Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Description: R2R

Search

Read the Text Version

ค�ำ นำ� สำ�นักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ ได้มอบหมายให้สำ�นักงานส่งเสริม และสนับสนุนวิชาการ 1-11 (สสว.1-11) ดำ�เนินโครงการศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม ในระดับพนื้ ที่ โดยกจิ กรรม การพัฒนางานประจ�ำ สู่งานวจิ ยั เปน็ กจิ กรรมย่อย ซ่งึ มีวตั ถุประสงคเ์ พ่อื พัฒนาศกั ยภาพ บุคลากรในหน่วยงานและภาคีเครือข่ายให้มีทักษะการทำ�วิจัยด้วยกระบวนการการพัฒนางานประจำ�สู่งานวิจัย หรอื (Routine to Research : R2R) เปน็ เครอ่ื งมอื ในการพฒั นาคน การท�ำ งาน และองคก์ รอยา่ งเปน็ ระบบ เพอ่ื น�ำ ไปสู่ องค์กรแหง่ การเรียนรู้ ส�ำ นกั งานสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ วชิ าการ 6 เปน็ สว่ นราชการสว่ นกลางทต่ี ง้ั อยใู่ นสว่ นภมู ภิ าค มอี �ำ นาจหนา้ ที่ ในการสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ งานดา้ นวชิ าการ องคค์ วามรขู้ อ้ มลู สารสนเทศ ใหค้ �ำ ปรกึ ษา แนะน�ำ แกห่ นว่ ยงานบรกิ าร กลุ่มเป้าหมายในพืน้ ท่ี องคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น องคก์ รภาคเอกชนและประชาชน รวมถึงหน่วยงานภาคีเครือข่าย ที่เก่ียวข้อง จึงไดจ้ ัดทำ�รายงานผลการดำ�เนนิ งาน “การพัฒนางานประจ�ำ สู่งานวิจยั (Routine to Research : R2R) เร่ืองการพัฒนาการดำ�เนินงานและการบันทึกข้อมูลผู้ขอรับสิทธิเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ร่วมกับ สำ�นักงานพัฒนา สงั คมและความมนั่ คงของมนษุ ย์ จงั หวดั อบุ ลราชธานี เพอ่ื รวบรวมองคค์ วามรเู้ กย่ี วกบั การพฒั นางานประจ�ำ สงู่ านวจิ ยั ผู้จัดทำ�หวังเป็นอย่างย่ิงว่า รายงานฉบับน้ีจะเป็นประโยชน์กับหน่วยงานกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์และภาคีเครือข่าย สามารถนำ�ไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางการ “การพัฒนางานประจำ�สู่งาน วิจยั ” ของหน่วยงานต่อไป สำ�นักงานส่งเสรมิ และสนับสนนุ วิชาการ 6  กันยายน 2563 รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพัฒนางานประจำ�สงู่ านวิจยั (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 ก

สารบัญ หนา้ ก ข คำ�น�ำ ค สารบญั ง สารบัญตาราง 1 สารบัญภาพ 3 ส่วนที่ 1 บทน�ำ 7 โครงการศูนย์บรกิ ารวิชาการพฒั นาสงั คมและจัดสวสั ดิการสงั คมในระดับพนื้ ท ี่ 9 การพฒั นางานประจ�ำ ส่งู านวิจยั 9 แนวคดิ การพัฒนางานประจ�ำ ส่งู านวิจยั 14 กระบวนการท�ำ การพัฒนางานประจำ�สู่งานวิจัย 14 - ตามหาโจทยว์ ิจยั 17 - ทบทวนวรรณกรรม 30 - กรอบแนวคดิ การวิจยั 40 - ออกแบบการวิจัย 40 - การท�ำ วิจยั เชิงปรมิ าณ - การท�ำ วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ 43 - การเขียนโครงร่างการวจิ ยั 54 - การเขยี นรายงานวจิ ัย 56 สว่ นท่ี 2 ผลการพฒั นางานประจ�ำ สู่การวจิ ัย (Routine to Research : R2R) ประจำ�ปี 2563 เรอื่ งการพัฒนาการด�ำ เนินงานและการบนั ทกึ ข้อมูล ผ้ขู อรบั สทิ ธ์ิเงนิ อดุ หนุนเด็กแรกเกดิ ส�ำ นักงานพัฒนาสงั คมและความมัน่ คงของมนุษย์ จงั หวัดอุบลราชธานี ส่วนท่ี 3 ภาพกิจกรรม คณะผู้จัดทำ� ข รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพฒั นางานประจ�ำ สงู่ านวจิ ัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563

สารบัญตาราง หน้า 8 ตารางท ่ี 9 1.1 กระบวนการวจิ ยั 13 1.2 เปรียบเทียบข้นั ตอนการวิจยั ในงานประจ�ำ งานวจิ ัย และการปฏิบตั งาน 18 1.3 เคร่อื งมอื วิเคราะหป์ ญั หา 20 1.4 ประเภทของการวิจยั แบง่ ตามระเบียบวธิ ีวจิ ัย 20 1.5 ประเภทของการวจิ ัยแบง่ ตามแนวคดิ พ้นื ฐานการวจิ ัย 21 1.6 ประเภทของการวิจัยแบง่ ตามวัตถุประสงค์ของการวิจยั 22 1.7 การเลอื กวธิ ีการวจิ ัย 36 1.8 การเลอื กวธิ กี ารเก้บข้อมูล 37 1.9 กระบวนการจำ�แนกข้อมูลแบบใช้ทฤษฎ ี 38 1.10 การเปรยี บเทียบขอ้ มูล 38 1.11 ตัวอย่างการวิเคราะห์สว่ นประกอบโดยใชข้ อ้ มลู ผนู้ ำ�กลุ่ม อพม. 1.12 ตวั อย่างการวิเคราะห์จดุ อ่อน จุดแขง็ โอกาส อปุ สรรค รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพัฒนางานประจ�ำ สู่งานวจิ ัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563 ค

สารบัญภาพ หนา้ 8 ภาพที ่ 10 1.1 กระบวนการน�ำ ความรู้ปฏิบตั ิสูค่ วามรู้เชงิ ทฤษฎี 12 1.2 ความสัมพันธร์ ะหวา่ งปัจจยั ในการบรหิ ารมุ่งผลสำ�เรจ็ และผลที่เกิดขึ้น 16 1.3 แสดงวิธกี ารคัดเลือกปญั หาที่นำ�มาท�ำ วจิ ัย 16 1.4 แสดงกระบวนการ/ขั้นตอนโครงการวจิ ัยจากจดุ เริม่ ตน้ -ส้ินสดุ ของกรอบแนวคดิ 35 1.5 การจ�ำ ลองเพ่อื แสดงรปู แบบและทิศทางของความสมั พันธร์ ะหวา่ งตวั แปร 45 1.6 การวิเคราะห์แบบอปุ นัย 2.1 กรอบแนวคดิ ง รายงานผลการดำ�เนินงาน การพฒั นางานประจ�ำ สูง่ านวจิ ยั (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563

โครงการศูนย์บริการวชิ าการพฒั นาสงั คมและจัดสวัสดิการสงั คมในระดับพน้ื ท่ี 1. หลกั การและเหตผุ ล ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) กำ�หนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งค่ัง ย่ังยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” หรือเป็นคติพจน์ ประจำ�ชาติ “ม่ันคง ม่ังคั่ง ยั่งยืน” โดยยุทธศาสตร์ท่ีเก่ียวข้องกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 4 ยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม กลยุทธ์ที่ 1 การสร้างความมั่นคง ทางเศรษฐกิจและสังคมให้คนทุกกลุ่มในสังคม กลยุทธ์ที่ 2 การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการทางสังคมอย่างท่ัวถึง กลยุทธ์ที่ 3 การเสริมสรา้ งพลังทางสงั ค กลยทุ ธท์ ่ี 4 การสร้างความสมานฉนั ทใ์ นสงั คม และแผนการปฏริ ูปประเทศ ทางสงั คมได้สรปุ ประเดน็ หลกั ทีต่ ้องเร่งด�ำ เนินการปฏริ ปู ใน 5 เร่อื งส�ำ คญั ไดแ้ ก่ 1) การออม สวัสดกิ ารและการลงทนุ เพอ่ื สงั คม 2) การชว่ ยเหลือและเพ่มิ ขดี ความสามารถกลมุ่ ผเู้ สียเปรยี บในสงั คม 3) การจัดการขอ้ มลู และองค์ความรู้ ทางสังคม 4) การพัฒนาระบบสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง และ 5) การสร้างการมีส่วนร่วม การเรียนรู้ การรับรู้ และการส่งเสริมกจิ กรรมทางสังคม นอกจากนี้ นโยบาย กระทรวงการพัฒนาสงั คมและความมัน่ คงของมนษุ ย์ได้ให้ ความส�ำ คญั กบั การพฒั นาระบบสวสั ดกิ ารสงั คม การบรู ณาการการท�ำ งานรว่ มกนั ภายในกระทรวง และภาคเี ครอื ขา่ ย การพัฒนาทักษะบุคลากรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาระบบฐานข้อมูล และการส่งเสริมสนับสนุน การทำ�งานของภาคเี ครือขา่ ยในพืน้ ท่ี ดงั น้นั ส�ำ นักงานส่งเสริมและสนบั สนุนวชิ าการ 1 - 11 (สสว.1 - 11) เปน็ สว่ นราชการสว่ นกลางทต่ี ัง้ อยู่ ในส่วนภูมิภาค มีอำ�นาจหน้าท่ีในการพัฒนาด้านวิชาการเก่ียวกับการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ใหส้ อดคลอ้ งกบั พนื้ ทแี่ ละเปา้ หมาย สง่ เสรมิ และสนบั สนนุ งานดา้ นวชิ าการ องคค์ วามรู้ ขอ้ มลู สารสนเทศ ใหค้ �ำ ปรกึ ษา แนะนำ�แก่หน่วยงานบริการกลุ่มเป้าหมายในพ้ืนที่บริการ ในความรับผิดชอบ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมน่ั คงของมนษุ ย์ รวมทง้ั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ องคก์ รภาคเอกชนและประชาชน และหนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์และสภาพแวดล้อม เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์ทางสังคมและผลกระทบ รวมทง้ั ใหข้ อ้ เสนอแนะการพฒั นาสงั คม และการจดั ท�ำ ยทุ ธศาสตรใ์ นพน้ื ทก่ี ลมุ่ จงั หวดั สนบั สนนุ การนเิ ทศงานตดิ ตาม และประเมนิ ผลการด�ำ เนนิ งานเชงิ วชิ าการตามนโยบายและภารกจิ ของกระทรวงในพน้ื ทก่ี ลมุ่ ของจงั หวดั โดยกระทรวง การพฒั นาสงั คมและความมน่ั คงของมนษุ ยไ์ ดม้ อบหมายใหส้ �ำ นกั งานสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ วชิ าการ 1 - 11 เปน็ กลไก ขบั เคลอ่ื นนโยบายภารกจิ จากสว่ นกลางไปสกู่ ารปฏบิ ตั งิ านในระดบั พน้ื ทใ่ี หเ้ ปน็ รปู ธรรม จงึ ไดพ้ ฒั นาศนู ยบ์ รกิ ารวชิ าการ พัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคมให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาศักยภาพ การจัดการองค์ความรู้ การให้คำ�ปรึกษา วชิ าการทคี่ รบวงจร เปน็ หนว่ ยเคลอื่ นทท่ี างวชิ าการเชงิ รกุ เพอ่ื สง่ เสรมิ สนบั สนนุ วชิ าการแกห่ นว่ ยงานทกุ กลมุ่ เปา้ หมาย ในความรับผิดชอบของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อาสาสมัครและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคมท่ีเป็นระบบและเหมาะสมกับบริบทพ้ืนท่ี รวมทั้งพัฒนาให้มีแหล่งเรียนรู้ ต้นแบบเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาการจัดบริการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนวิธีการทำ�งาน ทั้งเชิงมิติพ้ืนที่ เชิงประเด็น และเชิงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และประสทิ ธผิ ลมากข้ึน โดยไม่ทิง้ ใครไวข้ า้ งหลงั รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพัฒนางานประจำ�สู่งานวจิ ยั (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563 1

2. วตั ถุประสงค์ เพื่อจัดบริการในศูนย์บริการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมกับบริบทพ้ืนท่ีโดยการเพ่ิม ศกั ยภาพบคุ ลากร ขอ้ มลู สารสนเทศ และองคค์ วามรดู้ า้ นการพฒั นาสงั คมและจดั สวสั ดกิ ารสงั คม รวมทงั้ เปน็ หนว่ ยงาน เคล่ือนที่ทางวิชาการเชิงรุกแก่หน่วยงานบริการทุกกลุ่มเป้าหมายในความรับผิดชอบ ของกระทรวงการพัฒนา และความม่นั คงของมนุษย์ อาสาสมัครและภาคีเครือขา่ ยทีเ่ ก่ยี วขอ้ งด�ำ เนินการ 3. กลมุ่ เปา้ หมาย 3.1 บคุ ลากรหน่วยงานในสงั กดั กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมน่ั คงของมนษุ ย์ อาสาสมัคร และภาคี เครือข่ายที่เก่ียวข้องในพน้ื ที่รบั ผิดชอบ 3.2 บุคลากรส�ำ นักงานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ 1-11 และกองมาตรฐานการพฒั นาสังคม และความ มั่นคงของมนษุ ย์ 4. วิธีด�ำ เนินงาน 4.1 การประชมุ วางแผนการด�ำ เนนิ งานของศนู ยบ์ รกิ ารวชิ าการพฒั นาสงั คมและจดั สวสั ดกิ ารสงั คมประจ�ำ ปี งบประมาณ พ.ศ. 2563 4.2 การบริหารจัดการเพื่อพัฒนาศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคมให้เหมาะสมกับ บรบิ ทพนื้ ท่ี โดยมเี จา้ หน้าท่ที ำ�งานแบบมสี ว่ นร่วมกับหนว่ ยงานบรกิ ารในพนื้ ท่ีความรับผิดชอบ 4.3 การจดั บรกิ ารศนู ย์บริการวิชาการพฒั นาสงั คมและจดั สวัสดกิ ารสงั คม โดยมีกจิ กรรม อาทิ 1) การเพ่ิมความรู้และทักษะด้านการบริหารแก่บุคลากรกระทรวงการพัฒนาสังคม และความม่ันคง ของมนษุ ย์ บคุ ลากรศนู ยบ์ รกิ ารวชิ าการพฒั นาสงั คมและจดั สวสั ดกิ ารสงั คม อาสาสมคั ร และภาคเี ครอื ขา่ ยทเี่ กยี่ วขอ้ ง ในพน้ื ทรี่ ับผิดชอบ 2) การพัฒนางานประจ�ำ สกู่ ารวิจยั (Routine to Research : R2R) 3) การจดั การความรู้ (Knowledge Management : KM) 4) การดำ�เนินงานในพน้ื ทป่ี ฏิบตั ิการพฒั นาสังคม (Social Lab) 5) การพฒั นาระบบขอ้ มูลเครอื ขา่ ยด้านการพฒั นาสังคมและจัดสวัสดกิ ารสงั คม 6) การด�ำ เนนิ งานหน่วยเคลอื่ นทีท่ างวิชาการเชงิ รุกในพื้นทีร่ ับผดิ ชอบ 4.4 การติดตามผลการดำ�เนินงาน การถอดบทเรียนเพื่อพัฒนาศูนย์บริการพัฒนาสังคม และจัดสวัสดิการ สังคมในระดบั พ้นื ทใี่ หเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผล 5. พนื้ ท่ีดำ�เนินการ พื้นทีร่ ับผิดชอบของส�ำ นักงานส่งเสรมิ และสนบั สนุนวิชาการ 1-11 6. ระยะเวลาดำ�เนินการ ตัง้ แต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 ถงึ เดือนกนั ยายน พ.ศ. 2563 7. งบประมาณดำ�เนินการ โดยเบกิ จา่ ยจากงบประมาณรายจ่ายประจำ�ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ไปพลางกอ่ น ปงี บประมาณ พ.ศ. 2563 แผนงานยทุ ธศาสตรส์ รา้ งความมนั่ คงและลดความเหลอ่ื มล�้ำ ทางดา้ นเศรษฐกจิ และสงั คม โครงการชว่ ยเหลอื คมุ้ ครอง 2 รายงานผลการดำ�เนนิ งาน การพัฒนางานประจำ�ส่งู านวจิ ยั (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563

ผู้ประสบปัญหาทางสังคม กิจกรรมหลัก ส่งเสริม ประสานและดำ�เนินงานช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม งบด�ำ เนนิ งาน หรอื พระราชบญั ญตั งิ บประมาณรายจา่ ยประจ�ำ ปงี บประมาณ พ.ศ. 2563 และไดร้ บั อนมุ ตั เิ งนิ ประจ�ำ งวด จากส�ำ นกั งบประมาณ โดยปฏบิ ตั ิตามระเบยี บ 8. ผู้รบั ผดิ ชอบโครงการ 8.1 ส�ำ นักงานส่งเสริมและสนับสนนุ วชิ าการ 1-11 8.2 กลุ่มส่งเสริมการบูรณาการงานของสำ�นักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1-11 กองมาตรฐานการ พัฒนาสังคมและความมน่ั คงของมนษุ ย์ 9. ผลที่คาดวา่ จะไดร้ บั 9.1 บุคลากรหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อาสาสมัครและภาคี เครือข่ายท่ีเก่ียวข้องในพื้นท่ีรับผิดชอบ ได้รับความรู้ ทักษะ ข้อมูลสารสนเทศ และแนวทางการพัฒนาสังคมและ จัดสวสั ดิการสงั คมเพือ่ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการช่วยเหลือผ้ปู ระสบปัญหาทางสังคม 9.2 มีองค์ความรู้ รูปแบบและแหล่งการเรียนรู้ด้านการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม ในแต่ละบริบทพ้ืนที่เพื่อประยุกต์ใช้ในการพัฒนาจัดบริการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมในการพัฒนาสังคม จดั บริการช่วยเหลอื ผู้ประสบปัญหาทางสงั คมให้เกิดประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ลมากขึน้ การพัฒนางานประจำ�สงู่ านวจิ ยั หรอื Routine to Research : R2R ความเป็นมา จดุ เร่ิมต้นจากแผนการพัฒนางานวจิ ยั ของคณะแพทยศาสตรศ์ ิรริ าชพยาบาล เมอื่ ปี พ.ศ. 2546 โดยมุ่งเปา้ ให้เกดิ ประสิทธภิ าพและความเช่อื มโยงของการวจิ ัยทั้ง 3 ดา้ นของคณะฯ อนั ไดแ้ ก่ Biomedical Research การวิจัย ทางคลินิกรวมท้งั ทางดา้ น Clinical Trials และการบริการสุขภาพ ปัญหาสำ�คัญทีผ่ บู้ รหิ ารคณะฯ ในขณะนั้นเห็นตรง กนั ในการขับเคลอื่ นไปสคู่ วามสำ�เร็จของการพฒั นางานวจิ ัย คอื การบริหาร จัดการวจิ ยั (research management) จึงเกิดการดำ�เนินการเพ่ือพัฒนาบุคลากรท่ีมีความสามารถ บริหารจัดการวิจัย และสร้างหน่วยบริหารจัดการวิจัย ทีม่ ปี ระสิทธภิ าพข้ึน ผ้บู รหิ ารคณะฯ ในขณะน้ันจึงได้เชญิ ผู้เชยี่ วชาญดา้ นบริหารจัดการวจิ ยั จากมูลนิธิสาธารณสุข แหง่ ชาติ (มสช.) มาเปน็ ทปี่ รกึ ษา และรว่ มกนั วางแผนเพอ่ื ด�ำ เนนิ การสเู่ ปา้ หมายทต่ี อ้ งการ และรว่ มกนั จดั ตงั้ โครงการ พัฒนางานประจ�ำ สู่งานวจิ ยั (Routine to Research Project : R2R) ขน้ึ เพื่อพฒั นาการวจิ ัยบรกิ ารสขุ ภาพ โดยมีแนวคิดว่าการทำ�งานหรือการบริการจำ�ต้องมีการพัฒนาและการพัฒนาท่ีดีน้ันควรมีรากฐานมาจากหลักฐาน ทางการวจิ ยั กลา่ วคอื มเี หตผุ ลรองรบั ในการปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ การบรกิ ารตอ้ งมกี ารพฒั นาตลอดเวลา ทง้ั น้ี เพราะความรู้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อีกทั้งวิธีการรักษาผู้ป่วยจำ�นวนไม่น้อยมิได้เป็นความจริงท่ีมีข้อสรุปแน่นอน ดงั นน้ั จงึ จ�ำ เปน็ ตอ้ งมกี ารสงั เกตและน�ำ ขอ้ สรปุ จากการวจิ ยั มาปรบั ปรงุ การดแู ลผปู้ ว่ ยอยตู่ ลอดเวลาเชน่ กนั หรอื อาจมอง ไดว้ า่ เปน็ โชคดที ผี่ ปู้ ฏบิ ตั งิ านประจ�ำ จะสามารถสรา้ งงานวจิ ยั ประเภทนไ้ี ดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งเพราะ “R2R กค็ อื รปู แบบหนงึ่ ของการผสมผสานระหวา่ งการพฒั นาคุณภาพและการวิจัย” ในระยะเริ่มแรกของโครงการ R2R ท่ีศิริราช มุ่งเน้นท่ีการพัฒนาฐานเดิมที่สำ�คัญในการพัฒนาปรับปรุง กระบวนการดูแลผู้ป่วย คือ การรวมกลมุ่ สหสาขาวิชาชพี ซ่งึ ประกอบด้วยบุคลากรทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง ไดแ้ ก่ แพทย์ พยาบาล รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพัฒนางานประจ�ำ สู่งานวจิ ยั (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563 3

ทันตแพทย์ เภสัชกร นักโภชนาการ ฯลฯ หรือที่เรียกว่า care team เพ่ือทำ�งานพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาล ตามมาตรฐานจากสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (พ.ร.พ.) ซ่ึงโรงพยาบาลศิริราชได้รับการรับรอง ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2545 เหตทุ เี่ หน็ วา่ กลมุ่ care team นเ้ี ปน็ ฐานเดมิ หรอื ตน้ ทนุ ทส่ี �ำ คญั ส�ำ หรบั การท�ำ งาน R2R กเ็ พราะวา่ การท�ำ งานของ Care Team น้ันส่วนใหญ่ใชร้ ูปแบบ ของการพัฒนาคุณภาพอยา่ งตอ่ เนอ่ื งสยบงานจำ�เจดว้ ยการวิจัย สโู่ ลกใหมข่ องงานประจ�ำ (Continuous Quality Improvement ; CQI) หากพจิ ารณาอยา่ งถถ่ี ว้ นกจ็ ะพบวา่ การท�ำ งาน CQI นั้นเร่ิมจาก การทบทวนหาหลักฐานอ้างอิงหรือ ตัวอย่างท่ีดีเยี่ยมมาวางแผนการพัฒนาเพ่ือการเปลี่ยนแปลง ต่าง ๆ จากน้ันก็ลองนำ�วิธีพัฒนานั้นมาใช้จริง และที่สำ�คัญต้องมีการตรวจสอบผลลัพธ์ว่าเป็นจริงตามที่คาดไว้ หรือไม่ เม่อื ได้ผลดี กน็ �ำ มาใชใ้ นหนว่ ยงานนน้ั ๆ และยงั อาจขยายผลไปใช้ข้ามหน่วยงานได้อีกดว้ ย ซ่ึงกระบวนการนี้ คล้ายกับการทำ�งานวิจัยอย่างมาก หากมีการสนับสนุนท่ีเหมาะสม บุคลากรที่มีประสบการณ์ในการทำ�งาน CQI กน็ ่าจะสามารถพัฒนาการเปน็ การวจิ ยั ได้อยา่ งรวดเรว็ ทงั้ ยงั สรา้ งโอกาสใหบ้ ุคลากรท่ที �ำ งานพัฒนาคณุ ภาพสามารถ สร้างผลงานใหก้ บั ตนเองและหนว่ ยงานอกี ด้วย โครงสร้างของโครงการพัฒนางานประจำ�สู่งานวิจยั ทีค่ ณะแพทยศาสตร์ศริ ริ าชพยาบาล ประกอบดว้ ย 1. สำ�นกั งานโครงการ 2. คณะท�ำ งาน 2 ชุด ได้แก่ 2.1 ทมี บรหิ ารงานกลาง (core team) ซงึ่ เปน็ กลมุ่ อาจารยแ์ พทยท์ ใี่ หเ้ วลาท�ำ งาน กบั โครงการอยา่ งมาก รองคณบดฝี า่ ยวจิ ัย รองคณบดฝี า่ ยพฒั นาคณุ ภาพ และทีป่ รกึ ษาจากมลู นธิ ิสาธารณสุขแห่งชาติ 2.2 คณะทำ�งานที่เรียกว่า cluster facilitators หรือกลุ่มอาจารย์แพทย์และพยาบาล ท่ีมีความรู้ ดา้ นการวจิ ยั ซงึ่ ท�ำ หนา้ ทเี่ ปน็ ทป่ี รกึ ษาดา้ นวชิ าการใหก้ บั ทมี ผเู้ รม่ิ คดิ ท�ำ วจิ ยั หากมกี ารสนบั สนนุ ทเ่ี หมาะสมบคุ ลากร ทีม่ ปี ระสบการณ์ ในการทำ�งาน CQI กน็ า่ จะสามารถพฒั นาการเป็นการวจิ ยั ได้อย่างรวดเรว็ 3. คณะกรรมการ 2 ชดุ ได้แก่ 3.1 คณะกรรมการดำ�เนินการ ประกอบด้วย หัวหน้าหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง คือ งานจัดการความรู้ งานบรหิ ารทรพั ยากรสขุ ภาพ งานพฒั นาคณุ ภาพ และงานวจิ ยั และวชิ าการฝา่ ยการพยาบาล เพอื่ สอื่ สารรว่ มกนั ท�ำ งาน ขบั เคลือ่ นงานท่ัวทงั้ องคก์ ร 3.2 คณะกรรมการนโยบาย ประกอบดว้ ย ผบู้ รหิ ารระดบั สงู ของคณะแพทยศาสตร์ เพอื่ ชว่ ยใหแ้ นวทาง ในการดำ�เนินการชัดเจน และเป็นผู้สื่อสารถึงทิศทางการพัฒนาองค์กรท่ีคณะฯ ต้องการ การทำ�งานที่ผ่านมา ของโครงการ R2R ไดด้ �ำ เนนิ การเชงิ รกุ โดยใชแ้ นวทางการจดั การความรมู้ าประยกุ ตอ์ อกแบบเปน็ กจิ กรรมหลากหลาย มุ่งเป้าให้เกิดความต่ืนตัว ความสนใจ และการเห็นคุณค่าของการทำ�งานวิจัยจากงานประจำ�ในหน่วยงานต่าง ๆ และมีกิจกรรมทส่ี ่งเสรมิ การเรยี นรเู้ พื่อพัฒนาโครงร่างการวจิ ัยทไี่ ดค้ ณุ ภาพดี และส่งเสรมิ การท�ำ งานวิจัยไดส้ ำ�เรจ็ จรงิ ตามเปา้ หมาย จากการทำ�งานท่ีผ่านมาทำ�ให้ทราบว่า การนำ�การจัดการความรู้มาใช้น้ัน สามารถปฏิบัติได้ผลดีจริง ๆ กจิ กรรมทีจ่ ัดข้นึ อยา่ งสมำ�่ เสมอ คอื การจัดให้มีการเล่าเรื่องแหง่ ความส�ำ เรจ็ (success story telling) ซ่ึงสามารถ เร้าอารมณ์ให้ผฟู้ งั ได้ซาบซงึ้ เกดิ ความฮึกเหมิ ท่จี ะเริ่มทำ�งานวิจยั จากงานประจำ� นอกจากน้ี success story telling ยงั เปน็ เครอ่ื งมอื ทสี่ ามารถสอื่ สารเรอื่ งทซ่ี บั ซอ้ นไดด้ มี าก เชน่ เรอื่ งระเบยี บวธิ วี จิ ยั ตา่ ง ๆ นน้ั เมอ่ื เชญิ ทมี วจิ ยั ทสี่ ามารถ ทำ�งานวิจัยได้เป็นอย่างดีมาเล่าให้กับกลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อพัฒนาโครงร่างการวิจัย พบว่า สามารถสื่อสาร ได้ดีมาก เน่ืองจากเป็นผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรง เคยผ่านปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ มาก่อนทั้งยังทำ�ให้ผู้เล่าและผู้ฟัง ไดร้ ูจ้ กั กัน เกดิ ความสัมพนั ธ์ทดี่ ีระหว่างหน่วยงานตา่ ง ๆ อีกด้วย ชว่ ยขจัด “ความกลัวการวจิ ยั ” ซง่ึ พบในบุคลากร 4 รายงานผลการด�ำ เนินงาน การพัฒนางานประจ�ำ สู่งานวิจัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563

ที่ปฏิบัติงานประจำ� ส่วนใหญ่ แม้แต่ในคณะแพทยศาสตร์ก็ตามให้กล้าต้ังคำ�ถามแสวงหาคำ�ตอบ กล้าสร้าง ความเปลี่ยนแปลง อันเอื้อประโยชน์ต่อ “การพัฒนา” ไม่รู้จบ นอกจากนี้ โครงการ R2R ท่ีศิริราชยังอำ�นวย ความสะดวกในการประสานผู้ที่เก่ียวข้องในการพัฒนางานวิจัยจากงานประจำ�ทั้งภายในและภายนอกคณะฯ ดว้ ยอาทิ สถานสง่ เสรมิ การวจิ ยั คณะกรรมการจรยิ ธรรมการวจิ ยั ในคน คณะพยาบาลศาสตร์ และคณะกายภาพบ�ำ บดั มหาวิทยาลยั มหดิ ล เปน็ ต้น เพอื่ ร่วมพฒั นางานวิจัยที่มเี ปา้ หมายเพื่อพัฒนาคณุ ภาพงานประจำ�และสรา้ งผลงานวิจยั อยา่ งต่อเนื่อง อีกท้งั ยงั ดูแลการใหท้ ุนสนับสนุนโครงการวจิ ยั ประเภทน้อี ีกด้วย ความหมายของ R2R R2R ย่อมาจาก Routine to Research หรือ การพฒั นางานประจำ�สู่งานวจิ ัย หมายถึง การสร้างความรู้ จากการท�ำ งานในชวี ติ ประจ�ำ วนั (งานประจ�ำ ) โดยใชก้ ระบวนการท�ำ วจิ ยั เปน็ เครอื่ งมอื เพอ่ื เกบ็ รวบรวมและวเิ คราะห์ ขอ้ มลู อยา่ งเป็นระบบ นำ�ไปพัฒนางานที่ตนรบั ผิดชอบอยา่ งตอ่ เน่ืองและให้เกดิ ประสิทธิภาพมากยิ่งขนึ้ โดยผลลัพธ์ ของ R2R ไม่ได้หวังเพียงได้ผลงานวิจัย แต่มีเป้าหมายเพ่ือนำ�ผลงานวิจัยไปใช้พัฒนางานประจำ�น้ัน ๆ ดังนั้น R2R จงึ เปน็ เครอื่ งมอื ในการพฒั นาคน เพอื่ พฒั นางาน ขบั เคลอื่ นองคก์ ร ไปสอู่ งคก์ รแหง่ การเรยี นรู้ (Learning Organization) นิยามผลงานวิจยั R2R มี 7 ประเภท 1. งานบริการระดับปฐมภูมิ หมายถงึ ผลการวจิ ยั R2R ทเี่ กยี่ วข้องกบั การใหบ้ ริการแก่ชมุ ชน ทั้งในหนว่ ย บริการและในชุมชน ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการฟ้ืนฟูสุขภาพที่ให้ความสำ�คัญกับสุขภาพ ในมติ ทิ ีก่ ว้างกวา่ บริการทางการแพทยแ์ ละสาธารณสุข 2. งานบริการระดบั ทตุ ยิ ภูมิ หมายถงึ ผลงานวจิ ัย R2R ทีเ่ กีย่ วข้องกบั การใหบ้ รกิ าร ในโรงพยาบาลชุมชน ขนาด 10, 30 - 60, 90 - 120 และ 120 เตยี งหรอื มากกวา่ โดยบคุ ลากรทางการแพทย์ รวมถึงเภสชั กรใหบ้ ริการ ผู้ป่วยนอกห้องจ่ายยา 3. การบริการระดับตติยภูมิ ศูนย์เชี่ยวชาญระดับสูงและโรงเรียนแพทย์ ผลการวิจัย R2R ที่เก่ียวข้องกับ การใหบ้ รกิ าร/การดแู ลผปู้ ว่ ยในโรงพยาบาลทวั่ ไป โรงพยาบาลศนู ย์ ศนู ยเ์ ชย่ี วชาญตา่ ง ๆ โดยบคุ ลากรทางการแพทย์ รวมถึงเภสชั กรใหบ้ ริการผูป้ ว่ ย นอกหอ้ งจา่ ยยา 4. งานสนบั สนนุ บริการ หมายถงึ ผลการวจิ ยั R2R ทเ่ี กีย่ วข้อง ถึงการให้บริการของหนว่ ยงานสนบั สนนุ เช่น หอ้ งปฏิบตั ิการ ห้องเอกซเรย์ หอ้ งจา่ ยยา ห้องซกั ฟอก คลังเลอื ด บ�ำ บดั น้�ำ เสยี ในโรงพยาบาล รปภ. และอนื่ ๆ รวมถงึ เภสชั กรให้บริการผู้ป่วยนอกห้องจา่ ยยา 5. งานสนับสนุนบริหาร หมายถึง ผลงานวิจัย R2R ท่ีเกี่ยวข้องกับงานด้านธุรการ การเงิน พัสดุ การพฒั นาคน การพัฒนาระบบบริการ ระบบ IT ระบบเครอื ขา่ ย กระบวนการ หรอื ประสิทธภิ าพขององค์กร 6. งานนวัตกรรม (สิ่งประดิษฐ์) หมายถึง ผลงานวิจัย R2R ท่ีเก่ียวข้องกับการสร้าง/ออกแบบ/พัฒนา/ ปรับปรุง ส่งิ ประดิษฐ์ ผลติ ภณั ฑ์ซึ่งเกดิ จากความคดิ ริเร่ิมใหม่ท่ไี มเ่ คยปรากฏในบรบิ ทของหน่วยงานของทา่ น 7. Meta R2R หมายถงึ การเช่ือมโยงผลงานวจิ ยั อยา่ งนอ้ ย 2 โครงการวิจยั ข้ึนไป จากสหสาขาวชิ าชพี ภายในองค์กร หรือ สหสถาบันอาจรวมถึงชุมชน อันมีผลสอดคล้องทำ�ให้เกิดผลลัพธ์ในกลุ่มโรค ระบบบริการ กระบวนการหรือประสิทธิภาพขององค์กรท่ดี ีข้นึ รายงานผลการดำ�เนินงาน การพฒั นางานประจ�ำ ส่งู านวิจัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563 5

R2R มีองคป์ ระกอบ 4 สว่ น ได้แก่ 1. โจทยว์ จิ ยั ค�ำ ถาม นน้ั ตอ้ งมาจากงานประจ�ำ ตอ้ งแกป้ ญั หางานประจ�ำ ตอ้ งการพฒั นาคณุ ภาพงานประจ�ำ 2. ผู้ทำ�วิจัย ต้องเป็นผู้ปฏิบัติงานประจำ�ที่เจอปัญหานั้นเองและเป็นผู้แสดงบทบาทหลักของการวิจัย อาจตอ้ งทำ�งานวจิ ัยรว่ มกบั ผ้มู ปี ระสบการณท์ ี่เคยท�ำ มาก่อน 3. ผลลัพธข์ องการวจิ ยั ผลการด�ำ เนินงาน สามารถวัดได้โดยตรงทก่ี ล่มุ เปา้ หมาย หรอื ระดับคุณภาพการ บริการ หรืออาจเป็นผลลพั ธ์ด้านอื่น เชน่ การบรหิ ารจัดการดขี ึ้น 4. การนำ�ผลการวจิ ยั ไปใชป้ ระโยชน์ ผลการวจิ ยั ต้องวนกลับไปกอ่ ผลเปลย่ี นแปลงต่อการดูแลผ้รู ับบริการ หรือกลุ่มเปา้ หมายโดยตรง หรอื การบรกิ ารของหน่วยงาน บคุ คลสำ�คัญทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับ R2R มี 3 กลุม่ ดังนี้ 1. ผ้วู จิ ยั R2R : ควรเริ่มจากใจ ทมี่ ุง่ หมายหรอื ต้องการพัฒนางานประจำ�รู้จักค้นหาค�ำ ถามวิจัยท่ีเปน็ กญุ แจ ส่กู ารพฒั นาการบริการ การท�ำ งาน ผลลัพธ์จากการทำ� R2R คอื ส.ป.ก. (ส. คือ ความสุข สนกุ ในการท�ำ งาน / ป. คอื ปญั ญาเกง่ ข้ึน ฉลาดข้ึน / และ ก. คือ ความก้าวหนา้ ในหน้าท่กี ารงาน) 2. คุณอ�ำ นวย : ไม่ใช่ครู ไมใ่ ช่วิทยากร ไมใ่ ชเ่ จ้าของโครงการด้วย แต่เปน็ ผอู้ ำ�นวยความสะดวกตอ่ กิจกรรม R2R โดยใช้แนวคิด KM (Knowledge Management) เริ่มต้นจากความสำ�เร็จของกลุ่มคนจำ�นวนน้อยมาเล่า มาแลกเปล่ียนและต่อยอด (Success Story telling) มีการสนับสนุนกิจกรรม R2R เชิงรุก มีการวิพากษ์งานวิจัย อย่างสรา้ งสรรค์ 3. ผู้บริหาร : ต้องมีความรู้ ความเข้าใจถึงแนวคิดและปรัชญา R2R อย่างแท้จริง ให้การสนับสนุน การท�ำ กจิ กรรม R2R อย่างเหมาะสม ใช้ R2R เป็นเครื่องมอื ในการพัฒนาคน เพ่ือพฒั นางานประจ�ำ และน�ำ พาองคก์ ร สู่องค์กรแห่งการเรยี นรู้ (Learning Organization) เทคนคิ เริ่มตน้ คิดหวั ขอ้ วจิ ยั ทำ�ได้อยา่ งไร ? 1. ความไม่พอใจในสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน ให้เอากิเลสของตนเป็นท่ีตั้งโจทย์ อย่าทำ�ตัว เป็นพวก “ทองไม่รรู้ อ้ น” - ส�ำ รวจวา่ งานท่ีทำ�อยูใ่ นปัจจุบันมอี ะไรท่เี ป็นปญั หา - ถ้าไม่มปี ัญหาแลว้ การปฏิบตั ิแบบเดมิ ๆ ท่ีทำ�สามารถปรบั ใหด้ ขี น้ึ ไดห้ รือไม่ - ถ้ารูส้ ึกว่าดแี ล้ว ท�ำ ให้ดีกว่านไ้ี ด้หรือไม่ 2. ความพอใจหรอื เปา้ หมายขององคก์ ร ซงึ่ รวมถงึ ผรู้ บั บรกิ ารและครอบครวั ใหเ้ อากเิ ลสของคนอน่ื มาเปน็ ทีต่ ง้ั โจทย์ - วจิ ัยทีด่ ี ต้องมีคนต้องการ - วิจัยที่ดี ตอ้ งแก้ปัญหาให้คนทีเ่ ก่ียวข้องได้ - การวิเคราะห์ความต้องการของผู้เก่ียวข้องจะทำ�ให้ได้รับการสนับสนุนที่ดี เช่น เงิน เวลา นโยบาย ในการเปลีย่ นแปลง เปน็ ตน้ 3. การอา่ นวารสารและงานวจิ ัยทตี่ พี มิ พแ์ ล้ว ปัจจุบนั เราไมไ่ ดเ้ รมิ่ ต้นจากศูนย์แล้ว การศกึ ษางานของคน อน่ื ๆ บา้ ง จึงเปน็ เรือ่ งส�ำ คญั โดยศึกษาว่า 6 รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพฒั นางานประจ�ำ สงู่ านวจิ ยั (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563

- ใครท�ำ อะไร? - ท�ำ ไปถงึ ไหน? - ชอ่ งว่างอยตู่ รงไหน? ส�ำ หรบั หลกั ในการทบทวนวรรณกรรมเพื่อหาหัวข้อวจิ ัยนั้น ได้แก่ ใครทำ�? ทำ�อะไร? ไดอ้ ะไร? ควรท�ำ อะไรต่อ? 4. การพบปะพูดคยุ หรือการสือ่ สารกบั บคุ คลอื่น ๆ ท้ังเปน็ การสว่ นตัว หรอื ในการประชุมวชิ าการต่าง ๆ 5. การทำ�วจิ ยั ซ้ำ� (Replication of studies) เชน่ ทำ�ซ�ำ้ ใน settings อ่ืน ๆ 6. ต้งั โจทย์จากทฤษฎี เพื่อเปน็ การพิสูจนท์ ฤษฎีตา่ ง ๆ เทคนิคการวิเคราะห์ตนเอง วา่ อยใู่ นคนกล่มุ ใด ก่อนจะเริม่ ตน้ ทำ� R2R กล่มุ 1 เก็บขอ้ มูลเอาไว้บ้างแลว้ แตย่ งั ไมร่ ู้วา่ จะทำ�อะไรต่อไป กลุ่ม 2 มโี ครงการวจิ ัยหรือมหี วั ขอ้ อยูแ่ ลว้ แต่ยังไมไ่ ดเ้ ร่มิ ท�ำ กลุ่ม 3 สนใจที่จะทำ�งานวิจัยมาก แต่ยงั ไม่มโี ครงการแนน่ อน กลุม่ 4 สนใจที่จะท�ำ วิจยั พอควร แต่ไมค่ ่อยแน่ใจว่าจะทำ�ได้หรอื ไม่ กล่มุ 5 ไม่ต้องการทำ�วจิ ัยเลย คดิ ว่ายงุ่ ยากและไม่สนใจ หมายเหตุ ไม่วา่ อยู่ในกลุ่มใด ท่านก็สามารถท�ำ งานวจิ ัยไดส้ �ำ เร็จทงั้ สิน้ เพยี งแตอ่ าศัยวิธีการเรมิ่ ต้นทไี่ มเ่ หมอื นกัน และอาจใชเ้ วลาตา่ งกนั แนวทางปฏบิ ตั ิ สำ�หรับ 5 กลมุ่ ดงั น้ี กลุม่ 1 เก็บข้อมูลมาบ้างแล้ว เร่ิมต้นโดยลองเอาข้อมูลเดิมมาพิจารณา แล้วดูว่าเราจะใช้ประโยชน์อะไรได้ บ้าง การวิจยั อาจเป็นแบบการท�ำ สำ�รวจ (survey) เพ่ือดูอบุ ัติการณ์ของปัญหาบางอย่าง กลุ่ม 2 มโี ครงการวจิ ยั หรอื มหี วั ขอ้ อยแู่ ลว้ แตย่ งั ไมไ่ ดเ้ รมิ่ ท�ำ เรมิ่ ตน้ โดยการปรบั โครงการเดมิ ดว้ ยการเขยี น ให้ชดั เจนขนึ้ มีการทบทวนเอกสารมากขน้ึ และสง่ ขอทนุ วจิ ยั กล่มุ 3 สนใจมาก แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร เร่ิมต้นจากการมองดูปัญหาใกล้ตัว วิเคราะห์ปัญหาให้ชัด แลว้ พัฒนาโครงการตามข้ันตอน กล่มุ 4 สนใจพอควร แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะทำ�ได้หรือไม่ เร่ิมต้นท่ีการอ่านเอกสารที่เก่ียวข้องมาก ๆ เพอ่ื กระตุน้ ให้คดิ ได้ ศึกษาบทเรยี นของผอู้ น่ื ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อใหเ้ กิดการต่อยอดความคิดของตนเอง กลุ่ม 5 ไม่ตอ้ งการทำ�วจิ ัยเลย คิดวา่ ยงุ่ ยากและไม่สนใจ เร่มิ ต้นจากการลองคิดใหมอ่ ีกคร้งั และลองหาทาง ทำ�งานวิชาการประเภทอ่ืน ๆ ที่เทียบเคียงกัน เช่น งานทบทวนงานวิจัย หรือโครงการใช้ผลการวิจัย (research utilization) การสงั เคราะห์องค์ความรู้จากการปฏิบตั งิ านให้เปน็ ความร้เู ชงิ ทฤษฎี (Generic Knowledge) การสร้างความรู้จากขอ้ มลู การปฏบิ ตั งิ านและปัญหาทีเ่ กิดขึ้นตามสถานการณจ์ รงิ เป็นกระบวนการ จัดการ ความรู้ ทั้งความรู้ภายในและความรู้ภายนอก ให้เช่ือมโยงไปสู่การสร้างตรรกะในเชิงทฤษฎีให้สำ�เร็จได้ด้วยวิธี การวจิ ัยนัน้ นับเปน็ การดำ�เนินงานทมี่ ีความตอ่ เนือ่ งอย่างเป็นระบบ ครบวงจรของกระบวนการพัฒนา โดยนำ�ทฤษฎี มาใช้เป็นกรอบแนวคิด เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลวิจัยท่ีมุ่งค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกันตามบริบทต่าง ๆ จนประสบกับความสำ�เร็จในการสังเคราะห์เป็นความรู้ใหม่ วงจรของการสังเคราะห์ความรู้ใหม่เชิงทฤษฎี ดังกล่าว รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพัฒนางานประจ�ำ สูง่ านวจิ ัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 7

เป็นกระบวนการนำ�ความรู้ปฏิบัติสู่ความรู้เชิงทฤษฎี มีองค์ประกอบหลัก คือ การจัดการความรู้ การวิจัยและ การสงั เคราะห์ข้อมลู วจิ ัย ความรู้ภายในและภายนอก ซึง่ มที ศิ ทางการเช่ือมโยงตามทิศทางการช้ีของลูกศร ดังแสดง ในภาพท่ี 1 การวิจัย และ KM เป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริมกัน คือ ผลลัพธ์ของการวิจัย คือ ความรู้เชิงประจักษ์ (Explicit knowledge) ทน่ี �ำ เสนอผา่ นผลงานตพี มิ พ์ (Publication) เชน่ บทความวารสารวชิ าการ หรอื รายงานการวจิ ยั เปน็ ตน้ ขณะที่ KM เปน็ การสรา้ งความรผู้ า่ นการลงมอื ปฏบิ ตั ทิ ใ่ี ชแ้ ละเกดิ ความรฝู้ งั ลกึ (Tacit knowledge) ซงึ่ สว่ นหนง่ึ สามารถสกัดออกมาให้อยู่ในรูปของความรู้เชิงประจักษ์ KM เอาความรู้ฝังลึกท่ีได้มาเป็น raw data จากนั้น มาผ่านกระบวนการวิจัย raw data ดังกล่าว โดยเอาทฤษฎีเข้าจับ วิเคราะห์ และสังเคราะห์ เพื่อเป็น generic knowledge หรอื ความรูเ้ ชงิ ประจกั ษ์ PROBLEM R EK R TK KM SUCCESS R data ใชท้ ฤษฎเี ข้าจับ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ เปน็ generic knowledge R หมายถึง Research ; EK หมายถึง Explicit knowledge ; TK หมายถงึ Tacit knowledge ; R data หมายถึง Raw data แผนภาพที่ 1.1 กระบวนการน�ำ ความรปู้ ฏิบตั สิ ู่ความรเู้ ชงิ ทฤษฎี งานวิจยั นน้ั เป็น “กระบวนการ” การดำ�เนนิ การทกุ อย่างเป็นไปตามข้ันตอน และแตล่ ะขน้ั ตอน มีกิจกรรม ที่แตกตา่ งกนั ดังนี้ ตารางที่ 1.1 กระบวนการวจิ ยั ขัน้ ตอน กจิ กรรม การคดิ และเขยี นโครงรา่ ง 1. ระบหุ ัวขอ้ หรอื ปญั หาการวจิ ัยและทบทวนวรรณกรรม ลงมือทำ� 2. กำ�หนดตวั แปรของการวิจัยและวธิ วี ดั ตัวแปร คิด วิเคราะหผ์ ล 3. กำ�หนดระเบยี บวิธีวจิ ยั เขียนรายงาน 4. ก�ำ หนดประชากรและกลุ่มตวั อยา่ งในการวิจัยและเขียนโครงรา่ ง 5. ดำ�เนนิ การเก็บข้อมลู 6. วิเคราะห์ขอ้ มูล 7. เขียนรายงานการวิจัย 8. เผยแพร่งานวิจยั 8 รายงานผลการดำ�เนินงาน การพฒั นางานประจ�ำ สงู่ านวิจัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563

ตารางท่ี 1.2 เปรียบเทียบขั้นตอนการวิจัย ในงานประจำ� (R2R) งานวจิ ยั และการปฏิบัติงาน R2R งานวิจัย การปฏบิ ัติงาน 1. โจทยว์ ิจัย ไดจ้ ากการวเิ คราะห์ 1.การหาโจทย์วจิ ยั 1. สง่ิ ทีต่ ้องการพฒั นาใหด้ ีข้นึ หรอื ปัญหา ประเดน็ ปัญหาท่ตี ้องการแก้ไข ในงานประจ�ำ ทีต่ อ้ งการแก้ไข หรอื อยากคน้ หา 2. ตรวจเอกสาร 2.การทบทวนรรณกรรม 2. สอบถามเพื่อนรว่ มงานค้นหาข้อมลู เดมิ / และก�ำ หนดกรอบแนวคดิ ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง หรือพดู คยุ กบั ทมี งาน 3. วางแผนการดำ�เนินงาน 3. การวางแผน 3. วางแผนการด�ำ เนนิ งาน การทำ�งาน 4. ดำ�เนินการตามแผน 4. การปฏบิ ัตกิ าร 4. ด�ำ เนนิ การตามแผน 5. บนั ทกึ ผลการด�ำ เนินงาน 5. วิเคราะหข์ ้อมลู / 5. บนั ทึกผลการดำ�เนินงาน การบันทึกผล 6. ประเมนิ ผล/วิเคราะห์ ใชส้ ถติ ิ 6. การติดตามประเมนิ ผล 6. ตดิ ตาม/ประเมนิ ผล แบบง่าย ๆ เชน่ รอ้ ยละ 7. สรปุ ผล/ข้อเสนอแนะ 7. รายงานผลการปฏิบตั ิงาน/สรุปผล/ ข้อเสนอแนะ 8. ผลท่ีเกิดขึ้น คอื งานทีร่ บั ผดิ ชอบ 8. นำ�ผลไปปรบั ปรุงงานในครั้งตอ่ ไป ได้รบั การพัฒนาใหด้ ขี ึน้ ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพมากข้นึ และมกี ารแลกเปลีย่ นเรียนร้กู บั ผู้สนใจ น�ำ ไปประยกุ ต์ใช้ กระบวนการทำ� การพัฒนางานประจ�ำ สงู่ านวิจยั มี 8 ข้นั ตอน ดงั นี้ 1. ตามหาโจทย์วจิ ยั 2. ทบทวนวรรณกรรม 3. กรอบแนวคิดการวิจัย 4. ออกแบบการวจิ ัย 5. การทำ�วจิ ัยเชิงปรมิ าณ 6. การท�ำ วจิ ยั เชงิ คุณภาพ 7. การเขียนโครงรา่ งการวิจยั 8. การจดั ทำ�รายงานการวิจยั 1. การตามหาโจทยว์ ิจยั ประกอบดว้ ย 1.1 การคน้ หาเป้าหมายของการท�ำ วิจัย เราจึงต้องวเิ คราะห์สถานการณ์ ปัจจบุ ันวา่ มีความแตกต่างกบั เปา้ หมายหรอื ไม่ ถ้ามีความแตกตา่ งหรอื ช่องว่างท่ยี งั ไปไมถ่ ึง แสดงวา่ มีปัญหาเกดิ ขึ้น และถา้ เรามคี วามตระหนักถึงความส�ำ คญั / ความเรง่ ดว่ นถึงประโยชน์ รายงานผลการดำ�เนินงาน การพฒั นางานประจำ�สงู่ านวจิ ยั (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 9

ที่จะได้รับ มีคว�มมุ่งม�ตรปร�รถน�ที่จะทำ�ง�นน้ีม�กเท่�ไรก็ยิ่งทำ�ให้ขน�ด ของปัญห�ใหญ่ม�กข้ึนเป็นทวีคูณ จึงถือว�่ ปัญห�เป็นจุดเร่ิมตน้ ของก�รท�ำ ง�น การวเิ คราะห์ปญั หาจากงานประจาำ เริ่มจากการตงั้ คาำ ถามเหลา่ นี้ - เป้�หม�ยของง�นประจ�ำ ทที่ ่�นรับผิดชอบ คอื อะไร/ลกู ค้�ของท�่ นเป็นใคร - วเิ คร�ะหส์ ถ�นก�รณง์ �นประจ�ำ ในปัจจบุ ันเปน็ อย�่ งไร R ง�นทร่ี ับผดิ ชอบบรรลุเป้�หม�ยหรือยงั Rราถย�้ งยานังไผมลบ่ กรารรดลาเุ เปน�้นิ หงามน�ยกเาปรพ็นฒัเพนรา�งะานอปะรไะรจาสูง่ านวิจัย ( Routine to Research ) ปีงบประมาณ 2563 Rราถย�้ งบานรผรลลกเุ ปาร�้ ดหามเน�นิยงแาลน้วกทาร�่ พนฒั พนอาใงจาหนปรือระยจังาสู่งานวิจยั ( Routine to Research ) ปงี บประมาณ 2563 เกปา�้ รหวมิเ�ครยารยขางอะางนหกผ์ง�ลารกนแาทกรดไ่ี้รขาับปเนผญั นิดหงชา�อนไบมกเใ่ารชร่ิมกพ�ตฒั ร้นนททา�ำ ง่ีกใาหานป้รปวญัริเะคหจร�าหาสะู่งมาหดน์ภไวปจิายัรแกต(ิจป่Rขoรอuบั tงเiปnอeลงคย่ี t์นกoรปRดญั e้วหsยe�aตrc�่ hง ๆก)าเปหรงี ลกบ�่าปนหรนั้ะมดใาหกณเ้ ลป2ยน็ 5ุทโ6อธ3ก์ �ส ใไวอจแคคทแแทคทขขแขจจแแนดสิะงาาผผผลลลอออวววีจจ่่จ่ีี้นกคยัทกกะะะาาานนนะะะงงง��ำก์ท�ำปปบบบมมมหหหรกกกกกกกรใศั จจััพหรรรรรร�ไาาานนนลลลนปจจรรรรััับบบรรรฒัอ้ ยยย่่่1ววว์ลลลััยยบกกสกกกงนผผผุุุ.ทททนยยยุวุวุวนน2หู่าาคราาาโิิิดดด�งงงธธธิสสิิสรริห าายก์นหหหงาาา์์์ชชชขขขววยััยยัRคเเกบ�รว่�ขขนนนนนนิิเเอออทททอออ�2ร้นปย�นคคาา้้ดดดรมRแแแงงงบบบศศศัััยหรงกกรรวตตตอออุง่�เะตตตนนนขขขขาิิจจาเิพผจนััังงงวววคส่่่อ์์์ลลละะปกกอออล่ือะนนนคคคแชชชบรงหหรระะะัญงงงตสใ�์์์โโโกกกตผี้ี้ี้วววครร์์ตตตงงหรรรยยยะ้อัมหลู่้บัััรรรดดดมมวาาะะะนนนบบบผ้หงฤไไไะ�นนราดดดเลปปปาาาง์เเเแแทผผผรมหิงชททอออ�ัััยยยกบบบะลลาสสสธลลลส่อื�นี่่ีรรงงงขขข�ดนะะ์ิููู่่่จจจหหหร�ำมกกกัับบทววว(รอออบผผัทเปRะะะโนนนาาา่่่รดาาารผผี่งงงลลย่ใีeมมมรรรรจ็เ่่่บผผผัจจจวววำ�ิิดดหผผงพsะดดดีีีไเคคคยยยูบ้บบูู้้ะะะผอชชuถ้นลลดจอื่าาาวววงงงดิทททรรรยออือlตติิอ้นิำาชเเเาาาtิิิหหหชาาาู่กาาาบบนนนปยว่งนนนมมมอคคBาาาบัใใใ�ย�่ิิิฏเเนนนแแแหหหรรรบววaรรเเเนงกใิบงงงชชชทททาาิ่่ิมมsตตตไห้้้เอออน�ราาารeัตมม่ืื่ื่อออี่่ีี่ใใใ่่่ตตลลลบ้รงงงม่ิ้ันนนนหหหdิสสกวมมม้้นนะะะคคคคุกตเเเ้้้ถถถัมัม�เิ“รรร์์์โโโททลกกก�Mปปปน้ครืืือออพพยยยะะะดร�่ีี่กกรรร็็็ทรกนนนaปปปกันนังงงดดดกขี�ปปปาา�ำก่ีnคคคฏฏฏกกกำ�ัััรธธะบบบ้นึรรห�รรรaหวววใัััร์ร์ิิิบบบบบบหววร”นะะะนgาาาะะนเเเิิเเวััั์สตตตปปปeสสสดพพพอคคมมมหหเิดถิิิmัััคจจจวบบบงรรื่ื่ื่กกกอออปปปววต�คตัราาจจจาา่่าาาคคคชชชeนรรรวั�ก์ะะถััังงรรรยยย่่่nวววชะะะวววกะปปรหหุกกกนนนยยยtี้วาาาหหหห�เัจัจ์์าาาภภรขดัมมมร:ใใใาาาภ์ยยยหหหจจะหหห�้าาณคเเเRสสสััั�ดดดสยัยัในนนรรขขข้้้บบบวBรจาาา์ขแแงกก้้้ดดดาาา�กMุุุถคคคคคคเเเอลลิิจจมตตตรรรจิงึวววลลล์งกกกะะ)ขข็็็ขสัััวววบขจจจงาาาาาากกิิิมจจจอออชชชำ�อ�ไไไทมมมกกกาาเ�กกกดดดงนงงี้ี้้ีวววงรบรรมมมรรรใหอออัััดดด้้้รรรทอออ็จชชช�ใใใีีีปปปงงงนคคครรรขยยยนนนร่ี้พท้วีี้วคคครรรว่มมมวววบัอ่่่ดัดัาาาอออรก์์์กกยหะะะาาางผงงงผผอ้งงงรรรมมมงสสสผผผงนไไไดิลลมคคคด�ดด�รรรสสสิิิทททลลล�้ชดด์์์กกกกนว้น้้ววทาาาผผผธธธอยงังั�กกกรรรแยยผเเเี่ิิิแแภภภรบลลลรรรคเเเตาาาก่�ขขขกสส็็็จจจิิิาาาซตตตวรรรนล่�้้้าาาดด�ำขขขพพพ�่งึรกกกะกหใใใมงงอออใผผผกรคคคาาา�จจจนใในรงงง�ำกกะลลลรหหหนนวววถถถสงงงบัหดดแาาลลลาาาึึึนนนาาางงง่วผนตรรแแบปััััมมมนนนพพพบบบนดดดกกดิดัวผผจลมมมผผผทททธธธขวววชชาากนนะง่่่ีีีาาา์์์ปปปอัััหหบบบตตตวี้อลแมภภผผผนนนงดัรรรบนนยถถถผาาาคีาาอกกกลลละะะททททุุุุนขปปปพพดดวงาาาสสสสสสอธ�กกกททครรรรรรัััหหหมมมิิิทททม์งลลลแแแะะะท์ก่ี่ี ตฤฤฤนนนเ33ธธธยยยปปปสสสรจี่ชนิิิทททผผผ้้้ทุาาาภุุททะลงลลงงอื่ เทททลลลบธคคคธธธ�งงงอมธธข์คิ์์ิิ์ี่ี่ี่์์์์์รงโยอรรวลฐั�่งงุ กจบั าปกปจั จั ัยจนยั น�ำ เาขเ้�ขา้ กกจิ จิ กกรรรรมมผแลลผะลผิตลผลติลพั คธว์าผมลสสัมมั พฤันทธธร์ ์ิ ะแหลวะา่กง�ปรัจกจ�ำ ยัหแนลดะตกัวาชร้วี ชดั ีว้ ัดผผลลกด�ังรแดสำ�เดนงินในง�แนผเปน็นภคาพว�ทมี่ ป3ระหยัด คว�มมีประสิทธิภ�พคว�มมีประสิทธิผล จ�กปัจจัยนำ�เข้�กิจกรรม และผลผลิต คว�มสัมพันธ์ระหว่�งปัจจัยและ ก�รช้ีวัดผลดังแสดงใน แผนภ�พที่ 3 ผลสมั ฤทธ์ิ ผRลeสsัมuฤltทsธ์ิ ผRลeสsมั uฤltทsธ์ิ Results วัตถุประสงค์ ปัจจยั นาเข้า กจิ กรรม ผลผลิต ผลลพั ธ์ วoัตbถjปุ eรcะtiสvงeค์ ปจั Iจnยัpนuาtsเขา้ Pกrจิ oกcรeรsมs Oผuลtผpลuิตts Ouผtลcลoัพmธe์ s วoัตbถjปุ eรcะtiสvงeค์ ปัจIจnัยpนuาtsเขา้ Pกrิจoกcรeรsมs Oผuลtผpลuติ ts Ouผtลcลoัพmธe์ s objective Outcomes Inputs Process Outputs ความประหยัด ความมีประสิทธภิ าพ ความประหยัด ความมปี ระสิทธภิ าพ ความประหยดั ความมีประสทิ ธิภาพ ความมปี ระสทิ ธผิ ล ความมีประสทิ ธิผล คคคแ1ลววว0าาาะมมมสมมมถปปีีปีารนกกกสสรรร�ะะะยทว่่วาาาแแแสสสงนนรรร่ีผผผเแ�วววทิิททิแแปนนนนิิิผเเเธธธรร็นคคคผภภภนกกภภภิิิ ตรรรลาาาภาาาาาาก้นคคพพพพพพาะะะ�ออืื ทททพรหหหแแแด่ี่ีี่ปปท์์์ปปป333ลลล�ำ ัจจัี ่ัััเญญญะะะน1คคคจจปปปนิหหห.ยยััววว2รรรงนนาาาาาาะะะ�คใใใมมมาานสสสนนนวเเสสสิิททิทขขกกกก�ัััมมมธธธ้า้าม�าาาพพพิผผิผิรรรรส((พลลลIIนัันนัปปปมัnnจจจฒัธธธพฏฏฏppาาา์์์รรรuuิิินันบบบกกกะะะtt�ธัััตตตกกกหหหssงร์ิิิาาางงง))ววว�ะรรราาานปป่าา่า่ หบบบนนนปงงงรรวรรรแแแรปปปะะ�่ิหหหิิะบบบกกจัจจััจงาาาำ�ออบบบปจจจรรรสบบยัยยััมมมจังงง่งู ดดาาาใใใจุุุ่่่งงง�นนนนนนผผผัยวว้้นกกกยย///ใลลลวนโโโิจาาาสสสคคคงงัยกครรรัััมมมบบรรรบบบว�งงงฤฤฤปปาร(รรรกกกRทททมบรรหิหิิหาาาoมะะธธธรuรรราาาปีมม์ิิิ์์ิหtรรรพพพiรรรรnาา�มมมะาาาeิิิณณจจจรุุงง่งุ่่สยยยมาาาtผผผิทลลลoรรรบบุ่งลลลธะะะณณณผRคุคุ ิผสสสเเเลeลลอออาาาลัมัมัมsสาายยยีีีปปปeฤฤฤมักกดดดaัััจจจทททฤrรรจจจc444ธธธทhัััยยยวว์ิ์ิิ์)ธสสััสสสแแแททท์ิ ดดว่ว่ว่ลลลปแ่ีี่ีทททนนนุอุอะะะีงลาาาบปุุปผผผะใใใดดดปหหหผลลลกกังงัังรล้้้ทททรรเเเนนนะกกกณณทมเีี่่ีเ่เี้้้ีี ิิิดดดกกกา่ีเ์์ กดิดิดิคคคณคคดิขขขวววรรขุุภภ2าาา้ึึึ้้นนนมมมึน้5ณัณั 6ปปปฑฑ3รรร์์ ะะะหหหยยยัััดดด

ก�รวิเคร�ะห์ปัญห�ในก�รปฏิบัติง�นแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิ พิจ�รณ�ปัจจัยท่ีทำ�ให้เกิดคว�มประหยัด คว�มมปี ระสิทธภิ �พ และประสิทธผิ ลจ�กก�รบริห�รง�น/โครงก�ร ร�ยละเอียด 4 สว่ น ดังนี้ สว่ นแรกรายคงือานปผัจลจกยัารนด�ำ าเเขน้�นิ (งIาnนpกuาtรsพ) ฒัปรนะางกาอนบปดระ้วจยาสงู่งบาปนรวะจิ ัยม�(ณRoบuุคtinลe�กtรoวRสั eดseุอaปุ rcกhรณ) ์ปคงี รบุภปัณระฑม์าแณละ2ส56ถ3�นที่ เป็นต้น ส่วนท่ีสอง คือ กิจกรรมดำ�เนินง�นหรือกระบวนก�ร (Procesess) ได้แก่ ก�รนำ�ปัจจัยนำ�เข้�ท้ังหล�ย ผ่�นกระบสว่ นกท�ส่ี ราอมยค่�อืงใผดลอสยัม่�ฤงหทนธ์ิ่ึง(Rเeพsื่อuใltหs้เ)กปิดรมะูลกคอ่�บเดพ้วิ่มยตผ�ลมผมล�ติ ร(Oฐ�uนtpคuุณtภs)�ซพง่ึ ทเปี่กน็ำ�หส่ิงนทดจี่ ไับว้ตเ้อชง่นไดก้ �รว�งแผน กแ�ลระบผรลหิ ล�ัพรทธ์ร(ัพOยu�tกcoรmแลeะs)กหระรบือวผนลกก�รระใหทบ้บร(กิ Im�รpเกacษtตsร) กอรนั เเกปิด็นขตน้ึ น้ จากผลผลิตของกระบวนการ/กจิ กรรม (กจดกมO��าาากรuรเกปคนtปขcวรินรึ้นo�ะงะมเmาสผเมคมน่วู้รินeมุ้นินับsเปคปชทบ)ร�่่นรี่สระขหะิก�สอกสรมาิทงาือทิรกรธคมธป�ิภอืผผิคี รร�ลลวละผพาทกงเลมกมทร่ีไสดพ�ะนินุ มัรร้ึงทปดฤลับพบรำ�ทดจอะเตธาในส(กจ์ิน้Iิิทน(mมคRทงธาวepนุ�ภิ กาsนaามกขuจcพค�น้ึlt�tกรุ้มssกดา))คคร�ำ ่าปวอดเขนร�ันาอะมนิเเนงกสกงกิน�อ�ิดานมบงขราท�ดึ้ลนนรร่ีว้งจจถวยท�าดใุนนกกผเรผกคลลว็ �ลวผดถราผลตผมกู ลติ ้นลตสิตทิต(าอ้ ขOมุนแงอuาลมงกรtะ�กpถาบกรรuใรขนดะtิกน้ึsากบ)�เาวผนรซรนรู้นิผึ่งบักกเงลปบ�า�ิตรน็นรรแปกิ/สทลกร�ิ่งี่ระะิรจทวบเมกดีจ่มรคีรับเินิกรวรต็วปา�มอ้รมรดถงะพกูำไ�สดงึเติทนพ้ อ้ แธินองลิผใงจะล�ผมทนล�่ีไกลดเชขพั้ร่นน้ึับธ์ สสว่ ว่ นนสสุดดุ ทท้�า้ ยย คือ ตัวชี้วดั ผลก�ารดา�ำ เนินงา�นหลัก (Key PPeerrffoorrmmaanncceeInInddicicaatotorsrs: :KPKIPs)Isค) ือคคอื ่าคท่�่ีวทดั วี่ ดั จ�ก ผจลากก�ผรลปกฏกาบิ�รรปตั วิงฏิเ�บิคนัตรทงิ�่ีเาะกนหิดท์ปข่เี ้นึัญกจดิ หรข�ิงึ้นใเจนพรงือ่งิ�แนเสพปดอ่ื รงแะคสจวดำ��งมดค้กววย้�าวกมห�กนร้า้�เวปขหรอนียงา้ ผบขลเอทกง�ียผรบลดกรำ�าะเนรหดินวาง่�เ�นงนผินโลงดาผยนลเทโิตดยี ทยบ่ีเเกกทิับดียบขเป้ึนก�้ ับกหเับมปเ�าูปยห้�ทมหีต่ ามั้งยไ�ทวยตี่้ ทง้ั ี่ไวว�้ งไว้ ว่�มีคว�มกแาตรกวตเิ ค่�งรกาะันหหป์รือัญไหมา่ อในยง่�างนไรประจาดว้ ยการเปรยี บเทียบระหว่างผลผลิตที่เกดิ ขึ้นกับเปูาหมายท่ีวางไว้ ว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ อยา่ งไร การวเิ คราะหป์ ัญหาในงานประจา แตกต่าง ไม่แตกต่าง คน้ หาวา่ ปญั หาเกิดขน้ึ จาก ค้นหาวา่ จะทางานให้ดขี นึ้ ขนั้ ตอนไหนในการทางาน ไดอ้ ยา่ งไร เม่ือเร�วเิ คร�ะหป์ ัญห�จ�กง�นประจำ�แลว้ อ�จพบว�่ มหี ล�ยปัญห� แล้วจะเลือกปัญห�ไหนม�ทำ�วิจยั ลอง พเมิจื่อ�รเรณา�วจิเค�รกาสะ�หเห์ปตญั ุขหอางจปาัญกงหา�นปถ้�รสะจ�เาหแตลุขว้ องาปจพัญบหว�่าทม่ีเกหี ิดลขาย้ึนปเัญร�หราู้อแยลู่แว้ลจ้วะแเตล่ยือังกไมป่ไัญดห้ทาำ�ไกห�นรมแากท้ไขาวเิจรัย�ไลมอ่จงำ�เป็นต้อง ยวพจิจังาิจไัยเมาปเร่รน็พณคู้ ตีย�ำ า้องตจแงอาวตบกจิป่ สยัเรารบั เ�เหพกจตยีงึ�นรขุงบแอำ�ตเรงรปหิ่ปือ่ ญั�รงรบันหจกั้นาดั ามกรถ��บ้าทรสรำ�หิาแวเาลจิหรัย้วตจลุขัดเงพอกมื่องาือปครทัญน้ แ�ำ หหลแ�า้วตคทล่ถ�ำี่เงกต�้มสิดอือ�ขบทเึ้นทหาเ่ีตเรแรขุ�ตาอต่ถรง้ออู้้าปงสยกญั าู่แ�เหลหร้ว�ตดแทุขงัตี่เอกแ่ยงผดิ ังปนขไมญั้นึภ่ไห�ดเพรา้ท�ททาไ่ีเี่กมก4า่แิดรนขแ่ใ้ึนกจไ้วขเ่�รใเาชรไห่ามไรแ่มือน่ไ่ใมจ่ วหา่ รอื เร� ใชห่ รอื ไม่ หรือเรายังไม่รคู้ าตอบ เราจงึ นาเร่ืองน้ันมาทาวจิ ยั เพ่อื ค้นหาคาตอบท่เี่ ราต้องการ ดงั แผนภาพที่ 4 ร�ยง�นผลก�รด�ำ เนินง�น ก�รพฒั น�ง�นประจำ�สงู่ �นวิจัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 11

รายงานผลการดาเนนิ งาน การพฒั นางานประจาส่งู านวจิ ยั ( Routine to Research ) ปงี บประมาณ 2563 สอดคลอ้ ง ไม่สอดคลอ้ งกัน สภาพที่เปน็ จริง สภาพทม่ี งุ่ มั่น ไม่ต้องทาวจิ ัย มีปัญหาข้อขัดขอ้ งอะไร สาเหตุอะไร ? จะทา จะแก้อยา่ งไร ? รู้แลว้ แตย่ ังไมไ่ ด้ทา ไมแ่ น่ใจวา่ ใช/่ ไม่ ไมร่ ู้ ไม่ตอ้ งวจิ ยั ปรับการบริหาร ทดสอบ วจิ ัย จัดการAction แผนแภผานพภทา ี่ พ1.ท3่ี 4แสแดสงดวงธิ วกี ิธ�กีราครัดคเลัดอื เลกือปกัญปหัญ�ทหนี่าท�ำ มี่น�าทมำ�าวทิจาัยวิจยั เครอื่ งเมคือรือ่วเิงคมรือาวะเิหคป์ราัญะหหาป์ จญั ากหงาาจนาปกงราะนจำาประจา ก�รวิเคการร�วะเิหค์สรถาะ�นหกส์ �ถราณนก์ใดารสณถ�ใ์ ดนสกถ�รานณก์หานร่ึงณเพห์ ่ือนใ่ึงหเพ้ได่ือ้ขให้อ้ไเดท้ข็จ้อจเรทิง็จโจดรยงิ กโ�ดรยวกิเาครรว�ิเะคหร์หาะ�หปห์ัญาหป�ญั แหลาะส�เหตุ อจพ�ำธรเบิ้อป�มน็ ยทเแตพคล้ังอ้ �ำอื่แะงถหสสว�าดเิามคทเงหทรใา�หตเ่ีงกะแุ้เพหห่ยี กวข์็รนไ้ ข้อขอ้สอ้ปมมภงทลูญั �กเ้ังวหพบั แกาอื่ปส�แญัดรจยณางหกใเ์ทปห�แน่ีเ็นเ้ยกหนั้ตะิด็นไข้อขดสอ้ง้ึนห้ภวเทจรเิาคือรจ็วริงไกจามใรานะ่งิรหกวณ�่์ข�์ทเร้อกบี่เมย่ีกรลูวิดิหเขขพ�อ้น้ึ รือ่ งจมแกรุ่งยบั ิงผกปใลนแญั สยกหัมะา�ฤรขอบท้อยรเธท�่หิิ์ ง็จ(าแแจรทผมรจน้งิุ่งวรผภง่าิ ล�เหพสกรัม่ียทอื ฤวี่ ขขท4อ้อ้)ธเง์ิทเ(กพแจ็ ับผ่ือจปนรหญังิภ�เทาหหพ�ลางอท�่ แนยี่ ก4า่นั้ )้ไงขสแป�ทมัญจ้ �รหรงิ ถ� หรกือ�ขรอ้ เลเทอื จ็ กจใชรงิ้เคเหรล่ือา่งนมือน้ั เสพาอื่มแายรถกอแธยบิะขาย้อคเทา็จถจามรงิทดีเ่ ังกก่ียลว่�ขว้องจกึงัตบอ้ปงัญเลหอื ากนใัน้ หไ้เดหห้ มร�ือะไสมม่ กบั เงือ่ นไขต่�ง ๆ ของปัญห� รวมถงึ คว�มส�กมา�รเถลขืออกงใเชค้เรคื่อรงอ่ื มงอื มใือนเกพ�ื่อรแอยธกบิ แ�ยะหขร้ออื เทบ็จทจรวิงนดปังรก�ลก่าฏวกจ�ึงรตณอ้ ์ไงดเ้ถลูกอื ตก้อใหง้เหสม�มาะ�รสถมแกสับดเงื่อลน�ำ ดไขับตขา่้นั งตๆอนใน ใกน�กรร�ะรขลคบอา้นปุ ดงหัญปับ�หัญขปั้น�หัญหตาหลอร�กันวแใมปลนถะัญกึงสาหค�ร�วเรหราะอมตบงสุอุปายแัญม่�ลางหะแราสถพห�ขรลเอห่หกั งตลเป�หุคยัญรล่ือกัหเชงามน่สรือ�อเใงหนตแกุรลาอระองสขธาอิบเหงาปตยหุญัหลรหักอื �ทไสดบา้อทเยหว่�ตนงุรปสอรมงาเขหกอฎตงุสกปมาญั รผหณลา์ไไซดด่ึง้ถ้อมูกยเีตค่า้อรงงสื่อมงสมเาหอืมตทาสุรีน่ มถิยผแมสลใชด้ง ซง่ึ มเี ครื่องมือท่ีนยิ มใชใ้ นการคน้ หาปัญหาและสาเหตุอยา่ งแพรห่ ลาย เชน่ 12 ร�ยง�นผลก�รด�ำ เนินง�น ก�รพัฒน�ง�นประจ�ำ ส่งู �นวิจัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 [Date] 15

ตารางที ่ 1.3 เครอ่ื งมอื วเิ คราะห์ปญั หา ประโยชน์ เครื่องมอื ใชเ้ พ่อื ระดมคว�มคิดในก�รค้นห�ปัญห� คน้ ห�ปญั ห�ท�ำ ได้ง�่ ยข้ึนว�่ เกดิ จ�กข้นั ตอนใด ก�รระดมสมอง (Brainstorming) วิเคร�ะห์สภ�พแวดล้อมขององคก์ รเพือ่ นำ�จดุ อ่อน แผนภูมแิ กนท์ (Gantt Chart) ม�พฒั น�โจทย์วจิ ยั ก�รวิเคร�ะห์จุดออ่ น จดุ แข็ง โอก�ส เพอ่ื คน้ ห�ส�เหตรุ �กเหง้�ของปญั ห�และผลกระทบ และอุปสรรค (SWOT Analysis) ทเ่ี กิดข้ึนจ�กปัญห�นั้น แผนผังตน้ ไม้ (Tree Diagram) แสดงคว�มสัมพนั ธ์ของปญั ห�กับส�เหตุ แผนผังส�เหตแุ ละผลหรอื ผังก้�งปล� (Cause and Effect Diagram) 1.3 การค้นหาโจทย์จากงานวจิ ยั เกณฑใ์ นการคดั เลอื กปญั หามาทาำ วิจัย มีเกณฑ์ท่สี าำ คัญ 3 ด้าน คอื ประโยชน์ของงานวิจัยท้ังต่อตนเอง ต่อส่วนรวม ประเด็นท่ีน่�สนใจ เพร�ะถ้�เป็นประเด็นท่ีเร�อย�กรู้ จะทำ�ใหเ้ ร�ขวนขว�ยและสนกุ กับก�รท�ำ วิจยั ความรู้ความสามารถ ของผู้วิจัยและทีมง�นที่มีคว�มเชี่ยวช�ญ มีข้อมูลสนับสนุน มองทะลุถึงตอนจบได้ และอยู่ในส�ยง�นที่เกย่ี วข้อง ความคมุ้ คา่ งานวจิ ยั ทเ่ี ลอื กมาทาำ ไมก่ ว�้ งหรอื แคบจนเกนิ ไปทนั ตอ่ เหตกุ �รณ์ และใชท้ รพั ย�กรในก�รวจิ ยั อย่�งคุ้มค่�ปัญห�ใดท่ีผ่�นเกณฑ์ทั้ง 3 ด้�น จึงจะนำ�ม�ทำ�เป็นโจทย์วิจัย เพ่ือให้ม่ันใจได้ว่�ง�นวิจัยท่ีได้ม�คุ้มค่� ตอ่ ก�รลงทุน ลงแรง เพ่อื ด�ำ เนินก�ร 1.4 การแปลงโจทย/์ ปัญหาเปน็ หวั ขอ้ วิจัยและวตั ถปุ ระสงค์ ปัญห�วิจัย คือ สิ่งที่เร�สงสัยและต้องก�รค้นห�คำ�ตอบ ก�รแปลงโจทย์หรือปัญห�เป็นหัวข้อวิจัย คือ ก�รเขียนปญั ห�ใหอ้ ยใู่ นรูปทีท่ ำ�วจิ ยั ได้ หัวข้อวจิ ัย คอื ก�รน�ำ ปญั ห�ก�รวิจยั ม�ทำ�ให้อยู่ในรูปที่จะวจิ ัยได้ หลักการเขียนหัวข้อวิจัย แสดงคว�มชัดเจนในก�รนำ�ปัญห�ก�รวิจัยไปสู่ก�รปฏิบัติชี้นำ�ให้เห็นภ�พ ก�รรวบรวมและวิเคร�ะห์ข้อมูล เพ่ือให้ได้คำ�ตอบที่ต้องก�ร ควรข้ึนต้นด้วยคำ�น�ม ควรเป็นส่ือบอกขอบเขตของ ก�รวจิ ัยควรสั้น ง่�ย และกระชบั สละสลวยไดใ้ จคว�มสมบรู ณ์ เด่น และน�่ สนใจ วัตถุประสงค์ เป็นตัวบอกก�รทำ�กิจกรรมหลักของโครงก�รวิจัย สิ่งท่ีได้จ�กก�รทำ�วัตถุประสงค์ทุกข้อ เมอื่ น�ำ ม�รวมกนั แลว้ จะท�ำ ใหบ้ รรลคุ ว�มมงุ่ หม�ยและส�ม�รถตอบโจทยว์ จิ ยั และบรรลคุ ว�มมงุ่ หม�ย ของก�รวจิ ยั ได้ หลกั การเขยี นวตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั เขยี นใหส้ อดคลอ้ งกบั คว�มมงุ่ หม�ยและกรอบแนวคดิ ก�รวจิ ยั ระบใุ ห้ ชัดเจนว�่ จะท�ำ อะไรเรยี งลำ�ดับว่�ควรทำ�อะไรก่อนหลงั ใหส้ มั พนั ธ์กันสิง่ ท่จี ะท�ำ มีคว�มเป็นไปได้ มขี อบเขตพอเหม�ะ และมีคว�มสมดลุ ระหว่�งทรพั ย�กร/งบประม�ณ เง่อื นไข/ขดี จ�ำ กัด เวล�/ศักยภ�พ ของผวู้ จิ ยั /ทีมวิจยั คาำ กรยิ าสำาคญั ในการเขยี นวัตถุประสงค์ บรรย�ย/อธิบ�ย ส�ำ รวจ/ศกึ ษ� ร�ยง�นผลก�รด�ำ เนินง�น ก�รพัฒน�ง�นประจำ�ส่งู �นวจิ ัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563 13

ศึกษาความสัมพนั ธ/์ เปรียบเทยี บ วิเคราะห์/สงั เคราะห์ สร้าง/พัฒนา/ปรับปรุง ประเมนิ /ตรวจสอบ 2. ทบทวนวรรณกรรม ความสำ�คัญการทบทวนวรรณกรรม เป็นการค้นหาข้อมูลที่เราต้องการรู้ มีได้หลายวิธีทั้งจากการพูดคุย สอบถามร่นุ พ่ี เพือ่ นร่วมงานทำ�ใหเ้ ราทราบวา่ ในจังหวดั มีใครเคยท�ำ เรอื่ งนบ้ี ้างแล้ว ผลเปน็ อยา่ งไร ชว่ ยใหเ้ ราไมต่ ้อง เรม่ิ นบั หนงึ่ ใหมอ่ ยตู่ ลอดเวลา และท�ำ ใหง้ าน R2R ไมย่ ากอยา่ งทค่ี ดิ นอกจากนกี้ ารวจิ ยั ทดี่ ตี อ้ งเรม่ิ จากคน้ ควา้ หาขอ้ มลู ด้วยการค้นหาจากประเด็นหรือคำ�สำ�คัญในเร่ืองที่เราสนใจ โดยสามารถค้นหาจากเทคโนโลยีสารสนเทศที่สามารถ download วิทยานิพนธ์ฉบบั เตม็ หรือบทความวจิ ยั ได้ จากทุกมหาวิทยาลยั เชน่ จาก website ของ Thailis.com สกว.วช. ฯลฯ หลกั การทบทวนวรรณกรรม การทบทวนวรรณกรรมไมใ่ ช่การตัดแปะงานวจิ ัยแต่ละเรื่องมาต่อกนั แตต่ ้องมกี ารเลอื กประเดน็ ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง กับงานวจิ ัยของเรา และส่งิ ท่ตี ้องนำ�มาเขยี น คือ ใครทำ�อะไร ทไี่ หน เมือ่ ไร อยา่ งไร และผลทเี่ กิดขึน้ ส่งิ ท่นี อกเหนอื จากประเด็นเหลา่ นไี้ มต่ ้องน�ำ มาใสไ่ ว้ เพราะการทบทวนวรรณกรรมทดี่ ี ไมไ่ ด้ขน้ึ อยกู่ บั จ�ำ นวน ความหนา แต่ขึ้นกบั คณุ ภาพ คอื ตรงประเด็น น�ำ มาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ทัง้ ในขั้นตอนการออกแบบเคร่อื งมอื การเกบ็ ขอ้ มลู การวิเคราะห์ ข้อมูล และการวิจารณ์ผลการศึกษา นอกจากนี้หลักการสำ�คัญในการทบทวนวรรณกรรม คือ การสรุปในแต่ละ ประเด็น เช่น การทบทวนวรรณกรรมเร่ืองการพึ่งตนเอง เม่ือมีงานวิจัย ที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเด็นครบถ้วนแล้ว ควรสรุปเป็นความเห็นของเราเอง เพ่ือนำ�มาใช้ในการกำ�หนดตัวแปรหรือเขียนนิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการในการวิจัย เชิงปริมาณ ส่วนในการวิจัยเชิงคุณภาพใช้เป็นตัวช่วยขยายมุมมอง ความเป็นไปได้ วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาข้อสรุป ประโยชนข์ องการทบทวนวรรณกรรม ท�ำ ให้เรารู้วา่ สิง่ ท่ีเราสนใจอยากรู้มีใครเคยทำ�บ้างแลว้ หรือมีเรอื่ งอะไรทย่ี งั ไมไ่ ดท้ �ำ เพอ่ื ทเี่ ราจะไดไ้ มต่ อ้ งทำ�ซ้ำ� ช่วยให้เราสามารถค้นพบตัวแปรที่จะนำ�มาศึกษาได้ครอบคลุมมากขึ้น นอกจากน้ียังช่วยให้สามารถนำ�ข้อมูลท่ีได้มา ก�ำ หนดกรอบแนวคดิ ในการวจิ ัยได้งา่ ยข้ึน 3. กรอบแนวคิดการวิจยั กรอบแนวคดิ การวจิ ยั คอื กรอบเนอื้ หาสาระทน่ี �ำ มาใชใ้ นการก�ำ หนดแนวทางศกึ ษาวจิ ยั ประกอบดว้ ยตวั แปร ตา่ ง ๆ และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปรทเี่ กย่ี วขอ้ งเพอ่ื หาค�ำ ตอบ การสรา้ งกรอบแนวคดิ ทด่ี นี น้ั ไดม้ าจากการทบทวน เอกสาร (การทบทวนวรรณกรรม) ทฤษฎที เี่ กย่ี วขอ้ ง และแนวความคดิ ของกระบวนการ ในการวจิ ยั การวจิ ยั ของผวู้ จิ ยั โดยมีการนำ�เสนอแบง่ เปน็ 2 สว่ น ดังนี้ 3.1 การนำ�เสนอแบบการพรรณนา เป็นการนำ�เสนอถึงแนวความคิดของกระบวนการในการวิจัยออกมา ใหผ้ อู้ นื่ รบั รโู้ ดยการเขยี นพรรณนา ซงึ่ ในการเขยี นจะตอ้ งสอ่ื ใหเ้ หน็ ถงึ ความสมั พนั ธแ์ ละความเชอ่ื มโยงของตวั แปรตน้ กบั ตัวแปรตาม ท่ีน�ำ มาใช้ในการวิจัย และในการเขยี นจะเปน็ การเขยี นแบบตอ่ เนอื่ งโดยไมแ่ ยกหวั ขอ้ ตวั อยา่ งท่ี 1) กรอบแนวคิดการวจิ ัยเรอื่ ง “โครงการศึกษา แนวทางการพฒั นาอาสาสมัคร พม. ใหเ้ ปน็ แกนนำ� ในการปอ้ งกนั ปญั หาการคา้ มนษุ ย”์ สง่ิ แรกทต่ี อ้ งปฏบิ ตั คิ อื การตรวจเอกสารและผลงานทเ่ี กยี่ วขอ้ ง สรปุ ไดว้ า่ แนวทาง การพัฒนาอาสาสมัคร พม. ให้เป็นแกนนำ�ในการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ คร้ังน้ี ควรมีข้อมูลที่ประกอบด้วย 14 รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพฒั นางานประจ�ำ สู่งานวิจัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563

การศกึ ษาสถานการณป์ ญั หา คา้ มนษุ ยใ์ นพนื้ ทจ่ี งั หวดั ชลบรุ ี ถอดบทเรยี นรปู แบบการท�ำ งานของ อพม. และความคดิ เหน็ ของผนู้ �ำ ทอ้ งถนิ่ ผนู้ �ำ ทอ้ งท/ี่ ชมุ ชน ตอ่ บทบาท หนา้ ทข่ี องอาสาสมคั รพฒั นาสงั คม และความมนั่ คงของมนษุ ย์ (อพม.) “ข้ันตอนนเี้ องทีเ่ รยี กว่าการก�ำ หนดกรอบแนวคดิ การวิจยั ” ตวั อยา่ งท่ี 2) กรอบแนวคดิ การวจิ ยั เรอ่ื ง “ความพงึ พอใจของผสู้ งู อายทุ ไี่ ดร้ บั การจดั สวสั ดกิ ารรปู แบบสถาบนั ของศูนยพ์ ฒั นาการจดั สวสั ดิการสังคมผสู้ งู อายุในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ” สิง่ แรก ทต่ี ้องปฏิบัตคิ ือ การตรวจ เอกสารและผลงานทเ่ี กยี่ วขอ้ ง สรปุ ไดว้ า่ การศกึ ษาความพงึ พอใจของผสู้ งู อายทุ ไ่ี ดร้ บั การจดั สวสั ดกิ ารรปู แบบสถาบนั ของศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือคร้ังนี้ ควรมีข้อสรุปหรือองค์ความรู้ ที่แน่นอนกับส่ิงที่เรียกว่า “ความพึงพอใจ” น่ันคือ นักวิจัยควรจะต้องมีข้อมูลท่ีอธิบายถึงพฤติกรรมท่ีเรียกว่า ความพึงพอใจน้ันมีลักษณะอย่างไร และองค์ประกอบอะไรบ้าง ดังน้ันผู้วิจัยควรมีข้อมูลที่อธิบายถึงความพึงพอใจ ของผู้สูงอายุ มีองค์ประกอบอะไรบ้าง และผู้สูงอายุท่ีได้รับการจัดสวัสดิการรูปแบบสถาบันของศูนย์พัฒนา การจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีรายได้ ระดับการศึกษา สุขภาพของผู้รับบริการ ลกั ษณะการรบั บริการ กำ�หนดขอบเขตขององค์ความรู้ทีก่ ลา่ วมา กค็ ือ “การกำ�หนดกรอบแนวคิดการวิจยั ” นัน่ เอง 3.2 การนำ�เสนอแบบจำ�ลอง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ แบบจำ�ลองเชิงคุณภาพ และแบบจำ�ลอง เชิงปริมาณ การนำ�เสนอแบบจำ�ลองเป็นการนำ�เสนอแนวคิดการวิจัยโดยใช้เทคนิคที่จะทำ�ให้ผู้อื่นสามารถเข้าใจ ไดง้ ่ายข้นึ ไดแ้ ก่ การเขยี นออกมาเป็นแผนภาพ/แผนผังงานในงานวิจัยเชงิ คุณภาพ สมการ ทางคณิตศาสตร์ในงาน วิจัยเชิงปริมาณ หลักการสร้างกรอบแนวคิดการวิจัยรูปแบบน้ี คือ ให้ผู้อ่ืนสามารถเข้าใจถึงภาพรวมและเป้าหมาย ทผี่ วู้ จิ ยั วางไวไ้ ดซ้ งึ่ ในรปู แบบนจ้ี ะแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสมั พนั ธข์ องตวั แปร ความเชอื่ มโยงระหวา่ งตวั แปรตน้ กบั ตวั แปร ตามขัน้ ตอน กระบวนการท่เี กดิ ขนึ้ และเช่ือมโยงไปสู่เป้าหมายท่กี ำ�หนด ตัวอยา่ งกรอบแนวคิดการวิจยั แบบจำ�ลองเชงิ คณุ ภาพ ตวั อยา่ งที่ 1) แสดงกระบวนการ/ขั้นตอนโครงการวิจัยจากจุดเรม่ิ ต้น - สิ้นสุดของกรอบแนวคดิ ในการวิจยั เรื่อง โครงการวิจัย โครงการวิจัยการเพ่ิมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานส่งเสริมการเกษตร : กรณีศึกษาโครงการจัดระบบ พิเศษเฉพาะพืน้ ทีป่ ลกู มันสำ�ปะหลัง ปี 2551/2552 ก่อนการวิจัย 1. พัฒนางานสง่ เสริมการเกษตรตามยทุ ธศาสตรโ์ ดยใชค้ วามรูเ้ ปน็ ฐาน การปฏบิ ตั ิงานตามยุทธศาสตร์ - ศกึ ษาสถานการณ์ ระดบั จังหวัด โคราช/บรุ ีรัมย์/สระแกว้ /กำ�แพงเพชร - พัฒนาบุคลากรในพน้ื ทเี่ ป้าหมาย ระดมสมองศกึ ษาปญั หา - พัฒนาชุดโครงการวจิ ัยรายจังหวดั ระหว่างการวจิ ยั 2. จัดการองค์ความรใู้ นการปฏิบตั งิ านตามพนั ธกจิ กรรมฯ - แผนปฏิบตั งิ านเพือ่ พฒั นาพ้ืนท/่ี กล่มุ เป้าหมาย - กำ�หนดโจทย์/ประเด็นปญั หาของเกษตรกร - ดำ�เนนิ การตามแผนร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพฒั นางานประจำ�สู่งานวจิ ัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563 15

หลงั การวจิ ัย 3. นวตั กรรมก�รจัดก�รคว�มรขู้ ององคก์ รที่สมบรู ณ์ ได้แก่ - มิตพิ ฤติกรรมก�รเรียนรู้ของผูป้ ฏิบตั ิ : ประสิทธิผลต�มพนั ธกจิ - มิติก�รจัดก�รองค์คว�มรู้ : ประสิทธิภ�พก�รเพม่ิ มลู ค่�ง�นดว้ ยก�รวจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ �รแบบมสี ่วนรว่ ม/บทบ�ทก�รจัดก�รคว�มรกู้ �รเกษตร ของนกั วิช�ก�รฯ พัฒน�ก�รเรยี นรแู้ บบมีสว่ นรว่ มของชมุ ชน/เครอื ข่�ย - มิติสภ�พแวดลอ้ มขององค์กรสนบั สนุนก�รปฏบิ ัตงิ �นประจำ� : กระบวนก�รขบั เคลอื่ นองคก์ รเรยี นรดู้ ว้ ยก�รน�ำ วธิ กี �รวจิ ยั ม�ใชแ้ กป้ ญั ห� เพ่ือพฒั น�ง�น แผนภาพท่ี 1.4 แสดงกระบวนก�ร/ขัน้ ตอนโครงก�รวิจัยจ�กจดุ เริม่ ต้น-สนิ้ สดุ ของกรอบแนวคิด ตัวอย่�งที่ 2.2 การจำาลองเพื่อแสดงรูปแบบและทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร เช่น สมก�ร แผนภ�พของกรอบแนวคดิ ในก�รวจิ ยั เรอ่ื งโครงก�รศกึ ษ�คว�มพงึ พอใจของผสู้ งู อ�ยทุ ไ่ี ดร้ บั ก�รจดั สวสั ดกิ �รรปู แบบ สถ�บัน ของศูนยพ์ ัฒน�ก�รจัดสวสั ดกิ �รสังคมผสู้ ูงอ�ยใุ นเขตภ�คตะวันออกเฉยี งเหนอื รายงานผลการดาเนนิ งาน การพฒั นางานประจาสู่งานวจิ ัย ( Routine to Research ) ปีงบประมาณ 2563 ตวั แปรต้น ตัวแปรตาม ผู้สูงอ�ยุที่ได้รับก�รจัดสวัสดิก�ร - คว�มพงึ พอใจของผสู้ งู อ�ยทุ ไ่ี ดร้ บั รกูป�รแตจบัวัดบแสสปวถรัส�ตดบน้ ิกัน�รขสอังงคศมูนผยู้ส์พูงัฒอน�ย�ุ ตวั กศแู�นปรยรจ์พตัดัาฒสมวนัส�ดกิก��รรจรัดูปสแวบัสบดสิกถ��บรสันังขคอมง ในเขผตู้สภงู �อคาตยทุะวไี่ ดนั ้รอับอกาเฉรจียดังเหนอื - คผวสู้ างู มอพ�ยึงใุพนอเขใจตขภอ�งคผตสู้ ะูงวอนั าอยอุทกีไ่ เดฉร้ยี บังเกหานรอืจัด ส-วรัส�ดยกิไดาร้ รูปแบบสถาบนั สวัสดิก-าดร�้รนูปอแ�บหบ�สรถาบนั ของศนู ยพ์ ัฒนาการ -ตขใ-ส-แ---นอวะรสรผสรลเัสวะางขุขะนกัขุ ศยนัดดภตดภภษไนูกิอบั าภบัด�าณยาอกพากพ้พร์พกะาคข�ขสทรเกัฒอรฉอังศ ี่�ศงคนยี1งึกรผึกผมง.ารษ5ู้รษเ้รูกผบัหับาบั�า้สูกบนบรบูง�รือจรอริกิกัดจาิก�ายำ��รรลุรองเพอื่ แสดงรูปแบบและทศิ ท-----ต-จ�ัดะดดดดดดงวสาา้า้้า้้า้าขนัวนนนนนนอัสอสเกอสทง------คดอคิังง่าา่พี ดดดรใดดดอคกิรหกวนัก่ือ�้�้้�้�้้��ปามา�เานนนอกฉงนนนนรมรฐสนา�ยีเทกสสสอมวสงคศรุ่งง�ังี่พัิ่งงย�เมัพรสหคเยัรคคอชคหักพ่อืยื่อป่รมมำ�มวีวอนงาันาสนฐบผสานบ�ะอืธ�มวมสู้ำ�งศงุ่หารร์พยเบงูสหยัลคะ์อคยะดัม่หราวด��วย�บวะ่�มุใก�หงนสลใต์เนะขัวดกตแวาปภกรราสค่ือสาร - ลกั ษณะการรับบริการ ตวั อยา่ งกรอบแนวคิดการวจิ ัยแบบจำาลองเชิงปริมาณ - ด้านอาชวี ะบาบัด ตัวอยา่ งที ่ 2.3 ใช้สัญลักษณท์ ี่สามารถคาำ นวณค่าความสัมพันธ์ของตัวแปร คำ�นวณด้วยสมก�ร E = a +b1C+b2 F เช่น คว�มสัมพันธร์ ะหว่�งประสิทธภิ �พของว�รส�รก�รเกษตรในก�รประช�สัมพนั ธ์ (E) เน้ือห� (C) และรปู ลักษณข์ องว�รส�ตรัว(อF)ย่ามงีรกปู รแอบบบแขนอวงคฟดิังชกัน่ารEวจิ =ัยƒแ(บCบ, จFา) ลองเชิงปริมาณ 16 ตวั อย่างท่ี 2.4 ใช้สญั ลักษณ์ที่สามารถคานวณคา่ ความสัมพนั ธข์ องตวั แปร ร�ยง�นผคลากน�รวดณ�ำ ดเนว้ นิ ยงส�นมกกา�รรพEฒั =นa�ง+�bน1ปCร+ะจbำ�2สFงู่ �นวิจัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 เชน่ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างประสิทธิภาพของวารสารการเกษตรในการประชาสมั พนั ธ์ (E) เนอื้ หา ( C ) และรปู ลักษณ์ของวารสาร (F) มีรปู แบบของฟังชนั่ E = ƒ(C, F)

a แทน ค่�คงท่ี ตวั อย่างที่ 2.4 ใชbส้ 1ญั แลลกัะษbณ2 ค์แทาำ นนวสณมั คปา่ รคะวสาิทมธสิส์ มัหพสมันั พธ์ขันอธ์ขงตอัวงตแัวปแรป ร C และ F ท่ีมตี อ่ E ก�รจ�ำ ลองระบบหรอื simulation เพอ่ื ท�ำ น�ยก�รเปลยี่ นแปลงระบบ เมอ่ื ไดร้ บั ผลกระทบจ�กตวั แปรภ�ยใน หรอื ภ�ยนอกระบบ เช่น ยอดข�ยสนิ ค้� (Y ) จะได้รบั ผลกระทบจ�กปจั จยั ต่อไปนี้ จำ�นวนเซลแมน (x1) ก�รโฆษณ� (x2) และประสบก�รณ์ของผูจ้ ัดก�ร (x3) โดยส�ม�รถวเิ คร�ะห์ได้จ�กสมก�รถดถอยพหสู ตู ค�ำ นวณดว้ ยสมก�ร Y = a+b1x1+b2x2+b3x3 a แทน ค�่ คงที่ ประโยชนb์ข1,อbง2ก, รbอ3บแแทนนวคแทิดนสมั ประสิทธ์ขิ องก�รถดถอยพหสู ตู สว่ นยอ่ ย - ทร�บรปู แบบในก�รท�ำ วิจยั ตัวแปรท่ีใชใ้ นก�รศึกษ� และออกแบบก�รวิจยั ท่เี หม�ะสมได้ - เป็นแนวท�งในก�รว�งแผนเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู - วิเคร�ะห์ข้อมลู และพจิ �รณ�ภ�พรวมของคว�มคว�มสมั พันธ์ระหว�่ งตวั แปร - ก�รแปลผลจ�กข้อมลู ท่ไี ดแ้ ละอภปิ ร�ยผลคว�มสมั พันธ์ระหว�่ งตวั แปร 4. การออกแบบการวจิ ัย ก�รออกแบบก�รวิจัยก็เป็นวิธีก�รในก�รค้นห�คำ�ตอบสิ่งที่เร�สงสัยน่ันเองซ่ึงก่อนที่เร�จะออกแบบวิจัย เร�ตอ้ งรู้ประเภทของก�รวจิ ัย ซึ่งมหี ล�ยประเภทขนึ้ อยกู่ บั เกณฑท์ ใ่ี ช้ ก�รวิจยั หม�ยถึง กระบวนก�รแสวงห� คว�มรู้ ข้อเท็จจรงิ ดว้ ยวธิ ีก�รทเ่ี ปน็ ระบบ มีแบบแผน ต�มแนวท�ง ของวิธกี �รท�งวิทย�ศ�สตร์ เพอื่ ให้ไดค้ ว�มรู้ หรอื ข้อเท็จจรงิ ท่ีถกู ตอ้ งของประเดน็ ปัญห� ที่ตอ้ งก�รศกึ ษ� การวจิ ัยแบ่งตามการใช้ประโยชน์ออกเป็น 3 ประเภท ดงั นี้ 1. ก�รวจิ ยั พ้ืนฐ�น (Basic Research) เป็นก�รวจิ ยั ทมี่ ่งุ ศกึ ษ�คว�มรใู้ หมเ่ พ่อื พัฒน�ทฤษฎแี นวคดิ โดย ยงั ไม่มจี ุดมุง่ หม�ยท่ีแน่นอนของก�รน�ำ ไปใช้ 2. ก�รวิจัยประยกุ ต์ (Applied Research) เปน็ ก�รวิจยั ท่ีมีจุดมุง่ หม�ยในก�รนำ�ผลทีไ่ ด้ หรอื ขอ้ ค้นพบ ไปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ 3. ก�รวจิ ัยปฏบิ ตั กิ �ร (Action Research) เปน็ ก�รวจิ ัยที่มงุ่ นำ�ขอ้ ค้นพบไปใชแ้ ก้ปญั ห�ก�รปฏบิ ัตงิ �น ทีเ่ ป็นอยู่ในขณะน้ัน รูปแบบ/วิธกี ารดำาเนนิ การแสวงหาความรู้ มดี ังตอ่ ไปน้ี 1. การวจิ ยั เชิงปรมิ าณ เช่น การวจิ ยั เชงิ สาำ รวจ (Survey Research) ใชใ้ นก�รสำ�รวจ/ก�รศึกษ�พนื้ ฐ�น เพื่อก�รห�ข้อมูลเชิงระบบเบื้องต้น ในก�รอธิบ�ยสถ�นก�รณ์ที่เป็นอยู่และแนวท�งพัฒน�/ปรับปรุงต�มประเด็นท่ี สนใจ ประกอบดว้ ยขน้ั ตอนเปน็ ล�ำ ดบั ตอ่ ไปน้ี คือ 1) วเิ คร�ะหป์ ัญห�ก�รวจิ ัย 2) กำ�หนดทฤษฎกี �รวิจยั และสร้�งเครื่องมอื 3) เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 4) วเิ คร�ะหแ์ ละสรุปผล ร�ยง�นผลก�รดำ�เนนิ ง�น ก�รพฒั น�ง�นประจำ�สู่ง�นวจิ ัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 17

2. การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ัติการ (Action Research) ประกอบดว้ ยระบบการวิจยั 4 ขัน้ ตอน เป็นวงจรส�ำ เรจ็ รปู เชิงพลวัตรขัน้ ตอนเชิงพลวตั ร (PAOF) ตอ่ ไปนี้ 1) Plan: การวางแผนการด�ำ เนนิ งาน 2) Action: การลงมอื ปฏิบัติ 3) Observation: การสงั เกตและวัดผลการปฏบิ ตั ิ 4) Feedback: การใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั 3. การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR : Participatory Action Research) เป็นกระบวน การศกึ ษา รวบรวมขอ้ มลู และทำ�ข้อสรุปเชิงส�ำ รวจแบบมสี ่วนรว่ ม ประกอบด้วยขนั้ ตอนต่อไปนี้ ขั้นท่ี 1 เตรียมการ (Preparing) ประกอบดว้ ย การเตรียมข้อมูล/เตรยี มพนื้ ทปี่ ฏบิ ัตกิ าร/เตรียมทมี งาน/ เตรยี มเทคนคิ การวิจัย/ปัจจัยแวดล้อม (Context) ขั้นที่ 2 วางแผน (Planning) ประกอบด้วย วนั – เวลา /สถานท่ี/บุคลากร/ทมี งาน/การจัดการความร่วม มอื /การวเิ คราะห์และสรุปผล 4. การวจิ ยั และพฒั นา (R & D) เปน็ กระบวนการวจิ ยั และพฒั นา/รปู แบบการวจิ ยั ทมี่ ขี น้ั ตอนการวเิ คราะห/์ วิจัยแล้วนำ�ผลไปสู่การปฏบิ ตั แิ ละการพฒั นาสิง่ ใหม่ ประกอบด้วยข้ันตอนต่อไปนี้ ข้ันท่ี 1 ข้ัน Research ประกอบด้วย วางแผนการวิจัย/เตรียมการวิจัย/สร้างเคร่ืองมือ/รวบรวมข้อมูล/ วเิ คราะหแ์ ละสรุปผล เปน็ ลำ�ดับ ขั้นที่ 2 ข้ัน Development ประกอบด้วย 1) การวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบระบบ/รูปแบบ/นวตั กรรม 2) การออกแบบสิ่งใหม่ 3) การพฒั นา/การสร้าง/การกำ�หนดสิ่งใหม่ 4) การตรวจสอบความเชอื่ ถอื ได้ 5) การสรุปผลการวิจัย เป็นลำ�ดับ เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเน้นที่จะนำ�ผลการวิจัยมาเพ่ือปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพม่ิ คุณภาพ ประสิทธิภาพการทำ�งานปกติในองค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ โดยอาศัยยทุ ธศาสตร์ วธิ ีการหรอื เทคนิค ตา่ ง ๆ ทัง้ นี้ขน้ึ อย่กู ับลกั ษณะธรรมชาติของงานหรอื หน่วยงานนน้ั ๆ ประเภทของการวจิ ัยสามารถสรปุ เป็นประเภท หลักการ/แนวคดิ ลักษณะข้อมูล และประโยชน์ ดังน้ี ตารางที่ 1.4 ประเภทของการวิจัยแบง่ ตามระเบยี บวธิ วี จิ ัย ประเภท หลกั การ/แนวคดิ ลกั ษณะข้อมลู ประโยชน์ การวจิ ัยเชิงส�ำ รวจ - บรรยายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ ข้อเท็จจรงิ ความคดิ เหน็ - ผลจากการวิจยั เชิง ทผ่ี ู้วิจยั ตอ้ งการศกึ ษา ของบคุ คล ส�ำ รวจมักจะนำ�ไปใช้ชว่ ย - ผู้วิจยั จะเก็บรวบรวมข้อมูล ในการตัดสนิ ใจ หรอื นำ� จากผูท้ ่ที ำ�การศึกษา ไปเป็นความรู้พนื้ ฐาน - ผวู้ ิจยั จะนำ�ขอ้ มลู ทร่ี วบรวม ในการด�ำ เนินงานวิจยั ไดม้ าทัง้ หมดมาวเิ คราะห์เพอ่ื หา ของนักวจิ ัยในแต่ละกลุ่ม ลกั ษณะส่วนรวมของกลมุ่ ที่ทำ� - ตย. การสำ�รวจชุมชน การศึกษา ในชนบท 18 รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพฒั นางานประจ�ำ สู่งานวิจัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563

ประเภท หลกั การ/แนวคิด ลักษณะข้อมูล ประโยชน์ การวิจยั เชิง เปรียบเทยี บ - เปน็ การศกึ ษาเพอื่ หา การวิจัยรายกรณี ความสมั พันธร์ ะหวา่ งตัวแปร - ท�ำ ให้มีความเขา้ ใจลกึ ซึ้งเกี่ยวกบั การวิจยั เชงิ พฒั นา ปรากฏการณน์ ้นั ๆ มากข้ึน การวจิ ัยเชิงทดลอง ส่งิ ท่ีศึกษาอาจจะเป็นบุคคล - การเก็บรวบรวมขอ้ มลู การใชป้ ระโยชนจ์ ำ�กดั คนเดียวกล่มุ บคุ คล หรือชุมนุมชน จากกลุ่มตวั อยา่ งที่มี เฉพาะกลุ่มสามารถน�ำ แหง่ ใดแหง่ หนง่ึ จำ�นวนจ�ำ กดั แตท่ ำ�การ ไปประยกุ ตใ์ ช้กบั กลุ่ม - วเิ คราะหค์ วามตอ่ เนื่อง ศึกษาหลายด้านและ ทม่ี ีบริบทใกลเ้ คยี งกัน ล�ำ ดบั เหตุการณ์และความสัมพันธ์ มกี ารศึกษาสถานการณ์ ระหวา่ งองค์ประกอบต่าง ๆ ต่าง ๆ อย่างลึกซึง้ ขอ้ มลู และบรรยายลักษณะท่ีเป็น ทท่ี �ำ การรวบรวมมกั จะ ส่วนรวมของส่งิ ทีศ่ กึ ษา เปน็ ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ การแปลความหรอื สรปุ ผลการวจิ ัยกจ็ ะจ�ำ กัด อย่เู ฉพาะในกลุม่ ท่ีทำ�การศกึ ษาน้ัน เปน็ การวจิ ยั ทม่ี ุ่งเนน้ ท่ีจะน�ำ ผล การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การใชป้ ระโยชนจ์ �ำ กดั การวจิ ัยมาเพอ่ื ปรบั ปรงุ จากกล่มุ ตวั อย่างทม่ี ี เฉพาะกลุ่มสามารถนำ� เปล่ยี นแปลง เพ่มิ คุณภาพ ความเฉพาะเจาะจง ไปประยกุ ต์ใชก้ บั กลุ่ม ประสิทธภิ าพการทำ�งานปกติ กบั หนว่ ยงานน้ัน ๆ ทมี่ บี ริบทใกลเ้ คยี งกัน ในองคก์ รหรือหน่วยงานตา่ ง ๆ โดยอาศยั ยทุ ธศาสตร์ วิธีการ หรือเทคนิคต่าง ๆ ทัง้ นี้ข้นึ อยูก่ ับ ลกั ษณะธรรมชาตขิ องงาน หรอื หน่วยงานน้ัน ๆ เพ่อื พิสจู น์ความสัมพันธ์ การเก็บรวบรวมข้อมูล การใชป้ ระโยชนส์ ามารถ เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ เชิงปรมิ าณสามารถ เปรียบเทียบหาปจั จยั โดยมกี ารจดั กระท�ำ กับตัวแปร เปรยี บเทยี บความ ทีเ่ หมาะสมตอ่ สิ่งท่เี รา อสิ ระ เพื่อศกึ ษาผลทีม่ ีต่อ แตกต่างระหว่าง ตอ้ งการรู้หรอื ต้องการ ตัวแปรตาม และมกี ารควบคุม สง่ิ ทดลอง พัฒนา ตัวแปรอน่ื มิใหม้ ีผลกระทบ ต่อตวั แปรตามซ่ึงนิยมมาก ทางดา้ นวิทยาศาสตร์ รายงานผลการดำ�เนินงาน การพฒั นางานประจำ�สูง่ านวจิ ยั (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 19

ตารางที่ 1.5 ประเภทของการวิจัยแบง่ ตามแนวคิดพืน้ ฐานการวิจยั ประเภท หลกั การ/แนวคิด ลกั ษณะขอ้ มลู ประโยชน์ การวจิ ยั เป็นงานวิจัยทมี่ ีคณุ ภาพดี ขอ้ มลู ท่เี ป็นตัวเลขเป็นฐาน ควบคมุ ทำ�นายผล เชงิ ปริมาณ ถา้ สามารถพิสจู น์ไดว้ า่ ให้คำ�ตอบ ยืนยนั ความถูกต้อง และหาความสัมพนั ธ์ ไดถ้ กู ตอ้ งจากการ ใช้ระเบยี บ ของข้อค้นพบและขอ้ สรุป ระหวา่ งแปร วิธีทีเ่ หมาะสมและข้อคน้ พบ ตา่ ง ๆ ของเร่ืองที่ทำ� - มองตวั แปรทลี ะตัว สามารถนำ�ไปใชก้ วา้ งขวางทวั่ ไป การศึกษาและวจิ ัย เป็นเหตแุ ละผล - อิสระจากบริบทอ้างอิง ไปยงั กลุ่มประชากร - นกั วจิ ยั อยเู่ หนอื สง่ิ ทีว่ จิ ยั - ใช้การวิเคราะห์ ทางสถิติ การวิจัย การวิจยั ทไี่ มเ่ น้นขอ้ มลู ทีเ่ ปน็ ตัวเลข ข้อมูลหรือข้อคน้ พบ เชิงคุณภาพ เชงิ คุณภาพ เปน็ หลกั เปน็ การวจิ ยั ทีเ่ น้นการ อาจได้มาจากการสังเกต - เข้าใจปรากฏการณ์ หารายละเอยี ดต่าง ๆ ของกลุ่ม หน่วย ท่ตี อ้ งการศกึ ษา ทางสงั คม ประชากร ที่ท�ำ การศึกษาทีจ่ ะ เพียงไมก่ หี่ นว่ ย หรอื เพยี ง - มองภาพรวม ก่อให้เกิดความรคู้ วามเขา้ ใจ ไมก่ ี่กลมุ่ หรือชุมชน - มีความเฉพาะ ในแต่ละ อย่างลกึ ซ้งึ ในเร่อื งนน้ั ๆ การเกบ็ ขอ้ มูลด้วยการ บรบิ ท สงั เกตจากการเขา้ ไป - นกั วิจยั สังเกต อยใู่ นชมุ ชนทศี่ ึกษา แบบมสี ว่ นร่วม รวมถึงการสนทนาพดู คยุ - เขียนบรรยายและ และสัมภาษณ์ ตีความ อยา่ งไมเ่ ป็นทางการ - วิเคราะห์ข้อมลู ด้วยการตคี วาม และสร้าง ข้อสรปุ ตารางท่ี 1.6 ประเภทของการวจิ ัยแบ่งตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย ประเภท หลกั การ/แนวคิด ประโยชน์ การวจิ ยั พืน้ ฐาน - เป็นการวิจัยทมี่ ีจุดมงุ่ หมายในการ - เพอื่ สร้างทฤษฎใี หมห่ รอื ตรวจสอบ (Basic Research) หาความร้ใู หม่เพื่อขยายความรู้ ทฤษฎีเดมิ ท่มี อี ยู่แลว้ ทางวชิ าการ การวิจัยประยกุ ต์ - เปน็ การวจิ ัยที่ผู้วิจัยมุ่งหวัง - เปน็ การวิจัยมงุ่ เนน้ ผลการวิจัย (Applied Research) ในการคน้ หาความรเู้ พ่อื นำ�ความรู้ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นทางปฏบิ ัติ ทีไ่ ด้ไปใชใ้ นการแก้ปัญหาตา่ ง ๆ หรอื ใช้ในการกำ�หนดนโยบายและ ตดั สนิ ใจ 20 รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพฒั นางานประจำ�สูง่ านวิจัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563

ประเภท หลกั การ/แนวคดิ ประโยชน์ 2.1 การวิจยั เชิง ประเมนิ - เปน็ การวิจยั ทีม่ งุ่ คน้ หาความรู้ - เช่น การด�ำ เนนิ การปรบั ปรงุ (Evaluation Research) เพื่อใช้ในการตัดสนิ ใจเรอื่ งต่าง ๆ โครงการตา่ ง ๆ 2.2 การวจิ ยั และพัฒนา - เปน็ การวจิ ัยท่ีมกี ารด�ำ เนินงาน - ความรู้ทไ่ี ด้น�ำ ไปสู่การพัฒนา (Research and Development) หลายขัน้ ตอนเพ่ือพฒั นาใหไ้ ด้ เปล่ียนแปลงส่ิงใหม่ ๆ เช่น สง่ิ ใหมท่ ่ดี ีกวา่ เดิม สิ่งประดิษฐ์ผลิตภณั ฑ์ นวตั กรรม รูปแบบกระบวนการใหม่ ๆ 2.3 การวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการ (Action - เปน็ การวิจัยเพ่ือแกป้ ัญหาเฉพาะ - มุ่งเนน้ แก้ปญั หา/พฒั นางาน Research) หนา้ หรือการวิจัยท่ีจะน�ำ ผลการวิจัย ท่ีปฏิบัตใิ หด้ ขี ้ึน ไปใชใ้ นการท�ำ งานและปรับปรุงงาน ท่ตี นเองปฏบิ ัตอิ ยใู่ ห้ดีและ มปี ระสทิ ธภิ าพย่ิงขน้ึ 2.4 การวจิ ัยเชิงปฏิบัตกิ าร - มีทม่ี าจากงานวจิ ัยสองลกั ษณะ คือ - มงุ่ เนน้ แกป้ ญั หาของชมุ ชน แบบมสี ว่ นรว่ ม (Participatory การศึกษาวิจยั เกยี่ วกบั ชุมชนโดย จากโครงการและกจิ กรรม Action Research : PAR) ใหช้ ุมชนมีส่วนร่วม (Participatory ที่เกดิ จากการมสี ่วนรว่ ม and Community-based ของชมุ ชนนกั พัฒนา และนกั วจิ ัย Research) กบั งานวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการ (ActionResearch) จากประเภทการวจิ ยั ขา้ งตน้ ซง่ึ มหี ลากหลายวธิ กี าร ดงั นนั้ การเลอื กวธิ กี ารวจิ ยั จงึ ตอ้ งเลอื กวธิ กี าร ทสี่ ามารถ ใชใ้ นการหาค�ำ ตอบให้กับโจทย์วจิ ัยหรือค�ำ ถามการวิจัยของเราได้ การเลอื กวธิ กี ารวจิ ยั ขนึ้ อยกู่ บั โจทยว์ จิ ยั หรอื ค�ำ ถามการวจิ ยั วา่ ตอ้ งการรอู้ ะไรจงึ จะสามารถก�ำ หนดวธิ กี ารตอบ โจทยท์ เี่ หมาะสมได้ ดงั นน้ั โจทยว์ จิ ยั สมั พนั ธก์ บั วธิ กี ารหาค�ำ ตอบเพอื่ มาตอบโจทย์ ซง่ึ กค็ อื วธิ กี ารวจิ ยั นน่ั เอง สามารถ สรุปได้ดงั ตารางท่ี 1.7 ตารางท่ี 1.7 การเลอื กวธิ กี ารการวจิ ยั ประเภทงานวิจยั ประเภทคำ�ถาม เป็นการวจิ ัยเชิงปรมิ าณ - เพราะตอ้ งวดั และคำ�นวณตัวเลข 1. จำ�นวนความถ่ี + การกระจาย - เช่น จ�ำ นวนมากนอ้ ย สัดสว่ น เปอรเ์ ซน็ ต์ คา่ เฉล่ีย - เชงิ ปริมาณ : การหาโครงสร้างความสมั พนั ธ์ระหว่างตวั แปรตา่ ง ๆ 2. โครงสร้าง ความสมั พันธ์ + กฎเกณฑ์ ซง่ึ อาจออกมาเปน็ สมการ สัดส่วนหรืออตั ราส่วน ใช้ได้ ท้งั 2 วิธกี าร - เชงิ คุณภาพ : การอธิบายกฎเกณฑ์ทางสงั คม การปรบั เปลี่ยน พฤตกิ รรมของมนษุ ยท์ ่ีสัมพนั ธ์ กบั บรบิ ททเี่ ปลี่ยนแปลงไป ซึ่งไม่อาจวดั เปน็ ตัวเลขได้ แตอ่ าศัยการสังเกตแบบแผน (Pattern) ทางพฤติกรรมท่เี กิดขนึ้ รายงานผลการดำ�เนนิ งาน การพฒั นางานประจำ�สงู่ านวิจยั (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 21

ประเภทคำ�ถาม ประเภทงานวจิ ัย 3. วิธีคิด คุณค่า & การให้ความหมาย - การศกึ ษาวจิ ัยในเชงิ คณุ ภาพ 4. การพัฒนางานประจำ�หรอื แก้ปญั หา - ควรใช้กระบวนการวจิ ัยเชงิ ปฏิบัติการ/การวิจยั ในงานประจำ� เชิงปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วม หรือใช้ระเบียบวิธวี ิจยั หลายแบบผสม ผสานกัน ที่มา : โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ (2553) ระเบียบวธิ ีการวิจัย เมอ่ื เราเลอื กวธิ กี ารวจิ ยั ไดแ้ ลว้ สงิ่ ตอ่ มาทเ่ี ราตอ้ งเรยี นรู้ คอื วธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู สง่ิ ทเี่ ราจะตอ้ งทราบ ในการเกบ็ ขอ้ มูล คอื ระเบยี บวิธีการวจิ ัย หมายถึง การเลอื กวธิ ีท่จี ะไดม้ าซง่ึ ค�ำ ตอบในการวิจยั ซ่ึงเปน็ วิธีการออกแบบงานวิจยั ทั้งหมด ต้ังแต่หลักการและเหตุผล การกำ�หนดวัตถุประสงค์ การกำ�หนดกรอบแนวคิด กำ�หนดวิธีการที่จะศึกษา (Materials and Method) เชน่ แหลง่ ขอ้ มลู คอื อะไร บคุ คล หรอื เหตกุ ารณต์ อ้ งใชว้ ธิ กี ารใดเกบ็ ขอ้ มลู เชน่ แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ หรือการสังเกต งานวิจัยแต่ละชนิดมีวิธีการเก็บข้อมูล ท่ีแตกต่างกันไป เช่น งานวิจัยเชิงปริมาณ เนน้ เก็บขอ้ มูลเปน็ ตวั เลข งานวจิ ยั เชิงคุณภาพ เนน้ เรื่องราวปรากฏการณ์ สว่ นงานวิจยั เชิงพัฒนา เน้นเรอ่ื งราวนำ�ไป ปฏิบัติจริง เป็นต้น ดังน้ันวิธีการเก็บข้อมูลต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพ่ือให้สามารถเก็บข้อมูล ได้ครบถ้วน ตอบโจทย์วิจัยได้ก่อนท่ีจะเลือกวิธีการเก็บข้อมูล เราต้องทราบจุดแข็ง จุดอ่อนของวิธีการเก็บข้อมูล แตล่ ะวธิ ี ดงั นี้ ตารางท่ี 1.8 การเลอื กวธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู วธิ ีการเก็บขอ้ มูล จุดแข็ง จุดออ่ น แบบสอบถาม - รวดเร็วส่งได้จำ�นวนมาก - คุณภาพขอ้ มูลต่ำ�ไม่ตั้งใจตอบ - ผู้ตอบต้องอา่ นออกเขียนได้ หรือใหล้ กู ตอบแบบสอบถามแทน - ใชเ้ วลานอ้ ยได้ขอ้ มูลมาก - วิเคราะห์งา่ ย - เปน็ การสือ่ สารทางเดยี ว - มักตอบไมค่ รบ - ผู้ตอบกลา้ ตอบเพราะไมต่ อ้ งเปดิ เผยตัว - ทดสอบเคร่ืองมอื ก่อนทำ�จริงได้ - อตั ราการตอบกลบั ตำ่� - แบบสอบถามเขียนยาวไม่ได้ - กำ�หนดประเดน็ เฉพาะได้ - ราคาตอ่ หนว่ ยถกู การสมั ภาษณ์ - เปน็ การส่ือสารสองทาง - ตอ้ งใชท้ กั ษะในการสมั ภาษณ์ - ใชก้ ารสังเกตร่วมไปกบั การสมั ภาษณไ์ ด้ - ใช้เวลามากกว่าแบบสอบถาม - ได้รายละเอยี ด - ค่าใช้จ่ายมากกว่าแบบสอบถาม - ปรบั ค�ำ ถามให้เหมาะกับแต่ละกลมุ่ ได้ - ข้อมูลข้นึ อยูก่ ับความสมั พันธ์ - เหมาะกบั คนชนบท (อธั ยาศัยดี - อาจไมไ่ ดข้ ้อมลู สว่ นบคุ คล มีเวลาคุย) ท่ลี ะเอียดอ่อน - เปน็ เครอื่ งมือสรา้ งความสัมพันธท์ ีด่ ี 22 รายงานผลการดำ�เนินงาน การพฒั นางานประจำ�สู่งานวจิ ัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563

วิธีการเกบ็ ขอ้ มลู จดุ แขง็ จดุ อ่อน - กะเกณฑห์ รอื ก�ำ หนดเวลาไมค่ ่อยได้ การสังเกต - ได้ขอ้ มลู เชิงพฤตกิ รรม (ไม่ใช่ค�ำ พดู ) - เสยี เวลาและค่าใชจ้ ่ายสูง - น่าเช่อื ถือ - ตคี วามยาก - เหน็ บรบิ ทในสถานการณจ์ รงิ - ผู้สงั เกตต้องมที กั ษะสงู - ผสู้ งั เกตรับรู้เรื่องอารมณ์ความรู้สกึ ได้ดี ทมี่ า : โกมาตร จึงเสถียรทรพั ย์ (2553) จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ มรี ปู แบบการวจิ ยั หลายรปู แบบ ดงั นนั้ การออกแบบการวจิ ยั ขน้ึ อยกู่ บั ผวู้ จิ ยั วา่ ตอ้ งการ ใชว้ ธิ ีการแบบไหนในการคน้ หาค�ำ ตอบ ซ่ึงจะสัมพันธ์กับการเลอื กวิธีการในการเกบ็ ขอ้ มูล เพื่อใหไ้ ด้คำ�ตอบที่ถกู ตอ้ ง เหมาะสมในการนำ�ไปใชป้ ระโยชน์ตามวตั ถุประสงคท์ ่ีวางไว้ รูปแบบการวิจยั ทนี่ ยิ มใชใ้ นการพัฒนางานประจำ�สู่งานวจิ ยั (R2R) การท�ำ วจิ ยั เชงิ ส�ำ รวจ มีขั้นตอน ดังน้ี 1. การก�ำ หนดหัวข้อการวิจยั คือ กระบวนการต่าง ๆ ท่ีใช้ในการระบุใหช้ ัดเจนวา่ ผวู้ ิจยั มคี วาม ประสงค์จะศึกษาเร่ืองอะไร การเลือกหัวข้อวิจัยนั้นข้ึนอยู่กับความรู้และความสนใจของผู้วิจัยหรือของผู้สนับสนุน โครงการวิจัยแตล่ ะโครงการ โดยลกั ษณะของหวั ข้อวิจยั ทดี่ ี คือ 1.1 เปน็ เร่ืองทแ่ี คบพอที่จะศกึ ษา ไมค่ วรเป็นเรอื่ งท่กี วา้ งเกินไป 1.2 ควรส่อื ความหมายในประเดน็ ท่ีวจิ ัยอย่างชดั เจน 1.3 เป็นเร่ืองที่ผู้วจิ ยั มคี วามรู้ ความสามารถและมีความสนใจทีจ่ ะท�ำ การวจิ ยั ได้ 1.4 จะตอ้ งมีประโยชนแ์ ละตอบสนองความตอ้ งการของหนว่ ยงานหรอื ชมุ ชน หรอื เป็นการเพิม่ พนู ความรู้ ทางวชิ าการดา้ นใดด้านหนงึ่ 1.5 ควรค�ำ นงึ ถงึ ระยะเวลา งบประมาณทีเ่ หมาะสม 2. การสำ�รวจเอกสาร การทบทวนวรรณกรรม และทฤษฎีท่เี กี่ยวขอ้ ง คอื การอา่ นเกบ็ รวบรวม ประเดน็ แนวความคดิ ระเบยี บวธิ วี จิ ยั ของผลงานวจิ ยั หรอื เอกสารสงิ่ พมิ พต์ า่ งๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั หวั ขอ้ หรอื ประเดน็ ของ ปญั หาของการวจิ ยั โดยผวู้ จิ ยั จะตอ้ งอา่ นและตรวจเอกสารตา่ ง ๆ และพยายามท�ำ ความเขา้ ใจ วา่ เรอื่ งทจี่ ะท�ำ การวจิ ยั น้นั มีเอกสารทีเ่ กีย่ วขอ้ งในแงใ่ ด โดยมปี ระโยชนด์ งั น้ี 2.1 ปอ้ งกันการวิจยั ซ้�ำ ซ้อนกบั งานวจิ ยั ของบคุ คลอ่นื ทท่ี �ำ มาแล้ว 2.2 ทำ�ให้ผู้วจิ ยั สามารถทำ�การวิจัยได้รอบคอบ ละเอียดตรงเป้าหมายและมคี ณุ ภาพอย่างแท้จรงิ 2.3 ชว่ ยในการเสนอแนวความคิดและทฤษฎีที่เกยี่ วข้องกบั หวั เรอ่ื ง 3. การก�ำ หนดปัญหาการวจิ ัย คอื การระบปุ ระเด็นทีน่ ักวิจัยสงสัยและอยากจะหาค�ำ ตอบภายใตข้ อบข่าย ของหัวเรื่องที่ได้กำ�หนดไว้ โดยที่ความสามารถในการกำ�หนดปัญหาขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสามารถพิเศษ ของแต่ละบุคคล ซ่ึงมหี ลักงา่ ย ๆเพื่อใช้เป็นแนวทางส�ำ หรับนักวิจัยในการ ก�ำ หนดปญั หาการวจิ ยั คอื 1) ศกึ ษาเบือ้ งต้นในเน้อื หาท่ีท�ำ การวิจยั อยา่ งละเอยี ด 2) ศกึ ษาเอกสารวชิ าการทเ่ี กย่ี วขอ้ ง รายงานผลการดำ�เนนิ งาน การพัฒนางานประจำ�สูง่ านวิจยั (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 23

3) ปรึกษาหารือกับผู้ท่ีมีประสบการณ์อย่างดีในเร่ืองที่จะศึกษาส่วนหลักเกณฑ์ในการกำ�หนดปัญหาที่ดีน้ัน มีหลักใหญ่ ๆ คือ (1) ปัญหาตอ้ งก�ำ หนดให้ชัดเจน โดยกำ�หนดในรปู ค�ำ ถาม (2) ปัญหาควรปรากฏในรปู ของความสมั พนั ธ์ระหว่างตวั แปร 2 ตวั หรอื เกนิ กวา่ 2 ตวั (3) ปัญหาการวิจัยที่กำ�หนดมาน้ัน ควรเป็นปัญหาท่ีมีความหมายและเชื่อมโยงกับทฤษฎีหรือการปฏิบัติ ท่ีมอี ยู่ และตอ้ งองิ กบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทพ่ี สิ ูจนไ์ ด้ 4. การสรา้ งกรอบแนวคิดและสมมตฐิ าน การวิจัยในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ หมายถึง กรอบของการวิจัยในด้านเนื้อหาสาระ ซึ่งประกอบไปด้วย ตัวแปร และการระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยในการใช้ความคิดโดยรวมเอาเหตุการณ์ ตา่ ง ๆ มาอยภู่ ายใตห้ วั ขอ้ ทว่ั ไปอนั เดยี วกนั การใชแ้ นวคดิ จะชว่ ยประหยดั เวลาในการเขา้ ใจ เพราะใชแ้ ตเ่ พยี งค�ำ สนั้ ๆ แตม่ คี วามหมาย กวา้ งขวาง ทำ�ใหเ้ ขา้ ใจไดถ้ ่องแท้วา่ หมายความถงึ เรอ่ื งอะไร หรือเก่ยี วกบั เรอื่ งอะไร ซง่ึ การใช้กรอบ แนวคดิ ในการวจิ ยั นน้ั ท�ำ ใหน้ กั วจิ ยั สามารถจดั ระเบยี บของขอ้ มลู เพอื่ ใหเ้ หน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งขอ้ มลู ไดส้ มมตฐิ าน การวจิ ัย (Hypothesis) หมายถึง ข้อความทีใ่ ช้คาดคะเนความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตัวแปร ตัง้ แต่ 2 ตวั แปร หรือมากกว่า ขึ้นไปในลักษณะที่เป็นข้อ ๆ เป็นการเชื่อมโยงทฤษฎีและแนวความคิดกับงานวิจัย โดยความสัมพันธ์ที่กล่าวไว้ใน สมมติฐานจะเป็นจริงหรือไม่ข้ึนอยู่กับข้อมูลท่ีหามาได้ว่าจะยืนยันได้มากน้อยขนาดไหนคือ ยอมรับหรือปฏิเสธ สมมตฐิ าน กรอบแนวคดิ และสมมติฐาน ถา้ ผวู้ ิจัยสามารถกำ�หนดกรอบแนวความคิดสำ�หรับการวิจัยได้ กจ็ ะสามารถ ตงั้ สมมติฐานได้ โดยนำ�เอากรอบแนวความคิดน้นั มาแจกแจง เปน็ ขอ้ ๆ โดยที่แต่ละข้อจะระบคุ วามสัมพนั ธ์ระหวา่ ง ตวั แปรทเี่ กยี่ วขอ้ งกนั ไวอ้ ยา่ งชดั เจน หรอื ในทางกลบั กนั ถา้ ผวู้ จิ ยั มสี มมตฐิ านหลายขอ้ กส็ ามารถน�ำ เอาสมมตฐิ านเหลา่ นน้ั มาสรา้ งเป็นกรอบแนวความคิดได้ 5. กำ�หนดตัวแปรและการวัดตวั แปร 5.1 ตัวแปร (Variable) คือ ลักษณะคุณสมบัติของหน่วยต่าง ๆ ทั้งของมนุษย์ สัตว์ สังคม ครอบครัว กลุ่ม หรืออ่ืน ๆ ซ่ึงอาจจะแตกต่างระหว่างกัน เช่น ถ้าหน่วยเป็นคน ตัวแปรอาจจะเป็นน้ำ�หนัก ส่วนสูง อายุ การศึกษา เช้ือชาติ เพศ ฯลฯ หรือถ้าหน่วยเปน็ ครอบครวั ส่งิ ท่เี ปน็ ตัวแปรคอื ขนาด ความกลมเกลยี ว ฐานะ ประเภท ของครอบครวั เปน็ ต้น 5.2 ประเภทของตัวแปร 1) แบง่ ตามหนา้ ท่ี ดังนี้ - ตวั แปรอสิ ระ หรอื ตวั แปรตน้ (Independent Variable) คอื ตวั แปรทเ่ี ปน็ เหตขุ องตวั อน่ื หรอื เปน็ ตวั แปร ทีก่ �ำ หนดตัวอ่นื ๆ หรือเป็นตัวแปรท่ีมาก่อนหรอื เกดิ ก่อน - ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือ ตัวแปรท่ีเป็นผลหรือเสมือนเป็นผลจากตัวแปรอิสระหรือ ตัวแปรทเี่ กดิ ทหี ลงั - ตัวแปรคุม (Control Variable) คือ ตัวแปรภายนอกซ่ึงมีอิทธิพลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อความสัมพันธ์ ระหวา่ งตวั แปรอสิ ระกบั ตวั แปรตามเชน่ รายไดม้ ผี ลตอ่ การยอมรบั เทคโนโลยี โดยทรี่ ายไดเ้ ปน็ ตวั แปรอสิ ระการยอมรบั เทคโนโลยีเปน็ ตัวแปรตาม ในขณะทีจ่ ะมีระดบั การศกึ ษาเป็นตัวแปรควบคมุ เปน็ ต้น 2) แบง่ ตามลักษณะ - ตวั แปรทมี่ ลี กั ษณะเชงิ ปรมิ าณ (Quantitative Variable) คอื ตวั แปรทส่ี ามารถบอกคา่ ของแตล่ ะหนว่ ย ออกเป็นตวั เลขท่แี น่นอนได้ เชน่ น�ำ้ หนักรายได้ อายุ ส่วนสูง ผลผลติ ฯลฯ 24 รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพฒั นางานประจำ�สู่งานวจิ ยั (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563

- ตัวแปรที่มีลักษณะเชิงคุณภาพ (Qualitative Variable) คือ ตัวแปรท่ีไม่สามารถให้ค่าออกมา เป็นตัวเลขได้ แต่อาจจะบอกลักษณะหรือคุณภาพได้ เช่น เพศ ศาสนา รสนิยม และสถานภาพสมรส ฯลฯ - ตัวแปรท่ีมลี ักษณะทัง้ เชงิ ปริมาณและคณุ ภาพ ท้งั นี้ ข้นึ กบั นกั วจิ ัยจะก�ำ หนดวา่ ตวั แปรตัวไหนเปน็ อะไร เชน่ รายได้ จะก�ำ หนดเปน็ ตวั แปรคณุ ภาพ หรอื เชงิ ปรมิ าณกไ็ ดข้ น้ึ กบั วา่ นกั วจิ ยั จะสนใจศกึ ษา ในแงใ่ ดในแงฐ่ านะหรอื จ�ำ นวนเงินท่ีไดร้ ับ 5.3 การวดั ตัวแปรในทางปฏิบตั ิ การวัดหมายถึง กระบวนการแปรสภาพความคิด (Concept) ซึ่งเป็นนามธรรมให้เป็นข้อมูลทางสถิติ เชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพการวัดเริ่มต้นจากการกำ�หนดให้เด่นชัดว่าตัวแปรท่ีต้องการวัดคืออะไร และต้องการ จะวัดอะไรของสิ่งนั้น ซ่ึงจะต้องมีการกำ�หนดคำ�นิยามของตัวแปรนั้นท่ีสามารถนำ�ไปใช้ในการปฏิบัติการได้ ซึ่งจะต้องมีการสร้างเคร่ืองมือหรือกำ�หนดเทคนิคท่ีใช้ในการวัด เช่น Rating Scale, Likert Scale, Sociometry เปน็ ต้น ทงั้ นเี้ คร่อื งมอื ดงั กล่าวจะต้องมคี วามถกู ต้องของการวดั (Validity) ความเชื่อถอื ไดข้ องการวดั (Reliability) 5.4 ระดบั ของการวดั (Level of Measurement) ในการวดั ตวั แปรจะตอ้ งจดั ระเบยี บ และวางกฎเกณฑ์ การใหต้ วั เลขกบั ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ใหอ้ ยใู่ นสภาพทจ่ี ะน�ำ ไปใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู สามารถแบง่ ขอ้ มลู ไดเ้ ปน็ 4 ระดบั คอื 1) Nominal Scale เปน็ ระดบั พนื้ ฐาน สามารถบอกประเภทของตัวแปรได้เท่านั้น เชน่ เพศ แบ่งเปน็ ชายและหญิง 2) Ordinal Scale สามารถบอกอนั ดับของประเภทตวั แปรไดด้ ้วย เชน่ ความแข็งแรงของรา่ งกาย แบ่ง เป็น มาก ปานกลาง น้อย หรือกลมุ่ อายุ แบ่งเป็น นอ้ ยกวา่ 40 ปี 41-50 ปี 50-60 ปี เปน็ ต้น 3) Interval Scale สามารถบอกชว่ งของอนั ดบั ของตวั แปรนนั้ ได้ แตไ่ มม่ คี า่ ศนู ย์ (0) ทแี่ ทจ้ รงิ เชน่ การ สอบถามทศั นคติซงึ่ แบง่ เปน็ ระดบั 1=นอ้ ยทสี่ ดุ ,2=นอ้ ย,3=ปานกลาง,4=มาก,5=มากทส่ี ดุ หรอื คะแนนสอบเปน็ ตน้ 4) Ratio Scale เป็นตวั เลขจริง มคี า่ ศูนย์ (0) ทแ่ี ทจ้ ริง เชน่ อายุ น้ำ�หนัก เปน็ ต้น 6. การกำ�หนดกลุ่มตัวอย่าง (Sampling) เป็นการคัดเลือกตัวอย่างท่ีจะทำ�การเก็บข้อมูลการวิจัย จากประชากรท้ังหมด โดยคัดเลือกมาเพียงส่วนหน่ึงในฐานะเป็นตัวแทนของประชากรท้ังหมดที่นักวิจัย จะทำ�การ ศกึ ษา ซ่ึงควรมีลกั ษณะทสี่ �ำ คัญ 2 ประการ คือ - เปน็ ตวั แทนท่ดี ขี องประชากรทั้งหมด คอื มลี ักษณะครบถ้วนตามทต่ี งั้ ไว้ - ขนาดของกลุ่มตวั อยา่ งตอ้ งมากพอท่ีจะเป็นตวั แทนได้ โดยขนาดของตวั อยา่ งควรจะเป็นเทา่ ใดน้นั อาจจะ พจิ ารณาเปอรเ์ ซน็ ตจ์ ากประชากรทง้ั หมด หรอื โดยค�ำ นวณทางสถติ ิ หรอื ใชต้ ารางส�ำ เรจ็ รปู เชน่ การค�ำ นวณขนาดของ กลมุ่ ตวั อยา่ งหรอื ใชต้ ารางส�ำ เรจ็ รปู โดยวธิ ขี อง Yamane หรอื วธิ ขี อง Jaeger เปน็ ตน้ เมอื่ มกี ารก�ำ หนดขนาดตวั อยา่ ง ได้แลว้ จะตอ้ งมกี ารสมุ่ ตัวอยา่ งทจ่ี ะเก็บข้อมูล ซง่ึ สามารถแบ่งประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ 1) การสมุ่ ตวั อย่างตามโอกาสหรือความนา่ จะเป็น (Probability Sampling) - การสมุ่ ตัวอยา่ งแบบง่าย (Simple random Sampling) คือ การสมุ่ ตวั อย่างท่ีประชากรทุกหนว่ ยมี โอกาสเท่าเทียมกันท่ีจะได้รับการคัดเลือกเป็นตัวอย่าง โดยอาจใช้วิธีจัดทำ�บัญชีทุกหน่วยของประชากรและกำ�กับ หมายเลขทุกราย แลว้ ใชต้ ารางเลขสุ่ม หรอื ใชว้ ธิ ีจับฉลาก - การสมุ่ ตวั อย่างแบบมีระบบ (Systematic Sampling) นกั วจิ ยั จะตอ้ งจดั ท�ำ บัญชีรายชอื่ ประชากรแล้ว สุ่มจากบัญชีรายชือ่ โดยเลอื กตามเลขทีก่ �ำ หนด เช่น ประชากร 1,000 คน นักวจิ ยั ต้องการตวั อยา่ ง 100 คน นกั วจิ ัย จะตอ้ งคัดเลอื กทุกหนว่ ยที่ 10 เปน็ ตน้ - การสมุ่ ตวั อยา่ งแบบแบง่ ชนั้ (Stratified Random Sampling)การสมุ่ ตวั อยา่ งแบบนี้ ตอ้ งแยกประเภทของ รายงานผลการดำ�เนนิ งาน การพฒั นางานประจำ�สู่งานวจิ ัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563 25

ประชากรที่มเี หมอื น ๆ กนั ภายในกล่มุ (Homogeneous) เปน็ กลมุ่ ย่อย แล้วจงึ สมุ่ ตัวอยา่ งจากกลุ่มย่อยแยกกัน คนละกลมุ่ ตามสัดสว่ นประชากรในแต่ละกล่มุ ยอ่ ย เช่น การสมุ่ ตัวอยา่ งตามกลุ่มศาสนา - การส่มุ ตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เปน็ การส่มุ ตัวอย่างจากประชากร โดยแบ่งประชากร ออกเปน็ กลุ่ม ๆ โดยให้แต่ละกลุ่มมีความแตกต่างของประชากรภายในกลุม่ (Heterogeneous) เช่น การสุ่มตัวอยา่ ง โดยแบ่งตามเขตการปกครอง - การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi Stage Sampling) เป็นการสุ่มตัวอย่าง เป็นข้ันเป็น ตอน เช่น ทำ�การสุ่มจังหวัดท่ีเป็นตัวอย่างก่อนแล้วสุ่มอำ�เภอตำ�บล หมู่บ้าน และครัวเรือนที่เป็นตัวอย่างโดยลำ�ดับ 2) การสุ่มตัวอย่างชนิดที่ไม่ทราบโอกาสหรือความน่าจะเป็นท่ีแต่ละหน่วยถูกคัดเลือกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง (Non-Probability Sampling) - การสมุ่ ตวั อยา่ งแบบบงั เอญิ (Accidental Sampling) เชน่ พบใครกส็ มั ภาษณต์ ามความพอใจของผวู้ จิ ยั - การสุ่มตัวอย่างแบบโควต้า (Quota Sampling) ต้องมีการแบ่งกลุ่มของประชากรแล้วจัดสรรโควต้า ตัวอย่างไปให้แต่ละกลมุ่ ตามสดั สว่ นของประชากรในกลุ่มนั้น ๆ ทม่ี อี ยู่ จากนั้นก็ทำ�การสุ่ม จากแต่ละกลุม่ ตามโควตา้ ทจ่ี ดั สรร ทง้ั น้เี พื่อใหไ้ ดต้ ัวแทนจากกลุ่มต่าง ๆ อยา่ งเหมาะสม 7. กำ�หนดเครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยน้ันมีเทคนิคและวิธีการหลายอย่างในการ เก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยจะเลือกใช้วิธีใดข้ึนกับชนิดและรูปแบบของการวิจัยและทรัพยากร ทั้งคนและงบประมาณ ที่มีอยู่ วธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู การวจิ ัยเชิงสำ�รวจทน่ี ิยมใช้ ไดแ้ ก่ - การใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) แบบสอบถาม หมายถงึ ชดุ ของค�ำ ถามทใี่ ช้เป็นเครือ่ งมอื ส�ำ หรับ เกบ็ รวบรวมข้อมูลจากผู้ใหข้ ้อมูล - การสมั ภาษณ์ (Interview) คอื การสนทนาแบบมีจุดมงุ่ หมายแน่นอนการสัมภาษณน์ ั้นอาจมแี บบเพอ่ื ใช้ ประกอบในการสมั ภาษณด์ ้วยกไ็ ด้ แบบสอบถามแตกต่างจากแบบสัมภาษณ์ คือ แบบสอบถาม ผู้ให้ข้อมูลจะเป็นผู้กรอกแบบสอบถามนั้นเอง แต่ถ้าเป็นแบบสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์จะเป็นผู้กรอกแบบ ดังนั้นคำ�ถามที่สร้างข้ึนมาชุดหนึ่ง อาจเรียกว่าเป็น “แบบสอบถามหรอื แบบสัมภาษณ์”ก็ได้ ข้นึ อยู่กบั ว่าใครเปน็ ผู้บนั ทึกข้อมูล เคร่ืองมอื ส�ำ หรบั เก็บรวบรวมขอ้ มูล การทำ�แบบสอบถาม (Questionnaires) แบบสัมภาษณ์(Interview) และแบบสังเกต (Observation) แนวคิดของการใชแ้ บบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ และ แบบสังเกตแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบสังเกต เปน็ เครื่องมือที่ใช้ในเก็บรวบรวมข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลสำ�หรับการวิจัย ซึ่งในการใช้เคร่ืองมือแต่ละประเภทนั้นขึ้นกับ วัตถปุ ระสงค์ บคุ คลเป้าหมาย และวิธกี ารในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ซึ่งจะได้กลา่ วถึงตอ่ ไป แบบสอบถาม (Questionnaires) เปน็ ชดุ ขอ้ ค�ำ ถามทเี่ ปน็ ขอ้ ความหรอื บางครง้ั ใชภ้ าพเปน็ ขอ้ ค�ำ ถาม ส�ำ หรบั ให้กลุ่มตัวอย่างตอบโดยการเขียนซ่ึงอาจเขียนตอบเป็นข้อความหรือเป็นเครื่องหมายตามเง่ือนไขที่กำ�หนด ส่ิงท่ีวัด โดยแบบสอบถามมีท้ังข้อเท็จจริง ความรู้ ความคิดเห็น เจตคติ และพฤติกรรม โดยท่ีการใช้แบบสอบถามสามารถ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากบุคคลเปา้ หมายไดป้ รมิ าณมากและรวดเร็วข้ันตอนการสรา้ งแบบสอบถาม มีขนั้ ตอนการสร้าง เคร่ืองมือ (แบบสอบถาม) 6 ขัน้ ตอน คือ 1) ก�ำ หนดขอ้ มลู ท่ตี อ้ งการ 2) กำ�หนดตัวช้ีวัดและสรา้ งมาตรวดั 3) สร้างข้อค�ำ ถาม 26 รายงานผลการด�ำ เนินงาน การพัฒนางานประจ�ำ สงู่ านวจิ ัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563

4) ตรวจสอบและบรรณาธิกร 5) ทดลองใช้ 6) ปรบั ปรงุ โดยมรี ายละเอยี ดในแต่ละข้นั ตอนดงั นี้ 1. การกำ�หนดข้อมูลท่ีต้องการเป็นการกำ�หนดประเภทและเนื้อหาของข้อมูลจะช่วยทำ�ให้การสร้าง แบบสอบถามง่ายขึน้ และตรงประเด็น มีแนวทาง ดงั น้ี 1.1 พจิ ารณาจากวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั แตล่ ะขอ้ เพอื่ ทราบวา่ ตอ้ งการขอ้ มลู อะไร มตี วั แปรอะไรบา้ ง ท่ีต้องนำ�มาพจิ ารณา 1.2 แยกวัตถุประสงค์ของการวิจัยออกเป็นประเด็นย่อย ๆ ให้มากท่ีสุดทั้งน้ีการแยกประเด็นย่อย ๆ ได้น้นั ขึ้นกบั การตรวจเอกสาร 1.3 น�ำ ประเด็นที่แยกออกมาทำ�เปน็ แผนผังกา้ งปลาเพอื่ นไปกำ�หนดเปน็ ขอ้ ค�ำ ถาม ที่มา : เบญจมาศ อยู่ประเสรฐิ , 2547 2. การวดั โดยก�ำ หนดตวั ชวี้ ดั และสรา้ งมาตรวดั การวดั เปน็ การแปรสภาพแนวคดิ ซง่ึ มลี กั ษณะ เปน็ นามธรรม ให้เป็นตัวแปรและข้อมลู ทางสถิติ อาจเป็นเชงิ ปริมาณหรือคณุ ภาพ ทง้ั น้ใี นการวัด ผวู้ ิจยั ตอ้ งก�ำ หนดใหเ้ ด่นชัดวา่ - ข้อมลู หรือตัวแปรท่จี ะวดั นั้น คอื อะไร - ในการวัดใชอ้ ะไรเป็นตวั ชว้ี ดั และมมี าตรวดั อย่างไร - ตวั ชวี้ ดั และมาตรวัดนนั้ จะถกู นำ�ไปกำ�หนดเปน็ ข้อคำ�ถาม ตัวช้ีวัด หมายถงึ ส่งิ ท่บี ง่ บอกหรอื สะท้อนลกั ษณะหรือประเด็นท่ีต้องการวัด เชน่ ประเดน็ ท่ีต้องการวดั คือ การใสป่ ยุ๋ มะมว่ ง ตวั ชว้ี ดั ในประเดน็ ดงั กลา่ ว ไดแ้ ก่ วธิ กี ารใสป่ ยุ๋ จ�ำ นวนครงั้ ในการใสป่ ยุ๋ และปรมิ าณการใสป่ ยุ๋ เปน็ ตน้ มาตรวัด หมายถึงหลกั เกณฑท์ ี่ใช้ในการวดั เปน็ การกำ�หนดหนว่ ยในการวัด ซ่ึงเป็นการระบุถึงระดบั ของตวั ชีว้ ดั ว่าเปน็ Nominal Ordinal Interval หรอื Ratio Scale ข้ันตอนการก�ำ หนดตวั ชว้ี ัด ดงั นี้ - น�ำ ประเดน็ ต่าง ๆ ที่ได้ท�ำ เป็นแผนผงั กา้ งปลามาพิจารณา - กำ�หนดตัวชวี้ ัดในแตล่ ะประเดน็ - กำ�หนดมาตรวัดในแต่ละประเดน็ - ทำ�ตารางสรปุ ประกอบด้วย ประเดน็ ท่ีจะวัด ตวั ช้ีวัด มาตรวดั และแหล่งข้อมูล 3. การสร้างข้อคำ�ถาม โดยการนำ�ตารางสรุปตัวช้ีวัดมาพิจารณาเพ่ือสร้างข้อคำ�ถามให้ครบทุกประเด็น ตวั ชีว้ ัดและใช้มาตรวดั ทีไ่ ดก้ ำ�หนดไว้ แล้วจงึ ด�ำ เนนิ การยกร่างชดุ ของคำ�ถาม โดยยึดหลกั เกณฑ์ ท่เี กยี่ วกับการสรา้ ง ค�ำ ถามมาประกอบการพจิ ารณา ดงั น้ี ขอ้ หา้ มในการสรา้ งขอ้ ค�ำ ถาม 1) ค�ำ ถามน�ำ เปน็ ค�ำ ถามทก่ี �ำ หนดค�ำ ตอบไวแ้ ละพยายามจะใหผ้ ตู้ อบเหน็ ดว้ ย เชน่ ผรู้ บั บรกิ ารไมน่ ยิ มสอบถาม ขอ้ มลู เงนิ อดุ หนนุ เดก็ แรกเกดิ ดว้ ยวธิ กี ารสง่ ขอ้ ความผา่ นอเี มล์ ทา่ นเหน็ ดว้ ยหรอื ไม่ (ควรถามวา่ : ทา่ นคดิ วา่ ผรู้ บั บรกิ าร ใชว้ ิธกี ารใดในการสอบถามข้อมูลเงินอดุ หนุนเดก็ แรกเกิด) 2) ค�ำ ถามทล่ี �ำ เอยี ง เป็นคำ�ถามท่ผี ้วู จิ ยั ตอ้ งการใหผ้ ูต้ อบ ใหค้ �ำ ตอบตามทผี่ วู้ ิจยั ต้องการ เช่น ท่านปฏิบัตงิ าน ตามขน้ั ตอนที่กำ�หนดไว้หรือไม่ (ควรถามว่า : ท่านปฏิบตั อิ ยา่ งไรในการรบั แจ้งเร่ืองทางสายด่วน 1300) 3) ค�ำ ถามทเ่ี ปน็ เชงิ ปฏเิ สธ เปน็ ค�ำ ถามในรปู ของการปฏเิ สธ เชน่ ไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งเรยี นรทู้ กั ษะ ในการรบั แจง้ เรอ่ื ง สายดว่ น 1300 ใชห่ รือไม่ (ควรถามว่า : ท่านมคี วามคดิ เหน็ อยา่ งไรในการเรยี นรทู้ กั ษะการรบั แจ้งเร่ือง สายดว่ น 1300) รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพัฒนางานประจ�ำ ส่งู านวจิ ยั (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563 27

4) คำ�ถามทมี่ สี องคำ�ถามซ้อนกนั เป็นคำ�ถามท่ถี าม 2 ประเดน็ ในคำ�ถามเดียวกัน เชน่ ท่านรบั แจ้งเรือ่ งทาง โทรศัพท์และบันทึกข้อมูลเข้าระบบบ่อยเพียงใด (ควรแยกเป็น 2 คำ�ถาม คือ ท่านรับแจ้งเรื่องทางโทรศัพท์บ่อย เพยี งใด และท่านบันทกึ ขอ้ มูลเขา้ ระบบบอ่ ยเพียงใด) 5) ค�ำ ถามทสี่ รา้ งความอดึ อดั ในการตอบ เปน็ ค�ำ ถามทท่ี �ำ ใหผ้ ตู้ อบมคี วามล�ำ บากใจทจ่ี ะตอบ เชน่ ท�ำ ไมทา่ นไม่ เขา้ รว่ มกจิ กรรมทสี่ �ำ นกั งานพฒั นาสงั คมและความมนั่ คงของมนษุ ยจ์ ดั (ควรถามวา่ : ทา่ นเขา้ รว่ มกจิ กรรมทสี่ �ำ นกั งาน พฒั นาสงั คมและความม่นั คงของมนษุ ยจ์ ดั หรอื ไม่ถ้าไมเ่ ขา้ ร่วม เพราะเหตใุ ด) 6) ค�ำ ถามท่กี ำ�กวม เปน็ ค�ำ ถามที่ไมช่ ดั เจน หรอื ผูต้ อบอาจเขา้ ใจความหมายไมต่ รงกบั ท่ผี วู้ จิ ยั ตอ้ งการ เชน่ ท่านมีประสบการณ์อะไรเกี่ยวกับการลงทะเบียนเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด (ควรถามว่า : ท่านมีวิธีการใดในการลง ทะเบยี นเงินอดุ หนนุ เด็กแรกเกิด) ขอ้ ควรคำ�นึงในการสร้างข้อคำ�ถาม 1) ลักษณะของประชากรท่ตี อบ 2) ลักษณะเรอ่ื งราวทเ่ี กบ็ ข้อมูล 3) ความสั้นยาวของแบบสอบถาม ควรให้เคร่ืองมือนั้นส้ันท่ีสุดเทา่ ท่ีจะท�ำ ได้ แต่ตอ้ งไดข้ ้อมูลครบถ้วนตาม วตั ถุประสงค์ทตี่ อ้ งการศึกษาหรอื เพียงพอทีจ่ ะใช้ทดสอบสมมติฐานทต่ี ้ังไว้ 4) ลกั ษณะของข้อคำ�ถาม 5) การล�ำ ดบั ค�ำ ถาม โดยหลกี เลยี่ งไมใ่ หค้ �ำ ตอบในขอ้ หนง่ึ ๆ น�ำ ไปสคู่ �ำ ตอบในอกี ขอ้ หนงึ่ อยา่ งไมม่ ที างเลอื ก ที่จะตอบอยา่ งอ่ืน ประเภทของขอ้ คำ�ถาม มี 2 ประเภท คือ 1) ค�ำ ถามเปดิ (Open-End Question) คอื คำ�ถามที่ผู้ตอบมีอิสระในการตอบ 2) คำ�ถามปิด (Close-End Question) คือค�ำ ถามทม่ี คี �ำ ตอบให้ผ้ตู อบเลอื กตอบ แบง่ เป็น - Dichotomous คือค�ำ ถามทีก่ ำ�หนดให้ตอบระหว่าง 2 ค�ำ ตอบ เชน่ ใช-่ ไม่ใช่ หรือเหน็ ดว้ ย-ไมเ่ ห็นดว้ ย - Multiple Choice คือค�ำ ถามที่ใหเ้ ลือกคำ�ตอบทีถ่ กู ต้องตามข้อเทจ็ จริงมากทสี่ ดุ - Rating Scale คอื ค�ำ ถามท่ใี หเ้ ลอื กค�ำ ตอบตามลำ�ดบั ความส�ำ คัญ 4. การตรวจสอบและทำ�บรรณาธิกรเคร่ืองมือ ผู้วิจัยต้องทำ�การตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องมือว่า มคี วามครบถว้ นและสามารถตอบวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั ได้ รวมทงั้ ใหผ้ เู้ ชยี่ วชาญตรวจสอบความถกู ตอ้ งของเนอื้ หา และจัดพิมพ์เปน็ แบบสอบถามท่ีสมบูรณ์ 5. การทดลองใช้ โดยนำ�เครอื่ งมอื ทส่ี รา้ งแล้วไปทดลองใชก้ ับกลมุ่ ตัวอย่างท่มี ลี กั ษณะคล้ายกบั กลุ่มตัวอย่าง ในการวจิ ยั เพื่อหาความเช่อื มน่ั (Reliability) และความเทยี่ ง (Validity) ของเครือ่ งมือ 6. การปรับปรุง ภายหลังจากการนำ�เคร่ืองมือที่สร้างแล้วไปทดลองใช้จากน้ันจะต้องนำ�มาปรับปรุงแก้ไข ใหเ้ หมาะสมก่อนน�ำ ไปใช้จริง 6.1 แบบสัมภาษณ์ (Interview) การสัมภาษณ์มีจุดมุ่งหมายทำ�นองเดียวกับการใช้แบบสอบถาม จึงมีผู้เรียกการสัมภาษณ์ว่าเป็นแบบสอบถามปากเปล่า (Oral Questionnaire) แต่มีความแตกต่างกันตรงวิธีการ กลา่ วคอื การสมั ภาษณผ์ สู้ มั ภาษณเ์ ปน็ ฝา่ ยซกั ถามโดยการพดู ผตู้ อบกต็ อบโดยการพดู แลว้ ผสู้ มั ภาษณเ์ ปน็ ฝา่ ยบนั ทกึ ค�ำ ตอบ สว่ นการใช้แบบสอบถาม ผตู้ อบตอบโดยการเขียนตอบลงในแบบสอบถามการสมั ภาษณ์จะได้ข้อมูลท่ดี ีหรอื ไม่เพยี งใดข้ึนอยู่กับผู้สัมภาษณ์เป็นส�ำ คัญในการสัมภาษณบ์ างกรณกี ็มีการใชแ้ บบสมั ภาษณช์ ว่ ยเปน็ แนวทางส�ำ หรบั ผู้สมั ภาษณ์ แต่ในบางกรณกี ็ไม่ได้ใชแ้ บบสัมภาษณป์ ระกอบการ 28 รายงานผลการด�ำ เนินงาน การพัฒนางานประจำ�สงู่ านวิจยั (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563

สมั ภาษณแ์ ตอ่ ยา่ งใด ดงั นน้ั ถอื วา่ ผสู้ มั ภาษณเ์ ปน็ เครอ่ื งมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู สว่ นแบบสมั ภาษณเ์ ปน็ เพยี งเครอื่ งชว่ ย นอกจากน้ีสามารถบันทึกข้อมูลด้วยแถบบันทึกเสียง โดยได้รับความยินยอมจากผู้ถูกสัมภาษณ์ประเภทของ การสมั ภาษณ์ มี 2 ประเภท คอื ค�ำ ถามแบบไรโ้ ครงสรา้ ง(Unstructuredinterview)เปน็ การสมั ภาษณแ์ บบเปดิ ประเดน็ คยุ โดยไมม่ กี ารก�ำ หนด ประเดน็ ค�ำ ถามทแี่ นน่ อนตายตวั หรอื หากมกี ารก�ำ หนดไวบ้ า้ งกเ็ ปน็ ค�ำ ถามประเดน็ หลกั ในการสมั ภาษณก์ ไ็ มจ่ �ำ เปน็ ตอ้ ง ใชค้ �ำ ถามเหมอื นกนั การเรยี งล�ำ ดบั ค�ำ ถามกไ็ มต่ อ้ งเหมอื นกนั ผถู้ ามสามารถปรบั เปลยี่ นใหเ้ หมาะกบั สถานการณแ์ ละ ผตู้ อบ เปน็ การสมั ภาษณท์ ย่ี ดื หยนุ่ และเปดิ กวา้ ง ผถู้ ามมอี สิ ระ ในการถามเพอื่ ใหไ้ ดค้ �ำ ตอบตามจดุ มงุ่ หมายของการวจิ ยั ขอ้ มลู ทไี่ ดร้ บั ไมน่ ยิ มเอามาเปรยี บเทยี บกนั ไมไ่ ด้ มงุ่ เอามาพสิ จู นส์ มมตุ ฐิ าน นอกจากนค้ี �ำ ถามทใี่ ชแ้ ละค�ำ ตอบทไ่ี ดร้ บั อาจน�ำ มาใชป้ ระโยชนใ์ นการสรา้ งแบบสมั ภาษณ์ ส�ำ หรบั ใชใ้ นการสมั ภาษณแ์ บบมคี �ำ ถามทแ่ี นน่ อนในครงั้ ตอ่ ๆ ไปได้ คำ�ถามแบบมโี ครงสรา้ ง (Structured interview) เป็นการสัมภาษณ์ในกรณที ี่มีการกำ�หนดหวั ขอ้ คำ�ถามไว้ ลว่ งหนา้ แลว้ และในการสมั ภาษณผ์ ตู้ อบแตล่ ะคนจะตอ้ งไดร้ บั การถามเชน่ เดยี วกนั และในล�ำ ดบั ขนั้ ตอนเดยี วกนั ดว้ ย ดังนั้น การสัมภาษณ์แบบน้ีจำ�เป็นต้องใช้แบบสัมภาษณ์ท่ีจัดเตรียมไว้ก่อน การสัมภาษณ์แบบมีคำ�ถาม แน่นอนช่วยให้ผู้ถาม ถามตรงประเด็นที่ต้องการ ไม่ออกนอกเร่ือง ไม่เกินขอบเขตที่กำ�หนดไว้ และข้อมูล ที่ได้รับ สามารถนำ�มาเปรียบเทียบกันได้ (ทั้งน้ีในขั้นตอนการสร้างแบบสัมภาษณ์ จะเหมือนกับการสร้างแบบสอบถาม) 6.2 แบบสังเกต (Observation) แบบสังเกตเป็นวิธีการอย่างหน่ึงท่ีใช้เป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล การวจิ ยั โดยการใช้ประสาทสัมผสั ของผสู้ งั เกตแลว้ ผสู้ ังเกตเป็นฝา่ ยบนั ทกึ ส่ิงที่สงั เกตได้ อาจบันทกึ ไดห้ ลายวธิ ี เช่น การเขียน การอัดเสียงลงในแถบบันทึกเสียง บันทึกเหตุการณ์ไว้ในวีดีโอ วิธีการสังเกตเหมาะสำ�หรับการศึกษา พฤตกิ รรมและปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ประเภทของแบบสงั เกต แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) เป็นการสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วม อยู่ในเหตุการณ์หรือกิจกรรมน้ัน ๆ การเข้าไปมีส่วนร่วมนี้อาจเป็นลักษณะมีส่วนร่วมโดยสมบูรณ์ (Completion Participant) หรือมีส่วนร่วมโดยไม่สมบูรณ์ (Incompletion Participant) แบบมีส่วนร่วมโดยสมบูรณ์ผู้สังเกต จะเข้าไปเป็นสมาชิกคนหน่ึงของกลุ่มและเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของกลุ่ม เช่นเดียวกับผู้ถูกสังเกต การมีส่วนร่วม โดยสมบรู ณผ์ ถู้ กู สงั เกตจะไมร่ ตู้ วั วา่ ก�ำ ลงั ถกู สงั เกตจงึ มพี ฤตกิ รรมตามปกติ แตแ่ บบมสี ว่ นรว่ มโดยไมส่ มบรู ณ์ ผสู้ งั เกต จะเขา้ ไปร่วมกจิ กรรมบ้างตามสมควร เพื่อสรา้ งความสมั พันธก์ บั กลมุ่ ถกู สงั เกต ผถู้ ูกสงั เกต จะร้วู า่ กำ�ลงั ถกู สงั เกต การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non Participant Observation) เปน็ การสงั เกตที่ผ้สู ังเกตจะอยู่นอกวงผู้ถูก สังเกต ทำ�ตนเป็นบุคคลภายนอก ไมไ่ ดเ้ ข้ารว่ มกิจกรรมกบั ผูถ้ กู สงั เกตเลย ขณะสงั เกตผูส้ ังเกตอาจจะ อยใู่ นบรเิ วณ เดยี วกันหรอื อยนู่ อกบรเิ วณเหตุการณ์ที่สังเกตก็ได้ และการสังเกตแบบไม่มสี ่วนรว่ มนีก้ ็มที ั้งแบบ ทผี่ ู้สังเกตรตู้ ัวและ ไมร่ ตู้ ัวว่ากำ�ลังถูกสังเกต 7. การวิเคราะหแ์ ละแปลผลข้อมลู นกั วจิ ัยควรจะต้องมีการวางแผนการวเิ คราะห์ข้อมลู ก่อนที่จะมกี ารเก็บ รวบรวมขอ้ มูลจริง ๆ โดยจะตอ้ งกำ�หนดวา่ จะวเิ คราะหต์ วั แปรอย่างไร จะให้ตัวแปรใดเปน็ ตัวแปรอสิ ระ และตวั แปร ตาม รวมทงั้ สถติ ทิ จี่ ะใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู และจดั เตรยี มตารางส�ำ หรบั การรายงานผล ซง่ึ เปน็ การอธบิ ายลกั ษณะ ของประชากรทที่ �ำ การศกึ ษา และสรปุ ขอ้ มลู ใหอ้ อกมาในรปู ของผลงานวจิ ยั การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทางสถติ ิ สามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื -สถติ พิ รรณา(DescriptiveStatistics)คอื สถติ ทิ ใ่ี ชบ้ รรยายลกั ษณะของประชากรหรอื กลมุ่ ตวั อยา่ งตามลกั ษณะ ของตวั แปรทเ่ี กบ็ รวบรวมมา เชน่ การบรรยายในรปู ของความถี่ คา่ รอ้ ยละ คา่ เฉลย่ี สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (SD) เปน็ ตน้ รายงานผลการดำ�เนนิ งาน การพัฒนางานประจำ�สู่งานวิจัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 29

- สถติ วิ เิ คราะห์ (Analytical Statistics) คอื วธิ กี ารทางสถติ ทิ ผี่ วู้ จิ ยั น�ำ มาใชเ้ พอื่ พสิ จู นห์ รอื ทดสอบสมมตฐิ าน (Hypothesis) เชน่ t-test, F-test (ANOVA), Chi-Square, Correlation, Regression เปน็ ตน้ ทงั้ น้ี การวเิ คราะหข์ อ้ มลู นนั้ สามารถใชเ้ ครอื่ งคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยอ�ำ นวยความสะดวกโดยใชโ้ ปรแกรมส�ำ เรจ็ รปู ทางสถติ ิเชน่ โปรแกรมSPSSเปน็ ตน้ ส�ำ หรบั การแปลผลขอ้ มลู นนั้ เปน็ การน�ำ ผลทไ่ี ดจ้ ากการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทางสถติ มิ าประมวลและแปลความ สรปุ เปน็ ผลการวิจัยและตอบปญั หาในการวิจยั 8. รายงานผลการวิจัย เป็นการนำ�เสนอผลการศึกษาวิจัยอย่างละเอียดตามรูปแบบที่กำ�หนด การเขียน รายงานมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านทราบว่า ทำ�ไมจึงต้องทำ�วิจัย มีแนวคิดหลักการเหตุผลอะไร ทำ�การศึกษาวิจัย อะไร วิธกี ารเป็นอยา่ งไร และผลที่ไดจ้ ากการวจิ ัยเปน็ ประการใด การวิจัยเชิงคณุ ภาพ การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการดำ�เนินการที่เกี่ยวข้องกับการจัดข้อมูลและการติดตามข้อมูลเชิงพรรณนา ซึ่งไม่เป็นการใช้สถิติตัวเลขเหมือนกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ เปน็ กระบวนการ ประกอบดว้ ยการจำ�แนก จัดระบบขอ้ มลู และการหาความสมั พนั ธข์ องข้อมลู โดยมีจดุ มุ่งหมายที่ จะแยกแยะและอธบิ ายองคป์ ระกอบ ความหมายและความสมั พนั ธข์ องปรากฏการณภ์ ายใต้เงื่อนไข สภาพแวดลอ้ ม ทางสังคมและวัฒนธรรม ซึง่ เป็นการมองแบบองค์รวม (holistic principle) ลกั ษณะสำ�คัญของการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ - เป็นการต้ังคำ�ถามเชิงลึกต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่คำ�ถามใคร ทำ�อะไรแต่ต้องล้วงลึกว่าทำ�ไมและ อยา่ งไร - มองแบบองคร์ วม (Holistic) ทง้ั ดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม การเมอื ง วฒั นธรรมความเชอื่ เพราะทกุ ปรากฏการณ์ มคี วามเกี่ยวขอ้ งสมั พนั ธ์ซ่ึงกันและกัน - การให้ความสำ�คัญกับบริบท (Context) ซึ่งการวิจัยเชิงคุณภาพต้องอาศัยข้อมูลที่เป็น “บริบท” ของปรากฏการณ์ ซึ่งหมายถงึ เงอ่ื นไขและสภาพแวดลอ้ มทใี่ ห้ความหมายและมผี ลตอ่ การดำ�รงอยขู่ องปรากฏการณ์ - ม่งุ ทีค่ วามเขา้ ใจความหมาย การตคี วามปรากฏการณ์ท่ีเกิดขน้ึ โดยใหค้ วามสำ�คญั ส่วนที่เป็นนามธรรม คือ ความรูส้ กึ นึกคิด ความสมั พนั ธต์ ่าง ๆ - การใหค้ วามสนใจกบั ปฏิสมั พนั ธ์และความสัมพันธข์ องมนษุ ย์ทเี่ ราเขา้ ไปท�ำ วจิ ยั รวมถงึ ความสมั พนั ธอ์ นั ดี ระหว่างผ้วู ิจยั กับผใู้ หข้ อ้ มูล - การเกบ็ ขอ้ มลู แบบสงั เกตการณอ์ ยา่ งมสี ว่ นรว่ ม ดว้ ยการทผี่ วู้ จิ ยั เขา้ ไปท�ำ ความรจู้ กั คนุ้ เคยกบั คนในชมุ ชน ดว้ ยการพดู คยุ ซกั ถาม และสงั เกต การท�ำ วจิ ัยเชิงคณุ ภาพ องค์ประกอบในการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย นักวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล และ การตรวจสอบความถกู ตอ้ งของข้อมูล 1. นักวิจยั - ต้องมีทักษะและความชำ�นาญในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และการแปลความข้อมูลอย่างแท้จริง - ตอ้ งเขา้ ไปท�ำ ความคนุ้ เคยกบั ชมุ ชนเปน็ เวลานานพอจนไดร้ บั ความไวว้ างใจเพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู เชงิ ลกึ ครอบคลมุ เนอื้ หาที่ต้องการ 30 รายงานผลการด�ำ เนินงาน การพฒั นางานประจำ�ส่งู านวจิ ัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563

- ต้องวิเคราะห์ขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง - ตอ้ งมคี วามรเู้ กย่ี วกบั แนวคดิ ทฤษฎที างสงั คมศาสตร์ มนษุ ยศาสตร์ เกษตรศาสตรอ์ ยา่ งลกึ ซงึ้ และกวา้ งขวาง มีความเป็นสหวิทยาในตวั เอง เพือ่ สามารถวิเคราะห์ แปลความขอ้ มูล และอภปิ รายผล - ตอ้ งทำ�งานเป็นทีมในกรณที ท่ี �ำ เปน็ หมู่คณะ ทมี นักวจิ ัยทัง้ ในสว่ นกลาง และสว่ นภมู ิภาค หัวหนา้ โครงการ และผูเ้ ก็บข้อมลู ตอ้ งทำ�งานรว่ มกันอยา่ งใกล้ชดิ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรูก้ นั ตลอดเวลา ท�ำ ให้การวเิ คราะห์ขอ้ มูลใน ขั้นสดุ ทา้ ยดำ�เนนิ ไปไดร้ วดเร็วและเรียบรอ้ ย 2. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล - ต้องเร่ิมต้ังแต่การเก็บข้อมูล เพราะการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นการหาคำ�ตอบจากกระบวนการ ของพฤติกรรมมนุษย์และเหตุการณ์ท่ีศึกษาการวิเคราะห์ข้อมูลที่แท้จริงจึงเริ่มต้ังแต่นักวิจัยได้ พบเห็นเหตุการณ์ - ตอ้ งมีเวลาเพยี งพอในการวิเคราะห์ เพราะการวเิ คราะห์ข้อมลู ตอ้ งใชก้ ระบวนการท่ีต่อเนื่องและวเิ คราะห์ หลายชว่ งเวลาจนสมบรู ณ์ - ต้องเลือกเหตุการณ์ท่ีเป็นกุญแจดอกสำ�คัญในการเช่ือมโยงความสัมพันธ์ของเหตุการณ์นั้นกับเหตุการณ์ ท้งั หมด สงั เคราะหโ์ ครงสร้างเหตกุ ารณไ์ ปอธบิ ายระบบโดยรวม 3.การตรวจสอบความถูกตอ้ งของขอ้ มลู - การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพ อาจมีคำ�ถามเรื่องความน่าเชื่อถือความเที่ยงตรง ดังนั้น นักวิจัย ต้องมีจริยธรรมในการตรวจสอบข้อมูล การตีความ และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างถูกต้องเที่ยงตรง ตามหลักวิชาการ - การจัดเวทีประชุมหรือเวทีคืนข้อมูลสู่ชุมชนหรือผู้ให้ข้อมูล เพ่ือให้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ สามารถมองไดร้ อบดา้ นมากขน้ึ กระบวนการวิเคราะห์ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพ ประกอบด้วย 7 ขน้ั ตอน 1. การสร้างกรอบแนวคดิ การวิเคราะหข์ อ้ มูล ในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ การเกบ็ ขอ้ มลู เปน็ เชงิ รปู ธรรมจากปรากฏการณท์ นี่ กั วจิ ยั ไดไ้ ปสมั ผสั จงึ ตอ้ งใชแ้ นวคดิ ทฤษฎี ช่วยอธบิ ายผล หรือปรากฏการณท์ ี่เกิดขึน้ ดงั นัน้ นกั วิจยั ตอ้ งสร้างกรอบแนวคดิ ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ตัง้ แตเ่ ร่ิมเก็บ ข้อมูลจนกระทงั่ วเิ คราะห์ขอ้ มูลเพือ่ สรา้ งบทสรุป การสร้างกรอบแนวคดิ ประกอบด้วย 3 ชว่ ง คอื ช่วงที่ 1 ก่อนเกบ็ ข้อมูล - ใชแ้ นวคิดทฤษฎอี ย่างกว้าง ๆ ไม่เจาะจง - เพื่อใหม้ มี ุมมองทีห่ ลากหลายและยดื หยนุ่ - สามารถปรบั กรอบแนวคดิ ไดต้ ามความเปน็ จริง - ควรสรา้ งตวั ชี้วัดจากทฤษฎีทห่ี ลากหลายเพอื่ สามารถบอกความเปล่ยี นแปลงท่ีเกิดขึ้น ชว่ งที่ 2 ระหวา่ งเก็บข้อมลู - นกั วจิ ัยควรจัดประชมุ หรือจดั เวทีแลกเปล่ยี นขอ้ มลู กับทีมวิจยั อยู่เสมอ - เพ่อื ท�ำ ให้ได้ขอ้ สรุปผลวเิ คราะหข์ ้อมูลที่แม่นยำ�มากขน้ึ - ควรเปรียบเทียบผลกับกรอบตัวชี้วัดที่วางไว้ เพ่ือทราบความก้าวหน้าของการเก็บข้อมูลและความ ครอบคลุมประเดน็ ทตี่ ้องการตอบวัตถุประสงคก์ ารทำ�วิจยั เชงิ คณุ ภาพ ช่วงท่ี 3 การสรปุ ข้อมลู - เปน็ ชว่ งวเิ คราะหข์ ้อมลู ในภาพรวมท้ังหมด รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพัฒนางานประจำ�สูง่ านวจิ ยั (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563 31

- ใชแ้ นวคิด ทฤษฎตี า่ ง ๆ ช่วยในการอธบิ ายเกยี่ วกับตัวชว้ี ดั ท่ีทำ�ไว้ตัง้ แตช่ ่วงที่ 1 - ใชเ้ วทแี ลกเปลยี่ นขอ้ มลู กบั ทมี วจิ ยั และผใู้ หข้ อ้ มลู เพอ่ื ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู ทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ - จัดเวทีประชาพิจารณ์ร่วมกับผู้เกี่ยวข้องเพ่ือตรวจสอบบทสรุปและปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องน่าเช่ือถือ 2. การตรวจสอบข้อมลู ในการวจิ ัยเชิงคุณภาพมกั จะมีค�ำ ถามเก่ยี วกับความน่าเช่อื ถือของขอ้ มูล ดงั นนั้ การตรวจสอบข้อมลู จงึ เป็น ส่ิงจำ�เป็น วิธีการตรวจสอบความครบถ้วนและคุณภาพของข้อมูลท่ีนิยมใช้กัน คือ การตรวจสอบแบบสามเส้า (triangulation) คำ�ว่า triangulation เป็นศัพท์ที่มาจากวิชาการสำ�รวจทางภูมิศาสตร์ (Physical survey) และ การนำ�ร่องในการเดินเรื่องหรือขับเครื่องบิน (navigation) โดยการหาพิกัดของตำ�แหน่งท่ีต้องการด้วยการวัดมุม ระหวา่ งต�ำ แหนง่ ทอี่ ยกู่ บั จดุ อา้ งองิ ทท่ี ราบพกิ ดั อยา่ งนอ้ ยสองจดุ จดุ ตดั ของมมุ ทง้ั สองจะเปน็ จดุ พกิ ดั ทท่ี �ำ ใหเ้ ราทราบ ตำ�แหน่งทีอ่ ยหู่ กจุดอ้างองิ ทัง้ สองไม่มีพกิ ัด ตำ�แหน่งของจดุ ที่ตอ้ งการจะไมส่ ามารถบอกจุดที่แน่นอนได้ บอกไดเ้ พยี ง ความสัมพันธ์ของตำ�แหน่งที่ต้องการกับจุดอ้างอิงท้ัง 2 เท่านั้นในทางสังคมศาสตร์ Triangulation หมายถึง การเปรียบเทียบข้อค้นพบ(findings) ของปรากฏการณ์ ที่ทำ�การศึกษา (phenomenon) จากแหล่งและมุมมอง ที่แตกต่างกัน นักวิจัยจำ�นวนมากคาดหมาย (assume) ว่า triangulation เป็นแนวทางสำ�หรับการยืนยัน ความนา่ เช่อื ถอื (credibility, validity) ของข้อมลู /สิ่งทคี่ ้นพบ (ทวศี ักด์ิ นพเกษร, 2551) รูปแบบของ Triangulation การตรวจสอบด้านข้อมูล (Data Triangulation) เป็นการพิสูจน์ว่าข้อมูลท่ีเก็บมีความถูกต้องหรือไม่ โดยพิจารณาตรวจสอบจากแหล่งข้อมูล 3 แหล่ง โดยนำ�ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ที่เก็บโดยวิธีการ เชิงคุณภาพที่ แตกต่างกนั มาเปรยี บเทียบกนั เช่น - เวลา ตรวจสอบว่าข้อมลู ท่เี ก็บช่วงเวลาต่างกันจะเหมือนกนั หรอื ไม่ - สถานท่ี ตรวจสอบว่าถ้าเกบ็ ข้อมูลจากสถานท่ีตา่ งกันขอ้ มลู จะเหมือนกันหรอื ไม่ - บุคคล ตรวจสอบว่าถ้าผใู้ หข้ อ้ มูลเปลี่ยนไปขอ้ มลู จะเหมอื นกนั หรือไม่ เช่น การสอบถามข้อมลู จากสมาชกิ กลุ่มหลาย ๆ คนในเรื่องเดยี วกันคำ�ตอบท่ีได้จะเหมือนกันหรอื ไมก่ ารตรวจสอบดา้ นผ้วู ิจยั (Multiple Investigator Triangulation) เปน็ การใชน้ กั วิจยั หลายคนเกบ็ ขอ้ มลู ในสนามประเด็นเดยี วกนั ในสภาวะเดยี วกนั แทนการใช้นกั วิจัย เพยี งคนเดียว ซ่ึงเป็นการตรวจสอบวา่ นกั วิจัยแตล่ ะคนจะได้ข้อมลู ต่างกันอย่างไร หลักสำ�คัญของการตรวจสอบด้านผู้วิจัย คือ สมาชิกในทีมวิจัยหลายคนมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มุมมอง ตอ่ ปรากฏการณท์ คี่ น้ พบเหมอื นกนั เปน็ การลดความล�ำ เอยี งของนกั วจิ ยั และขอ้ มลู มคี วามแนน่ อนมากขน้ึ การตรวจสอบ ด้านการทบทวนข้อมูล (Review Triangulation) เป็นการให้บุคคลต่าง ๆ ท่ีไม่ใช่คณะนักวิจัยทำ�การทบทวน ข้อค้นพบจากการวิเคราะห์ของคณะวิจัย ผู้วิจัยสามารถเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น ทั้งด้านความแม่นยำ� (accuracy) ความสมบรู ณ์ (completeness) ความเปน็ ธรรม (fairness) และความนา่ เชอื่ ถอื (credibility) ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู รวมทงั้ ชว่ ยใหเ้ กดิ ความคิดหรือการตคี วามใหม่ ๆ เพม่ิ เติม (ทวศี กั ด์ิ นพเกษร, 2551) ซึ่งการทบทวนขอ้ มลู ทน่ี ิยมใช้กัน คอื • การทบทวนโดยผ้ใู ห้ขอ้ มลู แก่ทมี วจิ ัย - ขอ้ คน้ พบสะทอ้ นมมุ มอง (perspectives) ของพวกเขาโดยแทจ้ รงิ มากนอ้ ยเพยี งใด อะไรบา้ งทไ่ี มส่ มบรู ณ์ ขาดหายไป เพื่อชว่ ยเตมิ เต็มใหส้ มบรู ณ์ - การวิจัยที่เนน้ ความรว่ มมอื และการมีสว่ นรว่ ม การคนื ข้อมูลแก่ผู้ใหข้ ้อมูล เพอื่ มีโอกาสวิพากษ์ วจิ ารณ์ ช่วยให้เกิดความมน่ั ใจในข้อค้นพบตา่ ง ๆ นอกจากน้ีเปน็ การเพมิ่ ความเช่อื ม่ันแก่ ผูใ้ หข้ อ้ มูล 32 รายงานผลการด�ำ เนินงาน การพฒั นางานประจ�ำ ส่งู านวจิ ยั (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563

• การทบทวนโดยผ้ใู ช้ผลงานวจิ ัย - เพื่อยืนยันความน่าเช่ือถือมีความเป็นเหตุเป็นผลมากน้อยเพียงใด วิธีการทบทวนข้อมูลโดยผู้ให้ข้อมูล และผใู้ ชผ้ ลงานวจิ ยั เปน็ การสรา้ งปฏสิ มั พนั ธอ์ นั ดรี ะหวา่ งทมี วจิ ยั ดว้ ยกนั เองกบั ผใู้ ชผ้ ลงานวจิ ยั ทอี่ าจเปน็ ภายในหนว่ ย งานหรอื ภายนอกหนว่ ยงาน ซึ่งสง่ ผลใหไ้ ดม้ ุมมองทห่ี ลากหลายครบถ้วนรอบดา้ นมากข้นึ เป็นการท�ำ ใหผ้ ลงานที่ไดม้ ี ความน่าเชือ่ ถือมากขึน้ ดว้ ย การตรวจสอบด้านวิธีรวบรวมข้อมูล (Method Triangulation)เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ทีไ่ ด้มาจากการเกบ็ ข้อมูลเชงิ คณุ ภาพจากแหลง่ ที่แตกต่างกนั เชน่ น�ำ ขอ้ มูลประเดน็ เดยี วกนั ท่เี ก็บโดยวธิ กี ารต่างกัน 3 วิธกี ารตรวจสอบด้านทฤษฎี (Theory Triangulation) (ทวศี กั ด์ิ นพเกษร, 2551) เปน็ การตรวจสอบโดยใชม้ ุมมอง ของทฤษฎีตา่ ง ๆ มาพิจารณาขอ้ มูลชุดเดียวกนั เชน่ การวเิ คราะห์ข้อมลู การบรหิ ารจดั การศัตรพู ืชของชุมชนอาจใช้ ทฤษฎกี ารพัฒนาอย่างยง่ั ยืน การมีส่วนรว่ มและการพัฒนาเพ่อื การพงึ่ ตนเองมาใชเ้ ป็น แนวทางวเิ คราะห์ข้อมูล จดุ ส�ำ คญั ของการใชว้ ธิ นี ี้ คอื การท�ำ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจขอ้ สนั นษิ ฐาน (assertion) และหลกั ทฤษฎี ทใ่ี ชอ้ า้ งองิ ว่ามอี ิทธิพลต่อข้อคน้ พบ (Finding) และการตคี วาม (interpretation) ของงานวจิ ัยนั้นอย่างไรการตรวจสอบโดยใช้ สหวทิ ยา (Interdisciplinary Triangulation) เป็นการใชส้ หวทิ ยาเขา้ มาร่วมอธิบายข้อคน้ พบต่าง ๆ เชน่ การวิจัย ด้านการบริหารจัดการศัตรูพืชของชุมชนอาจใช้หลักการของศาสตร์อ่ืนๆ ร่วมด้วย เช่น สังคมวิทยา บริหารจัดการ และกฏี วทิ ยา เปน็ ตน้ 3. การจดบันทึกข้อมูล เป็นขั้นตอนที่มีความสำ�คัญมากอีกข้ันตอนหน่ึงเนื่องจากการวิจัยเชิงคุณภาพ ไมเ่ นน้ การใชเ้ ครอ่ื งมอื เพอื่ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดงั นนั้ การบนั ทกึ ขอ้ มลู ในระหวา่ งท�ำ วจิ ยั ทส่ี มบรู ณจ์ งึ เปน็ สง่ิ จ�ำ เปน็ มาก เพือ่ น�ำ มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู อย่างถูกต้อง แมน่ ย�ำ สงิ่ ทต่ี ้องจดบันทกึ - จดบนั ทึกวา่ ก�ำ ลงั สงั เกตเหตกุ ารณอ์ ะไรหรือก�ำ ลังสมั ภาษณอ์ ะไร - แนวทางจดบันทึก ขนึ้ อยูก่ บั สมมติฐานชวั่ คราวและกรอบแนวคดิ ท่ีนกั วิจัยกำ�หนดข้ึน - การจดบันทึกระยะแรกและระยะหลังของการเก็บขอ้ มลู จะแตกตา่ งกนั ไป - บนั ทกึ ในระยะแรกจะละเอยี ดกว่าแต่มลี กั ษณะเปน็ ข้อมลู ทว่ั ไป - บันทึกระยะหลงั มลี กั ษณะบรรยายนอ้ ยลงแตเ่ จาะลึกมากขนึ้ ในประเด็นที่นกั วจิ ัยสนใจ ชนดิ ของบนั ทึกข้อมลู มี 2 ชนดิ คอื - บันทึกย่อ คอื สิง่ ทีน่ กั วิจัยจดขณะท่เี ก็บข้อมูล ซ่ึงจำ�เปน็ ต้องจดเฉพาะหัวขอ้ ส�ำ คัญ ถอ้ ยคำ�ส�ำ คัญ - บนั ทกึ ฉบบั สมบูรณ์ เปน็ การขยายความบันทึกยอ่ ในทันทีทท่ี �ำ ได้ เพราะจะไดไ้ มล่ ืมข้อมลู หลักการส�ำ คัญในการจดบันทกึ ข้อมลู - นักวิจัยควรจดบันทึกข้อมูล โดยมีการแบ่งแยกระหว่างส่วนท่ีเป็นข้อมูลกับส่วนท่ีเป็นความเห็นของ ผูว้ จิ ัย การตีความการสรปุ หรือการโยงเขา้ สู่กรอบแนวคดิ ทฤษฎไี วท้ ีหลงั - นักวิจัยควรจดบันทึกข้อมูล โดยใช้สีแยกระหว่างข้อมูลกับส่วนที่เป็นความเห็นของผู้วิจัยเพ่ือกันลืม เพราะระหว่างการจดบนั ทกึ รายละเอยี ดของขอ้ มลู นักวิจยั อาจจะมคี วามคดิ เหน็ เกดิ ขึ้นการมาเขียนทีหลังอาจจะลืม ความคิดเหน็ บางส่วนไป ดังนั้น การใชส้ ีจดแยกไวก้ ็เป็นอกี เทคนิคหน่ึง 4. การทำ�แฟ้มข้อมูลเพ่ือช่วยทำ�ให้การจำ�แนกและการจัดกลุ่มข้อมูลจากในสนามเป็นระบบสะดวกต่อการ คน้ หา วเิ คราะหแ์ ละเขยี นรายงาน โดยทวั่ ไปแบง่ เปน็ 3 ประเภท คอื แฟม้ ขอ้ มลู ทวั่ ไป แฟม้ การวเิ คราะหเ์ บอื้ งตน้ และ รายงานผลการด�ำ เนินงาน การพัฒนางานประจ�ำ สู่งานวิจัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 33

แฟม้ สนาม (เบญจา ยอดด�ำ เนิน-แอต๊ ตกิ ส์: 2531 อา้ งถึงโดย บ�ำ เพ็ญ เขียวหวาน: 2554) ดงั ตอ่ ไปนี้ 4.1 แฟม้ ขอ้ มลู ทวั่ ไปเปน็ แฟม้ ทจ่ี ดบนั ทกึ ทเี่ ปน็ ภมู หิ ลงั ของคน สงิ่ ของ หรอื สถาท่ี เชน่ แฟม้ เกย่ี วกบั บคุ คล ในชุมชน สภาพเศรษฐกิจ สังคมในชุมชน อาชีพของคนในชมุ ชน เปน็ ตน้ 4.2. แฟม้ การวิเคราะห์เบ้ืองตน้ เปน็ แฟม้ ส�ำ หรับเกบ็ ขอ้ มลู ทร่ี วบรวมจากภาคสนามโดยการสังเกตหรอื การ สมั ภาษณ์ แลว้ เขียนเปน็ ข้อสรุปไวเ้ ป็นเรอ่ื งๆ โดยจดั ท�ำ ปา้ ยชอื่ เร่ืองในแต่ละเร่อื งไว้ พรอ้ มทั้งจดบนั ทึกวนั เดอื น ปีที่ จดบนั ทกึ ขอ้ มลู ไวแ้ ฟม้ นถ้ี อื เปน็ หวั ใจของการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทงั้ หมด เพราะจะน�ำ ขอ้ มลู ทวี่ เิ คราะหเ์ บอื้ งตน้ ทรี่ วบรวม ไว้ไปวเิ คราะหส์ รปุ ผลการวิจยั ต่อไป 4.3. แฟ้มสนาม เป็นเสมอื นแฟ้มคมู่ ือการเก็บข้อมลู ของนกั วจิ ัยท่ีจะบอกขั้นตอน วิธกี ารเกบ็ ข้อมลู ในพื้นท่ี ข้ันตอนการปฏบิ ัติงาน รวมทั้งการรวบรวมปญั หาและวธิ กี ารแกป้ ัญหาทีเ่ กิดขึน้ นอกจากนแ้ี ฟม้ สนามเปน็ ประโยชน์ ต่อการเขยี นรายงานการวิจยั ในสว่ นระเบยี บวธิ วี ิจัย 5. การท�ำ รหัสข้อมูล การทำ�รหัสข้อมูลหรือการทำ�ดัชนีข้อมูลเป็นการเลือกใช้คำ�หรือประโยคมากำ�หนดหมวดหมู่ของข้อมูล เพือ่ จ�ำ แนกประเภทขอ้ มลู ออกเปน็ กลมุ่ ใหส้ ะดวกต่อการค้นหา การตรวจสอบความถูกตอ้ ง และการวิเคราะหข์ ้อมลู 6. การท�ำ ขอ้ สรปุ ชว่ั คราวและการก�ำ จดั ขอ้ มลู (memoing and datareduction) การท�ำ ขอ้ สรปุ ชวั่ คราว คือ การนำ�ความคิดท่ีนักวิจัยประมวลได้จากการทำ�ดัชนีข้อมูล และเชื่อมโยงดัชนีนั้นเข้าด้วยกัน แล้วลงมือเขียน เปน็ ประโยคหรอื ขอ้ ความเชงิ แนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกบั ลกั ษณะของดชั นหี รอื ขอ้ มลู ทศ่ี กึ ษาระยะเวลาทเี่ หมาะสมในการท�ำ ข้อสรุปชวั่ คราว คือ ควรทำ�ทนั ทหี ลงั จากทท่ี �ำ ดชั นีขอ้ มูลในภาคสนามเร่ืองใดเร่อื งหนึ่งจบลง เพราะข้อมูลยงั ไมม่ ากเกินไป ป้องกันการสับสนการกำ�จัดข้อมูล คือ การลดขนาดข้อมูลและช่วยกำ�จัดข้อมูลที่ไม่ต้องการออกไป การทำ�ข้อสรุป ชวั่ คราวท�ำ ใหน้ กั วจิ ยั สามารถก�ำ จดั ขอ้ มลู ทไี่ มต่ อ้ งการออกไปเปน็ ระยะๆ และชว่ ยใหน้ กั วจิ ยั จดบนั ทกึ ขอ้ มลู ครงั้ ตอ่ ไป ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพมากขนึ้ เพราะเรมิ่ เรยี นรวู้ า่ ขอ้ มลู อะไรทต่ี อ้ งการและไมต่ อ้ งการ ท�ำ ใหส้ ามารถหาขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ ในกรณีที่ข้อมูลบางส่วนยังไม่สมบูรณ์ และทำ�ให้การจดบันทึกข้อมูลภาคสนามมีเป้าหมายและขอบข่ายท่ีชัดเจนข้ึน ข้นั ตอนการทำ�ข้อสรุปช่ัวคราว 7. การสรา้ งบทสรปุ และการพสิ ูจนบ์ ทสรปุ 7.1 การสร้างบทสรปุ เมอ่ื เราไดข้ อ้ สรปุ ชวั่ คราวแลว้ ขน้ั ตอ่ มาคอื น�ำ ขอ้ สรปุ ยอ่ ย ๆเหลา่ นนั้ มาเชอื่ มโยงกนั เพอื่ ใหเ้ ปน็ บทสรปุ ซึ่งตอบปัญหาการวิจัย ซึ่งการโยงความสัมพันธ์ของข้อสรุปย่อย ๆ เข้าด้วยกันต้องทำ�อย่างเป็นระบบ และค่อยๆ ทำ�ด้วยความประณีต จึงจะได้บทสรุปที่ดี ซึ่งการสร้างบทสรุปที่ดีมีเง่ือนไข 2 ประการ คือเง่ือนไขข้อแรกข้อมูลที่ดี โอกาสที่จะได้บทสรุปท่ีดีก็มีมากเง่อื นไขขอ้ สอง ความสามารถในการเช่ือมโยงความสมั พนั ธไ์ ดด้ ี มคี วามรหู้ ลากหลาย เกยี่ วกับแนวคิด ทฤษฎีตา่ ง ๆ ท่จี ะใช้วิเคราะหป์ รากฏการณจ์ ะท�ำ ให้บทสรปุ มีความแหลมคมน่าสนใจ 7.2 การพสิ จู นบ์ ทสรปุ หลังจากได้บทสรุปแล้วต้องพิสูจน์ว่าบทสรุปน้ันเป็นการสรุปท่ีดีแล้วจึงเขียนรายงานวิจัยต่อไป ซึ่งการพิสูจน์บทสรุปเป็นการพยายามยืนยันว่าความคิดท่ีก่อรูปเป็นบทสรุปนั้นมีความสอดคล้องเหมาะสมท่ีสุดแล้ว กับรูปธรรมท่ีถูกอนุมานข้ึนมา การพิสูจน์จึงเป็นการทำ�ให้ผู้วิจัยและผู้เก่ียวข้องยอมรับด้วยเหตุผลว่าการสรุปนั้น หนกั แน่นตรงกบั ขอ้ เท็จจรงิ ทเ่ี ปน็ รปู ธรรม วิธีการพิสจู น์บทสรปุ เชน่ • การตรวจสอบขอ้ มูลแบบสามเส้า • การประเมินคุณภาพของข้อมลู จากเกณฑต์ ่อไปน้ี 34 รายงานผลการดำ�เนนิ งาน การพฒั นางานประจำ�สู่งานวจิ ัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563

- ไดข้ อ้ มูลมาในระยะหลงั ของการเกบ็ ขอ้ มลู หลงั จากคุ้นเคยกบั ผู้ให้ข้อมูลแล้ว - เป็นขอ้ มูลท่ีไดเ้ หน็ หรือฟังดว้ ยตนเอง - เป็นขอ้ มูลของพฤตกิ รรมหรือเหตกุ ารณ์ทส่ี งั เกตได้ - นกั วิจัยไดร้ ับความไวว้ างใจ - ผใู้ หข้ ้อมูลมีความยินดเี ตม็ ใจ - ผ้ใู ห้ข้อมูลอยูก่ ับผู้วจิ ัยตามล�ำ พังขณะให้ขอ้ มูล • การเปรียบเทียบความแตกต่างของข้อมูล เพ่ือให้บทสรุปหนักแน่น นักวิจัยควรนำ�เนื้อหาในข้อมูล เช่น บคุ คล กิจกรรม เหตุการณม์ าเปรียบเทียบกนั เช่น เปรยี บเทียบขอ้ มูลของคนสองกล่มุ เพ่ือตรวจสอบขอ้ มลู ว่า ในอีกกลุ่มหนึง่ มีลกั ษณะเดยี วกันหรือไม่ วิธีการหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นการสร้างข้อสรุปจากการศึกษาข้อมูลจำ�นวนหนึ่ง ซ่ึงการทำ�ดัชนีข้อมูล การสร้างข้อสรุปช่ัวคราวก็ดี ล้วนแต่เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลอยู่แล้ว การวิเคราะห์ข้อมูล เชงิ คณุ ภาพอาจใชส้ ถติ หิ รอื ไมใ่ ชส้ ถติ ใิ นการวเิ คราะห์ ซงึ่ สถติ ไิ มไ่ ดเ้ ปน็ วธิ วี เิ คราะหห์ ลกั แตเ่ ปน็ ขอ้ มลู เสรมิ ผวู้ เิ คราะห์ ข้อมูล มีบทบาทสำ�คัญยิ่งในการวิจัย ผู้วิเคราะห์ข้อมูลควรมีความรอบรู้แนวคิดทฤษฎีกว้างขวาง มีความเป็น สหวิทยาการอยู่ในตัวเองสามารถสร้างข้อสรุปเป็นกรอบแนวคิดและเปลี่ยนแปลงแนวทางที่จะตีความหมายข้อมูล ได้หลาย ๆ แบบ สภุ างค์ จนั ทวนิช (2540) ระบุถึงการวิเคราะหข์ อ้ มลู เชิงคุณภาพมหี ลายวธิ กี าร ในที่น้ีจะกล่าวถงึ การวิเคราะห์ท่ีสำ�คัญและเป็นพ้ืนฐานในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ได้แก่ การวิเคราะห์แบบอุปนัย (Analytic Induction) การวิเคราะห์โดยการจำ�แนกชนิดข้อมูล (Typological Analysis) และการวิเคราะห์ โดยเปรยี บเทียบข้อมลู (Constant Comparison) 1. การวิเคราะหแ์ บบอปุ นยั (Analytic Induction) เพอ่ื ให้ไดข้ ้อสรุปเชิงนามธรรม วธิ ตี ีความสรา้ งข้อสรุปจากรูปธรรมหรือปรากฎการณ์ ท่มี องเหน็ เช่น ความเป็นอยู่ในสังคม นักวจิ ัยเห็นเหตุการณ์ หลาย ๆ เหตุการณ์ สร้างขอ้ สรปุ ไม่ยนื ยนั สมมตุ ิฐานชว่ั คราว ยืนยัน ขอ้ สรุปมคี วามเป็นนามธรรมระดบั ตน้ ตอ้ งท�ำ ตลอดเวลา แผนภาพที่ 1.6 การวิเคราะห์แบบอุปนยั รายงานผลการดำ�เนนิ งาน การพฒั นางานประจ�ำ สงู่ านวิจัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563 35

การวเิ คราะห์ข้อมูลเบ้ืองต้นโดยการจดบนั ทึก ตลอดเวลาทอี่ ยใู่ นสนามนกั วจิ ยั ตอ้ งลงมอื วเิ คราะหข์ อ้ มลู เบอ้ื งตน้ โดยมกี ารจดบนั ทกึ จ�ำ แนกเปน็ 6 ขนั้ ตอน ในหนึ่งเหตกุ ารณ์ การจดบันทกึ หรอื การลงมือเขยี นเปน็ การบังคบั ใหน้ กั วิจัยมีการวเิ คราะห์ในระดับหนง่ึ ถ้าไม่ลงมอื เขียนทุกอย่างก็ยงั เปน็ โจทย์ซง่ึ ยงั ไมไ่ ดร้ ับคำ�ตอบ 1. ใครทำ�อะไร 4. กับใคร 2. ที่ไหน 5. เพราะอะไร 3. อย่างไร 6. มีความหมายว่าอยา่ งไร 2. การวิเคราะห์โดยการจำ�แนกชนิดข้อมูล (Typological Analysis) เป็นการจำ�แนกข้อมูลเป็นชนิด ๆ โดยจำ�แนกเปน็ ข้ันตอนของเหตกุ ารณ์ท่เี กดิ ขน้ึ ตอ่ เนอื่ งกนั ไป มี 2 แบบ คือ แบบใชท้ ฤษฎี และแบบไม่ใช้ทฤษฎี 2.1 แบบใชท้ ฤษฎี เปน็ การจ�ำ แนกชนดิ ในเหตกุ ารณห์ นงึ่ ๆ โดยยดึ แนวคดิ ทฤษฎเี ปน็ กรอบ ในการจ�ำ แนก เช่น Lofland (1971) อ้างถงึ โดย สภุ างค์ จันทวนิช (2540) แยกเปน็ 6 ขั้นตอน ดังตารางที่ 1.9 ตารางท่ี 1.9 กระบวนการจำ�แนกข้อมลู แบบใชท้ ฤษฎี ขั้นท่ี การดำ�เนนิ การ เหตกุ ารณ์ ขั้นที่ 1 การกระท�ำ (acts) เหตุการณ์หรือสถานการณ์ พฤติกรรมที่เกิดในชว่ งระยะเวลาใด เวลาหน่ึง ไมย่ าวนานหรือตอ่ เนือ่ ง ขั้นที่ 2 กจิ กรรม (activities) เหตุการณ์หรอื สถานการณ์ ธรรมเนียมประเพณีและพธิ กี รรมท่ี เกิดขึน้ อยา่ งต่อเน่อื งผกู พนั กับบคุ คล บางคนหรือบางกลุ่ม ขั้นท่ี 3 ความหมาย (meaning) บคุ คลอธิบาย/สื่อสาร/ใหค้ วามหมาย ขน้ั ท่ี 4 ความสมั พันธ์ (Relationship) ความเกยี่ วโยงระหวา่ งบคุ คล หลาย ๆ คน ในสังคมที่ศกึ ษาในรปู แบบใดรูปแบบหนึ่ง อาจเปน็ รูปของ การเขา้ กนั ได้/ความขัดแย้ง ขัน้ ที่ 5 การมสี ว่ นร่วมใน กจิ กรรม บุคคลมคี วามผูกพัน/เขา้ รว่ ม (Participation) กจิ กรรมปรับตวั เขา้ กบั สถานการณ์ ขนั้ ท่ี 6 สภาพสังคม (Setting) สถานการณห์ รือสภาพการณ์ท่ี กจิ กรรมท่ศี กึ ษา การวเิ คราะห์ ผวู้ ิจัยตอ้ งพยายามตอบค�ำ ถามว่าสิ่งท่ีวเิ คราะห์ (อาจเป็นสถานการณ์ กิจกรรม ความสมั พนั ธ)์ มรี ปู แบบอยา่ งไร เกดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร เพราะเหตใุ ดและจะมผี ลกระทบตอ่ สถานการณ์ กจิ กรรม หรอื ความสมั พนั ธอ์ ยา่ งไร การตอบค�ำ ถามเหล่านต้ี ้องใช้วิธกี ารสังเกต สมั ภาษณผ์ ู้วจิ ัย วเิ คราะห์ลึกซ้งึ และรอบคอบ เพราะสาเหตุอาจ มจี ากหลายสาเหตุ แบง่ เปน็ สาเหตเุ ดียว (single cause) หลายสาเหตุแตไ่ ม่ซบั ซ้อน (list of causes) หลายสาเหตุ พอกพนู ทำ�ใหซ้ บั ซ้อน และรนุ แรง (cumulative causes) แบบไมใ่ ช้ทฤษฎี เป็นการจำ�แนกขอ้ มลู ท่จี ะวิเคราะห์ตาม 36 รายงานผลการด�ำ เนินงาน การพัฒนางานประจำ�สู่งานวจิ ยั (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563

ความเหมาะสมกบั ขอ้ มูล โดยใช้ประสบการณ์ของตนเอง อาจจ�ำ แนกข้อมลู เป็นชนิดต่างๆ ตามประเภททีส่ มั พนั ธก์ ับ แบบแผนชีวติ ท่ีนักวจิ ัยสงั เกตเหน็ เช่น แบง่ ชนดิ ของเหตกุ ารณ์ ระยะเวลาทีเ่ หตุการณเ์ กดิ ขนึ้ บุคคลทเี่ กย่ี วข้องกับ สภาพแวดลอ้ มแล้วพิจารณาความสัมพนั ธ์ของชนดิ ตา่ งๆ ที่แบ่งน้ี เมอื่ ไดจ้ �ำ แนกขอ้ มูลเป็นชนิดแล้วนกั วิจัยพจิ ารณา ความสมำ่�เสมอของการเกดิ ขอ้ มูลชนิดตา่ ง ๆ ซึง่ จะเปน็ พ้นื ฐานในการอธบิ ายสาเหตุของปรากฏการณ์ 3. การเปรยี บเทียบขอ้ มลู (Comparison) การเปรยี บเทยี บขอ้ มลู คอื การแสวงหาความเหมอื นและความแตกตา่ งทมี่ อี ยใู่ นคณุ ลกั ษณะหรอื คณุ สมบตั ิ ของข้อมูลตั้งแต่สองชุดขึ้นไปอย่างเป็นระบบ เพ่ือสร้างข้อสรุปท่ีกล่าวถึงลักษณะร่วมและแตกต่างของข้อมูลสองชุด ขอ้ สรปุ จะมคี วามเปน็ นามธรรมมากกวา่ เดมิ และเรมิ่ มคี วามสามารถทจ่ี ะน�ำ ไปใชส้ รปุ ไดม้ ากกวา่ หนง่ึ กรณี ดงั ตวั อยา่ ง ในตารางท่ี 1.10 ตารางท่ี 1.10 การเปรยี บเทียบขอ้ มูล ชนดิ ของขอ้ มูล ฉาก พฤติกรรม แบบแผน ความ การมสี ว่ น ความหมาย เหตกุ ารณ/์ ดชั นี (ที่ไหน (ใครท�ำ พฤติกรรม สมั พันธ์ ร่วม (ทำ�ไม, เม่อื ไร) อะไร) (อยา่ งไร) (กบั ใคร) (ใครบ้าง) เพราะอะไร) 1. การจัดบรรยาย 2. การสาธิต 3. การทดสอบ เทคโนโลยี 4. การศึกษาดูงาน 5. การจดั เวทีชุมชน 4. การวิเคราะห์ส่วนประกอบ (Componential analysis) การวิเคราะห์ส่วนประกอบคือ การแสวงหา คุณสมบัตทิ ี่เก่ยี วขอ้ งกับเรอื่ งหรือชนดิ ต่าง ๆ ของขอ้ มลู อย่างเปน็ ระบบ มีขั้นตอน ดงั น้ี 4.1 เลอื กชนดิ ของขอ้ มลู หรอื ค�ำ ทตี่ อ้ งการศกึ ษาสว่ นประกอบเพอ่ื การเปรยี บเทยี บควรเลอื กไมเ่ กนิ 10ชนดิ 4.2 ทำ�รายชื่อคณุ สมบัตขิ องขอ้ มลู แต่ละชนดิ ให้ละเอียด 4.3 เตรยี มกระดาษส�ำ หรับการเปรียบเทียบ ใสร่ ายชอื่ ขอ้ มูลที่จะเปรียบเทียบ 4.4 คดั เลือกหรือก�ำ หนดส่วนประกอบทเ่ี ห็นวา่ เหมาะสมแก่การน�ำ มา เปรียบเทียบส่วนประกอบ เช่น มี/ไม่มี ใช่/ไม่ใช่ เป็นส่วนประกอบท่ีง่ายแก่การเปรียบเทียบในข้ันต้น ๆ เมอ่ื ผ้วู ิจยั มคี วามชำ�นาญมากข้ึนสามารถน�ำ องคป์ ระกอบที่มีคณุ สมบัตหิ ลากหลายมาเปรียบเทยี บได้ 4.5 ประมวลสว่ นประกอบทเ่ี กยี่ วขอ้ งเปน็ เรอื่ งเดยี วกนั คอื สว่ นประกอบบางหวั ขอ้ อาจเกยี่ วพนั กนั จ�ำ เปน็ ตอ้ งนำ�มาพิจารณาร่วมกนั เพอ่ื เชอ่ื มโยงข้อมูล 4.6 เสาะหาคณุ สมบตั ทิ นี่ า่ จะน�ำ มาเปรยี บเทยี บเพมิ่ เตมิ จากการอา่ นตารางเปรยี บเทยี บทไี่ ดท้ �ำ มา ผวู้ จิ ยั จะเริ่มสรา้ งสมมติฐานชวั่ คราวบางอยา่ ง คอื เกิดความสงสัยวา่ องค์ประกอบนนั้ นา่ จะแสดงความแตกต่าง ของข้อมูล ไดเ้ ดน่ ชดั แตผ่ ู้วจิ ยั ยงั ไม่มขี ้อมลู สว่ นนน้ั มาใช้วเิ คราะห์ 4.7 เก็บขอ้ มูลเก่ยี วกับส่วนประกอบและคุณสมบตั ทิ ต่ี ้องการเพม่ิ เตมิ 4.8 สร้างขอ้ สรุปจากการเปรียบเทยี บทไ่ี ดใ้ นทส่ี ุด (สภุ างค์ จนั ทวานชิ , 2540) รายงานผลการด�ำ เนนิ งาน การพัฒนางานประจำ�สูง่ านวิจัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563 37

หลกั ส�ำ คัญของการวเิ คราะห์ส่วนประกอบ คือ ผวู้ เิ คราะห์ตอ้ งพยายามแสวงหาส่วนประกอบที่หลากหลาย มาเปรยี บเทยี บกนั รวมทง้ั ให้รายละเอียดของคณุ สมบตั ิในส่วนประกอบไดค้ ม ชัดเจน ภาพทไ่ี ดจ้ ากการเปรียบเทยี บ จะชดั เจนขน้ึ เท่านั้น ตวั อยา่ งดังในตารางที่ 1.11 ตารางท่ี 1.11 การวเิ คราะห์สว่ นประกอบโดยใชข้ อ้ มลู ผนู้ �ำ กลมุ่ อพม. ข้อมูล สว่ นประกอบเพือ่ การเปรยี บเทียบ กลมุ่ อพม ก. (เขม้ แข็ง) จ�ำ นวนผนู้ ำ� ความรบั ผดิ ชอบ ความเชอ่ื ถือ การประชมุ พบปะ ในกล่มุ ของผู้นำ� ของสมาชิกตอ่ ผนู้ ำ� ของผนู้ ำ� 8 มาก มาก สม่�ำ เสมอทุกเดือน กล่มุ อพม ข. (ไม่เข้มแขง็ ) 5 น้อย น้อย นานคร้ังไม่แนน่ อน สม�ำ่ เสมอทกุ เดือน กล่มุ อพม ค. (เข้มแข็ง) 10 ปานกลาง มาก กลมุ่ อพม ง. (ไม่เข้มแข็ง) 7 น้อย น้อย ไมไ่ ดป้ ระชุมมา 6 เดือนแล้ว 5. การวิเคราะหจ์ ุดอ่อน จดุ แข็ง โอกาส อุปสรรค (SWOT analysis) คอื การวิเคราะหส์ ภาพแวดลอ้ มภายใน ชุมชนหรอื องคก์ รเกย่ี วกับจุดแขง็ จุดอ่อนในดา้ นต่าง ๆ และการวิเคราะหส์ ภาพแวดลอ้ มภายนอกชมุ ชนหรือองคก์ ร เกย่ี วกบั โอกาส และอปุ สรรคในการพฒั นา รวมทงั้ สามารถใชใ้ นการวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ ในเรอื่ งอน่ื ๆ ดว้ ย ดงั ตวั อยา่ ง ในตารางการวเิ คราะหผ์ ล SWOT Analysis ของการด�ำ เนนิ งาน ศนู ยช์ ว่ ยเหลอื สงั คม สายดว่ น 1300 จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ เพอื่ พัฒนาเป็นโจทยว์ ิจัย ตารางที่ 1.12 ตวั อยา่ งการวิเคราะห์จดุ อ่อน จุดแขง็ โอกาส อุปสรรค จดุ แข็ง จุดออ่ น โอกาส อปุ สรรค โจทยว์ ิจัย - บุคลากร - ขาดองค์ความรู้ - การพฒั นาศกั ยภาพ - เน่ืองจากบคุ ลากร - การพัฒนาหลกั สูตร มคี วามเสียสละ หรอื ทักษะในการ ของบคุ ลากรใหม้ ี มีประสบการณก์ าร ฝกึ อบรมเจ้าหนา้ ที่ พรอ้ มปฏิบัติงาน รบั เรือ่ ง/ประสาน/ ความรู้ทกั ษะ ทำ�งานหลากหลาย ศูนยช์ ่วยเหลอื สงั คม สง่ ตอ่ ตามหลัก การรบั เรอ่ื ง/ จึงตอ้ งจัดหลักสตู ร สายดว่ น 1300 สังคมสงเคราะห์ ประสาน/ส่งต่อ อบรมใหเ้ หมาะสม ในการรับเร่ือง/ ตามหลักสงั คม ประสาน/สง่ ตอ่ ตาม สงเคราะห์ หลกั สังคมสงเคราะห์ การเขียนโครงการวิจัยเป็นขั้นตอนที่มีความสำ�คัญในการดำ�เนินงานวิจัย เพราะเป็นการวางแผน กำ�หนด แนวทาง ขอบเขต วธิ กี ารวิจยั ให้ด�ำ เนนิ การตามวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีวางไว้ การวิจัยพัฒนาเชิงทดลอง (Experimental Development Research) สามารถทำ�แบบกลมุ่ เดยี ว วดั ผล ก่อน และหลงั การทดลอง สิง่ ทใี่ ชใ้ นการทดลอง Research Intervention คือ 38 รายงานผลการดำ�เนินงาน การพัฒนางานประจำ�ส่งู านวิจยั (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563

รูปแบบการดำ�เนินงานท่ีพัฒนาขึ้น โดยมีการปรับปรุงพัฒนาเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำ�หลัก Management by Participation มาประยุกต์แบบบรู ณาการ โดยนำ�ไปทดลองในหน่วยงาน................................. ระหวา่ งวนั ท.่ี ..............................................................................ถงึ ............................................................................... พนื้ ทวี่ จิ ยั คอื ......................................................ต�ำ บล............................อ�ำ เภอ..........................จงั หวดั .......................... เหตผุ ลในการคัดเลือกเป็นพื้นทีว่ ิจยั คอื ....................................................................................................................... การคัดเลือกประชากร และ กลมุ่ ตวั อย่าง (Population & Sample) ประชากร คอื การด�ำ เนินงาน........................................ในแต่ละคร้งั ตง้ั แต่…….........….. – รวมท้งั สิน้ …….........…..คร้งั กล่มุ ตัวอยา่ ง คอื ............................................................................................................................................. ประชากรท้ังหมด ในช่วงท่ีทดลอง รวม...............คร้ัง กลมุ่ ตัวอย่างผู้ปฏิบัติงานและใหข้ ้อมูลด้านความคดิ เหน็ คอื .......................................................................... ในพน้ื ทีว่ ิจัยนี้ ปฏิบัติงานในชว่ งทเ่ี กบ็ ขอ้ มูล รวมทง้ั ส้ิน...............คน เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการเก็บข้อมลู (Research Instruments for Data Collection) 1. แบบบนั ทึกขอ้ มูลลกั ษณะพน้ื ฐานของพื้นที่ 2. แบบบนั ทกึ ข้อมูลพ้นื ฐานของงานและการดำ�เนนิ งาน 3. แบบบันทึกการปฏบิ ัติงาน และ ผลการปฏิบตั งิ าน ของงาน 4. แบบสงั เกตการณ์ปฏิบตั งิ าน และ สง่ิ ทม่ี ีผลตอ่ การด�ำ เนนิ งานของ 5. แบบสอบถามความพงึ พอใจและ ขอ้ เสนอแนะ ของผูท้ ่ีเก่ียวขอ้ งกับการด�ำ เนินงาน 6. แบบบนั ทกึ การประชุมกลมุ่ ผู้ปฏบิ ตั งิ านและ คณะกรรมการที่เกย่ี วข้อง 7. แบบบันทึกเหตุการณท์ ีเ่ กีย่ วข้องกบั การดำ�เนินงาน 8. แบบสัมภาษณ์ผ้ทู ่ีเก่ยี วกับการดำ�เนนิ งาน 9. กลอ้ งถา่ ยรปู ข้นั ตอนในการทำ�วจิ ยั มี 3 Phase ตามหลกั การวจิ ัยเชิงทดลอง คอื 1. ก่อนการทดลอง (Pre-Experimental Phase) โดยการ วิเคราะหร์ ปู แบบการด�ำ เนินงานเดมิ วธิ กี ารดำ�เนนิ งาน และผลการดำ�เนินงานที่ผ่านมา ในการดำ�เนินงานร่วมกับผู้เก่ียวข้องเพ่ือหาจุดหรือประเด็น ท่ีต้องปรับปรุงแก้ไข พรอ้ มทัง้ ศึกษา วรรณกรรม ท้ังทฤษฎี หลักการ นโยบาย แผนงาน แนวทางการดำ�เนินงาน และผลงาน ทีเ่ ก่ียวข้อง แลว้ นำ�มาประยกุ ต์ในพื้นที่ 2. ขณะทดลอง (Experimental Phase) โดยการนำ�รูปแบบการดำ�เนิน งานที่พัฒนาข้ึนไปดำ�เนินการ มีการทบทวน ติดตามประเมนิ ผลการดำ�เนิน และ ปญั หาอปุ สรรคทเ่ี กดิ ขน้ึ เปน็ ระยะ ๆ แลว้ นำ�ผลท่ไี ด้ มาปรับปรุง ระบบงาน/วธิ กี าร กระบวนงาน และวธิ ีปฏิบัติ ในการดำ�เนนิ งานใหเ้ หมาะสม และมปี ระสทิ ธภิ าพยิ่งข้ึนในช่วงเวลา ต่อ ๆ มา 3. หลังการทดลอง (Post-Experimental Phase) โดยการนำ�ข้อมูลท้ังหลายที่ได้จากการดำ�เนินงาน มารวบรวม วิเคราะห์ และสรุปตามวัตถุประสงคข์ องการวิจยั ขน้ั ตอน และวธิ กี ารในการสรา้ งและพฒั นารปู แบบการด�ำ เนนิ งานใหมด่ �ำ เนนิ การอยา่ งครบวงจร (Cycle) รายงานผลการด�ำ เนินงาน การพัฒนางานประจ�ำ สู่งานวจิ ัย (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 39

ในแตล่ ะปี เป็น 4 ข้ันตอน คือ ขนั้ ตอนที่ 1 วเิ คราะห์รปู แบบการดำ�เนินงานเดมิ ของงาน.............ร่วมกบั ผเู้ กย่ี วขอ้ ง เพอื่ หาจดุ หรือประเด็น ท่ีต้องปรบั ปรงุ แกไ้ ข ขั้นตอนท่ี 2 กำ�หนดรูปแบบ/ระบบ/วธิ ีการ ใหม่ เบ้ืองตน้ โดยการนำ�ทฤษฎีและ หลกั วิชาการท่ีเกยี่ วขอ้ ง มาประยุกต์ ในการปรับปรุงกระบวนการด�ำ เนนิ งาน.................ใหส้ อดคล้องกบั บริบทของพนื้ ทดลอง ด้วยทรพั ยากร ท่ีมีอยู่ เน้นท่ีความเหมาะสม Practical และประสทิ ธภิ าพการด�ำ เนนิ งาน ข้นั ตอนที่ 3 น�ำ รูปแบบ/ระบบงาน/วิธกี าร ใหม่ เบ้อื งต้นทพี่ ฒั นาขึน้ ไปดำ�เนนิ การทดลอง โดยมกี ารตดิ ตาม ทบทวน ประเมิน ผลการด�ำ เนิน และปญั หา อุปสรรคที่เกดิ ข้ึนน้ี เป็นระยะ ๆ แลว้ นำ�ผลที่ไดม้ าปรับปรุงระบบงาน/ วธิ กี าร/กระบวนงาน และ วิธปี ฏิบตั ิ ในการดำ�เนนิ งานใหเ้ หมาะสมและมปี ระสิทธิภาพย่งิ ๆ ขน้ึ ในช่วงตอ่ ๆ มา ขนั้ ตอนท่ี 4 สรปุ ผลการด�ำ เนินงาน ดว้ ยการนำ�ข้อมูลทงั้ หลาย จากขั้นตอนท่ี 1-3 มารวบรวม วเิ คราะห์ และสรปุ เปน็ รูปแบบใหม่ของการดำ�เนินงาน............ทผ่ี า่ นการน�ำ ไปใชจ้ ริง ในพนื้ ทท่ี ดลองแลว้ รวม............ปี ทเี่ ปน็ ผลของการวิจัย ตามวตั ถุประสงคข์ อ้ ที่ 1 ในปนี น้ั การวิเคราะห์ขอ้ มูลในการวิจยั (Data Analysis) ใช้ Descriptive Statistics, Inferential Statistics (ถ้าด)ี , Content Analysis 7. การเขียนโครงรา่ งการวจิ ยั การเขยี นโครงการวจิ ยั เปน็ ขนั้ ตอนทม่ี คี วามส�ำ คญั ในการด�ำ เนนิ งานวจิ ยั เพราะเปน็ การวางแผน ก�ำ หนด แนวทาง ขอบเขต วธิ กี ารวิจัยให้ด�ำ เนนิ การตามวตั ถปุ ระสงคท์ ี่วางไวโ้ ครงการวจิ ัยประกอบดว้ ย 12 หัวข้อยอ่ ย คือ 1. ชื่อโครงการ 2. ผรู้ ับผิดชอบโครงการ 3. ความส�ำ คัญและที่มาของปญั หา 4. วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั 5. ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รับ 6. การตรวจเอกสารและผลงานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวขอ้ ง 7. นิยามศพั ท์ 8. ระเบียบวิธกี ารวิจัย 9. ขอบเขตการวิจยั 10. ระยะเวลาการวิจัย 11. แผนการดำ�เนินงาน 12. เอกสารอา้ งองิ 8. การเขียนรายงานการวิจัย เป็นการนำ�เสนอผลการศึกษาอย่างละเอียดตามรูปแบบท่ีกำ�หนดไว้ โดยมี วตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือให้ผู้อ่านทราบว่า ทำ�ไมจงึ ตอ้ งท�ำ วจิ ยั มีแนวคดิ หลักการเหตุผลอย่างไรท�ำ การศึกษาอะไร วิธกี าร เปน็ อยา่ งไร และผลที่ไดจ้ ากการวจิ ัยเปน็ ประการใด องค์ประกอบการเขียนรายงานการวิจยั การเขียนรายงานผลการวจิ ยั โดยแบ่งเปน็ 4 สว่ น ได้แก่ 1. สว่ นนำ� เป็นสว่ นประกอบตอนต้นของรายงานวิจัย ซ่งึ ประกอบดว้ ยสว่ นตา่ ง ๆ ตามล�ำ ดับ ประกอบด้วย : ปกนอก 40 รายงานผลการดำ�เนินงาน การพัฒนางานประจำ�ส่งู านวจิ ัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563

ปกใน บทคัดย่อ คำ�น�ำ ค่านยิ ม หรือค�ำ ขอบคณุ หรือกิตตกิ รรมประกาศ สารบญั สารบญั ตาราง สารบญั ภาพ 2. สว่ นเน้อื ความ เป็นส่วนที่อธบิ ายถึงรายละเอยี ดทม่ี าของการทำ�งานวจิ ัย ซงึ่ ประกอบดว้ ย สว่ นตา่ ง ๆ ตามลำ�ดับ ประกอบดว้ ย : บทท่ี 1 บทนำ� ความสำ�คญั และที่มาของปญั หา วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ บั ขอบเขตของการวิจัย นยิ ามศพั ท์ บทที่ 2 การตรวจเอกสารและผลงานวิจัยทเ่ี กยี่ วข้อง การตรวจเอกสาร ผลงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง แนวคดิ ในการวจิ ัยและสมมติฐาน (ถา้ ม)ี บทที่ 3 วิธกี ารวิจยั ประชากร กลมุ่ ตัวอยา่ งและการคดั เลือกกลุ่มตวั อย่าง การเก็บรวบรวมขอ้ มลู การวิเคราะหข์ อ้ มลู ระยะเวลาการวิจยั บทท่ี 4 ผลการวจิ ัย (และข้อวิจารณ์) บทท่ี 5 สรปุ และข้อเสนอแนะ 3. สว่ นอา้ งองิ เปน็ สว่ นทร่ี ะบรุ ายการเอกสารทไ่ี ดอ้ า้ งองิ ไวใ้ นการท�ำ วจิ ยั นน้ั ๆ เทา่ นน้ั ดงั นนั้ รายการเอกสาร ในสว่ นอ้างอิงต้องสอดคลอ้ งกับเอกสารทีอ่ า้ งอิงไวใ้ นภาคเน้ือหา 4. สว่ นผนวกเปน็ สว่ นทจ่ี ะเสนอรายละเอยี ดบางอยา่ งเพม่ิ เตมิ ซง่ึ รายละเอยี ดเหลา่ นนั้ ไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งใสไ่ ปพรอ้ ม เนอ้ื หาแต่มคี วามส�ำ คญั ทจี่ ะตัดทิง้ ไมไ่ ด้ ต้องน�ำ มาเสนอเพม่ิ เตมิ ไวใ้ นตอนทา้ ยของรายงาน เอกสารท่อี ยใู่ นภาคผนวก เช่น แบบสอบถามแผนภูมิ แผนที่ หรือตารางผลการวิจัย (กรณีไม่ได้ใส่ไว้ในบทที่ 4) ถ้ามีส่ิงท่ีต้องเพิ่มเติมมาก อาจแบง่ เปน็ ภาคผนวก ก. ภาคผนวก ข. กไ็ ด ประโยชนข์ อง R2R 1. ผูร้ ับบรกิ ารได้รับบรกิ ารทด่ี ขี ้ึน มมี าตรฐานและมีการพฒั นาต่อเนื่องตลอดเวลา รายงานผลการดำ�เนินงาน การพฒั นางานประจำ�สงู่ านวจิ ยั (Routine to Research) ปงี บประมาณ 2563 41

2. หนว่ ยงานทม่ี กี ารท�ำ การวจิ ยั กไ็ ดร้ บั ผลดดี ว้ ย เชน่ ภาระงานเบาลง ผปู้ ฏบิ ตั งิ านท�ำ งานไดส้ ะดวกสบายขนึ้ ลดคา่ ใช้จ่ายของหน่วยงาน เป็นตน้ 3. ผู้ที่ร่วมในกระบวนการทั้งหมด ท้ังผู้สร้างงานวิจัยและผู้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้แบ่งปันประสบการณ์ ในกิจกรรมต่าง ๆ เนื่องจากเป็นผู้ท่ีได้รับการฝึกฝนพัฒนาตนเอง ฝึกฝนการคิดวิเคราะห์แสวงหาคำ�ตอบอย่างเป็น ระบบ หรอื ได้ “เรียนร้ผู ่านกระบวนการทำ�งานวจิ ยั ” 4. เปน็ เครื่องมือในการพฒั นาบุคลากร 5. เกิดเครอื ข่ายบุคลากรด้าน R2R ทัง้ ในระดับหน่วยงาน และระดบั กลุม่ จงั หวดั ปจั จยั แหง่ ความสำ�เร็จ ในบทความวชิ าการเกยี่ วกับเรื่องของ การจดั องคก์ รเรยี นรู้ (learning organization) ท่ีตีพิมพ์ ในวารสาร Harvard Business Review ยังเช่ือมโยงมาใช้กับเรื่องของ R2R ได้ในบทความน้ีระบุว่า ตัวชี้วัด ว่าองค์กรใด เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้หรอื ไม่ ใหด้ ูที่ 3 ปัจจัย ไดแ้ ก่ ข้อท่ีหนึ่ง สภาพแวดล้อม (environment) คือ มีบรรยากาศขององค์กรท่ีเปิดช่องให้คนใช้ความคิดริเร่ิม สร้างสรรค์ ไมบ่ งั คับวา่ สิ่งตา่ ง ๆ จะตอ้ งคงท่ีตายตวั ขอ้ ท่สี อง กจิ กรรม (activity) มีการจัดกจิ กรรมในลักษณะเปน็ กระบวนการช่วยจบั ประเด็นมาสรา้ งความรู้ ให้ยกระดบั ข้นึ ไป ขอ้ ท่สี าม ภาวะผนู้ �ำ (leadership) มผี ู้น�ำ ที่เข้าไปสนับสนุน ท้าทา้ ย หรือชักชวนอยา่ งมีศลิ ปะ เพือ่ ไมใ่ ห้ คนในทท่ี �ำ งานตกใจ ไมก่ ลา้ เกิดความรสู้ กึ วา่ เปน็ เรือ่ งท่ียากเกนิ ไป ข้อที่ส่ีหัวใจสำ�คัญ คนที่ทำ�งานประจำ� (Personnel) ที่ต้องการพัฒนางานของตนเองให้ดีขึ้น แล้วก็ใช้ กระบวนการเพ่ือคิดหาวิธี โดยม่งุ ตอบค�ำ ถามวา่ ท�ำ อย่างไร (how) เพ่ือให้งานในจดุ นน้ั ทำ�ไดด้ ีขนึ้ 42 รายงานผลการดำ�เนนิ งาน การพฒั นางานประจ�ำ สู่งานวจิ ัย (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563

การพฒั นางานประจ�ำ ส่งู านวิจยั (Routine to Research : R2R) ปีงบประมาณ 2563 1. เร่อื ง การพฒั นาการดำ�เนินงานและการบนั ทกึ ขอ้ มลู ผู้ขอรับสิทธ์ิเงนิ อุดหนุนเด็กแรกเกดิ 2. ผู้วจิ ยั เรือโทหญิง ลักษณยี า ศรวี ฒั นชยั 3. หน่วยงาน ส�ำ นกั งานพฒั นาสังคมและความมน่ั คงของมนษุ ย์จงั หวดั อุบลราชธานี 4. หลกั การและเหตผุ ล โครงการเงนิ อดุ หนนุ เพอ่ื การเลย้ี งดเู ดก็ แรกเกดิ : เปน็ นโยบายส�ำ คญั ระดบั ชาตติ ามแผนบรู ณาการ พฒั นาคน ตลอดชว่ งชวี ติ เปน็ การสรา้ งระบบคมุ้ ครองทางสงั คมโดยการจดั สวสั ดกิ ารเงนิ อดุ หนนุ ใหแ้ ก่ เดก็ แรกเกดิ ในครวั เรอื น ยากจนหรือครัวเรือนท่ีเสี่ยงต่อความยากจน เป็นมาตรการให้บิดา มารดาหรือ ผู้ปกครองนำ�เด็กเข้าสู่ระบบบริการ ของรฐั เพื่อใหเ้ ด็กได้รับการดแู ลให้มคี ุณภาพชวี ิตท่ดี ี มพี ฒั นาการเหมาะสม ตามวัย รวมท้งั เปน็ หลกั ประกันให้เด็ก ได้รับสิทธิด้านการอยู่รอดและการพัฒนาตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการพัฒนาและเสริมสรา้ งศกั ยภาพทรัพยากรมนุษย์ตามยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ยทุ ธศาสตร์ การเสริมสรา้ งและพฒั นาศกั ยภาพทุนมนุษย์ของแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) และแผนพัฒนาเดก็ และเยาวชนแห่งชาติ ฉบับท่ี 2 (พ.ศ. 2560 – 2564) รฐั บาล ใหค้ วามส�ำ คัญกับการลงทนุ เพอ่ื การพฒั นาเดก็ มาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งตง้ั แตป่ งี บประมาณ 2559 โดยเรมิ่ จดั สวสั ดกิ ารเงนิ อดุ หนนุ เพอื่ การเลยี้ งดเู ดก็ แรก เกดิ ให้กบั เด็กอายุ 0 - 1 ปี คนละ 400 บาท ตอ่ เดอื น ขยายเวลาเป็น อายุ 0 - 3 ปี คนละ 600 บาท ต่อเดือน โดย เด็กต้องอยใู่ นครวั เรอื นท่ีมีรายไดเ้ ฉล่ียไมเ่ กิน 36,000 บาท ตอ่ คนต่อปี   ตอ่ มาคณะรัฐมนตรมี มี ติ เม่ือวันที่ 26 มีนาคม 2562 เหน็ ชอบในหลกั การโครงการเงนิ อดุ หนุนเพ่ือการเล้ยี งดู เดก็ แรกเกดิ โดยใหข้ ยายระยะเวลาใหเ้ งนิ อดุ หนนุ เพอื่ การเลย้ี งดเู ดก็ แรกเกดิ ตง้ั แตแ่ รกเกดิ ถงึ 6 ปี เดอื นละ 600 บาท จากเดิมตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 ปี และขยายฐานรายได้ของกลุ่มเป้าหมายจากไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคนต่อปี ซง่ึ จากการขยายเวลาและฐานรายไดด้ งั กลา่ ว ปรากฏวา่ มผี สู้ นใจยนื่ ขอรบั สทิ ธิ์ เงนิ อดุ หนนุ เพอื่ การเลย้ี งดเู ดก็ แรกเกดิ เป็นจำ�นวนมาก ทำ�ให้การตรวจสอบเอกสารหลักฐานประกอบการ ย่ืนขอรับสิทธ์ิต้องใช้เวลาเพ่ิมขึ้น เน่ืองจาก บคุ ลากรไมส่ อดคลอ้ งกบั ปรมิ าณงาน ระบบการบนั ทกึ ขอ้ มลู มกี ารตรวจสอบลา่ ชา้ หนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ งเหน็ วา่ มใิ ชง่ าน ในบทบาทและภารกิจของตนเองจึงไมใ่ หค้ วามร่วมมอื เทา่ ท่คี วร ดังนั้น สำ�นักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุบลราชธานี จึงเห็นความสำ�คัญของ การศึกษาปัญหาอุปสรรคจากกระบวนการดำ�เนินงานและการบันทึกข้อมูลผู้ขอรับสิทธิ์เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดที่ ผ่านมา เพื่อนำ�ผลการดำ�เนินงานมาเป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงงาน ลดความผิดพลาดซ้ำ� เพ่ือต่อยอด ความสำ�เร็จที่เกิดข้ึน โดยสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง และเอ้ือประโยชน์ แก่ประชาชนไดอ้ ยา่ งท่วั ถงึ และรวดเรว็ 5. วตั ถปุ ระสงค์ 5.1 เพื่อถอดบทเรียนปัญหาอุปสรรคจากกระบวนการดำ�เนินงานและการบันทึกข้อมูลผู้ขอรับสิทธ์ิ เงนิ อดุ หนนุ เดก็ แรกเกิดท่ผี ่านมา 5.2 เพ่ือหาแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติงานท่ีเกิดขึ้นจากการดำ�เนินงาน และการบนั ทกึ ขอ้ มลู ผขู้ อรับสิทธ์เิ งนิ อุดหนุนเดก็ แรกเกดิ รายงานผลการดำ�เนนิ งาน การพฒั นางานประจำ�สงู่ านวิจยั (Routine to Research) ปีงบประมาณ 2563 43


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook