สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ฉ บั บ ข ย า ย ค ว า ม พระมหาวเิ ชยี ร ชนิ วโํ ส
ฉสบขุ งั าบยๆข แยคาป ยลคายวจมากู ม โครงการผลติ หนงั สอื ธรรมะเพอื่ การเจรญิ สติ ISBN : ๙๗๘-๙๗๔-๐๙-๖๕๔๔-๒ พมิ พค รง้ั ท่ี ๔ : พฤษภาคม ๒๕๕๒ จำนวนพมิ พ : ๕,๐๐๐ เลม ออกแบบรปู เลม : พชรชน ภาพปก-ภาพประกอบ : นาตยา คำสวา ง พสิ จู นอ กั ษร : ปารชิ าติ เนตรแกว สามารถ เออ้ื มเกบ็ ตดิ ตอ -ประสานงาน : ผศ.ทพิ ยส ดุ า อนิ ทะพนั ธุ สมจติ ร คำมนิ เสก เจา ของ : กองทุนจิตภาวนาชินวงส วดั วงั หนิ ต.พลายชมุ พล อ.เมอื ง จ.พษิ ณโุ ลก พมิ พท ี่ : โฟกสั มาสเตอรพ รนิ้ ต ๑/๒๐ ถ.บรมไตรโลกนารถ อ.เมอื ง จ.พษิ ณโุ ลก โทร.๐๕๕-๒๒๕๐๓๗ Dhammaintrend ร่วมเผยแพร่และแบง่ ปนั เปน็ ธรรมทาน
อนโุ มทนาบญุ หากทานใด คณะใด มีความประสงคจะพิมพ เผยแผเปนธรรมบรรณาการ โดยไมเรียกรองคาตอบแทน ก็ใหกระทำไดโดยไมตองขออนุญาต และโปรดติดตอ กบั โรงพมิ พโ ดยตรง แตห ากมกี ารจำหนา ยขอสงวนสทิ ธิ์ ขอบุญบารมี กุศลความดีท้ังปวงและความเปน มหามงคลอันสูงสุดท้ังทางโลกและทางธรรม จงบังเกิด มแี กผ บู รจิ าคทรพั ย และผมู สี ว นรว มในการจดั พมิ พห นงั สอื “สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ฉบบั ขยายความ” ฉบบั พมิ พ ครง้ั ที่ ๔ และผทู ก่ี ำลงั เดนิ ทางไปสคู วามพน ทกุ ขท กุ ทา น
คำนำ แมหนังสือเลมนี้ จะพิมพเผยแผแจกจายไปกวา สองหมื่นเลมแลว ก็ยังมีผูสนใจไถถามตองการนำไป แจกจายแกญาติมิตรอยูอยางไมขาดสาย อาจเรียกไดวา เปน หนงั สอื ตดิ อนั ดบั แจกดี ของฟรรี บั ไวก อ น จะอา นหรอื ไม คอ ยวา กนั อกี ที ผูเขียนก็ยังคงต้ังใจอยูเชนเดิมวาจะไมยอมพิมพ หนงั สอื ขาย เพราะธรรมะของพระพทุ ธเจา มคี ณุ คา มหาศาล เกนิ กวา สงิ่ ทส่ี มมตุ กิ นั วา เงนิ มากนกั หากมผี อู า นสกั คนหนงึ่ หันมาฝกจิตตามแนวทางที่ไดเขียนไวนี้ จนพาตนเอง ใหพ น ทกุ ขไ ดก เ็ กนิ คมุ แลว อานแลวลองฝกดูบาง ขอเพียงอดทนหนอย พยายามอกี นดิ ชวี ติ ยอ มดขี นึ้ กวา เดมิ แนน อน ดว ยการณุ ยธรรม พระมหาวเิ ชยี ร ชนิ วโํ ส พฤษภาคม ๒๕๕๒
ขอนอมถวายแด พอแมครูอาจารยของศิษย
สารบญั บนเสนทางสังสารวัฏ ๒ ปรบั ใจกอ นการเจรญิ สติ ๑๐ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ ๑๘ เทคนคิ การเจรญิ สตแิ บบงา ย ๆ ๔๔ ธรรมชาติสอนธรรม ๖๔ ไดเ มอื่ ไมเ อา ๗๔ ฝากไวใ หค ดิ ๘๒ เสนทางสรางบุญ ๙๐
๑ บนเสน ทางสงั สารวฏั วนเวียนเวียนวน ชีวิตสับสน บนความมัวเมา รตู วั รตู น หมดความสับสน พนความมัวเมา
บนเสนทาง สงั สารวฏั
๓ บนเสนทางสังสารวัฏ ตามรอยบาทพระบรมครู หากแสนลา แสนหนักพักเสียบาง คอ ยปลอ ยวางตงั้ จติ หยดุ คดิ ถงึ ฟงบทเพลงชีวิตอันติดตรึง เกลยี ด..โกรธขงึ้ ..หลงผดิ ..ตดิ สงิ่ ใด เพยี งรปู นาม..ตามปรมตั ถสจั จะ เพยี งอายตนะ..สืบตออนุสัย เพียงขันธหา..ปรากฏตามเหตุปจจัย เกิด..ตั้งอยู..ดับไป..ใชบังเอิญ หลงตดิ เหยอ่ื โลกไปทำไมกนั อยาก..ยดึ มนั่ ..ลาภ-ยศ-สขุ -สรรเสรญิ ด่ังหาแกน ตนกลว ย...ปว ยการเกิน มัวหลงเพลินความวางเปลา..เขลาสิ้นดี เชญิ เถดิ เพอื่ นเยอื นแดนธรรมอนั ลำ้ คา สมู รรคาแหง ธรรมนำวถิ ี ตามรอยบาทพระบรมครผู ปู ราณี เพื่อชีวีอิสระละบวงมาร ชนิ วงส
คนสว นมากคดิ วา มกี ารศกึ ษาสงู มที รพั ย สมบัติมาก มีครอบครัวท่ีสมบูรณ มีสุขภาพ แข็งแรง และมีเกียรติยศชื่อเสียง จึงจะพบกับ ความสขุ หารไู มว า กำลงั จมอยกู บั อดตี หรอื ตดิ อยู กบั อนาคต เพราะชวี ติ ทส่ี มบรู ณแ บบอยา งนนั้ ไม เคยมี หรอื ถา จะพดู กนั อกี แงห นงึ่ แลว เปา หมาย ชวี ติ ทางโลกทเี่ ราทกุ คนใฝฝ น ถงึ นน้ั ไมเ คยมใี คร เดนิ ถงึ เพราะความตอ งการของมนษุ ยน น้ั ไมเ คย ยตุ ิ เปลย่ี นแปลงอยตู ลอดเวลา ถมเทา ไรไมร จู กั เตม็
๕ บนเสนทางสังสารวัฏ ตามความเปนจริงของชีวิตน้ัน สุขและ ทกุ ขท ท่ี กุ คนกำลงั ประสบอยู เปน เพยี งสง่ิ ชวั่ คราว บนเสน ทางสายสงั สารวฏั นี้ มสี ามชี วั่ คราว มภี รรยา ชว่ั คราว มบี ตุ รธดิ าชว่ั คราว มที รพั ยส มบตั ชิ ว่ั คราว แลว กพ็ ลดั พรากจากกนั ไป เมอื่ เกดิ ในภพชาตใิ หม ก็พากันแสวงหาสุขชั่วคราวและทุกขช่ัวคราวอยู ร่ำไป และยึดเอาส่ิงเหลานั้นวาเปนของตนเอง เกดิ แลว ตายตายแลว เกดิ จำเจซ้ำซากอยา งนา อดึ อดั ระอา ไมร วู า จะหาทางออกจากกบั ดกั คอื การเวยี น วา ยตายเกดิ นไ้ี ดอ ยา งไร ส่ิงที่เปนของเราจริงๆ คือปจจุบันขณะ ซ่ึงไมใชวินาทีหนึ่งดวยซำ้ ไป แตปจจุบันขณะ นนั้ เกดิ และดบั ไปอยา งรวดเรว็ มาก จนทำไดเ พยี ง อยางเดียวเทาน้ันคือ“รู” เพราะกอนหนานี้หน่ึง ขณะจติ กด็ บั ไปแลว หลงั จากนอี้ กี หนง่ึ ขณะจติ กย็ งั ไมเกิดข้ึน
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๖ ความเปนจริงท่ีทารุณตอความรูสึกของ คนทไี่ มเ คยฝก จติ กค็ อื “ตวั เรา-ของเรา” ทแี่ ทจ รงิ น้ันไมมี มีแตเพียงความยึดมั่นถือมั่นในกายใจ หรือรูปนามน้ีวาเปนตัวเรา-ของเราเทานั้น วัตถุที่ ทุกคนแสวงหาในทางโลกทั้งหมด จึงเปนเพียง ความสญู เปลา เทา นน้ั เอง เคยสังเกตใจตนเองบางไหมวา เบอื่ ไดท งั้ วนั แตไมร ูว า เบอื่ อะไร เครียดไดท้ังวัน วุนวายไดทั้งวัน หมดทั้ง พลงั ทางกายและใจแตไ มรตู วั วา เครยี ดอะไร ฟุงซานไดทัง้ วนั ก็ไมร ตู ัววา ฟุง จมอยูกับอดีตเชน ซึม เศรา เหงา แฮงค ไดท ้งั วันแตไมร ูตัว คดิ วนเวยี นซ้ำซากกบั เรอ่ื งเดมิ ๆ และทกุ ข กบั มนั ไดท งั้ วนั โดยไมร ตู วั
๗ บนเสนทางสังสารวัฏ อานหนังสือไปคร่ึงหนาแลว แตไมรูวา อานอะไร หรอื ทานอาหารมอื้ นน้ั จนอมิ่ แปรแ ลว แต ไมร ูวาทานอะไรเขาไปบางฯลฯ ชีวิตของคนสวนมาก จึงตกอยูภายใต อำนาจของความไมรูอยูตลอดเวลา แตหลงเขาใจ ผดิ คดิ วา ตนเองมสี ตริ ตู วั อยู ฉะน้ันชีวิตท่ีแทจริง คือชีวิตท่ีรูอยูกับ ปจจุบันขณะ และคนท่ีมีชีวิตอยูกับปจจุบันขณะ ไดน้ัน คือคนท่ีมีสติรูเทาทันปจจุบันอารมณตาม ความเปน จรงิ อยเู นอื งๆ นน่ั เอง อาจกลา วไดว า ที่ มนุษยจมอยูกับความทุกข ก็เพราะความไมรูใน ปจจุบันขณะนั่นเอง ทำอยา งไรหนอ ทกุ คนจงึ จะเลกิ เดนิ วนอยู ในเขาวงกต ต่ืนข้ึนมาจากฝนกลางวันและมีชีวิต อยกู บั ปจ จบุ นั ขณะใหม ากขนึ้
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๘ พระพุทธเจาทรงสละชีวิตของพระองคท้ัง ชีวิตทดลอง, ศึกษา, ปฏิบัติและสัมผัสผลแหง ความสขุ ถาวร อนั เกดิ จากการรปู จ จบุ นั ขณะ แลว นำมาส่ังสอนแนะนำมนุษย ใหหลุดพนจากเขา วงกตแหงสังสารวัฏมานานกวา ๒๕๐๐ ปแลว และคำสอนเหลาน้ันก็ยังเปนสัจธรรมที่เราทุกคน สามารถพสิ จู นไ ดจ นถงึ วนั น้ี ส่ิงนั้นก็คือการมีสติสัมปชัญญะ“รู”กาย และใจน้ี อันเปนคัมภีรแหงความพนทุกข ซ่ึงแต ละคนแบกคัมภีรเลมนี้กันมาหลายภพหลายชาติ แลว แตไ มเ คยเปด อา นกนั เสยี ที
๙ ปรับใจกอนการเจริญสติ ปรบั เอย ...ปรบั ใจ เรยี นรสู งิ่ ใหม ตามความเปน จรงิ ละสงิ่ สมมติ หยดุ ดรู ยู งิ่ จงึ เหน็ สรรพสง่ิ คอื หนงึ่ เดยี ว...เอย
ปรบั ใจ กอ นการเจรญิ สติ
๑๑ ปรับใจกอนการเจริญสติ นำ้ คา ง หยดนำ้ คา ง ดพู รา งพราว ระยับวาว ระยบิ ไหว สดุ มลงั ..พงั มลาย วะวาบไหว วอดวายวับ รงุ ฤดี พอรอ นแรง ระเหดิ แหง ระเหยกลบั แลวกล่ันเปน เชน พยบั สลายกลับ เกาะก่ิงไกว ประหนงึ่ เปน เชน สงั สาร- วฏั ฏะวาร วนเวยี นวา ย มนษุ ยเ อย ผเู วไนยฯ อยา เยอ่ื ใย จนใจยบั ชินวงส
ผฝู ก เจรญิ สติ มกั มชี อื่ เรยี กตา งๆ กนั ไปเชน โยคี นกั ปฏบิ ตั ธิ รรม ธรรมจารณิ ี ญาตธิ รรมฯลฯ และมีชื่อเรียกวิธีการเจริญสตินั้นวา สติปฏฐาน, สมถกรรมฐาน, วิปสสนากรรมฐาน, จิตภาวนา, การเจรญิ ภาวนาฯลฯแลว แตจ ะเรยี กกนั ไป และมเี พ่อื นนักปฏบิ ตั หิ ลายคนตางยกยอ ง สำนกั ปฏบิ ตั ขิ องตนหรอื ยกยอ งอาจารยข องตนวา สอนถกู ตอ ง สว นสำนกั อนื่ หรอื อาจารยท า นอน่ื ๆ สอนผิด
๑๓ ปรับใจกอนการเจริญสติ บางก็วาสำนักโนนสอนแคสมถะ สำนัก น้ีสอนวิปสสนา คนโนนติดอยูแคสมถะ คนนี้จึง จะชอ่ื วา ปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนาฯลฯ แทจริงแลวในพระไตรปฎกเองไมไดแยก สมถะและวปิ ส สนาออกจากกนั ทา นเรยี กรวมกนั วา วิปสสนาธุระ สมถะกรรมฐานและวิปสสนา กรรมฐานจงึ เปน ของคกู นั ไมส มควรเปน อยา งยง่ิ ทจ่ี ะแยกออกจากกนั และขดั แยง กนั ในเรอ่ื งนี้ เพราะบางคนตองเร่ิมจากการเจริญสมถะ (ใจสงบ) ปูพื้นฐานใจใหมั่นคงเสียกอน แลวจึง ยกขนึ้ สวู ปิ ส สนา (กเิ ลสสยบ) ทำใหก ารปฏบิ ตั ไิ ม แหงแลงเกินไปนัก แตบางคนเริ่มตนจากวิปสสนากอน มี ปญญารูความเกิดดับของรูปนาม พอใจเหน่ือยลา แลวก็จะเขาไปพักในสมถะเปนสุขวิหารธรรม (ธรรมเปน เครอื่ งอยขู องใจอนั เปน สขุ ) พอมกี ำลงั
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๑๔ แลว ใจจงึ จะออกมารบั รรู ปู นามตอ ไป เอาเปน วา สงิ่ ทเ่ี ราปฏบิ ตั อิ ยนู ้ี จะเปน สมถะ หรือวิปสสนาก็ชางเถิด ตองถามตนเองวา เริ่มลง มอื ปฏบิ ตั แิ ลว หรอื ยงั มวั เมาหมกมนุ ในโลกยี วสิ ยั อยางเต็มที่ แลวยังเยาะหยันผูปฏิบัติวางมงายอยู เทาน้ัน ไมวาจะเปนสมถะหรือวิปสสนาก็ตาม ก็ลวนตองมีสติสัมปชัญญะคือมี “ความรูสึกตัว” อยดู ว ยเสมอ หากใครสงบนง่ิ ดงิ่ ลกึ แลว ไมร อู ะไร เลยนนั้ เขาเรยี กวา สมาธหิ วั ตอ และการฝกเจริญสตินั้น ตางจากการทำ การงานทางโลก ทท่ี กุ คนพงึ หวงั ผลประโยชนอ นั สมควรแกตนได แตการเจริญสตินั้นหากใคร คดิ วา จะทำ... เพื่อใหใจสงบ เพื่อใหคลายเครียด
๑๕ ปรับใจกอนการเจริญสติ เพอื่ จะไดเ รยี นเกง เพอื่ จะไดใ บหนา ผอ งใส สวยมากกวา เดมิ เพ่ือจะไดหายจากโรคภัยไขเจ็บตางๆ ท่ี กำลังเปนอยู เพ่ือลดความอวน ไมตองเปลืองสตางค ไปเขาคอรสลดความอวนตามท่ีตางๆ เพ่ือจะไดเปนผูวิเศษ มีหูทิพย ตาทิพย หรอื รใู จ รคู วามคดิ ผอู น่ื หรือแมแตเพ่ือจะละกิเลส ถอดถอน อาสวะ เพอ่ื ประจกั ษแ จง พระนพิ พาน แคคิดก็ผิดแลว! เพราะหากตั้งใจ,พยายาม หรืออยากได อยากดเี กนิ ไป กจ็ ะทำไปดว ยอำนาจของความโลภ แมจ ะเปน ความโลภในทางทด่ี อี ยา งนก้ี ไ็ มค วร ในการฝก เจรญิ สตนิ น้ั ตอ ง ไมเ อา ไมห วงั ไมเ ปน ใดๆ ทง้ั นนั้ ดจุ ดงั พทุ ธพจนท วี่ า
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๑๖ “สัพเพ ธัมมานาลัง อะภินิเวสายะ. ธรรมทง้ั หลายทง้ั ปวง ไมค วรยดึ มนั่ ถอื มนั่ ” เม่ือปรับใจไดถูกตองเชนนี้แลว ใจจะ คอ ยๆ ปลอ ยวางความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในรปู นามนว้ี า เปน เราไปเรอ่ื ยๆ เอง เพราะแทจ รงิ แลว ไมม เี ราท่ี จะละหรอื วางอะไรใดๆ ทง้ั สน้ิ
๑๗ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ ไมเ ผลอ ไมเ พง ไมเ พยี ร ไมพ กั ไมห นี ไมส ู ไมอ ยู ไมถ อย ไมค อย ไมต าม ไมท ำอะไร ... แ ค รู ...
เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ
๑๙ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ ใบไม ลมพดั ระบดั ใบ ใบไหวๆ ไกวโบกโบย พราวแสงตะวนั โรย จงึ หลน โปรยอยเู รยี งราย วนั วานยงั สดใส ถงึ วนั ใหมไ ยหลน หาย ลวงลับและกลับกลาย เปน เกลอื่ นกลบซบธลุ ี รว งหลน คอื รเิ รมิ่ ชว ยเพมิ่ เตมิ โลกสดสี หลอ เลย้ี งสรรพชวี ี เออื้ โลกนใี้ หง ดงาม ชินวงส
หนงั สอื เลม นี้ ตอ งการสอื่ กบั ผไู มม คี วามรู ทางธรรมะมากนกั จงึ ไมไ ดย กเอาขอ มลู จากคมั ภรี เลมใดมาอางอิง สิ่งท่ีนำมาเขียนตอไปน้ี เกิดจาก ประสบการณตรง เปนเคล็ด(ไม)ลับ งายตอการ ปฏบิ ตั ไิ ดจ รงิ คอื ๑. รปู จ จบุ นั อารมณต ามความเปน จรงิ ๒. ไมต ดั สนิ อารมณว า ดหี รอื ไมด ี ๓. ไมจ ำเปน วา จติ ตอ งสงบ ๔. ไมค ดิ ตอ ไมเ ลน กบั ความคดิ ๕. อารมณไ หนชดั รอู ารมณน น้ั ๖. “มนั ไมแ น” คาถาแกท กุ ข
๒๑ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ ๑.รูปจจุบันอารมณตามความเปนจริง ปจ จบุ นั อารมณ คอื ... “รูปหรือสีตาง ๆ” ท่ีสวยหรือนาเกลียด ซง่ึ กระทบกบั ตาในขณะนนั้ , “เสยี ง” อนั ไพเราะหรอื บาดหู ทด่ี งั กระทบ กับหูในขณะนั้น, “กลิ่น” หอม,เหม็นที่โชยมากระทบกับ จมูกในขณะนั้น, “รส” อรอ ยหรอื จดื ชดื ทก่ี ระทบกบั ลนิ้ ใน ขณะน้ัน,
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๒๒ “ความเยน็ ความรอ น ความนม่ิ นวล ความ หยาบกระดา งทเี่ รยี กวา สมั ผสั ” ซง่ึ กระทบกบั กาย ในขณะนั้น, และ “ความนึก, ความคิด, ความฟุงซาน, ความปรุงแตง ท่ีเรียกวาธรรมารมณ” ที่เกิดขึ้น กระทบกบั ใจในขณะนน้ั อายตนะภายในคอื ตา หู จมกู ลน้ิ กายและ ใจทั้ง ๖ ประการอันรับรูปจจุบันอารมณ คือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและธรรมารมณนี่แหละ คอื วปิ ส สนาจารยต วั จรงิ ระวงั อยา สง ใจออกนอก และอยา แชน ง่ิ อยภู ายใน เพราะกเิ ลสเกดิ ทใ่ี จนเี่ อง สงใจออกนอกก็คือการปลอยใหใจคิดฟุง ปรุงแตงไปเรื่อยเปอย หรือเพลินกับส่ิงที่เห็น, ไดย นิ ฯลฯโดย“ไมร ”ู ความคดิ ,การเหน็ , การไดย นิ ฯลฯน้ัน ใจแชน ง่ิ อยภู ายใน กค็ อื ใจทขี่ ม , เพง หรอื
๒๓ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ เพลดิ เพลนิ ตดิ อยกู บั ความสงบ, กบั นมิ ติ หรอื กงั วล อยกู บั ทกุ ขเวทนาทเี่ กดิ ขน้ึ โดยไมร บั รอู ารมณอ น่ื ๆ ที่เขามากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในปจ จบุ นั ขณะนนั้ สง่ิ ทตี่ อ งระวงั อยา งยง่ิ กค็ อื ตอ งรอู ยา งเปน ธรรมชาติหรือรูใหเบาๆ สบายๆ อยาบังคับ “รู”, ตงั้ ใจ, หรอื พยายามมากเกนิ ไป จนกลายเปน “เพง ” อารมณโดยไมตั้งใจ หรือแมแตการบังคับจิตให วาง ใหหยุดคิด หรือใหหยุดฟุงซานก็ลวนแตผิด ทง้ั สน้ิ ขอเพยี งรอู ารมณต ามความเปน จรงิ ทกี่ ำลงั เกดิ ขนึ้ อยเู ทา นน้ั ระวงั ..อวชิ ชากค็ อื รู แตร ตู ามทเ่ี ราอยากให มนั เปน กค็ อื หลงวา รู แต “วชิ ชา” ของพระพทุ ธเจา น้ัน ตองรูตามความเปนจริงเทาน้ัน ก็คือรูวาหลง นั่นเอง จงสังเกตตนเองเถิดวา“รูเนืองๆ อยาง
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๒๔ แทจ รงิ ” หรอื ไม เชน ... รวู า เหน็ โดยไมส นใจวา เหน็ อะไร รวู า ไดย นิ โดยไมม น่ั หมายวา ไดย นิ เสยี ง อะไร รวู า ฟงุ โดยไมต อ งใสใ จวา ฟงุ เรอ่ื งอะไร รวู า คดิ โดยไมต อ งตามรวู า คดิ เรอ่ื งอะไร รูวาหงุดหงิด โดยไมตองคนหาสาเหตุวา หงุดหงิดเรื่องอะไร รูวาใจมีความสุข โดยไมตองสนใจวาสุข เรื่องอะไรฯลฯ รวู า รแู ลว กว็ างลง ไมแ บกยดึ รนู นั้ ไว หรือแมแต ไมรูอะไรเลย ก็รูวาไมรู เทา นนั้ อาการอยางน้ีเรียกวา สักวาเห็น สักวา ไดยิน สักวาคิด สักแตวารู ซึ่งเปนการเริ่มตน การ“ร”ู อยา งถกู ตอ งแลว
๒๕ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ ๒. ไมต ดั สนิ อารมณว า ดหี รอื ไมด ี โดยปกติของมนุษยทั่วไป มักชอบตัดสิน ทกุ อยา งทเ่ี หน็ ทไี่ ดย นิ ทร่ี ู วา ดหี รอื ไมด อี ยเู สมอ และทุกคร้ังที่ตัดสิน ก็มักตัดสินไปตาม ความเชอื่ ความเหน็ ของตน ตามทตี่ น ไดย นิ ไดฟ ง ไดเ รยี นรศู กึ ษามา ซงึ่ ไมจ ำเปน วา ตอ งถกู เสมอไป เพราะในเร่ืองเดียวกันหากไปถามคนอ่ืน เขาอาจ คดิ หรอื ตดั สนิ ไมเ หมอื นเรากไ็ ด
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๒๖ กะลาของอปุ าทานทค่ี รอบงำจติ ใจเราคอื ก. การตดิ อยใู นกามคณุ (กามปุ าทาน) เชน ตอ งปฏบิ ตั ทิ ส่ี ำนกั โนน จงึ ดี ตอ งเดนิ จงกรมอยา งนี้ จงึ ถกู , ตอ งบรกิ รรมอยา งนถ้ี งึ จะใชไ ด ข. ความเหน็ ความเชอื่ (ทฏิ ปุ าทาน) ตาม ทไี่ ดเ รยี นรมู า หรอื การคดิ ตคี วามของตนเองบา ง ค. ความยึดถือในขอปฏิบัติ ระเบียบ แบบแผน ประเพณี วฒั นธรรม (สลี พั พตปุ าทาน) ตามทต่ี นคุนชินบาง ง. และโดยเฉพาะอปุ าทานคอื ความ ยดึ มนั่ วา มี “ตวั เรา-ของเรา” (อตั ตวาทปุ าทาน) นแ่ี หละ เปนกะลาที่นากลัวท่ีสุด เพราะครอบงำปญญา ทค่ี วรจะเกดิ ไมใ หเ กดิ ได ภาษานักปฏิบัติธรรมทานเรียกวา“สัญญา เกา” ท่ีครอบงำสรรพสัตวท้ังหลายใหหลงติดอยู คอยตัดสินตนเองและคนรอบขางอยูตลอดเวลา
๒๗ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ ยิ่งเปนการเจริญสติดวยแลว ย่ิงตองไม ตดั สนิ ไมเ ปรยี บเทยี บสภาวะทเี่ กดิ ขน้ึ กบั กายและ ใจในขณะน้ัน มิเชนน้ันจะเปนการเปดทางให อุปาทานเขามาบงการใจทันที เพราะการเจริญสตินี้ เพ่ือใหละสิ่งท่ีเปน ทวภิ าวะเหลา นี้ เชน .. บุญและบาป ถาตองการบุญก็ยังมีบาป เปน ของคกู นั ดแี ละชวั่ ถา ตอ งการดี จติ กพ็ รอ มจะใฝช ว่ั ถกู และผดิ เพราะถา ตอ งการถกู กย็ งั มผี ดิ เปนเคร่ืองวัด ชอบและชงั เพราะชอบกบั ชงั คกู นั เสมอ สงบและฟุงซาน เพราะหากตองการ ความสงบ กย็ งั มคี วามฟงุ ซา นเปน เสน ขนาน ยึดม่ันและปลอยวาง หากยังตองการ ปลอ ยวาง กย็ งั ยดึ มนั่ ในความไมย ดึ มน่ั นน่ั แหละ
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๒๘ และที่สำคัญก็คือเหตุและผล เพราะถา ยงั หาเหตผุ ลอยู อปุ าทานในใจกจ็ ะหาคำตอบ ใหเราไดเสมอ อา นมาถงึ ตรงนแ้ี ลว ผไู มเ คยเจรญิ สตอิ าจ แยงวาการปฏิบัติอยางไรเหตุผล ก็เทากับงมงาย เทา นน้ั เอง แตในความเปนจริงแลว มีเหตุผลทาง ธรรมอธิบายไดวา การฝกเจริญสติ ก็เพ่ือหั่นภพ ลบชาตใิ หส น้ั ลง ถายังขืนติดบุญ ติดดี ติดสุข ติดสงบ ติด เหตุผล ใจก็ยังสรางภพชาติแหงความเปนมนุษย เทวดาและพรหมอยู ถาติดบาป ใจก็จะสรางภพ ชาตแิ หง สตั วน รก เปรต อสรุ กายและเดรจั ฉานอยู สวนการเจริญสติน้ัน ก็เพื่อใหใจอยูเหนือ โลก เหนืออารมณ พนจากการเวียนวายตายเกิด ดงั ทไี่ ดก ลา วมาแลว ในบทแรก
๒๙ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ ฉะน้ันไมวาจะรูอารมณใดก็ตาม จงหยุด การตัดสินวา อารมณอยางนั้นดี อารมณอยางน้ี ไมดี หรืออารมณไหนกระทบแลวเกิดความสุข จึงดี แตถาอารมณไหนมากระทบแลว เกิดความ ทุกขไมดี เพราะแทที่จริงแลว ไมวาสุขหรือทุกข ชอบหรอื ชงั กล็ ว นเกดิ มาจากเหตอุ นั เดยี วกนั คอื ตณั หาอนั เปน บอ เกดิ แหง ทกุ ขท งั้ สนิ้ และควรปรบั ใจตนเองเสมอวา ไมวาจะมีสภาวะใดเกิดข้ึน สุข หรือทุกขก็ตาม ก็มีคาเทากัน คือมีคาแคใหผู ปฏบิ ตั ไิ ด “ร”ู เทา นนั้
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๓๐ ๓.ไมจ ำเปน วา จติ จะตอ งสงบ วิธีการอยางนี้เหมาะกับผูที่ไมมีเวลาเขา หองกรรมฐานหรือไปปฏิบัติกับสำนักพอแมครู อาจารยท ไ่ี หน แตต อ งการพบสนั ตสิ ขุ และสามารถ นำไปใชก บั ชวี ติ ประจำวนั ได เพราะการปฏิบัติอยางนี้เนนวา ใชเวลา ขณะที่เดินทำงานนั่นแหละ เปนเวลาเดินจงกรม ใชเวลาขณะที่น่ังเรียนหนังสือหรือนั่งทำงาน นน่ั แหละ เปน เวลานง่ั สมาธิ คอื เนน “ร”ู อยตู ลอด ทั้งวัน ยกเวนเวลาหลับเทานั้น ใจจึงอาจไมสงบ เพราะเปน เพยี งขณกิ สมาธคิ อื จติ ตง้ั มนั่ ขณะหนงึ่ ๆ เทาน้ัน
๓๑ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ บางทานปฏิบัติอยางนี้แลว กาวหนามาก กวาผูท่ีเก็บตัวเอาเปนเอาตายอยูในหองกรรมฐาน เสียอีก เพราะไมมีความเพงเล็งอยากไดใครดี จนเกินไปนัก จึงเปนการรูอยางเปนธรรมชาติ ที่สุด เมื่อใจไมสงบก็อยาวิตกกังวลเลย ถาสติ ทำงานเตม็ รอบแลว ใจจะสงบไปเอง แตถ า หากมี เวลาอยูบางก็ควรฝกน่ังสมาธิกอนนอน หรือ ต่ืนนอนตอนเชาใหได อยางนอยวันละครึ่ง ชว่ั โมง โดยเรมิ่ จากเวลา ๑๐ นาที แลว คอ ยๆ เพม่ิ เวลาขนึ้ ทกุ วนั กจ็ ะเหน็ ผลเรว็ ขน้ึ ทต่ี อ งใหน งั่ สมาธิ กเ็ พราะวา บางคนสมาธิ สั้น ความฟุงซานยาว หากจิตสงบในขณะท่ีน่ัง สมาธิบาง ก็จะชวยใหการระลึกรูในขณะทำงาน หรอื ในขณะเรยี นหนงั สอื มปี ระสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ขน้ึ
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๓๒ ๔. ไมค ดิ ตอ ไมเ ลน กบั ความคดิ หลายคนบนวาไมใหคิดตอน้ันทำไดยาก เหลือเกิน เพราะใจเคยชินกับการคิด ความฟุง ความปรุงแตงทั้งวันอยูแลว บางคนพอเริ่มฝก ก็ถอดใจ เพราะรูสึกวาตนเองฟุงซานทั้งวัน เมื่อ กอ นไมไ ดป ฏบิ ตั ิ ไมเ หน็ ฟงุ ซา นอยา งน้ี ทจ่ี รงิ แลว ใจทกุ คนฟงุ คดิ ปรงุ แตง อยแู ลว โดยธรรมชาติ เมื่อเร่ิมฝก “รู” จึงเริ่ม เห็นตาม ความเปน จรงิ วา ใจมนั ฟงุ เปน ปกตอิ ยา งนเ้ี อง
๓๓ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ ฉะน้ันเมื่อมีความฟุง ความคิด ความปรุง แตง เกดิ ขนึ้ กแ็ ค “รวู า คดิ , รวู า ฟงุ ” แลว ควรกลบั มา“รูลมหายใจ”ตอไปทันที การทำอยา งนไ้ี มใ ชห นอี ารมณ เพราะเมอื่ รู ความคิดน้ันแลว ก็ไมมีความจำเปนท่ีจะตองไป จมแชอยูกับความคิดนั้น อันเปนเหตุใหเผลอคิด ตอ ไดโ ดยงา ย สงั เกตดใู หด กี จ็ ะเหน็ วา ในขณะทใี่ จ“แอบ คดิ ” มักคิดดวยความโลภ ความโกรธ ความหลง และอปุ าทาน(ความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ) แตถ า หากตง้ั ใจ คิด เชน วางแผนการทำงานหรือแผนการเรียน มักคิดดวยสัญญา (ความจำไดหมายรู) จากท่ีเคย อาน เคยเรียนรู เคยไดยินไดฟงมา (สุตมยปญญา และจนิ ตามยปญ ญา) แตถาหากไมคิดตอเพียงแค“รูตามความ เปน จรงิ ”ทเ่ี กดิ ขนึ้ แตล ะขณะนนั่ คอื ปญ ญาบรสิ ทุ ธ์ิ
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๓๔ (ภาวนามยปญญา) คือรูอยางที่ไมตองมี“เรารู” เขาไปเกาะเก่ียวดวย พูดงายๆ ก็คือ ถารูไมคิด ถาคิดไมรู อาจมคี ำถามวา ไมค ดิ แลว จะเกดิ ปญ ญาได อยา งไร ขอตอบวา ในโลกน้ีมีนักคิด นักเขียน นักวทิ ยาศาสตร นกั ปรัชญามากมาย แตยังไมเ คย ไดยินวามีทานใดกลาประกาศตนวา รูแจงโลก ตรัสรูถูกตองดวยตนเอง หรือเปนพระอรหันต แมแ ตร ายเดยี ว เหมอื นดง่ั เชน พระพทุ ธเจา เลย และขอยอนถามกลับวา คิดกันมาตั้งแต เกิดแลวไมใชหรือ บัดนี้ความทุกขลดลงเพราะ ความคิดเหลานั้นบางหรอื ไม บางคนอาจสงสยั วา ถา ไมใ หค ดิ กก็ ลวั จะ เปนอัลไซเมอร แลวจะทำงานและเรียนหนังสือ รเู รอื่ งหรอื
๓๕ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ กไ็ มไ ดห า มคดิ ถงึ ปานนน้ั เมอื่ คดิ วางแผน งาน คิดการบานฯลฯ เสร็จเรียบรอยแลว ก็ควร กลบั มา“รลู มหายใจ”ตอไปทันที แลวจะเห็นเองวา ความคิดจะเปนระบบ มากขน้ึ ไมส บั สนปนเปกนั เหมอื นกอ น ทำใหก าร ทำงานหรือการเรียนมีผลดีข้ึน เพราะใจมีสติ สั ม ป ชั ญ ญ ะ เ ข า ไ ป ค ว บ คุ ม ดู แ ล ม า ก ย่ิ ง ขึ้ น ไมปลอยไปตามกระแสของตัณหา มานะ ทิฏฐิ เหมอื นเชน เคย
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๓๖ ๕. อารมณไ หนชดั รอู ารมณน นั้ นักปฏิบัติหลายทานอาจสงสัยวา ตนเคย ปฏบิ ตั แิ บบพองยบุ ,พทุ โธ, เคลอ่ื นมอื สรา งจงั หวะ, สมั มาอรหงั ,ดจู ติ ,ดเู วทนา,รปู นาม,กายคตาสตฯิ ลฯ หากนำวธิ นี ไ้ี ปปฏบิ ตั จิ ะไมส บั สนหรอื รับรองไดวาหากมีพ้ืนฐานการฝกจิต อยางอ่ืนมาแลว ย่ิงทำใหการฝกเจริญสติแบบน้ี งายย่ิงข้ึนและไมไดหมายความวาการเจริญสติ แบบน้ีดีกวาแบบอ่ืน เพียงแตงายตอการนำไปใช ในชวี ติ ประจำวนั เทา นนั้
๓๗ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ ยกตัวอยางเชน ในขณะท่ีรูอาการของลม หายใจอยนู น้ั บางครง้ั ลมหายใจละเอยี ดจนกำหนด ไดยากก็ยาย “รู” มาไวท่ีอาการของทองพองยุบ แทน (หากคุนชินกับการปฏิบัติแบบพองยุบอยู แลว) หรอื กำหนดทอ งพองยบุ อยู แตเ มอ่ื นานเขา รูสึกอึดอัด ระลึกรูไดยาก ก็ลองยาย“รู”ไปท่ี ลมหายใจแทน หรือมีทุกขเวทนาอันเกิดจากโรคประจำ ตัว เชนปวดตามขอ ปวดทอง ปวดหัว ก็รูอยูที่ อาการปวดนนั้ มใิ ชร เู พอื่ ใหห ายปวด แตร เู พอื่ ให ใจประจักษความจริงวา ความปวดนั้นเปนกลุม พลังงานหน่ึงที่แทรกอยูในกายนี้ และเกิดดับ เปลยี่ นแปลงไปตามเหตปุ จ จยั เทา นน้ั เอง หากขณะน้ันมีเสียงดังข้ึนมาหรือมีภาพท่ี นาสนใจเกิดขึ้น ใจจะเคล่ือนไปรับรูอารมณนั้น
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๓๘ เองโดยอตั โนมตั ิ และเมอื่ “ร”ู อารมณน น้ั แลว กค็ วร ยา ยกลบั มา“ร”ู ลมหายใจตอ ไปทนั ที หรือบางครั้งโกรธผูรวมงาน ก็ยาย “รู” ไปอยูท่ีอาการขุนมัวในใจน้ัน แลวจึงคอยยาย “รู”กลับมาอยูกับลมหายใจทันที อยางน้ีตลอด ทงั้ วนั
๓๙ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ ๖. “มนั ไมแ น” คาถาแกท กุ ข ไมวาจะมีอารมณชนิดใดเกิดข้ึนกระทบ กับกายและใจน้ี เม่ือกระทบแลวก็ลวนแต ดับไปทั้งสิ้น จึงตกอยูในกฎธรรมชาติที่เรียกวา “ไตรลกั ษณ” คอื ไมเ ทย่ี ง (อนจิ จงั ) ทนอยใู นสภาพ เดิมไมได (ทุกขัง) และไมมีอัตตาอันใดใหบังคับ บญั ชาได (อนตั ตา) ทง้ั นน้ั
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๔๐ ซึ่งกฎเกณฑนี้มีอยูแลวโดยธรรมชาติ พระพุทธเจาเปนผูคนพบ, บัญญัติศัพทและนำมา แสดงแกชาวโลกใหงายข้ึนเทานั้น (พุทธะจึง แปลวา ผรู ู มใิ ชผ สู รา ง) ฉะนั้นเมื่อสภาวะสุข ทุกข ชอบ ชังใดๆ เกิดขึ้น ก็ควรตระหนักรูอยูเสมอวา“มันไมแน” เพราะทกุ สง่ิ เกดิ ดบั อยทู กุ ขณะจติ โดยเฉพาะคำวาทุกขในการเจริญสติน้ี มคี วามหมายลกึ ซงึ้ กวา ทกุ ขท ค่ี นทว่ั ไปเขา ใจ ทุกขของคนทั่วไปก็คือ ทุกขจากการเจ็บ ปวยทางกาย ทุกขจากการไมไดด่ังใจ หรือทุกข จากสภาวะบบี คน้ั รอบตวั เปน ตน เหตฯุ ลฯ (ซงึ่ ทกุ ข อยา งนเี้ รยี กวา ทกุ ขเวทนา) แตทุกขในการเจริญสตินี้ คือ ส่ิงที่ทนอยู ในสภาพเดิมไมได เปลี่ยนแปลงเกิดดับอยูตลอด เวลา แมแตสภาวะกายใจท่ีมีความสุข ความสงบ
๔๑ เคลด็ (ไม) ลบั ของการเจรญิ สติ ความเบาสบายก็เปนทุกข เพราะทนอยูในสภาพ เดมิ ไมไ ด สติ สมาธิ ปญ ญา กเ็ ปน ทกุ ขค อื ทนอยู ในสภาพเดิมไมไ ดเ ชนกัน จงึ ไมค วรคดิ วาจะตอ ง สงบหรอื จะตอ งรอู ยตู ลอดเวลา การเจรญิ สติ จงึ เปน การฝก ใจใหค นุ ชนิ กบั ความจริงของชีวิต เขาใจความจริงของธรรมชาติ จนใจยอมรับไดวา ไมสามารถที่จะพึ่งพาอาศัย กายใจหรือรูปนามอันเกิดดับเชนน้ีไดแน ใจก็จะ ละความยึดม่ันถือมั่นวา รูปนามน้ีเปนของตน เสยี ได สภาวะสุขทุกขบางอยาง เกิดจากผลแหง กรรมเกาท่ีตนเคยกระทำมา ผูปฏิบัติควรวางใจ ใหเ ปน กลางกบั ทกุ สภาวะ อยา อยากใหเ ปน อยา งท่ี ตนปรารถนาโดยเดด็ ขาด และควรปลอ ยใหเ กดิ ไป อยา งมสี ตจิ นกวา สขุ ทกุ ขน น้ั จะดบั ไปเอง
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๔๒ มีขอสังเกตคือ การเจริญสติแบบนี้ เปน การปฏิบัติแบบให“เห็นทุกข” ไมใชปฏิบัติให “เปน ทกุ ข” หากมคี วามรสู กึ เครยี ด ขดั แยง เกรง็ เพง บังคับ แทรกแซงอารมณ อันเปนเหตุใหมึน หนัก อึดอัด แนนข้ึนมา ก็ใหรีบผอนคลายและ ปรบั ทา ทขี องการ “เพยี รร”ู ใหมท นั ที
๔๓ เทคนิคการเจริญสติแบบงายๆ เคยอยใู ตก ะลามดื มดิ จงึ คดิ วา ตนยง่ิ ใหญ เมอื่ พน จากกะลาครอบใจ จงึ รไู ดว า ตนกระจดิ รดิ
เทคนิค การเจริญสติแบบงายๆ
Search