุ วมลกั ษณะดเี ดน ของทกุ พนั ธไุ ว ไดแ ก คณุ ลกั ษณะดา นการเจรญิ เตบิ โต สมรรถภาพการผลิต การใหลูกดก และความสามารถในการใชอาหารคุณภาพตํ่าไดดี เปนตน หลังจากน้ันนําพันธุสุกรท่ีได พฒั นาข้นึ ใหมน้ีไปทดสอบหาสูตรอาหารทีเ่ หมาะสม โดยเนนการใชวัสดุในทอ งถิ่นรวมดวยภายใตการเล้ยี งในระบบการผลิต สัตวท ่ดี ี (RPF-GAP) สําหรับสุกรบนพน้ื ท่สี งู รวมถึงการหาเครื่องหมายพนั ธกุ รรม (DNA Marker) ในการใชระบเุ อกลกั ษณ สกุ รสายพนั ธโุ ครงการหลวง เพอื่ ใชเ ปน แนวทางในการสง เสรมิ อาชพี การเลย้ี งสกุ รในพนื้ ทโี่ ครงการหลวงและพน้ื ทอ่ี นื่ ๆ ตอ ไป สรปุ ผลการดาํ เนินงาน ดังน้ี 1. การคัดเลือก ปรบั ปรงุ พนั ธสุ กุ รลกู ผสม และการทดสอบสตู รอาหารทเี่ หมาะสม ไดส ายพนั ธุ และสุกรลูกผสม รทนุ ่ไี ดFร 4บั สอาายหพารนั สธําุโเครร็จงรกปู าทรหางลกวางรสคาํ าหรรวบั มกกาับรขเลา้ียวโงพบดนหพม้นื ักทม่ีสปี งู รแิมลาะณสอตู ารหอาารหทาีก่ รินทไ่เี ดหมFาCะRสมแสลําะหรFบัCกGารทเีม่ลาีย้ กงกสวกุ ารเลมูกือ่ ผเทสมยี บโกดบัยสสุกกุ รร ท่ีไดรับอาหารสําเร็จรูปทางการคาเพียงอยางเดียว และไดทดสอบการเลี้ยงสุกรตามคูมือระบบการเล้ียงสุกรที่ดีบนพื้นท่ีสูง (RPF-GAP: สกุ ร) ณ ศูนยพ ัฒนาโครงการหลวงหนองเขยี ว และสถานีวจิ ยั โครงการหลวงแมห ลอด ซึง่ ลกู สกุ รมีนํา้ หนักเฉลี่ย เรม่ิ ตน 5.3-5.5 กโิ ลกรัม มีอตั ราการเจริญเติบโตเฉลีย่ ระหวา ง 0.33-0.52 กิโลกรมั ตอตวั ตอวัน 50 สรุปผลงานวิจยั สถาบนั วิจัยและพฒั นาพน้ื ที่สงู (องคก ารมหาชน) ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561

1 แผน ่ีท สกุ รลูกผสมสามสาย แมพันธุเหมยซาน 2. คัดเลือก ปรับปรุงพันธุ สุกรสายพันธุพ้ืนเมืองแทและ สุกรพันธพุ ้ืนเมืองแท พน้ื เมอื งลูกผสมเหมยซาน 2.1 ทําการคัดเลือกสุกรสายพันธุแทพื้นเมือง ผสมพันธุแม สายพนั ธพุ ื้นเมอื ง กับพอสายพันธุพ ้นื เมอื ง ใหล ูกทัง้ หมดเฉลีย่ 10.67 ตัว น้ําหนักแรกเกิดของลูกประมาณ 0.75 กิโลกรัม และมีนํ้าหนักลูกสุกร หยานมท่ี 30 วนั เฉลยี่ 5.04 กิโลกรมั และคัดเลอื กสุกรสายพนั ธุแทผ สม พันธแุ มสายพนั ธุเหมยซาน 100% กับพอพนั ธเุ หมยซาน 100% มจี าํ นวน ของลกู ทง้ั หมดเฉล่ีย 12.00 ตัว น้าํ หนักลูกแรกคลอดเฉลี่ย 0.94 กโิ ลกรมั และน้ําหนกั หยา นมท่ี 30 วันเฉล่ียของลกู สกุ รเฉลีย่ 4.79 กโิ ลกรัม 2.2 ผสมพนั ธพุ อ แมพ นั ธเุ หมยซาน 100 เปอรเ ซน็ ต กบั พอ แม พนั ธพุ น้ื เมืองแท 100 เปอรเซน็ ต เพ่ือใหไ ดลูก 2 สาย มจี าํ นวนของลูก เฉลี่ย 10.67 ตวั น้ําหนกั ลูกแรกคลอดเฉล่ยี 0.84 กโิ ลกรมั และนาํ้ หนกั หยานมที่ 30 วนั เฉล่ียของลูกสกุ รเฉลี่ย 5.54 กิโลกรัม 2.3 ไดผ สมพนั ธแุ มพ นั ธุ 2 สาย กบั พอ พนั ธดุ รู อคเพอื่ ใหไ ดล กู 3 สาย มจี าํ นวนของลกู ทงั้ หมดเฉลย่ี 11.67 ตวั นา้ํ หนกั ลกู แรกคลอดเฉลย่ี 1.00 กิโลกรัม และนํ้าหนักหยานมท่ี 30 วันเฉล่ียของลูกสุกรเฉล่ีย 6.17 กิโลกรมั สกุ รลูกผสมสองสาย สุกรลกู ผสมสามสาย สรุปผลงานวจิ ัย สถาบันวจิ ยั และพฒั นาพ้ืนท่ีสูง (องคก ารมหาชน) 51 ประจาํ ปง บประมาณ พ.ศ. 2561

3. การศึกษาและคนหาเคร่ืองหมายทางพันธุกรรม (DNA Markers) สําหรับบงชี้เอกลักษณของสุกรสายพันธุ โครงการหลวง ไดช ดุ เครอ่ื งหมายทางพนั ธกุ รรม (DNA marker) ทม่ี คี วามสมั พนั ธก บั ลกั ษณะสดี าํ ของสกุ รสายพนั ธโุ ครงการหลวง มี 5 เคร่อื งหมาย ไดแ ก MC1R283, MC1R305, MC1R727, MC1R729 และ KIT2678 โดยอิทธิพลของเครื่องหมายโมเลกุล ทง้ั 5 เคร่อื งหมายรวมกนั มีความแมนยาํ สาํ หรับบง ชเ้ี อกลกั ษณส ุกรสายพนั ธโุ ครงการหลวง เทากับ 88.4 เปอรเซ็นต สําหรบั บง ชีเ้ อกลกั ษณส ุกรสายพันธุโครงการหลวง การเจาะเลอื ดสกุ ร เครือ่ งหมายพนั ธุกรรมของสุกร ผลผลิตท่ีสําคัญของงานวิจยั 1. สกุ รสายพนั ธลุ ูกผสมโครงการหลวง จาํ นวน 2 สายพันธุ 2. สตู รอาหารที่เหมาะสมกบั สายพันธุโครงการหลวงโดยใชว ัตถดุ ิบจากทอ งถิ่นรว มดวย จํานวน 1 สูตร 3. ระบบการเลีย้ งสุกรทด่ี บี นพ้นื ที่สงู (RPF-GAP; สกุ ร) จํานวน 1 ระบบ 4. สกุ รสายพันธุแท 2 สายพันธุ (พื้นเมือง และเหมยซาน) จํานวน 2 สายพนั ธุ แผนการนําผลงานวจิ ัยไปใชป ระโยชน 1. การใชป ระโยชนเ ชงิ วิชาการ 1.1 นาํ องคความรทู ี่ไดในป พ.ศ. 2561 ไปใชต อ ยอดงานวจิ ยั ป พ.ศ. 2562 โดยใชเปนขอ มลู ตอยอดในการศกึ ษา การเล้ียงสุกรบนพน้ื ที่สงู 1.2 นาํ เสนอผลงานการวจิ ยั นาํ เสนอการวจิ ยั ในการประชมุ วชิ าการประจาํ ปข องมลู นธิ โิ ครงการหลวง และสถาบนั วจิ ยั และพฒั นาพนื้ ทส่ี งู (องคก ารมหาชน) และตพี ิมพบ ทความ จาํ นวน 3 เรื่อง 52 สรุปผลงานวจิ ัย สถาบันวจิ ัยและพฒั นาพนื้ ท่สี งู (องคการมหาชน) ประจาํ ปง บประมาณ พ.ศ. 2561

16. โครงการวิจัยและพฒั นาการเลยี้ งแพะและแกะขนบนพื้นท่ีสูง 1 มูลนิธิโครงการหลวงไดสงเสริมการเล้ียงแกะพันธุขนในพื้นที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท หนวยยอยผาต้ัง และ แผน ่ีท ศนู ยพ ฒั นาโครงการหลวงแมล านอ ย บา นหว ยหอ ม บา นดง ซง่ึ สว นใหญเ ลยี้ งไวเ พอื่ ผลติ ขนแกะ และเพอ่ื การทอ งเทยี่ ว นอกจาก การเลย้ี งแกะพนั ธขุ นแลว ยงั มกี ารสง เสรมิ การเลย้ี งแพะนม สว นใหญเ ปน พนั ธลุ กู ผสมซาแนนกบั แองโกลนเู บยี นเพอื่ ผลติ นา้ํ นม เปน หลกั ซงึ่ พบวา ปญ หาหลกั ของการเลยี้ งแกะและแพะบนพน้ื ทสี่ งู คอื ประสทิ ธภิ าพทางการสบื พนั ธทุ ส่ี ง ผลตอ การใหผ ลผลติ ของแกะ เชน อัตราการเปน สดั (estrous rate) อตั ราการตกไข (ovulation rate) อัตราการผสมติด (conception rate) อัตราการต้ังทอ ง (pregnancy rate) และอัตราการใหก าํ เนิดลูกแกะ (lamping rate) เปนตน โดยเฉพาะอยางยิ่งอัตราการ ต้ังทอง และอัตราการใหกําเนิดลูกแกะ เน่ืองจากหากแมแกะมีอัตราการต้ังทองท่ีต่ํา ก็จะสงผลทําใหอัตราการใหกําเนิด ลูกแกะตอปลดลง ทําใหจํานวนลูกแกะภายในฟารมลดลงตามไปดวย รวมไปถึงการขาดแคลนอาหารหยาบคุณภาพดี โดยเฉพาะในชวงฤดูแลง ดังน้ันแนวทางในการพัฒนาการเลี้ยงแพะและแกะขนบนพ้ืนท่ีสูงเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพทางการ สบื พนั ธใุ นแพะและแกะใหเ พมิ่ ขนึ้ ไดต อ งอาศยั แนวทางในการจดั การการสบื พนั ธทุ มี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ อกี ทงั้ มแี หลง อาหารหยาบ การใชวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรเพื่อลดตนทุน มีโภชนะท่ีเหมาะสมกับการเจริญเติบโตและการใหผลผลิตของแพะ และแกะดวย สรุปผลการดําเนนิ งาน ดงั น้ี 1. การประยกุ ตใ ชโ ปรแกรมฮอรโ มนเพอื่ เพม่ิ อตั ราการใหก าํ เนดิ ลกู แกะของแมแ กะพนั ธขุ นภายใตส ภาพแวดลอ ม บนพ้นื ท่สี งู เปรยี บเทียบการใชโปรแกรมฮอรโ มนทใี่ ชในการเพ่ิมอตั ราการต้ังทอ ง และอัตราการใหก ําเนิดลกู แกะของแมแกะ พันธุขน พบวา โปรแกรมฮอรโมนท่ีมีประสิทธิภาพเพ่ือเหนี่ยวนําการเปนสัดและตกไขสําหรับแมแกะพันธุขนภายใต สภาพแวดลอ มบนที่สงู สามารถใชโ ปรแกรมกระตนุ 5 วัน ดว ย CIDR + GnRH + PG + eCG รวมกับการใชแ ทงฮอรโ มน CIDR แบบทผี่ านการใชมาแลวหน่งึ คร้ัง แกะพนั ธุขน การใชโ ปรแกรมการเหนี่ยวนาํ การเปน สัดในแมแ กะ สรปุ ผลงานวจิ ัย สถาบันวิจยั และพฒั นาพนื้ ทสี่ งู (องคก ารมหาชน) 53 ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

2. พัฒนาสูตรอาหารจากวตั ถุดบิ บนพนื้ ท่ีสูงสําหรบั แพะและแกะขน เทคโนโลยีการถนอมพชื อาหารและเศษเหลอื จากวัสดเุ หลือท้ิงทางการเกษตรโดยการเติมตนเช้อื L. plantarum ที่คัดเลือกไดจากศูนยพันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแหงชาติ เน่ืองจากทําใหพืชหมักมีคาความเปนกรดดาง (pH) ตา่ํ ทส่ี ดุ ในขณะทม่ี ปี รมิ าณกรดแลคตกิ สงู ทสี่ ดุ อกี ทงั้ พชื หมกั ทเ่ี สรมิ L. plantarum J39 ยงั มแี นวโนม ของปรมิ าณแอมโมเนยี ไนโตรเจน ตา่ํ กวาพชื หมกั แบบธรรมชาติ สําหรับอาหารผสมครบสวนที่ระดับโปรตีน 14% พบวามีความเหมาะสมตอสมรรถภาพการผลิตแกะขน บนพื้นที่สูงมากท่ีสุด เน่ืองจากแกะขนท่ีไดรับอาหารผสมครบสวนท่ีระดับโปรตีน 14% มีอัตราการเจริญเติบโตท่ีสูง และ อัตราการเปล่ียนอาหารเปนน้ําหนกั ตัวทตี่ ่ํา ในสวนของวิธีการขุนแพะนมเพศผู คือ การตอนและการใหอาหารผสมครบสวนที่ระดับโปรตีน 18 เปอรเซ็นต เนอ่ื งจากการตอนและการใหอ าหารผสมครบสว นทร่ี ะดบั โปรตนี 18 เปอรเ ซน็ ต สง ผลใหแ พะนมเพศผมู อี ตั ราการเจรญิ เตบิ โต ทีส่ งู และอตั ราการเปลยี่ นอาหารเปน น้ําหนักตัวทต่ี ่าํ การทดสอบอาหารในแพะ ผลผลิตทส่ี าํ คัญของงานวจิ ัย 1. แนวทางการเพม่ิ อัตราการใหกําเนดิ ลกู แกะบนพน้ื ที่สงู จํานวน 1 แนวทาง 2. สตู รอาหารทีเ่ หมาะสมสําหรบั แกะบนพืน้ ท่สี ูง จาํ นวน 1 สูตร 3. วิธกี ารขนุ แพะเพศผูที่เหมาะสมบนพ้นื ทีส่ งู 1 วธิ กี าร แผนการนําผลงานวิจยั ไปใชป ระโยชน 1. การใชประโยชนเชิงวิชาการ 1.1 นาํ องคความรทู ี่ไดใ นป พ.ศ. 2561 ไปใชต อ ยอดงานวิจยั ป พ.ศ. 2562 ดังน้ี 1) ใชเปนขอมูลตอยอดการประยุกตใชโปรแกรมฮอรโมนในการเพิ่มอัตราการใหกําเนิดของแกะพันธุขน บนพืน้ ทีส่ งู 2) ใชเปนขอ มลู ตอ ยอดการพัฒนาสูตรอาหารท่ีเหมาะสมสาํ หรับแกะบนพน้ื ที่สงู 3) ใชเปนขอ มูลตอ ยอดการขนุ แพะเพศผูบ นพนื้ ทีส่ งู 1.2 การนําเสนอผลงานวิจัยหรอื ตีพิมพในรปู แบบตางๆ นําเสนอผลงานวิจัยในการประชุมวิชาการผลงานวิจัยของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและ พัฒนาพน้ื ท่สี งู (องคก ารมหาชน) และมบี ทความตพี มิ พ จาํ นวน 2 เรอื่ ง 54 สรุปผลงานวจิ ยั สถาบนั วิจัยและพฒั นาพ้ืนทสี่ ูง (องคก ารมหาชน) ประจําปง บประมาณ พ.ศ. 2561

17. โครงการศกึ ษาวจิ ยั การผลิตอาหารสัตวอินทรยี  1 ปจจุบันกระแสเร่ืองการดูแลและรักษาสุขภาพกําลังเปนที่นิยมท้ังในคนวัยทํางานและผูสูงอายุเปนอยางมาก แผน ่ีท ทงั้ การออกกาํ ลงั กาย การพกั ผอ น การทอ งเทยี่ วเพอื่ ลดความเครยี ดจากการทาํ งาน รวมไปถงึ การเลอื กกนิ อาหารทดี่ มี ปี ระโยชน และปลอดสารพิษหรือสารเคมีใดๆ ดังนั้นการเกษตรในปจจุบันจึงตองตอบสนองกับความตองการของผูบริโภคที่เพ่ิมขึ้น การทําเกษตรอินทรียจึงเปนทางเลือกหน่ึงในการปรับระบบการผลิตทางการเกษตรแบบองครวมที่เกื้อหนุนตอระบบนิเวศ รวมถึงความหลากหลายทางชวี ภาพโดยเนน การใชว สั ดุธรรมชาติ หลกี เลย่ี งการใชว สั ดุจากการสงั เคราะห และไมใชพ ชื สตั ว หรือจุลินทรียท ม่ี กี ารดดั แปลงทางพันธุกรรม งานพฒั นาและสง เสรมิ ปศสุ ตั ว มลู นธิ โิ ครงการหลวงไดม กี ารสง เสรมิ การเลย้ี งสตั วป ก ตามคมู อื การปฏบิ ตั กิ ารเลย้ี งสตั ว ที่ดีบนพื้นท่ีสูง (RPF-GAP) และเริ่มมีการวิจัยเพื่อผลิตไขไกอินทรียแลว สุชน และคณะ (2558) ไดทดสอบการเลี้ยงไกไข สายพันธลุ ูกผสมการคา จํานวน 100 ตัว เลย้ี งในโรงเรอื นขนาด 6×8 ตารางเมตร และมีลานปลอ ยทม่ี รี ัว้ กนั้ บริเวณโดยรอบ ขนาด 24×30 ตารางเมตร อาหารทใ่ี หไ กเ ปน อาหารหมกั ระหวา งถว่ั หรอื พชื อนื่ ๆ ทคี่ ดั ทง้ิ จากแปลงพชื ของมลู นธิ โิ ครงการหลวง กบั รําละเอียดในอตั ราสว น 4:1 หมกั เปนเวลา 21 วนั นาํ อาหารนี้ไปผสมกบั อาหารขน ในอัตรา 9:1 ตลอดระยะเวลาการเก็บ ขอมูล 4 เดือน แมไกใหผลผลิตไขเฉลี่ย 55.8 เปอรเซ็นต มีอัตราการตาย 11.0 เปอรเซ็นต และมีตนทุนการผลิต เมื่อคํานวณเฉพาะคาอาหารที่ใหเสริม มีตนทุนฟองละ 0.84 บาท อยางไรก็ตามยังไมมีการผลิตอาหารสัตวอินทรียสําหรับ ใชเอง และผลผลิตไขอินทรียไมสมํ่าเสมอ สงผลใหตนทุนการผลิตสูง จึงมีการศึกษาแนวทางในการผลิตอาหารสัตวอินทรีย และแนวทางในการนําไปใชเล้ียงสัตวเพ่ือใหเกิดความคุมคาและสามารถขยายผลไปสูผูท่ีสนใจอ่ืนๆ ตอไปได สรุปผล การดาํ เนนิ งาน ดงั น้ี การปลกู พชื อาหารสตั วอ นิ ทรยี  โดยการทดสอบปลกู ถว่ั เหลอื งและถวั่ เขยี ว ในกรรมวธิ ที ่ี 1 ปลกู พชื บาํ รงุ ดนิ และไมใ สป ยุ และกรรมวิธีท่ี 2 ปลกู พืชบาํ รงุ ดินและใสปุยอนิ ทรยี ทอ่ี ายเุ ก็บเก่ยี ว 110 วัน พบวา ถวั่ เขียวมผี ลผลิตตอไรเทากับ 131.04 และ 192.16 กโิ ลกรมั และผลผลติ ถวั่ เหลอื ง เทา กบั 203.06 และ 286.07 กโิ ลกรมั ตามลาํ ดบั ขณะทกี่ ารทดลองปลกู ขา วโพด และขา วสาลี ในกรรมวธิ ที ่ี 1 ปลกู พืชบํารุงดนิ และไมใสป ยุ กรรมวธิ ที ่ี 2 ปลูกพชื บาํ รุงดนิ และใสปุย อนิ ทรีย และกรรมวธิ ที ี่ 3 การปลูกเหล่อื มดวยถ่วั เขยี ว พบวา ผลผลติ ขาวโพดทอี่ ายเุ กบ็ เกี่ยว 120 วัน มีผลผลิตตอ ไรเทา กับ 954.86, 1,182.92 และ 1,166.35 กิโลกรัม ตามลําดับ และผลผลติ ของขาวสาลี ท่ีอายุเก็บเก่ยี ว 80 วนั มผี ลผลิตตอไรเทากบั 233.77, 299.79 และ 202.87 กิโลกรมั ตามลําดบั ทดสอบการปลกู พชื อาหารสัตวอ นิ ทรยี  สรุปผลงานวิจัย สถาบันวิจัยและพฒั นาพนื้ ทส่ี ูง (องคก ารมหาชน) 55 ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561

การเกบ็ เก่ยี วพชื อาหารสตั วอนิ ทรีย ผลผลติ ท่สี าํ คัญของงานวิจัย ขอมูลการปลกู พชื อาหารสตั วอ นิ ทรีย จาํ นวน 2 ชนิด แผนการนําผลงานวจิ ยั ไปใชประโยชน 1. การใชป ระโยชนเ ชิงวิชาการ 1.1 นาํ องคค วามรทู ไี่ ดใ นป พ.ศ. 2561 ไปใชต อ ยอดงานวจิ ยั ป พ.ศ. 2562 โดยนาํ ไปใชเ ปน ขอ มลู ตอ ยอดงานวจิ ยั การปลกู พืชอาหารสัตวอ นิ ทรยี  ป พ.ศ. 2562 1.2 การนําเสนอผลงานวจิ ัย นําเสนอผลงานการวจิ ยั ในทปี่ ระชุมวชิ าการมลู นิธโิ ครงการหลวงและมบี ทความตพี ิมพ จาํ นวน 1 เร่อื ง 2. การใชป ระโยชนเ ชงิ สาธารณะ ถายทอดความรู และแนวทางการใชประโยชนใหกับนักวิชาการ/นักสงเสริม และเกษตรกรบนพ้ืนที่สูงของ มูลนธิ ิโครงการหลวง สถาบนั วิจัยและพฒั นาพืน้ ท่สี ูง (องคการมหาชน) รวมทัง้ ผสู นใจ จาํ นวน 1 ครั้ง 18. โครงการพฒั นาระบบกาซชีวภาพเพอ่ื ใชเ ปนพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟาและปม นา้ํ บนพน้ื ที่สงู ไบโอกา ซหรอื กา ซชวี ภาพเปน พลงั งานสะอาดทเ่ี กดิ จากการนาํ ของเสยี เชน มลู สตั ว นา้ํ เสยี จากฟารม เลย้ี งสตั ว นาํ้ เสยี จากโรงงานอุตสาหกรรมตางๆ โรงฆาสัตวและขยะจากชุมชนหรือรานคา ภัตตาคาร ของเหลือใชทางการเกษตรมาผาน กระบวนการหมกั เพอ่ื ใหเ กดิ การยอ ยสลายสารอนิ ทรยี  เมอื่ สภาวะแวดลอ มเหมาะสมจะไดก า ซชวี ภาพทส่ี ามารถนาํ มาใหเ ปน พลังงานความรอนหรือกระแสไฟฟาได งานพัฒนาและสงเสริมปศุสัตวไดมีการสงเสริมใหเกษตรกรเลี้ยงสัตวเพื่อเปน อาชีพเสริมและเพ่มิ รายได เชน ไกเ บรส ไกฟา ไกก ระดกู ดาํ กระตาย สุกร ควายนม และแพะนม พบวาเกษตรกรสวนหนึง่ มกี ารเลยี้ งสตั วม ากกวา 20 ตวั ตอ ครวั เรอื น ทาํ ใหผ ลผลติ กา ซชวี ภาพเหลอื ใชจ ากการหงุ ตม ประจาํ วนั และมกี ารปลอ ยทง้ิ ไป แตเกษตรกรมตี น ทุนทางการเกษตร เชน คา เช้ือเพลิงและคา ไฟฟาท่ใี ชในการสูบนํา้ สําหรบั แปลงพชื ผล เปนตน ดงั นั้นหาก มีการนํากาชที่ปลดปลอยทิ้งนํามาใชประโยชนแกเกษตรกรในการใหแสงสวางจากไฟฟา หรือเครื่องจักรกลทางการเกษตร 56 สรปุ ผลงานวจิ ยั สถาบันวิจยั และพฒั นาพนื้ ที่สูง (องคก ารมหาชน) ประจาํ ปง บประมาณ พ.ศ. 2561

ขนาดเล็ก จะชวยลดตนทุนและเพ่ิมโอกาสในการใชสาธารณูปโภคพ้ืนฐานไดอยางทั่วถึง โดยพัฒนาระบบกาซชีวภาพมา 1 ใชเปนแหลงเชื้อเพลิงสําหรับเคร่ืองยนตขนาดเล็กผลิตเปนกระแสไฟฟา หรือใชกับปมสูบน้ําเพื่อลางคอกสัตวหรือแปลง พชื ผลได สรุปผลการดาํ เนินงาน ดงั น้ี แผน ่ีท การศึกษาขนาดของบอกาซชีวภาพ และปริมาณสัตวเลี้ยงบนพื้นท่ีสูงที่เหมาะสมสําหรับการผลิตกาซชีวภาพ เพอื่ ใชก บั เครอ่ื งยนตข นาด 5.5-7.5 แรงมา ตอ การผลติ กระแสไฟฟา และเครอื่ งสบู นาํ้ ขนาดเลก็ ทใี่ ชใ นครวั เรอื นเกษตรกร และในฟารมเล้ียงสัตว พบวา การใชไฟฟาจํานวน 100 ถึง 3,000 วัตต ตองมีขนาดของบอกาซชีวภาพ ความจุ 16.4 ถึง 26.13 ลูกบาศกเมตร ใชมูลสัตวท่ีมาจากการเลี้ยงสุกร โคกระบือ หรือสัตวปก (ประเภทไก เชน ไกพื้นเมือง ไกเบรส ไกสามสายเลือด) จํานวน 20-40, 15-30 หรือ 150–300 ตัว ตามลําดับ สําหรับเครื่องปมนํ้าในอัตรากําลังความเร็ว รอบเคร่ืองยนต 70 ถึง 100% ตองมีขนาดของบอกาซชีวภาพ ความจุ 3.235 ถึง 4.075 ลูกบาศกเมตร และใชมูลสัตว ทีม่ าจากการเลี้ยงสกุ ร โคกระบอื หรือสัตวปก (ประเภทไก เชน ไกพ ้นื เมือง ไกเ บรส ไกส ามสายเลอื ด) จํานวน 4-5, 3-4 หรือ 30-38 ตัว ตามลําดับ ซึ่งจํานวนสัตวเล้ียงดังกลาวจะผันแปรตามสายพันธุของสัตว การใหอาหาร และวิธีการจัดการ มลู สัตวดว ย ทง้ั น้เี ครอ่ื งยนตข นาด 5.5-7.5 แรงมา ท่ไี ดมีการทดสอบและใชงานไดในไมก่ีพื้นท่ี เม่อื นาํ ไปใชประโยชนใ นพนื้ ที่ ท่ีมีระดบั ความสงู แตกตางกนั อาจมีประสทิ ธภิ าพการใชงานทต่ี า งกันไป การทําบอไบโอแกส ผลผลิตท่สี าํ คญั ของงานวิจยั ขอ มลู แนวทางการนาํ พลงั งานจากไบโอกา ซมาใชป ระโยชนก บั เครอ่ื งยนตแ ละการผลติ กระแสไฟฟา อยา งนอ ย 2 แนวทาง แผนการนาํ ผลงานวจิ ยั ไปใชประโยชน 1. การใชประโยชนเ ชงิ วิชาการ 1.1 นาํ องคความรูทีไ่ ดใ นป พ.ศ. 2561 ไปใชตอยอดงานวิจัยป พ.ศ. 2562 ดงั นี้ 1) ใชเปนขอ มลู ตอยอดในการพฒั นาเครอ่ื งยนตขนาดเลก็ สําหรบั ผลิตกระแสไฟฟา 2) ใชเ ปนขอมลู ตอ ยอดในการพฒั นาเครือ่ งยนตข นาดเลก็ สําหรับการปมนา้ํ 3) ใชเ ปน ขอมูลตอ ยอดในการพัฒนาเคร่ืองยนตข นาดเล็กสาํ หรับเครือ่ งบดเมล็ดพชื อาหารสัตว 1.2 การนาํ เสนอผลงานการวิจัย นําเสนอผลงานวิจยั ในที่ประชุมวชิ าการมลู นธิ ิโครงการหลวงและมบี ทความตีพิมพ จํานวน 1 เรอื่ ง สรปุ ผลงานวจิ ัย สถาบันวจิ ัยและพัฒนาพนื้ ทีส่ ูง (องคก ารมหาชน) 57 ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

19. โครงการประเมินผลสาํ เรจ็ ของงานพฒั นาและสง เสรมิ ดานปศุสตั ว ของมลู นธิ โิ ครงการหลวง งานดานปศุสัตวเปนสวนสําคัญสวนหน่ึงของงานการพัฒนาและสงเสริมการเกษตรของมูลนิธิโครงการหลวง โดยสง เสรมิ การเลยี้ งสตั วห ลายชนดิ เชน แพะ สกุ ร ไก กระตา ย โค และกระบอื นม เปน ตน ทาํ ใหม ที างเลอื กในการประกอบอาชพี ในภาคการเกษตรใหกับเกษตรกรบนพ้ืนที่สูง อยางไรก็ตามยังไมไดมีการประเมินผลการดําเนินงานอยางเปนระบบ โดยไดกําหนดวา งานสงเสริมและพัฒนาปศุสัตวจะประสบผลสําเร็จหากสามารถเปนที่มาของ แหลงอาหาร แหลงรายได พลงั งานทดแทน และปจ จยั การผลิตทดแทน (ปุย คอก) โดยเปรยี บเทยี บชว งกอ นมีการสงเสรมิ การเลย้ี งสัตว จํานวน 8 ชนดิ ไดแก ไกฟา ไกเบรส ไกกระดูกดํา กระตาย แพะนม แกะขน กระบือนม และสุกร กับชวงเร่ิมสงเสริมการเลี้ยงสัตว จนถึงปจจุบันตามประเภทของสัตว และศึกษาการสงเสริมและเผยแพรงานดานปศุสัตวของศูนยพัฒนาโครงการหลวง ที่เกี่ยวของไปยังเกษตรกรในพ้ืนท่ีรับผิดชอบ เพ่ือทําความเขาใจและประเมินแนวทางการสงเสริมไดตอไป สรุปผลการ ดําเนนิ งาน ดงั นี้ ทําการศึกษาในพน้ื ทดี่ าํ เนนิ งานวจิ ัย 5 แหง ไดแก สถานฯี ปางดะ ทงุ เรงิ แมห ลอด หนองเขียว และศนู ยแมทาเหนอื ที่มีการเลี้ยงสัตว 5 ชนิด ไดแก ไกเบรส ไกกระดูกดํา แพะนม กระบือนม และสุกร ผลการประเมินตัวชี้วัดงานพัฒนา และสงเสริมดา นปศุสตั วข องมลู นธิ โิ ครงการหลวง มรี ายละเอยี ดดังน้ี 1. ตัวชว้ี ัดดา นแหลงอาหาร (โปรตนี ) คาคะแนนเตม็ ของตวั ชี้วดั ดานแหลง อาหารเทา กับ 140 คะแนน จากเกณฑ การประเมิน 7 ประเด็น ผลการประเมินไดค ะแนนรวม 69 คะแนน (รอ ยละ 49) ซงึ่ ตาํ่ กวารอยละ 50 เนอ่ื งจากมขี อ จาํ กดั คอื นยิ มซอ้ื โปรตีนมากกวา การบรโิ ภคสตั วท ี่เล้ียงไว แหลงโปรตนี บางชนดิ ไมไดร ับความนยิ ม (นมกระบือ นมแพะ ไกเบรส ไกกระดูกดํา) และสมาชิกผูเขารวมตองจําหนายสัตวใหกับมูลนิธิโครงการหลวงเพื่อหักตนทุนการผลิต รวมถึงการขาย จะคุมทุนกวาการนํามาบริโภค และหากพิจารณาชนิดของสัตว พบวา สุกรเปนสัตวชนิดเดียวที่สูงกวาจุดคุมทุน โดยมี 17 คะแนน (รอ ยละ 61) เน่อื งจากเปน สัตวที่นยิ มนาํ มาบริโภค แตท งั้ นีไ้ มไ ดฆาชําแหละเองและไมคุมคา ท่ีตอ งฆาเพอ่ื นํามา บรโิ ภค สวนไกเ บรส ไกกระดูกดํา กระบอื นม และแพะนม ได 13 คะแนน (รอ ยละ 46) เนอื่ งจากไมไดร ับความนยิ มในการ บริโภคของวิถีชีวิตคนในทองถิ่น และไมใชอาหารที่ใชประกอบกับงานประเพณี รวมถึงการนํามาบริโภคจะทําใหกําไรหรือ รายไดลดลงดวย ดังนั้นจึงนิยมท่ีจะซื้อมาเพื่อบริโภคมากกวา ตัวช้ีวัดดานแหลงอาหารจึงมีผลการประเมินต่ํากวาเกณฑ มาตรฐานทีต่ ้ังไว หรือตํา่ กวา จดุ คมุ ทนุ 2. ตัวชีว้ ัดดา นรายได คา คะแนนเตม็ ของตัวชวี้ ดั ดา นรายไดเ ทา กับ 120 คะแนน จากเกณฑการประเมนิ 6 ประเดน็ ผลการประเมินไดค ะแนนรวม 102 คะแนน (รอยละ 85) ซงึ่ อยูใ นระดบั ที่สูงกวา จดุ คุม ทนุ มาก ท้ังน้ีเกิดจากเกณฑการวดั ผล ในประเด็นเรื่องของกระบวนการเล้ียงที่ไมยุงยาก ปจจัยการผลิต (อาหารสัตว) ที่สมาชิกผูเขารวม สามารถผลิตเองได ซ่ึงสามารถลดตนทุนไดเปนอยางดี รวมถึงปจจัยจากแหลงทุนในดานลูกพันธุสุกรท่ีสมาชิกผูเขารวม ไดรับจากศูนยฯ สวนกระบือนม และแพะนมน้ัน สมาชิกผูเขารวมไดรับสัตวไปเล้ียงในชวงอายุท่ีพรอมใหน้ํานมแลว จึงสามารถสรางรายได อยางรวดเร็วโดยท่ีมีตน ทุนทตี่ ่าํ มาก โดยเฉพาะเม่อื พิจารณาสัตวแ ตละชนดิ มีคา คะแนน ดังน้ี สุกรและกระบอื นม 22 คะแนน (รอยละ 92) และแพะนม 23 คะแนน (รอยละ 96) ซึ่งเปนสัตวทสี่ ามารถสรา งรายไดส งู เมอ่ื เทียบกบั ไกเ บรส 18 คะแนน (รอยละ 75) และไกกระดูกดํา 16 คะแนน (รอยละ 67) จากคาใชจายในดานตนทุนการผลิต ในดานลูกพันธุ โรงเรือน ซงึ่ สมาชกิ ผูเขารว มจะลงทุนในครั้งแรก และจากการที่ลูกพันธตุ ายโดยไมทราบสาเหตุ จงึ ทําใหคา การประเมินผลอยใู นระดบั ท่ตี ่ํากวาสกุ ร กระบือนม และแพะนม อยา งไรกต็ าม คา ประเมนิ ตวั ช้วี ัดดานรายไดอยใู นเกณฑทสี่ งู กวา จดุ คุม ทนุ นอกจากนี้ รายไดที่ไดจากการจําหนา ยกน็ ําไปซื้ออาหาร (โปรตนี ) ทดแทนตวั ชี้วัดดานแหลง อาหาร 3. ตัวชี้วัดดานพลังงานทดแทน (กาซ) คาคะแนนเต็มของตัวชี้วัดดานรายไดเทากับ 120 คะแนน จากเกณฑ การประเมิน 6 ประเด็น ผลการประเมินไดคะแนนรวม 41 คะแนน (รอยละ 34) ในภาพรวมการประเมินผลจะพิจารณา เพียงสัตว 2 ชนิด คอื สกุ ร และกระบอื นม เน่อื งจากนาํ มลู สตั ว 2 ชนิดมาผลติ มี 16 คะแนนเทา กนั (รอยละ 67) จากเกณฑ 58 สรปุ ผลงานวจิ ยั สถาบันวิจยั และพฒั นาพ้ืนทส่ี ูง (องคการมหาชน) ประจําปง บประมาณ พ.ศ. 2561

การประเมินผลดา นคุณภาพมูลสตั วทนี่ าํ มาผลติ กาซนั้น พบวา สุกร ใหปรมิ าณกา ชและเกดิ กาซมเี ทนที่มากกวาสารอนิ ทรีย 1 ชนิดอื่นๆ ท้ังน้ีเมื่อพิจารณาปญหา อุปสรรค พบวา หนวยงานที่ใหการสนับสนุนขาดการดําเนินงานอยางตอเนื่อง รวมถึง ดานงบประมาณ ปริมาณมูลสัตวที่นํามาผลิตกาซมีนอย ดังน้ันจะตองพิจารณาเร่ืองจํานวนสัตวท่ีเลี้ยงดวยเชนกัน ทั้งน้ี แผน ่ีท สกุ รและกระบอื มีมลู ท่มี คี ุณภาพในการผลติ กา ซควรไดรับการสงเสรมิ 4. ตวั ชี้วัดดานปจจัยการผลิตทดแทน (ปุยคอก) พิจารณาคา คะแนนตามเกณฑด า นตนทุนการทาํ ปุย และข้ันตอน การผลิตน้ันเทากัน เนื่องจากไมไดมีความแตกตางในดานกระบวนการผลิต (ไมมีคาตนทุนการผลิต) แตในเกณฑดานราคา การจําหนาย และปริมาณมูลสัตวน้ัน มูลของกระบือนมมีคาคะแนนสูงเน่ืองจากใหปริมาณมาก ในภาพรวมของตัวช้ีวัด ดา นปจ จยั การผลิตทดแทน (ปยุ คอก) จึงมคี าคะแนนสงู ถึง 102 (รอยละ 85) จากคะแนนเต็ม 120 คะแนน การประเมนิ ตวั ชวี้ ดั งานพฒั นาและสง เสรมิ ดา นปศสุ ตั วข องมลู นธิ โิ ครงการหลวง โดยรวมทง้ั 4 ดา น ซง่ึ มคี า คะแนน ทงั้ หมดรวม 360 คะแนน จากคา คะแนนเต็ม 500 คะแนน เมื่อพจิ ารณาจุดคุมทนุ แลว ตัวชว้ี ัดมคี า รอยละ 72 ซ่งึ อยูในระดับ เกินกวาจดุ คมุ ทุน ดงั นัน้ จงึ ถือวา การดําเนินงานมคี วามสําเร็จตามเปาหมายที่วางไว ผลผลิตที่สาํ คัญของงานวจิ ยั ขอ มูลการประเมินความคุมคาดา นปศสุ ัตว จาํ นวน 1 เร่ือง แผนการนาํ ผลงานวิจัยไปใชป ระโยชน การใชป ระโยชนเชงิ วิชาการ นําองคค วามรทู ไ่ี ดใ นป พ.ศ. 2561 ไปใชต อยอดงานวิจยั ป พ.ศ. 2562 ดงั นี้ 1) นาํ เปน ฐานขอ มลู สาํ หรับการวางแผนพัฒนาและสง เสรมิ การเลี้ยงปศุสตั วของมลู นธิ โิ ครงการหลวง 2) นาํ เสนอผลงานการวิจยั ในทีป่ ระชมุ วชิ าการมลู นิธโิ ครงการหลวง และมบี ทความตีพิมพ จํานวน 1 เร่อื ง 20. โครงการศกึ ษาพนั ธไุ กพนื้ เมืองบนพนื้ ท่ีสงู ไกพ้ืนเมืองเปนสัตวเล้ียงคูกับเกษตรกรไทย เพ่ือใชเปนอาหารโปรตีนในครัวเรือนเปนหลักหรือจําหนายในพื้นที่ และบางคร้ังใชสําหรับพิธีกรรมตางๆ ของแตละชนเผาบนพ้ืนท่ีสูง และปจจุบันมีความนิยมในการรับประทานไกพ้ืนเมือง มากกวา ไกเ นอื้ ตามทอ งตลอด เนอื่ งจากเนอื้ แนน รสชาตอิ รอ ย มคี วามตอ งการของตลาดสงู แมจ ะมขี อ จาํ กดั การเลยี้ งในเรอื่ ง ของการเจริญเตบิ โตที่ต่าํ ผลติ ไดป ริมาณนอ ย แตไกพ นื้ เมอื งมคี วามทนทานตอ สภาพแวดลอ มทเ่ี ปลี่ยนแปลงบนพ้ืนที่สงู ไดด ี ทนทานตอโรค และสัตวรบกวนอื่นๆ ไดดีกวาไกเน้ือ สามารถฟกไขเองได เลี้ยงลูกไดดี จนทําใหสามารถแพรพันธุไดจนถึง ปจจุบัน แตไกพ้ืนเมืองมีความหลากหลายของสายพันธุ มีการเจริญเติบโตท่ีตางกันตามสภาพของพื้นที่เลี้ยง และเกษตรกร บนพ้ืนที่สูงมีการเล้ียงกันคอนขางมาก ซึ่งแตละทองถ่ินมีไกพ้ืนเมืองประจําถ่ินของแตพื้นที่ แตเปนการเลี้ยงแบบปลอยหรือ เลยี้ งหลงั บา น รวมถงึ มกี ารนาํ ไกพ นื้ เมอื งตา งถน่ิ เขา มาเลยี้ งและใหผ สมพนั ธกุ นั เองแบบธรรมชาติ จงึ สง ผลใหส ายพนั ธดุ ง้ั เดมิ คอ ยๆ หายไป การศกึ ษาชนดิ พนั ธขุ องไกพ นื้ เมอื งจงึ เปน ประโยชนต อ การทราบถงึ สถานภาพ การกระจายตวั ตามพนื้ ทสี่ งู ภายใต มูลนิธิโครงการหลวงและโครงการพัฒนาพื้นท่ีสูงแบบโครงการหลวง ซ่ึงจะใชเปนประโยชนในดานการเล้ียงไกพ้ืนเมืองใหมี ศกั ยภาพตอ การสง เสรมิ ใหเ กษตรกรในทอ งถน่ิ ไดเ ลยี้ งเพอื่ เปน แหลง อาหารโปรตนี และเปน การอนรุ กั ษพ นั ธไุ กพ นื้ เมอื งประจาํ ถนิ่ บนพ้นื ทสี่ งู ของไทยอกี ดวย สรุปผลการดําเนนิ งาน ดังนี้ คัดเลือกและรวบรวมไกพื้นเมืองในพื้นท่ี 10 แหง ไดแก (1) สายพันธุจากบานดง จ.แมฮองสอน (2) สายพันธุ จาก อ.ล้ี จ.ลําพูน (3) สายพันธุจากบานหวยนํ้ากืน อ.เวียงปาเปา จ.เชียงราย (4) สายพันธุจาก อ.จอมทอง จ.เชียงใหม สรปุ ผลงานวจิ ยั สถาบันวิจยั และพัฒนาพน้ื ท่สี ูง (องคก ารมหาชน) 59 ประจําปง บประมาณ พ.ศ. 2561

(5) สายพนั ธจุ ากบา นหาดสม ปอย อ.สะเมงิ จ.เชยี งใหม (6) สายพนั ธจุ ากบา นปางแดงใน อ.เชยี งดาว จ.เชยี งใหม (7) สายพนั ธุ จากดอยอินทนนท จ.เชียงใหม (8) สายพันธุจากบานย้ังเมิน อ.สะเมิง จ.เชียงใหม (9) สายพันธุจาก จ.แมฮองสอน และ (10) สายพนั ธุจากบานแมส าบ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม โดยรวบรวมไกพอ พันธุ 10 ตวั แมพันธุ 50 ตวั จากสายพนั ธุในแตละ พนื้ ท่อี ยางละ 6 ตวั อัตราสวนพอ พันธุ 1 ตัวตอ แมพ ันธุ 5 ตวั พบวา อายไุ กเม่ือเริ่มผสมพนั ธุไ ดมีอายตุ ั้งแต 5 เดอื นข้ึนไป เพศผูมนี ้าํ หนักระหวา ง 1.0-1.5 กโิ ลกรัม เพศเมียมีน้ําหนักอยูระหวา ง 0.8-1.2 กโิ ลกรัม ลกั ษณะขนมสี ีน้ําตาลแดง เหลือง ดาํ นํา้ ตาล ดํา คอมสี ีน้าํ ตาลแดง เหลอื ง ปก มสี เี หลอื ง ดาํ นํา้ ตาล และหางมสี ีดํา น้ําตาลเขยี ว ลกั ษณะหงอนแบบจักร ตุมหูสี แดงและสีขาว สีแขงมีสีเทาและสีดํา ความสูง (วัดจากพ้ืนผานดวงตาถึงปลายหงอน) เฉล่ีย ตัวผูเทากับ 35.6 เซนติเมตร ตวั เมยี เทา กับ 27.7 เซนตเิ มตร โดยมลี ักษณะภายนอกบางสวนทีค่ ลายกัน และบางสว นทีแ่ ตกตา งกนั ไปในแตละพนื้ ที่ ไกพน้ื เมอื งบนพ้นื ทีส่ ูง ผลผลติ ท่ีสําคัญของงานวิจยั สายพันธุไกพ น้ื เมืองบนพ้นื ทสี่ ูงที่มศี กั ยภาพในการนํามาสงเสริมแกเ กษตรกร จํานวน 1 สายพนั ธุ แผนการนําผลงานวิจัยไปใชป ระโยชน 1. การใชประโยชนเชงิ วิชาการ 1.1 นําองคความรูที่ไดในป พ.ศ. 2561 ไปใชตอยอดงานวิจัยป พ.ศ. 2562 โดยใชเปนขอมูลตอยอด ในการคัดเลอื กสายพนั ธุไกพ ืน้ เมอื งที่เหมาะสมสาํ หรบั การเลย้ี งบนพื้นทสี่ งู 1.2 การนําเสนอผลงานการวจิ ยั นําเสนอผลงานวจิ ัยในที่ประชมุ วิชาการมูลนธิ ิโครงการหลวงและมบี ทความตพี มิ พ 1 เร่อื ง 2. การใชประโยชนเ ชงิ สาธารณะ ถายทอดความรู และแนวทางการใชประโยชนใหกับนักวิชาการ/นักสงเสริม และเกษตรกรบนพื้นท่ีสูงของ มูลนิธิโครงการ สถาบนั วิจยั และพฒั นาพ้นื ท่สี งู (องคการมหาชน) รวมท้ังผูสนใจ จํานวน 1 ครั้ง 60 สรปุ ผลงานวิจยั สถาบันวจิ ยั และพฒั นาพนื้ ที่สูง (องคก ารมหาชน) ประจําปง บประมาณ พ.ศ. 2561

21. โครงการศึกษาวัสดรุ องพื้นคอกท่เี หมาะสมสาํ หรับการเล้ียงหมูหลุมบนพนื้ ท่ีสงู 1 งานพัฒนาและสงเสริมปศุสัตวของมูลนิธิโครงการหลวงรวมกับ สวพส. ไดมีการวิจัยและทดสอบเทคโนโลยีในการ แผน ่ีท เลย้ี งสตั วช นดิ ตา งๆ จนเกดิ องคค วามรดู า นการเลยี้ งสตั วโ ดยเฉพาะหมหู ลมุ เปน แนวคดิ การเลย้ี งสกุ รดว ยวธิ เี กษตรธรรมชาติ เปนการจัดการคอกสุกรท่ีเปนแบบอยางท่ีดีท่ีสามารถเปนแหลงศึกษาเรียนรูดานการเล้ียงสัตวแกเกษตรกรในพ้ืนท่ีและ ผทู สี่ นใจทวั่ ไป นาํ ไปปรบั ใชเ พอื่ พฒั นาการเลย้ี งสตั วเ พอื่ ใหไ ดร บั ประโยชนท งั้ ดา นการเลย้ี งเพอ่ื เปน แหลง โปรตนี และจาํ หนา ย เพื่อเปนรายไดเสริม นอกจากนี้ การเลี้ยงสุกรแบบหมูหลุมจะไมมีกล่ินเหม็น ไมมีแมลงวันรบกวน ซึ่งการเลี้ยงหมูหลุม ในปจจุบันสวนใหญใชแกลบเปนวัสดุรองพ้ืนคอก แตพบวาบนพื้นที่สูงบางแหงน้ันแกลบคอนขางหายากและราคาแพง การใชวัสดุรองพนื้ จากวัสดุชนิดตา งๆ เชน ฟางขาว เศษเหลอื จากตนขาวโพด กากกาแฟ เศษเหลือทิ้งตา งๆ ท่สี ามารถดูดซบั ความช้นื ไดด ี อาจนํามาใชส าํ หรบั การเล้ยี งหมหู ลุมได แตย งั ไมมรี ายงานท่ีชัดเจน เก่ียวกับชนิด ปริมาณ ความถ่ี และปริมาณ ธาตุอาหารในปุยที่ไดจากหมูหลุม จึงมีการศึกษารูปแบบคอกและการใชวัสดุรองพ้ืนคอกจากส่ิงเหลือท้ิงทางการเกษตรชนิด ตา งๆ สาํ หรับการเล้ียงหมูหลมุ บนพืน้ ทีส่ ูง สรุปผลการดาํ เนนิ งาน ดงั น้ี 1. การศึกษารปู แบบคอกหมู พบวา รูปแบบที่ 1 ขุดหลมุ ไมเ ทพน้ื คอก มปี ริมาณธาตอุ าหาร N, P, K เทา กับ 0.76, 1.59, 0.54 ตามลําดบั ซ่งึ สูงกวา รปู แบบท่ี 2 ขุดหลมุ เทพืน้ คอกหรือใชพ ลาสตกิ ปพู ้ืนคอก มีคา เทากบั 0.60, 1.04, 0.38 ตามลําดับ และรูปแบบที่ 3 สรางคอกเหนือพ้ืนดินไมเทพื้น เทากับ 0.46, 1.09, 0.41 ตามลําดับ โดยรูปแบบคอกแตละ รูปแบบมีคา N, P, K แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ เม่ือเปรียบเทียบคาอินทรียวัตถุ พบวาคอกแบบขุดหลุมเทพ้ืน มีคาสงู สดุ เทา กบั 73.31 รองลงมาไดแก คอกแบบขดุ หลมุ ไมเ ทพื้น และคอกเหนอื พื้นดนิ ไมเ ทพื้น มีคาเทา กับ 67.31 และ 50.13 ตามลาํ ดบั โดยรปู แบบคอกแตล ะรปู แบบมคี า อนิ ทรยี วตั ถแุ ตกตา งกนั อยา งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ และพบวา สมรรถภาพ การผลติ ของสกุ รเมอ่ื เปรยี บเทยี บการเลี้ยงในแตล ะรูปแบบคอกไมม คี วามแตกตางกันทางสถติ ิ 2. การศกึ ษาวสั ดรุ องพนื้ คอกทเ่ี หมาะสมสาํ หรบั การเลย้ี งหมหู ลมุ บนพนื้ ทส่ี งู พบวา การใช (1) แกลบ (2) เศษเหลอื จากขาวโพด (ตน เปลือก และซงั ) (3) เปลอื กกาแฟ (กะลา) และ (4) แกลบ+เศษเหลือจากขาวโพด+เปลือกกาแฟ การใชว ัสดุ รองพน้ื มปี รมิ าณทใี่ ชเ ฉลยี่ 152, 155, 162 และ 168 กโิ ลกรมั ตามลาํ ดบั และมอี ณุ หภมู พิ น้ื คอกระหวา ง 29-31 องศาเซลเซยี ส ขณะที่ปรมิ าณธาตุอาหาร N, P, K, และคาอนิ ทรยี วัตถุ (OM – Organic Matter) ของวสั ดรุ องพนื้ คอกแตละชนดิ พบวา ปรมิ าณธาตุอาหาร N และ K ไมมีความแตกตางกันทางสถติ ิ เมื่อเปรยี บเทียบคา P พบวา เศษเหลอื จากขาวโพด (ตน เปลอื ก และซงั ) มคี า 0.90 สงู กวาเปลอื กกาแฟ (กะลา) มีคา 0.48 ซง่ึ มคี วามแตกตา งกันทางสถติ ิ แตเมอ่ื เปรยี บเทียบวสั ดรุ องพื้นที่ ใชแกลบ และแกลบ+เศษเหลือจากขาวโพด+เปลือกกาแฟ พบวาไมมีความแตกตางกัน เม่ือเปรียบเทียบคาอินทรียวัตถุ หมูหลมุ ในคอก สรุปผลงานวิจยั สถาบนั วจิ ัยและพฒั นาพ้นื ที่สูง (องคการมหาชน) 61 ประจาํ ปง บประมาณ พ.ศ. 2561

พบวา เปลอื กกาแฟ (กะลา) มคี า 83.50 สงู กวา เศษเหลอื จากขา วโพด (ตน เปลอื ก และซงั ) มคี า 29.45 ซง่ึ มคี วามแตกตา งกนั ทางสถติ ิ ขณะทแี่ กลบ และแกลบ+เศษเหลอื จากขา วโพด+เปลอื กกาแฟ ไมม คี วามแตกตา งกนั ทางสถติ ิ เชน เดยี วกบั สมรรถภาพ การเจรญิ เตบิ โตของสกุ รไมแ ตกตา งกนั ทงั้ นก้ี ารใชว สั ดรุ องพนื้ ทเ่ี หมาะสมกบั การเลยี้ งหมหู ลมุ นอกจากจะชว ยทาํ ใหเ กษตรกร หรอื ผเู ลย้ี งไดป ระโยชนจ ากปยุ คอกแลว ยงั พบวา สามารถชว ยลดมลภาวะทางกลน่ิ เพมิ่ รายไดจ ากการเลยี้ งหมู และประหยดั เวลา ในการจัดการ อีกท้ังวัสดุทใี่ ชเ ลย้ี งควรคาํ นึงถงึ การดดู ซบั ความชนื้ ทีด่ ีและหาไดง ายตามทอ งถิน่ ปยุ ท่ีไดจ ากวัสดุรองพ้นื คอกหมหู ลมุ ผลผลิตทสี่ าํ คญั ของงานวจิ ัย 1. ลักษณะคอกเล้ยี งหมูหลุมทเี่ หมาะสมบนพ้นื ที่สูง จํานวน 1 ลักษณะ 2. วิธกี ารเตรียมพืน้ คอกที่เหมาะสมกบั การเลี้ยงหมหู ลุมบนพน้ื ทส่ี ูง จาํ นวน 1 วธิ ี แผนการนําผลงานวิจยั ไปใชป ระโยชน 1. การใชป ระโยชนเ ชงิ วชิ าการ 1.1 นําองคค วามรูท ่ีไดในป พ.ศ. 2561 ไปใชตอยอดงานวจิ ัยป พ.ศ. 2562 ดังนี้ 1) ใชเ ปนขอ มลู ตอ ยอดในการศึกษาลกั ษณะคอกเลีย้ งหมหู ลมุ ทีเ่ หมาะสมบนพ้ืนท่ีสงู 2) ใชเ ปนขอมูลตอ ยอดในการศึกษาวธิ ีการเตรียมพน้ื คอกท่ีเหมาะสมกับการเลยี้ งหมูหลุมบนพ้นื ที่สงู 1.2 การนาํ เสนอผลงานวจิ ัย นาํ เสนอผลงานการวจิ ยั ในทปี่ ระชมุ วชิ าการมูลนธิ โิ ครงการหลวงและมีบทความตพี มิ พ จาํ นวน 1 เรอ่ื ง 2. การใชป ระโยชนเ ชิงสาธารณะ ถายทอดความรู และแนวทางการใชประโยชนใหกับนักวิชาการ/นักสงเสริม และเกษตรกรบนพื้นที่สูงของ มลู นธิ ิโครงการ สถาบันวิจยั และพัฒนาพน้ื ที่สูง (องคก ารมหาชน) รวมทัง้ ผูสนใจ จาํ นวน 1 ครั้ง 62 สรปุ ผลงานวจิ ยั สถาบันวจิ ยั และพัฒนาพืน้ ทสี่ งู (องคก ารมหาชน) ประจําปง บประมาณ พ.ศ. 2561

22. โครงการวิจยั และพฒั นาการเล้ยี งผ้ึงเพื่อการเพ่ิมผลผลติ พชื และคุณภาพนา้ํ ผ้งึ 1 ผึ้งถือเปนแมลงผสมเกสร (Pollinator) ทเ่ี ปน ทีย่ อมรับทัว่ โลก ประมาณ 35 เปอรเซ็นตของอาหารโลก ทผ่ี ึ้งทําหนาท่ี แผน ่ีท เพ่ิมผลผลิตไมผลและพืชพรรณธัญญาหารตางๆ (Genersch, 2010) ประเทศไทยในทางภาคเหนือตอนบน เชน เชียงใหม และลาํ พนู เปน พื้นทีเ่ ล้ยี งผ้ึงหลักและใชผ สมเกสรในลาํ ไยและล้ินจี่ อกี ทัง้ ยังผลติ ภณั ฑท ไ่ี ดจ ากผง้ึ โดยเฉพาะนาํ้ ผึง้ ทีม่ มี ลู คา ทางการตลาดสูง อุตสาหกรรมการเลี้ยงผึ้งในประเทศไทยจึงเปนธุรกิจทางการเกษตรที่นาสนใจแกเกษตรกร (ศูนยสงเสริม เทคโนโลยีการเกษตรดานแมลงเศรษฐกิจ, 2559) สําหรับมูลนิธิโครงการหลวงไดสงเสริมใหเกษตรกรบนพื้นที่สูงปลูกพืช เศรษฐกิจหลายชนิด ท่ีสําคญั อยา งยิ่งคอื การปลกู ไมผ ลรวมกบั การปลูกปา ไดแ ก พ้ีช กาแฟ อาโวคาโด มะมว ง และเสาวรส แตยังพบปญหาการติดผลไมมากนัก ซึ่งมีสาเหตุจากหลายปจจัย เชน ลักษณะพันธุ การรวงของดอก อุณหภูมิ ความช้ืน ลม เปน ตน ดงั นนั้ หากมกี ารใชช นดิ ผงึ้ หรอื และชนั โรงเพอ่ื ชว ยผสมเกสรกจ็ ะเปน การเพม่ิ โอกาสในการตดิ ผลสง ผลให เกษตรกร มรี ายไดม ากข้ึน สรปุ ผลการดาํ เนินงาน ดังนี้ 1. การศึกษาและคัดเลือกชนิดผึ้งในการชวยเพิ่มประสิทธิภาพการผสมเกสร โดยในการติดผลของพี้ช ผ้ึงพันธุ มีการเขา และออกรงั 75 และ 66 ตัวตอวนั ตามลาํ ดบั สว นผึง้ โพรงมีการเขา และออกรงั 137 และ 156 ตัวตอ วัน การติดผล พบวา ผึ้งพันธุมีชวยผสมเกสรแตกตางกับผ้ึงโพรงอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ โดยมีเปอรเซ็นตการติดผลของพี้ชในผึ้งพันธุ ผ้ึงโพรง และชุดควบคมุ เทากบั 22.19 เปอรเ ซ็นต 50.59 เปอรเซ็นต และ 5.34 เปอรเซน็ ต ตามลาํ ดบั อาโวคาโด ผึง้ โพรง มีการเขา และออกรงั 91.82 และ 91.05 ตวั ตอ ช่ัวโมง ตามลําดับ สว นผ้งึ พันธุมกี ารเขา และออกรงั 43.03 และ 41.62 ตวั ตอ ชวั่ โมง ตามลาํ ดบั การตดิ ผลตอ ตน ของอาโวคาโดพนั ธุ Hass ผงึ้ โพรง ผงึ้ พนั ธุ และชดุ ควบคมุ 173.33, 161.00 และ 97.67 ผลตอตน ตามลาํ ดับ และพนั ธุ Buccaneer ผง้ึ โพรง ผ้ึงพนั ธุ และชดุ ควบคมุ 174.66, 121.00 และ 26.33 ผลตอ ตน ตาม ลาํ ดบั เสาวรส ผึ้งพันธุม ีการเขาและออกรัง 82 และ 76 ตวั ตอ วัน ตามลาํ ดบั สว นผึ้งโพรงมีการเขาและออกรัง 172 และ 164 ตวั ตอวัน การตดิ ผล พบวาผ้งึ พันธุมีชวยผสมเกสรแตกตางกบั ผึ้งโพรงอยางมีนยั สําคัญทางสถิติ โดยมกี ารติดผลตอตน ของผึง้ พนั ธุ ผง้ึ โพรง และชุดควบคมุ 98.00, 117.33 และ 68.00 ตามลาํ ดับ กาแฟ ผงึ้ โพรงมีการเขา และออกรัง 78.36 และ 79.72 ตวั ตอ วัน ตามลาํ ดบั สวนผ้ึงพนั ธุม กี ารเขา และออกรงั 58.75 และ 41.06 ตวั ตอวนั ตามลําดบั การตดิ ผลเลก็ ตอตน ของกาแฟ ผง้ึ โพรง ผึง้ พันธุ และชุดควบคมุ 1,696.00, 1,283.00 และ 440.00 ตามลําดบั 2. การศกึ ษาและคดั เลอื กชนดิ พนั ธชุ นั โรงในการชว ยเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการผสมเกสรในมะมว ง พบชนั โรงในพนื้ ที่ 2 ชนดิ คอื Tetragonula laeviceps และ Lepidotrigona doipaensis นาํ มาเพาะขยายพนั ธแุ ละเลย้ี งในลงั จากนน้ั ทดสอบ ประสิทธิภาพการผสมเกสรในมะมวง ผลการทดสอบพบวา กรรมวิธีชุดควบคุม ชันโรงชนิด T. laevicep และชนิด L. doipaensis มีการติดผลเทา กบั 45.00 และ 40.60 ผลตอ ตน ตามลําดับ อยางไรกต็ าม ชดุ ควบคุม มนี ํ้าหนักผลนอ ยกวา และขนาดของผลไมสมาํ่ เสมอ 3. การศกึ ษาลงั ทเี่ หมาะสมสาํ หรบั เลยี้ งผง้ึ พนั ธบุ นพน้ื ทสี่ งู ทดสอบเปรยี บเทยี บประสทิ ธภิ าพลงั แบบใหมป ระยกุ ต ลังแบบยุโรป และลังแบบไตหวัน (ลังแบบเดิมท่ีเกษตรกรใช) เพื่อใชเลี้ยงผ้ึงพันธุที่ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงเริง พบวา ลังแบบใหมป ระยุกต มปี ระสิทธิภาพในการเลย้ี งผึ้งพันธุมากท่สี ุด โดยมจี ํานวนประชากรในลงั ผงึ้ ตวั ออ น ไข และนํ้าหวาน มากกวาลังแบบยุโรปและลังแบบไตหวัน ปริมาณนํ้าผึ้งท่ีเก็บไดเฉล่ียเทากับ 2,361.00, 830.67 และ 2,072.00 กรัม ตามลําดับ นอกจากนีค้ วามชื้นของนํา้ ผึ้งพบวาลังทง้ั 3 รูปแบบ มีความช้ืนเทา กับ 21.00, 20.73 และ 21.55 เปอรเซ็นต ซึ่งยังอยูในมาตรฐานน้ําผึ้งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง นํ้าผึ้ง (ฉบับที่ 211) พ.ศ. 2543 ท่ีกําหนดใหไมเกิน 21 เปอรเซน็ ต 4. วิธีการเลี้ยงขยายพันธุนางพญาสายพันธุดีบนพ้ืนที่สูง พบวา วิธกี ารสรางนางพญาตามธรรมชาติมีจํานวนการ สรางหลอดรวงเทา กบั 74 หลอด จากนั้นจะเรม่ิ ทําการสรา งนางพญาฉุกเฉนิ โดยมีจาํ นวนหลอดนางพญาเทา กบั 92 หลอด และวธิ ีการสรางนางพญาแบบเขี่ยหนอน โดยเพาะจาํ นวน 30 หลอดตอรงั มจี าํ นวนหลอดรวงเทา กับ 88 หลอด สรปุ ผลงานวจิ ัย สถาบันวจิ ยั และพฒั นาพื้นทีส่ ูง (องคการมหาชน) 63 ประจาํ ปง บประมาณ พ.ศ. 2561

5. การศึกษาวิธีการเลี้ยงผึ้งโพรงในธรรมชาติที่เหมาะสมรวมกับเกษตรกรบนพื้นท่ีสูง ทดสอบในพื้นที่พัฒนา การเลี้ยงผ้ึงโพรงที่โครงการพัฒนาพ้ืนท่ีสูงแบบโครงการหลวงสบเมย และโครงการพัฒนาพ้ืนที่สูงแบบโครงการหลวง ผาผ้ึง-ศรีคีรีรกั ษ พบวา การลอผง้ึ โพรงโดยการใชไขผง้ึ สามารถลอใหผงึ้ เขา ลัง 81.27 เปอรเ ซ็นต และผง้ึ โพรงสามารถอาศัยและขยายพันธุภายใน ลังแบบไตหวันประยุกตเทากับ 51.03 เปอรเซ็นต ซ่ึงมากกวาวิธีการเดิม ของเกษตรกรทไี่ มม กี ารลอ ผงึ้ โพรงและใชโ กน (ทอ นไม) ดงั นน้ั วธิ กี ารเลย้ี ง ผ้ึงโพรงในลังแบบไตหวันประยุกตสามารถนํามาตอยอดเพ่ือลดปญหา การทงิ้ รังของผง้ึ โพรง และยังงา ยตอการเกบ็ เกยี่ วนา้ํ ผงึ้ ไดอีกดว ย (ก) (ข) (ค) (ง) การทดสอบวิจยั และพฒั นาการเล้ยี งผึ้งเพ่ือเพ่มิ ผลผลิตพืชและคณุ ภาพน้าํ ผึง้ (ก.) ผลติ ผลพชี้ ทไ่ี ดจ ากการผสมเกสรจากผงึ้ ในแตล ะกรรมวธิ ี (ข.) ทดสอบลงั เลย้ี งผงึ้ พนั ธแุ บบยโุ รป ไตห วนั และแบบใหมป ระยกุ ต (ค.) การเล้ียงผึ้งโพรงบนพ้นื ท่ีสูง (ง.) การเพาะเล้ยี งนางพญาสายพันธดุ ี ผลผลิตท่สี าํ คัญของงานวจิ ัย 1. ชนิดผ้ึงท่ีเหมาะสมในการชวยเพิ่มประสิทธิภาพการผสมเกสรในพ้ีช อาโวคาโด เสาวรส และกาแฟ อยางนอย จํานวน 1 ชนิด 2. ชนิดชันโรงท่เี หมาะสมในการชว ยเพิ่มประสทิ ธภิ าพการผสมเกสรในมะมว ง อยางนอย 1 ชนิด 3. ลังท่เี หมาะสมในการเลยี้ งผึ้งพนั ธบุ นพน้ื ท่สี งู 1 ลักษณะ 4. วธิ ีการเลี้ยงและขยายพนั ธนุ างพญาผง้ึ สายพนั ธดุ ีทเ่ี หมาะสมบนพนื้ ทีส่ ูง อยา งนอย 1 วธิ ี แผนการนําผลงานวิจยั ไปใชประโยชน 1. การใชป ระโยชนเชิงวชิ าการ 1.1 นาํ องคความรูทไ่ี ดใ นป พ.ศ. 2561 ไปใชตอยอดงานวจิ ยั ป พ.ศ. 2562 ดังนี้ 1) ตอยอดองคความรูเพ่ือทดสอบชนิดผ้ึงในพื้นท่ีโครงการพัฒนาพื้นท่ีสูงแบบโครงการหลวงในแตละพ้ืนท่ี ใหเหมาะสม 2) ทดสอบและคดั เลอื กลงั รปู แบบใหมป ระยกุ ตท ใี่ ชเ ลย้ี งผงึ้ พนั ธใุ นพนื้ ทโ่ี ครงการพฒั นาพนื้ ทสี่ งู แบบโครงการ หลวงระดับแปลงรวมกับเกษตรกร 3) นาํ องคค วามรเู รอ่ื งวธิ กี ารเลยี้ งผงึ้ โพรงทเี่ หมาะสมบนพน้ื ทสี่ งู ทดสอบเพมิ่ เตมิ ในสภาพแปลงปลกู พชื ตา งๆ เชน ปาเมี่ยง สวนกาแฟ เปน ตน โดยขยายงานทดสอบเพิ่มในพ้ืนทโ่ี ครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง 1.2 การนาํ เสนอผลงานวจิ ัยหรือตีพมิ พในรูปแบบตางๆ นําเสนอผลงานวิจัยในการประชุมวิชาการผลงานวิจัยของมูลนิธิโครงการหลวงและสถาบันวิจัยและพัฒนา พนื้ ที่สงู (องคการมหาชน) 64 สรปุ ผลงานวจิ ัย สถาบันวิจยั และพัฒนาพ้นื ทส่ี งู (องคก ารมหาชน) ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

23. โครงการวจิ ัยเพอ่ื ปรับปรงุ ประสิทธภิ าพการใหนาํ้ และปุยแกไมผ ลสําคญั บนพน้ื ทีส่ ูง 1 ไมผลเปนพืชเศรษฐกิจท่ีสําคัญของมูลนิธิโครงการหลวงที่สรางรายไดใหแกเกษตรกรบนพ้ืนท่ีสูง โดยเฉพาะ แผน ่ีท สตรอวเบอรร ี่ เคพกสู เบอรร ี่ และองนุ โดยในป พ.ศ. 2560 (ม.ค.-ส.ค. 2560) สตรอวเบอรรี่มีผลผลิต 138.41 ตนั มลู คา 18.88 ลา นบาท เคพกสู เบอรร มี่ ผี ลผลติ 152.32 ตนั มลู คา 14.44 ลา นบาท และองนุ มผี ลผลติ 22.68 ตนั มลู คา 2.93 ลา นบาท จึงเปนไมผลที่มีศักยภาพทางการผลิตและตลาดอยางมาก การปลูกพืชบนพ้ืนที่สูงตองมีการใชพ้ืนท่ีใหเกิดประโยชนสูงสุด รวมถงึ ทรพั ยากรนา้ํ ท่ีมอี ยอู ยางจํากดั ซึ่งในการใหน ํา้ สําหรับไมผ ลบนพนื้ ที่สงู โดยทั่วไปเกษตรกรจะใชส ายยางในการรดน้าํ หรือใชสปริงเกอร โดยไมทราบความตองการของพืช ซ่ึงอาจจะทําใหสิ้นเปลือง เกินความตองการของพืช หรืออาจจะ ไมเพียงพอสําหรับพืชในบางชวงเวลา สวนการใหปุยของเกษตรกรโดยทั่วไปใหปุยทางดินดวยวิธีการหวานในแปลง หรือ รอบทรงพุมของตนไมผล หรือใหปุยทางใบ โดยไมทราบปริมาณความตองการของพืชดวยเชนกัน วิธีการใหน้ําและปุย แบบประหยดั ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพของไมผ ลจะเปน การใหน า้ํ และปยุ ในชว งตา งๆ ของการเจรญิ เตบิ โตของไมผ ลอยา งถกู ตอ ง และ ตรงกับนิสัยของไมผลแตละชนิดวามีจุดวิกฤติในการใหน้ําและปุยในชวงระยะเวลาใด การวิจัยน้ีเปนศึกษาวิธีการใหน้ําและ ปยุ สําหรับไมผลของมูลนิธิโครงการหลวง และศึกษา Best practice ในการใหน ํ้าและปุยของเกษตรกรท่ปี ระสบความสาํ เรจ็ ในการผลิตไมผ ลสําคญั สรปุ ผลการดาํ เนนิ งาน ดงั น้ี การศกึ ษาวจิ ยั เพอ่ื ปรบั ปรงุ ประสทิ ธภิ าพการใชน าํ้ และปยุ แกพ ชื สาํ คญั บนพน้ื ทสี่ งู ดาํ เนนิ การในพนื้ ทข่ี องเกษตรกร ทสี่ ถานเี กษตรหลวงอา งขาง สถานฯี ปางดะ และศนู ยฯ แกนอ ย เพอื่ ประเมนิ ความตอ งการธาตอุ าหารและนาํ้ ของสตรอวเ บอรร ่ี เคพกูสเบอรร่ี และองุน ผลการศึกษาพบวา สตรอวเบอรรี่ (ผลผลิตเฉล่ีย 500 กรัมตอตน) ตองการธาตุอาหารไนโตรเจน 1.45 กรมั ตอ ตน ฟอสฟอรสั 0.31 กรมั ตอ ตน และโพแทสเซยี ม 3.54 กรมั ตอ ตน เคพกสู เบอรร ี่ (ผลผลติ เฉลย่ี 3 กโิ ลกรมั ตอ ตน ) ตองการธาตุอาหารไนโตรเจน 35.86 กรัมตอตน ฟอสฟอรัส 17.5 กรัมตอตน และโพแทสเซียม 76.96 กรัมตอตน และ องุน (อายุ 7 ป ผลผลิตเฉล่ีย 5.38 กิโลกรัมตอตน) มีความตองการธาตุอาหารไนโตรเจน 75.14 กรัมตอตน ฟอสฟอรัส 7.40 กรมั ตอตน และโพแทสเซยี ม 61.04 กรมั ตอ ตน สําหรบั ความตองการนา้ํ ของไมผ ลทัง้ สามชนิดตลอดระยะเวลาการผลิต ซง่ึ ประเมนิ จากขอ มลู สภาพภมู อิ ากาศของแตล ะพนื้ ที่ พบวา สตรอวเ บอรร ม่ี คี วามตอ งการใชน าํ้ 509 มลิ ลเิ มตร เคพกสู เบอรร ี่ มีความตองการใชน ้าํ 619 มิลลเิ มตร และองนุ มีความตอ งการใชน าํ้ 588 มลิ ลเิ มตร ผลผลิตท่ีสาํ คญั ของงานวิจยั วธิ กี ารปรบั ปรงุ ประสทิ ธภิ าพการใหน ้าํ และปุยแกไมผ ล จาํ นวน 1 ชนิด แผนการนาํ ผลงานวิจยั ไปใชป ระโยชน การใชประโยชนเชงิ วชิ าการ นําองคค วามรูทไ่ี ดใ นป พ.ศ. 2561 ไปใชตอยอดงานวจิ ัยป พ.ศ. 2562 โดยในป พ.ศ. 2561 ไดขอมูลความ ตองการธาตุอาหารและนํ้าที่ประเมินไดจากการศึกษาในครั้งน้ี จะถูกนํามาใชเปนแนวทางในการกําหนดอัตราการ ใสปุยและการใหน้ําที่เหมาะสมสําหรับการผลิตไมผลบนพื้นท่ีสูงในป พ.ศ. 2562 เพื่อใหการจัดการปุยและนํ้า เปนไปอยา งมีประสทิ ธิภาพสูงสดุ สรุปผลงานวิจัย สถาบันวิจัยและพฒั นาพน้ื ท่ีสูง (องคการมหาชน) 65 ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561

24. โครงการศกึ ษาเพ่ือปรบั ปรุงกระบวนการจัดการหลงั การเกบ็ เกยี่ วผักอนิ ทรีย ของโครงการหลวง กระบวนการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผักอินทรียของมูลนิธิโครงการหลวงยังพบปญหาดานคุณภาพและการสูญเสีย หลังการเก็บเก่ียวเกิดขึน้ เชน การช้าํ การเนาเสีย การเหยี่ ว และการเหลืองของใบ เปนตน ซง่ึ มผี ลตอ อายุการเกบ็ รักษาหรือ อายุการวางจําหนายของผักอินทรีย โดยในป พ.ศ. 2560 ดนัยและคณะไดศึกษากระบวนการจัดการหลังการเก็บเก่ียวผัก อนิ ทรยี ท ีป่ ลกู ในพื้นทีข่ องโครงการหลวง 10 แหง จากการสาํ รวจคณุ ภาพและการสูญเสยี ของผกั อินทรยี ใ นแปลงปลกู ผกั อินทรยี ของเกษตรกร และการจัดการหลงั การ เกบ็ เกี่ยวผักอินทรยี ของศนู ยพัฒนาโครงการหลวง 10 แหง ตามวธิ กี ารที่ดที ีไ่ ดเสนอแนะไว พบวา ศนู ยฯ /สถานีฯ ท่ีปลูกผกั อนิ ทรยี ม กี ารจดั การหลงั การเกบ็ เกย่ี วทเ่ี หมาะสม สง ผลใหก ารสญู เสยี หลงั การเกบ็ เกยี่ วผกั อนิ ทรยี ท เี่ กดิ ขนึ้ ระหวา งการเคลอื่ นที่ ของผกั ในโซอ ุปทานลดลง และอายกุ ารวางจาํ หนายของผกั อินทรียเ พมิ่ ขึ้น สรปุ ผลการดําเนินงาน ดังน้ี 1. สถานเี กษตรหลวงอนิ ทนนท: ผกั กาดกวางตงุ มกี ารสญู เสยี หลงั การเกบ็ เกยี่ วทแ่ี ปลงปลกู ของเกษตรกร ศนู ยพ ฒั นา โครงการหลวง ศนู ยผ ลติ ผลโครงการหลวงเชยี งใหม และรานคา มลู นิธโิ ครงการหลวง วธิ กี ารเดิม 13.09, 22.96, 15.55 และ 1.34 เปอรเ ซ็นต ตามลาํ ดับ วิธกี ารตามขอ เสนอแนะ 12.38, 14.65, 13.19 และ 1.97 เปอรเซน็ ต ตามลําดบั และมีอายุการ วางจาํ หนายจากเดมิ 6.28 เปน 9.58 วัน สว นโอกลีฟเขยี วมีการสญู เสียหลงั การเก็บเกีย่ ววธิ ีการเดมิ 6.68, 10.07, 32.68 และ 5.01 เปอรเซน็ ต ตามลําดับ วิธกี ารตามขอ เสนอแนะ 29.26, 9.42, 17.40 และ 2.75 เปอรเซ็นต ตามลาํ ดบั และมอี ายุ การวางจาํ หนายจากเดิม 5.84 เปน 7.20 วนั 2. สถานีเกษตรหลวงอางขาง: ผักกาดหอมบัตเทอรเฮดมีการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยวที่แปลงปลูกของเกษตรกร ศูนยพัฒนาโครงการหลวง ศูนยผลิตผลโครงการหลวงเชียงใหม และรานคามูลนิธิโครงการหลวง วิธีการเดิม 46.01, 3.35, 27.12 และ 4.42 เปอรเ ซ็นต ตามลาํ ดับ วิธกี ารตามขอเสนอแนะ 36.92, 0.37, 10.91 และ 1.09 เปอรเซ็นต ตามลาํ ดับ และ มอี ายกุ ารวางจาํ หนา ยจากเดมิ 6.29 วนั เปน 13.20 วนั สว นกะหลา่ํ ปลหี วานมกี ารสญู เสยี หลงั การเกบ็ เกยี่ ววธิ กี ารเดมิ 39.51, 9.85, 11.25 และ 3.33 เปอรเซ็นต ตามลําดับ วิธีการตามขอเสนอแนะ 30.64, 11.67, 10.99 และ 0.78 เปอรเซ็นต ตามลําดับ และมอี ายุการวางจําหนายจากเดมิ 13.53 เปน 21.45 วนั 3. ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง: ผักกาดหอมโอกลีฟเขียวมีการสูญเสียหลังการเก็บเก่ียวท่ีแปลงปลูกของ เกษตรกร ศนู ยพ ฒั นาโครงการหลวง ศนู ยผ ลติ ผลโครงการหลวงเชยี งใหม และรา นคา มลู นธิ โิ ครงการหลวง วธิ กี ารเดมิ 26.13, 0.00, 19.35 และ 4.26 เปอรเ ซน็ ต ตามลาํ ดับ วิธกี ารตามขอเสนอแนะ 35.08, 0.00, 9.50 และ 0.00 เปอรเซ็นต ตามลาํ ดับ และมอี ายุการวางจําหนา ยจากเดิม 7.85 เปน 11.43 วัน สว นผักกาดหวานมีการสญู เสยี หลังการเกบ็ เก่ียววิธกี ารเดมิ 27.49, 0.00, 23.78 และ 1.61 เปอรเ ซน็ ต ตามลาํ ดบั วิธกี ารตามขอเสนอแนะ 26.81, 0.00, 9.33 และ 0.99 เปอรเ ซ็นต ตามลําดบั และมีอายกุ ารวางจําหนายจากเดมิ 5.98 เปน 11.44 วัน 4. ศูนยพัฒนาโครงการหลวงหวยโปง: ผักกาดกวางตุงมีการสูญเสียหลังการเก็บเก่ียวที่แปลงปลูกของเกษตรกร ศูนยพัฒนาโครงการหลวง ศูนยผลิตผลโครงการหลวงเชียงใหม และรานคามูลนิธิโครงการหลวง วิธีการเดิม 25.40, 3.32, 29.42 และ 2.37 เปอรเ ซ็นต ตามลําดบั วธิ กี ารตามขอ เสนอแนะ 19.64, 10.56, 4.00 และ 1.59 เปอรเซน็ ต ตามลําดับ และ มีอายกุ ารวางจําหนา ยจากเดิม 6.44 เปน 7.57 วนั สวนเบบี้ฮอ งเตมกี ารสูญเสียหลงั การเก็บเกย่ี ววิธกี ารเดมิ 40.21, 32.52, 34.78 และ 3.87 เปอรเ ซน็ ต ตามลาํ ดับ วธิ ีการตามขอ เสนอแนะ 21.13, 23.54, 9.25 และ 0.15 เปอรเ ซน็ ต ตามลาํ ดับ และมีอายกุ ารวางจําหนายจากเดิม 10.60 เปน 10.73 วนั 66 สรุปผลงานวิจัย สถาบันวิจัยและพฒั นาพน้ื ที่สงู (องคการมหาชน) ประจาํ ปง บประมาณ พ.ศ. 2561

5. ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงเริง: ผักกาดกวางตุงมีการสูญเสียหลังการเก็บเก่ียวท่ีแปลงปลูกของเกษตรกร 1 ศูนยพัฒนาโครงการหลวง ศูนยผลิตผลโครงการหลวงเชียงใหม และรานคามูลนิธิโครงการหลวง วิธีการเดิม 20.93, 4.63, 31.15 และ 2.32 เปอรเซ็นต ตามลําดบั วิธีการตามขอเสนอแนะ 34.41, 3.56, 4.06 และ 2.58 เปอรเ ซน็ ต ตามลําดับ และ แผน ่ีท มีอายุการวางจําหนายจากเดมิ 7.56 เปน 9.07 วัน สว นยอดซาโยเตม กี ารสญู เสียหลงั การเก็บเกย่ี ววธิ ีการเดมิ 0.00, 13.07, 6.63 และ 0.08 เปอรเซ็นต ตามลําดับ วิธีการตามขอเสนอแนะ 0.00, 1.77, 1.26 และ 0.23 เปอรเซ็นต ตามลําดับ และมีอายกุ ารวางจาํ หนายจากเดมิ 6.75 เปน 7.50 วัน 6. ศูนยพัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร: ผักกาดหอมหอมีการสูญเสียหลังการเก็บเก่ียวที่แปลงปลูกของเกษตรกร ศูนยพ ฒั นาโครงการหลวง ศูนยผ ลติ ผลโครงการหลวงเชียงใหม และรานคามูลนิธโิ ครงการหลวง วธิ กี ารเดมิ 23.96, 33.42, 19.11 และ 3.27 เปอรเซ็นต ตามลําดบั วธิ กี ารตามขอ เสนอแนะ 32.93, 25.26, 14.06 และ 1.91 เปอรเ ซ็นต ตามลําดบั และมอี ายุการวางจาํ หนายจากเดิม 7.40 เปน 11.48 วนั สวนผกั กาดหวานมกี ารสูญเสยี หลงั การเก็บเก่ยี ววิธกี ารเดมิ 12.90, 36.24, 28.64 และ 2.04 เปอรเซ็นต ตามลําดับ วิธีการตามขอเสนอแนะ 19.97, 39.67, 4.17 และ 1.34 เปอรเซ็นต ตามลําดับ และมอี ายกุ ารวางจําหนายจากเดิม 6.80 เปน 10.05 วนั 7. ศูนยพัฒนาโครงการหลวงแมสะปอก: ผักกาดฮองเตมีการสูญเสียหลังการเก็บเก่ียวท่ีแปลงปลูกของเกษตรกร ศูนยพัฒนาโครงการหลวง ศูนยผลิตผลโครงการหลวงเชียงใหม และรานคามูลนิธิโครงการหลวง วิธีการเดิม 7.23, 43.86, 33.05 และ 1.91 เปอรเ ซน็ ต ตามลาํ ดบั วธิ กี ารตามขอเสนอแนะ 44.50, 12.60, 25.75 และ 0.62 เปอรเซน็ ต ตามลาํ ดบั และมอี ายกุ ารวางจาํ หนา ยจากเดมิ 6.03 เปน 7.38 วนั สว นเบบฮ้ี อ งเตม กี ารสญู เสยี หลงั การเกบ็ เกย่ี ววธิ กี ารเดมิ 7.79, 46.49, 30.97 และ 3.80 เปอรเ ซน็ ต ตามลําดบั วิธกี ารตามขอ เสนอแนะ 56.19, 11.16, 22.12 และ 0.51 เปอรเ ซน็ ต ตามลําดบั และมอี ายุการวางจําหนายจากเดมิ 4.87 เปน 8.90 วนั 8. ศนู ยพ ฒั นาโครงการหลวงหว ยสม ปอ ย: กะหลา่ํ ปลหี วานมกี ารสญู เสยี หลงั การเกบ็ เกย่ี วทแี่ ปลงปลกู ของเกษตรกร ศูนยพฒั นาโครงการหลวง ศูนยผลิตผลโครงการหลวงเชยี งใหม และรานคามลู นิธิโครงการหลวง วธิ กี ารเดิม 27.47, 16.21, 27.65 และ 4.78 เปอรเซน็ ต ตามลาํ ดับ วิธีการตามขอ เสนอแนะ 26.10, 13.86, 17.78 และ 0.68 เปอรเซน็ ต ตามลาํ ดับ และมอี ายกุ ารวางจาํ หนา ยจากเดมิ 13.14 เปน 15.17 วนั สว นผกั กาดหวานมกี ารสญู เสยี หลงั การเกบ็ เกย่ี ววธิ กี ารเดมิ 37.97, 61.21, 11.71 และ 4.00 เปอรเซ็นต ตามลําดับ วิธีการตามขอเสนอแนะ 23.66, 26.40, 3.60 และ 3.90 เปอรเซ็นต ตามลําดบั และมีอายุการวางจําหนา ยจากเดิม 5.25 เปน 11.30 วัน 9. ศนู ยพ ฒั นาโครงการหลวงหว ยนา้ํ รนิ : โอค ลฟี เขยี วมกี ารสญู เสยี หลงั การเกบ็ เกยี่ วทแี่ ปลงปลกู ของเกษตรกร ศนู ย พัฒนาโครงการหลวง ศนู ยผ ลติ ผลโครงการหลวงเชียงใหม และรานคามูลนิธิโครงการหลวง วธิ ีการเดมิ 7.12, 56.49, 62.21 และ 0.00 เปอรเ ซ็นต ตามลําดบั วิธีการตามขอ เสนอแนะ 63.80, 15.41, 50.61 และ 0.65 เปอรเ ซ็นต ตามลาํ ดับ และมีอายุ การวางจาํ หนา ยจากเดิม 5.60 เปน 9.73 วนั สว นโอค ลฟี แดงมีการสูญเสียหลงั การเกบ็ เกี่ยววธิ กี ารเดมิ 21.45, 53.80, 46.19 และ 0.00 เปอรเซ็นต ตามลําดบั วิธีการตามขอเสนอแนะ 31.53, 11.12, 26.19 และ 0.82 เปอรเ ซ็นต ตามลาํ ดบั และมอี ายุ การวางจําหนา ยจากเดิม 5.08 เปน 10.40 วัน 10. ศูนยพัฒนาโครงการหลวงแกนอย: ผักกาดหอมบัตเทอรเฮดมีการสูญเสียหลังการเก็บเก่ียวท่ีแปลงปลูกของ เกษตรกร ศนู ยพ ฒั นาโครงการหลวง ศนู ยผ ลติ ผลโครงการหลวงเชยี งใหม และรา นคา มลู นธิ โิ ครงการหลวง วธิ กี ารเดมิ 18.93, 23.88, 24.95 และ 1.38 เปอรเซ็นต ตามลําดับ วิธีการตามขอเสนอแนะ 30.08, 15.96, 7.35 และ 1.04 เปอรเซ็นต ตามลาํ ดบั และมอี ายกุ ารวางจาํ หนา ยจากเดมิ 4.13 เปน 7.83 วนั สว นผกั กาดหอมหอ มกี ารสญู เสยี หลงั การเกบ็ เกย่ี ววธิ กี ารเดมิ 25.20, 25.71, 24.17 และ 2.81 เปอรเซ็นต ตามลําดับ วิธีการตามขอเสนอแนะ 28.12, 18.63, 14.62 และ 1.09 เปอรเซ็นต ตามลาํ ดบั และมีอายกุ ารวางจาํ หนา ยจากเดมิ 5.07 เปน 7.81 วนั สรปุ ผลงานวิจัย สถาบนั วิจยั และพัฒนาพน้ื ที่สูง (องคการมหาชน) 67 ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

การสํารวจคณุ ภาพและการสูญเสียของผักอนิ ทรยี  การตรวจสอบปริมาณและคุณภาพผกั อินทรีย ในแปลงปลกู ผักอินทรยี ของเกษตรกร การปฏิบัติตามขอเสนอแนะการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผักอินทรียสามารถลดการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยวของ ผกั ลงได และทาํ ใหผ กั มอี ายกุ ารวางจาํ หนา ยนานขนึ้ ถงึ แมว า มกี ารสญู เสยี หลงั การเกบ็ เกยี่ วทแี่ ปลงปลกู ของเกษตรกรมากกวา วิธีเดิม แตขั้นตอนในโซอุปทานหลังจากน้ันการสูญเสียหลังการเก็บเก่ียวไดลดลงเมื่อปฏิบัติตามขอเสนอแนะ อยางไรก็ตาม การสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยวของผักอินทรียขึ้นอยูกับคุณภาพเบ้ืองตนของผักในแปลงปลูก การสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว ของผักอินทรียบางชนิดสูงข้ึนหลังจากปฏิบัติตามคําแนะนํา ซึ่งเกิดจากคุณภาพเบ้ืองตนของผักอินทรียในแปลงปลูกไมดี เทา กับกอนใหคําแนะนํา ผลผลติ ท่สี าํ คญั ของงานวิจยั 1. กระบวนการจัดการหลงั การเกบ็ เก่ียวทเี่ หมาะสมและมปี ระสทิ ธภิ าพในการจดั การผกั อินทรีย จาํ นวน 11 ชนดิ 2. กระบวนการจดั การหลงั การเก็บเกีย่ วผกั อินทรียข องศนู ยพ ฒั นาโครงการหลวง 10 ศนู ยฯ/สถานีฯ 3. รา งคูมอื การจดั การหลังการเก็บเก่ียวผักอินทรีย จํานวน 1 ฉบบั แผนการนาํ ผลงานวจิ ยั ไปใชป ระโยชน การใชประโยชนเชงิ สาธารณะ 1) คมู อื การจัดการหลังการเกบ็ เกีย่ วผกั อนิ ทรยี  จาํ นวน 1 เรอ่ื ง 2) เกษตรกรตลอดจนบคุ ลากรของมลู นธิ โิ ครงการหลวงนาํ วธิ กี ารหรอื กระบวนการจดั การหลงั การเกบ็ เกย่ี วผกั อนิ ทรยี  ที่เหมาะสม ไปประยุกตใ ชและสามารถลดการสญู เสยี ผลิตผลผักอนิ ทรียไดอ ยา งนอย 20 เปอรเ ซน็ ต 68 สรุปผลงานวจิ ัย สถาบันวจิ ยั และพฒั นาพืน้ ท่สี ูง (องคการมหาชน) ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561

การวิจัยเพือ่ ฟนฟแู ละ อนุรักษทรพั ยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดลอ ม HIGHLAND RESEARCH AND DEVELOPMENT INSTITUTE (PUBLIC ORGANIZATION)

แผนงานการวิจัยเพ่อื เพิม่ ผลผลติ และคุณภาพของผลติ ผลเกษตร การวิจัยและพัฒนาเพ่ือฟนฟูและอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมโดยกระบวนการมีสวนรวมของชุมชน บนพนื้ ทสี่ งู ครอบคลมุ ประเดน็ ของทรพั ยากรปา ไม ความหลากหลายทางชวี ภาพ ดนิ และสง่ิ แวดลอ มชมุ ชน โดยเนน การวจิ ยั เพื่อการอนุรักษและฟนฟูพืชและเห็ดทองถ่ินและความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อเปนแหลงอาหารของชุมชนบนพ้ืนที่สูง การศึกษาชนิดไมทองถิ่นและการใชประโยชนเพ่ือการปลูกปาชาวบานและการใชสอยของชุมชน การศึกษาชนิด/พันธุไมสน เพ่ือปลูกเปนสวนปาและการอนุรักษในพื้นที่โครงการหลวง การศึกษาการจัดการทรัพยากรปาไมเพ่ือการใชประโยชนอยาง ยงั่ ยนื โดยกระบวนการมสี ว นรว มของชมุ ชนบา นวดั จนั ทร การศกึ ษาฟน ฟคู วามอดุ มสมบรู ณข องดนิ ในระดบั ชมุ ชนบนพนื้ ทสี่ งู การศึกษาและพัฒนาระบบการจัดการของเสียจากครัวเรือนและชุมชน รวมท้ังการศึกษาการพัฒนาชุมชนโครงการหลวง เพอื่ เปน ชมุ ชนคารบอนตํา่ และย่ังยืน ประกอบดว ย 8 โครงการหลกั ดงั น้ี 1. โครงการวิจยั การอนรุ กั ษแ ละฟนฟพู ืชทองถิ่นเพ่ือการใชประโยชนของชุมชนบนพืน้ ทสี่ ูง การวิจัยการอนุรักษและฟนฟูพืชทองถ่ินเพ่ือการใชประโยชนของชุมชนบนพ้ืนที่สูง เปนงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ เนนกระบวนการมีสวนรวมของชุมชน (Participatory Action Research) และการสรางกระบวนการเรียนรูของชุมชนไป พรอ มกนั ภายใตห ลกั การดาํ เนนิ งานของโครงการธนาคารอาหารชมุ ชนตามพระราชดาํ ริ (Food Bank) โดยมงุ เนน การรวบรวม องคความรูและภูมิปญญาทองถ่ินดานความหลากหลายทางชีวภาพ การพัฒนาระบบการถายทอดองคความรูสูคนรุนใหม ตลอดจนสนับสนุนการอนุรักษ ฟนฟูแหลงอาหาร และการพัฒนาตอยอดจากฐานความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชน เพ่ือเสริมสรางความม่ันคงดานอาหาร การเสริมรายไดทางเศรษฐกิจ รวมท้ังการศึกษาแนวทางที่นําไปสูการคุมครองและ การบริหารจัดการทรัพยากรพืชทองถ่ินโดยกระบวนการมีสวนรวมของชุมชนและหนวยงานท่ีเก่ียวของ ตลอดจนการสราง องคกรชุมชนและการพัฒนาเครือขายความรวมมือในการอนุรักษ ฟนฟู และใชประโยชนจากความหลากหลายทางชีวภาพ ในวงกวางและเกิดความย่ังยืนตอไปสรุปผลการดาํ เนินงาน สรุปผลการดําเนนิ งาน ดงั นี้ 1. การศึกษารวบรวมองคค วามรแู ละวธิ ีการเพาะขยายพนั ธุพืชทองถ่นิ ของชมุ ชน 1.1 รวบรวมขอมลู องคความรกู ารใชประโยชนจ ากพชื ทองถนิ่ เพ่มิ เติมใน 5 พ้ืนที่ ประกอบดว ย บานหว ยโทน (โครงการพัฒนาพน้ื ทสี่ ูงฯ บอ เกลอื ) บา นหว ยขา วลบี (ศนู ยฯ แมส ะปอ ก) บา นหวยนํา้ กืน (ศนู ยฯ หว ยโปง) บานเหลา (ศนู ยฯ มอ นเงาะ) และบา นขอบดง (สถานฯี อา งขาง) โดยมอี งคค วามรดู า นการใชป ระโยชนพ ชื ทอ งถนิ่ ในแตล ะชมุ ชน จาํ นวน 95, 173, 88, 169 และ 67 ชนดิ ตามลําดบั รวมทงั้ สน้ิ 592 ชนิด ชนิดพชื ทอ งถน่ิ ท่โี ดดเดน เชน นอ ยหนา เครือ หญา อบิ แุ ค ลงิ ลาว มะขม ตีนฮงุ ดอย เลือดมงั กร กฤษณา ตะไครต น รางจืดแดง และปเู ฒา ทิ้งไมเ ทา เปนตน ปจ จบุ นั องคค วามรกู ารใชป ระโยชน พชื ทอ งถนิ่ ไดร บั การศกึ ษารวบรวมทั้งส้ิน 6,728 องคค วามรู จากพชื 1,262 ชนดิ ใน 84 ชมุ ชน 10 ชาติพันธุ 1.2 การศึกษาวิธีการเพาะขยายพันธุและการดูแลรักษาพืชทองถ่ินหายากและพืชทองถิ่นที่มีศักยภาพ เชงิ เศรษฐกจิ 5 ชนดิ ประกอบดว ย ตนี ฮงุ ดอย (Paris polyphylla Sm.) นอ ยหนา เครอื (Kadsura spp.) มะกงิ้ (Hodgsonia heteroclita (Roxb.) Hook. f. & Thomson) ลลิ ลป่ี า (Lilium primulinum Baker var. burmanicum (W. W. Sm.) Stearn) และมะเขาควาย (Dittoceras maculatum Kerr) โดยมีวิธีการศึกษา แบงออกเปน การเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือ การแบงหัว การเสียบยอด และการเพาะเมลด็ 70 สรปุ ผลงานวิจัย สถาบันวจิ ยั และพฒั นาพนื้ ทสี่ ูง (องคการมหาชน) ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

2. การศึกษารูปแบบการขบั เคลอื่ นการอนรุ ักษ ฟน ฟู และสงเสรมิ การใชป ระโยชนพืชทอ งถ่ินของชมุ ชน 2 2.1 การศกึ ษาการจดั ตงั้ องคก รชมุ ชน ในการขบั เคลอื่ นกจิ กรรมของธนาคารอาหารชมุ ชนอยา งตอ เนอ่ื ง จาํ นวน แผน ่ีท 5 ชุมชน ไดแก ปากลว ย โปงคํา วาวี ทุงหลวง และแมสะเรียง สมาชิก รวม 152 คน โดยมเี ปาหมายคอื เพือ่ เปนองคก รชมุ ชน ทข่ี บั เคลอ่ื นเกย่ี วกบั การอนรุ กั ษ ฟน ฟู และสง เสรมิ การใชป ระโยชนจ ากพชื ทอ งถน่ิ และความหลากหลายทางชวี ภาพในชมุ ชน อยางตอเน่ือง โดยกลุมองคกรชุมชนจะตองมีการจัดตั้งคณะกรรมการ การกําหนดเปาหมาย วัตถุประสงค กฎระเบียบ ขอ ตกลง และกาํ หนดบทบาทหนาทีข่ ององคก รชุมชนรวมกัน ตลอดจนการจดั ทําแผนการดําเนนิ งาน การปฏิบตั ิ การตดิ ตาม และประเมินผลรวมกนั อยางตอเนอ่ื ง 2.2 การฟน ฟพู ชื ทองถนิ่ เพ่ือเปนแหลงอาหาร และใชป ระโยชนใ นปา ธรรมชาติ พ้นื ท่ีเกษตรกรรม และสวน หลังบาน โดยกระบวนการมีสวนรวมของชุมชน โดยในปงบประมาณ พ.ศ. 2561 ไดสนับสนุนใหชุมชนปลูกฟนฟูพืช ทองถิ่นเพ่ิมเติม 17 ชุมชน จํานวน 113 ชนิด 28,965 ตน โดยปจจุบันมีการปลูกพืชทองถิ่นเพื่อใชประโยชนในชุมชน รวมทงั้ สิน้ 89 ชมุ ชน จาํ นวน 950 ชนิด แบง เปน บริเวณสวนหลงั บาน จํานวน 5,170 ครัวเรือน และปา ธรรมชาติ จาํ นวน 2,188 ไร โดยพชื ทอ งถน่ิ หายากของชมุ ชนไดร บั การปลกู ฟน ฟู จาํ นวน 165 ชนดิ คดิ เปน 75% ของพชื ทอ งถน่ิ หายากในชมุ ชน ท้ังหมด 226 ชนดิ 2.3 การถา ยทอดองคค วามรกู ารใชป ระโยชนพ ชื ทอ งถน่ิ ในดา นอาหารเปน ยาสาํ หรบั การบรโิ ภคเพอื่ การดแู ล สขุ ภาพของชมุ ชน โดยจดั กจิ กรรมถา ยทอดองคค วามรแู ละสง เสรมิ การใชป ระโยชนพ ชื ทอ งถนิ่ สชู มุ ชน โดยผรู ทู ง้ั ภายในชมุ ชน และผรู จู ากภายนอก จํานวน 6 แหง ไดแก โรงเรยี นบา นสะวา และชมุ ชนบา นหวยโทน (บอเกลือ) บานวะโดโกร (แมสอง) บา นปา กลว ย (ปา กลว ย) บา นแมแ มะ (ปางมะโอ) บา นปา แป (แมส ะเรยี ง) รวม 230 คน มชี นดิ พชื ทท่ี าํ การถา ยทอด 208 ชนดิ 2.4 การศึกษาและพัฒนากลุมเมล็ดพันธุพืชทองถิ่นเพื่อการอนุรักษพันธุกรรมและสรางรายไดเสริมใหกับ ครวั เรอื น โครงการพฒั นาพน้ื ทสี่ งู ฯ โปง คาํ บา นปา แดด และบา นหวั นา ตาํ บลพงษ อาํ เภอสนั ตสิ ขุ จงั หวดั นา น โดยมเี ปา หมาย ของกลุมคือ การผลิตเมล็ดพันธุพืชทองถ่ินเพื่อการอนุรักษ และเปนแหลงเมล็ดพันธุในชุมชน มีสมาชิกทั้งหมด 36 ราย โดยผลท่ีเกิดข้ึนพบวา ลดการจัดซื้อเมล็ดพันธุพืชทองถิ่นจากภายนอก ซ่ึงเกิดจากการผลิตเมล็ดพันธุพืชทองถิ่นที่หายาก ไวใชเ องในกลมุ และสนบั สนนุ ใหสมาชกิ ในชุมชน รวมทัง้ มีชนดิ พืชอาหารทีม่ ีความหลากหลายเพิ่มมากขึน้ 3. ศึกษากระบวนการปกปองคุม ครองพชื ทองถ่นิ และถิ่นกําเนิดโดยกระบวนการมสี วนรว มของชมุ ชน รว มกับชุมชนบา นหวยอคี าง ศนู ยพัฒนาโครงการหลวงทงุ หลวง (ศนู ยพ ัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง) ตําบลแมว ิน อาํ เภอแมวาง จงั หวดั เชยี งใหม มผี ลการดําเนินงานสรุปดงั นี้ (1) ศกึ ษาแนวทางและขัน้ ตอนการดาํ เนนิ งานดานการขอพ้นื ท่ี คุมครองสมุนไพรและถิ่นกําเนิดจากกรณีตัวอยางตางๆ (2) คัดเลือกพ้ืนท่ีศึกษารวมกับชุมชน (3) ประชุมรวมกับชุมชน บานหวยอีคาง หมูบานใกลเคียง และหนวยงานท่ีเก่ียวของเพื่อช้ีแจงทําความเขาใจและวิเคราะหความเปนไปไดในการ ดําเนินงานรวมกัน (4) จัดทํา check list เพ่ือประเมินความพรอมของชุมชนและผูเกี่ยวของในพื้นท่ีเบ้ืองตน (5) ทําแผน ปฏบิ ตั กิ ารรว มกบั ชมุ ชนและผเู กยี่ วขอ ง และกาํ หนดบทบาทหนา ทผี่ รู บั ผดิ ชอบ (6) วางแปลงสาํ รวจและเกบ็ ขอ มลู โครงสรา ง สงั คมพืช องคป ระกอบชนิดพนั ธุ รวมถงึ ภมู ปิ ญ ญาการใชประโยชนจ ากพรรณพืชในปารอบชมุ ชนบา นหวยอคี า ง ศึกษาการเพาะขยายพนั ธุพชื หายาก (ลิลลีป่ า ) (ดอยปยุ ) กลมุ ผูผ ลิตเมล็ดพนั ธุพืชทอ งถน่ิ (โปง คํา) สรปุ ผลงานวิจยั สถาบนั วจิ ัยและพฒั นาพ้นื ท่ีสงู (องคก ารมหาชน) 71 ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

ถายทอดองคค วามรกู ารปลูกฟน ฟพู ชื ทอ งถ่ินสโู รงเรยี น ถายทอดองคค วามรกู ารใชป ระโยชนพ ชื สชู ุมชน (แมพริก) (บอ เกลือ) ผลผลิตท่ีสาํ คญั ของงานวิจัย 1. องคความรูและภูมิปญญาการใชประโยชนพืชทองถิ่นไดรับการรวบรวม 84 ชุมชน (10 ชาติพันธุ) รวม 6,728 องคความรู จากพืช 1,262 ชนิด และศึกษาวิธีการเพาะขยายพันธุพืชอาหารและสมุนไพรทองถ่ินรวม 86 ชนิด แบง เปน (พืชอาหาร 35 ชนดิ และพืชสมนุ ไพร 51 ชนดิ ) 2. มีการปลูกพืชทองถ่ินเพ่ือใชประโยชนใน 89 ชุมชน จํานวน 950 ชนิด แบงเปน บริเวณสวนหลังบาน จํานวน 5,170 ครวั เรือน และปาธรรมชาติ จาํ นวน 2,188 ไร โดยพชื ทองถ่ินหายากของชมุ ชนไดรับการปลูกฟน ฟู จํานวน 165 ชนดิ คดิ เปน 75% ของพืชทองถิน่ หายากในชมุ ชนทั้งหมด 226 ชนิด 3. สงเสริมการใชประโยชนในชุมชนโดยการถายทอดองคความรูโดยผูรูของชุมชน การแลกเปลี่ยนความรูจากผูรู ภายนอกชมุ ชน การแลกเปลยี่ นพรรณพชื ระหวา งชมุ ชน การจดั ทาํ หลกั สตู รทอ งถน่ิ การอนรุ กั ษ ฟน ฟคู วามหลากหลาย ทางชีวภาพ เพ่ือใชใ นการเรียนการสอนรวมกับโรงเรยี น การพัฒนาแหลงเรียนรู และการพัฒนาตอ ยอดเชงิ เศรษฐกจิ โดยการรวมกลุม สมาชิกผูเพาะขยายพันธุพชื ทองถิ่นจํานวน 6 กลมุ 4. มีองคกรชุมชนในการขับเคลื่อนกิจกรรมการอนุรักษ ฟนฟู และใชประโยชนความหลากหลายทางชีวภาพอยาง ตอเน่ืองยังยนื จาํ นวน 5 ชมุ ชน ไดแ ก ปากลวย โปง คาํ วาวี ทงุ หลวง และ แมส ะเรียง สมาชิก รวม 152 คน 5. คูมอื การใชป ระโยชนจากพืชทองถิน่ บานปา กลว ยพัฒนา 1 ฉบับ แผนการนาํ ผลงานวจิ ยั ไปใชประโยชน 1. การใชป ระโยชนเ ชงิ วชิ าการ 1.1 นําองคความรทู ไี่ ดใ นป พ.ศ. 2561 ไปใชต อ ยอดงานวจิ ัยป พ.ศ. 2562 ดงั นี้ 1) การเช่ือมโยงเครือขายระบบฐานขอมูลความหลากหลายทางชีวภาพบนพื้นที่สูง และฐานขอมูลผูรู รวมกับชุมชนหรอื หนวยงาน ไดแก โรงเรยี น และการพัฒนาระบบใหสนบั สนนุ การนาํ ไปใชป ระโยชนใ นโรงเรยี น 2) การศึกษาและพัฒนากลุมผูปลูกพืช/ผลิตเมล็ดพันธุพืชทองถ่ินเพ่ือการอนุรักษพันธุกรรมและสราง รายไดเสรมิ ใหกับครัวเรือน 3) การศกึ ษาและพฒั นาชมุ ชนตน แบบดา นการอนรุ กั ษ ฟน ฟู และใชป ระโยชนค วามหลากหลายทางชวี ภาพ บนพน้ื ท่ีสงู 72 สรปุ ผลงานวจิ ัย สถาบนั วจิ ัยและพัฒนาพนื้ ทีส่ ูง (องคการมหาชน) ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

4) การบรรจหุ ลกั สตู รทอ งถน่ิ ดา นการอนรุ กั ษฟ น ฟพู ชื ทอ งถน่ิ และความหลากหลายทางชวี ภาพ ในการศกึ ษา 2 ขั้นพนื้ ฐานป พ.ศ. 2561 ใหก ับโรงเรียน และขยายผลหลกั สตู รทองถ่นิ สชู ุมชนบนพ้ืนทส่ี ูงอ่นื แผน ่ีท 1.2 การนําเสนอผลงานวจิ ยั หรือตีพมิ พใ นรปู แบบตา งๆ 1) นาํ เสนอผลการวจิ ยั ในงานประชมุ วชิ าการผลงานวจิ ยั ของมลู นธิ โิ ครงการหลวง และสถาบนั วจิ ยั และพฒั นา พื้นทีส่ งู (องคการมหาชน) ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561 2) นําเสนองานวิจัยในงานประชุมเชิงปฏิบัติการ International Workshop on TK Protection Experiences in Asian Countries ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน วันท่ี 31 พฤษภาคม 2561 2. การใชประโยชนเ ชงิ สาธารณะ 2.1 การถายทอดองคความรูวิธีการเพาะขยายพันธุและการปลูกพืชทองถิ่นใหกับชุมชนเพื่อการใชประโยชน และเสริมรายได เชน ตีนฮงุ ดอย ลลิ ลีป่ า นอยหนา เครอื และมะเขาควาย 2.2 จัดทําสื่อถายทอดองคความรูจากงานวิจัย ไดแก คูมือการใชประโยชนจากพืชทองถิ่นบานปากลวยพัฒนา 1 ฉบับ และโปสเตอร 4 เรอ่ื ง ไดแ ก ลิงลาว ผกั เฮือด พืชทอ งถน่ิ ตาํ บลสะเนียน และพชื อาหารเปนยารักษาสุขภาพ 2.3 ตพี มิ พบ ทความเรอื่ ง พชื อาหารเปน ยา รกั ษาสขุ ภาพ ในเวบ็ ไซตข องสถาบนั วจิ ยั และพฒั นาพนื้ ทส่ี งู (องคก าร มหาชน) 2. โครงการวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการเพือ่ ฟน ฟแู ละสง เสรมิ การใชป ระโยชนเห็ดทอ งถ่นิ บนพื้นท่สี ูง มีวัตถุประสงคเพ่ือสํารวจและรวบรวมขอมูลความหลากหลายและการกระจายตัวของเห็ดทองถ่ินในแปลงทดสอบ ศกึ ษาและทดสอบวธิ กี ารเพาะเลยี้ งเหด็ ทอ งถน่ิ ทมี่ ศี กั ยภาพสาํ หรบั บรโิ ภคและสรา งรายไดเ สรมิ ใหก บั ชมุ ชน และศกึ ษาแนวทาง ในการอนุรักษและฟนฟูเห็ดทองถิ่นสําหรับการใชประโยชน และพัฒนาแหลงเรียนรูการอนุรักษและฟนฟูเห็ดทองถิ่น โดยกระบวนการมสี วนรว มของชมุ ชน ทง้ั น้ีไดคัดเลอื กเห็ดในกลมุ ทอ่ี าศัยรว มกบั สง่ิ มชี วี ติ อืน่ แบบพง่ึ พาอาศัย ไดแ ก เห็ดเผาะ เห็ดหลม และเห็ดโคน สําหรับใชศึกษาและทดสอบการเพาะขยายพันธุเพ่ือเพ่ิมปริมาณในพื้นที่ตั้งแตป พ.ศ. 2560 จนถึง ปจ จบุ นั โดยเลอื กใชเ ชอื้ เหด็ โคนทแ่ี ยกไดไ อโซเลต Termitomyces sp. HL795, HL797 และ เหด็ เผาะ Astraeus odoratus ซง่ึ เปน เหด็ ทน่ี ยิ ม และมรี าคาคอ นขางสงู และไดดําเนนิ การทดสอบวิธีการเพาะเลย้ี งและหาชนิดเห็ดท่เี หมาะสมกบั พน้ื ที่รวม กบั ชมุ ชน และจัดทาํ ฐานเรียนรูเกี่ยวกบั การเพาะเห็ดและการจัดการ เพือ่ สรางความรูความเขาใจธรรมชาตขิ องเห็ดในระดบั ชมุ ชน ตลอดจนการใชป ระโยชนแ ละการจดั การ ซงึ่ จะนาํ ไปสกู ารอนรุ กั ษแ ละฟน ฟเู หด็ ทอ งถน่ิ ในสภาพธรรมชาตใิ หม ปี รมิ าณ เพ่มิ ข้ึน เพ่ือเปน แหลง อาหารของชมุ ชนและเปนแหลงสรางรายไดเสรมิ อีกทางหนึ่ง 1. การเก็บรวบรวมขอมูลปริมาณเห็ดเผาะและเห็ดทองถ่ินอื่นๆ ที่ชุมชนสามารถรับประทานไดในเดือนมิถุนายน 2561 จาํ นวน 12 แปลง พบเหด็ ทช่ี มุ ชนสามารถรบั ประทานไดร วมทง้ั สน้ิ จาํ นวน 8 ชนดิ 5 สกลุ คดิ เปน นา้ํ หนกั รวม 1,264 กรมั โดยพบในปาธรรมชาติท่ีถูกไฟไหมทุกป จํานวน 7 ชนิด 5 สกุล ปริมาณ 443 กรัม และปาธรรมชาติที่ไมถูกไฟไหม อยางนอย 2 ป จาํ นวน 4 ชนดิ 2 สกุล ปริมาณ 821 กรมั ในการสํารวจพบเห็ดเผาะในพน้ื ทป่ี า ธรรมชาตทิ เ่ี กิดไฟไหมทกุ ป โดยคดิ เปน นา้ํ หนกั ได 140 กรมั 2. การจําแนกชนิดเห็ดทําการตรวจสอบและจําแนกชนิดเบื้องตน โดยอาศัยลักษณะทางสัณฐานวิทยา และ ใชเ ทคนิคทางชวี โมเลกุลในการตรวจสอบความถกู ตองของเห็ดโคน Termitomyces sp. HL795, และ HL797 พบวาลาํ ดบั เบส Termitomyces sp. HL795 และ HL797 ยนี ITS ซึง่ มีความสัมพันธใกลก ับ T. heimii และ Sinotermitomyces sp. สรปุ ผลงานวิจยั สถาบันวจิ ยั และพฒั นาพื้นทส่ี ูง (องคก ารมหาชน) 73 ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561

3. การศึกษาลักษณะทางสรีรวิทยาของพืชอาศัยในแตละชวงการเจริญเติบโตท่ีมีผลตอการชักนําเชื้อเห็ดเขาสู รากพืช พบวา การเขาสูรากของเช้ือเห็ดเผาะและเห็ดหลมน้ัน ในกลาเหียงมีอัตราการรอดที่คอนขางต่ํา (รอยละ 20-25) สว นกลา ยางนามอี ตั ราการรอดสงู (รอ ยละ 80-90) และในการศกึ ษาปจ จยั ทมี่ ผี ลตอ การพกั ตวั และการงอกของสปอรเ หด็ เผาะ Astraeus odoratus รว มกบั เห็ดปา กลมุ Agarics ในกลา ไม พบวากลาไมท ่มี ีเชอ้ื เห็ดจะมีเสนใยสีขาวเกิดข้ึนบริเวณรอบราก โดยอายกุ ลาไมทส่ี ามารถนํามาใชไ ดจ ะข้ึนอยกู ับชนิดของตน ไม เชน กลา ยางนาอายุ 1 เดือน กลา เหยี ง อายุ 4 เดือนถึง 1 ป ท้ังน้ีเปนผลมาจากการเจริญของระบบรากของพืชของไมวงศยางแตละชนิด ในการเก็บตัวอยางเห็ดไวสําหรับทําแมเช้ือ ในปถัดไปสามารถทาํ ไดโ ดยการผ่ึงลมใหดอกเหด็ แหง 4. การศึกษาความสัมพันธระหวางเห็ดโคนและจุลินทรียในรังปลวก สามารถแยกเชื้อแบคทีเรียจากรังปลวก 6 ตวั อยา ง ได 30 ไอโซเลต โดยดนิ ในรงั ปลวกมแี บคทเี รยี ประมาณ 1.4-2.0×105 cfu/ดนิ 1 g และดนิ นอกรงั ปลวกมแี บคทเี รยี ประมาณ 3.3-4.7×105 cfu/ดิน 1 g และพบ Xylaria escharoidea เจริญอยูรวมกันภายในรัง และวิธีการเพาะเล้ียง เหด็ โคนและเห็ดเผาะในสภาพธรรมชาตอิ ยา งงาย สามารถทาํ ไดโดยการใชสปอรจ ากดอกเหด็ สดโดยตรง 5. การเก็บตัวอยางดินในรังปลวกท่ีมีดอกเห็ดโคนเจริญข้ึน No. 1, 2 และ 3 และตัวอยางดินนอกรังปลวกท่ีมี ดอกเห็ดโคนเจรญิ ขน้ึ No. 4, 5 และ 6 เพือ่ นํามาวดั คา pH โดยนาํ ตัวอยา งดิน 10 g มาเตมิ นา้ํ กล่นั 50 ml (pH 6.985) วดั ดวยเครื่อง pH meter ซึ่งพบวาดินในรังปลวกมคี า pH ประมาณ 7.37-7.74 สว นดนิ นอกรังปลวกมคี า pH ประมาณ 8.00-8.09 6. การหมุนเวียนวัสดุเพาะเห็ด พบวาสามารถนํากอนวัสดุเกาจากการเพาะเห็ดสกุลนางรมมาเพาะเห็ดฟาง เห็ดถวั่ เนา และเห็ดซางได โดยเรยี งลาํ ดับการเพาะดงั นี้ 1) เหด็ ฟาง 2) เหด็ ถวั่ เนา และ 3) เหด็ ซาง 7. การพัฒนาฐานเรียนรูและสรางเครือขาย สรางวิทยากรในชุมชนสําหรับถายทอดและแลกเปล่ียนความรูกับ ชุมชนอน่ื หรอื ผสู นใจในการเพาะเห็ด รวมทง้ั การศกึ ษาดงู านจากผทู ี่ประสบความสําเรจ็ ลักษณะการเขา สรู ากพืชของเสนใยเห็ดเผาะ ลกั ษณะดอกเห็ดโคน Termitomyces sp. HL795 (ซาย) และ HL797 (ขวา) เหด็ เผาะทีเ่ จรญิ เติบโตในแปลงทดสอบ (แมม ะลอ) ลกั ษณะของเชอ้ื ราทเ่ี จริญเตบิ โตรว มกบั เชือ้ เหด็ โคน ในรงั ปลวก 74 สรุปผลงานวิจัย สถาบนั วิจยั และพฒั นาพืน้ ทสี่ ูง (องคก ารมหาชน) ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

ผลผลติ ท่สี าํ คญั ของงานวิจัย 2 1. ขอมูลความหลากหลายและการกระจายตวั ของเหด็ ในแปลงทดสอบปท ่ี 2 2. ฐานขอมลู ความหลากหลายของเหด็ ทองถิน่ บนพน้ื ที่สงู 1 ระบบ แผน ่ีท 3. ขอ มลู การเพาะเลี้ยงเสน ใยเหด็ ไมคอรไ รซาและการชักนําเขาสูร ากพชื อาศัย 2 ชนดิ 4. ขอ มลู ปจ จัยทม่ี อี ทิ ธิพลตอ การเพาะเล้ียงเสน ใยเหด็ โคน 5. แนวทางการใชวัสดุทองถ่ินทดแทนข้ีเล่ือยยางพาราและการหมุนเวียนใชกอนเชื้อเห็ดเกาในการเพาะเห็ดให เกิดประโยชนส ูงสดุ 6. ชมุ ชนสามารถจดั การเรยี นรแู ละถา ยทอดกระบวนการในการอนรุ กั ษ ฟน ฟู และใชป ระโยชนจ ากความหลากหลาย ทางชีวภาพของเหด็ ทอ งถิน่ ได 2 ชุมชน แผนการนําผลงานวจิ ัยไปใชประโยชน 1. การใชป ระโยชนเ ชงิ วชิ าการ 1.1 นําองคค วามรทู ีไ่ ดใ นป พ.ศ. 2561 ไปใชต อยอดงานวิจยั ป พ.ศ. 2562 ดงั นี้ 1) ศกึ ษาและพฒั นาวธิ กี ารเพาะเลยี้ งเหด็ ทอ งถน่ิ บนพนื้ ทส่ี งู กลมุ ซมิ ไบโอซสิ ทม่ี ศี กั ยภาพ (เหด็ เผาะ เหด็ โคน เห็ดหลม) 2) ประเมนิ ผลกระทบจากการเปลย่ี นแปลงของความหลากหลายและการกระจายตวั ของเหด็ ในแปลงทดสอบ 3) ทดสอบวิธีการเพาะเห็ดทองถิ่นกลุมท่ีมีฤทธิ์ทางยารวมกับชุมชนบนพ้ืนท่ีสูง (เห็ดหัวลิง เห็ดหลินจือ เห็ดกระถนิ พมิ าน) 4) ศึกษาและทดสอบวิธีการแปรรูปผลิตภัณฑจากเห็ดกลุมยอยสลาย (เห็ดหูหนู เห็ดสกุลนางรม) และ เหด็ กลุมปรสติ (เหด็ หวั ลิง) รวมกับชุมชนบนพ้นื ท่สี งู 5) ศึกษาการพัฒนาแหลงเรียนรูดานการอนุรักษ ฟนฟู และใชประโยชนเห็ดทองถิ่น โดยกระบวนการ มสี ว นรวมของชมุ ชน 1.2 การนาํ เสนอผลงานวจิ ยั หรอื ตีพมิ พใ นรูปแบบตางๆ นําเสนอผลการวิจัยในงานประชุมวิชาการผลงานวิจัยของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนา พืน้ ทสี่ ูง (องคก ารมหาชน) 2. การใชป ระโยชนเชงิ สาธารณะ 2.1 การอบรมถายทอดความรแู ละเทคโนโลยีใหก ับเจา หนาทีส่ าํ นักพฒั นา 2 เรอ่ื ง 2.2 การเพาะเลย้ี งเห็ดทอ งถ่นิ และเหด็ เศรษฐกิจ 2.3 การเพาะขยายพันธุเ หด็ และพืชอาศัยเพือ่ การฟน ฟู 2.4 การจดั ทาํ สอ่ื เผยแพรอ งคค วามรจู ากงานวจิ ยั ไดแ ก เอกสารเผยแพรแ ละบทความเกย่ี วกบั การเพาะเลย้ี งและ การจดั การเหด็ ทอ งถน่ิ และเหด็ เศรษฐกจิ สรุปผลงานวิจยั สถาบันวจิ ัยและพฒั นาพน้ื ทส่ี ูง (องคการมหาชน) 75 ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

3. โครงการศึกษาชนดิ ไมทองถ่ินและการใชป ระโยชนเพือ่ การปลกู ปาชาวบาน มูลนิธิโครงการหลวง ไดดําเนินการสงเสริมใหเกษตรกรในพ้ืนที่ ศูนยพัฒนาโครงการหลวงปลูกไมโตเร็วบนพ้ืนท่ีทํากินของเกษตรกร โดยเกษตรกรเปนผูปลูก ดูแลรักษาไมที่ปลูกเอง และสามารถตัดฟนไม มาใชประโยชนไดโดยอิสระ สถาบันวิจัยและพัฒนาพ้ืนท่ีสูงไดเล็งเห็น ความสาํ คญั ดงั กลา วจงึ ไดด าํ เนนิ โครงการศกึ ษาชนดิ ไมแ ละการใชป ระโยชน เพอ่ื การปลกู ปา ชาวบานขึน้ ในป พ.ศ. 2559-ปจ จุบัน โดยมีวตั ถุประสงค เพ่ือ (1) ศกึ ษาการเตบิ โตของชนดิ ท่ปี ลกู ทดสอบในแตละระดับความสงู ของพ้ืนที่ตางกัน 3 ระดับ ในพื้นท่ีสูงคอนขางตํ่า (ศูนยฯ แมทาเหนือ) ไดแ ก แดง จําปปา มะขามปอ ม มะแขวน และเกาลัด พน้ื ท่ีสงู ปานกลาง (ศนู ยฯ ทงุ หลวง) ไดแ ก จาํ ปปา กาํ ลังเสอื โครง ลาํ พูปา มะขามปอ ม และ เกาลดั และพนื้ ทส่ี งู คอ นขา งมาก (ศนู ยฯ แมแ ฮ) ไดแ ก จาํ ปป า กาํ ลงั เสอื โครง กอเดือย มะขามปอม และเกาลัด (2) การคัดเลือกแมไมเพื่อเก็บเมล็ด ในพนื้ ทร่ี ะดบั ความสงู ตา งกนั (3) การศกึ ษาลกั ษณะเมลด็ ไมแ ละวสั ดเุ พาะ ชําตอการเติบโตของกลาไม 2 ชนิด ไดแก กอเดือยและมะแขวน และ (4) การศกึ ษาคณุ สมบตั เิ ชงิ กลและดานพลงั งานของไม และแนวทางการ ใชประโยชนไ ม 3 ชนดิ ไดแ ก ทะโล มะแขวน และกําลงั เสือโครง สรปุ ผล การดําเนนิ งาน ดงั นี้ 1. พนื้ ทสี่ งู คอ นขา งตาํ่ (400-800 MSL) ไมแ ดง และมะขามปอ ม มีอัตราการรอดตายท่ีดี ไมชนิดอื่นมีอัตราการรอดตายคอนขางตํ่ามาก โดยไมจําปปา มะขามปอมและแดง มีการเติบโตคอนขางดี พ้ืนที่สูง ปานกลาง (800-1,000 เมตร) ไมม ะขามปอ ม ลาํ พปู า และจาํ ปป า มอี ตั รา การรอดตายดี โดยลําพูปา มะขามปอ ม และกาํ ลังเสอื โครง มกี ารเตบิ โต ดีกวาไมชนิดอื่น พ้ืนที่สูงคอนขางมาก มากกวา 1,000 เมตร ไมเกือบ ทุกชนิดมีอัตราการรอดตายดี ยกเวนเกาลัดท่ีรอดตายคอนขางตํ่า โดยกําลงั เสอื โครงและมะขามปอ มมีการเติบโตดกี วา ไมชนดิ อ่ืนพ้ืนที่ 2. พน้ื ทศ่ี นู ยฯ แมท าเหนอื ทงุ หลวง และแมแ ฮ พบแมไ ม ไดแ ก จําปปา กอเดอื ย ลําพูปา มะขามปอ ม แดง และทะโล จาํ นวนหลายตน โดยแมไมท้ังหมดที่พบไดบันทึกพิกัดภูมิศาสตรเพื่อการเก็บเมล็ดไม ในระยะตอ ไป 3. เมล็ดกอเดือย และเมล็ดมะแขวน มีความช้ืน ความกวาง แผนทีแ่ สดงตําแหนง แมไม ตน จําปปา บรเิ วณศนู ยพ ฒั นาโครงการหลวงทุงหลวง ความยาว ความหนา และนาํ้ หนกั แตกตา งกันไปตามชนิดไม และมอี ตั รา การงอกเฉลย่ี ในชวงระยะเวลา 30 วนั เทากบั รอ ยละ 85.50 และ 14.75 ตามลําดบั สาํ หรบั ผลของการผลติ กลา ไม พบวา ในชวง 3 เดอื น กลา กอเดอื ย และกลามะแขวน มีการเติบโตดที สี่ ดุ เมื่อเพาะชําในวัสดุเพาะทเี่ ปนดนิ ปา ไม 4. ทะโลเหมาะแกการใชป ระโยชนหลกั ๆ สําหรับทาํ เปน โครงสรา งรับแรง เชน พนื้ ฝา รอด ตง หรอื สวนอน่ื ๆ เชน สําหรับกอสรางบานหรือสะพานไม เปนตน แตจําเปนตองผานการอัดนํ้ายาเคมีชนิดเต็มเซลลกอน การใชประโยชนไมทั้ง 3 ชนิด ทั้งทะโล มะแขวน กําลังเสือโครง สามารถใชสําหรับผลิต เคร่ืองเรือน เฟอรนิเจอร และของที่ระลึก เปนตน อยา งไรก็ตาม เศษไม ปลายไมต างๆ รวมทงั้ ข้ีเลอื่ ยสามารถนํามาใชเปนไมพ ลังงานได 76 สรุปผลงานวิจัย สถาบนั วจิ ยั และพฒั นาพื้นทส่ี งู (องคการมหาชน) ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561

ผลผลติ ทสี่ าํ คญั ของงานวจิ ัย 2 1. ขอมูลเบ้ืองตนการเติบโตของชนิดไมทองถ่ินและไมท่ีมีศักยภาพในพ้ืนที่โครงการหลวงใน 3 ระดับความสูง จาํ นวน 5 ชนดิ แผน ่ีท 2. ขอมูลตําแหนงแมไ มท ่ถี กู คัดเลอื ก จาํ นวน 3 ชนดิ แตล ะระดับความสูง 3. ขอมลู คุณภาพของเมลด็ ไม และวิธีการผลติ กลา ไมทดี่ ี จาํ นวน 2 ชนดิ 4. ขอ มูลคณุ สมบัตเิ ชงิ กล วธิ กี ารรักษาเน้ือไม และการใชป ระโยชนข องไมใชสอย และขอมลู คณุ สมบตั ดิ านพลังงาน ของไมฟ น จํานวน 3 ชนิด 5. รปู แบบผลติ ภัณฑจ ากไม อยางนอย 1 รปู แบบ แผนการนาํ ผลงานวจิ ัยไปใชประโยชน 1. การใชป ระโยชนเชงิ วชิ าการ 1.1 นาํ องคความรูท ่ไี ดในป พ.ศ. 2561 ไปใชต อ ยอดงานวิจัยป พ.ศ. 2562 ดังนี้ 1) ติดตามการเติบโตของไมในแปลงทดสอบในแตละระดับความสูงของพื้นที่ เพื่อใหทราบชนิดไมท่ีเติบโต ไดด ใี นพืน้ ทท่ี ่ีมีระดบั ความสงู จากน้ําทะเลแตกตา งกนั 2) การคดั เลอื กแมไ มเ พอ่ื เปน แหลง เกบ็ เมลด็ ไม การทดสอบเมลด็ ไมข องชนดิ ไมท ปี่ ลกู ทดสอบ และการผลติ กลาไมคุณภาพดี รวมถึงการศึกษาคุณสมบัติไมและแนวทางการใชประโยชนไมเพื่อใหทราบชนิดไมที่เหมาะสม ตอการนําไปใชประโยชนตามแนวพระราชดําริเกี่ยวกับการปลูกปา 3 อยาง ประโยชน 4 อยาง เพ่ือการสงเสริม ในโครงการปาชาวบา นฯ 1.2 การนาํ เสนอผลงานวจิ ยั หรือตพี มิ พใ นรูปแบบตา งๆ นําเสนอผลการวิจัยในการประชุมวิชาการผลงานวิจัยของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนา พ้นื ท่สี ูง (องคการมหาชน) 2. การใชประโยชนเชิงสาธารณะ แปลงสาธติ การทดสอบชนิดไมทองถ่นิ ทเี่ หมาะสมในพื้นท่ีโครงการหลวงทีร่ ะดบั ความสงู ตา งกนั 3 แหง สรปุ ผลงานวจิ ัย สถาบนั วจิ ัยและพฒั นาพื้นทส่ี ูง (องคการมหาชน) 77 ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

4. โครงการศกึ ษาชนดิ /พันธไุ มส นเพื่อปลูกเปนสวนปา และการอนรุ ักษในพืน้ ท่ี โครงการหลวงวัดจนั ทร ในป พ.ศ. 2525 ประเทศไทยมีพ้นื ทป่ี า สนธรรมชาตใิ นภาคเหนอื 2,018 ตารางกโิ ลเมตร และลดลงเหลือเพยี ง 1,620 ตารางกิโลเมตร ในป พ.ศ. 2541 ซ่ึงสาเหตุสว นหนึ่งมาจากความเสอื่ มโทรมของปาจากการตัดไม เพือ่ ใชมากเกินกาํ ลงั ผลิต การเกบ็ น้ํามนั ยาง และการเก็บไมเ กย๊ี ะท่ีไมถ ูกวธิ ีของชาวบา น การเผาปา รวมทั้งการไมไดมีการปลกู ฟนฟปู าที่เหมาะสมกับ ระบบนิเวศปาสน อยางไรก็ตามยังมีปาสนธรรมชาติท่ีอยูนอกพ้ืนท่ีปาอนุรักษบางสวน ไดแก บริเวณปาสนบานวัดจันทร อําเภอกัลยาณวิ ัฒนา จงั หวดั เชยี งใหม ซง่ึ อยูในความรบั ผิดชอบของโครงการหลวงบานวัดจันทร องคการอุตสาหกรรมปาไม (ออป.) และไดรับงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาล ตั้งแตป พ.ศ. 2540 ผานทางมูลนิธิโครงการหลวง เพื่อดําเนินการ ปลกู สรา งเสรมิ ปา ในขอบเขตพน้ื ทโี่ ครงการหลวงบา นวดั จนั ทร สถาบนั วจิ ยั และพฒั นาพนื้ ทส่ี งู ไดเ ลง็ เหน็ ความสาํ คญั ดงั กลา ว จึงไดดําเนินโครงการการศึกษาชนิด/สายพันธุไมสนเพ่ือปลูกเปนสวนปาและการอนุรักษขึ้น เพื่อทําการศึกษา (1) ศึกษา การเติบโตของชนิดไมสนพื้นเมืองและสนตางถ่ินที่มีถิ่นกําเนิดตางกัน (2) ศึกษาการเจริญทดแทนตามธรรมชาติของ ไมส นสองใบ (3) ศกึ ษาการเติบโตของไมส นคารเิ บียทเ่ี หลอื จากการตดั ขยายระยะ (4) พฒั นาผลิตภัณฑต น แบบจากไมแ ละ ยางสนคาริเบยี และ (5) ประเมินศกั ยภาพพื้นท่ี และทดสอบการปลกู ไมสนในพน้ื ทขี่ องเกษตรกรโดยกระบวนการมสี วนรว ม สรุปผลการดําเนินงาน ดังนี้ 1. การศึกษาการเติบโตของชนิดไมสนพ้ืนเมืองและสนตางถ่ินท่ีมีถิ่นกําเนิดตางกันเม่ืออายุ 12 เดือน พบวา สนเทคูนูมานี่จากถ่ินกําเนิด Rafael (Nicaragua) มีการเติบโตทางดานความสูงเฉลี่ยสูงที่สุด ขณะที่ไมสนสองใบจากถ่ิน กําเนิดหวยทา จังหวัดศรีสะเกษ มีการเติบโตทางดานความสูงเฉล่ียต่ําที่สุด แตมีเสนผาศูนยกลางท่ีคอรากเฉล่ียสูงที่สุด โดยสนสองใบยังอยูในระยะ grass stage จึงไมมีความเพ่ิมพูนทางความสูง เม่ือเปรียบเทียบกันระหวางไมสนตางถิ่น ดวยกันแลว สนโอคารปา และสนเทคูนูมานี่ มกี ารเตบิ โตท่ีดีกวา สนคาริเบีย 2. การติดตามการสืบพันธุตามธรรมชาติของไมสนสองใบ พบวา บริเวณพ้ืนที่ท่ีมีไมสนหนาแนนมากมีความ หนาแนนไมต นเพิ่มขน้ึ 1.34 ตน ตอไร สวนไมรนุ และกลาไมมคี วามหนาแนน ลดลง 48.58 และ 465.28 ตนตอไร ตามลาํ ดบั บรเิ วณทีม่ ีไมสนหนาแนนนอ ยมคี วามหนาแนนไมต น ไมร นุ และกลาไมมคี วามหนาแนน ลดลง 3.34, 9 และ 204.05 ตน ตอไร ตามลาํ ดบั 3. การเติบโตตอ เน่ืองของไมสนคาริเบียหลงั จากการตดั ขยายระยะท่ี 12 เดือน พบวา ขนาดเสนผาศนู ยกลางเฉล่ีย และความสูงยังไมพบความแตกตางกันในแตละระดับของการตัดขยายระยะแปลง แตโดยรวมมีคาสูงกวาแปลงที่ไมมี การตัดขยายระยะ 4. การพัฒนาผลิตภัณฑตนแบบจากไมสนคาริเบีย ไดศึกษาขอมูลพ้ืนฐาน และทําการแปรรูปไมทอนของ สนคาริเบีย ซึ่งสามารถนําไปผลิตเปนผลิตภัณฑไดอยางหลากหลาย สวนยางสนก็สามารถนํามากล่ันแยกออกเปนสองสวน คือ เทอรเพนไทนที่เปนสารใหความหอม และสวนของโรซินท่ีสามารถใชเปนสารเคลือบเพ่ือปองกันความชื้นไดอยาง มีประสทิ ธิภาพ 5. การประเมินศักยภาพพื้นท่ีและการทดสอบการปลูกไมสนในพื้นที่ของเกษตรกรโดยกระบวนการมีสวนรวม สามารถแบงสังคมพชื ในปาใชสอยของเกษตรกรออกเปน ปา สนผสมเต็งรงั ท่ีมไี มพ ลวงเปน พันธไุ มเดน และปาสนผสมเต็งรังที่ มีไมเหียงเปนพันธุไมเดน โดยสังคมพืชมีความหนาแนนและการปกคลุมเรือนยอดที่สามารถปลูกแทรกไมสนได ซ่ึงจากการ ปลูกเสริมกลา ไมส นตางถิ่น 3 ชนดิ ในพน้ื ทพี่ บวา มีอัตราการรอดตาย 100% 78 สรุปผลงานวิจยั สถาบนั วจิ ัยและพฒั นาพน้ื ทีส่ งู (องคการมหาชน) ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561

ไมสนแตละชนิดภายในแปลงปลกู ทดสอบขณะมีอายุ 1 ป 2 ก คอื สนสามใบ, ข คอื สนคาริเบีย, ค คือ สนโอคารปา, ง คือ สนสองใบ และ จ คือ สนเทคูนมู าน่ี แผน ่ีท ผลผลิตที่สําคัญของงานวิจัย 1. ขอมลู การเตบิ โต และการรอดตายของไมสนพื้นเมืองและสนตางถนิ่ ท่ีมีถิ่นกาํ เนิดตางกัน จาํ นวน 5 ชนิด ในแปลง ทดสอบในปท ่ี 1 2. ขอมูลระบบวนวัฒนในการจัดการไมสนในปท่ี 2 ไดแก การเจริญทดแทนตามธรรมชาติของไมสนสองใบ และ การเติบโตของไมสนคารเิ บียท่ีเหลือจากการตดั ขยายระยะ 3. ขอมูลศักยภาพพ้ืนที่ของเกษตรกรและแปลงสาธิตการปลูกไมสนโดยกระบวนการมีสวนรวมในศูนยพัฒนา โครงการหลวงวดั จนั ทร อยา งนอย 5 แปลง 4. ผลติ ภัณฑต นแบบ จาํ นวน 2 ผลติ ภณั ฑ และรา งคมู ือ 2 เรือ่ ง 5. ผลิตภัณฑตน แบบจากไมแ ละรางคมู ือการพัฒนาผลิตภณั ฑจากไมส นคาริเบีย 6. ผลิตภณั ฑตนแบบจากยางสนและรา งคูมอื การกรีดยางสนคารเิ บีย แผนการนําผลงานวจิ ัยไปใชประโยชน 1. การใชประโยชนเชิงวชิ าการ 1.1 นําองคความรทู ่ีไดในป พ.ศ. 2561 ไปใชต อ ยอดงานวจิ ัยป พ.ศ. 2562 ดงั น้ี 1) ตดิ ตามการเตบิ โตของไมสนในแปลงทดสอบ เพอื่ ใหทราบชนดิ ไมสนทเี่ ติบโตไดดใี นพน้ื ที่ 2) ขอมูลระบบวนวัฒนในการจัดการไมสนนําไปสูการวางแผนการจัดการการตัดฟน และใชประโยชน ไมสนในดา นของการแบงแปลงกําหนดรอบตดั ฟน 3) การพฒั นาผลติ ภณั ฑจ ากไมแ ละยางสน นาํ ไปสกู ารใชป ระโยชนจ ากสว นตา งๆ ของไมส นใหเ กดิ ประโยชน สูงสดุ 1.2 การนาํ เสนอผลการวจิ ัย นําเสนอผลการวิจัยในงานประชุมวิชาการผลงานวิจัยของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนา พืน้ ท่ีสงู (องคการมหาชน) 2. การใชป ระโยชนเ ชงิ สาธารณะ 2.1 แปลงสาธิตการทดสอบชนดิ ไมสนพ้นื ถ่นิ และสนตางถิน่ ทีเ่ หมาะสมในพน้ื ที่โครงการหลวง 2.2 แปลงสาธติ การปลกู ไมส นตา งถนิ่ โดยกระบวนการมสี ว นรว มของเกษตรกรในพนื้ ทศ่ี นู ยพ ฒั นาโครงการหลวง วดั จันทร สรปุ ผลงานวิจยั สถาบันวิจัยและพฒั นาพน้ื ท่สี ูง (องคการมหาชน) 79 ประจําปง บประมาณ พ.ศ. 2561

5. โครงการฟน ฟแู ละใชป ระโยชนท รัพยากรปาไมอยา งยัง่ ยืนภายใตก ระบวนการมีสว นรวม ของชมุ ชนบา นวัดจนั ทร พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช (พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร) ทรงมุงเนนการอนุรักษและฟนฟูปาไมเปนแนวทางหลักในการจัดการทรัพยากรปาไม ดวยทรงตระหนัก ถึงความสําคัญของปาไม และในขณะที่ชาวบานก็มีการพ่ึงพิงทรัพยากรปาไมคอนขางมาก หากไมมีแนวทางการจัดการท่ีดี จะสงผลตอความยั่งยืนของปาอยางหลีกเลี่ยงไมได ซึ่งตองมีการสรางความเขาใจ สรางกระบวนการมีสวนรวมของชุมชน ในการจัดการปา ประกอบกับในป พ.ศ. 2559 สถาบันวิจัยและพัฒนาพ้ืนที่สูงจึงไดดําเนินโครงการศึกษาชนิด/พันธุไมสน เพ่ือปลูกเปนสวนปาและการอนุรักษในพ้ืนท่ีโครงการหลวงวัดจันทรและโครงการศึกษาชนิดไมและการใชประโยชนเพ่ือการ ปลูกปาชาวบาน จึงไดมีการดําเนินงานโครงการศึกษาฟนฟูและใชประโยชนทรัพยากรปาไมอยางย่ังยืนภายใตกระบวนการ มสี ว นรว มของชมุ ชนบา นวดั จนั ทร โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ พอื่ ศกึ ษาแนวทางการฟน ฟแู ละใชป ระโยชนท รพั ยากรปา ไมอ ยา งยง่ั ยนื ภายใตก ระบวนการมีสวนรว ม ในพื้นทีเ่ ปา หมาย 3 หมบู าน ในตาํ บลบา นจนั ทร อําเภอกลั ยาณิวฒั นา จังหวดั เชียงใหม ไดแก บา นวดั จนั ทร- หว ยออ บา นแจม นอ ย และบา นเดน ใชก ารวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารอยา งมสี ว นรว มเปน แนวทางหลกั รว มกบั การเกบ็ ขอมลู เชิงปรมิ าณดวยแบบสมั ภาษณ มเี ปา หมายเพ่ือสงเสรมิ การมสี ว นรว มของประชาชนในการฟนฟู และใชป ระโยชนจ าก ทรพั ยากรปา ไมบ นฐานขององคค วามรทู ไ่ี ดจ ากการวจิ ยั รว มกนั ระหวา งนกั วจิ ยั ชมุ ชน และผมู สี ว นเกย่ี วขอ ง ทงั้ นเี้ พอื่ ใหช มุ ชน สามารถใชอ งคค วามรเู หลา นใ้ี นการฟน ฟู และใชป ระโยชนท รพั ยากรปา ไมใ นพน้ื ทไ่ี ดอ ยา งยงั่ ยนื ตอ ไป โดยสรปุ ผลการดาํ เนนิ งาน ดังน้ี บานวดั จนั ทร- หว ยออ บานแจมนอ ย และบา นเดน ยงั คงมกี ารพงึ่ พงิ ทรพั ยากรปา ไมใ นสดั สวนท่สี งู ทง้ั เพ่ือเปน แหลง ไมใชสอยและเปนแหลงไมเชื้อเพลิง จากการใชประโยชนทรัพยากรปาไมมาอยางตอเนื่องสงผลใหราษฎรในพื้นท่ีประสบกับ ปญหาการลดลงของทรัพยากรปาไมประเภทของปาที่ครัวเรือนมีการเก็บหาและนํามาใชประโยชน การลดลงของไมใชสอย และไมเ ชอ้ื เพลงิ ความเสอ่ื มโทรมของพน้ื ทป่ี า ตน นา้ํ รวมถงึ ความกงั วลตอ การจดั การไฟในปา สน ทาํ ใหเ วทกี ารระดมความคดิ เหน็ รว มกนั ของแตล ะหมบู า นกอ เกดิ แนวทางในการดาํ เนนิ การเกย่ี วกบั การฟน ฟพู นื้ ทปี่ า ไมอ ยา งมสี ว นรว มในพนื้ ทห่ี ลายแนวทาง ซึ่งแนวทางที่ชุมชนคัดเลือกเพ่ือดําเนินการเปนแนวทางแรกไดแก บานวัดจันทร-หวยออ เลือกแนวทางการจัดการไฟปา ในพื้นที่ปาสนวัดจันทร กรณีบานแจมนอย เลือกแนวทางการฟนฟูปาตนนํ้า และบานเดน เลือกแนวทางการฟนฟูพ้ืนท่ี ปา ตน นํ้าอยางมีสว นรว ม พรอ มท้ังกําหนดพนื้ ท่ีเพ่ือเปน แหลง เรยี นรูของคนในพื้นที่ จํานวน 3 แปลง ซึ่งเปนของเกษตรกร ในพน้ื ทีต่ าํ บลบานจนั ทรนน่ั เอง แผนทแี่ สดงจุดดําเนินกิจกรรมในตาํ บลบา นจันทร การตดิ ปา ยช่ือตน ไมใ นพืน้ ทีแ่ หลงเรียนรู อาํ เภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม 80 สรปุ ผลงานวจิ ัย สถาบันวจิ ัยและพฒั นาพนื้ ทสี่ ูง (องคก ารมหาชน) ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

ผลผลิตทสี่ ําคัญของงานวจิ ยั 2 1. แนวทางการฟน ฟูและใชประโยชนทรพั ยากรปา ไมอ ยา งยงั่ ยืนรว มกบั ทุกภาคสวน 1 แนวทาง 2. ผลการเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นจากการถายทอดความรูเก่ียวกับการฟนฟูและใชประโยชนปาไมอยางยั่งยืนตาม แผน ่ีท หลักวิชาการใหแกชมุ ชนบา นวดั จันทร- หว ยออ บา นแจม นอย และบานเดน ตําบลบานจันทร 1 เร่ือง แผนการนําผลงานวจิ ยั ไปใชประโยชน 1. การใชประโยชนเชงิ วชิ าการ 1.1 นําองคค วามรทู ่ไี ดใ นป พ.ศ. 2561 ไปใชตอ ยอดงานวิจยั ป พ.ศ. 2562 ดงั นี้ 1) นําแนวทางการฟนฟูและการใชประโยชนทรัพยากรปาไมในพื้นท่ีศึกษาที่มาจากการมีสวนรวมของ ผมู สี ว นไดส ว นเสยี ไปจดั ทาํ แผนเพอ่ื ดาํ เนนิ งานดา นการฟน ฟทู รพั ยากรปา ไมร ว มกบั ชมุ ชนและผมู สี ว นเกยี่ วขอ ง และ ตดิ ตามผลการดาํ เนินงานดงั กลา ว 2) กระบวนการมีสว นรวมของชุมชนในดานการฟน ฟแู ละการใชประโยชนท รัพยากรปาไม 1.2 การนาํ เสนอผลการวจิ ัยหรอื การตพี มิ พในรปู แบบตางๆ นําเสนอผลการวิจัยในงานประชุมวิชาการผลงานวิจัยของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนา พ้นื ทีส่ งู (องคก ารมหาชน) 2. การใชประโยชนเชิงสาธารณะ แหลงเรยี นรูดา นการฟน ฟูและการใชประโยชนทรัพยากรปาไมใ นพน้ื ท่ี 3 แหง 6. โครงการวจิ ัยเพอื่ ฟนฟคู วามอุดมสมบรู ณข องดนิ บนพื้นทส่ี ูง พื้นที่ทําการเกษตรรอยละ 96.48 ของพ้ืนที่สงู ใน 12 จังหวัดของภาคเหนอื เปนพื้นท่ีทม่ี คี วามลาดเทมาก ทาํ ใหเ กิด ปญหาการชะลา งพังทลายหนา ดนิ โดยเฉพาะพนื้ ทีใ่ นระบบการทาํ การเกษตรแบบตดั และเผาที่เปดหนาดินโลง รบั แรงปะทะ กบั เมด็ ฝนโดยตรง และไมม รี ะบบชะลอการไหลของนา้ํ ฝนทไ่ี หลบา ไปตามความลาดชนั หนา ดนิ ทถี่ กู ชะลา งไปทกุ ปท าํ ใหพ นื้ ท่ี เกษตรเหลือแตดินช้ันลางที่มีความอุดมสมบูรณตํ่า การใชประโยชนท่ีดินเพาะปลูกพืชโดยไมมีระบบอนุรักษดินและน้ํา รวมถึงไมมีการปรับปรุงบํารุงดินอยางถูกวิธีและตอเน่ือง ทําใหเกิดปญหาการชะลางพังทลายของดินเพ่ิมสูงขึ้นและสงผล ตอความอุดมสมบูรณของดินท้ังทางกายภาพ ทางเคมี และชีวภาพ รวมถึงผลผลิตและคุณภาพของพืชลดลง ดังนั้นควรมี มาตรการในการอนุรกั ษด นิ และนํา้ ใหเหมาะสมกับสภาพพ้ืนทแ่ี ละลกั ษณะดิน ในปง บประมาณ พ.ศ. 2560 โครงการวิจัยได รวบรวมขอ มลู สมบตั ทิ างเคมขี องดนิ และจดั กลมุ ความอดุ มสมบรู ณข องดนิ ในพน้ื ทโ่ี ครงการพฒั นาพนื้ ทสี่ งู แบบโครงการหลวง 29 แหง จาํ นวน 633 ตวั อยา ง นอกจากนย้ี งั พบวา ดนิ ทปี่ ลกู พชื ของเกษตรกรบนพนื้ ทสี่ งู มปี รมิ าณโลหะหนกั เกนิ คา มาตรฐาน ในหลายพนื้ ที่ โดยเฉพาะอาซนิ คิ ซง่ึ อาจสง ผลกระทบตอ ระบบหว งโซอ าหารของมนษุ ยแ ละสงิ่ แวดลอ ม โครงการวจิ ยั เพอื่ ฟน ฟู ความอดุ มสมบรู ณข องดนิ บนพนื้ ทสี่ งู จงึ มวี ตั ถปุ ระสงคด งั น้ี ศกึ ษาระบบการปลกู พชื และวเิ คราะหส มบตั ดิ นิ ในแปลงเกษตรกร บนพื้นทีส่ ูง (พน้ื ทีใ่ หม) ทดสอบเทคโนโลยีการฟน ฟูความอดุ มสมบรู ณของดินบนพ้นื ที่สงู และทดสอบวิธีการลดการปนเปอ น โลหะหนัก (อาซนิ ิค) ในดนิ เพาะปลกู พชื บนพื้นทีส่ ูง สรปุ ผลการดาํ เนินงาน ดงั นี้ 1. ศกึ ษาระบบการปลูกพชื และวิเคราะหส มบตั ิดนิ ในแปลงเกษตรกรบนพ้นื ทีส่ ูง จํานวน 5 พ้ืนที่ ไดแ ก โครงการ พัฒนาพ้นื ทีส่ งู ฯ พบพระ ผาผ้งึ -ศรีคีรีรักษ หวยนํา้ ขาว หว ยกา งปลา และปางหินฝน ระบบการปลกู พชื สว นใหญจะเปน พืชไร ไดแก ขาว ขา วโพดเลยี้ งสตั ว พชื ผกั สวนพืชสง เสรมิ องุน เสาวรส อาโวคาโด ผลวิเคราะหดนิ พบวา เปนกรดจดั ซ่งึ มีปญหา ในการดดู ใชธ าตอุ าหารของพชื และปรมิ าณแคลเซยี ม แมกนเี ซยี มทต่ี าํ่ เบอ้ื งตน แนะนาํ ใหจ ดั การดนิ โดยใชโ ดโลไมท เพอ่ื เพม่ิ สรุปผลงานวจิ ยั สถาบนั วจิ ัยและพัฒนาพน้ื ที่สงู (องคก ารมหาชน) 81 ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

pH ใหเปนประโยชนตอการดูดใชธาตุอาหารพืช และการใชโดโลไมทยังชวยเพิ่มธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียมในดิน แตในดินที่ใชปลูกพืชผัก มีปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมในดินมีปริมาณสูงมาก เนื่องจากมีการใชปุยเคมีติดตอกัน เปน ระยะเวลานานทําใหตกคา งอยูในดิน 2. การทดสอบเทคโนโลยีการฟนฟูความอุดมสมบูรณของดินบนพ้ืนท่ีสูง ตามสภาพดินท่ีมีปญหาในการปลูกพืช บนพืน้ ที่สงู 4 ลักษณะดนิ ดังนี้ (1) การทดสอบเทคโนโลยีการฟน ฟคู วามอุดมสมบูรณของดินในแปลงขาวไร ไดจ ดั ทาํ ระบบ อนุรักษดินและน้ํา (คูรับน้ําขอบเขา รวมกับปลูกหญาแฝกขวางความลาดชัน) การปลูกขาวไรรวมกับถ่ัวลอด การปลูกพืช ตระกลู ถว่ั สลบั กบั ปลกู ขา วไรเ พอ่ื ลดรอบการหมนุ เวยี นพน้ื ทปี่ ลกู ขา วไร พบวา แปลงทป่ี ลกู ขา วไรร ว มกบั ถว่ั ลอดสง ผลใหผ ลผลติ ขาวไรเพ่ิมข้ึน (2) การทดสอบเทคโนโลยีการฟนฟูความอุดมสมบูรณของดินในแปลงมันสําปะหลัง โดยปลูกถั่ว 4 ชนิด (ถว่ั เขียว ถ่วั ลิสง ถ่วั ดํา และถั่วพรา ) ระหวางแถวมันสําปะหลงั ซง่ึ พบวา การตัดตน ถ่ัวดาํ ท่ีมีอายุ 45 วันคลมุ แปลง และการ ปลูกถั่วพรามีการเจริญเติบโตดี กวากรรมวิธีอ่ืนๆ (3) การทดสอบเทคโนโลยีการฟนฟูความอุดมสมบูรณของดินในแปลง ขาวโพดเล้ียงสัตว ไดจัดทําระบบอนุรักษดินและนํ้า (คูรับนํ้าขอบเขา รวมกับปลูกหญาแฝกขวางความลาดชัน) และ ปลูกขาวโพดเหล่ือมดว ยพืชตระกลู ถ่วั และ (4) การทดสอบเทคโนโลยีการฟน ฟคู วามอุดมสมบรู ณข องดินในแปลงหอมญีป่ ุน โดยการจัดการธาตุอาหารใหเหมาะสมและการปลูกพืชตระกูลถั่วหลังปลูกหอมญ่ีปุน ซึ่งในปงบประมาณ พ.ศ. 2561 ดําเนินการทดสอบในปแ รก จะดาํ เนินงานตอ เน่อื งเพื่อเก็บขอมลู การเปลยี่ นแปลงของดนิ และผลผลิตพชื ในป 2562 ตอไป 3. การทดสอบวิธีการลดการปนเปอ นโลหะหนกั (อาซินิค) ในดินเพาะปลกู พชื บนพ้ืนท่สี ูง โดยการบาํ บดั ดินดวย รเชออ้ื งแกบน คหทลีเมุ รยีแลไะอใโชซเ เฟลอทรสั Aซrsลั .เ2ฟ9ตพรวน มหกลับงั กปาลรูกใชพปืชูนแลแวลพะบสวาารตในรงึดโินลปหละกูหมนะักเขเอืฟเอทรศร ยัสงั ซพลั บเฟอตาซ(นิ FคิeใSนOร4ูป) อโาดซยนิ ใหิคเทกั้งษหตมรดกสรงูนทาํ ่ีสไปดุ ในสวนของพืชพบอาซินิคในรูปอาซินิคทั้งหมดในสวนของรากมากที่สุด 3.19 มิลลิกรัมตอกิโลกรัม และลําตนเพียง xxxx มลิ ลกิ รัมตอ กโิ ลกรัม สว นในผลผลติ มะเขือเทศไมพบปริมาณอาซินคิ ในผลผลติ ซงึ่ จะเหน็ ไดว าพชื มกี ารดดู อาซินคิ จากดินขนึ้ ไปสูพชื แตไมม ีผลตอผลผลิต แปลงทดสอบการฟนฟคู วามอดุ มสมบูรณของดิน แปลงทดสอบการฟน ฟคู วามอดุ มสมบรู ณของดนิ ในแปลงขา วโพด ในแปลงมันสําปะหลงั 82 สรุปผลงานวจิ ัย สถาบนั วจิ ัยและพฒั นาพนื้ ท่สี งู (องคก ารมหาชน) ประจาํ ปง บประมาณ พ.ศ. 2561

2 แผน ่ีท แปลงทดสอบการฟน ฟูความอุดมสมบรู ณข องดนิ แปลงทดสอบการฟน ฟูความอุดมสมบูรณข องดิน ในแปลงหอมญ่ปี นุ ในแปลงขาวไร ผลผลิตท่ีสาํ คญั ของงานวจิ ยั 1. ขอมูลระบบการปลูกพชื และขอมลู ผลการวิเคราะหด ินทจี่ ดั กลุมความอุดมสมบูรณข องดนิ อยา งนอย 5 พ้นื ที่ 2. วธิ กี ารฟนฟูความอุดมสมบรู ณข องดนิ ท่เี หมาะสมกบั ชนดิ พชื บนพ้นื ท่สี ูง อยางนอย 3 ชนิดพืช 3. เกษตรกรไดร บั การถา ยทอดองคค วามรเู รอ่ื งการเกบ็ ตวั อยา งดนิ ทถี่ กู ตอ งและการแปลผลการวเิ คราะหต วั อยา งดนิ จาํ นวน 50 ราย 4. ขอ มลู การปนเปอ นของโลหะหนักในดินเพาะปลูกพืชบนพ้นื ทสี่ งู 1 รายงาน 5. แนวทางและวธิ กี ารลดปรมิ าณโลหะหนัก (อาซนิ ิค) ในดนิ เพาะปลูกพชื บนพืน้ ทสี่ ูง อยางนอย 1 แนวทาง/วธิ ีการ แผนการนาํ ผลงานวจิ ยั ไปใชป ระโยชน 1. การใชป ระโยชนเชงิ วิชาการ 1.1 นาํ องคค วามรทู ีไ่ ดใ นป พ.ศ. 2561 ไปใชต อ ยอดงานวิจัยป พ.ศ. 2562 ดังนี้ 1) นําผลการทดสอบเทคโนโลยีการฟนฟูความอุดมสมบูรณของดินบนพ้ืนที่สูง ตามสภาพดินท่ีมีปญหา ในการปลกู พชื บนพนื้ ทสี่ งู 4 ลกั ษณะดนิ ในป 2561 ไปใชใ นการดาํ เนนิ งานตอ เนอื่ งในปง บประมาณ 2562 2) นาํ ขอ มลู การทดสอบวธิ กี ารลดการปนเปอ นโลหะหนกั (อาซนิ คิ ) ในดนิ เพาะปลกู พชื บนพนื้ ทส่ี งู ไปวางแผน การทดสอบในพื้นท่ีท่ีพบการปนเปอ นอาซนิ คิ ในปง บประมาณ 2562 ตอไป 1.2 การนําเสนอผลงานวจิ ยั หรอื ตีพมิ พใ นรูปแบบตางๆ นําเสนอผลการวิจัยในงานประชุมวิชาการผลงานวิจัยของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนา พน้ื ทีส่ งู (องคการมหาชน) 2. การใชป ระโยชนเ ชงิ สาธารณะ 2.1 การอบรมถา ยทอดความรแู ละเทคโนโลยใี หก ับเกษตรกร 2 เร่อื ง 1) การอนรุ กั ษดนิ และนาํ้ ในระบบการปลกู พืชบนพ้นื ท่ีลาดชนั 2) การเกบ็ ตวั อยางดินท่ถี ูกตองเพื่อสง วิเคราะหส มบตั ขิ องดินและการแปลผลวิเคราะหต วั อยา งดิน สรปุ ผลงานวจิ ัย สถาบนั วิจยั และพัฒนาพ้นื ทสี่ งู (องคก ารมหาชน) 83 ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561

7. โครงการศกึ ษาการจัดการขยะและนํ้าเสียของชุมชนบนพ้ืนที่สงู การสะสมของกองขยะมูลฝอยและการปลอยนํ้าเสียลงแหลงนํ้าเปนปญหาสําคัญในหลายชุมชนบนพื้นท่ีสูง สิ่งที่ ตามมาคอื ทัศนยี ภาพทางธรรมชาตทิ สี่ วยงามถกู ทาํ ลาย กล่ินเนาเหม็นทีไ่ มพ ึงประสงค และแหลง เพาะพนั ธุส ัตวพาหะนาํ โรค รวมทั้งการเกิดกาซเรือนกระจก เชน กาซคารบอนไดออกไซด มีเทน และไนตรัสออกไซด ซ่ึงเปนสาเหตุหน่ึงของสภาพ ภมู อิ ากาศแปรปรวน และภาวะโลกรอ น เพอื่ บรรเทาปญ หาทเี่ กดิ ขน้ึ จงึ ตอ งเรง จดั การอนามยั สง่ิ แวดลอ มของชมุ ชน โครงการ วิจัยน้ีมีวัตถุประสงคเพ่ือศึกษาระบบการจัดการขยะมูลฝอยและน้ําเสียท่ีเหมาะสมสําหรับครัวเรือนและชุมชนบนพ้ืนท่ีสูง และเพื่อศึกษาผลการบริหารจัดการปญหาขยะมูลฝอยและน้ําเสียที่มีประสิทธิภาพของชุมชนโครงการหลวง 12 แหง สรปุ ผลการดาํ เนินงาน ดังนี้ 1. การศึกษาระบบการจัดการขยะมูลฝอยและน้ําเสียท่ีเหมาะสมสําหรับครัวเรือนและชุมชนบนพ้ืนที่สูง พบวา ชุมชนท่ีเขารวมโครงการเร่ิมตระหนักถึงปญหาท่ีเกิดขึ้น โดยใหความรวมมือในการปรับปรุงวิธีการจัดการของเสียตาม คําแนะนําของนักวิจัยกิจกรรมสําคัญท่ีสงผลตอความสําเร็จ ประกอบดวย 1) การประชาสัมพันธผลกระทบและใหความรู เพอื่ บรรเทาและแกไขปญหา 2) ผลักดนั ใหชุมชนจัดตั้งกลมุ ขับเคลอ่ื นงานและกาํ หนดมาตรการทางสังคม เชน กฎระเบียบ ของหมูบาน ขอตกลง บทลงโทษ และ 3) สนับสนุนการปรบั ปรงุ วธิ ีจดั การของเสีย ไดแก การจัดการขยะมลู ฝอยตามหลกั สุขาภบิ าล ประกอบดว ย คัดแยกขยะ 4 ประเภท ท้งิ ขยะตามประเภท รวบรวม ขนเกบ็ และกําจดั ขยะ สว นการบําบดั นํ้าทิง้ เบื้องตนจากการลางจานและหองครัวทําไดโดยติดต้ังถังดักไขมันตอเชื่อมกับบอบึงประดิษฐขนาดเล็กโดยใชตนพุทธรักษา เปน พชื ดดู ซบั สารกอ นปลอ ยนา้ํ ทง้ิ ลงแหลง นา้ํ นอกจากนย้ี งั สามารถปลอ ยนาํ้ ทง้ิ ใหซ มึ ลงในบอ ดนิ หรอื แปลงปลกู ตน ไมภ ายใน กใจคขนายารขกรัวะจณปเทรัดรเ่ีะือปกับทนานร่ีบระมาพสบิตนําบบรหหวกตวราบัายับชมสขผุมิ่งหาลแชลวกวนลักดาบบีสลรุขามสอนาีปุมมภขรจสิบอิมงึําบาาสรลณดาวแมงจขลมาปยวปีระรเถรนิหมกิมอา็นําาณยไจณดสดัขวขุดขยายยะบ1ะะแ2าสไลน.ูงด2ะสเ7หกดุรลกาอ 4ารโิย1มลปล8กีปละ.ร5รอมัิม1ยกตา0กิโณอ0ลาวกขซนัสรยควมั ะาคนตแริดบอลบเาวปะอนันปน นหลคแไวอดาลยกยอะหามออรCคีกปมOาไลซซก2อึง่ดายเยรหังป(ลกCCลือําOOอจน2ย2ดั อ)1ขCย.เย3Oทบะ9ี่ส2้ือไุด5ดkงgต4ไมCเ6นนดO.ก4่ือี 21องมeจน/kปี าวgปรกนัCมิรมOับาแีเณต2รตeะาขห/เบวยผลบันะางั ลวเหิจดลัยลอื สงมเาฉามลกา่ยีทรรถสี่ อ ุดกยําล8จะ9ัด.7น012้ํามสกันงิโผแลลลกใะรหมัไป ขตลมอ อันวยันปCปรOิมล2อาลณยดโลCปงOเรฉต2ลีนเย่ี ททรา ้ังอ กหยบั มลดะ107(76ไน.9สโ2ําตหรkรเgจบั CนกO)า2รeปป/รรวิมับันาปณแรตงุอคผ อณุลกโภซดิเายจพรนวนทม้าํ ี่จขทุลอ้ิงพินงทบทกุ วรชาียุมตวชธิอนกี งมากรปีาจรราใมิ กชาผใณนลขกงายานะร ยอ ยสลายอนิ ทรยี สารทมี่ ีอยูใ นน้ํา และสารแขวนลอยออกจากน้ําลางจานไดด ี คดิ เปนคาเฉลยี่ รอยละ 70.70, 43.00, 54.40 และ 75.30 เม่ือเทียบตัวอยางน้ําทง้ิ กอนผานและหลังผา นระบบบาํ บัด การติดต้ังถงั ดกั ไขมนั อยา งงา ยเพ่ือบําบัดคณุ ภาพนา้ํ ท้งิ การสาํ รวจประเภทของขยะมูลฝอยจากครัวเรือน 84 สรุปผลงานวจิ ัย สถาบนั วจิ ยั และพัฒนาพ้นื ท่ีสงู (องคการมหาชน) ประจําปง บประมาณ พ.ศ. 2561

2. การศึกษาผลของการบริหารจัดการปญหาขยะมูลฝอยและน้ําเสียที่มีประสิทธิภาพของชุมชนบนพ้ืนที่สูง 2 พบวา ชมุ ชนทัง้ 12 แหง สว นใหญยังบริหารจัดการปญหาขยะและนํ้าเสยี ไดไ มด ีพอ ทัง้ ดา นกลมุ ผูป ฏิบตั งิ าน ความตอเน่ือง ในการดาํ เนินงาน แผนงานของชมุ ชน และแหลงงบประมาณสนบั สนุน นกั วิจยั จงึ ผลกั ดนั ใหชุมชนจัดต้ังกลมุ ขบั เคลือ่ นงาน แผน ่ีท ดานสิ่งแวดลอมเพ่ือบริหารจัดการและดําเนินงานพัฒนาทั้งการปองกันและแกไขปญหา นอกจากน้ียังจัดการศึกษาดูงาน เพ่ือแลกเปลี่ยนและเรียนรูแนวทางการบริหารจัดการขยะของชุมชนเมืองสําหรับนําไปปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการ ของแตละชุมชนรวมกับหนว ยงานในพนื้ ท่ี เชน องคก ารบรหิ ารสว นตาํ บล โรงพยาบาลสงเสรมิ สขุ ภาพตาํ บล อยางไรก็ตาม หลังจากดําเนินการตอเน่ืองต้ังแตปงบประมาณ พ.ศ. 2559 สามารถคัดเลือกตนแบบชุมชนโครงการหลวงที่มีการบริหาร จัดการปญ หาขยะและนํ้าเสยี ทีด่ ี จํานวน 2 ชมุ ชน ไดแ ก บา นปาเกี๊ยะนอ ย ศนู ยฯ แมแ ฮ และบา นหว ยน้ํากนื ศนู ยฯ หว ยโปง โดยชุมชนใหความสําคัญกับการปรับปรุงงานสุขาภิบาลเพื่อบรรเทาปญหาส่ิงแวดลอม และทุกครัวเรือนใหความรวมมือ เปนอยางดี แตยังตอ งพฒั นากลไกขององคกรชุมชนในการขบั เคลอื่ นงานใหม ปี ระสทิ ธิภาพมากยงิ่ ขนึ้ ประชมุ วางแผนรว มกบั ชมุ ชนและหนวยงานภายนอก ศึกษาดูงานดานการจดั การขยะ ผลผลติ ทีส่ าํ คัญของงานวิจัย 1. ระบบการจดั การนาํ้ เสียและขยะทเี่ หมาะสมกบั ชมุ ชนชนบทบนพ้นื ทส่ี ูง จํานวน 1 ระบบ 2. ผลของการบรหิ ารจัดการปญหาขยะมูลฝอยและน้าํ เสยี ทม่ี ปี ระสิทธิภาพของชมุ ชนบนพนื้ ท่ีสูง 3. ตนแบบของชมุ ชนโครงการหลวงทม่ี ีการจัดการขยะและนาํ้ เสยี ท่ีดี จาํ นวน 2 ชุมชน แผนการนาํ ผลงานวิจยั ไปใชประโยชน 1. การใชประโยชนเชิงวิชาการ 1.1 นาํ องคความรูท่ีไดในป พ.ศ. 2561 ไปใชต อ ยอดงานวจิ ยั ป พ.ศ. 2562 ดังนี้ 1) ขยายผลงานวจิ ยั ระบบการจดั การปญ หาขยะมลู ฝอยและนา้ํ เสยี จากครวั เรอื นทเ่ี หมาะสมกบั วถิ ชี วี ติ ของ ชมุ ชนบนพนื้ ทสี่ ูง ไปยังชมุ ชนโครงการหลวงแหงใหม 2) ใชผ ลการบรหิ ารจดั การปญ หาขยะมลู ฝอยและนาํ้ เสยี ของชมุ ชนทส่ี าํ รวจได เปน ขอ มลู วางแผนการศกึ ษา และพฒั นากลไกการบรหิ ารจัดการของเสยี ตามหลกั สขุ าภบิ าลทดี่ ีโดยองคกรชุมชน 2. การใชประโยชนเ ชิงสาธารณะ จดั กจิ กรรมศกึ ษาดงู านตน แบบชมุ ชนโครงการหลวงทม่ี กี ารจดั การขยะและนา้ํ เสยี ทด่ี ใี หก บั ชมุ ชนบนพน้ื ทส่ี งู อน่ื เชน ชมุ ชนโครงการหลวงพ้นื ท่ีใหม และโครงการพัฒนาพืน้ ท่ีสงู แบบโครงการหลวง สรุปผลงานวิจัย สถาบันวจิ ัยและพฒั นาพ้นื ท่สี ูง (องคก ารมหาชน) 85 ประจําปง บประมาณ พ.ศ. 2561

8. โครงการศึกษาการพฒั นาชมุ ชนโครงการหลวงเพื่อเปน ชมุ ชนคารบอนตํ่าและยง่ั ยนื ระยะท่ี 2 การปลอยกาซเรือนกระจกและมลพิษของมนุษยอยางตอเนื่อง กอใหเกิดการแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ภาวะโลกรอ นและภยั พบิ ตั ธิ รรมชาตซิ งึ่ ปจ จบุ นั มคี วามรนุ แรงมากยง่ิ ขนึ้ แนวทางบรรเทาปญ หาทดี่ ปี ระการหนง่ึ คอื การดาํ รงชวี ติ แบบสังคมคารบอนต่ําซึ่งใหความสําคัญกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมไมใหเสื่อมโทรม สมาชิกในชุมชน รวมมือกันลดกิจกรรมที่ปลอยกาซเรือนกระจกและมลพิษ เชน การทําเกษตรที่เปนมิตรกับส่ิงแวดลอม ไมเผาปา ปรับปรุง สขุ อนามยั ครวั เรอื นและสขุ าภบิ าลชมุ ชน ควบคไู ปกบั ปลกู ปา เพอื่ เพมิ่ พน้ื ทสี่ เี ขยี วเพอื่ ชว ยเกบ็ กกั กา ซเรอื นกระจก การดาํ เนนิ งาน ปน้ีเปนงานตอเนื่อง มีวัตถุประสงคเพ่ือศึกษาผลการยกระดับและพัฒนาชุมชนโครงการหลวง 12 แหง ใหเปนตนแบบ ของชมุ ชนบนพน้ื ทีส่ งู คารบ อนตํ่าอยางยัง่ ยนื โดยเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดการพฒั นาชมุ ชนคารบอนตํ่าอยา งยงั่ ยืน 19 เกณฑ การประเมนิ 32 ตวั ช้วี ัด ซง่ึ มคี วามสอดคลอ งกับภมู สิ ังคมของชุมชนบนพื้นท่ีสูง สรปุ ผลการดําเนนิ งาน ดังนี้ 1. การศึกษาผลการยกระดับและปรับปรุงกจิ กรรมการพัฒนาชมุ ชนโครงการหลวง พบวา สมาชกิ ในชมุ ชน และ หนว ยงานทเ่ี กย่ี วขอ งรว มกนั ทาํ กจิ กรรมพฒั นาเพอื่ ลดการปลอ ยกา ซเรอื นกระจกและเกบ็ กกั กา ซเรอื นกระจกไมใ หป ลอ ยออก สบู รรยากาศอยา งตอ เนอ่ื ง และกจิ กรรมทต่ี อ งเรง ดาํ เนนิ การ ไดแ ก สง เสรมิ เกษตรกรใหน าํ้ พชื ดว ยวธิ กี ารแบบประหยดั ปรบั ปรงุ ฟารมปศุสัตวตามมาตรฐานการเลี้ยงสัตวบนพ้ืนที่สูง ปรับปรุงกระบวนการจัดการขยะชุมชน และเพ่ิมครัวเรือนใหติดตั้ง ระบบบาํ บัดนา้ํ ทิง้ หรอื ฟารมปศสุ ัตวกอ นปลอยออกสสู ่งิ แวดลอ ม 2. การสํารวจและประเมินผลการยกระดับชุมชนหลังดําเนินการปรับปรุงและพัฒนาเทียบตัวชี้วัด (ประเมิน ตวั เอง) ต้งั แตต ลุ าคม 2560 - กนั ยายน 2561 มีคา คะแนนระดบั การพัฒนาอยูในชวง 79 ถึง 92 โดยบา นปางบง ศนู ยฯ ปา เมย่ี ง และบานปอ ก ศนู ยฯ ตีนตก ไดคะแนนสงู สุดรอยละ 92 รองลงมาคอื บานหวยน้าํ กืน ศูนยฯ หว ยโปง และบานเหลา ศูนยฯ มอนเงาะ ไดคะแนนเทา กันรอ ยละ 86 สวนบา นหนองหอยเกา ศนู ยฯ หนองหอย ไดคะแนนตา่ํ สดุ รอยละ 79 3. การเตรียมความพรอมชุมชนเพื่อการรับรองมาตรฐานชุมชนบนพื้นที่สูงคารบอนตํ่าและยั่งยืน ไดผลักดัน ใหชุมชนจัดตั้งกลุมผูนําขับเคล่ือนงานพัฒนาใน 4 มิติการพัฒนา กิจกรรมท่ีตองเรงดําเนินการ และหลักฐานประกอบการ ตรวจประเมิน นอกจากนี้ยังยื่นแบบคําขอตรวจประเมินในนามของมูลนิธิโครงการหลวง ตอศูนยวิจัย ตรวจประเมิน และใหการรับรองมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดลอม คณะส่ิงแวดลอมและทรัพยากรศาสตร มหาวิทยาลัยมหิดล ตลอดจน ประสานกับคณะกรรมการตรวจประเมิน เพ่ือเขาตรวจผลการพัฒนาของชุมชน ประกอบดวย การตรวจประเมินเบื้องตน (Pre-audit) และการตรวจประเมนิ เพ่ือใหการรับรอง (Audit) 4. การประมวลและสรุปผลแนวทางการพัฒนาชุมชนชนบทบนพ้ืนท่ีสูงในบริบทของชุมชนคารบอนต่ําและ การพฒั นาอยา งยงั่ ยนื สรปุ ไดว า ตวั ชวี้ ดั จากงานวจิ ยั สามารถนาํ มาใชว ดั ผลการพฒั นาเปน ชมุ ชนบนพนื้ ทส่ี งู คารบ อนตา่ํ อยา ง ยัง่ ยนื ได กิจกรรมสาํ คัญประกอบดวย การสงเสรมิ ระบบการเกษตรตามมาตรฐานอาหารปลอดภยั การฟน ฟูปา ชาวบานและ อนรุ กั ษป า ตน นาํ้ ลาํ ธาร การฟน ฟแู ละใชป ระโยชนจ ากความหลากหลายทางชวี ภาพอยา งยง่ั ยนื ไดเ นอ่ื งจากสอดคลอ งกบั บรบิ ท ของชมุ ชน การจดั การและควบคมุ สงิ่ แวดลอ มในชมุ ชนอยา งเหมาะสม ไดแ ก ความสะอาด ของเสยี และการประหยดั พลงั งาน การเสรมิ สรา งองคก รชมุ ชนใหม คี วามเปน อยทู ดี่ แี ละสามารถพงึ่ พาตนเอง สาํ หรบั การขบั เคลอื่ นงานพฒั นาโดยรวมแลว ชมุ ชน มีความกระตือรือรนมากขึ้นซึ่งปจจัยสําคัญที่สงผลตอการพัฒนาทั้ง 4 ดาน ไดแก ระดับการพัฒนาเร่ิมแรก เง่ือนไขหรือ วถิ กี ารดาํ รงชวี ติ ของชมุ ชนหรอื ลกั ษณะประจาํ ของชาตพิ นั ธุ ความเขม แขง็ ของกลมุ ผนู าํ และความรว มมอื สมาชกิ ภายในชมุ ชน สอดคลองกับหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผลการพจิ ารณาเบ้อื งตน ชุมชนโครงการหลวง 6 แหง ไดแ ก 1) บานปางบง ศูนยฯ ปา เมี่ยง 2) บา นเหลา /ศนู ยฯ มอ นเงาะ 3) บานหว ยนํา้ กืน ศนู ยฯ หว ยโปง 4) บา นปา เกยี๊ ะ ศนู ยฯ แมแ ฮ 5) บา นหว ยขา วลีบ ศูนยฯ แมสะปอก และ 6) บานขอบดง สถานีเกษตรหลวงอางขาง มศี กั ยภาพการพัฒนาเปน ตน แบบชุมชนบนพ้ืนทส่ี ูงคารบ อนตา่ํ และย่งั ยนื โดยพิจารณาจากความ เขมแข็งของกลุมผูนาํ ความรว มมือของสมาชิกในการพฒั นาชมุ ชน และคา คะแนนผลการพัฒนา 86 สรุปผลงานวจิ ยั สถาบันวิจยั และพฒั นาพื้นทสี่ ูง (องคการมหาชน) ประจําปง บประมาณ พ.ศ. 2561

2 แผน ่ีท สภาพแวดลอมภายในชมุ ชนบนพ้นื ทีส่ ูง การเพาะปลูกทเ่ี ปน มติ รกับสง่ิ แวดลอม ผลผลิตทสี่ ําคญั ของงานวจิ ัย 1. ผลการพฒั นาชุมชนโครงการหลวง 12 ชุมชน ใหเปน ชุมชนบนพนื้ ที่สูงคารบ อนตาํ่ อยา งย่งั ยืน 2. ตน แบบชุมชนบนพน้ื ทส่ี งู คารบอนตํา่ และยง่ั ยืน 6 ชุมชน 3. แนวทางการพฒั นาชุมชนบนพน้ื ท่สี ูงใหเ ปนชุมชนคารบ อนตา่ํ อยางยง่ั ยืน 1 แนวทาง 4. คมู ือการพฒั นาชมุ ชนบนพ้นื ท่สี ูงคารบ อนตา่ํ และยัง่ ยนื 1 คมู ือ แผนการนาํ ผลงานวจิ ยั ไปใชประโยชน 1. การใชประโยชนเ ชิงวชิ าการ 1.1 นาํ องคค วามรูทไ่ี ดในป พ.ศ. 2561 ไปใชต อ ยอดงานวิจัยป พ.ศ. 2562 ดังน้ี 1) ใชเ กณฑก ารประเมนิ และตวั ชว้ี ดั การพฒั นาชมุ ชนคารบ อนตา่ํ และยงั่ ยนื รวมทงั้ กระบวนการพฒั นาชมุ ชน คารบอนตา่ํ ไปพัฒนาชุมชนโครงการหลวงแหงใหม 2) ใชขอมูลผลการพัฒนาชุมชนโครงการหลวงที่เขารวมโครงการ 12 แหง ในการยื่นขอรับรองการ เปนชุมชนคารบอนตํ่าและยั่งยืนตอศูนยวิจัย ตรวจประเมินและใหการรับรองมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดลอม คณะส่งิ แวดลอมและทรัพยากรศาสตร มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล 1.2 การนาํ เสนอผลงานวจิ ยั หรือตพี มิ พในรูปแบบตา งๆ นําเสนอความกาวหนาการวิจัยและพัฒนากิจกรรมคารบอนตํ่าประจําปกับสํานักวิจัยส่ิงแวดลอมและ ทรพั ยากรดา นการเกษตร สถาบนั วจิ ยั วทิ ยาศาสตรด า นการเกษตรมณฑลกวางตงุ (GDAAS) สาธารณรฐั ประชาชนจนี 2. การใชป ระโยชนเชิงสาธารณะ 2.1 จัดกิจกรรมศึกษาดูงานตนแบบชุมชนโครงการหลวงคารบอนตํ่าและยั่งยืน ใหกับชุมชนบนพื้นที่สูงอื่น เชน ชมุ ชนโครงการหลวงพน้ื ทใ่ี หม และโครงการพัฒนาพืน้ ท่สี ูงแบบโครงการหลวง 2.2 สง มอบคมู อื การพฒั นาชมุ ชนบนพนื้ ทส่ี ูงคารบ อนตาํ่ และย่งั ยืน ใหก ับมูลนิธิโครงการหลวง สรุปผลงานวจิ ยั สถาบันวิจยั และพฒั นาพ้นื ที่สงู (องคก ารมหาชน) 87 ประจําปง บประมาณ พ.ศ. 2561



การวจิ ยั เพ่อื ตอยอดภูมิปญญาทอ งถน่ิ และพัฒนานวัตกรรมจากความหลากหลาย ทางชวี ภาพบนพื้นทสี่ ูง HIGHLAND RESEARCH AND DEVELOPMENT INSTITUTE (PUBLIC ORGANIZATION)

การวจิ ยั เพอื่ ตอ ยอดภูมปิ ญ ญาทองถ่นิ และพฒั นานวตั กรรม จากความหลากหลายทางชีวภาพบนพ้นื ท่ีสูง เนน การศกึ ษารวบรวมและพฒั นาตอ ยอดเพอ่ื สรา งนวตั กรรมจากภมู ปิ ญ ญาทอ งถน่ิ และความหลากหลายทางชวี ภาพ บนพื้นที่สูง ท้ังดานพืชสมุนไพรและยาพ้ืนบาน การพัฒนาผลิตภัณฑเวชสําอาง และการดูแลรักษาสุขภาพ รวมท้ังการวิจัย และพัฒนาชีวภัณฑเกษตรและผลิตภัณฑสําหรับการปลูกพืชเพื่อลดสารเคมีบนพ้ืนที่สูง เพื่อการใชประโยชนในระดับชุมชน และเชงิ พาณิชย ประกอบดวย 3 โครงการหลัก สรปุ ผลการดําเนนิ งาน ดงั นี้ 1. โครงการวจิ ัยและพฒั นาพืชสมุนไพรและยาพ้นื บานบนพ้นื ทส่ี งู ปง บประมาณ พ.ศ. 2561 ดาํ เนนิ การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารรว มกบั ชมุ ชนโดยรวบรวมองคค วามรเู กยี่ วกบั ชนดิ พชื สมนุ ไพร และการใชป ระโยชนท างยาบนพน้ื ทส่ี งู ศกึ ษาการอนรุ กั ษแ ละฟน ฟกู ารปลกู พชื สมนุ ไพร ในการจาํ หนา ยใหก บั ภาคอตุ สาหกรรม หรือผูประกอบการเพ่ือลดการบุกรุกปา และศึกษาแนวทางการจัดทําเขตอนุรักษพืชสมุนไพรเพื่อเปนแหลงปลูกและ ใชป ระโยชนข องชุมชน รวมท้งั การวจิ ัยตอยอดผลติ ภัณฑก ลุมขับสารพษิ เชิงพาณชิ ยตอเนอ่ื ง โดยศกึ ษาองคป ระกอบทางเคมี จากสวนตางๆ ของตนสังหยู ศึกษาฤทธ์ิตอการเกิดออกซิเดชันและฤทธ์ิตอเซลลตับเพาะเล้ียง (in vitro) และการศึกษา ความเปน พิษระยะยาว (180 วัน) ในสตั วทดลอง สรปุ ผลการดาํ เนนิ งาน ดังนี้ 1. การวจิ ยั และพฒั นาเพอ่ื ยกระดบั ภมู ปิ ญ ญาและการใชป ระโยชนส มนุ ไพรของชมุ ชนบนพนื้ ทสี่ งู สาํ หรบั อนรุ กั ษ รักษาสขุ ภาพ และเสริมสรางอาชีพ 1) องคความรูเกี่ยวกับชนิดพืชสมุนไพรและการใชประโยชนทางยาบนพ้ืนที่สูง ดําเนินการในพ้ืนที่ ศูนยฯ หวยสมปอย (บานหวยขนุน และบานสามหลัง) ไดองคความรูเกี่ยวกับชนิดพืชสมุนไพรและการใชประโยชนทางยา บนพนื้ ทีส่ ูง จาํ นวน 250 ชนิด 2) องคความรูในการใชป ระโยชนพืชสมุนไพรและยาพืน้ บา น รวบรวมและจดั ทําในรูปแบบโปสเตอร 2 เร่อื ง องคความรูเก่ียวกับชนิดพืชสมุนไพรและการใชประโยชนทางยาบนพ้ืนท่ีสูง บานปาเก๊ียะ ตําบลทากอ อําเภอแมสรวย จงั หวัดเชียงราย จํานวน 140 ชนิด และบานกิว่ โปง อําเภอกัลยาณิวฒั นา จังหวัดเชียงใหม จาํ นวน 105 ชนิด 3) ตาํ รบั ยาพน้ื บา นไดร บั การยนื่ เพอ่ื ขอรบั การคมุ ครอง ดาํ เนนิ การในพน้ื ทบี่ า นปา เกยี๊ ะ ศนู ยฯ หว ยนาํ้ ขนุ โดย ไดยื่นคุมครองตํารับยาพ้ืนบานของชนเผาลาหู จํานวน 2 ตํารับ ไดแก ตํารับรักษาตับอักเสบ และตํารับรักษาแผล เปน หนอง 4) ชมุ ชนมพี ืชสมนุ ไพรสําหรบั ปลกู ในเชิงพาณิชย ดาํ เนินการใน 6 ชมุ ชน ไดแ ก ปา กลว ย ปางมะโอ โปงคาํ (บานโปง คําและศรีบญุ เรือง) หว ยนํา้ ขนุ และหวยสม ปอ ย รวม 16 ชนิด ไดแก รางจืดดอกแดง รางจืดดอกมวง ยอดิน สงั หยู ขม้ินขาว เจียวกูหลาน ปเู ฒา ท้ิงไมเ ทา โดไมร ูล ม ผกั เชยี งดา มะรุม ไพล ขมน้ิ สมปอย ตะไครตน เสลดพงั พอน และสม กุง 90 สรุปผลงานวิจัย สถาบนั วิจัยและพฒั นาพ้ืนท่ีสูง (องคการมหาชน) ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561

5) กระบวนการจดั การผลติ ผลพชื สมนุ ไพร การรวบรวมองคค วามรูและภูมิปญญาทอ งถน่ิ ใหมีคุณภาพ ไดรวบรวมและสรุปขอมูลกระบวนการ จากพืชสมุนไพรและตํารบั ยาพน้ื บานของชมุ ชน จัดการผลิตผลพืชสมุนไพรใหมีคุณภาพจากแปลงปลูก วตั ถดุ บิ สด จดั การจนเปน วตั ถดุ บิ แหง และการเกบ็ รกั ษา 3 วตั ถดุ บิ แหง เพอ่ื รอบรรจใุ นรปู แบบผลติ ภณั ฑต า งๆ หรอื รอจาํ หนา ยตอ ไป สาํ หรบั เปน แนวการปฏบิ ตั งิ านในชมุ ชน แผนท่ี ทปี่ ลกู พชื สมนุ ไพร 5 ชนดิ ไดแ ก ผกั เชยี งดา เจยี วกหู ลาน ปเู ฒา ทง้ิ ไมเ ทา ไพล และขมน้ิ โดยปรบั ใชแ นวทางปฏบิ ตั ิ ที่ดีของโครงการหลวง จากการอบรมมาตรฐาน GAP และ GMP การศึกษาดูงาน ณ สถานีฯ อางขาง มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา นนา ลาํ ปาง จงั หวดั ลาํ ปาง และคมู ือของกระทรวงสาธารณสุข 6) การดาํ เนนิ งานของชมุ ชนในการคมุ ครอง สมุนไพรและถน่ิ กาํ เนดิ ดาํ เนินการในพืน้ ทบี่ า นปา เก๊ยี ะ ศูนยฯ หวยนํ้าขุน เพื่อการคุมครองสมุนไพรและ ถิ่นกําเนิดครอบคลุมพ้ืนท่ีปาของชุมชน 215 ไร โดย รวมกับชุมชนคัดเลือกกิจกรรมดําเนินการ 8 กิจกรรม จาก 20 กิจกรรมตามแผนจัดการคุมครองสมุนไพรฯ ซงึ่ ยงั ไมไ ดร บั การอนมุ ตั จิ ากกระทรวงสาธารณสขุ และได ดาํ เนนิ งานทง้ั 8 กจิ กรรม ไดแ ก (1) แตง ตง้ั คณะกรรมการ อนุรักษสมุนไพรและถ่ินกําเนิด และบทบาทหนาที่ (2) จัดทําระเบียบการใชสมุนไพรในพ้ืนท่ีอนุรักษ (3) การรับรองหมอพื้นบานและเครือขายการรักษา จากสาธารณสุข/ชุมชนอ่ืน โดยตํารับที่มีในชุมชน (4) กิจกรรมอบรม ทาํ สือ่ /หนงั สือ ตาํ รา (5) สนบั สนุน การสรางมูลคาเพ่ิมของพืชสมุนไพร/ภูมิปญญาดาน พืชสมุนไพรของชุมชน (6) สํารวจและศึกษาความ หลากหลายของพชื สมนุ ไพรในพ้นื ทีเ่ ขตปา อนุรักษ บา น ปาเก๊ียะ (7) จดบันทึกภูมิปญญาเปนลายลักษณอักษร การบันทึกการรักษา และการคุมครองภูมิปญญา (8) พัฒนาการนําตํารับยาสมุนไพรใหบริการในสถาน บรกิ ารสาธารณสุขของรฐั พนื้ ท่คี มุ ครองสมุนไพรและถ่นิ กาํ เนิด บา นปาเกี๊ยะ ศนู ยพ ฒั นาโครงการหลวงหวยน้ําขุน สรุปผลงานวิจยั สถาบนั วจิ ัยและพัฒนาพ้ืนที่สูง (องคก ารมหาชน) 91 ประจําปง บประมาณ พ.ศ. 2561

2. การศึกษาพฤกษเคมแี ละฤทธ์ิทางชวี ภาพของสมนุ ไพร 2.1 ศกึ ษาองคป ระกอบทางเคมีจากสว นตา งๆ ของสังหยู (ปที่ 1) พบวาสวนสกัดทใ่ี หฤ ทธ์ิที่ดีคอื สารสกดั ที่ 9 สังหยูใบเขียว (เปลือก) สารสกัดท่ี 15 สังหยูใบแดง (เปลือก) แตจากการใชในชุมชน สวนรากปมและใบเปนสวนที่มีการ นาํ ไปใช จงึ นาํ มาศึกษาเพิ่มเติม โดยทําการสกดั แยกดว ย partition technique ใชค วามแตกตางของข้วั ของตัวทําละลาย สารสกัดแตล ะสว นทไ่ี ด จึงนาํ มาตรวจสอบดวยเทคนิค Thin layer chromatography เปนการศกึ ษาขอ มูลทางเคมเี บอ้ื งตน ของสว นสกดั ทใ่ี หฤ ทธท์ิ ดี่ ี ซงึ่ การศกึ ษาเพอ่ื หาสารองคป ระกอบสาํ คญั จะทาํ การแยกสารดว ยการตดิ ตามฤทธใ์ิ นการศกึ ษาตอ ขณะนยี้ งั ไมท ราบชนดิ สาร เปน เพยี งการจดั ทาํ TLC chromatogram เพอ่ื เปรยี บเทยี บรปู แบบขององคป ระกอบทางเคมขี อง แตละสวนเทา นัน้ ในการตรวจสอบใช UV 254, 366 nm และฉีดพนดว ยนาํ้ ยาฉีดพน พบวา สว นสกดั มรี ูปแบบองคประกอบ ที่แตกตา งกันอยางชัดเจน 2.2 ศึกษาฤทธ์ิตอการเกิดออกซิเดชันและฤทธ์ิตอเซลลตับเพาะเล้ียง (in vitro) จากสวนตางๆ ของสังหยู การทดลองฤทธต์ิ านออกซิเดชนั่ การทดลอง Cell proliferation assay และ Apoptosis analysis พบวา สารสกดั ที่ 9 สังหยใู บเขยี ว (เปลือก) และสารสกัดที่ 15 สงั หยใู บแดง (เปลอื ก) ใหผลดใี นการตานออกซิเดชน่ั และการเกดิ apoptosis โดยสวนฤทธิ์ apoptosis น้ันสามารถทําใหเกิดการตายของเซลลทง้ั แบบ early และ late apoptosis ดงั น้นั สารสกดั ท่ี 9 สงั หยูใบเขยี ว (เปลือก) และสารสกดั ที่ 15 สงั หยูใบแดง (เปลอื ก) จงึ ควรจะนาํ ไปแยกหาสว นสกัดตอ เพอื่ หาสารออกฤทธิ์ ทีจ่ ะนาํ ไปศึกษาในสตั วทดลอง ศึกษาในมนษุ ย ควบคมุ คณุ ภาพสารสกัด รวมทั้งจดสิทธบิ ัตรและขึ้นทะเบยี นผลิตภัณฑ 2.3 ศึกษาความเปน พิษระยะยาว (180 วนั ) ของสงั หยใู นสัตว ทดลองโดยปอ นสารสกดั รากใหญส งั หยใู บเขยี ว 3 แบบคอื แบบท่ี 1 ขนาด 150 และ 50 มลิ ลกิ รมั ตอ กโิ ลกรมั แบบที่ 2 ขนาด 750 และ 250 มลิ ลกิ รมั ตอ กโิ ลกรมั แบบท่ี 3 ขนาด 3,750 และ 1,250 มลิ ลิกรมั ตอกิโลกรมั ตลอด 180 วัน และสังเกตอาการ ลกั ษณะภายนอกและการตรวจสุขภาพสัตว ตลอดการทดลอง รวมทั้งประเมินคาทางโลหิตวิทยา คาเคมีคลินิก และการตรวจพยาธิวิทยาของอวัยวะภายในตางๆ พบวา การไดร บั สารสกดั รากใหญส งั หยใู บเขยี ว ตดิ ตอ กนั เปน เวลานาน ไมก อ ใหเ กดิ ความเปน พษิ ระยะยาว (180 วนั ) ซง่ึ ขอ มลู ในสว นนี้เปน สวนสาํ คญั ท่ีสามารถนําไปเปน ขอ มูลพนื้ ฐานในการทดลองในมนุษย และขึ้นทะเบียนผลติ ภัณฑ สงั หยใู บเขยี ว สงั หยใู บแดง 92 สรุปผลงานวจิ ัย สถาบนั วิจยั และพัฒนาพ้ืนทีส่ ูง (องคก ารมหาชน) ประจาํ ปง บประมาณ พ.ศ. 2561

ผลผลิตทส่ี าํ คญั ของงานวจิ ยั 3 1. องคความรูเก่ียวกับชนิดพืชสมุนไพรและการใชประโยชนทางยาบนพื้นท่ีสูง บานปาเก๊ียะ ตําบลทากอ อําเภอ แมสรวย จังหวัดเชียงราย รวม 6 แผน โดยประกอบดวยขอมูลชุมชน แผนการอนุรักษสมุนไพรและถิ่นกําเนิด แผนท่ี และขอมูลพชื สมนุ ไพรพืชทอ งถนิ่ จาํ นวน 140 ชนดิ 2. องคความรูเกี่ยวกับชนิดพืชสมุนไพรและการใชประโยชนทางยาบนพื้นท่ีสูง บานกิ่วโปง อําเภอกัลยาณิวัฒนา จงั หวดั เชยี งใหม รวม 3 แผน จาํ นวน 105 ชนดิ ชมุ ชนมพี ชื สมนุ ไพรสาํ หรบั ปลกู ในเชงิ พาณชิ ย ในพนื้ ท่ี 6 ชมุ ชน ไดแ ก ปา กลว ย ปางมะโอ โปง คาํ (โปงคํา ศรบี ุญเรอื ง) หว ยนํ้าขนุ และหว ยสมปอย รวม 16 ชนิด ไดแ ก รางจืดดอกแดง รางจดื ดอกมวง ยอดนิ สงั หยู ขม้ินขาว เจยี วกูหลาน ปเู ฒา ท้งิ ไมเทา โดไมร ลู ม ผกั เชียงดา มะรุม ไพล ขม้นิ สม ปอ ย ตะไครตน เสลดพังพอน และสม กงุ 3. ผลการศึกษาพฤกษเคมแี ละฤทธ์ทิ างชวี ภาพของสมุนไพร สังหยู 4. ผลความเปนพิษระยะยาว (เรื้อรัง) พบวาการปอนสารสกัดรากใหญสังหยูใบเขียวไมกอใหเกิดความเปนพิษ ระยะยาว แผนการนําผลงานวจิ ยั ไปใชประโยชน 1. การใชประโยชนเ ชงิ วิชาการ 1.1 นําองคความรูท่ีไดใ นป พ.ศ. 2561 ไปใชต อยอดงานวจิ ยั ป พ.ศ. 2562 ดังน้ี 1) การศึกษาพฤกษเคมีและฤทธิ์ทางชีวภาพของสมุนไพร ทราบขอมูลสําคัญที่สามารถนําไปเปนขอมูล พ้ืนฐานในการทดลองในมนษุ ย และขน้ึ ทะเบยี นผลิตภัณฑเ ชงิ พาณิชยตอ ไป 2) เผยแพรอ งคค วามรแู กชมุ ชนและเยาวชน 3) ตอยอดพฒั นาผลิตภณั ฑร ะดบั ชมุ ชนหรือปลกู สรา งรายไดเ สรมิ 4) วจิ ัยตอ ยอดผลิตภัณฑเ ชงิ พาณิชย ดา นขับสารพิษ 2. การใชประโยชนเชิงสาธารณะ มกี ารคมุ ครองสมนุ ไพรพน้ื ทเ่ี ขตอนรุ กั ษส มนุ ไพรและถนิ่ กาํ เนดิ บา นปา เกยี๊ ะ ในพนื้ ทศี่ นู ยฯ หว ยนาํ้ ขนุ อาํ เภอ แมสรวย จงั หวัดเชียงราย จาํ นวน 215 ไร สรปุ ผลงานวจิ ยั สถาบนั วจิ ัยและพัฒนาพื้นทส่ี ูง (องคก ารมหาชน) 93 ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

2. โครงการวิจัยและพัฒนาผลติ ภณั ฑจากภมู ิปญ ญาทอ งถิน่ และความหลากหลาย ทางชวี ภาพ จากการดําเนินการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑจากความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปญญาทองถิ่นบนพื้นท่ีสูง มาอยางตอเนื่อง โดยการนําพืชบนพ้ืนที่สูงที่มีศักยภาพสามารถนํามาเปนสวนประกอบของผลิตภัณฑเวชสําอางตางๆ ได ซึ่งสามารถตอยอดและใชประโยชนไดท้ังในระดับชุมชนและเชิงพาณิชย กอใหเกิดการสรางรายไดและเพิ่มชนิดพืชทาง เลือกหรือพืชเสริมใหกับเกษตรกรบนพ้ืนท่ีสูงได ซ่ึงจะสงผลตอการอนุรักษและใชประโยชนพืชทองถ่ินอยางเปนรูปธรรม สรปุ ผลการดาํ เนินงาน ดงั น้ี 1. การวิจัยและพัฒนาตอยอดตนแบบผลิตภัณฑจากการวิจัยเพื่อนําไปสูการใชประโยชนระดับชุมชนและ เชิงพาณชิ ย ดําเนินการวิจัยและพัฒนาตอยอดเพื่อยกระดับตนแบบผลิตภัณฑจากการวิจัยใหสามารถนําไปสูการใชประโยชน เชิงพาณิชย โดยการคัดเลอื กและประเมนิ ศกั ยภาพผลติ ภณั ฑตน แบบจากปที่ผา นมา แลวนําไปผลิตเชิงปรมิ าณ (scale up) ในเชิงพาณชิ ย ทดสอบตลาด และการยอมรับจากผบู รโิ ภค โดยมผี ลติ ภณั ฑตน แบบท่มี ศี กั ยภาพ 12 ผลิตภัณฑ ประกอบดวย ผลติ ภัณฑขจดั รังแค 4 ผลิตภณั ฑ ผลิตภัณฑส าํ หรับผมรวงมาก 2 ผลติ ภณั ฑ ผลติ ภณั ฑน้าํ มนั เชด็ ลางเครอ่ื งสําอาง 2 สูตร และผลิตภัณฑสาํ หรบั แมแ ละเด็ก 2 สูตร ซง่ึ ไดร บั การยอมรบั จากลูกคาเปน อยา งดี และไดส ง มอบผลติ ภณั ฑตน แบบจากการ วิจัยใหมูลนิธิโครงการหลวงไปใชประโยชน 6 ผลิตภัณฑ ประกอบดวย (1) ผลิตภัณฑนํ้ามันลางเครื่องสําอางชนิดกันน้ํา (Cleansing oil) (2) สบเู หลวอาบนาํ้ และสระผมสําหรับเด็ก (Baby head to toe wash) (3) แชมพสู มนุ ไพรขจัดรงั แค (Anti dandruff shampoo) (4) ครมี นวดสมนุ ไพรขจัดรงั แค (Anti dandruff conditioner) (5) ทรตี เมนทมาสคสมุนไพร ขจดั รงั แค (Anti dandruff treatment mask) และ (6) เซรม่ั สมุนไพรขจดั รงั แค (Anti dandruff hair serum) ในสว นของผลติ ภณั ฑจ ากการวจิ ยั มกี ารตอ ยอดและนาํ ไป ใชประโยชนในระดับชุมชน ทําการคัดเลือก ประเมินศักยภาพ ผลติ ภณั ฑท เ่ี หมาะสมกบั ชมุ ชน ไดผ ลติ ภณั ฑช าชงสมนุ ไพร 2 สตู ร ที่มีรสชาติตามความตองการของเกษตรกร ไดแก (1) ชาชง หญาหวานผสมมนิ ต และ (2) ชาชงหญา หวานผสมชาเมี่ยง นอกจากน้ียังไดเพาะขยายพันธุพืชท่ีเปนวัตถุดิบสําคัญ ในการเปน สว นประกอบของผลติ ภณั ฑส าํ หรบั เสน ผม (Hair care) โดยทาํ การเพาะขยายพนั ธเุ พอ่ื เพม่ิ ปรมิ าณวตั ถดุ บิ และเปน แหลง ผลิตวัตถุดิบที่มีคุณภาพตามความตองการของโรงงานแปรรูป กระบวนการพฒั นาผลติ ภัณฑเ ชงิ พาณชิ ย ในระยะแรกไดท าํ การขยายพนั ธวุ า นนา้ํ ในพน้ื ทบ่ี า นหว ยโปง พฒั นา อาํ เภอไชยปราการ จงั หวดั เชยี งใหม และกะเมง็ ทาํ แปลงทดสอบ ในพ้ืนที่บานฟาสวย อําเภอเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม ซ่ึงมกี าร เจรญิ เตบิ โตไดเ ปน อยา งดี นาํ วตั ถดุ บิ ทเี่ พาะปลกู ในพนื้ ทด่ี งั กลา ว มาทดสอบคณุ ภาพของวตั ถดุ บิ กอนจะนาํ มาใชประโยชนตอ ไป ย่ืนจดทรัพยสินทางปญญาเพ่ือคุมครองผลงานวิจัยของ สถาบัน จาํ นวน 3 รายการ ไดแก (1) สูตรตาํ รับผลิตภัณฑบาํ รงุ ผิวรอบดวงตาจากสารสกัดคาเทชิน (2) สูตรตํารับผลิตภัณฑ นาํ้ มนั ลา งเครอ่ื งสาํ อาง และ (3) สตู รตาํ รบั ผลติ ภณั ฑย บั ยงั้ เชอื้ รา สาเหตุรังแค ตัวอยางผลิตภัณฑต น แบบเชงิ พาณิชย 94 สรปุ ผลงานวจิ ัย สถาบนั วจิ ัยและพฒั นาพ้ืนท่สี ูง (องคการมหาชน) ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561

2. การวจิ ัยและพฒั นาผลติ ภณั ฑตน แบบสาํ หรับแมแ ละเดก็ การพฒั นาผลติ ภณั ฑต น แบบสาํ หรบั แมแ ละเดก็ ทม่ี สี ว นผสมจากพชื บนพน้ื ทส่ี งู เชน นาํ้ มนั อาโวคาโด นา้ํ มนั งาขมี้ อ น และนํ้ามันรําขาว ซึ่งมีคุณสมบัติพ้ืนฐานที่ดีในดานตางๆ ไดแก สี กล่ิน ความมัน ความเหนอะหนะบนผิว ประสิทธิภาพ การซึมผานลงไปในผิวหนัง ความเขากันไดในตํารับ รวมถึงปญหาการเหม็นหืนของน้ํามันที่จะสงผลตอการพัฒนาตํารับ โดยนํามาพัฒนาผลิตภัณฑสําหรับแมและเด็ก 3 ชนิด ไดแก น้ํามันบํารุงผิวสําหรับแมและเด็ก ผลิตภัณฑทาผ่ืนผาออม และผลติ ภณั ฑบ รรเทาอาการหวั นมแตกสาํ หรบั มารดาใหน มบตุ ร ซงึ่ มปี ระสทิ ธภิ าพดเี ทยี บเทา ผลติ ภณั ฑท มี่ จี าํ หนา ยในทอ งตลาด มคี วามคงตวั ดี และไดรับความพงึ พอใจโดยรวมในอาสาสมคั รอยูในเกณฑดีมาก โดยไมก อใหเกิดการแพใ นอาสาสมัคร (ก) (ข) (ค) 3 ตนแบบผลติ ภัณฑครีมทาผนื่ ผาออ มในเดก็ (ก) นํา้ มันบาํ รงุ ผวิ สาํ หรบั แมและเดก็ (ข) บาลมบรรเทาอาการหวั นมแตก (ค) แผนท่ี 3. การวจิ ัยและพฒั นาตนแบบผลิตภณั ฑเพอ่ื สขุ ภาพสาํ หรับผูสูงอายุ นาํ วตั ถดุ บิ จากชาเมยี่ งและนา้ํ มนั งาขม้ี อ นมาพฒั นาเปน ผลติ ภณั ฑเ สรมิ สขุ ภาพสาํ หรบั ผสู งู อายทุ ม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพใน การปอ งกนั การเกดิ โรคอลั ไซเมอร โดยนาํ นาํ้ มนั งาขมี้ อ นมาสกดั เยน็ เอานาํ้ มนั ออกมา นาํ้ มนั ทไ่ี ดม ลี กั ษณะเหลอื งใส หนดื เลก็ นอ ย ไมมีกลิ่นเหม็นหืน และไมเกิดไขเม่ือต้ังไวที่อุณหภูมิหอง เม่ือทําการวิเคราะหหาปริมาณสารสําคัญ พบวา น้ํามันงาข้ีมอนมี โอเมกา -3 ในปริมาณสงู และมี โอเมกา -6 และ โอเมกา -9 เปน องคป ระกอบ เมอื่ วิเคราะหค า peroxide value ของน้าํ มนั งา ขี้มอน พบวามีคาไมเกินเกณฑมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ในสวนการศึกษาฤทธิ์ในการยับย้ังเอนไซมอะเซติลโคลีน เอสเตอเรส ฤทธติ์ า นออกซเิ ดชนั และฤทธยิ์ บั ยงั้ การเกาะกลมุ ของแอมลั ลอยด เบตา พบวา สารสกดั ชาเมยี่ งและนาํ้ มนั งาขมี้ อ น มฤี ทธใิ์ นการยบั ยง้ั เอนไซมอ ะเซตลิ โคลนี เอสเตอเรส มฤี ทธยิ์ บั ยงั้ การเกดิ ออกซเิ ดชนั ของกรดไขมนั และมฤี ทธย์ิ บั ยงั้ การเกาะกลมุ ของแอมลั ลอยด เบตา นอกจากนผี้ งชาเมยี่ งพบฤทธยิ์ บั ยง้ั เอนไซมอ ะเซตลิ โคลนี เอสเตอเรส และฤทธย์ิ บั ยง้ั การเกาะกลมุ ของ แอมัลลอยด เบตาเทาน้ัน จากน้ันนํามาตั้งตํารับได 3 ตํารับ คือ ตํารับแคปซูลผงชาเมี่ยง ตํารับแคปซูลแกรนูลผงชาเม่ียง ผสมสารสกัดชาเม่ียง และตํารับแคปซูลแกรนูลผงชาเมี่ยงผสมสาร สกดั ชาเมย่ี งและนา้ํ มนั งาขม้ี อ น พบวา ตาํ รบั ทพี่ ฒั นาขน้ึ มคี ณุ สมบตั ิ ที่ดีทง้ั ในดา นปรมิ าณความชื้น การไหล การแตกตัว ขนาดอนุภาค และการกระจายขนาดอนุภาค จากน้ันนําแคปซูลชาเมี่ยงท้ัง 3 ตํารับไปทดสอบความ คงสภาพ และหาปริมาณสารสาํ คัญฟน อลคิ เทียบเทา gallic acid และฤทธิ์ตานอนุมูลอิสระของท้ัง 3 ตํารับ พบวา ตํารับแคปซูล แกรนูลผงชาเม่ียงผสมสารสกัดชาเมี่ยงและน้ํามันงาข้ีมอนมี คุณลักษณะและความคงตัวท่ีดีเพื่อใชเปนผลิตภัณฑเสริมอาหาร ตอไป ตนแบบแคปซูลแกรนลู ผงชาเมีย่ ง ผสมสารสกดั ชาเมยี่ ง สรปุ ผลงานวิจัย สถาบันวิจัยและพฒั นาพ้นื ทสี่ ูง (องคก ารมหาชน) 95 ประจาํ ปง บประมาณ พ.ศ. 2561

4. การวจิ ยั และพฒั นาตน แบบผลิตภณั ฑเวชสําอางบาํ รุงผิวหนาสาํ หรบั กลางคนื นําสารสกัดคาเทชินจากชาเมี่ยงหมักและสารสกัดฟกขาวที่มีประสิทธิภาพในการตานอนุมูลอิสระ ABTS+ และ ยบั ย้ังเอนไซมไทโรสิเนสไดดี มาพัฒนาตํารบั ผลติ ภัณฑเวชสาํ อางในรปู แบบครมี บํารุงผิวหนาสําหรบั กลางคนื 2 ตํารบั ไดแ ก (1) ตาํ รบั คาเทชินมเี นื้อครีมเนียน กลิน่ หอม มสี เี นอ้ื ออนเกอื บขาว และ (2) ตํารบั ฟก ขา วทีม่ ลี กั ษณะเนอ้ื ครมี เนียน กลนิ่ หอม สีเหลืองออนเกือบขาว ซ่ึงผลิตภัณฑครีมบํารุงผิวหนาสําหรับกลางคืนดังกลาวมีคุณสมบัติในการฟนฟูและชะลอการเกิด ริ้วรอยบนใบหนา พรอมปรับสภาพผิวเสียหมองคลํ้าใหแลดูขาวกระจางใส นุมเนียน มีความคงสภาพท่ีดี ไมกอใหเกิด การระคายเคืองในอาสาสมัคร และผานการทดสอบความพึงพอใจในอาสาสมัครอยใู นเกณฑดมี าก 5. การศกึ ษาคณุ ลกั ษณะทางเภสชั เวช และขอ กาํ หนดมาตรฐานวตั ถดุ บิ สมนุ ไพร และสารสกดั พชื ทอ งถน่ิ บนพนื้ ทส่ี งู ทใี่ ชใ นผลิตภัณฑเ วชสําอางของมูลนธิ โิ ครงการหลวง ทําการศกึ ษาคุณลกั ษณะทางเภสชั เวท และขอ กําหนดมาตรฐานวตั ถดุ บิ และสารสกัดจากชาเมย่ี ง ท้งั สดและหมกั หญา ถอดปลอง และเย่อื หมุ เมล็ดฟก ขาว ซง่ึ มีการนาํ ไปใชเปนสว นประกอบในผลติ ภณั ฑเ วชสําอางของมูลนธิ โิ ครงการหลวง สําหรับใชในการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบและสารสกัดท่ีใชเตรียมผลิตภัณฑพืชสมุนไพรของมูลนิธิโครงการหลวง โดยการนํา ไปวเิ คราะหเ ครื่องยาของชาเมยี่ งสด ชาเมย่ี งหมกั หญาถอดปลอ ง และเยือ่ หุมเมลด็ ฟก ขาว ตามขอ กาํ หนดของ Thai Herbal Pharmacopoeia และ WHO ประกอบดว ย การหาปรมิ าณความช้นื โดยหานาํ้ หนกั ท่หี ายไป ปริมาณเถารวม ปรมิ าณเถา ไมล ะลายในกรด ปรมิ าณนา้ํ มันระเหย และปรมิ าณสารสกัดดว ยวิธสี กดั เย็น จากการวเิ คราะหเครื่องยาในครัง้ น้ี สามารถนาํ ขอ มลู ไปจดั ทาํ ขอกําหนดมาตรฐานวตั ถดุ บิ และควบคุมคณุ ภาพของวตั ถดุ ิบสมุนไพรทัง้ 3 ชนดิ ใหมีความสมํา่ เสมอกอนท่ีจะ ใชเ ตรียมผลติ ภัณฑเคร่อื งสาํ อางของมูลนิธโิ ครงการหลวงตอ ไป 6. การวจิ ัยและพฒั นาผลติ ภณั ฑเ วชสําอางนาโนสําหรับเสนผม ทําการศึกษาขอมูลพืชทองถ่ินบนพ้ืนท่ีสูงท่ีมีการนํามาใชกับเสนผมและหนังศีรษะ ประกอบดวย หญาถอดปลอง วานน้ํา ขิง ไพล ขา ขมิน้ โรสแมรี่ ออรกิ าโน ลาเวนเดอร งาขมี้ อน มะเยาหนิ และราํ ขา ว พบวา สารสกัดหญา ถอดปลองมี ความปลอดภัยและมีฤทธิ์กระตุนการงอกของเสนผมดีที่สุด รองลงมาคือ สารสกัดวานนํ้า สารสกัดไพล และสารสกัดขิง ตามลําดับ จากน้ันนําไปพัฒนาตนแบบผลิตภัณฑกระตุนการงอกของเสนผมนั้นเลือกระบบนําสงไขมันอนุภาคนาโนพ้ืนท่ี ดีทส่ี ุด ประกอบไปดว ย GMS-2 นาํ้ มันรําขา ว Span 20 และนา้ํ กล่นั ซงึ่ มีคุณลักษณะและความคงตวั ดี จึงไดน ําไปประเมนิ ความพงึ พอใจตน แบบผลติ ภณั ฑ ในอาสาสมคั ร เปรยี บเทยี บกบั ผลติ ภณั ฑท มี่ จี าํ หนา ยในทอ งตลาด ซง่ึ พบวา ตน แบบผลติ ภณั ฑ จากการวิจัยไดรับความพึงพอใจสูงท่ีสุด ทั้งในดานลักษณะและเนื้อผลิตภัณฑ สี กลิ่น ความมันหรือการเหนอะเหนียว และความเหมาะสมกับการใชก ับเสน ผมและหนงั ศีรษะ 96 สรปุ ผลงานวิจัย สถาบันวจิ ัยและพฒั นาพืน้ ทส่ี ูง (องคก ารมหาชน) ประจําปง บประมาณ พ.ศ. 2561

ผลผลิตท่สี าํ คญั ของงานวิจยั 3 1. ผลิตภณั ฑต นแบบในระดบั หอ งปฏิบตั ิการ จํานวน 7 ผลติ ภณั ฑ 2. สงมอบผลติ ภณั ฑต น แบบจากการวจิ ยั ใหมลู นิธิโครงการหลวง จาํ นวน 6 ผลิตภณั ฑ แผนท่ี 3. ผลติ ภณั ฑจากการวิจยั มีการตอ ยอดหรือนาํ ไปใชป ระโยชนในระดับชมุ ชน จาํ นวน 2 ผลิตภณั ฑ แผนการนาํ ผลงานวิจยั ไปใชประโยชน 1. การใชประโยชนเ ชิงวิชาการ 1.1 นําองคค วามรทู ไี่ ดใ นป พ.ศ. 2561 ไปใชตอ ยอดงานวจิ ัยป พ.ศ. 2562 ดงั นี้ 1) การวิจยั และพฒั นาตอ ยอดตนแบบผลติ ภณั ฑจ ากการวจิ ยั เพ่อื นาํ ไปสกู ารใชป ระโยชนใ นเชิงพาณิชย 2) การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการสกัดสมุนไพรสําหรับใชในกระบวนการผลิตเวชสําอางของมูลนิธิ โครงการหลวง 3) จัดทํารางขอกําหนดสําหรับนําไปใชในการควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบใหมีความสม่ําเสมอกอนที่จะใช เตรียมผลิตภณั ฑเครอ่ื งสําอางของมลู นิธิโครงการหลวง เพ่ือใหไดผลิตภัณฑท ี่มีคณุ ภาพสผู ูบรโิ ภคตอ ไป 2. การใชประโยชนเ ชงิ พาณิชย 2.1 สงมอบตน แบบผลติ ภัณฑใ หก บั มูลนธิ โิ ครงการหลวง จํานวน 6 ผลติ ภัณฑ ไดแก 1) นํ้ามนั ลา งเครอื่ งสําอาง (Cleansing oil) 2) สบเู หลวอาบนํ้าและสระผมสําหรับเดก็ (Baby head to toe wash) 3) แชมพสู มุนไพรขจดั รังแค (Herbal Anti-dandruff shampoo) 4) ครีมนวดผมสมนุ ไพรขจัดรงั แค (Anti-dandruff conditioner) 5) ทรีตเมน ทส มนุ ไพรขจดั รังแค (Anti-dandruff treatment mask) 6) เซร่มั สมนุ ไพรขจดั รงั แค (Anti-dandruff hair serum) 2.2 รา งทรพั ยสนิ ทางปญ ญาเพอ่ื คมุ ครองผลงานวิจัยของสถาบัน จํานวน 3 รายการ ไดแ ก 1) สูตรตํารบั ผลติ ภณั ฑบ าํ รงุ ผิวรอบดวงตาจากสารสกดั คาเทชิน 2) สูตรตํารบั ผลิตภัณฑน ํา้ มนั ลางเคร่อื งสาํ อาง 3) สูตรตาํ รบั ผลิตภณั ฑย บั ยัง้ เชอ้ื ราสาเหตรุ งั แค สรุปผลงานวิจัย สถาบันวจิ ยั และพัฒนาพน้ื ท่ีสงู (องคการมหาชน) 97 ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561

3. โครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑชีวภาพเกษตรจากความหลากหลายทางชีวภาพ บนพ้นื ทีส่ งู พ้นื ที่สูงเปน แหลง ตน นํ้าและทรัพยากรธรรมชาติสําคัญ มีพรรณพชื และจลุ ินทรียที่มปี ระโยชน สามารถนาํ ไปผลิตเปน ชวี ภณั ฑเ กษตรหรอื ผลติ ภณั ฑท ดแทนสารเคมที มี่ คี ณุ ภาพในหลากหลายรปู แบบ สาํ หรบั ใชเ พาะปลกู พชื เศรษฐกจิ บนพน้ื ทส่ี งู เพอ่ื ลดผลกระทบจากการใชส ารเคมที ไี่ มถ กู ตอ งและสรา งความปลอดภยั ใหก บั เกษตรกรผบู รโิ ภคและสงิ่ แวดลอ ม กจิ กรรมวจิ ยั ตลอดระยะเวลา 3 ป ประกอบดวย การคัดเลือกชนิดพืชและสายพันธุจุลินทรียตามคุณสมบัติที่ตองการ วิจัยและพัฒนา เปน ตนแบบสารชวี ภัณฑแ ละสารทดแทนสารเคมี พรอมคดั เลือกวธิ ีการใช จากนั้นนําไปทดสอบและประเมนิ ผลการใชจนได ผลติ ภัณฑท ี่ตรงกับความตอ งการของเกษตรกร สรปุ ผลการดาํ เนนิ งาน ดังนี้ 1. การวิจัยและพฒั นาชีวภัณฑป องกนั กําจดั โรคราสีเทา Botrytis cinerea ของพรกิ หวาน เปน งานวิจยั ปท ่ี 1 ไดค ัดเลือกแบคทีเรยี ปฏปิ ก ษ ไอโซเลท 28 และ 98 ที่มีประสทิ ธภิ าพยบั ยัง้ เสน ใยราสาเหตโุ รคสงู ถงึ 90 และ 80 เปอรเ ซน็ ต มาเปนสวนประกอบหลักของการผลิตเปนผงชีวภัณฑ ซ่ึงการเพ่ิมปริมาณเช้ือทั้ง 2 ชนิด ในอาหารเล้ียงเช้ือแบบเหลวสูตร แปงถว่ั เหลือง และสตู รเมลด็ ถ่วั เหลอื ง pH 6 เลย้ี งนาน 3 วัน ทําใหเชอื้ เจรญิ ดที ่ีสดุ ×1010 cfu/ml โดยมีตน ทนุ คา อาหาร 5.36 และ 3.26 บาทตอ ลติ ร ตามลาํ ดบั 2. การวจิ ยั และพฒั นาชวี ภณั ฑป อ งกนั กาํ จดั โรคแผลเนา ของอาโวคาโด เปน งานวจิ ยั ตอ เนอ่ื งปท ี่ 2 ไดค ดั เลอื กวธิ ี การใชตนแบบผงชีวภัณฑที่ผลิตจากเช้ือแบคทีเรียปฏิปกษ ไอโซเลท SDF เปรียบเทียบอัตราผสมและระยะเวลาการฉีดพน สารแขวนลอยของผงชวี ภณั ฑเ ขาตนอาโวคาโด โดยพบวา ตน แบบผงชีวภณั ฑ อัตรา 150 กรัมตอ น้าํ 20 ลติ ร พนทุก 14 วนั ใชน านตอ เนอื่ ง 3 เดอื น สามารถควบคมุ อาการแผลเนา ทโี่ คนและลาํ ตน ได 40 เปอรเ ซน็ ต มตี น ทนุ คา ชวี ภณั ฑ 3.97 บาทตอ ตน ซ่งึ มปี ระสทิ ธภิ าพเทา กบั การฉดี สารฟอสโฟนคิ แอซดิ เขา ตนอาโวคาโด ทุก 30 วัน ทม่ี ตี นทนุ คา สาร 18 บาทตอตน อาการโรคลาํ ตนเนา ของพรกิ โรคแผลเนาของอาโวคาโด ลกั ษณะเชอ้ื แบคทีเรยี ที่แยกไดจ ากตนพชื และดิน ลกั ษณะการยับยั้งเชอ้ื สาเหตุโรคแผลเนาอาโวคาโด ของตน แบบชีวภัณฑ SDF 98 สรุปผลงานวจิ ัย สถาบนั วิจัยและพฒั นาพื้นทส่ี งู (องคก ารมหาชน) ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. 2561

3. การวจิ ยั และพัฒนาปุย อินทรีย เปนงานวิจยั ตอ เน่อื งปท ่ี 2 ผลการคัดเลอื กวธิ กี ารผลติ ตนแบบปยุ อนิ ทรยี ทผี่ สม จลุ นิ ทรยี ส ง เสรมิ การเจรญิ เตบิ โตพชื 2 สายพนั ธุ คอื การหมกั ผงหวั เชอื้ จลุ นิ ทรยี  MN6 สตู รเพอรไ ลทก บั ปยุ โครงการผกั อนิ ทรยี  (อัตรา 1:4) นาน 1 เดือน ใหความเขมขนเชื้อ 10.40 log CFU/g ไมแตกตางกับสูตรไดอะตอมไมทผสมกับปุยอินทนนท ที่ไดเชื้อ 10.32 สวนจุลินทรีย FT2 เพ่ิมปริมาณไดดีหลังนําผงหัวเชื้อสูตรเพอรไลทผสมกับปุยโครงการผักอินทรียและ ปุยแมท าเหนอื ไดเชอื้ เขมขน 9.29 และ 8.87 log CFU/g การใหป ุย อินทรยี ทผี่ ลติ จากปยุ อนิ ทนนทผสมผงหัวเช้ือ perlite และ diatomite ชว ยทาํ ใหน ํ้าหนักสดของเบบค้ี อสสงู ถงึ 185.14 และ 137.45 กรัมตอตน ซ่ึงมากกวา วิธกี ารของเกษตรกร 3 ผงหวั เชอื้ แตละสูตรวัสดุรองรบั ตนเบบ้ีคอสที่ใชป ุยอนิ ทรยี ท มี่ ีหวั เชอื้ MN6 และ FT2 แผนท่ี 4. การศึกษาและทดสอบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ แปลงทดสอบการปอ งกนั กําจัดแมลงวนั เจาะลําตนถ่วั แขก ชวี ภาพเกษตรจากผลงานวจิ ยั แบบมสี ว นรว มของเกษตรกร ระบบ GAP พบวา (1) การใชส ารไลแ มลงสตู รครมี รว มกบั ชวี ภณั ฑเ ชอ้ื รา สาเหตุโรคแมลง อัตรา 250 กรัม ตอน้ํา 20 ลิตร กบั ดกั สารดึงดดู ดวงหมดั ผักแถบลาย มีประสิทธิภาพในการปองกันกําจัดแมลงวันเจาะลําตน ถ่ัวแขกระบบ GAP ดีกวาการฉีดพนสารเคมีของเกษตรกร สงผลใหไดน้ําหนักผลิตผล 52.93 กโิ ลกรมั ตอพืน้ ท่ี 1 งาน มีตน ทนุ คา สาร 85.89 บาท และเกษตรกรมีความพงึ พอใจ ในระดับท่ีดี แตในแปลงระบบอินทรียซึ่งฉีดพนเฉพาะ ชีวภัณฑเชื้อราสาเหตุโรคแมลงใหผลไมดี ตนถ่ัวแขกแสดง อาการเห่ียวและแหงตายสูงถึง 100 เปอรเซน็ ต (2) การใช ตนแบบกับดักแบบครอสรวมกับสารดึงดูดดวงหมัดผักใน paraffin gel และการหยดสารดงึ ดดู ในสาํ ลี สามารถดกั จบั ดว ง หมดั ผกั แถบลายในแปลงผกั กาดขาวปลไี ดส งู สดุ 26,042 ตัว และ 25,568 ตัว หลังติดตั้งนาน 28 วัน ทําใหเกษตรกร มีความพึงพอใจสูงมาก (3) ผลการใชชีวภัณฑท่ีผลิตจาก แบคทีเรียปฏิปกษ MTR13 เพ่ือปองกันกําจัดโรคเห่ียว จากเชอ้ื แบคทเี รยี Ralstonia solanacearum ของปทมุ มา ตอ งทดสอบยนื ยันผลในปต อ ไปอีกครั้ง (4) การรองกน หลมุ กอนปลูกตนกลาดวยผงชีวภัณฑลดปริมาณโลหะหนักในดิน ที่ผลิตจากไดอะตอมไมทและปูน อัตรา 1 ชอนชา รวมกับ การราดสารละลาย 0.1 เปอรเซ็นต ของเฟอรรัสซัลเฟต สรปุ ผลงานวิจัย สถาบนั วจิ ัยและพฒั นาพน้ื ท่สี งู (องคการมหาชน) 99 ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561