Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือพยาน PDF สมบูรณ์

คู่มือพยาน PDF สมบูรณ์

Published by smalltalk_111, 2019-11-22 02:46:42

Description: คู่มือพยาน PDF สมบูรณ์

Search

Read the Text Version

คูม่ ือการเป็นพยาน ฉบบั เจา้ หนา้ ท่สี านกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดนิ

คานา สำนกั งำนกำรตรวจเงนิ แผ่นดินมหี นำ้ ท่ใี นกำรตรวจสอบกำรใชจ้ ่ำยเงนิ ของหน่วยงำนภำครฐั ทง้ั ในส่วนกลำง ส่วนภูมภิ ำค และส่วนทอ้ งถ่ิน เพ่อื ใหม้ นั่ ใจไดว้ ่ำกำรไดม้ ำ กำรใชจ้ ่ำยเงนิ และกำรบริหำร ทรพั ยำกรของแผ่นดินเป็นไปอย่ำงโปร่งใส มปี ระสทิ ธิภำพ ประสทิ ธิผล ประหยดั และคุม้ ค่ ำ รวมทง้ั สำมำรถ ป้ องกนั หรือลดควำมเสียหำยท่ีอำจเกิดข้ึนจำกกำรปฏิบตั ิงำนดงั กล่ำว ซ่ึงในกำรตรวจสอบของสำนกั งำน กำรตรวจเงนิ แผ่นดนิ บอ่ ยครงั้ พบขอ้ บกพร่องว่ำมกี ำรทุจรติ และกำรละเวน้ ไม่ปฏบิ ตั หิ นำ้ ทข่ี องหน่วยรบั ตรวจ จนเกิดกำรสูญเสยี งบประมำณแผ่นดินเป็นจำนวนมำก และจำตอ้ งดำเนินคดตี ่อไปส่งผลใหเ้จำ้ หนำ้ ทส่ี ำนกั งำน กำรตรวจเงนิ แผ่นดนิ อำจถูกหมำยเรียกจำกศำล คณะกรรมกำร ป.ป.ช. พนกั งำนสอบสวน หรอื หน่วยงำนท่มี ี อำนำจหนำ้ ท่ตี ำมกฎหมำย เพอ่ื ไปเบกิ ควำมหรอื ใหถ้ อ้ ยคำในฐำนะพยำนมำกข้นึ ดงั นนั้ สำนกั คดีโดยกลมุ่ งำน วิเครำะห์กฎหมำย จึงไดจ้ ดั ทำ ข้ึน ”คู่มือกำรเป็นพยำน ฉบบั เจำ้ หนำ้ ท่ีสำนักงำนกำรตรวจเงินแผ่นดิน“ เพ่อื เสริมสรำ้ งและเพ่มิ พูนควำมรูแ้ ละควำมเขำ้ ใจในบทบำทหนำ้ ท่กี ำรเป็นพยำน และใหเ้ จำ้ หนำ้ ท่สี ำนกั งำน กำรตรวจเงนิ แผ่นดินปฏบิ ตั ิตนในฐำนะเป็นพยำนไดอ้ ย่ำงถูกตอ้ ง รวมทง้ั เตรียมควำมพรอ้ มในกำรปฏิบตั ติ น เมอ่ื ไดร้ บั หมำยเรยี กจำกหน่วยงำนทม่ี อี ำนำจหนำ้ ทต่ี ำมกฎหมำย คณะผูจ้ ดั ทำ กลมุ่ งำนวเิ ครำะหก์ ฎหมำย สำนกั คดี สิงหาคม 2561

สารบญั หนา้ บทท่ี ๑ ความรูเ้ บ้อื งตน้ เกย่ี วกบั พยานหลกั ฐาน ๑ ควำมหมำยของพยำนหลกั ฐำน……………………………………………………………………………… ๑ ควำมสำคญั ของพยำนหลกั ฐำน……………………………………………………………………………… ๒ ระบบกำรคน้ หำขอ้ เทจ็ จรงิ ………………………………………………………………………….………… ๓ ขอ้ แตกต่ำงระหว่ำงระบบไต่สวนกบั ระบบกลำ่ วหำ………………………………………………………. ๔ ๕ บทท่ี ๒ การไปเป็นพยานศาลของบคุ คล (พยานบุคคล) ๕ พยำนบคุ คล………………………………………………………………………………………………….…… ๕ สทิ ธิของพยำนในคดีอำญำตำมกฎหมำยคุม้ ครองพยำนในคดอี ำญำ พ.ศ. ๒๕๔๖ …………………... ๖ รูปแบบกำรสบื พยำนบคุ คล……………………………………………………………………………………… ๗ พยำนบคุ คลท่ไี ปศำลเพอ่ื เบกิ ควำม………………………………………………………………………… ๗ วธิ กี ำรถำมพยำนและกำรบนั ทกึ คำพยำน………………………………………………….………………. ๑๐ ๑๓ บทท่ี ๓ ขอ้ ควรปฏบิ ตั เิ ม่อื ไดร้ บั หมายศาล ๑๔ กำรเตรียมควำมพรอ้ มก่อนจะเบกิ ควำม…………………………………………………………………… ๑๖ กำรขออนุญำตผูบ้ งั คบั บญั ชำ…………………………………………………………….…………………… ๑๗ กำรปฏบิ ตั ติ นเมอ่ื อยู่ในหอ้ งพจิ ำรณำคดี…………………………………………………………………… ๑๘ กำรเบกิ ควำม ……………………………………………………………………………….…………………… ๒๓ กระบวนกำรเบกิ ควำมในฐำนะพยำนบคุ คล ……………………………………………………………… ๒๖ คำแนะนำสำหรบั พยำนในกำรข้นึ เบกิ ควำมเป็นพยำนในศำล………………………………………… ๒๗ กำรรบั รองเอกสำร…………………………………………………………………………………..…………… ๒๗ ขอ้ บกพร่องในกำรเป็นพยำนศำล........................................................................................ ๒๘ วธิ ปี ฏบิ ตั เิ มอ่ื ไมส่ ำมำรถมำเป็นพยำนศำลได.้ ....................................................................... ๓๔ ควำมผดิ ทำงอำญำ............................................................................................................. ๓๕ บทท่ี ๔ การไปใหก้ ารในฐานะเป็นพยานตอ่ พนกั งานสอบสวน วธิ ปี ฏบิ ตั เิ มอ่ื จะตอ้ งไปใหก้ ำรเป็นพยำนชน้ั สอบสวน............................................................

บทท่ี ๕ การไปใหถ้ อ้ ยคาในฐานะเป็นพยานประกอบการไต่สวนของ ป.ป.ช. หรอื ป.ป.ท. ๓๖ กำรไปใหถ้ อ้ ยคำในฐำนะเป็นพยำนประกอบกำรไต่สวนของ ป.ป.ช. ........................................... ๓๖ กำรไปใหถ้ อ้ ยคำในฐำนะเป็นพยำนประกอบกำรไต่สวนของ ป.ป.ท. ........................................... ๓๗ ๓๙ บทท่ี ๖ สทิ ธิในการรบั คา่ ตอบแทน ๔๐ สทิ ธิในกำรรบั ค่ำยำนพำหนะ ค่ำป่วยกำรพยำน ตำมกฎหมำยของสำนกั งำนกำรตรวจเงนิ แผ่นดนิ ๔๑ ค่ำใชจ้ ่ำยและค่ำตอบแทนในกำรเป็นพยำนคดอี ำญำ.................................................................. ๔๒ ค่ำใชจ้ ่ำยและค่ำตอบแทนในกำรเป็นพยำนคดที จุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบ.................................... ๔๓ ค่ำใชจ้ ่ำยและค่ำตอบแทนในกำรเป็นพยำนคดแี พง่ ................................................................... ภาคผนวก - พระรำชบญั ญตั มิ ำตรกำรของฝ่ำยบริหำรในกำรป้องกนั และปรำบปรำมกำรทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๕๑ - พระรำชบญั ญตั คิ ุม้ ครองพยำนในคดอี ำญำ พ.ศ. ๒๕๔๖ - ระเบยี บคณะกรรมกำรบรหิ ำรศำลยุตธิ รรม ว่ำดว้ ยกำรจ่ำยค่ำป่วย ค่ำพำหนะเดนิ ทำง ค่ำเช่ำทพ่ี กั และค่ำใชจ้ ่ำยแก่พยำนบคุ คลทศ่ี ำลเรยี กมำ บคุ คลซง่ึ มำใหถ้ อ้ ยคำ บคุ คลหรอื คณะบคุ คลทไ่ี ดร้ บั แต่งตง้ั ใหป้ ฏบิ ตั หิ นำ้ ทแ่ี ละผูท้ รงคุณวุฒหิ รอื ผูเ้ช่ยี วชำญ ในคดที จุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบ พ.ศ. ๒๕๖๑ - ระเบยี บคณะกรรมกำรบริหำรศำลยุติธรรม ว่ำดว้ ยกำรจ่ำยค่ำพำหนะ ค่ำป่วยกำร และค่ำเช่ำทพ่ี กั แก่พยำนซง่ึ มำศำลตำมหมำยเรยี กในคดอี ำญำ พ.ศ. ๒๕๖๑ - ระเบยี บคณะกรรมกำรป้องกนั และปรำบปรำมกำรทจุ รติ แหง่ ชำติ ว่ำดว้ ยกำรตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. ๒๕๖๑ - คำสงั่ สำนกั งำนกำรตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ท่ี ๑๓๓/๒๕๖๑ ลงวนั ท่ี ๒ พฤษภำคม ๒๕๖๑ เร่อื ง แนวปฏบิ ตั ิ ในกำรเปิดเผยหรอื เผยแพร่ขอ้ ควำมขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื ขอ้ มลู ท่ไี ดม้ ำจำกกำรปฏบิ ตั หิ นำ้ ทข่ี องสำนกั งำน กำรตรวจเงนิ แผน่ ดิน - บนั ทกึ ขอ้ ควำม สำนกั กฎหมำย ท่ี ตผ ๐๐๐๔/๐๐๗ ลงวนั ท่ี ๑๗ มกรำคม ๒๕๕๖ เร่อื ง ขออนุมตั ิ เบกิ ค่ำใชจ้ ่ำยในกำรเดนิ ทำงไปรำชกำรของขำ้ รำชกำรบำนำญไปเป็นพยำนศำล - ตวั อย่ำง หมำยเรยี กพยำนบุคคล (ศำล) - ตวั อยำ่ ง คำสงั่ ใหใ้ หถ้ อ้ ยคำ (ป.ป.ช.) - ตวั อยำ่ ง หมำยเรยี กพยำน (สำนกั งำนตำรวจแหง่ ชำต)ิ

บทท่ี ๑ ความรูเ้ บ้ืองตน้ เก่ียวกบั พยานหลกั ฐาน ความหมายของพยานหลกั ฐาน พยานหลกั ฐาน (Evidence) คือ สง่ิ ท่มี คี ุณค่า (Probative Value) ในการพสิ ูจนข์ อ้ เท็จจริงหน่ึง ขอ้ เทจ็ จรงิ ใด พยานหลกั ฐานจะตอ้ งเป็นส่งิ ท่สี ามารถพสิ ูจนแ์ ละสนบั สนุนขอ้ เทจ็ จริงทค่ี ู่ความแต่ละฝ่ายกล่าว อา้ งมาในการดาเนินคดี คู่ความแต่ละฝ่ายจึงมคี วามจาเป็นท่จี ะตอ้ งนาพยานหลกั ฐานมาแสดงพสิ ูจนย์ ืนยนั ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามทต่ี นกลา่ วอา้ ง เมอ่ื การสอบสวนคือการรวบรวมพยานหลกั ฐานใหอ้ ยู่ในรูปแบบของสานวนการ สอบสวน ดงั นน้ั พยานหลกั ฐานในสานวนการสอบสวน จะตอ้ งถูกรวบรวมอย่างมปี ระสทิ ธิภาพและประสทิ ธผิ ล การท่ศี าลจะพิจารณาพิพากษาคดีตามพยานหลกั ฐานนน้ั จะตอ้ งมีการนาเสนอ (adduce) เขา้ สู่ สานวนคดีของศาลตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการท่ีเป็นไปตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิไว้ ศาลจะนาขอ้ เท็จจริงนอก สานวนความมาเป็นเหตุผลในการเขยี นคาพพิ ากษาไดก้ ็ต่อเม่อื ขอ้ เทจ็ จริงนนั้ เป็นส่งิ ท่ศี าลรูไ้ ดเ้ อง (Judicial notice) เช่น ในคดีอาญาขอ้ เทจ็ จรงิ ทว่ี ่าคืนไหนเป็นคืนขา้ งแรม คืนไหนเป็นคืนขา้ งข้นึ ทงั้ น้ี เพอ่ื จะไดว้ นิ ิจฉยั ว่าขณะเกิดเหตุเวลากลางคืน แมไ้ ม่มแี สงไฟฟ้าส่องสว่าง พยานก็มโี อกาสเห็นคนรา้ ยไดโ้ ดยอาศยั แสงจนั ทร์ เป็นตน้ พยานหลกั ฐานท่ีจะนาเสนอต่อศาลไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา หรือเป็นพยานบุคคล พยาน เอกสาร หรอื พยานวตั ถจุ ะตอ้ งเป็น (๑) พยานท่ีช้ีใหเ้ ห็นขอ้ เท็จจริงท่ีเป็นประเด็นแห่งคดีโดยตรง (Fact in issue) เช่น ประจกั ษ์ พยานทเ่ี หน็ คนรา้ ย วดี ทิ ศั นท์ ถ่ี ่ายจากกลอ้ งวงจรปิดทแ่ี สดงใหเ้หน็ คนรา้ ยขณะกระทาผดิ (๒) พยานหลกั ฐานท่เี ก่ียวขอ้ งกบั ขอ้ เท็จจรงิ (Relevance fact) ท่ีจะนาไปสู่ขอ้ สรุปในประเด็น แห่งคดีโดยอาศยั หลกั ตรรกวทิ ยาโดยการอนุมาน (Inference) เช่น พยานแวดลอ้ มต่าง ๆ ท่ีเปรียบไดก้ บั เสน้ ดา้ ยท่ีเสน้ เดียว ไม่อาจมีนา้ หนกั ยกของหนกั ได้ แต่เสน้ ดา้ ยท่ีมดั รวมกนั มาก ๆ สามารถยกได้ พยานท่ี เก่ียวขอ้ งกบั ขอ้ เท็จจริงน้ีก็เช่นกนั ลาพงั แต่ตวั มนั เองไม่มีนา้ หนกั รบั ฟงั ได้ แต่เม่อื พยานแวดลอ้ มหลาย ๆ ประการรวมกนั ทาใหม้ นี า้ หนกั รบั ฟงั ได้

(๓) พยานหลกั ฐานทเ่ี ป็นพยานประกอบขอ้ เทจ็ จริงทเ่ี ป็นประเด็นในคดี (Collateral fact) เป็นพยาน หลกั ฐานท่ปี ระกอบกบั พยานในสองประการแรก และมผี ลต่อความน่าเช่ือถอื ของพยาน เช่น พยานเป็นคน วกิ ลจรติ พยานสายตาไม่ดี ความสาคญั ของพยานหลกั ฐาน การคน้ หาความจริงในคดีจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะตอ้ งอาศยั พยานหลกั ฐานในการพิสูจน์ใหเ้ ห็นถึง ขอ้ เท็จจริงต่าง ๆ ท่ีเกิดข้นึ ในคดี และนาไปสู่การช้ีขาดตดั สินคดีต่อไป ทาใหค้ นกระทาผิดไดร้ บั การลงโทษคน บรสิ ุทธ์ิไดร้ บั ความคุม้ ครองจากกฎหมาย พยานจงึ มคี วามสาคญั อย่างยง่ิ ในการดาเนินคดตี ่อผูก้ ระทาผดิ เน่ืองจาก ในการดาเนินคดตี ่าง ๆ นนั้ จาตอ้ งพสิ ูจนข์ อ้ เทจ็ จรงิ ใหเ้ป็นทแ่ี น่ชดั วา่ มกี ารกระทาผดิ เกดิ ข้นึ พยานหลกั ฐานจงึ เป็น กุญแจไปสู่ความยุติธรรม ในทางตรงกนั ขา้ มหากขาดพยานหลกั ฐานมาพิสูจน์ความผิด หรือพยานหลกั ฐาน ไม่พอเพยี ง โอกาสทผ่ี ูก้ ระทาผดิ ก็จะหลดุ รอดไปก่อความเดอื ดรอ้ นใหส้ งั คมสว่ นรวมไดอ้ กี คดีความทพ่ี พิ าทฟ้องรอ้ งกนั ในศาล ไม่วา่ จะเป็นคดแี พ่ง คดีอาญา หรอื คดปี กครอง จะเก่ียวกบั ขอ้ ท่ี ตอ้ งวนิ ิจฉยั ๒ ประการ คอื ๑. การวินิจฉัยปญั หาขอ้ เท็จจริง ตอ้ งพิสูจน์ดว้ ยพยานหลกั ฐาน จึงตอ้ งมีกฎหมายท่ีกาหนด หลกั เกณฑ์เก่ียวกบั การพิสูจน์ขอ้ เท็จจริงดว้ ยพยานหลกั ฐาน เรียกว่า กฎหมายว่าดว้ ยพยานหลกั ฐาน เป็นกฎหมายที่ว่าดว้ ยหลกั เกณฑ์ และวธิ ีการนาเสนอขอ้ พสิ ูจนอ์ นั เป็นขอ้ เท็จจริงต่อศาล เพือ่ ใหศ้ าล ได้ วนิ ิจฉยั คดคี วามไดถ้ กู ตอ้ ง ๒. การวนิ ิจฉยั ปญั หาขอ้ กฎหมาย คือ การนากฎหมายไปปรบั ใชบ้ งั คบั กบั ขอ้ เทจ็ จริงท่เี กิดข้นึ เพ่อื ใหท้ ราบว่าจะมผี ลทางกฎหมายอย่างไร ดงั นน้ั การท่ศี าลจะวนิ ิจฉยั ปญั หาขอ้ กฎหมายไดต้ ่อเมอ่ื ขอ้ เท็จจริง นนั้ ฟงั เป็นยุตแิ ลว้ ๒

ระบบการคน้ หาขอ้ เท็จจริง อาจจาแนกไดเ้ ป็น ๒ ระบบ คือ ๑. ระบบไตส่ วน (INQUISITORIAL SYSTEM) เป็นระบบท่ยี กเลกิ วธิ กี ารใหผ้ ูเ้สยี หายเป็นผูก้ ลา่ วหาเอง และใหเ้จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ทาหนา้ ท่แี ทน ผูพ้ พิ ากษาเปลย่ี นสถานะจากการเป็นคนกลางมาเป็นผูท้ าการไต่ส่วน มอี านาจสบื สวนพยานและควบคุมการ ไต่สวนเอง โดยถอื ว่าหนา้ ทใ่ี นการคน้ หาขอ้ เทจ็ จริงเป็นของศาล ศาลเป็นผูซ้ กั ถามพยานก่อน แลว้ คู่ความจงึ ซกั ถามพยานภายหลงั การพิจารณามิใช่เป็นการต่อสูร้ ะหว่างผูก้ ล่าวหาและผูถ้ ูกกล่าวหา แต่เป็นการต่อสู ้ ระหว่างจาเลยกบั รฐั เป็นการพิจารณามิไดท้ าโดยเปิดเผย และพิจารณาดว้ ยเอกสารมากกว่าการเบกิ ความ ศาลมอี านาจอย่างกวา้ งขวางท่ีจะใชด้ ุลพินิจในการรบั ฟังพยานหลกั ฐาน และดุลพินิจน้ีมกั โตแ้ ยง้ ไม่ได้ (Unreviewable) ศาลท่ีใชร้ ะบบไต่สวน ไดแ้ ก่ ศาลชานญั พเิ ศษ ศาลปกครอง ศาลรฐั ธรรมนูญ ศาลฎกี า แผนกคดอี าญาของผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง ๒. ระบบกลา่ วหา (ACCUSATORIAL SYSTEM) ระบบน้ีถือว่าศาลเปรียบเสมือนกรรมการของการต่อสูค้ ดี โดยตอ้ งวางตวั เป็นกลางอย่าง เคร่งครดั ส่วนการพสิ ูจนข์ อ้ เทจ็ จรงิ ต่าง ๆ เป็นหนา้ ทข่ี องคู่ความแต่ละฝ่ายจะตอ้ งเสนอพยานหลกั ฐานของตน และศาลจะพิจารณาเฉพาะหลกั ฐานท่ีคู่ความเสนอต่อศาลเท่านั้น โดยสนั นิษฐานว่าคู่ความจะเสนอ พยานหลกั ฐานทต่ี นคิดว่าดที ส่ี ุด ซง่ึ จะเป็นการส่งเสรมิ ใหค้ ู่ความเสนอพยานหลกั ฐานไดเ้ตม็ ทแ่ี มต้ ามความเป็นจริง ในบางคดจี ะไม่ไดเ้ สนอพยานหลกั ฐานกนั โดยครบถว้ น ไม่ว่าโดยคู่ความจงใจหรอื พลงั้ เผลอก็ตาม โดยทวั่ ไป ศาลจะไม่เรียกพยานหลกั ฐานมาสบื เอง เวน้ แต่ในกรณีท่มี คี วามจาเป็น และในคดีแพ่งนน้ั ศาลจะเรียกพยาน มาสบื เองไดก้ ็โดยความยนิ ยอมของคู่ความเท่านน้ั ทง้ั น้ี แมศ้ าลจะมอี านาจในการเรยี กพยานมาสบื หรอื ซกั ถาม พยานได้ แต่ศาลจากดั บทบาทของศาลโดยจะกระทาต่อเม่อื จาเป็นเพ่อื ประโยชน์แห่งความยุติธรรม กลไกสาคญั ในการสบื พยานบคุ คล คือ การถามคา้ น (Cross-Examination) ศาลทใ่ี ชร้ ะบบกลา่ วหา ไดแ้ ก่ ศาลยุตธิ รรม ๓

ขอ้ แตกต่างระหว่างระบบไต่สวนกบั ระบบกล่าวหา ประการแรก ในระบบกลา่ วหาศาลมบี ทบาทในการพจิ ารณาคดคี ่อนขา้ งจากดั โดยเป็นกรรมการ ผูด้ ูแล ใหค้ ู่ความดาเนินคดไี ปตามหลกั เกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ ไมม่ อี านาจสบื พยานเอง แต่ตามระบบไต่สวน ศาลมี บทบาทสาคญั ในการพิจารณาคดี จะสงั่ สืบพยานเพ่ิมเติม หรืองดสืบพยานก็ได้ กาหนดระเบียบ วิธีการ เก่ียวกบั การสบื พยานมนี อ้ ย เพราะศาลมอี านาจใชด้ ุลพนิ ิจอย่างกวา้ งขวาง ประการที่สอง คู่ความในระบบกล่าวหาจะมบี ทบาทสาคญั ในการต่อสูค้ ดี โดยเสนอขอ้ เทจ็ จรงิ และ ตรวจสอบขอ้ เท็จจริงกนั เอง (adversary system) แต่ในระบบไต่สวนโดยเฉพาะในคดีอาญา จะเป็นการ ดาเนินคดรี ะหว่างศาลกบั จาเลย โจทกเ์ ป็นเพยี งผูช้ ่วยเหลอื ศาลในการคน้ หาขอ้ เทจ็ จรงิ เท่านน้ั ประการท่ีสาม ตามระบบกล่าวหามีหลกั เกณฑก์ ารนาสืบพยานเคร่งครดั มาก เช่น มีบทตดั พยาน (Exclusionary Rule) ไม่ยอมใหศ้ าลรบั ฟงั พยานนนั้ เขา้ สู่สานวนความเลย ทงั้ การใชค้ าถามซกั ถาม ถามคา้ น ก็ตอ้ งอยู่ในบงั คบั กฎหมายอย่างเคร่งครดั หากบกพร่องหรอื ผดิ พลาดไปจากน้ี ศาลจะไม่เช่อื เลย ต่างกบั ระบบ ไต่สวนทเ่ี ปิดโอกาสใหม้ กี ารเสนอพยานหลกั ฐานต่อศาลไดโ้ ดยไม่จากดั กาหนดระเบยี บวธิ กี าร (technicality) เก่ียวกบั การสบื พยานมนี อ้ ย และไม่เป็นสาระสาคญั ศาลจงึ มดี ุลพนิ ิจอย่างกวา้ งขวาง ประเภทของพยานหลกั ฐาน แบ่งตามประเภทของพยานหลกั ฐานทใ่ี ชใ้ นประมวลกฎหมายวธิ ี พจิ ารณาความแพ่งและประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา ได้ ๔ ประเภท คอื ๑. พยานบคุ คล คือ บคุ คลทม่ี าเบกิ ความต่อศาลดว้ ยวาจา ๒. พยานเอกสาร คือ ขอ้ ความใดๆ ในเอกสารทม่ี กี ารอา้ งเป็นพยาน ๓. พยานวตั ถุ คอื วตั ถสุ ง่ิ ของทค่ี ู่ความอา้ งเป็นพยาน การอา้ งสถานทใ่ี หศ้ าลตรวจ ก็อยู่ใน ความหมายของพยานวตั ถดุ ว้ ย ๔. พยานผูเ้ชย่ี วชาญ คอื พยานบคุ คลซง่ึ เป็นผูม้ คี วามรูเ้ช่ยี วชาญในศาสตรส์ าขาใดสาขาหน่ึง และมาเบกิ ความโดยการใหค้ วามเหน็ ๔

บทท่ี ๒ การไปเป็ นพยานศาลของบุคคล (พยานบุคคล) พยานบุคคล (WITNESS) หมายถงึ บุคคลท่ีมาใหถ้ อ้ ยคาต่อศาลและเบกิ ความเล่าเร่ืองดว้ ยวาจา เพือ่ ท่ีศาลจะไดบ้ นั ทกึ ถอ้ ยคาของพยานผูน้ นั้ ไวเ้ป็นพยานหลกั ฐานในการพจิ ารณาคดี หรอื หมายถึงบนั ทึกคาพยานท่ปี รากฏอยู่ใน สานวนท่ใี ชใ้ นการตดั สนิ คดี ซง่ึ บุคคลนน้ั จะตอ้ งเป็นผูท้ ่ไี ดร้ ู้ ไดเ้ หน็ ไดย้ นิ หรอื ไดท้ ราบขอ้ เทจ็ จรงิ เก่ียวกบั เร่ืองท่ีจะเบกิ ความดว้ ยตนเองโดยตรง โดยพยานจะตอ้ งเป็นผูท้ ่ีสามารถเขา้ ใจและตอบคาถามได้ ซ่งึ ผูน้ นั้ อาจจะเป็นพยานโจทก์ พยานจาเลย พยาน ผูฟ้ ้องคดี หรอื พยานผูถ้ กู ฟ้องคดกี ็ได้ สิทธิของพยานในคดีอาญา ตามกฎหมายคุม้ ครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖ ๑. สทิ ธิทจ่ี ะไดร้ บั การคุม้ ครองความปลอดภยั เมอ่ื ถกู คุกคามในฐานพยานในคดอี าญา รวมถงึ ผูใ้ กลช้ ดิ ของพยานในคดอี าญา ๒. สทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บั การปฏบิ ตั ิทเ่ี หมาะสม ๓. สทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บั เงนิ ค่าตอบแทนจากการมาใหข้ อ้ เทจ็ จรงิ ต่อพนกั งานสอบสวนหรอื เบกิ ความต่อศาล ๔. สทิ ธิทจ่ี ะไดร้ บั ค่าตอบแทนความเสยี หายต่อชวี ติ ร่างกาย ช่อื เสยี ง ทรพั ยส์ นิ อนั เน่ืองมาจากการ เป็นพยานในคดอี าญา ๕. สทิ ธิทจ่ี ะไดร้ บั เงนิ ค่าใชจ้ ่ายในการคุม้ ครองพยานในคดอี าญา๑ ๑ สานกั งานคุม้ ครองพยาน .คุม้ ครองพยานในคดีอาญา. [ออนไลน์จาก .]กรมคุม้ ครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุตธิ รรม เวบ็ ไซต:์ http://www.rlpd.go.th/rlpdnew/2012-06-20-10-26-09. (สบื คน้ ขอ้ มลู :๒๑ สงิ หาคม ๒๕๖๑). ๕

รู ปแ บบก า รสืบพ ยานบุ ค ค ล ๑. การเดินเผชิญสบื คือ การท่ศี าลออกไปสบื พยาน ณ ท่แี ห่งใดแห่งหน่ึงนอกศาล การเผชิญสบื นน้ั อาจจะเป็นการสืบพยานบุคคลหรือวตั ถุพยานหรือสถานท่ีก็ได้ โดยเหตุท่ีศาลจะตอ้ งไปเดินเผชิญสืบ นอกศาลนน้ั ยกตวั อย่างเช่น เม่ือศาลเห็นว่าในการสืบสวนหาความจริงจาเป็นตอ้ งไปสืบพยาน ณ ท่ีซ่ึง ขอ้ เท็จจริงอนั ประสงคจ์ ะใหพ้ ยานเบกิ ความนน้ั ไดเ้ กิดข้นึ พยานอายุมากจนเดินทางมาศาลไม่ได้ หรอื พยาน เจบ็ ป่วย เป็นตน้ ๒. การสง่ ประเด็นไปสบื คือ การท่พี ยานอยู่ไกลจากศาลหรอื อยู่นอกเขตอานาจศาลก็อาจขอให้ ศาลท่พี ยานมภี ูมลิ าเนา หรือศาลทพ่ี ยานอยู่ในเขตอานาจสบื พยานนนั้ แทนได้ โดยทางปฏบิ ตั เิ รยี กศาลเจา้ ของ คดีว่า “ศาลท่สี ่งประเด็น” และเรียกศาลทใ่ี หช้ ่วยสบื พยานใหว้ ่า “ศาลทร่ี บั ประเด็น” การทค่ี ู่ความแถลงขอตาม ไปฟงั การพิจารณาดว้ ยเรียกว่า “การตามประเด็น” เม่อื สบื พยานประเด็นเสร็จแลว้ ศาลท่ีรบั ประเด็นจะส่ง สานวนกลบั ศาลเดมิ เรยี กว่า “การสง่ ประเดน็ คืน” โดยคู่ความจะร่วมกนั กาหนดวนั นดั เพอ่ื ใหศ้ าลเดมิ พจิ ารณา ดาเนินกระบวนพจิ ารณาต่อไป วนั นดั ท่ศี าลเดิมน้ีเรยี กว่า “วนั นดั ฟงั ประเด็นกลบั ” ในวนั ดงั กลา่ วจะไม่มกี าร สบื พยานแต่คู่ความจะมาศาลเพอ่ื กาหนดวนั นดั พจิ ารณานดั ต่อไป ๓. การสืบพยานในศาล คือ กรณีท่ีพยานมาเบิกความท่ีศาลซ่ึงพยานมาศาลได้ ๒ วิธี คือ คู่ความนาพยานมาศาลเอง ซ่งึ เรียกว่า “พยานนา” และกรณีท่ีนาพยานมาเองไม่ไดต้ อ้ งขอใหศ้ าลออก หมายเรยี กพยานมาศาล เรยี กว่า “พยานหมาย” โดยพยานทง้ั ๒ ประเภท มขี อ้ แตกต่างกนั คือ กรณีพยานหมาย เมอ่ื พยานเบกิ ความเสรจ็ แลว้ ศาลตอ้ งสงั่ จ่ายค่าป่วยการพยาน ตามรายไดแ้ ละฐานะของพยาน ส่วนกรณีพยาน นาเป็นหนา้ ท่ขี องคู่ความฝ่ายท่นี าพยานนนั้ มาศาล กฎหมายไม่ไดก้ าหนดใหต้ อ้ งจ่ายค่าป่วยการพยาน หรือค่า พาหนะแต่อย่างใด ๔. การสืบพยานโดยการประชุมทางจอภาพ ในบางคดีอาจเกิดขอ้ จากดั เช่น พยานอยู่ ต่างประเทศไม่อาจมาเบกิ ความท่ีศาลได้ เป็นตน้ จึงมกี ารออกขอ้ กาหนดหรือขอ้ บงั คบั ของศาล อนุญาตให้ สบื พยานโดยระบบการประชมุ ทางจอภาพ (Video Conference) โดยถอื เป็นการสบื พยานในศาลวธิ ีหน่ึง ๖

๕. การสืบพยานนอกศาลโดยคู่ความตกลงกนั เป็นการสืบพยานนอกศาลตามรูปแบบ และวธิ ีการ ท่คี ู่ความตกลงกนั โดยไม่ใช่การสบื พยานโดยศาล แต่จะทาผ่านเจา้ พนกั งานศาลหรือเจา้ พนกั งาน อน่ื แทน เพอ่ื ใหก้ ารสบื พยานมคี วามคลอ่ งตวั มากยง่ิ ข้นึ พยานบุคคลท่ีไปศาลเพ่ือเบิกความ มี ๒ ประเภท คือ (๑) พยานนา คือ พยานทค่ี ู่ความติดต่อใหไ้ ปเบกิ ความและพยานยนิ ดีไปศาลดว้ ยความสมคั รใจ โจทกจ์ าเลยนาพยานมาศาลดว้ ยตนเอง (๒) พยานศาลหรือพยานหมาย คือ พยานท่ีคู่ความไม่สามารถนาไปเบิกความได้ จึงขอใหศ้ าล ออกหมายเรยี กใหไ้ ปเบกิ ความ วิธีการถามพยานและการบนั ทึกคาพยาน ในการเบกิ ความ พยานตอ้ งเบกิ ความดว้ ยวาจาต่อหนา้ ศาลและจะอ่านเอกสารท่เี ตรียมมาไม่ได้ เวน้ แต่จะขออนุญาตศาล หรอื เป็นพยานผูเ้ช่ยี วชาญ และการเบกิ ความเป็นกิจการท่ตี อ้ งทาเองเฉพาะตวั จะตงั้ ผูอ้ ่นื มาเบกิ ความแทนไม่ได้ ในบางกรณีอาจขออนุญาตศาลอ่านเอกสารได้ เช่น รายละเอยี ดเก่ียวกบั ตวั เลข ทางบญั ชี หรือรายละเอียดบญั ชที รพั ยท์ ่มี จี านวนมาก ๆ หลงั จากพยานสาบานตน หรอื กลา่ วคาปฏญิ าณแลว้ ศาลจะสอบถามช่อื อายุ ทอ่ี ยู่ อาชพี และความเก่ียวพนั กบั คู่ความ จากนนั้ พยานจะเร่มิ เบกิ ความ รูปแบบการถามพยาน แบ่งไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คือ ศาลเป็นผูซ้ กั ถามพยานเอง และคู่ความ เป็นผูซ้ กั ถามพยาน ๑. ศาลเป็ นผูซ้ กั ถามพยาน กล่าวคือ แจง้ ใหพ้ ยานทราบประเด็นและขอ้ เท็จจรงิ ซ่งึ ตอ้ งสืบ แลว้ ใหพ้ ยานเบิกความในขอ้ นนั้ ๆ โดยวธิ ีเล่าเร่ืองตามลาพงั หรือโดยวธิ ีตอบคาถามของศาล อานาจในการ ซกั ถามพยานของศาลนน้ั เป็นไปอย่างกวา้ งขวาง แมค้ ู่ความจะนาสืบพยานปากใดปากหน่ึงเสร็จส้ินแลว้ หากศาลเห็นจาเป็นเพอ่ื ใหค้ าเบกิ ความสมบูรณ์ชดั เจน หรือตอ้ งการทราบพฤติการณ์ท่ที าใหพ้ ยานเบกิ ความ เช่นนนั้ หรือกรณีพยานสองคนหรือมากกว่าเบกิ ความขดั กนั ในขอ้ สาคญั แห่งประเดน็ ศาลอาจเรียกพยานนน้ั มาสอบถามเพม่ิ เตมิ ได้ หรอื คู่ความอาจจะมคี าขอใหศ้ าลเรยี กพยานมาก็ได้ โดยถอื เป็นดุลพนิ ิจของศาล ๗

๒. คู่ความเป็ นผูซ้ กั ถามพยาน เป็นการซกั ถามพยานโดยคู่ความเป็นผูซ้ กั ถามอาจแบ่งได้ เป็น ๔ กรณี ดงั น้ี (๑) ซกั ถาม (Direct examination) คือ การถามเพ่ือนาขอ้ เท็จจริงตามขอ้ กล่าวหาเขา้ สู่ สานวนการพจิ ารณาของศาล เพอ่ื สนบั สนุนคาฟ้องใหม้ ากทส่ี ุด (๒) ถามคา้ น (Cross - examination) คือ การถามเพ่ือทาลายนา้ หนกั คาเบิกความของ พยานฝ่ายตรงขา้ มทไ่ี ดต้ อบคาซกั ถามไปแลว้ ใหไ้ ม่น่าเช่อื ถอื (๓) ถามติง (Direct examination) คือ การถามเพ่อื ซ่อมแซมความเสยี หายจากการตอบ คาถามคา้ นของฝ่ายตรงขา้ ม (๔) การขออนุญาตศาลถาม ปกตเิ มอ่ื ถามติงพยานเสรจ็ จะถอื ว่าพยานปากนน้ั เบกิ ความเสร็จส้นิ และคู่ความทกุ ฝ่ายยกเวน้ ศาลไมม่ สี ทิ ธิถามพยานปากนน้ั อกี แต่กรณีจาเป็นบางประการคู่ความอาจขออนุญาต ศาลถามพยานปากนน้ั อีก หากศาลพิจารณาเห็นสมควรเพ่ือประโยชน์ในการช้ีขาดประเด็นแห่งคดีศาลอาจ อนุญาตก็ได้ แต่เมอ่ื อนุญาตแลว้ ก็ตอ้ งใหค้ ู่ความอกี ฝ่ายถามคา้ นในประเดน็ นนั้ ได้ แต่จะถามตงิ อกี ไม่ไดเ้พราะ กรณีขออนุญาตศาลถาม จะไม่มกี ารถามตงิ กรณีคาถามใดทค่ี ู่ความหลงลมื ไม่ไดถ้ ามพยาน หรอื เป็นคาถามท่ี ไม่อาจใชถ้ ามตงิ ได้ เพราะพยานไม่ไดต้ อบคาถามใดทค่ี ู่ความหลงลมื ไม่ไดถ้ ามพยาน หรอื เป็นคาถามท่ไี ม่อาจ ใชถ้ ามตงิ ไดเ้พราะพยานไม่ไดต้ อบคาถามคา้ นไวก้ ็อาจขออนุญาตศาลถามได้ ๘



บทท่ี ๓ ข้อควรปฏิบตั ิเม่ือไดร้ บั หมายศาล ๑. ตรวจสอบว่าเป็นหมายชนิดใด เน่ืองจากหมายศาลมหี ลายประเภท ไดแ้ ก่ “หมายนดั ” เป็นหมายทใ่ี หไ้ ปศาลตามวนั และเวลาทก่ี าหนดไวใ้ นหมาย “หมายเรียก” เป็นหมายท่ีส่งไปพรอ้ มกบั สาเนาคาฟ้อง เพ่อื ใหจ้ าเลยแกค้ ดีภายในกาหนด นบั ตง้ั แต่วนั ท่ีไดร้ บั หมายเรียกและสาเนาคาฟ้ องในคดีแพ่ง ส่วนคดีอาญาท่ีเก่ียวกบั การดาเนินคดีชน้ั ศาล ในกรณีท่ีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้ องเอง หากศาลไต่สวนมูลฟ้ องแลว้ เห็นว่าคดีมีมูล ศาลจะประทบั รับฟ้ องไว้ หากเป็นกรณีท่ยี งั ไม่ไดต้ วั จาเลยมาศาล ศาลอาจจะออกหมายเรยี กใหจ้ าเลยมาศาลเพอ่ื จะไดด้ าเนินกระบวน พจิ ารณาต่อไป \"คาสงั่ เรยี กเอกสาร เป็นหมายคาสงั่ เรียกเอกสารท่อี ยู่ในความครอบครองของคู่ความอกี ฝ่ายหน่ึง หรือของบุคคลภายนอก หรอื ทางราชการหรือของเจา้ หนา้ ท่ี และคู่ความฝ่ายท่ตี อ้ งการใชเ้ อกสารนน้ั ไดข้ อให้ ศาลมคี าสงั่ เรยี กใหผ้ ูค้ รอบครองเอกสารนน้ั ส่งเอกสารใหแ้ ก่ศาล ดว้ ยตนเองหรอื จดั ส่งทางไปรษณียก์ ไ็ ด้ ๒. ตรวจหมาย เม่อื ไดร้ บั หมายเรยี กพยานควรตรวจหมายเสยี ก่อนเพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามแน่ชดั ว่าเป็น หมายของศาลใด นดั ใหไ้ ปทาอะไร ศาลนนั้ ตงั้ อยู่ทใ่ี ด ตอ้ งไปเบกิ ความในวนั และเวลาใด และตอ้ งไปเป็นพยาน ของฝ่ ายใด บางกรณีในจงั หวดั เดียวกนั อาจมีหลายศาลและแต่ละศาลอยู่ต่างทอ้ งท่ีกนั หรืออาจมีการ ส่งประเด็นไปสบื พยานทศ่ี าลอน่ื ทงั้ น้ี เพอ่ื ท่จี ะเตรยี มตวั ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งหากมขี อ้ สงสยั ควรโทรศพั ทส์ อบถาม ไปยงั ศาลตามหมายเลขโทรศพั ทแ์ ละทอ่ี ยู่ดา้ นลา่ งของหมายเรยี ก ๓. กรณีการไปเป็นพยานตามหมายเรยี กของศาลตามทบ่ี คุ คลภายนอกอา้ งเป็นพยานใหเ้จา้ หนา้ ท่ี ผูท้ จ่ี ะเป็นพยานนนั้ รายงานขอ้ ความทต่ี นรูเ้หน็ ต่อผูบ้ งั คบั บญั ชาของตนตามลาดบั ชน้ั ๑๐

๔. ไปศาลใหต้ รงตามวนั และเวลานดั หากมคี วามจาเป็นไม่อาจไปศาลตามกาหนดได้ ตอ้ งรบี แจง้ ใหศ้ าลทราบก่อนวนั นดั ลว่ งหนา้ ว่ามเี หตุขดั ขอ้ งอย่างไร เช่น เจ็บป่วยหรือติดราชการสาคญั อาจแนบใบรบั รอง แพทยว์ ่าป่วยหรือมหี นงั สอื รบั รองจากผูบ้ งั คบั บญั ชาว่าตดิ ราชการสาคญั เพราะการขดั ขนื ไม่ไปศาลอาจถูกศาล ออกหมายจบั เพ่อื เอาตวั กกั ขงั ไวจ้ นกว่าจะเบกิ ความ และยงั ถอื ว่าเป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๐ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกิน ๖ เดอื น หรอื ปรบั ไม่เกนิ ๑๐,๐๐๐ บาท หรอื ทง้ั จาทงั้ ปรบั ๕. ควรนาหมายเรียกติดตวั ไปศาลดว้ ย เพ่อื ตรวจหมายเลขหอ้ งพจิ ารณาคดีและเพอ่ื ความสะดวก ในการตดิ ต่อสอบถาม นอกจากน้ี ควรนาบตั รประจาตวั ประชาชนตดิ ตวั ไปดว้ ย เพอ่ื ใชใ้ นการยนื ยนั ตน ๖. เมอ่ื มาถงึ ศาลแลว้ ใหห้ าหอ้ งพจิ ารณาคดี โดยตรวจดูจากป้ายประกาศนดั ความหรอื บญั ชนี ดั ความ ประจาวนั ของศาล หรืออาจสอบถามจากเจา้ หนา้ ทป่ี ระชาสมั พนั ธ์ เพอ่ื ตรวจดูว่าคดีท่ตี นตอ้ งมาเป็นพยานเพอ่ื เบกิ ความนนั้ อยู่หอ้ งพจิ ารณาคดใี ด ๗. ไปรอการเบกิ ความท่หี อ้ งพจิ ารณาคดี และแจง้ กบั เจา้ หนา้ ทห่ี นา้ บลั ลงั กป์ ระจาหอ้ งพจิ ารณานนั้ ๆ เพ่อื ใหค้ ู่ความฝ่ ายท่ีอา้ งพยานหรือเจา้ หนา้ ท่ีหนา้ บลั ลงั ก์ไดท้ ราบว่าพยานเดินทางมาถึงศาลแลว้ และนงั่ รอ ในทพ่ี กั พยานทศ่ี าลจดั ไว้ อย่ารออยู่หนา้ หอ้ งพจิ ารณาคดี เพราะไม่อาจทราบไดว้ า่ พยานเดนิ ทางมาศาลแลว้ ๑๑

๑๒

การเตรียมความพรอ้ มก่อนจะเบิกความ (๑) ควรลงรายละเอยี ด วนั เวลา และสถานทท่ี ต่ี อ้ งไปเป็นพยานศาลไวใ้ นบนั ทกึ ช่วยจา (๒) ทบทวนเหตกุ ารณ์ว่า เขา้ ไปเก่ียวขอ้ งในคดอี ย่างไร ช่วงระยะเวลาใด ทง้ั น้ี จะตอ้ งสอดคลอ้ ง กบั รายละเอยี ดในเอกสารท่เี ก่ียวขอ้ ง เช่น บญั ชี ทะเบยี น รายงานการตรวจสอบ สานวน ภาพถ่ายประกอบ เป็นตน้ เพ่อื ป้องกนั การจาผิดพลาด เพราะระยะเวลาท่พี ยานเก่ียวขอ้ งในคดีกบั ระยะเวลาการเป็นพยานศาลอาจเป็นช่วง ระยะเวลาท่หี ่างกนั มาก จึงตอ้ งทบทวนเพอ่ื จดจาในรายละเอยี ดและจดั ลาดบั เร่อื งราวต่าง ๆ จะไดเ้กิดความมนั่ ใจ เมอ่ื ไปเบกิ ความต่อศาล หรอื ถกู คู่ความหรอื ทนายความซกั ถาม (๓) หากเป็นคดีท่ีมีส่วนเก่ียวขอ้ งกบั เอกสาร ควรติดต่อไปยงั คู่ความฝ่ ายท่ีอา้ งท่านเป็นพยาน เพอ่ื ขอตรวจสอบเอกสารดว้ ย (๔) กรณีเป็นพยานคู่จะตอ้ งประสานเพื่อทบทวนในรายละเอียดใหส้ อดคลอ้ งกบั พยาน ท่ี จะตอ้ งเบกิ ความดว้ ยกนั พรอ้ มขอคาแนะนาจากพนกั งานอยั การเจา้ ของสานวน จะไดท้ ราบประเด็นขอ้ ต่อสู ้ ของอกี ฝ่ายหน่ึง และขอ้ ควรจดจาในการเบกิ ความ (๕) ศึกษาขอ้ เทจ็ จริงตามรูปคดี โดยศึกษาจากคดแี บบเดยี วกนั กบั ทเ่ี คยเบกิ ความมาแลว้ รวมทงั้ แนวคาพพิ ากษาของศาล และบคุ คลทีเ่ คยเบกิ ความในคดีทานองเดียวกนั มาก่อน เพอื่ ปิดช่องการถามคา้ น ของอกี ฝ่ายหน่ึง (๖) ไม่ควรเล่ือนการเป็นพยาน เพราะปจั จุบนั เป็นการพิจารณาคดีและสืบพยานแบบต่อเน่ือง ศาลจะไม่ยอมใหเ้ลอ่ื นการเป็นพยานศาล (๗) บุคคลท่ไี ม่เคยเป็นพยานศาลมาก่อน ตอ้ งเตรียมตวั เป็นพเิ ศษ โดยศึกษาสอบถามจากผูม้ ี ประสบการณ์ หากมเี วลาควรเขา้ ฟงั การเป็นพยานศาลในคดีอ่นื จะไดท้ ราบขน้ั ตอนต่าง ๆ และจะไดไ้ ม่มี ความรูส้ กึ ต่นื เตน้ รวมทง้ั ทราบถงึ เทคนิค ลลี า หรอื กลยุทธก์ ารถามพยานของทนายความ (๘) พกั ผ่อนใหเ้ตม็ ท่ใี นคืนก่อนวนั เบกิ ความ พรอ้ มทบทวนรายละเอยี ดแห่งคดี ตลอดจนจดจา ขอ้ ควรปฏบิ ตั ใิ นการไปเบกิ ความ ๑๓

(๙) ควรเดินทางไปถึงศาลก่อนเวลาเบกิ ความ เพอ่ื จะไดม้ โี อกาสทบทวน พูดคุยกบั พนกั งานอยั การ และคู่ความ ซง่ึ อาจจะไดข้ อ้ มลู เพม่ิ เตมิ อนั เป็นประโยชนใ์ นการเบกิ ความ การขออนุ ญาตผูบ้ งั คบั บญั ชา (๑) เจา้ หนา้ ทผ่ี ูถ้ ูกอา้ งเป็นพยานศาลควรรายงานการไดร้ บั หมายเรยี กพยานและกาหนดการทจ่ี ะ ไปเบกิ ความเป็นพยานต่อผูบ้ งั คบั บญั ชาใหท้ ราบทกุ ครง้ั (๒) กรณีถกู คู่ความอกี ฝ่ายหน่ึงอา้ งเป็นพยาน จะตอ้ งรายงานใหผ้ ูบ้ งั คบั บญั ชาทราบ และไปศาล ตามกาหนดนดั ศึกษาแนวทางใหด้ ี เบกิ ความไปตามความเป็นจรงิ พรอ้ มระมดั ระวงั ในการเบกิ ความ อย่าเบกิ ความ ในกรณีทเ่ี ป็นประโยชนต์ ่อคู่ความอกี ฝ่ายหน่ึง (๓) ดาเนินการขออนุมตั ิเดินทางไปราชการและขออนุญาตเปิดเผยขอ้ มูลข่าวสารของราชการ ต่อผูว้ ่าการหรอื ผูท้ ผ่ี ูว้ า่ การมอบหมาย ดว้ ยเหตทุ ่ตี อ้ งไปเป็นพยานศาลนนั้ เพอ่ื ประโยชนแ์ ก่ทางราชการโดยตรง จงึ ถือว่าเป็นการเดินทางไปราชการ และในบางครงั้ การเบกิ ความของเจา้ หนา้ ทใ่ี นฐานะพยานอาจส่งผลกระทบ ต่อขอ้ มูลข่าวสารเก่ียวกบั การดาเนินงานของรฐั หรือขอ้ มูลข่าวสารเก่ียวกบั เอกชนซ่งึ อยู่ในความรบั ผิดชอบ ของคณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดิน และสานกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดิน จึงมีความจาเป็นตอ้ งขออนุญาต เปิดเผยขอ้ มูลข่าวสารดงั กล่าวดว้ ยทุกครง้ั ตามคาสงั่ สานกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดินท่ี ๑๓๓/๒๕๖๑ ลงวนั ท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เร่ือง แนวปฏบิ ตั ิในการเปิดเผยหรอื เผยแพร่ขอ้ ความขอ้ เท็จจรงิ หรือขอ้ มูลท่ไี ดม้ าจาก การปฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี องสานกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดนิ ๑๔

๑๕

การปฏิบตั ิตนเม่ืออยู่ในหอ้ งพิจารณาคดี วธิ ีปฏิบตั ิในการมาศาลและการปฏิบตั ิตนในศาล โดยปกติการพจิ ารณาคดีของศาลจะทาโดย เปิดเผย ประชาชนทวั่ ไปมสี ทิ ธิเขา้ รบั ฟงั การพจิ ารณาคดไี ดเ้ สมอ แมจ้ ะไม่มสี ว่ นเก่ียวขอ้ งกบั คดีนน้ั เลย แต่พงึ มขี อ้ ปฏบิ ตั ดิ งั น้ี (๑) เมอ่ื ไปถงึ ศาลหากมขี อ้ สงสยั ในเร่อื งใดใหส้ อบถามเจา้ หนา้ ทป่ี ระชาสมั พนั ธ์ พนกั งานตอ้ นรบั ประจาศาล เจา้ หนา้ ทท่ี เ่ี ก่ียวขอ้ ง หรอื จ่าศาล (๒) ขณะทศ่ี าลออกนงั่ พจิ ารณาคดที ห่ี อ้ งพจิ ารณาคดี (นงั่ บลั ลงั ก)์ บคุ คลผูอ้ ยู่ในหอ้ งพจิ ารณาคดี ตอ้ งแต่งกายสุภาพ ผูช้ าย ควรเอาเส้อื เขา้ ในกางเกง ไม่พบั แขนเส้อื ไม่ปลดกระดุมคอเส้อื ส่วนผูห้ ญิง ควร แต่งกายสุภาพ หากสวมรองเทา้ แตะใหถ้ อดไวน้ อกหอ้ งพจิ ารณาคดี (๓) เมือ่ อยู่ในหอ้ งพจิ ารณาคดีตอ้ งมคี วามสารวม นงั่ ใหเ้ รียบรอ้ ย เมื่อศาล ข้ึน-ลง บลั ลงั ก์ ผูท้ ่อี ยู่ในหอ้ งพจิ ารณาคดีตอ้ งลุกข้นึ ทาความเคารพทุกครง้ั ขณะนงั่ ฟงั การพจิ ารณาตอ้ งสารวมสุภาพ ไม่พูดคุยกนั ไม่นงั่ ไขว่หา้ ง ไม่สูบบุหร่ี ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่สวมแว่นตาดา ไม่สวมหมวก ไม่รบั ประทานอาหาร หรอื เครอ่ื งดม่ื (๔) เม่ือศาลอ่านรายงานกระบวนการพิจารณาคดีใด ผูท้ ่ีเก่ียวขอ้ งคดีน้ันตอ้ งลุกข้ึนยืนฟัง หากบคุ คลใด มขี อ้ ความจะแถลงต่อศาล ตอ้ งขออนุญาตศาลแลว้ ลกุ ข้นึ ยนื พดู หา้ มนงั่ พูด ขอ้ หา้ ม มดี งั น้ี (๑) หา้ มนาอาวุธ ยาเสพตดิ สุรายาเมา และสง่ิ ผดิ กฎหมายทกุ ชนิด เขา้ ไปในเขตศาล (๒) หา้ มสง่ เสยี งดงั ทะเลาะววิ าทกนั ในศาล หรอื ประพฤตติ นไม่เรยี บรอ้ ยในบรเิ วณศาล (๓) ไมเ่ ปิดประตูเขา้ ๆ ออก ๆ หอ้ งพจิ ารณาคดี ขณะท่ศี าลนงั่ บลั ลงั กใ์ หเ้ป็นทร่ี าคาญแก่ผูอ้ น่ื (๔) หา้ มบนั ทึกภาพ เสยี ง บนั ทกึ วดิ ีโอ หรือทางเคร่ืองมอื อิเลก็ ทรอนิกสอ์ ่นื ๆ โดยไม่ไดร้ บั อนุญาต จากศาล ๑๖

(๕) หา้ มสูบบหุ ร่ี หา้ มพดู คุยกนั หา้ มนงั่ หลบั ในหอ้ งพจิ ารณาคดี (๖) หา้ มใชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถอื หรอื อปุ กรณส์ อ่ื สารอย่างอน่ื ท่อี าจส่งเสยี งดงั รบกวนการพจิ ารณาคดี (๗) หา้ มนาอาหาร เคร่อื งด่มื หรอื ของขบเค้ยี ว มารบั ประทานหรอื ดม่ื ในหอ้ งพจิ ารณาคดี การขดั ขนื ไม่ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ กาหนดของศาลอนั ว่าดว้ ยการรกั ษาความเรียบรอ้ ย หรือการประพฤตติ น ไม่เรยี บรอ้ ยในบรเิ วณศาล มคี วามผดิ ฐานละเมดิ อานาจศาลและอาจถูกดาเนินคดอี าญาดว้ ย เมอ่ื มเี หตลุ ะเมดิ อานาจศาล ศาลสามารถลงโทษผูล้ ะเมดิ อานาจศาลได้ โดยการว่ากลา่ วตกั เตอื นดว้ ยวาจาหรอื ลายลกั ษณอ์ กั ษร ไล่ออกจากบริเวณศาล หรือลงโทษจาคุกหรือปรบั หรือทงั้ จาทงั้ ปรบั ในกรณีกาหนดโทษจาคุกและปรบั นน้ั ใหจ้ าคุกไดไ้ ม่เกินหกเดอื น หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ หา้ รอ้ ยบาท การเบิกความ คอื การท่บี คุ คลไปใหข้ อ้ มลู แก่ศาลในการดาเนินกระบวนพจิ ารณาคดี เพอ่ื ใหศ้ าลใชข้ อ้ มลู ทไ่ี ดร้ บั ประกอบการพิจารณาพิพากษาคดีนนั้ ซ่งึ การใหข้ อ้ มูลดงั กล่าวจะทาโดยการให้บุคคลท่ีไปเบิกความตอบ คาถามของศาลหรอื ของคู่ความแต่ละฝ่าย สง่ิ ท่พี ยานบคุ คลจะเบกิ ความถงึ จะตอ้ งเป็นขอ้ เทจ็ จรงิ (Fact) ไม่ใช่ความคดิ ความเหน็ ของพยานเอง ซง่ึ ปกตกิ ็จะเป็นเรอ่ื งท่พี ยานพบเหน็ หรอื รบั ทราบมาแลว้ ในอดีตภายหลงั เกิดคดขี ้นึ และมปี ระเดน็ บางประเด็น ทเ่ี ก่ียวพนั ถงึ ขอ้ เทจ็ จริงทพ่ี ยานประสบมา คู่ความจงึ อา้ งพยานใหม้ าเลา่ ขอ้ เทจ็ จริงนนั้ ใหศ้ าลฟงั เพอ่ื ประโยชน์ ในการตดั สนิ คดี กระบวนการเบกิ ความของพยานบคุ คลอาจแยกไดเ้ป็น ๓ ขน้ั ตอน คือ (ก) การรบั รู้ (perception) บุคคลสามารถรบั รูส้ ่งิ ต่าง ๆ รอบตวั ไดโ้ ดยใชป้ ระสาทสมั ผสั ทง้ั หา้ และสามารถรบั ขอ้ เท็จจริงโดยการเห็น การไดย้ ิน การไดก้ ล่นิ การรูร้ ส และการสมั ผสั ตามปกติขอ้ เทจ็ จริง ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั คดมี กั จะเขา้ สู่การรบั รูข้ องพยานโดยการเหน็ และไดย้ นิ (ข) การจดจา (memory) เมอ่ื บุคคลไดร้ บั รูข้ อ้ เทจ็ จริงรอบตวั โดยประสาทสมั ผสั ทง้ั หา้ แลว้ ก็จะ สามารถเก็บความรูน้ น้ั ไวใ้ นสมองในรูปของความจา การท่บี คุ คลจะจาเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ไดแ้ ม่นยาเพยี งใดนนั้ ๑๗

ย่อมข้นึ อยู่กบั ความสามารถเฉพาะตวั เช่น ความช่างสงั เกต ประกอบกบั ระยะเวลาท่ผี ่านไป เพราะยง่ิ นานวนั ความจาของบคุ คลจะเสอ่ื มถอยลงจนลมื ไปเลย แต่ถา้ มกี ารบนั ทกึ เหตกุ ารณน์ นั้ ลงไวเ้ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร แมเ้วลา จะผ่านไปนานจนบคุ คลนนั้ ลมื ไปแลว้ แต่ถา้ เขาไดด้ ูบนั ทกึ ดงั กลา่ วเตอื นความจา เขาอาจกลบั จาข้นึ มาอกี ก็ได้ (ค) การถ่ายทอดความคิด (expression) เมอ่ื บคุ คลมาเป็นพยานในศาล เขาจะตอ้ งเลา่ เหตกุ ารณ์ ต่าง ๆ ท่ีเขาประสบมาโดยการตอบคาถามของคู่ความหรือทนายความ ซ่ึงการถ่ายทอดความคิดน้ีเป็น ความสามารถเฉพาะตวั ของบคุ คลว่า จะสามารถถ่ายทอดไดใ้ กลเ้คียงกบั ความเขา้ ใจของตนเพยี งใด ก ระบ วน ก า รเบิกค ว ามใ น ฐาน ะ พ ย าน บุ คคล ๑. เจา้ หนา้ ทศ่ี าลจะนาพยานเขา้ ประจาท่ี ซง่ึ เรยี กว่า “คอกพยาน” ๒. ก่อนเบิกความ พยานตอ้ งสาบานตนตามลทั ธิศาสนาท่ีตนเองนบั ถือหรือปฏิญาณว่าจะให้ การตามความสตั ยจ์ รงิ เสยี ก่อน ยกเวน้ บคุ คลท่มี อี ายุตา่ กวา่ ๑๕ ปี บุคคลท่ศี าลเหน็ ว่าหย่อนความรูส้ กึ ผิดชอบ พระภกิ ษุหรอื สามเณรในพทุ ธศาสนา และบคุ คลทค่ี ู่ความทงั้ สองฝ่ายตกลงกนั วา่ ไมต่ อ้ งสาบาน การสาบาน หรอื ปฏญิ าณตอ้ งทาก่อนพยานเบกิ ความ ถา้ ทาหลงั จากเบกิ ความคาเบกิ ความของ พยานปากนน้ั รบั ฟงั ไม่ได้ แต่ถา้ พยานใหก้ ารก่อนปฏิญาณหรือสาบานโดยพลง้ั เผลอ เม่ือใหก้ ารเสร็จแลว้ จึงปฏิญาณต่อหนา้ ศาลว่าคาใหก้ ารน้ันเป็นความจริง ดงั น้ี ถือว่าคาใหก้ ารของพยานน้ันย่อมรบั ฟังได้ (ฎีกา ๒๑๗/๒๔๘๘) แต่ถา้ หากไดส้ าบานหรือปฏิญาณในภายหลงั และขาดตอนไปจากการเบิกความแลว้ เช่น พยานเบิกความโดยไม่ไดส้ าบานหรือปฏิญาณตน ศาลชนั้ ตน้ พิจารณาแลว้ มีคู่ความฝ่ ายหน่ึงอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พบว่าพยานเบกิ ความโดยไม่ไดส้ าบาน จึงยอ้ นสานวนไปใหศ้ าลชนั้ ตน้ พจิ ารณาใหม่ ศาลชนั้ ตน้ จงึ เรยี กพยานมาใหส้ าบาน และรบั รองวา่ คาเบกิ ความในครงั้ ก่อนเป็นความจริงโดยมไิ ดเ้บกิ ความใหม่ ดงั น้ี ๑๘

ศาลจะรบั ฟงั คาเบิกความครง้ั ก่อนนน้ั ไม่ได้ ไม่เหมือนกบั กรณีท่ีพยานไดส้ าบานตนในขณะท่ีเบิกความอยู่ ซง่ึ ศาลรบั คาเบกิ ความในขณะก่อนสาบานดว้ ยได้ (ฎกี า ๘๒๔/๒๔๙๒)๒ ขอ้ สงั เกต กรณีพยานเบกิ ความโดยตอ้ งใชล้ ่าม ล่ามก็ตอ้ งสาบานหรือปฏิญาณเช่นกนั มฉิ ะนนั้ ถือว่าเป็น การดาเนินกระบวนพจิ ารณาโดยไมช่ อบ ตวั อย่างคาสาบานของศาสนาพุทธ “ขา้ พเจา้ ขอสาบานต่อพระแกว้ มรกต เจา้ พ่อหลกั เมอื ง พระสยาม เทวาธิราช และสงิ่ ศกั ดิส์ ทิ ธิท์ งั้ หลายว่า ขา้ พเจา้ จะเบกิ ความต่อศาลดว้ ยความสตั ยจ์ ริงทงั้ ส้นิ หากขา้ พเจา้ เอา ความเท็จมากล่าวแมแ้ ต่นอ้ ย ขอภยนั ตรายและความวบิ ตั ิทัง้ ปวงจงบงั เกิดแก่ขา้ พเจา้ โดยพลนั หากขา้ พเจา้ กลา่ วความจรงิ ต่อศาล ขอใหข้ า้ พเจา้ จงประสบแต่ความสขุ ความเจริญ” ตวั อย่างคาสาบานของศาสนาคริสต์ “ขา้ พเจา้ ขอสาบานต่อพระเยซูว่า ขา้ พเจา้ จะเบกิ ความ ต่อศาลดว้ ยความสตั ยจ์ ริงทงั้ ส้นิ หากขา้ พเจา้ นาความเท็จมากลา่ วแมแ้ ต่นอ้ ย ขอภยนั ตรายและความวบิ ตั ิทงั้ ปวง จงบงั เกิดแก่ขา้ พเจา้ โดยพลนั หากขา้ พเจา้ กลา่ วความจริงต่อศาล ขอใหข้ า้ พเจา้ จงประสบแต่ความสขุ ความเจริญ” ตวั อย่างคาสาบานของศาสนาอสิ ลาม “ขา้ พเจา้ ขอสาบานต่อพระอลั เลาะหว์ ่า ขา้ พเจา้ จะเบกิ ความ ต่อศาลดว้ ยความสตั ยจ์ ริงทงั้ ส้นิ หากขา้ พเจา้ นาความเทจ็ มากล่าว ขอองคพ์ ระอลั เลาะหท์ รงโปรดลงโทษขา้ พเจา้ หากขา้ พเจา้ กลา่ วความจรงิ ต่อศาล ขอองคพ์ ระอลั เลาะหท์ รงโปรดตอบแทนขา้ พเจา้ ดว้ ยความดีงามทงั้ หลายดว้ ย” ตวั อย่างคาสาบานกรณีผูท้ ่ีเบิกความเป็ นภาษาไทยไม่ได้ “The evidence that I shall give to the court shall be the truth, the whole truth, and nothing but the truth. (So help me God) ๓. เม่อื ไดส้ าบานตนหรือกล่าวคาปฏิญาณเสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ ศาลจะเร่ิมถามพยานเก่ียวกบั ช่ือ อายุ ท่อี ยู่ อาชพี และความเก่ียวขอ้ งกบั คดีว่าพยานมคี วามเก่ียวพนั กบั คู่ความในคดีน้ีอย่างไร หลงั จากนนั้ จะเรม่ิ เขา้ สู่กระบวนการซกั ถามพยาน ๒ สมชาย รตั นซอ่ื สกลุ ,คาอธบิ ายกฎหมายลกั ษณะพยาน,พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๓, (กรุงเทพฯ) มหาวทิ ยาลยั หอการคา้ ไทย, ๒๕๕๗, ๒๒๑. ๑๙

๔. ขนั้ ตอนในการซกั ถามพยาน ศาลอาจเป็นผูซ้ กั ถามพยานก่อน แลว้ คู่ความฝ่ายทอ่ี า้ งพยานก็จะ ซกั ถามพยานต่อจากศาล เม่ือคู่ความฝ่ ายท่ีอา้ งพยานซกั ถามเสร็จ คู่ความอีกฝ่ ายหน่ึงจะถามคา้ นพยาน และคู่ความฝ่ายทอ่ี า้ งพยานจะถามตงิ อกี ครงั้ การซกั ถามพยานจะดาเนินไปตามหลกั การน้ีจนเสรจ็ ส้นิ ๕. พยานท่มี าศาลจะตอ้ งตอบคาถามท่ศี าล หรือคู่ความถาม มฉิ ะนน้ั พยานอาจมคี วามผดิ ทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๑ เวน้ แต่จะตอ้ งดว้ ยขอ้ ยกเวน้ เช่น คาถามท่ถี า้ พยานตอบอาจทาให้ พยานถกู ฟ้องเป็นคดอี าญา เป็นตน้ อย่างไรก็ดี หลกั กฎหมายพยานไดใ้ หส้ ทิ ธิพเิ ศษแก่พยานบางประเภททจ่ี ะ ไม่เบกิ ความก็ได้ โดยพยานท่มี เี อกสทิ ธ์ิจะไมเ่ บกิ ความก็ได้ (ประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพง่ มาตรา ๑๑๕) ไดแ้ ก่ (๑) พระมหากษตั รยิ ์ พระราชนิ ี พระรชั ทายาท และผูส้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ (๒) พระภกิ ษุและสามเณรในพทุ ธศาสนา (๓) บุคคลท่ีไดร้ บั เอกสิทธ์ิและความคุม้ กนั ตามกฎหมาย ทง้ั น้ี ภายใตเ้ ง่อื นไขท่ีกาหนดใน กฎหมายนน้ั ๆ ขอ้ สงั เกต พระมหากษตั ริย์ พระราชนิ ี พระรชั ทายาท ผูส้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ ภกิ ษุสามเณรในพทุ ธ ศาสนาจะมเี อกสทิ ธิไ์ ม่ตอ้ งมาศาล และแมจ้ ะยอมมาศาลก็มเี อกสทิ ธิไ์ ม่ตอ้ งสาบานตนหรือกล่าวคาปฏิญาณ และมเี อกสทิ ธิไ์ ม่ตอ้ งเบกิ ความหรอื ตอบคาถามใด ๆ กไ็ ด้ ๖. การเบกิ ความของพยาน ตอ้ งเบกิ ความดว้ ยวาจา ตอ้ งตอบคาถามดว้ ยความสตั ยจ์ รงิ และใชว้ าจา สุภาพ ควรใชส้ รรพนามแทนตวั พยานเองว่า “กระผมหรือผม” “ดิฉนั หรือฉนั ” หากกล่าวถึงผูพ้ พิ ากษาใหใ้ ช้ สรรพนามแทนผูพ้ ิพากษาว่า “ศาล” หรือ “ท่าน” หา้ มพยานอ่านขอ้ ความท่ีจดหรือเขียนมา เวน้ แต่จะไดร้ บั อนุญาตจากศาล หรือเป็นพยานผูเ้ ช่ยี วชาญ และการเบกิ ความเป็นกิจการท่ตี อ้ งทาเองเฉพาะตวั จะตงั้ ผูอ้ น่ื มา เบกิ ความแทนไม่ได้ ในบางกรณีอาจขออนุญาตศาลอ่านเอกสารได้ เช่น รายละเอยี ดเก่ียวกบั ตวั เลขทางบญั ชี หรอื รายละเอยี ดบญั ชที รพั ยท์ ม่ี จี านวนมาก ๆ ๒๐

๗. หา้ มไม่ใหพ้ ยานเบกิ ความต่อหนา้ พยานอน่ื ทจ่ี ะเบกิ ความภายหลงั และศาลมอี านาจสงั่ ใหผ้ ูท้ ่ี จะเป็นพยานซง่ึ มใิ ช่จาเลยออกไปอยู่นอกหอ้ งพจิ ารณาจนกวา่ จะเขา้ มาเบกิ ความ พยานท่จี ะเบกิ ความภายหลงั จะฟงั คาเบกิ ความของพยานท่เี บกิ ความก่อนไม่ได้ เพราะคาเบกิ ความของพยานคนก่อนอาจโนม้ นา้ วพยานคนหลงั ใหเ้บกิ ความทานองเดียวกบั พยานคนก่อนทาใหค้ ู่ความอกี ฝ่ายหน่ึงเสยี เปรียบโดยเฉพาะกรณีพยานคู่๓ ซง่ึ ในการสบื พยานคู่นนั้ หากพยานเบกิ ความต่างวนั ต่างเวลากนั อาจเกิดความไดเ้ ปรยี บเสยี เปรยี บ เพราะอาจนาขอ้ ซกั ถาม ถามคา้ นไปแจง้ แก่พยานอกี คนหน่ึง ซง่ึ จะเขา้ เบกิ ความภายหลงั ว่า พยานท่ีเบกิ ความไปแลว้ เบิกความไวอ้ ย่างไร มจี ุดอ่อนตรงไหน และฝ่ ายตรงขา้ มเนน้ ถามคา้ น ในประเดน็ ใดบา้ ง พยานทจ่ี ะเบกิ ความภายหลงั ก็สามารถเตรยี มคาตอบไวล้ ่วงหนา้ เพอ่ื มใิ หเ้บกิ ความขดั แยง้ กนั ได้ ๘. พยานทม่ี าเบกิ ความต่อศาลมหี นา้ ทต่ี อ้ งตอบคาถามตามทศ่ี าล หรอื คู่ความซกั ถาม เวน้ แต่จะ เป็นพยานทไ่ี ดร้ บั เอกสทิ ธ์ิทจ่ี ะไม่เบกิ ความ อย่างไรกด็ ี กฎหมายไดห้ า้ มมใิ หถ้ ามพยานดว้ ยคาถามบางประเภท ซง่ึ มหี ลกั เกณฑ์ ดงั น้ี (๑) คาถามทไ่ี ม่เก่ยี วกบั ประเดน็ ในคดี เม่อื ศาลกาหนดประเด็นขอ้ พพิ าทในคดีแลว้ คู่ความทุกฝ่ ายรวมทง้ั ศาลจะถูกจากดั ให้ ดาเนินกระบวนพจิ ารณาเฉพาะในประเดน็ ขอ้ พพิ าท เวน้ แต่จะเขา้ ขอ้ ยกเวน้ การสบื พยานก็เช่นเดยี วกนั ตอ้ งสบื เฉพาะ ตามประเด็นขอ้ พิพาท การถามพยานจึงตอ้ งถามเฉพาะตามประเด็นขอ้ พพิ าท การถามพยานนอกประเด็น ขอ้ พพิ าทศาลหา้ มถามได้ เพราะไม่เป็นประโยชนต์ ่อการวนิ ิจฉยั คดี (ประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพ่ง มาตรา ๑๑๘ (๑)) (๒) คาถามท่ีอาจทาใหพ้ ยานหรือคู่ความอีกฝ่ ายหน่ึง หรือบุคคลภายนอกตอ้ งรบั โทษทาง อาญา หรอื คาถามทเ่ี ป็นการหมน่ิ ประมาทพยาน พยานไม่ตอ้ งตอบคาถามโดยตรงหรอื โดยออ้ มซง่ึ อาจทาใหต้ วั พยานเองถูกฟ้องคดีอาญา การถามพยานดว้ ยคาถามท่หี ากพยานตอบอาจทาใหพ้ ยาน หรอื คู่ความอกี ฝ่ายหน่ึง หรือบุคคลภายนอกอาจ ๓ โสภณ รตั นกร,คาอธิบายกฎหมายลกั ษณะพยาน, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒,(กรุงเทพมหานคร บรษิ ทั ๒๑ เซน็ จูร่ี จากดั ,๒๕๓๗),๓๑๓ ๒๑

ไดร้ บั โทษทางอาญา หรือเป็นคาถามท่ีเป็นการหม่ินประมาทพยาน ถือเป็นคาถามท่ีกฎหมายหา้ มมิใหถ้ าม หากมคี าถามเช่นน้ี ศาลจะเตอื นใหพ้ ยานรูต้ วั ก่อนหรอื อาจหา้ มใหค้ าถามเช่นนน้ั (๓) คาถามทท่ี าใหพ้ ยานเปิดเผยความลบั คาถามบางคาถามทท่ี าใหพ้ ยานตอ้ งใหก้ าร หรอื ตอ้ งส่งเอกสารใดท่ตี อ้ งเปิดเผยความลบั นนั้ พยานมีสทิ ธิท่ีจะไม่เบิกความ หรือส่งเอกสารท่ีจะเป็นการเปิดเผยความลบั นนั้ ได้ เวน้ แต่จะไดร้ บั อนุญาต จากพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี หรอื ผูท้ เ่ี ก่ียวขอ้ งใหเ้ปิดเผยได้ ซง่ึ ไดแ้ ก่ ความลบั ในทางราชการ ความลบั ในทางวชิ าชพี ความลบั ในการประดษิ ฐ์ แบบ หรอื งานอน่ื ทไ่ี ดร้ บั ความคุม้ ครองตามกฎหมาย ๙. การตอบคาถามเก่ียวกบั ช่อื อายุ ตาแหน่ง และอาชีพ เมอ่ื พยานปฏญิ าณหรือสาบานตนแลว้ พยานจะตอ้ งตอบคาถามศาลเก่ียวกบั ช่อื อายุ อาชพี ทอ่ี ยู่ และความเก่ียวพนั ระหว่างพยานกบั คู่ความจากนน้ั คู่ความหรอื ทนายความฝ่ายทอ่ี า้ งพยานจะมาซกั ถามเร่อื งราวจากพยาน ๑๐. เมอ่ื ฝ่ายทอ่ี า้ งพยานมาถามเสร็จแลว้ คู่ความหรอื ทนายความอกี ฝ่ายหน่ึงกจ็ ะถามคา้ นพยาน จากนน้ั ฝ่ายทอ่ี า้ งพยานมสี ทิ ธิจะถามตงิ พยานไดอ้ กี ครง้ั หน่ึง ๑๑. กรณีจาเลยเบกิ ความเป็นพยาน คาเบกิ ความของจาเลยย่อมใชย้ นั จาเลยนนั้ ได้ และศาลอาจ รบั ฟงั คาเบกิ ความนน้ั ประกอบพยานหลกั ฐานอน่ื ของโจทกไ์ ด้ ทง้ั น้ี ในคดีทม่ี จี าเลยหลายคน ถา้ คาเบกิ ความ ของจาเลยนน้ั ปรกั ปราหรอื เสยี หายแก่จาเลยอน่ื จาเลยอน่ื ซกั คา้ นได้ ขอ้ สงั เกต จาเลยมสี ทิ ธิอา้ งตนเองเป็นพยานได้ ในกรณีทีจ่ าเลยอา้ งตนเองเป็นพยาน ศาลจะใหส้ บื ก่อน พยานอนื่ ฝ่ายจาเลยก็ได้ ๑๒. ในระหว่างพจิ ารณาเม่อื ศาลเหน็ สมควร ศาลมอี านาจถามโจทก์ จาเลย หรือพยานคนใดก็ได้ และเมอ่ื พยานไดเ้บกิ ความแลว้ ศาลจะใหร้ ออยู่ในหอ้ งพจิ ารณาก่อนก็ได้ ๑๓. เม่อื เบกิ ความเสร็จแลว้ ศาลจะอ่านคาเบกิ ความท่ีบนั ทึกไวใ้ หพ้ ยานฟงั ถา้ พยานเห็นว่ามี ขอ้ ความใดไม่ถูกตอ้ งตรงกบั ท่ีไดเ้ บิกความไวห้ รือไม่ครบถว้ น พยานสามารถทกั ทว้ งไดท้ นั ทีและขอแกไ้ ข ๒๒

ใหถ้ ูกตอ้ ง หากขอ้ ความดงั กลา่ วถูกตอ้ งทงั้ หมดแลว้ ศาลจะใหพ้ ยานลงลายมอื ช่อื ไวท้ า้ ยคาเบกิ ความอนั เป็น การเสรจ็ ส้นิ การเบกิ ความเป็นพยานศาล ขอ้ สงั เกต เมอื่ พยานเบกิ ความเสร็จส้นิ ศาลตอ้ งอ่านคาเบกิ ความทีศ่ าลไดบ้ นั ทึกไวใ้ หพ้ ยานฟงั ถา้ พยาน ทจี่ ะเบกิ ความภายหลงั อยู่ในหอ้ งพิจารณา ไดย้ นิ ศาลอ่านคาเบกิ ความพยานทีเ่ บกิ ความแลว้ ก็ถอื ว่าไดร้ บั ฟงั พยาน คนก่อนเบกิ ความดว้ ย ทางปฏบิ ตั พิ ยานทจี่ ะเบกิ ความภายหลงั จะเขา้ หอ้ งพจิ ารณาเมอื่ ถงึ เวลาจะเบกิ ความเท่านนั้ ๑๔. กรณีท่มี ีการเลอ่ื นคดีหรือตอ้ งมาเบกิ ความต่อในภายหลงั ไม่ว่าเพราะสาเหตุใด หากพยาน มาศาลแลว้ เจา้ หนา้ ท่หี นา้ บลั ลงั กป์ ระจาหอ้ งพจิ ารณานนั้ ๆ จะใหพ้ ยานลงลายมอื ช่อื รบั ทราบวนั และเวลานดั ใหม่ ท่ตี อ้ งมาเบกิ ความในนดั ครง้ั ต่อไป ศาลจะไม่ออกหมายเรียกพยานอีก โดยถือว่าพยานไดท้ ราบวนั เวลานดั ของศาลแลว้ เพราะฉะนน้ั พยานตอ้ งจดจาวนั และเวลานดั ใหม่ใหด้ ี และมาเบิกความในวนั และเวลานดั ใหม่ ดงั กลา่ วดว้ ย คาแนะนาสาหรบั พยานในการข้ึนเบิกความเป็ นพยานในศาล การเบกิ ความศาลจะใหพ้ ยานเบกิ ความโดยวธิ ีเลา่ เรอ่ื งตามท่ตี นไดร้ ู้ ไดเ้หน็ หรอื ไดย้ นิ มา หรอื อาจจะ เบกิ ความ โดยวธิ ีตอบคาถามของศาลหรอื คู่ความ ซง่ึ มขี อ้ พงึ ระลกึ ในขณะเบกิ ความ ดงั น้ี (๑) ในวนั เดนิ ทางไปศาลตอ้ งแต่งตวั สุภาพเรยี บรอ้ ย ตอ้ งไม่ด่มื หรอื เสพสุรา หรอื ของมนึ เมา หรือ ส่ิงเสพติดอ่ืนไปเบิกความ และควรนาหมายเรียกติดตวั ไปดว้ ย เพ่ือความสะดวกในการติดต่อสอบถาม เจา้ หนา้ ท่ีศาลหากเกิดเหตุขดั ขอ้ ง และไม่ว่าศาลจะนดั พิจารณาเชา้ หรือบ่ายพยานควรเดินทางไปถึงศาล ก่อนเวลานดั เบกิ ความ เพอ่ื ใหม้ เี วลาพูดคุยกบั พนกั งานอยั การเพอ่ื ทบทวนความทรงจา หรือสอบถามพนกั งาน อยั การในขอ้ สงสยั เก่ียวกบั คดหี รอื การเบกิ ความ (๒) เม่ือเดินทางไปถึงศาลใหต้ ิดต่อเจา้ หนา้ ท่ีศาลเพ่ือสอบถามว่าคดีท่ีตอ้ งเบิกความอยู่หอ้ ง พิจารณาคดี (บลั ลงั ก์) ท่ีเท่าใด หรือหากประสงคจ์ ะตรวจสอบดว้ ยตนเองก็สามารถกระทาได้ โดยการไป ๒๓

ตรวจสอบบญั ชีนดั ความของศาล ซง่ึ อาจตดิ ประกาศไวห้ นา้ ศาล หรอื ในศาลแลว้ แต่ความสะดวกของศาลแต่ละศาล ซง่ึ ในบญั ชนี ดั ความจะมรี ายละเอยี ดเก่ยี วกบั คดแี ละหอ้ งพจิ ารณาไวด้ ว้ ย (๓) เมอ่ื ไปถงึ หอ้ งพจิ ารณาแลว้ ใหเ้ขา้ ไปในหอ้ งพจิ ารณาเพอ่ื แจง้ เจา้ หนา้ ท่ศี าลว่าพยานเดนิ ทางมา ศาลแลว้ และนงั่ รอในท่ีพกั พยานท่ีศาลจดั ไวอ้ ย่ารออยู่หนา้ หอ้ งพิจารณาเพราะเจา้ หนา้ ท่ีศาลหรือพนกั งาน อยั การอาจไม่ทราบว่าพยานเดินทางมาศาลแลว้ และทาใหก้ ารติดตามพยานมาเบกิ ความท่ศี าลในวนั นน้ั ติดขดั ได้ ซง่ึ หากพนกั งานอยั การเดนิ ทางมาถงึ หอ้ งพจิ ารณาแลว้ โดยปกตพิ นกั งานอยั การจะสอบถามว่าใครเป็นผูเ้สยี หาย และพยานโจทกบ์ า้ ง แต่หากไมพ่ บตวั พนกั งานอยั การจนใกลเ้วลาจะตอ้ งเบกิ ความแลว้ พยานสามารถโทรศพั ท์ ติดต่อพนกั งานอยั การไดท้ นั ที หรือหากไม่มีเบอรโ์ ทรศพั ทต์ ิดต่อก็อาจขอใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีศาลช่วยติดตามตวั พนกั งานอยั การใหก้ ไ็ ด้ (๔) พยานจะตอ้ งเบิกความดว้ ยวาจา เบิกความดว้ ยนา้ เสียงชดั เจน เสียงดงั ฟงั ชดั หา้ มอ่าน ขอ้ ความท่จี ดหรือเขยี นมา เวน้ แต่จะไดร้ บั อนุญาตจากศาลหรือเป็นพยานผูเ้ ช่ียวชาญเท่านนั้ และขอใหเ้ บิก ความตามความเป็นจรงิ เฉพาะเร่อื งทพ่ี ยานไดเ้หน็ ไดย้ นิ หรอื ไดท้ ราบดว้ ยตวั พยานเองเท่านนั้ อย่าเบิกความ โดยการคาดคะเนหรือวิพากษว์ จิ ารณ์ เพราะอาจมคี วามผิดในขอ้ หาเบกิ ความเทจ็ ได้ และอย่าเบกิ ความใน เรอ่ื งทไ่ี ดร้ บั การบอกเลา่ จากผูอ้ น่ื เวน้ แต่ศาลจะสงั่ (๕) เล่าลาดบั เหตุการณ์ พฤติการณ์แห่งการกระทาท่ีนาไปสู่ประเด็นแห่งคดี ความเห็นของ เจา้ หนา้ ท่ตี รวจสอบว่าเป็นการกระทาความผดิ อย่างไร อธิบายลาดบั ขน้ั ตอนตามระเบยี บท่ปี ฏิบตั ิหนา้ ท่ี เช่น ลาดบั การเสนอรายงาน ขน้ั ตอน เขา้ ตรวจสอบอย่างไร พบอะไร ผลการตรวจสอบเป็นอย่างไร หา้ มเบกิ ความ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทไ่ี มป่ รากฏพยานหลกั ฐานอยู่แลว้ (๖) ตอบคาถามในส่วนท่เี ก่ียวขอ้ งกบั ตวั พยานเองใหต้ รงกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ในกรณีประเด็นท่ซี กั คา้ น เก่ียวขอ้ งกบั พยานผูอ้ ่นื พยานไม่ตอ้ งตอบ หรือหากไม่แน่ใจหรือจาขอ้ เทจ็ จริงไม่ได้ อาจปฏเิ สธคาถามโดยใช้ คาว่า “ไม่แน่ใจ” “จาไม่ได”้ “ไม่ไดส้ งั เกต” ตามสภาวะท่เี หมาะสม และตอบคาถามเท่าท่ที ราบและจาไดเ้ ท่านน้ั หากพยานฟงั คาถามของศาลหรือคู่ความไม่ชดั เจน สามารถขอใหศ้ าลหรือคู่ความทวนคาถามใหม่ได้ หรือ ขอใหผ้ ูพ้ พิ ากษาอธบิ ายคาถามนน้ั ๒๔

(๗) ก่อนตอบคาถามซกั คา้ นของคู่ความอกี ฝ่ายหน่ึง ตอ้ งฟงั คาถามใหด้ ี วเิ คราะหแ์ ลว้ จงึ ตอบไปตาม ความเป็นจริง หากถูกถามว่า การปฏิบตั ิงานมีระเบียบหรือไม่ ใหพ้ ยานอธิบายอานาจหนา้ ท่ีตามระเบียบ หากถูกถามว่า มกี ารทจุ รติ หรอื ไม่ ใหแ้ ถลงต่อศาลวา่ “ไม่ทราบ จงึ เขา้ ไปตรวจสอบว่าเป็นจรงิ หรอื ไม่” (๘) การเบิกความตอ้ งรกั ษาผลประโยชน์ของหน่วยงานใหม้ าก หา้ มเบิกความเป็นปรปกั ษก์ บั หน่วยงานตนเอง และเบิกความยืนยนั ความเห็นท่ีแตกต่างจากหน่วยงานไม่ได้ กรณีถามความเห็นพยาน หากไมเ่ ก่ยี วกบั งานในหนา้ ท่ี ไม่ใหอ้ อกความเหน็ (๙) เมอ่ื ตกใจหรือประหม่า จะตอ้ งตง้ั สตแิ ละควบคุมอารมณ์ใหไ้ ด้ เมอ่ื รูว้ ่าตอบคาถามผดิ พลาด ใหแ้ ถลงต่อศาลว่า “ขอเบกิ ความใหม่” พรอ้ มตอบคาถามอย่างวเิ คราะห์ อย่าโตเ้ ถียงกบั คู่ความอีกฝ่ ายหน่ึง หากเกดิ ปญั หาต่าง ๆ ศาลจะช่วยดาเนินการใหเ้กดิ ความเป็นธรรม (๑๐) ในการเบกิ ความ หลงั จากท่คี ู่ความอกี ฝ่ายหน่ึงถามคา้ นแลว้ หากมปี ระเดน็ ทเ่ี ป็นประโยชน์ เพม่ิ เติมหรือหกั ลา้ งท่คี ู่ความอกี ฝ่ายหน่ึงถามคา้ น คู่ความฝ่ายท่อี า้ งพยานจะถามติง พยานจะตอ้ งวเิ คราะห์ ดว้ ยวา่ เหตใุ ดคู่ความฝ่ายทอ่ี า้ งพยานจงึ ถามตงิ (๑๑) หากคู่ความอกี ฝ่ายหน่ึงถามถงึ เอกสารหรือขอ้ ความอนั เก่ียวกบั งานราชการท่เี ป็นความลบั ซง่ึ พยานเป็นผูร้ กั ษาหรือไดท้ ราบมาโดยตาแหน่งราชการหรือในหนา้ ทร่ี าชการ ไม่ควรตอบคาถามนนั้ โดยอา้ ง ความเสียหายจะเกิดข้ึนต่อหน่วยงานของรฐั ประโยชน์สาธารณะ หรือประโยชน์ของเอกชนท่ีเก่ียวขอ้ ง เวน้ แต่จะไดร้ บั อนุญาตจากผูบ้ งั คบั บญั ชาหรอื ผูท้ เ่ี ก่ียวขอ้ งใหเ้ปิดเผยได้ (๑๒) ก่อนเสร็จส้นิ การเบกิ ความ หากมปี ระเดน็ ท่เี ป็นสาระสาคญั แห่งคดแี ละคู่ความฝ่ายท่อี า้ งพยาน ไม่ไดถ้ าม ใหพ้ ยานแถลงต่อศาลขอเบกิ ความเพม่ิ เตมิ (๑๓) ในขณะเบิกความผูพ้ ิพากษาจะพูดถอ้ ยคาท่ีพยานเบิกความแลว้ บนั ทึกเสยี งของศาลไว้ ทาเช่นน้ีสลบั กบั พยานเบิกความไปจนเสร็จ แลว้ ส่งไฟลห์ รือเทปเสียงไปใหพ้ นกั งานพมิ พซ์ ่งึ ในขณะท่ผี ูพ้ พิ ากษา บนั ทึกเสยี งนน้ั พยานตอ้ งตงั้ ใจฟงั เมอ่ื ศาลอ่านคาเบกิ ความ หากไดย้ ินไม่ชดั เจน ตอ้ งขออนุญาตศาลใหอ้ ่าน ทวนใหฟ้ งั หากมผี ดิ พลาดไม่ตรงกบั ท่พี ยานเบกิ ความ และพนกั งานอยั การหรอื คู่ความอน่ื ไม่ทว้ งติง พยานสามารถ แจง้ ผูพ้ พิ ากษาใหบ้ นั ทึกใหถ้ ูกตอ้ งได้ เมอ่ื จดั พมิ พเ์ สรจ็ แลว้ ผูพ้ พิ ากษาจะอ่านคาเบกิ ความใหพ้ ยานฟงั อกี ครง้ั ๒๕

หากมขี อ้ ความส่วนใดส่วนหน่ึงไม่ถูกตอ้ งตรงกบั ทพ่ี ยานเบกิ ความไปแลว้ พยานสามารถแจง้ ใหผ้ ูพ้ พิ ากษาแกไ้ ขให้ ถูกตอ้ งได้ แต่ในขนั้ ตอนน้ีผูพ้ พิ ากษาจะไม่อนุญาตใหพ้ ยานเบกิ ความใหมแ่ ตกต่างจากทเ่ี บกิ ความไวแ้ ลว้ (๑๔) หลงั จากพยานลงลายมือช่ือในคาเบิกความแลว้ ควรสอบถามเจา้ หนา้ ท่ีศาลอีกครงั้ ว่า เรยี บรอ้ ยแลว้ หรอื ไม่ พยานสามารถเดินทางกลบั ไดแ้ ลว้ หรอื ไม่ เพราะหากพยานไม่ไดล้ งลายมือชอ่ื ในเอกสาร อย่างใดอย่างหน่ึง เจา้ หนา้ ทศ่ี าลจะตดิ ต่อพยานใหม้ าลงลายมอื ช่อื อกี ในภายหลงั ซง่ึ อาจเสยี เวลาโดยไมจ่ าเป็น การรบั รองเอกสาร (๑) ควรพจิ ารณารายละเอยี ดของเอกสารทก่ี ลา่ วอา้ งว่า เก่ียวขอ้ งกบั พยานหรอื ไม่ อย่างไร (๒) พิจารณาว่า เอกสารเป็นตน้ ฉบบั หรือสาเนาเอกสาร หากเป็นสาเนาเอกสาร ใหพ้ จิ ารณาว่า เอกสารเป็นของฝ่ายตนเองหรอื เป็นของหน่วยรบั ตรวจ (ฝ่ายทเ่ี ก่ียวขอ้ ง) (๓) พจิ ารณาว่า ใครรบั รองเอกสาร (คนลงลายมอื ชอ่ื รบั รอง) (๔) พยานมสี ทิ ธิขอดูเอกสารทน่ี ามาเบกิ ความ หากไม่ใหด้ ู ใหแ้ ถลงต่อศาลว่า “ไม่ขอตอบหรอื จาไม่ได”้ (๕) หากเป็นเอกสารของคู่ความฝ่ายทอ่ี า้ งพยาน ตอ้ งดูใหล้ ะเอยี ดและถกู ตอ้ งก่อนรบั รอง แต่หาก เป็นเอกสารจากคู่ความอกี ฝ่ายหน่ึง พจิ ารณาใหด้ กี ่อนยนื ยนั หลกั ฐาน หากสงสยั ไม่แน่ใจ ไม่ควรรบั รอง (๖) ถา้ เอกสารเป็นของคู่ความฝ่ายท่อี า้ งพยานหรือเป็นของพยานเอง ใหด้ ูรายละเอียดใหถ้ ูกตอ้ ง ก่อนรบั รอง แต่หากเป็นเอกสารของหน่วยรบั ตรวจแมเ้คยพบ ใหแ้ ถลงต่อศาลว่า “ไม่ทราบว่าใครรบั รอง” “ไม่แน่ใจ ว่าเอกสารมคี วามถกู ตอ้ งตรงกบั ตวั จรงิ หรอื ไม่” “ไมท่ ราบวา่ เอกสารดงั กลา่ วถ่ายมาจากตน้ ฉบบั ใด เมอ่ื ใด” “จาไมไ่ ด”้ (๗) แมเ้ป็นเอกสารทป่ี รากฏลายมอื ชอ่ื ของตนเอง ใหแ้ ถลงต่อศาลวา่ “ไม่แน่ใจว่าเอกสารดงั กลา่ ว ถ่ายจากเอกสารของตนหรอื ไม่ ไม่รบั รอง” (๘) หากเอกสารไม่มคี วามเก่ียวขอ้ งกบั พยาน ใหแ้ ถลงต่อศาลว่า “ขา้ พเจา้ ไม่มสี ่วนเก่ียวขอ้ งกบั เอกสารน้ี จงึ ตอบไม่ได”้ “ขา้ พเจา้ ไมไ่ ดเ้ป็นผูล้ งลายมอื ช่อื รบั รองเอกสารดว้ ยตนเอง” (๙) อธิบายทม่ี าของเอกสาร และความเก่ยี วพนั กบั เอกสารว่าเป็นอย่างไร (๑๐) กรณีภาพถ่าย พิจารณาว่าบุคคลภายในภาพมีใคร พบเห็นอะไร หากภาพดงั กล่าว ไมป่ รากฏตวั พยานเอง ใหแ้ ถลงต่อศาลว่า “ไม่ทราบว่าภาพถ่าย ถ่ายเมอ่ื ใด” ๒๖

ขอ้ บกพร่องในการเป็ นพยานศาล (๑) ความสามารถของพยานในการเขา้ ใจและถ่ายทอดขณะเบิกความ พยานไม่สนใจ ขาดการ ฝึกฝน ขาดประสบการณก์ ารเป็นพยานศาล (๒) พยานไม่ทาการบา้ น คือ ไม่ทบทวนขอ้ เท็จจริง ไม่จดั ลาดบั เหตุการณ์ ไม่ไปพบพนกั งาน อยั การก่อนเบกิ ความ จงึ ขาดในรายละเอยี ดและกลยุทธใ์ นการเบกิ ความ (๓) พยานจดจาในรายละเอยี ดไม่ได้ เน่ืองจากเหตุการณผ์ ่านพน้ ไปแลว้ เป็นเวลาเน่ินนาน พยาน ก็จะเกิดความหลงลมื และสบั สนไดง้ า่ ยกว่าเหตกุ ารณท์ ่เี พง่ิ ผ่านไปใหม่ ๆ หรืออาจสบื เน่ืองมาจากการไม่ไดร้ ่วม ตรวจสอบแต่มชี ่อื ในบนั ทกึ การตรวจสอบ จงึ ถกู คู่ความอกี ฝ่ายหน่ึงอา้ งเป็นพยานของฝ่ายนน้ั ดว้ ย (๔) ไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธ ประหม่า ต่นื เตน้ ตกใจ ขาดความมนั่ ใจในตวั เอง หรอื เกิดความ หวาดกลวั ขณะเบกิ ความ (๕) ตอบคาถามในส่วนทต่ี นเองไม่เก่ียวขอ้ ง หรอื ตอบเกินประเด็นท่ถี าม หรือตอบไม่ตรงคาถาม หรอื ตอบไม่สอดคลอ้ งกบั พยานคนอน่ื (๖) ดม่ื สุรา มาสาย ไมม่ าศาลตามนดั เลอ่ื นศาลเสมอ ไม่ใหค้ วามสาคญั ต่อคดี (๗) ไมเ่ ตรยี มตวั ไมส่ นใจเอกสารทเ่ี ก่ียวขอ้ ง จดั ระบบการรวบรวมเอกสารก่อนเบกิ ความไม่ดี วิธีปฏิบตั ิเม่ือไม่สามารถมาเป็ นพยานศาลได้ (๑) หากเจบ็ ป่วยหรอื มขี อ้ ขดั ขอ้ งจาเป็นประการอน่ื เช่น ตอ้ งเดนิ ทางออกไปนอกราชอาณาจกั ร เป็น เหตุใหไ้ ม่สามารถไปเป็นพยานศาลในวนั นดั สืบพยานได้ ขอใหพ้ ยานทาหนงั สือแจง้ อธิบดีผูพ้ ิพากษาหรือผู้ พพิ ากษาหวั หนา้ ศาล เพ่อื ช้ีแจงถึงเหตุผลความจาเป็น โดยพยานอาจนาหนงั สือไปย่ืนท่ศี าลดว้ ยตนเองหรือ มอบฉนั ทะใหผ้ ูอ้ น่ื นาไปยน่ื แทนพยานกไ็ ด้ แต่ตอ้ งยน่ื ก่อนวนั ทศ่ี าลนดั สบื พยาน (๒) ในระหว่างเดินทางไปศาล หากประสบอุบตั ิเหตหุ รือขอ้ ขดั ขอ้ งเกิดข้นึ ขอใหพ้ ยานโทรศพั ท์ แจง้ ไปยงั ศาลตามทป่ี รากฏอยู่ในหมายเรยี ก ๒๗

(๓) พยานสามารถแจง้ คู่ความใหย้ ่ืนคารอ้ งเพ่ือขอสืบพยานล่วงหนา้ ได้ แมว้ ่าจะยงั ไม่มีการ ฟ้องคดตี ่อศาล ความผิดทางอาญา พยานทม่ี ไิ ดป้ ฏบิ ตั ใิ หเ้ป็นตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ไิ ว้ อาจตอ้ งรบั ผดิ ทางอาญา ดงั น้ี ความผดิ ต่อเจา้ พนกั งาน  ฐานขดั ขนื คาบงั คบั ตามกฎหมายของเจา้ พนกั งานซงึ่ ใหม้ าใหถ้ อ้ ยคา เม่ือเจา้ พนกั งานท่ีมีกฎหมายใหอ้ านาจไดอ้ อกหมายเรียกบุคคลใดมาเป็นพยานเพ่ือให้ ถอ้ ยคาแลว้ ปรากฏว่าผูน้ น้ั ขดั ขนื ไม่มาใหถ้ อ้ ยคาตามหมายเรียกหรือคาสงั่ ของเจา้ พนกั งานดงั กล่าว จะถอื ว่ามี ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๘ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกิน ๓ เดอื น หรือปรบั ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท หรอื ทงั้ จาทงั้ ปรบั  ฐานขดั ขนื คาบงั คบั ตามกฎหมายของเจา้ พนกั งานซง่ึ ใหส้ าบานหรอื ปฏญิ าณตน หรือ ใหถ้ อ้ ยคา หากผูน้ นั้ ไดม้ าเป็นพยานตามหมายเรยี กหรอื คาสงั่ แลว้ แต่ขดั ขนื ไม่สาบานหรอื ปฏญิ าณตน หรอื ไม่ใหถ้ อ้ ยคาต่อเจา้ พนกั งาน จะถอื วา่ มคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๙ ตอ้ งระวางโทษ จาคุกไมเ่ กิน ๓ เดอื น หรอื ปรบั ไม่เกนิ ๕,๐๐๐ บาท หรอื ทงั้ จาทง้ั ปรบั  ฐานแจง้ ความเทจ็ ต่อเจา้ พนกั งาน มี ๔ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ การท่พี ยานมาใหถ้ อ้ ยคาต่อเจา้ พนกั งานผูม้ หี นา้ ท่รี บั แจง้ ความ โดยรูอ้ ยู่ว่าขอ้ ความท่ตี น แจง้ นน้ั เป็นเทจ็ ไม่วา่ เจา้ พนกั งานผูน้ น้ั จะเชอ่ื ขอ้ ความดงั กลา่ วหรือไม่ก็ตาม ซง่ึ ขอ้ ความจะเป็นเทจ็ ไดจ้ ะตอ้ งเป็น ขอ้ เท็จจริงในอดีตหรือในปจั จุบนั ไม่ใช่ขอ้ เท็จจริงในอนาคต และขอ้ ความนนั้ อาจทาใหผ้ ูอ้ ่ืนหรือประชาชน ๒๘

เสยี หาย จะถอื ว่ามคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ ฐานแจง้ ความเทจ็ ตอ้ งระวางโทษจาคุก ไมเ่ กิน ๖ เดอื น หรอื ปรบั ไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรอื ทง้ั จาทง้ั ปรบั ถา้ ความเทจ็ ทแ่ี จง้ นนั้ เก่ียวกบั ความผดิ อาญา และเป็นการแจง้ ต่อพนกั งานอยั การ ผูว้ ่าคดี พนกั งานสอบสวน หรอื เจา้ พนกั งานผูม้ อี านาจสบื สวนคดอี าญา ซง่ึ อาจทาใหผ้ ูอ้ น่ื หรือประชาชนเสยี หาย จะถอื ว่า มคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒ ฐานแจง้ ความเท็จเก่ียวกบั ความผดิ อาญา ตอ้ งระวางโทษ จาคุกไม่เกิน ๒ ปี หรอื ปรบั ไมเ่ กิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรอื ทง้ั จาทงั้ ปรบั หากพยานรูอ้ ยู่แลว้ ว่า มไิ ดม้ กี ารกระทาความผดิ เกิดข้นึ แต่ยงั แจง้ ขอ้ ความแก่พนกั งาน สอบสวน หรอื เจา้ พนกั งานผูม้ อี านาจสบื สวนคดอี าญาว่า ไดม้ กี ารกระทาความผดิ จะถอื ว่ามคี วามผดิ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๓ ฐานแจง้ ความเทจ็ ว่ามกี ารกระทาความผดิ ข้นึ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกิน ๓ ปี และปรบั ไมเ่ กนิ ๖๐,๐๐๐ บาท ถา้ การแจง้ ขอ้ ความที่เป็นเท็จนนั้ เกี่ยวกบั ความผิดอาญาหรือรูอ้ ยู่แลว้ ว่ามิไดม้ ีการ กระทาความผดิ เกิดข้นึ แต่มเี จตนาทจ่ี ะแจง้ เพอ่ื แกลง้ ใหบ้ ุคคลอ่นื ตอ้ งถูกบงั คบั ตามวธิ ีการเพอ่ื ความปลอดภยั จะถือว่ามคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๔ วรรคหนึ่ง ฐานแจง้ ความเท็จเพ่อื แกลง้ ใหผ้ ูอ้ ่นื ตอ้ ง ถูกบงั คบั ตามวธิ ีการเพือ่ ความปลอดภยั ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกิน ๓ ปี และปรบั ไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาท หากการแจง้ ขอ้ ความดงั กล่าว มเี จตนาทจ่ี ะแจง้ เพอ่ื แกลง้ ใหบ้ คุ คลอน่ื ตอ้ งรบั โทษหรอื รบั โทษหนกั ข้นึ จะถอื ว่า มคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๔ วรรคสอง ฐานแจง้ ความเทจ็ เพ่อื แกลง้ ใหผ้ ูอ้ ่นื ตอ้ งรบั โทษ หรอื รบั โทษหนกั ข้นึ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกิน ๕ ปี และปรบั ไมเ่ กิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ความผดิ ต่อศาล  ฐานขดั ขนื หมายหรอื คาสงั่ ของศาลซง่ึ ใหม้ าใหถ้ อ้ ยคา เมอื่ ศาลไดอ้ อกหมายเรยี กบคุ คลใดมาเป็นพยานเพอื่ ใหม้ าเบกิ ความแลว้ ปรากฏว่าผูน้ นั้ ขดั ขนื ไม่มาเบกิ ความตามหมายเรียกหรือคาสงั่ ของศาลดงั กล่าว จะถือว่ามคี วามผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๑๗๐ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกิน ๖ เดอื น หรอื ปรบั ไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรอื ทง้ั จาทงั้ ปรบั ๒๙

 ฐานขดั ขนื คาสงั่ ของศาลซงึ่ ใหส้ าบานหรือปฏญิ าณตน หรือใหถ้ อ้ ยคา หากผูน้ น้ั ไดม้ าเป็นพยานตามหมายเรยี กหรือคาสงั่ แลว้ แต่ขดั ขนื ไม่สาบานหรอื ปฏญิ าณตน หรือไม่ใหถ้ อ้ ยคาต่อศาล จะถอื ว่ามคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๑ ตอ้ งระวางโทษจาคุก ไม่เกนิ ๖ เดอื น หรอื ปรบั ไม่เกนิ ๑๐,๐๐๐ บาท หรอื ทง้ั จาทง้ั ปรบั  ฐานเบกิ ความเทจ็ การเบิกความเท็จ เป็นการท่ีพยานเอาความท่ีรูอ้ ยู่ว่าเป็นเท็จมาเบิกความต่อศาลในการ พจิ ารณาคดี ไม่ว่าพยานผูน้ นั้ จะไดส้ าบานหรือปฏญิ าณตนก่อนเบกิ ความหรือไม่ก็ตาม และท่สี าคญั ความเทจ็ นน้ั ตอ้ งเป็นขอ้ มูลสาคญั ในคดีท่จี ะมผี ลต่อการวนิ ิจฉยั ของศาลท่จี ะนาไปสู่การแพห้ รือชนะคดี ทง้ั น้ี ผูเ้บกิ ความ จะตอ้ งเบกิ ความไปโดยมีเจตนาคือ รูอ้ ยู่แลว้ ว่าขอ้ ความท่ีตนเบิกความนน้ั เป็นเท็จ จึงจะถือว่ามคี วามผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ วรรคหนึ่ง ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกิน ๕ ปี หรอื ปรบั ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรอื ทงั้ จาทง้ั ปรบั ถา้ เบกิ ความเท็จในการพจิ ารณาคดีอาญา จะถอื ว่ามคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกนิ ๗ ปี และปรบั ไมเ่ กิน ๑๔๐,๐๐๐ บาท ความผดิ อน่ื ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง  ฐานหมนิ่ ประมาท ใส่ความ หมายถึง การแสดงพฤติการณ์หรือยืนยนั ขอ้ เท็จจริงเก่ียวกับบุคคลอ่ืน ขอ้ เทจ็ จริงท่ีเป็นหม่นิ ประมาท เช่น ขอ้ เทจ็ จริงที่เก่ียวกบั ความประพฤติชวั่ หรือทุจริต หรือเกี่ยวกบั หนา้ ท่ี การงาน หากถอ้ ยคาหรือคาเบกิ ความทพ่ี ยานไดใ้ หไ้ วต้ ่อเจา้ พนกั งานหรือศาลมลี กั ษณะเป็นการใส่ความผูอ้ ่นื ต่อบคุ คลท่สี าม โดยประการทน่ี ่าจะทาใหผ้ ูอ้ น่ื นน้ั เสยี ช่อื เสยี ง ถกู ดูหมน่ิ หรอื ถูกเกลยี ดชงั จะถอื ว่ามคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกิน ๑ ปี หรอื ปรบั ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรอื ทงั้ จาทง้ั ปรบั และหากกระทาอนั เป็นหมน่ิ ประมาทนนั้ ไดก้ ระทาโดยการโฆษณาดว้ ยเอกสาร ภาพวาด ภาพ ระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตวั อกั ษรท่ีทาใหป้ รากฏดว้ ยวธิ ีใด แผ่นเสียง หรือส่งิ บนั ทึกเสยี ง บนั ทึกภาพ หรือบนั ทกึ อกั ษรกระทาโดยการกระจายเสยี ง หรอื การกระจายภาพ หรอื โดยกระทาการป่าวประกาศดว้ ยวธิ อี น่ื ใด ๓๐

กรณีก็อาจเขา้ ข่ายเป็นการกระทาความผิดฐานหม่ินประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๘ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรบั ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทงั้ จาทงั้ ปรบั  เหตุยกเวน้ ความผิด อานาจกระทาที่จะทาใหไ้ ม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท มี ๒ ประการ คือ ๑. การแสดงความคิดเหน็ หรือขอ้ ความโดยสุจริต หมายถึง ผูก้ ระทาไดก้ ระทาไป โดยไม่ไดม้ ่งุ หมายใหผ้ ูใ้ ดเสียหาย หรือโดยเช่ือว่าเป็นความจริงดงั ท่ีตนเขา้ ใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙ ไดแ้ ก่ (๑) กระทาเพือ่ ความชอบธรรม ป้ องกนั ตน หรือป้ องกนั ส่วนไดเ้ สยี เกีย่ วกบั ตน ตามคลองธรรม เช่น ไปใหถ้ อ้ ยคากบั คณะกรรมการสอบสวนทางวินยั ตามท่ีไดร้ ูเ้ ห็นเร่ืองการทุจริตและ ประพฤติมิชอบในการปฏิบตั ิราชการ๔ หรือถูกเรียกไปใหถ้ อ้ ยคาต่อคณะกรรมการสอบสวนเป็นการกล่าว เพอ่ื ประโยชนแ์ ก่ราชการอนั เป็นสว่ นรวมและมมี ลู ความจรงิ แมจ้ ะมถี อ้ ยคาพาดพงิ ไปถงึ โจทก์ ก็เป็นการแสดง ขอ้ ความโดยสุจรติ เพอ่ื ความชอบธรรมป้องกนั ส่วนไดเ้สยี เก่ียวกบั ตนตามคลองธรรม (๒) กระทาในฐานะเป็นเจา้ พนกั งานปฏิบตั ิการตามหนา้ ที่ หากเป็นการกล่าวตามหนา้ ท่ีราชการ ย่อมไดร้ บั ความคุม้ ครองตามกฎหมายโดยทวั่ ไปอยู่แลว้ (๓) ตชิ มดว้ ยความเป็นธรรมซงึ่ บคุ คลหรือสงิ่ ใด อนั เป็นวสิ ยั ของประชาชนย่อมกระทา กลา่ วคอื ทาโดยไม่มกี ารเสยี ดสี หยาบคาย หรอื ยวั่ ยุใหเ้กิดความเกลยี ดชงั ไมพ่ อใจ และไม่กา้ วลว่ งไปในเร่อื งส่วนตวั (๔) แจง้ ข่าวดว้ ยความเป็นธรรม เรือ่ งการดาเนินการอนั เปิดเผยในศาลหรอื ในการ ประชมุ โดยไม่มกี ารบดิ เบอื นตดั ทอนทาใหเ้ขา้ ใจคลาดเคลอ่ื นไป ๔ คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๗๐๖/๒๕๓๑, อา้ งถึงใน ทวีเกียรติ มนี ะกนิษฐ, หลกั กฎหมายอาญาภาคความผดิ , พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๒, (กรุงเทพฯ : วญิ ญูชน, ๒๕๖๐), หนา้ ๒๓๑. ๓๑

๒. การแสดงความคิดเหน็ หรอื ขอ้ ความในศาล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๑ ใชเ้ ฉพาะกบั คู่ความ ไดแ้ ก่ บคุ คลผูย้ น่ื คาฟ้องหรอื ถูกฟ้องต่อศาล ทนายความของคู่ความ หรอื บุคคลผูม้ สี ทิ ธิ กระทาการแทนบุคคลนนั้ ๆ ตามกฎหมายเท่านนั้ เพ่อื ใหม้ ีโอกาสต่อสูค้ ดีไดอ้ ย่างเต็มท่ี ซึง่ การแสดงความ คิดเหน็ หรือขอ้ ความของบุคคลดงั กล่าวจะตอ้ งกระทาเพือ่ ประโยชนแ์ ก่คดีของตน แต่ไม่รวมถึงพยานท่ี เบกิ ความต่อศาล ซง่ึ ไดร้ บั ความคุม้ ครองเพราะมหี นา้ ทต่ี อ้ งเบกิ ความตามทก่ี ฎหมายกาหนดไว้  เหตยุ กเวน้ โทษ การยกเวน้ โทษน้ีมีเพ่ือสนับสนุนใหม้ ีการพิสูจน์ความจริงในเร่ืองท่ีเกิดประโยชน์ การยกเวน้ โทษจะมไี ดเ้มอ่ื ผูถ้ กู หาวา่ กระทาความผดิ พสิ ูจนไ์ ดว้ ่าขอ้ ท่หี าว่าเป็นหมน่ิ ประมาทนน้ั เป็นความจรงิ ผูน้ นั้ ไม่ตอ้ งรบั โทษ แต่หา้ มไม่ใหพ้ ิสูจน์ถา้ ขอ้ ท่ีหาว่าเป็นหม่ินประมาทนน้ั เป็นการใส่ความในเร่ืองส่วนตวั และการ พสิ ูจนจ์ ะไม่เป็นประโยชนแ์ ก่ประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๐ ดงั นน้ั ถา้ การใส่ความไม่ใช่เรอ่ื ง ส่วนตวั ย่อมไม่ตอ้ งหา้ มในการพิสูจน์ความจริง หรอื แมเ้ ป็นเรื่องส่วนตวั แต่ถา้ การพิสูจน์ความจริงจะเป็น ประโยชนแ์ ก่ประชาชน ก็ไม่ตอ้ งหา้ มในการพสิ ูจนค์ วามจรงิ เพอ่ื ใหศ้ าลยกเวน้ โทษ เช่น กล่าวเกี่ยวกบั การทุจรติ ประพฤติมชิ อบ ไม่ใช่เร่อื งส่วนตวั นาสบื ความจริงไดเ้ พราะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน 32

33

บทท่ี ๔ การไปใหก้ ารในฐานะเป็ นพยานต่อพนักงานสอบสวน พยานหลกั ฐานชน้ั สอบสวน เป็นพยานหลกั ฐานชน้ั ตน้ ในคดีอาญาท่ชี ้ีบ่งบอกว่าผูต้ อ้ งหาสมควร ถกู ฟ้องเป็นจาเลยหรอื ไม่ โดยพนกั งานสอบสวนเป็นผูร้ วบรวมพยานหลกั ฐานต่าง ๆ เป็นสานวนการสอบสวน แลว้ ส่งใหอ้ ยั การกลนั่ กรองว่าขอ้ เทจ็ จริงท่ไี ดจ้ ากการรวบรวมพยานหลกั ฐานต่าง ๆ เหล่านนั้ พอฟ้องหรือไม่ ฟ้องผูต้ อ้ งหา พยานหลกั ฐานในชนั้ สอบสวน จะตอ้ งเป็นขอ้ เทจ็ จริงท่ี “ น่าจะพสิ ูจนไ์ ดว้ ่าจาเลยมีความผดิ หรือ บริสุทธ์ิ ” ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา ๒๒๖ นนั่ เอง เพราะการสอบสวนก็เพอ่ื ใหไ้ ดพ้ ยานหลกั ฐานไปใชใ้ นการสบื พสิ ูจน์ ความผดิ ของจาเลยในชน้ั ศาลอีกนยั หน่ึง การสอบสวนพยานหลกั ฐานในชนั้ สอบสวน อาจมคี วามหมายแคบกว่า ในชนั้ ศาลก็ได้ คือ ในชนั้ สอบสวนมุ่งสอบพยานหลกั ฐาน “เพ่ือท่ีจะทราบขอ้ เท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิด และเพอ่ื จะเอาตวั ผูก้ ระทามาฟ้องลงโทษ” ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา ๒ (๑๑) ในขณะทก่ี ารสบื พยานชนั้ ศาลเป็นการ “เพ่อื พสิ ูจนว์ ่าจาเลยมผี ดิ หรอื บริสุทธ์ิ” ตามมาตรา ๒๒๖ ดงั กล่าว ในชน้ั สอบสวน สอบพยานหลกั ฐานเพอ่ื ให้ มดั ตวั ผูต้ อ้ งหาดา้ นเดียว แต่ในชนั้ ศาลสบื พยานหลกั ฐานเพ่อื ใหเ้ ช่ือว่าจาเลยมผี ดิ หรือบริสุทธ์ิ คือ สบื ทง้ั ของ ฝ่ายโจทกแ์ ละของฝ่ายจาเลย การรวบรวมพยานหลกั ฐานในคดีอาญา พนกั งานสอบสวนมีอานาจรวบรวมพยานหลกั ฐานได้ อย่างกวา้ งขวาง ในเมอ่ื พยานนน้ั น่าจะพสิ ูจนไ์ ดว้ า่ จาเลยมผี ดิ หรอื บรสิ ุทธ์ิ เพราะสามารถอา้ งเป็นพยานในชน้ั ศาลได้ ทง้ั น้ี ไมว่ า่ จะเป็นประจกั ษพ์ ยานหรอื พยานบอกเลา่ ทเ่ี ก่ียวพนั กบั เรอ่ื งนนั้ คาใหก้ ารชนั้ สอบสวนอาจแบง่ ไดเ้ป็น คาใหก้ ารของผูต้ อ้ งหา และคาใหก้ ารของพยาน โดยถอ้ ยคาของ บคุ คลทใ่ี หต้ ่อพนกั งานสอบสวนในฐานะพยานนนั้ หากพจิ ารณาถงึ ผลท่ไี ดจ้ ากถอ้ ยคาของบคุ คลนนั้ ๆ ก็พจิ ารณา แยกไดเ้ป็น ๓ ประเภท คอื (๑) พยานฝ่ายผูก้ ลา่ วหา (๒) พยานฝ่ายผูต้ อ้ งหา และ(๓) พยานฝ่ายเป็นกลาง 34

วิธีปฏิบตั ิเม่ือจะตอ้ งไปใหก้ ารเป็ นพยานชั้นสอบสวน ๑. เม่อื ไดร้ บั หมายเรียกจากพนกั งานสอบสวนใหต้ รวจสอบหมายเรียกว่าเป็นหมายเรียกของสถานี ตารวจทอ้ งท่ีใดเรียกใหไ้ ปพบในวนั เวลาใด ประสานพนกั งานสอบสวนใหท้ ราบว่าตอ้ งเป็นพยานเร่ืองใด เพอ่ื เตรยี มการทจ่ี ะใหก้ าร พรอ้ มรายงานใหผ้ ูบ้ งั คบั บญั ชาทราบ ๒. หากประสงคใ์ หน้ ิติกรหรือเจา้ หนา้ ท่ขี องสานกั คดีเขา้ ร่วมเดนิ ทางไปดว้ ย เพอ่ื ใหค้ าแนะนาให้ ความช่วยเหลือพรอ้ มประสานคดี ใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีทาหนงั สือแจง้ ความประสงค์โดยรายงานผูบ้ งั คบั บญั ชา ตามลาดบั ชนั้ ๓. ใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีไปพบพนักงานสอบสวนตามวนั เวลาในหมายเรียก โดยผูบ้ งั คบั บญั ชาอาจ มอบหมายใหน้ ิตกิ รใหค้ วามช่วยเหลอื ในทางคดแี ก่เจา้ หนา้ ท่ี ๔. การใหก้ ารของเจา้ หนา้ ท่ีสานกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดินส่วนใหญ่จะเป็นกรณีท่ีเจา้ หนา้ ท่ี สานกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดินไดอ้ อกรายงานผลการตรวจสอบไว้ อาจถือไดว้ ่าเป็นพยานผูเ้ ช่ียวชาญ ปกติ ไมจ่ าเป็นตอ้ งสอบปากคาอกี เวน้ แต่มปี ระเดน็ ทต่ี อ้ งสอบสวนนอกเหนือจากรายงานผลการตรวจสอบ หรอื มปี ระเด็น อน่ื ทย่ี งั ไมส่ ้นิ สงสยั ๕. เมอ่ื เสรจ็ การสอบสวนของพนกั งานสอบสวนแลว้ ใหร้ ายงานผูบ้ งั คบั บญั ชาตามลาดบั ชน้ั 35

บทท่ี ๕ การไปใหถ้ อ้ ยคาในฐานะเป็ นพยาน ประกอบการไต่สวนของ ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. ๑. การไปใหถ้ อ้ ยคาในฐานะเป็ นพยานประกอบการไต่สวนของ ป.ป.ช. พระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๓๔, ๔๖, ๔๙ และ ๕๐ ประกอบระเบยี บคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติว่า ดว้ ยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. ๒๕๖๑ กาหนดให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการไต่สวน เลขาธิการ หรือหวั หนา้ พนกั งานไต่สวน มอี านาจท่จี ะมคี าสงั่ ใหข้ า้ ราชการ พนกั งาน หรอื ลูกจา้ งของหน่วยงาน ของรฐั หรือบคุ คลใด มาใหถ้ อ้ ยคาเพอ่ื ประโยชนใ์ นการตรวจสอบหรอื ไต่สวน ดงั นนั้ เจา้ หนา้ ทข่ี องสานกั งาน การตรวจเงนิ แผ่นดนิ จงึ ควรทราบถงึ สทิ ธิและหนา้ ทใ่ี นการใหถ้ อ้ ยคาต่อ ป.ป.ช. ดงั น้ี ๑. ในกรณีมหี มายเรยี กใหท้ ่านมาใหถ้ อ้ ยคา ท่านจะตอ้ งมาใหถ้ อ้ ยคาต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ตี าม วนั เวลา และสถานทท่ี ก่ี าหนดในหมายนนั้ ๒. ในการสอบปากคานนั้ หา้ มมใิ หพ้ ยานบนั ทึกเสยี ง ภาพ หรือภาพและเสยี ง หรือกระทาดว้ ย วธิ ีการใดในลกั ษณะทานองเดียวกนั และหา้ มมิใหบ้ ุคคลอ่ืนอยู่ในท่ีนน้ั ดว้ ย เวน้ แต่พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีจะ อนุญาตเพอ่ื ประโยชนใ์ นการตรวจสอบหรอื ไต่สวน ๓. พนกั งานเจา้ หนา้ ท่จี ะตอ้ งแจง้ ใหพ้ ยานทราบว่า “พนกั งานเจา้ หนา้ ทม่ี ฐี านะเป็นเจา้ พนกั งานตาม ประมวลกฎหมายอาญา การใหถ้ อ้ ยคาอนั เป็นเทจ็ ต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ทอ่ี าจเป็นความผดิ ตามกฎหมาย” ๔. หา้ มมใิ หพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ทท่ี าหรอื จดั การใดๆ ซง่ึ เป็นการใหค้ ามนั่ สญั ญา ข่เู ขญ็ หลอกลวง ทรมาน ใชก้ าลงั บงั คบั หรอื กระทาโดยมชิ อบประการใดๆ เพอ่ื จูงใจใหบ้ ุคคลใหก้ ารอย่างใดๆ ในเร่อื งท่มี กี าร กลา่ วหา ๕. เม่อื พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีบนั ทึกถอ้ ยคาเสร็จแลว้ พยานจะตอ้ งอ่านบนั ทกึ ถอ้ ยคาเอง เวน้ แต่ พยานไม่ยอมอ่านหรือไม่สามารถอ่านเองได้ พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีจึงจะอ่านใหฟ้ งั แลว้ ใหพ้ ยานนน้ั และผูบ้ นั ทึก ถอ้ ยคาลงลายมอื ช่อื ไวเ้ป็นหลกั ฐาน 36

๖. ถา้ บนั ทึกถอ้ ยคามหี ลายหนา้ ผูบ้ นั ทกึ ถอ้ ยคาซง่ึ เป็นพนกั งานเจา้ หนา้ ท่อี ย่างนอ้ ยหน่ึงคนกบั พยานตอ้ งลงลายมอื ช่อื กากบั ไวท้ กุ หนา้ ๗. ในบนั ทกึ ถอ้ ยคานน้ั จะตอ้ งไม่มกี ารขูดลบหรอื บนั ทกึ ขอ้ ความทบั หากจะตอ้ งแกไ้ ขขอ้ ความ ท่ไี ดบ้ นั ทึกไวแ้ ลว้ จะตอ้ งใชว้ ธิ ีขดี ฆ่าหรือตกเติมเท่านนั้ และพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีอย่างนอ้ ยหน่ึงคนกบั พยาน จะตอ้ งลงลายมอื ช่อื กากบั ไวท้ กุ แห่งทข่ี ดี ฆ่าหรอื ตกเตมิ ๘. ในกรณีทพ่ี ยานไม่ยอมอ่านบนั ทกึ ถอ้ ยคาหรอื ไมย่ อมลงลายมอื ช่อื พนกั งานเจา้ หนา้ ท่มี อี านาจ บนั ทกึ เหตแุ ห่งการไมย่ อมอ่านบนั ทกึ ถอ้ ยคาหรอื ไม่ลงลายมอื ชอ่ื ไวใ้ นบนั ทกึ ถอ้ ยคานนั้ ๙. ในกรณีท่ีพยานไม่สามารถลงลายมือช่ือได้ จะนาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าใช้ บงั คบั ใหถ้ อื เสมอกบั ลงลายมอื ช่อื ของพยาน กลา่ วคือ ลายพมิ พน์ ้ิวมอื แกงได ตราประทบั หรอื เคร่อื งหมาย อน่ื ทานองเช่นวา่ นนั้ ทท่ี าลงในเอกสารแทนการลงลายมอื ชอ่ื จะตอ้ งมพี ยานลงลายมอื ชอ่ื รบั รองสองคน ๑๐. ในการสอบปากคา อาจจะกระทาโดยวธิ ปี ระชมุ ทางจอภาพกไ็ ด้ ทง้ั น้ี ตามหลกั เกณฑ์ วธิ ีการ และเงอ่ื นไขทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด ๑๑. หากท่านฝ่ าฝืนไม่ปฏิบตั ิตามคาสงั่ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการไต่สวน หรือ หวั หนา้ พนกั งานไต่สวน จะถือว่าท่านมีความผิด ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรบั ไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรอื ทงั้ จาทงั้ ปรบั ๑๒. ในการสอบปากคาพยาน จะใชว้ ธิ ีการบนั ทึกลงในวสั ดุซ่งึ ถ่ายทอดออกเป็นภาพหรือเสยี ง หรือโดยวธิ ีการอ่นื ใดซง่ึ พยานไดต้ รวจสอบถึงความถูกตอ้ งของบนั ทึกการใหป้ ากคานนั้ แลว้ กรรมการหรือ พนกั งานไต่สวนอาจทาสาเนาขอ้ ความดงั กลา่ วเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรหรอื สง่ิ บนั ทกึ อย่างอน่ื ก็ได้ ทงั้ น้ี ในการตรวจสอบหรือไต่สวน จะตอ้ งไม่เป็นการละเมดิ สิทธิและเสรีภาพของบุคคลตาม รฐั ธรรมนูญหรอื กฎหมาย ๒. การไปใหถ้ อ้ ยคาในฐานะเป็ นพยานประกอบการไต่สวนของ ป.ป.ท. ตามพระราชบญั ญตั ิมาตรการของฝ่ ายบริหารในการป้ องกนั และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ กาหนดไวว้ า่ เมอ่ื คณะกรรมการ ป.ป.ท. ไดร้ บั การกล่าวหาว่าเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั กระทาการหรือเก่ียวขอ้ ง กบั การกระทาการทจุ รติ ในภาครฐั หรือมเี หตอุ นั ควรสงสยั วา่ เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั คนหน่ึงคนใดกระทาการทุจรติ ใน 37

ภาครฐั หรอื เมอ่ื ไดร้ บั เร่อื งจากพนกั งานสอบสวนในกรณีทม่ี กี ารรอ้ งทกุ ขห์ รอื กลา่ วโทษต่อพนกั งานสอบสวนให้ ดาเนินคดีกบั เจา้ หนา้ ท่ขี องรฐั อนั เน่ืองมาจากกระทาการทุจรติ ในภาครฐั หรือเม่อื ไดร้ บั เร่อื งจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพอ่ื ดาเนินการไต่สวนขอ้ เทจ็ จรงิ คณะกรรมการ ป.ป.ท. จะดาเนินการไต่สวนขอ้ เทจ็ จริงโดยเร็วตาม หลกั เกณฑแ์ ละวิธีการท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ท. กาหนด ซ่ึงแนวทางในการดาเนินการไต่สวนขอ้ เท็จจริง คณะอนุกรรมการไต่สวนขอ้ เทจ็ จรงิ มอี านาจเรยี กบคุ คลใด ๆ มา เพอ่ื ใหถ้ อ้ ยคา สง่ คาช้แี จงเป็นหนงั สอื หรอื ส่ง บญั ชเี อกสารหรอื หลกั ฐานใด ๆ มา เพอ่ื ไต่สวนหรอื เพอ่ื ประกอบการพจิ ารณา ซง่ึ ขา้ ราชการสานกั งานการตรวจ เงนิ แผ่นดนิ อาจตอ้ งไปใหถ้ อ้ ยคาเก่ียวกบั เรอ่ื งทไ่ี ดไ้ ปตรวจสอบ จงึ มขี อ้ แนะนาในการไปใหถ้ อ้ ยคา ดงั น้ี (๑) ในกรณีท่มี กี ารเรยี กบุคคลใดมาเป็นพยาน ใหพ้ ยานเดนิ ทางไปช้แี จงหรอื ใหถ้ อ้ ยคาตามวนั เวลา และสถานทท่ี ค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ท. กาหนด (๒) ในการสอบปากคาพยาน เจา้ หนา้ ท่ีจะเรียกใหผ้ ูท้ ่ีจะใหถ้ อ้ ยคาเขา้ ไปในสถานท่ีทาการ สอบปากคา คราวละหน่ึงคน และหา้ มบุคคลอ่ืนอยู่ในท่ีสอบปากคา เวน้ แต่บุคคลซ่ึงคณะกรรมการ ป.ป.ท. อนุญาต (๓) ก่อนเร่มิ สอบปากคาพยาน จะมกี ารแจง้ ใหพ้ ยานทราบว่า กรรมการหรืออนุกรรมการไต่สวน เป็นเจา้ พนกั งานตามประมวลกฎหมายอาญา และการใหถ้ อ้ ยคาอนั เป็นเทจ็ เป็นความผดิ ตามกฎหมาย (๔) การสอบปากคาพยาน กรรมการหรอื อนุกรรมการไต่สวนจะบนั ทึกถอ้ ยคาโดยมสี าระสาคญั ตามแบบ ท่คี ณะกรรมการ ป.ป.ท. กาหนด เมอ่ื ไดบ้ นั ทกึ ถอ้ ยคาเสร็จแลว้ กรรมการหรอื อนุกรรมการไต่สวน จะอ่านใหผ้ ูใ้ หถ้ อ้ ยคาฟงั หรืออาจใหผ้ ูใ้ หถ้ อ้ ยคาอ่านเองก็ได้ ใหผ้ ูใ้ หถ้ อ้ ยคาลงลายมือช่ือไวเ้ ป็นหลกั ฐาน ถา้ บนั ทกึ ถอ้ ยคามหี ลายหนา้ ใหผ้ ูใ้ หถ้ อ้ ยคาลงลายมอื ชอ่ื กากบั ไวท้ กุ หนา้ (๕) ในบนั ทกึ ถอ้ ยคา หา้ มมใิ หข้ ูดลบหรอื บนั ทกึ ขอ้ ความทบั ถา้ จะตอ้ งแกไ้ ขขอ้ ความทไ่ี ดบ้ นั ทกึ ไว้ แลว้ ใหใ้ ชว้ ธิ ขี ดี ฆ่าหรอื ตกเตมิ โดยผูใ้ หถ้ อ้ ยคาและผูบ้ นั ทกึ ถอ้ ยคาจะตอ้ งลงลายมอื ช่อื กากบั ไวท้ ุกแห่งทม่ี ี การแกไ้ ข (๖) ในกรณีท่เี จา้ หนา้ ทไ่ี ม่ไปใหถ้ อ้ ยคาต่อคณะกรรมการ ป.ป.ท. ย่อมมโี ทษตามพระราชบญั ญตั ิ มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๖๒ ตอ้ งระวางโทษ จาคุกไม่เกนิ ๖ เดอื น หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ ๑๐,๐๐๐ บาท หรอื ทง้ั จาทง้ั ปรบั 38

บทท่ี ๖ สิทธิในการรบั ค่าตอบแทน การไปเป็นพยานตามหมายเรยี กของศาลเป็นการไปปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ใี นฐานะพลเมอื งของรฐั และ เป็นหนา้ ทซ่ี ง่ึ ไม่อาจขดั ขนื หรอื หลกี เลย่ี งไดเ้พราะมบี ทกาหนดโทษผูท้ ไ่ี ดร้ บั หมายเรยี กแลว้ ไม่ไปตามหมายเรยี กไว้ โดยไดแ้ ยกพจิ ารณาเป็น ๒ กรณี คือ (๑) กรณีทส่ี ว่ นราชการหรอื พนกั งานอยั การเป็นโจทกฟ์ ้องคดหี รอื สว่ นราชการตกเป็นจาเลยใน คดีทถ่ี ูกฟ้องและส่วนราชการหรอื พนกั งานอยั การไดอ้ า้ งขา้ ราชการหรือลูกจา้ งของทางราชการเป็นพยาน ในคดนี น้ั หรือการไปเป็นพยานในฐานะผูเ้ ช่ียวชาญหรือในฐานะท่เี ก่ียวกบั งานในหนา้ ท่รี าชการ ตามคาสงั่ ศาล ในกรณี เช่นน้ี ถอื ไดว้ ่าเป็นการไปปฏบิ ตั งิ านเพอ่ื ประโยชนข์ องทางราชการโดยส่วนรวมโดยตรง ใหถ้ อื เป็นการไปปฏบิ ตั ิ หนา้ ทร่ี าชการ (๒) กรณีท่ีบุคคลภายนอกไดอ้ า้ งขา้ ราชการหรือลูกจา้ งของทางราชการเป็นพยานในคดี นอกเหนือจาก (๑) ซ่งึ มิใช่เป็นกรณีท่ีเก่ียวกบั การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยตรง ใหผ้ ูบ้ งั คบั บัญชาอนุญาตใหไ้ ปตาม หมายเรยี กของศาลได้ โดยไมถ่ อื เป็นการไปปฏบิ ตั หิ นา้ ทร่ี าชการ และไมถ่ อื เป็นวนั ลา ในการดาเนินคดี พยานมสี ทิ ธทิ ่จี ะไดร้ บั ค่าตอบแทนและค่าใชจ้ ่ายตอบแทนในการมาให้ หรือ ไดใ้ หข้ อ้ เทจ็ จรงิ ต่อพนกั งานผูม้ อี านาจสบื สวน สอบสวน พนกั งานผูม้ อี านาจฟ้องคดี หรือศาล 39

สทิ ธใิ นการรบั ค่ายานพาหนะ ค่าป่ วยการพยาน ตามกฎหมายของสานกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดนิ เม่ือเจา้ หนา้ ท่ีไดร้ บั หมายเรียกใหไ้ ปใหถ้ อ้ ยคาหรือไปเป็ นพยานต่อพนักงานสอบสวน คณะกรรมการป้ องกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พนกั งานอยั การ ศาล หรือพนกั งานอ่ืนใดท่ีมี กฎหมายใหอ้ านาจเรียกใหบ้ ุคคลดงั กล่าวไปใหถ้ อ้ ยคาหรือไปเป็นพยานในงานของสานกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดิน ใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีผูน้ นั้ แจง้ ส่วนราชการทราบเพ่อื ส่วนราชการจะไดอ้ อกคาสงั่ ใหเ้ ดินทางไปราชการและ เบิกค่าใชจ้ ่ายในการเดินทางไปราชการตามระเบียบคณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดินว่าดว้ ยค่าใชจ้ ่ายในการ เดนิ ทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้ หากผูน้ นั้ เป็นอดตี เจา้ หนา้ ทข่ี องสานกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดนิ และมคี วามจาเป็นจะตอ้ งเดินทาง ไปใหถ้ อ้ ยคาหรอื ไปเป็นพยานต่อพนกั งานสอบสวน คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พนกั งานอยั การ ศาล หรอื พนกั งานอ่นื ใดทม่ี กี ฎหมายใหอ้ านาจเรยี กใหบ้ คุ คลดงั กลา่ วไปใหถ้ อ้ ยคาหรือไปเป็น พยานในงานของสานกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดิน ใหผ้ ูน้ นั้ แจง้ ใหส้ ่วนราชการเจา้ สงั กดั ท่เี คยรบั ราชการอยู่ก่อน ออกหรือพน้ จากราชการ เพ่ือใหส้ ่วนราชการน้ันมีคาสงั่ ใหบ้ ุคคลดงั กล่าวเดินทางไปราชการในฐานะ บคุ คลภายนอกทไ่ี ปปฏบิ ตั งิ านเพอ่ื ประโยชนข์ องทางราชการ โดยใหม้ สี ทิ ธิเบกิ ค่าใชจ้ ่ายในการเดนิ ทางเทยี บเท่า ตาแหน่งสุดทา้ ยก่อนเกษยี ณอายุราชการตามระเบยี บคณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดินว่าดว้ ยค่าใชจ้ ่ายในการ เดนิ ทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๖๐ ทงั้ น้ี ถา้ มีการเบิกค่าใชจ้ ่ายจากสานกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดินแลว้ หา้ มเบิกค่าใชจ้ ่ายจาก หน่วยงานอน่ื อกี 40

ค่าใชจ้ ่ายและค่าตอบแทนในการเป็ นพยานคดีอาญา ตามระเบยี บคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าดว้ ยค่าพาหนะ ค่าป่วยการ และค่าเช่าที่พกั แก่พยานซง่ึ มาศาลตามหมายเรยี กในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๖๑ กาหนดใหศ้ าลสงั่ จ่ายค่าป่วยการแก่พยานซง่ึ มา ศาลตามหมายเรยี กตามคาขอของคู่ความ ดงั น้ี (๑) พยานโจทกใ์ นคดซี ง่ึ พนกั งานอยั การเป็นโจทกห์ รอื คดีทม่ี ใิ ช่ความผดิ ต่อส่วนตวั ซง่ึ ผูเ้สยี หาย เป็นโจทก์ แต่ถา้ พยานนน้ั เป็นเจา้ หนา้ ท่ขี องรฐั และการมาเป็นพยานเป็นส่วนหน่ึงของ การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีหรือ สบื เน่ืองจากการปฏบิ ตั หิ นา้ ทใ่ี หอ้ ยู่ในดุลพนิ ิจของศาลว่าจะสงั่ จ่ายค่าป่วยการให้ หรอื ไม่ก็ได้ (๒) พยานโจทกใ์ นคดคี วามผดิ ต่อส่วนตวั ท่ผี ูเ้สยี หายเป็นโจทกห์ รอื พยานจาเลยใหอ้ ยู่ในดุลพนิ ิจ ของศาลว่าจะสงั่ จ่ายค่าป่วยการใหห้ รอื ไมก่ ไ็ ด้ ศาลจะกาหนดค่าป่วยการตามสมควรใหแ้ ก่พยานดงั กล่าว โดยคานึงถงึ สภาพแห่งคดี ระยะเวลา ทเ่ี บกิ ความ ตลอดจนรายได้ และฐานะโดยทวั่ ไปของพยาน แต่ไมใ่ หต้ า่ กว่าวนั ละ ๓๐๐ บาท และไม่เกินวนั ละ ๕๐๐ บาท และถา้ ศาลเห็นว่าขอ้ เทจ็ จริงท่พี ยานเบกิ ความมคี วามยุ่งยากซบั ซอ้ น ศาลอาจกาหนดค่าป่วยการ สูงกว่าอตั ราขนั้ สูงทก่ี าหนดไวก้ ็ได้ แต่ไมเ่ กินวนั ละ ๑,๐๐๐ บาท หมายเหตุ : พยานท่ไี ดร้ บั ค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง ค่าเช่าท่พี กั หรือค่าตอบแทน ในลกั ษณะ เดยี วกนั ตามกฎหมาย ขอ้ บงั คบั หรอื ระเบยี บอน่ื แลว้ ไมม่ สี ทิ ธไิ ดร้ บั เงนิ ตามระเบยี บน้ีอกี 41

ค่าใชจ้ ่ายและค่าตอบแทนในการเป็ นพยานคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ระเบยี บคณะกรรมการบริหารศาลยุตธิ รรม ว่าดว้ ยการจ่ายค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดนิ ทาง ค่าเช่า ทพ่ี กั และค่าใชจ้ ่ายแก่พยานบุคคลท่ศี าลเรียกมา บคุ คลซง่ึ มาใหถ้ อ้ ยคาบคุ คลหรอื คณะบคุ คลทไ่ี ดร้ บั แต่งตงั้ ใหป้ ฏิบตั ิหนา้ ท่ีและผูท้ รงคุณวุฒิหรือผูเ้ ช่ียวชาญในคดีทุจริตและประพฤติมิช อบ พ.ศ. ๒๕๖๑ ขอ้ ๔ กาหนดใหก้ ารจ่ายค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าเช่าท่ีพกั ใหแ้ ก่พยานบุคคลท่ีศาลเรียกมา ในชนั้ ไต่ สวนมูลฟ้องหรอื ในชน้ั พจิ ารณา และบุคคลซ่งึ มาใหถ้ อ้ ยคา ใหน้ าหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการท่กี าหนดในระเบียบ คณะกรรมการบรหิ ารศาลยุติธรรม ว่าดว้ ยการจ่ายค่าพาหนะ ค่าป่วยการ และค่าเช่าท่พี กั แก่พยานซง่ึ มาศาล ตามหมายเรียกในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๖๑ มาใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม ดงั น้ี พยานจึงมีสิทธิไดค้ ่าป่วยการตาม สมควรโดยศาลจะกาหนดค่าป่วยการโดยคานึงถงึ สภาพแห่งคดี ระยะเวลาท่เี บกิ ความ ตลอดจนรายได้ และ ฐานะโดยทวั่ ไปของพยาน แต่ไม่ใหต้ า่ กว่าวนั ละ ๓๐๐ บาท และไม่เกินวนั ละ ๕๐๐ บาท และถา้ ศาลเห็นว่า ขอ้ เทจ็ จรงิ ท่พี ยานเบกิ ความ มคี วามยุ่งยากซบั ซอ้ นสามารถกาหนดค่าป่วยการสูงกว่าอตั ราขนั้ สูงทก่ี าหนดไวก้ ็ได้ แต่ตอ้ งไม่เกนิ วนั ละ ๑,๐๐๐ บาท ในกรณีท่ีเจา้ หนา้ ท่ีสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินไดร้ บั แต่งตงั้ ใหเ้ ป็นผูเ้ ช่ียวชาญหรือ ผูท้ รงคุณวุฒิโดยศาล เพ่ือมาใหค้ วามเห็นประกอบการพิจารณาพิพากษาคดี มีสิทธิไดร้ บั ค่าป่ วยการ ค่าพาหนะเดินทาง ค่าเช่าท่พี กั และค่าใชจ้ ่าย ตามระเบยี บคณะกรรมการบรหิ ารศาลยุติธรรม ว่าดว้ ยการจ่าย ค่าป่วยการฯ ขอ้ ๖ โดยค่าป่วยการในกรณีท่ใี หค้ วามเหน็ ต่อศาลดว้ ยวาจาใหส้ งั่ จ่ายขน้ั ตา่ ครงั้ ละ ๒,๐๐๐ บาท ขน้ั สูงครง้ั ละ ๒๐,๐๐๐ บาท ในกรณีทารายงานความเหน็ เป็นหนงั สอื ต่อศาลใหจ้ ่ายขนั้ ตา่ คดีละ ๓,๐๐๐ บาท ขนั้ สูงคดลี ะ ๓๐,๐๐๐ บาท ถา้ ศาลเหน็ ว่าคดมี คี วามยุ่งยากซบั ซอ้ นหรอื ผูเ้ ช่ยี วชาญตอ้ งใชเ้วลาในการเบกิ ความ ต่อศาลหรอื จดั ทารายงานความเหน็ เป็นเวลานานศาลอาจกาหนดค่าป่วยการสูงกว่าอตั ราขน้ั สูงทก่ี าหนดไวก้ ็ได้ ทงั้ น้ี ตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการท่กี าหนดในขอ้ บงั คบั ประธานศาลฎกี าว่าดว้ ยผูเ้ช่ียวชาญของศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๐ มาใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม หมายเหตุ : พยานท่ไี ดร้ บั ค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง ค่าเช่าทพ่ี กั หรอื ค่าตอบแทน ในลกั ษณะ เดยี วกนั ตามกฎหมาย ขอ้ บงั คบั หรอื ระเบยี บอน่ื แลว้ ไมม่ สี ทิ ธไิ ดร้ บั เงนิ ตามระเบยี บน้ีอีก 42

ค่าใชจ้ ่ายและค่าตอบแทนในการเป็ นพยานคดีแพ่ง พยานในคดีแพ่ง จะไดร้ บั ค่าพาหนะและค่าป่วยการตามทก่ี าหนดไวใ้ นขอ้ บงั คบั ประธานศาลฎกี า วา่ ดว้ ยการจ่ายค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดนิ ทาง และค่าเช่าทพ่ี กั แก่พยานทศ่ี าลเรยี กมาเอง พ.ศ. ๒๕๖๐ (มผี ลใชบ้ งั คบั วนั ท่ี ๑ ธนั วาคม ๒๕๖๐) โดยศาลจะกาหนดค่าป่วยการตามสมควรใหแ้ ก่พยานทศ่ี าลเรยี กมาเอง โดยคานึงถงึ สภาพแห่งคดี ระยะเวลาทเ่ี บกิ ความ ตลอดจนรายไดแ้ ละฐานะโดยทวั่ ไปของพยาน แต่ไม่ใหเ้กินวนั ละ ๑,๐๐๐ บาท และมหี ลกั เกณฑ์ ใหศ้ าลมอี านาจสงั่ จ่ายค่าพาหนะเดนิ ทางและค่าเช่าทพ่ี กั แก่พยานทศ่ี าลเรยี กมาเอง ดงั น้ี (๑) ผูท้ ่ีเป็นขา้ ราชการ เจา้ หนา้ ท่ีของรฐั พนกั งาน หรือลูกจา้ งของราชการ ใหส้ งั่ จ่ายไดต้ าม หลกั เกณฑ์ และอตั ราค่าใชจ้ ่ายในการเดนิ ทางไปราชการตามกฎหมายหรอื ระเบยี บว่าดว้ ยการนน้ั (๒) บุคคลนอกจาก (๑) ใหส้ งั่ จ่ายไดโ้ ดยเทียบเท่ากบั ตาแหน่งขา้ ราชการศาลยุติธรรมประเภท วชิ าการระดบั ชานาญการพเิ ศษ ทงั้ น้ี การจ่ายเงนิ ศาลจะสงั่ จ่ายเม่อื พยานไดป้ ฏิบตั ิหนา้ ท่เี สร็จส้นิ และกรณีท่ีพยานมาตามนดั ของศาล แต่ไม่ไดป้ ฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยไม่ไดเ้ ป็นความผิดของพยาน ยงั คงมีสิทธิไดร้ บั ค่าป่วยการ ค่าพาห นะ เดนิ ทาง และค่าเช่าทพ่ี กั แก่พยานไดต้ ามทศ่ี าลเหน็ สมควรกาหนด แต่ไม่เกินอตั ราตามท่กี าหนดไวข้ า้ งตน้ และ ถา้ การไม่ไดป้ ฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีนนั้ เป็นเพราะความผิดของคู่ความฝ่ายใด ศาลอาจมีคาสงั่ ใหค้ ู่ความฝ่ ายนนั้ รบั ผิด ชาระเงนิ จานวนดงั กลา่ วแก่พยานทม่ี าศาลไดต้ ามทเ่ี หน็ สมควร หมายเหตุ : พยานทไ่ี ดร้ บั ค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทางหรอื ค่าเช่าทพ่ี กั ตาม กฎหมาย ขอ้ บงั คบั หรอื ระเบยี บอน่ื แลว้ ไมม่ สี ทิ ธิไดร้ บั เงนิ ตามขอ้ บงั คบั น้ีอกี 43

44

ภาคผนวก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook