Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 3 ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

หน่วยที่ 3 ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

Published by KruNang, 2022-08-22 14:40:13

Description: หน่วยที่ 3 ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

Search

Read the Text Version

รายวิชาวทิ ยาศาสตร์พ้ืนฐาน ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 -ระบบอวยั วะในร่างกายของเรา

ระบบอวยั วะ ในรา่ งกายของเรา

ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด

ระบบหมุนเวยี นเลอื ดในรา่ งกายของมนษุ ย์ ทาหนา้ ทค่ี ลา้ ยกับระบบขนส่งท่ีมกี าร ลาเลียงสารอาหารและแกส๊ ออกซิเจน ไปยังเซลล์ตา่ ง ๆ และนาของเสยี เช่น แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ยูเรีย ไปกาจัดออกนอกร่างกาย ������ระบบหมุนเวยี นเลือดของมนุษย์ ประกอบดว้ ย ������หวั ใจ ������หลอดเลือด ������เลือดทอ่ี ยู่ภายในหลอดเลือด โดยเลอื ดจะทาหน้าทีล่ าเลยี งสารอาหาร แกส๊ ของเสยี และสารอืน่ ๆ ไปยงั อวยั วะตา่ ง ๆ ของร่างกาย

รา่ งกายของมนษุ ยท์ โี่ ตเตม็ วยั มเี ลือดอยปู่ ระมาณ 5-6 ลิตร คดิ เป็นร้อยละ 7-8 ของนา้ หนกั ตัว ⭐️เลือดประกอบดว้ ย เกล็ดเลอื ด - เซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง - เซลลเ์ มด็ เลอื ดขาว - เกล็ดเลือด เซลล์เมด็ เลอื ดขาว - พลาสมา เซลลเ์ มด็ เลอื ดแดง



เลอื ดเปน็ ของเหลวสีแดง เมื่อสงั เกตด้วยตาจะดเู หมอื นวา่ เปน็ เน้อื เดียวกนั แต่ถา้ นาเลือดมาป่นั แยกใหต้ กตะกอนจะพบว่าแยกเปน็ ชั้นๆ ������������ชัน้ บน เปน็ ของเหลวใส พลาสมา -พลาสมา มีอยู่ประมาณรอ้ ยละ 55 ของเลือด เซลล์เม็ดเลอื ดขาว +เกล็ดเลือด ������������ชน้ั ล่าง ประกอบดว้ ย เซลล์เม็ดเลือดแดง -เซลล์เมด็ เลอื ดแดง -เซลลเ์ มด็ เลือดขาว -เกลด็ เลอื ด อยู่รวมกนั ประมาณรอ้ ยละ 45 ของเลอื ด

������พลาสมา ประกอบดว้ ยน้าและสารหลายชนิด - โปรตีนทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การแข็งตวั ของเลอื ด - แอนตบิ อดี - สารอาหาร - ฮอรโ์ มน - ยูเรยี - แก๊สคารบ์ อนไดออกไซดท์ อี่ ยใู่ นรูปไฮโดรเจนคารบ์ อเนตไอออน

������เซลล์เมด็ เลือดแดง เลือดในรา่ งกายจะมีเซลล์เมด็ เลอื ดแดงอยู่เปน็ จานวนมากประมาณ 5-6 ลา้ นเซลล์ ตอ่ เลือด 1 ลกู บาศก์มิลลิเมตร เป็นเซลลท์ ี่พบอยู่ในเลือด โดยจะพบเปน็ ส่วนใหญ่ มรี ูปร่างกลมแบน ขนาดเล็ก ตรงกลางเว้าเข้าหากันทั้งสองด้าน และไม่มีนวิ เคลยี ส ������ - เซลล์เม็ดเลอื ดแดงมอี ายุประมาณ 100-120 วนั - จะถูกทาลายทตี่ บั และมา้ ม - โดยไขกระดกู จะสร้างเซลลเ์ ม็ดเลือดแดงขนึ้ มาใหมเ่ ป็นการทดแทนไปเรือ่ ยๆ ⭐️เซลล์เม็ดเลือดแดงสร้างจากไขกระดูก โดยเซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่จะมีนิวเคลียส แต่เมื่อเจริญ เต็มที่นิวเคลียสจะสลายไป ก่อนปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด ในเซลล์เม็ดเลือดแดงมีเฮโมโกลบิน ซึ่ง เป็นโปรตีนทีม่ ธี าตเุ หลก็ เป็นองค์ประกอบ โดยเฮโมโกลบินสามารถจับกับแก๊สออกซิเจน ทาให้เซลล์ เมด็ เลือดแดงจาเลียงแก๊สออกซิเจนไปยังส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายได้

������เซลล์เม็ดเลือดขาว เปน็ เซลล์ที่มีขนาดใหญแ่ ละมนี ิวเคลยี สที่มรี ูปรา่ งต่างๆ โดยปกติร่างกายจะมีจานวนเซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาวอยู่ประมาณ 5,000-11,000 เซลล์ ในเลือด 1 ลกู บาศกม์ ิลลิเมตร แตเ่ มอื่ มีสิง่ แปลกปลอมท่ที าใหเ้ กิดโรคในรา่ งกาย เซลลเ์ ม็ดเลือดขาวจะเพม่ิ จานวนขนึ้ ������ - เซลลเ์ ม็ดเลือดขาวทาหนา้ ท่ีเป็นหน่วยป้องกนั ทีส่ าคัญของร่างกาย - เซลล์เมด็ เลอื ดขาวส่วนใหญ่จะมอี ายุ 2-14 วัน - สรา้ งจากไขกระดูก เช่นเดยี วกบั เซลล์เมด็ เลือดแดง - เป็นเซลลท์ ี่มนี ิวเคลยี สอยตู่ ลอดชวี ติ ของเซลล์ ⭐️เซลลเ์ มด็ เลอื ดขาว มหี ลายชนดิ และมีลกั ษณะแตกตา่ งกนั บางชนดิ ทาหนา้ ทจ่ี บั และ ทาลายเชอื้ โรคและสิง่ แปลกปลอมท่เี ขา้ สูร่ า่ งกาย บางชนิดทาหน้าท่ีสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็น สารประเภทโปรตนี ทาให้รา่ งกายมภี ูมคิ ้มุ กนั ตอ่ โรคหรอื สงิ่ แปลกปลอมทเ่ี ข้าสูร่ ่างกาย

เซลลเ์ มด็ เลือดขาวมจี านวนนอ้ ยกว่าเซลล์เม็ดเลอื ดแดง นอกจากเซลล์เมด็ เลือดแล้วยงั มีเกลด็ เลอื ดซง่ึ เป็นช้ินสว่ นของเซลล์ชนดิ หนึง่ ทสี่ ร้างขน้ึ ในไขกระดกู ������เกล็ดเลอื ด - เกล็ดเลือดมีหนา้ ทีช่ ่วยในการแข็งตวั ของเลอื ด - ทาให้เลือดหยุดไหลเมื่อมบี าดแผล - เกลด็ เลอื ดไมม่ นี ิวเคลยี ส และมรี ปู รา่ งไม่แนน่ อน - ในเลอื ด 1 ลูกบาศก์มิลลเิ มตรจะมีเกล็ดเลอื ดประมาณ 200,000-500,000 เกลด็ - เกล็ดเลอื ดมอี ายุประมาณ 7-10 วัน จากนั้นจะถูกทาลายที่ตบั และม้าม

หมเู่ ลือด ระบบ A B O แบ่งออกเปน็ หมู่ 4 หม่ดู ว้ ยกนั คอื เลือดหมู่ A B AB และ O โดยบุคคลจะมเี ลือดหม่ใู ดนัน้ ขึ้นอยกู่ บั แอนตเิ จน ซึ่งเป็นโปรตนี ชนดิ หน่ึงอยูบ่ นผวิ ของเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง หมู่เลอื ด ชนิดของแอนตเิ จน ชนิดของแอนตบิ อดี บนผิวเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง ในพลาสมา A แอนตเิ จน A แอนติบอดี B B แอนตเิ จน B แอนติบอดี A AB แอนติเจน A และแอนติเจน B ไม่มี O ไม่มี แอนติบอดี A และแอนตบิ อดี B ตารางแสดงชนิดของแอนตเิ จนและแอนตบิ อดใี นเลอื ดหมตู่ ่างๆ

การใหเ้ ลอื ด การให้เลือดจะปลอดภัยเมื่อผู้รับและผู้ให้มีหมู่เลือดที่เข้ากันได้ โดยผู้รับต้องมีแอนติบอดีไม่ตรงกับ แอนติเจนของผู้ให้ เพราะถ้าแอนติเจนกับแอนติบอดีตรงกันจะเกิดปฏิกิริยาระหว่างแอนติเจนและ แอนตบิ อดี ทาใหเ้ ลอื ดจับกลุ่มกันตกตะกอนและอาจเกดิ อันตรายถงึ ชีวิตได้ โดยปกติการให้เลือดจะให้กับผู้ ท่มี ีเลอื ดหมู่เดียวกัน แตถ่ ้าไม่สามารถหาเลอื ดหมเู่ ดียวกันได้กส็ ามารถให้เลอื ดหมูท่ ี่ต่างกนั ได้ ผู้รบั ท่มี เี ลอื ดหมู่ ผใู้ หท้ ีม่ เี ลอื ดหมู่ A B AB O ✓ A (B) ✓ ✗ ✗ ✓ ✓ B (A) ✗ ✓ ✗ ✓ AB (-) ✓ ✓ ✓ O (A,B) ✗ ✗ ✗ ตารางแสดงเลือดหมูท่ เี่ ข้ากันไดข้ องผรู้ ับเลอื ดและผู้ให้เลอื ด

เลอื ดไหลเวยี นอยู่ภายในหลอดเลือด (blood vessel) ซง่ึ ถา้ สงั เกตผิวหนงั บริเวณต่างๆ ของร่างกายจะเหน็ หลอดเลอื ดกระจายอย่ทู ัว่ ไปในบริเวณตา่ งๆ เช่น แขน ขา ลาตวั

⭐️หลอดเลอื ดของมนษุ ย์ เเบ่งออกเปน็ 3 ชนดิ 1. หลอดเลือดอาร์เทอรี (arterial blood vessel) หลอดเลือดฝอย 2. หลอดเลอื ดเวน (venous blood vessel) 3. หลอดเลือดฝอย (capillary) หลอดเลือดอารเ์ ทอรี หลอดเลอื ดเวน หลอดเลอื ดแต่ละชนดิ จะมหี นา้ ที่แตกต่างกัน

������หลอดเลือดฝอย หลอดเลือดฝอยเป็นหลอดเลือดที่แตกแขนงเป็นร่างแหแทรกไปตามเนื้อเยื่อของร่างก าย และเชื่อมต่อระหว่างอาร์เทอรีขนาดเล็กกับเวนขนาดเล็ก หลอดเลือดฝอยเป็นบริเวณที่มี การแลกเปลยี่ นแกส๊ และสารกบั เซลลข์ องร่างกาย ������หลอดเลอื ดอาร์เทอร่ี หลอดเลือดอาร์เทอรเี ปน็ หลอดเลือดทีท่ าหน้าทนี่ าเลอื ดออกจากหวั ใจ โดยการบีบตัวของหวั ใจเพ่ือนาเลอื ดไปยังสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ⭐️ลกั ษณะของหลอดเลอื ดอารเ์ ทอรี่ - มีผนงั หนา เพราะประกอบดว้ ยเนอื้ เย่อื หลายช้นั - ยดึ หยุน่ ขยายตวั เพื่อรับแรงจากเลือดท่ีเกดิ จากการบบี ตวั ของหัวใจได้ดี

������หลอดเลือดเวน หลอดเลอื ดเวนทาหน้าท่นี าเลือดจากสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายกลบั เขา้ สู่หัวใจ ⭐️ลกั ษณะของหลอดเลอื ดเวน - มีผนงั บาง - มคี วามยืดหยุน่ นอ้ ย ������ ในการไหลของเลือดภายในหลอดเลือดเวนเพื่อกลับเข้าสู่หัวใจนั้น อาศัยการหด และคลายตัวของกล้ามเนื้อของร่างกายบริเวณรอบ ๆ หลอดเลือดและลิ้นกั้นท่ี อยู่ภายในหลอดเลือดซึ่งจะทาหน้าที่ควบคุมการไหลของเลือดให้ไปในทิศทาง เดียว

������ ความดันของเลือดในหลอดเลือดเวนจะน้อยกว่าในหลอดเลือดอาร์เทอรี หลอดเลือดท่ี อยู่ใกล้ผิวหนังและมองเห็นได้อย่างชัดเจนเป็นหลอดเลือดเวน ส่วนหลอดเลือดอาร์เทอรี มักจะพบอย่ใู ต้ผิวหนังที่ลึกลงไป

หัวใจทาหนา้ ทส่ี ูบฉีดเลอื ดไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกาย ขณะเดียวกนั จะรบั เลือดจากร่างกายแลว้ ส่งไปยงั ปอด ⭐️หลอดเลอื ดอาร์เทอรจี ะลาเลียงเลือดไปยังสว่ นต่าง ๆ ของร่างกายโดยการ ทางานของหวั ใจ ซึ่งมีการบบี และคลายตัวเปน็ จงั หวะตลอดเวลา เพือ่ ทาหนา้ ที่สูบ ฉีดเลือดไปตามหลอดเลอื ด หวั ใจจงึ เป็นอวยั วะทท่ี างานหนักมาก

������หัวใจของมนษุ ยม์ ี 4 ห้อง ไดแ้ ก่ หวั ใจหอ้ งบน 2 หอ้ งและหวั ใจหอ้ งล่าง 2 ห้อง หัวใจห้อง ������บน : เอเทรยี ม (Atrium) มีหน้าทร่ี บั เลอื ดเขา้ สหู่ วั ใจ ������ล่าง : เวนติเคิล (Ventricle) มหี นา้ ทีส่ ง่ เลือดออกจากหวั ใจ หัวใจข้าง ������ขวา (right) : เลือดเสยี ออกซิเจนต่า ������ซ้าย (left) : เลือดดี ออกซิเจนสูง #ระหว่างหัวใจหอ้ งบนและหวั ใจห้องล่างมีล้นิ หวั ใจน้ันเพอ่ื ปอ้ งกนั เลือดไหลยอ้ นกลบั

การทางานของหวั ใจ

การจบั ชีพจร ชีพจร คือ การขยายตวั และหดตัวของหลอดเลอื ดเเดงอยา่ งเปน็ จังหวะ #คนปกติ ประมาณ 75 ครั้ง ตอ่ นาที ������การจบั ชพี จรสามารถจบั ได้ที่บรเิ วณต่างๆ ������ข้อมอื ������ข้อพบั ศอก ������ขา้ งคอ ������ขาหนีบ ������หลังเทา้

อตั ราการเตน้ ของหัวใจ อตั ราการเตน้ ของหัวใจของคนปกตขิ ณะพักจะอยู่ระหว่าง 60-100 ครัง้ ต่อ นาทีและมีจงั หวะการเต้นคงที่สม่าเสมอ อัตราการเต้นของหัวใจในแต่ละคนอาจไม่ เท่ากันขึ้นอยู่กับเพศ อายุ นอกจากนี้กิจกรรมที่ทามีผลทาให้อัตราการเต้นของ หัวใจเปลีย่ นแปลงได้

ความดนั เลือด ในขณะทห่ี วั ใจบบี ตัวเพอ่ื สูบฉดี เลอื ดไปยังสว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกายและหัวใจคลายตวั เพ่ือรบั เลอื ดจะทาให้เกดิ แรงทเ่ี ลือดกระทาต่อผนังหลอดเลือด เรยี กวา่ ความดนั เลอื ด - โดยท่วั ไปผใู้ หญ่จะมคี วามดนั เลือดปกตขิ ณะพกั ประมาณ 100-140 มิลลิเมตรปรอท - ในช่วงหัวใจบีบตวั และในชว่ งหัวใจคลายตัว 60-90 มิลลเิ มตรปรอท - ผู้ทม่ี ีความดนั เลือดสงู คอื มีความดันเลอื ดมากกวา่ หรอื เทา่ กบั 140/90 มิลลิเมตรปรอท ประกอบดว้ ยตวั เลข 2 ค่า ⭐️คา่ แรกเปน็ ความดนั สูงสุดขณะหวั ใจบีบตวั หรือเรยี กว่าความดนั ซสี โทลกิ หรอื ตัวบน ⭐️ค่าหลังเป็นความดันขณะทห่ี ัวใจคลายตัวหรือความดันไดแอสโทลกิ หรือตัวลา่ ง เชน่ วดั ความดนั เลอื ดได้ 120/80 มลิ ลเิ มตรปรอท หมายความว่า ความดนั ซสี โทลกิ คือ 120 มลิ ลิเมตรปรอท ส่วนความดันโดแอสโทลิกคอื 80 มิลลิเมตรปรอท

������รหู้ รอื ไม่ เวลาอกหกั ทาไมร้สู ึกเจ็บทห่ี ัวใจจริง ๆ โรคหวั ใจสลาย หรือ โรคอกหกั (Broken heart syndrome) คอื การทเ่ี กดิ ภาวะหัวใจหยดุ เตน้ ชว่ั คราว จากการที่เราตอ้ งเผชิญหนา้ กบั สถานการณท์ ม่ี ีความเครยี ดอย่างกะทนั หนั เมอื่ มคี วามรกั สมองจะหลงั่ สารโดปามีน (Dopamine) ซงึ่ ทาใหค้ นเกดิ ความพงึ พอใจ สารออกซิโทซนิ (Oxytocin) ซึง่ มีหนา้ ทีล่ ดความเครยี ด และสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ที่ทาให้คนรสู้ ึกมคี วามสุข แตเ่ มื่ออกหักรา่ งกายจะหลงั่ ฮอร์โมนความเครียดไดแ้ ก่ คอร์ตซิ อล (Cortisol) และอะดรีนาลนี (Adrenaline) ออกมา มผี ลทาให้กลา้ มเนอ้ื ของรา่ งกายต้องการเลือดไปหล่อเลี้ยง มาก หัวใจจงึ ทางานหนกั มากตามไปด้วย การบบี ตวั ของหัวใจจงึ ทาให้เรารู้สึกเจ็บท่ีหวั ใจจรงิ ๆ นัน่ เอง

ระบบหายใจ

การหายใจ คือ การนาแกส๊ ออกซิเจนเขา้ กาจดั แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ เพอ่ื นาออกซิเจนไปทาปฏิกิรยิ ากบั สารอาหาร จะได้พลงั งาน (ATP) โดยปกติมนุษย์หายใจเข้าและออกประมาณ 10-15 ครั้งต่อนาที หรือ ประมาณ 18,720 ครั้งต่อวัน และการหายใจแต่ละครั้งจะมีอากาศเข้าและออก จากร่างกายประมาณ 500 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร

������อวยั วะทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั การหายใจ ไดแ้ ก่ ������กระดูกซี่โครง (rib) - โอบล้อมปอดทง้ั 2 ขา้ งไว้ ������กะบังลม (diaphragm) - เป็นแผน่ กลา้ มเน้อื ขนาดใหญ่อยดู่ า้ นล่างกัน้ ระหวา่ งชอ่ งอกกบั ชอ่ งทอ้ ง นอกจากนี้ อวัยวะในระบบหายใจประกอบดว้ ย ������จมกู ������ท่อลมปอด ซึ่งภายในมหี ลอดลม หลอดลมฝอยและถุงลม



การหายใจเข้า อากาศจากภายนอกจึงเคลื่อนท่เี ข้าสู่ปอด เปน็ การหายใจเขา้ (inhalation) ⭐️กลา้ มเนื้อกะบังลมหดตวั จะทาใหก้ ะบงั ลมลดตา่ ลง ⭐️กล้ามเนื้อระหว่างกระดูกซโ่ี ครงหดตัวจะทาให้กระดูกซโ่ี ครงยกตวั ขึ้น ⭐️ชอ่ งอกมีปรมิ าตรเพ่ิมข้ึน ⭐️ความดนั ภายในช่องอกลดลง การหายใจออก อากาศจึงเคลื่อนที่ออกจากปอดเป็นการหายใจออก (exhalation) ⭐️กลา้ มเนอ้ื กะบงั ลมคลายตวั จะทาให้กะบังลมยกตวั สูงข้นึ ⭐️กลา้ มเน้ือระหว่างกระดูกซโ่ี ครงคลายตวั จะทาให้กระดกู ซโี่ ครงลดต่าลง ⭐️ชอ่ งอกมปี ริมาตรลดลง ⭐️ความดนั ภายในของอกเพ่มิ ข้ึน

กลไกการหายใจเข้าและการหายใจออก อากาศ การหายใจเข้า การหายใจออก กลา้ มเน้ือยดึ กระดูกซโ่ี ครงแถบนอก ไหลเขา้ ปอด ไหลออกจากปอด กล้ามเนือ้ ยึดกระดกู ซี่โครงแถบใน หด คลาย กระดูกซี่โครง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลีย่ นแปลง กระบังลม ปรมิ าตรปอด ยกสงู ลดต่าลง ความดนั ต่าลง (หดตัว) โคง้ ข้ึน (คลายตวั ) กล้ามเนอ้ื หนา้ ทอ้ ง เพมิ่ ลด ลด เพม่ิ คลาย (ทอ้ งปอ่ ง) หด (ห้องแฟบ)

การเเลกเปล่ยี นแกส๊ การที่แก๊สออกซิเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศที่หายใจเข้าและหายใจออกมี ปริมาณเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากร่างกายนาแก๊สออกซิเจนที่ได้จากการหายใจเข้าไปใช้ใน กระบวนการสร้างพลังงานภายในเซลล์ ทาให้มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้น การที่ร่างกายจะ ได้รับแก๊สออกซิเจนและกาจัดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องอาศัยกระบวนการที่เรียกว่า การ แลกเปลี่ยนแกส๊ (gas exchange) การแลกเปลยี่ นแกส๊ ออกซเิ จนและแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์เกดิ ขึ้น 2 บริเวณ 1. บริเวณถุงลมในปอดกับหลอดเลือดฝอย 2. ระหวา่ งหลอดเลือดฝอยกับเซลล์

ความจุอากาศของปอด ความจุอากาศของปอดของแต่ละบุคคลอาจมีค่าไมเ่ ทา่ กนั โดยเปน็ ค่าทีไ่ ดจ้ ากปริมาตรของอากาศขณะหายใจเข้าเตม็ ท่ี แลว้ ผ่อนลมหายใจออกมาใหม้ ากทส่ี ุด ⭐️ปจั จัยท่มี ผี ลต่อความจุอากาศของปอด ������เพศ : เพศชายจะมคี วามจุอากาศของปอดมากกว่าเพศหญงิ ������อายุ : คนหนมุ่ สาวจะมคี วามจอุ ากาศของปอดมากกวา่ คนสูงอายุ ������ผู้ทอี่ อกกาลังกายอยา่ งสมา่ เสมอหรอื นักกีฬาจะมคี วามจอุ ากาศของปอดมากกว่าคนท่ัวไป

คนปกติ มะเร็งปอด ������ถงุ ลมโป่งพอง ������มะเรง็ ปอด ������วณั โรค ������ปอดติดเชอ้ื ������เปน็ ปจั จัยทจ่ี ะส่งผลให้ความจุอากาศของปอดลดลง

ระบบขับถา่ ย

การขับถา่ ยเป็นการกาจดั ของเสียทเ่ี กดิ ขน้ึ จากกระบวนการเปลี่ยนแปลง ทางเคมีต่าง ๆ ของเซลล์ในสิ่งมชี ีวติ ซง่ึ เป็นผลิตภณั ฑ์ท่ีเซลล์ไม่ต้องการ ������������ผลติ ภณั ฑท์ ่เี ซลล์ไมต่ ้องการ 1. สารท่ีมีปริมาณมากเกนิ ความต้องการ เช่น นา้ 2. สารทเี่ ปน็ พษิ ตอ่ รา่ งกาย เชน่ คารบ์ อนไดออกไซด์ 3. ของเสียทเ่ี ป็นสารประกอบไนโตรเจน

ภายในเซลลข์ องร่างกายมที ้ังกระบวนการสลายสารอาหารและการสังเคราะหส์ าร ตา่ ง ๆ ทาใหเ้ กดิ สารหลายชนดิ ทั้งท่เี ป็นประโยชน์และของเสยี ทเ่ี ปน็ อนั ตรายต่อร่างกาย ������ของเสียท่เี กดิ ขึ้น - แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ - แอมโมเนยี - ยเู รยี - กรดยูริก ⭐️รา่ งกายจาเปน็ ตอ้ งกาจดั ออก ผา่ นทาง : ไต ผวิ หนัง ปอด ลาไสใ้ หญ่

⭐️มนษุ ยก์ าจดั ของเสียในรา่ งกายได้หลายทาง เช่น - ปอดกาจัดแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์โดยผา่ นทางลมหายใจออก - ไตกาจดั ของเสียตา่ ง ๆ - น้าส่วนเกนิ ในรปู ปัสสาวะ #ในท่ีน้ีจะกล่าวเฉพาะเร่ืองการขบั ถา่ ยซ่งึ มีไตเป็นอวยั วะหลกั ������อวยั วะทเ่ี กยี่ วข้องกับการขับถา่ ยของเสีย ได้แก่ ������ไต (kidney) ������ท่อไต (ureter) ������กระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder) ������ท่อปสั สาวะ (urethra)



������ไต ไตเปน็ อวยั วะสาคญั ทีส่ ุดของระบบนี้ มี 2 อัน รปู ร่างคล้ายเมล็ดถ่ัวดา อยบู่ ริเวณในชอ่ งท้องสองขา้ งของกระดูกสนั หลังระดับเอว ⭐️ทาหนา้ ที่ - กรองสาร ดดู ซับนา้ ไอออน และสารอนื่ ๆ ท่จี าเปน็ ต่อรา่ งกายกลับเขา้ สู่กระแสเลือด - ขบั ไอออน และสารอน่ื ๆ ที่ร่างกายไมต่ ้องการ หรือมากเกนิ พอออกจากรา่ งกาย - เพื่อการปรับสมดุลความเปน็ กรด–เบสของร่างกาย

������ไต (ตอ่ ) ไตแต่ละขา้ งแบง่ เปน็ 2 ชน้ั ไดแ้ ก่ ไตชั้นนอกและไตชนั้ ใน ซึ่งแตล่ ะชั้นจะมหี ลอดเลอื ดแทรกและแตกแขนงอย่ทู ั่วไต ภายในไตประกอบไปด้วยหน่วยไต (nephron) เลก็ ๆ เป็นจานวนมาก หน่วยไตมสี ่วนประกอบ 2 สว่ น ไดแ้ ก่ ������������ส่วนที่เปน็ ท่อ ������������ส่วนที่เป็นหลอดเลือดฝอย

������ไต (ตอ่ )

������ท่อไต ท่อไต เป็นทอ่ 2 อนั ทีน่ าน้าปัสสาวะ ออกมาจากไตไปสู่กระเพาะปัสสาวะ ������กระเพาะปสั สาวะ กระเพาะปัสสาวะ เป็นถงุ ทเี่ กบ็ สะสมน้าปสั สาวะ ผวิ ด้านในมีรอยยน่ เรยี กว่า รูแก ซึง่ จะขยายออกได้ กระเพาะปสั สาวะปกติมคี วามจไุ ดป้ ระมาณ 500 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร ผใู้ หญ่ปกติจะถา่ ยปัสสาวะ 600-1600 มลิ ลิลติ ร/วัน ในเดก็ ไมส่ ามารถกล้ันปสั สาวะได้ เพราะระบบประสาทยังไม่สมบูรณ์ ������ท่อปสั สาวะ ท่อปสั สาวะ เปน็ ทอ่ ท่นี าปสั สาวะจากกระเพาะปัสสาวะ ออกจากร่างกาย

������กระบวนการขับของเสยี ออกจากไต ➢ ตรงปลายด้านหนึ่งของท่อจะพองออกเป็นกระเปาะเรยี กวา่ โบวแ์ มนแคปซูล (Bowrman's capsule) ภายในกระเปาะจะมีหลอดเลอื ดฝอย ๆ พนั กนั เปน็ กอ้ น กลมเรยี กวา่ โกลเมอรลู สั (stormerulus) บริเวณนจ้ี ะมีการกรองสารต่าง ๆ ออก จากเลอื ด ➢ สารตา่ ง ๆ จะเคล่อื นไปตามท่อหนว่ ยไต ระหวา่ งน้จี ะมีการดูดสารทมี่ ีประโยชน์ เชน่ กลโู คส กรดอะมิโน โซเดยี ม นา้ กลบั เขา้ สู่หลอดเลือดฝอยและกลับเขา้ สู่ ร่างกาย ➢ สารบางชนดิ เช่น ยา โพแทสเซยี มไอออน สารท่ีเปน็ กรด จะถูกขบั เข้าสทู่ ่อหน่วย ไต ไปรวมกันทกี่ ระเพาะปัสสาวะและถูกขบั ออกทางทอ่ ปสั สาวะ

ระบบประสาท

ทาหน้าทใี่ นการควบคมุ การทางานของอวัยวะทุกอวยั วะของร่างกาย รวมถงึ การแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ เพอื่ ตอบสนองต่อสง่ิ เร้า ������ระบบประสาทของมนุษย์ ประกอบดว้ ย ������สมอง (brain) ������ไขสนั หลงั (spinal cord) ������เสน้ ประสาท (nerve)

ระบบประสาทสว่ นกลาง สมองและไขสนั หลงั เป็นศนู ยก์ ลางควบคมุ การทางานของอวัยวะทุกส่วนของรา่ งกาย จงึ เรยี กวา่ ระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system) ������สมอง สัง่ การ ประมวลผล เรียนรู้ จดจา ������������สมองอยู่ภายในกะโหลกศรี ษะ - มนี ้าหนักประมาณ 1.3 - 1.4 กโิ ลกรัม - แบ่งออกเปน็ ส่วนๆ (หน้า กลาง หลัง) - แต่ละสว่ นจะทาหนา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ������������สมองประกอบด้วยส่วนหลัก ๆ ได้แก่ ซีรีบรมั ซีรีเบลลัม และกา้ นสมอง

������ซีรีบรมั (cerebrum) เปน็ ส่วนท่ีมีขนาดใหญ่ท่สี ดุ ของสมอง ทาหน้าท่เี ก่ยี วกบั การจา การคิด สตปิ ญั ญา การตัดสินใจ ความมีเหตผุ ล การพูด การเคล่ือนไหว การรับรู้และการตอบสนอง ������ซีรีเบลลัม (cerebellum) ทาหนา้ ท่เี กี่ยวกับการควบคมุ การทรงตัวและการเคลื่อนไหว ของกล้ามเนื้อตา่ ง ๆ ������ก้านสมอง (brain stem) ทาหน้าท่ีควบคุมการหายใจ การเตน้ ของหัวใจ ความรูส้ กึ รอ้ นหนาว และ อุณหภูมขิ องร่างกาย

������รู้หรอื ไม่ กล้นั ใจตายไมม่ อี ยูจ่ ริง555 เพราะเมื่อเรากลัน้ หายใจนาน ๆ จะทาใหเ้ ลือดมีความเป็นกรดมากขึน้ เนอ่ื งจากแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไมถ่ กู ปล่อยออกไป ปริมาณ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซดน์ ี่แหละจะไปกระตุ้นสมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตาท่ี อยู่ในสว่ นกา้ นสมองสง่ั การให้ระบบหายใจกลับมาทาหน้าท่ปี กตเิ หมือนเดิม เฮอ้ อยากตายก็ไมไ่ ด้ตาย������

������ไขสนั หลงั เป็นส่วนทต่ี ่อลงมาจากกา้ นสมองตามแนวยาวภายในช่องของกระดกู สนั หลัง ⭐️หน้าทห่ี ลักของไขสนั หลงั คือ - เชอ่ื มตอ่ การทางานระหว่างสมองและเส้นประสาท - สง่ สัญญาณจากเส้นประสาทไปยงั สมอง - เปน็ ศนู ยก์ ลางควบคุมการตอบสนองอยา่ งทันทีทันใดของรา่ งกาย - ควบคมุ ปฏิกริ ยิ ารเี ฟล็กซ์