Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การผลิตโคนมทวิภาคี 58

การผลิตโคนมทวิภาคี 58

Published by bandasakr, 2018-05-09 01:06:21

Description: การผลิตโคนมทวิภาคี 58

Search

Read the Text Version

หน่วยท่ี 1 สถานการณ์การผลติ และตลาดโคนมและการวางแผนการผลติจุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความสาคญั และบอกประโยชนข์ องการเล้ียงโคนมได้ 2. อธิบายสถานการณ์การผลิต และตลาด โคนมได้ 3. บอกแนวทางในการพฒั นาอาชีพการเล้ียงโคเน้ือ โคนมได้สาระการเรียนรู้1. ความสาคญั ของการเลยี้ งโค การเล้ียงโคในปัจจุบนั ยงั ทาใหเ้ กิดอาชีพต่อเน่ืองอีกมากมาย เช่น พอ่ คา้ ววั นักผสมเทียม นกั สัตวบาล ผจู้ าหน่ายหญา้ สด เป็ นตน้ โคเน้ือก็เป็ นสัตวท์ ่ีเล้ียงไวเ้ พื่อเป็ นอาหารของมนุษย์ ที่ราคาเน้ือโคและน้านมดิบคอ่ นขา้ งมีความมนั่ คงเม่ือเปรียบเทยี บสินคา้ เกษตรอ่ืน ๆ2. ประโยชน์ของการเลยี้ ง โคนมในประเทศไทย การเล้ียง โคนม เป็ นอาชีพหน่ึงที่สามารถใช้ประกอบเป็ นอาชีพหลกั และอาชีพรองไดเ้ ป็ นอยา่ งดีท้งั น้ีเพราะสาเหตุหลายประการ คือ 1. สภาพพ้นื ทปี่ ระเทศไทยเหมาะแก่การเล้ียงโคเพราะโคเป็ นสตั วเ์ ล้ียงงา่ ย 2. โคกินหญา้ และพชื ตระกูลถว่ั เป็ นอาหารทาใหต้ น้ ทุนการผลิตต่า 3 โคสามารถเล้ียงควบคู่กบั อาชีพอื่นได้ และยงั ใชแ้ รงงานจากโคได้ 4. การเล้ียงโคสามารถใชพ้ น้ื ทที่ ีป่ ลูกพชื อื่นไม่ไดใ้ หเ้ ป็นประโยชนไ์ ดม้ ากข้นึ 5.ราคาและน้านมดิบมีความมนั่ คง 6. ใชผ้ ลพลอยไดจ้ ากการเกษตรเป็นอาหารโคได้ เช่น ฟาง ยอดออ้ ย 7.มูลโคใชเ้ ป็นป๋ ุยไดเ้ ป็นอยา่ งดี 8. การเล้ียงโคนมช่วยลดการนาเขา้ ผลิตภณั ฑน์ มจากตา่ งประเทศ

2 ท่ีทากินเมล็ดพืช พชื น้ามนั พชื หวั ผลพลอยได้ ท่งุ หญา้ ธรรมชาติ พืชอาหารผลไม้ ถวั่ ผกั พชื น้าตาล จากการเกษตร ที่ปรับปรุงข้ึน สตั วอ์ ื่น ๆ ผลพลอยไดจ้ าก สารประกอบไนโตรเจน ป๋ ยุอุตสาหกรรมเกษตร ท่ีไม่ใช่โปรตีนแท้ เช่น ยเู รียผลพลอยไดท้ ่ี อาหารสัตวเ์ ค้ียวเอ้ือง มูลสตั ว์สามารถแปรรูป และรองพ้ืน โคเน้ือ โคนม กระบือ แพะ แกะ มูลสัตว์เน้ือ นม ขน หนงั กระดูก เขา ฯลฯ แรงงานอาหาร มนุษย์ พลงั งานเช้ือเพลิงภาพท่ี 1.1 การประสานประโยชนข์ องการปลูกพชื และการเล้ียงสตั วอ์ ยา่ งครบวงจรในระบบการทาฟาร์มทม่ี า: เมธา(2549)3. สภาพการเลยี้ งโคนมในประเทศไทย ในดา้ นการเล้ียงโคนม ช่วงแรกเป็ นการเล้ียงโคนมเป็ นชาวอินเดียหรือปากีสถาน ที่เล้ียงเพื่อบริโภคเองในเขตชานเมืองกรุงเทพฯ ต่อมาปี พ.ศ. 2495 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ไดน้ าเขา้ โคพนั ธุ์เจอร์ซี่ จากประเทศออสเตรเลีย จานวน 8 ตวั และในปี พ.ศ. 2495 กรมปศุสัตว์นาเข้าพันธุ์เรดซินด้ี จากประเทศปากีสถาน ปี พ.ศ. 2499 สมาคมเกษตรประเทศสหรัฐอเมริกาไดม้ อบโคพนั ธุบ์ ราวนส์ วสิ จานวน 48 ตวั ให้กรมปศสุ ัตวไ์ ดท้ ดลองเล้ียงและขยายพนั ธุ์ ในช่วงหลงั ปี พ.ศ. 2500 ท้งั เกษตรกรและเอกชนใหค้ วามสนใจ

3เร่ืองการเล้ียงโคนมมากข้ึน ในปี พ.ศ. 2503 รัฐบาลประเทศเดนมาร์คไดส้ ่งผูเ้ ชี่ยวชาญมาศึกษาและไดผ้ ลสรุปวา่ สามารถดาเนินการเล้ียงได้ จุดเปลี่ยนท่ีสาคัญทาให้การเล้ียงโคนมเกิดข้ึนอย่างจริ งจังในประเทศไทย สื บเน่ื องจากพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู ิพลอดุลยเดช ไดเ้ สดจ็ ประภาสประเทศเดนมาร์ค และพระเจา้ เฟรดเดริกท่ี 9 แห่งประเทศเดนมาร์ค ไดใ้ ห้การสนับสนุนจดั ต้งั ฟาร์มโคนมไทย - เดนมาร์คในวนั ที่ 16 มกราคม2505 ท่ีอาเภอมวกเหล็ก จงั หวดั สระบรุ ี โดยทางประเทศเดนมาร์คไดถ้ วายโคนมพนั ธุ์เรดเดนจานวน 40 ตวัแด่พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว พร้อมท้งั ส่งผเู้ ช่ียวชาญมาอานวยการเล้ียง การฝึ กอบรมใหเ้ จา้ หน้าท่ีและเกษตรกรไทย ในปี พ.ศ. 2514 ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์คเปล่ียนชื่อเป็ นองคก์ ารส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ( อ.ส.ค ) มีศูนยก์ ระจายอยทู่ กุ ภูมิภาค - ภาคเหนือ ไดแ้ ก่ จงั หวดั เชียงใหม่ - ภาคกลาง ไดแ้ ก่ จงั หวดั สระบรุ ี ราชบุรี ลพบรุ ี - ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ไดแ้ ก่ จงั หวดั ขอนแก่น - ภาคใต้ ไดแ้ ก่ จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ ทาใหป้ ระเทศไทยมีสองหน่วยงานหลกั คือ กรมปศสุ ตั วก์ บั อ.ส.ค. ทท่ี าหนา้ ท่ชี ดั เจนในการส่งเสริมการเล้ียงโคนม โดยมีแหล่งรบั น้านมดิบจากการรวมกลุ่มสหกรณ์ผเู้ ล้ียงโคนม อ.ส.ค. และศนู ยร์ วบรวบน้านมดิบเอกชน4. สถานการณ์การผลิตและการตลาด โคนมในช่วง 2549 และแนวโน้ม2550 4.1สถานการณ์การผลิต การตลาดโคนม ในช่วง 2550 1) สถานการณ์การผลติ ของโลกในปี พ.ศ.2550 คาดวา่ จานวนโคนมทีเ่ ล้ียงในประเทศผูผ้ ลิตท่สี าคญั 13 ประเทศ มีจานวนรวมกนั ประมาณ 125.069 ลา้ นตวั เพมิ่ ข้นึ จาก 124.091 ลา้ นตวั ของปี พ.ศ.2549 คิดเป็น 0.79 % ประเทศทม่ี ีการเล้ียงโคนมมากทีส่ ุด คือ ประเทศอินเดีย มีโคนมถึง 38.50 ลา้ นตวัรองลงมาไดแ้ ก่ สหภาพยโุ รป บราซิล รัสเซีย จีน และอเมริกา ตามลาดบั

4ตารางท่ี 1.1 จานวนโคนมในประเทศต่างๆ ท่ีสาคญัประเทศ 2546 2547 หน่วย : พนั ลา้ น 2550อินเดีย 36,500 37,000 2548 2549 38,500 38,000 38,000 22,340สหภาพยโุ รป 24,456 23,963 23,400 22,970 15,020 15,100 15,050 9,910บราซิล 15,300 15,200 10,400 9,900 9,300 6,800 8,100 9,120รสั เซีย 11,700 11,200 9,041 9,012 6,885 6,850 6,875 4,140จีน 4,466 5,466 3,970 4,100 2,180 2,100 2,150 1,950อเมริกา 9,083 9,012 2,041 2,045เมก็ ซิโก 6,800 6,800นิวซีแลนด์ 3,842 3,920อาร์เจนตินา 2,000 2,000ออสเตรเลีย 2,050 2,036ท่มี า : สานกั งานเศรษฐกิจการเกษตร (2550) ผลผลิตน้านมดิบในปี พ.ศ. 2550 ในประเทศผูผ้ ลิตท่ีสาคญั คาดว่ามีจานวนรวม 427.59 ลา้ นตวัเพ่มิ ข้ึนจาก 415.00 ลา้ นตวั ของปี พ.ศ. 2549 คิดเป็ น 3.03 % ประเทศท่ีมีผลผลิตน้านมดิบสูงท่ีสุด ไดแ้ ก่อเมริกา อินเดีย จนี รสั เซีย และบราซิล ตามลาดบั อัตราการให้นมของแม่โคในประเทศที่สาคญั ในปี พ.ศ. 2550 ประเทศท่ีสามารถเล้ียงโคนมได้น้านมในอตั ราเฉล่ียสูงทีส่ ุด คือ อเมริกา 9,370 กิโลกรัม/ตวั /ปี รองลงมาไดแ้ ก่ ญปี่ ่ ุน 9,040 กิโลกรมั /ตวั /ปีแคนาดา 7,430 กิโลกรัม/ตวั /ปี สหภาพยโุ รป 5,890 กิโลกรัม/ตวั /ปี ออสเตรเลีย 5,020 กิโลกรัม/ตัว/ปีอาร์เจนตินา 4,950 กิโลกรัม/ตวั /ปี และจนี 4,100 กิโลกรัม/ตวั /ปี ตามลาดบั ปริมาณการบริโภคนมของประเทศที่สาคญั ในปี พ.ศ. 2550 รวมกัน ประมาณ 167.87 ลา้ นตนัเพิม่ ข้ึนจาก 162.49 ลา้ นตนั ของปี พ.ศ. 2549 คิดเป็ น 3.31 % อินเดียเป็ นประเทศท่ีบริโภคมากที่สุด คือ41.88 ลา้ นตนั รองลงมาไดแ้ ก่ สหภาพยโุ รป 34.05 ลา้ นตวั สหรัฐอเมริกา 27.39 ลา้ นตวั และรัสเซีย 12.00ลา้ นตนั ตามลาดบั 2) สถานการณ์ในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2550 (1) การผลิตน้านมดิบ ในปี พ.ศ. 2550 ประมาณการวา่ การเล้ียงโคนม

5ท้งั หมด 502,000 ตวั เพ่ิมข้ึนจาก 429,304 ตวั ของปี พ.ศ. 2549 คิดเป็ น 1.97 % ผลผลิตน้านมดิบ 738,610ตนั ต่อปี หรือ 20,230 ตนั ต่อวนั เพ่ิมข้ึนจาก 683,896 ตนั ของปี พ.ศ.2549 คิดเป็ น 8.00 % อตั ราการให้นมของแม่โคเฉล่ีย 10.05 กิโลกรัมต่อวนั ต่ากวา่ อตั ราการให้นมของแม่โคเฉลี่ยในปี 2549 ซ่ึงมีอตั รา 10.65กิโลกรัมต่อวนั 5.63 % จากการที่ตน้ ทุนการผลิตสูงข้ึนมากต้งั แต่ปี พ.ศ. 2549 ต่อเนื่องมาถึงปี พ.ศ. 2550ส่งผลเกษตรกรหลายรายเลิกเล้ียงโคนม ทาให้จานวนแม่โคและจานวนลดลงในช่วงเวลาดังกล่าว จนไม่เพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการ ประกอบกบั ในช่วงเวลาดงั กล่าวผลิตภณั ฑน์ มผงทนี่ าเขา้ มีราคาสูงข้ึนมากและหาซ้ือไดย้ ากข้ึน ทาใหม้ ีการแข่งขนั การรับซ้ือน้านมดิบมาใชแ้ ทนนมผง ส่งผลใหร้ าคาน้านมดิบขยบั ตวั สูงข้ึนในขณะเดียวกนั มีการปรับราคากลางรับซ้ือน้านมดิบหนา้ โรงงาน เพือ่ ให้เหมาะสมกบั ตน้ ทุนการผลิตในปีพ.ศ. 2550 จากกิโลกรัมละ 12.50 บาท เป็ น 14.50 บาท จึงเป็ นแรงจูงใจให้เกษตรกรกลับมาเล้ียงโคนมเพิ่มข้ึน แต่อยา่ งไรก็ตามแมเ้ กษตรกรจะตอ้ งการเพ่ิมผลผลิตมากเพียงใดก็ตามก็ไม่สามารถเพิ่มได้มากในระยะเวลาอนั ส้นั ปริมาณน้านมดิบทสี่ ่งเข้าโรงงาน - มีจานวนประมาณ 656,540 ตนั คิดเป็ น 96% ของปริมาณที่ผลิตท้งั หมดต่ากวา่ ปริมาณส่งเขา้ โรงงานในปี พ.ศ. 2549 ซ่ึงมีจานวน 744,935 ตนั แหล่งทเี่ ลยี้ งโคนมท่ีสาคญั - ภาคกลาง ได้แก่ จังหวดั ราชบุรี สระบุรี ลพบุรี ประจวบคีรีขนั ธ์ นครปฐม สระแก้วเพชรบุรี สุพรรณบุรี และชลบรุ ี - ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ได้แก่ นครราชสีมา หนองคาย ขอนแก่น อุดรธานี และสกลนคร ภาคเหนือ ไดแ้ ก่ เชียงใหม่ และเพชรบูรณ์ - ภาคใต้ ไดแ้ ก่ พทั ลุง า และสงขลา ผู้รับซื้อนานมดิบทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ - องคก์ ารส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) - สหกรณ์โคนม - ศนู ยร์ วบรวมน้านมดิบของเอกชนและโรงงานผลิตภณั ฑน์ ม โดยเกษตรกรจะส่งน้านมดิบให้แก่สถาบนั ที่ตนเป็ นสมาชิก หรือท่ไี ดท้ าสญั ญาตกลงซ้ือขายกนั ได้ ซ่ึงปัจจบุ นั มีศูนยร์ วบรวมน้านมดิบอยปู่ ระมาณ 104 ศูนย์

6ตารางที่ 1.4 ปริมาณโคนมเพศเมียน้านมดิบท่ผี ลิตท้งั หมดและทีส่ ่งเขา้ โรงงาน จานวนโคนมเพศเมียปลายปี (ตวั ) น้านมดิบ (ตัน) ปี ลูกโค โคสาว แม่โค รวม ผลผลิต ส่งโรงงาน ท้งั หมด 2546 โคท้อง 731,923 702,646 2547 842,611 808,905 2548 88,422 87,238 265,827 441,487 888,220 852,690 2549 775,976 744,935 2550 95,048 101,336 296,472 492,856 683,898 656,540อัตราเพ่ิม (%) 99,240 108,670 310,085 517,995 0.42 0.42 96,582 105,409 291,965 492,304 102,000 112,440 287,560 502,000 9.04 1.36 4.29 4.16ท่ีมา : สานกั งานเศรษฐกิจการเกษตร(2551) (2) ต้นทนุ การผลติ ตน้ ทนุ การผลิตน้านมดิบส่วนใหญข่ ้ึนอยกู่ บัค่าอาหารขน้ ท่ีใชเ้ ล้ียงแม่โค ถึงประมาณ 40 % ของตน้ ทุนการผลิตท้งั หมด นอกจากน้ียงั ข้ึนอยกู่ บั ปริมาณน้านมดิบของแม่โคแต่ละวนั ดว้ ย โดยท่ีปริมาณน้านมดิบของแม่โคยง่ิ มากเท่าใด ตน้ ทุนการผลิตก็ยงิ่ ลดลงเป็นปฏิภาคกลบั กนั ในปี พ.ศ. 2550 มีตน้ ทุนการผลิตน้านมดิบเฉล่ียกิโลกรัม 12.31 บาท เพมิ่ ข้ึนจาก 10.60บาท ในปี พ.ศ. 2549 คิดเป็น 16.13 % ซ่ึงนบั ว่าเพ่มิ ข้ึนค่อนขา้ งมาก ท้งั น้ีเพราะราคาอาหารขน้ เพม่ิ ข้ึนจาก7.11 บาทต่อกิโลกรัมของปี พ.ศ. 2549 เป็ น 7.83 บาทตอ่ กิโลกรัมในปี พ.ศ. 2550 หรือ เพ่ิมข้ึน 10.13 %แต่อตั ราการใหน้ มกลบั ลดลงจาก 10.65 กิโลกรัม/ตวั /วนั เป็ น 10.15 กิโลกรัม/ตวั /วนั หรือลดลง 5.63 % จึงยง่ิ เป็ นตวั เสริมใหต้ น้ ทุนการผลิตสูงข้ึนไปอีก

7ตารางที่ 1.5 ตน้ ทนุ การผลิตและราคาต้นทนุ น้านม ราคาเกษตรกร ราคา ราคาอาหาร อัตราการให้ปี ดบิ (บาท/กก.) ขายได้(บาท) หน้าโรงงาน ข้น(บาท/กก.) นมของแม่โค (บาท/กก.) (กก./ตัว/วนั )2546 8.20 11.35 12.50 6.16 10.502547 8.51 11.38 12.50 6.67 11.382548 9.16 11.48 12.50 6.81 11.602549 10.60 11.50 12.50 7.11 10.652550 12.31 12.55 13.58 7.83 10.05ที่มา : สานกั งานเศรษฐกิจการเกษตร(2550) 4.2.2 สถานการณ์การตลาด 1) การบริโภคน้านมการบริโภคน้านมตอ่ ประชากร ในปี พ.ศ. 2527 ไทยมีสถิติการบริโภคน้านมเพียง 2 ลิตรตอ่ คนต่อปี ขณะท่ปี ระเทศสหรัฐอเมริกามีอตั ราการบริโภคนม 131 ลิตร/คน/ปี และญี่ป่ นุ 40 ลิตร โครงการรณรงคเ์ พอ่ื การบริโภคน้านมท่ีรัฐบาลต้งั ข้ึนจึงมีเป้าหมายใหค้ นไทยได้การบริโภคน้านมเพิ่มเป็ น 7 ลิตร/คน/ปี ในปี พ.ศ. 2532 และมีแนวโนม้ เพิ่มข้ึนเรื่อย ๆในปี พ.ศ. 2550 คนไทยมีการบริโภคนมพร้อมดื่มรวม 917,360 ตนั เพม่ิ ข้ึนจาก 856,150 ตนั ของปี 2549 คดิ เป็น 7.15 % หรือเฉล่ียประมาณคนละ 14.19 ลิตร/ปี แม้จะมีโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน และโครงการรณรงคใ์ ห้ประชาชนบริโภคนมมากข้ึนก็ตาม ปริมาณการบริโภคนมพร้อมดื่มก็ยงั เพิ่มได้ไม่มากนัก ท้งั น้ีเพราะมีเคร่ืองด่ืมชนิดอ่ืนที่เขา้ มามีส่วนแบ่งทางการตลาดจานวนมาก เช่น นมถว่ั เหลือง ชาเขียว น้าผกั น้าผลไม้เป็ นตน้ 2) การนาเข้าผลิตภณั ฑ์นมประเทศไทยนาเขา้ นมและผลิตภณั ฑน์ มต่าง ๆในแต่ละปี เป็ นจานวนกวา่ แสนตนั มูลค่ากว่าหม่ืนลา้ นบาท โดยมีนมผงขาดมนั เนยเป็ นผลิตภณั ฑน์ มนาเขา้ ที่สาคญั และยงั คงมีสัดส่วนการนาเขา้ สูงกว่าผลิตภณั ฑน์ มนาเขา้ อื่น ๆ คือ ประมาณ 35 % ของปริมาณนมท้งั หมด ท้งั น้ีเพราะสามารถนามาใช้ประโยชน์ได้หลายอยา่ ง เช่น ผลิตนมพร้อมด่ืม โยเกิร์ต นมขน้ไอศกรีม ลูกหวาน ช็อคโกแลต ผลิตภณั ฑ์เบเกอรี่ต่าง ๆ และอาหารสัตว์ เป็ นตน้ สาหรับปี พ.ศ. 2550นาเขา้ ผลิตภณั ฑ์นมท้งั หมด 163,027 ตนั มูลค่า 16,210,822 ล้านบาทและเป็ นนมผงขาดมันเนยจานวน56,940 ตนั มูลคา่ 7,459 ลา้ นบาท

8 3) การส่ งออกผลิตภัณฑ์นมประเทศไทยส่งออกผลิตภณั ฑ์นมหลายชนิดสินคา้ส่งออกส่วนมากมีสภาพเป็นครีมหรือนมผงในรูปของเหลวหรือขน้ เติมน้าตาล เนยท่ีไดจ้ ากนม นมผงขาดมนัเนย นมขน้ หวาน นมเปร้ียว โยเกิร์ต เป็ นตน้ ซ่ึงเป็ นการส่งออกไปยงั ประเทศใกลเ้ คียง เช่น ลาว กมั พชู าพม่า สิงคโปร์ ฮ่องกง และฟิลิปปิ นส์ เป็นตน้ นมผงขาดมนั เนย กล่าวคือในปี พ.ศ. 2550 มีการส่งออกไป1,548 ตนั มูลค่า 58 ลา้ นบาท ส่วนผลิตภณั ฑน์ มอื่น ๆ มีการส่งออกรวมกนั 85,772 ตนั มูลคา่ 3,528 ลา้ นบาท รวมผลิตภณั ฑน์ มส่งออกท้งั หมด 87,320 ตนั มูลค่า 3,609 ลา้ นบาทตารางที่ 1.6 ความตอ้ งการน้านมดิบ ผลผลิตนมพรอ้ มดื่ม และอตั ราการบริโภค หน่วย : ตนั ความ นานมดิบส่ง นา้ นมดิบ ผลผลิตนม การบริโภค อตั ราการปี ต้องการ เข้าโรงงาน ส่วนทข่ี าด พร้อมด่ืม นมพร้อม บริโภคนม น้านมดบิ ด่ืม พร้อมดื่ม กก./คน/ปี2545 679,740 633,885 45,855 660,500 651,910 10.192546 703,510 702,646 864 683,600 674,700 10.462547 796,120 808,905 -12,785 773,582 763,526 12.032548 833,350 852,690 -46,150 809,760 799,078 12.632549 892,700 744,935 147,765 867,420 856,150 13.362550 956,500 656,540 299,960 929,432 917,360 14.00อัตราเพิ่ม 6.69 0.42 - 6.69 6.69 6.18(%)ท่ีมา : สานกั งานเศรษฐกิจการเกษตร (2551)

9 หน่วยที่ 2 พนั ธ์ุและการผสมพนั ธ์ุโคนม1. การจดั หมวดหมู่ของโคโคเป็ นสัตว์กีบคู่ อยใู่ นตระกูลโบวิด้ี (Bovidae) เป็ นสัตวก์ ระเพาะรวม มีกระเพาะอาหาร 4 กระเพาะ มีความสามารถพเิ ศษคือ สามารถสารอกอาหารซ่ึงกลืนเขา้ ไปแลว้ ออกมาเค้ียวใหม่ไดด้ งั น้นั จึงเรียกโควา่ เป็ นสตั วเ์ ค้ยี วเอ้ือง (Ruminant) มีเขากลวง มีช่ือวา่ Genus วา่ Boss เช่นเดียวกนั กบั กระทิง ววั แดง ไบซัน และกระบือ ตามตารางที่ 2.1ตารางที่ 2.1การจดั หมวดหมู่ทางสตั ววทิ ยาของโค ลาดับ Animalia สัตว์ไฟลมั (phylum) Chordata สตั วม์ ีกระดูกสนั หลงัช้นั (Class) Mammalia สตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนมลาดบั (order) Artiodactyra สตั วท์ ี่มีกีบเทา้ คู่ตระกลู (family) Bovidae สตั วก์ ระเพาะรวม เค้ียวเอ้ือง เขากลวงสกลุ (genus) Bos กินอาหารหยาบเป็นหลกั มี 4 เทา้ ขนาดใหญ่ชนิด (species) สตั วใ์ นสกลุ น้ี มีหลายชนิด Genus species ไดแ้ ก่ โค กระบอื แกะ แพะ โคยโุ รป Bos taurus โคอินเดีย Bos indicusที่มา: ธาตรี ( 2548)โคเน้ือและโคนม ที่ทาการเล้ียงอยใู่ นประเทศไทย สามารถแยกไดเ้ ป็ น 2 กลุ่ม ดงั น้ี1.โคยโุ รปหรือ โคเมืองหนาว (Bos taurus)2. โคอนิ เดีย หรือโคเมืองร้อน (Bos indicus)โคท้งั 2 กลุ่มน้ี มีลกั ษณะที่แตกตา่ งกนั อยา่ งเห็นไดช้ ดั ตารางที่ 2.2

10ตารางท่ี 2.2 ลกั ษณะที่แตกต่างกนั ของโคยโุ รปและโคอินเดีย ลกั ษณะพจิ ารณา โคอินเดยี โคยุโรป มีตะโหนกใหญ่ ไม่มีตะโหนกตะโหนก หยอ่ นยานเห็นชดั เจน ไม่มีเหนียงคอท่ชี ดั เจนเหนียงคอ ขนาดใหญ่ หนารูปร่าง สูงโปร่งแนวสนั หลงั ตรง โคง้ผวิ หนงั กระชบัขน ยาว ไม่กระชบัการทนรอ้ น โรคและ แมลง ไม่ดี ส้นัการเจริญเตบิ โต ดีที่มา : กรมอาชีวศึกษา (2540) ดี ไม่ดีโคอินเดียจะมีตะโหนกใหญ่ ส่วนโคยโุ รปจะไม่มีตะโหนก โคอินเดียจะเล้ียงง่าย ทนต่อความร้อน ทนต่อโรคและแมลง แต่อตั ราการเจริญเติบโตไม่ค่อยดีนกั ส่วนโคยโุ รปจะไม่ทนตอ่ ความร้อน ไม่ทนต่อโรคและแมลง แต่ถา้ การเล้ียงและการจดั การดีโคยโุ รปจะมีโครงร่างใหญ่กว่าโคอินเดียและมีอตั ราการเจริญเติบโตดีกวา่ โคอินเดีย ดงั น้นั เม่ือโคท้งั 2 กลุ่ม มีขอ้ ดีขอ้ เสียแตกตา่ งกนั จงึ มีการผสมพนั ธุโ์ คยโุ รปและโคอินเดียเขา้ดว้ ยกนั เพอื่ หวงั วา่ ลูกท่เี กิดมาจะมีลกั ษณะที่ดีของท้งั 2 กลุ่ม อยใู่ นตวั เดียวกนั ทาใหเ้ กิดมีโคเน้ือลูกผสมข้ึนซ่ึงปัจจบุ นั โคเน้ือลูกผสมเหล่าน้ี ไดน้ ามาทาการขนุ และส่งขายใหต้ า่ งประเทศ นารายไดเ้ ขา้ ประเทศ

11ภาพที่ 2.1 โคพนั ธุอ์ เมริกนั บราหม์ นั (โคอินเดีย) ภาพที่ 2.2 พนั ธุโ์ คซิมเมนทอล (โคยโุ รป)ทมี่ า: กรมปศสุ ตั ว์ (2549) ที่มา: กรมปศสุ ตั ว์ (2549)2. พันธ์ุโคนม2.1 โคนมพนั ธ์ุแท้2.1.1 พนั ธ์ุโฮสไตน์ ฟรีเซียน (Holstein friesian)ถิ่นกาเนิด ประเทศฮอลแลนด์ สี สีขาว - ดา จงึ มีช่ือหน่ึงวา่ Black and White ขนาดเพศเมีย หนกั 560 - 715 กิโลกรัม เพศผูห้ นกั 800 - 1,000 กิโลกรมั ลักษณะท่วั ไป เป็นโคนมพนั ธุข์ นาดใหญ่ กินจุ เตา้ นมใหญ่ ศรีษะค่อนขา้ งยาวแคบและตรง ตน้ ขาแขง็ แรงและตรง เขาโคง้ มาขา้ งหนา้ การให้นมใหน้ มเฉลี่ยปี ละ 6,000 - 7,000 กิโลกรมั ตอ่ ระยะการใหน้ ม(305 วนั ) ไขมนั นม 3.5 - 3.7%จงึ นิยมนามาใชใ้ นการผลิตนมสดพร้อมด่ืมภาพที่ 2.3โคพอ่ พนั ธุโ์ ฮลสไตน์ ฟรีเชี่ยน ภาพท่ี 2.4โคแม่พนั ธุโ์ ฮลสไตน์ ฟรีเช่ียนที่มา:ก2ร.3ม.2ปพศันสุ ธตั ์ุบวร์ (า2ว5น49์ส)วสิ (Brown Swiss) ที่มา:กรมปศุสตั ว์ (2549)2.1.2พนั ธ์ุบราวน์สวสิ (Brown Swiss)

12ถ่นิ กาเนิด ประเทศสวสิ เซอร์แลนด์ สี น้าตาลอ่อนจนถึงน้าตาลเขม้ เกอื บดา และบริเวณตามแนวหลงั ปาก และเตา้ นมมีสีจางกวา่ สีอ่ืนและบริเวณกีบเทา้ พหู่ าง คอ และไหล่จะมีเขม้ มากกวา่ ส่วนอ่ืน ขนาด เป็ นโคขนาดใหญ่ และใหเ้ น้ือท่ีมากท่ีสุดในบรรดาโคนมดว้ ยกนั เพศเมียน้าหนกั ประมาณ535-625 กิโลกรมั เพศผนู้ ้าหนกั เฉลี่ย 715 กิโลกรมั ข้นึ ไป ลกั ษณะทั่วไปค่อนขา้ งใหญเ่ จา้ เน้ือ เพศเมียโครงกระดูกใหญ่ หวั ใหญ่แบนหนา หนงั บริเวณเหนียงคอหลวมหยอ่ นยานกวา่ โคพนั ธุอ์ ื่นๆ เขาพงุ่ ตรงไปขา้ งหนา้ หูใหญ่และกวา้ ง การให้นม ใหน้ มเฉล่ีย 4,900 กิโลกรัมต่อระยะการใหน้ ม ไขมนั นมเฉล่ีย4.1% ภาพที2่ .5 โคพนั ธุบ์ ราวน์สวสิ ที่มา: www.brownswissusa.com/ 2.1.3 พนั ธ์ุเจอร์ซี่ (Jersey)ถิ่นกาเนิด จากเกาะเจอร์ซี่ ในประเทศองั กฤษ สี มีสีต่างๆ สีเทาปนเหลือง หรือเทาปนน้าตาล จนถึงเกือบดา บางตวั อาจมีจุดขาวปนบา้ ง ขนาด เป็นโคขนาดเล็กทีส่ ุด เพศเมียน้าหนกั ประมาณ 360-492 กิโลกรัม เพศผนู้ ้าหนกั ประมาณ 535-715 กิโลกรัม ลกั ษณะทั่วไป เป็นโคที่มีลกั ษณะสวยงาม เพศเมียจะมีสนั หลงั เป็นแนวตรง สะโพกไดร้ ะดบั สวยงามเตา้ นมขนาดใหญ่ไดส้ ัดส่วนตามแบบฉบบั ของเตา้ นมท่ีดี เอ็นหรือผนังร้ังเตา้ นมไม่หย่อนยานหรืออ่อนหนา้ ผากกวา้ ง ดวงตาแจม่ ใสเป็ นประกาย การให้นม ใหน้ มเฉล่ีย 3,720 กิโลกรมั ตอ่ ระยะการใหน้ ม ไขมนั นมเฉลี่ย 5.1%

13 ภาพที่ 2.6โคพนั ธุเ์ จอร์ซ่ี2.1.4โคพันธ์ุเรด ที่มา:www. schindlerauction.com เดน (Red Dane)ถน่ิ กาเนิดประเทศ เดนมาร์กสี สีแดงเขม้ ท้งั ตวัขนาด เพศเมียน้าหนกั ประมาณ 357-580 กิโลกรัม เพศผนู้ ้าหนกั เฉลี่ย 490-760 กิโลกรมัลักษณะทว่ั ไป เป็ นโคทม่ี ีขนาดใหญ่ ค่อนขา้ งเจา้ เน้ือ เป็ นท้งั โคเน้ือและโคนม ถา้ ไม่รีดนมจะใหเ้ น้ือมาก สามารถเล้ียงใหอ้ ว้ นเพอ่ื ขายเป็นโคเน้ือไดง้ า่ ยการให้นม ใหน้ มเฉลี่ย 4,500 กิโลกรัมต่อระยะการใหน้ ม ไขมนั นมเฉลี่ย4 % ภาพท่ี 2.7โคพนั ธุเ์ รดเดน ท่ีมา : www.dld.go.th/

14 2.1.4 เกิร์นซ่ี (Guernsey)ถิ่นกาเนิด เกาะเกิร์นร์ซี่ ประเทศองั กฤษ สี สีน้าตาลออ่ น บริเวณหนา้ ผาก ซอกขา และพหู่ างจะมีสีขาว ท่ีจมูกและเทา้ จะมีสีครีม ผวิ หนงั มีสีเหลือง ขนาด เพศเมียน้าหนกั ประมาณ 357-580 กิโลกรัม เพศผนู้ ้าหนกั ประมาณ 490-760 กิโลกรัม ลักษณะท่วั ไป เป็ นโคขนาดกลาง ไหล่กวา้ งเทอะทะ ความจขุ องทอ้ ง นอ้ ย คอ่ นขา้ งปราดเปรียววอ่ งไว แตอ่ ารมณ์ประสาทดีมาก สะดวกในการดูแล การให้นม ใหน้ มเฉล่ีย 4,100 กิโลกรมั ต่อระยะการใหน้ ม ไขมนั นมเฉล่ีย 4.9% 2.1.5 พันธ์ุแอร์ไชร์ (Ayrshire)ถิ่นกาเนิด ประเทศสก๊อตแลนด์ สี สีแดงกบั ลายจุดขาว หรือสีขาวกบั ลายจุดแดงก็ได้ ขนาด โคค่อนขา้ งใหญ่มีขนาดโตกวา่ โคพนั ธุเ์ กิร์นซี่ ลักษณะท่ัวไป เป็ นโคนมพนั ธุ์สวยงามแนวสันหลงั ตรงและแข็งแรง สะโพกไดร้ ะดับ เตา้ นมรูปร่างสวยงามไดส้ ดั ส่วน เอน็ หรือผนงั ร้งั เตา้ นมแขง็ แรง เขายาวเหยยี ดตรงข้นึ ขา้ งบนและโนม้ ไปขา้ งหนา้ เล็กนอ้ ย การให้นม ใหน้ มเฉลี่ย 4,600 กิโลกรัมตอ่ ระยะการใหน้ ม ไขมนั นมเฉล่ีย 4% 2.1.6 พนั ธ์ุเรดซินดิ (Red Sindhi)ถนิ่ กาเนิด ประเทศปากีสถาน สี สีแดง บางตวั แดงอ่อนเกือบสีเหลือง อาจมีจุดหรือด่างขาวท่เี หนียงคอ และหนา้ ผาก ขนาด เพศเมีย น้าหนกั ประมาณ 320-400 กิโลกรมั เพศผนู้ ้าหนกั ประมาณ 430-600 กิโลกรมั ลกั ษณะทัว่ ไป เป็ นโคขนาดเลก็ โดยทวั่ ไปรูปร่างจะลึก แน่นหนาบ้นั ทา้ ยกลม และลาดโคง้ หนา้ ผากกวา้ งใหญ่ เขาแบะออกจากกนั หูรูปใบหอกยาวปานกลางและพบั ตก หนงั หยอ่ นและหลวมมาก เตา้ นมใหญ่ค่อนขางหยอ่ นยาย หวั นมค่อนขา้ งโตขอ้ เสียของโคพนั ธุ์น้ี คือ ในการให้นม ตอ้ งใหล้ ูกกระตุน้ เร้าให้แม่โค

15ปล่อยน้านม เตา้ นมเป็ นรูปกรวยและหวั นมรวมเป็ นกระจุก ทาให้รีดนมไดย้ าก ขนาดของหวั นมใหญ่เกินไปถา้ ทาการหยา่ นมลูกแม่โคจะหยดุ ใหน้ ม การให้นม ใหน้ มประมาณ1,500 - 2,000 กิโลกรมั ต่อระยะการใหน้ มภาพที่ 2.8โคแม่พนั ธุเ์ รดซินดิ้ ภาพที่ 2.9โคพอ่ พนั ธุเ์ รดซินด้ิทม่ี า :www. dld.go.th/ ที่มา :ปศุสตั ว์ (2549)2.1.7 พนั ธ์ุซาฮิวาล(Sahiwal)ถน่ิ กาเนิด ประเทศปากีสถาน สี สีแดงหรือน้าตาลปนแดง ขนาด เพศเมีย หนกั เฉล่ีย 300-350กิโลกรัม เพศผู้ หนกั เฉลี่ย 450-500 กิโลกรัม ลกั ษณะท่ัวไป รูปร่างคลา้ ยเรดซินด้ี แต่มีขนาดใหญ่กวา่ ลาตวั ยาวและลึก ค่อนขา้ งเจา้ เน้ือ ขาส้นั ตวัมีสีแดง และมีแตม้ สีน้าตาลขาวทวั่ ไป เขาส้ันซ่ึงจะประมาณ 10 เซนติเมตร คอส้นั เหนียงคอหยอ่ นยาน ตะโหนกใหญ่และมกั เอียงขา้ ง บ้นั ทา้ ยใหญ่และกวา้ ง หางยาวจนพหู่ างระพน้ื ดิน เตา้ นมใหญ่และมกั หยอ่ น การให้นม ใหน้ มเฉลี่ย 2,000 กิโลกรัมตอ่ ระยะการใหน้ มมีไขมนั นมเฉล่ีย4.3 %

16ภาพท่ี 2.10โคแม่พนั ธุซ์ าฮิวาล ภาพท่ี 2.11โคพอ่ พนั ธุซ์ าฮิวาลท่ีมา :www.stichting-thomas.nl/ ท่มี า :www. dld.go.th/2.2 โคนมพันธ์ุลูกผสม 2.2.1 พนั ธ์ุ TMZ (Thai Milking Zebu) ถิน่ กาเนิด ประเทศไทย สายเลือด โฮลสไตนฟ์ รีเช่ียน 75% ส่วนสายเลือดท่เี หลือ 25 % เป็นโคพนั ธุซ์ ีบูเกษตรกรทว่ั ไปมกั เรียกวา่ “โคเลือด 75 ” หมายถึง โคนมลูกผสมทมี่ ีเลือดโคนมพนั ธุโ์ ฮลส์ไตน์ฟรีเช่ียนพ้นื เมือง 12.5%บราห์มนั 12.5 % ลักษณะท่ัวไป สีขาวสลบั ดา เช่นเดียวกนั กบั พนั ธุโ์ ฮลสไตนฟ์ รีเชี่ยนพนั ธุน์ ้ีเหมาะสาหรบัเกษตรกรรายใหม่ การให้นมประมาณ 3,000 – 4,000 กิโลกรมั ต่อระยะการใหน้ ม ภาพท่ี 2.12โคพนั ธุ์ TMZ (Thai Miliking Zebu) ที่มา :www.dld.go.th/dairy/improve_dairy/breed/tmz.html2.2.2 พันธ์ุไทยฟรีเชี่ยน (Thai Fresian )

17 ถ่ินกาเนิด ประเทศไทย สlยเลือดมีสายเลือดพ้นื เมอื ง 12.5% และพนั ธุโ์ ฮลสไตนฟ์ รีเชี่ยน 87.5% หรือเรียกวา่ โคเลือดสูงหมายถึงโคนมลูกผสมท่มี ีเลือดโคนมพนั ธุโ์ ฮลสไตน์ฟรีเช่ียน มากกวา่ 75 %ลักษณะท่วั ไปสีขาวสลบั ดา เช่นเดียวกนั กบั พนั ธุ์โฮลสไตน์ฟรีเชี่ยนปัจจบุ นั เกษตรกรเล้ียงกนั มากในจงั หวดัระบุรี นครราชสีมา ลพบรุ ี และราชบุรีรวมท้งั จงั หวดั อ่ืนๆ โคพนั ธุน์ ้ีใหผ้ ลผลิตน้านมค่อนขา้ งสูง เหมาะสาหรบั เกษตรกรท่มี ีประสบการณ์ในการเล้ียงโคนม การให้นมเฉล่ียประมาณ 4,000 - 5,000 กิโลกรมั ตอ่ ระยะการใหน้ ม หรือผลผลิตน้านมในระยะใหน้ มสูง (peak) หลงั คลอดไม่ต่ากวา่ 15 กิโลกรัม ภาพท่ี 2.13โคพนั ธุไ์ ทยฟรีเชี่ยน ทมี่ า:www. dld.go.th/dairy/improve_dairy/breed/tf.html3. การคดั เลือกพนั ธ์ุโคนม การคดั เลือกพนั ธุ์โคโดยมนุษยเ์ ป็ นผูต้ ดั สินวา่ จะคดั เลือกสัตวต์ วั ใดหรือกลุ่มใดหรือพนั ธุ์ใดไวเ้ พ่ือกระจายพนั ธุ์ ซ่ึงแตกต่างกนั ไปแล้วแต่วิธีการของแต่ละสมาคมหรือของแต่ละประเทศ โดยปกติจะตอ้ งพจิ ารณาถึงจุดประสงคข์ องความตอ้ งการโค3.1 การคดั เลือกโดยพจิ ารณาจากรูปร่างภายนอกทีม่ องเห็น (Mass selection) เป็นวธิ ีการคดั เลือกท่พี จิ ารณาจากรูปร่างลกั ษณะภายนอกทวั่ ไป และสมรรถภาพในการผลิตท่ีแสดงออกของสัตวต์ วั ที่คดั เลือกเองเป็ นเกณฑ์ การคดั เลือกวิธีน้ีเป็ นวิธีที่ง่ายที่สุดและเป็ นวิธีท่ีมีการประยกุ ตใ์ ชเ้ พอ่ื ปรับปรุงพนั ธุป์ ศุสัตว์ แต่มีขอ้ เสียอยทู่ ่ีแยกออกไดย้ ากกวา่ ความแตกต่างของลกั ษณะท่ีแสดงออกน้นั เกิดจากพนั ธุกรรมหรือส่ิงแวดลอ้ ม การคดั เลือกวธิ ีน้ีไม่สามารถใชค้ ดั เลือกลกั ษณะทแี่ สดงออก

18ในเพศเดียวกนั ได้ เช่น ไม่สามารถคดั เลือกพอ่ พนั ธุโ์ ดยพจิ ารณาจากลกั ษณะการใหน้ ม การใหล้ ูกที่แสดงออกในเพศเดียวได้การคดั เลือกโดยพจิ ารณาจากรูปร่างลกั ษณะภายนอกของโคท่นี ิยมปฏบิ ตั ิกนั อยมู่ ี 2 วธิ ี คอื 3.1.1 การคดั เลือกโดยการใหค้ ะแนน (Score Card Judging) 3.1.2 การคดั เลือกโดยการเปรียบเทียบ (Comparative Judging)3.2 การคดั เลือกจากพันธ์ุประวัติ (Pedigree selection) การคดั เลือกโคโดยใชบ้ นั ทึกพนั ธุป์ ระวตั ิของบรรพบุรุษมีการปฏบิ ตั กิ นั มากวา่ 100 ปีแลว้ ระบบการคดั เลือกแบบน้ีมกั นิยมใชก้ นั มากในการคดั เลือกโคพนั ธุ์แท้ (Pure Breed) โดยพจิ ารณาจากความสามารถของบรรพบุรุษและคาดคะเนความสามารถของสัตว์ ตวั ท่ีคดั เลือกจากประวตั ิบรรพบุรุษ ยดึหลกั การวา่ ลูกโคท่ไี ดจ้ ากพอ่ และแม่จะแสดงลกั ษณะปรากฏคร่ึงหน่ึงมาจากพอ่ อีกคร่ึงหน่ึงมาจากแม่ดงั น้นัพอ่ แม่ท่ีดีจะให้ลูกหลานที่ดีดว้ ย วธิ ีน้ีมีประโยชน์ในการคดั เลือกสตั วข์ ณะที่มีอายนุ ้อยหรือยงั ไม่ไดใ้ ห้ผลผลิตใชไ้ ดก้ บั ลกั ษณะทีแ่ สดงออกในเพศเดียว และลกั ษณะที่แสดงออกเมื่ออายมุ าก การคดั เลือกโดยใชพ้ นั ธุ์ประวตั ิ สามารถทาไดร้ วดเร็ว และเสียค่าใชจ้ ่ายนอ้ ย ประสิทธิภาพการคดั เลือกข้นึ อยกู่ บั วา่ ใชข้ อ้ มูลลกั ษณะจากบรรพบุรุษใด มีความสมั พนั ธใ์ กลช้ ิดกบั สัตวม์ ากนอ้ ยเพยี งไร โดยทวั่ ไปแลว้ จะใชก้ ารคดั เลือกแบบน้ีเป็ นการคดั เลือกสัตวข์ ้นั ตน้ อยา่ งกวา้ งๆ เสียก่อน แลว้ จึงมาคดั เลือกอยา่ งเขม้ ขน้ ตอ่ ไป ในโคมกั ใชก้ บั การคดั เลือกโครุ่นทล่ี กั ษณะปรากฏยงั ไม่แสดงออก จึงจาเป็นตอ้ งใชพ้ นั ธุป์ ระวตั ิเพราะลกั ษณะต่างๆจะปรากฏในภายหลังเม่ือโครุ่นเหล่าน้ีเติบโตข้ึนก็จะแสดงออกถึงลักษณะปรากฏให้เห็น แต่ในโคเพศผูไ้ ม่สามารถแสดงออกถึงลักษณะปรากฏบางอย่าง เช่น การให้นม ความสามารถในการเล้ียงลูกฯลฯ จึงจาเป็ นตอ้ งประเมินจากรุ่นลูกที่ออกมาหลงั จากการผสมพนั ธุโ์ ดยปกติแลว้ พ่อพนั ธุท์ ่ีให้ลูกและหลานท่ีใหน้ มดี และมีความสามารถในการเล้ียงลูกดีมกั จะถ่ายทอดพนั ธุกรรมเหล่าน้ีให้ลูกไดด้ ีกว่าพอ่ พนั ธุ์ที่ใหล้ ูกแสดงออกถึงลกั ษณะปรากฏท่ีดอ้ ยกวา่ และพอ่ พนั ธุท์ ่ีดีเหล่าน้ีจะใหล้ ูกท่ีมีลกั ษณะดีเด่นข้นึ3.3 การคดั เลือกโดยพจิ ารณาจากบันทกึ ญาตพิ นี่ ้อง(Sib selection or Collatral relative selection) เป็นวธิ ีการคดั เลือกทีพ่ จิ ารณาความสามารถของญาติพนี่ อ้ งทีไ่ ม่ใช่บรรพบุรุษโดยตรงเช่น ลูกพี่ลูกน้อง ลุง ป้า นา้ อา วิธีน้ีนิยมคดั เลือกลกั ษณะที่แสดงออกในเพศเดียวกนั การคดั เลือกวธิ ีน้ีมีประโยชน์และจดุ อ่อนเหมือนกบั การคดั เลือกจากบนั ทกึ ของบรรพบรุ ุษ3.4 การคดั เลือกโดยพจิ ารณาจากบันทกึ ของลกู (Progeny selection) เป็นการคดั เลือกทีพ่ จิ ารณาจากความสามารถของลูกหลาน เพอ่ื ใหแ้ น่ใจวา่ ลกั ษณะท่ี

19คดั เลือกน้ันสามารถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ เป็ นวิธีท่ีรัดกุมและตรงตามวตั ถุประสงค์การคดั เลือกท่ีสุดเนื่องจากการคดั เลือกสตั วไ์ วท้ าพนั ธุเ์ พอื่ ให้ขยายลกั ษณะพนั ธุด์ ีไปสู่ลูกหลาน การคดั เลือกวธิ ีน้ีมีประโยชน์มากในการคดั เลือกลกั ษณะทไ่ี ม่สามารถวดั ไดใ้ นการทสี่ ตั วย์ งั มีชีวติ อยู่ เช่น คุณภาพซากของโคเน้ือ

204. การคดั เลือกโคนมส่ วนต่างๆภายนอกของโคนมภาพที่ 2.14 ส่วนต่างๆ ภายนอกของโคนม1.เขา (Horns) 13.ขอ้ ศอก (Point of Elbow) 25.พ้ืนอก (Chest Floor) 37.กีบ (Hoof)2.กระหม่อม (Poll) 14.เข่า (Knee) 26.ส้นเทา้ (Heel) 38.กีบลอย (Dew Claw)3.เน้ือจมูก (Muzzle) 15.พ้ืนเทา้ (Sole) 27.หนา้ ขาหลงั (Stifle) 39.เส้นเลือดนม4.ด้งั จมูก (Bridge of Nose) 16.ขอ้ กีบ (Pastern) 28.โคนขาหลงั (Thigh) (Mammary Veins)5.ขากรรไกร (Jaw) 17.เข่าหลงั (Hock) 29.โคนหาง (Tail Head) 40.รูเส้นเลือด (Milk Wells)6.ลาคอ (Throat) 18.ขาพบั หลงั (Flank) 30.กน้ กบ (Rump) 41.เตา้ นมส่วนหนา้ (Fore Udder)7.บริเวณไหล่ (Shoulder Blade) 19.ป่ มุ กน้ กบ (Pin Bone) 31.เอว (Loin) 42.เสน้ ยดึ เตา้ นมส่วนหนา้8.ป่ มุ ไหล่ (Point of Shoulder) 20.ป่ มุ สะโพก (Hip or Hock) 32.สนั หลงั (Chine) (Fore Udder Attachment)9.เหนียงคอ (Dewlap) 21.รอบเอว (Barrel) 33.คอ (Neck) 43.หวั นม (Teats)10.มะพร้าวห้าว (Brisket) 22.ทรวงอก (Crop) 34.หลงั (Back) 44.เตา้ นมส่วนหลงั (Rear Udder)

2111.ป่ มุ เชิงกราน (Thurl) 23.ป่ มุ หลงั (Withers) 35.หาง (Tail) 45.เส้นยดึ เตา้ นมส่วนหลงั12.กระดูกซี่โครง (Ribs) 24.รอบอก (Heart Grith) 36.พหู่ าง (Switch) (Rear Udder Attachment)4.1 ลักษณะที่สาคญั ของโคนม 4.1.1 ลาตวั เม่ือมองทางดา้ นขา้ งเป็นรูปสามเหล่ียมรูปล่ิมมีความเป็นเหลี่ยมเป็นมุมค่อนขา้ งผอมแต่ไม่โทรม 4.1.2 หนา้ เล็ก แสดงถึงความเป็นเพศเมีย คอบางเรียบไดส้ ดั ส่วนรบั กบั ไหล่ 4.1.3 แนวหลงั ตรง ถึงโคนหาง และหกั มุมต้งั ฉาก 4.1.4 ลาตวั มีความยาว และความลึก ซ่ีโครงกางออกกวา้ ง 4.1.5 ขาหนา้ และหลงั ตรง แขง็ แรง 4.1.6 เตา้ นมขนาดใหญ่เป็ นรูปแอ่งกระทะ กระชบั หวั นมวางเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตั ุรสั มีขนาดพอเหมาะ 4.1.7 มีนิสยั เช่ือง แตก่ ระปร่ีกระเปร่า4.2 ลักษณะโคนมท่ดี ี หมายถึง ลกั ษณะเด่นสะดุดตาของโครงสร้างมีลกั ษณะเพศเมียเด่นชดั มีโครงร่างแขง็ แรง และมีส่วนต่างๆ ของร่างกายกลมกลืนไดส้ ดั ส่วนกนั ซ่ึงพจิ ารณาไดจ้ าก 4.2.1 ส่วนหัว คอและไหล่ ขนาดของหัวไดส้ ่วน เม่ือเทียบกบั ขนาดของร่างกาย จมูกใหญ่ รูจมูกกวา้ ง สนั จมูกตรง หนา้ ผากกวา้ ง และเป็ นแอ่งเล็กนอ้ ย ปากกวา้ งใหญ่ ขากรรไกรใหญ่ แขง็ แรง ดวงตานูนสดใส หูมีขนาดปานกลาง เคลื่อนไหวตื่นตวั อยเู่ สมอ คอจะตอ้ งบาง ยาวเรียบ ไม่มีไขมนั พอก ไหล่ตอ้ งแขง็ แรงกลมกลืนกบั ลาตวั ไม่กางแบะออกภาพท่ี 2.15 ส่วนหลงั และบ้นั ทา้ ย สนั หลงั และบ้นั ทา้ ยแขง็ แรง ช่วงไหล่ไปถึงสะโพก ไดร้ ะดบั เดียวกนั

22 ภาพที่ 2.46 แนวตรง กระดูกสนั หลงั ปรากฏเด่นชดั ตลอดแนว ภาพที่ 2.16 บริเวณสะโพกจนถึงกน้ กบและโคนหางควรอยรู่ ะดบั แนวเดียวกนั กบั แนวหลงั ภาพท่ี 2.17 บ้นั ทา้ ยกวา้ ง ป่ มุ เชิงกราน ป่ มุ กน้ กบ และป่ มุ สะโพก สะโพกมีเน้ือเรียบเตม็ขาและกีบ ขาหนา้ ตรงต้งั ฉากกบั พน้ื ขาท้งั สองขนานกนั และแยกห่างจากกนัพอเหมาะ ขาหลงั เม่ือจากดา้ นทา้ ยจะต้งั ตรง โคนขาหลงั กวา้ ง เข่าหลงั ทามุมพอสมควร ไม่งอเขา้ หากนั เข่าขาหนา้ และขอ้ พบั ขาหลงั แขง็ แรง ดูเกล้ียงเกลา

23ภาพท่ี 2.18 เม่ือมองจากดา้ นขา้ ง ช่วงขอ้ พบั ลงมาถึงขอ้ เทา้ เกือบต้งั ฉาก กระดกู ขาตอ้ งเรียบตรงและแขง็ แรงภาพท่ี 2.19 ลกั ษณะกีบเทา้ กีบเทา้ ช้ีไปขา้ งหนา้ และตอ้ งส้นั กลมกลืน ไดร้ ะดบั กบั พ้นื มีสน้ เทา้ สูง น้าหนกั ท่กี ดลงบนกีบเทา้สม่าเสมอกนั และกีบเทา้ จะรบั น้าหนกั โคไดเ้ ตม็ ที่ ขอ้ กีบตอ้ งเอียงเลก็ นอ้ ยและแขง็ แรง4.2.2 ลักษณะความเป็ นโคนมลกั ษณะน้ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ โคสามารถทจี่ ะเปล่ียนอาหารทก่ี ินเขา้ ไปใหเ้ ป็ นน้านมไดม้ ากกวา่ ที่จะเปล่ียนเป็นเน้ือ ความสามารถในการใหน้ ม รูปร่างตอ้ งเป็นเหลี่ยมเป็นมุมรูปทรงจากหวั ถึงทา้ ยเป็นรูปสามเหลี่ยม ไม่วา่ จะมองจากดา้ นบนหรือดา้ นขา้ งก็ตาม ในขณะท่ีกระดูกเรียบและแขง็ แรง ไม่อว้ นและไม่ผอม ยงั คงแสดงให้เห็นถึงความสมบรู ณ์ตามปกติ โค ตอ้ งพจิ ารณาถึงระยะการใหน้ มดว้ ยการพจิ ารณาใหพ้ จิ ารณาตามลาดบั 1)ส่วนคอ คอบาง ยาว ไม่มีไขมนั พอก เรียบเกล้ียงเกลา ตลอดจนถึงบริเวณไหล่เหนียง คอและมะพร้าวหา้ วเกล้ียงเกลา ภาพที่ 2.20 ส่วนคอลกั ษณะดีและไม่ดี2) ป่ มุ หลงั มีความเฉียบมองเห็นป่ ุมหลงั ชดั กระดูกสนั หลงั กระดูกสะโพก

24กระดูกกน้ กบ ปรากฏชดั เจน ภาพที่ 2.21 บริเวณส่วนป่ ุมหลงั ของโค3)ซ่ีโครง ซี่โครงกวา้ ง กระดูกซี่โครงกวา้ ง แบนและยาว4)โคนขาหลงั ภาพที่ 2.22 เน้ือของปลีขาเวา้ เรียว ไม่มีไขมนั พอก หนาเทอะทะภาพที่ 2.23 โคนขาหลงั กวา้ ง ขาท้งั สองอยหู่ ่างกนั เพอื่ ใหเ้ ตา้ นมมีเน้ือทข่ี ยายไดม้ าก 5)หนงั หนงั หลวมและยดื หยนุ่ ไดด้ ี4.2.3 ความจขุ องร่างกาย โคนมที่ดีจะตอ้ งมีความจขุ องช่องทอ้ งมาก คอื มีท้งั ความกวา้ ง ยาวและลึก เพอื่ จะสามารถกินอาหารไดม้ าก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ อาหารหยาบเพราะความสามารถในการใหน้ มของแม่โคอาจถูกจากดั โดยปริมาณของอาหารที่มนั สามารถกินเขา้ ไปได้ และขนาดของปอดท่ีมีผลใน

25การเพิม่ ออกซิเจนใหแ้ ก่เลือดที่ไปเล้ียงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและสังเคราะห์เป็ นน้านม ความจุของร่างกายพจิ ารณาจาก1) ความยาวของลาตวั  ภาพท่ี 2.24ลาตวั นบั จากช่วงไหล่ถึงกน้ กบ จะตอ้ งยาว2) ช่องทอ้ ง  ภาพที่ 2.25 ช่องทอ้ งกวา้ งยาว และลึกมีความจุมาก3) รอบอก  ภาพท่ี 2.26 รอบอกใหญแ่ ละลึกคอ ไหล่ เตม็ ช่วงอกกวา้ ง

264.2.4 ลกั ษณะของเต้านม เตา้ นมท่ดี ีควรมีการยดึ ร้งั แขง็ แรง เพอ่ื ใหเ้ ตา้ นมยดึ แนบชิดกบั ลาตวั รูปร่างของเตา้ นมควรไดส้ ดั ส่วนมีลกั ษณะทแี่ สดงถึงคุณภาพและความจุ ซ่ึงบ่งช้ีว่าสามารถใหน้ มไดเ้ ป็ นจานวนมากและเป็ นเวลานานพจิ ารณาจาก 1)เตา้ นม เตา้ นมมีความยาวพอสมควร มีความกวา้ งและสม่าเสมอต้งั แต่ตอนหนา้ถึงตอนหลงั ส่วนเกะขา้ งหนา้ ยดึ ติดกบั พ้นื ทอ้ ง  ภาพท่ี 2.27 ลกั ษณะเตา้ นม2)เตา้ หลงั เตา้ หลงั ส่วนเกาะดา้ นหลงั สูงและป่ งโคง้ เลก็ นอ้ ย ความกวา้ งของเตา้ สม่าเสมอต้งั แต่ตอนบนถึงระดบั พ้นื เตา้ การเกาะยดึ แน่นหนามนั่ คง  ภาพท่ี 2.28 ลกั ษณะเตา้ นมมองจากดา้ นหลงั3)ตวั เตา้ นม ตวั เตา้ นมท้งั สองขา้ งมีขนาดเท่ากนั มีความยาว กวา้ ง และลึกปานกลาง การเกาะยดึ มั่นคง และอยสู่ ูงกวา่ ระดบั ขอ้ เข่า รอยแบ่งแยกระหว่างเตา้ ขวาและซ้ายเด่นชัด แต่ระหวา่ งเตา้ หนา้ และเตา้ หลงั ไม่ชดั เจน ตวั เตา้ นมมีความยดื หยนุ่ มาก และจะยบุ แฟบไดม้ ากหลงั รีดนมออกแลว้

27  ภาพที่ 2.29 ลกั ษณะตวั ของเตา้ นม4) เสน้ เลือดเตา้ นม เสน้ เลือดใตผ้ วิ หนงั บริเวณเตา้ นมใหญ่ แตกสาขามากและขดไปมา มองเห็นนูนเด่นชดั ภาพท่ี 2.30 รอยแบ่งเตา้ ดา้ นซา้ ยและขวามองจากดา้ นหลงั5)หวั นมหวั นมมีขนาดเทา่ กนั มีความยาวและความอวบปานกลาง มีรูปกลมยาวสม่าเสมอ จดุ ทต่ี ้งั หวั นมเป็ นส่ีเหลี่ยมจตั ุรัส และห่างกนั พอควร5. หลกั การผสมพนั ธ์ุ การผสมพนั ธโ์ คมี 2 แบบ 5.1. การผสมตามธรรมชาติแบ่งออกเป็ น 2 วธิ ี 5.1.1 แบบจูงผสมพันธ์ุ คือเล้ียงพ่อพนั ธุ์และแม่พนั ธุ์แยกกันเพ่ือป้องกนั พ่อพนั ธุ์โทรมโดยเม่ือสังเกตพบว่าแม่พนั ธุ์เป็ นสัดยนื น่ิง เตรียมโคท่ีเป็ นสัดเขา้ ซอง หรือเล้ียงไวใ้ นที่จากัดเพียงตวั เดียวหรือจูงมาให้พ่อพนั ธุผ์ สม ซ่ึงพอ่ พนั ธุม์ กั จะผสม 2 - 3 คร้ัง ห่างกนั ประมาณ 6 ชว่ั โมง การเล้ียงเช่นน้ี ทาให้พ่อพนั ธุไ์ ม่โทรมเร็วเกินไป แต่พอ่ พนั ธุ์ท่ีใชค้ วรอายมุ ากกวา่ 4 ปี มีการจดั การด้านอาหารดี การผสมพนั ธุ์

28แบบน้ี พอ่ พนั ธุ์จะสามารถผสมไดท้ ุกวนั แต่มีค่าใชจ้ า่ ยในการเล้ียงดูและจดั การพอ่ พนั ธุ์สูง พรอ้ มท้งั เส่ียงต่อการติดเช้ือทางระบบสืบพนั ธุ์ ถา้ การป้องกนั และการตรวจโรคไม่ดีพอวธิ ีน้ีจะใชก้ บั โคเน้ือมากกวา่ โคนม 5.1.2 แบบคุมฝูงคือเล้ียงพ่อพนั ธุ์รวมกับแม่พนั ธุ์ โดยปล่อยให้พ่อพนั ธุ์ผสมแม่พนั ธุต์ ามธรรมชาติ การผสมแบบน้ี พ่อพนั ธุม์ กั จะโทรมเร็ว เน่ืองจากตอ้ งเดินหาอาหาร และตอ้ งตามแม่พนั ธุเ์ พือ่ คอยผสมพนั ธุอ์ ยบู่ ่อย ๆ อตั ราส่วนจานวนพอ่ พนั ธุต์ ่อแม่พนั ธุท์ ี่ใชค้ ุมฝูงน้ัน ข้ึนกบั อายขุ องพอ่ พนั ธุ์ สมรรถภาพการผสมพนั ธุข์ องพอ่ พนั ธุ์ คุณภาพของน้าเช้ือ และความสมบูรณ์ของแปลงหญา้ ซ่ึงพอสรุปจากอายขุ องพอ่พนั ธุไ์ ด้ คอื -พอ่ พนั ธุอ์ ายุ 2 - 3 ปี คุมฝงู แม่พนั ธุไ์ ดป้ ระมาณ 20 - 30 ตวั -พอ่ พนั ธุอ์ ายุ 3 - 4 ปี คุมฝงู แม่พนั ธุไ์ ดป้ ระมาณ 30 - 40 ตวั - พอ่ พนั ธุอ์ ายุ 5 - 8 ปี คุมฝงู แม่พนั ธุไ์ ดป้ ระมาณ 40 - 50 ตวั -พอ่ พนั ธุท์ ี่อายมุ ากกวา่ 8 ปี ไม่ควรใชค้ ุมฝงู การผสมพนั ธุ์แบบน้ี เส่ียงต่อการติดเช้ือทางระบบสืบพนั ธุ์มากที่สุด ถา้ โคแม่พนั ธุ์ตวั ใดมีการติดเช้ือที่ระบบสืบพนั ธุ์ พ่อพนั ธุ์จะเป็ นตวั แพร่ใหเ้ ช้ือกระจายไดท้ ้งั ฝงู ซ่ึงก่อนที่ผเู้ ล้ียงจะทราบวา่ มีการติดเช้ือในฝงู ก็มกั จะสายเกินไป 5.2 การผสมเทียม การผสมเทียม (Artificial insemination) คือ การผสมพันธุ์ด้วยวิธีฉีดน้ าอสุจิเข้าอวยั วะสืบพนั ธุข์ องเพศเมีย โดยไม่ไดร้ ่วมสมั พนั ธท์ างเพศกนั มีข้นั ตอนดงั น้ีการรีดเกบ็ น้าเช้ือ การตรวจสอบคุณภาพน้าเช้ือ การเจือจางน้าเช้ือการฉีดน้าเช้ือ การเกบ็ รักษาน้าเช้ือ การบรรจนุ ้าเช้ือการผสมเทียมนิยมใชใ้ นโคนมและการเล้ียงโคเน้ือเพื่อขุนลูกขายเป็ นเน้ือคุณภาพสูงน้ัน ปัจจุบนั นิยมผสมพนั ธุด์ ว้ ยการผสมเทียมเน่ืองจากสามารถคุมระดบั สายเลือดของลูกโคท่เี กิดมาได้ การผสมเทยี มจะสามารถลดตน้ ทนุ ในการดูแลและจดั การพอ่ พนั ธุไ์ ดม้ าก พร้อมท้งั ลดความเส่ียงตอ่ การตดิ โรคที่ตดิ ต่อทางระบบสืบพนั ธุ์แต่หวั ใจหลกั ของการผสมเทียม คือ เกษตรกรจะตอ้ งสงั เกตการเป็ นสดั หรือจบั สดั ใหไ้ ด้ ถา้ พบวา่ แม่โคเป็ นสดั ตอนเชา้ ผสมเทยี มในช่วงบา่ ย ถา้ พบวา่ แม่โคเป็ นสดั ตอนบ่าย ผสมเทียมเชา้ วนั รุ่งข้นึ

29 ภาพท่ี 2.31การผสมเทยี มโคการเป็ นสัด (Estrous)คือ การแสดงอาการพร้อมท่ีจะไดร้ บั การผสมพนั ธุข์ องตวั เมียและเร่ิมเป็นสดั คร้ังแรก เมื่อเร่ิมเขา้ ระยะเป็นหนุ่มเป็นสาว (Puberty) ระยะหนุ่มสาวจะเกิดข้นึ มีปัจจยั สาคญั 2 อยา่ งคือ 1. อายขุ องสตั ว์ 2. ความสมบรู ณ์ของอาหารทีส่ ตั วไ์ ดร้ บั วงรอบการเป็ นสัดแบ่งได้เป็ น 3 กลุ่ม คอื1. การเป็ นสดั ปี ละคร้งั ไดแ้ ก่ ม้ิงสุนขั จง้ิ จอก2. การเป็ นสดั ปี ละ 2 คร้ัง ไดแ้ ก่ สุนขั3. การเป็ นสดั ปี ละหลายคร้งั ไดแ้ ก่ โค กระบือ สุกรระยะเวลาการเป็นสดั แบ่งออกเป็ น 4 ระยะ คือ 1. ระยะก่อนเป็ นสัด(Proestrus) เร่ิมจาก CL สลายตวั ไป ระดบั ของ Progesterone ลดลง เป็นระยะที่กระเปาะไข่เจริญข้ึนอยา่ งรวดเร็ว โดยการกระตุน้ ของ FSH และบางส่วนของ LH ซ่ึงกระเปาะไข่จะผลิตEstrogen ออกมา เพอ่ื กระตนุ้ การเจริญของมดลูก ช่องคลอด และทอ่ นาไข่ โดยมีเลือดมาหลอ่ เล้ียงมาก และผนงั ช่องคลอดหนาข้นึ ใชร้ ะยะเวลาประมาณ 3 วนั 2. ระยะเป็ นสัด (Estrus) เป็ นระยะท่ีตวั เมียแสดงความตอ้ งการทางเพศและยอมให้ตวั ผูข้ ้ึนผสม ในระยะท่ี Estrogen ทาหนา้ ที่อยา่ งเต็มท่ี พร้อมกบั FSH เริ่มลดระดบั ลง และ LH เพ่ิมข้ึน กระเปาะไข่ขยายใหญ่เตม็ ที่และพองข้นึ และจะส้ินสุดเม่ือกระเปาะไข่สุกแตกและไข่ตกออกมา ใชร้ ะยะเวลาประมาณ 12-18 ชวั่ โมง 3. ระยะหลังเป็ นสัด (Metestrus) เป็ นระยะหยดุ การเป็ นสัด ระยะน้ีรังไข่เริ่มสร้าง CL และ Estrogenลดลง ซ่ึงเป็ นผลทาให้เกิดการแตกของเสน้ เลือดฝอยที่ผนังมดลูก จึงทาให้มีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดและในขณะเดียวกนั Progesterone เร่ิมเพม่ิ มากข้ึน เพอื่ ทาใหผ้ นงั มดลูกหนาข้นึ ใชเ้ วลาประมาณ 3 วนั

30 4. ระยะหยุดการเป็ นสัด (Diestrus) เป็ นระยะที่ยาวที่สุดของวงรอบการเป็ นสดั ระยะน้ี CL ทาหนา้ ท่ีอยา่ งเต็มท่ี ในโคเริ่มต้งั แต่วนั ที่ 5-14 ของวงรอบการเป็ นสัด การเป็ นสดั ในสุกร 4-15 วนั ของวงรอบการเป็ นสัด ระยะน้ีระดบั ของ Progesterone ในกระแสเลือดเพมิ่ มากข้ึนเป็ นผลให้ผนงั มดลูกหนาข้ึน ถา้ ไข่ไดร้ ับการผสม ลกั ษณะเช่นน้ีก็จะอยตู่ ลอดการต้งั ทอ้ ง แต่ถา้ ไขไ่ ม่ไดร้ บั การผสม CL กจ็ ะเสื่อมสลายตวั ไป อาการของการเป็ นสัด1. รอ้ งมากกวา่ ปกติ2. ยนื ใหต้ วั อ่ืนข้ึนข่ี หรือพยายามข้ึนขต่ี วั อื่น3. กระวนกระวาย4. กินอาหารนอ้ ยลง5. ม่านตาขยายกวา้ งกวา่ ปกติ6. ชอบดมบริเวณสะโพกของตวั อ่ืน 7. ในโคนมบางตวั น้านมลด แต่บางตวั น้านมจะเพม่ิ8. ปากช่องคลอดบวมเล็กนอ้ ยและแดงเร่ือๆ9. โคนหางเปี ยก10. มีน้าเมือกไหลออกมาจากปากช่องคลอดระยะเวลาที่เหมาะสมในการผสมเทยี ม เร็วไป ดี เวลาท่ีเหมาะสมที่สุด ดี สายเกินไปชวั่ โมงท่ี 0 69 18 24 28ระยะก่อนเป็ นสดั ระยะเป็ นสดั หลงั เป็ นสัด หมดการเป็ นสัด

31 ภาพท2ี่ .32 แสดงระยะเวลาการเป็นสดั และระยะเวลาท่เี หมาะสมในการผสมเทยี ม ท่ีมา : ดดั แปลงจากกรมปศุสตั ว์ (2550)6. แผนการผสมพันธ์ุ การวางแผนการผสมพนั ธุ์ เป็นระบบการผสมพนั ธุ์ เพอ่ื ใหล้ ูกท่เี กิดมา มีลกั ษณะท่ีดกี วา่ พอ่ แม่ ซ่ึงสามารถแบง่ ระบบการผสมพนั ธุต์ ามความสมั พนั ธก์ นั ได้ ดงั น้ี คือ 6.1การผสมในพันธ์ุเดียวกัน(Straingth Breeding)เป็ นการผสมพนั ธุ์ โดยการผสมสัตวซ์ ่ึงเป็ นพนั ธุ์เดียวกนั เขา้ ดว้ ยกนั เช่น ผสมโคพนั ธุข์ าว-ดา กบั พนั ธุข์ าว-ดา หรือซาฮิวาล กบั ซาฮีวาลเป็ นตน้ สามารถแบ่งการผสมพนั ธุอ์ อกไดเ้ ป็น 2 พวก คอื 6.1.1 ผสมนอกสายสัมพนั ธุ์ (Out Breeding) เป็ นการผสมสัตวพ์ นั ธุเ์ ดียวกนั แต่สัตวท์ ี่ผสมพนั ธุ์กนั น้นั ไม่มีความสัมพนั ธ์กนั ทางบรรพบุรุษ คือไม่เป็ นญาตกิ นั มีวตั ถุประสงคใ์ นการผสมคือ ป้องกนัการเกิดเลือดชิด เพอ่ื นาลกั ษณะเด่นนอกฝงู เขา้ มาในฝงู และเพอ่ื ใหเ้ กิดลกั ษณะดีเด่นเกินพอ่ แม่ 6.1.2 ผสมในสายสัมพนั ธุ์ (In Breeding) เป็ นการผสมพนั ธุ์สัตว์ ท่ีมีความสัมพนั ธ์ทางบรรพบุรุษกนั คือเป็ นญาติกนั โดยมีวตั ถุประสงคค์ ือ เพ่ือให้ลกั ษณะท่ีไม่ดีที่แฝงอยใู่ นตวั สตั วแ์ สดงออกมาและเพอ่ื ใหล้ กั ษณะที่ดี แสดงออกมาอยา่ งเด่นชดั เพอ่ื สามารถพจิ ารณาคดั เลือกหรือคดั ทิง้ ไดง้ ่าย เพอื่ ใหเ้ กิดสัตวพ์ นั ธุ์แทข้ ้ึน เพื่อรักษาลกั ษณะเด่นของสัตวไ์ ว้ เพือ่ ให้ลูกหลานท่ีเกิดมามีลกั ษณะสม่าเสมอกนั แต่การผสมพนั ธุใ์ นลกั ษณะน้ี มีขอ้ เสียคือ ทาใหล้ กั ษณะบางประการในตวั สตั วล์ ดลง เช่น ความสมบูรณ์พนั ธุต์ ่าลงลูกท่เี กิดมามกั อ่อนแอและตาย 6.2 การผสมข้ามระหว่างพนั ธ์ุ (Breed Crossing)เป็ นการวางแผนการผสมพนั ธุ์สตั วท์ ่ีต่างพนั ธุก์ นัโดยมีวตั ถุประสงคค์ อื เพอื่ ใหล้ กั ษณะเด่นของสตั วแ์ ต่ละพนั ธุม์ าอยใู่ นตวั เดียวกนั แบง่ ออกเป็น 6.2.1 การผสมขา้ มพนั ธุ์ ( Cross breeding )

32 6.2.2 การผสมยกระดับสายเลือด (Up grading) เป็ นการผสมเพ่ือยกระดบั สายเลือด เช่นผสมพนั ธุ์ขาว-ดา กบั พนั ธุพ์ ้นื เมือง เพือ่ ใหล้ ูกท่ีเกิดมาให้นมมากตามพนั ธุข์ าว-ดา และทนตอ่ อากาศรอ้ นและโรคตามพนั ธุพ์ ้นื เมือง เป็ นตน้โคบราห์มนั พนั ธ์ุแท้เพศผู้ โคพื้นเมืองพนั ธ์ุแท้เพศเมยีโคชาร์โลเล่ส์พนั ธ์ุแท้เพศผู้ ลกู โคชั่วที่ 1 พื้นเมือง 50%บราห์มนั ฺ50% 50% โคกาแพงแสน พื้นเมือง 25 %บราห์มัน 25%ชาร์โลเล่ส์ 50% หน่วยที่ 3 เรื่องโรงเรือนและอุปกรณ์ลักษณะของโรงเรือนเลยี้ งสัตว์ในการเล้ียงสตั วใ์ นปัจจบุ นั ลกั ษณะของโรงเรือนและประโยชนข์ องการใชส้ อยมีความจาเป็นเพื่อลดผลกระทบตอ่ สภาพภูมิอากาศเพอื่ ใหผ้ ลผลิตสตั วเ์ ป็นไปตามเป้าหมาย ประเทศไทยเป็ นประเทศร้อนช้ืนซ่ึงมีผลตอ่ ตวั สตั วม์ าก ดงั น้นั การสรา้ งโรงเรือนเล้ียงสตั วจ์ ะตอ้ งสรา้ งใหม้ ีลกั ษณะเหมาะสมกบั สตั วท์ จี่ ะเล้ียง ซ่ึงมีหลกั ในการพจิ ารณาดงั น้ี1. สภาพโรงเรือนการสรา้ งโรงเรือนที่มีลกั ษณะดีและเหมาะสมกบั สตั ว์ นอกจากจะทาใหส้ ตั วอ์ ยไู่ ดอ้ ยา่ งสบายแลว้ ยงั ทาใหผ้ ู้

33เล้ียงสตั วล์ ดตน้ ทนุ การเล้ียงสตั วอ์ ีกดว้ ย ซ่ึงลกั ษณะโรงเรือนท่ีดีมีดงั น้ี1.1 ควรสรา้ งโรงเรือนตามแนวตะวนั ออก – ตะวนั ตก เพอ่ื ใหแ้ สงแดดส่องไปตามแนวของโรงเรือนไม่ส่องเขา้ ไปในตวั โรงเรือน มีตน้ ไมห้ รือม่านบงั แดดดา้ นตะวนั ตก เพอื่ บงั แดด ตอนบา่ ย1.2 ควรวางใหถ้ ูกทศิ ทางลมเพอ่ื การระบายอากาศท่ีดี ซ่ึงช่วยลดอุณหภูมิและความช้ืนภายในโรงเรือน ทาให้สตั วไ์ ดร้ บั ออกซิเจนอยา่ งเพยี งพอและช่วยระบายแก๊สทเี่ กิดจากการหมกั ของมูลสตั ว์1.3 รกั ษาความสะอาดไดง้ ่าย พ้นื คอกท่เี ป็ นพ้นื ซีเมนตจ์ ะสามารถทาความสะอาดและพน่ น้ายาฆา่ เช้ือไดง้ ่ายจงึ ป้องกนั การระบาดของโรคไดด้ ีกวา่ พน้ื คอกที่เป็นพน้ื ดินและโรงเรือนที่ต้งั อยบู่ นที่ดอนทม่ี ีความลาดเอียงของพ้นื คอกท่ีเหมาะสมจะสามารถระบายของเสียได้ ดี1.4 ป้องกนั สตั วท์ เี่ ป็นศตั รูและพาหะนาโรคต่าง ๆ ได้ เช่น นก หนู สุนขั แมว งู เป็นตน้1.5 แขง็ แรงทนทานและประหยดั เหมาะสมต่อทนุ ทรัพยท์ ่มี ีและความต้งั ใจในการเล้ียง เช่น เล้ียงเพอื่ เป็ นอาชีพหลกั กค็ วรใชว้ สั ดุทมี่ ีอายกุ ารใชง้ านยาวนานเพอ่ื จะได้ ลงทุนดา้ นโรงเรือนเพยี งคร้ังเดียว1.6 ความสะดวกในการปฏบิ ตั งิ าน เพอ่ื ใหก้ ารทางานมีประสิทธิภาพจงึ ควรวางรูปแบบของโรงเรือนให้สะดวกตอ่ การ เล้ียงสตั วแ์ ต่ละชนิดใหม้ ากท่สี ุด เช่น การวางตาแหน่งคอก อุปกรณ์ท่ีใหอ้ าหาร เป็ นตน้2. แบบของโรงเรือนการท่ีจะสร้างโรงเรือนแบบใดน้นั ผเู้ ล้ียงจะตอ้ งพิจารณาจากชนิดของสตั วท์ ีจ่ ะเล้ียง พนั ธุส์ ตั ว์ เพศ และอายุของสตั ว์ ตอ้ งสร้างใหเ้ หมาะสมกบั ความตอ้ งการของสตั ว์ ลกั ษณะของโรงเรือนเล้ียงสตั วข์ องประเทศไทยควรมีลกั ษณะเป็นโรงเรือนเปิ ดฝาผนงั โล่งท้งั 4 ดา้ น เพอ่ื ช่วยในการระบายอากาศ แต่ถา้ เป็นสตั วป์ ี กควรใช้ลวดตาข่ายลอ้ มปิ ดท้งั 4 ดา้ น เพอื่ กนั ศตั รู ชายคาโรงเรือนควรยนื่ ออกมาอยา่ งนอ้ ยขา้ งละ 1.5 เมตร เพอ่ื ลดความร้อนจากไอแดดและละอองฝน และชายคาควรสูงจากพ้นื อยา่ งนอ้ ย 2.2 เมตร เพอื่ การระบายอากาศท่ดี ีและถา้ มีโรงเรือนหลายหลงั ควรต้งั ห่างกนั อยา่ งนอ้ ย 50 เมตร เพอ่ื การถ่ายเทอากาศและป้องกนั โรคระบาดแต่ละโรงเรือน รูปแบบของโรงเรือน ดงั ภาพที่ 5.1 โดยทวั่ ๆ ไปมีดงั น้ี2.1 แบบเพงิ หมาแหงน โรงเรือนแบบน้ีสรา้ งงา่ ย ราคาก่อสรา้ งถูก แตม่ ีขอ้ เสีย คอื แสงแดดจะส่องมากเกินไปในฤดูรอ้ น ทาใหอ้ ุณหภูมิภายในโรงเรือนสูง ในฤดูฝน น้าฝนจะสาดเขา้ ไปในโรงเรือนไดง้ ่าย ทาใหภ้ ายในโรงเรือนช้ืนแฉะ ขอ้ เสียอีกอยา่ งหน่ึง หากมุงหลงั คาดว้ ยหญา้ คา แฝก และจาก จะตอ้ งใหม้ ีความลาดเอียงของหลงั คาในระดบั ลาดชนั สูง เพอ่ื ใหน้ ้าฝนไหลลงงา่ ย หวั คอกไปทา้ ยคอกไดส้ ะดวก มิฉะน้นั จะทาใหน้ ้าฝนร่ัวลงในตวั โรงเรือน2.2 แบบเพงิ หมาแหงนกลาย จะเสียคา่ ใชจ้ า่ ยเพมิ่ ข้ึนกวา่ แบบเพงิ หมาแหงน แตม่ ีขอ้ ดี สามารถใชบ้ งั แดดป้องกนั ฝนสาดไดด้ ีข้นึ2.3 แบบหนา้ จวั่ ราคาก่อสรา้ งจะสูงกวา่ แบบแรกแต่ดีกวา่ มากในแง่ป้องกนั แสงแดดและฝนสาด โรงเรือน

34แบบน้ีถา้ สรา้ งสูงจะดี เนื่องจากอากาศภายในโรงเรือนจะเยน็ สบาย แต่ถา้ สรา้ งต่าหรือเต้ียเกินไป จะทาให้อากาศภายในโดยเฉพาะตอนบ่ายรอ้ นอบอา้ ว อากาศจะไมม่ ีช่องระบายออกดา้ นบนของหลงั คา2.4 แบบจวั่ สองช้นั เป็นแบบทน่ี ิยมสร้างกนั ทวั่ ไป มีความปลอดภยั จากแสงแดดและฝนมาก อากาศภายในโรงเรือนมีการระบายถ่ายเทไดด้ ี แตร่ าคาคา่ ก่อสร้างจะสูงกวา่ สามแบบแรก แตก่ น็ บั วา่ คุม้ คา่ ขอ้ แนะนากค็ อืตรงจวั่ บนสุดควรมีปี กหลงั คายนื่ ยาวลงมาพอสมควร ท้งั น้ีเพอ่ื ป้องกนั ฝนสาดเขา้ ในช่องจว่ั ในกรณีที่ฝนตกแรกทาใหค้ อกภายในช้ืนแฉะ โดยเฉพาะลูกสุกร จะเจบ็ ป่ วย เนื่องจากฝนสาดและทาใหอ้ ากาศภายในโรงเรือนมีความช้ืนสูง2.5 แบบจวั่ สองช้นั กลาย มีคุณสมบตั ิคลา้ ย ๆ กบั จว่ั สองช้นั หลงั คาโรงเรือนแบบน้ีเพอื่ ตอ้ งการขยายเน้ือทใ่ี นโรงเรือนใหก้ วา้ งใหญ่ข้นึ และจะดีในแง่ป้องกนั ฝนสาดเขา้ ในช่องจว่ั ของโรงเรือน ภาพท่ี 5.1 แบบของโรงเรือนเล้ียงสตั ว์ ท่มี า (มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์, 2549)โรงเรือนโคเนื้อ โคนม และกระบือโคเน้ือ โคนม และกระบอื จดั เป็ นสตั วป์ ระเภทสตั วใ์ หญซ่ ่ึงส่วนใหญแ่ ลว้ มกั ปล่อยใหโ้ คลงไปแทะเล็มหญา้ในแปลงหญา้ หรือท่งุ หญา้ สาธารณะ ผเู้ ล้ียงจะสรา้ งโรงเรือนไวส้ าหรบั ใหส้ ตั วพ์ กั อาศยั ในช่วงเวลากลางคืนผเู้ ล้ียงที่เป็นชาวบา้ นมกั สรา้ งโรงเรือนไวต้ ามใตถ้ ุนบา้ นเพอื่ ความสะดวกในการดูแลสตั ว์ โรงเรือนสาหรับโคนมน้นั สาคญั มากเพราะตอ้ งใชเ้ ป็นท่สี าหรับ ใหแ้ ม่โคยนื โรงรีดนม ส่วนใหญจ่ ะทาโรงเรือนโดยแบ่งเป็ นช่อง ๆ สาหรับใหอ้ าหารและรีดนม

353.1 โรงเรือนโคเน้ือและกระบือ ลกั ษณะของพ้นื ทต่ี อ้ งเป็นทด่ี อน น้าไม่ท่วม ถา้ เป็ น พน้ื คอนกรีต ตอ้ งมีความลาดเทประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ ส่วนของคอกพกั โค – กระบอื จะประกอบดว้ ย 2 ส่วน ไดแ้ ก่ ส่วนทม่ี ีหลงั คาและส่วนทเ่ี ป็นลานโล่ง ถา้ พน้ื คอกเป็ นพ้นื คอนกรีตท้งั หมด พน้ื ทภี่ ายใตห้ ลงั คาเท่ากบั ของพ้นื ทค่ี อกท้งั หมดแต่ถา้ กรณีทีพ่ น้ื คอกภายใตห้ ลงั คาเป็นพน้ื คอนกรีต และพ้นื ลานโล่งเป็นพน้ื ดิน พน้ื ทลี่ านโล่งเท่ากบั 10 เท่าของพน้ื ที่ภายใตห้ ลงั คา ส่วนรางอาหารจะอยดู่ า้ นหนา้ สุดของคอกพกั และยาวตลอด ความยาวของคอกพกั มีกน้ รางโคง้ และลาดเท 2 เปอร์เซ็นต์ ไปทางดา้ นใดดา้ นหน่ึงของคอก มีความกวา้ ง 85 ถึง 90 เซนติเมตร ส่วนกน้ ลึก 35 เซนตเิ มตร อ่างน้าจะอยทู่ างดา้ นทา้ ยสุดของคอก และมีความสูงไม่เกิน 60 เซนตเิ มตร มีร้วั ลอ้ มรอบคอกพกั ซ่ึงตดิ ต้งั เป็นแนวขวาง 4 แนวโดยใหแ้ นวบนสุดสูงจากพน้ื ดินประมาณ 140 ถึง 150 เซนตเิ มตร อาจใชไ้ มเ้ น้ือแขง็ หรือทอ่ เหลก็ กไ็ ด้ (ภาพที่ 5.13)ในการเล้ียงกระบือ อาจมีการสร้างปลกั ในพ้นื ที่คอกพกั ในส่วนทเี่ ป็นลานโล่งทา้ ยคอกหรือบริเวณที่ต่าสุดของคอกเพอ่ื สะดวกในการระบายทง้ิ (ธาตรี จรี าพนั ธุ,์ 2548)ภาพท่ี 5.12 การเล้ียงววั เน้ือแบบปล่อยแทะเล็มหญา้ ในทุ่งหญา้ที่มา (ทีมงานนิตยสารสตั วบ์ ก, 2544, หนา้ 2)

36ภาพท่ี 5.13 ผงั โรงเรือนโค-กระบอืที่มา (จรสั สวา่ งทพั , 2539, หนา้ 67)3.2 โรงเรือนโครีดนมยนื ซอง การเล้ียงโคนมในประเทศไทยส่วนใหญ่นิยมเล้ียงแบบผกู ยนื โรงรีดนม โดยผู้เล้ียงจดั หาหญา้ สดและอาหารมาใหโ้ คกิน ซ่ึงธาตรี จีราพนั ธุ์ (2548) ไดบ้ อกส่วนประกอบตา่ ง ๆ ของโรงเรือนโครีดนมยนื ซองไวด้ งั น้ี3.2.1 ซอง (stall) พ้นื ซองอาจเป็นพ้นื คอนกรีตผวิ หยาบปานกลางหรือรองดว้ ยวสั ดุ เช่น แผน่ ยาง แกลบ ฟางหญา้ แหง้ เป็นตน้ เพอื่ ป้องกนั การลื่นลม้ พ้นื มีความลาดเท 3 เปอร์เซ็นต์ มีความกวา้ งประมาณ 110 – 120เซนติเมตร ความยาว 155 – 160 เซนติเมตร แต่ละซองจะถูกก้นั ดว้ ยทอ่ เหลก็ หรือไม้ ซ่ึงยาว 105 เซนตเิ มตรสูง 100 เซนตเิ มตร (ภาพที่ 5.14)3.2.2 รางอาหาร รางหญา้ (manger) อยดู่ า้ นหนา้ ซอง มีความยาวตลอดโรงเรือนและลาดเทไปทางดา้ นใดดา้ นหน่ึง 2 เปอร์เซ็นต์ มีขนาดกวา้ ง 70 – 80 เซนตเิ มตร ลึก 30 เซนติเมตร กน้ รางโคง้ เป็นกระทะ3.2.3 รางระบายมูล (gutter) อยถู่ ดั จากซองมาดา้ นหลงั เพอื่ รองรบั น้าปัสสาวะ น้าลา้ งตวั แม่โคนมและน้าลา้ งพ้นื ซอง โดยมีความกวา้ ง 40 – 50 เซนตเิ มตร ลึก 15 เซนตเิ มตร มีความลาดเท 2 เปอร์เซ็นต์ ไปทางเดียวกนักบั รางอาหารมีลกั ษณะเป็ นรางเปิ ด3.2.4 ทางเดินหลงั (service passage) ใชเ้ ป็นเสน้ ทางสาหรบั ลาเลียงมูลและการจดั การอ่ืน ๆ ออกจากโรงเรือน ความกวา้ งสะดวกตอ่ การใชร้ ถเขน็ มูล รถเขน็ อาหาร โดยทว่ั ไป ความกวา้ งไม่นอ้ ยกวา่ 1 เมตร3.2.5 ทางเดินหนา้ หรือทางเดินใหอ้ าหาร (feed passage) อยดู่ า้ นหนา้ รางอาหาร มีความกวา้ ง 1.50 เมตรสามารถใชร้ ถเขน็ ตกั อาหารใส่รางอาหารไดส้ ะดวก นิยมยกระดบั พน้ื ทางเดินให้เสมอกบั ขอบบนของรางอาหารเพอ่ื สะดวกในการกวาดอาหารลงราง

373.2.6 อุปกรณ์ใหน้ ้า ใชเ้ ป็นอ่างน้าหรือถว้ ยใหน้ ้าอตั โนมตั ิ ตดิ ไวก้ บั ร้วั ก้นั หนา้ ซอง โดยใหโ้ ค 2 ตวั สามารถใชร้ ่วมกนั ได้ (ภาพที่ 5.15)แผนผงั พน้ื โรงเล้ียงแบบยนื โรง จุโค 18 ตวั โคอยู่ 2 แถวหนั หนา้ เขา้ หากนัมีทางเดินใหอ้ าหารอยรู่ ะหวา่ งแถว ติดตอ่ หอ้ งอาหารและนมภาพที่ 5.14 โรงเรือนโครีดนมยนื ซอง แบบ 2 แถว หนั เขา้ หากนัท่มี า (ชวนิศนดากร วรวรรณ, 2528, หนา้ 285)

38ภาพท่ี 5.15 ถว้ ยใหน้ ้าโครีดนมอตั โนมตั ิทมี่ า (จรัส สวา่ งทพั , 2539, หนา้ 70)ภาพที่ 5.16 ลกั ษณะซองสาหรับใหโ้ คนมยนื เพอื่ รีดนมที่มา (วโิ รจน์ ภทั รจินดา, 2546, หนา้ 25)

393.3 โรงเรือนโคนมแบบปล่อยอิสระในคอก (free stall barn) การเล้ียงโคนมแบบปล่อยใหอ้ ยใู่ นคอกอยา่ งอิสระไดร้ ับความนิยมใชก้ นั อยา่ งแพร่หลายในปัจจบุ นั เพราะสามารถ เล้ียงโคนมไดจ้ านวนมาก โดยส้ินเปลืองคา่ โรงเรือน อุปกรณ์ และแรงงานนอ้ ยกวา่ แบบการเล้ียงผกู ยนื โรง ส่วนการรีดนมจะจดั ทรี่ ีดหรือโรงรีดนมไวต้ ่างหาก โรงเรือนโคนมแบบปล่อยอิสระในคอก (ธาตรี จรี าพนั ธุ,์ 2548) ดงั ภาพท่ี 5.17 ซ่ึงมีส่วนประกอบดงั น้ี3.3.1 ซองพกั นอนเฉพาะตวั ภายใตโ้ รงเรือนจะแบ่งก้นั เป็ นช่อง ๆ หรือซอง ใหโ้ คนมนอนพกั เป็นตวั ๆ ไปซ่ึงจะจดั เป็นซองเรียงกนั เป็นตบั แตล่ ะซองมีความกวา้ งประมาณ 110 เซนตเิ มตร พน้ื ซองอาจเป็ นพ้นื ดินหรือพ้นื ทรายก็ได้ มีวตั ถุรองนอน อาทิ ข้กี บหยาบ ฟางสบั หรือซงั ขา้ วโพดบดหยาบ ปูทบั อยา่ งหนาอีกช้นั หน่ึง(ภาพที่ 5.16)3.3.2 ทางเดินทา้ ยซอง เป็ นพ้นื ที่ทรี่ องรบั มูลทโ่ี คถ่าย และเป็ นพ้นื ทท่ี โ่ี คยนื กินอาหารดว้ ย มีความกวา้ งไม่นอ้ ยกวา่ 4 เมตร มีความลาดเท 2 เปอร์เซ็นต์ เพอื่ สะดวกในการระบายและทาความสะอาด3.3.3 รางอาหาร เป็นรางยาวเพอ่ื สะดวกในการใหอ้ าหาร โดยออกแบบเช่นเดียวกบั รางอาหารของโคเน้ือ –กระบือ โดยมีความกวา้ งประมาณ 75 เซนตเิ มตร3.3.4 พ้นื ทลี่ าน ควรมีพ้นื ทีก่ วา้ งพอเหมาะกบั จานวนโคนม โคนมตวั หน่ึง จะตอ้ งการพน้ื ทีใ่ นลานคอกประมาณ 9 ตารางเมตร ลานคอกใชเ้ ป็นพ้นื ทสี่ าหรบั โคเดินออกกาลงั ใชเ้ พอื่ ขนอาหารและต้งั ที่ใหน้ ้า ควรเป็นพน้ื ดินหรือทรายมีร้ัวลอ้ มรอบ3.3.5 พ้นื ทกี่ กั โคก่อนเขา้ รีดนม (holding area) เป็ นพ้นื ท่ีสาหรับกกั โคก่อนเขา้ รีดนมเพอ่ื ทาความสะอาดเทา้โคและเตา้ นมกอ่ นโค เขา้ รีดจะอยตู่ ดิ กบั โรงรีดนม มีขนาดไม่ใหญ่ จนเกินไป ประมาณพ้นื ที่ 2 ตารางเมตรต่อโคหน่ึงตวั3.3.6 โรงรีดนม (milking parlor) เป็ นส่วนท่ีสาคญั ที่สุดท้งั ในการเล้ียงแบบปล่อยลานหรือแบบปล่อยในทงุ่หญา้ จาเป็นตอ้ งมีโรงรีดนมแยกตา่ งหาก ส่วนการเล้ียงโคนมแบบรีดนมยนื ซองการรีดนมจะกระทาในโรงเรือนไดเ้ ลย โรงรีดนมมีหลายแบบข้ึนอยกู่ บั จานวนโครีดนมและแบบของเครื่องรีดนม ฟาร์มขนาดเลก็ มีโครีดนมจานวนนอ้ ย นิยมใชเ้ คร่ืองรีดแบบรีดนมลงถงั เป็นรายตวั (bucket type) ฟาร์มขนาดใหญ่มีโครีดนมจานวนมาก นิยมใชเ้ ครื่องรีดแบบรีดนมแลว้ น้านมจะถูกส่งไปถามทอ่ เพอ่ื เกบ็ ไวใ้ นถงั พกั นม (pipelinemilking system) นอกจากน้ีแบบของโรงรีดนมอาจออกแบบเพอื่ ใหส้ ะดวกในการรีดและการจดั การ เช่น โรงรีดแบบไม่ยกพ้นื (floor level system) และโรงรีดนมแบบยกพน้ื (elevated stall system) (ภาพท่ี 5.18 และ5.19) แบบของโรงรีดนมทีร่ ูจ้ กั กนั แพร่หลาย ไดแ้ ก่ โรงรีดนมแบบกา้ งปลา (herringbone parlor) และโรงรีดนมแบบพน้ื หมุนรอบ (rotary parlor) ไม่วา่ จะเป็ นโรงรีดนมแบบใด การรีดนมตอ้ งใหส้ ามารถรีดนมโคท้งั ฝงูเสร็จภายใน 2 ชว่ั โมง (ดารง กิตตชิ ยั ศรี และคนอ่ืนๆ, 2546)

40ภาพที่ 5.17 แผนผงั โรงเรือนโคนมแบบปล่อยอิสระในคอกทม่ี า (ดารง กิตตชิ ยั ศรี และคนอ่ืนๆ, 2546, หนา้ 166)

41ภาพท่ี 5.18 แสดงแบบชุดรีดน้านมโคแบบตา่ ง ๆท่ีมา (วโิ รจน์ ภทั รจนิ ดา, 2546, หนา้ 272)

42ภาพท่ี 5.19 การรีดนมแม่โคดว้ ยเคร่ืองรีดนมทมี่ า (วโิ รจน์ ภทั รจินดา, 2546, หนา้ 21) หน่วยท่ี4 อาหารและการใหอ้ าหารโคนมการจาแนกวตั ถุดบิ อาหารสัตว์วตั ถดุ ิบอาหารสตั ว์ (feedstuffs) หมายถึง สารใด ๆ กต็ ามที่ใหโ้ ภชนะทีเ่ กิดประโยชน์แก่สตั ว์ท่กี ินเขา้ ไป โดยวตั ถุดิบอาหารสตั วอ์ าจไดม้ าจากแหล่งธรรมชาติ เช่น พืช สตั ว์ ฯลฯ หรืออาจไดจ้ ากการสงั เคราะห์ทางเคมี เช่น กรดอะมิโน วติ ามินต่าง ๆ หรือทางชีววทิ ยา เช่น โปรตนี จากพชื หรือสตั วเ์ ซลลเ์ ดียวก็ได้ ซ่ึง จรสั สวา่ งทพั (2539) ไดจ้ าแนกวตั ถุดิบอาหารสตั วอ์ อกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ดงั น้ี

431. อาหารหยาบ (roughages) ราฟเฟสอาหารหยาบ หมายถึง วตั ถุดิบท่มี ีโภชนะต่อหน่วยน้าหนกั ต่า มีเยอ่ื ใยสูงกวา่ 18 เปอร์เซ็นต์ แบ่งออกเป็ น 3พวก คอื1.1 อาหารหยาบสด (green roughages หรือ green forages) อาหารหยาบท่อี ยใู่ นสภาพสด มีความช้ืนสูง 70 – 85 เปอร์เซ็นต์ ไดแ้ ก่ พชื ทตี่ ดั สดมาใหส้ ัตวก์ ิน (soilage) และพชือาหารสตั วใ์ นทงุ่ ทส่ี ตั วเ์ ขา้ ไปแทะเล็ม (pasture) อาหารหยาบสดประกอบดว้ ย1.1.1 พืชตระกูลหญา้ (gramineae) ไดแ้ ก่ หญา้ ขน (para grass หรือ mauritius grass) หญา้ กินนี(guinea grass) หญา้ เนเบียร์ (napier grass) หญา้ รูซี่ (ruzi grass) ฯลฯ พชื ตระกลู หญา้ เป็นพชื ที่ให้คาร์โบไฮเดรตเป็นหลกั (แป้งหรือเยอ่ื ใย) บางทีจึงเรียกวา่ carboneceous plants1.1.2 พืชตระกลู ถว่ั (leguminosae) ไดแ้ ก่ ถวั่ ลายหรือถว่ั เซนโตรซีมา (centrosema) ถว่ั ชีราโตร(siratro) ถว่ั สไตโล (stylo) ฯลฯ พชื ตระกูลถว่ั จะใหค้ ุณคา่ ทางโภชนะ เช่น โปรตีน สูงกวา่ พชื อื่น มกั นิยมปลูกผสมกบั หญา้ ทาเป็นทงุ่ หญา้ ผสมเพอ่ื เพมิ่ คุณคา่ ทางอาหารใหแ้ ก่สตั ว์ บางทจี งึ เรียกวา่ proteineceousplants1.1.3 พืชอาหารอื่น ๆ (others) ไดแ้ ก่ ผกั ตบชวา (water hyacinth) ตน้ ขา้ วโพด (corn stem) ตน้ข่าวฟ่ าง (sorghum stem) ฯลฯ1.2 อาหารหยาบแหง้ (dry roughages หรือ dry forages) อยใู่ นรูปทมี่ ีความช้ืนไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ เพอื่ จุดประสงคใ์ นการเกบ็ รักษาไวใ้ ชใ้ นยามขาดแคลนอาหาร โดยนาเอาอาหารหยาบสดมาระเหยความช้ืนออกดว้ ยการตากแดด 2 – 3 แดด หรือการอบดว้ ยความรอ้ นใหเ้ หลือความช้ืนไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ ซ่ึงอยใู่ นสภาพท่ีเช้ือราและราเมือกเจริญไดย้ าก จึงสามารถเกบ็ไดน้ านข้นึ ตวั อยา่ งของอาหารหยาบแหง้ ไดแ้ ก่ พชื โอชาหรือ พชื แหง้ (hay) เป็ นพชื ที่เก็บเก่ียวในระยะทม่ี ีฟางขา้ วคุณค่าทางอาหารสูงแลว้ นามาระเหยความช้ืนออก ไป นอกจากน้ีอาหารหยาบแหง้ ยงั รวมถึง(rice straws) อีกดว้ ย

441.3 อาหารหยาบหมกั (ensile roughages หรือ ensile forages) อยใู่ นรูปท่ีมีความช้ืน 70 – 75 เปอร์เซ็นต์ ระดบั pH ประมาณ 4.2 ในหลุม คา่กลาง 7 หมกั ที่มีสภาพไรอ้ อกซิเจนเพอ่ื จุดประสงคใ์ นการเกบ็ รักษาไวใ้ ชใ้ นยาม ขาดแคลนอาหาร และสามารถเก็บรักษาไวไ้ ดน้ านนบั สิบปี ถา้ ไม่เปิ ดหลุมหมกั โดยการนาอาหารหยาบสด ทเ่ี ก็บเก่ียวในระยะคุณคา่ทางอาหารสูง และมีปริมาณของ คาร์โบไฮเดรตมากพอ มีความช้ืน 70 – 75 เปอร์เซ็นต์ นามาสบั เป็นทอ่ นเล็กๆ บรรจุอดั แน่นลงหลุมหมกั หรือบ่อหมกั (silo) ปิ ดปากหลุมหมกั ใหส้ นิทแน่นป้องกนั ไม่ใหอ้ ากาศเลด็ ลอดเขา้ ไป ประมาณ 21 วนั ขบวนการหมกั กจ็ ะเสร็จสมบรู ณ์ ตวั อยา่ งอาหารหยาบหมกั ไดแ้ ก่ พชื หมกั(silage) แต่ถา้ ใชอ้ าหารหยาบสดทม่ี ีความช้ืน 55 – 60 เปอร์เซ็นตม์ าทาการหมกั เรียกวา่ พชื หมกั แหง้(haylages) ในประเทศไทยหลุมหมกั ที่นิยมใชก้ นั มาก คือ หลุมหมกั แบบวางนอนใตด้ ิน (trench silo)Lactic acid2. อาหารข้น (concentrate)อาหารขน้ หมายถึง วตั ถุดิบที่มีความเขม้ ขน้ ของโภชนะต่อหน่วยน้าหนกั สูง มีเยอ่ื ใยต่ากวา่ 18 เปอร์เซ็นต์แบ่งออกเป็น 2 พวก ไดแ้ ก่2.1 อาหารหลกั หรืออาหารพลงั งาน (basal feed หรือ energy feed)คือ วตั ถุดิบทีม่ ีพลงั งานสูงหรือมีคาร์โบไฮเดรตมาก มีโปรตนี ต่ากวา่ 20 เปอร์เซ็นต์ ท่ีเรียกวา่ “อาหารหลกั ”เพราะเป็นวตั ถุดิบที่ใชใ้ นปริมาณมากถึง 50 – 80 เปอร์เซ็นต์ ในการประกอบสูตรอาหารสตั ว์ ไดแ้ ก่2.1.1 ไดจ้ ากพชื ไดแ้ ก่ ธญั พชื เช่น ขา้ วโพด ขา้ วฟ่ าง ปลายขา้ ว ราละเอียด เป็นตน้พชื หวั เช่น มนั สาปะหลงั (มนั เส้น) มนั เทศ เป็นตน้ และน้ามนั พชื ตา่ ง ๆ2.1.2 ไดจ้ ากสตั ว์ เช่น ไขมนั โค – กระบือ (tallow) ไขมนั สุกร (lard) เป็นตน้2.1.3 อ่ืน ๆ เช่น กากน้าตาล (molasses) เป็นตน้2.2 อาหารเสริม (supplements) คือ วตั ถุดิบทีเ่ สริมลงไปในอาหารหลกั ในการประกอบสูตร

45อาหารสตั วเ์ พอื่ ใหม้ ีโภชนะครบสมบูรณ์ตามความตอ้ งการของสตั ว์ แบง่ ยอ่ ยออกเป็น2.2.1 อาหารเสริมโปรตีน (protein supplements) คือ วตั ถุดิบท่เี ป็นแหล่งโปรตีน มีโปรตีนมากกวา่ 20 เปอร์เซ็นต์ ไดแ้ ก่2.2.1.1 ไดจ้ ากพชื ไดแ้ ก่ ผลพลอยไดจ้ ากขบวนการแปรรูปอาหาร พลงั งาน เช่น ส่าเหลา้ ผลพลอยไดจ้ ากอุตสาหกรรมพชื น้ามนั เช่น กากถวั่ เหลือง กากถวั่ ลิสง กากมะพร้าว กากเมลด็ ฝา้ ย กากเมล็ดนุ่น กากเมลด็ปาลม์ กากเมลด็ ยางพารา เป็นตน้ ใบพชื ต่าง ๆ คือ ใบกระถิน ใบมนั สาปะหลงั ใบปอ เป็ นตน้2.2.1.2 ไดจ้ ากสตั ว์ เช่น ปลาป่ น เน้ือป่ น เลือดป่ น เคร่ืองในป่ น ขนไก่ป่ น เป็นตน้2.2.1.3 ไดจ้ ากการสงั เคราะห์ เช่น โปรตนี จากพชื หรือสตั วเ์ ซลลเ์ ดียว (single cell proteins) เช่น ยสี ต์ เป็ นตน้กรดอะมิโนสงั เคราะห์ เช่น ไลซีน เมทไธโอนีน ฟิ นิลอะลานีน เป็นตน้2.2.2 อาหารเสริมแร่ธาตุ (mineral supplements) คอื วตั ถุดิบท่ีมีความเขม้ ขน้ ของแร่ธาตุสูง เสริมลงไปในอาหารหลกั เพอื่ ใหม้ ีแร่ธาตคุ รบสมบรู ณ์ตามความตอ้ งการของสตั ว์ ไดแ้ ก่2.2.2.1 วตั ถุดิบทีเ่ ป็ นแหล่งของแคลเซียม เช่น หินปูน (CaCO3) ปูนขาว (CaO) เปลือกหอยป่ น2.2.2.2 วตั ถุดิบทีเ่ ป็ นแหล่งของแคลเซียมและฟอสฟอรัส เช่น กระดูกป่ น ไดแคลเซียมฟอสเฟต2.2.2.3 วตั ถุดิบทเ่ี ป็ นแหล่งของโซเดียมและคลอรีน เช่น เกลือทะเล2.2.2.4 วตั ถุดิบทีเ่ ป็ นแหล่งของโปตสั เซียม เช่น กากน้าตาล2.2.3 อาหารเสริมวติ ามิน (vitamin supplements) คอื วตั ถุดิบทีม่ ีความเขม้ ขน้ ของวติ ามินสูง เสริมลงไปในอาหารหลกั เพอื่ ใหว้ ติ ามินครบสมบูรณ์ตามความตอ้ งการของสตั ว์ ไดแ้ ก่2.2.3.1 วตั ถุดิบที่เป็ นแหล่งของวติ ามินเอ เช่น พืชสีเขียวที่มีแคโรทนี2.2.3.2 วตั ถุดิบที่เป็ นแหล่งของวติ ามินดี เช่น พชื แหง้ แบบตากแดด (field cured hay)2.2.3.3 วตั ถุดิบทเ่ี ป็ นแหล่งของวติ ามินอี เช่น ราละเอียด2.2.3.4 วตั ถุดิบท่เี ป็นแหล่งของวติ ามินเค เช่น ใบกระถิน2.2.3.5 วตั ถุดิบท่ีเป็ นแหล่งของวติ ามินซี เช่น ผลไมร้ สเปร้ียว (citrus fruits)2.2.3.6 วตั ถุดิบที่เป็ นแหล่งของวติ ามินบรี วม เช่น ธญั พชื พชื สีเขียว3. สารเสริมอาหาร หรือวตั ถุเติมในสูตรอาหารสตั ว์ (feedadditives)ไม่ใช่โภชนะโดยตรง เป็ นสารที่เติมลงไปในอาหารเพอ่ื ช่วยปรับปรุงคุณภาพอาหาร ทาใหส้ ตั วใ์ ชป้ ระโยชน์

46จากอาหารไดม้ ากข้นึ ใชเ้ สริมในสูตรอาหารสตั วเ์ พอื่ จุดประสงคต์ ่าง ๆ ดงั น้ี3.1 เพอื่ ยบั ย้งั การเจริญเตบิ โตของจุลินทรีย์ เช่น ยาปฏชิ ีวนะ อาทิ เพนิซิลลิน (penicillin) อ๊อกซีเตตราไซคลีน (oxytetracycline) รูเมนซิน (rumensin) เป็นตน้3.2 เพอื่ เร่งการเจริญเติบโต เช่น ฮอร์โมนสงั เคราะหห์ รือสารคลา้ ยฮอร์โมน อาทิ ไดเอทธิล สทิลเบสทรอล(diethyl stilbestrol ; DES) เมเลนเจสทรอล อาซีเตท (melengestrol acetate ; MGA) ซินโนเวกซ์ (synovex)เชอรานอล (zeranol) หรือราลโกร (ralgro)3.3 เพอ่ื ถ่ายพยาธิ เช่น ไทอาเบนดาโซล (thiabendazole) ปิ เปอราซีน(piperazine)3.4 เพอ่ื ปรุงรสชาติ เช่น กากน้าตาล (molasses)3.5 เพอ่ื ป้องกนั หืน เช่น เอทธอไซควนิ (ethoxyquin) บวิ ทีเลทไฮดรอกซีโทลีน (butylated hydroxy toluene ;BHT) บิวทีเลทไฮดรอกซีอานีโซล (butylated hydroxy anisole ; BHA)3.6 เพอื่ ป้องกนั เช้ือรา เช่น เบนโซเอท (benzoate) ควโิ นซาลีน (quinoxalene)3.7 เพอ่ื ป้องกนั โรคบดิ (coccidiostat) เช่น แอมโพรเลียม (amprolium) บิวทโี นเรท (butynorate)3.8 เพอ่ื รักษาโรค เช่น ฟูราโซลีโดน (furazolidone) จนุ สี (copperas)สารพษิ และสารยบั ย้งั การเจริญเตบิ โตในอาหารสัตว์ในวตั ถุดิบอาหารสตั วบ์ างชนิดอาจมีสารพษิ หรือสารยบั ย้งั การเจริญเติบโตอยู่ ส่วนใหญแ่ ลว้ สารเหล่าน้ีเป็ นสารที่พชื ผลิตข้นึ มาหรือพชื อาจดูดซึมมาจากดินแลว้ สะสมตกคา้ งอยู่ เมื่อสตั วก์ ิน เขา้ ไปจะมีผลชะงกั การเจริญเตบิ โต สตั วอ์ าจแสดงอาการเป็นพษิ และอาจถึงตายได้ ดงั น้นั ผเู้ ล้ียงสตั วจ์ าเป็ นจะตอ้ งทราบวา่ มีวตั ถุดิบชนิดใดบา้ งท่ีมีสารพษิ ตกคา้ งอยภู่ ายใน เมื่อทราบแลว้ กห็ าวธิ ีแกไ้ ขใหว้ ตั ถุดิบเหล่าน้นั มีความปลอดภยั เม่ือสตั วก์ ินเขา้ ไป นอกจากพษิ จะอยใู่ นพชื แลว้ แร่ธาตุบางชนิด ก็เป็นพษิ ตอ่ สตั วไ์ ดเ้ ช่นกนั สารพษิ และสารยบั ยง้ั การเจริญเตบิ โตในอาหารสตั วม์ ีหลายชนิดดงั น้ี1. สารพษิ อะฟลาทอกซิน (aflatoxin)อะ ฟลาทอกซินเป็นสารพษิ ทเ่ี กิดจากการผลิตของเช้ือราพวก Aspergillus spp. ทีข่ ้ึนอยใู่ นอาหารสตั วท์ ี่เก็บไว้ในสภาวะแวดลอ้ มทไ่ี ม่เหมาะสม มีอุณหภูมิและความช้ืนสูง เช่น เมลด็ พชื ทม่ี ีความช้ืนมากกวา่ 9 เปอร์เซ็นต์

47และเก็บไวใ้ นทที่ มี่ ีความช้ืนสมั พทั ธ์ 85 เปอร์เซ็นต์ และอุณหภมู ิอยใู่ นระหวา่ ง 25 – 45 องศาเซลเซียส ทาให้เช้ือราพวก Aspergillus spp. ทม่ี ีอยทู่ วั่ ไป ในอากาศและวตั ถุดิบมีการเจริญเติบโตแพร่ขยายอยา่ งรวดเร็ว และเกิดการสร้างสารพษิ อะฟลาทอกซินข้ึนมา (มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, 2537) ในเป็ดโดยเฉพาะลูกเป็ดมีความทนทานตอ่ พษิ ของ อะฟลาทอกซินต่าสุด ส่วนในแกะจะตา้ นทานพษิ ไดส้ ูงสุด สตั วท์ ่ีไดร้ บั พษิของอะฟลาทอกซินเขา้ ไป สตั วจ์ ะกินอาหารไดน้ อ้ ยลง เติบโตชา้ ซึม ซีด เกิดอาการดีซ่าน วธิ ีแกไ้ ขไม่ให้เกิดอะฟลา-ทอกซินวธิ ีทงี่ ่ายและประหยดั ท่สี ุดก็คอื นาวตั ถุดิบอาหาร เช่น ขา้ วโพด ขา้ วฟ่ าง มนั ถว่ั ตา่ ง ๆ ไปตากแดดใหแ้ หง้ สนิทใหเ้ หลือความช้ืนไม่เกิน 12 เปอร์เซ็นต์ จะแกป้ ัญหาการเกิดพษิ อะฟลา-ทอกซินได้2. สารพษิ ไมโมซิน (minosine)บกระถินไมโมซินเป็นสารพษิ ท่มี ีอยใู่ นใ มีอยใู่ นปริมาณ 2 – 4 เปอร์เซ็นตข์ องโปรตนี ท้งั หมด ในใบกระถิน ใบอ่อนจะมีประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ ซ่ึงมากกวา่ ในใบแก่ประมาณ 3 เทา่ ในเมล็ดมีมากถึง 7เปอร์เซ็นต์ พษิ ของไมโมซินจะทาใหเ้ กิดโรคคอพอกในสตั ว์ เน่ืองจากร่างกายไม่ผลิตฮอร์โมนไทรอกซิน ในสูตรอาหารสตั วถ์ า้ เป็ นสตั วป์ ี กไม่ควรเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ในสุกร ไม่ควรเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ และในอาหารโคกระบอื ไม่ควรเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ การทาลายพษิ ของไมโมซินทาไดโ้ ดยใชค้ วามร้อนอบใบกระถินทีอ่ ุณหภูมิ70 องศาเซลเซียส นาน 12 ชว่ั โมง3. สารพษิ แทนนิน (tannin)แทนนินพบในพชื อาหารสตั วห์ ลายชนิด โดยเฉพาะพชื ตระกูลหญา้ เช่น ขา้ วฟ่ าง และในพชื ตระกูลถว่ั จะมีรสฝาด ขม ทาใหค้ วามน่ากินลดลง แทนนินจะทาใหโ้ ปรตีนตกตะกอน การยอ่ ยไดข้ องโปรตนี ลดลง เพราะจะไประงบั การทางานของเอนไซมอ์ ะไมเลส ทริปซินและไลเปส อาจจะทาใหส้ ตั วท์ อ้ งอืดเน่ืองจากโปรตีนไม่ยอ่ ยได้ การลดพษิ ของแทนนินอาจทาไดโ้ ดยการบดเมลด็ ขา้ วฟ่ างใหเ้ ล็กลง หรือใชค้ วามร้อน 70 – 80องศาเซลเซียส ก็ทาใหพ้ ษิ แทนนินลดลงได้ ในสูตรอาหารสตั วค์ วรใชข้ า้ วฟ่ างเป็นส่วนผสมไดไ้ ม่เกิน 50เปอร์เซ็นต์4. สารพษิ ไซยาไนด์ (cyanide)ไซยาไนดม์ ีอยใู่ นมนั สาปะหลงั ขา้ วโพด และพชื ตระกูลถว่ั บางชนิด เมื่อสตั วก์ ินพชื ที่มีสารน้ีเขา้ ไป น้ายอ่ ยในกระเพาะจะไปทาใหเ้ กิดกรดไฮโดรไซยานิก ซ่ึงเป็ นสารพษิ ส่วนของใบพชื จะมีสารน้ีอยมู่ ากกวา่ ส่วนของลาตน้ และหวั พษิ ของกรดไฮโดรไซยานิกจะทาใหร้ ะบบประสาทส่วนกลางถูกทาลายอาจทาใหส้ ตั วช์ อ็ คตาย

48ได้ การแกไ้ ขไม่ใหเ้ กิดพษิ ของไฮโดรไซยานิกทาได้ โดยสบั มนั สาปะหลงั เป็ นชิ้นเล็ก ๆ แลว้ ตากแดด 3 – 4แดด จนแหง้ กจ็ ะทาลายพษิ ของไฮโดร-ไซยานิกได้5. ทริปซินอนิ ฮิบิเตอร์ (trypsin inhibitor)ทริปซินอินฮิบเิ ตอร์เป็ นสารยบั ย้งั การเจริญเติบโตของสตั ว์ มีอยใู่ นเมลด็ ถวั่ เหลืองดิบ จะยบั ย้งั การทางานของเอนไซมท์ ริปซินในการยอ่ ยโปรตนี ทาใหก้ ารยอ่ ยไดข้ องโปรตนี ลดลง สตั วจ์ ะเกิดอาการทอ้ งอืด วธิ ีแกไ้ ขคอืตอ้ งอบหรือน่ึงถวั่ เหลืองใหส้ ุกท่ีอุณหภมู ิ 100 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที กจ็ ะทาลายพษิ ทริปซินอินฮิบเิ ตอร์ได้6. กอสไซปอล (gossypol)กอ สไซปอลเป็นสารพษิ ทม่ี ีอยใู่ นต่อมสีของเมลด็ ฝา้ ย ส่วนท่เี ป็ นพษิ คือ ส่วนของ กอสไซปอลอสิ ระ (freegossypol) ถา้ สตั วไ์ ดร้ บั เขา้ ไปมาก ๆ อาจทาใหส้ ัตวต์ ายได้ โดยเฉพาะสตั วก์ ระเพาะเด่ียวพษิ ของกอสไซปอลจะทาใหส้ ตั วก์ ินอาหารลดลง อตั ราการเจริญเตบิ โตและประสิทธิภาพการเปล่ียนอาหารลดลง พษิ ของกอสไซปอลจะทาใหส้ ตั วห์ วั ใจวายและตายได้ การแกไ้ ขการเป็นพษิ จะเสริมเหลก็ ซลั เฟตในอาหารท่มี ีกอสไซปอลประมาณ 4 เทา่ ของกอสไซปอลที่มีอยู่7. แร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็ นพษิแร่ธาตุเป็นพษิ เกิดเนื่องจากสตั วไ์ ดร้ ับแร่ธาตุมากเกินไป อาจจะจากอาหารพชื ทปี่ ลูก ในบริเวณท่มี ีแร่ธาตุบางชนิดสะสมอยมู่ าก หรืออาจไดจ้ ากสภาพแวดลอ้ ม โดยหายใจเขา้ ไปแลว้ เกิดการสะสมพษิ จนถึงขดี อนั ตรายไดแ้ ก่ ปรอท ตะกวั่ ฟลูออรีน โมลิบดีนมั ซีลีเนียม นอกจากน้ียงั มีกลุ่มสารทก่ี อ่ ใหเ้ กิดสารพษิ เช่น ไนเตรตออกซาเลตระบบทางเดินอาหารของสัตวก์ ระเพาะรวมหรือสัตวเ์ ค้ียวเอ้ือง(ruminants หรือ compound stomach animals)ระบบทางเดินอาหารของสตั วก์ ระเพาะรวม บางคร้งั เรียกวา่ สตั ว์ 4 กระเพาะ เร่ิมจากปากถึงทวารเช่นกนั แต่ต่างจากทางเดินอาหารของสตั วก์ ระเพาะเด่ียว และสตั วป์ ี กตรงท่มี ีกระเพาะ 4 กระเพาะ กินอาหารโดยการเค้ียวอยา่ งหยาบ ๆ คลุกเคลา้ กบั น้าลายแลว้ กลืนลงสู่กระเพาะแรก ปล่อยใหจ้ ุลินทรียท์ าการหมกั ระยะ

49หน่ึงจากน้นั จึงขยอกอาหารออกมาเค้ยี วใหล้ ะเอียดอีกคร้งั หน่ึง ซ่ึงเราเรียกวา่ การเค้ยี วเอ้ือง ซ่ึงกระเพาะท้งั 4กระเพาะของสตั วเ์ ค้ยี วเอ้ือง (ภาพที่ 7.7) มีดงั น้ี3.1 กระเพาะผา้ ข้ีริ้ว (rumen) เป็นกระเพาะส่วนแรกทม่ี ีขนาดใหญส่ ุด ในโคอาจจถุ ึง 150ลิตร ผนงั มีตมุ่ เลก็ ๆ อยทู่ วั่ ไป จึงเรียกวา่ ผา้ ข้ีร้ิว ภายในมีจุลินทรียท์ ่ีช่วยในการหมกั อาหารหยาบก่อนท่ีสตั วจ์ ะขยอกอาหารออกมา เค้ยี วอีกคร้งั หน่ึง โดยไม่มีการขบั น้ายอ่ ยออกมาช่วยยอ่ ยอาหาร3.2 กระเพาะรังผ้งึ (reticulum หรือ honeycome) เป็นกระเพาะทมี่ ีขนาดเลก็ สุด จุประมาณ 7.5 ลิตร ผนงั มีลกั ษณะเป็นรูปหกเหลี่ยมเล็ก ๆ เรียงติดตอ่ กนั จึงเรียกวา่ รังผ้งึ ไม่มีการขบั น้ายอ่ ยออกมาช่วยยอ่ ยอาหาร3.3 กระเพาะสามสิบกลีบ (omasum หรือ manyplies) มีความจุ 15 ลิตรในโคไม่มีการหลงั่ น้ายอ่ ยแต่ทาหนา้ ทีด่ ูดซบั น้า ทาใหอ้ าหารแหง้ ข้ึน3.4 กระเพาะแท้ (abomasum หรือ true stomach) ทาหนา้ ที่ขบั น้ายอ่ ยออกมายอ่ ยอาหารเหมือนกบั ในสตั วก์ ระเพาะเด่ียว อาหารจะผา่ นส่วนต่าง ๆ ตอ่ จากกระเพาะแทเ้ หมือนกบั สตั ว์กระเพาะเดี่ยวจนขบั กากอาหารออกทางทวารหนกั

50การจดั การให้อาหารสัตว์โคการจัดการให้อาหารโคนมโคนมเป็นสตั วส์ ่ีกระเพาะหรือเรียกอีกอยา่ งวา่ สตั วเ์ ค้ียวเอ้ือง อาหารที่โคนมตอ้ งไดร้ บั เป็นอาหารหลกั ในแต่ละวนั คือ อาหารหยาบพวกหญา้ ถวั่ ฟางขา้ ว ฯลฯ แตก่ ารเล้ียงโคนม ถา้ ตอ้ งการจะได้ปริมาณน้านมสูง ๆ แลว้ จาเป็นท่ีจะตอ้ งเสริมอาหารขน้ ใหก้ บั แม่โคนมในแต่ละวนั ดว้ ย ช่วงใหน้ มเป็ นช่วงระยะเวลาท่แี ม่โคนมตอ้ งการอาหารทมี่ ีคุณภาพสูง ผเู้ ล้ียงจะตอ้ งใหแ้ ม่โคกินอาหารหยาบใหเ้ ตม็ ที่แลว้ เสริมดว้ ยอาหารขน้ ช่วงเวลาเชา้ และเยน็ การจดั การให้อาหารโคนมมีข้นั ตอนปฏบิ ตั ดิ งั น้ี4.1 การจดั การอาหารหยาบสาหรับโคนม อาหารหยาบหลกั ของแม่โค คอื หญา้ แม่โคนมตอ้ งกินหญา้ คดิ เป็ นน้าหนกั แหง้ ไม่ต่ากวา่ 3 เปอร์เซ็นตข์ องน้าหนกั ตวั ตวั อยา่ งเช่น แม่โคนมตวั หน่ึงหนกั400 กิโลกรัม ดงั น้นั แม่โคนมตวั น้ีตอ้ งกินหญา้ เม่ือเทียบเป็ นน้าหนกั แหง้ แลว้ เทา่ กบั 12 กิโลกรมั ตอ่ วนั เมื่อเทยี บกบั เป็นน้าหนกั สดซ่ึงโดยทวั่ ไปหญา้ สดมีวตั ถุแหง้ อยู่ 25 เปอร์เซ็นต์ นน่ั คอื แม่โคนมควรจะไดร้ ับหญา้สดในปริมาณวนั ละ เท่ากบั 40 กิโลกรัม คุณภาพของอาหารหยาบมีความสมั พนั ธก์ บั ระดบั โปรตีนในสูตรอาหารขน้ ดงั น้ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook