Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการเรียนรู้ ศรร. กศน.อำเภอบางปลาม้า

เอกสารประกอบการเรียนรู้ ศรร. กศน.อำเภอบางปลาม้า

Description: เอกสารประกอบการเรียนรู้ ศรร. กศน.อำเภอบางปลาม้า

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการเรียนรู้ การเรยี นรู้ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอบางปลาม้า สานกั งานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวดั สุพรรณบุรี

คำนำ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลาม้า ได้พัฒนาสถานศึกษา ใหเ้ ปน็ ศนู ย์เรียนรตู้ ามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ดา้ นการศึกษาตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งพัฒนาสถานศึกษาทุกแห่งให้สามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง และให้สถานศึกษาได้มีการพัฒนาให้เป็นไปอย่างมีคุณภาพด้วยความย่ังยืน โดยมีฐานการเรียนรู้ตาม หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงท่ีหลากหลายไว้สาหรับให้บริการแก่นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป ได้มาศึกษาเรียนรู้แนวทางของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ได้จัดทาฐานการเรียนรู้ภายในสถานศึกษา และในพนื้ ทท่ี ้งั ๑๔ ตาบล ของศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลาม้า ท่ีพร้อม สาหรับให้บริการโดยได้มีการจัดทาเอกสารประกอบการเรียนรู้การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง จานวน 11 ฐาน สาหรับเป็นองค์ความรู้ประกอบการเรียนรู้ในฐานการเรียนรู้ของศูนย์เรียนรู้หลัก ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง กศน.อาเภอบางปลามา้ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลาม้า หวังเป็นอย่างย่ิงว่า นักเรียน นักศึกษาและประชาชนท่ัวไป ที่เข้ามาศึกษาในศูนย์เรียนรู้แห่งนี้จะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และนา ความรทู้ ่ไี ดจ้ ากการเข้ามาศกึ ษาไปประยุกตใ์ ช้ในการดาเนินชวี ิตได้อยา่ งยัง่ ยืน คณะผู้จัดทา ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอบางปลามา้

สารบัญ หนา้ ก เรอื่ ง ข คานา 1 สารบัญ 6 ฐานการเรียนรทู้ ี่ 1 การทาปยุ๋ หมัก 13 ฐานการเรียนรู้ที่ 2 การบรหิ ารจัดการขยะ 19 ฐานการเรยี นรทู้ ี่ 3 ส่งิ ประดิษฐ์จากวสั ดเุ หลอื ใช้ 26 ฐานการเรยี นร้ทู ่ี 4 การปลูกผักตามฤดกู าล 45 ฐานการเรียนรทู้ ี่ 5 การปลูกพืชสมุนไพร 52 ฐานการเรียนรทู้ ่ี 6 กระถางประสิทธภิ าพสงู 66 ฐานการเรียนรทู้ ี่ 7 ห้องสมุดประชาชนอาเภอบางปลาม้า 71 ฐานการเรยี นรู้ท่ี 8 ธนาคารนาใตด้ นิ ระบบปิด 74 ฐานการเรียนรทู้ ่ี 9 ปรบั ปรงุ บารุงดิน 82 ฐานการเรียนรูท้ ่ี 10 การปลกู ผกั สวนครัว ฐานการเรียนรู้ท่ี 11 การปลูกกลว้ ย บรรณานกุ รม

ฐานที่ 1 การทาปยุ๋ หมัก ปุ๋ยหมัก คือ ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยธรรมชาติ ชนิดหนึ่งที่ได้มาจากการนําเอาเศษซากพืช เช่น ฟางข้า ซัง ข้าวโพด ต้นถั่วต่าง ๆ หญ้าแห้ง ผักตบชวา ของเหลือท้ิงจากโรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนขยะมูลฝอยตาม บา้ นเรือนมาหมักรว่ มกับมลู สตั ว์ ปุ๋ยเคมีหรือสารเร่งจุลินทรีย์เมื่อหมักโดยใช้ระยะเวลาหน่ึงแล้ว เศษพืชจะเปลี่ยน สภาพจากของเดิมเป็นผงเปื่อยยุ่ยสีนํ้าตาลปนดํานําไปใส่ในไร่นาหรือพืชสวน เช่น ไม้ผล พืชผัก หรือไม้ดอกไม้ ประดบั ได้ องคป์ ระกอบของดนิ ดนิ (Soil) คือ เทหวตั ถทุ เี่ กดิ ขน้ึ จากการผพุ ังและแปรสภาพของหนิ และแร่ธาตใุ นธรรมชาติ ร่วมกับ อนิ ทรียวตั ถทุ ่ีได้จากการย่อยสลายซากพืชซากสตั ว์ทเี่ น่าเป่ือย นํา้ และอากาศ ซงึ่ ผสมคลุกเคล้าและเกาะกลมุ่ รวมตัวกนั จนเกิดเป็นเม็ดดิน (Soil Aggregate) และ องค์ประกอบของดนิ เหลา่ นั้น กลายเปน็ ผนื ดนิ ท่ีปกคลุม พื้นผิวชัน้ บนของโลกในทา้ ยที่สดุ ดินแตล่ ะชนิด มีลกั ษณะและคุณสมบัติแตกตา่ งกันออกไปตามอิทธพิ ลของภมู ิ ประเทศ สภาพภมู ิอากาศ แหลง่ ต้นกําเนิด และสิ่งมชี ีวิตทเ่ี จรญิ เตบิ โตในพ้ืนท่ดี ังกล่าว ตลอดจนระยะเวลาของการ พฒั นาหรอื การสรา้ งตัวตามกระบวนการทางธรรมชาติ องคป์ ระกอบของดิน (Soil Component) สามารถจาแนกออกเป็น 4 ส่วน ไดแ้ ก่ 1. อนนิ ทรยี วัตถุ (Mineral Matter) คือ ส่วนประกอบของแรธ่ าตุต่าง ๆ ภายในดิน ซ่ึงเกดิ จากการ ผพุ ังหรอื การสึกกร่อนท้ังทางกายภาพ ทางเคมี และทางชวี ภาพของหินจากปัจจัยท้ังหลายในธรรมชาติ โดยอนินทรยี ์วตั ถุ หรอื แร่ธาตใุ นดินนบั เป็นองค์ประกอบสําคญั ทีส่ ามารถกําหนดลกั ษณะของเน้ือดนิ (Soil Texture) รวมถงึ คณุ สมบัตใิ นการเป็นแหลง่ กาํ เนดิ ของธาตุอาหารต่าง ๆ ของพชื เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 1 ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอบางปลามา้

2. อินทรยี วตั ถุ (Organic Matter) คอื ส่วนประกอบท่เี กิดจากการเนา่ เปื่อยหรือการย่อยสลายซากพืชซาก สตั ว์ทีท่ บั ถมกนั หรอื “ฮิวมัส” (Humus) รวมถึงสง่ิ มีชวี ิตขนาดเลก็ เชน่ ไส้เดือน แมลง จุลนิ ทรียต์ า่ ง ๆ ภายในดนิ ดงั นัน้ อนิ ทรียวัตถจุ ึงมผี ลตอ่ การกําหนดคุณสมบตั ิและลักษณะตา่ ง ๆ ของดนิ เช่น โครงสรา้ งดนิ ความร่วนซุย การระบายนาํ้ และการถา่ ยเทอากาศ ซ่ึงสง่ ผลต่อระดบั ความอุดมสมบูรณ์ของดนิ และความสามารถในการใหผ้ ล ผลิตทางการเกษตรอีกดว้ ย เนือ่ งจากอนิ ทรียวัตถุส่วนใหญ่เกดิ จากการย่อยสลายซากสิ่งมชี วี ิต แร่ธาตหุ ลักของ อินทรยี วัตถใุ นดินจงึ ประกอบดว้ ย คารบ์ อน (Carbon) ไฮโดรเจน (Hydrogen) ออกซเิ จน (Oxygen) ไนโตรเจน (Nitrogen) ฟอสฟอรสั (Phosphorus) และกาํ มะถัน (Sulfur) 3. นา้ (Water) คอื ส่วนของสารละลายที่แทรกตวั อยตู่ ามชอ่ งวา่ งระหวา่ งเม็ดดนิ หรืออนภุ าคดนิ ซึ่งนา้ํ ในดิน มีบทบาทสําคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช จากความสามารถในการละลายแร่ธาตุตา่ ง ๆ ภายในดินและมสี ว่ นชว่ ย ในการเคล่ือนย้ายสารอาหารจากรากไปสูเ่ นื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของพชื อกี ท้งั ยังเปน็ ตวั การที่ทําหน้าที่ควบคมุ อุณหภมู ขิ องดินไม่ใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงอยา่ งฉับพลนั จนกอ่ ให้เกดิ ผลกระทบทร่ี ุนแรงต่อการเจริญเติบโตของพชื 4. อากาศ (Air) คอื สว่ นของก๊าซตา่ ง ๆ ท่แี ทรกตัวอยตู่ ามช่องวา่ งระหวา่ งเม็ดดินหรอื อนภุ าคดินในส่วนท่ไี ม่ มนี ้ํา ดงั นน้ั ปรมิ าณของอากาศในดนิ จงึ แปรผันโดยตรงกับปรมิ าณนํา้ ในดิน ก๊าซส่วนใหญ่ทีพ่ บทวั่ ไปในดิน ไดแ้ ก่ กา๊ ซไนโตรเจน (N2) ออกซิเจน (O2) และคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) โดยดินทม่ี ีลกั ษณะค่อนข้างโปร่งหรือมรี ู พรนุ จํานวนมาก มักจะมกี ารระบายอากาศได้ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัตทิ จี่ ําเป็นต่อการสรา้ งพลังงาน การเจรญิ เตบิ โต และการหายใจของส่ิงมชี ีวิตภายในดิน ที่มา : https://ngthai.com/science/30043/soil-component/ องคป์ ระกอบของดนิ .html เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 2 ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลาม้า

คณุ สมบัตขิ องปุ๋ยหมัก  ช่วยเพิ่มปรมิ าณอินทรยี ว์ ัตถุให้แก่ดนิ ทําใหด้ ินอดุ มสมบูรณ์  ช่วยเปล่ียนสภาพของดนิ จากดนิ เหนียวหรอื ดนิ ทรายใหเ้ ป็นดนิ ร่วนทาํ ใหส้ ะดวกในการไถพรวน  ชว่ ยสงวนรกั ษาความชมุ่ ชน้ื ในดินไดด้ ีขน้ึ  ทําให้การถา่ ยเทอากาศในดินได้ดี  ชว่ ยเพ่มิ ประสทิ ธิภาพในการใช้ปยุ๋ เคมีและสามารถลดการใช้ป๋ยุ เคมลี งได้ ประโยชน์ปุ๋ยหมกั 1.เพ่มิ ความอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ ท้งั ปริมาณอนิ ทรยี ว์ ตั ถุ แรธ่ าตุอาหาร ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม 2. ช่วยในการย่อยสลายซากพืช ซากสตั ว์ในดิน ทาํ ใหธ้ าตุอาหารถูกพืชนําไปใช้ไดร้ วดเร็วข้นึ 3. ช่วยเพ่มิ จุลนิ ทรยี ์ทมี่ ปี ระโยชนใ์ นดิน 4. ช่วยต้านการแพร่ของจลุ นิ ทรยี ก์ อ่ โรคพืชชนิดตา่ งๆในดิน 5. ทาํ ให้ดนิ มีความรว่ นซยุ จากองคป์ ระกอบของดินทม่ี ีดิน อนิ ทรีย์วตั ถุ นา้ํ และอากาศในสัดสว่ นทีเ่ หมาะสม 6. ช่วยปรับสภาพ pH ของดิน ให้เหมาะสมกับการปลูกพชื 7. ช่วยเพ่มิ ประสิทธภิ าพในการดงึ แร่ธาตขุ องพืชจากปุ๋ยเคมีหรอื ปยุ๋ อน่ื ที่เกษตรกรใส่ 8. ช่วยดดู ซับความชน้ื ไว้ในดินใหน้ านขึน้ ทําใหด้ ินชุ่มชืน้ ตลอดเวลา วตั ถุดบิ ท่นี าไปใช้ทาป๋ยุ  อินทรีย์วตั ถุ เชน่ ใบไม้ หญ้า ฟาง 4 ส่วน  มูลสตั ว์หรือปุ๋ยคอก 1 สว่ น  ราํ (ถ้าม)ี  น้าสะอาด + ปุ๋ยน้ํา เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 3 ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลามา้

วธิ กี ารทาปุย๋ หมกั วิธีทา 1. คลกุ เคล้าอนิ ทรยี ว์ ัตถุกับมลู สัตวห์ รือป๋ยุ คอก 2. โรยรํา (ถ้ามี) และป๋ยุ นํ้าผสมนา้ํ (1/200) คลกุ เคล้าใหเ้ ข้ากนั แค่พอชืน้ ๆไมต่ ้องแฉะ 3. ปดิ คลุมท้งิ ไว้ 3 สปั ดาห์ 4. กลับกองปยุ๋ ทํา 3 คร้งั 5. นําเขา้ พักไวใ้ นที่ร่ม เพ่ือคลายความรอ้ น อัตราการใช้ปยุ๋ หมกั วิธกี ารใส่ปุ๋ยหมกั แบบเป็นแถวนี้เหมาะสมท่ีจะใช้รว่ มกบั การใสป่ ุ๋ยเคมีแบบโรยเป็นแถวสาํ หรับการ ปลูกพืชไร่ทั่วไป เนอ่ื งจากปุ๋ยหมักจะชว่ ยเพ่ิมประสิทธภิ าพของป๋ยุ เคมที ี่ใส่ใหเ้ ป็นประโยชน์ต่อการเจรญิ เตบิ โต ของพืช อัตราปยุ๋ หมักที่ใช้ประมาณ 3 ตนั ตอ่ ไรต่ ่อปี โดยใชร้ ว่ มกับปยุ๋ เคมีสูตร 16-20-0, 18-22-0 ใน อัตรา 25-50 กก. ต่อไร่ เอกสารประกอบการเรียนรู้ 4 ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลามา้

ความรู้ การถอดบทเรียนเรอื่ งการทาปยุ๋ หมัก ฐานที่ 1 - องคป์ ระกอบของดิน - คณุ สมบัติของปุ๋ยหมัก การทาปุย๋ หมกั -ประโยชน์ของป๋ยุ หมกั -วัตถุดบิ ท่ีนาไปใชท้ าปยุ๋ คุณธรรม - วธิ กี ารทาป๋ยุ หมัก - อัตราการใช้ - ขยนั หมั่นเพยี ร - ความอดทน - ความช่ือสัตย์ - ความรบั ผดิ ชอบ - ความตรงตอ่ เวลา - ความรอบรู้ ความพอประมาณ - ใชว้ ตั ถุท่มี ีในท้องถิ่น - พง่ึ พาตนเอง - ประหยดั -กาหนดพ้ืนทีใ่ นการทาปยุ๋ หมกั ตามสภาพ พน้ื ท่ีของครัวเรือน มีเหตุผล มภี ูมิคุ้มกันในตัวทด่ี ี - ลดปริมาณใบไม้ เศษพืช - สุขภาพดี - ประหยดั -ผลิตป๋ยุ หมกั ท่มี คี ณุ ภาพ - ลดการใชส้ ารเคมี - ผลผลติ มีคณุ ภาพและปลอดภัย -ช่วยปรับสภาพดิน -บารุงพชื วตั ถ/ุ เศรษฐกจิ สังคม ส่ิงแวดล้อม วัฒนธรรม - ลดรายจา่ ย - รูจ้ กั การแบ่งปนั - ลดการใช้สารเคมี - ภูมิปญั ญาท้องถนิ่ ดา้ นการ - วัตถดุ บิ เหลอื ใชใ้ นทอ้ งถน่ิ - การแลกเปลยี่ นการเรียนรู้ - ลดสภาวะโลกรอ้ น ทาปุ๋ยหมกั - เพ่มิ รายได้ - เกิดการรว่ มกลุ่มในชมุ ชน - ไม่ทาลายสงิ่ แวดล้อม - สร้างอาชพี เสรมิ -ประชาชนในชุมชนมี - ดินไมเ่ สื่อมคณุ ภาพ สขุ ภาพดี - การบริหารจัดการขยะ - ปรับสภาพดนิ - ภูมิทศั นส์ วยงาม เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 5 ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลาม้า

ฐานที่ 2 การบริหารจัดการขยะ ประเภทของขยะ ปัจจบุ ันมีการรณรงค์ในเร่ืองของการคัดแยกขยะมากข้นึ เนอ่ื งจากเหน็ ความสาคัญของสิ่งแวดล้อม กอ่ นทจ่ี ะหย่อนขยะลงในถังน้นั ลองมาทาความเข้าใจถึงประเภทของขยะ ซงึ่ แบ่งเปน็ 4 ประเภท ดังน้ี 1.ขยะย่อยสลาย คอื ขยะเน่าเสยี และย่อยสลายได้เร็ว นาํ มาหมกั ทาํ ป๋ยุ ได้ เชน่ เศษผัก เปลอื กผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เศษเนื้อสตั ว์ เป็นต้น 2.ขยะรไี ซเคลิ คอื ของเสียบรรจุภัณฑห์ รอื วสั ดเุ หลือใช้ท่ีนาํ กลบั มาใช้ประโยชน์ใหมไ่ ด้ เชน่ แกว้ กระดาษ กระป๋องเคร่ืองดื่ม เศษพลาสติก เศษโลหะ กล่องเคร่ืองดื่ม เปน็ ตน้ 3.ขยะท่ัวไป คือ ขยะประเภทอน่ื ๆ ทยี่ ่อยสลายยาก ไมค่ ุ้มคา่ ถา้ นาํ กลับมาใช้ประโยชนใ์ หม่ เชน่ พลาสตกิ ห่อลูกอม ซองบะหมี่กึง่ สําเร็จรปู ถุงพลาสติกเปื้อนเศษอาหาร เป็นต้น 4.ขยะอันตราย คอื ขยะปนเปื้อนทีก่ ่อให้เกดิ อนั ตรายต่อคนและส่งิ แวดล้อม ได้แก่ ติดไฟง่าย ปนเปอื้ น สารพษิ กดั กรอ่ น มีเช้ือโรคปะปนอยู่ ระเบิด ทําให้ระคายเคือง เปน็ ตน้ ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/444229-ประเภทขยะ.html การคัดแยกขยะประเภทตา่ งๆ ขยะมูลฝอย คอื ของเหลือท้ิงจากการใชส้ อยของมนษุ ย์ซึ่งเกดิ จากกจิ การตา่ งๆ ในชีวติ ประจําวนั หากมี การคัดแยกขยะก่อนทง้ิ เพ่ือนากลบั มาใชป้ ระโยชน์ สง่ิ เหลา่ น้ันถกู เรยี กว่า “วัสดุเหลอื ใช้” เนอ่ื งจากเรายังไม่ได้ท้ิง จงึ ยังไม่เปน็ ขยะ หรอื ท่ีเรียกว่าขยะรีไซเคลิ หรือขยะท่ีสามารถนาํ ไปขายได้ เช่น ขวด แกว้ พลาสตกิ เศษแก้ว เอกสารประกอบการเรียนรู้ 6 ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอบางปลามา้

กระป๋องน้าํ อัดลม กระป๋องนํ้าผลไม้ ขวดแกว้ เศษกระดาษ กลอ่ งเคร่อื งดื่ม ถุงพลาสติก ถุงนา้ํ ยาปรับผา้ นมุ่ ซง่ึ เปน็ ขยะมลู ฝอยท้งั หมด ขยะประเภทนีใ้ ห้แยกใส่ถังสีเหลืองเพอ่ื จะถูกนําไปรีไซเคิลและนาํ กลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม/่ / ถงั ขยะสเี หลอื ง ขยะย่อยสลายได้ เชน่ เศษอาหารและพืชผกั ท่ีเหลือจากการรบั ประทานและการประกอบอาหาร สามารถ นาํ ไปหมกั ทําปยุ๋ ได้ จากปรมิ าณขยะมูลฝอยท้ังหมด ขยะประเภทนี้ให้แยกใสถ่ ังสีเขยี ว เพ่ือจะนาํ ไปทาํ ปยุ๋ หมัก//ถงั ขยะสีเขยี ว ขยะทัว่ ไป เป็นขยะทย่ี ่อยสลายยากและไม่คุ้มค่าในการนาํ ไปรไี ซเคิล เชน่ พลาสติกใสอ่ าหาร หลอด ซอง ขนม ซองลูกอม ซองบะหม่ี ทิชชู กลอ่ งอาหาร แก้ว กระดาษเคลอื บใส่เครอ่ื งด่มื ขยะประเภทนใี้ ห้แยกใสถ่ งั สนี ํา้ เงิน เพ่อื จะถูกนาํ ไปฝังกลบรอการย่อยสลาย//ถังขยะสฟี ูา ขยะมีพษิ ที่ต้องเก็บรวบรวมแล้วนาํ ไปกําจดั อยา่ งถูกวิธี เชน่ กระปอ๋ งยาฆ่าแมลง หลอดไฟ ถา่ นไฟฉาย ซึง่ จาขยะประเภทนี้ให้แยกใส่ถงั สแี ดง เพื่อจะนาํ ไปกําจัดอยา่ งถูกวิธ/ี /ถังขยะสแี ดง การจัดการขยะโดยใช้หลัก 3R 1. ลดการใช้ (Reduce) 1.1 ปฏเิ สธหรอื หลีกเลี่ยงสง่ิ ของหรอื บรรจภุ ณั ฑท์ ีจ่ ะสร้างปัญหาขยะ (Refuse) 1.1.1 ปฏิเสธการใชบ้ รรจภุ ณั ฑฟ์ ุมเฟือย รวมทั้งขยะทเ่ี ป็นมลพิษต่อสงิ่ แวดล้อม อาทิเชน่ กล่องโฟม ถงุ พลาสตกิ หรอื ขยะมีพษิ อน่ื ๆ 1.1.2 หลกี เลย่ี งการเลือกซอ้ื สนิ ค้าหรือผลติ ภัณฑท์ ี่ใชบ้ รรจุภัณฑห์ ่อหุม้ หลายชั้น 1.1.3 หลีกเล่ยี งการเลือกซอื้ สินคา้ ชนิดใช้คร้ังเดียว หรือผลิตภณั ฑท์ ี่มีอายุการใชง้ านต่างๆ 1.1.4 ไม่สนบั สนุนร้านค้าท่ีกักเก็บและจาหนว่ ยสนิ ค้าทีใ่ ช้บรรจภุ ณั ฑ์ฟุมเฟือย และไม่มีระบบ เรยี กคนื บรรจภุ ณั ฑ์ใชแ้ ลว้ 1.1.5 กรณีการเลอื กซื้อผลิตภัณฑป์ ระจําบา้ นทีใ่ ช้เปน็ ประจํา เช่น สบู่ ผงซักฟอก น้าํ ยาล้างจาน ใหเ้ ลือกซ้ือผลติ ภัณฑ์ทีม่ ขี นาดบรรจใุ หญ่กวา่ เนื่องจากใช้บรรจุภณั ฑน์ อ้ ยกวา่ เมอ่ื เปรียบเทยี บกับหนว่ ยนา้ํ หนกั ของผลิตภัณฑ์ 1.1.6 ลดหรอื งดการบรโิ ภคท่ีฟุมเฟือย โดยเลอื กใช้สินค้าหรอื ผลิตภัณฑ์ใหเ้ หมาะสมกับ ความต้องการ 1.2 เลอื กใช้สินคา้ ทีส่ ามารถส่งคืนบรรจภุ ณั ฑ์สผู่ ้ผู ลิตได้ (Return) 1.2.1 เลอื กซอื้ สนิ ค้าหรอื ใช้ผลิตภณั ฑท์ มี่ รี ะบบมัดจํา คนื เงิน เช่น ขวดเคร่ืองดื่มประเภทตา่ ง ๆ 1.2.2 เลอื กซือ้ สนิ ค้าหรอื ผลิตภัณฑ์ที่สามารถนากลับไปรไี ซเคลิ ได้ หรือมสี ่วนประกอบของวสั ดุ รไี ซเคลิ เช่น ถงุ ช๊อปป้ิง โปสการด์ 1.2.3 เลือกซือ้ สนิ ค้าหรอื ผลิตภณั ฑ์ทผี่ ู้ผลติ เรยี กคนื ซากบรรจุภณั ฑ์ หลงั จากการบริโภคของ ประชาชน 2. ใชซ้ า้ (Reuse) ใช้ซ้ํา เป็นหนึง่ ในแนวทางการใชป้ ระโยชนจ์ ากทรัพยากรทมี่ อี ยู่อยา่ งรู้คณุ ค่า การใช้ซา้ํ เปน็ การทเ่ี รานํา สง่ิ ตา่ งๆ ทีใ่ ช้งานไปแล้ว และยังสามารถใช้งานได้ กลับมาใชอ้ กี เป็นการลดการใชท้ รัพยากรใหม่ รวมท้งั เปน็ การ ลดปริมาณขยะที่จะเกิดข้นึ อีกดว้ ย ตวั อยา่ งของการใช้ซํ้า ก็เชน่ 2.1 เลือกซื้อหรือใชผ้ ลิตภณั ฑ์ทอ่ี อกแบบมาใหใ้ ช้ได้มากกว่า 1 ครงั้ เช่น แบตเตอรป่ี ระจุไฟฟูาใหม่ได้ 2.2 ซ่อมแซมเคร่ืองใช้ และอุปกรณ์ตา่ งๆ (Repair) ให้สามารถใชป้ ระโยชนต์ ่อไปไดอ้ ีก 2.3 บาํ รุงรกั ษาเคร่ืองใช้ อุปกรณ์ตา่ งๆ ใหส้ ามารถใช้งานไดค้ งทนและยาวนานขนึ้ เอกสารประกอบการเรียนรู้ 7 ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลาม้า

2.4 นําบรรจภุ ณั ฑ์และวัสดุเหลอื ใชอ้ ่นื ๆ กลบั มาใชป้ ระโยชน์ใหม่ เชน่ การใชซ้ ้าํ ถุงพลาสติก ถุงผา้ ถุงกระดาษ และกล่องกระดาษ การใชซ้ าํ้ ขวดนา้ ด่ืม เหยือกนม และกล่องใสข่ นม 2.5 ยืม เช่า หรอื ใช้สง่ิ ของหรือผลิตภัณฑท์ ีใ่ ชบ้ ่อยครัง้ รว่ มกัน เชน่ หนงั สือพิมพ์ วารสาร 2.6 บรจิ าคหรอื ขายส่ิงของเคร่อื งใช้ต่างๆ เช่น หนงั สือ เสือ้ ผ้า เฟอรน์ ิเจอร์ และเคร่ืองมอื ใชส้ อยอนื่ ๆ 2.7 นําสง่ิ ของมาดดั แปลงให้ใช้ประโยชนไ์ ดอ้ ีก เชน่ การนํายางรถยนตม์ าทาํ เก้าอ้ี การนําขวดพลาสติก มาดัดแปลงเป็นที่ใสข่ อง แจกัน การนาเศษผ้ามาทาเปลนอน เปน็ ตน้ 2.8 ใช้ซํ้าวสั ดสุ านักงาน เช่น การใช้กระดาษทงั้ สองหน้า เป็นต้น 3. รีไซเคิล (Recycle) รไี ซเคิล เปน็ การนําวัสดตุ ่างๆ อยา่ งเชน่ กระดาษ แกว้ พลาสตกิ เหล็ก อะลมู ิเนียม ฯลฯ มาแปรรูป โดยกรรมวธิ ตี า่ งๆ เพื่อนํากลับมาใช้ใหม่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดปรมิ าณขยะมูลฝอยแลว้ ยงั เปน็ การลดการใช้ พลังงานและลดมลพิษท่เี กิดกับสง่ิ แวดล้อม ซึ่งสามารถทําได้โดย 3.1 คัดแยกขยะรไี ซเคิลแต่ละประเภท ได้แก่ แก้ว กระดาษ พลาสติก โลหะ/อโลหะ เพ่อื ให้ง่ายตอ่ การ นําไปรีไซเคิล 3.2 นาํ ไปขาย/บริจาค/นาเขา้ ธนาคารขยะ/กิจกรรมขยะแลกไข่ เพอ่ื เข้าสู่วงจรของการนํากลับไป รไี ซเคลิ ทม่ี า : http://www.pcd.go.th/info_serv/waste_3R.htm ทม่ี าภาพ : https://occ.csc.ku.ac.th/greenoffice/?p=21 วิธกี ารลดปริมาณขยะ การลดปริมาณขยะ หมายความถึงการลดการก่อขยะ ( การลดบรรจุภณั ฑ์ การหวิ้ ตะกร้า ใช้ถุงผ้าไปซื้อ ของไปจ่ายตลาด ใช้ปิน่ โตไปซอื้ อาหาร รวมถึงการนํากลบั มาใชใ้ หม่ บางคร้ังกจ็ ะเรียกรวมเปน็ 3R คือ Reduce Reuse และ Recycle Reduce คือการลดการก่อขยะ Reuse คือการนํากลับมาใช้ใหม่ในสภาพเดิม เช่น ขวดนํ้าอัดลม Recycle คือการนํากลับมาใช้ใหม่โดยผ่านการแปรสภาพ เช่น นําเศษกระดาษมาผลิตเป็นกระดาษใหม่แต่ คณุ ภาพจะลดลง ในการจัดการขยะมูลฝอย ถ้าทําให้ถูกวิธี ไม่มีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ จะสูงมากๆ วิธีที่จะลดค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะมูลฝอยที่ดีท่ีสุดก็คือการลดปริมาณขยะ สามารถแยก องค์ประกอบของขยะมูลฝอยอย่างง่ายๆ จะได้ขยะรีไซเคิลหรือของขายได้ 40% ขยะอินทรีย์หรือขยะ ชวี ภาพ 40% เปน็ ขยะท่ีต้องนําไปกําจดั 20% เอกสารประกอบการเรียนรู้ 8 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลามา้

ทมี่ าภาพ : การลดปริมาณขยะ https://www.gotoknow.org/posts/81462 ทมี่ าภาพ : การลดปริมาณขยะ https://www.gotoknow.org/posts/81462 ประโยชน์ท่ีได้รบั จากการคัดแยกขยะ 1. ช่วยลดปริมาณขยะ เพราะเม่ือแยกขยะท่ีรีไซเคลิ ได้ จะเหลอื ขยะจรงิ ๆ เพื่อนาํ ไปกาํ จัดน้อยลง 2. ใชง้ บเพื่อการกาํ จัดขยะน้อยลง สามารถนาํ งบไปพฒั นาด้านอนื่ เพื่อคุณภาพชวี ิตที่ดีขึน้ ได้ 3. ชว่ ยลดการสิน้ เปลอื งพลงั งานและทรัพยากร โดยการรไี ซเคิล ซง่ึ บางอย่างสามารถขายและชว่ ยเพิม่ รายได้เล็กๆ น้อยๆ เข้ากระเป๋าด้วย 4. ช่วยรกั ษาสงิ่ แวดลอ้ มเกดิ มลพษิ ต่อโลกนอ้ ยลง เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 9 ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลาม้า

ทกั ษะการทางานรว่ มกนั ทกั ษะการทาํ งานรว่ มกนั เปน็ ทักษะทางสังคมที่สําคญั อย่างหนึ่งของมนษุ ย์เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม การทํางานเป็นกลุ่มจะเน้นการมสี ่วนรว่ มโดยบุคคลหรือสมาชกิ กลุม่ ท่ีมีความรู้ ความสามารถร่วมมือกันทํางานมี การระดมสมองเพ่ือใหก้ ารทาํ งานมีประสิทธภิ าพทัง้ ในด้านปรมิ าณและคณุ ภาพ ดังนน้ั การทํางานเป็นกลุ่มจึงมี ลกั ษณะเปน็ กระบวนการที่เรยี กว่า กระบวนการกลุ่ม กระบวนการกลุ่มหมายถึง กระบวนการทํางานรว่ มกันตัง้ แต่ ๒ คนข้ึนไปโดยมีวตั ถุประสงคแ์ ละการ ดาํ เนนิ งานร่วมกนั ลักษณะกลุ่มท่ีดีมลี ักษณะดังน้ี 1. มีโครงสร้าง มกี ารจัดตาํ แหนง่ หนา้ ที่ไดเ้ หมาะสมกับความรู้เชน่ ประธาน รองประธาน รองหัวหนา้ เหรญั ญิก ประชาสมั พนั ธ์ เลขานุการ 2. มีความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมาชิก 3. มีบรรทัดฐานหรือกฎระเบียบ 4. มีค่านิยมและทศั นคติเหมือนกนั 5. มีงานมีกจิ กรรมมวี ตั ถปุ ระสงค์ของกลุม่ 6. ต้องมีเวลาในการอย่รู ว่ มกันระยะหน่ึง 7. สมาชกิ ทกุ คนต้องมีความคุ้นเคยกนั อย่างดี หลักการทางานของกระบวนการกลุ่มมีขน้ั ตอนดังน้ี 1. ข้ันตระหนัก สมาชิกทุกคนเห็นความสาํ คญั ของกจิ กรรมกิจกรรมท่ีสําคญั ของกระบวนการกลุ่ม ท่จี ะต้องทํามี 6 ประการ 1.1 ประชุมเพื่อเลือกประธาน 1.2 มอบหมายหนา้ ที่ 1.3 มอบหมายงาน 1.4 สมาชกิ รว่ มกันอภปิ ราย 1.5 ผู้ทาํ หนา้ ที่เลขาตอ้ งบันทกึ 1.6 กอ่ นปดิ ประชมุ ตอ้ งนดั หมาย 2. ข้นั วางแผนปฏิบัติงาน สมาชิกรว่ มกันวางแผนว่าจะปฏิบัตงิ านวธิ ไี หนมีขนั้ ตอนอย่างไร ใครเป็น ผรู้ บั ผิดชอบจะตดิ ตามตรวจสอบอยา่ งไรปรบั ปรงุ แก้ไข 3. ข้นั ลงมอื ปฏิบัติงาน นกั เรยี นปฏิบัติงานตามแผนทไ่ี ด้วางไวโ้ ดยมีตารางการปฏบิ ตั งิ าน 4. ข้นั ตรวจสอบประเมนิ ผลงาน เปน็ ไปตามแผนหรอื ไม่มอี ุปสรรคอะไร มีสง่ิ ใดต้องปรบั ปรงุ แก้ไขอาจ มอบหมายใหผ้ ูป้ ฏบิ ัตงิ านเป็นผูต้ รวจหรือสมาชกิ คนอน่ื 5. ข้ันปรบั ปรงุ แกไ้ ข และพฒั นางานหลงั จากมีการประเมินผลการปฏิบัติงานถ้างานไมเ่ ปน็ ไปตามกาํ หนด เปูาหมายต้องปรับปรุงแกไ้ ขหรอื ใหพ้ ฒั นายิ่งข้นึ เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 10 ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลามา้

ระยะเวลาของการทางานด้วยกระบวนการกลุม่ 1. ระยะสร้างสัมพันธภาพ ระหว่างผู้นํากับสมาชิกกลมุ่ ผู้นาํ กลุ่มต้องสร้างบรรยากาศ สร้างความไว้วางใจ ไม่ใชค้ วามคิดตัวเองเป็นตวั ตดั สิน 2. ระยะดาํ เนินการ เป็นระยะทีส่ มาชกิ ไวว้ างใจ 3. ระยะสน้ิ สุดการทํางานกลมุ่ ผู้นาํ กลมุ่ จะสรุปผลงานและประสบการณ์ทงั้ หมดในการทาํ งานและให้ สมาชิกประเมินความก้าวหนา้ ที่มาภาพ : https://mgronline.com/management/detail เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 11 ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลาม้า

การถอดบทเรียนเรอื่ งการบริหารจัดการขยะ ฐานท่ี 2 การบริหารจัดการขยะ ความรู้ คุณธรรม - มีความรู้ในเรอื่ งประเภทของขยะ - ขยนั คัดแยกขยะใหเ้ ปน็ ระเบยี บและถูกวธิ ี - วิธกี ารคดั แยกขยะ - ประหยดั รจู้ ักใช้ประโยชนจ์ ากขยะ มีรายได้ - ประโยชน์ของขยะ จากการขายขยะและรู้และรู้จักการทาบันทึก - การนาขยะไปใช้ประโยชน์/รไี ซเคิล - มีความรู้เรื่องการขาย/การทาบนั ทกึ รายรบั -รายจ่าย รายรับ-รายจ่าย - ความมรี ะเบยี บวนิ ัย ท้งิ ขยะให้เปน็ ทแ่ี ละถูกวิธี - ราคารับซื้อขยะ - ความสามัคคี การทางานรว่ มกนั - สะอาด บรเิ วณบ้าน ชมุ ชนเป็นระเบยี บเรยี บร้อย - ราคารบั ซอื้ ขยะ ความพอประมาณ - เลอื กใชบ้ รรจุภณั ฑ์ท่ไี ม่ กอ่ ให้เกิดขยะ - ใชข้ องอยา่ งประหยดั ไม่ ฟุมเฟอื ย - นําวัสดรุ ไี ซเคลิ มาใชซ้ ้าํ อยา่ ง อยา่ งคุ้มค่าก่อนนําไปกาํ จดั มเี หตผุ ล มภี ูมิคุ้มกันในตวั ทีด่ ี - เพ่ือการอปุ โภค บรโิ ภคทไี่ ม่ - วางแผนการดําเนนิ งานจดั การ กอ่ ใหเ้ กิดขยะ ขยะอยา่ งเปน็ ระบบ - เพอื่ การเลือกใชท้ รพั ยากรที่มี - เลอื กใช้วัสดบุ รรจภุ ณั ฑท์ ่ีไม่ทํา อยูใ่ ห้เกดิ ความยงั่ ยืน ใหเ้ กดิ ขยะ - สร้างจิตสาํ นกึ ทด่ี ีแก่ชุมชน - สามารถคดั แยกขยะได้อย่าง ถกู วิธี วตั ถุ/เศรษฐกจิ สังคม สง่ิ แวดลอ้ ม วฒั นธรรม - คัดแยกขยะเพอื่ นามารี - เกดิ ความสามัคคี - รกั ษาความสะอาด ภายใน - มีจติ สานกึ ในการจดั การ ชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั บริเวณ สถานศึกษา/กศน. ขยะ ไซเคิล - เกิดการมีวนิ ัย/มคี วาม ตาบลและในชุมชน - ลดปญั หาด้านขยะ - ลดสภาวะโลกร้อน - มรี ายได้จากการขายขยะ ซ่อื สตั ย์ - มลี ดปรมิ าณขยะ เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 12 ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอบางปลามา้

ฐานที่ 3 สิง่ ประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ การคดั แยกขยะ การคัดแยกขยะก่อนท้ิง เพื่อนํากลับมาใช้ประโยชน์ ส่ิงเหล่าน้ันถูกเรียกว่า “วัสดุเหลือใช้” เน่ืองจากเรา ยังไม่ได้ท้ิงจึงยังไม่เป็นขยะ หรือท่ีเรียกว่าขยะรีไซเคิลหรือขยะที่สามารถนําไปขายได้ เช่น ขวด แก้ว พลาสติก เศษแก้ว กระป๋องน้ําอัดลม กระป๋องนํ้าผลไม้ ขวดแก้ว เศษกระดาษ กล่องเคร่ืองด่ืม ถุงพลาสติก ถุงน้ํายาปรับผ้า นุ่ม เป็นต้น จากการคัดแยกขยะประเภทต่าง ๆ จะเห็นได้ว่ามีขยะบางประเภทที่สามารถนําไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ซึง่ การใช้ประโยชน์นนั้ ก็คือการนาํ มาประดษิ ฐ์เปน็ ส่ิงของตา่ ง ๆ ใหม้ คี วามเหมาะสมตอ่ การใช้งาน การประดษิ ฐ์ผลงานจากเศษวัสดุ การประดิษฐ์ผลงานจากเศษวัสดุ หมายถึง การนําเอาสิ่งของที่ไม่ใช้ แล้วมาทําให้เกิดประโยชน์ใช้สอย และมีความงามโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์ของผู้ประดิษฐ์ เพื่อให้ได้ผลงานท่ีเป็นของใช้ ของประดับตกแต่ ง และ ของชําร่วย ตัวอยา่ งงานประดิษฐ์จากเศษวัสดุ แหล่งทม่ี าของเศษวัสดุ เศษวัสดทุ ีจ่ ะนาํ มาใชค้ วรเลือกใหเ้ หมาะสมกับสิง่ ทจ่ี ะประดษิ ฐ์ และควรใช้วัสดุท่ีหากได้ง่ายในท้องถ่ินของ ตน ไมค่ วรใชว้ ัสดทุ ห่ี ายากหรือตอ้ งซอื้ มาดว้ ยราคาทแ่ี พง ส่งิ ท่ีควรคาํ นงึ ถึงในการเลอื กเศษวัสดุ มดี ังนี้ 1) ตอ้ งเปน็ วัสดุในท้องถิ่นทมี่ ีปริมาณมากพอหาไดง้ า่ ย และมีราคาถกู 2) สามารถนํามาประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ เครื่องประดับ หรือสิ่งของต่าง ๆ ได้ง่าย ซึ่งมีขั้นตอนที่ไม่ ยุง่ ยากและซบั ซอ้ น เอกสารประกอบการเรียนรู้ 13 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอบางปลาม้า

3) วัสดุต้องไม่มีลักษณะแหลมคมหรือแตกง่าย เมื่อนํามาประดิษฐ์แล้วอาจจะเกิดอันตรายท้ังในขณะทํา หรอื เมอื่ นําไปใช้ เช่น เปลือกหอยเม่นทีม่ ีหนามแหลมคมแกว้ และกระจกท่ีแตกง่าย 4) วัสดุจากธรรมชาติ เช่น เมล็ดพืชบางชนิดมียางหรือขนที่อาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้ ไม่ว่าจะเป็น การทําใหเ้ กดิ อาการคันหรอื เป็นแผล แหล่งท่ีมาของวสั ดทุ ห่ี าไดง้ า่ ยและประหยัด แบง่ ออกได้ดังนี้ 1. วสั ดุที่ได้จากธรรมชาติ คือ วัสดุที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ ได้แก่ ส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ลําต้น กิ่ง ก้าน ดอกไม้แห้ง ใบไม้ เมล็ดพืช เมล็ดข้าว ส่วนท่ีได้จาก สัตว์ เช่น เปลือกหอย เปลือกไข่ เกล็ดปลา กระดอง และส่วนท่ีไดจ้ ากแร่ เชน่ กรวด หนิ ทราย 2. วัสดุสังเคราะห์ คือ วัสดุท่ีมนุษย์สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีต่างๆ ท่ีใช้ในชีวิตประจําวัน และเม่ือเวลา ผ่านไป วสั ดเุ หลา่ นัน้ ก็กลายเป็นวัสดุทเี่ หลือใช้แล้ว เชน่ กล่องยาสีฟัน กล่องสบู่ แกนกระดาษชําระ กล่องกระดาษ ต่าง ๆ ปฏิทิน กระดาษแข็ง เศษผ้า เศษกระสอบ ขวดนํ้าพลาสติก หลอดกาแฟ กระดุมพลาสติก กระป๋อง เครือ่ งดม่ื เศษลวดตา่ งๆ โฟม ฟองน้าํ จุกไม้กอ๊ ก เชือกตา่ งๆ วัสดุอุปกรณ์ทใ่ี ชใ้ นงานประดิษฐ์ การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ในการประดิษฐ์ชิ้นงานต้องเลือกให้เหมาะสมจึงจะได้งานออกมามีคุณภาพ สวยงาม รวมท้ังต้องดูแลรักษาอุปกรณ์เครื่องใช้เหล่านี้ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ตลอดเวลา และสามารถแบ่ง ออกเปน็ ประเภทตา่ งๆ ได้ดงั น้ี 1. ประเภทของเลน่ - วัสดุที่ใช้ เชน่ กระดาษ ใบลาน ผ้า เชือก พลาสตกิ กระปอ๋ ง - อุปกรณท์ ่ใี ช้ เช่น กรรไกร เข็ม ดา้ ย กาว มีด ตะปู คอ้ น แปรงทาสี 2. ประเภทของใช้ - วัสดทุ ี่ใช้ เช่น กระดาษ ไม้ โลหะ ดิน ผ้า - อปุ กรณ์ท่ใี ช้ เช่น เล่อื ย สี จกั รเย็บผ้า กรรไกร เครอ่ื งขดั เจาะ 3. ประเภทของตกแตง่ - วสั ดุที่ใช้ เชน่ เปลอื กหอย ผา้ กระจก กระดาษ ดินเผา - อุปกรณ์ เชน่ เล่ือย คอ้ น มีด กรรไกร สี แปรงทาสี เครอ่ื งตอก 4. ประเภทเคร่อื งใชใ้ นงานพิธี - วสั ดทุ ่ีใช้ เชน่ ใบตอง ดอกไม้สด ใบเตย ผา้ ริบบิ้น - อปุ กรณ์ท่ใี ช้ เช่น เขม็ เย็บผ้า เข็มร้อยมาลัย คีม ค้น เขม็ หมดุ ประโยชนท์ ่ีไดจ้ ากงานประดิษฐ์จากเศษวสั ดุ 1. ฝึกให้รู้จักคุณค่าของสิ่งท่ีเหลือใช้หรือของเก่าที่ใช้แล้วสามารถนํามาประดิษฐ์ให้เกิดประโยชน์ได้อีก และเป็นการฝกึ ใหร้ จู้ ักประหยัด 2. ฝึกให้เกิดทักษะและมีประโยชน์ในการประดิษฐ์ส่ิงของเครื่องใช้ต่าง ๆ ฝึกให้เป็นคนมีความคิด สรา้ งสรรค์ และเป็นนักประดิษฐต์ อ่ ไปในภายหน้า เอกสารประกอบการเรียนรู้ 14 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอบางปลาม้า

3. เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์การประดิษฐ์ส่ิงของเล็ก ๆ น้อย ๆ ทําให้เกิดความสุข ความ เพลิดเพลินเช่นเดียวกับการเล่นกีฬา การเล่น ดนตรี การวาดภาพ การอ่านหนังสือและยังทําให้ผู้ประดิษฐ์เกิด ความภาคภูมใิ จในผลงานท่ีสร้างสรรค์ขึน้ มา 4. เป็นการสร้างให้เกิดความรักความสามัคคีในหมู่คณะ รู้จักการเอื้ออาทรต่อกัน ในกรณีที่ทํางาน ประดิษฐ์ช้ินใหญ่ การทํางานร่วมกันก็จะช่วยให้เกิดความเสียสละ รู้จักการเป็นผู้นําและผู้ตามท่ีดี อันเป็นคุณค่าท่ี จะชว่ ยสร้างสรรค์สังคมใหน้ า่ อยู่ยิ่งขน้ึ 5. เป็นพ้ืนฐานสําหรับตนเอง เพราะทักษะท่ีไดจ้ ากงานประดษิ ฐจ์ ะทําให้เราคน้ พบความถนัดหรือ ความสามารถพเิ ศษของตนเอง ซ่ึงสามารถจะนําไปใชศ้ กึ ษาต่อ หารายได้เสริม หรือยดึ เป็นอาชีพต่อไปในอนาคตได้ ตัวอยา่ งกิจกรรมประจาฐานการเรียนรู้ กจิ กรรมท่ี 1 ทวี่ างโทรศพั ทจ์ ากขวดนาํ้ กิจกรรมที่ 2 ดอกไมจ้ ากถุงน้ํายาปรบั ผ้านุ่ม เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 15 ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลามา้

กจิ กรรมท่ี 1 ท่ีวางโทรศพั ทจ์ ากขวดน้า อุปกรณ์ 1. ขวดน้ํา 2. แผ่นซดี ี (ถา้ มวี สั ดอุ ่ืนสามารถใชท้ ดแทนได)้ 3. ผ้าและเศษผ้า 4. กรรไกร 5. เข็ม ดา้ ย 6. เทปกาว เทปกากเพชร 7. สายวดั 8. กาว 9. แผ่นโฟม แผ่นยาง (ถ้าม)ี ขนั้ ตอนการทา 1. นาํ ขวดนาํ้ มาตัดครง่ึ ใช้ด้านปากขวดวาดรปู เป็นทรงเกา้ อี้และตดั ตามรอยท่ีวาด โดยใหม้ ีความสูงประมาณ 15 cm หรอื ใหม้ ี ความสงู ทเี่ หมาะสมตามลักษณะขวดท่ีใช้ 2. นําเทปกาวหรือเทปกากเพชรตดิ ขอบขวดทีต่ ดั 3. นาํ แผน่ โฟม แผ่นยาง หรอื เศษผ้าติดกบั แผ่นซดี แี ละใช้เทปกาวหรือเทปกากเพชรตดิ ขอบแผ่นซดี ี 4. นาํ ผ้ามาตดั เปน็ วงกลมขนาดเสน้ ผ่านศนู ย์กลางใหม้ ขี นาดเทา่ กับขวดทตี่ ัด 2 ชนิ้ นํามาประกนั เยบ็ และกลบั ด้านผ้า จากนั้น ยัดเศษผา้ เขา้ ไป ให้ทาํ เป็นหมอน 5. เม่อื ได้ขวดทเ่ี ป็นรูปทรงเก้าอ้ี หมอน และแผ่นซีดใี หน้ าํ 3 อยา่ งมาประกอบเขา้ ดว้ ยกันดังรูป เป็นอนั เสรจ็ เอกสารประกอบการเรียนรู้ 16 ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลามา้

กิจกรรมที่ 2 ดอกไม้จากถงุ น้ายาปรับผา้ นมุ่ 4. พนั กับตะเกียบหรอื ไมแ้ หลมเขา้ มาจนสดุ อปุ กรณ์ 1. กรรไกร 2. ถุงน้ํายาปรบั ผ้านมุ่ 3. ไมต้ ะเกยี บ หรือไมแ้ หลม 4. ใบกหุ ลาบ 5. ฟอลา่ เทป ข้นั ตอนการทา 1. ตดั ดา้ นขา้ งถุงออกทงั้ สองขา้ ง 2. พบั ครึ่ง แล้วใชเ้ ทปใสแปะ 5. ใช้เทปใสพันทีโ่ คนดอก 3. ตัดให้เปน็ ริว้ ๆ 6. พนั ฟอล่าเทปกบั ใบกหุ ลาบใหส้ วยงาม สแกนคิวอารโ์ ค้ดเพือ่ ดูวธิ ีทาเพ่มิ เตมิ ค่ะ เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 17 ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลาม้า

การถอดบทเรียน ฐานที่ 3 สงิ่ ประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ ความรู้ คณุ ธรรม - วิธกี ารคดั แยกขยะ - ความประหยดั - ความรับผดิ ชอบ - วิธกี ารประดิษฐ์ - ความสามคั คี - ความรอบคอบ - การออกแบบงานประดิษฐ์ - ความอดทน - ความสะอาด - ประโยชน์ของงานประดิษฐ์ - ความซอ่ื สตั ย์ - ความเสยี สละ พอประมาณ -ระยะเวลาการออกแบบและ การเลอื กประเภทวัสดุ -จานวน/ขนาดชน้ิ งาน -นาวัสดุรไี ซเคลิ มาใช้ซ้าอยา่ ง คมุ้ ค่า มีเหตุผล มีภมู คิ ุ้มกนั ในตัวที่ดี - ลดปริมาณขยะในครวั เรือน - คัดแยกขยะไดถ้ ูกประเภท - ลดรายจา่ ย - เลอื กใช้วัสดบุ รรจภุ ณั ฑ์ที่ไม่ทาให้ - เพ่ิมรายได้ เกดิ ขยะ - ใช้เวลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์ - ช้นิ งานไปใชป้ ระโยชน์ไดจ้ ริง - การปอ้ งกันตนเองการการใชว้ ัสดุ อปุ กรณ์ อยา่ งปลอดภยั วัตถ/ุ เศรษฐกจิ สังคม ส่ิงแวดล้อม วฒั นธรรม - ลดรายจา่ ย - ความสามคั คี - ลดภาวะโลกรอ้ น - การทิ้งขยะให้ถกู ท่ี - เพ่ิมรายได้ - ชุมชนนา่ อยู่ - รว่ มกนั รักษาความ - ภูมปิ ัญญาท้องถนิ่ ดา้ น - แยกขยะเพอ่ื นากลบั มา - ช่วยเหลือ แบ่งปนั สะอาดชุมชน ศิลปประดษิ ฐ์ รีไซเคลิ - แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ - การใชท้ รัพยากรอยา่ ง - มีจติ สานกึ ในการจัดการ - เสยี สละในการทางาน คมุ้ ค่า ขยะ -ลดปญั หาดา้ นขยะ เอกสารประกอบการเรียนรู้ 18 ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอบางปลามา้

ฐานท่ี 4 การปลูกผักตามฤดูกาล หลกั การปลูกผัก 1. การเลือกสถานทหี่ รือทําเลปลูก ควรเลอื กพน้ื ท่ีท่ีมีความอดุ มสมบูรณทส่ี ุด อยูใกลแหลงน้าํ ไมไกลจาก ทพ่ี กั อาศัยมากนกั เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงานดานการปลูก การดูแลรักษา และสะดวกในการเกบ็ มา ประกอบอาหารไดทนั ทตี ามความตองการ 2. การเลือกประเภทผักสาํ หรับปลกู ควรเลือกปลูกผกั ใหม้ ากชนดิ เพ่ือให้ไดคุณค่าทางอาหารท่ีหลากหลาย ทส่ี มาชกิ ในครอบครวั ชอบบริโภคและเลอื กปลูกผักใหเหมาะสมกบั สภาพแวดลอมและปลูกใหตรงกับฤดูกาล 3. สภาพแสงและรมเงา มีความจําเปนในการสังเคราะหแสงของพชื เพ่ือสรางอาหาร ปรมิ าณแสงที่ไดรับ ในพืน้ ทป่ี ลูกแตล่ ะวันนนั้น จะมผี ลต่อชนิดของผักที่ปลูก แบ่งความต้องการของแสงในการปลกุ ผกั ดงั นี้ - สภาพพื้นที่ไมไดรบั แสงแดดตลอดท้ังวัน ควรปลูกพืชผกั ที่เจริญเติบโตในรมได เชน ชะพลู สะระแหน ตะไคร โหระพา ขิง ขา และกะเพรา เปนตน - สภาพพ้นื ที่ไดรับแสงแดดตลอดทั้งวัน ควรเลอื กผกั ทีส่ ามารถเจรญิ เตบิ โตไดในแสงปกติ เชน ถ่ัวฝกยาว คะนา ผกั กาดเขียวกวางตุง พรกิ ต่าง ๆ ยกเวน พริกข้หี นสู วน 4. ความพรอมของผูปลูก - ผปู ลูกควรกําหนดวาจะปลกู ผักโดยมีวตั ถปุ ระสงคอะไร เชน ปลูกเพ่อื ตองการไดผกั มาบรโิ ภคประจําวัน ปลกู เพื่องานอดิเรก ปลูกเพ่ือจัดสวนตกแตงบริเวณบาน - ผปู ลูกตองมีความรูความเขาใจธรรมชาตขิ องผัก วิธีการปลูกผักตลอดจนการดูแลรักษา - แรงงานในการปลูกผัก ควรมีแรงงานในการดแู ลรักษาเฉลย่ี วนั ละประมาณ 2 – 3 ช่ัวโมง เนอ่ื งจากผัก สวนครัวตองการความพิถพี ิถันในการดูแลรกั ษา - ความชํานาญในการปลกู ผัก การปลกู ใหไดผลผลติ ดผี ูปลูกจาํ เปนตองมีความชาํ นาญ รูจักสงั เกตในการ เจริญเตบิ โตของผัก และการเปล่ียนแปลงตาง ๆ ทม่ี า : https://parv555.wordpress.com/ เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 19 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอบางปลาม้า

ชนิดของการปลกู ผักและวิธกี ารปลกู ผกั ชนิดของผกั ที่จะปลกู ผกั แตละชนิดมีความแตกตางกันในเร่ืองอายกุ ารเก็บเกีย่ ว และฤดูกาลเพาะปลูก การ วางแผนการปลูกท่ีเหมาะสม จะทําให้มีผลผลิตผักออกสม่ําเสมอและใชพื้นที่ใหเกิดประโยชนไดเต็มท่ีการจําแนก ผกั ตามอายุการเกบ็ เกย่ี ว ดังนี้ - ผกั อายสุ น้ั ( นอยกวา 2 เดอื น ) ไดแก ผกั ชผี ักกาดหอม ผักกาดเขียวกวางตุง คะนา ผักบุงจีน ผักกาดหัว ผักกาดขาว แตงกวา ขาวโพดฝกออ่ น ปวุ ยเหลง็ ผกั โขม - ผักอายุปานกลาง ( 2 – 5 เดือน ) ได้แก่ กะหล่ําปลีผักกาดขาวปลีบร็อคโคล่ี กะหล่ําดอก ถั่วฝักยาว ถ่วั แขก หอมหัวหอมใหญ่ มะเขือเทศ พรกิ แตงโม มะระ บวบ ฟกทอง ขาวโพดหวาน มนั ฝรัง่ มันเทศ - ผกั ยืนตน ( มากกวา 1 ป ) ไดแก กยุ่ ชาย ผกั หวาน มะเขือ ชะอม สะตอ ชะพลูโหระพา กะเพรา ถั่วพู ตะไคร แมงลกั กระชาย ขงิ หนอไม้ฝร่งั ขา ขมนิ้ วธิ ีการปลกู ผกั 1. การเตรียมดิน ผักสามารถปลูกไดทั้งในพื้นดินโดยตรงหรือหากไมมีที่ดินเพียงพอก็สามารถปลูกไดใน ภาชนะตาง ๆ ที่มีความลึกตั้งแต 20 เซนติเมตร ข้ึนไป เพื่อใหรากสามารถหย่ังลงไปในวัสดุปลูกไดสําหรับความ กวางของภาชนะขนึ้ กบั ชนดิ ผกั ท่ีจะปลกู 1.1 การเตรียมดินสาํ หรบั ปลกู ในภาชนะ ใชดนิ : แกลบ : ปุยหมัก อัตราสวน 1 : 1 : 1 คลุกเคลาใหเขากัน รดน้ําเพ่ือใหมีความชื้น สังเกตไดจาก สามารถกําวัสดุปลูกเปนกอนได 1.2 การเตรียมดินสาํ หรบั การปลูกในพ้ืนท่วี างหรอื ในแปลง - พรวนดิน ตากดนิ ท้งิ ไวประมาณ 7 – 15 วนั - ยกแปลงสูงประมาณ 4 – 5 นวิ้ กวางประมาณ 1 – 1.20 เมตร ส่วนความยาวตามลกั ษณะของพนื้ ท่คี วรอย่ใู นแนวทิศเหนือ/ใตเพ่ือใหผ้ กั ไดร้ บั แสงแดดทัว่ แปลง - ใสปยุ หมักหรือปยุ คอก อัตรา 2 – 3 กโิ ลกรมั ตอเนอ้ื ที่ 1 ตารางเมตร 2. การปลูก 2.1 การปลูกดวยเมล็ด สําหรับผักโดยท่ัวไป เชน พริก มะเขือ คะนากวางตุง กะหลํ่าปลีผักกาดหัว ถว่ั ฝกยาว และแตงกวา ตองใชเมลด็ ปลูก การใชเมลด็ ปลูกทาํ ได 3 วธิ คี อื - การเพาะกลากอนแลวจึงยายปลูก สําหรับผักท่ีเมล็ดมีราคาแพงตองการดูแลเอาใจใสมาก หรือในชวงท่ี เวนปลูกมีฝนตกชุกการเพาะ และยายปลูกอาจทําใหสามารถดูแลตนกลาใหแข็งแรงได ก่อนย้ายปลูกลงในแปลง ปลกู - การหวานเมลด็ โดยตรงในแปลงปลูก และเมื่อตนกลาโตทําการถอนแยกต้นที่แน่นจนเกินไปออก เพ่ือจัด ระยะปลูก วิธีน้ีหากผู้ปลูกไม่ชํานาญทําให้สิ้นเปลืองเมล็ดและเมล็ดอาจกระจายตัวไมดีจะทําใหผักขึ้นเปนกระจุก มีวิธแี กโดยอาจใชเมล็ดผสมกบั ทรายและหวานเมลด็ จะทาใหเมลด็ ตกกระจายดีข้นึ - การปลูกในหลุมปลูกโดยตรง ใชกบผักที่มีเมล็ดใหญ เชน ขาวโพดถ่ัวฝกยาว แตงกวา หรือผักที่ใชสวน ของรากรบั ประทาน เชน ผักกาด หวั แครอท 2.2 ปลูกดวยสวนขยายพันธุ อ่ืน ๆ เชน ก่ิง ตน หัว และไหล เปนตน ตัวอยางเชน กะเพรา โหระพา แมงลกั หอมแดง กระเทยี ม มันฝร่ัง เปนตน เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 20 ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลามา้

ฤดกู าลในประเทศไทย ประเทศไทยมี 3 ฤดู ดังนี้ - ฤดูฝน ฤดฝู นในประเทศไทยน้ันจะเริ่มต้ังแต่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปีไปจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม รวมระยะเวลาประมาณ 5 เดือนคร่ึง ในช่วงฤดูฝนน้ีประเทศของเราจะได้รับอิทธิพลของลมตะวันตกเฉียงใต้ หรือ ลมท่ีพดั จากฝั่งทะเลอันดามันเข้ามายังพน้ื ที่สว่ นใหญข่ องประเทศไทย ทาํ ให้เกดิ ฝนตกชุกได้ท่ัวทุกภาคของประเทศ และในช่วงปลายของฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงมรสุมนั้น ประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลจากพายุหลายสิบลูกที่ก่อตัวในทะเล จีนใต้ พายุบางลูกเข้าประเทศไทยเม่ืออ่อนตัวลงมากแล้ว ในขณะท่ีบางลูกเคลื่อนที่เข้ามาในขณะที่ยังเป็นพายุ ไต้ฝุน ทําใหเ้ กิดฝนตกหนกั ลมแรง และเกดิ นํ้าทว่ มอยเู่ ป็นประจําเกือบทุกปี - ฤดูหนาว ฤดหู นาวในประเทศไทยจะเร่ิมตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ โดยกิน ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ฤดหู นาวในประเทศไทยนั้นโดยปกติจะไม่มีอากาศท่ีหนาวจัด แต่จะเป็นอากาศท่ีเย็น สบาย มอี ุณหภูมทิ ว่ั ไปราว 15-30 องศสเซลเซียส ยกเว้นทางภาคเหนือและภาคอีสานโดยเฉพาะบริเวณยอดเขา จะมีอากาศหนาวเย็นมากจนบางคร้ังเกิดน้ําค้างแข็งหรือแม่คะน้ิง ในฤดูหนาวประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลจากลม เย็นหรือมวลอากาศเย็นที่แผ่ลงมาจากประเทศจีน ทําให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือรับรู้ความหนาว เยน็ ได้ก่อนภาคอ่ืนๆ ในฤดูหนาวนี้ภาคใต้ของไทยจะไม่หนาว แต่จะกลายเป็นหน้าฝน (เพ่ิมเติมจากที่มีหน้าฝนอยู่ แลว้ ) เนื่องจากลมเย็นจากทางเหนือเม่ือเคลื่อนตัวผ่านอ่าวไทยลงไปยังภาคใต้ ก็จะหอบเอาไอนํ้าจากทะเลไปด้วย เม่ือสัมผัสกับความชุ่มช้ืนของภาคใต้ก็จะกลั่นตัวเป็นนํ้าฝนทันที ดังน้ันภาคใต้ของไทยจึงมีแค่ 2 ฤดูคือ ฤดูร้อน และฤดฝู น - ฤดูร้อน ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการของประเทศไทยจะเริ่มต้ังแต่ต้นเดือนมีนาคมของทุกปีไปจนถึง กลางเดือนพฤษภาคม กินระยะเวลาราว 2 เดือนคร่ึง โดยในช่วงน้ีเป็นช่วงท่ีโลกเคล่ือนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์และ ประเทศไทยทํามุมต้ังฉากกับดวงอาทิตย์พอดี (เนื่องจากเราอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมาก) ช่วงหน้าร้อนนี้มักจะไม่มีลม จากฝัง่ ใดเขา้ มาในประเทศไทยเลย ทําใหอ้ ากาศค่อนขา้ งร้อนอบอ้าว เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 21 ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลาม้า

ปฏิทนิ การปลูกผัก เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 22 ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอบางปลามา้

การดูแล/บารุงรักษา การใหน้าํ พชื ผักเปนพืชอายุส้ัน ระบบรากตื้น ตองการนํ้าสมํ่าเสมอทุกระยะการเจริญเติบโต ตองใหน้ําทุกวัน แตระวังอยาแฉะหรือมีนา้ํ ขัง เพราะนํ้าจะเขาไปแทนที่อากาศในดิน ทําใหรากพืชขาดออกซิเจนและเนาตายไดควร รดน้ําในชวงเชา – เยน็ ไมควรรดนาํ้ ตอนแดดจัด การใหปุย มี 2 ระยะ คอื - ปุ๋ยรองพื้นใส่ในช่วงเตรียมดิน หรือรองก้นหลุมก่อนปลูก ควรเป็นปุ๋ยหรือปุยหมัก เพ่ือปรับโครงสราง ดินใหโปรงรวนซยุ ชวยในการอุมนา้ํ และรกั ษาความชื้นของดินใหเหมาะสมกับการเจรญิ เตบิ โตของพืช - ปุยบํารุง ใสปุยวิทยาศาสตร 2 คร้ัง คร้ังแรกเมื่อยายกลาไปปลูกจนกลาต้ังตัวได้แล้ว และใสคร้ังที่ 2 หลงั จากใสครั้งแรกประมาณ 2 – 3 สัปดาหการใสใหโรยบาง ๆ ระหวางแถว ระวังอยาใหปุยอยูชิดตน เพราะจะ ทําใหผักตายไดเม่ือใสปุยแลวควรพรวนดินและรดน้ําทันทีปุยท่ีมักใช้กับพืชผัก ได้แก่ยูเรียแอมโมเนียมซัลเฟต สําหรับบํารุงตนและใบ และปุยสูตร 15 – 15 – 15 และ12 – 24 – 12 สําหรับเรงการออกดอกและผลการ ปองกนั กําจดั แมลงศตั รูพืช การปองกนั กาจัดแมลงท่ีปลอดภัยทาไดหลายวธิ ีดังนี้ - ใชกับดักกาวเหนียวสีเหลือง สามารถดักแมลงไดหลายชนิด เชนเพล้ียหนอนแมลงวนชอนใบโดยติดต้ัง 1 – 2 ต่อแปลง สงู จากพน้ื ดินประมาณ 50 ซม.โดยปจจุบันถุงพลาสติกสีเหลืองและกาวเหนียวมีขายท่ัวไปตามร านขายวัสดกุ ารเกษตร - ใชกบั ดักแสงไฟ ซง่ึ อาจเปนกับดักแมลงชนิดขดลวดไฟฟาู ทาํ ลายแมลงโดยตรงเชนเดียวกับที่ดักยุงตามบ าน หรอื อาจเปนเพยี งหลอดไฟสนี ํา้ เงินลอตวั แกของหนอนผีเส้ือกลางคืนมาตกลงในภาชนะที่ใสนํา้ และนาํ้ มนั - ใชสารสกัดจากสะเดา เปนทั้งสารไลแมลงและฆาแมลงโดยตรง - การใชสารสกัดจากพืชอื่นๆ เชน โลติ้น สารสกัดจากหนอนตายหยากและนิโคตินจากยาสูบ หรือยาฉุน สามารถหาซ้ือไดงายในทองตลาด ใชยาฉนุ 100 กรัมตอน้าํ 1 ลติ ร แชทง้ิ ไว 1 คนื นํามาราด หรือฉดี พนฆาแมลงได - ใชเช้ือแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส ซ่ึงไมเปนอันตรายตอคน มีท้ังในรูปของผงและน้ํา โดยนํามาผสมนํ้าฉีด หรือราดบนใบผักในชวงบาย หรือค่ํา เพื่อไมใหเช้ือถูกชะลางออกไป ควรรดนํ้าแปลงปลูกกอนฉีดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากน้ีความชื้นยังชวยใหเชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตไดดีเช้ือแบคทีเรียและไวรัสสามารถกําจัดหนอนไดหลาย ชนิด เชน หนอนใยผกั หนอนกระทูหอม หนอนคบื ดวงหมัดผัก - ไสเดอื นฝอย สามารถควบคมุ ดวงหมดั ผัก และหนอนกระทูหอมโดยฉีดพน หรือราดลงแปลงปลูกหลังให น้าํ ในชวงเย็น - ใช้สารไพรรที รอย์ เป็นสารท่ปี ลอดภยั กับสัตวเ์ ลือดอุ่น แตม่ ีฤทธเ์ิ ฉียบพลนั ตอ่ แมลง สลายตัวเร็วจนมีพิษ ตกคางต่ํา แตตองปฏิบตั ติ ามคาํ แนะนําท่ีฉลากขางขวดระบุช่วงเวลาที่ปลอดภัยหลังจากฉีดพน แตสารไพรีทรอยด ถาใชบอยจะทาํ ใหแมลงปากดูดเชน เพลี้ยไฟ และไรระบาดมากข้ึน - ปลูกพืชผักรว่ มกับพืชท่ีมีกลน่ิ ไลแมลง เชน โหระพา กะเพรา ตะไคร การปองกันกาจัดเช้อื โรคในผกั ในการปลูกผักหากมีการดูแลใหพชื ผัก มีการเจริญเตบิ โตท่แี ข็งแรง สมบูรณและปลูกไมใหตนแนนหรอื ชิดกันเกนิ ไป สามารถชวยปูองกันโรคได้ใน ระดับหนึ่ง แต่ในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกชุก อาจทําให้เกิดปัญหาใบจุดหรือโคนเน่าใหทําการเก็บใบหรือตนผักท่ีเป็น โรคท้งิ และนําไปทําลายนอกแปลง และใชนาํ้ ปนู ใสรดทแ่ี ปลงผักหรอื ตนผัก เอกสารประกอบการเรียนรู้ 23 ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลามา้

วธิ ีการทานา้ ปูนใส ใหใชปูนขาว จํานวน 5 กโิ ลกรัมตอน้ํา 20 ลิตร ผสมให เขากันและทิ้งค้างคืนไว้ 1 คืน รุ่งข้ึนให้นําน้ําปูน ใสท่ตี กตะกอนแลว้ อตั ราน้ําปนู ใส 1 ส่วน น้าํ ธรรมดาสําหรบั รดผัก 5 สวน เพ่ือรดในแปลงปลูก เอกสารประกอบการเรียนรู้ 24 ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลาม้า

การถอดบทเรยี นเร่ือง ฐานท่ี 4 การปลกู ผักตามฤดูกาล ความรู้ คุณธรรม -หลกั การปลกู ผัก -ความขยนั หม่นั เพียร -ชนิดของผัก -ความอดทน -วิธกี ารปลกู ผกั -ความซอื่ สัตย์ -ฤดูกาลในประเทศไทย -ความรบั ผิดชอบ -ปฏทิ นิ การปลกู ผกั -รจู้ ักแบง่ ปนั -การดูแล/บารุงรักษา พอประมาณ -พง่ึ พาตนเอง -การบรหิ ารจดั การเวลา -การออกแบบพ้ืนที่ในการปลูกผกั ตามสภาพพน้ื ที่ของครวั เรือน -การวางแผนการดาเนินงาน -ปริมาณการปลูกผกั มีเหตผุ ล มภี มู ิคุ้มกนั ในตัวทีด่ ี -ประหยดั ค่าใชจ้ า่ ย -มีสขุ ภาพทด่ี ี -มผี ักปลอดสารพษิ ไว้บรโิ ภค -มผี ักบริโภคตามฤดูกาล -สขุ ภาพรา่ งกายแขง็ แรง วัตถุ/เศรษฐกิจ สงั คม ส่ิงแวดล้อม วัฒนธรรม -ลดรายจ่าย -รู้จกั การแบ่งปนั -ลดการใช้สารเคมี -ภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ -เพิ่มรายได้ -การแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ -ลดภาวะโลกร้อน ด้านเกษตรอนิ ทรยี ์ -เปน็ การส่งเสรมิ -ไม่ฝืนธรรมชาติและ -การประกอบ เกษตรกรให้มที างเลือก ระบบนิเวศ อาหารในท้องถ่ิน การปลกู ผกั ท่ีมากขึน้ เอกสารประกอบการเรียนรู้ 25 ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอบางปลาม้า

ฐานท่ี 5 การปลกู พืชสมุนไพร พืชสมุนไพร เป็นพืชท่ีมีวัตถุประสงค์หลักในการนําไปใช้ประโยชน์เป็นยารักษาโรค เครื่องสําอาง และ ผลติ ภัณฑอ์ าหารเสริม ซ่ึงในปจั จุบันนี้กระแสความนยิ มเรอื่ งสมนุ ไพรมีมากข้นึ ตามลําดับและมีแนวโน้มจะขยายตัว มากขึ้นต่อไป เน่ืองจากมีการนําเอาขบวนการทางวิยาศาสตร์สนับสนุนให้พืชสมุนไพรมีความน่าเชื่อถือ เช่น มงี านวจิ ัยรบั รอง มีรูปแบบท่ีทนั สมยั สะดวกตอ่ การใช้ และที่สาํ คัญมีความปลอดภยั ต่อผบู้ รโิ ภคมากข้นึ ถึงแม้การใช้สมุนไพรจะมีมาเป็นเวลานานแล้วแต่การปลูกสมุนไพร เป็นการค้าจัดว่าเป็นพืชใหม่อยู่ ท้ังนี้ เน่ืองจากผลผลิตสมนุ ไพรท่ีผ่านมาส่วนมากเก็บมาจากแหล่งธรรมชาติ ไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดที่มุ่ง ผลิตเพ่อื การคา้ การใหค้ วามรู้ในการปลูก การดูแลรักษา และการปฏิบตั ิหลังการเก็บเกี่ยว ซ่ึงได้รวบรวมข้อมูลจาก ทั้งแหล่งวิชาการและประสบการณ์ของเกษตรกร โดยคัดเลือกชนิดสมุนไพรที่มีความแตกต่างกันตามลักษณะทาง พฤกษศาสตร์ของพืช การปลูก การดูแลรักษา และการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งสามารถนําไปประยุกต์ใช้เป็น แนวทางในการปลูก ดูแลรักษาพชื สมุนไพรชนิดอ่ืนๆทมี่ ีลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์และเขตกรรมท่ีใกลเ้ คียงกนั ได้ พืชสมุนไพร หมายถึง พืชที่ใช้ทําเคร่ืองยา ใช้เป็นอาหารประจําวัน อาหารเสริมบํารุง สุขภาพ หรือผลิต เป็นเครื่องสาํ อาง โดยอาจใช้พชื สมุนไพรเพียงชนดิ เดยี ว หรอื หลายชนิดผสมกนั กไ็ ด้ (มณฑา, 2554) พืชสมุนไพร หมายถึง พืชทุกชนิดรอบตัวเราสามารถใช้ประโยชน์เป็นท้ังยาบํารุง และ ยารักษาโรค (โชคอนนั ต์และกลุม่ สมนุ ไพรแผนไทย, 2551) เชื่อวา่ ตน้ พชื ต่างๆ ทกุ ชนิด ต่างก็เปน็ พชื ทม่ี ี สารท่เี ปน็ ตวั ยา ด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าพืชชนิดไหนจะมีคุณค่าทางยามากน้อยกว่ากันเท่าน้ัน สรุปแล้ว พืชสมุนไพร หมายถึง “พืชทใ่ี ช้ทาํ เป็นเครือ่ งยา” สรปุ ความหมายคําวา่ พชื สมนุ ไพร หมายถึง พืชทกุ ชนิดทใ่ี ช้ทําเครื่องยา เพ่ือเป็นยาบํารุงและยารักษาโรค แปรรปู เป็นผลิตภัณฑอ์ าหารบริโภคในชีวติ ประจาํ วัน อาหารเสริมบาํ รุงสขุ ภาพ หรือผลิตเป็นเคร่อื งสําอาง โดยอาจ ใช้พืชสมุนไพรเพียงชนิดเดียว หรือหลายชนิดผสมกัน ตามความ เหมาะสม และตรงกับความต้องการของการ นาํ ไปใชป้ ระโยชน์ การปลูกและบารงุ รักษาพืชสมุนไพร หลกั การทวั่ ไปของการปลูกและบํารงุ รักษาพืชทั่วไปและพืชสมุนไพร ไม่แตกต่างกัน แต่ความอุดมสมบรู ณ์ของ พืชสมุนไพร จะเป็นเคร่ืองชบี้ อกคุณภาพของสมุนไพรได้ พืชสมุนไพรต้องการการปลกู และบํารุงรกั ษาใกลเ้ คียงกบั ลักษณะธรราชาตขิ องพชื สมุนไพรนัน้ มากท่สี ุด เชน่ ว่านหางจระเข้ ต้องการดนิ ปนทราย และอุดมสมบูรณ์ แดด พอเหมาะ หรือต้นเหงือกปลาหมอชอบข้นึ ในทด่ี นิ เป็นเลน และทด่ี ินกรอ่ ยชมุ่ ชน้ื เป็นตน้ หากผู้ปลูกสมนุ ไพรเข้าใจ สงิ่ เหลา่ นีจ้ ะทําใหส้ ามารถเลอื กวิธีปลกู และจัดสภาพแวดล้อมของต้นไมไ้ ด้เหมาะกบั พชื สมุนไพร ก็จะเจริญเตบิ โต ได้ เป็นผลทาํ ให้คุณภาพพืชสมนุ ไพรท่นี ํามารักษาโรคมีฤทธิ์ดขี น้ึ ดว้ ย การปลกู และการบาํ รุงรักษาพืชสมุนไพร โดยอาศยั วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ไม่จรงิ จงั เทา่ ท่คี วร บางประเทศได้ทดลองเพื่อหาคําตอบว่า สภาพแวดล้อมอย่างไรจงึ จะทาํ ใหส้ าระสาํ คญั ในพืชสมนุ ไพรชนิดนน้ั ๆ มากทสี่ ดุ ซ่ึงต้องอาศยั ความร่วมมือมากกวา่ หนึง่ หน่วยงาน หรอื การหาคําตอบวา่ วิธีการขยายพันธ์พุ ชื สมนุ ไพรแต่ ละชนดิ จะทําอยา่ งไรจงึ จะเหมาะสมและประหยัดมากทีส่ ดุ ในประเทศไทย หนว่ ยงานของกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์มงี านวิจัยด้านน้ีอยู่บ้างและกําลังคน้ คว้าต่อไป เอกสารประกอบการเรียนรู้ 26 ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอบางปลาม้า

การปลกู เป็นการนําเอาส่วนของพืช เช่น เมลด็ กิ่ง หัว ผา่ นการเพาะหรอื การชาํ หรอื วิธกี ารอืน่ ๆ ใส่ลงในดิน หรอื วัสดุอน่ื เพื่องอกหรือเจริญเติบโตต่อไป การปลูกทําได้หลายวิธีคือ 1. การปลกู ด้วยเมลด็ โดยตรง วิธีนี้ไม่ตอ้ งเพาะเปน็ ตน้ กลา้ ก่อน นาํ เมล็ดมาหวา่ นลงแปลงไดเ้ ลย หลังจาก นน้ั ใชด้ นิ ร่วนหรอื ทรายหยาบโรยทับบางๆ รดน้ําให้ช้ืนตลอดทุกวนั เม่อื เมลด็ งอกเป็นต้นออ่ นจึงถอนต้นทีอ่ ่อนแอ ออกเพ่ือให้มีระยะห่างตามสมควร ปกติมักใชใ้ นการปลูกผักหรือพืชลม้ ลุกและพชื อายสุ ้นั เชน่ กะเพรา โหระพา สว่ นการหยอดลงหลมุ โดยตรงมักใชก้ ับพืชท่ีมเี มล็ดใหญ่ เช่น ฟกั ทอง ละหุ่ง โดยหยอดในแต่ละหลุมมากวา่ จํานวน ตอ้ นทต่ี ้องการ แลว้ ถอนออกภายหลัง 2. การปลกู ด้วยต้นกล้าหรอื ก่ิงชา ปลูกโดยการนาํ เมล็ด หรือกิ่งชําปลูกให้แข็งแรงดีในถุงพลาสติกหรอื ใน กระถาง แล้วย้ายปลูกในพื้นที่ท่ีต้องการ การย้ายต้นอ่อนจากภาชนะเดิมไปยังพ้ืนท่ีท่ีต้องการ ต้องไม่ทําลายราก ถ้าเปน็ ถงุ พลาสตกิ กใ็ ช้มีดกรีดถงุ ออก ถา้ เป็นกระถาง ถอดกระถางออกโดยใช้มือดันรูกลมท่ีก้นกระถาง ถ้าดินแน่น มาก ให้ใช้เสียมเซาะดินแล้วใช้น้ําหล่อก่อน จะทําให้ถอนง่ายข้ึน หลุมที่เตรียมปลูกควรกว้างกว่ากระถางหรือ ถุงพลาสติกเล็กน้อย จึงทําให้ต้นอ่อนเจริญเติบโตได้สะดวก วางต้นไม้ให้ระดับรอยต่อระหว่างลําต้นกับรากอยู่ เสมอกับระดับของขอบหลุมพอดี แล้วกลบด้วยดนิ ร่วนซยุ หรอื ดินร่วมปนทราย กดดินให้แน่นพอประมาณ นําเศษ ไม้ใบหญ้ามาคลุมไว้รอบโคนต้น เพ่ือรักษาความชุ่มช้ืนและปูองกันแรงกระแทกเวลารดนํ้า หาไม้หลัก ซึ่งสูง มากกว่าต้นไม้มาปักไว้ข้างๆ ผูกเชือกยึดกับต้นไม้ คอยพยุงมให้ต้นไม้ล้มหรือโยกคลอนได้ ปกติใช้กับต้นไม้ยืนต้น เช่น คูน แคบ้าน ชุมเห็ดเทศ สะแก ขี้เหล็ก เป็นต้น หรือใช้กับพันธ์ุไม้ที่งอกยากหรือมีราคาแพง จึงจําเป็นต้อง เพาะเมล็ดกอ่ น 3. การปลกู ด้วยหวั ปกตจิ ะมหี ัวท่เี กดิ จากราก และลําตน้ เรียกชอื่ แตกตา่ งกัน ในท่ีนจี้ ะรวมเรียกเปน็ หวั หมด โดยไม่แยกรายละเอียดไว้ สาํ หรับการปลูกไม้ประเภทหัว ควรปลูกในทร่ี ะบายน้ําได้ดี มิฉะนัน้ จะเน่าได้ การปลูก โดยการฝงั หวั ให้ลกึ พอประมาณ (ปกตลิ ึกไม่เกนิ 3 เท่าของความกวา้ งหวั ) กดดินให้แนน่ พอสมควร คลุมแปลง ปลกู ด้วยฟาง หรือหญ้าแหง้ เช่น การปลกู หอม กระเทียม 4. การปลูกดว้ ยหนอ่ หรอื เหง้า ปลูกโดยอาศัยหน่อหรอื เหง้า อา่ นรายละเอียดในการขยายพันธุ์พชื สมนุ ไพร ขอ้ 2.1 5. การปลูกด้วยไหล ปกตินยิ มเอาสว่ นของไหลมาชาํ ไวก้ อ่ น จะยา้ ยปลกู ในพน้ื ที่ทเ่ี ตรยี มไวอ้ กี ครั้งหนึง่ เชน่ บัวบก แหว้ หมู 6. การปลกู ด้วยจุก หรือตะเกยี ง โดยการนําจุกหรือตะเกยี งมาชําในดนิ ที่เตรียมไว้ โดยใช้ตะเกียงตัง้ ขนึ้ ตามปกติ กลบดนิ เฉพาะด้านลา่ ง เชน่ สบั ประรด 7. การปลกู ด้วยใบ เหมาะสาํ หรับพืชทม่ี ีใบหนาใหญ่ และแข็งแรง คล้ายกับการปลูกด้วยส่วนของกิ่งและ ลาํ ต้น คือการตดั ใบไปปกั หรือวางบนดนิ ท่ีชมุ่ ชน้ื ให้เกดิ ต้นใหม่ เชน่ วา่ นลน้ิ มังกร 8. การปลูกด้วยราก โดยตดั สว่ นของรากไปปักชาํ ให้เกิดตน้ ใหมข่ ึน้ เช่น ดปี ลี เปน็ ต้น เอกสารประกอบการเรียนรู้ 27 ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลาม้า

การบารุงรกั ษา เป็นการกระทําให้พันธไุ์ ม้ทปี่ ลูกไว้เจรญิ งอกงามต่อไป ซึ่งจะเกีย่ วข้องกบั เร่อื งต่อไปน้ี 1. การพรางแสง พันธุ์ไมต้ ้องการแสงน้อยหรือพนั ธ์ุไม้ที่ยังอ่อนแออยู่ ควรจะได้มกี ารพรางแสง หากตอ้ ง ปลูกพืชดังกล่าวในที่โล่งเกินไป การพรางแสงปกติจะทําช่ัวระยะเวลาหนึ่ง จนพืชนั้นต้ังตัวได้ แต่ถ้าเป็นพืช ทต่ี อ้ งการแสงน้อย ก็ต้องมกี ารพรางแสงไว้ตลอดเวลา หรอื ปลกู ใต้ต้นไม้ทีใ่ ห้รม่ เงาไดจ้ ะเหมาะสมกว่า 2. การให้น้า ปกติการปลกู ควรปลูกในชว่ งต้นฤดูฝน เพราะจะทาํ ให้ประหยดั ค่าใช้จา่ ยในการให้นํา้ สาํ หรบั การใหน้ า้ํ จะตอ้ งพิจารณาลักษณะของพชื แตล่ ะชนิดประกอบด้วยว่า ต้องการน้ํามากหรือน้อย จึงจําเป็นต้องศึกษา ลักษณะของพันธุ์ไม้ท่ีปลูกบ้างตามสมควร แต่โดยหลักการแล้ว เม่ือปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ ก็ควรจะให้นํ้าให้มีความชุ่ม ช้นื อยูเ่ สมอ ปกติใหน้ าํ้ อย่างนอ้ ยวนั ละครัง้ แต่หากพจิ าณาเหน็ วา่ แฉะเกินไปกเ็ ว้นช่วงได้ หรือหากแห้งเกินไปก็ต้อง ใหน้ ํ้าเพิม่ เตมิ คอื ตอ้ งคอยสงั เกตด้วย ทัง้ นีเ้ พราะแตล่ ะท้องทจี่ ะมสี ภาพดินและอากาศแตกต่างกัน ส่วนการให้น้ําก็ ต้องให้จนกว่าพืชจะตั้งตัวได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับพืชแต่ละชนิด แต่ก็พอสังเกตจากลักษณะของพืชน้ันได้ หากแส ดง ลักษณะเหี่ยวเฉาก็แสดงว่ายังตั้งตวั ไมไ่ ด้ 3. การระบายน้า จะตอ้ งหาวิธีการท่จี ะต้องระบายน้ําออกจากพน้ื ที่ให้ได้ ถ้าฝนตกนํา้ ท่วม โคนพืชทีป่ ลูกไว้ เพราะจะเป็นอันตรายต่อระบบรากของพืชได้ ทั้งน้ีอาจทําโดยการยกร่องปลูก หรือพูนดินให้สูงขึ้นก่อนปลูก ก็จะ ช่วยแกป้ ัญหานาํ้ ขังไดถ้ า้ มปี ญั หา 4. การพรวนดิน จะช่วยทาํ ใหด้ ินรว่ นซยุ เก็บความช้ืนดี การระบายนา้ํ และการถา่ ยเทอากาศเปน็ ไปได้ดี อีก ท้ังเป็นการกําจดั วชั พืชไปดว้ ย จงึ ควรมกี ารพรวนดินให้พืชที่ปลูกบา้ งเป็นครัง้ คราว แตพ่ ยายามอย่าให้ กระทบกระเทือนรากมากนัก และควรพรวนในขณะท่ดี ินแห้งพอควร 5. การให้ปุ๋ย ปกตจิ ะให้ก่อนปลูกอยู่แล้ว โดยใส่ปยุ๋ อินทรยี ์หรือปยุ๋ วิทยาศาสตร์ (สูตรเสมอ เชน่ 15-15-15 ) รองกน้ หลุม แต่เน่ืองจากมีการสญู เสียไปและพืชนาํ ไปใชด้ ว้ ย จงึ จาํ เปน็ ตอ้ งใส่เพิม่ เติมโดยอาจจะใส่ก่อนฤดฝู น 1 ครั้ง และใส่หลังฤดฝู น 1 ครั้ง ซงึ่ อาจใส่แบบเป็นแถวระหว่างพชื หรอื หวา่ นทั่วแปลง หรอื ใสร่ อบๆ โคนตน้ บรเิ วณของทรงพุ่ม หรือใช้ป๋ยุ เกลด็ ผสมนาํ้ ฉดี ให้ทางใบ การบํารงุ รกั ษาพืชสมนุ ไพรควรหลกี เลี่ยงสารเคมี ไม่ว่าด้านการให้ปุ๋ยหรือการกําจัดวัชพชื ศตั รูพชื เนื่องจากสารเคมีอาจมีผลทําใหป้ รมิ าณสาระสาํ คัญในสมุนไพรเปลย่ี นแปลง หรืออาจมีพิษตกค้าง เป็นอันตรายตอ่ การใช้สมนุ ไพร ควรจะเลือกวิธีดแู ลรกั ษาใหเ้ ป็นไปตามธรรมชาติให้มากทส่ี ุด การขยายพนั ธุ์พืชสมุนไพร การขยายพนั ธ์ุ คอื การสบื พันธ์ุของตน้ ไมโ้ ดยธรรมชาติ ซึง่ เกดิ จากการเพาะเมลด็ การแตกหน่อ แตกตา ใช้ไหล หรือเงา่ ของพืช การขยายพันธพ์ุ ืชทาํ ใหเ้ พ่ิมจาํ นวนของพชื มากข้นึ การขยายพนั ธุ์พชื สมุนไพร แบ่งเปน็ 2 ลักษณะคือ 1. การขยายพันธ์พุ ชื โดยอาศยั เพศ คอื การนาํ เมลด็ ท่เี กิดจากการผสมระหวา่ งเกสรตวั ผู้และเกสรตัวเมีย ไปเพาะเป็นตน้ กล้าใหเ้ จรญิ เติบโตเป็นตน้ ใหมต่ อ่ ไป ซง่ึ ลักษณะตน้ ใหม่ทีเ่ กิดขนึ้ อาจจะมลี ักษณะทดี่ ีกวา่ เดิมหรือ เลวกวา่ เดมิ กไ็ ด้ เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 28 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลาม้า

วิธกี ารขยายพันธุพ์ ชื โดยวธิ ีน้ี มขี ้อดีคือ พืชมีรากแกว้ เป็นวธิ ีท่ีเหมาะแกก่ ารขยายพันธุพ์ ชื จาํ นวนมาก มีวิธกี าร และขนั้ ตอนไม่มากนกั แต่มขี ้อเสียท่กี ลายพันธไุ์ ด้ ต้นใหญ่ และกวาจะออกผลต้องใชเ้ วลานาน พืชสมุนไพรหลาย ชนิดเพาะพันธโุ์ ดยวิธนี ้ี เชน่ คนู ยอ และฟูาทะลายโจร วิธกี ารท่สี ะดวกและนยิ มกนั มาก คือการเพาะใสก่ ระถาง หรือถงุ พลาสติก วสั ดทุ ใ่ี ช้คือ ขเ้ี ถ้าแกลบดํา ทรายหยาบ หรอื ดนิ ปนทราย แต่ทเ่ี หมาะที่สดุ คอื ขี้เถา้ แกลบดาํ เพราะขเ้ี ถ้าแกลบดําไมจ่ ับตวั แขง็ รว่ นซยุ โปรง่ ระบายนา้ํ ไดด้ ี แดดสอ่ งสะดวก ถงุ พลาสตกิ ทใี่ ช้ต้องเจาะรูให้นาํ้ ไหลได้ วธิ ที าํ โดยใส่ถา่ นแกลบลงในถุงพลาสติก เสรจ็ แลว้ ล้างถ่านแกลบดว้ ยนํ้าเพื่อใหห้ มดดา่ งเสยี ก่อน ถา้ หากไม่ ใชถ้ า่ นแกลบดาํ จะใชด้ ินรว่ นปนทราย โดยใชด้ นิ ร่วน 2 ส่วน ทรายหยาบ 1 ส่วน ปยุ๋ คอกแห้งปุนละเอียด 1 สว่ น เอามาผสมให้เข้ากนั ดี หยอดเมล็ดให้ลกึ พอประมาณ 2-3 เมลด็ (ถ้าเมลด็ ใหญใ่ ช้ 1 เมลด็ ) ดอู ยา่ ให้แดดจัด รดน้าํ พอประมาณวันละครัง้ อยา่ ให้นา้ํ ขัง เมลด็ จะเน่า เม่ือเมล็ดงอกแลว้ ใหถ้ ูกแดดบ้าง เม่ือตน้ เจรญิ เติบโตพอควรก็ แยกไปปลูกในที่ท่ีต้องการได้ การขยายพชื โดยไมอ่ าศยั เพศ คอื การขยายพันธ์ุพชื ด้วยสว่ นใดสว่ นหน่งึ ของพชื เชน่ ก่ิง หนอ่ หัว ใบ เหงา้ ไหล เปน็ ต้น โดยนาํ ไปชาํ ตอน แบ่งแยก ติดตา เพาะเลี้ยงเนอื้ เย่ือ (Tissue Culture) ใหเ้ กดิ เป็นตน้ ใหมข่ น้ึ มาได้ ข้อดีของการขยายพนั ธุ์โดยไมต่ ้องอาศัยเพศ คือไม่กลายพนั ธุ์ สะดวกต่อการดแู ลรักษา ไดผ้ ลเรว็ และสามารถ ขยายพันธุ์พชื ทยี่ ังไมม่ ีเมล็ดหรอื ไม่สามารถมีเมล็ดได้ แต่มีข้อเสยี คอื ไม่มีรากแก้ว บางวธิ ขี ยายพนั ธไ์ุ ด้คราวละไม่ มาก ตอ้ งใชเ้ ทคนิคและความร้ชู ว่ ยบ้าง เชน่ การตอน การเพาะเล้ียงเนื้อเยื่อ เปน็ ตน้ วธิ ีการขยายพนั ธ์พุ ืชแบบไมอ่ าศัยเพศมีหลายวิธี ในท่ีนี้จะแนะนําเฉพาะวธิ ีทใ่ี ช้บ่อย และนําไปเลือกใช้กับการ ขยายพันธ์ุพชื สมุนไพร ทีจ่ ะแนะนําตอ่ ไปได้ สว่ นวิธีการอน่ื หากสนใจ สามารถศึกษาได้จากตําราวชิ าการด้าน การเกษตร 2.1 การแยกหน่อ หรือ กอ พืชสมนุ ไพรบางชนดิ เช่น กระชาย กล้วย ตะไคร้ ขงิ ข่า เตย ว่านหางจระเข้ ขยายพนั ธุ์โดยการแยกหน่อหรอื กอ ทําได้โดยกอ่ นแยกหน่อ จะตอ้ งเลือกหน่อท่แี ขง็ แรง มีใบ 2-3 ใบ ใชน้ ้ํารดให้ ทั่วเพื่อใหด้ นิ นุม่ ขุดแยกออกมาอยา่ งระมัดระวงั อยา่ ให้หนอ่ ชา้ํ เมอื่ ตดั ออกมาแล้ว เอาดินกลบโคนตน้ แม่ให้ เรยี บร้อย นําหน่อที่แยกตัดรากทช่ี ้าํ หรือใบท่ีมากเกนิ ไปออกบา้ ง แลว้ นาํ ไปปลูกลงในกระถางหรือดนิ ทีเ่ ตรียมไว้ กดดนิ ใหแ้ น่น เสรจ็ แล้วรดนํา้ ให้ชมุ่ เกบ็ ไว้ในที่ร่ม ถ้าปลูกลงแปลงก็บังร่มเงาให้จนกว่าต้นจะแข็งแรง ดแู ลอย่าให้ นํา้ ขัง 2.2 การปักชา พืชสมุนไพร เช่น หญ้าหนวดแมว ขลู่ ดีปลี ปักชําได้ง่าย โดยใช้ลําต้นหรือก่ิง โดยเลือกกิ่งท่ี สมบูรณ์ ไม่อ่อนหรือไม่แก่จนเกินไป ใช้มีดหรือกรรไกรท่ีคม ตัดเฉียงโดยให้กิ่งชํามีตาติดอยู่สัก 3-4 ตา ตัดแล้ว ริดใบออก ให้เหลือใบแตน่ อ้ ย ใชป้ นู แดงทาที่รอยตัดกันเช้ือรา นําไปปักลงบนกระบะท่ีบรรจุถ่านแกลบดํา หรือดิน รว่ นปนทราย ผสมแบบเดยี วกับการเพาะเมล็ด การปกั ใหป้ ักตรงๆ ลงไปในดิน ไม้ใหญ่ปักห่างกันหน่อย ไม้เล็กปัก ถีห่ น่อย กลบดนิ ใหแ้ นน่ ไมใ่ ห้โยกคลอน การรดน้ําใหส้ มํ่าเสมอ และอย่าให้แฉะ และอย่ารดนํ้าแรง จะทําให้ก่ิงโยก คลอน เม่อื รากแตกและมใี บเจรญิ ขึ้น ก็ยา้ ยไปปลกู ในที่ทเ่ี ตรียมดนิ ไว้ เอกสารประกอบการเรียนรู้ 29 ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอบางปลามา้

วธิ กี ารเกบ็ สว่ นทใ่ี ชเ้ ปน็ ยา ยาสมุนไพรเป็นส่วนประกอบท่ีได้มาจากพืช สตั ว์ หรอื แรธ่ าตุ ตวั ยาท่ีมีอยูใ่ นพืชสมุนไพรจะมากหรอื น้อย นนั้ ขน้ึ อยกู่ ับปจั จยั หลายอยา่ ง แต่ท่ีสาํ คัญกค็ ือ \"ช่วงเวลาทเี่ ก็บยาสมุนไพร\" การเกบ็ ในช่วงเวลาท่ีเหมาะสมจะมี ผลต่อฤทธ์ิการรักษาโรคของยาสมนุ ไพรได้ นอกจากคํานึงถึงช่วงเวลาในการเก็บยาเปน็ สําคัญแล้ว ยงั ต้องคาํ นึงถึง วา่ เกบ็ ยาถกู ต้องหรือไม่ ส่วนไหนของพืชทีใ่ ชเ้ ปน็ ยา เปน็ ต้น พ้ืนดินที่ปลกู อากาศ การเลือกเก็บสว่ นท่ีใช้เป็นยา อยา่ งถูกวิธีน้นั จะมีผลอยา่ งมากต่อประสิทธิภาพของยาท่จี ะนาํ มารักษาโรค หากปจั จัยดังกลา่ วเปลีย่ นไป ปริมาณ ตัวยาท่มี ีอยู่ในสมุนไพรก็จะเปล่ยี นตามไปดว้ ย ทาํ ใหย้ าน้นั ไม่เกิดผลในการักษาโรคได้ หลกั ทั่วไปในการเกบ็ สว่ นที่ใชเ้ ป็นยาสมุนไพร แบ่งโดยสว่ นท่ีใช้เป็นยาดงั นี้ 1. ประเภทรากหรือหวั เกบ็ ในชว่ งที่พชื หยุดเจรญิ เตบิ โต ใบ ดอก รว่ งหมด หรือในช่วงต้นฤดูหนาวถงึ ปลาย ฤดรู ้อน เพราะเหตุวา่ ในชว่ งน้ี รากและหวั มกี ารสะสมปรมิ าณของตวั ยาไว้ค่อนข้างสูง 2. ประเภทใบหรอื เก็บท้ังต้น ควรเก็บในชว่ งที่พชื เจริญเตบิ โตมากทสี่ ุด หรอื บางชนดิ อาจระบุชว่ งเวลาการ เก็บชดั เจน เชน่ เกบ็ ใบไม้อ่อนหรือไม่แก่เกนิ ไป (ใบเพสลาด) เก็บชว่ งดอกตมู เริ่มบาน หรอื ช่วงทดี่ อกบาน เป็นตน้ การกาํ หนดช่วงเวลาทเ่ี ก็บใบ เพราะชว่ งเวลานน้ั ในใบมีตวั ยามากที่สุด วิธกี ารเกบ็ ใชว้ ธิ ีเด็ด ตัวอย่างเช่น กระเพรา ขลู่ ฝรง่ั ฟาู ทะลายโจร เปน็ ต้น 3. ประเภทเปลอื กต้นและเปลือกราก เปลอื กต้นโดยมากเกบ็ ระหว่างชว่ งฤดรู ้อนต่อกับฤดฝู น ปรมิ าณยาใน พชื สงู และลอกออกง่าย สําหรบั การลอกเปลอื กต้นนัน้ อย่าลอกเปลอื กออกท้งั รอบตน้ เพราะกระทบกระเทือนใน การสง่ ลาํ เลยี งอาหารของพืช อาจทาํ ใหต้ ายได้ ทางทีด่ ีควรลอกจากส่วนกิ่งหรือแขนงย่อย ไมค่ วรลอกจากลําตน้ ใหญ่ของต้นไม้ หรอื จะใชว้ ธิ ีลอกออกในลกั ษณะครึ่งวงกลมกไ็ ด้ ส่วนเปลือกราก เกบ็ ในช่วงตน้ ฤดูฝนเหมาะทีส่ ดุ เนือ่ งจากการลอกเปลอื กต้นหรือเปลอื กรากเป็นผลเสยี ต่อการเจริญเติบโตของพืช ควรสนใจวิธีการเก็บทเี่ หมาะสม 4. ประเภทดอก โดยทวั่ ไปเก็บในชว่ งดอกเร่ิมบาน แตบ่ างชนิดเกบ็ ในช่วงดอกตูม เช่น กานพลู เปน็ ตน้ 5. ประเภทผลและเมลด็ พชื สมุนไพรบางอยา่ งอาจเกบ็ ในช่วงท่ีผลยังไม่สกุ ก็มี เช่น ฝรง่ั เก็บผลออ่ น ใช้แก้ ทอ้ งรว่ ง แตโ่ ดยทั่วไปมกั เกบ็ ตอนผลแก่เต็มที่แลว้ ตวั อยา่ งเช่น มะแวง้ ต้น มะแว้งเครือ ดปี ลี เมลด็ ฟกั ทอง เมลด็ ชุมเหด็ ไทย เมลด็ สะแก เป็นต้น นอกจากที่กลา่ วมาแลว้ ตามการถา่ ยทอดประสบการณ์ของแพทยไ์ ทยโบราณน้ัน ยังมกี ารเกบ็ ยาตาม ฤดูกาล วนั โมงยาม และทิศอีกด้วย เชน่ ใบควรเกบ็ ในตอนเชา้ วนั องั คาร ฤดฝู นทางทศิ ตะวนั ออก เป็นตน้ อย่างไร ก็ตามในทนี่ ้ขี อแนะนําใหใ้ ช้หลกั การเกบ็ ส่วนท่ีใช้เปน็ ยาสมุนไพรข้างตน้ นอกจากน้ีทา่ นผูศ้ ึกษาการเก็บและการใช้ สมุนไพร สามารถเรียนรู้ไดจ้ ากหมอพืน้ บา้ นที่อยใู่ นหม่บู ้าน ซึ่งมีประสบการณ์เกบ็ ยาและการใช้ยามาเปน็ เวลาช้า นาน วธิ ีการเกบ็ สมุนไพรที่ถูกต้องเหมาะสมนนั้ โดยทั่วไปไม่มีอะไรสลบั ซับซ้อน ประเภทใบ ดอก ผล ใช้วธิ เี ด็ด แบบธรรมดา ส่วนแบบราก หัว หรอื เกบ็ ทั้งตน้ ใชว้ ิธีขดุ อย่างระมัดระวงั เพ่ือประกนั ให้ได้ส่วนท่เี ป็นยามากท่สี ุด สําหรบั เปลอื กตน้ หรือเปลือกราก เนื่องจากเกย่ี วข้องกับการดํารงชีวติ ของต้นพืช ดงั นัน้ จึงควรสนใจวิธีการเก็บดังท่ี กลา่ วมาแลว้ ข้างต้น คณุ ภาพของยาสมนุ ไพรจะใชร้ ักษาโรคได้ดีหรือไม่นั้น ที่สําคัญอยู่ท่ชี ว่ งเวลาการเกบ็ สมุนไพร และวธิ กี าร เก็บ แต่ยังมีปัจจยั อืน่ ๆ ท่ียังต้องคาํ นึงถงึ อกี อย่างคือ พน้ื ท่ปี ลกู เช่น ลาํ โพง ควรปลูกในพ้ืนดินที่เป็นด่าง ปรมิ าณ ของตวั ยาจะสงู สะระแหนห่ ากปลกู ในท่ีดินทราย ปริมาณน้ํามันหอมระเหยจะสงู และยงั มีปัญหาทางด้าน สภาพแวดล้อมในการเจรญิ เติบโต ภูมิอากาศ เปน็ ตน้ ต่างก็มผี ลต่อคณุ ภาพสมุนไพรท้ังน้ัน ดงั นน้ั เราควรพิจารณา หาข้อมลู อย่างละเอยี ดถี่ถว้ น กอ่ นที่จะเก็บยาสมนุ ไพรมาใชใ้ นการรักษาโรค เอกสารประกอบการเรียนรู้ 30 ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลามา้

ฟา้ ทะลายโจร ชือ่ วิทยาศาสตร์ Andrographis paniculata ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เปน็ พชื ล้มลกุ ตระกลู เดียวกบั ต้อยติง่ ลําต้นลกั ษณะเปน็ สีเ่ หลย่ี ม ตน้ สูง 30-60 เซนติเมตร ใบเรียวสเี ขียวเขม้ เป็นมนั เป็นคู่ตรงขา้ มกนั ดอกเดย่ี วสขี าวออกตามก้านเล็กๆและปลายยอดผลเป็นฝกั เรียวแหลม เม่อื แกม่ สี ีน้าํ ตาล สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม  ชอบอากาศร้อนชน้ื  เจริญเตบิ โตได้ดใี นดนิ ร่วนซยุ  ปลกู ในทีแ่ สง 50 เปอร์เซ็นต์ การเตรียมแปลงปลูก  มีความจาํ เป็นมาก ควรทําการไถพรวนดนิ จนร่วนซุยก่อนปลูก  ถ้าดินระบายนาํ้ ดี ไมจ่ ําเปน็ ต้องยกร่องแปลง การเตรียมเมล็ดปลกู  เนอ่ื งจากเมล็ดมรี ะยะพักตัว ให้ทําการพักตัวของเมล็ดดว้ ยการแช่ในนํ้ารอ้ น 50-80 องศาเซลเซียส เปน็ เวลา 5-10 นาที ก่อนปลูก  คัดเลอื กเมลด็ จากฝักทีแ่ ก่จดั เมล็ดมสี ีนํา้ ตาลแดงเมลด็ สมบรู ณป์ ราศจากโรคและแมลงทําลายเมล็ด พันธ์ุ 1 ชอ้ นโต๊ะ (6.5-7.0 กรัม) จะมีเมล็ดประมาณ 7,000 เมล็ด เรามกั พบว่าการนําเมล็ดฟูาทะลายโจรมา ปลกู มักจะไม่งอก เน่ืองมาจากเมลด็ มีเปลือกหมุ้ หนา แขง็ และมกี ารพักตัวจึงต้องกระตุ้นความงอกหรือแก้การพัก ตวั โดยแชเ่ มลด็ ในนํ้า 24 ชัว่ โมง หรอื แชใ่ นนํ้าร้อนนาน 5-7 นาทแี ลว้ นําขึน้ มาผ่งึ ไว้ใหเ้ ย็น ก่อนนําไปเพาะเมล็ด หรือนําไปปลูก การปลูก  ปลูกแบบโรยเมลด็ เป็นแถว ระยะระหวา่ งแถว 40 เซนติเมตร โรยเมล็ดทีท่ ําลายการพกั ตวั แล้ว ในอตั ราประมาณ 100-400 เมลด็ ตอ่ ความยาวแปลง 1 เมตร  เกล่ยี ดนิ กลบบางๆ  คลมุ แปลงด้วยฟางขา้ ว หรอื ใบหญา้ คาบางๆ เพือ่ รักษาความชืน้  รดนํา้ ทนั ที เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 31 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอบางปลาม้า

การขยายพนั ธ์ุโดยวิธปี ักชา  คัดเลือกกิง่ แขนงทแ่ี ตกมาจากลําตน้ เอามาปักชํา โดยแตล่ ะสว่ นใหผ้ ลดังน้ี อัตราการรอด (%) โคนกง่ิ กลางกงิ่ ยอด ความสูงตน้ (ซม.) 78 89 100 มจี ํานวนใบ (ใบ/ต้น) 20 24 32 พน้ื ท่ใี บ (ตร.ซม./ต้น) 13 17 20 นํา้ หนักแห้งใบ(กรมั /ตน้ ) 68 127 162 น้ําหนกั แห้งลําตน้ (กรัม/ตน้ ) 0.2 0.4 0.5 0.6 0.5 0.3 การดูแลรกั ษา  เมือ่ ปลกู ไปได้ 30-45 วนั ถา้ พบวา่ ต้นงอกแน่นเกนิ ไป ควรทาํ การถอนแยก  ในระยะ 1-2 เดอื น รดนาํ้ วันละ 1-2 ครง้ั  เมื่ออายุ 2 เดือนขึน้ ไป รดนํา้ วันเวน้ วัน  เมอ่ื อายุ 2 เดือน ใสป่ ุย๋ คอกประมาณ 125 กรัม/ตน้ โดยโรยขนานไปกับแถว ห่างจากแถวประมาณ 10-15 เซนตเิ มตร แลว้ พรวนดนิ กลบ  กาํ จดั วัชพชื ด้วยการใช้มือถอนหรือจอบดาย แลว้ พรวนดนิ เขา้ โคนด้วย การปอ้ งกันกาจดั โรคแมลง  ไมม่ ีแมลงทาํ ความเสยี หายรา้ ยแรง มีเพยี งบางโรคเท่านั้นท่ที ําความเสียหายบ้าง  อาจพบอาการผิดปกติที่ใบมีลักษณะเป็นสมี ่วง แต่บริเวณเส้นใบเปน็ สเี ขียวและแคระแกรน็ ซ่ึงเกิด จากการขาดนาํ้ เปน็ เวลานาน การปอู งกนั กระทําได้โดยการให้น้ําสมํ่าเสมออยา่ ให้พชื ขาดน้าํ ส่วนท่ีใช้ประโยชน์  ทงั้ ตน้ สรรพคณุ  แกเ้ จ็บคอ แก้ไข้ เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 32 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลามา้

กระชายขาว ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Boesenbergia rotunda (Linn.) Mansf. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้นกระชายนับว่าเปน็ พชื ล้มลุกชนิดหนึง่ มีความสงู ประมาณ 2-3ฟุต มลี ําต้นใต้ดนิ เรียกวา่ \"เหง้า\" เปน็ เหง้าสนั้ แตกหน่อได้ เช่นเดยี วกบั ขงิ ข่า และขมิ้น รากอวบรปู ทรงกระบอกหรือรูปไขค่ ่อนขา้ งยาวปลาย เรยี วแหลมออกเปน็ กระจุก มีผิวสนี ํา้ ตาลออ่ นเน้อื ใบสีเหลอื งมกี ล่ิน หอมเฉาะตัว สว่ นทีอ่ ยู่เหนือดินเปน็ กาบใบทห่ี ุ้มซ้อนกนั เป็นช้ัน ๆ สแี ดงเรอ่ื ๆ ใบเป็นใบเด่ยี ว เรียงสลบั ตวั ใบรปู รี ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ เสน้ กลางใบ ก้านใบและกาบใบด้านบนเปน็ ร่อง ด้านลา่ งนนู เป็นสนั ออกดอก เป็นชอ่ สขี าวหรอื ขาวอมชมพูทย่ี อด (แทรกอย่รู ะหว่างกาบใบ) ดอกบานทลี ะดอก มีลักษณะเปน็ ถุง ผลเปน็ ผลแห้ง เมื่อแกแ่ ลว้ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม  ชอบอากาศรอ้ นช้นื ดนิ ร่วนปนทรายระบายน้าํ ดี ไมช่ อบดนิ เหนยี ว และดินลกู รัง  ปลกู ในทแ่ี สงราํ ไร การเตรยี มดนิ ปลกู  ไถพลิกหน้าดนิ ให้ลึกอย่างนอ้ ย 25-30 เซนตเิ มตร  ตากดนิ ไวป้ ระมาณ 7 วนั และไถพรวนดนิ ใหเ้ ปน็ ก้อนเล็กลง  ใสป่ ุ๋ยหมกั ปยุ๋ คอกปรับปรุงบํารงุ ดิน  ยกร่องแปลงปลูกใหส้ งู อย่างน้อย 50 เซนติเมตร การเตรียมพนั ธุ์  เลอื กเหงา้ ที่มตี าสมบรู ณ์ อายุ 10 เดอื นขึน้ ไป  ตัดแตง่ ให้เหลอื รากติดลาํ ตน้ ประมาณ 2 ราก และมีตาอย่างน้อย 3-5 ตา การปลกู ควรปลูกประมาณเดือน พฤษภาคม-มิถนุ ายน ฝงั เหงา้ ลกึ จากผิวดนิ 1-2 เซนติเมตร ระยะปลูก 10x15 เซนตเิ มตร หรือ 25X 15 เซนตเิ มตร ปลูกกระชายได้ 2 วิธี คือปลูกโดยใช้ต้นและปลูกโดยใช้เหง้า วิธีการในการเตรียมเหง้าพันธุ์กระชาย ควรคัดเลอื กหัวพันธุ์ที่มอี ายุเฉลี่ย 7-9 เดอื น มีตาสมบูรณแ์ ละไม่มีโรคแมลงทาํ ลาย แบง่ หวั พันธ์ุด้วยการห่ัน ขนาด ของเหง้าควรจะมีตาอยา่ งนอ้ ย 3-5 ตาหรอื แง่ง มีน้ําหนักประมาณ 15-50 กรัม ต่อแง่ง ก่อนปลูกควรแช่หัวพันธ์ุ ด้วยยาปูองกันกําจัดเชื้อราและสารฆ่าแมลงท่ีปูองกันแมลงในดิน แช่ไว้นานประมาณ 30 นาที ขุดหลุมให้มีระยะ ระหว่างแถวประมาณ 30 เซนติเมตร และระยะระหว่างต้น 20 เซนติเมตร ปลูกต้นกระชายด้วยต้นหรือเหง้า ลงไปในดินและกดดินให้แน่น ถ้าฝนไม่ตกอาจจะต้องให้น้ําอย่างน้อย 1-2 คร้ัง จะช่วยให้ต้นกระชายต้ังตัวได้เร็ว ขึ้น เม่ือต้นกระชายตั้งตัวได้แล้วไม่ต้องทําอะไรอีก นอกจากคอยดูแลเรื่องวัชพืชอย่าให้ข้ึนคลุมต้นกระชายเท่าน้ัน ให้ปลูกโดยใช้ระยะระหว่างต้นและระหว่างแถว 30×30 เซนติเมตร ขุดหลุมปลูกขนาด กว้าง ยาว และลึก 15 เซนติเมตร กอ่ นปลูกใหร้ องกน้ หลุมดว้ ยป๋ยุ ขี้ไกเ่ กา่ หลมุ ละ 200 กรมั (ประมาณ 1 กระป๋องนม) เอกสารประกอบการเรียนรู้ 33 ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลามา้

คลมุ แปลงปลกู ดว้ ยฟางข้าวหนาประมาณ 2 น้ิว เพ่ือปูองกันการงอกของวัชพืชและยังช่วยรักษาความช้ืน ในดิน หลังจากปลกู เสรจ็ ให้รดนํา้ ใหช้ ่มุ เมอ่ื ตน้ กระชายงอกยาวประมาณ 5-10 เซนตเิ มตร เกษตรกรควรรีบกําจัด วัชพชื และใส่ปุย๋ แอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 50 กิโลกรัม ตอ่ ไร่ การให้น้า  ควรให้นํ้าอยา่ งสม่ําเสมอ ยกเว้นชว่ งฤดูฝน  ฤดูแลง้ ควรให้นํา้ 2-3 วนั /คร้งั  เม่อื กระชายแตกยอดแลว้ ควรให้น้ําชว่ งเยน็ เพ่ือปูองกนั ใบไหม้ การให้ปุย๋  ใส่ปยุ๋ รองกน้ หลุมด้วยปุ๋ยขไี้ ก่เก่า หลมุ ละ 200 กรมั  คลมุ แปลงด้วยฟางขา้ วหนาประมาณ 2 นิว้ การป้องกันกาจดั โรค  ปญั หาโรคเนา่ แนะนําให้เกษตรกรผู้ปลกู ควรหมน่ั ตรวจแปลงปลูกกระชายอยา่ งสม่ําเสมอ เนื่องจาก โรคเนา่ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น เมื่อตรวจพบว่าคา่ ความเป็นกรด-ด่างของดนิ มสี ภาพความเป็นกรดสงู จะต้องรบี แกไ้ ขดว้ ยการใสป่ นู ขาวในอตั รา 200-300 กิโลกรัม ตอ่ ไร่ โดยหวา่ นรอบโคนต้นหรือจะใส่ในช่วงของการเตรยี ม ดนิ ก็ได้ อกี ประการหนงึ่ ทเ่ี กษตรกรไม่ควรลืมกค็ ือ การจุ่มเหงา้ กระชายด้วยสารปอู งกันและกําจัดเช้ือราก่อนปลูก ชว่ ยปอู งกนั การเกิดโรคเน่าได้ ข้อสงั เกตวา่ การใสป่ ๋ยุ เคมใี ห้กบั ต้นกระชายมากๆ จะเปน็ อีกสาเหตหุ นึง่ ทที่ ําใหต้ ้น กระชายเน่าตายไดเ้ ช่นกัน การเกบ็ เกย่ี ว  สามารถเก็บเก่ียวได้ตง้ั แต่อายุ 5-6 เดือน  ช่วงอายุ 8-9 เดอื นจะให้สาระสําคญั สงู สดุ  เก็บเกีย่ วโดยใช้มอื ถอน หรอื จอบขดุ  ควรขุดในขณะทด่ี นิ มีความชนื้  หลังจากปลูกกระชายไปได้นาน 8 เดือน คือเริ่มปลูกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมครบ 8 เดือนในเดือน ธันวาคม ในช่วงเดือนมกราคมจะเร่ิมขุดรากข้ึนมาขายได้ โดยวิธีการสังเกตท่ีใบและต้นของกระชาย จะเริ่มมีสี เหลอื งและยบุ ตวั ลง จะขุดโดยใชจ้ อบ การขดุ กระชายในแต่ละครั้งจะต้องขุดในขณะท่ีดินมีความช้ืน ก่อนขุดถ้าดิน แหง้ ให้รดน้ําก่อนเพอ่ื ให้ดินน่มุ วิธีการนี้จะช่วยลดความเสียหายของรากกระชายไม่ให้หักหรือขาดได้ ขณะที่ขุดราก กระชายขึ้นมานั้นมีเกษตรกรหลายรายจะใช้วิธีการฝังเหง้าเล็กๆ ลงไปพร้อมกับตอนขุดเลย เป็นการประหยัด แรงงานไมต่ ้องเสยี เวลาในการปลกู รนุ่ ตอ่ ไป ทาํ งานไปพรอ้ มกัน แต่ถ้าเราขุดกระชายข้ึนมาพบว่ามีปริมาณของราก น้อยเกินไป ไมค่ วรจะขุดขึ้นมา รอใหถ้ ึงปีหนา้ ถงึ จะขดุ ไดร้ ากกระชายที่มีปรมิ าณมากขึน้ สว่ นทใ่ี ชป้ ระโยชน์  เหงา้ สด สรรพคณุ  แก้ทอ้ งอดื ท้องเฟูอ เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 34 ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลาม้า

ขมน้ิ ชัน ช่อื วิทยาศาสตร์ Curcuma longa Linn. ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นพืชล้มลกุ อายุหลายปี มสี ว่ นของลาํ ต้นใต้ดิน เรียกวา่ เหง้า ซึ่งมี สว่ นประกอบของน้ํามันหอมระเหยและสารให้สี ทําให้เหงา้ มีสีเหลืองเข้มและมี กลน่ิ เฉพาะ ลาํ ต้นเหนือดินสูง 30-90 เซนติเมตร สภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสม  ชอบอากาศร้อนชน้ื ดนิ ร่วนปนทรายระบายน้ําดี ไมช่ อบดินเหนียว และดินลูกรงั  ปลูกในทก่ี ลางแจง้ การเตรียมดนิ ปลูก  ไถพรวนหรือขุดดนิ เพอื่ ให้ดนิ ร่วนซยุ  ถ้าดินระบายนา้ํ ดี ไม่จาํ เป็นตอ้ งยกร่อง การเตรยี มเหงา้ พนั ธ์ุ  คดั เลอื กหวั พนั ธ์ทุ ี่มีอายุ 7-9 เดือนมตี าสมบูรณ์ ไม่มีโรคแมลงทําลาย  แบ่งหัวพนั ธุโ์ ดยการห่นั ขนาดของเหง้าควรมีตาอย่างน้อย 3-5 ตา หรอื แง่งมนี ํ้าหนัก 15-50 กรัม การปลูก  ควรปลูกในฤดฝู นชว่ งเดอื น พฤษภาคม-กรกฎาคม เพราะฤดูอนื่ ขมน้ิ ชนั จะพักตัวไมง่ อก  ระยะระหว่างต้นและระยะระหวา่ งแถว 30 X30 เซนติเมตร  ขุดหลมุ ขนาด กว้างXยาวXลกึ 15 X15 X 15 เซนติเมตร  ใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลมุ ประมาณหลมุ ละ 200 กรมั ( 1 กระปอ๋ งนม)  นาํ หัวพันธท์ุ ีเ่ ตรยี มไว้ลงปลูก กลบดนิ หนา 5 เซนติเมตร  คลุมแปลงด้วยฟางหรือหญา้ คา หนาประมาณ 2 นิ้ว เพ่ือปูองกันการงอกของวัชพืช และรักษา ความชน้ื ในดนิ จากนัน้ รดน้ําใหช้ ุ่ม การดแู ลรกั ษา  ชว่ งอายุ 1 ½-2 เดือน เมอ่ื กําลงั เจริญเติบโตทางด้านลาํ ต้นใสป่ ุย๋ 15-15-15 อตั รา ½ ช้อนแกง (15 กรัม)/ต้น  ชว่ งอายุ 3-4 ½ เดอื น เมอื่ อยู่ในระยะสะสมอาหาร ใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 1 ชอ้ นแกง (30 กรมั )/ตน้ การป้องกนั กาจดั โรค  อาจพบโรคเน่าเหง้ายุบ ในระยะขมิ้นอยู่ในแปลงและทิ้งใบหมดแลว้ ซ่ึงเกิดจากเช้ือรา Fusarium solani ปอู งกันโดยหลีกเล่ียงไมป่ ลูกซ้ําในพื้นที่เดิมติดต่อกนั เกนิ 2-3 ปี เอกสารประกอบการเรียนรู้ 35 ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลาม้า

การเก็บเก่ยี ว  เกบ็ เก่ยี วเม่ืออายุ 9-11 เดอื น (ธันวาคม-กุมภาพนั ธ)์  หา้ มเกบ็ เก่ยี วในระยะท่ีขมิ้นชนั เร่มิ แตกหน่อ เพราะจะทําใหม้ สี าร Curcumin ตาํ่  วิธกี ารเก็บใชจ้ อบขดุ ถ้าดนิ แขง็ รดนํา้ ให้ชุ่มก่อน ปล่อยดนิ ให้แหง้ หมาดแล้วจงึ ขุด  เคาะเอาดนิ ออกจากหัว แล้วใสต่ ะกร้าแกวง่ ล้างนาํ้ อีกรอบ ส่วนทใ่ี ชป้ ระโยชน์  เหงา้ สด,แหง้ สรรพคุณ  แกท้ อ้ งอืด ท้องเฟูอ เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 36 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลามา้

หูเสอื ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Coleus amboinicus Lour. ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ลม้ ลกุ อายุ 2-3 ปี สงู ประมาณ 0.3-1 เมตร ลําต้นอวบน้ํา หักได้ง่าย ลําต้นและก่ิงค่อนข้างกลม ต้นอ่อนมีขน หนาแนน่ เม่อื แกข่ นจะคอ่ ยๆหลุดรว่ งไป ใบ เป็นใบเดี่ยว สีเขียวอ่อน ออกตรงข้าม ใบรูปไขก่ วา้ งคอ่ นข้างกลม หรือรูปสามเหล่ียมด้านเท่า ใบกว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 3-8 เซนติเมตร ใบขย้ีดมมีกล่ินหอมฉุน ปลายใบกลมมน โคนใบกลมหรือตัด ขอบใบจักเป็นคลื่นมนรอบๆใบ ใบหนา อวบน้าํ ผิวใบมีขนอ่อนนุ่มปกคลุมท่ัวทั้งใบ แผ่นใบนูน เส้นใบลึก ก้านใบยาว 2-4.5 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อ ยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร อยู่ตาม ปลายกิ่งหรือยอด ดอกย่อยติดหนาแน่นเป็นวงรอบแกนกลาง เป็นระยะๆ มีขน ช่อหนึ่งๆ มีดอกประมาณ 6-8 ดอก ทยอยบานทีละ 1-2 ดอก กลีบดอกมี 5 กลีบ กลีบดอกสีม่วงขาว รูปเรือ ยาว 8-12 มิลลิเมตร โคนเชื่อม ตดิ กนั เป็นหลอดยาว 3-4 มิลลิเมตร ปลายแยกเป็น 2 กลีบ กลีบบนสั้น ตั้งตรง มีขน กลีบล่างยาว เว้า ก้านเกสร เพศผู้เช่ือมติดกันเป็นหลอด ตอนโคนล้อมก้านเกสรเพศเมียไว้ กลีบเล้ียงเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูประฆัง ยาว 2-4 มิลลิเมตร มีขน และมีต่อม ปลายแยกเป็น 5 แฉก แฉกบนรูปไข่กว้าง ปลายแหลม แฉกข้างๆ รูปหอกแคบ แฉก ล่างยาวกว่าแฉกอื่นเล็กน้อย ใบประดับรูปไข่กว้าง ยาว 3-4 เซนติเมตร ปลายแหลม ก้านสั้น ผล มีเปลือกแข็ง เล็ก กลมแปูน สนี าํ้ ตาลออ่ น ผวิ เรียบ กว้างประมาณ 0.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 0.7 มิลลเิ มตร ข้ึนตามที่รกร้าง ทวั่ ไป สรรพคุณ ตารายาไทย ใบ และตน้ มกี ล่นิ หอมฉนุ รสเผด็ รอ้ น นาํ มาคั้นเอานํา้ หยอดแกฝ้ ีในหู แกป้ วดหู พิษฝีในหู หนู ้าํ หนวก ปิดห้ามเลือด ขย้ีทาท้องเด็กแก้ท้องอืด ชว่ ยเจรญิ อาหาร แก้ไขห้ วัดในเด็ก และแกโ้ รคหืด ใบ บาํ รงุ ร่างกาย แก้ไอเรื้อรงั หดื หอบ แกล้ มชกั บางประเภท ต้มนาํ้ กนิ แกท้ างเดินปัสสาวะอักเสบ กินหลงั คลอด ขับน้าํ คาวปลา ยางจากใบ ผสมกับนาํ้ ตาลกินขับลม แก้ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย ใช้ภายนอกเป็นยาพอกศรี ษะแก้ ปวด ลดไข้ แกแ้ มงปุองต่อย ตะขาบกัด แกห้ ิด รักษาแผลไฟไหม้ นาํ้ ร้อนลวก รักษาอาการบวม ตําพอกแก้ปวดข้อ ขยที้ าหา้ มเลือด คั้นนาํ้ ทาแผลเร้อื รงั หรือนําไปทาํ ยานัตถ์ุเพราะมกี ล่นิ หอม ใส่ยงุ้ ข้าวเพื่อไลแ่ มลง และอมดบั กลนิ่ คาวอาหาร ยอดอ่อนและใบออ่ น รับประทานเป็นผกั จิม้ นํ้าพรกิ ลาบ หรอื ใส่แกง ยาสมนุ ไพรพนื้ บ้านจงั หวัดอบุ ลราชธานี ใช้ ใบ ขยด้ี ม แก้หวัด คดั จมูก หรือรับประทานสดเปน็ ผักแกลม้ กบั อาหาร การขยายพนั ธ์ุหเู สอื หูเสือสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการปักชํายอด หรือต้นโดยเลือกกิ่งที่แข็งแรงแล้วนํามาตัดใบออก บางส่วน แตอ่ ย่างตัดให้กง่ิ โดนก้านใบเพราะจําทําใหต้ าที่จะแตกยอดใหมถ่ กู ต้องไปด้วยจากนั้นจึงนํามาปักลงในดิน ที่เตรียมไว้ให้ลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตร แล้วรดนํ้าให้ชุ่มทุกๆวัน จากน้ัน 1-2 สัปดาห์ จะเริ่มมีรากออกมา และแตกก่ิงก้านสาขาไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ หูเสือสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ที่มีอินทรียวัตถุสูง แต่ก็ สามารถขึน้ ไดท้ ุกสภาพดนิ เปน็ พืชท่ชี อบความชนื้ มาก และชอบแสงแดดปานกลาง ข้อแนะนาและข้อควรระวัง 1. สตรมี คี รรภ์และสตรที ่ใี หน้ มบุตรไม่ควรรบั ประทานต้นหูเสือรวมถึงผลิตภณั ฑ์ที่แปรรูปต่างๆ จากตน้ หเู สือ 2. ในผปู้ ุวยท่มี โี รคประจาํ ตัวควรปรึกษาแพทย์กอ่ นใชต้ น้ หเู สอื เสมอเพราะอาจส่งผลขา้ งเคียงตอ่ สุขภาพได้ 3. ไม่ควรรับประทานสว่ นต่างๆของต้นหูเสือทั้งรับประทานแบบสดๆหรือรูปแบบผลติ ภัณฑ์ต่างๆของต้นหูเสือ ในปรมิ าณที่มากและนานจนเกินไปเพราะอาจสง่ ผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เอกสารประกอบการเรียนรู้ 37 ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอบางปลาม้า

ขลู่ ช่ือวิทยาศาสตร์ Pluchea indica (L.) Less. ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ขลเู่ ปน็ พชื ทม่ี ีลกั ษณะเป็นไม้พุ่ม ขึน้ เปน็ กอ แตกก่ิงก้านสาขามาก ลําตน้ สงู ประมาณ 0.5 - 2.5 เมตร ใบมลี กั ษณะ คอ่ นข้างเรียบรูปไขก่ ลบั กว้างประมาณ 1-5 เซนติเมตรและยาว 2.5-10 เซนติเมตร ขอบใบหยักแบบฟันเลอื่ ย โดยรอบมีขนขาวๆปก คลุม ก้านใบสั้นมาก เนื้อใบบาง แผ่นใบเรียบเป็นมัน ใบคอ่ นขา้ งแข็งและ เปราะ ใบมีกลิ่นหอมฉนุ ชอ่ ดอกงอกออกมาจากด้านบนและซอกของใบ กลีบดอกสีมว่ ง ส่วนของดอกสีมว่ งหรือ มว่ งออ่ น ประกอบด้วยดอกย่อยจาํ นวนมาก มีท้งั ดอกตัวผู้และดอกตัวเมยี ผลแห้งเมลด็ ล่อน รปู ทรงกระบอกเปน็ สนั เหล่ยี ม 10 สัน ระยางค์มีนอ้ ย สขี าว ยาวประมาณ 4 มม. ลําต้นกลมสนี า้ํ ตาลแดง หรือเขยี ว ลําตน้ และกงิ่ กา้ น มขี นละเอียดปกคลุม เมล็ดมลี ักษณะเป็นฝอยเล็กๆ เม่ือแก่จะปลวิ ไปตามลม ขลู่เป็นพชื ทสี่ ามารถพบได้ตลอดปี สารเคมีทพี่ บในขลู่ ได้แก่ โซเดยี ม คลอไรด์และโพแทสเซยี ม ขล่เู ปน็ พืช ทีส่ ามารถสะสมโครเมยี มในชีวมวลไดถ้ ึง 51.3 mg/kg ขลู่เปน็ พืชที่รับประทานได้ ใบนาํ ไปลวกจม้ิ น้ําพริก หรอื ใสใ่ นแกงคว่ั นอกจากนน้ั ยงั นําใบไปตากแห้ง ใชท้ าํ ชา ดม่ื แก้กระหายนํา้ ชว่ ยลดน้าํ หนกั ยอดอ่อนรบั ประทานเป็นผกั จ้มิ นํา้ พริก หรอื กนิ กับนาํ้ แกง ดอกนําไปยาํ กบั เนือ้ สัตวต์ ่างๆ ฤทธทิ์ างยาของขลู่ ท้ังต้นใช้ต้มเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ เบาหวาน ต้มอาบ แก้ผื่นคันและ โรคผิวหนัง ใบและรากใช้แก้ไข้ พอกแก้แผลอักเสบ ใบกับต้นอ่อนใช้รักษาอาการปวดตามข้อ ใบช่วยรักษาโรค ริดสีดวงทวาร โดยการค้ันนํ้าจากใบสด แก้กระษัย เป็นยาอายุวัฒนะ รากสด รับประทานเป็นยาฝาดสมาน แก้บิด ไขห้ วดั ถิน่ กาเนดิ ขลู่ ขลเู่ ป็นพืชทม่ี ีถิ่นกําเนิดอยตู่ ามเขตร้อนของทวีปเอเชยี โดยมักพบไดต้ ามปุาชายเลนของประเทศไทย, อินโดนเี ซีย,มาเลเซีย,เวียดนาม,อินเดยี ,จนี ,ปาปัวนวิ กินี และออสเตรเลยี สาํ หรบั ในประเทศพบได้มากตามปุาชาย เลนของจังหวัด สมุทรสงคราม , เพชรบุรี, จันทบรุ ี,ระยอง และยังมีการนาํ ไปปลกู เปน็ พืชเศรษฐกิจ ในจังหวดั นครราชสีมา และ อุดรธานี อีกด้วย ประโยชนแ์ ละสรรพคุณขลู่  ยอดอ่อนมรี สมัน ใชร้ ับประทานเปน็ ผกั สดจิม้ กับนํ้าพรกิ ลาบ หรือเคร่อื งเคยี งขนมจนี ส่วนใบออ่ นนาํ ไปลวกใช้ รับประทานเปน็ ผักจมิ้ กับนา้ํ พรกิ หรอื ใสใ่ นแกงควั่ สว่ นดอกนําไปยํารว่ มกบั เน้ือสตั ว์ตา่ ง ๆ ท้งั นป้ี ริมาณ แคลเซยี มและปริมาณเบต้า-แคโรทีนที่พบในใบขลสู่ ด 100 กรัมเป็นปรมิ าณท่ีใกล้เคยี งเคียงเทยี บเท่ากบั ปริมาณแคลเซยี มที่ไดจ้ ากการด่ืมน้าํ นม 1 แกว้ (8 ออนซ)์ และปรมิ าณเบต้า-แคโรทนี ท่ีไดจ้ ากการกนิ เนื้อ ฟกั ทองสุก 100 กรัม  ใบเมอ่ื นามาผง่ึ ให้แห้งจะมีกลิ่นหอมคลา้ ยกล่นิ นา้ ผง้ึ นามาใชต้ ม้ กับนา้ ดมื่ หรือชงแทนชาจะชว่ ยลดน้าหนกั ได้ (ใบ)  ใบสดแกน่ ามาตาผสมกบั เกลือใช้กนิ รกั ษากลิ่นปากและช่วยระงบั กลนิ่ ตวั เอกสารประกอบการเรียนรู้ 38 ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลาม้า

1. เป็นยาขับปัสสาวะ 2. แก้เบาหวาน 3. ขับน่ิว 4. ทาตรงหวั รดิ สีดวงทวาร ทาํ ให้หวั รดิ สีดวงหดหายไป 5. แกก้ ระษยั 6. ยาอายวุ ัฒนะ 7. สมานแผลภายนอกและภายใน 8. แกไ้ ข้ ขับเหง่ือ 9. บรรเทาอาการปวดเมื่อย 10.แกผ้ น่ื คัน 11.บํารุงประสาท 12.เปน็ ยาบบี มดลูก 13.บรรเทาอาการปวดข้อในโรคไขข้ออักเสบ 14.รกั ษาประดง เลือดลม 15.ทาหลังบริเวณเหนือไต 16.บรรเทาอาการปวดเอว 17.รักษาหดิ ข้เี รื้อน 18.แก้โพรงจมูกอับเสบ (ไซนัส) 19.ใช้ต้มกนิ รกั ษาอาการขดั เบา 20.แก้นิ่วในไต ขับปัสสาวะ 21.รักษาวัณโรคทตี่ ่อมนํ้าเหลือง 22.แก้ริดสีดวงจมกู รดิ สดี วงทวาร 23.บํารุงผิวพรรณชว่ ยทาํ ใหผ้ ิวนมุ่ ลักษณะทัว่ ไปขลู่ ขลู่จัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-2 เมตร ข้ึนเป็นกอ แตกกิ่งก้านสาขามาก ลําต้นกลมสีนํ้าตาลแดง หรือ เขียว ลําต้นและกิ่งก้านมีขนละเอียดปกคลุม ใบเด่ียว ออกแบบสลับ รูปไข่กลับ กว้าง 1-5 เซนติเมตร ยาว 2.5- 10 เซนติเมตร ปลายใบมน ปลายใบมีขนาดใหญ่กว่าโคนใบ โคนใบสอบ ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย โดยรอบมีขน ขาวๆปกคลุม ก้านใบส้ันมาก เนื้อใบบาง แผ่นใบเรียบเป็นมัน ใบค่อนข้างแข็งและเปราะ ใบมีกล่ินหอมฉุน ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด หรือตามซอกใบ รูปกลม หลายๆช่อมารวมกัน ดอกเป็นฝอยสีขาวนวลหรือสีขาวอมม่วง กลีบดอกแบ่งออกเป็นวงนอกกับวงใน กลีบดอกวงนอกสั้นกว่าวงใน กลีบดอกวงในเป็นรูปท่อ ดอกวงนอกกลีบ ดอกยาวประมาณ 3-3.5 มิลลิเมตร ดอกวงใน กลีบดอกจะเป็นรูปท่อมีความยาวประมาณ 4-6 มิลลิเมตร ปลาย จักเปน็ ซฟี่ นั ประมาณ 5-6 ซ่ี ภายในมีทั้งดอกตัวผู้และดอกตวั เมยี สีขาวอมมว่ งขนาดเล็กอยู่เป็นจํานวนมาก ปลาย กลบี ดอกหยักเป็นซ่ีฟัน 5-6 หยัก อับเรณูตรงโคนเป็นรูปหัวลูกศรส้ันๆ เกสรตัวเมียแยกเป็น 2 แฉกสั้นๆ ก้านช่อ ดอกยาวประมาณ 5-6 มิลลิเมตร ไม่มีก้านดอกย่อย ร้ิวประดับมีลักษณะแข็ง สีเขียว และเรียงกันประมาณ 6-7 วง วงนอกเปน็ รูปไข่ วงในคลา้ ยรูปหอกแคบ ปลายแหลม ผลเป็นผลแหง้ ไมแ่ ตก รูปทรงกระบอก ขนาดเล็ก เอกสารประกอบการเรียนรู้ 39 ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอบางปลามา้

ยาวประมาณ 0.7 มลิ ลิเมตร ผลเปน็ สัน มีขนาดเลก็ มาก มเี หลี่ยม 10 สนั มีรยางค์ไมม่ าก สีขาว ยาว ประมาณ 4 มิลลิเมตร เมล็ดมลี กั ษณะเปน็ ฝอยเลก็ ๆ เม่ือแก่จะปลิวไปตามลม ซง่ึ เป็นการขยายพันทางธรรมชาติ การขยายพนั ธข์ุ ลู่ ขลเู่ ป็นพชื ทช่ี อบดินเคม็ ทม่ี นี าํ้ ขงั ดงั น้นั จงึ สามารถเจริญเติบโตได้ ตามท่ที มี่ นี ้ําขังแฉะ หนองน้ํา ทล่ี ุม่ ปุา ชายเลน ดนิ มีความชุ่มช้นื น้าํ ขังแฉะ และยังสามารถปลูกไดท้ กุ ฤดู โดยเป็นพืชท่ีทนทานตอ่ ความแหง้ แลง้ ไดด้ ี ขลสู่ ามารถขยายพนั ธ์ไุ ด้ 2 วธิ ี คือ การปลกู โดยใช้เมลด็ และปักชาํ ลาํ ต้น สาํ หรบั การปลกู ดว้ ยเมลด็ ใหป้ ลกู ลงใน แปลงดินทเ่ี ตรียมไว้ โดยนาํ เมล็ดใส่ลงในลงหลุมปลูก พร้อมกลบดินใหแ้ นน่ พอประมาณ ให้มรี ะยะหา่ งระหวา่ งตน้ ประมาณ 2×2 ม. ส่วนวธิ ีการปกั ชํา สามารถทาํ ได้ดว้ ยการตดั ลําต้นชาํ ลงดิน แล้วรดน้ําใหช้ ุ่ม ซึ่งสามารถปลกู ข้นึ ไดง้ ่ายและไม่ต้องการการดแู ลรกั ษาแต่อยา่ งใด รปู แบบและขนาดวิธีใช้ ใช้เป็นยาแก้อาการขดั เบา ใช้ท้งั ตน้ ขลู่ 1 กาํ มือ (สดหนัก 40- 50 กรัม แหง้ หนัก 15- 20 กรมั ) ห่นั เปน็ ชนิ้ ๆ ต้มกบั นํา้ ดื่ม ครงั้ ละ 1 ถ้วยชา (75 มลิ ลลิ ติ ร) วนั ละ 3 คร้งั ก่อนอาหาร หรอื นําใบขลู่แห้ง 5 กรัมชงใน นํ้าเดอื ด 100 มลิ ลลิ ติ ร ทง้ิ ไว้ประมาณคร่งึ ชั่วโมง กรองเอาแตน่ ํา้ ใช้ดม่ื เพื่อช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาริดสดี วงทวาร รดิ สดี วงจมกู ใช้เปลอื กต้น ต้มนาํ้ เอาไอรมทวารหนัก และรบั ประทาน แก้โรครดิ สดี วงทวาร หรือใช้เปลอื กต้น (ขูดเอาขนออก) แบง่ เปน็ 3 ส่วน ส่วนที่ 1 นํามาตากแห้งทาํ เปน็ ยาสูบ ส่วนที่ 2 นาํ มาตม้ นํา้ รับประทาน สว่ นท่ี 3 ตม้ นํา้ เอาไปรมทวารหนกั เปลอื กบางของตน้ ขูดขนออกให้สะอาด ทาํ เป็นเสน้ ตากแหง้ คล้ายเส้นยาสูบ แกร้ ดิ สีดวงจมูก ใบแกท่ ท่ี ําใหแ้ หง้ ใช้ ชงด่ืมแทนนา้ํ เปน็ ชา มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต รกั ษาโรคเบาหวาน ขับลม แก้โรคเลือด แก้มุตกดิ ระดูขาว ในสตรี แก้ปวดเม่ือยกล้ามเน้ือ ใบและต้นอ่อนนํามาต้มกบั น้ําอาบจะช่วยรักษาหิด และขี้เรื้อน รกั ษาประคบ ช่วยแก้ผ่นื คัน อีกตาํ ราหน่ึงระบุขนาดการใชต้ ามสรรพคุณตา่ งๆ ของขล่วู า่ ยาแห้งให้ใช้ประมาณ 15-20 กรัม หากเป็นต้นสดให้ ใช้ประมาณ 30-40 กรัม นาํ มาตม้ กบั นํ้ารบั ประทาน หรือจะใชร้ ว่ มกับตวั ยาหรือสมุนไพรอ่ืน ๆ ในตาํ รบั ยาตา่ งๆ ข้อแนะนาและขอ้ ควรระวัง 1. การบริโภคใบขลสู่ ดหรอื ดื่มชาขลใู่ นปรมิ าณท่สี งู อย่างต่อเนื่องเปน็ ระยะเวลานานอาจมผี ลเสยี ต่อสุขภาพของ รา่ งกายได้เชน่ กัน หลกั การดื่มชาขลเู่ พื่อเสรมิ สร้างสขุ ภาพกค็ ล้ายกับการดื่มชาจีน ชาเขยี วและชาสมุนไพรชนดิ อน่ื ๆ คือ ควรดม่ื ในปริมาณท่ีพอเหมาะสมควรต่อวัน (1-2 แกว้ ตอ่ วัน) ด่มื ระหวา่ งม้ืออาหาร และไม่ดื่มชาท่ีเหลอื คา้ งคืน 2. สําหรบั ปรมิ าณการซอ้ื ชะพลูในแตล่ ะครงั้ ควรซื้อในปริมาณท่ีสามารถบริโภคหมดภายในสี่เดอื นเพราะสาร ออกฤทธ์ิทางชีวภาพเสื่อมสลายได้ตามระยะเวลาการเกบ็ สังเกตได้จากสีของชาขลูจ่ ะเปลย่ี นเปน็ สีออกเหลือง 3. การเตรียมชาขล่จู ากใบชาขลสู่ ดหรอื แหง้ ควรเป็นการตม้ ในน้าํ ใกลเ้ ดอื ดและต้มนานอย่างน้อย 30 นาที เพือ่ ให้สามารถสกัดสารออกฤทธ์ิทางชวี ภาพใหไ้ ด้มากเพียงพอ 4. ควรเก็บชาขลใู่ นภาชนะทึบแสงและปิดสนทิ เพื่อกันการสลายตวั ของสารออกฤทธิท์ างชวี ภาพเนื่องจากแสง และกันการได้รบั ความช้ืนซงึ่ อาจทําให้มีการเจริญของเชื้อรา เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 40 ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลาม้า

5. ใบของต้นขลู่ทีข่ น้ึ ตามธรรมชาตใิ นปุาชายเลนอาจมีปรมิ าณโซเดียมสูงมากเน่ืองมาจากต้นขลู่ได้รบั เกลือ โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ท่มี าจากความเค็มของดินดังน้นั ผทู้ ี่ปุวยโรคความดนั โลหิตสูงและโรคเกีย่ วกบั หลอดเลือด หัวใจไม่ควรรบั ประทานใบขลใู่ นปริมาณมาก เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 41 ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอบางปลาม้า

ทองพันช่งั ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Rhinacanthus nasutus Kurz) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นพชื ในวงศเ์ หงือกปลา หมอ (Acanthaceae) มีลักษณะเปน็ ไม้พมุ่ ขนาดเล็ก สงู ประมาณ 0.5-2 เมตร กงิ่ อ่อนและลาํ ตน้ มักเปน็ เหล่ียม ส่วนท่ียงั ออ่ นมกั มีขนปกคลมุ ใบรูปคล้ายรปู ไข่หรือวงรี กว้าง 2-4 ซม. ยาว 4-8 ซม. กา้ นใบยาว 0.5-1 ซม. ดอกออกเป็นชอ่ ตามซอกกง่ิ ยาวประมาณ 10 ซม. แต่ละดอกมีสี ขาว ผลใหญ่ประมาณ 1 ซม. ผลเปน็ ผลแหง้ แตกได้ มักมีขน สรรพคณุ รักษาโรคผิวหนงั (ชนดิ กลาก เกล้ือน) ทาแก้กลากเกลอ้ื น การทที่ องพันชัง่ สามารถรักษากลากเกลือ้ นได้ เพราะน้ํายาท่สี กดั ด้วยแอลกอฮอล์จะมีฤทธ์ิฆ่า เช้อื ราทท่ี าํ ใหเ้ กดิ โรคกลากเกลอ้ื นได้ สว่ นทใี่ ช้เป็นยา ได้แก่ ใบสด และรากสด ขนาดและวิธีใช้  ดบั พษิ ไข้ รักษาโรคผิวหนัง รดิ สีดวงทวารหนัก แก้ไอเป็นเลือด ฆา่ พยาธิ นาํ ใบหรือรากประมาณ 1 กํามือ ตม้ รับประทาน เชา้ เย็นทุกวัน  รักษากลาก เกลื้อน ใช้ใบ หรอื รากตําให้ละเอียด แช่เหล้าโรงพอท่วมไว้ 7 วนั ใชน้ าํ้ ยาทาบรเิ วณทเี่ ปน็ วนั ละ 3-4 ครั้ง จนกวา่ จะหาย หายแลว้ ทาตอ่ อกี 7 วัน  แก้โรคปัสสาวะบอ่ ย เอา ตน้ ใบ ดอก ก้าน ราก ลา้ งให้สะอาด สับเป็นชน้ิ เลก็ ๆ ตากแดดให้แห้ง ต้มให้ เดือด ใชด้ ม่ื ขอ้ ควรระวัง ผ้ทู ีเ่ ปน็ โรคโลหติ จาง โรคหัวใจ โรคหืด โรคความดนั โลหติ ตํา่ โรคมะเรง็ ในเมด็ เลือด ไม่ควรรับประทาน รสและสรรพคณุ ในตารายาไทย  ใบ รสเบ่อื เมา ดบั พษิ ไข้ รกั ษาโรคผวิ หนัง แก้รดิ สีดวงทวาร แกไ้ อเป็นเลือด ฆา่ พยาธิกลากเกล้อื น แก้มะเร็ง  ราก รสเมาเบ่อื ตม้ รบั ประทานแก้พิษไข้ แก้โรคมะเรง็ เรื้อน วณั โรค โรคผวิ หนงั แก้ผมหงอก เนอื่ งจากเชื้อรา สรรพคณุ : ราก - แก้กลากเกล้อื น รักษาโรคมะเร็ง รกั ษาโรคผิวหนงั ดบั พิษไข้ แกพ้ ิษงู แกพ้ ยาธวิ งแหวนตาม ผิวหนัง ทั้งต้น - รักษาโรคผวิ หนัง แกน้ ้าํ เหลอื งเสีย แก้กลากเกลือ้ น ผน่ื คัน รักษามะเรง็ คุดทะราด ขับพยาธิตาม ผวิ หนัง ตามบาดแผล แกไ้ สเ้ ล่ือน ไส้ลาม แกป้ ัสสาวะผดิ ปกติ ตน้ - บํารุงร่างกาย แก้โรค 108 ประการ รกั ษาโรค ผมรว่ ง ใบ - ดับพษิ ไข้ แก้กลากเกลอื้ น ผ่นื คนั แกโ้ รคไขข้ออกั เสบ รกั ษาโรคผิวหนัง รักษาโรคมะเรง็ รกั ษาโรค ความดนั โลหติ สูง แก้ผมรว่ ง บาํ รุงร่างกาย แก้โรค 108 ประการ แก้ปวดฝี แกพ้ ิษงู ถอนพิษ แกอ้ ักเสบ แก้โรค มุตกิต รักษาโรคพยาธวิ งแหวนตามผวิ หนงั นอกจากน้ยี ังใชผ้ สมในตาํ รับยารว่ มกบั สมนุ ไพรอื่น ๆ รกั ษาโรคตอ่ ไปน้ีคอื ราก – รักษามะเร็งเนื้อ งอก รักษามะเร็งปอด กระเพาะลําไส้ มะเร็งตามร่างกาย ทําให้ผมดกดํา แก้ไอเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด แก้รดิ สดี วงทวาร ดับพษิ ไข้ รกั ษาโรคผิวหนัง แกก้ ระษยั แก้ผมหงอก ผมร่วง รักษาโรคตับพิการ รักษาโรครูมาติซึม รักษาโรคไขข้อพิการ แก้ลมเข้าข้อทําให้ปวดบวมต่าง ๆ ขับปัสสาวะ แก้แมงเคียนกินรากผม แก้เหา แก้รังแค ท้ังต้น - รักษาโรคผิวหนัง คุดทะราด แก้เม็ดผื่นคัน ต้น - รักษามะเร็งเน้ืองอก รักษามะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะ มะเรง็ ตามร่างกาย มะเร็งลาํ ไส้ แก้แมงเคยี นกินรากผม แกเ้ หา แกร้ ังแค รกั ษาโรคผวิ หนงั เอกสารประกอบการเรียนรู้ 42 ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอบางปลาม้า

ใบ - แก้แมงเคียนกินรากผม แก้เหา แก้รังแค รักษาโรคผิวหนัง แก้ไข้ แก้ปวดหัวตัวร้อน แก้มะเร็งไช แก้หิดมะ ตอย รกั ษาโรคมะเร็ง รกั ษาวณั โรค แก้ใจระสา่ ระสาย แก้คลุม้ คลง่ั แกส้ ารพัดพิษ นอกจากน้ใี นตาราบางเล่ม ยังไดก้ ล่าวถึงสรรพคณุ ทองพนั ชั่ง โดยไม่ได้ระบุวา่ ใชส้ ่วนใดของพชื หรือ สว่ นใดในตารายารว่ มกบั สมุนไพรอื่น ๆ ในการบาบัดรักษาโรคตา่ ง ๆ ดังต่อไปน้ีคือ - รักษาโรคความดันโลหิตสูง รักษาโรคมะเร็ง แกม้ ุตกิตระดูขาว เปน็ ยาอายุวัฒนะ แก้ผมรว่ ง รักษาโรคนิว่ - แก้เคลด็ ขัดยอกชายโครง มือเคลด็ คอเคล็ด แกม้ ะเรง็ ในกระเพาะ แก้ฝปี ระคาร้อย แก้มะเรง็ ในคอ แก้มะเรง็ ในปาก แก้ไข้เหนอื แกจ้ ุกเสยี ด เป็นยา หยอดตา แก้ไอเปน็ เลือด แก้ช้าใน แกน้ ว่ิ แกโ้ รคผวิ หนัง แก้ลมสาร แกม้ ะเรง็ ในปอด แก้มะเรง็ ภายในและภายนอก การขยายพนั ธ์ุ การขยายพนั ธ์ใุ ชป้ ักชา ตดั กิง่ แกท่ ี่มตี าตดิ อยู่ 2-3 ข้อปลิดใบท้ิงแลว้ นาไปปักชาในดินที่ชมุ่ ชนื้ ใหก้ ิง่ เอียง เลก็ นอ้ ยข้ึนได้ในดนิ ทวั่ ไป เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 43 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลามา้

การถอดบทเรยี นเร่อื งการปลูกพืชสมนุ ไพร ฐานท่ี 5 การปลกู พชื สมนุ ไพร ความรู้ คณุ ธรรม -ชนดิ ของสมนุ ไพร -ความขยนั หม่นั เพยี ร -สรรพคณุ ของสมนุ ไพร -ความอดทน -ประโยชน์และโทษของสมุนไพร -ความซื่อสัตย์ -การดแู ล/บารุงรกั ษา -ความรับผดิ ชอบ -วิธีการใช้ -การทางานร่วมกัน -การเตรยี มดนิ ปลกู -ความเสียสละ -การขยายพันธ์ุ -สภาพแวดลอ้ มทีเ่ หมาะสม พอประมาณ -การแปรรปู -ปรมิ าณการปลูกพชื สมุนไพร -การใชป้ ระโยชน์สมนุ ไพรอย่าง คมุ้ ค่า -การใชพ้ ืน้ ทป่ี ลกู สมนุ ไพร มเี หตผุ ล มีภูมคิ มุ้ กันในตวั ท่ดี ี -ใชเ้ ป็นยารักษาโรค,อาหาร, เครอ่ื งสาอาง,และผลติ ภัณฑ์ -ปลอดภยั ตอ่ สุขภาพ -ความปลอดภยั -มสี ุขภาพดี -สุขภาพร่างกายแข็งแรง วัตถ/ุ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม วฒั นธรรม -ลดรายจา่ ย สงั คม -ลดการใช้สารเคมี -ภมู ปิ ญั ญาท้องถิน่ ดา้ นพชื -เพ่ิมรายได้ -การแบง่ ปัน -ลดภาวะโลกร้อน -การแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ สมุนไพร -การอนุรกั ษพ์ ืชสมนุ ไพร -การแปรรูปผลติ ภณั ฑจ์ าก พชื สมนุ ไพร -การประกอบอาหารดว้ ย สมุนไพร เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 44 ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลามา้

ฐานท่ี 6 กระถางประสิทธภิ าพสูง 1. หลกั การเจรญิ เติบโตของพชื การเจรญิ เตบิ โตของพชื มี 3 กระบวนการต่าง ๆ เกิดขน้ึ คือ การแบ่งเซลล์ ทําให้มีจํานวนเซลล์เพ่ิมมากขึ้น เซลล์ที่เกิดข้ึนใหม่จะมีลักษณะเหมือนเดิมแต่มี ขนาดเล็กกว่าการเพิ่มขนาดของเซลล์ เป็นการสร้างสะสมสาร ทําให้เซลล์มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยทั่วไปแล้วเมื่อมีการ แบง่ เซลลแ์ ล้วกจ็ ะเพ่มิ ขนาดของเซลล์ดว้ ยเสมอการเปลี่ยนรูปร่างของเซลล์ เพอ่ื ให้เหมาะสมกับหน้าท่เี ฉพาะอยา่ ง ลักษณะท่ีแสดงวา่ พืชมีการเจริญเตบิ โต มีดังน้ี 1. รากจะยาวและใหญ่ขึน้ มีรากงอกเพ่ิมข้นึ มีการแตกแขนงของรากมากข้ึน 2. ลาํ ต้นจะสงู และใหญข่ ึ้น มีการผลติ ท้ังตากิ่ง ตาใบ และตาดอก 3. ใบจะมีขนาดใหญข่ นึ้ จํานวนใบเพิม่ ขนึ้ 4. ดอกจะใหญ่ขึ้น หรอื ดอกเปลย่ี นแปลงเปน็ ผล 5. เมล็ดจะมีการงอกตน้ อ่อน ปจั จัยทีม่ ีผลต่อการเจรญิ เติบโตของพืช ได้แก่ อากาศ พืชใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจ และใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการสร้างอาหารนํ้า ใชใ้ นกระบวนการลําเลียงนํ้าและแร่ธาตุใช้ในการสรา้ งอาหารช่วยลดอุณหภูมิภายในลําต้นแสง ใช้สร้างอาหารและ คลอโรฟิลลแ์ รธ่ าตุ ใช้ชว่ ยในกระบวนการตา่ ง ๆ ในการดาํ รงชีวิตของพืช ช่วยสร้างคลอโรฟิลลอุณหภูมิ อุณหภูมิท่ี พอเหมาะจาํ เป็นต่อกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง การงอกของเมล็ดและการทํางานของเอนไซม์ ตน้ อ่อน (Embryo)ต้นอ่อนประกอบด้วย ยอดแรกเกดิ จะเจรญิ ไปเป็นใบใบเลี้ยง ทาํ หนา้ ท่ีสะสมอาหารส่วนของต้นอ่อนที่อยู่เหนือใบเล้ียง จะเจริญเป็นลาํ ต้นสว่ นบนและดอกสว่ นของต้นออ่ นทอี่ ย่ใู ต้ใบเล้ียง จะเจริญเป็นลําต้นส่วนล่างรากแรกเกิด จะเป็น ส่วนแรกทง่ี อกผ่านเมล็ดออกมาทางรูไมโครไพล์ออกมาก่อน แล้วเจรญิ ไปเป็นรากแก้ว ส่วนประกอบเมล็ด มสี ว่ นประกอบดังน้ี เปลือกหุ้มเมล็ด เปน็ ส่วนทอี่ ยู่นอกสุดทําหน้าทป่ี ูองกันอนั ตรายใหแ้ ก่เมลด็ ท่ีด้านเวา้ ของเมล็ดจะ มีรอยแผลเป็น ซ่งึ เปน็ สว่ นท่เี คยติดกับรังไข่และมรี ูไมโครไพลอ์ ยบู่ ริเวณน้ี ซ่งึ รากแรกเกิดจะงอกออกทางรูไมโคร ไพลน์ ี้เน้ือเมล็ด เป็นสว่ นที่สะสมอาหารไวเ้ ล้ยี งต้นอ่อน พืชใบเลีย้ งคเู่ นอ้ื เมลด็ คือใบเลย้ี ง เช่น พืชตระกูลถวั่ พชื ใบ เล้ียงเดยี่ ว เนือ้ เมล็ดคือเอนโดสเปิรม์ เชน่ ขา้ ว ข้าวโพด มะพรา้ ว การงอกของเมลด็ ต้องอาศัยปัจจัยดงั ตอ่ ไปนี้ นาํ้ ช่วยใหเ้ ปลอื กห้มุ เมลด็ อ่อนนุม่ ทาํ ให้ตน้ ออ่ น และรากสามารถงอกออกมาไดง้ า่ ยและช่วยทาํ ให้เกดิ กระบวนการเปลีย่ นแปลงแปงู ใหเ้ ปน็ นํ้าตาลเพอื่ ลําเลียงไปใช้อากาศ ก๊าซออกซิเจนช่วยในการหายใจ เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 45 ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางปลามา้

อุณหภมู ิพอเหมาะ ทาํ ใหเ้ อนไซม์ทํางานได้ดี เมล็ดจะงอกไดด้ ที อ่ี ุณหภูมิ 20–30 oC การท่ีพืชจะเจริญเติบโตจะต้องได้รับธาตุอาหารท่ีดีและเพียงพอ ครบทุกธาตุในปริมาณและอัตราส่วนที่เหมาะสม ถ้าหากพืชได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอหรือขาดธาตุใดธาตุหน่ึง พืชจะแสดงอาการผิดปกติให้เห็น เช่น สีของใบ เปลย่ี นไป ใบไหม้ ยอดบดิ เป็นตน้ ถึงแมใ้ นดินจะมีธาตอุ าหารครบแตป่ รมิ าณธาตุอาหารไม่ได้สัดส่วนกัน หรือธาตุ อาหารนั้นอยู่ในสภาพที่พืชไม่อาจนําไปใช้ประโยชน์ได้น้ัน พืชก็แสดงอาการขาดธาตุอาหารได้ ดังนั้นจึงมีความ จําเป็นต้อง ปรับปรุงดินให้พ้ืนท่ีเพาะปลูกมีความอุดมสมบูรณ์อยู่เสมอโดยการเพ่ิมธาตุอาหารของพืชลงไปในดิน หรือการให้แร่ธาตุอาหารเสริมทางใบพืช เพื่อให้พืชได้รับธาตุอาหารตามปริมาณที่ต้องการซึ่งจะทําให้พืช เจริญเติบโตได้ตามปกติ การรักษาสภาพของดินไว้เพื่อการเกษตรแบบย่ังยืน เป็นเร่ืองสําคัญและจําเป็น ท้ังนเี้ พ่ือให้ดนิ มคี ุณสมบัติ และคณุ ภาพเหมาะสม คงสภาพอยูไ่ ดใ้ นระยะยาว ดังน้ันจึงต้องมีการปฏิบัติต่อดินอย่าง ถูกต้อง นั่นคือจะต้องเพม่ิ ธาตอุ าหารลงไปในดิน เพอื่ ทดแทนปรมิ าณท่ีถกู พืชนําไปใช้ นอกจากน้ันยังต้องรักษาสภาพทางกายภาพของดินไว้ โดยการรักษาระดับอินทรียวัตถุให้อยู่ในสภาพท่ี เหมาะสม เป็นท่ีทราบกันดีว่าการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด นอกจากให้ธาตุอาหารพืชแก่ดิน แล้ว ยังทําใหค้ ณุ สมบัตทิ างกายภาพของดินดี เหมาะสมแกพ่ ชื ยง่ิ ขึน้ แตป่ ๋ยุ อินทรียน์ น้ั ธาตอุ าหารต่ํา ดังน้ันถ้าจะให้ ปุ๋ยอนิ ทรยี ใ์ นแงเ่ พิม่ ธาตุอาหารพชื แล้วก็จะต้องให้จํานวนมาก จึงจะให้ธาตุอาหารเพียงพอกับการเจริญเติบโตของ พืชและได้ผลผลิตสูง จึงมีความจําเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมีจะให้ธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม ตามความต้องการของพืชและให้ผลตอบสนองในการเพิ่มผลผลิตแล้วยังมีความ สะดวกในการใช้ และมีผลกระทบต่อสง่ิ แวดล้อมนอ้ ยถ้าใชไ้ หถ้ ูกต้องตามหลักวิชาการ ดงั น้นั เพื่อใหร้ ะบบการปลูกพชื เปน็ แบบย่งั ยนื จงึ มีการใชป้ ๋ยุ บาํ รุงดนิ แบบผสมผสาน คอื การใชท้ ้ังปุย๋ เคมี และป๋ยุ อินทรยี ์ ปยุ๋ ชีวภาพ และสารปรับปรุงดิน ร่วมกนั เพ่ือให้การใสป่ ุ๋ยมีประสิทธภิ าพสูงสดุ 2. หลกั การทางานของกระถางประสทิ ธภิ าพสูง เมือ่ เรารดนา้ํ ลงไป นา้ํ ก็จะเกบ็ กกั อยูด่ า้ นลา่ ง ส่วนบริเวณดา้ นบนของตะกร้าก็จะเป็นวัสดุปลูกและดินที่ใช้ ปลกู พืช รากของพืชกจ็ ะสามารถลงไปดูดนํ้าท่ีกักเก็บไว้ได้ โดยท่ีเราไม่ต้องรดน้ํา และเม่ือเรารดนํ้าครั้งต่อไป เราก็ สามารถกะปริมาณน้าํ ให้พอเหมาะได้ โดยสังเกตที่ท่อพีวีซีที่ย่ืนออกมาจากถัง หากรดจนนํ้าล้นออกมาจากท่อแล้ว ก็ถือว่าปริมาณนํ้าเพียงพอแล้ว และสามารถที่จะหล่อเล้ียงให้ความชุ่มชื้นกับดินและพืชต่อได้อีกประมาณ 7 วัน โดยไมต่ อ้ งรดนํา้ ทน่ี ่าสนใจอีกอย่างหน่งึ คือ กระถางนีใ้ ห้ความสําคัญกับเรื่องการมีระบบอากาศท่ีสามารถระบาย ถ่ายเทได้ดี ทาํ ให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ดีข้ึนด้วย โดยอากาศนี้จะเข้าผ่านทางท่อพีวีซี และระบายผ่านรูที่เจาะ ไว้ขึ้นไปดา้ นบน ท่มี าภาพ : http://www.thaicityfarm.com เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 46 ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลามา้

3. ระบบอากาศตอ่ การเจริญเติบโตของพืช 3.1 อากาศในบรรยากาศ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจน ( ร้อยละ 78) ก๊าซออกซิเจน (ร้อยละ 20.96) ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (ร้อยละ 0.03) ไอน้ําและก๊าซเฉื่อย ก๊าซไนโตรเจนในอากาศพืชชั้นสูงไม่ สามารถนําไปใช้ได้โดยตรงยกเว้นพืชตระกูลถั่วซ่ึงมีจุลินทรีย์ท่ีปมของรากเป็นตัวใช้ไนโตรเจน ก๊าซออกซิเจนใน อากาศจําเป็นต่อการหายใจของพืช ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ พืชใช้เป็นวัตถุดิบร่วมกับน้ําใน กระบวนการสังเคราะห์แสง อากาศในบรรยากาศจะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างคงตัวและมากเพียงพอ ต่อความต้องการของพืช ดังนั้นปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศจึงไม่ใช่ปัจจัยที่ควบคุมผลผลิตของ พืชไม่วา่ จะปลกู บรเิ วณใดในโลก 3.2 อากาศในดิน ดินที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืชควรเป็นดินที่ประกอบด้วยส่วนท่ีเป็นของแข็ง ร้อยละ 50 โดยปริมาตร และส่วนท่ีไม่ใช่ของแข็งร้อยละ 50 โดยปริมาตร ซ่ึงประกอบด้วยนํ้าร้อยละ 25 และ อากาศร้อยละ 25 โดยปริมาตรอากาศในดินส่วนใหญ่ประกอบด้วยก๊าซชนิดต่าง ๆ เช่นเดียวกับอากาศใน บรรยากาศคือ ก๊าซไนโตรเจน (ร้อยละ 78 โดยปริมาตร) ออกซิเจน (ร้อยละ 1-20 โดยปริมาตร) และ คาร์บอนไดออกไซด์ (ร้อยละ 1 - 15 โดยปริมาตร ) แต่เม่ือเปรียบเทียบปริมาณของก๊าซแต่ละชนิดระหว่าง อากาศในดินกบั อากาศในบรรยากาศแล้วพบว่า อากาศในดินจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ํามากกว่าแต่จะ มีก๊าซออกซิเจนตํ่ากว่า ส่วนก๊าซไนโตรเจนมีปริมาณเท่ากัน องค์ประกอบของอากาศในดินจะเปลี่ยนแปลงได้มาก น้อยเพยี งใดขึ้นอยู่กับปริมาตรของช่องว่างของอากาศในดิน กระบวนการทางชีวภาพในดินและอัตราการเคลื่อนท่ี เข้าออกหรือการถ่ายเทระหว่างอากาศในดินและอากาศเหนือดิน องค์ประกอบของอากาศในดินที่มีเนื้อดินต่างกัน ท่รี ะดับความลึกต่างๆ เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 47 ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางปลาม้า