Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เศรซกิจการผลิดการตลาด ของกาแฟในสวนผลไม้ จ.รันทรยุรีแบะตราด

เศรซกิจการผลิดการตลาด ของกาแฟในสวนผลไม้ จ.รันทรยุรีแบะตราด

Description: 5

Search

Read the Text Version

เศรษฐกจิ กำรผลิตกำรตลำดของกำแฟในสวนผลไม้ จังหวดั จันทบรุ ีและตรำด Production and Marketing of Coffee Growing in Fruit Farm in Chanthaburi and Trat Province สำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรท่ี 6 REGIONAL OFFICE OF AGRICULTURAL ECONOMICS 6 สำนกั งำนเศรษฐกิจกำรเกษตร OFFICE OF AGRICULTURAL ECONOMICS กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ MINISTRY OF AGRICULTURE AND COOPERATIVES เอกสำรวจิ ัยเศรษฐกิจกำรเกษตร เลขท่ี 130 AGRICULTURAL ECONOMICS RESEARCH NO.130 พฤศจกิ ำยน 2020 NOVEMBER 2020

เศรษฐกจิ การผลติ การตลาดของกาแฟในสวนผลไม จังหวัดจนั ทบุรแี ละตราด เนอ้ื หาสาํ คญั ประกอบดวย - การผลิตกาแฟพนั ธุโ รบัสตาและอาราบิกา ทถี่ ูกตองตามหลกั วชิ าการ - สภาพการผลิต รวมถึงปญ หาการปลูกกาแฟรว มกบั ผลไมของเกษตรกรในจงั หวัดจันทบรุ ี และตราด - ตนทุนและผลตอบแทนในการปลูกกาแฟรวมกับผลไมตามชว งอายกุ าแฟในจังหวดั จนั ทบรุ ี และตราด - การตลาด วิถกี ารตลาด และสว นเหล่อื มการตลาดของจังหวัดจันทบุรีและตราด ไดร บั ความรวมมือจาก สอบถามขอ มลู เพิ่มเตมิ เกษตรกรผปู ลกู กาแฟในจังหวดั จันทบรุ แี ละ ตราด สถาบนั เกษตรกร ผูรวบรวม สว นวิจัยและประเมนิ ผล สาํ นักงานเศรษฐกจิ การเกษตรท่ี 6 โทร 0-3835-1398 อเี มล [email protected]

เศรษฐกิจการผลติ การตลาดของกาแฟในสวนผลไม้ จงั หวัดจนั ทบรุ ี และตราด โดย สำนกั งานเศรษฐกิจการเกษตรท่ี 6 สำนกั งานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

(ข) บทคดั ยอ่ วัตถุประสงค์ของงานวิจัยคือเพ่ือศึกษาสภาพการผลิตและการตลาด วิถีการตลาด ส่วนเหล่ือมการตลาด และปัญหาการปลกู กาแฟร่วมกับไม้ผลของเกษตรกรตลอดจนต้นทุนและผลตอบแทนในการปลูกกาแฟร่วมกับไม้ผล ในจงั หวดั จนั ทบุรแี ละตราด โดยการวิจัยคร้ังนีใ้ ช้การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวธิ ีสำมะโนสอบถามเกษตรกรท่ีปลกู กาแฟ รว่ มกับไมผ้ ล จำนวน 38 ราย แบง่ เปน็ ผปู้ ลูกกาแฟพนั ธุโ์ รบัสตา้ 23 ราย และผ้ปู ลกู กาแฟพนั ธอ์ุ าราบิก้า 15 ราย ผลการศึกษาด้านต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้ารว่ มกับไม้ผลเฉลีย่ ทุกช่วงอายุ พบว่า มีต้นทุนรวมเฉลี่ยไร่ละ 10,909.76 บาท ผลตอบแทนสุทธิหรือมีกำไรไร่ละ 12,501.49 บาท ส่วนต้นทุนและ ผลตอบแทนในการปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้าร่วมกับไม้ผลเฉลี่ยทุกช่วงอายุ พบว่า มีต้นทุนรวมเฉล่ียไร่ละ 8,910.64 บาท ผลตอบแทนสุทธิหรือมีกำไรไร่ละ 12,422.56 บาท ทั้งนี้ เกษตรกรท่ีปลูกกาแฟทง้ั 2 สายพนั ธส์ุ ่วน ใหญ่พบปัญหาในการผลิตด้านการจัดการเร่ืองโรคและแมลงมากที่สุด ได้แก่ หนอนเจาะลำต้นกาแฟ ทำให้ ตน้ กาแฟเสียหาย และโรคราสนิม สง่ ผลใหใ้ บรว่ งและกง่ิ แหง้ วิถีการตลาดกาแฟพันธ์ุโรบัสต้า เริ่มจาก 1) เกษตรกรขายผลผลิตทั้งหมดให้กับวิสาหกิจชุมชน 2) วิสาหกิจชุมชนส่งต่อผลผลิตให้กับผู้แปรรปู ในท้องถ่ินท้ังหมด 3) ผู้แปรรูปในท้องถิ่นได้แปรรูปกาแฟผลสดด้วย วิธีการแปรรูปแบบเปียกให้เป็นสารกาแฟและเมล็ดกาแฟค่ัว โดยแปรรูปเป็นเมล็ดกาแฟคั่วและสารกาแฟ ร้อยละ 68.42 และ 31.58 ของผลผลิตเมล็ดกาแฟสดท้ังหมด ตามลำดับ สำหรับเมล็ดกาแฟควั่ ผู้แปรรูปจะขายใหก้ ับร้าน กาแฟสดในจังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง และกรุงเทพ สำหรับสารกาแฟ แปรรูปจะขายให้กับโรงค่ัวเมล็ดกาแฟ ในจังหวัดสระบุรีและระยอง ร้านกาแฟสดในจังหวัดจันทบุรี ระยอง ตราด และกรุงเทพ ส่วนวิถีการตลาดกาแฟ อาราบิก้าเริ่มจากเกษตรกรขายผลผลิตทั้งหมดให้กับผู้รวบรวมระดับท้องถ่ิน โดยผู้รวบรวมนี้เป็นตัวแทนรวบรวม ผลผลิตของบริษัทแปรรูปเอกชนแล้วส่งต่อผลผลิตท้ังหมดไปยังบริษัทแปรรูปเอกชนท่ีอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และ จังหวัดปทุมธานี ในส่วนของส่วนเหลื่อมการตลาดของผลผลิตเมล็ดกาแฟสดพันธ์โุ รบัสต้าจากเกษตรกรไปยังร้านกาแฟ สดในจังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง และกรุงเทพ โดยผ่านวิสาหกจิ ชมุ ชนและผแู้ ปรรปู ในชุมชนแปรรปู เป็นเมล็ด กาแฟค่ัว พบว่า สวนเหล่ือมการตลาดในการจำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่ว กิโลกรัมละ 206.25 บาท โดยราคา ท่ีผู้แปรรูปในท้องถ่ินได้รับจากร้านกาแฟสดกิโลกรัมละ 300.00 บาท ขณะท่ีต้นทุนการตลาดกิโลกรัมละ 70.61 บาท และผู้แปรรูปในทอ้ งถิ่นไดร้ ับผลตอบแทนสุทธหิ รอื มีกำไรกโิ ลกรมั ละ 135.65 บาท ข้อเสนอแนะจากการวิจัย มีดังน้ี เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในปัจจุบันควรให้ความสำคัญในการผลิตกาแฟ เพื่อเป็นแหล่งรายได้เสริมอีกทางหน่ึง แต่เกษตรกรควรระวังด้านการตลาดที่ยังคงมีความเสี่ยงสูงจากการท่ีอยู่ ในตลาดผ้ซู ื้อน้อยราย ดงั น้ัน เกษตรกรควรมีการแปรรูปเพอื่ เพมิ่ มูลคา่ ให้กับผลผลิตหรือเปิดช่องทางธุรกิจแบบการ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ส่วนเกษตรกรรายใหม่ที่สนใจปลูกกาแฟ ควรศึกษาข้อมูลเก่ียวกับการปลูกกาแฟแต่ละชนิ ด และควรพิจารณาระยะทางระหว่างท่ตี ง้ั กับแหลง่ รับซ้ือก่อนที่จะลงทุน คำสำคัญ ตน้ ทนุ ผลตอบแทน กาแฟโรบัสตา กาแฟอาราบิก้า

(ง) Abstract The purpose of this study was to analyze situation, marketing channel, marketing margin, problems as well as production cost and return of coffee growing in fruit farm in Chanthaburi and Trat Province. Census data were collected from 38 famers, comprising 23 Robusta coffee growers and 15 Arabica coffee growers. The finding revealed that an average production cost of Robusta coffee growing in fruit farm was 10,909.76 baht/rai with a net return of 12,501.49 baht/rai, while an average cost of Arabica coffee was 8,910.64 baht/rai with a net return of 12,422.56 baht/rai. Pet and disease management was a major problem that caused damages to coffee. Regarding marketing channels, Robusta coffee route was growers to community enterprises to local processors (roasted coffee beans 68.42% and green coffee beans 31.58 %) to coffee shops in Trat, Chanthaburi, Rayong and Bangkok Province for roasted coffee beans and to roasted coffee factories in Saraburi and Rayong Province as well as coffee shops in Trat, Chanthaburi, Rayong and Bangkok Province for green coffee beans; whereas, Arabica coffee route was growers to local collectors (processing company agents) to processing companies in Chiang Mai and Pathum Thani Province. In terms of marketing margins, it was found that roasted Robusta coffee beans had a marketing margin of 206.25 baht/ kilogram, local processors gained 300.00 baht/ kilogram, marketing costs were 70.61 baht/ kilogram and net returns were 135.65 baht/ kilogram. This research proposed the following recommendations: 1) Coffee growers should focus on producing coffee as another source of income and be aware of high risks in oligopsony coffee markets. Therefore, they should process coffee to increase its values or open agri-tourism business, and 2) New coffee growers should seriously study information of Robusta and Arabica coffee as well as distances between farms and local market places before investment. Keywords: Cost, Return, Robusta Coffee, Arabica Coffee

(ฉ) คำนำ กาแฟ เป็นพืชหน่ึงท่ีมีอุปสงค์มากกว่าอุปทานที่ผลิตได้ในประเทศไทย เน่ืองจาก ในช่วง 5 ปีท่ีผ่านมา เน้ือที่ให้ผล ผลผลิตและผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของกาแฟในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะท่ีความต้องการ ของโรงงานแปรรูปและความต้องการบริโภคเพิ่มข้ึนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซ่ึงประเทศไทยมีแหล่งผลิตกาแฟที่ สำคัญ 2 แห่ง ได้แก่ จังหวัดในภาคใต้ ปลูกกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า และจังหวัดในภาคเหนือ ปลูกสายพันธุ์ อาราบิก้า แต่ในปัจจุบันพบว่าเกษตรกรทางภาคตะวันออกได้เร่ิมปลูกกาแฟในสวนผลไม้เพ่ือเป็นพืชเสริมรายได้ โดยเฉพาะในจังหวัดจันทบุรีและตราด แสดงให้เห็นว่า ในภาคตะวันออกก็สามารถปลูกกาแฟเช่นเดียวกับทาง ภาคเหนือและภาคใต้ได้เช่นเดียวกัน โดยมีการปลูก 2 สายพันธุ์คือพันธุ์โรบัสต้า และพันธุ์อาราบิก้าสายพันธุ์ ผสมระหว่างพันธุ์เบอร์บอน (Bourbon) กับสายพันธ์ุแคทูร่า (Caturra) หรือเรียกว่า “กาแฟจันทบูร” ซ่ึง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 6 ได้เห็นว่า การปลูกกาแฟในจังหวัดจันทบุรีและตราดถือเป็นพืชใหม่ท่ี นา่ สนใจ อาจเป็นทางเลอื กใหม่ทจ่ี ะช่วยเสรมิ สรา้ งรายได้ให้แก่เกษตรกรหลงั จากฤดูเกบ็ เก่ยี วไม้ผล สำนักงานเศรษฐกจิ การเกษตรที่ 6 จึงได้ทำการวิจยั เร่ือง เศรษฐกจิ การผลิตการตลาด ของกาแฟใน สวนผลไม้ จังหวัดจันทบุรีและตราด ที่เน้นการศึกษาสภาพการผลิตและการตลาด วิถีการตลาด ส่วนเหลื่อมการตลาด รวมถึงปัญหาการปลูกกาแฟร่วมกับไม้ผล และต้นทุนและผลตอบแทนในการปลูก กาแฟร่วมกับไม้ผลตามอายุกาแฟในจังหวัดจันทบุรีและตราด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานผลการวิจัย ฉบบั น้ีจะเป็นประโยชนต์ ่อผู้ท่เี ก่ยี วข้องในการประกอบการตดั สินใจปลูกกาแฟร่วมกบั สวนไม้ผลแก่เกษตรกร ในภาคตะวนั ออก รวมถึงผลักดันต่อยอดสู่การแปรรูปเพ่ือเพ่ิมมลู ค่าให้แก่เกษตรกรหรอื การต่อยอดงานวิจัย ของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรท่ี 6 ขอขอบคุณ เกษตรกรผู้ท่ีเกี่ยวข้องและ คณะกรรมการพิจารณาโครงการวิจัย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรท่ีใหความอนุเคราะห์ ช่วยเหลือชี้แนะ แนวทางด้านวิชาการและทำให้การวิจัยครั้งน้ีสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี หากมีข้อผิดพลาดประการใด คณะ ผู้จัดทำยนิ ดีนอ้ มรับเพื่อนำไปปรับปรงุ แก้ไขใหด้ ีย่งิ ขน้ึ ในการวิจยั ครง้ั ต่อไป ส่วนวจิ ยั และประเมนิ ผล สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 6 พฤศจิกายน 2563

(จ) สารบญั หน้า (ข) บทคัดย่อ (ง) Abstract (ฉ) คำนำ (ช) สารบัญตาราง (ฌ) สารบัญภาพ 1 บทท่ี 1 บทนำ 1 2 1.1 ความสำคัญของการวจิ ยั 2 1.2 วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั 3 1.3 ขอบเขตของการวิจยั 3 1.4 นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 4 1.5 วธิ ีการศึกษาวิจัย 5 1.6 ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะได้รับ 5 บทที่ 2 การตรวจเอกสาร แนวคดิ และทฤษฎี 7 2.1 การตรวจเอกสาร 19 2.2 แนวคดิ และทฤษฎี 19 บทที่ 3 ขอ้ มูลทั่วไป 28 3.1 การผลิตกาแฟพันธุ์โรบัสต้าและอาราบกิ า้ ทถี่ ูกตอ้ งตามหลกั วิชาการ 29 3.2 สภาพภูมปิ ระเทศและสภาพทวั่ ไปของจงั หวัดจนั ทบุรีและจังหวัดตราด 29 3.3 ข้อมูลทว่ั ไปเกย่ี วกบั กาแฟจนั ทบรู 39 3.4 ขอ้ มูลทั่วไปของเกษตรกรผู้ปลกู กาแฟในสวนผลไม้ของจงั หวัดจนั ทบุรแี ละตราด 39 บทท่ี 4 ผลการศกึ ษา 4.1 สภาพการผลิต รวมถงึ ปัญหาการปลูกกาแฟรว่ มกบั ผลไม้ของเกษตรกรในจงั หวดั 47 จนั ทบรุ แี ละตราด 67 4.2 ต้นทนุ และผลตอบแทนในการปลกู กาแฟร่วมกบั ผลไม้ตามชว่ งอายุกาแฟใน 73 73 จงั หวดั จันทบุรแี ละตราด 77 4.3 การตลาด วถิ ีการตลาด และสว่ นเหลอ่ื มการตลาด 79 บทท่ี 5 สรปุ และข้อเสนอแนะ 80 5.1 สรุป 5.2 ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก

(ฉ) ตารางท่ี สารบัญตาราง หนา้ 3.1 20 3.2 การให้ปุ๋ยเม่ือกาแฟให้ผลผลติ แล้ว (3 ปีขนึ้ ไป) 29 3.3 เพศของเกษตรกรผูป้ ลูกกาแฟพันธุ์โรบสั ตา้ ในจงั หวัดจนั ทบรุ แี ละตราด 30 3.4 อายขุ องเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธโุ์ รบัสต้าในจังหวัดจันทบุรีและตราด 30 3.5 อายขุ องเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพนั ธุโ์ รบัสตา้ ในจังหวดั จนั ทบุรีและตราด 31 3.6 ระดบั การศกึ ษาของเกษตรกรผปู้ ลกู กาแฟพนั ธุโ์ รบสั ต้าในจังหวดั จนั ทบรุ แี ละตราด 31 จำนวนสมาชกิ และแรงงานภาคเกษตรในครวั เรอื นของเกษตรกรผู้ปลกู กาแฟพันธ์ุ 3.7 โรบสั ตา้ ในจังหวัดจนั ทบรุ ีและตราด 32 พ้ืนทท่ี ั้งหมดในการทำเกษตรของเกษตรกรผปู้ ลูกกาแฟพันธ์ุโรบสั ต้าของจังหวดั 3.8 จันทบรุ ีและตราด 32 เนอ้ื ที่ยนื ต้นและเน้ือทใี่ ห้ผลกาแฟพันธุ์โรบสั ต้าของเกษตรกรผปู้ ลกู กาแฟพนั ธุ์โรบสั ต้า 3.9 ของจังหวัดจันทบุรีและตราด 33 เหตผุ ลทเี่ ลอื กปลูกกาแฟของเกษตรกรผู้ปลกู กาแฟพนั ธ์ุโรบัสต้าในจังหวัดจันทบุรแี ละ 3.10 ตราด 34 เพศของเกษตรกรผู้ปลกู กาแฟพันธอ์ุ าราบิกา้ (กาแฟจันทบูร) ในจังหวดั จนั ทบรุ ีและ 3.11 ตราด 34 อายุของเกษตรกรผปู้ ลูกกาแฟพันธอุ์ าราบิก้า (กาแฟจันทบรู ) ในจังหวดั จันทบรุ ีและ 3.12 ตราด 35 อาชพี หลกั ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธุอ์ าราบิกา้ (กาแฟจนั ทบูร) ในจงั หวดั จนั ทบุรี 3.13 และตราด 36 ระดับการศกึ ษาของเกษตรกรผู้ปลกู กาแฟพันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟจนั ทบรู ) ในจงั หวัด 3.14 จันทบรุ ีและตราด 36 จำนวนสมาชกิ และแรงงานภาคเกษตรในครวั เรือนของเกษตรกรผูป้ ลูกกาแฟพันธ์ุ 3.15 อาราบิกา้ (กาแฟจนั ทบูร) ในจังหวดั จันทบรุ ี 37 พนื้ ที่ทั้งหมดในการทำเกษตรของเกษตรกรผ้ปู ลูกกาแฟพนั ธ์ุอาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) 3.16 ในจงั หวัดจันทบุรีและตราด 38 เนอื้ ที่ยืนตน้ และเนื้อท่ีให้ผลกาแฟนพันธ์ุอาราบิกา้ (กาแฟจันทบูร) ของจงั หวดั จนั ทบรุ ี 3.17 และตราด 38 เหตุผลทเ่ี ลอื กปลูกกาแฟของเกษตรกรผู้ปลกู กาแฟอาราบิก้า (กาแฟจนั ทบูร) 4.1 ในจงั หวดั จันทบรุ ีและตราด 40 ลักษณะพนื้ ท่ีปลูกและสภาพดินที่ปลูกกาแฟพนั ธ์โุ รบัสตา้ ร่วมกับผลไม้ของเกษตรกรใน จงั หวัดจันทบรุ แี ละตราด

(ช) ตารางท่ี สารบัญตาราง (ต่อ) หนา้ 4.2 40 วสั ดพุ ันธุท์ ป่ี ลกู ของกาแฟพันธุ์โรบัสตา้ ร่วมกบั ผลไมข้ องเกษตรกรในจงั หวดั จนั ทบรุ ี 4.3 และตราด 41 การได้รับน้ำของกาแฟพนั ธ์โุ รบัสตา้ ร่วมกบั ผลไม้ของเกษตรกรในจังหวดั จนั ทบรุ ีและ 4.4 ตราด 42 4.5 ไมผ้ ลทปี่ ลกู รว่ มกับกาแฟพันธุโ์ รบัสต้าของเกษตรกรในจังหวัดจนั ทบุรแี ละตราด 42 4.6 อายตุ น้ กาแฟพนั ธุโ์ รบัสต้าของเกษตรกรในจงั หวัดจนั ทบุรีและตราด 42 ระยะปลูกและจำนวนต้นต่อไรข่ องกาแฟพันธ์ุโรบสั ตา้ ของเกษตรกรในจังหวัดจันทบุรี 4.7 และตราด 43 ปญั หาการผลติ และการตลาดของการผลติ กาแฟพนั ธโุ์ รบสั ต้ารว่ มกบั ไมผ้ ลของ 4.8 เกษตรกรในจงั หวัดจนั ทบรุ แี ละตราด 44 ลักษณะพืน้ ท่ปี ลกู และสภาพดินทปี่ ลกู กาแฟพันธอุ์ าราบิก้า (กาแฟจันทบูร)ร่วมกบั 4.9 ผลไม้ของเกษตรกรในจังหวัดจันทบุรแี ละตราด 44 วสั ดุพันธุท์ ป่ี ลูกของกาแฟพันธอ์ุ าราบกิ ้า (กาแฟจนั ทบูร) ร่วมกับผลไม้ของเกษตรกรใน 4.10 จงั หวัดจนั ทบรุ แี ละตราด 45 การไดร้ บั น้ำของกาแฟพันธอ์ุ าราบิกา้ (กาแฟจนั ทบูร) ร่วมกับผลไมข้ องเกษตรกรใน 4.11 จงั หวัดจนั ทบุรีและตราด 45 ไม้ผลท่ปี ลกู รว่ มกับกาแฟพันธ์อุ าราบิก้า (กาแฟจนั ทบูร) ของเกษตรกรในจงั หวดั 4.12 จนั ทบรุ ีและตราด 46 4.13 อายุตน้ กาแฟพันธ์ุอาราบกิ า้ (กาแฟจนั ทบรู ) ของเกษตรกรในจงั หวดั จนั ทบรุ ีและตราด 46 ระยะปลูกและจำนวนตน้ ต่อไรข่ องกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ของเกษตรกร 4.14 ในจังหวดั จันทบุรีและตราด 47 ปัญหาการผลติ ของกาแฟพนั ธ์ุอาราบกิ ้า (กาแฟจนั ทบรู ) รว่ มกบั ไม้ผลของเกษตรกร 4.15 ในจังหวดั จนั ทบุรีและตราด 48 4.16 ต้นทนุ และผลตอบแทนการผลติ กาแฟพันธุ์โรบัสตา้ ร่วมกบั ไม้ผล อายกุ าแฟ 1 ปี 49 4.17 ตน้ ทุนและผลตอบแทนการผลติ การแฟพันธุ์อาราบิกา้ ร่วมกับไมผ้ ล อายกุ าแฟ 1 ปี 51 เปรียบเทยี บตน้ ทุนและผลตอบแทนการผลิตกาแฟพนั ธ์โุ รบสั ตา้ และพันธุ์อาราบกิ ้า 4.18 (กาแฟจนั ทบรู ) รว่ มกบั ไมผ้ ล อายุกาแฟ 1 ปี 53 4.19 ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตการแฟพนั ธุ์โรบสั ตา้ ร่วมกับไม้ผล อายุกาแฟ 2 - 3 ปี 54 4.20 ตน้ ทุนและผลตอบแทนการผลติ การแฟพนั ธุอ์ าราบกิ ้ารว่ มกับไมผ้ ล อายุกาแฟ 2 - 3 ปี 56 ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตกาแฟพนั ธโ์ุ รบสั ตา้ และพันธ์ุอาราบิกา้ (กาแฟจนั ทบรู ) รว่ มกับไม้ผล ชว่ งอายุกาแฟ 2 - 3 ปี

(ซ) ตารางท่ี สารบัญตาราง (ต่อ) หนา้ 4.21 58 4.22 ตน้ ทนุ และผลตอบแทนการผลติ การแฟพันธโุ์ รบสั ต้าร่วมกบั ไมผ้ ล ชว่ งอายุกาแฟ 4 - 6 ปี 59 ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตการแฟพนั ธุอ์ าราบกิ ้ารว่ มกบั ไมผ้ ล ชว่ งอายุกาแฟ 4.23 4 - 6 ปี 61 ต้นทุนและผลตอบแทนการผลติ กาแฟพนั ธุโ์ รบัสตา้ และพนั ธอ์ุ าราบกิ า้ (กาแฟจนั ทบูร) 4.24 ร่วมกบั ไม้ผล ช่วงอายุกาแฟ 4 - 6 ปี 63 ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตการแฟพันธโุ์ รบัสตา้ รว่ มกับไม้ผล ชว่ งอายกุ าแฟ 4.25 7 - 10 ปี 65 4.26 ตน้ ทนุ และผลตอบแทนการผลติ กาแฟพันธ์ุโรบสั ตา้ รว่ มกับไมผ้ ลเฉลี่ยทกุ ชว่ งอายุ 66 ตน้ ทุนและผลตอบแทนการผลิตกาแฟพนั ธ์อุ าราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ร่วมกับไมผ้ ล 4.27 เฉลยี่ ทกุ ชว่ งอายุ 71 ส่วนเหล่อื มการตลาดของเกษตรกรถึงผแู้ ปรรปู สารกาแฟ (พนั ธุ์โรบัสตา้ )

(ฌ) สารบญั ภาพ หนา้ ภาพท่ี 68 4.1 วิถกี ารตลาดของกาแฟพันธ์ุโรบัสต้าในจังหวัดจนั ทบรุ แี ละตราด 69 4.2 วิถกี ารตลาดของกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ในจังหวดั จันทบุรแี ละตราด

บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความสำคญั ของการวิจัย กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจท่ีสำคัญชนิดหน่ึงของประเทศไทย สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรปีละ ประมาณ 5,500 ล้านบาท (ยุทธศาสตร์กาแฟ ปี 2560 - 2564 กรมวิชาการเกษตร, 2560) กาแฟท่ีปลูกใน ประเทศไทยมี 2 สายพันธุ์ คือ สายพนั ธุอ์ าราบิกา้ และโรบสั ต้า โดยกาแฟสายพนั ธุอ์ าราบิก้าเหมาะสมกบั สภาพ พ้ืนที่ท่ีมีความสูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 800 เมตร และมีสภาพอากาศเย็นในบางช่วง จึงปลูกมากใน ภาคเหนอื เชน่ จังหวดั เชยี งใหม่ เชยี งราย ตาก เปน็ ต้น สว่ นสายพนั ธุ์โรบัสต้าเหมาะสมกับพื้นที่ท่ีมีความสงู จาก ระดับน้ำทะเลต่ำกว่า 800 เมตร และสภาพอากาศร้อนชน้ื ฝนตกสม่ำเสมอ จึงปลูกมากในภาคใต้ เช่น จังหวัด ชุมพร ระนอง สรุ าษฎรธ์ านี เปน็ ตน้ (เทคโนโลยีชาวบา้ น, 2561) ในช่วง 5 ปีท่ีผ่านมา เน้ือท่ีให้ผล ผลผลิต และผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของกาแฟในประเทศไทยลดลงอย่าง ต่อเนื่อง โดยปี 2557 มีเน้ือที่ให้ผล 260,968 ไร่ ผลผลิต 37,950 ตัน และผลผลิตเฉล่ียต่อไร่ 145 กิโลกรัม ตอ่ มาปี 2561 มเี นื้อทใ่ี หผ้ ล 257,761 ไร่ ลดลงเฉล่ยี ร้อยละ 0.18 ต่อปี ผลผลิต 23,617 ตัน ลดลงเฉลย่ี รอ้ ยละ 9.11 ต่อปี และผลผลิตเฉล่ียต่อไร่ 92 กิโลกรัม ลดลงเฉล่ียร้อยละ 8.87 ต่อปี เนื่องจากผลผลิตกาแฟสายพันธ์ุ โรบัสต้าในภาคใต้ท่ีปลูกกาแฟแซมในสวนผลไม้ โดยเฉพาะปลูกแซมในทุเรียนท่ีเร่ิมใหผ้ ลผลิตแล้ว เกษตรกรจึง โค่นต้นกาแฟท่ีไม่สมบูรณ์และมีอายุมากออก ประกอบกับสภาพภูมิอากาศไม่เอ้ืออำนวยส่งผลให้ผลผลิตลดลง สวนทางกับตลาดกาแฟที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากเดิมในปี 2557 มีความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของ โรงงานแปรรูป 75,000 ตัน ต่อมาในปี 2561 มีความต้องการใช้เมล็ดกาแฟ 95,000 ตัน เพ่ิมขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 6.08 ต่อปี ในขณะที่ความนิยมด่ืมกาแฟค่ัวบดและกาแฟสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น แต่ผลผลิตในประเทศไทยมีไม่ เพียงพอต่อความต้องการใช้ ผู้ประกอบการจึงต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิมปี 2557 นำเข้าเมล็ดกาแฟ 47,413 ตัน มูลค่า 3,411 ล้านบาท ปี 2561 นำเข้าเมล็ดกาแฟปริมาณ 68,616 ตัน และมูลค่า 4,989 ล้านบาท หรอื เพ่ิมขนึ้ เฉล่ยี ร้อยละ 7.64 และ 10.25 ต่อปี ตามลำดับ สำหรบั กาแฟสำเร็จรูป มีการนำเข้าลดลงจากเดิมปี 2557 นำเข้ากาแฟสำเร็จรูปปริมาณ 7,015 ตัน มูลค่า 2,124 ล้านบาท ปี 2561 นำเข้าปริมาณ 6,808 ตัน มูลค่า 1,963 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.63 และ 1.65 ต่อปี ตามลำดับ เนื่องจาก มีการแปรรปู ในประเทศเพมิ่ ขึน้ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2562) จังหวัดจันทบุรีและตราดบางส่วนมีการปลูกกาแฟร่วมกับสวนผลไม้ เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศ และสภาพอากาศคล้ายคลึงกับภาคใต้ โดยลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดจันทบุรีด้านทิศเหนือและทิศ ตะวันออก ได้แก่ อำเภอแก่งหางแมว อำเภอสอยดาว อำเภอเขาคิชฌกูฏ และอำเภอโป่งน้ำรอ้ น เปน็ พ้ืนท่ีป่าไม้ ภเู ขาและเนินสูงเป็นสว่ นใหญ่ อยสู่ ูงจากระดบั น้ำทะเล 30 – 150 เมตร ลกั ษณะสภาพภมู ิอากาศเป็นแบบรอ้ น ชื้นและมีฝนตกชุกติดต่อกันประมาณ 6 เดือนต่อปี ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม เน่ืองจากมี พนื้ ทตี่ ิดตอ่ กบั อ่าวไทย ทำให้ได้รบั อิทธิพลท้ังลมมรสุมจากทะเลจนี ใต้และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และจงั หวัด ตราดมีลักษณะภูมิประเทศแบบท่ีราบลุ่ม มีภูเขากระจายอยู่ทั่วไปในแทบทุกส่วนของจังหวัด โดยเฉพาะที่

2 อำเภอบ่อไร่ อำเภอเขาสมงิ อำเภอเมืองตราด พื้นท่ีแถบนจี้ ึงมีความชุ่มช้ืนมากเป็นพิเศษ มีป่าไม้สเี ขียวปกคลุม อยู่อย่างหนาแน่น ลักษณะสภาพภูมิอากาศเป็นแบบร้อนช้ืนและมีฝนตกชุกติดต่อกันประมาณ 6 เดือนต่อปี ฤดฝู นเริม่ ต้ังแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม เนือ่ งจากไดร้ ับอทิ ธพิ ลจากลมมรสมุ ตะวันตกเฉียงใต้ นบั เป็นจังหวัดที่มีฝนตกชุกมากเป็นอันดับท่ี 2 รองจากจังหวัดระนอง (ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจันทบุรี, 2562) การปลูกกาแฟในจังหวัดจันทบุรีและตราดมีการปลูกทั้งสองสายพันธ์ุ โดยสายพันธุ์อาราบิก้าเป็นสาย พันธุ์ผสมระหว่างพันธ์ุเบอร์บอน (C.arabica var.Bourbon) กับสายพันธุ์แคทูร่า (Caturra) หรือเรียกว่า “กาแฟจันทบูร” เน่ืองจากสามารถปลูกแล้วเจริญเติบโตได้ดีในท่ที ี่ความสูงไม่เกิน 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล และนิยมปลูกร่วมกับสวนไม้ผลเพื่อเสริมสร้างรายได้เพราะเมอ่ื เก็บผลไมช้ ่วงเดือนเมษายนถงึ สิงหาคมเรยี บรอ้ ย แล้ว เกษตรกรสามารถเก็บผลผลิตของกาแฟในช่วงเดือนกันยายนถึงกุมภาพันธ์ได้ทำให้เกษตรกรที่ปลูกกาแฟ รว่ มกบั ไม้ผลสามารถมรี ายได้เกอื บทั้งปี ปจั จบุ ันจังหวัดจันทบุรแี ละตราดขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟแล้ว รวมท้ังสิน้ 40 ราย แบ่งเป็นผปู้ ลูกกาแฟในจังหวดั จันทบุรี 24 ราย ในจังหวัดตราดอีก 16 ราย และเกษตรกรมี แนวโน้มปลูกกาแฟเสริมร่วมกับไม้ผลมากขึ้น โดยมีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในการปลูกกาแฟก่อต้ังขึ้น ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนขนำฅนต้นน้ำ ตำบลหนองบอน อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ปลูกกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า มีประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนรับซื้อเมล็ดกาแฟสดจากสมาชิกเพื่อนำมาแปรรูปเป็นเมล็ดกาแฟส่งให้กับโรงคั่ว ในภาคีเครือข่ายท้ังในจังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง สระบุรีและกรุงเทพมหานคร และมีกลุ่มเกษตรกรอีกส่วน หนึ่งปลูกกาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์เบอร์บอนกับพันธุ์แคทูร่า โดยมีบริษัทเอกชนรับซื้อเมล็ด กาแฟสดจากสมาชกิ เพอื่ นำไปผลิตกาแฟสำเรจ็ รูปและจำหนา่ ยเมลด็ กาแฟค่ัวต่อไป จากข้อมูลข้างต้น การปลูกกาแฟในจังหวัดจันทบุรีและตราดจัดเป็นพืชใหม่ท่ีน่าสนใจ สามารถเป็น ทางเลือกใหม่ท่ีจะช่วยเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรหลังจากฤดูเก็บเกี่ยวผลไม้ นอกจากน้ียังเป็นการเพ่ิม ปริมาณการผลิตเมล็ดกาแฟของไทยเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้เมล็ดกาแฟที่เพิ่มข้ึน ทั้งนี้ ในจังหวัด จันทบุรีและตราดยังไม่มีข้อมูลหรืองานวิจัยเก่ียวกับการปลูกกาแฟ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรท่ี 6 จึงทำการศึกษาเศรษฐกิจการผลิตการตลาดของกาแฟในสวนผลไม้ จังหวัดจันทบุรีและตราด เพ่ือศึกษาสภาพ การผลิตและการตลาด วิถีการตลาด รวมถึงปัญหาการปลูกกาแฟร่วมกับไม้ผลของเกษตรกรและเพ่ือศึกษา ต้นทนุ และผลตอบแทนในการปลูกกาแฟร่วมกบั ไม้ผลในจงั หวัดจนั ทบรุ ีและตราดต่อไป 1.2 วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 1.2.1 เพ่ือศึกษาสภาพการผลิตและการตลาด วิถีการตลาด ส่วนเหลื่อมการตลาด รวมถึงปัญหาการ ปลกู กาแฟรว่ มกบั ไม้ผลของเกษตรกรในจังหวัดจันทบุรแี ละตราด 1.2.2 เพ่อื ศกึ ษาตน้ ทนุ และผลตอบแทนในการปลูกกาแฟร่วมกับผลไมใ้ นจงั หวดั จันทบรุ ีและตราด 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1.3.1 พื้นท่ีศึกษา จงั หวัดทีเ่ ปน็ แหล่งผลติ กาแฟสำคญั ในภาคตะวนั ออก ไดแ้ ก่ จงั หวดั จนั ทบุรแี ละตราด 1.3.2 ประชากรกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรกรที่ปลูกกาแฟร่วมกับไม้ผล ผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้องใน วถิ กี ารตลาด ไดแ้ ก่ สถาบนั เกษตรกร ผรู้ วบรวม และผ้เู ก่ียวขอ้ งระดบั อืน่ ๆ

3 1.3.3 ระยะเวลาของขอ้ มลู ท่ที ำการศึกษาปกี ารผลติ 2561 1.3.4 ระยะเวลาของการศึกษา 1 ตลุ าคม 2561 ถงึ 30 กันยายน 2562 1.4 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ (คำนิยามข้อมลู สถติ ิการเกษตร สำนกั งานเศรษฐกิจการเกษตร, 2551) 1.4.1 กาแฟ ปี 2561 หมายถึง กาแฟท่ียืนต้นอยู่หรือปลูกใหม่ ต้ังแต่วันท่ี 1 ตุลาคม 2560 ถึง 30 กันยายน 2561 1.4.2 ผลผลิตกาแฟ หมายถึง ผลผลิตของกาแฟที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวได้ในรอบปีการผลิต ต้ังแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 30 กันยายน ของปีถัดไป ซ่ึงมีหลายรูปแบบ เช่น เมล็ดกาแฟสด เมล็ดกาแฟแห้ง หรือสารกาแฟ เปน็ ต้น 1.4.4 พนั ธุ์ทปี่ ลูก หมายถึง เมล็ดพนั ธ์กุ าแฟที่นยิ มปลกู ไดแ้ ก่ พันธุ์โรบสั ต้าและพนั ธุ์อาราบิกา้ 1.4.5 ราคาตลาดโลก หมายถึง ราคาที่ใช้อ้างอิงในการซ้ือขายสินค้าจำนวนมากระหว่างประเทศ ในเมืองตา่ ง ๆ ท่เี ปน็ ตลาดท่สี ำคัญของโลกในแต่ละชนดิ สนิ ค้า ซึ่งราคาสนิ ค้ากาแฟท่ีถกู เรียกเป็นราคาตลาดโลก คอื ราคาทต่ี ลาดลอนดอน ประเทศอังกฤษ 1.5 วิธกี ารวจิ ัย 1.5.1 การเก็บรวบรวมข้อมลู 1) ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) เป็นการเก็บข้อมูลต้นทุนและผลตอบแทนรวมทั้งวิถี การตลาดของกาแฟโดยวธิ กี ารสัมภาษณโ์ ดยใชแ้ บบสอบถาม ดงั นี้ 1.1) เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟร่วมกับไม้ผลในจังหวัดจันทบุรีและตราด โดยกรอบ ประชากรท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั หรอื เกษตรกรผปู้ ลูกกาแฟทข่ี ึน้ ทะเบียนเกษตรกรมที ั้งหมด 40 ราย เก็บรวบรวมข้อมูล โดยวิธีสำมะโนสอบถามเกษตรกรท่ีปลูกกาแฟร่วมกับไม้ผล ซึ่งสามารถสัมภาษณ์เกษตรกรได้จำนวน 38 ราย เน่ืองจากเกษตรกรอีก 2 ราย ไม่ปลูกกาแฟแลว้ แต่ยงั ไม่ได้ขอยกเลิกการข้ึนทะเบยี นเกษตรกร สำหรับเกษตรกร จำนวน 38 ราย เป็นเกษตรกรในจงั หวัดตราด จำนวน 14 ราย แบง่ เป็นปลูกกาแฟพันธ์ุโรบัสต้า จำนวน 12 ราย ปลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) จำนวน 2 ราย และเป็นเกษตรกรในจังหวัดจันทบุรี จำนวน 24 ราย แบ่งเป็นปลูกกาแฟพันธุ์โรบสั ต้า จำนวน 11 ราย ปลกู กาแฟพันธ์อุ าราบิกา้ (กาแฟจนั ทบรู ) จำนวน 13 ราย 1.2) ผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้องในวิถีการตลาด ได้แก่ สถาบันเกษตรกร ผู้รวบรวมและ ผู้เก่ียวข้องระดับอื่น ๆ โดยเลือกตัวอย่างแบบลูกโซ่ (Snowball Sampling) เริ่มต้นจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ร่วมกบั สวนผลไมใ้ นจงั หวดั จนั ทบรุ แี ละตราด จำนวน 2 ราย 2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) เป็นข้อมูลที่รวบรวม ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารทาง วชิ าการ รายงานการศึกษา บทความ วารสารและงานวิจัยตา่ ง ๆ ท่ีเกย่ี วข้อง ตลอดจนข้อมลู ที่ได้จากหน่วยงาน ทั้งในภาครฐั และเอกชน 1.5.2 วิธกี ารวเิ คราะหข์ ้อมลู สำหรับวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลจะเป็นการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) ซ่ึง เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลด้านต้นทุนและผลตอบแทนโดยประยุกต์ใช้แนวคิดการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตในทาง เศรษฐศาสตรต์ ามหลักการนิยามต้นทุนการผลิตของสำนักงานเศรษฐกจิ การเกษตร ส่วนด้านวิถีการตลาด และ

4 ส่วนเหล่ือมการตลาดวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาหรือสรุปโดยมี ตาราง และรูปภาพประกอบ เช่น ค่าผลรวม คา่ เฉล่ยี ค่ารอ้ ยละ เปน็ ตน้ 1.6 ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รบั 1.6.1 เกษตรกรและผู้ท่ีสนใจสามารถนำผลการศึกษาเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจปลูกกาแฟ ร่วมกับสวนไมผ้ ลได้ 1.6.2 เพื่อเป็นข้อมูลให้กับนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรในการดูแล ให้คำปรึกษา และวางแผนเพ่ือ พัฒนาและส่งเสริมการผลิตกาแฟร่วมกับไม้ผลรวมถึงผลักดันต่อยอดสกู่ ารแปรรูปเพอ่ื เพ่ิมมูลค่าให้แก่เกษตรกร ผู้ปลูกกาแฟในจงั หวัดจันทบุรแี ละตราด

บทท่ี 2 การตรวจเอกสาร แนวคิดและทฤษฎี 2.1 การตรวจเอกสาร การตรวจเอกสาร แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การตรวจเอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องด้านการผลิต ต้นทุน และผลตอบแทน และส่วนที่ 2 คือ การตรวจเอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องดา้ นการตลาดและวถิ ีการตลาด ดงั นี้ สำหรับการตรวจเอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องด้านการผลิต ต้นทุนและผลตอบแทน มีงานวิจัยของ ฐิติกาญจน์ ศรธนะรตั น์ (2550) ไดศ้ ึกษาเรอ่ื ง ตน้ ทนุ และผลตอบแทนของการทำสวนกาแฟอาราบิกา้ ในอำเภอ ดอยสะเก็ด จงั หวัดเชยี งใหม่ ผลการศกึ ษาพบว่า เกษตรกรมีปริมาณผลผลิตกาแฟกะลาของอายกุ าแฟ 3 - 4 ปี อยู่ระหว่าง 16.86 - 52.50 กิโลกรัมต่อไร่ กาแฟอายุ 3 ปีมีปริมาณผลผลิตต่ำท่ีสุด และกาแฟอายุ 7 ปี ให้ ผลผลิตมากท่ีสุด ทั้งน้ี เกษตรกรท่ีขายกาแฟกะลาให้กับโครงการหลวงจะได้รับราคามากกว่าท่ีขายให้กับพ่อค้า คนกลาง ซึ่งเกษตรกรขายท่ีให้กับโครงการหลวงจะได้รับราคา 95 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนผ้ทู ่ีขายให้กับพ่อค้าคน กลางได้รับราคา 70 - 90 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนทั้งหมดเฉล่ียต่อไร่ของการทำสวนกาแฟอาราบิก้าต้ังแต่อายุ 1 - 10 ปี มีตน้ ทุนอยู่ระหว่าง 990.18 - 6,887.35 บาท โดยต้นทุนต่ำสุดคือกาแฟอายุ 4 ปี และต้นทุนสงู ท่ีสุด ในปีท่ี 6 ซึ่งมีความแตกต่างกันมาก เนื่องจากพฤติกรรมของเกษตรกรแตกต่างกันในหลายหลายกิจกรรม เช่น การให้น้ำ การเก็บเก่ียว ค่าเสื่อมอุปกรณ์ทางการเกษตร ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนในการซื้ออุปกรณ์ แล ะค่า ดอกเบี้ยจากการกู้ยืม ส่งผลให้กำไรสะสมท้ัง 10 ปี ติดลบ เท่ากับ -9,844.00 บาทต่อไร่ หมายความว่า เกษตรกรท่ีทำสวนกาแฟอาราบิก้าขาดทุน แต่หากพิจารณาเฉพาะส่วนรายได้สุทธิเหนือต้นทุนท่ีเป็นเงินสด สะสมพบวา่ เป็นบวกเม่อื กาแฟมอี ายุ 6 ปี มีรายไดส้ ุทธิเหนือตน้ ทนุ ทเี่ ป็นเงินสดสะสมเทา่ กับ 1,456.58 บาทต่อ ไร่ และมีรายได้สุทธิเหนือต้นทุนท่ีเป็นเงินสดสะสมท้ัง 10 ปี เท่ากับ 10,986.35 บาทต่อไร่ แสดงให้เห็นว่า เกษตรกรมีรายได้มากกว่ารายจ่ายทเี่ ปน็ เงนิ สดท้ังหมด ถึงแมก้ ำไรสะสมจะติดลบแต่เกษตรกรสามารถประกอบ อาชีพนี้ได้ นอกจากน้ียังมีงานวิจัยเก่ียวกับการผลิต ต้นทุนและผลตอบแทนของกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า ของ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2555) ได้ทำการศึกษาเร่ือง การศึกษาศักยภาพการผลิตกาแฟไทยเพ่ือ รองรับการเปิดเสรีการค้า พบว่าการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตของสวนกาแฟโรบัสต้าแบบเด่ียวและแบบสวน ผสม ในขณะทร่ี าคาท่เี กษตรกรขายผลผลิตสารกาแฟได้เฉลยี่ กิโลกรัมละ 60 บาท การปลูกกาแฟแบบสวนเดยี่ ว มีต้นทุนการผลิตเฉล่ียต่อกิโลกรัมต่ำกว่าสวนผสม อีกท้ังยังให้ผลตอบแทนท่ีสูงกว่า โดยสวนกาแฟแบบเดี่ยว มีต้นทุนทั้งหมดไร่ละ 9,769.38 บาท ต้นทุนเฉล่ีย 41.93 บาทต่อกิโลกรัม ผลผลิตสารกาแฟเฉลี่ยไร่ละ 233 กิโลกรัม ผลตอบแทนต่อไร่ 13,980 บาท กำไรหลังหักต้นทุนไร่ละ 4,120.62 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน ร้อยละ 43.10 กาแฟแบบสวนผสม (สวนกาแฟที่ปลูกพืชอื่นร่วมด้วย เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ทุเรียน ลองกอง เงาะ มังคุด เป็นต้น) มีต้นทุนทั้งหมดไร่ละ 8,604.09 บาท ต้นทุนเฉลี่ย 59.75 บาทต่อกิโลกรัม ผลผลิตสารกาแฟเฉลี่ยไร่ละ 144 กิโลกรัม ผลตอบแทนตอ่ ไร่ 8,640 บาท กำไรหลักจากหักต้นทุนไร่ละ 35.91 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนร้อยละ 0.42 เมื่อพิจารณาผลตอบแทนของเกษตรกรในการปลูกกาแฟเฉลี่ยท้ัง 2 สวน (สวนเด่ียวและสวนผสม) พบว่า ในการผลิตกาแฟ 1 ไร่ มีต้นทุนท้ังหมด 8,611.45 บาท ต้นทุนเฉลี่ย

6 45.81 บาทต่อกิโลกรัม ผลผลิตสารกาแฟเฉลี่ยไร่ละ 188 กิโลกรัม ผลตอบแทนต่อไร่ 11,280 บาท กำไรหลัก จากหักต้นทุนไร่ละ 2,668.55 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนร้อยละ 30.99 และยังสอดคล้องกับผลงานวิจัย ของ อภิญญา หวังยีเส็น (2557) ท่ีไดศ้ ึกษาเร่ือง ต้นทนุ ผลตอบแทนและประสิทธิภาพการผลิตกาแฟโรบัสต้า ในจงั หวดั ชุมพร ผลการศกึ ษา พบว่า มีเกษตรกรตัวอยา่ งแบง่ เปน็ 2 กลุ่ม คอื เกษตรกรท่ีเปน็ สมาชิกกลุ่มกาแฟ และที่ไมไ่ ด้เป็นสมาชิกกล่มุ กาแฟ ดังนี้ เกษตรกรที่เป็นสมาชกิ กลมุ่ กาแฟมปี ริมาณผลผลิตสารกาแฟที่เก็บเก่ียว ได้เฉล่ีย 143.40 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาที่ได้รับ คือ 71.71 บาทต่อกิโลกรัม 2) เกษตรกรท่ีไม่เป็นสมาชิกกลุ่ม กาแฟมีปริมาณผลผลิตสารกาแฟท่ีเก็บเกี่ยวได้เฉล่ีย 148.14 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาที่ได้รับ คือ 70.06 บาท ตอ่ กิโลกรัม ซ่ึงผลผลิตและราคาของทัง้ 2 กลมุ่ แตกต่างกนั ไม่มาก โครงสรา้ งในตลาดชุมพรแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) ตลาดท้องถ่ิน เป็นตลาดขนาดเล็ก ประกอบด้วยพ่อค้าท้องถิ่น โรงงานผลิตผงกาแฟสำเร็จรูปท้องถ่ิน สหกรณ์หรอื กลุ่มเกษตรกร ปริมาณกาแฟท่ีพ่อค้าระดับท้องถ่ินรับซ้ือส่วนใหญ่ส่งมาจำหน่ายให้กับพ่อค้าส่งออก และมีบางส่วนขายให้กับโรงงานผลิตกาแฟสำเร็จรูปและ 2) ตลาดปลายทางในกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย โรงงานผลิตกาแฟผงสำเร็จรปู และผู้ส่งออก โรงงานผลติ กาแฟผงสำเรจ็ รปู ได้รับซื้อเมลด็ กาแฟจากเกษตรกรเป็น ส่วนใหญ่ นอกจากน้ียังรับซ้ือจากพ่อค้าท้องถ่ิน สหกรณ์หรือกลุ่มสหกรณ์ รวมท้ังผู้ส่งออกบ้างเล็กน้อย ด้านต้นทุน พบว่า เกษตรกรท่ีเป็นสมาชิกกลุม่ กาแฟมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ยสูงกวา่ เกษตรกรท่ีไม่เป็นสมาชิกกลุ่ม กาแฟ เน่ืองจากเกษตรกรที่เป็นสมาชิกได้รับการอบรมให้ความรู้ในการใส่ปุ๋ยให้เหมาะกับสภาพดิน จึงมีต้นทุน ค่าปุ๋ยสูงกว่าเกษตรกรที่ไม่เป็นสมาชิก อีกท้ังเกษตรกรที่เป็นสมาชิกมีการปลูกกาแฟร่วมกับพืชอ่ืนสูงกว่า เกษตรกรทีไ่ ม่เป็นสมาชิก เพราะการปลกู รว่ มกับพืชอ่นื จะทำให้จำนวนต้นกาแฟต่อไรล่ ดลง โดยเกษตรกรท่ีเป็น สมาชิกมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 5,805.69 บาทต่อไร่ เกษตรกรที่ไม่เป็นสมาชิกมีต้นทุนจากการผลิตเฉล่ีย 5,394.61 บาทต่อไร่ ดา้ นผลตอบแทนสุทธิ พบว่า เกษตรกรท่เี ป็นสมาชิกกลุ่มกาแฟมผี ลตอบแทนสุทธเิ ฉล่ียต่ำ กว่าเกษตรกรที่ไม่เป็นสมาชิกกลุ่มกาแฟ โดยผลตอบแทนสุทธิเฉล่ียของเกษตรกรที่เป็นสมาชิกเท่ากับ 4,477.53 บาทต่อไร่ ราคาสารกาแฟท่ีเกษตรกรได้รับ คือ 71.71 บาทต่อกิโลกรัม ผลผลิตสารกาแฟเฉลี่ย 143.40 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนเกษตรกรท่ีไม่เป็นสมาชิกมีผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย 4,984.08 บาทต่อไร่ ราคาสาร กาแฟทเี่ กษตรกรไดร้ บั คอื 70.06 บาทตอ่ กิโลกรมั ผลผลิตสารกาแฟเฉล่ีย 148.14 กิโลกรัมตอ่ ไร่ การตรวจเอกสารงานวิจยั ท่ีเกี่ยวข้องด้านการตลาดและวิถีการตลาดของกาแฟอาราบิกา้ มีผลงานวิจัย ของ สุมิตรา บุญเกิด (2557) ศึกษาเรื่อง การผลิตการแฟอาราบิก้าในระบบวนเกษตรของเกษตรกร ตำบล ห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ผลการศึกษาด้านตลาด พบว่า 1) เมล็ดกาแฟสด ราคาท่ี เกษตรกรได้รับเฉลย่ี 16.20 บาทต่อกิโลกรัม (ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.33 บาทตอ่ กิโลกรมั ) เกษตรกร ร้อยละ 71.23 ขายให้กับพ่อค้าคนกลาง รองลงมาคอื ร้อยละ 21.22 ขายให้กับโครงการหลวง อีกร้อยละ 7.55 ขายให้แก่บริษัทท่ีรับซื้อกาแฟโดยตรง 2) กาแฟกะลา ราคาท่ีเกษตรกรได้รับเฉลี่ย 101.39 บาทต่อกิโลกรัม (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 11.09 บาทต่อกิโลกรัม) เกษตรกรร้อยละ 59.43 ขายให้กับพ่อค้าคนกลาง รองลงมาคือ เกษตรกรร้อยละ 22.17 ขายให้กับโครงการหลวง อีกร้อยละ 18.40 ขายให้แก่บริษัทท่ีรับซ้ือ กาแฟโดยตรง 3) สารกาแฟ ราคาที่เกษตรกรได้รับเฉล่ีย 131.52 บาทต่อกิโลกรัม (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 11.76 บาทต่อกิโลกรมั ) เกษตรกรร้อยละ 45.76 ขายให้กับพ่อค้าคนกลาง รองลงมาคือ เกษตรกรร้อย

7 ละ 36.79 ขายใหแ้ ก่บรษิ ัทท่รี ับซอ้ื กาแฟโดยตรง อกี ร้อยละ 17.45 ขายให้กับโครงการหลวง และ 4) กาแฟค่ัว ราคาที่เกษตรกรได้รับเฉล่ีย 359.50 บาทต่อกิโลกรัม (ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 11.43 บาทต่อกิโลกรมั ) เกษตรกรร้อยละ 70.76 ขายให้กับบริษัทท่ีรับซื้อกาแฟโดยตรง รองลงมา คือ เกษตรกรร้อยละ 25.00 ขายให้กับพ่อค้าคนกลาง อีกรอ้ ยละ 4.24 ขายให้โครงการหลวง ส่วนด้านการผลิต การตลาดและวิถีการตลาด ของกาแฟโรบัสต้า ได้มงี านวจิ ัยของ วิรดา บนิ รัมย์ (2552) ศึกษาเร่ือง การวิเคราะห์การตอบสนองอปุ ทานการ ผลิตกาแฟในภาคใต้ของประเทศไทย พบว่า ลักษณะการตลาดกาแฟในภาคใต้ของประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) เกษตรกรนำผลผลิตกาแฟไปจำหน่ายให้กับโรงงานแปรรูปหรือผู้ส่งออกโดยตรง 2) รวมกลุ่มในลักษณะกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร ตลาดกลางและพ่อค้าท้องถ่ินเป็นผู้รวบรวมผลผลิต กาแฟจำหน่ายให้โรงงานแปรรปู หรือผู้ส่งออก และ 3) เกษตรกรเป็นผจู้ ำหน่ายกาแฟให้กับโรงงานแปรรูปกาแฟ ดิบโดยตรง ส่วนตลาดเมล็ดกาแฟดิบภายในประเทศ แบ่งได้ 2 ระดับ คือ ระดับตลาดท้องถ่ิน และตลาด ปลายทาง ซ่ึงส่วนมากในภาคใต้จะเป็นในลักษณะตลาดท้องถ่ิน โดยมีงานวิจัยท่ีสอดคล้องกันคือ งานวิจัยของ ณัทฐิมา สุขเสวียด (2555) ได้ศึกษาเรื่อง การผลิตและการตลาดกาแฟของเกษตรกรในจังหวัดชุมพร ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรมีปริมาณผลผลิตกาแฟที่เก็บเกี่ยวได้เฉลี่ย 193.38 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนใหญ่ขาย ผ่านพอ่ ค้าคนกลาง เพราะสะดวกรวดเร็ว โดยมีพอ่ ค้ารับซือ้ เป็นผกู้ ำหนดราคาซ่ึงเกษตรกรไดร้ ับเงินท้งั หมดเมื่อ ขายผลผลติ แตล่ ะครัง้ จากการทบทวนวรรณกรรมหรืองานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง พบว่า เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในประเทศไทย จะปลูกกาแฟตามสภาพพ้ืนท่ีของตน โดยสายพันธ์ุโรบัสต้าจะปลูกมากท่ีสุดในภาคใต้ สายพันธ์ุอาราบิก้า จะปลูกมากในภาคเหนือ ซ่ึงต้นทุนและผลตอบแทนจะแตกต่างกันตามสายพันธุ์ที่ปลูก ด้านการตลาดและวิถี การตลาด พบว่า เกษตรกรสามารถขายผลผลิตเมล็ดกาแฟสดหรอื แปรรูปขายตามความถนัดหรือความสะดวก ของตน มีท้ังขายให้กับโรงงานแปรรูปหรือผู้ส่งออกโดยตรง ขายผ่านพ่อค้าคนกลางหรือผู้รวบรวมในระดับ ทอ้ งถน่ิ และขายใหก้ ับโครงการหลวง ซงึ่ เกษตรกรเปน็ ผู้ยอมรบั ราคาทง้ั สนิ้ 2.2 แนวคิดและทฤษฎี 2.2.1 แนวคดิ การวิเคราะห์ต้นทนุ การผลติ ในทางเศรษฐศาสตร์ (สำนกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2556) ก ารจั ด ท ำข้ อมู ล ต้ น ทุ น ก ารผ ลิ ต ข องส ำนั ก งาน เศ รษ ฐกิ จ ก ารเก ษ ต ร ได้ น ำแ น วคิ ด ท าง เศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตของผลผลิตของเกษตรกร โดยในทางเศรษฐศาสตร์ สามารถแบ่งต้นทุนการผลิตท้ังหมด 2 ส่วน คือต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และต้นทุนผันแปร (Variable Cost) และยังสามารถแบ่งต้นทุนทั้งสองส่วนตามลักษณะการใช้จ่ายได้อีกเป็นต้นทุนท่ีเป็น เงินสดและต้นทุนที่ไม่เป็น เงินสด มีรายละเอียดดังนี้ 1) ต้นทุนคงท่ีท้ังหมด (Total Fixed Cost: TFC) โดยต้นทุนประเภทนี้จะคงที่ไม่ว่าจะผลิต มากหรือน้อย หากไม่ดำเนินการผลิตก็จะต้องเสียต้นทุนนี้ ดังน้ัน ต้นทุนคงท่ีทั้งหมดจึงไม่ข้ึนกับปริมาณของ ผลผลติ โดยเสน้ ต้นทุนคงทีท่ ้ังหมด (TFC) จะมีลักษณะเป็นเสน้ ตรงขนานกบั แกนนอน ณ ระดับคา่ ใช้จ่ายหน่ึง ๆ

8 เมื่อแกนตั้งแสดงต้นทุนการผลิตและแกนนอนแสดงถึงปริมาณผลผลิต ต้นทุนประเภทน้ี ได้แก่ ค่าเช่าท่ีดินและ โรงเรอื น หากพจิ ารณาตามลกั ษณะคา่ ใช้จ่ายท่เี กิดขนึ้ ต้นทุนคงที่แบง่ ไดด้ ังน้ี 1.1) ต้นทุนคงที่ที่เป็นเงนิ สด เป็นค่าใช้จ่ายคงท่ีท่ีผู้ผลิตจ่ายออกไปจริงเป็นเงินสด เช่น คา่ ภาษที ่ดี นิ ค่าเชา่ ท่ดี ิน ค่าโรงเรอื น เปน็ ตน้ 1.2) ต้นทุนคงท่ีที่ไม่เป็นเงินสด เป็นค่าใช้จ่ายคงท่ีที่เกษตรกรผู้ผลติ ไม่ได้จ่ายไปเป็นตัว เงินแต่เป็นค่าใช้จ่ายท่ีได้จากการประเมิน เช่น ค่าเสื่อมของเคร่ืองมืออุปกรณ์ ค่าเสียโอกาสของเงินลงทุน ในเครอ่ื งมอื อุปกรณค์ งทน เปน็ ตน้ 2) ต้นทุนผันแปรท้ังหมด (Total Variable Cost: TVC) ต้นทุนนี้จะเปล่ียนแปลงไปตาม ปริมาณการผลิตท่ีทำการผลิต ถ้าทำการผลิตปริมาณมากก็จะจ่ายต้นทุนผันแปรมาก ถ้าผลิตน้อยก็จ่ายต้นทุน ผันแปรน้อย เมื่อไม่มีการผลิตก็ไม่จ่ายต้นทุนชนิดน้ี ดังนั้นเส้นต้นทุนผันแปรทั้งหมด (TVC) จึงมีจุดเริ่มต้นจาก จดุ กำเนดิ (Origin point) โดยมีความลาดชัน (Slope) เปน็ บวก ตน้ ทุนประเภทนี้ ได้แก่ ค่าจ้างแรงงาน หรือค่า เช้ือเพลิงซ่งึ พิจารณาตามลกั ษณะของการใชจ้ า่ ยดังนี้ 2.1) ต้นทุนผันแปรที่เป็นเงินสด เป็นค่าใช้จ่ายผันแปรท่ีผู้ผลิตจ่ายออกไปเป็นเงินสด ในการซ้อื หรือเชา่ ปจั จยั การผลิต เชน่ ค่าจ้างแรงงาน ค่าพนั ธ์ุ คา่ นำ้ มันเชือ้ เพลงิ เป็นต้น 2.2) ต้นทุนผันแปรท่ีไม่เป็นเงินสด เป็นค่าใช้จ่ายผันแปรท่ีไม่ได้จ่ายจริงเป็นตัวเงินจริง แตไ่ ด้จากการประเมิน เชน่ คา่ แรงงานในครอบครวั คา่ เสยี โอกาสของเงินลงทนุ เป็นต้น 3) ต้นทุนรวมทั้งหมด (Total Cost) โดยต้นทุนรวมเป็นผลรวมของต้นทุนคงที่ท้ังหมดและ ต้นทุนผันแปรทั้งหมด ต้นทุนรวมจะเพิ่มขน้ึ เรื่อย ๆ เม่ือปรมิ าณผลผลิตเพ่ิมข้ึนและถ้าไม่ทำการผลิตเลย ต้นทุน รวมนี้จะเท่ากับต้นทุนคงท่ีทั้งหมดน่ันคือ TC = TVC + TFC ซ่ึงเส้นต้นทุนรวมท้ังหมดจะมีจุดเร่ิมต้นจากแกน ตั้ง ซ่ึงแสดงถึงต้นทุนการผลิตเท่ากับค่าของต้นทุนคงท่ีท้ังหมด โดยมีลักษณะขนานกับเส้นต้นทุนผันแปร ทั้งหมด และช่วงห่างระหว่างต้นทุนรวมท้ังหมดกับต้นทุนผันแปรทั้งหมดจะเท่ากับต้นทุนคงท่ีท้ังหมดเท่ากับ ศนู ย์ตน้ ทุนผันแปรท้ังหมดมีความสมั พันธ์กับผลผลติ ดงั นั้น ถ้าผปู้ ระกอบการไมท่ ำการผลติ กไ็ ม่มีต้นทุน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรมีหลักการคิดต้นทุนการผลิตต้องเป็นต้นทุนการผลิตของ ผลผลิตท่ีเก็บเก่ียวได้ในฤดูกาลผลิตนั้น มีการกำหนดขอบเขตของกิจกรรมอย่างเป็นขั้นตอนชัดเจนครบทุก ขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มจนได้ผลผลิตและเป็นต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งคำนวณค่าใช้จ่ายตามมูลค่าปัจจุบัน มีรายการค่าใช้จ่ายท่ีนำมาคิดท่ีชัดเจนไม่ซ้ำซ้อน กิจกรรมการลงทุนของตนเองที่ไม่เป็นเงินสดใช้การประเมิน ราคาจากอัตราค่าจ้างหรือค่าเช่าคิดค่าเสียโอกาสเป็นอัตราดอกเบ้ียเงินกู้ คิดค่าเส่ือมราคาทรัพย์สินและ เคร่ืองมืออุปกรณ์ ซึ่งอาจจะนำการลงบัญชีฟาร์มมาประยุกต์ใช้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บข้อมูลจากการ ลงบัญชีดังกล่าวคงไม่สอดรับกับข้อเท็จจริงและความต้องการใช้ข้อมูล เพราะกว่าจะได้ข้อมูลก็ล่าช้าเกินไป ในขณะที่ตอ้ งการใช้ขอ้ มูลการผลติ ณ ปีปัจจุบัน ดังน้ัน การได้มาของข้อมูลต้นทุนการผลิตจำเป็นตอ้ งประยุกต์ แนวคิดทางวิชาการและกำหนดวิธีการให้เป็นที่ยอมรับ ในการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตพืช ใช้สูตรการคำนวณ ดังสมการท่ี (1) ตน้ ทนุ การผลิตพืช = ตน้ ทนุ คงท่ี + ต้นทุนผนั แปร (หน่วย: บาทตอ่ ไร่) (1)

9 3.1) ต้นทุนคงท่ี หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการผลิตแต่ละช่วงหรือรุ่นการผลิตหน่ึง ๆ เป็น การผลิตระยะสั้น ปัจจัยที่ใช้ประกอบการผลิตจึงมีสภาพคงที่ ปัจจัยเหล่าน้ีจึงไม่สามารถเปล่ียนแปลงขนาดการ ผลิตได้ ไม่ว่าจะมีการผลติ มากหรือผลติ น้อย หรอื ไม่มีการผลติ เลยก็ตาม ปัจจัยการผลติ ชนิดนจี้ ะยังคงมอี ยูแ่ ละ เป็นค่าใช้จ่ายซงึ่ ไมส่ ามารถเปลยี่ นแปลงไดท้ นั ที ประกอบดว้ ย 3.1.1) คา่ เชา่ ที่ดิน/ค่าใช้ท่ีดนิ 3.1.2) ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์การเกษตร โดย ค่าเส่ือมราคาทรัพย์สิน หมายถึง คา่ ใช้จ่ายที่เกิดข้ึนจากการประเมิน แล้วกระจายมลู ค่าของทรัพย์สินท่ีซ้ือไวใ้ ช้งานไปสู่แต่ละช่วงการผลิตต่าง ๆ ตลอดอายุการใช้งานของทรัพย์สินนั้น โดยคิดเฉลี่ยต่อไร่ และแสดงมูลค่าไม่เป็นเงินสด โดยใช้วิธีคำนวณแบบ เส้นตรง (Straight Line Method) คอื เฉลยี่ เท่ากนั ทุกปีตลอดอายกุ ารใช้งาน ดงั สมการที่ (2) D = BV - SV × PP × 1 (2) N 12 A โดยท่ี D = คา่ เสอ่ื มราคาตอ่ ปีทรัพยส์ ิน BV = มลู คา่ แรกซ้ือหรือสร้างทรพั ย์สิน SV = มูลคา่ ซากของทรัพยส์ ินเม่อื หมดอายุการใชง้ าน PP = ช่วงเวลาการผลติ (เดือน) ตัง้ แตเ่ ริม่ การผลิตจนถึงเก็บเกีย่ วผลผลิต N = อายุการใชง้ านของทรัพย์สนิ A = เนอ้ื ท่เี พาะปลูก ในกรณีท่ี ได้จ้างแรงงานรวมเคร่ืองมืออุปกรณ์ และคิดเป็นค่าจ้างไปแล้ว ไม่นำ เครอื่ งมอื น้นั มาคดิ ค่าเส่อื มอีกเพราะจะเป็นการคิดซ้ำซ้อน 3.1.3) ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนอุปกรณ์การเกษตร (อายุใช้งานมากกว่า 1 ปีข้ึนไป) โดย ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนอุปกรณ์การเกษตร หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการประเมินมูลค่าอุปกรณ์ การเกษตรที่เสียโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการนำปัจจัยประเภททุนไปใช้ในกิจกรรมอ่ืน ๆ ที่สามารถสร้าง ผลผลิตได้ และการคิดอัตราค่าเสียโอกาสนี้ใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จาก ธกส. เช่นเดียวกับการคิดค่าเสียโอกาส เงินลงทุนในปัจจัยผันแปร และทรัพย์สินหรืออุปกรณ์การเกษตรน้ีตอ้ งเป็นชุดเดียวกบั การคิดค่าเสื่อมราคามีวิธี คำนวณ ดังสมการท่ี (3) OPI = BV + EV × r × M × U × 1 (3) 2 12 A โดยท่ี OPI = คา่ เสียโอกาสเงนิ ลงทุนอุปกรณ์การเกษตร BV = มลู คา่ แรกซ้ือหรือสร้างของอุปกรณ์การเกษตร EV = มลู คา่ ซากของอุปกรณ์การเกษตร M = ระยะเวลาการผลิต (เดือน) ตั้งแตเ่ ร่มิ กจิ กรรมจนถึงเกบ็ เกยี่ วผลผลติ r = อัตราดอกเบี้ยเงนิ กรู้ ้อยละต่อปี U = ร้อยละการใชง้ านของอุปกรณ์การเกษตร

10 A = เน้ือทเ่ี พาะปลูก 3.1.4) ต้นทุนเฉลยี่ ก่อนใหผ้ ล (กรณีไมผ้ ลไม้ยืนต้น) 3.2) ต้นทุนผันแปร หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการผลิตที่สามารถเปล่ียนขนาดการใช้ปัจจัย เพ่ือเปล่ียนแปลงขนาดของผลผลติ ประกอบด้วย 3.2.1) คา่ แรงงาน อาทิ ค่าจา้ งเตรียมดนิ คา่ จ้างในการปลกู ดแู ลรักษา เกบ็ เกย่ี ว 3.2.2) ค่าวัสดุ อาทิ ค่าพันธุ์ ค่าปุ๋ย ยาปราบวัชพชื /ศัตรูพืช ค่าน้ำมันเชื้อเพลงิ ท่ีใช้ กับเคร่ืองจักรกลการเกษตรที่ดำเนินการในกิจกรรมการผลิตพืชน้ัน โดยเกษตรกรดำเนินการเองไม่ได้จ้าง คา่ วสั ดุการเกษตรและวัสดุสน้ิ เปลือง ค่าซ่อมแซมอุปกรณก์ ารเกษตรของเกษตรกรเอง 3.2.3) ค่าเสียโอกาสเงนิ ลงทุน โดยคดิ จากต้นทุนผนั แปรและใชอ้ ัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ธกส. ดังนัน้ คา่ เสียโอกาสเงนิ ลงทนุ หมายถงึ ค่าใชจ้ ่ายท่ีเกิดจากการประเมิน การลงทุน ในมูลค่าปัจจยั ผนั แปรท้ังหมดในช่วงหรือรุ่นการผลิตหนึ่ง ๆ ซึ่งมูลค่าปัจจัยทนี่ ำมาใช้ในการผลิตตอ้ งเสียโอกาส ทีจ่ ะนำไปใชใ้ นกิจกรรมอ่ืน ๆ เช่น ฝากธนาคาร หรือให้ก้ยู มื วธิ ีคำนวณ ดงั สมการท่ี (4) OPC = TVC × r × M (4) 12 โดยท่ี OPC = คา่ เสียโอกาสเงินลงทนุ TVC = ตน้ ทุนผันแปรทง้ั หมด M = ระยะเวลาการผลติ (เดือน) ตั้งแตเ่ ร่มิ กิจกรรมจนถึงเก็บเก่ยี วผลผลิต r = อตั ราดอกเบี้ยเงินกรู้ ้อยละต่อปี 4) แนวคิดในการจัดทำต้นทุนการผลิตของไม้ผลไม้ยืนต้น เนื่องจากไม้ผลไม้ยืนต้นเป็นพืช ท่ีปลูกครั้งเดียวสามารถยืนต้น และให้ผลผลิตได้หลายปี การคิดต้นทุนเฉพาะปีท่ีให้ผลผลิตอย่างเดียวจะทำให้ ได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน เพราะก่อนที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ เกษตรกรต้องลงทุนในกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การเตรียมดิน การปลูก และการบำรุงรักษาจนกวา่ จะให้ผลผลติ จงึ สมควรอย่างย่ิงที่ต้องนำเอาค่าใช้จ่ายส่วนนี้ มาคิดด้วย ดังนั้น ต้นทุนไม้ผลจะประกอบด้วยทั้งต้นทุนในช่วงก่อนให้ผลผลิต และต้นทุนช่วงที่ให้ผลผลิต โดยต้นทุนก่อนให้ผลผลิตจะเป็นการนำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดต้ังแต่ปลูกถึงปีก่อนให้ผลผลิตไปกระจายเป็น ค่าใช้จ่ายต่อปีในช่วงอายุท่ีให้ผลผลิตซ่ึงการเก็บรวบรวมข้อมูลกระทำได้โ ดยการเก็บข้อมูลจากเกษตรกร ตัวอย่างแต่ละรายอย่างต่อเน่ืองเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปลูกจนกระทั่งเก็บเกี่ยวผลผลิตแต่ละปีไปจนส้ินอายุขัย ดงั น้นั การคิดตน้ ทุนการผลิตไมผ้ ลไมย้ นื ตน้ จงึ แบง่ ออกเปน็ 2 ชว่ ง ไดแ้ ก่ 4.1) ช่วงต้นทุนการผลิตก่อนให้ผลผลิต เป็นการนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดท่ีเกิดขึ้นต้ังแต่ ปีแรกถึงปีก่อนให้ผลผลติ และนำไปคิดลดมูลคา่ ด้วยวิธี Discount Factor (DF) แลว้ นำไปกระจายเปน็ ค่าใชจ้ ่าย ต่อปีในทุกช่วงอายุที่ให้ผลผลิต ด้วยวิธี Cost Recovery Factor (CRF) โดยมีการคำนวณหาต้นทุนการผลิต เฉลยี่ ช่วงกอ่ นใหผ้ ลผลิต มขี ัน้ ตอนดังนี้

11 4.1.1) ณ ปีท่ีสำรวจสอบถามข้อมูลจากเกษตรกรตัวอย่างที่ปลูกไม้ผลในช่วงอายุ ก่อนให้ผลผลติ คอื ชว่ งอายุ 1 ปี และ ชว่ งอายุ 2 – 3 ปี 4.1.2) คิดต้นทุนต่อไร่รายอายุจากข้อ (1) ตามวิธีการคำนวณปกติ และ กำหนดไว้ ว่าต้นทุนต่อไร่ท่ีได้เป็นต้นทุนมีมูลค่า ณ ปี ปัจจุบัน (Present value) ซึ่ง มีความหมายว่าค่าใช้จ่ายอายุ 1 ปี (ปีแรก) ปีท่ี 2 และปีที่ 3 ที่เกดิ ขนึ้ หรอื จา่ ยไปแล้วในอดตี ณ ปี ปัจจุบนั จะมีมลู คา่ ดังทีไ่ ด้ 4.1.3) รวมต้นทุนต่อไร่ ปีท่ี 1 ปีที่ 2 และ ปีที่ 3 และ ถือว่าเป็นมูลค่าปัจจุบันของ ต้นทุนเฉล่ียตอ่ ไร่ช่วงกอ่ นให้ผล เพ่ือจะนำไปคิดคา่ เฉล่ียตอ่ ไป 4.1.4) คำนวณอายุพืชจากตวั อย่างของช่วงที่เก็บเก่ยี ววา่ มีอายุกปี่ ี 4.1.5) คำนวณจำนวนปีท่ีได้เก็บเก่ียวมาแล้วเพื่อนำไปใช้หามูลค่าคิดลด โดยใช้ อายุเฉล่ียจากข้อ 4.1.4) ลบด้วยจำนวนปีก่อนให้ผล ปัจจุบันไปเป็นมูลค่าเร่ิมต้นเพ่ือเฉลี่ยกระจายเป็นต้นทุน กอ่ นให้ผลผลติ เฉลยี่ ไปทกุ ปีของการเกบ็ เก่ยี วตอ่ ไป 4.1.6) หาคา่ ตวั กอบกู้ทุน (Cost Recovery Factor: CRF) มาทอนค่าต้นทุนเฉล่ยี ตอ่ ไร่ก่อนให้ผลในขอ้ 4.1.3) ตามจำนวนปที ี่ได้ในข้อ 4.1.5) ตามอัตราดอกเบย้ี ท่กี ำหนด จะได้ต้นทนุ เฉล่ยี ต่อไร่ ก่อนใหผ้ ล ณ ปีท่ีเริ่มตน้ ก่อนท่จี ะกระจายเฉลย่ี ไปสปู่ ีเก็บเกี่ยวต่อ โดยเปิดตารางจากตำราวิชาการของ J. Price Gittinger ตามอตั ราดอกเบ้ยี ท่กี ำหนด และ อายุขัยจำนวนปที ่เี ก็บเกี่ยว หรือ คำนวณดงั สมการท่ี (5) r CRF = 1 (5) 1 – + r)k (1 โดยท่ี r = อัตราดอกเบ้ยี เงินฝาก k = จำนวนปีทีใ่ ห้ผลผลติ ไดจ้ นถงึ ส้นิ อายุขยั ของพืช 4.1.7) คณู คา่ ท่ีไดจ้ าก 4.1.6) กบั ตน้ ทุนก่อนให้ผลผลติ ณ ปที ่ีเรมิ่ ต้น ตามข้อ 4.1.5) จะได้ค่าต้นทนุ เฉลย่ี ชว่ งก่อนให้ผล 4.1.8) สรุป ต้นทนุ การผลิตเฉลีย่ ชว่ งก่อนให้ผลผลิต = รวมตน้ ทนุ ตอ่ ไร่ก่อนให้ ผลผลติ ณ ปปี จั จบุ ัน (ปีท่ี 1 + ปีท่ี 2 + ปที ่ี 3) × CRF 4.2) ช่วงต้นทุนการผลิตช่วงให้ผลผลิต เป็นการนำค่าใช้จ่ายท้ังหมดท่ีเกิดขึ้นทุก กิจกรรมตัง้ แต่ปีทเ่ี ร่ิมให้ผลผลิตจนถงึ สนิ้ อายุขยั ดังน้ัน ต้นทุนรวมต่อไร่ต่อปีของไม้ผลไม้ยืนต้นจึงเท่ากับต้นทุนการผลิตก่อนให้ผลผลิต ต่อไร่ บวกด้วยตน้ ทุนการผลติ ช่วงให้ผลผลิตต่อไร่ 5) แนวคดิ การคำนวณต้นทนุ การผลิตกาแฟ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2550) 5.1) อายุเชิงเศรษฐกิจของกาแฟ หมายถึง อายุเชิงเศรษฐกิจกำหนดให้ต้นกาแฟมีอายุ เฉลีย่ 25 ปี และมจี ำนวนปีเกบ็ เกย่ี วผลผลติ ได้ 22 ปี 5.2) ช่วงก่อนให้ผลผลิต หมายถึง กาแฟอายุ 1 - 3 ปี ที่เกษตรกรเตรียมดินและปลูก ต้นกาแฟลงดิน อาจมีผลผลิตได้เก็บเก่ียวบ้าง แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการให้ผลในเชิงธุรกิจหรือเก็บเกี่ยวจริ ง

12 การคดิ คา่ ใช้จา่ ยช่วงกอ่ นให้ผลผลติ จะเร่ิมตัง้ แต่เตรยี มดนิ ปลกู จนถึงสิน้ สดุ ปที ่ี 3 หรือก่อนเริม่ การบำรุงรกั ษาในปี ท่ี 4 5.3) ชว่ งให้ผลผลติ หมายถงึ กาแฟอายตุ ัง้ แต่ 4 ปีขึน้ ไป จนส้ินอายขุ ัยหรือโคน่ ท้งิ หรือ ปล่อยท้ิงซึ่งเป็นช่วงการให้ผลของกาแฟที่จะมีผลผลิตให้เก็บเก่ียวได้อย่างจริงจังในเชิงธุรกิจ แม้อาจจะมีความ ผิดปกติ เช่น เกิดโรค แมลง ศัตรูพืช ภาวะน้ำท่วม ฝนแล้ง ทำให้ได้ผลผลิตไม่สมบูรณ์ก็ตาม การคิดต้นทุน ค่าใช้จ่ายในรอบปี จะคิดค่าใช้จ่ายที่เกิดข้ึนตามรอบปีปฏิทินหลังจากการเก็บเกี่ยวปีก่อนจนถึงสิ้นสุดการเก็บ เกย่ี วปีปจั จบุ นั 5.4) ผลผลิตกาแฟ หมายถึง ผลผลิตเป็นเมล็ดกาแฟสด หรือเมล็ดกาแฟแห้ง หรือสาร กาแฟหรอื เมลด็ กาแฟท่สี เี อาเปลือกออกแล้ว ท่ีเกษตรกรได้เกบ็ เกี่ยวนำไปใชป้ ระโยชน์เท่าน้ัน ไม่รวมทป่ี ลอ่ ยให้ ตกหล่นเนา่ ทง้ิ ในสวน มหี นว่ ยของผลผลิตเปน็ กโิ ลกรมั 5.5) ผลผลิตกาแฟ ปี 2561 หมายถึง ผลผลิตเป็นเมล็ดกาแฟสดหรือเมล็ดกาแฟแห้ง หรือสารกาแฟ ที่เกษตรกรได้รับจากการเก็บเก่ียวทั้งหมดทั้งปีท่ีอยู่ในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2560 - 31 กันยายน 2561 5.6) ปีการผลิต หมายถึง ตามเวลาอ้างอิงในการดำเนินกิจกรรมตามลักษณะของการ ผลิตไม้ผล ไม้ยืนต้นในแต่ละปี คือ ระหว่างวันท่ี 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ของปีเดียวกัน (ศิริวัฒน์ ทรงธนศักด์ิ, 2562) 2.2.2 ความหมายตลาด หน้าทท่ี างการตลาด วิถกี ารตลาด และสว่ นเหล่อื มการตลาด 1) ความหมายตลาด (Market) (รัฐวชั ร์ พฒั นจริ ะรจุ น์, 2557) Phillip Kotler ให้ความหมายการตลาดว่า \"เป็นกิจกรรมของมนุษย์ท่ีจะดำเนินเพ่ือให้ มกี ารตอบสนองความพอใจ และความต้องการต่าง ๆ โดยอาศัยกระบวนการแลกเปล่ยี น\" E. Jerome McCarthy ให้ความหมายการตลาดว่า \"เป็นผลงานท่ีเกิดขึ้นจากกิจกรรม ท้ังหลายที่เกี่ยวกับความพยายามให้องค์การบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ โดยอาศัยการคาดหมายความ ต้องการต่าง ๆ ของลูกค้าและยังรวมถึงการท่ีสินค้าและบริการผ่านจากผู้ผลิตไปยังลูกค้า เพ่ือตอบสนองความ พอใจใหก้ ับลูกค้า\" William Stanton ให้ความหมายการตลาดว่า \"เป็นระบบของปฏิกิริยา กิจกรรมทาง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการวางแผน การกำหนดราคา การส่งเสริมการตลาด และการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และ บริการ เพ่อื จะตอบสนองความตอ้ งการของผบู้ รโิ ภคทั้งทีเ่ ปน็ อย่ปู ัจจุบนั และผู้บรโิ ภคท่ีคาดหมายในอนาคต\" คณะกรรมการสมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกา ให้ความหมายการตลาดว่า \"เป็น การปฏิบัติทางธุรกิจท่ีเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ในการให้สินค้าและบริการผ่านจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคหรือผู้ใช้ ใหไ้ ด้รบั ความพอใจ ขณะเดียวกนั ก็บรรลุวตั ถปุ ระสงคข์ องกจิ การ\" 2) หน้าทที่ างการตลาด (Marketing Functions) (จิระภรณ์ ตันติชัยรัตนกลู , 2561) หน้าที่ทางการตลาด หมายถึง กิจกรรมที่ทำให้สินค้าและบริการเคลื่อนย้ายจากผู้ผลิต ไปยังผู้บริโภค เน่ืองจากผู้ผลิตและผู้บริโภคอยู่ห่างไกลกันใน 5 ลักษณะคือ 1) สถานท่ี (Place) ผู้ผลิตและ

13 ผบู้ ริโภคอยู่ห่างไกลกนั โดยสภาพทางภมู ิศาสตร์ เช่น ผู้ผลิตน้ำปลาอยูท่ ี่จังหวัดชลบุรีแต่ผู้บริโภคอยู่ทั่วประเทศ เป็นต้น 2) เวลา (Time) ผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์ในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ผู้บริโภคต้องการดอกกุหลาบในวัน วาเลนไทน์ การตลาดจึงต้องทำหน้าที่ให้มีดอกกุหลาบเพียงพอในช่วงเวลาท่ีผู้บริโภคต้องการ เป็นต้น 3) การรับรู้ (Perception) หน้าที่ทางการตลาดให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคเพื่อให้เกิดการรับรู้ 4) มูลค่า (Value) มูลค่าของสินค้า การปรับปรุงราคาให้ตรงกับความต้องการของตลาด และ 5) การเป็นเจ้าของ (Ownership) การแลกเปล่ียนทำให้เกิดการโอนเปล่ียนกรรมสิทธ์ิความเป็นเจ้าของ ดังน้ัน หน้าท่ีทางการตลาดจึงเข้ามาช่วย ใหผ้ ู้ผลิตและผู้บรโิ ภคอยู่ใกล้กันเพื่อให้เกิดการแลกเปลย่ี น หนา้ ทีท่ างการตลาดแบง่ เป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 2.1) หน้าที่ในการแลกเปล่ียน (Exchange Functions) เป็นหน้าท่ีที่ก่อให้เกิดการ โอนกรรมสิทธิ์ในตัวสินค้า ได้แก่ กิจกรรมการซ้ือ การขาย การกำหนดราคา การโฆษณา การส่งเสริมการขาย การขายโดยบุคคล และการประชาสัมพันธ์ ดงั น้ี 2.1.1) การซื้อ (Buying) ต้องศึกษาถึงความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เพ่ือกำหนดชนิด คุณภาพ จำนวนของสินค้าและบริการให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า กิจกรรม เก่ียวกับการซื้อ ประกอบด้วย การกำหนดคุณสมบัติเฉพาะของวัสดุหรือสินค้าที่จะซื้อ การเลือกแหล่งซื้อ การเจรจาต่อรองในการซ้ือ การตรวจสอบคุณภาพสินค้าท่ีสั่งซื้อ นอกจากน้ันผู้จัดซื้อควรซื้อตามคุณสมบัติท่ี ถูกต้อง (Right Quality) ในจำนวนที่ถูกต้อง (Right Price) ในเวลาที่ถูกต้อง (Right Time) และในสถานท่ีที่ ถกู ต้อง (Right Place) 2.1.2) การขาย (Selling) กิจกรรมเก่ียวกับการขายต้องสร้างความต้องการ ให้เกิดข้ึนผู้บริโภค โดยใช้องค์ประกอบของส่วนประสมการส่งเสริมทางการตลาด (Promotional Mix) ประกอบด้วยกิจกรรมย่อย ได้แก่ การโฆษณา (Advertising) การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) การ ขายโดยบุคคล (Personal Selling) การประชาสัมพันธ์ (Public Relations หรือ PR) และการตลาดทางตรง (Direct Marketing) เพ่ือกระตุ้นให้เกดิ การขายโดยการสรา้ งอุปสงค์ ส่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและบรกิ าร ให้ลูกค้าทราบ กิจกรรมเกี่ยวกับการขายประกอบด้วย การเจรจาต่อรองในการขาย การกำหนดประเภทและ จำนวนของคนกลางท่ีใชใ้ นการจัดจำหนา่ ย และการใหส้ นิ เชอ่ื 2.2) หน้าท่ีในการกระจายสินค้า (Physical Distribution Functions) เป็นหน้าท่ี การตลาดที่ประกอบด้วยการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานในการตอบสนองความต้องการ การดำเนินการและ การควบคุมการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบและสินค้าจากแหล่งผลิตไปยังจุดที่ต้องการใช้ เพื่อตอบสนองความต้องการ ของลูกค้า วัตถุประสงค์ของการกระจายสินค้าคือ “เพื่อส่งสินค้าที่ถูกต้องไปยังสถานที่เหมาะสมในเวลาท่ี ถูกตอ้ งดว้ ยต้นทนุ ท่ีต่ำท่ีสดุ ” กิจกรรมท่ีทำให้สินคา้ เคล่ือนย้ายจากผผู้ ลิตไปยงั ผู้บรโิ ภค ได้แก่ การบริการลกู ค้า การขนส่ง การจัดการสินค้าคงคลัง การจัดการคำส่ังซื้อ การจัดการสารสนเทศ การจัดการคลังสินค้า การเคล่ือนยา้ ยสนิ คา้ และการบรรจุภณั ฑ์ ดังน้ี 2.2.1) การบริการลูกค้า (Customer Service) เป็นการดำเนินงานโดยให้ ความสำคัญแกล่ ูกคา้ เพือ่ ให้ลูกคา้ เกิดความพงึ พอใจ โดยพิจารณาจากความจำเป็นและความต้องการของลูกค้า

14 การพิจารณาถึงการตอบสนองของลูกค้าท่ีมีต่อการบริการ การกำหนดระดับของการให้บริการลูกค้า การบริการลูกค้าเป็นกิจกรรมที่ผลักดันให้เกิดกิจกรรมอ่ืน เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับสินค้าคงคลังและ การคลังสินค้า เป็นต้น การสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันด้วยการให้บริการที่ลูกค้าพึงพอใจ โดยการ ส่งมอบสินค้าที่ถูกต้องไปยังผู้รับท่ีถูกต้องตามสถานท่ีที่ถูกต้อง ภายใต้เง่ือนไขและเวลาที่ถูกต้องด้วยต้นทุนท่ี เหมาะสม และสง่ิ ท่ีพึงตระหนกั คอื ลกู ค้าทีแ่ ตกตา่ งกันย่อมตอ้ งการระดับของการบริการที่แตกตา่ งกัน 2.2.2) การขนส่ง (Transportation) เป็นกิจกรรมท่ีท ำหน้าท่ี ในการ เคล่ือนย้ายปัจจัยการผลิตไปสู่โรงงาน และเป็นกิจกรรมที่ทำให้สินค้าเคลื่อนย้ายจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค การขนส่งทำให้เกิดอรรถประโยชน์ด้านเวลาในการขนส่งสินค้าไปถึงที่หมายในเวลาท่ีต้องการ และเกิด อรรถประโยชน์ด้านสถานทีโ่ ดยการเคลือ่ นย้ายสินคา้ จากท่ีแห่งหนึ่งไปยังท่ีอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีความต้องการสินค้า นัน้ กจิ กรรมด้านการขนสง่ เป็นการเลือกวิธกี ารขนสง่ รูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การขนส่งทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ำ ทางอากาศ และทางทอ่ การเลือกเส้นทางในการขนสง่ การเลือกผขู้ นส่งตารางยานพาหนะ การตรวจสอบอตั รา คา่ ขนส่ง และกระบวนการร้องเรียน 2.2.3) การจดั การสนิ ค้าคงคลัง (Inventory Management) สินค้าคงคลังใน ความหมายของผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีก หมายถึง สินค้าท่ีซื้อมาจากผู้ผลิตท่ีเก็บไว้ในคลังสินค้าเพ่ือขอขายให้แก่ ลูกค้า สำหรับในความหมายของผู้ผลิต สินค้าคงคลังจะหมายรวมถึง 1) วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต หมายรวมถึง วัตถุดิบและช้ินส่วนอุปกรณ์ในการผลิตท่ีซื้อเข้ามา และอยู่ในระหว่างรอการนำไปใช้ในกระบวนการผลิต 2) สนิ ค้าระหวา่ งผลติ คือ วัตถุดิบที่อยู่ในข้ันตอนต่าง ๆ ของกระบวนการผลติ แต่ยังไมเ่ สรจ็ เป็นสนิ ค้าสำเร็จรูป และ 3) สินค้าสำเร็จรูป เป็นสินค้าท่ีผ่านกระบวนการผลิตออกมาเป็นสินค้าสำเร็จรูปแล้ว และรอการนำไป จำหน่ายให้กับลูกค้า ดังนั้น สินค้าคงคลังจึงเป็นส่ิงท่ีสนับสนุนระบบการบริการลูกค้า ท้ังลูกค้าภายใน (Inbound Customers) คือ สนับสนุนการผลิตแก่โรงงาน และสนับสนุนการตลาดจากโรงงานไปยังลูกค้า (Outbound Customers) โดยการจัดการสินค้าคงคลังเป็นงานท่ีเก่ียวข้องกับการเปลี่ยนแปลงระดับสินค้าคง คลังเพื่อให้การบริการแก่ลูกค้า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกบั สินค้าคงคลงั แบ่งเป็นคา่ ใชจ้ ่ายเก่ียวกบั การเก็บรกั ษาสนิ ค้าคง คลัง ค่าใช้จ่ายเกีย่ วกบั การส่งั ซื้อ และค่าใชจ้ า่ ยท่ีเกดิ จากการขาดแคลนสินคา้ 2.2 4) การจัดการคำสั่งซ้อื (Order Processing) กระบวนการสง่ั ซื้อเกีย่ วกับ การรับคำสง่ั ซื้อจากลูกคา้ โดยเร่ิมจากวันท่ีรับคำสงั่ ซ้ือจากลกู คา้ จนถึงวันที่ลูกค้าได้รับสินค้า ซึ่งมีผลกระทบต่อ การรับรู้ด้านการบริการและความพึงพอใจของลูกค้า ปัจจุบันมีการพัฒนาระบบการสั่งซื้อโดยนำระบบการ แลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange: EDI) ซ่ึงหมายถึง ระบบท่ีคอมพิวเตอร์ทำ การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อค้าขาย เช่น สินค้า การกระจายสินค้า การรับคำส่ังซ้ือและการสั่งซื้อ ระหว่างบริษัทหลายบริษัท เป็นต้น โดยตรงผ่านวงจรส่ือสารการนำระบบรับและสั่งซื้อออนไลน์มาใช้เพื่อเพิ่ม ความรวดเร็วและประสิทธภิ าพในการดำเนนิ งาน 2.2.5) การจัดการสารสนเทศ (Information Management) สารสนเทศท่ี ได้จากระบบการจัดจำหน่ายจะมีผลต่อการวางแผนงานของระบบอ่ืน ๆ เช่น ระบบการผลิต ระบบการควบคุม สินค้าคงคลัง ระบบการจัดส่งสินค้า และกระบวนการส่ังซ้ือ เป็นต้น การสื่อสารในระบบการกระจายสินค้าจึง

15 เป็นส่ิงจำเป็นและช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยการติดต่อสื่อสารและส่งผ่านสารสนเทศใน ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดการประสานงานกันภายในระบบการกระจายสินค้า การดำเนินงานมีประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผล สร้างความพอใจให้แก่ลูกค้า โดยท่ัวไปมักใช้คอมพิวเตอรใ์ นการ รวบรวมข้อมูลและจัดระบบสารสนเทศทำให้การประมวลผลและการค้นหาข้อมูลทำได้รวดเร็ว ผู้บริหารได้รับ สารสนเทศทีร่ วดเรว็ ทนั ต่อการตดั สนิ ใจ 2.2.6) การจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management) กิจกรรม คลังสินค้าและการจัดเก็บสินค้าเกี่ยวข้องกับการกำหนดพ้ืนที่ท่ีต้องการ การวางผังการจัดเก็บสินค้าใน คลังสินค้า และระบบอัตโนมัติ ตัวอย่าง บริษัทไลอ้อน จำกัด ได้พัฒนาระบบเติมสินค้าอัตโนมัติข้ึนเพ่ือป้อน สินค้าแบบใหม่ให้ร้านค้าส่ง ระบบเติมสินค้าอัตโนมัติจากผู้ผลิตไปยังร้านค้าส่งโดยอาศัยการควบคุมสต็อก คือ การท่ีผู้ผลิตเป็นฝ่ายกำหนดปริมาณเติมสินค้าแทนการสั่งซ้ือของร้านค้าส่ง ซ่ึงคอมพิวเตอร์จะคำนวณ ปรมิ าณเตมิ สนิ คา้ ตามการพยากรณอ์ ุปสงค์ และคนจะทำการแกไ้ ขและเป็นผ้ตู ัดสินใจ 2.2.7) การเคลื่อนย้ายสินค้า (Material Handling) หมายรวมถึงการ เคล่ือนย้ายวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูประหว่างโรงงานและคลังสินค้า ซึ่งทำให้เกิดค่าใช้จ่าย เช่น ค่าแรงงาน คา่ สินคา้ สญู หายและเสยี หาย เปน็ ตน้ 2.2.8) การบรรจุภัณฑ์ (Packaging) เป็นกิจกรรมเก่ียวกับการออกแบบการ สร้างสิ่งบรรจุ การห่อหุ้มผลิตภัณฑ์เพ่ือให้สินค้าอยู่ในสภาพเรียบร้อย ป้องกันการแตกหกั เสียหาย สญู หายและ การเส่ือมสภาพของสนิ คา้ กิจการสามารถลดความเส่ยี งภัยดงั กล่าวได้ดว้ ยการหบี ห่อทแ่ี ข็งแรงทนทานตอ่ สภาพ การเคล่ือนยา้ ยและขนส่ง บรรจุภัณฑ์ทำใหเ้ กิดประโยชน์หรอื คุณค่าทางการตลาด โดยการใหข้ ้อมูลแก่ผบู้ ริโภค บรรจุภณั ฑ์ท่ีสวยงามสร้างความสนใจแก่ลูกค้าและช่วยเพิ่มยอดขาย บรรจุภัณฑ์ช่วยปกป้องสินค้าระหว่างการ จัดเก็บและขนส่ง เพิ่มความสะดวกในการเก็บรักษาและเคลื่อนย้ายสินค้า ตลอดจนการใช้เคร่ืองมือในการยก ขน และเพิ่มความสะดวกในการขนส่ง 2.3) หน้าท่ีในการอำนวยความสะดวก (Facilitating Functions) การอำนวย ความสะดวกเป็นกิจกรรมที่ช่วยสนับสนุนให้หน้าที่ในการแลกเปลี่ยนและหน้าท่ีในการกระจายสินค้า สามารถ ดำเนนิ การไดส้ ะดวกและรวดเรว็ กิจกรรมของหน้าที่ในการอำนวยความสะดวก ประกอบดว้ ย การจัดมาตรฐาน สนิ ค้า สารสนเทศทางการตลาด การประกนั ภัย และการเงิน ดังน้ี 2.3.1) การจัดมาตรฐานสินค้า การกำหนดมาตรฐานสินค้าอาจพิจารณาจาก ขนาด น้ำหนัก ความสด อัตราร้อยละของสินค้าที่เสีย เป็นต้น การจัดมาตรฐานและจำแนกเกรดของสินค้าจะ ช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว เช่น ไข่ไก่กำหนดมาตรฐานสินค้าจากขนาด ทองคำกำหนด มาตรฐานจากน้ำหนัก เป็นต้น 2.3.2) สารสนเทศทางการตลาด ผู้จัดการการตลาดจำเป็นต้องมีสารสนเทศ ทางการตลาดท่ีมากข้ึนและรวดเร็ว เพ่ือสนับสนุนการตัดสินใจทางการตลาด สารสนเทศท่ีได้นำไปใช้ในการ วางแผนการตลาด กำหนดกลยุทธ์ แผนงานและการดำเนินกิจกรรมการตลาดเพ่ือสร้างความได้เปรียบในการ แข่งขนั

16 2.3.3) การประกันภัย เป็นสิ่งจำเป็นเมื่อโลกมีความเจริญก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีมากข้ึน ภัยชนิดใหม่ ๆ มักเกิดขึ้นตามความเจริญก้าวหน้าเหล่านั้น การประกันภัยแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ การประกนั ชวี ิตและการประกันวนิ าศภัย สำหรับในประเทศไทยมีการแบ่งประเภทของการ ประกันวินาศภัยตามลักษณะของภัยได้เป็น 4 ประเภท คือ 1) การประกันอัคคีภัย 2) การประกันภัยทางทะเล 3) การประกันภัยรถยนต์ และ 4) การประกันภัยเบ็ดเตล็ด การเส่ียงภัยทางการตลาดอาจเกิดจากการขนส่ง สนิ ค้า หรือการขนสง่ ผโู้ ดยสาร ดังนั้น บรษิ ัทประกันภยั จงึ เข้ามารับภาระการเสี่ยงภยั แทนกิจการธุรกิจ 2.3.4) การเงิน หน้าท่ีพื้นฐานท่ัวไปของการจัดการการเงินล้วนเป็นงาน ท่กี ่อให้เกิดรายไดแ้ ละค่าใช้จ่ายแก่องค์กร ดังนั้น ผจู้ ัดการการเงนิ จึงต้องเข้าไปมีสว่ นเก่ียวขอ้ งและประสานงาน กบั ระบบงานต่าง ๆ ทั้งในดา้ นการวางแผนและการควบคุมทรพั ยากรในสว่ นที่เกยี่ วข้องกับทางการเงิน 3) วิถีการตลาด (Marketing Channel) (บันลอื คำวชิรพิทกั ษ์, 2542) วิถีการตลาด หมายถึง แนวทางการเคล่ือนย้ายผลผลิตหรือสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ ผู้บริโภค จะแสดงให้เห็นถึงปริมาณสินค้าจากผู้ผลิตได้ผ่านผู้ทำหน้าท่ีการตลาดประเภทต่าง ๆ เป็นจำนวน เทา่ ใด และไปถึงผ้บู ริโภคจำนวนเท่าใด ซงึ่ การวเิ คราะหว์ ิถีการตลาดมเี งือ่ นไขประกอบ 2 อยา่ งคอื 3.1) ปรมิ าณสนิ คา้ ที่เริม่ ไหลจากผู้ผลิตคนแรกไปจนถึงผบู้ ริโภคคนสุดท้าย ปริมาณ สินค้าท่ีเร่ิมไหลจากผู้ผลิตคนแรกหรือกลุ่มผู้ผลิตกลุ่มแรกจะมีปริมาณเท่ากับร้อยละ 100 และปริมาณสินค้า ทีถ่ ึงปลายทางผ้บู ริโภคคนสดุ ทา้ ย หรือกล่มุ ผู้บริโภคกล่มุ สุดทา้ ยทุกคนรวมกนั มคี ่าเท่ากับรอ้ ยละ 100 3.2) ปริมาณสินค้าท่ีไหลภายในตลาดท่ีทำการศึกษาต้องเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา เดียวกัน เช่น ช่วงปีเพาะปลูกเดียวกัน หรือชว่ งปีปฏิทินเดียวกัน วธิ ีหาร้อยละการไหลเวียนของประมาณสินค้า ในตลาด ณ จุดผลติ สินคา้ 4) ส่วนเหล่ือมการตลาด (Marketing Margin) (สมคิด ทักษิณาวิสุทธิ์, 2546) พิจารณา ได้ 2 ความหมาย ความหมายแรก ส่วนเหล่ือมการตลาด คือ ความแตกต่างระหว่างราคาท่ีผู้บริโภคจ่าย หรือราคาปลีก (Retail Price) กับราคาที่ผู้ผลิตหรือเกษตรกรได้รับ (Farm Price) เน่ืองจากในระบบตลาด สินค้าเกษตรโดยทวั่ ไปผผู้ ลิตและผู้บริโภคไม่ไดซ้ ้ือขายกนั โดยตรง ผผู้ ลิตและผู้บริโภคอย่กู ันคนละแห่ง ประกอบ กับลักษณะสินค้าเกษตรที่ผู้ผลิตผลิตได้ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ผู้บริโภคต้องการ จึงต้องมีคนกลางทาง การตลาดประเภทต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยราคาขายปลีกทีผ่ ู้บรโิ ภคจ่ายจะสะท้อนถึงอุปสงคข์ องผู้บรโิ ภคต่อ สินค้าน้ัน เป็นความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณและราคาในระดับขายปลีก เรียกว่าอุปสงค์ข้ันต้น (Primary Demand) ซึ่งเป็นความต้องการในข้ันต้นดังกล่าว รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ท่ีจะถูกนำไปใช้ในกระบวนการตลาด ส่วนความต้องการปัจจัยการผลิตในระดับฟารม์ เปน็ ความต้องการของเกษตรกร ด้านปัจจัยท่ใี ช้ในกระบวนการ ตลาด เป็นความต้องการของคนกลางประเภทต่าง ๆ ในการทำธุรกิจ โดยคนกลางไม่ได้เป็นผู้บริโภคสินค้าเอง ซ่ึงความต้องการของคนกลางเหล่าน้ี เรียกว่า อุปสงค์สืบเน่ือง (Derive Demand) เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง ปริมาณและราคาในระดับฟาร์ม และระดับคนกลางประเภทต่าง ๆ ก่อนถึงระดับขายปลีก ส่วนความหมาย ที่สอง ส่วนเหลื่อมการตลาด คือ ราคาของบริการตลาดทุกขั้นตอนรวมกัน เป็นผลมาจากอุปสงค์และอุปทาน

17 เพื่อบริการการตลาดเหล่าน้ัน สำหรับในด้านอุปทาน แยกเป็นขั้นต้น และอุปทานสืบเน่ืองเช่นกัน โดยอุปทาน ขั้นต้น (Primary Supply) หมายถึงความสมั พันธ์ของราคาและปริมาณการผลิตในระดับผู้ผลิต เนื่องจากสินค้า อาหารเกิดจากผลผลิตในฟาร์มที่ใช้เป็นวัตถุดิบ การผลิตเป็นไปตามกฎของอุปทาน คือ ราคาสูงขึ้นปริมาณ อุปทานก็จะมากขึ้น และถ้าอุปทานขั้นต้นไม่เกิด อุปทานสืบเนื่องก็จะเกิดข้ึนไม่ได้ เพราะอุปทานสืบเนื่อง (Derive Supply) เกิดจากอุปทานขน้ั ต้นบวกด้วยสว่ นเหล่ือมการตลาด ดงั นั้น ราคาสนิ คา้ เกษตรในระดับฟาร์ม จึงเกิดอุปสงค์สืบเนื่องตัดกับอุปทานขั้นต้น และระดับราคาในระดับขายปลีก เกิดจากอุปสงค์ข้ันต้นตัดกับ อุปทานสืบเนอื่ ง 4.1) ส่วนประกอบของส่วนเหลอ่ื มการตลาด (มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช 2535) ส่วนเหล่อื มการตลาด แบ่งเป็น 2 ลกั ษณะ คือ 4.1.1) ส่วนประกอบของส่วนเหลื่อมการตลาดตามระดับตลาด โดยพิจารณา ว่าส่วนเหลื่อมการตลาดสินค้าท่ีเกิดข้ึนน้ันได้เกิดขึ้นเนื่องจากตลาดระดับต่าง ๆ เป็นจำนวนเท่าใด โดยตลาด แตล่ ะระดับก็มีส่วนเหลอ่ื มการตลาดแตกต่างกันไป ขึน้ อยกู่ บั ค่าใชจ้ า่ ยในการดำเนินธุรกิจและกำไรของพ่อค้าใน ตลาดแต่ละระดบั ส่วนเหล่ือมการตลาดในตลาดแตล่ ะระดบั อาจมีรายละเอียดบางส่วนเหมือนหรือแตกต่างกัน ออกไป 4.1.2) ส่วนประกอบของส่วนเหลื่อมการตลาดจำแนกตามประเภทของ ค่าใช้จ่าย โดยพิจารณาว่าส่วนเหล่ือมการตลาดประกอบด้วยรายการค่าใช้จ่ายชนิดใดบ้างเป็นจำนวนเท่าใดใน แต่ละรายการนั้น รายการใดบ้างท่ีมีความสำคัญมากหรือน้อย รายการต่าง ๆ ท่ีเป็นส่วนประกอบของส่วน เหล่ือมการตลาด เช่น ค่าขนส่ง ค่าแรงงาน ค่าภาชนะหีบห่อ ค่าดอกเบี้ย ค่าสูญเสียน้ำหนัก ค่าใช้จ่ายในการ บริหารงาน ค่าใช้บรกิ ารของเคร่ืองมอื เคร่ืองใช้และกำไรของผูป้ ระกอบการ เปน็ ตน้ 4.2) ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงส่วนเหล่ือมการตลาด (สมคิด ทักษิณาวิสุทธ์ิ, 2546) 4.2.1) ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปเปล่ียนแปลง จะทำให้ราคาสินค้าและ ค่าใชจ้ ่ายการตลาดเปลย่ี นแปลง ซง่ึ จะส่งผลให้สว่ นเหลื่อมการตลาดเปล่ยี นแปลงไป 4.2.2) ปริมาณสินค้าที่เข้าสู่ตลาด สินค้าเกษตรกรรมส่วนใหญ่จะออกเป็น ฤดูกาล อุปทานจะไม่สม่ำเสมอตลอดปี ช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากและมีผลผลิตส่วนเกินเข้าตลาดมากขึ้น จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพทางการตลาดสูงข้ึน ต้นทุนการตลาดต่อหน่วยผลผลิตลดลง ทำให้เส้นอุปทาน สืบเน่อื งขยบั ลงมา ระดับราคาขายปลีกจะลดลง ขณะเดียวกัน เส้นอปุ สงคส์ ืบเนื่องกจ็ ะขยับสูงขึ้น ทำใหร้ าคาที่ ฟาร์มสูงข้นึ เป็นผลใหส้ ว่ นเหลือ่ มการตลาดลดลง 4.2.3) การปรับปรุงเทคโนโลยีต่าง ๆ ของคนกลางทางการตลาดประเภท ต่าง ๆ หากเทคโนโลยดี ีขึน้ ตน้ ทนุ การตลาดจะลดลง สว่ นเหลอื่ มการตลาดกจ็ ะลดลง 4.2.4) การเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้บริโภค เช่น ต้องการสินค้าใน ลักษณะสินค้าสำเร็จรปู มากข้ึน คนกลางต้องเพ่ิมการบริการการคลาดมากข้ึน และให้ตรงกับความต้องการของ ผูบ้ ริโภคที่เปล่ียนแปลงไป กจ็ ะทำให้สว่ นเหลอื่ มการตลาดเพม่ิ ข้นึ

18 4.2.5) ลักษณะตลาด ในตลาดท่ีมีการแข่งขันไม่สมบูรณ์ ระบบข่าวสารไม่ดี พ่อคา้ จะได้เปรียบทางกาค้า สามารถตั้งราคาขายได้สงู กว่าท่ีควร พ่อค้าจะได้รับผลตอบแทนหรอื กำไรเบ้ืองต้น สงู เกนิ ควร ทำให้สว่ นเหลื่อมการตลาดเปล่ียนแปลงสงู ข้ึน 4.2.6) การเปลี่ยนแปลงราคาปัจจัยการตลาดต่าง ๆ เช่น การเพิ่มข้ึนของ อัตราค่าจ้างแรงงาน ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าภาษีอากรต่าง ๆ ย่อมมีผลกระทบทำให้ต้นทุนและทำให้ส่วนเหล่ือม การตลาดเปล่ยี นแปลง สรุปจากแนวคิดทฤษฎีสำหรับการวิจัยครั้งนี้ในด้านการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนจะประยุกต์ใช้ แนวคิดการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตในทางเศรษฐศาสตร์ตามหลักการนิยามต้นทุนการผลิตของสำนักงาน เศรษฐกิจการเกษตร ในด้านการตลาด จะใช้การวิเคราะห์หน้าที่ทางการตลาด วิถีการตลาดและส่วนเหล่ือม ทางการตลาดเพอื่ เป็นกรอบแนวคิดในการวิจัยครัง้ น้ี

บทที่ 3 ขอ้ มลู ทว่ั ไป 3.1 การผลติ กาแฟพนั ธ์ุโรบัสต้าและอาราบกิ า้ ท่ีถกู ต้องตามหลักวชิ าการ 3.1.1 การผลิตกาแฟพนั ธุ์โรบัสต้าทถ่ี กู ต้องตามหลักวิชาการ (กรมวิชาการเกษตร, 2562) 1) พ้ืนท่แี ละสภาพภมู อิ ากาศ สภาพพืน้ ทีป่ ลูกควรเป็นพืน้ ท่ีราบไม่มนี ้ำทว่ มขงั หรือมคี วามลาดเอียงไม่เกินรอ้ ยละ 35 มีความสูงไม่เกิน 700 เมตรจากระดับน้ำทะเล และควรอยู่ในสภาพอากาศอุณหภูมิอยู่ในช่วง 20 - 30 องศา เซลเซียส ต้องมีปริมาณน้ำฝนไม่ควรน้อยกว่า 1,500 มิลลิเมตรต่อปีหรือมีการกระจายของน้ำฝนดี มีความ สม่ำเสมอไม่น้อยกว่า 7 เดือน และไม่ควรมีน้ำค้างแข็ง สภาพดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วน หรือดินร่วนปนทราย หน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร ความเป็นกรดด่างอยู่ระหว่าง 5.5 - 6.0 แต่ไม่ควรต่ำกว่า 5 โดยปกติ ในการปลูกจะอาศยั น้ำฝนเป็นสว่ นใหญ่แตค่ วรให้น้ำในชว่ งหนา้ แล้งโดยเฉพาะในชว่ งปีแรกทปี่ ลกู 2) การปลกู กาแฟพนั ธ์ุโรบัสต้า มขี นั้ ตอนดงั นี้ 2.1) เตรียมพน้ื ที่ปลูก โดยปรับพน้ื ทีใ่ ห้เรียบ ขุดถอนรากไม้ หากเปน็ พ้ืนทีล่ าดเอียงต้อง ทำข้ันบันไดสำหรับปลูกและปลูกหญ้าแฝกป้องกันการพังทลาย ระยะปลูก 3 x 3 หรือ 3 x 4 หรือ 3.5 x 3.5 เมตร ตามสภาพพื้นท่ี ควรขุดหลุมปลูกขนาดกว้าง x ยาว x ลึก เท่ากับ 50 x 50 x 50 หรือ 30 x 30 x 30 เซนติเมตร จากนั้นรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก 3 - 5 กิโลกรัม หินฟอสเฟต 200 - 300 กรัม หาก ดนิ มคี า่ pH ตำ่ กว่า 5 ควรใสป่ ูนขาวรองก้นหลมุ 2.2) การเตรียมต้นกล้าเพื่อปลูก มีหลักการคือ ต้นกล้าท่ีปลูกต้องแข็งแรง มีความสูง ประมาณ 30 เซนตเิ มตร มีใบจริง 5 - 7 คู่ 2.3) การเพาะกล้าจากเมล็ด ควรเลือกผลกาแฟที่สุกแดงเต็มท่ี จากน้ันนำผลกาแฟ แช่น้ำให้ท่วม แช่น้ำท้ิงไว้อย่างน้อย 1 - 2 คืน เพื่อให้เปลือกกาแฟน่ิมแล้วแกะเปลือกกาแฟออกเพ่ือเอาเมล็ด กาแฟที่อย่ขู ้างใน จากนัน้ นำเมลด็ กาแฟทีไ่ ด้มาผึง่ ลมใหแ้ หง้ จึงสามารถนำเมล็ดไปเพาะในดนิ ผสมทีเ่ ตรยี มไว้ได้ 2.4) การปลูก ควรปลกู ในชว่ งต้นฤดฝู น โดยปลูกเสมอปากหลุมปลกู จากนน้ั ปักหลักไม้ ผูกต้นกล้าป้องกันต้นกาแฟล้มจากลม ควรให้น้ำหลังจากปลูก 2 - 3 สัปดาห์หากไม่มีฝนตก และควรทำร่มเงา ชั่วคราวให้ต้นกล้า กรณีปลูกกลางแจ้ง กรณีปลูกเป็นพืชเด่ียวควรปลูก 170 ต้นต่อไร่ หากปลูกแซมมะพร้าว ทุเรียน ควรปลูกประมาณ 100 ต้นต่อไร่ กรณีปลกู ร่วมทุเรยี นควรปรับระยะปลูกใหเ้ หมาะสมเน่ืองจากกระทบ ต่อการเกบ็ เกี่ยวผลผลิต ตัวอย่างการปลกู ร่วมกบั ทุเรยี น ระยะ 8 x 8 เมตร ควรปลูกห่างจากต้นทุเรยี น 3 เมตร เม่ือต้นกาแฟมีทรงพุ่มขนาดใหญ่จะทำให้เหลือพ้ืนท่ีน้อยไม่สะดวกต่อการเก็บเก่ียว ขนย้ายผลผลิตและดูแล รักษา ควรปลูกให้ห่างต้นทุเรียนมากขึ้น หรือลดจำนวนแถวปลกู ลง กรณีปลกู แซมพืชอ่ืน ควรปลูกพืชให้ร่มเงา กอ่ นปลกู กาแฟ 6 - 12 เดือน เช่น สะตอ ใช้ระยะปลกู 15 x 15 เมตร แค ใชร้ ะยะปลูก 12 x 12 เมตร กระถิน ใชร้ ะยะปลูก 9 x 9 เมตร เปน็ ต้น

20 3) การดูแลรกั ษากาแฟพันธุ์โรบสั ต้า มดี ังน้ี 3.1) การใส่ปุ๋ย ช่วงปีที่ 1 - 2 ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ต้นละ 100 - 300 กรัมต่อปี ควร ใสป่ ุ๋ยทกุ 2 - 3 เดือน เม่ือกาแฟให้ผลผลติ แล้ว (3 ปีขน้ึ ไป) ควรให้ป๋ยุ ดังตารางที่ 3.1 ตารางท่ี 3.1 การใหป้ ยุ๋ เมือ่ กาแฟให้ผลผลติ แลว้ (3 ปขี ้นึ ไป) หนว่ ย: กรมั เดอื น ปุ๋ยทใี่ ช้ อตั ราท่ีใชต้ ่อตน้ * เมษายนหรือพฤษภาคม ยเู รีย 60 18-46-0 60 0-0-60 60 กรกฎาคม ยเู รยี 60 0-0-60 60 กันยายน ยูเรีย 60 0-0-60 60 ธันวาคม ยเู รยี 60 0-0-60 60 ปุ๋ยคอก/ปยุ๋ หมกั 3,000 - 5,000 ปนู ขาว/โดโลไมต์ 500 – 1,000 ท่มี า: กรมวชิ าการเกษตร, 2562 หมายเหตุ :* 1) ต้นทม่ี ีผลดกมากใหเ้ พมิ่ ปุย๋ เคมีอกี รอ้ ยละ 25 - 50 2) หากใส่ปุ๋ยตามตารางที่ 3.1 จะได้ผลผลิตเมล็ดแห้งประมาณ 250 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ ต้นละ 1.5 กิโลกรัม (ระยะปลกู 3 x 3 เมตร) 3) การใสป่ ๋ยุ บนท่ลี าดชันให้ขดุ หลุมฝังเป็นจดุ ๆ 2 - 3 จุด 3.2) การให้น้ำ โดยการปลูกกาแฟส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ พื้นที่ปลูกกาแฟ ควรมีปรมิ าณน้ำฝนเฉลย่ี 1,200 – 1,500 มิลลิตรตอ่ ปี เกษตรกรควรดูแลใหด้ นิ ช้นื สม่ำเสมอโดยเฉพาะช่วงหลัง ปลกู ใหม่ ๆ ตั้งแต่ช่วงทีต่ ้นกาแฟยังมีขนาดเลก็ จนกระท่ังใหผ้ ลผลติ ใน 1 รอบการผลติ ต้นกาแฟมคี วามต้องการ นำ้ ดังน้ี 3.2.1) ช่วงทด่ี อกตูม ดอกกาแฟมีการพัฒนาจากเซลล์เล็ก ๆ เปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่ม ดอก กลุ่มดอกน้ีจะเจริญเติบโตเพ่ิมขนาดเรื่อย ๆ จนกระท่ังโตเต็มท่ีแล้วดอกจะหยุดเจริญหรือเรียกได้ว่า “อยู่ในช่วงพักตัว” การพักตัวควรมีระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5 - 6 สัปดาห์ ช่วงพักตัวนี้เป็นช่วงท่ีกาแฟไม่ต้องการ นำ้ ดอกจึงจะมีการพกั ตัวเต็มท่แี ละหลงั จากดอกพักตวั เตม็ ที่แลว้ เม่อื ไดฝ้ นหรือน้ำจึงจะบานพรอ้ มเพรียงกนั 3.2.2) ช่วงที่ดอกพักตัวสมบูรณ์และจะออกจากการพักตัว โดยหลังจากดอกกาแฟ ได้พักตัวเต็มท่ีโดยการผ่านช่วงยาวนานพอสมควรแล้ว เมื่อได้ฝนหรือน้ำในปริมาณท่ีเพียงพอดอกจะออกจาก การพักตัวและเริ่มเจริญเติบโต มีขนาดใหญ่ขึ้นเร่อื ย ๆ จนเห็นเปน็ ดอกสีขาวในการออกจาการพกั ตวั นี้ บางครั้ง

21 ฝนอาจตกน้อยจนมีปริมาณไม่พอเพียงต่อการออกจากการพักตัวและการเจริญเติบโตของดอกได้ ใน สถานการณ์เช่นน้ีควรให้น้ำเพิ่มเติม เพ่ือให้ดอกบานได้อย่างเต็มที่อย่างพร้อมเพรียงกัน ซ่ีงจะเป็นประโยชน์ทำ ให้เก็บเก่ียวผลกาแฟได้พร้อมกัน หลังจากดอกมีการพักตัวสมบูรณ์และพร้อมท่ีจะออกจากการพักตัวนั้น |ต้นกาแฟต้องการน้ำเป็นปริมาณมาก หากมีฝนตกเพียงเล็กน้อยจะส่งผลให้ดอกและผลพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ดอกจะเห่ียวและฝ่อไปไมม่ กี ารติดผล เกษตรกรควรใหน้ ้ำเพ่อื ชว่ ยใหด้ อกมกี ารพฒั นาและติดผลได้ดี 3.2.3) ชว่ งทด่ี อกบาน ดอกกาแฟมกั จะบานภายใน 7 - 10 วันหลงั จากได้รับน้ำฝน ในปริมาณท่ีเพียงพอ ช่วงนี้กาแฟไม่ต้องการนำ้ ฝนเป็นอย่างยง่ิ ท้ังนี้ เพราะขณะที่ดอกบานเป็นช่วงทด่ี อกกำลัง จะได้รับการผสมละอองเกสรจากต้นอ่ืน หากมฝี นตกหรือมีการให้น้ำแบบพ่นฝอยน้ำจะเป็นสิ่งที่ชะละอองเกสร ตัวผู้ให้หลุดออก ไม่สามารถปลิวไปผสมกับดอกอื่น ๆ ได้ ทำให้จำนวนดอกกาแฟท่ีได้รับการผสมลดลง ดอกกาแฟจะไม่ติดผล ผลผลิตจะต่ำ ดังน้ันจะพบว่าในปีท่ีมีฝนตกในช่วงวันที่ดอกชุดใหญ่บานพอดีผลผลิตในปี นัน้ จะตำ่ 3.2.4) ช่วงเริ่มติดผล หลังจากดอกได้รับการผสมเกสรแล้ว มีการติดผลเกิดข้ึน ผลจะมีขนาดเล็กมากอยู่เบียดกันเป็นกลุ่ม ช่วงน้ีถ้าความชื้นในดินไม่เพียงพอ ดอกที่เริ่มติดแล้วอาจจะฝ่อหรือ เหลืองหลุดร่วงไปเป็นจำนวนมาก หากให้น้ำแล้วในช่วงที่ดอกบานและดินยังช้ืนอยอู่ าจจะไม่ต้องให้น้ำในช่วงนี้ แต่ถา้ ยงั ไมไ่ ด้ใหน้ ำ้ มาก่อนและฝนท้ิงชว่ งนานกวา่ 3 สปั ดาห์ ควรใหน้ ำ้ ทุก ๆ 3 - 4 สปั ดาห์ 3.2.5) ช่วงที่ผลกำลังขยายตวั อย่างรวดเร็วและช่วงท่ีผลสะสมนำ้ หนักแห้งเป็นช่วง ท่ีสำคัญที่สุด ต้นกาแฟไม่ควรขาดน้ำในช่วงนี้ (อายุ 3 - 4 เดือนหลังดอกบาน) เพราะผลจะขยายตัวอย่าง รวดเร็วจากขนาดเม็ดพริกไทยขยายโตขึ้นเร่ือย ๆ เป็นเวลา 3 เดือน ผลจะสร้างเนื้อเย่ือรอบ ๆ เมล็ดมากกว่า เนื้อเมล็ด และสร้างช่องว่างไว้ให้เมล็ดเจริญเติบโตต่อมาในภายหลัง ถ้าช่วงน้ีต้นกาแฟขาดน้ำ เน้ือเย่ือรอบ ๆ เมล็ดขยายตัวได้น้อยช่องว่างท่ีสร้างไว้ให้เมล็ดเติบโตจะมีขนาดเล็ก ทำให้ได้เมล็ดขนาดเล็กด้วย ซ่ึงเป็นสาเหตุ ใหผ้ ลผลิตต่ำ หากฝนไม่ตกในชว่ งนค้ี วรต้องให้น้ำแก่ต้นกาแฟ สำหรับช่วงผลสะสมน้ำหนักแห้งซ่ึงเป็นช่วงระยะ ต่อจากช่วงผลขยายตัวอย่างรวดเร็วและเป็นช่วงท่ีผลสร้างเนื้อเมล็ด ในช่วงน้ีดินควรจะมีความชื้น โดยปกติฝน จะตกสมำ่ เสมอหลังจากเดือนมถิ ุนายนเป็นตน้ ไป จงึ ไม่มปี ัญหาการขาดน้ำในระยะเวลาดังกล่าว แต่ถ้าช่วงที่ฝน แล้งนานกวา่ 3 สัปดาห์ ควรใหน้ ำ้ ช่วย 3.3) การตัดแต่งกิ่ง ในปีแรกท่ีปลูกจะมีกิ่งหลัก 1 ต้น กาแฟจะแตกก่ิงหลักหลายก่ิง ให้เลือกก่ิงหลักที่แตกใหม่ท่ีสมบูรณ์ไว้ 3 - 5 ก่ิง รวมก่ิงหลักเดิม ควรจัดให้ก่ิงมีการกระจายตัวไม่เบียดชิดกัน เม่ือกาแฟเข้าสู่ปีท่ี 2 - 4 ก่ิงหลัก 3 - 5 ก่ิงโตเต็มท่ี หมั่นปลิดกิ่งหรือแขนงท่ีแตกออกจากก่ิงหลักเหล่าน้ีออก ทุก ๆ 2 - 4 เดือน หลังจากก่ิงหลักให้ผลผลิตเต็มท่ีแล้วเมื่ออายุ 7 - 9 ปี จะตัดก่ิงหลกั ที่ไม่สมบูรณ์ออกปีละ 1 กิ่ง พร้อมเล้ียงก่ิงใหม่ทดแทนปีละ 1 กิ่งเช่นเดียวกัน ทำซ้ำทุกปีจนครบท้ัง 5 กิ่งหลัก ซ่ึงจะได้กิ่งหลักใหม่ ท่ีใหผ้ ลผลติ สูงเชน่ เดมิ เมอื่ ต้นกาแฟอายมุ ากจนใหผ้ ลผลิตลดลง ไมค่ ้มุ คา่ ก็จะทำการตดั ฟน้ื ต้นใหม่ 3.4) การตัดฟื้นต้น การตัดฟ้ืนต้นควรทำในช่วงฤดูฝน ป้องกันการแห้งตายของต้นตอ ควรกระทำเมื่อผู้ปลูกได้รับผลผลิตลดลงไม่คุ้มค่าต้นทุน หรือต้นมีความสูงมากจนทำงานยากลำบาก หรือเม่ือ กาแฟอายุมากกว่า 9 ปขี น้ึ ไป หรือต้นหรือกิง่ ไดร้ บั ความเสียหายมาก มี 2 วธิ ี ดังน้ี

22 3.4.1) วิธีที่ 1 ข้ันตอนแรกต้องตัดต้นกาแฟให้เหลือแต่ตอสูงจากพ้ืนดินประมาณ 50 เซนติเมตร รอยแผลควรมีหน้าตัดเอียงเล็กน้อย เพ่ือไม่ให้น้ำขังบนตอ จากนั้นทาปูนแดงหรือสีตรงรอยตัด ปอ้ งกนั โรค เม่ือมีกิง่ ใหมย่ าวประมาณ 10 เซนติเมตร เลือกก่งิ ที่สมบรู ณ์ไว้ 3 - 4 กง่ิ เพ่ือเป็นก่ิงหลัก 3.4.2) วิธีที่ 2 ตัดกิ่งกาแฟระดับ 50 เซนติเมตร เหลือกิ่งพี่เล้ียงไว้ 1 กิ่ง เพ่ือเป็น หลักประกันวา่ ต้นยังไม่ตาย เม่ือกิ่งใหม่เจริญเติบโตดีแล้ว ให้ตัดกง่ิ พ่ีเล้ียงทิ้งไป โดยวิธีน้ีเหมาะสำหรับต้นโทรม ไม่แข็งแรง หรือพื้นท่ีแห้งแล้ง ฝนตกไม่แน่นอน หากก่ิงพี่เล้ียงบังร่มก่ิงที่เกิดใหม่ ให้โน้มกิ่งพ่ีเล้ียงออกห่างและ ตดั กิ่งพเ่ี ลี้ยงไปเมอื่ กงิ่ พ่เี ลยี้ งใหม่โตเต็มท่แี ล้ว 3.5) การกำจัดวัชพืช กาแฟจำเป็นต้องกำจัดวัชพืช โดยอาจใช้แรงงานและ เครอื่ งจักรกลตัด หรือใชส้ ารปอ้ งกันกำจัดวชั พืชในการกำจัด 3.6) โรคกาแฟ ดงั น้ี 3.6.1) โรคราสนมิ สาเหตุเกดิ จากเช้ือรา Hemileia vastatrix มีลกั ษณะอาการคือ มีจุดเหลืองใต้ใบขยายเป็นวงกว้าง มีสปอร์สีส้มทำให้ใบร่วงและกิ่งแห้ง ส่งผลให้ใบแก่และใบอ่อนร่วงในระยะ ต้นกล้าและต้นโตเต็มวัย ควรป้องกันด้วยการเลือกพันธุ์ที่ต้านทาน หลีกเลี่ยงการใช้กาแฟโรบัสต้าใบเล็กหรือ เรยี วยาว หรอื ป้องกนั โดยใช้สารปอ้ งกันกำจัด เชน่ คูปราวิทหรอื ออกซีคารบ์ อกซิน เปน็ ตน้ 3.6.2) โรคใบไหม้สีน้ำตาล สาเหตุเกิดจากเช้ือรา Cercospora sp. มีลักษณะ อาการคือ มีจุดกลมสีน้ำตาลและขยายใหญ่ขึ้น แผลจะเห็นอาการเนื้อเยื่อตายมีสีน้ำตาลไหม้ เม่ือผลแต่ละจุด ขยายมารวมกันจะแสดงอาการเหมือนใบไหม้ จะพบเห็นในช่วงสภาพอากาศแห้งแล้ง ติดต่อกันเป็นระยะ เวลานาน หรือพืชได้รับเช้ือราผ่านทางบาดแผล หากเกิดโรคนี้ควรตัดแต่งก่ิงที่เป็นโรคและเผาทำลาย หรือใช้ สารป้องกันกำจัด เชน่ แมนโคเซปหรอื แคปตาโฟล เปน็ ตน้ 3.6.3) โรคผลเน่า สาเหตุเกิดจากเช้ือรา Colletotrichum sp. มีลักษณะอาการ คือ มีจุดสีน้ำตาลเข้มบนผลกาแฟด้านใดด้านหนึ่ง กลางแผลขยายใหญ่ติดกัน รูปร่างไม่แน่นอน ทำให้เนื้อเยื่อ ผลยุบและเปล่ียนเป็นสีดำแห้งติดอยู่บนต้น จะทำให้ทั้งผลกาแฟอ่อนและผลแก่เสียหาย มักพบในต้นที่ให้ผล ผลิตมาก ๆ หากเกิดโรคน้ีควรเก็บผลเสียและตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรคออก จากนั้นเผาหรือทำลาย เมื่อเก็บผลหรือ ตัดแต่งกิ่งเสร็จให้ใส่ปุ๋ยเพ่ือเพ่ิมความแข็งแรงให้ต้นกาแฟ หรือใช้สารป้องกันกำจัด เช่น แมนโคเซปหรือ แคปตาโฟล เป็นตน้ 3.6.3) โรคกิ่งแห้ง สาเหตุเกิดจากเช้ือรา มีลักษณะอาการคือ มีรอยไหม้บนกิ่ง สีเขียว ข้อและปล้องของต้นมีสีเหลืองซีด ใบเหลือและร่วงในเวลาต่อมา กิ่งจะเห่ียวและแห้ง ตาดอกเห่ียว มักเกิดเมื่อมีสภาพแห้งแล้งเป็นเวลานานหรือเมื่อต้นพืชอ่อนแก่จากสาเหตุอื่น ๆ เหมาะต่อเช้ือเข้าทำลายได้ หากเกิดโรคน้ีควรตัดแต่งก่ิงที่เป็นโรคออกแล้วเผาหรือทำลาย จากน้ันบำรุงรกั ษาต้นให้แข็งแรง หรือใช้สารเคมี เชน่ บอร์โดมิกซเ์ จอร์ แมนโซเคป เปน็ ตน้ 3.7) แมลงศัตรูกาแฟ ดังน้ี 3.7.1) หนอนเจาะต้นกาแฟสีแดง ความเสียหายเกิดกับต้นและก่ิงของกาแฟทั้งต้น เลก็ และต้นให้ผลผลิตแล้ว โดยหนอนจะเจาะต้นและกิ่งจนหักโคน่ ล้ม วิธปี ้องกนั คือ หมั่นกำจัดพืชที่อยโู่ ดยรอบ

23 บริเวณสวนกาแฟ รักษาความสะอากและตรวจดูตน้ กาแฟสม่ำเสมอ หากมีหนอนเจาะให้ตัดกิ่งท่ีถูกทำลายแล้ว เผาทงิ้ เพือ่ ลดการระบาดของแมลง 3.7.2) มอดเจาะกิ่งกาแฟ เกิดความเสียหายแก่ก่ิงกาแฟที่ให้ผลผลติ กิ่งจะแห้งตาย เป็นสาเหตุให้โรคเข้าทำลายในเวลาต่อมา ตัวเต็มวัยเจาะเข้าไปอาศัยขยายพันธุ์และเจริญเติบโตอยู่ภายในก่ิง กาแฟ ทำให้ต้นกาแฟอ่อนแอ ผลผลติ ลดลง หากมีมอดเจาะควรตัดแต่งก่ิงที่ถูกทำลายแล้วเผาท้ิง จากน้ันบำรุง ต้นกาแฟให้แขง็ แรง 3.7.3) มอดเจาะผลกาแฟ ก่อความเสียหายในวงกวา้ งกับผลผลิตกาแฟและเปน็ มูล เหตของการเข้าทำลายของเชื้อราต่อมา ตัวเต็มวัยเจาะเข้าไปอาศัยขยายพันธุ์ กัดกินเน้ือเย่ือเมล็ดกาแฟเป็น อาหาร ทำให้เมล็ดกาแฟเสียหายจากร่องรอยการเข้าทำลาย วิธีป้องกันคือ ควรเก็บผลผลิตในระยะเวลาหรือ ฤดูกาลทถ่ี ูกตอ้ ง ควรเก็บกาแฟให้หมดจากต้น ไม่ควรเหลือคาต้นหรือปลอ่ ยให้หล่นคาพ้นื ดิน ต้องดูแลตน้ กาแฟ ให้ปลอดโปรง่ 3.7.4) เพล้ียแป้ง (ในกรณีปลูกร่วมทุเรียน) ผลกระทบจากการฉีดพ่นสารเคมี ป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งในทุเรียน ทำให้แมลงย้ายมาที่ต้นกาแฟ กาแฟแสดงอาการใบเหลืองและร่วง ผลผลิต กาแฟพัฒนาไม่สมบูรณ์และเกิดเชื้อราตามมา ตัวออ่ นและตัวเต็มวัย ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อน ใบแก่ ส่วนอ่อน ของกิ่งกาแฟ และหากพบในระยะติดผล จะดดู กินน้ำเล้ียงทำให้ผลพัฒนาไม่สมบูรณ์ สามารถปอ้ งกนั ไดโ้ ดยการ ฉดี พน่ สารเคมเี ชน่ เดียวกับการปอ้ งกนั กำจัดเพล้ียแป้งในทเุ รียน 3.8) การเกบ็ เกี่ยวและการปฏบิ ัติหลังการเกบ็ เก่ยี ว 3.8.1) การเก็บเกี่ยว ตอ้ งเก็บผลกาแฟที่มีสีแดง สีเหลือง หรือสีส้มแดงไม่น้อยกว่า รอ้ ยละ 90 ของพ้ืนท่ผี วิ ทั้งผล ไมค่ วรเกบ็ ผลออ่ นทม่ี ีสีเขียว ผลรว่ งหรอื ผลท่ีสกุ เกินไป 3.8.2) อุปกรณ์การเก็บ ควรมีภาชนะรองเก็บ ทำจากกระสอบปุ๋ย/ตาข่ายสีฟ้า ขนาด 2 x 2 เมตร หรือ 1.5 x 1.5 เมตร และมีตะขอหรือไม้สำหรบั โน้มกิ่งที่อยู่สูง 3.8.3) วิธีการเก็บ ควรเก็บเป็นรุ่น ไม่เก็บผลกาแฟสุกที่ร่วงบนพ้ืนดินเกิน 1 วัน เนอ่ื งจากอาจปนเปน้ื เชอ้ื รา ในการเก็บผลผลิตรอบสุดท้ายต้องเก็บผลกาแฟใหห้ มดต้น เพ่ือป้องกันมอดเจาะผล กาแฟ อาจใช้วัสดุรองพื้นบริเวณใต้ต้นกาแฟขณะทำการเก็บเพื่อป้องกันการปนเปื้อนกับเมล็ดกาแฟเก่าที่หล่น ใตต้ ้น จากนั้นเกบ็ ผลกาแฟใสภาชนะที่ตอ้ งสะอาด ปลอดภัย แล้วนำผลกาแฟที่เก็บไดเ้ ข้าสู่กระบวนการทำแห้ง อยา่ งช้าไมเ่ กิน 24 ชั่วโมง 3.8.4) การตากแห้ง ต้องคัดแยกผลสดเมลด็ กาแฟท่ีสมบูรณ์ออกจากผลกาแฟท่ีไม่ สมบูรณ์หรือผลที่เสียหายโดยวิธีลอยน้ำ จากนั้นตากผลกาแฟบนพ้ืนที่สะอาด มีการถ่ายเทอากาศดีและได้รับ แสงแดดตลอดท้ังวัน ควรเกลี่ยผลกาแฟที่ตากให้มีความหนาไม่เกิน 5 เซนติเมตร และพลิกกลับผลเมล็ดกาแฟ อย่างสม่ำเสมอ วันละ 4 คร้ัง หลังตากได้ 5 - 7 วัน ระวังไม่ให้ผลกาแฟเปียกฝน หรือน้ำค้าง โดยการคลุมกอง กาแฟในเวลากลางคืน ผลกาแฟจะแห้งเหมาะสมเมอื่ ได้รบั แสงแดดเต็มท่ีประมาณ 15 วัน จากน้ันเก็บผลกาแฟ แหง้ ในภาชนะทส่ี ะอาดปลอดภยั

24 3.8.5) การสีผลกาแฟแห้ง ต้องใช้เคร่ืองสีผลกาแฟท่ีมีคุณภาพดี หากไม่ต้องการสี ควรเก็บผลกาแฟแหง้ ในโรงเก็บท่สี ะอาดถกู หลกั อนามัย 3.8.6) การเก็บรักษาเมล็ดกาแฟ ควรเก็บในภาชนะท่ีสะอาด ปราศจากกล่ินไม่พึง ประสงค์ เก็บในโรงเก็บท่ีสะอาด ยกพื้นที่ตั้งกระสอบเพ่ือป้องกันความชื้นและต้องเก็บแยกจากสารเคมีหรือ สินค้าทีม่ กี ล่นิ 3.8.7) การขนย้าย ขณะขนย้ายเมล็ดกาแฟควรป้องกันการเปียกช้ืน โดยการคลุม ดว้ ยผ้าใบ หรอื ขนย้ายในช่วงกลางวนั เปน็ ต้น 3.1.2 การผลติ กาแฟพันธุ์อาราบิกา้ ทถ่ี กู ตอ้ งตามหลกั วิชาการ (กรมวิชาการเกษตร, 2562) 1) พ้นื ทีแ่ ละสภาพภูมิอากาศ แหล่งปลูกท่ีเหมาะสมของกาแฟอาราบิก้า ต้องพิจารณาสภาพพ้ืนที่และสภาพภูมิอากาศ โดยพ้ืนท่ีปลูกควรเป็นพ้ืนที่ที่อยู่ในระดับเส้นรุ้ง 17 องศาเหนือข้ึนไป อยู่ในระดับความสูงจากน้ำทะเล ต้ังแต่ 700 เมตรขึ้นไป พ้ืนที่มีความลาดเอียงไม่ควรเกินร้อยละ 30 มีอุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ในช่วง 15 - 25 องศาเซลเซียส มีความช้ืนสัมพัทธ์มากกว่าร้อยละ 60 ดินมีความอุดมสมบูรณ์ มีชั้นดินลึกไม่ต่ำกว่า 50 เซนติเมตร มีความเป็นกรด-ด่าง 5.5 - 6.0 และระบายน้ำดี พื้นที่ท่ีอาศัยน้ำฝนในการปลูกควรมีปริมาณน้ำฝน ไม่ต่ำกว่า 1,500 มิลลิเมตรต่อปี และต้องมีการกระจายน้ำฝนอย่างน้อย 5 - 8 เดือน มีแหล่งน้ำสะอาดและ มีปรมิ าณเพยี งพอในการใหน้ ำ้ ได้ตลอดชว่ งแลง้ 2) การปลูกกาแฟพนั ธุ์อาราบิก้า มดี ังน้ี 2.1) การปลูกต้นกล้าท่ีมีใบจริง 4 - 5 คู่ อายุไม่น้อยกว่า 8 - 12 เดือน ควรมีระยะ ระหว่างต้นห่าง 2 x 2 เมตร หรือ 400 ต้นต่อไร่ ขนาดหลุมปลูก หากดินดีควรขุดหลุมขนาดกว้าง ยาว ลึก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ถ้าดินเลวควรขุดหลมุ ขนาด 50 x 50 x 50 เซนตเิ มตร รองก้นหลุมด้วยหินฟอสเฟต หลุมละ 100 - 200 กรัม และปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ 5 กิโลกรัมต่อหลุม ควรปลูกต้นกาแฟช่วงเดือน พฤษภาคมถึงกรกฎาคม ซ่ึงเป็นชว่ งต้นฤดูฝน หากปลูกที่ลาดชัน ควรวางแนวปลูกขวางความลาดชัน หรอื ปลูก บนข้ันบันไดท่ีทำขึ้น เพื่อขวางความลาดชันของพ้ืนท่ี เพื่อชะลอการพังทลายของหน้าดิน ความกว้างของ ขั้นบันไดควรกว้างเท่ากับความกว้างของทรงพุ่มของต้นกาแฟเม่ือโตเต็มท่ี การทำพื้นท่ีปลูก เป็นขั้นบันได นอกจากจะช่วยชะลอการพังทลายของหน้าดิน ยังช่วยให้การให้ปูน ปุ๋ย และ น้ำมีประสิทธิภาพดีข้ึน และการ ปลูกพืชหมุนเวยี นบนข้ันบันไดจะช่วยยดึ หน้าดินไว้ดว้ ย 2.2) การจัดการร่มเงา กาแฟพันธุ์เชียงใหม่ 80 เป็นพันธ์ุที่ตอบสนองต่อแสงแดดและ ปุ๋ยสูงจึงไม่ควรปลูกลางแจ้ง โดยเฉพาะพ้ืนที่ต่ำกว่า 1,000 เมตร ควรปลูกไม้บังร่มเงาก่อนการปลูกกาแฟ อาราบกิ า้ จะช่วยให้กาแฟอาราบิกา้ มีการเจริญเตบิ โตได้ดี แนะนำให้ปลกู ใต้ร่มไมย้ ืนต้น ได้แก่ ไม้บังร่มชั่วคราว ควรเป็นไม้โตเร็ว และเป็นพืชตระกูลถั่ว เช่น ทองหลางไร้หนามแคฝรั่ง ข้ีเหล็กอเมริกัน ควรใช้ในระยะปลูก 4 x 6 หรือ 6 x 6 เมตร และปลูกหลายชนิดสลับกัน หากเป็นไม้บังร่มถาวร ควรเป็นไม้พุ่มใหญ่ ทรงพุ่มกว้าง และให้ร่มเงาในระดับสูง เช่น ซิลเวอร์ โอ๊ค พฤกษ์ ถ่อน กางหลวง ถั่วหูช้าง สะตอ เหรียง เป็นต้น ระยะปลูก 8 x 10 เมตร และควรปลูกหลายชนิดสลับกันกับไม้บังรม่ ชั่วคราว

25 3) การดแู ลรักษากาแฟพันธ์ุอาราบิกา้ มดี ังน้ี 3.1) การใสป่ ุ๋ย โดยกาแฟเปน็ พืชท่ีต้องการปุย๋ คอ่ นขา้ งสงู โดยเฉพาะช่วงเรมิ่ ออกดอก ติดผล ควรใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินและความต้องการของพืชเพ่ือลดการใช้ปุ๋ยมากเกินความจำเป็น โดยธาตุ อาหารทพี่ ชื ตอ้ งการ มี 3 กลมุ่ คอื 3.1.1) กล่มุ ธาตหุ ลกั ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั โปแตสเซยี ม 3.1.2) กลมุ่ ธาตรุ อง ได้แก่ แคลเซียม แมกนเี ซียม ซัลเฟอร์ 3.1.3) กลุ่มจุลธาตุ ได้แก่ เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง โบรอน โมลิดิบนัม คลอไรด์ 3.2) การให้น้ำ โดยส่วนใหญ่พื้นท่ีปลูกกาแฟจะอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ พื้นที่ปลูก ควรมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย อย่างนอ้ ย 1,200 - 1,500 มิลลิเมตรตอ่ ปี โดยและต้องมีการกระจายน้ำฝนอย่างน้อย 5 - 8 เดือน หากช่วงแล้งยาวนาน ควรมีแหล่งน้ำสะอาดและมีปริมาณเพียงพอในการให้น้ำได้ตลอดช่วงแล้ง ให้น้ำในช่วงฤดูแล้งอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ในกรณีพ้ืนที่ปลูกไม่มีแหล่งน้ำ ให้ใช้เศษวัชพืชหรือฟางข้าว คลุมบริเวณโคนต้นต้ังแต่หมดฤดูฝนโดยเฉพาะพื้นที่ปลูกกาแฟ กลางแจ้ง ซ่ึงช่วงที่สำคัญที่ต้นกาแฟต้องการน้ำ ไดแ้ ก่ 3.2.1) ช่วงหลังจากดอกพักตัวสมบูรณ์และจะออกจากการพักตัว หากมีน้ำไม่ เพียงพอต้องให้น้ำ เพิ่มเติม มิฉะน้ันดอกและผลพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ดอกจะเหี่ยวและฝ่อไปทำให้ไม่มีการติดผล เกษตรกรควรใหน้ ำ้ เพือ่ ช่วยให้ดอกมีการพัฒนาและตดิ ผลได้ดี 3.2.2) ช่วงพัฒนาผลในช่วงเริ่มติดผล หลังจากดอกได้รับการผสมเกสรแล้ว เกิดการติดผลขนาด เล็กมากอยู่เบียดกันเป็นกลุ่ม หากความช้ืนไม่เพียงพอ ดอกที่เร่ิมติดแล้วอาจจะฝ่อหรือ เหลืองร่วงหลุดไป หากให้น้ำแล้วในช่วงดอกบานและดินยังช้ืนอยู่ไม่จำเป็นต้องให้น้ำ หากไม่ได้ให้น้ำมาก่อน และฝนท้ิงช่วงนานกว่า 3 สัปดาห์ ควรใหน้ ำ้ ทุก 3 - 4 สปั ดาห์ 3.2.3) ช่วงทผ่ี ลกำลังขยายตวั อยา่ งรวดเร็ว และชว่ งที่ผลสะสมนำ้ หนักแห้งเป็นชว่ ง สำคญั ที่สดุ ต้นกาแฟไม่ควรขาดนำ้ ในช่วงน้ี (อายุ 3 - 4 เดอื นหลังดอกบาน) เพราะผลจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากขนาดเมล็ดพริกไทย ขยายขนาดโตขึ้นเร่ือย ๆ เป็นเวลา 3 เดือน ผลจะสร้างเน้ือเยื่อรอบ ๆ เมล็ดมากกว่า เนือ้ เมล็ด และสร้างช่องว่างไวใ้ หเ้ มล็ดเตบิ โตมีขนาดเล็ก หากขาดนำ้ จะทำให้เมลด็ มีขนาดเล็กทำใหม้ ีผลผลิตต่ำ หากฝนไมต่ กในช่วงน้ีควรต้องให้นำ้ แก่ตน้ กาแฟ และชว่ งที่ผลสะสมน้ำหนกั แหง้ ซง่ึ เป็นชว่ งระยะต่อจากช่วงผล ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และในช่วงทผ่ี ลสรา้ งเนื้อเมลด็ ในช่วงน้ีดินควรจะมีความชื้น และหากฝนมกี ารทิ้งช่วงนาน กว่า 3 สัปดาหค์ วรให้น้ำชว่ ย 3.3) การตัดแต่งกิ่ง ในช่วงปีแรกควรใช้ระบบกาแฟลำต้นเดี่ยวแล้วปล่อยให้ระดับ ความสงู ตามตอ้ งการ หลงั จากนั้นจึงทำการตัดยอด สว่ นต้นกาแฟอายุมากมี 2 วธิ ีทีแ่ นะนำคอื 3.3.1) วิธีที่ 1 การตัดแต่งก่ิงแบบบังคับทรงพุ่ม เป็นการตัดยอดไม่ให้ต้นสูง เกินไป จะทำให้เก็บเกี่ยวง่าย โดยตัดที่ความสูง 150 - 160 เซนติเมตร มีการตัดแต่งและเล็มก่ิงที่แห้งที่ไม่ให้ ผลผลิตออก และเพ่ือให้ต้นกาแฟเจริญไปทางกิ่งแขนง และตัดปลายก่ิงแขนงที่ 1 เพื่อกระตุ้นให้เกิดก่ิงแขนง

26 ที่ 2 เป็นการเพิ่มพื้นท่ีติดผลมากข้ึน และเพ่ิมทรงพุ่มให้แน่นข้ึน ช่วยในการกำจัดส่วนที่เป็นโรคและแมลง ช่วยให้อากาศถา่ ยเทสะดวก แสงแดดส่องทั่วถึง เป็นการรักษาสมดุลระหว่างใบให้เหมาะสมและยังสร้างกิ่งใหม่ ซึ่งมีความสมบูรณ์ เหมาะสำหรับต้นกาแฟอาราบิก้าที่มีอายุ 8 ปีข้ึนไปแต่ยังให้ผลผลิตอยู่ พบว่าทำให้ผลผลิต กาแฟอาราบกิ า้ เพิ่มข้นึ ประมาณรอ้ ยละ 80 - 95 ข้นึ กับการปฏิบตั หิ ลังการตดั แต่ง 3.3.2) วิธีท่ี 2 การตัดฟื้นต้น เป็นการตัดต้นทรงพุ่มกาแฟออกหมดหรือเกือบหมด ทงั้ ทรงพุ่ม โดยตดั ลำต้นที่โคนต้นระดับสูงจากผวิ ดิน 30 - 50 เซนติเมตร เลือกก่ิงท่ีมลี ักษณะสมบูรณแ์ ข็งแรงไว้ ประมาณ 2 – 3 กิ่ง เว้นระยะห่างให้ทั่วพุ่ม ให้ลำต้นอยู่ตรงข้ามกัน ส่วนก่ิงท่ีเหลือที่ไม่ต้องการให้เอาออก เพ่ือให้กาแฟแตกลำต้นขึ้นใหม่ และได้เปรียบกว่าการปลูกต้นใหม่ โดยการตัดแต่งก่ิงแบบตัดฟ้ืนต้นเหมาะ สำหรับต้นกาแฟอาราบิก้าที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ท่ีไม่ให้ผลผลิตหรือมีผลผลิตลดลง พบว่าเร่ิมให้ผลผลิตหลังจาก ตดั แต่ง 2 ปี ขนึ้ กบั การปฏิบตั หิ ลงั การตัดแต่ง 3.4) การกำจัดวัชพืช โดยกาแฟจำเป็นต้องกำจัดวัชพืช อาจใช้แรงงานและ เคร่ืองจกั รกลตดั หรือใชส้ ารป้องกันกำจัดวชั พืชในการกำจดั 3.5) โรคที่สำคญั ของกาแฟพันธุอ์ าราบิกา้ มีดังน้ี 3.5.1) โรคใบจุดตากบ ลักษณะอาการจะเกิดจุดกลมขนาด 3 - 15 มิลลิเมตร ขอบสีน้ำตาลมีวงเหลืองล้อมรอบ กลางแผลมีสีเทาจนถึงสีขาวตรงกลางของแผล อาจจะเห็นจุดเล็ก ๆ สีดำ กระจายอยู่ทั่วไป ป้องกันโดยการดูแลต้นกาแฟให้แข็งแรงโดยใส่ปุ๋ยให้ต้นกาแฟสมบูรณ์ไม่ขาดธาตุอาหาร ไมค่ วรใส่ป๋ยุ ไนโตรเจนมากเกนิ ไป หากมีใบตดิ โรคควรทำลายทิ้งนอกแปลงปลกู 3.5.2) โรคใบจุด ลักษณะของกาแฟที่เกิดโรคน้ีคือใบมีแผลสีน้ำตาลขนาดใหญ่ ขอบแผลสีน้ำตาลเข้มมีวงสีเหลืองล้อมรอบ ตรงกลางของแผลอาจจะเห็นจุดเล็ก ๆ สีดำกระจายอยู่ทั่วไป ป้องกันโดยตัดแตง่ ใหท้ รงพุม่ โปรง่ เพื่อลดความช้นื หากมีใบติดโรคควรทำลายทิง้ นอกแปลงปลกู นอกจากน้ียังสามารถเกิดโรคโรคราสนิม โรคใบไหม้สีน้ำตาล โรคผลเน่า โรคกิ่ง แห้ง เชน่ เดยี วกับพนั ธโุ์ รบสั ต้า 3.6) แมลงศัตรกู าแฟ ดังนี้ 3.6.1) ด้วงหนวดยาวกาแฟ เป็นแมลงท่ีสำคัญและสร้างความเสียหายอย่างมาก พ้ืนที่สว่ นใหญ่ที่พบการระบาดมักเป็นกาแฟปลูกกลางแจ้ง โดยเฉพาะกาแฟที่อายุมากกว่า 5 ปี ตัวเต็มวัยสีขาว อมฟ้า มีสีขาวคาดที่ลำตัวและปีก ยาว 15 - 20 เซนติเมตร ต้นกาแฟท่ีถูกหนอนเจาะทำลายจะแสดงอาการ ใบเหลือง เห่ียว และมีอาการยืนต้นตายในที่สุด พบร่องรอยการคว่ันของหนอนเจาะลำต้นกาแฟต้ังแต่บริเวณ โคนตน้ ขนึ้ มาจนถึงกึ่งกลางต้น ตัวเต็มวัยจะกดั กนิ เน้ือไมใ้ นลกั ษณะการควั่นรอบลำต้น และเจาะเข้าไปกินในต้น ป้องกันโดยหารหม่ันสำรวจการเข้าทำลายในแปลงอย่างสม่ำเสมอ หากพบการทำลายให้ตัดกิ่งและลำต้นออก ทิง้ นอกแปลง จากน้นั เผาและทำลาย 3.6.2) เพลี้ยหอยเขียว เป็นเพลี้ยหอยเกราะอ่อน รูปร่างรี สีเหลืองปนเขียว หลังนูน ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณก่ิง ก้าน และใบ ทำให้ใบร่วง ต้นกาแฟชะงักการ เจริญเติบโต และทรุดโทรมลง หากระบาดในระยะติดผลจะทำให้ผลอ่อนมีขนาดเล็กลง เมล็ดลีบและผลร่วง

27 นอกจากน้ีเพล้ียหอยเขยี วยงั ถ่ายน้ำหวาน (Honey Dew) ข้ึนปกคลุมผิวใบ ส่งผลให้พน้ื ที่ในการสงั เคราะห์แสง ลดลง และเป็นแหล่งเพาะราดำ วิธีป้องกันคือ ทำความสะอาดแปลงและหมั่นตรวจดูตามยอดอ่อน ใบอ่อน ก่ิง กา้ น ใบ ของกาแฟอยเู่ สมอ หากพบการทำลายให้ตดั บริเวณท่ถี กู ทำลายออกท้ิงนอกแปลง จากนัน้ เผาทำลาย 3.6.3) เพล้ียแป้งกาแฟ เป็นเพลี้ยแป้งรูปไข่ สีชมพูปนม่วงอ่อน มีไขสีขาวปกคลุม อย่รู อบลำตัว มขี นาดสั้น ไขบนหลงั บางจนเห็นเป็นเส้นจาง ๆ กลางลำตัว และมีขนแขง็ ค่อนข้างยาว ท้ังตัวอ่อน และตวั เต็มวยั ดดู กนิ นำ้ เล้ียงบรเิ วณยอดอ่อน ก่งิ ก้าน ใบ ทำให้ยอดหงิกงอผิดรูป ต้นชะงักการเจริญเตบิ โตและ ทรุดโทรมลง มีการถ่ายน้ำหวาน (Honey Dew) ขึ้นคลุมผิวใบ ทำให้พื้นที่สังเคราะห์แสงลดลง และเป็นแหล่ง เพาะราดำ วิธีป้องกันคือ ทำความสะอาดแปลงและหม่ันตรวจดูตามยอดอ่อน ใบอ่อน กิ่ง ก้าน ใบ ของกาแฟ อยู่เสมอ หากพบการทำลายให้ตัดบรเิ วณที่ถูกทำลายออกท้ิงนอกแปลง จากนัน้ เผาทำลาย 3.6.4) เพลยี้ ออ่ นสม้ สีดำ โดยเพลี้ยออ่ นมสี คี ่อนข้างดำ ทง้ั ตัวอ่อนและตวั เต็มวยั ดูด กินน้ำเล้ียงบริเวณยอดอ่อน และใบอ่อน ทำให้ยอดอ่อน และใบอ่อนชะงักการเจริญเติบโตและโทรมลง นอกจากนี้เพลี้ยอ่อนยงั ถ่ายน้ำหวาน (Honey Dew) ขึน้ ปกคลุมผิวใบ ส่งผลให้พ้ืนท่ีในการสังเคราะห์แสงลดลง และเป็นแหล่งเพาะราดำ โดยเพลี้ยอ่อนชนิดน้ีเป็นพาหะนำโรคไวรัสมาสู่กาแฟอีกด้วย วิธีป้องกันคือ ทำความ สะอาดแปลงและหม่ันตรวจดูตามยอดอ่อน ใบอ่อน ก่ิง ก้าน ใบ ของกาแฟอยู่เสมอ หากพบการทำลายให้ตัด บริเวณท่ีถกู ทำลายออกท้ิงนอกแปลง จากนัน้ เผาทำลาย นอกจากน้ียังมีศัตรูกาแฟ ได้แก่ หนอนเจาะต้นกาแฟสีแดง มอดเจาะกิ่งกาแฟ มอดเจาะผลกาแฟ เช่นเดยี วกบั พนั ธุ์โรบสั ตา้ 3.7) การเกบ็ เก่ียวและการปฏบิ ตั ิหลงั การเก็บเกย่ี ว 3.7.1) การเก็บเก่ียว ควรเก็บเฉพาะผลสุกที่มีสีแดง และผลท่ีมีสีเหลืองหรือเหลือง เข้ม ร้อยละ 80 ของพนื้ ทผ่ี ิวท้ังผลขึ้นไป โดยเก็บทีละขอ้ ไม่ควรเก็บแบบรดู 3.7.2) หลังเก็บเกี่ยวควรแปรรูปทันที ไม่ควรทิ้งผลกองรวมกันมากกว่า 24 ชั่วโมง เน่ืองจากจะเกิดกระบวนการหมักในผลกาแฟที่เก็บเก่ียวกองรวมไว้ จะทำให้เกิดการดูดกลืนกลิ่นท่ีไม่พึง ประสงค์ เช่น กล่ินกระสอบ กล่ินเมล็ดกาแฟสดเน่า กล่ินดิน และเพ่ือให้กาแฟอาราบิก้าที่เก็บเก่ียวสามารถ คงคณุ ภาพไวไ้ ด้ 3.7.3) การแปรรูปเป็นสารกาแฟ มี 5 วิธี ได้แก่ 1) การแปรรูปโดยวิธีแห้ง โดยทั่วไปในกาแฟอาราบกิ ้าไมน่ ิยมการแปรรปู แบบแห้ง ทำให้คุณภาพของกล่ินและรสชาติของกาแฟอาราบิก้า ด้อยลง และมี Body ท่ีหนักเกินไป 2) การผลิตสารกาแฟวิธีเปียก จะใช้เวลาและพื้นท่ีการตากน้อยกว่าและ เมล็ดกาแฟมีคุณภาพที่ดีกว่าการแปรรูปแบบแห้ง 3) การผลิตสารกาแฟวิธีการใช้เอนไซม์ (Bio Processing) โดยการประยุกต์ใช้เอนไซม์ชนิด เพคติเนส เซลลูเลส และ เฮมิเซลลูเลส ในการใช้ในการย่อยเมือกกาแฟและ การพัฒนากลิ่นรสโดยปัจจุบันจะใช้ในอัตราส่วน 200 ppm 4) การผลิตสารกาแฟกระบวนการผสมผสาน (Semi- Dry/ Wet/Bio Processing) โดยการประยุกต์ใช้กระบวนการหมักแบบแห้งและเปียก เพื่อการพัฒนา กลิ่นรสใหม่โดยปัจจุบันมีการพฒั นากระบวนการหมักท่ีช่ือว่า “Honey Process” โดยเป็นการผลิตกาแฟแบบ ก่ึงหมักโดยใช้เมือกกาแฟเป็นการพัฒนากลิ่นรสและเพิ่มมูลค่าในการผลิตกาแฟ และ 5) การใช้เคร่ืองขัดเมือก

28 (Demucilage machine) เป็นการประยุกต์ใช้เคร่ืองสีเมือกในการขัดเมือกกาแฟทันทีจากการสีเปลือกผล กาแฟ โดยในปัจจุบันจากงานวิจัยพบว่าเมือกกาแฟท่ีหลุดลอกจากเครื่องจักร จะหลุดเพียงร้อยละ 80 (Turbidity > 1,200) ซ่ึงต่างกับการหมักกาแฟที่หลุดมากกว่าร้อยละ 98 (Turbidity > 1,500) โดยคุณภาพ เมอื กท่ีหลุดมีผลตอ่ การผลติ กลน่ิ รสของสารกาแฟที่ทำการแปรรูปตอ่ ไป 3.7.4) การบรรจุ ควรบรรจุสารกาแฟในถุงแล้วใสใ่ นถุงกระสอบป่าน (กระสอบปอ) อีก 1 ชั้นเพื่อป้องกนั แสง แล้วเกบ็ ไวบ้ นชัน้ ไมใ้ นโรงเก็บทมี่ ีอากาศถา่ ยเทได้สะดวกและป้องกันการปนเป้ือนสาร กลุ่มโพลีไซคลกิ อะโรมาตกิ ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons : PAHs) และความชื้นไม่ ไมเ่ กินร้อยละ 12 เพ่ือลดปริมาณสารออกคราทอกซิน (Ochratoxin A) ปัจจุบันมีถงุ ชนิดแอคทีฟ พเี อ แอลดีพอี ี (Active Packaging (PA-LDPE)) ที่สามารถเก็บสารกาแฟได้เป็นเวลานาน ทั้งน้ีหากการเลือกบรรจุภัณฑ์ไม่ เหมาะสมในการบรรจสุ ารกาแฟ จะสามารถทำให้ผลการทดสอบทางประสาทสมั ผัสลดลงได้ 3.2 สภาพภูมิประเทศและสภาพทวั่ ไปของจังหวดั จันทบุรแี ละจงั หวัดตราด 3.2.1 สภาพภมู ปิ ระเทศและสภาพทวั่ ไปของจังหวัดจันทบรุ ี สภาพโดยท่ัวไปของจังหวัดจันทบุรี พบว่า ด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกเป็นพ้ืนท่ีป่าไม้ ภูเขา และเนินสูงเป็นส่วนใหญ่ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 30 – 150 เมตร ส่วนด้านทิศใต้เป็นชายฝั่งมีลักษณะเป็น ทีร่ าบลุ่มซึ่งบางแห่งเป็นอ่าว แหลม และหาดทราย สงู จากระดับน้ำทะเล 1 – 5 เมตร ด้านสภาพอากาศพบว่า จังหวัดจันทบุรีตั้งอยู่ในเขตอากาศร้อน ฤดูฝนเร่ิมตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม ฤดูหนาวเริ่มต้ังแต่เดือน พฤศจิกายนถึงเดอื นมกราคม ฤดูรอ้ นเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม ด้านแหล่งน้ำธรรมชาติ พบว่า มีแม่น้ำสำคัญ 4 สาย ได้แก่ แม่น้ำจันทบุรี แม่น้ำพังราด แม่น้ำเวฬุ และคลองโตนด มีแหล่งน้ำชลประทาน ทั้งส้ิน 121 โครงการ แยกเป็นโครงการชลประทานขนาดกลาง จำนวน 11 โครงการ พ้ืนที่ชลประทาน 208,800 ไร่ และโครงการชลประทานขนาดเล็ก จำนวน 110 โครงการ พื้นท่ีชลประทาน 132,900 ไร่ (ศูนย์วิจัยและพัฒนาเกษตรจังหวดั จนั ทบุรี, 2562) 3.2.2 สภาพภูมิประเทศและสภาพทวั่ ไปของจังหวดั ตราด สภาพโดยท่ัวไปของจังหวดั ตราด พบว่า มลี ักษณะภูมิประเทศแบบท่ีราบลุ่ม มภี ูเขากระจายอยู่ ทั่วไปในแทบทุกส่วนของจังหวัด โดยเฉพาะที่อำเภอบ่อไร่ อำเภอเขาสมิง อำเภอเมืองตราด พื้นที่แถบนี้จึงมี ความชุ่มช้ืนมากเป็นพิเศษ มีป่าไม้สีเขียวปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น ลักษณะสภาพภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้น และมีฝนตกชุกติดต่อกันประมาณ 6 เดือนต่อปี ฤดูฝนเร่ิมตั้งแต่เดือนกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือน ตลุ าคม ฤดูหนาวเรมิ่ ตั้งแต่ตัง้ กลางเดอื นตลุ าคมถึงกลางเดอื นกุมภาพันธ์ ฤดูร้อนเริ่มต้งั แต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ถงึ กลางเดือนพฤษภาคม ด้านแหล่งน้ำ พบว่า จังหวัดตราดมีปริมาณน้ำฝนเฉล่ีย 4,000 – 5,000 มิลลิเมตรต่อ ปี นับว่ามีปริมาณน้ำฝนสูงปริมาณน้ำในแม่น้ำลำคลองมีน้ำไหลตลอดปี แต่จะมีปัญหาน้ำเค็มในช่วงฤดูแล้ง เนื่องจากน้ำทะเลเข้ามายังแม่น้ำลำคลอง ทำให้ไม่สามารถนำน้ำไปใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตรและการ อปุ โภคบรโิ ภคได้ (ศนู ยว์ ิจัยและพัฒนาเกษตรจงั หวดั จนั ทบุรี, 2562)

29 3.3 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับกาแฟจันทบรู กาแฟจันทบูร เป็นกาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์เบอร์บอน (C.arabica var.Bourbon) กับสายพันธุ์แคทูร่า (Caturra) ถูกพัฒนาโดยบริษัทเอกชน มีลักษณะพันธุ์คือ ต้นเตี้ย ข้อถี่ สามารถปลูกและ เจริญเติบโตได้ดีในท่ีต่ำหรือที่ระดับความสูงน้ำทะเลไม่เกิน 800 เมตร ระยะที่เหมาะสมในการปลูกคือ 2 x 2 เมตร หรือ 400 ต้นต่อไร่ ช่วงปีแรกท่ีเริ่มปลุกควรหมั่นดูแลและให้น้ำกาแฟร่วมด้วย เม่ือกาแฟให้ผผลลิตแล้ว จะมีผลผลิตเป็นกาแฟผลสดเฉล่ียต้นละ 6 - 7 กิโลกรัม ด้านรสชาติกาแฟ พบว่า กาแฟสายพันธนุ์ ้ีจะมีรสชาติ กลมกลอ่ ม นุ่มนวล และหอมละมุนในระดบั กลาง เมล็ดมขี นาดเลก็ ปริมาณคาเฟอนี ต่ำ 3.4 ข้อมูลท่วั ไปของเกษตรกรผู้ปลกู กาแฟในสวนไม้ผลของจงั หวัดจันทบรุ แี ละตราด การวิจัยคร้ังนี้จัดเก็บข้อมูลโดยวิธีสำมะโนจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟร่วมกับสวนไม้ผลในจังหวัด จันทบุรีและตราด จำนวน 38 ราย ปลกู กาแฟพันธุ์โรบัสต้า จำนวน 23 ราย และปลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิก้าสาย พันธ์ุผสมระหว่างพันธุ์เบอร์บอน (C.arabica var.Bourbon) กับสายพันธุ์แคทูร่า (Caturra) หรือเรียกว่า “กาแฟจันทบูร” จำนวน 15 ราย มีขอ้ มลู ดงั น้ี 3.4.1 ข้อมลู ทั่วไปของเกษตรกรผ้ปู ลกู กาแฟพันธุ์โรบัสต้าของจังหวัดจนั ทบุรีและตราด จากข้อมูลของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุโรบัสต้าในจังหวัดจันทบุรีและตราดจำนวน 23 ราย เป็นเกษตรกรในพ้ืนท่ีจังหวัดตราด จำนวน 12 ราย คิดเป็นร้อยละ 52.17 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุ โรบัสต้าท้ังหมด และเป็นเกษตรกรในพ้ืนที่จังหวัดจันทบุรี จำนวน 11 ราย คิดเป็นร้อยละ 47.83 ของเกษตรกร ผปู้ ลูกกาแฟพันธ์ุโรบสั ตา้ ทง้ั หมด ผลการศกึ ษา ดังน้ี 1) ข้อมูลทวั่ ไป 1.1) เพศ พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 16 ราย คิดเป็นร้อยละ 69.57 ของเกษตรกรทปี่ ลูกกาแฟพันธ์โุ รบัสตา้ ท้ังหมด และเพศชาย จำนวน 7 ราย คิดเปน็ ร้อยละ 30.43 ของเกษตรกร ผูป้ ลูกกาแฟพันธโุ์ รบสั ต้าท้ังหมด (ตารางที่ 3.2) ตารางท่ี 3.2 เพศของเกษตรกรผปู้ ลกู กาแฟพันธุ์โรบัสต้าในจงั หวัดจนั ทบรุ แี ละตราด รายการ จำนวน (ราย) ร้อยละ เพศ รวม 7 30.43 ชาย 16 69.57 หญงิ 23 100.00 ที่มา: จากการสำรวจ 1.2) อายุ พบว่า อายุของเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 51 - 60 ปี จำนวน 8 ราย คิดเป็นร้อยละ 34.78 ของเกษตรกรที่ปลูกกาแฟพันธ์ุโรบัสต้าทั้งหมด รองลงมาคือช่วงอายุ 41 - 50 ปี จำนวน 6 ราย คดิ เป็นร้อยละ 26.09 และชว่ งอายุมากกว่า 70 ปี คิดเปน็ รอ้ ยละ 21.74 ของเกษตรกรผปู้ ลูกกาแฟพันธ์ุ โรบัสต้าทั้งหมด ซ่ึงอายุเฉล่ียของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าเฉลี่ย 56.43 ปี แสดงให้เห็นว่า เกษตรกร

30 ส่วนใหญ่ค่อนข้างสูงอายุ ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาสำหรับการส่งเสริมหรือการยอมรับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ใหม่ ๆ ไดน้ ้อย (ตารางที่ 3.3) ตารางท่ี 3.3 อายขุ องเกษตรกรผปู้ ลกู กาแฟพนั ธุโ์ รบสั ต้าในจงั หวดั จนั ทบรุ ีและตราด รายการ จำนวน (ราย) รอ้ ยละ อายุ 31 - 40 ปี 3 13.04 41 - 50 ปี 6 26.09 51 - 60 ปี 8 34.78 61 - 70 ปี 1 4.35 มากกวา่ 70 ปี 5 21.74 รวม 23 100.00 ทม่ี า: จากการสำรวจ 1.3) อาชีพหลัก พบว่า อาชีพหลักส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร จำนวน 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 91.30 ของเกษตรกรทป่ี ลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าท้ังหมด รองลงมาคือทำงานประจำ จำนวน 1 ราย คดิ เป็นร้อยละ 4.35 และทำธุรกิจส่วนตัว จำนวน 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.35 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุโรบัสต้าท้ังหมด ซ่ึงจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ท่ีปลูกกาแฟสายพันธุ์นี้จะประกอบอาชีพเกษตรกร เนื่องจากเกษตรกรต้องการ ปลูกกาแฟเพื่อเสริมรายได้กับไม้ผลเดิมที่ตนปลูกอยู่ อีกทั้งยังมีการพบปะกันหรือเข้าร่วมประชุมต่าง ๆ ทำให้ เกษตรกรไดม้ กี ารชักชวนกันเพอื่ ให้ปลูกกาแฟรว่ มกับไมผ้ ล (ตารางที่ 3.4) ตารางท่ี 3.4 อาชีพหลักของเกษตรกรผู้ปลกู กาแฟพันธโ์ุ รบัสต้าในจงั หวดั จันทบุรแี ละตราด รายการ จำนวน (ราย) ร้อยละ อาชพี หลกั เกษตรกร 21 91.30 ทำงานประจำ 1 4.35 ธุรกิจสว่ นตวั 1 4.35 รวม 23 100.00 ที่มา: จากการสำรวจ 1.4) ระดับการศึกษา พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่จบประถมศึกษา จำนวน 12 ราย คิดเป็น ร้อยละ 52.17 ของเกษตรกรท่ีปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าทั้งหมด รองลงมาจบปริญญาตรี จำนวน 5 ราย คิดเป็น รอ้ ยละ 21.74 และจบมธั ยมศึกษาตอนปลายหรือเทยี บเทา่ จำนวน 3 ราย คิดเป็นรอ้ ยละ 13.04 ของเกษตรกร ผู้ปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าท้ังหมด ซึ่งจะเห็นได้ว่าเกษตรกรส่วนใหญ่จบประถมศึกษา เนื่องจากเกษตรกรส่วน ใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีการเข้าถึงการศึกษาได้น้อย มีการช่วยพ่อแม่ทำเกษตรกรตั้งแต่อยู่วัยหนุ่มสาว เมื่อจบ ประถมศึกษาแล้วจึงประกอบอาชีพเกษตรกรมากกวา่ ท่ีจะเลือกเรียนต่อ ซึง่ ระดับการศกึ ษาอาจมีผลในด้านการ ยอมรับเทคโนโลยหี รือปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมในเรื่องการผลิตกาแฟสายพนั ธุโ์ รบัสต้าได้ (ตารางท่ี 3.5)

31 ตารางท่ี 3.5 ระดับการศกึ ษาของเกษตรกรผู้ปลกู กาแฟพนั ธ์ุโรบสั ต้าในจังหวัดจนั ทบุรีและตราด รายการ จำนวน (ราย) ร้อยละ ระดับการศึกษา ประถมศกึ ษา 12 52.17 มธั ยมศึกษาตอนตน้ หรือเทียบเท่า 1 4.35 มัธยมศกึ ษาตอนปลายหรือเทยี บเท่า 3 13.04 อนุปรญิ ญาหรอื เทยี บเทา่ 2 8.70 ปรญิ ญาตรี 5 21.74 รวม 23 100.00 ท่ีมา: จากการสำรวจ 2) ข้อมลู เกย่ี วกับการทำเกษตร 2.1) จำนวนสมาชิกและแรงงานภาคเกษตรในครัวเรือน พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่มีสมาชิก ในครัวเรือน 1 - 2 คนต่อครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 56.25 ของเกษตรกรที่ปลูกกาแฟพันธ์ุโรบัสต้าท้ังหมด รองลงมาคือ มากกว่า 5 คนต่อครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 26.09 และแต่ละครัวเรือนส่วนใหญ่มีแรงงานภาค เกษตรจำนวน 1 - 2 คนต่อครวั เรือน คิดเป็นร้อยละ 73.91 รองลงมาคอื 3 - 4 คนต่อครัวเรอื น คิดเป็นร้อยละ 21.74 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า เกษตรกรส่วนใหญ่มีแรงงานท่ีทำ การเกษตรเพยี ง 1 – 2 คนตอ่ ครวั เรือนเท่าน้ัน อาจเกดิ ปัญหาขาดแคลนแรงงานได้ (ตารางท่ี 3.6) ตารางที่ 3.6 จำนวนสมาชิกและแรงงานภาคเกษตรในครวั เรอื นของเกษตรกรผปู้ ลูกกาแฟพันธุ์โรบสั ต้าใน จังหวดั จนั ทบุรีและตราด รายการ จำนวน (ราย) ร้อยละ จำนวนสมาชิกในครวั เรอื น 13 56.52 1 – 2 คน 4 17.39 3 – 4 คน 6 26.09 5 คนขนึ้ ไป แรงงานภาคเกษตร รวม 23 100.00 1 – 2 คน รวม 3 – 4 คน 17 73.91 5 คนข้ึนไป 5 21.74 1 4.35 ทม่ี า: จากการสำรวจ 23 100.00

32 2.2) พื้นที่ท้ังหมดในการทำเกษตร พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่มีพ้ืนที่ท้ังหมดในการทำ การเกษตร 1 - 10 ไร่ และ 21 - 30 ไร่ จำนวน 6 รายเท่ากัน คิดเป็นร้อยละ 26.09 และ 26.09 ของเกษตรกร ที่ปลูกกาแฟพันธ์ุโรบัสต้าทั้งหมด ตามลำดับ รองลงมา คือ 31 - 40 ไร่ จำนวน 5 ราย คิดเป็นร้อยละ 21.74 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุโรบัสต้าท้ังหมด โดยมีพื้นที่ทำการเกษตรรวมทั้งหมด 890.50 ไร่ และเป็นพ้ืนท่ี ของตนเองทั้งหมด (ตารางที่ 3.7) ตารางท่ี 3.7 พนื้ ที่ท้ังหมดในการทำเกษตรของเกษตรกรผู้ปลกู กาแฟพันธโุ์ รบสั ต้าของจังหวัดจันทบุรีและตราด รายการ จำนวน (ราย) รอ้ ยละ พืน้ ทใี่ นการทำเกษตรรวม 1 - 10 ไร่ 6 26.09 11 - 20 ไร่ 4 17.39 21 - 30 ไร่ 6 26.09 31 - 40 ไร่ 5 21.74 41 - 50 ไร่ 0 0.00 มากกวา่ 50 ไร่ 2 8.69 รวมพืน้ ทีใ่ นการทำการเกษตร 890.50 ไร่ 23 100.00 ท่มี า: จากการสำรวจ 2.3) เน้ือที่ยืนต้นและเนื้อที่ให้ผลกาแฟพันธุ์โรบัสต้า พบว่า มีเน้ือที่ยืนต้นรวม 55.20 ไร่ แบง่ เป็นเนื้อทีย่ นื ตน้ ในจังหวัดจนั ทบุรี จำนวน 40.10 ไร่ คิดเป็นรอ้ ยละ 72.64 ของเนื้อท่ียืนตน้ ท้ังหมด และอยู่ ในจังหวัดตราดจำนวน 15.10 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 27.36 ของเน้ือท่ียืนต้นทั้งหมด และมีเนื้อท่ีให้ผลรวม 16.75 ไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดจันทบุรี จำนวน 11.69 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 69.79 และอยู่ในจังหวัดตราด จำนวน 5.06 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 30.21 ของเนื้อที่ให้ผลทั้งหมด จะเห็นได้วา่ ในจังหวัดจันทบุรีมเี น้ือที่ยนื ตน้ และ เน้ือท่ีให้ผลกาแฟพันธ์ุโรบัสต้ามากกว่าในจังหวัดตราด เนื่องจากเกษตรกรในจังหวัดจันทบุรีมีพื้นที่ทำ การเกษตรมากกว่า ส่งผลให้มีพ้ืนท่ปี ลูกกาแฟไดม้ ากกว่า (ตารางที่ 3.8)

33 ตารางท่ี 3.8 เนอ้ื ที่ยนื ต้นและเนอ้ื ทใี่ หผ้ ลกาแฟพนั ธโุ์ รบสั ต้าของเกษตรกรผู้ปลกู กาแฟพนั ธุ์โรบสั ต้า ของจังหวดั จนั ทบรุ ีและตราด รายการ จำนวน (ไร่) รอ้ ยละ เนือ้ ท่ยี นื ตน้ 40.10 72.64 จนั ทบุรี 15.10 27.36 ตราด 55.20 100.00 รวม เน้ือท่ใี หผ้ ล จนั ทบรุ ี 11.69 69.79 ตราด 5.06 30.21 รวม 16.75 100.00 ท่ีมา: จากการสำรวจ 2.4) เหตุผลที่เลือกปลูกกาแฟ พบว่า เกษตรกรเลือกปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าเนื่องจาก ต้องการมีรายได้เสริม จำนวน 23 ราย คิดเป็นร้อยละ 67.65 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุโรบัสต้าทั้งหมด รองลงมาคือปลูกตามคำแนะนำของเพื่อนบ้าน จำนวน 8 ราย คิดเป็นร้อยละ 23.53 และปลูกเน่ืองจากกาแฟ พันธ์ุโรบัสต้าเป็นพืชที่ปลูกและดูแลรักษาง่าย จำนวน 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 8.82 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ พันธโ์ุ รบัสตา้ ทง้ั หมด (ตารางท่ี 3.9) ตารางที่ 3.9 เหตุผลท่เี ลือกปลกู กาแฟของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุโรบสั ต้าในจังหวดั จนั ทบุรแี ละตราด รายการ จำนวน (ราย) ร้อยละ เหตผุ ลทเี่ ลอื กปลูกกาแฟ (ตอบได้มากกว่า 1 ขอ้ ) 23 67.65 ตอ้ งการมรี ายได้เสรมิ 8 23.53 ปลกู ตามคำแนะนำของเพ่ือนบา้ น 3 8.82 ปลูกและดแู ลรักษาง่าย 34 100.00 รวม ท่ีมา: จากการสำรวจ 3.4.2 ข้อมูลทั่วไปของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ของจังหวัดจันทบุรี และตราด จากข้อมูลของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ในจังหวัดจันทบุรีและตราด จำนวน 15 ราย เป็นเกษตรกรในพ้ืนที่จังหวัดจันทบุรี จำนวน 12 ราย คิดเป็นร้อยละ 80.00 ของเกษตรกรปลูก กาแฟพันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ทั้งหมด และเป็นเกษตรกรในพ้ืนท่ีจังหวัดตราด จำนวน 2 ราย คิดเป็น ร้อยละ 20.00 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ท้ังหมด ทั้งน้ี เนื่องจากบริษัทเอกชนได้

34 ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกกาแฟสายพันธ์ุนี้เป็นกลุ่มแรกท่ีจังหวัดจันทบุรี จึงมีผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟ จันทบูร) ในพืน้ ทจ่ี ังหวดั จันทบรุ มี ากกวา่ จังหวดั ตราด ผลการศกึ ษา ดังนี้ 1) ข้อมลู ทัว่ ไป 1.1) เพศ พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จำนวน 13 ราย คิดเป็นร้อยละ 86.67 ของ เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ทั้งหมด และเพศหญิง จำนวน 2 ราย คิดเป็นร้อยละ 13.33 ของเกษตรกรปลูกกาแฟพนั ธ์ุอาราบิก้าทัง้ หมด (ตารางท่ี 3.10) ตารางท่ี 3.10 เพศของเกษตรกรผปู้ ลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ในจงั หวัดจนั ทบุรีและตราด รายการ จำนวน (ราย) รอ้ ยละ เพศ รวม 13 86.67 ชาย 2 13.33 หญงิ 15 100.00 ท่มี า: จากการสำรวจ 1.2) อายุ พบว่า อายุของเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุมากกว่า 70 ปี จำนวน 7 ราย คิดเป็นร้อยละ 46.67 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ทั้งหมด รองลงมาคือช่วงอายุ 41 - 50 ปี จำนวน 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 26.67 และช่วงอายุ 51 – 60 ปี จำนวน 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 20.00 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ท้ังหมด ซึ่งอายุเฉล่ียของเกษตรกรปลูกกาแฟ พันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) มีอายุเฉลี่ย 62.67 ปี แสดงให้เห็นว่า เกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่ง อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตในอนาคตลดลง เนื่องจากปัญหาสุขภาพของแรงงานและข้อจำกัดด้านการ เรยี นรูเ้ ทคโนโลยีใหมท่ ่ีจะนำมาปรับใช้ด้านการเกษตร (ตารางท่ี 3.11) ตารางที่ 3.11 อายุของเกษตรกรผปู้ ลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟจนั ทบูร) ในจังหวัดจนั ทบรุ แี ละตราด อายุ รายการ จำนวน (ราย) รอ้ ยละ 41 - 50 ปี รวม 51 - 60 ปี 4 26.67 61 - 70 ปี 3 20.00 มากกว่า 70 ปี 1 6.66 7 46.67 15 100.00 ที่มา: จากการสำรวจ 1.3) อาชีพหลัก พบว่า มีอาชีพหลักเป็นเกษตรกรท้ังหมดทุกราย คิดเป็นร้อยละ 100.00 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ท้ังหมด ซึ่งเกษตรกรมีความสนใจท่ีจะปลูกกาแฟเพื่อ เสริมรายได้ในสวยไม้ผล อีกทั้งยังมีการพบปะกันหรือเข้าร่วมประชุมต่าง ๆ ทำให้เกษตรกรได้มีการชักชวนกัน เพ่ือใหป้ ลกู กาแฟรว่ มกับไมผ้ ล (ตารางที่ 3.12)

35 ตารางท่ี 3.12 อาชีพหลักของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพนั ธุ์อาราบิก้า (กาแฟจนั ทบูร) ในจังหวัดจันทบรุ ีและตราด รายการ จำนวน (ราย) รอ้ ยละ อาชีพหลกั เกษตรกร 15 100.00 รวม 15 100.00 ท่มี า: จากการสำรวจ 1.4) ระดับการศึกษา พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่จบประถมศึกษา จำนวน 7 ราย คิดเป็น ร้อยละ 46.67 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ทั้งหมด รองลงมาคือจบมัธยมศึกษา ตอนต้นหรือเทียบเท่า จำนวน 6 ราย คิดเป็นร้อยละ 40.00 และจบอนุปริญญาหรือเทียบเท่า จำนวน 2 ราย คิดเป็นร้อยละ 13.33 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ทั้งหมด ซ่ึงจะเห็นได้ว่า เกษตรกรส่วนใหญ่จบประถมศึกษา เน่ืองจากเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีการเข้าถึงการศึกษาได้น้อย ซ่ึงระดับการศึกษาอาจมีผลในด้านการยอมรับเทคโนโลยีหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในเร่ืองการผลิตกาแฟ สายพนั ธ์ุอาราบกิ ้า (กาแฟจนั ทบรู ) ได้ (ตารางท่ี 3.13)

36 ตารางที่ 3.13 ระดับการศกึ ษาของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพนั ธอ์ุ าราบิก้า (กาแฟจนั ทบรู ) ในจงั หวดั จันทบุรีและตราด รายการ จำนวน (ราย) ร้อยละ ระดับการศึกษา ประถมศกึ ษา 7 46.67 มธั ยมศกึ ษาตอนต้นหรอื เทยี บเท่า 6 40.00 อนปุ รญิ ญาหรือเทียบเท่า 2 13.33 รวม 15 100.00 ท่ีมา: จากการสำรวจ 2) ขอ้ มลู เกีย่ วกบั การทำเกษตร 2.1) จำนวนสมาชิกและแรงงานภาคเกษตรในครัวเรือน พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่มีสมาชิก ในครัวเรือน 3 - 4 คนต่อครัวเรือน และ 5 คนข้ึนไปต่อครัวเรือน จำนวนเท่ากัน คือ 6 ราย คิดเป็นร้อยละ 40.00 และ 40.00 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ท้ังหมด ตามลำดับ รองลงมาคือ 1 - 2 คนต่อครวั เรือน คิดเป็นร้อยละ 20.00 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิกา้ (กาแฟจันทบูร) ท้ังหมด และแต่ละครัวเรือนส่วนใหญ่มีแรงงานภาคเกษตรจำนวน 3 - 4 คนต่อครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 60.00 รองลงมาคือ 1 - 2 คนต่อครวั เรือน คิดเปน็ ร้อยละ 33.33 และ 5 คนข้ึนไป คิดเป็นร้อยละ 6.67 ของเกษตรกร ผู้ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า เกษตรกรส่วนใหญ่มีแรงงานที่ทำ การเกษตร 3 - 4 คนต่อครัวเรือน อาจประหยดั ตน้ ทนุ ค่าจ้างท่ีเป็นตัวเงินในการจา้ งแรงงานภายนอกได้ (ตาราง ท่ี 3.14) ตารางท่ี 3.14 จำนวนสมาชิกและแรงงานภาคเกษตรในครวั เรือนของเกษตรกรผปู้ ลูกกาแฟพนั ธุอ์ าราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ในจงั หวัดจันทบุรี และตราด รายการ จำนวน (ราย) ร้อยละ จำนวนสมาชกิ ในครวั เรือน 1 – 2 คน 3 20.00 3 – 4 คน 6 40.00 5 คนข้ึนไป 6 40.00 รวม 15 100.00 แรงงานภาคเกษตร 1 – 2 คน 5 33.33 3 – 4 คน 9 60.00 5 คนขน้ึ ไป 1 6.67 รวม 15 100.00 ที่มา: จากการสำรวจ

37 2.2) พื้นท่ีท้ังหมดในการทำเกษตร พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่มีพื้นที่ท้ังหมดในการทำการเกษตร 31 - 40 ไร่ จำนวน 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 26.67 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ทั้งหมด รองลงมาคือ 1 - 10 ไร่ จำนวน 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 20.00 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุ อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ท้ังหมด โดยมีพื้นท่ีทำการเกษตรรวมทั้งหมด 607.00 ไร่ โดยเกษตรกรส่วนใหญ่มีพื้นที่ใน การทำเกษตรของตนเอง จำนวน 14 ราย คิดเป็นร้อยละ 93.33 และเป็นพ้ืนที่เช่า 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 6.67 ของ เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิกา้ (กาแฟจนั ทบูร) ทง้ั หมด (ตารางที่ 3.15) ตารางท่ี 3.15 พื้นที่ทั้งหมดในการทำเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพนั ธอุ์ าราบกิ ้า (กาแฟจนั ทบรู ) ในจังหวัดจนั ทบุรแี ละตราด รายการ จำนวน (ราย) รอ้ ยละ พ้นื ที่ในการทำเกษตรรวม 1 - 10 ไร่ 3 20.00 11 - 20 ไร่ 2 13.33 21 - 30 ไร่ 2 13.33 31 - 40 ไร่ 4 26.68 41 - 50 ไร่ 2 13.33 มากกว่า 50 ไร่ 2 13.33 รวมพ้นื ที่ในการทำการเกษตร 607.00 ไร่ 15 100.00 พื้นที่ในการทำเกษตร ท่ขี องตนเอง 14 93.33 ท่ีเชา่ 1 6.67 รวม 15 100.00 ทีม่ า: จากการสำรวจ 2.3) เนื้อท่ียืนต้นและเนื้อที่ให้ผลกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) พบว่า มีเน้ือท่ียืนต้น รวม 45.84 ไร่ แบ่งเป็นเนอ้ื ทยี่ นื ตน้ ในจังหวดั จันทบุรี จำนวน 41.50 ไร่ คิดเป็นรอ้ ยละ 90.53 ของเนื้อทยี่ ืนต้น ทงั้ หมด อยู่ในจังหวัดตราดจำนวน 4.34 ไร่ คดิ เป็นรอ้ ยละ 9.47 ของเน้ือที่ยืนต้นท้ังหมด และมีเนื้อที่ให้ผลรวม 7.50 ไร่ อยู่ในจังหวัดจันทบุรีทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 100.00 ของเน้ือที่ให้ผลทั้งหมด จะเห็นได้ว่าในจังหวัด จันทบุรีมีเนื้อที่ยืนต้นและเน้ือที่ให้ผลกาแฟพันธุ์โรบัสต้ามากกว่าในจังหวัดตราด เนื่องจากเกษตรกรในจังหวัด จันทบุรีมีพื้นท่ีทำการเกษตรมากกว่า ประกอบกับบริษัทเอกชนได้เข้ามาส่งเสริมให้เกษตรกรในจังหวัดจันทบุรี ปลูกกาแฟพันธอ์ุ าราบิก้า (กาแฟจนั ทบูร) เป็นจงั หวัดแรก สง่ ผลใหม้ ีพ้นื ทป่ี ลกู กาแฟไดม้ ากกว่า (ตาราง 3.16)

38 ตารางท่ี 3.16 เนื้อทย่ี ืนต้นและเนื้อท่ีให้ผลกาแฟนพนั ธ์ุอาราบิกา้ (กาแฟจนั ทบูร) ของจังหวัดจนั ทบรุ แี ละตราด รายการ จำนวน (ไร่) รอ้ ยละ เน้อื ท่ยี นื ต้น จนั ทบุรี 41.50 90.53 ตราด 4.34 9.47 รวม 45.84 100.00 เนอื้ ท่ใี ห้ผล จันทบุรี 7.50 100.00 รวม 7.50 100.00 ทมี่ า: จากการสำรวจ 2.4) เหตุผลท่ีเลือกปลูกกาแฟ พบว่า เกษตรกรเลือกปลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิก้า (กาแฟ จันทบูร) เน่ืองจากต้องการมีรายได้เสริม จำนวน 15 ราย คิดเปน็ รอ้ ยละ 71.44 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธุ์ อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ท้ังหมด รองลงมาคือกาแฟปลูกและดูแลรักษาง่าย ปลูกตามคำคำแนะนำของเพ่ือน บ้าน จำนวนเท่ากันคือ 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 14.28 และ 14.28 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (กาแฟจันทบูร) ท้งั หมด ตามลำดับ (ตารางท่ี 3.17) ตารางที่ 3.17 เหตผุ ลท่เี ลือกปลกู กาแฟของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟอาราบกิ า้ (กาแฟจันทบูร) ในจงั หวัด จนั ทบรุ ีและตราด รายการ จำนวน (ราย) ร้อยละ เหตุผลทีเ่ ลอื กปลกู กาแฟ (ตอบได้มากกวา่ 1 ขอ้ ) ตอ้ งการมีรายได้เสรมิ 15 71.44 ปลูกตามคำแนะนำของเพื่อนบา้ น 3 14.28 ปลูกและดแู ลรกั ษาง่าย 3 14.28 รวม 21 100.00 ท่ีมา: จากการสำรวจ

บทท่ี 4 ผลการศกึ ษา ผลการวิจัยเร่ือง เศรษฐกิจการผลิต การตลาด ของกาแฟในสวนผลไม้ จังหวัดจันทบุรีและตราด แบง่ การวิเคราะหข์ ้อมูลเปน็ 3 ส่วน ดังนี้ สว่ นท่ี 1 ลักษณะการผลิตรวมถึงปญั หาการผลติ และการตลาดของการผลิตกาแฟรว่ มกับไม้ผลของ เกษตรกรในจงั หวัดจันทบรุ ีและตราด ส่วนที่ 2 ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตกาแฟร่วมกับไม้ผลตามช่วงอายุกาแฟในจังหวัดจันทบุรีและ ตราด ส่วนท่ี 3 การตลาด วถิ ีการตลาด และส่วนเหลอื่ มการตลาด 4.1 ลักษณะการผลิต รวมถึงปัญหาการผลติ และการตลาดของกาแฟร่วมกับไมผ้ ลของเกษตรกรในจังหวัด จนั ทบรุ ีและตราด 4.1.1 ลักษณะการผลิตรวมถึงปัญหาการผลิตและการตลาดของการผลิตกาแฟพันธ์ุโรบัสต้า ร่วมกบั ไม้ผลของเกษตรกรในจังหวดั จันทบรุ ีและตราด 1) ลกั ษณะการผลิตกาแฟพนั ธุโ์ รบัสต้ารว่ มกบั ไม้ผลของเกษตรกรในจังหวดั จนั ทบรุ แี ละตราด 1.1) ลักษณะพื้นท่ีปลูกและสภาพดินท่ีปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้า พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ ปลูกในพ้ืนท่ีดอน จำนวน 16 ราย คิดเป็นร้อยละ 69.57 ของเกษตรกรที่ปลูกกาแฟพันธ์ุโรบัสต้าท้ังหมด รองลงมาคือปลูกในพื้นท่ีราบ จำนวน 7 ราย คิดเป็นร้อยละ 30.43 ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟพันธ์ุโรบัสต้า ท้ังหมด เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเกษตรกรท่ีปลูกกาแฟพันธ์ุโรบัสต้าในจังหวัดจันทบุรีและตราดโดย สว่ นใหญ่เป็นท่ีราบสูงและเนนิ สูง สำหรับสภาพดินท่ีปลกู กาแฟพันธุ์โรบัสตา้ พบว่า สภาพดินท่ีเกษตรกรส่วนใหญ่ ปลูกกาแฟเป็นดินร่วน จำนวน 9 ราย คิดเป็นร้อยละ 39.13 ของเกษตรกรท่ีปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าทั้งหมด รองลงมาคือดินร่วนปนทราย จำนวน 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 17.39 และดินทราย ดินลูกรังปนดินดาน จำนวน 2 รายเท่ากัน คิดเป็นร้อยละ 8.69 และ 8.69 ของเกษตรกรท่ีปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าท้ังหมด ตามลำดับ จะเห็นได้ วา่ เกษตรกรโดยส่วนใหญ่ปลูกกาแฟพันธุ์โรบสั ต้าในสภาพดนิ ท่ีเหมาะสมถูกต้องตามหลักวิชาการ นั่นคอื สภาพดิน เป็นแบบดินรว่ นหรอื ดินร่วนปนทราย (ตารางท่ี 4.1)