Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่2

หน่วยที่2

Published by moddumindy_99, 2022-06-06 02:06:25

Description: หน่วยที่2

Search

Read the Text Version

หน่วยท่ี 2 การป้องกนั อนั ตราย

หวั ขอ้ เร่ือง (Topic) 2.2 การป้องกนั อนั ตรายส่วนบุคคล 2.1 การป้องกนั อนั ตรายจากการทางาน 2.4 การป้องกนั อนั ตรายจากแกส๊ หุงตม้ 2.3 การป้องกนั อนั ตรายจากระบบไฟฟ้า และการใชอ้ ุปกรณ์ไฟฟ้า 2.6 แนวทางในการตรวจเครื่องจกั ร ไฟฟ้า สารเคมีสภาพแวดลอ้ ม และการกระทาที่ไม่ปลอดภยั 2.5 การป้องกนั อนั ตรายจากสารเคม

2.1 การป้องกนั อนั ตรายจากการทางาน เกียรติศกั ด์ิบตั รสูงเนิน (2557: 161–162) กล่าวถึง หลกั การป้องกนั อนั ตราย และควบคุมอนั ตรายจาก สภาพแวดลอ้ มในการทางานไวว้ า่ การป้องกนั ควบคุมอนั ตรายจากการทางาน อาศยั หลกั การการป้องกนั ควบคุม ที่แหล่งกาเนิด การป้องกนั ควบคุมที่ทางผา่ น และการป้องกนั ควบคุมที่ตวั บุคคลโดยใชว้ ธิ ีการในการป้องกนั ควบคุม อนั ตรายจากการทางาน ไดแ้ ก่การควบคุมทางวศิ วกรรม การควบคุมการบริหารจดั การและการใช้ อุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายส่วนบุคคล โดยมีรายละเอียดดงั น้ี 1. การป้องกนั ควบคุมทแี่ หล่งกาเนิด (Source Controls) เป็นการลดหรือขจดั อนั ตรายออกไป จากการ ทางาน ณ แหล่งกาเนิดอนั ตราย โดยอาศยั การออกแบบดา้ นวศิ วกรรม เพ่อื ใหเ้ คร่ืองจกั รหรือกระบวนการ ผลิตมี ความปลอดภยั ต้งั แต่ตน้ เป็นวธิ ีการควบคุมอนั ตรายที่ถูกพิจารณาเป็นอนั ดบั แรกเน่ืองจากมีประสิทธิภาพ มากท่ีสุดในการควบคุมอนั ตรายดีที่สุด 2. การป้องกนั ควบคุมทท่ี างผ่าน (Path Controls) เป็นวธิ ีการควบคุมอนั ตรายจากทางผา่ นของอนั ตราย จาก แหล่งกาเนิดไปสู่พนกั งาน เป็นการลดความรุนแรงหรือความเป็นอนั ตรายก่อนถึงตวั พนกั งาน โดยที่อนั ตราย ณ แหล่งกาเนิดยงั คงเท่าเดิม โดยการเพ่มิ ระยะทางหรือหาสิ่งมาก้นั ระหวา่ งผปู้ ฏิบตั ิงานกบั แหล่งอนั ตราย หลกั การน้ีควร ถูกพิจารณาเป็นอนั ดบั ท่ีสอง

3.. การป้องกนั ควบคุมทตี่ ัวบุคคล (Receiver Controls) การควบคุมโดยวธิ ีการน้ีไม่สามารถลดหรือ กาจดั อนั ตรายไดแ้ ต่เป็นเพียงสิ่งท่ีก้นั ระหวา่ งตวั ผปู้ ฏิบตั ิงานและอนั ตรายเท่าน้นั โดยอาศยั อุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายส่วน บุคคล ถา้ อุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายเกิดความเสียหายกจ็ ะทาใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิงานสมั ผสั อนั ตรายน้นั ได้ โดยทนั ทีมาตรการน้ี ควรถูกพิจารณาเป็นมาตรการสุดทา้ ย เพราะเป็นวธิ ีการที่ยากที่สุด เน่ืองจากเป็นวธิ ีการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ ผปู้ ฏิบตั ิงานซ่ึงสามารถทาไดย้ าก ํ รวมท้งั ถา้ ส่ิงป้องกนั อนั ตรายน้ีไม่สามารถกนั อนั ตราย ไดแ้ ต่ผปู้ ฏิบตั ิงานยงั สวม อุปกรณ์กนั อนั ตรายน้ีอยู่ โดยที่ยงั คิดวา่ อุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายน้ียงั สามารถป้องกนั อนั ตรายไดอ้ ยจู่ ะทาใหเ้ กิดอนั ตราย ต่อผปู้ ฏิบตั ิงานอยา่ งมาก เฉลิมชยั ชยั กิตติภรณ์(2541 : 69–70) กล่าวถึง หลกั การทว่ั ไปในการควบคุมอนั ตรายจาก สิ่งแวดลอ้ มใน การทางานไวว้ า่ ควรที่จะดาเนินการควบคุมที่แหล่งหรือสิ่งแวดลอ้ มการทางาน เป็นอนั ดบั แรก ในกรณีท่ีแหล่งหรือ ส่ิงแวดลอ้ มไม่ไดผ้ ลจึงควบคุมที่ตวั บุคคล การควบคุมป้องกนั ทแ่ี หล่ง (Source) หรือสิ่งแวดล้อมในการทางาน 1. การจดั หาวตั ถุหรือเคมีท่ีไม่เป็นพิษ หรือมีพษิ นอ้ ยแทนวตั ถุหรือสารเคมีที่มีพษิ มากกวา่ เช่น การทา ความสะอาดใชน้ ้ายาขดั หอ้ งน้าแทนการใชก้ รดไฮโดรคลอริก (hydrochloric acid)

. 2. การเปลยี่ นแปลงของกระบวนการผลติ หรือวธิ ีปฏบิ ตั งิ านทป่ี ลอดภยั กว่า เพื่อใหค้ นงาน ทางานเส่ียง อนั ตรายนอ้ ยลง เช่น การผสมสารเคมีเป็นพิษโดยใชเ้ ครื่องจกั ร อตั โนมตั ิหรือในท่ีซ่ึงปิ ด มิดชิด เป็นตน้ 3. การแยกงานทอ่ี าจเป็ นอนั ตรายออกจากงานทไ่ี ม่เป็ นอนั ตราย เพอื่ ลดจานวนคนงานที่ทางานเส่ียงต่อ อนั ตราย เช่น หอ้ งซ่อมบารุงในโรงแรมซ่ึงมีเสียงดงั ควรแยกหอ้ งต่างหากหรือแยกออกจากบริเวณซ่ึงมีหอ้ งพกั ที่ 4. การเจาะหิน บดหนิ บดแร่ หรืออ่ืน ๆ ที่ทาใหเ้ กิดฝ่ นุ ละอองฝังไปในอากาศ ควรจะใชว้ ธิ ี พ่นน้า เพอื่ ใหฝ้ ่ นุ ละอองเหล่าน้นั ลดนอ้ ยลง หรือใชร้ ะบบครอบปิ ดเพ่ือกนั มิใหฝ้ ่ นุ ฟุ้งกระจายออกมา 5. บริเวณทมี่ ฝี ่ ุนละออง ไอระเหย เขม่าควนั ควรติดต้งั เคร่ืองดูดอากาศ หรือดูดฝ่ นุ เฉพาะท่ี ออกจาก กระบวนการผลิตน้นั เช่น ในครัวโรงแรม

7. การจดั เก็บรกั ษาความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ยภายในสถานท่ีทางานใหส้ ะอาด เช่น พนื้ บรเิ วณทางเดิน การวางของ 8. การควบคุมป้องกนั พเิ ศษสาหรับอนั ตรายเฉพาะอย่าง เชน่ ลดเวลาการปฏบิ ตั ิงาน ในท่ีเส่ียงอนั ตราย ใหน้ อ้ ยลง 9. การตรวจสอบเฝ้าระวงั สภาพส่ิงแวดล้อมทอ่ี าจเป็ นอนั ตรายต่อคนงาน เช่น เสียง แสง ความร้อน สารเคมีและอื่น ๆ เขม่าควนั ไอระเหย แก๊สพิษ เป็นระยะ ๆ เม่ือพบวา่ เป็นสิ่งที่อาจเป็นอนั ตราย ตอ้ งรีบ ดาเนินการแกไ้ ขปรับปรุงจนเป็นที่ปลอดภยั

2.2 อุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายส่วนบุคคล อุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายส่วนบุคคล(PersonalProtective Devices (PPD) หรือPersonalProtective Equipment (PPE) หมายถึง อุปกรณ์สาหรับผปู้ ฏิบตั ิงานในการสวมใส่ขณะทางานเพือ่ ป้องกนั อนั ตรายอนั อาจ เกิดข้ึน เนื่องจากสภาพและส่ิงแวดลอ้ มของการทางาน การใชอ้ ุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายส่วนบุคคล เป็นวธิ ีการ หน่ึง ในหลายวธิ ีในการป้องกนั อนั ตรายจากการทางาน ซ่ึงโดยทว่ั ไปจะมีการป้องกนั และควบคุมท่ีสภาพ และส่ิง แวดลอ้ มของการทางานก่อน โดยการแกไ้ ขปรับปรุงทางวศิ วกรรม การก้นั แยกไม่ใหป้ ะปนกบั ส่ิงอ่ืน หรือการใช้ เซฟการ์ดแบบต่าง ๆ หรือการท่ีจะตอ้ งปรับเปล่ียนเครื่องจกั ร เปล่ียนกรรมวธิ ีการทางาน ส่วนในกรณีที่ไม่ สามารถ ดาเนินการดงั กล่าวไดก้ จ็ ะนากลวธิ ีการใชอ้ ุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายส่วนบุคคลมาใชป้ ระกอบ เพ่ือช่วย ป้องกนั อวยั วะของร่างกายในส่วนที่ตอ้ งสัมผสั งานมิใหป้ ระสบอนั ตรายจากภาวะอนั ตรายท่ีอาจเกิดข้ึนขณะ ทางานอยไู่ ด้ ซ่ึงสามารถแบ่งออกไดด้ งั น้ี

2.3 การป้องกนั อนั ตรายจากระบบไฟฟ้า และการใชอ้ ุปกรณ์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่ใชใ้ นโรงงานอุตสากรรม สานกั งานหรือตามบา้ นเรือนมีอนั ตรายสูงมาก และรวดเร็วที่สุด เมื่อเขา้ ไปสมั ผสั ผทู้ ี่ใชง้ านหรือมีส่วนเกี่ยวขอ้ งจึงควรมคี วามรู้ความเขา้ ใจใน วธิ ีการทางานเก่ียวกบั ไฟฟ้า ท้งั ชนิด กระแสไฟฟ้าท่ีใชแ้ รงเคล่ือน 220 โวลทแ์ ละ 380 โวลท์

2.3.1 การนาไฟฟ้ามาใชป้ ระโยชนใ์ นรูปแบบต่าง ๆ ดงั น้ี 1. เป็นตน้ กาลงั พลงั งานกล เช่น การเดินเคร่ืองจกั ร 2. เป็นแหล่งใหแ้ สงสวา่ ง เช่น หลอดไฟ โคมไฟ 3. เป็นแหล่งหรือสื่อกลางของการสื่อสาร เช่น แบตเตอรี่โทรศพั ท์ 4. เป็นแหล่งใหพ้ ลงั งานกบั อุปกรณ์ 5. เป็นแหล่งใหอ้ านาจแม่เหลก็ กบั อุปกรณ์ 6. เป็นแหล่งใหเ้ กิดปฏิกิริยาเคมี

ดงั น้นั การป้องกนั ไฟไหมท้ ี่เกิดจากกระแสไฟฟ้า จึงตอ้ งขจดั องคป์ ระกอบอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงหรือ ท้งั สามอยา่ ง ดงั กล่าวออกโดยเฉพาะการขจดั แหล่งความร้อน เช่น ประกายไฟที่เกิดจากไฟฟ้าลดั วงจร หวั ต่อหรือ หวั ข้วั สายไฟ หลวมจึงเกิดการเดินของกระแสไฟฟ้าไม่สม่าเสมอการเกิดประกายไฟ (spark)จากการเดินไม่เรียบของกระแสไฟ การ ใชฟ้ ิ วส์ไม่ถูกตอ้ งขนาดไม่เหมาะสม หรือใชส้ วทิ ซ์ตดั ไฟอตั โนมตั ิไม่เหมาะสม กระแสไฟฟ้าไหล ผา่ นเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้า มากเกินไปมอเตอร์ทางานเกินกาลงั ต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ามากเกินไปในเตา้ เสียบเดียวกนั แรงดนั ไฟฟ้าท่ีข้วั มอเตอร์ไฟฟ้า ต่าเกินไป ซ่ึงโดยสรุปสาเหตุเหล่าน้ีลว้ นเป็นสาเหตุหลกั ของการเกิดเพลิงไหมท้ ่ีเกิดจาก ไฟฟ้าท้งั สิ้น รูปท่ี 2.4 สวติ ชต์ ดั ต่อวงจรไฟฟ้าอตั โนมตั ิ

1. ไฟฟ้าดูดเน่ืองจากร่างกายไปแตะตอ้ ง หรือต่อเขา้ กบั วงจรไฟฟ้า ทาใหม้ ีกระแสไฟไหลผา่ น เขา้ ในร่างกาย และถา้ ไฟฟ้าไหลผา่ นอวยั วะท่ีสาคญั กอ็ าจทาใหเ้ สียชีวติ ได้ หากกระแสไฟมีปริมาณมาก พอ ความสมั พนั ธข์ องกระแสไฟฟ้า และปฏิกิริยาการตอบสนองของร่างกายต่อกระแสไฟฟ้า รูปที่ 2.3 ไฟฟ้าดูด 2. เพลิงไหมอ้ คั คีภยั ที่เกิดจากไฟฟ้ามีสาเหตุ 2 ประการ คือ ประกายไฟและความร้อนที่สูง ผดิ ปกติซ่ึงตาม ทฤษฎีการเกิดเพลิงไหมน้ ้นั จะตอ้ งมีองคป์ ระกอบครบ 3 อยา่ ง คือ เช้ือเพลิง แหล่งความร้อน และออกซิเจน

ออกแบบและติดต้งั อุปกรณ์ไฟฟ้าใหเ้ กิดความปลอดภยั ต่อผใู้ ชไ้ ฟฟ้า และผปู้ ฏิบตั ิงาน เช่น ติดต้งั เคร่ืองตดั วงจร อตั โนมตั ิใชอ้ ุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทาดว้ ยวสั ดุไม่นาไฟฟ้า กาหนดมาตรฐานอุปกรณ์ท่ีไดม้ าตรฐาน เพื่อใหก้ ารจดั ซ้ืออุปกรณ์ ทางดา้ นไฟฟ้าของหน่วยงานไดม้ าตรฐาน อบรมใหค้ วามรู้กบั ผปู้ ฏิบตั ิงาน หรือผรู้ ับผดิ ชอบเก่ียวกบั ไฟฟ้าในเรื่องวธิ ีการ ทางานใหป้ ลอดภยั จากไฟฟ้า การช่วยเหลือผปู้ ่ วยท่ีไดร้ ับบาดเจบ็ จากกระแส ไฟฟ้า ขอ้ ควรระมดั ระวงั เกี่ยวกบั การใชอ้ ุปกรณ์ ไฟฟ้า เป็นตน้ ท้งั น้ีเพือ่ หลีกเลี่ยงอนั ตรายที่เกิดจากการทางาน หรือสมั ผสั กระแสไฟฟ้าท่ีเป็นสาเหตุใหเ้ กิดอาการชอ็ คเนื่อง จากกระแสไฟฟ้า เป็นตน้ รูปที่ 2.5 อบรมความปลอดภยั ในการทางาน

2.3.4 การใช้เคร่ืองมือและอุปกรณ์ไฟฟ้า 1.ตรวจสอบสายไฟฟ้าและตรวจจุดต่อสายก่อนใชง้ าน โดยเฉพาะอุปกรณ์ท่ีเคลื่อนท่ี ไดค้ วรตรวจ สอบบริเวณจุดขอ้ ต่อ ข้วั ที่ติดอุปกรณ์ถา้ ชารุดควรเปล่ียนใหอ้ ยใู่ นสภาพดี พร้อมใชง้ านเสมอ 2. ดวงไฟโคมไฟฟ้าตอ้ งมีท่ีครอบป้องกนั หลอดไฟ 3. การเปลี่ยนหรือซ่อมแซมอุปกรณ์ 4. ควรใหช้ ่างทางเครื่องมือหรือไฟฟ้าเป็นผดู้ าเนินการ 5. ไม่ควรดาเนินการเองโดยเดด็ ขาดหากไม่มีความรู้ 6. หา้ มจบั สายไฟขณะท่ีมีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ 7. หา้ มใชอ้ ุปกรณ์ขณะมือเปี ยก 8. ไม่ควรเดินเหยยี บสายไฟ 9. อยา่ แขวนสายไฟบนของมีคม เพราะของมีคมอาจบาดสายไฟชารุดและก่อใหเ้ กิด อนั ตรายต่อ ผใู้ ชง้ านได้ 10. การใชเ้ คร่ืองมือทางไฟฟ้า ควรต่อเปลือกหุม้ ที่เป็นโลหะลงสู่ดิน 11. การใชม้ อเตอร์หมอ้ แปลง ควรมีผรู้ ับผดิ ชอบควบคุมในการเปิ ดปิ ดใชง้ าน 12. ในส่วนที่อาจก่อใหเ้ กิดอนั ตรายควรมีป้ายติดแสดงอยา่ งชดั เจน 13. ถา้ เกิดเหตุการณ์ผดิ ปกติกบั อุปกรณ์ควรแจง้ ใหผ้ รู้ ับผดิ ชอบทราบทนั ทีและหา้ ม ใชง้ านต่อ 14. หา้ มปลดอุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายทางไฟฟ้าออก ยกเวน้ ไดร้ ับอนุญาตจาก ผเู้ ชี่ยวชาญ

15. เม่ือใชง้ านเสร็จแลว้ ควรปิ ดสวทิ ชแ์ ละตอ้ งแน่ใจวา่ สวทิ ชไ์ ดป้ ิ ดลงแลว้ 16. อุปกรณ์ทางไฟฟ้าต่าง ๆ ควรหมน่ั ทาความสะอาดใหป้ ราศจากฝ่ นุ ละออง 17. หา้ มห่อหุม้ โคมไฟดว้ ยกระดาษ ผา้ หรือวสั ดุท่ีติดไฟได้ 18. หา้ มนาสารไวไฟ หรือสารลุกติดไฟง่ายเขา้ ใกลส้ วทิ ชไ์ ฟฟ้า 19. หมนั่ ตรวจสอบฉนวนหุม้ อุปกรณ์อยเู่ สมอ ในบริเวณที่อาจสมั ผสั หรือทางาน 20. เม่ือมีผไู้ ดร้ ับอนั ตราย ควรสับสวทิ ชใ์ หว้ งจรเปิ ด (ตดั กระแสไฟฟ้า) 21. เมื่อไฟฟ้าดบั หรือเกิดไฟฟ้าช๊อต ควรสบั สวทิ ชว์ งจรไฟฟ้าใหเ้ ปิ ด 2.4 การป้องกนั อนั ตรายจากแก๊สหุงต้ม 2.4.1 ความหมายของแกส๊ หุงตม้ แกส๊ หุงตม้ (Liquefied Petroleum Gas) มีช่ือทางการวา่ แกส๊ ปิ โตรเลียมเหลว หรือแก๊ส LPG นิยมใชใ้ นครัวเรือนเป็นเช้ือเพลิงชนิดหน่ึงไดจ้ ากกระบวนการกลน่ั น้ามนั ดิบในโรงกลน่ั น้ามนั และ จากกระบวน การแยกแกส๊ ธรรมชาติในแก๊สธรรมชาติประกอบดว้ ยแก๊สหลายชนิด ไดแ้ ก่ แก๊สมีเทน แก๊สอีเทน แกส๊ โพรเพน และแก๊สบิวเทน เมื่อจะนามาใชต้ อ้ งแยกแกส๊ ออกจากกนั เสียก่อน

1.แก๊สมีเทน ใชผ้ ลิตไฟฟ้าใชใ้ นโรงงานอุตสาหกรรม และใชก้ บั รถยนตซ์ ่ึงกค็ ือแกส๊ CNG หรือ NG 2. แก๊สอีเทน + โพรเพน ใชเ้ ป็นวตั ถุดิบในโรงงานปิ โตรเคมี 3. แก๊สโพรเพน + บิวเทนใชใ้ นโรงงานปิ โตรเคมีและอุตสาหกรรมอื่น ๆและใชเ้ ป็นแก๊สหุงตม้ (LPG) รูปท่ี 2.6 แก๊สหุงตม้

1.ควรต้งั ห่างจากเตาไฟอยา่ งนอ้ ย 1.5 เมตร 2. ไม่ควรต้งั อุปกรณ์เครื่องใชไ้ ฟฟ้าท่ีอาจก่อใหเ้ กิดประกายไฟไวใ้ กลถ้ งั แกส๊ 3. ต้งั ในท่ีๆ มีอากาศถ่ายเทไดส้ ะดวก หรือภายนอกอาคารเพ่ือความปลอดภยั 4. ต้งั อยใู่ นบริเวณท่ีเคลื่อนยา้ ยเขา้ ออกสะดวก ไม่กีดขวางทางเขา้ –ออก 5. ต้งั ถงั บนที่ราบและแขง็ 6. ไม่ต้งั บริเวณท่ีเปี ยกช้ืน 7. ไม่ต้งั ถงั ในหอ้ งใตด้ ิน แต่หากจาเป็นควรติดต้งั เคร่ืองเตือนภยั ดว้ ย รูปท่ี 2.8 การติดตงั้ ระบบแก๊สหงุ ตม้ ในครวั โรงแรม

2.4.4 การป้องกนั และระงบั อคั คีภยั จากแก๊สหุงต้ม ตรวจสอบหารอยร่ัว ใชน้ ้าสบู่ลูบไลต้ ามจุดต่างๆ ไดแ้ ก่ บริเวณวาลว์ ถงั แก๊ส หวั ปรบั ความดนั ขอ้ ต่อ ต่างๆแกนลูกบิดสาหรับเปิ ด–ปิ ดเตาแก๊สและท่ีสายอ่อนนาแกส๊ หากมีการร่ัวซึม จะเปิ ดฟองอากาศผดุ ข้ึน วธิ ีปฏิบตั ิเมื่อแก๊สรั่ว แกส๊ หุงตม้ มีคุณสมบตั ิหนกั กวา่ อากาศเมื่อร่ัวซึมจะลอยต่า และไหลไป ตามพ้ืน หากติดไฟจะลุกลามได(้ ต่างจากแกส๊ ธรรมชาติท่ีเบากวา่ อากาศจึงลอยข้ึนสูงและไม่ติดไฟ)ดงั น้นั จึงหา้ ม เปิ ด หรือปิ ดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดและหา้ มกระทาการใดๆ ท่ีก่อใหเ้ กิดประกายไฟ ปิ ดวาลว์ ท่ีถงั แก๊สและหวั เตา เปิ ดประตูหนา้ ต่าง เพอื่ ระบายอากาศหรือใชพ้ ดั ช่วยไล่แก๊สจากน้นั รีบตรวจหาสาเหตุของการรั่วแลว้ รีบทาการ แกไ้ ข หรือแจง้ ร้านคา้ แกส๊ โดยด่วน กรณีที่ถงั แก๊สร่ัวหลงั ปิ ดวาลว์ แลว้ ใหย้ กถงั ไปยงั ที่โล่งหา้ มกระทาการใด ๆ ที่ก่อใหเ้ กิดประกายไฟ จากน้นั พลิกถงั ใหจ้ ุดท่ีรั่วอยดู่ า้ นบนเพอ่ื ลดการรั่วไหลของแก๊ส การป้องกนั และระงับอคั คภี ัย หมน่ั ตรวจสอบอุปกรณ์และถงั แก๊สหุงตม้ ควรมีเคร่ืองดบั เพลิง ท่ีสามารถดบั เพลิงที่เกิดจากแก๊สหุงตม้ ไดแ้ ละติดต้งั ในท่ีสามารถหยบิ ใชไ้ ดง้ ่ายศึกษาวธิ ีปฏิบตั ิใหม้ ีความ เขา้ ใจ และหมน่ั ตรวจสอบเครื่องดบั เพลิงอยา่ งสม่าเสมอเม่ือเกิดเพลิงไหมใ้ หใ้ ชเ้ ครื่องดบั เพลิงดงั กล่าวเพ่อื ระงบั เหตุทนั ท

2.4.2 วธิ ีสังเกตถงั แก๊สหุงตม้ ที่ไดม้ าตรฐาน วธิ ีการตรวจพิจารณาถงั แกส๊ หุงตม้ ท่ีไดม้ าตรฐาน การตรวจพิจารณาถงั แกส๊ หุงตม้ ก่อนซ้ือหรือ นาไปใชง้ านจะตอ้ งเป็นถงั แก๊สหุงตม้ ท่ีไดม้ าตรฐานโดยมีขอ้ สงั เกตพอสรุปไดด้ งั น้ีลกั ษณะเครื่องหมาย มอก. ที่ติดอยทู่ ี่ตวั ถงั แก๊ส 1.ตอ้ งมีเคร่ืองหมายของผคู้ า้ แก๊สเช่น ปตท. เอสโซ่ เชลลย์ นู ิค เป็นตน้ 2. ตอ้ งมีเครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ทุกถงั 3. ตอ้ งมีเดือน ปี ท่ีทาการตรวจสอบคร้ังสุดทา้ ยไม่เกิน 5 ปี 4. ตอ้ งมีขอ้ ความ “อนั ตราย หา้ มกลิ้ง หา้ มกระแทก” เขียนไวท้ ่ีตวั ถงั แกส๊ ทุกถงั 5. ตอ้ งมีช่ือผนึกบนวาลว์ ถงั 6. ถงั แกส๊ หุงตม้ ตอ้ งไม่บุบ ไม่บวม และไม่ผกุ ร่อน รูปท่ี 2.7 วธิ ีสงั เกตถงั แก๊สหุงตม้ ท่ีไดม้ าตรฐาน

2.5 การป้องกนั อนั ตรายจากสารเคม 2.5.1 ความหมายสารเคมี สารเคมีหมายถึง สารอนินทรีย์ หรือสารอินทรียท์ ี่มีสามารถระบุโมเลกลุ ของสารไดอ้ าจปรากฏ อยใู่ นธรรมชาติ หรือถูกสังเคราะห์ข้ึนจากปฏิกิริยาต่าง ๆ กไ็ ดโ้ ดยทวั่ ไปแลว้ สารเคมีจะมีสถานะอยู่ 3 สถานะ เช่นเดียวกนั กบั สสาร ไดแ้ ก่ ของแขง็ ของเหลว และแก๊ส หรือพลาสมา สามารถเปล่ียนสถานนะไดเ้ ม่ือสภาวะ หรือเงื่อนไขเปล่ียนไป เช่น เปลี่ยนอุณหภูมิความดนั โดยใชป้ ฏิกิริยาทางเคมีกส็ ามารถเปลี่ยนจากสารเคมีหน่ึงไปเป็นสารเคมีตวั ใหม่ไดส้ ่วนพลงั งาน เช่น แสงหรือความร้อนไม่จดั อยใู่ นรูปของสสาร จึงไม่อยใู่ นกลุ่มของสารเคมี ในคาจากดั ความน้ี 2.5.2 ขอ้ ควรรู้เก่ียวกบั สารเคม 1. สารเคมีบางชนิดสามารถติดไฟไดง้ ่าย 2. สารเคมีบางชนิดสามารถระเบิดได้

3. แมจ้ ะปราศจากความรอ้ นแต่สารเคมีท่ีมีความเขม้ ขน้ สงู ก็สามารถระเหย เป็นไอไดท้ าใหค้ วามชืน้ ในบรรยากาศโดยรอบเพ่มิ ขนึ้ ไดแ้ ละบรรยากาศโดยรอบ มีความบรสิ ทุ ธิ์นอ้ ยลง 4. การสมั ผสั กบั ไอระเหยของสารเคมีมากเกินไป ทาใหร้ ะคายเคือง ต่อหตู า จมกู ปาก รูส้ กึ ผิด ปกตใิ นกระเพาะอาหาร ความสามารถในการ ทางานจะลดนอ้ ยลง 5. สารเคมีทกุ ชนดิ สามารถทาใหเ้ กิดการระคายเคืองอยา่ งรุนแรง ถา้ กระเด็นเขา้ ตาโดยเฉพาะ สารเคมีท่ีรอ้ น 6. ระดบั ความปลอดภยั ของสารเคมีจะตอ้ งใหส้ อดคลอ้ ง กบั คา่ มาตรฐานท่ีกาหนดไว้ 7. คา่ มาตรฐานความปลอดภยั จะช่วย ใหท้ กุ คนปฏบิ ตั งิ านดว้ ยความปลอดภยั

รูปท่ี 2.9 สารเคมีมีความอนั ตราย การมีสุขภาพดีและมีความปลอดภยั ในการทางานจะตอ้ งอาศยั ความร่วมมือจากผทู้ ่ีมีส ํ่วน เกี่ยวขอ้ ง รวมท้งั ความรับผดิ ชอบของฝ่ ายบริหาร คือตอ้ งปฏิบตั ิตามค่ามาตรฐานความปลอดภยั ควรเฝ้าระวงั สภาพแวดลอ้ มการทางาน เพื่อใหแ้ น่ใจวา่ ไม่มีสิ่งท่ีเป็นอนั ตรายต่อสุขภาพของคนงาน และเกบ็ บนั ทึกผลไว้ ใหค้ าแนะนากบั คนงาน เร่ือง อนั ตรายของสารเคมีที่ใชใ้ นสถานประกอบการจดั เตรียมสถานท่ีปฏิบตั ิงานใหม้ ี ความปลอดภยั มีปัญหาในพ้ืนท่ีการ ทางานแจง้ ใหห้ วั หนา้ ทราบทนั ทีถา้ คิดวา่ การปฏิบตั ิงานไม่ปลอดภยั สามารถ ขอความร่วมมือหากใหม้ ีการประเมิน อนั ตรายต่อสุขภาพไดจ้ ากหน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ ง ปฏิบตั ิตามกฎระเบียบในการปฏิบตั ิงานอยา่ งเคร่งครัดตลอดเวลาตอ้ ง ทางานดว้ ยความระมดั ระวงั และผปู้ ฏิบตั ิตอ้ งไดร้ ับการฝึ กมาอยา่ งดี ปฏิบตั ิตามกฎความปลอดภยั ตลอดเวลา ถา้ ตอ้ งการขอ้ มูลเพ่มิ เติมหรือมีปัญหาควรปรึกษาหวั หนา้ งานหรือ เจา้ หนา้ ท่ีจากหน่วยงานภาครัฐที่เก่ียวขอ้ งกบั ความ ปลอดภยั

2.5.3 ความเป็นพษิ ของสารเคมี แบ่งเป็นกลุ่มไดด้ งั น้ี 1. สารท่ีทาใหเ้ กิดการระคายเคืองคนั แสบ ร้อน พุพอง เช่น กรดต่างๆแกส๊ คลอรีน แอมโมเนีย ซลั เฟอร์ไดออกไซด์ 2. สารที่ทาใหห้ มดสติไดส้ ารเคมีน้ีไปแทนที่ออกซิเจน เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน ไซยาไนด์ 3. สารเสพติดเป็นสารท่ีเป็นอนั ตรายต่อระบบประสาท เช่น สารท่ีระเหยไดง้ ่ายไดแ้ ก่แอลกอฮอล์ เบนซินอะซิโตน อีเทอร์คลอโรฟอร์ม ทาใหป้ วดศีรษะ เวยี นและมึนงง 4. สารท่ีเป็นอนั ตรายต่อระบบการสร้างโลหิตเช่น ตะกวั่ จะไปกดไขกระดูกซ่ึงทาหนา้ ท่ีสร้างเมด็ เลือดแดง ทาใหเ้ มด็ เลือดแดงนอ้ ยกวา่ ปกติเกิดโลหิตจาง

5. สารที่เป็นอนั ตรายต่อกระดูกทาใหก้ ระดูกเสียรูปร่างหรือทาใหก้ ระดูกเปราะไดแ้ ก่ฟอสฟอรัส และแคลเซียม 6. สารที่ทาอนั ตรายต่อระบบการหายใจเช่น ปอดทาใหเ้ กิดเยอ่ื พงั ผดื ไม่สามารถแลกเปลี่ยน กบั ออกซิเจนไดค้ วามจุอากาศในปอดจะนอ้ ยลงทาใหห้ อบง่าย เช่น ฝ่ นุ ทราย ฝ่ นุ ถ่านหิน 7. สารก่อกลายพนั ธุ์ ทาอนั ตรายต่อโครโมโซม ซ่ึงความผดิ ปกติจะปรากฏใหเ้ ห็นในลูกหรือ ช้นั หลาน เช่น สารกมั มนั ตภาพรังสีสารฆ่าแมลง โลหะบางชนิด ยาบางชนิด 8. สารก่อมะเร็ง ทาใหส้ ร้างเซลลใ์ หม่ข้ึนมาเร่ือยๆ มากเกินความจาเป็น ทาใหเ้ กิดเน้ืองอก ชนิด ที่ไม่จาเป็น เช่น สารกมั มนั ตภาพรังสีสารหนูแอสแบสตอสนิเกิ้ล เวนิลคลอไรดเ์ บนซิน

รูปที่ 2.10 การเตือนระวงั สารกมั มนั ตภาพรังสี 9. สารเคมีท่ีทาใหท้ ารกเกิดความพกิ ารคลอดออกมามีอวยั วะไม่ครบ เช่น ปากแหวง่ เพดานโหว่ แขนดว้ น ขาดว้ น ตวั อยา่ งของสารในกลุ่มน้ีไดแ้ ก่ยาธาลิโดไมดส์ ารตวั ทาละลายบางชนิดยาปราบ ศตั รูพืชบางชนิด

2.5.4 สารเคมที ใ่ี ช้และพบในโรงแรม 1. สารทาความสะอาด ความหมายของสารทาความสะอาด หมายถึง คุณสมบตั ิในการกาจดั ความสกปรกต่าง ๆ ตลอดจนฆ่าเช้ือโรค ประเภทของสารทาความสะอาด แบ่งตามการเกิด ได2้ ประเภท คือ (1) ไดจ้ ากการสังเคราะห์ เช่น น้ายาลา้ งจาน สบู่กอ้ น สบู่เหลว แชมพสู ระผม ผงซกั ฟอก สารทา ความสะอาดพ้นื เป็นตน้ (2) ไดจ้ ากธรรมชาติเช่น น้ามะกรูด มะขามเปี ยก เกลือ เป็นตน้ แบ่งตามวตั ถุประสงค์ในการใช้งานเป็ นเกณฑ์ แบ่งออกไดเ้ ป็น 4 ประเภท คือ (1) สารประเภททาความสะอาดร่างกาย ไดแ้ ก่สบู่แชมพูสระผม เป็นตน้ (2) สารประเภททาความสะอาดเส้ือผา้ ไดแ้ ก่สารซกั ฟอกชนิดต่าง ๆ (3) สารประเภททาความสะอาดภาชนะ ไดแ้ ก่ น้ายาลา้ งจาน เป็นตน้ (4) สารประเภททาความสะอาดหอ้ งน้า ไดแ้ ก่ สารทาความสะอาดหอ้ งน้าท้งั ชนิดผง และชนิดเหลว

รูปท่ี 2.11 สารทาความสะอาด สมบัติของสารทาความสะอาด สารทาความสะอาด เช่น สบู่ แชมพสู ระผม สารลา้ งจาน สารทาความ สะอาดหอ้ งน้า สารซกั ฟอก บางชนิดมีสมบตั ิเป็นกรด บางชนิดมีสมบตั ิเป็นเบสซ่ึงทดสอบไดด้ ว้ ย กระดาษ ลิตมสั สารทาความสะอาดหอ้ งน้าและเคร่ืองสุขภณั ฑบ์ างชนิดมีสมบตั ิเป็นกรดสามารถกดั กร่อนหินปูน ท่ียา ไวร้ ะหวา่ งกระเบ้ืองปูพ้ืนหรือฝาหอ้ งน้าบริเวณเคร่ืองสุขภณั ฑ์ ทาใหค้ ราบสกปรกท่ีเกาะอยหู่ ลุดลอกออก มา ดว้ ย ถา้ ใชส้ ารชนิดน้ีไปนาน ๆ พ้นื และฝาหอ้ งน้าจะสึกกร่อนไปดว้ ย นอกจากน้ียงั ทาใหผ้ ใู้ ชเ้ กิดความระคาย เคืองของระบบทางเดินหายใจและผวิ หนงั อีกดว้ ยดงั น้นั ในการใชต้ อ้ งระมดั ระวงั โดยปฏิบตั ิตามคาแนะนา การใช้ อยา่ งเคร่งครัดและตอ้ งใชใ้ นปริมาณที่เหมาะสม การใชใ้ นปริมาณมากเกินไป ไม่ไดห้ มายความวา่ จะ ช่วยทาความ สะอาดไดม้ ากข้ึน ท้งั น้ีอาจทาใหส้ ิ้นเปลือง และทาลายส่ิงแวดลอ้ ม

2. LPG ชื่อเต็มคือ Liquefied Petroleum Gas หรือ แกส๊ ปิ โตรเลียมเหลว เป็นเช้ือเพลิง อเนกประสงค์ ที่ใชท้ ว่ั ไปในบา้ นเรือนและในธุรกิจทว่ั โลก ในประเทศไทยมกั จะเห็นถงั แกส๊ LPG ตามบา้ นเรือน ตาม ร้านอาหารหรือตามทอ้ งถนนท่ีกาลงั ถูกจดั ส่งไปยงั บา้ นเรือน โดย LPG ท่ีใชใ้ นครัวเรือนจะถูกเรียกวา่ “แกส๊ หุงตม้ ” (Cooking Gas 3. พษิ ภัยของสารปนเปื้ อนแต่ละชนิด (1) สารเร่งเนื้อแดงในเนื้อสุกร คุณสมบตั ิของสาร สารเร่งเน้ือแดงในเน้ือสุกรเป็นสารเคมี กลุ่มเบตา้ อะโกนิสต์ (Beta–agonist) ความเป็นพษิ ถา้ บริโภคสารน้ีเขา้ ไปจะทาใหเ้ กิดอาการมือส่ัน กลา้ มเน้ือ กระตุก ปวดศรีษะ หวั ใจเตน้ เร็ว เป็นตะคริว คล่ืนไสอ้ าเจียน มีอาการทางประสาท มีผลกระทบต่อระบบหวั ใจ และหลอดเลือด ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ปริมาณที่ไดร้ ับ รูปท่ี 2.12 สารเร่งเน้ือแดงในเน้ือสุกร

(2) สารกนั ราหรือกรดซาลซิ ิลคิ คุณสมบตั ิของสาร สารกนั รา รูปที่ 2.13 สารกนั รา หรือ กรดซาลิซิลิค เป็นกรดที่ มีอนั ตรายต่อร่างกายมาก แต่มีผผู้ ลิตอาหาร บางรายนามา ใส่เป็นสารกนั เสียในอาหารแหง้ พริกแกง หรือน้าดองผกั ผลไมเ้ พือ่ ป้องกนั เช้ือราข้ึน และช่วยใหน้ ้าดองผกั ผลไมด้ ูใส เหมือนใหม่ อยเู่ สมอ ความเป็นพษิ ถา้ ร่างกายไดร้ ับเขา้ ไปจะ ไปทาลายเซลในร่างกาย ทาใหร้ ะบบภูมิคุม้ กนั อ่อนแอและ หากไดร้ ับเขา้ ไปมาก ๆ จะทาลายเยอื่ บุ กระเพาะอาหารและ ลาไส้ทาใหเ้ ป็นแผลในกระเพาะอาหารและลาไส้ได้ ถา้ ไดร้ ับ กรดซาลิซิคจนมีความเขม้ ขน้ ในเลือดถึง25–35 มิลลิกรัมต่อ เลือด 100 มิลลิลิตรจะมีอาการอาเจียน หูอ้ือ มีไขค้ วามดนั โลหิตต่า จนช็อค และอาจถึงตายได้ (3) สารฟอกขาว คุณสมบตั ิของสารสารฟอกขาวเป็นสารเคมีท่ีมีคุณสมบตั ิในการยบั ย้งั การ เปลี่ยนสีของอาหารไม่ใหเ้ ป็นสี น้าตาลความเป็นพษิ ถา้ ร่างกายไดร้ ับสารฟอกขาวแลว้ กระบวนการในร่างกายจะ เปล่ียนสารไปอยใู่ นรูปของซลั เฟตและขบั ออกได้ ทางปัสสาวะแต่ถา้ ไดร้ ับสารฟอกขาวกลุ่มโซเดียมไฮโดรซลั ไฟต์ หรือกลุ่มซลั ไฟตเ์ กินกาหนด สารฟอกขาวจะไปทาลายไวตามินบี 1 ในร่างกาย ทาใหเ้ กิดอาการหายใจขดั ความ ดนั โลหิตต่า ปวดทอ้ ง อาเจียน อุจจาระร่วง ในรายที่แพอ้ าจเกิดลมพิษ ช็อค หมดสติ และเสียชีวติ ไดโ้ ดยเฉพาะ ผปู้ ่ วยโรคหอบหืด

รูปท่ี 2.14 อาหารท่ีมกั ตรวจพบสารฟอกขาว (4) สารบอแรกซ์คุณสมบตั ิของสาร สารบอแรกซ์หรือท่ีมีชื่อทางการคา้ วา่ น้าประสาน ทอง ผงกรอบ ผงเน้ือน่ิม สารขา้ วตอก ผงกนั บูด ความเป็นพษิ ถา้ บริโภคเขา้ ไปในร่างกายจะทาใหร้ ่างกาย อ่อนเพลียเบ่ืออาหาร น้าหนกั ลดสาไส้ และกระเพาะอาหารเกิดการระคายเคืองอุจจาระร่วงและเป็นพษิ ต่อตบั ไตและสมองไดข้ ้ึนอยกู่ บั ปริมาณสารท่ีไดร้ ับ รูปท่ี 2.15 อาหารที่มกั ตรวจพบสารบอแรกซ์

(5) สารฟอร์มาลนิ หรือสารละลายฟอร์มาลดีไฮดค์ ุณสมบตั ิของสารฟอร์มาลิน มกั ใชเ้ ป็น น้ายาฆ่าเช้ือโรค หรือใชเ้ ป็นน้ายาดองศพ ฟอร์มาลินเป็นอนั ตราย และหา้ มใชใ้ นอาหารทุกชนิด แต่ปัจจุบนั ยงั มี การนามาใช้ ในทางท่ีผดิ โดยเขา้ ใจวา่ ช่วยทาใหอ้ าหารคงความสด ไม่เน่าเสียไดง้ ่าย จึงมีการนามาใชก้ บั อาหารท่ี เน่าเสียไดง้ ่าย เช่น อาหารทะเลสดเครื่องในสัตวเ์ น้ือสัตวผ์ กั สดชนิดต่างๆเป็นตน้ ความเป็นพิษ ถา้ ร่างกายได้ รับสารฟอร์มาลิน จากการบริโภคอาหารที่มีสารดงั กล่าวตกคา้ ง อาจทาใหเ้ กิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดิน อาหาร และหาก สมั ผสั อยเู่ ป็นประจา จะทาใหเ้ กิดการสะสมจนทาใหร้ ่างกายอ่อนแอไดแ้ ละสารฟอร์มาลินยงั เป็นสารก่อมะเร็งใน ส่ิงมีชีวติ ไดด้ ว้ ย รูปที่ 2.16 อาหารที่มกั ตรวจพบสารฟอร์มาลิน หรือสารละลายฟอร์มาลดีไฮด์

(6) ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมกี าจัดศัตรูพืช คุณสมบตั ิของสารยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีกาจดั ศตั รูพืช คือ วตั ถุมีพิษท่ี นามาใชเ้ พ่อื ป้องกนั กาจดั ศตั รูพืช สตั วแ์ ละมนุษยค์ วามเป็นพิษเมื่อไดร้ ับสารฆ่าแมลง เขา้ สู่ร่างกาย จะเกิดปฏิกริยาทางเคมี กบั เอนไซมใ์ นร่างกาย มีผลใหเ้ กิดการขดั ขวางการทาหนา้ ท่ีตามปกติของ ระบบประสาทท้งั ในคน และสัตวค์ วามเป็นพษิ ข้ึนกบั คุณสมบตั ิของสารเคมีแต่ละชนิด วธิ ีการไดร้ ับสารเขา้ สู่ ร่างกาย ปริมาณความถี่สุขภาพของผไู้ ดร้ ับสารพษิ และ ก่อใหเ้ กิดอาการอ่อนเพลีย ปวดศรีษะ มึนงง หายใจลาบาก แน่นในอก คล่ืนไสอ้ าเจียน ปวดทอ้ ง ทอ้ งเดิน และหนงั ตา กระตุก ชกั หมดสต 2.5.5 หลกั ในการควบคุม และป้องกนั อนั ตรายจากสารเคม 1. แหล่งกาเนิดของสารเคมี ใชส้ ารท่ีมีพิษนอ้ ยกวา่ แทน เปลี่ยนกระบวนการผลิตใหม่ เช่น ใชร้ ะบบเปี ยก แทนระบบแหง้ เพ่ือมิใหเ้ กิดฝ่ นุ ฟุ้งกระจายแยกกระบวนการผลิตท่ีมีอนั ตรายออกต่างหากสร้างท่ี ปกปิ ด กระบวนการผลิตใหม้ ิดชิด มิใหส้ ารเคมีฟุ้งกระจายออกไป ติดต้งั ระบบดูดอากาศเฉพาะที่ การบารุงรักษา เครื่องมือ เครื่องจกั ร 2. ทางผ่านของสารเคมี การบารุงรักษาสถานที่ทางานใหส้ ะอาดเรียบร้อยการติดต้งั ระบบระบาย อากาศทว่ั ไป เพมิ่ ระยะทางใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิห่างจากแหล่งสารเคมีการตรวจหาปริมาณสารเคมีเทียบกบั ค่ามาตรฐาน ความปลอดภยั จะตอ้ ง ปรับปรุง แกไ้ ขหากสูงเกินกวา่ ค่ามาตรฐานความปลอดภยั

3. ผู้ปฏบิ ตั งิ าน การใหก้ ารศกึ ษา และ การฝึกอบรมใหท้ ราบถึงอนั ตราย และการป้องกนั การลด ชวั่ โมงการทางานท่ีเก่ียวกบั สารเคมีท่ีเป็นอนั ตรายใหน้ อ้ ย ลง การหมุนเวยี นหรือการสับเปลี่ยนหนา้ ที่การ ปฏิบตั ิงาน การใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิงานทางานอยใู่ นหอ้ งท่ีควบคุมเป็นพิเศษ การ ตรวจสุขภาพก่อนเขา้ ทางาน การ ใชเ้ คร่ืองป้องกนั อนั ตราย ส่วนบุคคล 4. การใช้สารเคมี ตอ้ งทราบถึงอนั ตราย ของสารเคมีและวธิ ีการควบคุม ลา้ งมือทุกคร้ังหลงั ปฏิบตั ิ งานกบั สารเคมีสวมอุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายส่วนบุคคล ทาความสะอาดบริเวณทางานทุกคร้ังหลงั เลิกงาน ปิ ดฝา ภาชนะใหแ้ น่นทุกคร้ังหลงั เลิกใชอ้ ยา่ ปฏิบตั ิงานตามลาพงั หรือไม่มีส่วนเกี่ยวขอ้ งอยา่ ทดสอบโดยการสูดดม หรือกลืนกิน รูปที่ 2.17 ชุดป้องกนั สารเคมี

ในชีวติ ประจาวนั ไดเ้ ก่ียวขอ้ งกบั สารเคมีหลากหลายชนิด ท้งั ชนิดท่ีเป็นสารทาความสะอาด เช่น ยาสีฟัน สบู่ เหลว น้ายาลา้ งจาน แชมพูสระผม ผงซกั ฟอก เป็นตน้ หรือเป็นสารปรุงแต่งรสอาหาร และสารแต่งสี อาหาร เช่น น้าสม้ สายชูผงชูรส น้าซอสต่าง ๆ เป็นตน้ หรือแมก้ ระทง่ั เคร่ืองสาอางและยารักษาโรค ภาชนะบรรจุ อาหารสารเคมีมี ประโยชนแ์ ละกม็ ีโทษต่อสุขภาพและอาจทาใหเ้ สียชีวติ ได้ การเรียนรู้เกี่ยวกบั ความเป็นพษิ ของสาร เคมีจะช่วยให้ ทราบถึงผลกระทบต่อสุขภาพตลอดจนกระทงั่ การป้องกนั ตวั เอง 1. ปัจจัยทนี่ าไปสู่สภาวะทเี่ ป็ นอนั ตราย ทางเขา้ สู่ร่างกาย สารเคมีเขา้ สู่ร่างกายได3้ ทาง คือ (1) ทางการหายใจ ระบบทางเดินหายใจเป็นจุดผา่ นของสารเคมีเขา้ สู่ร่างกายที่มีประสิทธิภาพ ที่สุด ท้งั น้ีเพราะ ระบบทางเดินหายใจประกอบดว้ ยทางเดินหายใจส่วนตน้ คือ จมูก ปาก และลาคอ ทางผา่ น ของอากาศ คือ หลอดลม อาหาร หลอดลมใหญ่ หลอดลมฝอย ถุงลมปอด ทางเดินหายใจจะถูกบุดว้ ยขนเส้น เลก็ ๆซ่ึงเป็นกลไกช่วยทาความสะอาด ของปอด มลภาวะอากาศของสารเคมีสามารถเขา้ สู่ปอดในขณะท่ีหายใจ อยอู่ นุภาคฝ่ นุ ท่ีมีขนาดเลก็ กวา่ 10 ไมครอนลงมา สามารถเขา้ สู่ถุงลมปอด นอกจากน้ีเสน้ ใยที่มีขนาดความยาว ต้งั แต่ 5 ไมครอน และมีเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 0.3 ไมครอน จะมีอนั ตรายต่อสุขภาพโดยสามารถจะฝังตวั ในถุงลมปอดไดอ้ นุภาคที่สามารถเขา้ สู่ถุงลมปอดจะมีผลทาให้ เน้ือเยอ่ื ของปอดเป็นพงั ผดื หรือเกิดการอุดตนั

(2) ทางผวิ หนัง การดูดซึมผา่ นทางผวิ หนงั หรือการสัมผสั ทางผวิ หนงั โดยเน้ือเยอ่ื ตาหรือ ผวิ หนงั สมั ผสั กบั อนุภาค ซ่ึงทาใหเ้ กิดอาการระคายเคืองหรือภูมิแพแ้ ต่ถา้ อนุภาคบางชนิดของ สารเคมีสามารถ ซึมผา่ นช้นั ผวิ หนงั เขา้ สู่กระแสเลือด กท็ าใหเ้ กิดความเป็นพษิ ต่อร่างกายได้ (3) ทางการกลืนกนิ โดยการด่ืมน้าหรือรับประทานอาหารที่มีสารเคมีปนเป้ื อนเขา้ สู่ร่างกาย ระบบการยอ่ ย อาหารจะถูกดูดซึมสารพิษเขา้ สู่ร่างกาย 2. ความเข้มข้นและลกั ษณะของการสัมผสั สารเคมีที่เขา้ สู่ร่างกายบางชนิดจะสะสมในเน้ือเยอ่ื หรืออวยั วะบาง ชนิดกเ็ ปล่ียนเป็นสารอื่น สารเคมีส่วนใหญ่จะถูกขบั ออกจากร่างกายทางปัสสาวะอุจจาระ ทางการ หายใจอนั ตรายของ สารเคมีต่ออวยั วะบางส่วน ข้ึนอยกู่ บั ปริมาณของสารท่ีดูดซึมเขา้ ไปในร่างกายการสมั ผสั สาร เคมีในระยะส้นั แต่มี ความเขม้ ขน้ สูงอาจทาใหเ้ กิดผลกระทบอยา่ งเฉียบพลนั การสมั ผสั สารเคมีที่มีความเขม้ ขน้ ต่า แต่ในช่วงระยะเวลานาน จะมีผลในการดูดซึมในปริมาณท่ีเท่ากนั และก่อใหเ้ กิดผลอยา่ งเร้ือรัง

3. กล่มุ ทมี่ ภี ูมไิ ว้รับสารเคมี การท่ีบุคคลไดร้ ับสารเคมีในปริมาณหน่ึงในช่วงระยะเวลาเท่า กนั จะทาใหเ้ กิดการตอบสนองท่ีแตกต่างกนั ในกลุ่มบุคคลท่ีต่างกนั บางคนอาจจะเกิดผลกระทบอยา่ งรุนแรง แต่บางคนไดร้ ับผลกระทบเพียงเลก็ นอ้ ย ความไวในการรับสารเคมีของแต่ละบุคคลอาจข้ึนอยกู่ บั อายุ เพศ และสภาวะสุขภาพ เดก็ ๆ มีความไวในการเกิดอาการเร็วกวา่ ผใู้ หญ่ 4. อนั ตรายจากพษิ ของสารเคมสี ารเคมี อาจทาใหเ้ กิดผลกระทบท่ีแตกต่างกนั ตามวธิ ีการ และลกั ษณะ ของการสมั ผสั สาร ซ่ึงสามารถจาแนกไดด้ งั น้ี (1) การระคายเคือง เม่ือสารเคมีมาสมั ผสั กบั ผวิ หนงั อาจทาใหเ้ กิดผวิ หนงั แหง้ แตก หรือเจบ็ แสบ สภาวะ เช่นน้ีเรียกวา่ ผวิ หนงั อกั เสบ เมื่อสารเคมีสมั ผสั กบั ดวงตา ทาใหเ้ กิดอาการระคายเคืองตา เช่น พวกกรด ด่าง และ สารทาละลายอินทรีย์ ในกรณีท่ีหายใจเอาไอระเหยหรือแก๊สของสารเคมีเช่น แอมโมเนีย ฟอร์มลั ดีไฮดก์ รด ด่าง ก็ จะทาใหเ้ กิดอาการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ เยอื่ บุและเน้ือเยอื่ ในปอด และตามดว้ ยอาการไอ หายใจเร็ว มีเสมหะมาก ตวั เขียวเน่ืองจากขาดออกซิเจน เป็นตน้

(2) การระคายเคืองการแพ้สารเคมี อาการแพท้ างผวิ หนงั จะพบเป็นสิวเมด็ เลก็ ๆ หรือเป็น ตุ่มมีน้า เช่น การ สัมผสั กบั กรดโครมิก สีน้ามนั ถ่านหินต่าง ๆ สารอีพอกซีเรซิน อาการแพท้ ี่เกิดจากทางเดินหาย ใจจะทาใหเ้ กิด อาการหอบหืด หายใจลาบาก มีเสียงดงั ผดิ ปกติภายในปอด และหายใจส้ัน ๆเช่น แพส้ ารพวกตวั ทาละลายอินทรีย์ สารฟอร์มลั ดีไฮดเ์ ป็นตน้ รูปที่ 2.18 อาการแพส้ ารเคมี (3) การขาดออกซิเจน สารเคมีบางตวั จะไปขดั ขวางความสามารถของร่างกายในการลาเลียง และใชอ้ อกซิเจน เช่น คาร์บอนมอนอกไซดไ์ ฮโดรเจนไซยาไนตไ์ ฮโดรเจนซลั ไฟลเ์ ป็นตน้

(4) การเกดิ พษิ ภายในร่างกาย ผลกระทบจากการเกิดพษิ จะไม่เกิดที่เฉพาะอวยั วะใดอวยั วะ หน่ึงของ ร่างกายข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะการเป็นพิษของสารเคมีแต่ละตวั สารเคมีบางตวั เป็นพษิ ต่อตบั เช่น แอลกอฮอล์ คาร์บอนเตตระคลอไรดค์ ลอโรฟอร์ม สารเคมีที่เป็นพิษต่อระบบประสาท เช่น แมงกานีส ตะกวั่ สารเฮกเซน (5) การเกดิ มะเร็ง การไดร้ ับสารเคมีบางชนิดในระยะเวลานานทาใหเ้ กิดการเจริญเติบโต ของเซลลจ์ นไม่ สามารถควบคุมไดเ้ กิดเป็นเน้ืองอกท่ีกลายเป็นมะเร็ง เช่น สารหนูแอสเบสตอสนิเกิ้ล เบนซีน โครเม่ียม (6) การเกดิ ลกู วกิ ลรูป ทารกที่เกิดมาผดิ ปกติเป็นผลจากการไดร้ ับสารเคมีซ่ึง ขดั ขวาง การเจริญเติบโตของทารกในครรภเ์ ช่น ปรอท สารทาละลาย (7) การก่อกลายพนั ธ์ุสารบางชนิดก่อใหเ้ กิดผลกระทบทางพนั ธุกรรม หรือดีเอน็ เอ เช่น มีความผดิ ปกติของจานวนโครโมโซมท่ีผดิ ไปจากคนปกติ

(8) การเกดิ พษิ ต่อระบบสืบพนั ธ์ุ ผลของสารพิษหรือสารเคมีระบบสืบพนั ธุส์ ่วนใหญ่พบ วา่ ทาใหจ้ านวน สเปิ ร์มลดลง สาหรับผใู้ หญ่กท็ าใหม้ ีบุตรยากหรือแทง้ บุตร และมีปัญหาในการต้งั ครรภเ์ ช่น สาร คาร์บอนไดซลั ไฟด์ ตะกวั่ ไวนิลคลอไรดเ์ อทธิลีนออกไซดเ์ อทธานอล อะนิลีน ฟอร์มลั ดีไฮดค์ วนั บุหร่ี โทลู (9) โรคนิวโมโคนิโอซิส (โรคปอดอกั เสบ) การหายใจเอาฝ่ นุ ท่ีมีอนุภาคขนาดเลก็ เขา้ ไปใน ถุงลม ปอดเป็นระยะเวลานาน ๆ ทาใหเ้ กิดการเสื่อมสภาพภายในปอดเกิดเป็นพงั ผดื หรือมีการอุดตนั ทาใหค้ วาม สามารถในการดูดซึมออกซิเจนลดลง ผปู้ ่ วยจะมีอาการหายใจส้นั อ่อนเพลีย หอบเหน่ือยง่าย เช่น การไดร้ ับ ฝ่ นุ หินทราย แร่ใยหิน (แอสเบสตอส) แป้ง ฝ่ นุ ถ่านหิน และฝ่ นุ ผงของเบอร์ริลเลียม 2.6 แนวทางในการตรวจเคร่ืองจักร ไฟฟ้า สารเคมี สภาพแวดล้อม และการกระทาทไ่ี ม่ปลอดภัย 2.6.1 การตรวจเคร่ืองจกั ร ขอ้ สังเกตในการตรวจหาสาเหตุของอุบตั ิเหตุอนั ตรายจาก 1. การสัมผสั เป็นการตรวจวา่ มีส่วนใดส่วนหน่ึงสมั ผสั กบั สิ่งที่อาจเกิดอนั ตราย เช่น ส่วนหมุน ของเครื่องจกั ร

2. การชนกระแทก เป็นการตรวจวา่ มีโอกาส เหวยี่ ง ชน หรือกระแทกถูกผปู้ ฏิบตั ิงาน 3. การตดิ อยู่ระหว่างจุดอนั ตราย เป็นการตรวจดูวา่ มีโอกาสท่ีส่วนใดส่วนหน่ึงของร่างกายเขา้ ไป ติด อยรู่ ะหวา่ งจุดอนั ตรายของเคร่ืองจกั ร เช่น จุดหนีบ จุดตดั จุดกระแทก จุดเฉือน ฯลฯ เช่น การทางานกบั เครื่องป้ัมโลหะ 4. การหลดุ กระเด็นของเศษวสั ดุ และเคร่ืองจกั ร เป็นการตรวจอนั ตรายท่ีเกิดจากเศษโลหะ เศษไมห้ รือ วสั ดุท่ีกระเดน็ ออกมาในขณะทางาน เช่น งานกลึง งานแต่งผวิ โลหะ สายพานต่าง ๆ ฯลฯ 2.6.2 การตรวจไฟฟ้า ข้อสังเกต 1. การตรวจไฟฟ้า (1) การตรวจขนาดของสายไฟ (พ้นื ท่ีหนา้ ตดั ) วา่ เป็นไปตามมาตรฐานในประกาศกระทรวง แรงงานฯ เรื่องความปลอดภยั เก่ียวกบั ไฟฟ้า

(2) ตรวจดกู ารเดินสายไฟฟา้ กบั มาตรฐานท่ีกาหนดในกฎหมาย (4) ตรวจดสู ภาพสายไฟฟา้ ว่าชารุดเก่าหรอื ใชง้ านมานาน (5) ตรวจการใชส้ ายไฟฟ้าที่วางบนพ้นื วา่ มีท่ีครอบป้องกนั การเหยยี บ ทบั หรือวางอยบู่ นพ้นื เปี ยก (6) ตรวจการปอ้ งกนั กรณีใชส้ ายเปลือย (7) ตรวจสายไฟฟา้ ท่ีกีดขวางการทางานของเคร่อื งจกั รหรอื การจราจร

2. การตรวจอุปกรณ์ไฟฟ้า และไฟฟ้าที่ใชก้ บั เคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ (1) ตรวจขนาดและความเหมาะสมของฟิ วส์ที่ใชม้ ีการต่อลวดทองแดงแทนฟิ วส์หรือไม่ (2) แผงหรือตูค้ วบคุมระบบไฟฟ้า มีการต่อสายดินหรือไม่ (3) ตรวจการแตกชารุดของปลกั๊ ไฟ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ (4) ตรวจดูเครื่องจกั รท่ีใชไ้ ฟฟ้าวา่ มีสายดินหรือมีการต่อสายดินถูกตอ้ งหรือไม่ (5) ตรวจดูวา่ อุปกรณ์ไฟฟ้าท่ีใชเ้ ช่น สวติ ซฟ์ ิ วส์เบรกเกอร์ไดม้ าตรฐานหรือไม่ (6) การติดต้งั อุปกรณ์ไฟฟ้าใกลแ้ ก๊สหรือสารไวไฟหรือไม่ (7) ตรวจการป้องกนั สายไฟฟ้าแรงสูง และหมอ้ แปลงไฟฟ้า

3. การตรวจสารเคมี เป็นการสงั เกตหรือประเมินอนั ตรายเบ้ืองตน้ กรณีที่ตอ้ งการทราบผลตอ้ ง ใชเ้ คร่ืองมือตรวจวดั สารเคมีโดยเฉพาะ ส่ิงท่ีควรสงั เกต คือ (1) พบเห็นฝ่ นุ หรือควนั ฟุ้งกระจายในบริเวณท่ีทางาน มีระบบระบายอากาศไม่เหมาะสม (2) ตาหรือผวิ หนงั ระคายเคือง หรือมีกล่ินฉุน (3) สารเคมีหก หล่น และพบการเคลื่อนยา้ ยที่ไม่ปลอดภยั (4) มีการร้องเรียนหรือพบวา่ ลูกจา้ งมีอาการเก่ียวขอ้ งกบั สารเคมีท่ีทางานอยู่ (5) ลูกจา้ งไม่ใชห้ รือไม่มีเคร่ืองป้องกนั อนั ตรายส่วนบุคคล หรือมีแต่ไม่เหมาะสม รูปที่ 2.19 ตูเ้ กบ็ สารเคมี

4. การตรวจสภาพแวดล้อมในการทางาน ทางดา้ นกายภาพ เช่น แสง เสียงความร้อน การส่นั สะเทือน ฯลฯ การตรวจท่ีจะใหผ้ ลแน่นอนตอ้ งใชเ้ ครื่องมือในการตรวจวดั ขอ้ สงั เกตในการตรวจ คือ (1) ลูกจา้ งท่ีทางานอยมู่ ีอาการผดิ ปกติทางร่างกายเกี่ยวเน่ืองจากสาเหตุของสภาพแวดลอ้ ม (2) ลูกจา้ งไม่ใชห้ รือไม่มีเคร่ืองป้องกนั อนั ตรายส่วนบุคคล หรือมีแต่ไม่เหมาะสม (3) พบวา่ ตน้ กาเนิดของปัญหาสภาพแวดลอ้ มท่ีไม่ปลอดภยั เกิดจากเครื่องมือ เคร่ืองจกั รที่ ไม่ได้ มาตรฐาน หรือขาดการซ่อมบารุง หรือไม่มีการควบคุมใหป้ ลอดภยั 5. การตรวจการกระทาทไ่ี ม่ปลอดภัย ซ่ึงมีท้งั แสดงออกใหเ้ ห็นไดแ้ ละซ่อนเร้นอยใู่ นตวั พร้อมที่จะแสดงออกตาม สภาพและโอกาสต่าง ๆ กนั ขอ้ สงั เกตในการตรวจ คือ (1) แต่งกายไม่เหมาะสม หรือไม่ปลอดภยั เช่น เส้ือผา้ หลวม / คบั สกปรก ขาดรุ่งริ่ง ฯลฯ (2) มีพฤติกรรมหรือการกระทาโดยทวั่ ไปไม่ปลอดภยั เช่น ประมาท ใจลอย ฯลฯ (3) ขาดความรู้เก่ียวกบั กฎระเบียบความปลอดภยั ฯลฯ รูปที่ 2.20 พนกั งานช่างไฟฟ้าแต่งกายไม่เหมาะสม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook