อภิปรชั ญา โดย...พรหมพสิ ฐิ พนั ธจ์ นั ทร์ 1
อภปิ รัชญา ความเข้าใจเกี่ยวกบั อภิปรชั ญา แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกบั อภิปรชั ญา แนวคิดกล่มุ เทวนิยม แนวคิดกล่มุ สสารนิยม แนวคิดกล่มุ จิตนิยม แนวคิดกล่มุ ธรรมชาตินิยม 2
ความเข้าใจเก่ียวกับอภปิ รัชญาความหมาย“อภปิ รัชญา” แปลว่า ปรัชญาอนั ย่งิ หรือปรัชญาชัน้ สูงโดยได้แปลมาเพ่อื พยายามเทยี บเคยี งกบั คาว่า “อภธิ รรมปิ ฎก”ซ่งึ ภาษาองั กฤษคือ “Metaphysics”“Metaphysics” แปลว่า ส่งิ ท่มี าหลังฟิ สิกส์(Meta=หลัง/ภายหลัง, Phisics=ร่างกาย)ดงั นัน้ จงึ หมายถงึ ส่งิ ท่อี ย่นู อกเหนือร่างกายหรือส่งิ ท่ี ไม่อาจรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทงั้ 5) 3
ความเข้าใจเก่ียวกับอภปิ รัชญาอภปิ รัชญา ยังมีคาเรียกอกี อย่างหน่ึงว่า “ภววทิ ยา (Ontology)” แปลว่า วชิ าว่าด้วยความมีอยู่ (Being) อันหมายถงึ ความมี อยู่ของส่ิงท่เี หนือธรรมชาติ ซ่งึ ได้แก่ พระเจ้าน่ันเองอภปิ รัชญาจึงถอื เป็ นเนือ้ หาท่แี ท้จริงของปรัชญา ซ่งึ ว่าด้วยความจริงแท้ขัน้ สูงสุดหรือขัน้ สุดท้าย ไม่ว่าจะ เป็ นความแท้จริงเร่ืองโลก คน และภาวะเหนือธรรมชาติ 4
ความเข้าใจเก่ียวกับอภปิ รัชญาประเดน็ ปัญหาของปรัชญาปัญหาหลักๆ ของปรัชญา คอื จะพยายามศกึ ษาความแท้จริง (Reality) ซ่งึ มีประเดน็ ในการศึกษา 3 ประการคอื 1. ความแท้จริงคอื อะไร? อภปิ รัชญาจะตอบปัญหาข้อนี้ 2. เรารู้ความแท้จริงได้อย่างไร? ญาณวทิ ยาจะตอบ ปั ญหาข้ อนี ้ 3. เราพงึ ประพฤตติ นอย่างไร จงึ จะเหมาะสมกบั ความ แท้จริง? จริยศาสตร์จะตอบปัญหาข้อนี้ 5
ความเข้าใจเก่ียวกับอภปิ รัชญาประเดน็ ปัญหาของอภปิ รัชญา“ความแท้จริงคืออะไร?” อภปิ รัชญาจะแยกตอบออกเป็ น 3 ประเดน็ หลักๆ คือ 1. ปัญหาเก่ยี วกับความเป็ นจริงของโลกหรือจักรวาล (อภปิ รัชญาว่าด้วยเอกภพหรือธรรมชาติ) 2. ปัญหาเก่ยี วกับความเป็ นจริงของจติ หรือวญิ ญาณ (อภปิ รัชญาว่าด้วยจติ หรือวิญญาณ) 3. ปัญหาเก่ยี วกบั ความแท้จริงของพระเป็ นเจ้าหรือ ส่งิ สมบรู ณ์ (อภปิ รัชญาว่าด้วยพระเจ้าหรือ ปรัชญาเทวะ) 6
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มเทวนิยมความหมายเทวนิยม (Theism) คือ แนวคดิ ท่วี ่ามีเทพเจ้าย่งิ ใหญ่เพยี งองค์ เดียว ทรงอานาจครอบครองโลก และสามารถดลบันดาล ความเป็ นไปในโลกได้ส่วนวชิ าการศึกษาเก่ยี วกบั พระเจ้าจะเรียกว่า “เทววทิ ยา (Theology)” คอื วชิ าว่าด้วยพระเจ้าและความสมั พนั ธ์ ระหว่างพระเจ้ากบั โลก 7
อภปิ รัชญา: แนวคดิ กลุ่มเทวนิยมแนวคดิ เร่ืองเทวนิยมของพราหมณ์-ฮนิ ดูเทพเจ้าท่สี าคัญและย่งิ ใหญ่เรียกว่า “เทพตรีมูรต”ิ แปลว่า รูป สาม ถือเป็ นเทพเจ้าท่แี สดงให้เหน็ ถงึ ธรรมาธิษฐานท่วี ่า โลกอยู่คู่กบั สภาวธรรม 3 คือ การตงั้ ขนึ้ ดารงอยู่ และแตกสลาย 8
ววิ ัฒนาการของปรัชพญราะพพรราหหมมณ์-ฮนิ ดูในแต่ละยุค1เ.ทยพุคผดู้สกึ รด้าางบมรนรุษพย์ ์และสรรพส่ิงเชม่ือี 4เทพพกั เตจร้า์ หลายองค์ตามธรรมชาติ มหี งส์เป็ นพาหนะ2ม. ีพยุคระพชราะยเวาทคือ พระสุรัสวดีแบ่งเทพเจ้าออกเป็ น 3 กลุ่มคือ บนสวรรค์ ในอากาศ และบนพนื้ โลกมีการฆ่าสัตว์บชู ายัญเกดิ เทพเจ้าผู้สูงสุดเพยี งองค์เดยี ว คือ พระพรหม 9
วิวัฒนาการขพอรงะปวรษิ ัชณญุ า(พระาหนมารณา์ย-ฮณนิ ์)ดูในแต่ละยุค1เ.ทยพุคผดู้รกึ ักดษาาบแรลระพค์ ุ้มครองโลกให้เป็ นสุขเชอ่ือย่เูทท่เี พกษเจีย้ารหสลมาุทยรองมคีพ์ตราะมอธนรันรตมรชาาชตเิ ป็ นบลั ลังค์ มคี รุฑเป็ นพาหนะ2ม. กียาุครพอรวะตเวารทมาทงั้ หมด 10 ปาง และผ่านมาแล้ว 9 ปางแมบพี ่งรเทะชพาเจย้าอคออื กเพปร็ นะล3ักกษลมุ่มี คือ บนสวรรค์ ในอากาศ และบนพนื้ โลกมีการฆ่าสัตว์บชู ายัญเกดิ เทพเจ้าผู้สูงสุดเพยี งองค์เดยี ว คือ พระพรหม 10
ววิ ัฒนาการของปรัชญพารพะศราวิ หะมณ์-ฮนิ ดูในแต่ละยุค1เ.ทยพุคแดหกึ ่งดทาาบลรารยพล์ ้าง (อธรรม) และการฟ้อนราเชอ่ือย่เูทท่เี พขาเจไก้ารหลลาาสยอมงีโค์ตนาันมทธเี รปร็ นมพชาหตนิ ะ มศี ิวลงึ ค์เป็ นสัญลักษณ์ของพลังการสร้างสรรค์2ก. ลยาุคงพพรระะเนวทลาฎมีพระเนตรดวงท่ี 3แมบี ่ง4เทกรพเจ้าออกเป็ น 3 กลุ่มคือ บนสวรรค์ ในอากาศ มีพแรละชะาบยนาพคนื้ ือโลพกระอุมาเทวีมีการฆ่าสัตว์บชู ายัญเกดิ เทพเจ้าผู้สูงสุดเพยี งองค์เดยี ว คือ พระพรหม 11
“อะ” แทน พระศิวะ “อุ” แทน พระวษิ ณุ “มะ” แทน พระพรหม12
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มเทวนิยมแนวคดิ เร่ืองเทวนิยมของปรัชญาจีนโดยแท้จริงแล้ว นักปรัชญาจนี จะไม่ค่อยสนใจ (ไม่ค่อยเช่ือ) ใน เร่ืองเทพเจ้ามากนัก โดยจะสนใจแต่เร่ืองวิถีการปฏบิ ตั ิ เก่ยี วกบั ศลี ธรรมจริยธรรมเป็ นสาคญัอย่างไรก็ตาม ในยุคโบราณนัน้ ปรัชญาจีนก็มีแนว ความเช่ือในเร่ืองเทพเจ้ามาก่อนเช่นเดียวกนั นัน้ คอื ความ เช่ือในเร่ืองของ “เทยี น” หรือ “ฉางต่”ี 13
อภปิ รัชญา: แนวคดิ กลุ่มเทวนิยมแนวคดิ เร่ืองเทวนิยมของยวิ คริสต์ อสิ ลามศาสนายวิ คริสต์ อสิ ลาม ถอื เป็ นศาสนาท่มี ีต้นกาเนิดมาจากท่ี เดยี วกัน ดงั นัน้ จงึ เรียกกลุ่มศาสนานีว้ ่า “ชาวพระคัมภรี ์”พระเจ้าในศาสนายวิ เรียกว่า พระยะเวห์พระเจ้าในศาสนาคริสต์ เรียกว่า พระยะโฮวาห์พระเจ้าในศาสนาคริสต์ เรียกว่า พระอลั เลาะห์ทงั้ สามองค์ โดยแท้จริงกค็ ือ องค์เดียวกนั 14
อภปิ รัชญา: แนวคดิ กลุ่มเทวนิยมแนวคดิ เร่ืองเทวนิยมของยวิ คริสต์ อสิ ลามพระเจ้าถือเป็ นวญิ ญาณท่บี ริสุทธ์ิ ย่งิ ใหญ่ เป็ นอมตะ มีอานาจ เหนือทุกส่ิง รอบรู้ทกุ อย่าง สามารถดลบนั ดาลส่ิงต่างๆ ใน โลกนีไ้ ด้มนุษย์ต้องเคารพ เช่ือฟังและศรัทธาในพระเจ้า ด้วยการปฏบิ ตั ติ ามบทบญั ญัติ 10 ประการคนดใี นศาสนาคริสต์คอื คนท่หี วาดกลัวในพระเจ้า 15
อภปิ รัชญา: แนวคดิ กลุ่มเทวนิยมแนวคดิ เร่ืองเทวนิยมของยวิ คริสต์ อิสลามการสร้ างโลกของพระเจ้ า วนั ท่ี 1 สร้างแสงสว่าง วนั ท่ี 2 ท้องฟ้า วนั ท่ี 3 นา้ วันท่ี 4 ดวงอาทติ ย์ ฯลฯ วันท่ี 5 สัตว์ วันท่ี 6 มนุษย์คนแรก วนั ท่ี 7 พกั เหน่ือย 16
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มเทวนิยมแนวคดิ เร่ืองเทวนิยมของยวิ คริสต์ อสิ ลามการกาเนิดมนุษย์คนแรกพระเจ้า อาดมั (แผ่นดนิ ) อีวา (ชีวติ ) ทงั้ สองอยู่ในสวนเอเดน ละเมิดคาส่ัง จงึ ถกู สาปให้มาอยู่บนโลก แต่นัน้ มนุษย์ทุกคนจงึ มีบาปมาแต่กาเนิดสรุป ชีวติ ทกุ นามขนึ้ อยู่กบั พระเจ้า มนุษย์ถอื เป็ นภาพพมิ พ์หรือฉายาของพระเจ้า 17
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มเทวนิยมแนวคดิ เร่ืองเทวนิยมของยวิ คริสต์ อสิ ลามพระเจ้ าทรงสร้ างมนุษย์ ตามความเช่ ืออิสลาม 1. อัลเลาะฮทฺ รงสร้างมนุษย์จากดนิ 2. แล้วทรงเป่ าลมคอื รุฮ์ เข้าไป 3. รุฮ์ คอื ลมหายใจ จติ วญิ ญาณ สตปิ ัญญา ความรู้สึกมนุษย์จงึ มชี วี ติ เหนือกว่าสัตว์ทงั้ หลาย 18
อภปิ รัชญา: แนวคดิ กลุ่มเทวนิยมข้อพสิ ูจน์การมีอย่พู ระเจ้า (ตามความเช่ือของชาวคริสต์) 1. ข้อพสิ ูจน์ทางความเป็ นเหตุเป็ นผล 2. ข้อพสิ ูจน์ทางปฏบิ ตั นิ ิยม 3. ข้อพสิ ูจน์ทางประจกั ษ์นิยม 4. ข้อพสิ ูจน์ทางอันตวทิ ยา 5. ข้อพสิ ูจน์ทางภววทิ ยา 6. ข้อพสิ ูจน์ทางศีลธรรม 19
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มเทวนิยม แล้วนิสติ มองว่า พระเจ้าคืออะไร?คุณสมบตั ขิ องพระเจ้าเป็ นอย่างไร?จะพสิ ูจน์ความมีอยู่พระเจ้าได้ด้วยวธิ ี ใด? 20
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มเทวนิยมแนวคดิ เร่ืองพระเจ้าในพทุ ธปรัชญาพระเจ้าคืออะไร?พระเจ้ามีคุณลักษณะเป็ นอย่างไร?วธิ ีการพสิ ูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าเป็ นอย่างไร? 21
อภปิ รัชญา: แนวคดิ กลุ่มจติ นิยมความหมายจติ นิยม (Idealism) คือ กลุ่มท่มี องว่าความจริงแท้หรือ ความจริงสูงสุดคือจติ หรืออสสารท่มี ีอยู่นิรันดร ไม่เปล่ียนแปลงในทางจริยศาสตร์จะเรียกว่า “อุดมคตนิ ิยม” คือ กลุ่มท่มี องเหน็ เป้าหมายอันสูงส่งของชีวติ และพยายามจะเข้าถงึ เป้าหมายอันนัน้ ให้ได้ 22
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มจติ นิยมลักษณะท่วั ไปของจติ นิยม (จติ , อสสาร, วญิ ญาณ) 1. เนือ้ แท้ของโลกเป็ นอสสาร 2. อสสารหรือจติ มลี ักษณะเป็ นนิรันดร 3. อสสารหรือจติ มีโลกอสิ ระของตวั เอง 4. (คุณ)ค่าต่างๆ มีอยู่จริง 23
อภปิ รัชญา: แนวคดิ กลุ่มจติ นิยมวิวัฒนาการของจติ นิยมกลุ่มจติ นิยมววิ ัฒนาการมาจากปรัชญากรีกยุคโบราณ โดยเร่ิมท่ี ปาร์มีนิเดส อแนกซากอรัส เพลโตปาร์มีนิเดสมองว่า สัตหรือความมีอยู่ (Being) เป็ นส่งิ ท่ี เป็ นจริงสูงสุด ส่วนอสัตเป็ นส่ิงท่ไี ม่จริง (มายา) และ มีการเปล่ียนแปลง สัตถอื เป็ นส่ิงท่เี ป็ นอยู่ เช่นนัน้ ช่ัวนิรันดร ไม่เปล่ียนแปลงและแบ่งแยกไม่ได้ 24
อภปิ รัชญา: แนวคดิ กลุ่มจติ นิยมวิวัฒนาการของจติ นิยมอแนกซากอรัสมองว่า วัตถกุ ับจติ เป็ นส่ิงท่เี ท่ยี งแท้ แต่จติ ถอื เป็ นพลังท่มี ีคุณลักษณะพเิ ศษท่สี ามารถรู้ทกุ ส่ิงได้ ซ่งึ เขาเรียกจติ ว่า “มโน (Nous)” ซ่งึ ทาให้ส่งิ ต่างๆ เคล่ือนไหว ทาให้เกิดโลกขนึ้ มาแนวคิดทงั้ สองคนนีม้ ีลักษณะเป็ นจติ นิยม แต่กม็ ีบางกลุ่ม ท่มี องว่าแนวคดิ ทงั้ สองคนนีม้ ีลักษณะเป็ นทงั้ จติ นิยมและสสารนิยม 25
อภปิ รัชญา: แนวคดิ กลุ่มจติ นิยมวิวัฒนาการของจติ นิยมเพลโตมองว่า จติ มนุษย์เปรียบเสมือนสารถีท่ขี ับรถซ่ึง ได้แก่ร่างกาย ร่างกายอยู่ภายใต้การบังคับของจติเพลโตได้แบ่งจติ ออกเป็ น 3 ภาคในเร่ืองอุดมรัฐ คือ ภาคตัณหา (ชนชัน้ ราษฎร) ภาคนา้ ใจ (นักรบ) และ ภาคปัญญา (ชนชัน้ ปกครอง)นอกจากนีเ้ ขายังได้แบ่งโลกออกเป็ น 2 คือ โลกแห่งแบบ (มโนคต)ิ และโลกแห่งผัสสะ 26
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มสสารนิยมความหมายสสารนิยม (Materialism) คือ กลุ่มท่มี องว่าความเป็ นจริง หรือส่ิงแท้จริงสูงสุดเป็ นสสาร(วัตถุ) สสารเป็ นต้น กาเนิดของโลกและจักรวาลในทางจริยศาสตร์จะเรียกว่า “วัตถนุ ิยม” กลุ่มท่มี องเหน็ วัตถุเป็ นส่งิ ท่สี าคัญ เพราะสามารถอานวย ความสุขสูงสุดให้แก่ชีวติ ได้ 27
อภปิ รัชญา: แนวคดิ กลุ่มสสารนิยมลักษณะท่วั ไปของสสารนิยม1. สสารนิยมเป็ นเอกนิยม ซ่งึ มีลักษณะคอื เป็ นส่ิงครองท่ี เป็ นส่งิ ท่คี รองเวลา และเป็ นความเปล่ียนแปลงท่ี จะต้องเกิดและสามารถสัมผัสได้2. สสารนิยมยอมรับทฤษฏีอะตอม3. สสารนิยมยอมรับแนวความคดิ เร่ือง “การทอนลง”4. สสารนิยมถือว่าค่าเป็ นส่งิ สมมุติ5. สสารนิยมเหน็ ว่าจักรวาลอย่ใู นระบบจักรกล 28
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มสสารนิยมวิวัฒนาการของสสารนิยมสสารนิยมมีววิ ัฒนาการมาจากปรัชญากรีกยุคโบราณ เร่ิมตัง้ แต่ธาเลสเป็ นต้นมา โดยมีนักปรัชญาท่สี าคัญ ดังนี้ธาเลส เขามองว่า นา้ เป็ นธาตุแท้ๆของทกุ ส่ิงอแน๊กซมิ านเดอร์ เขามองว่า สสารหรือท่เี รียกว่าอนันต์เป็ นธาตุแท้ของทกุ ส่ิง ถอื เป็ นสารไร้รูปท่ยี งัไม่ได้แบ่งแยกไปเป็ นสสารชนิดใดๆเฮราคลิตุส เขามองว่า ไฟเป็ นปฐมธาตุ มีพลังในตนเองและแปรสภาพเป็ นอะไรกไ็ ด้ 29
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มสสารนิยมวิวัฒนาการของสสารนิยมเอ็มพโี ดเคลส เขามองว่า ปฐมธาตคุ ือ ดนิ นา้ ลม ไฟเดโมคริตสุ เขามองว่า ปฐมธาตุคืออะตอมหรือปรมาณู มีจานวนนับไม่ถ้วนและไม่สามารถแยกได้อีกฮอ็ บส์ (บดิ าแห่งจกั รกลนิยม) เขามองว่า ความเป็ นจริงมีแต่สสารท่มี ีพลังในตัวเอง ซ่งึ ถ่ายทอดจากส่งิ หน่ึงไปสู่ส่งิ หน่ึงตามหลักกลศาสตร์ ชีวติ คือเคร่ืองจักรกลท่สี ลับซับซ้อนและเป็ นไปตามกฎจักรกล ไม่มีการบังเอญิ 30
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มสสารนิยมสสารนิยมจะไม่เช่ือเร่ืองวิญญาณ พระเจ้า หรือถ้าเช่ือก็ จะเช่ือว่าจติ วญิ ญาณหรือพระเจ้านัน้ เป็ นสสารและ ต้องสามารถจับต้องได้เท่านัน้กลุ่มสสารนิยมจะสอดคล้องกับแนวคิดของ ลัทธิจารวากในอินเดียท่มี องว่า ชีวติ นีป้ ระกอบ ขนึ้ มาจากการประกอบกันของธาตทุ งั้ 4 เท่านัน้ ส่วนจติ วญิ ญาณเป็ นผลของธาตุทงั้ 4 นี้ โลกหน้าไม่มี บุญบาปไม่มี พระเจ้าไม่มี 31
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มธรรมชาตนิ ิยมความหมายธรรมชาตนิ ิยม (Naturalism) คือ กลุ่มท่มี องว่าส่ิง ธรรมชาตเิ ท่านัน้ เป็ นจริง ส่งิ ธรรมชาตเิ ป็ นบ่อเกดิ ของโลกและจักรวาลธรรมชาตนิ ิยมมีช่ือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า “สัจนิยม” ซ่งึ อยู่กลางๆ ระหว่างสสารนิยมกับจติ นิยม 33
อภปิ รัชญา: แนวคดิ กลุ่มธรรมชาตนิ ิยมลักษณะท่วั ไปของธรรมชาตนิ ิยม1. ส่ิงธรรมชาติ คือ ส่งิ ท่ดี ารงอยู่ในระบบของอวกาศและ เวลา โดยพระเจ้า จติ วญิ ญาณและโลกแห่งมโนคตถิ ือ ว่าไม่มีอย่จู ริง2. ส่งิ ธรรมชาติ ต้องเป็ นส่งิ ท่เี กดิ ขนึ้ และดบั ลงโดยมี สาเหตุและสาเหตุนัน้ กเ็ ป็ นส่ิงธรรมชาตดิ ้วย ซ่งึ จะต้องสัมผัสได้ด้วยประสบการณ์3. ส่งิ ธรรมชาตเิ ป็ นส่งิ ท่จี ริงสูงสุด มีลักษณะท่ี เคล่ือนไหวและเป็ นพลังงาน 34
อภปิ รัชญา: แนวคิดกลุ่มธรรมชาตนิ ิยมลักษณะท่วั ไปของธรรมชาตนิ ิยม4. ตวั มนุษย์จะมที งั้ ร่างกายและจติ วญิ ญาณซ่งึ มี ความสาคัญท่เี ท่าเทยี มกันและเป็ นจริงเท่ากัน เม่ือมนุษย์เกดิ ขนึ้ มากม็ ีจติ วญิ ญาณตดิ ตวั มาด้วย เม่ือตายลงทงั้ ร่างกายและจติ วญิ ญาณกจ็ ะดบั ไปด้วย ไม่มีอะไรเป็ นอมตะดังนัน้ ธรรมชาตนิ ิยมจงึ สนับสนุนวทิ ยาศาสตร์ และเป็ นไปตามวิทยาศาสตร์ 35
ขอบคณุ ครบั 36
จกั รวาลวิทยาในพทุ ธปรชั ญา โดย... พรหมพสิ ฐิ พนั ธจ์ นั ทร์
ทฤษฏีจักรวาลวทิ ยาในพทุ ธปรัชญาดาวเคราะห์ทงั้ 7 อย่หู ่างจากโลกถงึ 40 ปี แสง หรือ 235 ล้านล้านไมล์ (1 ปี แสงเท่ากับระยะทางท่แี สงจะเดนิ ทางในเวลา 1 ปีประมาณ 3 แสนกโิ ลเมตรต่อวินาท)ี หรือต้องใช้เวลากว่า 4 ล้านปี จากความเร็วของเคร่ืองบนิ เจต็
ทฤษฏีจักรวาลวทิ ยาในพทุ ธปรัชญาจกั รวาลวทิ ยา หมายถงึ วชิ าท่วี ่าด้วยโลกธาตุโดยขอบเขตท่ี กว้างไกลทงั้ เทศะและกาละ หรือแนวคดิ และทฤษฏีท่วี ่าด้วยการแสวงหาความจริงท่เี ก่ยี วกับ โลกและจกั รวาลในมติ ติ ่างๆแนวคดิ ท่วี ่าด้วยการกาเนิดของโลกและจักรวาลในมิตติ ่างๆ
ทฤษฏีจกั รวาลวทิ ยาในพทุ ธปรัชญาชาวกรีกโบราณเช่ือว่า โลกแบนอริสโตเตลิ มองว่า โลกกลมปโตเลมีเหน็ ด้วยกบั อริสโตเตลิ และเช่ือว่า โลกเป็ นศูนย์กลาง จักรวาลโคเปอร์นิคัสเสนอว่า โลกมไิ ด้เป็ นศนู ย์กลาง แท้จริงแล้วดวงอาทติ ย์เป็ นศูนย์กลางเคปเลอร์และกาลิเลโอส่องกล้องดแู ล้วเหน็ ว่า ดาวทกุ ดวง ไม่ได้โคจรรอบศูนย์กลางท่เี ป็ นโลกแต่อย่างใดนิวตนั มองว่า แรงโน้มถ่วงเป็ นสาเหตุทาให้โลกและ ดาวเคราะห์ต่างๆ โคจรรอบดวงอาทติ ย์
ทฤษฏีจักรวาลวทิ ยาในพุทธปรัชญาเซนต์ออกัสตนิ มองว่า เอกภพเกิดขนึ้ ราว 5,000 ปี ก่อน คศ. ทงั้ นีเ้ พ่อื ชีว้ ่า พระเจ้าเป็ นผู้สร้างโลกและมนุษย์น่ันเองเอ็ดวนิ ฮับเบลิ้ สังเกตเหน็ ว่า บรรดากาแล็กซ่ีท่อี ยู่ห่างไกลล้วน แต่กาลังเคล่ือนตัวออกจากโลก ซ่งึ เป็ นการอธิบาย เก่ยี วกับทฤษฏีบกิ๊ แบงไอน์สไตน์ก็มองว่า กาล-อวกาศมจี ุดเร่ิมต้นมาจากการระเบดิ ครัง้ ใหญ่นี้ (ในทฤษฏีสัมพทั ธภาพ)
ทฤษฏีจกั รวาลวทิ ยาในพุทธปรัชญาพระพุทธเจ้าไม่ได้เน้นสอนเร่ืองโลกและจกั รวาล เพราะไม่ได้ มุ่งพฒั นาตนเอง แต่เป็ นปัญหาเชงิ อภปิ รัชญาแต่กไ็ ด้ทรงแสดงไว้บ้างและพระอรรถกถาจารย์กม็ าขยายต่อจกั รวาล (น่าจะคอื กาแล็คซ่ี) มลี ักษณะกลมเหมอื นล้อรถ และมกี ารลุ่มลึกเหมอื นแอ่งจกั รวาลมมี ากมายนับไม่ถ้วนและมีขอบเขตไม่มที ่สี นิ้ สุดแสงของดวงจันทร์และพระอาทติ ย์จะเป็ นตัวกาหนดได้ว่า เป็ นเขตแดนของจักรวาลหน่ึงแต่ละจักรวาลจะมีดวงจันทร์ ดวงอาทติ ย์ ขุนเขาสิเนรุ และ ชมพทู วปี ฯลฯ อย่อู ย่างละหน่ึง
องค์ประกอบของจกั รวาลในพทุ ธปรัชญามีเขาสุเมรุเป็ นศนู ย์กลางจักรวาล (กาแลค็ ซ่ี)ดวงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ต่างๆ คอื เทหวตั ถุ หมุนเวยี นรอบเขาสุเมรุตามระดบั เขาสุเมรุจะเป็ นสวรรค์วมิ านชัน้ ต่างๆมีภเู ขาสัตบริภณั ฑ์ล้อมรอบเขาสุเมรุ เป็ นรูปวงแหวน 7 ลูกมีห้วงสมุทรล้อมรอบใต้ภเู ขาลงมาอีกเป็ นห้วงมหาสมุทรใหญ่ มที วปี 4 ทวีปแต่ละทวีปจะมีภมู ิ 4 ภมู ิทกุ จกั รวาลจะมีทงั้ หมด 31 ภมู ิ
องค์ประกอบของจกั รวาลในพทุ ธปรัชญาทวปี ทงั้ 4 ทวีป คอื1) อุตรกุรุทวปี ด้านทศิ เหนือ มนุษย์มใี บหน้าส่ีเหล่ียม (อายุ 1,000 ปี )2) บุพพวเิ ทหทวปี ด้านทศิ ตะวันออก มนุษย์มีใบหน้าตอนบนตัดโค้งมนลง (อายุ 700 ปี )3) อมรโคยานทวปี ด้านทศิ ตะวันตก มนุษย์มใี บหน้ากลม (อายุ 500 ปี )4) ชมพทู วปี ด้านทศิ ใต้ มนุษย์มีใบหน้ารูปไข่ (อายุขัยไม่แน่นอน)
1.ระบบสุริยะของเราเป็ นเพียงเสีย้ วหน่ึงในวงแหวนของกาแลค็ ซ่ที าง ช้างเผือกหรือเปล่า2.ในกาแลค็ ซ่ที างช้างเผือก ความน่าจะเป็ นจะมีระบบสุริยะอ่นื ๆแบบ เราในวงแหวนหรือไม่3.ถ้ามรี ะบบสุริยะอ่นื ๆ ในกาแลค็ ซ่ที างช้างเผือก ความน่าจะเป็ นไป คดิ ว่าจะมดี วงดาวท่มี ีส่ิงมีชีวติ เหมือนโลกเราหรือไม่4.ความเข้าใจท่วี ่ากาแลค็ ซ่ที างช้างเผือกคือจักรวาลเพราะมัน กว้างไกลมาก แต่แท้จริงแล้วมนั คอื กาแล็คซ่หี น่ึงๆจากหลายแสน กาแล็คซ่ใี ช่หรือไม่ครับ5.ศูนย์กลางกาแลค็ ซ่ที ่เี ป็ นแสงสว่างจ้าเป็ นวงรี น่ันคอื แกนกลาง กาแล็คซ่ี แล้วมนั มีอะไรเป็ นส่วนประกอบบ้างครับ ตอนแรกดนู ึกว่าดวงอาทติ ย์ของเรา แท้จริงไม่ใช่ ดวงอาทติ ย์ของ เราแค่ส่วนประกอบเท่านัน้ เอง
จักรวาลวทิ ยาในพุทธปรัชญา: ว่าด้วยโลกโลกคืออะไร?โลกคือ หมู่สัตว์โลกคอื แผ่นดนิโลกคอื สังขาร (การปรุงแต่งทางอารมณ์ต่างๆ)ดงั นัน้ “โลก” จงึ ครอบคลุมทงั้ ท่เี ป็ นนามธรรมและ รูปธรรม ส่งิ มีชีวติ และไม่มีชีวติโลกมลี กั ษณะกลมเหมอื นผลมะขามป้อมโลกมี 3 คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก
Search