การเกิดปฏกิ ิริยาของธาตุกมั มนั ตรงั สี ▪ ปฏกิ ริ ิยาฟชิ ชน่ั (fission reaction) เกิดจากการยิงอนุภาคนิวตรอนไปยงั นิวเคลียสของธาตุกัมมนั ตรังสี ทำให้นิวเคลียสแตก มวลของนิวเคลียสบางส่วนจะหายไป กลายเป็นพลังงานออกมา และเกิดนิวตรอน ใหม่ ซึ่งเร็วพอทีจ่ ะยงิ นวิ เคลยี สอะตอมอืน่ ตอ่ ไป ทำให้เกิดปฏกิ ริ ยิ าต่อเนอื่ ง เรียกวา่ ปฏกิ ริ ยิ าลกู โซ่ ▪ ปฏิกริ ยิ าฟิวชน่ั (fusion reaction) เกิดจากการท่นี วิ เคลยี สขนาดเลก็ รวมเขาดวยกัน ไดนิวเคลียสของ ธาตทุ หี่ นกั กวา และปลดปลอยพลงั งานออกมา 8. กระบวนการจดั การเรียนรู้ (ใช้รูปแบบการสอนสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry cycle) (5Es) 8.1 ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement) (10 นาที) (1) กระตุ้นความสนใจของนักเรยี นโดยถามนักเรียนว่าสัญลักษณ์แบบนีค้ ือสญั ลักษณ์อะไร (ให้ นักเรียนตอบตามความคิดของตัวเอง) (แนวคำตอบ ภาพซ้ายคือสัญลักษณ์รังสี ภาพขวา คือ สัญลักษณ์แสดง อาหารทีผ่ า่ นการฉายรงั สแี ล้ว) (2) ครชู ้ีแจงให้นักเรยี นวา่ วันนคี้ รจู ะสอนเรอ่ื งธาตุกัมมนั ตรังสี 8.2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) (70 นาท)ี (1) ครูอธิบายความรูเ้ รอ่ื งธาตุกมั มนั ตรงั สีให้นกั เรียนฟงั โดยใช้สื่อการสอน PowerPoint (2) ครูเปิดวีดีโอ เรื่องความสามารถในการทะลุผ่านวัตถุของอนุภาคหรือรังสีต่างๆ จาก https://www.youtube.com/watch?v=ucUj7nxXOt4 เพอื่ ใหน้ กั เรยี นเห็นภาพและเข้าใจมากขึน้ (3) นกั เรียนรับใบงาน เรอื่ งธาตกุ มั มันตรงั สี และลงมือทำใบงาน 8.3 ข้นั อภปิ รายและลงข้อสรปุ (Explain) (10 นาท)ี (1) นกั เรยี นและครรู ่วมกันอภิปรายและสรุปความรู้ดังนี้
- ธาตุกัมมันตรังสี (Radioactive Element) คือธาตุที่มีองค์ประกอบภายในนิวเคลียส (Nucleus) ไม่เสถยี ร ส่งผลใหเ้ กดิ การสลายตวั หรือการปล่อยรงั สีของธาตอุ ยู่ตลอดเวลา เน่ืองจากปรากฏการณ์ การแผ่รังสีของธาตุเป็นกระบวนการปรับสมดุล เพื่อสร้างความเสถียรภายในธาตุซ่ึงในธรรมชาติธาตุกัมมนั ตรงั สี มักเป็นธาตุที่มีมวลมากหรือมีเลขอะตอมสูงเกินกว่า 82 เช่น เรเดียม (Radium) ที่มีเลขมวลอยู่ที่ 226 และเลข อะตอม 88 หรอื ยเู รเนียม (Uranium) มเี ลขมวลอยู่ที่ 238 และเลขอะตอม 92 8.4 ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) (15 นาที) (1) ครเู พิ่มเตมิ ความรู้โดยเปิดวีดโี อใหน้ กั เรยี นดู ดังตอ่ ไปนี้ - เรือ่ งรงั สีมอี ันตรายหรือเปลา่ จาก https://www.Youtube.com/watch ?v=eIJkGJrxA1s - เรื่องการป้องกันอันตรายและวิธีการตรวจสอบการแผ่รังสีของธาตุกัมมันตรังสี จาก https://www.youtube.com/watch?v=BNHxcR_CGRU 8.5 ขนั้ ประเมนิ (Evaluation) (15 นาท)ี (1) นกั เรียนและครูร่วมกันเฉลยใบงาน (2) ครูตงั้ คำถามเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรยี น (3) นักเรยี นถามในสิ่งทีส่ งสัยและยังไมร่ แู้ ละครูอธบิ ายเพิม่ เติม 9. สือ่ การเรียนรู้ (1) สอ่ื การสอน PowerPoint (2) หนังสอื วทิ ยาศาสตรพ์ ื้นฐาน ม.1 เลม่ 1 (สสวท) (3) ใบงาน เรอื่ งธาตกุ มั มนั ตรังสี (4) วดี ีโอ เร่ืองรังสีมอี ันตรายหรือเปลา่ (5) วดี โี อ เร่ืองการปอ้ งกนั อันตรายและวิธีการตรวจสอบการแผร่ ังสขี องธาตุกมั มนั ตรงั สี
10. การวัดผลและประเมนิ ผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วธิ ีการวัดผล เครอื่ งมือ เกณฑ์การประเมนิ ผปู้ ระเมนิ ครผู ู้สอน 1.ดา้ นความรู้ (K) ตรวจสอบความถูกต้อง ใบงาน ผเู้ รียนผ่านเกณฑ์ ครผู ้สู อน ระดบั พอใชข้ นึ้ ไป นักเรยี นสามารถระบกุ าร ของคำตอบในใบงาน ครผู ้สู อน ผู้เรยี นผา่ นเกณฑ์ เคลื่อนที่ผ่านของรังสีแต่ ระดับพอใชข้ ้นึ ไป ละชนดิ ได้ 2.ด ้ า น ท ั ก ษ ะ / ดู ท ั ก ษ ะ ใ น ก า ร แบบประเมินทักษะใน กระบวนการ (P) ค ำ น ว ณ ห า จ ำ น ว น การคำนวณหาจำนวน นักเรียนมีทักษะในการ โปรตอน นวิ ตรอน และ โปรตอน นิวตรอน เขียนอธิบายเก่ียวรังสีแต่ อเิ ล็กตรอน และอิเล็กตรอน ละชนิดได้ 3.ดา้ นคณุ ลักษณะ(A) ประเมินความตั้งใจ แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ผเู้ รียนผ่านเกณฑ์ ระดบั พอใชข้ น้ึ ไป นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่น เร ียน ตั้ง ใจ ใน ก าร พ ฤ ต ิ ก ร ร ม บ ่ ง ชี้ ในการทำงาน และมีวินัย ทำงาน และความตรง คุณลักษณะอ ัน พึง ในการเรยี น ตอ่ เวลาในการส่งงาน ประสงค์
เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑป์ ระเมินด้าน K รายการประเมนิ ดี (3) ระดบั คณุ ภาพ ปรับปรงุ (1) พอใช้ (2) นักเรียนสามารถระบุ นักเรียนสามารถระบุการ นักเรียนระบุการเคลื่อนท่ี นักเรียนระบุการเคลื่อนท่ี การเคลื่อนที่ผ่านของ เคลื่อนที่ผ่านของรังสีแต่ละ ผ่านของรังสีแต่ละชนิดได้ ผ่านของรังสีแต่ละชนิดได้ รังสีแตล่ ะชนดิ ได้ ชนิดได้อย่างถูกต้องและ ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่(5- เพียงส่วนน้อย(ต่ำกว่า5 ครบถว้ น(8-10คะแนน) 7คะแนน) คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรียนต้องผ่านเกณฑก์ ารประเมินระดับ 2 ข้ึนไป เกณฑ์การตัดสินระดับคุณภาพดา้ นคุณลกั ษณะ (K) 8-10 คะแนน อย่ใู นระดบั 3 หมายถงึ ดี 5-7 คะแนน อยู่ในระดับ 2 หมายถึง พอใช้ ต่ำกว่า 5 คะแนน อยู่ในระดับ 1 หมายถงึ ปรบั ปรุง เกณฑป์ ระเมินด้าน P รายการประเมิน ดี (3) ระดบั คณุ ภาพ ปรบั ปรงุ (1) พอใช้ (2) นักเรียนมีทักษะใน นักเรียนมีทักษะในการ นักเรียนมีทักษะในการเขียน นักเรียนมีทักษะในการ การเขียนอธิบายเกี่ยว เขียนอธบิ ายเก่ียวรงั สีแต่ละ อธิบายเกย่ี วรงั สแี ต่ละชนดิ ได้ เขียนอธิบายเกี่ยวรังสีแต่ รงั สแี ตล่ ะชนดิ ได้ ชนิดได้อย่างถูกต้องและ ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ( 5-7 ละชนิดได้เพียงส่วนน้อย ครบถว้ น ( 8-10 คะแนน) คะแนน) (ต่ำกวา่ 5 คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรียนต้องผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ระดับ 2 ขน้ึ ไป เกณฑก์ ารตัดสนิ ระดบั คณุ ภาพดา้ นคณุ ลักษณะ (P) 8-10 คะแนน อยูใ่ นระดบั 3 หมายถงึ ดี 5-7 คะแนน อยใู่ นระดบั 2 หมายถงึ พอใช้ ต่ำกวา่ 5 คะแนน อย่ใู นระดบั 1 หมายถึง ปรับปรุง
เกณฑป์ ระเมนิ ด้าน A รายการประเมนิ ดี (3) ระดับคณุ ภาพ ปรบั ปรงุ (1) พอใช้ (2) นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน ไม่มีความตั้งใจเรียน ไม่ มุ่งมั่นในการทำงาน การทำงาน และส่งงานตรง การทำงาน และส่งงานตรง ตั้งใจในการทำงาน และส่ง และมวี นิ ยั ในการเรียน เวลาทกุ ครัง้ (4คะแนน) เวลาบางครั้ง (2-3 คะแนน) งานไม่ตรงเวลา(ต่ำกว่า2 คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรียนต้องผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ระดับ 2 ข้ึนไป เกณฑ์การตัดสนิ ระดบั คณุ ภาพด้านคุณลกั ษณะ (A) 4 คะแนน อยู่ในระดับ 3 หมายถงึ ดี 2-3 คะแนน อยูใ่ นระดบั 2 หมายถงึ พอใช้ ตำ่ กวา่ 2 คะแนน อยใู่ นระดบั 1 หมายถึง ปรับปรงุ
วช-ร 06 แบบบันทกึ หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ชอื่ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ……………… เรือ่ ง ……………………………………………………………….. แผนการเรียนรทู้ ี่ ………………… เร่อื ง ……………………………………………………………….. รายวชิ า……………………………….. ชน้ั …………………………. รหัสวิชา ……………………………………. ครูผู้สอน …………………………………………….. ตำแหนง่ …………………………………… เวลาท่ใี ช้ ……… ชัว่ โมง ************************* ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ข้อคน้ พบระหว่าง ปญั หาทีพ่ บ แนวทางแกไ้ ข ทม่ี ีการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ เน้อื หา กิจกรรมการเรยี นรู้ สือ่ ประกอบการเรียนรู้ พฤตกิ รรม/การมสี ่วนร่วมของ ผูเ้ รียน ลงช่ือ …..........………….......................…….. ครผู ู้จดั กิจกรรมการเรยี นรู้ (นางสาวจันจริ า ธนนั ชยั ) ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย
11. ผลการประเมนิ นักเรยี นท้งั หมด………………คน ดา้ น (K) นักเรยี นสามารถระบุการเคลอ่ื นทีผ่ ่านของรงั สแี ต่ละชนิดได้ ผ่านเกณฑ์การประเมินมีคุณภาพอยูใ่ นระดับดี จำนวน……………….คน คิดเป็นรอ้ ยละ……………. ผ่านเกณฑ์การประเมินมีคุณภาพอย่ใู นระดบั พอใช้ จำนวน……………….คน คิดเป็นร้อยละ…………….. ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน จำนวน………...........คน คิดเป็นร้อยละ……………. ด้าน (P) นกั เรียนมที ักษะในการเขยี นอธบิ ายเกีย่ วรังสแี ตล่ ะชนดิ ได้ ผ่านเกณฑ์การประเมินมีคณุ ภาพอยู่ในระดับดี จำนวน……………….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ……………. ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ มีคุณภาพอยู่ในระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คดิ เปน็ ร้อยละ…………….. ไม่ผา่ นเกณฑ์การประเมิน จำนวน………...........คน คดิ เปน็ ร้อยละ……………. ดา้ น (A) นักเรยี นใฝเ่ รียนรู้ มงุ่ ม่นั ในการทำงาน และมวี นิ ยั ในการเรียน ผา่ นเกณฑ์การประเมินมีคณุ ภาพอยใู่ นระดับดี จำนวน……………….คน คิดเป็นร้อยละ…………… ผ่านเกณฑ์การประเมนิ มีคุณภาพอยใู่ นระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คิดเปน็ ร้อยละ…………….. ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมนิ จำนวน………...........คน คิดเป็นร้อยละ……………. รายช่ือนักเรยี นทีไ่ มผ่ ่านเกณฑ์การประเมิน สาเหตุ-ปัญหา แนวทางแก้ไข ลำดบั ช่อื -สกุล ลงช่อื ...............................................(ผู้สอน) (..............................................)
ใบงาน เรือ่ ง ธาตุกมั มันตรงั สี คำชีแ้ จง : ใหนกั เรียนตอบคาํ ถามต่อไปนี้ 1. กัมมนั ตภาพรังสี คือ ……………………….…….…………………………………………………………………………………………. 2. ธาตกุ มั มนั ตรังสีคอื ……………………….…….…………………………………………………………………………………………… 3. รงั สีแอลฟา เขียนแทนด้วยสัญลักษณ ..…….…….…………………………………………………………………………………. 4. รงั สบี ีตา เขียนแทนด้วยสัญลกั ษณ ………….…….………………………………………………………………………………….. 5. รงั สีแกมมา เขยี นแทนด้วยสัญลกั ษณ …………..…………………………………………………………………………………… 2. สมบตั ิตอไปนเี้ ปนของรงั สชี นิดใด ก. ถูกดูดกลืนโดยกระดาษ …………………………………………………………………………………………………………………… ข. เปนนวิ เคลยี สของฮเี ลียม …………………………………………………………………………………………….…………………… ค. มีอํานาจทะลุผานสงู สุด ………………………………………………………………………………………………..……………..…… ง. เปนอิเลก็ ตรอนความเรว็ สงู ………………………………………………………………………………………….…………………… จ. มปี ระจไุ ฟฟาบวก ……………………………………………………..…………………………………………………………..………… ฉ. ทําใหอากาศแตกตวั เปนไอออนไดมากท่ีสุด…………………………………….…………………………………………………… 3. จงเปรียบเทยี บความสามารถของรงั สีแอลฟา รงั สีบีตาและรังสีแกมมา ในการทำให้เกดิ การแตกตวั เป็นไอออน ในสารท่ีรงั สผี ่านไป ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. จากรูป จงระบวุ ่ารูปใดเป็นแนวการเคลือ่ นท่ขี องรังสแี อลฟา รงั สบี ตี า และรงั สแี กมมาในสนามไฟฟ้า 5. ใหน้ กั เรียนเรียงลำดับความสามารถในการเล้ยี วเบนในสนามไฟฟ้าจากการเล้ียวเบนน้อยไปหาความสามารถใน การเลย้ี วเบนมากของรงั สี ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. เพราะเหตุใด รังสี จึงเบนเข้าหาขั้วไฟฟ้าลบ และรังสี เบนเข้าหาขั้วไฟฟ้าบวก ส่วนรังสี ไม่มีการ เบยี่ งเบนเลย ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เฉลยใบงาน 1. กัมมนั ตภาพรังสี คือ ความสามารถในการแผร่ งั สอี อกมาได้เองอยา่ งต่อเนื่องหรอื การปลดปล่อยหรอื ส่งรงั สี ออกมา 2. ธาตกุ มั มันตรงั สีคือ ทม่ี อี งคป์ ระกอบภายในนวิ เคลยี ส (Nucleus) ไมเ่ สถียร ส่งผลให้เกิดการสลายตัว หรือการ ปลอ่ ยรงั สีของธาตอุ ยู่ตลอดเวลา 3. รงั สแี อลฟา เขยี นแทนด้วยสัญลักษณ α 4. รังสีบตี า เขียนแทนด้วยสัญลกั ษณ β 5. รังสีแกมมา เขยี นแทนด้วยสัญลักษณ γ 2. สมบตั ติ อไปนเ้ี ปนของรงั สีชนิดใด ก. รงั สีแอลฟา ข. รงั สีแอลฟา ค. รังสแี กมมา ง. รงั สีบตี า จ. รงั สแี อลฟา ฉ. รงั สแี อลฟา 3. จงเปรียบเทยี บความสามารถของรงั สแี อลฟา รังสีบตี าและรงั สีแกมมา ในการทำให้เกดิ การแตกตัว เปน็ ไอออน ในสารทรี่ ังสผี า่ นไป ความสามารถในการทาใหเ้ กิดการแตกตวั เปน็ ไอออนในสารที่รงั สีผ่านเขา้ ไปจากมากไปนอ้ ย คือ รังสีแอลฟา รังสี บตี าและรงั สแี กมมาตามลําดับ
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 6 ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 เวลา 1 ช่วั โมง หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 สารรอบตัวเรา โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 แผนการจัดการเรยี นร้เู ร่ือง การใชป้ ระโยชนแ์ ละโทษของธาตตุ ่างๆ ผู้สอนนางสาวจันจิรา ธนันชยั 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง สถานะของสสารการเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี 2. ตัวช้ีวัด ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกัมมันตรังสีโดยเสนอแนว ว 2.1 ม.1/3 ทางการใช้ธาตุอย่างปลอดภยั คมุ้ คา่ 3. สาระสำคัญ ธาตุ มปี ระโยชนอ์ ย่างมหาศาลไมว่ ่าจะเป็นธาตโุ ลหะ อโลหะ ก่ึงโลหะ และธาตุกัมมันตรงั สี โดยเฉพาะ ธาตุกัมมันตรังสีมีความสามารถในการปลดปล่อยพลังงาน และรังสีที่มีพลังงานและมีอำนาจทะลุทะลวงของ ธาตุกัมมันตรงั สีได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมายทัง้ ในด้านการแพทย์ การเกษตร อตุ สาหกรรม รวมจนถึงด้านธรณีวทิ ยาการหาอายุของวัตถุต่างๆ 4. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ (1) นักเรียนสามารถบอกประโยชน์และโทษของธาตุได้ (K) (2) นักเรียนมที ักษะในการเขียนอธบิ ายประโยชนแ์ ละโทษของธาตุได้ (P) (3) นักเรียนใฝ่เรยี นรู้ มุง่ ม่นั ในการทำงาน และมีวินัยในการเรียน (A) 5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น (1) ความสามารถในการสอื่ สาร - การอธิบาย การเขยี น การตอบคำถาม (2) ความสามารถในการคิด - การสังเกต การสำรวจ การคิดวเิ คราะห์ การสรา้ งคำอธิบาย การอภปิ ราย การสื่อความหมาย การทำกิจกรรมโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบค้นโดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (3) ความสามารถในการแก้ไขปญั หา - สามารถแก้ปญั หาที่เกิดขึน้ ได้อย่างเหมาะสม
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - มวี ินัย - มงุ่ มัน่ ในการทำงาน - ใฝ่เรยี นรู้ 7. สาระการเรียนรู้ ประโยชน์ของตารางธาตุ ตารางธาตุ มปี ระโยชน์อยา่ งมหาศาลแก่นักวทิ ยาศาสตร์ที่ศกึ ษาเกี่ยวกบั โครงสร้างอะตอมในตอนต้น ครสิ ตศวรรษนี้ เช่น ทอมปส์ ัน,แอสตนั ,รัทเทอร์ฟอรด์ ,มอสเลย,์ บอห์ร ฯลฯ สำหรบั ประโยชนส์ ามญั เช่น สำหรับ ผู้ที่เรียนเคมีเบื้องต้น จะปรากฎชัดเจนเมื่อศึกษาเรื่องสมบัติทางเคมีและกายภาพของธาตุต่างๆ เพราะการ เข้าใจเรื่องตารางธาตุจะช่วยให้เข้าใจวิธีการศึกษาสมบัตดิ ังกล่าว การใช้ตารางธาตุได้ถูกต้องจะช่วยให้เข้าใจ ข้อมูลต่างๆ ของธาตุได้ดี และที่สุดก็จะจดจำได้ ยิ่งกว่านั้นตารางธาตุจะทำให้สามารถทำนายสมบัติทางเคมี ของธาตไุ ดเ้ พราะผ้ทู ใ่ี ช้ตารางธาตไุ ดถ้ กู ต้องจะสามารถทำนายไดว้ า่ ธาตุหนง่ึ ⬧ การใชป้ ระโยชน์จากธาตกุ มั มันตรงั สี ประโยชน์ของธาตุกัมมันตรังสี ความสามารถในการปลดปล่อยพลังงาน และรังสีที่มีพลังงานและมี อำนาจทะลทุ ะลวงของธาตกุ มั มันตรังสีได้ถูกนำไปประยุกต์ใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมายทั้งในด้าน การแพทย์ การเกษตร อุตสาหกรรม รวมจนถงึ ด้านธรณีวทิ ยาการหาอายุของวัตถุตา่ ง ๆ โดยธาตกุ ัมมันตรังสีที่ มกี ารใชก้ ันอยา่ งกวา้ งขวาง ได้แก่ 1 ยูเรเนียม-235 (U-235) ใช้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ ใช้ในอุตสาหกรรมการ ผลติ เครอื่ งบินและยานอวกาศ และใช้ในการผลิตรังสเี อ็กซ์ (X-ray) ซ่ึงมีพลังงานสงู 2 โคบอลต์-60 (Co-60) เป็นธาตกุ ัมมันตรงั สที ่ีสามารถแผก่ ัมมนั ตรังสีชนดิ แกมมาซ่งึ มีผลในการยับย้ัง การเจริญเติบโตของเซลล์ได้ จึงมกี ารนำมาใช้ในการยบั ย้ังการเจริญเติบโตเชอ้ื จุลินทรีย์ในอาหาร ผกั และผลไม้ และนำมาใชใ้ นการรกั ษาโรคมะเร็ง 3 คาร์บอน-14 (C-14) เป็นธาตุกัมมันตรังสีที่สามารถพบได้ในวัตถุต่าง ๆ เกือบทุกชนิดบนโลก จึง สามารถนำระยะเวลาคร่งึ ชีวติ ของธาตุนี้มาใชใ้ นการคำนวณหาอายุของวัตถโุ บราณ อายขุ องหนิ และเปลือกโลก และอายุของซากฟอสซลิ ตา่ ง ๆ ได้ (C-14 มคี รึ่งชวี ติ ประมาณ 5,730 ป)ี 4 ฟอสฟอรัส-32 (P-32) เป็นสารประกอบกัมมันตรังสีที่สามารถละลายน้ำได้ มีระยะเวลาครึ่งชีวิต ประมาณ 14.3 วัน ทางการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งของเม็ดโลหิตขาว (ลิวคีเมีย) โดยให้ รับประทานหรือฉีดเข้าในกระแสโลหิต นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการตรวจหาเซลล์มะเร็ง และตรวจหา ปรมิ าณโลหติ ของผู้ท่จี ะเข้ารบั การผ่าตัด ⬧ การประยุกตใ์ ช้ธาตุกมั มนั ตรงั สี • ด้านธรณีวิทยา: มีการใช้คาร์บอน-14 (C-14) ในการคำนวณหาอายุของโบราณวัตถุหรืออายุของ ฟอสซลิ • ด้านการแพทย์: มีการใช้ไอโอดีน-131 (I-131) ในการติดตามเพื่อศึกษาและรักษาโรคต่อมไทรอยด์ เปน็ พษิ รวมถึงการใชโ้ คบอลต์-60 (Co-60) และเรเดยี ม-226 (Ra-226) ในการรักษาโรคมะเร็ง • ด้านเกษตรกรรม: มกี ารใชฟ้ อสฟอรสั -32 (P-32) ในการศกึ ษาเสน้ ทางการเคล่อื นท่แี ละความต้องการ ธาตอุ าหารของพืช และใชโ้ พแทสเซียม-32 (K-32) ในการหาอัตราการดูดซมึ ของต้นไม้
• ดา้ นอตุ สาหกรรม: มีการใชธ้ าตกุ ัมมันตรังสีในการตรวจหารอยตำหนิ เช่น รอยรา้ วของโลหะหรือท่อ ขนส่งของเหลว รวมไปถึงการใช้ธาตุกมั มันตรังสีในการตรวจสอบ ควบคุมความหนาของวัตถุ และใช้ รงั สีฉายบนอัญมณีเพ่อื สร้างสสี นั ให้สวยงาม • ดา้ นการถนอมอาหาร: มีการใชร้ งั สีแกมมาของโคบอลต์-60 (Co-60) เพ่อื ทำลายแบคทีเรียในอาหาร ชว่ ยใหเ้ กบ็ รกั ษาอาหารไวไ้ ด้นานย่ิงขึ้น • ด้านพลังงาน: มีการใช้พลังงานความร้อนที่ได้จากปฏิกริ ิยานิวเคลียร์ของยูเรเนียม-238 (U-238) ใน เตาปฏิกรณป์ รมาณู สรา้ งไอน้ำเพอื่ ใชใ้ นการผลติ กระแสไฟฟ้า ตารางที่ 6 แสดงประโยชนข์ องธาตบุ างชนิด ธาตุ สัญลักษณ์ ประโยชน์ อะลมู ิเนียม Al ใชท้ ำแผน่ อลูมเิ นียมฟอยล์ เพือ่ ใชห้ ่ออำหำรเม่ือนำไปเผำหรือใหค้ วำมร้อน ใชท้ ำส่วนประกอบของแครื่องบิน และสำยไฟฟ้ำแรงสูง สังกะสี Zn ใชท้ ำถ่นไฟฉำย และเป็นส่วนประกอบของเอนไซมช์ ว่ ยย่อยโปรตนี เหล็ก Fe เป็นธำตทุ ่มี ีมำกเป็นที 4 ในโลก ใชท้ ำเป็นโครงสรำ้ งในกำรกอ่ สรำ้ งสิ่งตำ่ งๆ เงิน Ag เป็นตวั นำไฟฟ้ำและควำมรอ้ นที่ดีท่ีสุด ทนทำนตอ่ กำรกดั กร่อนของกรดอนิ ทรีย์ และโซดำไฟ ใชท้ ำ เครื่องประดบั ทองแดง Cu ใชท้ ำสำยไฟ เป็นตวั นำไฟฟ้ำทดี่ ีมำก ลองมำจำกเงิน ทงั สเตน W ปัจจบุ นั ใชท้ ำไสห้ ลอดไฟฟ้ำ ใช้ผสมกบั เหล็กใชท้ ำ Tungsten carbide ซ่ึงจดั ว่ำเป็นสำรทแี่ ขง็ มำก ใชป้ ระกอบ เครื่องมือตดั โลหะดว้ ยควำมเร็วสูง ทองคำ Au เป็นธำตุทหี่ ำยำกมำก มีในโลกประมำณ 1% ของเงิน ควำมบริสุทธ์ิของทองคำใชว้ ดั เป็นกะรตั ทองคำทบี่ ริสุทธ์ิ จริงคือ ทองคำ 24 กะรตั ใชท้ ำเคร่ืองประดบั ไฮโดรเจน H เป็นธำตุอโลหะท่ีมไี ม่มสี ี ไม่มีกลิน่ และสำมำรถตดิ ไฟได้ ไฮโดรเจนจะมีน้ำหนกั เบำกวำ่ อำกำศมำก จงึ นิยมนำมำ ใส่ในลูกโป่ ง และเป็นสำรเช้ือเพลิง ไนโตรเจน N ไนโตรเจนเป็นธำตทุ ่ีไมม่ สี ีและกลน่ิ เรำนิยมใชไ้ นโตรเจนเป็นส่วนประกอบของป๋ ยุ เพรำะว่ำไนโตรเจนช่วย กระตนุ้ และทำใหพ้ ชื เจริญงอกงำมดี คำร์บอน C เป็นอโลหะที่เป็นองคป์ ระกอบของถำ่ น ใส้ดินสอ เพชร และปิโตรเลยี ม ซ่ึงนิยมนำมำใชป้ ระโยชน์ในกำรผลติ เช้ือเพลงิ ที่ใหพ้ ลงั งำนแสงสว่ำงและควำมรอ้ น ออกซิเจน O มคี ุณสมบตั ไิ ม่มสี ี ไมม่ ีกลนิ่ และไม่ติดไฟ แต่ออกซิเจนชว่ ยทำให้ไฟตดิ ออกซิเจนมีควำมจำเป็นตอ่ กำรดำรงชีวติ ของมนุษย์ เมื่อเรำหำยใจเขำ้ ไปจะเคลอื่ นตวั ไปยงั ส่วนตำ่ งๆ ของร่ำงกำยโดยเกำะไปกบั เลือดชว่ ยในกำร เผำผลำญ อำหำร คลอรีน Cl เป็นธำตุทม่ี ีสีเหลือง และเป็นกำ๊ ซพิษ นิยมนำมำทำเป็นส่วนผสมของ น้ำยำฟอกขำว และน้ำยำฆำ่ เช้ือโรคที่ใชล้ ำ้ ง สระวำ่ ยน้ำ ฟลูออรีน F เป็นธำตทุ ี่มกี ลน่ิ ฉุน นิยมนำมำใชเ้ ป็นส่วนประกอบของยำสีฟันเพรำะฟลูออไรด์ป้องกนั ไมใ่ หฟ้ ันผุ โบรอน B สำรโบรอนท่ีรู้จกั กนั อยำ่ งมำก ไดแ้ ก่ สำรบอแร็ก ทนี่ ิยมนำมำเป็นส่วนผสมของผลิตภณั ฑท์ ำควำมสะอำด ผลติ ภณั ฑ์ และสำรป้องกนั จุลินทรีย์ ซิลคิ อน Si เป็นสำรก่ึงตวั นำ ใชท้ ำวงจรไฟฟ้ำและอปุ กรณอ์ ิเลก็ ทรอนิกส์
⬧ อันตรายจากธาตุกัมมนั ตรงั สี รังสีจะมีผลทำให้การสร้างเซลล์ในร่างกายมนุษย์เกิด การกลายพันธุ์ และเมื่ออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของ รา่ งกายได้รับรงั สี อาจกลายเป็นมะเรง็ ได้ รังสีสามารถ ส่งผลให้ตัวกลางที่เคลื่อนผ่านแตกตัวเป็นไอออนได้ รังสีชนิดต่างๆ จึงถือเป็นอันตรายต่อมนุษย์ รวมถึง สิ่งมีชีวิตอื่นๆ การได้รับหรือสัมผัสกับรังสีที่เป็น อันตรายสามารถส่งผลให้รา่ งกายเกดิ การเจ็บปว่ ย จาก การที่เซลล์ซ่งึ ป ระกอบขึน้ เปน็ อวยั วะดงั กลา่ วเกิดการ แตกตัว รวมไปถึงเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคร้าย เช่น โรคมะเร็ง นอกจากนี้ หากร่างกายได้รับรังสีที่มี อานุภาพสูงเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบลึกลงไปถึงระดับสารพันธุกรรมภายในเซลล์ ทำให้การสร้างเซลล์ ใหม่ในร่างกายเกิดการกลายพันธุ์ โดยเฉพาะเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการ ถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมไปยงั ทายาทรุ่นต่อไป 8. กระบวนการจดั การเรียนรู้ (ใช้รูปแบบการสอนสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry cycle) (5Es) 8.1 ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement) (5 นาที) (1) กระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยสุ่มนักเรียน 5 คน ให้นักเรียนลองยกตัวอย่าง ประโยชนข์ องธาตุตา่ งๆทไ่ี ด้เรียนไป (ใหน้ กั เรียนตอบตามความคดิ ของตวั เอง) (2) ครชู ้ีแจงใหน้ ักเรยี นวา่ วนั นี้ครจู ะเรยี นรู้เก่ียวกบั การใช้ประโยชนแ์ ละโทษของธาตตุ า่ งๆ 8.2 ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (35 นาท)ี (1) ครูอธิบายความรู้เรือ่ งการใช้ประโยชน์และโทษของธาตุตา่ งๆใหน้ กั เรียนฟงั โดยใช้สื่อการ สอน PowerPoint (2) นกั เรียนรบั ใบงาน เร่ืองการใช้ประโยชนแ์ ละโทษของธาตุต่างๆ และลงมอื ทำใบงาน 8.3 ขน้ั อภปิ รายและลงข้อสรปุ (Explain) (5 นาที) (1) นักเรียนและครูรว่ มกนั อภปิ รายและสรปุ ความรู้ดงั น้ี (ธาตุ มีประโยชน์อยา่ งมหาศาลไม่ว่า จะเป็นธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี โดยเฉพาะธาตุกัมมันตรังสีมีความสามารถในการ
ปลดปลอ่ ยพลังงาน และรงั สีทีม่ พี ลงั งานและมีอำนาจทะลุทะลวงของธาตกุ มั มันตรังสีได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ให้ เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมายทั้งในด้านการแพทย์ การเกษตร อุตสาหกรรม รวมจนถึงด้านธรณี วิทยาการหาอายุของวัตถุต่าง ๆ โดยธาตุกัมมันตรังสีท่ีมีการใชก้ ันอยา่ งกว้างขวาง ส่วนธาตุโลหะ อโลหะ กึ่ง โลหะ ก็นำมาใช้ในชีวิตประจำวันมากมาย เช่น ทำอุปกรณ์ต่างๆ ทำปุ๋ย เป็นส่วนประกอบของยาสีฟัน ทำ สายไฟ เป็นตน้ ) 8.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาท)ี (1) ครูเพิ่มเติมความรู้โดยเปิดวีดีโอ เรื่องรังสีเอ็กซ์เรย์ทำงานอย่างไร จาก https://www. youtube.com/watch?v=2GKT1JTNZyE ให้นักเรียนดู (2) ใหน้ กั เรยี นตอบคำถามของกจิ กรรมหนา้ 60 ทง้ั หมด โดยทำเปน็ การบา้ น 8.5 ข้นั ประเมิน (Evaluation) (5 นาที) (1) ครูตั้งคำถามเพ่ือตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรียน (2) นกั เรยี นถามในส่ิงทส่ี งสยั และยังไม่รู้และครูอธบิ ายเพ่มิ เติม (3) สังเกตความสนใจและความกระตอื รอื ร้นของนกั เรียน 9. สอื่ การเรยี นรู้ (1) สื่อการสอน PowerPoint (2) หนงั สอื วิทยาศาสตรพ์ ้นื ฐาน ม.1 เล่ม 1 (สสวท) (3) ใบงาน เร่อื งการใชป้ ระโยชน์และโทษของธาตุตา่ งๆ (4) วีดีโอ เรอ่ื งรงั สเี อก็ ซ์เรยท์ ำงานอยา่ งไร
10. การวัดผลและประเมนิ ผล จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วธิ ีการวัดผล เคร่อื งมือ เกณฑ์การประเมนิ ผปู้ ระเมนิ ครผู ู้สอน 1.ด้านความรู้ (K) ก า ร ต อ บ ค ำ ถ า ม คำถามระหว่างเรยี น ผู้เรยี นผ่านเกณฑ์ ครูผสู้ อน ระดบั พอใช้ขนึ้ ไป นักเรียนสามารถบอก ระหวา่ งเรียน ครผู ู้สอน ผูเ้ รยี นผา่ นเกณฑ์ ประโยชน์และโทษของ ระดบั พอใชข้ ้นึ ไป ธาตไุ ด้ 2.ด ้ า น ท ั ก ษ ะ / ดูทักษะในการเขียน แบบประเมินทักษะใน กระบวนการ (P) อธิบายประโยชน์และ ก า ร เ ขี ย น อ ธ ิ บ า ย นักเรียนมีทักษะในการ โทษของธาตุในใบงาน ประโยชน์และ โทษ เขียนอธิบายประโยชน์ ของธาตุในใบงาน และโทษของธาตไุ ด้ 3.ด้านคณุ ลักษณะ(A) ประเมินความตั้งใจ แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ผู้เรยี นผ่านเกณฑ์ ระดบั พอใชข้ ้นึ ไป นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่น เร ียน ตั้ง ใจ ใน ก าร พ ฤ ต ิ ก ร ร ม บ ่ ง ชี้ ในการทำงาน และมวี ินัย ทำงาน และความตรง คุณลักษณะอ ัน พึง ในการเรียน ตอ่ เวลาในการส่งงาน ประสงค์
เกณฑก์ ารประเมนิ เกณฑ์ประเมินดา้ น K รายการประเมนิ ดี (3) ระดับคุณภาพ ปรบั ปรุง (1) พอใช้ (2) นักเรียนสามารถบอก น ักเรียน สามารถบอก นักเรียนบอกประโยชน์และ นักเรียนบอกประโยชน์ ประโยชน์และโทษ ประโยชน์และโทษของธาตุ โทษของธาตุได้ถูกต้องเป็น และโทษของธาตุได้เพียง ของธาตุได้ ไ ด้ อ ย ่ า ง ถ ู ก ต ้ อ ง แ ล ะ สว่ นใหญ(่ 5-7คะแนน) ส่วนนอ้ ย(ตำ่ กวา่ 5คะแนน) ครบถ้วน(8-10คะแนน) *หมายเหตุ นักเรียนต้องผ่านเกณฑก์ ารประเมินระดับ 2 ขึน้ ไป เกณฑก์ ารตัดสินระดบั คณุ ภาพดา้ นคณุ ลักษณะ (K) 8-10 คะแนน อย่ใู นระดับ 3 หมายถึง ดี 5-7 คะแนน อยใู่ นระดับ 2 หมายถงึ พอใช้ ตำ่ กวา่ 5 คะแนน อยใู่ นระดับ 1 หมายถึง ปรับปรุง เกณฑป์ ระเมนิ ด้าน P รายการประเมิน ดี (3) ระดับคุณภาพ ปรับปรุง (1) พอใช้ (2) นักเรียนมีทักษะใน นักเรียนมีทักษะในการ นักเรียนมีทักษะในการเขียน นักเรียนมีทักษะในการ ก า ร เ ข ี ย น อ ธ ิ บ า ย เขียนอธิบายประโยชน์และ อธิบายประโยชน์และโทษ เขียนอธิบายประโยชน์และ ประโยชน์และโทษ โ ท ษ ข อ ง ธ า ต ุ ไ ด้ อ ย ่ า ง ของธาตุได้ถูกต้องเป็นส่วน โทษของธาตุได้เพียงส่วน ของธาตไุ ด้ ถูกต้องและครบถ้วน ( 8- ใหญ่ ( 5-7 คะแนน) นอ้ ย (ต่ำกว่า 5 คะแนน) 10 คะแนน) *หมายเหตุ นักเรียนต้องผ่านเกณฑก์ ารประเมินระดบั 2 ข้นึ ไป เกณฑ์การตัดสนิ ระดับคุณภาพด้านคณุ ลักษณะ (P) 8-10 คะแนน อยู่ในระดบั 3 หมายถึง ดี 5-7 คะแนน อยู่ในระดบั 2 หมายถงึ พอใช้ ตำ่ กวา่ 5 คะแนน อยู่ในระดบั 1 หมายถึง ปรบั ปรุง
เกณฑ์ประเมนิ ด้าน A รายการประเมนิ ดี (3) ระดับคุณภาพ ปรบั ปรงุ (1) พอใช้ (2) นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน ไม่มีความตั้งใจเรียน ไม่ มุ่งมั่นในการทำงาน การทำงาน และส่งงานตรง การทำงาน และส่งงานตรง ตั้งใจในการทำงาน และส่ง และมีวนิ ยั ในการเรยี น เวลาทุกครง้ั (4คะแนน) เวลาบางครงั้ (2-3 คะแนน) งานไม่ตรงเวลา(ต่ำกว่า2 คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรยี นต้องผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ระดับ 2 ขึน้ ไป เกณฑก์ ารตัดสินระดับคณุ ภาพดา้ นคุณลักษณะ (A) 4 คะแนน อยใู่ นระดบั 3 หมายถงึ ดี 2-3 คะแนน อยู่ในระดบั 2 หมายถึง พอใช้ ตำ่ กว่า2 คะแนน อย่ใู นระดบั 1 หมายถงึ ปรับปรงุ
วช-ร 06 แบบบนั ทกึ หลงั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ……………… เร่ือง ……………………………………………………………….. แผนการเรียนร้ทู ี่ ………………… เรือ่ ง ……………………………………………………………….. รายวิชา……………………………….. ช้ัน…………………………. รหัสวชิ า ……………………………………. ครผู สู้ อน …………………………………………….. ตำแหน่ง …………………………………… เวลาทใี่ ช้ ……… ชว่ั โมง ************************* ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้อค้นพบระหว่าง ปญั หาที่พบ แนวทางแก้ไข ทมี่ กี ารจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ เน้ือหา กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่อื ประกอบการเรยี นรู้ พฤตกิ รรม/การมีส่วนร่วมของ ผูเ้ รยี น ลงชื่อ …..........………….......................…….. ครผู ู้จัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (นางสาวจันจิรา ธนันชยั ) ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย
11. ผลการประเมิน นักเรยี นทง้ั หมด………………คน ดา้ น (K) นกั เรยี นสามารถบอกประโยชนแ์ ละโทษของธาตไุ ด้ ผา่ นเกณฑ์การประเมินมีคุณภาพอยูใ่ นระดบั ดี จำนวน……………….คน คดิ เป็นร้อยละ……………. ผ่านเกณฑ์การประเมนิ มีคุณภาพอยู่ในระดบั พอใช้ จำนวน……………….คน คิดเปน็ ร้อยละ…………….. ไม่ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ จำนวน………...........คน คิดเป็นร้อยละ……………. ด้าน (P) นักเรียนมีทักษะในการเขยี นอธบิ ายประโยชนแ์ ละโทษของธาตุได้ ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ มีคณุ ภาพอยู่ในระดับดี จำนวน……………….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ……………. ผ่านเกณฑ์การประเมินมีคุณภาพอยู่ในระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คดิ เปน็ ร้อยละ…………….. ไมผ่ า่ นเกณฑ์การประเมิน จำนวน………...........คน คิดเปน็ ร้อยละ……………. ด้าน (A) นักเรียนใฝเ่ รียนรู้ มงุ่ มัน่ ในการทำงาน และมวี นิ ยั ในการเรียน ผา่ นเกณฑ์การประเมินมีคุณภาพอย่ใู นระดบั ดี จำนวน……………….คน คดิ เป็นร้อยละ…………… ผ่านเกณฑ์การประเมินมีคุณภาพอยู่ในระดบั พอใช้ จำนวน……………….คน คดิ เป็นร้อยละ…………….. ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมนิ จำนวน………...........คน คดิ เป็นร้อยละ……………. รายชอื่ นกั เรยี นทไ่ี ม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน สาเหตุ-ปัญหา แนวทางแกไ้ ข ลำดบั ช่อื -สกลุ ลงช่ือ...............................................(ผูส้ อน) (..............................................)
ใบงาน เรือ่ ง การใช้ประโยชนแ์ ละโทษของธาตตุ า่ งๆ 1. เราใชป้ ระโยชนจ์ ากกมั มันตรงั สใี นด้านใดบา้ ง พรอ้ มยกตวั อยา่ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. กัมมันตภาพรังสีมโี ทษต่อร่างกายอย่างไร จงยกตวั อยา่ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ธาตุโลหะนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้อยา่ งไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ธาตอุ โลหะนำไปใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยา่ งไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ธาตกุ ึง่ โลหะนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ย่างไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. ธาตโุ ลหะ อโลหะ กง่ึ โลหะ และธาตุกมั มันตรงั สอี าจก่ออนั ตรายได้อย่างไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. จบั คู่ธาตุและการใช้ประโยชนใ์ ห้ถกู ต้อง โดยใช้แต่ละตัวเลอื กเพียงคร้ังเดียว …………1. รักษาโรคมะเรง็ บางชนิด ก. ทองแดง (โลหะ) …………2. ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนกิ ส์ ข. โพแทสเซียม (อโลหะ) …………3. สายไฟภายในอาคาร ค. ซลิ คิ อน (ธาตุก่ึงโลหะ) …………4. ปุย๋ เคมี ง. เรเดียม (ธาตุกมั มนั ตรงั สี)
เฉลยใบงาน 1. เราใช้ประโยชนจ์ ากกมั มันตรังสีในด้านใดบา้ ง พร้อมยกตัวอย่าง (ตอบประมาณนี้) • ด้านธรณีวิทยา: มีการใช้คาร์บอน-14 (C-14) ในการคำนวณหาอายุของโบราณวัตถุหรืออายุของ ฟอสซลิ • ด้านการแพทย์: มีการใช้ไอโอดีน-131 (I-131) ในการติดตามเพื่อศึกษาและรักษาโรคต่อมไทรอยด์ เป็นพิษ รวมถึงการใช้โคบอลต์-60 (Co-60) และเรเดียม-226 (Ra-226) ในการรักษาโรคมะเร็ง • ดา้ นเกษตรกรรม: มกี ารใชฟ้ อสฟอรสั -32 (P-32) ในการศกึ ษาเสน้ ทางการเคล่ือนทแี่ ละความต้องการ ธาตอุ าหารของพชื และใชโ้ พแทสเซียม-32 (K-32) ในการหาอัตราการดูดซึมของตน้ ไม้ • ดา้ นอุตสาหกรรม: มีการใช้ธาตุกัมมนั ตรงั สีในการตรวจหารอยตำหนิ เช่น รอยร้าวของโลหะหรือท่อ ขนส่งของเหลว รวมไปถึงการใช้ธาตกุ ัมมนั ตรังสีในการตรวจสอบ ควบคุมความหนาของวัตถุ และใช้ รงั สฉี ายบนอัญมณีเพอ่ื สรา้ งสสี ันให้สวยงาม • ด้านการถนอมอาหาร: มีการใชร้ ังสีแกมมาของโคบอลต์-60 (Co-60) เพ่อื ทำลายแบคทีเรียในอาหาร ช่วยให้เกบ็ รกั ษาอาหารไว้ได้นานย่ิงขนึ้ • ด้านพลังงาน: มีการใช้พลังงานความร้อนที่ไดจ้ ากปฏิกิริยานิวเคลียรข์ องยเู รเนียม-238 (U-238) ใน เตาปฏกิ รณป์ รมาณู สรา้ งไอนำ้ เพ่ือใช้ในการผลิตกระแสไฟฟา้ 2. กัมมันตภาพรังสีมีโทษตอ่ ร่างกายอย่างไร จงยกตวั อย่าง มีผลทำให้การสร้างเซลล์ในร่างกายมนุษย์เกดิ การกลายพันธุ์ อาจจะเปน็ มะเร็ง 3. ธาตโุ ลหะนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้อยา่ งไรบา้ ง ธาตโุ ลหะใช้ในเครื่องจกั ร เครือ่ งใช้ไฟฟ้า ภาชนะหุงตม้ 4. ธาตอุ โลหะนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้อยา่ งไรบ้าง ธาตุอโลหะเป็นองคป์ ระกอบของป๋ยุ 5. ธาตุกง่ึ โลหะนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง ธาตุกึง่ โลหะใชใ้ นอุปกรณอ์ ิเล็กทรอนกิ ส์เป็นสารกึ่งตัวนำ แบตเตอรี่ รถยนต์แผงเซลล์แสงอาทติ ย์แผ่นซีดี 6. ธาตุโลหะ อโลหะ กง่ึ โลหะ และธาตกุ ัมมนั ตรงั สอี าจกอ่ อนั ตรายได้อย่างไรบ้าง โลหะบางชนดิ ท่ใี ชใ้ นอุตสาหกรรม อาจกอ่ ให้เกดิ อันตรายตอ่ ตับ หวั ใจ ไต ธาตุก่งึ โลหะบางชนดิ เปน็ พิษต่อ ร่างกาย เชน่ สารหนซู ลิ คิ อน 7. จับคู่ธาตแุ ละการใช้ประโยชนใ์ หถ้ ูกตอ้ ง โดยใช้แตล่ ะตวั เลอื กเพยี งคร้งั เดียว ...ง... 1. รกั ษาโรคมะเร็งบางชนดิ ก. ทองแดง (โลหะ) ...ค... 2. ช้นิ ส่วนอิเลก็ ทรอนิกส์ ข. โพแทสเซียม (อโลหะ) ...ก... 3. สายไฟภายในอาคาร ค. ซลิ คิ อน (ธาตุกึ่งโลหะ) ...ข... 4. ปยุ๋ เคมี ง. เรเดยี ม (ธาตกุ มั มันตรังสี)
แนวคำตอบของกิจกรรม(การบา้ น)
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 7 ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 เวลา 2 ช่ัวโมง หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 สารรอบตัวเรา โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 แผนการจดั การเรยี นรเู้ รอ่ื ง การจำแนกสาร ผู้สอนนางสาวจันจริ า ธนันชยั 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง สถานะของสสารการเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี 2. ตวั ชี้วัด อธบิ ายและเปรียบเทียบความหนาแน่นของสารบริสุทธิแ์ ละสารผสม ว 2.1 ม.1/5 อธิบายเกี่ยวกบั ความสัมพันธร์ ะหวา่ งอะตอมธาตุและสารประกอบ โดยใช้แบบจำลอง ว 2.1 ม.1/7 และสารสนเทศ 3. สาระสำคัญ สสาร คือส่งิ ท่มี มี วล ตอ้ งการที่อยู่ และสามารถสัมผสั ได้ หรืออาจหมายถึงส่ิงตา่ งๆทอ่ี ยู่รอบตัวเรา สาร หมายถึง เนื้อของสสารที่นำมาศึกษาหรือสิ่งที่นำมาศึกษา ดังนั้นจึงใช้คำว่าสารแทนสสารได้ สารเนื้อเดียว หมายถึง สารที่มีเนื้อสารเหมอื นกนั ทุกส่วน ทำให้สารมีสมบัตเิ หมือนกันตลอดทกุ สว่ น สารเนื้อผสม หมายถงึ สารที่มีเน้ือสารแตกตา่ งกนั ในแต่ละส่วน จะทำให้สารนัน้ มีสมบัติ ไม่เหมือนกันตลอดทุกสว่ น สารบริสุทธิ์ คือ สารเนือ้ เดยี วที่ประกอบดว้ ยสารเพียงอย่างเดยี ว ไม่มสี ารอ่นื เจือปน สารเนือ้ ผสม คือ สารที่มีลักษณะของเน้ือ สารคละกัน ไมผ่ สมกลมกลืนเป็นเนื้อเดยี วกนั 4. จุดประสงค์การเรยี นรู้ (1) นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายของสารต่างๆได้ (K) (2) นักเรยี นสามารถทำกิจกรรมที่กำหนดให้ได้ (P) (3) นกั เรียนใฝเ่ รยี นรู้ มุ่งม่ันในการทำงาน และมีวนิ ัยในการเรยี น (A) 5. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น (1) ความสามารถในการส่ือสาร - การอธบิ าย การเขยี น การตอบคำถาม (2) ความสามารถในการคดิ - การสังเกต การสำรวจ การคดิ วเิ คราะห์ การสรา้ งคำอธบิ าย การอภิปราย การส่อื ความหมาย การทำกจิ กรรมโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสบื ค้นโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (3) ความสามารถในการแกไ้ ขปัญหา - สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อยา่ งเหมาะสม
6. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ - มวี ินยั - มุ่งมน่ั ในการทำงาน - ใฝ่เรียนรู้ 7. สาระการเรียนรู้ สสาร ( matter ) คือสิ่งที่มีมวล ต้องการที่อยู่ และสามารถสัมผัสได้ หรืออาจหมายถึงสิง่ ต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา มีตัวตน ต้องการทอ่ี ยู่ สมั ผสั ได้ อาจมองเห็นหรือมองไมเ่ ห็นก็ได้ เชน่ อากาศ หนิ เป็นตน้ นกั วิทยาศาสตร์เรียกสสารท่ี รู้จกั วา่ สาร สาร (Substance) สาร หมายถงึ เน้อื ของสสารท่นี ำมาศกึ ษาท่ที ราบองค์ประกอบแล้ว ดงั นัน้ จึงใช้คำว่าสารแทนสสารได้ - สารเน้ือเดยี ว ( Homogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มเี นือ้ สารเหมอื นกนั ทุกส่วน ทำให้ สารมสี มบตั ิเหมือนกนั ตลอดทกุ สว่ น เช่น แอลกอฮอล์ , ทองคำ ( Au ) , โลหะบัดกรี - สารเนื้อผสม ( Heterogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารแตกต่างกันในแต่ละ ส่วน จะทำให้สารนั้นมสี มบตั ิ ไม่เหมอื นกนั ตลอดทุกส่วน เช่น น้ำอบไทย , น้ำคลอง ฯลฯ สารบริสุทธ์ิ (Pure Substance) เป็นสารเน้อื เดียวท่ีประกอบด้วยสารเพียงอยา่ งเดียว ไม่มีสารอ่ืนเจือปน ไดแ้ ก่ ธาตุและสารประกอบ
- ธาตุ (Elements) หมายถึง สารบริสุทธิ์เนื้อเดียวที่มีองค์ประกอบอย่างเดียว ธาตุไม่สามารถ แยกสลายให้กลายเป็นสารอน่ื โดยวิธีการทางเคมี ธาตุมคี ุณสมบัตทิ ง้ั 3 สถานะ ได้แก่ ของแข็ง เช่น ธาตุสงั กะสี ตะกั่ว เงิน ของเหลว เช่น ปรอท และกา๊ ซ เช่น ออกซิเจน ไฮโดรเจน เปน็ ตน้ ธาตุยงั สามารถจำแนกคุณสมบัติ ออกเป็น ธาตโุ ลหะ ธาตอุ โลหะ และธาตกุ ึง่ โลหะ - สารประกอบ (compounds) หมายถึง สารที่เกิดจากธาตุตั้งแต่ ๒ ธาตุขึ้นไปมารวมตัวกันโดย อาศยั ปฏกิ ริ ยิ าเคมี และมอี ัตราส่วนผสมคงท่ีเสมอ สารชนดิ ใหม่นีจ้ ะมีสมบัติแตกต่างจากสมบัติเดิมของธาตุที่ เป็นองค์ประกอบ สารประกอบมีสมบัติเฉพาะตัวที่แตกต่างจากธาตุเดิม เช่น น้ำ มีสูตรเคมีเป็น H2O เป็น สารประกอบที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจน (H) และธาตุออกซิเจน (O) แต่มีสมบัติแตกต่างจากธาตุไฮโดรเจนและ ออกซิเจน สารประกอบแต่ละชนิดมีอัตราส่วนของธาตุที่เป็นองค์ประกอบคงที่ เช่น น้ำ ประกอบด้วยธ าตุ ไฮโดรเจน และออกซิเจน โดยมีอัตราส่วนโดยมวลของ H : O = 1 : 8 คาร์บอนไดออกไซด์ประกอบด้วยธาตุ คารบ์ อนและออกซิเจนโดยมีอัตราส่วนโดยมวลของ C : O = 3 : 8 เปน็ ต้น สารละลาย หมายถึง สารเนื้อเดียว ที่เกิดจากสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมารวมกัน ผสมเป็นเน้ือ เดียวกัน ไม่มีปฏิกิริยาเกดิ ขึ้น สมบัติคล้ายองค์ประกอบเดิม เช่น น้ำเชื่อม น้ำเกลือ น้ำอัดลม ยาแก้ไอน้ำดำ เปน็ ต้น สารเนื้อผสม สารเนอ้ื ผสม ( Heterogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีลักษณะของเน้อื สารคละกัน ไมผ่ สม กลมกลืนเป็นเนอ้ื เดียวกัน สารท่ีเปน็ ส่วนผสมแต่ละชนดิ ก็ยังคงแสดงสมบัติของสารเดิม เพราะเปน็ การรวมกัน ทางกายภาพไม่มกี ารเปล่ยี นแปลงทางเคมีเกิดขนึ้ เราสามารถใช้ตาเปล่าสังเกตและจำแนกได้ว่าสารเน้ือผสม นั้นประกอบด้วยสารใดบ้าง และสามารถแยกสารเหล่านั้นออกจากกันได้โดยวิธีทางกายภาพธรรมดา โดยไม่ ทำให้สมบัติเดิมเปลีย่ นแปลงไป สารเนอ้ื ผสม แบง่ ออกเป็น 2 กลมุ่ คอื สารคอลอยด์กบั สารแขวนลอย - สารคอลลอยด์ คือ ของผสมที่ประกอบด้วยสาร 2 ชนิด โดยจะมีโมเลกุลเล็กกว่าสารแขวนลอย โมเลกลุ มขี นาดประมาณ 1-100 นาโนเมตร แต่ใหญ่กว่าโมเลกุลของสารละลาย สามารถผ่านกระดาษกรองแต่ ไม่สามารถผ่านกระดาษ เซลโลเฟนได้ เรียกว่า อนุภาคคอลลอยด์ ซึ่งอาจเป็น ของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส
กระจายอยู่ในตัวกลางที่เป็นสารอีกชนิดหนึ่ง รวมทั้งอาจมสี ถานะเปน็ ของแขง็ ของเหลว หรือแก๊ส ได้เช่นกัน บางอย่างมองดแู ลว้ จะมลี กั ษณะคลา้ ยกบั สารเนือ้ เดยี ว นอกจากน้ี ยงั มีคอยลอยดบ์ างประเภทที่อนภุ าคคอลลอยด์จะไมก่ ระจายอยู่ในสารอีกชนิดหนึ่งได้นาน เช่น น้ำผสมกับน้ำมันพืช เมื่อเขย่าและตั้งทิ้งไว้สักพักหนึ่ง น้ำกับน้ำมนั พืชจะแยกออกจากกันเปน็ 2 ชั้น โดย น้ำมันจะอยขู่ า้ งบน และน้ำจะอยขู่ ้างลา่ ง เรียกสารผสมน้วี า่ อิมัลชัน ( emulsion ) - สารแขวนลอย คือ ของผสมที่เกิดจากสาร 2 ชนิดรวมกัน โดยที่โมเลกุลของสารชนิดหนึ่งมีขนาด ใหญ่กว่า 100 นาโนเมตร (1 นาโนเมตรเท่ากับ 0.000000001 เมตร) ลอยอยู่ในสารอีกชนิดหนึ่ง สาร แขวนลอยถา้ มองดูด้วยตาเปล่าจะมีลกั ษณะขนุ่ เนอ่ื งจากโมเลกลุ ของสารแขวนลอยมขี นาดใหญ่ หกั แหแสงได้ ไม่เท่ากัน ซึ่งโมเลกุล เหล่านี้จะแขวนลอยอยู่ได้ไม่นานแลว้ จะจมสูเ่ บื้องล่าง แยกตัวออกจากสารอีกชนิดหนง่ึ ตัวอย่างเช่น สารผสมระหว่างดินทรายกบั นำ้ โคลนกบั น้ำ ปูนขาวกบั น้ำ 8. กระบวนการจดั การเรียนรู้ (ใชร้ ปู แบบการสอนสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry cycle) (5Es) 8.1 ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement) (10 นาที) (1) กระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยนำน้ำเปล่า น้ำอัดลม น้ำโคลน น้ำนม และแผ่น ทองแดง ให้นักเรียนดู แล้วถามว่า ทั้ง 5 อย่างที่นักเรียนเห็นแตกต่างกันอย่างไร โดยสุ่มนักเรียน 5 คน ลอง ตอบตามความคดิ ของตัวเอง (2) ครชู ้ีแจงใหน้ กั เรียนว่า วนั น้คี รูจะเรยี นรู้เกย่ี วกบั การจำแนกสาร 8.2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) (70 นาที) (1) ครอู ธิบายความรูเ้ ร่อื งการจำแนกสารใหน้ ักเรียนฟัง โดยใชส้ ่อื การสอน PowerPoint (2) ครูนำบัตรคำที่ครูเตรียมไว้ให้นักเรยี นดู และชี้แจงว่าให้แบ่งกลุ่ม 6 กลุ่ม ครูมีเกมมาให้ นกั เรยี นเลน่ โดยครูจะเขยี น 1-15 ไว้บนกระดาน แล้วครูจะเปิดบัตรคำทีละใบ แล้วใหน้ ักเรียนตอบว่าคือสาร ชนิดใด โดยใหส้ ่งตวั แทนทลี ะ 1 คน ขน้ึ ไปเขียนหลังข้อที่ครูเขยี นหมายเลขไว้ แตล่ ะข้อหา้ มซ้ำคนเดิมวนเรือ่ ยๆ จนกว่าจะครบ 15 ข้อ และกลุ่มไหนเรว็ ตอบไดก้ ่อนก็ได้คะแนนไป ถ้ากลุ่มแรกตอบผิด กลุ่มต่อไปสามารถลกุ ขึ้นไปตอบได้เรอื่ ยๆจนกวา่ จะถูก (3) นกั เรียนและครูเริ่มกิจกรรมตามทค่ี รูชแ้ี จง 8.3 ขั้นอภิปรายและลงข้อสรปุ (Explain) (10 นาท)ี (1) นักเรียนและครรู ่วมกันอภิปรายและสรปุ ความรู้ดังนี้ (สสาร คือ สงิ่ ทม่ี ีมวล ต้องการท่ีอยู่ และสามารถสัมผัสได้หรืออาจหมายถึงสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา สาร หมายถึง เนื้อของสสารที่นำมาศึกษาที่ ทราบองค์ประกอบแลว้ สารเนอื้ เดยี ว หมายถงึ สารที่มีเนื้อสารเหมอื นกันทกุ ส่วน ทำให้สารมีสมบัติเหมือนกัน ตลอดทุกส่วน สารเนื้อผสม หมายถึง สารที่มีเนื้อสารแตกต่างกันในแต่ละส่วน จะทำให้สารนั้นมีสมบัติ ไม่ เหมือนกันตลอดทุกสว่ น สารบริสุทธ์ิ คือ สารเนือ้ เดียวที่ประกอบด้วยสารเพียงอยา่ งเดียว ไม่มีสารอื่นเจือปน สารเนื้อผสม คือ สารที่มีลักษณะของเนือ้ สารคละกนั ไม่ผสมกลมกลืนเป็นเน้ือเดียวกัน จะเห็นว่าสารมีหลาย ชนดิ ท่ีมคี วามแตกตา่ งกนั ไป สารแต่ละชนิดกม็ ีการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันมากมาย) 8.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (15 นาท)ี (1) ครูเพิ่มเติมความรู้โดยเปิดวีดีโอ เรื่อง การเลือกใช้สารในชีวิตประจำวัน จาก https://www.youtube.com/watch?v=qyYF7mCJREI ใหน้ ักเรียนดู (2) นกั เรยี นรับใบงาน เรือ่ งการจำแนกสาร และลงมือทำใบงาน
8.5 ข้นั ประเมนิ (Evaluation) (15 นาท)ี (1) นกั เรียนและครูร่วมกนั เฉลยใบงาน (2) ครตู ัง้ คำถามเพอื่ ตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรยี น (3) นกั เรยี นถามในสิง่ ที่สงสยั และยังไมร่ แู้ ละครูอธิบายเพ่มิ เติม (4) สงั เกตความสนใจและความกระตือรอื ร้นของนักเรยี น 9. สื่อการเรียนรู้ (1) ส่ือการสอน PowerPoint (2) หนังสอื วทิ ยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน ม.1 เล่ม 1 (สสวท) (3) ใบงาน เร่ืองการจำแนกสาร (4) บตั รคำ 15 ใบ (5) วดี ีโอ เรอื่ ง การเลือกใชส้ ารในชีวิตประจำวนั
10. การวัดผลและประเมินผล จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วธิ กี ารวัดผล เครอื่ งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ ผู้ประเมนิ ครผู สู้ อน 1.ด้านความรู้ (K) ค ว า ม ถ ู ก ต ้ อ ง ข อ ง ใบงาน ผู้เรยี นผ่านเกณฑ์ ระดับพอใชข้ ึน้ ไป ครูผู้สอน นักเรียนสามารถอธิบาย คำตอบในใบงาน ผเู้ รยี นผา่ นเกณฑ์ ความหมายของสาร ระดับพอใช้ขน้ึ ไป ต่างๆได้ 2.ด ้ า น ท ั ก ษ ะ / ดูทักษะในการเขียน แบบประเมินทักษะใน กระบวนการ (P) อธิบายประโยชน์และ ก า ร เ ขี ย น อ ธ ิ บ า ย น ัก เร ียนสามาร ถทำ โทษของธาตุในใบงาน ประโยชน์และ โทษ กจิ กรรมทีก่ ำหนดใหไ้ ด้ ของธาตุในใบงาน 3.ดา้ นคุณลกั ษณะ(A) ประเมินความตั้งใจ แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ผเู้ รียนผ่านเกณฑ์ ครูผู้สอน ระดบั พอใช้ขึน้ ไป นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่น เร ียน ตั้ง ใจ ใน ก าร พ ฤ ต ิ ก ร ร ม บ ่ ง ชี้ ในการทำงาน และมีวินัย ทำงาน และความตรง คุณลักษณะอ ัน พึง ในการเรียน ตอ่ เวลาในการสง่ งาน ประสงค์
เกณฑ์การประเมิน เกณฑป์ ระเมินด้าน K รายการประเมนิ ดี (3) ระดบั คุณภาพ ปรบั ปรุง (1) พอใช้ (2) นักเรียนสามา ร ถ นักเรียนสามารถอธิบาย นักเรียนอธิบายความหมาย น ั ก เ ร ี ย น อ ธ ิ บ า ย อธิบายความหมาย ความหมายของสารต่างๆ ของสารต่างๆได้ถูกต้องเป็น ความหมายของสารต่างๆ ของสารตา่ งๆได้ ไ ด้ อ ย ่ า ง ถ ู ก ต ้ อ ง แ ล ะ ส่วนใหญ(่ 5-7คะแนน) ได้เพียงส่วนน้อย(ต่ำกว่า5 ครบถว้ น(8-10คะแนน) คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรียนต้องผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ระดับ 2 ข้นึ ไป เกณฑก์ ารตัดสินระดบั คณุ ภาพดา้ นคณุ ลักษณะ (K) 8-10 คะแนน อยู่ในระดบั 3 หมายถึง ดี 5-7 คะแนน อยใู่ นระดับ 2 หมายถงึ พอใช้ ต่ำกวา่ 5 คะแนน อยู่ในระดับ 1 หมายถึง ปรับปรุง เกณฑป์ ระเมินด้าน P รายการประเมนิ ดี (3) ระดบั คณุ ภาพ ปรับปรงุ (1) พอใช้ (2) นักเรียนสามารถทำ น ั ก เ ร ี ย น ส า ม า ร ถ ท ำ นักเรียนสามารถทำกิจกรรม น ั ก เ ร ี ย น ส า ม า ร ถ ท ำ กิจกรรมที่กำหนดให้ กิจกรรมที่กำหนดให้ได้ ที่กำหนดให้ได้ถูกต้องเป็น กิจกรรมที่กำหนดให้ได้ ได้ อยา่ งถูกตอ้ งและครบถ้วน ( สว่ นใหญ่ ( 5-7 คะแนน) เพียงส่วนน้อย (ต่ำกว่า 5 8-10 คะแนน) คะแนน) *หมายเหตุ นักเรียนต้องผ่านเกณฑ์การประเมินระดบั 2 ขึน้ ไป เกณฑ์การตัดสินระดบั คุณภาพด้านคุณลักษณะ (P) 8-10 คะแนน อยู่ในระดบั 3 หมายถึง ดี 5-7 คะแนน อยู่ในระดับ 2 หมายถงึ พอใช้ ตำ่ กว่า 5 คะแนน อย่ใู นระดับ 1 หมายถึง ปรับปรุง
เกณฑป์ ระเมนิ ด้าน A รายการประเมิน ดี (3) ระดับคณุ ภาพ ปรบั ปรุง (1) พอใช้ (2) นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน ไม่มีความตั้งใจเรียน ไม่ มุ่งมั่นในการทำงาน การทำงาน และส่งงานตรง การทำงาน และส่งงานตรง ตั้งใจในการทำงาน และสง่ และมีวนิ ยั ในการเรยี น เวลาทุกครั้ง(4คะแนน) เวลาบางครัง้ (2-3 คะแนน) งานไม่ตรงเวลา(ต่ำกว่า2 คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรียนต้องผ่านเกณฑ์การประเมินระดับ 2 ขนึ้ ไป เกณฑก์ ารตัดสนิ ระดับคณุ ภาพดา้ นคุณลกั ษณะ (A) 4 คะแนน อย่ใู นระดับ 3 หมายถงึ ดี 2-3 คะแนน อยูใ่ นระดบั 2 หมายถึง พอใช้ ตำ่ กว่า2 คะแนน อยู่ในระดับ 1 หมายถงึ ปรบั ปรงุ
วช-ร 06 แบบบนั ทกึ หลงั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ……………… เร่ือง ……………………………………………………………….. แผนการเรียนร้ทู ี่ ………………… เรือ่ ง ……………………………………………………………….. รายวิชา……………………………….. ช้ัน…………………………. รหัสวชิ า ……………………………………. ครผู สู้ อน …………………………………………….. ตำแหน่ง …………………………………… เวลาทใี่ ช้ ……… ชว่ั โมง ************************* ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้อค้นพบระหว่าง ปญั หาที่พบ แนวทางแก้ไข ทมี่ กี ารจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ เน้ือหา กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่อื ประกอบการเรยี นรู้ พฤตกิ รรม/การมีส่วนร่วมของ ผูเ้ รยี น ลงชื่อ …..........………….......................…….. ครผู ู้จัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (นางสาวจันจิรา ธนันชยั ) ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย
11. ผลการประเมิน นกั เรยี นทง้ั หมด………………คน ดา้ น (K) นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายของสารตา่ งๆได้ ผ่านเกณฑ์การประเมินมีคุณภาพอยูใ่ นระดบั ดี จำนวน……………….คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ……………. ผา่ นเกณฑ์การประเมินมีคุณภาพอยู่ในระดบั พอใช้ จำนวน……………….คน คิดเป็นร้อยละ…………….. ไมผ่ า่ นเกณฑ์การประเมิน จำนวน………...........คน คดิ เป็นร้อยละ……………. ด้าน (P) นกั เรยี นสามารถทำกิจกรรมท่ีกำหนดใหไ้ ด้ ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ มีคุณภาพอยใู่ นระดบั ดี จำนวน……………….คน คดิ เปน็ ร้อยละ……………. ผ่านเกณฑ์การประเมนิ มีคณุ ภาพอย่ใู นระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คดิ เป็นร้อยละ…………….. ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน จำนวน………...........คน คดิ เปน็ ร้อยละ……………. ด้าน (A) นักเรยี นใฝเ่ รียนรู้ มุ่งมนั่ ในการทำงาน และมวี นิ ัยในการเรียน ผ่านเกณฑ์การประเมนิ มีคุณภาพอยใู่ นระดับดี จำนวน……………….คน คิดเป็นรอ้ ยละ…………… ผา่ นเกณฑ์การประเมินมีคุณภาพอย่ใู นระดบั พอใช้ จำนวน……………….คน คิดเป็นร้อยละ…………….. ไมผ่ า่ นเกณฑ์การประเมนิ จำนวน………...........คน คดิ เปน็ ร้อยละ……………. รายช่ือนกั เรยี นท่ไี มผ่ ่านเกณฑ์การประเมิน สาเหตุ-ปัญหา แนวทางแกไ้ ข ลำดบั ช่อื -สกลุ ลงชอ่ื ...............................................(ผู้สอน) (..............................................)
ใบงาน เร่ืองการจำแนกสาร คำชแ้ี จง : จงตอบคำถามตอ่ ไปนใี้ หถ้ ูกตอ้ ง 1. สาร (Substance) หมายถึงอะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. สสาร (Matter) หมายถึงอะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. สารประกอบ หมายถงึ อะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ใหน้ ักเรียนโยงเส้นจับคสู่ ารและลักษณะของสารให้ถกู ตอ้ ง 5. จงเติมคำในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง
เฉลยใบงาน 1. สาร (Substance) หมายถึงอะไร สาร หมายถงึ เนือ้ ของสสารทน่ี ำมาศกึ ษาที่ทราบองค์ประกอบแล้ว 2. สสาร (Matter) หมายถงึ อะไร สสาร คือสง่ิ ทีม่ ีมวล ตอ้ งการทอี่ ยู่ และสามารถสมั ผสั ได้ หรืออาจหมายถึงสิ่งตา่ งๆท่อี ยรู่ อบตัวเรา มีตวั ตน ต้องการทอ่ี ยู่ สมั ผัสได้ อาจมองเห็นหรอื มองไมเ่ หน็ กไ็ ด้ 3. สารประกอบ หมายถงึ อะไร สารประกอบ (compounds) หมายถงึ สารทเ่ี กดิ จากธาตุตง้ั แต่ ๒ ธาตุข้ึนไปมารวมตัวกนั โดยอาศัยปฏกิ ริ ิยา เคมี และมีอตั ราสว่ นผสมคงที่เสมอ สารชนดิ ใหม่น้จี ะมสี มบัตแิ ตกตา่ งจากสมบัติเดมิ ของธาตทุ ี่เป็น องคป์ ระกอบ
ชื่อสาร 15 ชนิดที่ใช้ทำบัตรคำ (เขียนในกระดาษเทาขาว) 1. นำ้ เช่ือม (สารละลาย) 9. เกลือ (สารประกอบ) 2. น้ำโคลน (สารแขวนลอย) 10. สารจุนสี (สารละลาย) 3. น้ำ (สารประกอบ) 11. เลอื ด (สารคอลลอยด์) 4. แคลเซียม (ธาตุ) 12. น้ำอัดลม (สารละลาย) 13. แกส๊ มเี ทน (สารประกอบ) 5. นำ้ ตาลกลูโคส (สารประกอบ) 14. นำ้ ผสมปูนขาว(สารแขวนลอย) 6. เหล้า (สารละลาย) 15. นำ้ สลดั (สารคอลลอยด์) 7. นมจืด (สารคอลลอยด์) 8. คารบ์ อนไดออกไซด์ (ธาตุ)
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 8 ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เวลา 2 ช่ัวโมง หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 1 สารรอบตวั เรา โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 แผนการจดั การเรียนรู้เรื่อง การตรวจสอบชนิดของสาร ผู้สอนนางสาวจนั จิรา ธนันชัย 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง สถานะของสสารการเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี 2. ตัวชวี้ ัด อธบิ ายและเปรียบเทยี บความหนาแนน่ ของสารบริสุทธแิ์ ละสารผสม ว 2.1 ม.1/5 อธิบายเกี่ยวกับความสัมพนั ธ์ระหว่างอะตอมธาตแุ ละสารประกอบ โดยใชแ้ บบจำลอง ว 2.1 ม.1/7 และสารสนเทศ 3. สาระสำคญั สสาร คอื ส่งิ ท่ีมีมวล ต้องการทอ่ี ยู่ และสามารถสัมผัสได้ หรอื อาจหมายถงึ สิ่งตา่ งๆท่อี ยู่รอบตัวเรา สาร หมายถึง เนื้อของสสารที่นำมาศึกษาหรือสิ่งที่นำมาศึกษา ดังนั้นจึงใช้คำว่าสารแทนสสารได้ สารเนื้อเดียว หมายถึง สารที่มีเนื้อสารเหมอื นกันทุกส่วน ทำให้สารมีสมบัติเหมือนกันตลอดทุกสว่ น สารเนื้อผสม หมายถึง สารที่มีเน้ือสารแตกต่างกนั ในแต่ละส่วน จะทำให้สารนัน้ มีสมบัติ ไม่เหมือนกันตลอดทกุ สว่ น สารบริสุทธิ์ คือ สารเนอื้ เดยี วท่ีประกอบด้วยสารเพียงอย่างเดยี ว ไม่มีสารอน่ื เจือปน สารเนอื้ ผสม คือ สารท่ีมีลักษณะของเนื้อ สารคละกัน ไม่ผสมกลมกลนื เปน็ เน้อื เดยี วกนั 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ (1) นักเรียนสามารถอธิบายผลการทดลองเก่ยี วกับการทดสอบสารชนิดตา่ งๆได้ (K) (2) นกั เรยี นสามารถทำการทดลองเกย่ี วกบั การทดสอบสารชนิดตา่ งๆได้ (P) (3) นักเรยี นใฝเ่ รียนรู้ ม่งุ มน่ั ในการทำงาน และมีวนิ ัยในการเรยี น (A) 5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น (1) ความสามารถในการส่อื สาร - การอธิบาย การเขียน การตอบคำถาม (2) ความสามารถในการคดิ - การสังเกต การสำรวจ การคดิ วเิ คราะห์ การสร้างคำอธิบาย การอภิปราย การส่อื ความหมาย การทำกจิ กรรมโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบค้นโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (3) ความสามารถในการแก้ไขปัญหา - สามารถแก้ปัญหาท่เี กิดข้นึ ได้อย่างเหมาะสม
6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ - มวี ินยั - มุ่งมน่ั ในการทำงาน - ใฝ่เรียนรู้ 7. สาระการเรียนรู้ สสาร ( matter ) คือสิ่งที่มีมวล ต้องการที่อยู่ และสามารถสัมผัสได้ หรืออาจหมายถึงสิง่ ต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา มีตัวตน ต้องการทอ่ี ยู่ สมั ผสั ได้ อาจมองเห็นหรือมองไมเ่ ห็นก็ได้ เช่น อากาศ หนิ เป็นตน้ นักวิทยาศาสตร์เรียกสสารที่ รู้จกั วา่ สาร สาร (Substance) สาร หมายถงึ เน้อื ของสสารท่นี ำมาศกึ ษาท่ที ราบองคป์ ระกอบแลว้ ดงั น้ันจึงใชค้ ำวา่ สารแทนสสารได้ - สารเน้ือเดียว ( Homogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มเี น้อื สารเหมือนกนั ทุกสว่ น ทำให้ สารมสี มบตั ิเหมือนกันตลอดทกุ สว่ น เช่น แอลกอฮอล์ , ทองคำ ( Au ) , โลหะบัดกรี - สารเนื้อผสม ( Heterogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารแตกต่างกันในแต่ละ ส่วน จะทำให้สารนนั้ มีสมบตั ิ ไม่เหมอื นกนั ตลอดทุกส่วน เช่น นำ้ อบไทย , น้ำคลอง ฯลฯ สารบริสุทธ์ิ (Pure Substance) เป็นสารเน้อื เดียวท่ีประกอบดว้ ยสารเพียงอย่างเดียว ไม่มีสารอื่นเจือปน ไดแ้ ก่ ธาตุและสารประกอบ
- ธาตุ (Elements) หมายถึง สารบริสุทธิ์เนื้อเดียวที่มีองค์ประกอบอย่างเดียว ธาตุไม่สามารถ แยกสลายใหก้ ลายเปน็ สารอื่นโดยวธิ กี ารทางเคมี ธาตมุ คี ณุ สมบัติทง้ั 3 สถานะ ได้แก่ ของแขง็ เช่น ธาตสุ ังกะสี ตะกั่ว เงนิ ของเหลว เช่น ปรอท และก๊าซ เชน่ ออกซเิ จน ไฮโดรเจน เป็นต้น ธาตยุ ังสามารถจำแนกคุณสมบัติ ออกเป็น ธาตโุ ลหะ ธาตุอโลหะ และธาตกุ ึ่งโลหะ - สารประกอบ (compounds) หมายถึง สารที่เกิดจากธาตุตั้งแต่ ๒ ธาตุขึ้นไปมารวมตัวกันโดย อาศยั ปฏิกริ ยิ าเคมี และมีอัตราส่วนผสมคงที่เสมอ สารชนดิ ใหมน่ จี้ ะมีสมบัตแิ ตกต่างจากสมบัติเดิมของธาตุที่ เป็นองค์ประกอบ สารประกอบมีสมบัติเฉพาะตัวที่แตกต่างจากธาตุเดิม เช่น น้ำ มีสูตรเคมีเป็น H2O เป็น สารประกอบที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจน (H) และธาตุออกซิเจน (O) แต่มีสมบัติแตกต่างจากธาตุไฮโดรเจนและ ออกซิเจน สารประกอบแต่ละชนิดมีอัตราส่วนของธาตุที่เป็นองค์ประกอบคงที่ เช่น น้ำ ประกอบด้วยธาตุ ไฮโดรเจน และออกซิเจน โดยมีอัตราส่วนโดยมวลของ H : O = 1 : 8 คาร์บอนไดออกไซด์ประกอบด้วยธาตุ คารบ์ อนและออกซิเจนโดยมอี ตั ราสว่ นโดยมวลของ C : O = 3 : 8 เป็นต้น สารละลาย หมายถึง สารเนื้อเดียว ที่เกิดจากสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมารวมกัน ผสมเป็นเนื้อ เดียวกัน ไม่มีปฏิกิริยาเกดิ ขึ้น สมบัติคล้ายองค์ประกอบเดิม เช่น น้ำเชื่อม น้ำเกลือ น้ำอัดลม ยาแก้ไอน้ำดำ เปน็ ต้น สารเนอื้ ผสม สารเนือ้ ผสม ( Heterogeneous Substance ) หมายถึง สารท่ีมลี กั ษณะของเนอ้ื สารคละกัน ไม่ผสม กลมกลืนเป็นเนอ้ื เดียวกัน สารท่เี ปน็ สว่ นผสมแต่ละชนดิ ก็ยงั คงแสดงสมบัติของสารเดิม เพราะเปน็ การรวมกัน ทางกายภาพไม่มีการเปลยี่ นแปลงทางเคมีเกิดขน้ึ เราสามารถใช้ตาเปล่าสังเกตและจำแนกได้ว่าสารเน้ือผสม นั้นประกอบด้วยสารใดบา้ ง และสามารถแยกสารเหล่าน้ันออกจากกันได้โดยวธิ ีทางกายภาพธรรมดา โดยไม่ ทำให้สมบตั ิเดมิ เปล่ียนแปลงไป สารเนอื้ ผสม แบง่ ออกเปน็ 2 กลมุ่ คอื สารคอลอยด์กบั สารแขวนลอย - สารคอลลอยด์ คือ ของผสมที่ประกอบด้วยสาร 2 ชนิด โดยจะมีโมเลกุลเล็กกว่าสารแขวนลอย โมเลกลุ มีขนาดประมาณ 1-100 นาโนเมตร แต่ใหญก่ วา่ โมเลกลุ ของสารละลาย สามารถผ่านกระดาษกรองแต่ ไม่สามารถผ่านกระดาษ เซลโลเฟนได้ เรียกว่า อนุภาคคอลลอยด์ ซึ่งอาจเป็น ของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส
กระจายอยู่ในตัวกลางทีเ่ ป็นสารอีกชนดิ หนึง่ รวมทั้งอาจมีสถานะเปน็ ของแขง็ ของเหลว หรือแก๊ส ได้เช่นกัน บางอยา่ งมองดแู ล้วจะมีลกั ษณะคลา้ ยกบั สารเน้ือเดยี ว นอกจากนี้ ยังมีคอยลอยดบ์ างประเภทท่ีอนภุ าคคอลลอยด์จะไมก่ ระจายอยู่ในสารอีกชนดิ หนึ่งได้นาน เช่น น้ำผสมกับนำ้ มันพืช เมื่อเขย่าและตั้งทิง้ ไวส้ ักพักหนึง่ น้ำกับน้ำมนั พืชจะแยกออกจากกนั เปน็ 2 ชั้น โดย น้ำมันจะอยู่ข้างบน และนำ้ จะอยขู่ ้างล่าง เรยี กสารผสมนีว้ า่ อิมัลชัน ( emulsion ) - สารแขวนลอย คือ ของผสมที่เกิดจากสาร 2 ชนิดรวมกัน โดยที่โมเลกุลของสารชนิดหนึ่งมีขนาด ใหญ่กว่า 100 นาโนเมตร (1 นาโนเมตรเท่ากับ 0.000000001 เมตร) ลอยอยู่ในสารอีกชนิดหนึ่ง สาร แขวนลอยถ้ามองดูด้วยตาเปล่าจะมีลกั ษณะขุ่นเน่อื งจากโมเลกุล ของสารแขวนลอยมีขนาดใหญ่ หักแหแสงได้ ไม่เท่ากนั ซึ่งโมเลกุล เหล่านี้จะแขวนลอยอยู่ได้ไม่นานแลว้ จะจมสู่เบ้ืองล่าง แยกตัวออกจากสารอกี ชนิดหนงึ่ ตัวอยา่ งเช่น สารผสมระหวา่ งดนิ ทรายกบั นำ้ โคลนกับน้ำ ปูนขาวกับน้ำ 8. กระบวนการจดั การเรียนรู้ (ใชร้ ปู แบบการสอนสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry cycle) (5Es) 8.1 ข้นั สร้างความสนใจ (Engagement) (5 นาท)ี (1) กระต้นุ ความสนใจของนักเรยี นโดยถามนกั เรยี นวา่ ถา้ นักเรยี นตอ้ งการท่จี ะทำการทดสอบ อนุภาคของสารแตล่ ะชนิดนักเรียนจะใชอ้ ะไรในการทดสอบ (ใหน้ กั เรยี นตอบตามความคดิ ของตัวเอง) (แนวคำตอบ ทดสอบโดยใชว้ ธิ กี ารกรองด้วยอปุ กรณ์ต่างๆที่เหมาะสม สารละลาย กรองด้วย กระดาษเซลโลเฟน สารคอลลอยดก์ รองดว้ ยกระดาษกรอง และสารแขวนลอยกรองดว้ ยผา้ ขาวบาง) (2) ครชู ้ีแจงให้นักเรียนว่า วนั น้ีครูจะเรยี นรู้เกีย่ วกับการตรวจสอบขนาดของเน้อื สาร 8.2 ขัน้ สำรวจและคน้ หา (Exploration) (80 นาที) (1) ครอู ธิบายทบทวนความร้เู รื่องการจำแนกสารให้นักเรียนฟัง (2) นักเรยี นแบ่งกลมุ่ 6 กล่มุ และรบั ใบกจิ กรรม เรอื่ งการตรวจสอบขนาดของเนื้อสารจากครู (3) ครูแนะนำวัสดุอุปกรณต์ า่ งๆใหน้ กั เรียน แล้วให้อา่ นวิธกี ารทดลองในใบกิจกรรมพร้อมกัน และใหน้ ักเรียนลงมือทำการทดลองตามขั้นตอนในใบกจิ กรรม (4) ให้ตวั แทนนกั เรยี นกลมุ่ ที่ 1 และ 6 ออกมาสรุปผลการทดลองของกลุม่ ตัวหนา้ ช้นั เรียน 8.3 ขัน้ อภิปรายและลงขอ้ สรปุ (Explain) (10 นาท)ี (1) นักเรียนและครรู ่วมกนั อภปิ รายและสรุปความร้ดู งั น้ี (เม่อื นำนำ้ เกลอื น้ำโคลน และนมจืด ไปกรองด้วย กระดาษเซลโลเฟน ผ้าขาวบาง และกระดาษกรอง อุปกรณ์ที่ใช้ในการกรองสารแต่ละชนิด แตกต่างกัน เนื่องจากขนาดของอนุภาคของสารแต่ละชนิดไม่เท่ากัน ดังนั้นการที่จะเลือกอุปกรณ์ท่ีจะนำมา กรองสารแต่ละชนดิ ควรเลือกใหถ้ กู ต้องและเหมาะสม ถา้ ใช้อปุ กรณไ์ ม่เหมาะสมจะทำให้นำ้ ทีไ่ หลลงในขวดรูป ชมพไู่ มใ่ สหรือยงั มีสิ่งเจอื ปนอยู่) 8.4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาท)ี (1) ครูเพิ่มเติมความรู้โดยเปิดวีดีโอ เรื่อง 6 สารอันตรายที่ปนเปือ้ นในอาหารท่ีเรากนิ ทุกวนั จาก https://www.youtube.com/watch?v=ncGLaEcj67Y ให้นกั เรยี นดู 8.5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) (15 นาท)ี (1) นักเรยี นและครรู ว่ มกันเฉลยใบงาน (2) ครูตง้ั คำถามเพอื่ ตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรยี น (3) นักเรยี นถามในสง่ิ ทส่ี งสยั และยังไมร่ แู้ ละครูอธบิ ายเพิม่ เติม
(4) สังเกตความสนใจและความกระตือรอื ร้นของนกั เรยี น 9. สือ่ การเรียนรู้ (1) ใบกิจกรรม เรื่องการตรวจสอบขนาดของเนอ้ื สาร (2) วีดีโอ เร่อื ง 6 สารอันตรายท่ปี นเปอ้ื นในอาหารท่ีเรากินทุกวัน (3) วัสดุ/อุปกรณ์การทดลอง ได้แก่ ดิน น้ำเปล่า นมจืด บีกเกอร์ขนาด ขวดรูปชมพู่ แท่งแก้วคนสาร กรวยกรอง กระดาษเซลโลเฟน กระดาษกรอง
10. การวัดผลและประเมินผล จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วธิ กี ารวัดผล เครอ่ื งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ ผปู้ ระเมนิ ครผู สู้ อน 1.ด้านความรู้ (K) ค ว า ม ถ ู ก ต ้ อ ง ข อ ง ใบกจิ กรรม ผเู้ รียนผา่ นเกณฑ์ ระดับพอใช้ขน้ึ ไป ครูผสู้ อน นักเรียนสามารถอธิบาย คำตอบในใบกิจกรรม ผู้เรยี นผ่านเกณฑ์ ครูผูส้ อน ผลการทดลองเกี่ยวกับ ระดับพอใชข้ ึ้นไป ก า ร ท ด ส อ บ ส า ร ช นิ ด ตา่ งๆได้ 2.ด ้ า น ท ั ก ษ ะ / ดูทักษะในการทดลอง แบบประเมินทักษะ กระบวนการ (P) เกี่ยวกับการทดสอบ การทดลองเกี่ยวกับ นักเรียนสามารถทำการ สารชนดิ ต่างๆ การทดสอบสารชนิด ทดลองเกี่ยวกับการ ต่างๆ ทดสอบสารชนิดตา่ งๆได้ 3.ด้านคุณลักษณะ(A) ประเมินความตั้งใจ แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ผ้เู รียนผา่ นเกณฑ์ ระดบั พอใช้ข้ึนไป นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่น เร ียน ตั้ง ใจ ใน ก าร พ ฤ ต ิ ก ร ร ม บ ่ ง ชี้ ในการทำงาน และมีวินัย ทำงาน และความตรง คุณลักษณะอ ัน พึง ในการเรยี น ต่อเวลาในการส่งงาน ประสงค์
เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑป์ ระเมนิ ดา้ น K รายการประเมนิ ดี (3) ระดับคณุ ภาพ ปรบั ปรุง (1) พอใช้ (2) น ั ก เ ร ี ย น ส า ม า ร ถ นักเรียนสามารถอธิบายผล นักเรียนสามารถอธิบายผล นักเรยี นสามารถอธิบายผล อธิบายผลการทดลอง การทดลองเกี่ยวกับการ การทดลองเกี่ยวกับการ การทดลองเกี่ยวกับการ เกี่ยวกับการทดสอบ ทดสอบสารชนิดต่างๆได้ ทดสอบสารชนิดต่างๆได้ ทดสอบสารชนิดต่างๆได้ สารชนดิ ตา่ งๆได้ อย่างถูกต้องและครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่(5- เพียงส่วนน้อย(ต่ำกว่า5 (8-10คะแนน) 7คะแนน) คะแนน) *หมายเหตุ นักเรยี นตอ้ งผ่านเกณฑก์ ารประเมินระดับ 2 ขน้ึ ไป เกณฑก์ ารตัดสินระดบั คณุ ภาพดา้ นคณุ ลักษณะ (K) 8-10 คะแนน อยใู่ นระดับ 3 หมายถึง ดี 5-7 คะแนน อยู่ในระดบั 2 หมายถึง พอใช้ ต่ำกว่า 5 คะแนน อย่ใู นระดับ 1 หมายถงึ ปรับปรุง เกณฑ์ประเมนิ ดา้ น P รายการประเมิน ดี (3) ระดับคุณภาพ ปรบั ปรุง (1) พอใช้ (2) นักเรียนสามารถทำ นักเรียนสามารถทำการ นักเรียนสามารถทำการ นักเรียนสามารถทำการ การทดลองเกี่ยวกับ ท ด ล อ ง เ ก ี ่ ย ว ก ั บ ก า ร ทดลองเกี่ยวกับการทดสอบ ท ด ล อ ง เ ก ี ่ ย ว ก ั บ ก า ร การทดสอบสารชนิด ทดสอบสารชนิดต่างๆได้ สารชนดิ ต่างๆได้ ถูกตอ้ งเป็น ทดสอบสารชนิดต่างๆได้ ต่างๆได้ อย่างถกู ตอ้ งและครบถ้วน ( ส่วนใหญ่ ( 5-7 คะแนน) เพียงส่วนน้อย (ต่ำกว่า 5 8-10 คะแนน) คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรยี นต้องผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ระดบั 2 ข้นึ ไป เกณฑก์ ารตัดสินระดับคุณภาพด้านคณุ ลักษณะ (P) 8-10 คะแนน อยู่ในระดับ 3 หมายถงึ ดี 5-7 คะแนน อยู่ในระดบั 2 หมายถงึ พอใช้ ตำ่ กวา่ 5 คะแนน อยูใ่ นระดับ 1 หมายถงึ ปรบั ปรุง
เกณฑ์ประเมนิ ด้าน A รายการประเมิน ดี (3) ระดับคุณภาพ ปรบั ปรงุ (1) พอใช้ (2) นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน ไม่มีความตั้งใจเรียน ไม่ มุ่งมั่นในการทำงาน การทำงาน และส่งงานตรง การทำงาน และส่งงานตรง ตั้งใจในการทำงาน และส่ง และมีวินัยในการเรียน เวลาทุกครั้ง(4คะแนน) เวลาบางครงั้ (2-3 คะแนน) งานไม่ตรงเวลา(ต่ำกว่า2 คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรยี นต้องผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ระดับ 2 ขึน้ ไป เกณฑ์การตัดสนิ ระดบั คณุ ภาพด้านคุณลักษณะ (A) 4 คะแนน อยใู่ นระดับ 3 หมายถงึ ดี 2-3 คะแนน อยใู่ นระดับ 2 หมายถงึ พอใช้ ต่ำกวา่ 2 คะแนน อยู่ในระดบั 1 หมายถึง ปรับปรงุ
วช-ร 06 แบบบนั ทกึ หลงั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ……………… เร่ือง ……………………………………………………………….. แผนการเรียนร้ทู ี่ ………………… เรือ่ ง ……………………………………………………………….. รายวิชา……………………………….. ช้ัน…………………………. รหัสวชิ า ……………………………………. ครผู สู้ อน …………………………………………….. ตำแหน่ง …………………………………… เวลาทใี่ ช้ ……… ชว่ั โมง ************************* ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้อค้นพบระหว่าง ปญั หาที่พบ แนวทางแก้ไข ทมี่ กี ารจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ เน้ือหา กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่อื ประกอบการเรยี นรู้ พฤตกิ รรม/การมีส่วนร่วมของ ผูเ้ รยี น ลงชื่อ …..........………….......................…….. ครผู ู้จัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (นางสาวจันจิรา ธนันชยั ) ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย
11. ผลการประเมิน นักเรยี นทัง้ หมด………………คน ดา้ น (K) นกั เรียนสามารถอธบิ ายผลการทดลองเกย่ี วกบั การทดสอบสารชนิดตา่ งๆได้ ผ่านเกณฑ์การประเมินมีคณุ ภาพอยู่ในระดบั ดี จำนวน……………….คน คิดเปน็ ร้อยละ……………. ผ่านเกณฑ์การประเมินมีคณุ ภาพอยใู่ นระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คิดเปน็ ร้อยละ…………….. ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมนิ จำนวน………...........คน คิดเปน็ ร้อยละ……………. ด้าน (P) นักเรียนสามารถทำการทดลองเกีย่ วกับการทดสอบสารชนดิ ตา่ งๆได้ ผ่านเกณฑ์การประเมนิ มีคณุ ภาพอยู่ในระดับดี จำนวน……………….คน คิดเป็นรอ้ ยละ……………. ผ่านเกณฑ์การประเมนิ มีคณุ ภาพอยใู่ นระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คิดเป็นร้อยละ…………….. ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมนิ จำนวน………...........คน คดิ เปน็ ร้อยละ……………. ดา้ น (A) นักเรียนใฝเ่ รียนรู้ มุง่ มั่นในการทำงาน และมีวินยั ในการเรียน ผ่านเกณฑ์การประเมินมีคณุ ภาพอย่ใู นระดบั ดี จำนวน……………….คน คดิ เปน็ ร้อยละ…………… ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ มีคุณภาพอยใู่ นระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คิดเปน็ ร้อยละ…………….. ไมผ่ า่ นเกณฑ์การประเมิน จำนวน………...........คน คดิ เป็นร้อยละ……………. รายชอื่ นักเรยี นท่ไี มผ่ า่ นเกณฑก์ ารประเมิน สาเหตุ-ปญั หา แนวทางแกไ้ ข ลำดบั ชื่อ-สกลุ ลงช่อื ...............................................(ผสู้ อน) (..............................................)
ใบกิจกรรม เรอ่ื งการตรวจสอบขนาดของเนื้อสาร วตั ถปุ ระสงค์การทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… วัสดอุ ปุ กรณ์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… วธิ กี ารทำการทดลอง 1. นำกรวยกรองมาวางบนปากขวดรูปชมพู่ทั้ง 2 ขวด แล้วนำกระดาษกรอง และกระดาษเซลโลเฟน ไปวางไวบ้ นกรวยกรองท่อี ย่บู นปากขวดรูปชมพู่ 2. นำ นำ้ โคลน และนมจดื ใส่ลงในบีกเกอรข์ นาด 50 cm3 โดยดูปรมิ าณพอสมควร 3. ใชแ้ ทง่ แกว้ คนสาร คนสารแตล่ ะชนิด ก่อนเทลงไปบนกรวยกรองทเี่ ตรียมไว้ โดยเรมิ่ จากการเทนม จืดบนกรวยกรองที่มีกระดาษกรอง และเทน้ำโคลนบนกรวยกรองที่มีผ้าขาวบาง ตามลำดับ รอจนกว่าน้ำจะ ไหลลงในขวดรปู ชมพู่หมด สงั เกตและบันทกึ ผล ตารางบันทึกผลการทดลอง ตวั อยา่ งสาร อปุ กรณ์ท่ีใช้กรอง ผลทส่ี ังเกตได้ หลังกรอง กอ่ นกรอง นมจืด นำ้ โคลน สรุปผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
เฉลยใบกิจกรรม วตั ถปุ ระสงค์การทดลอง เพื่อการตรวจสอบขนาดของเนือ้ สารชนิดตา่ งๆ วสั ดแุ ละอปุ กรณ์ ดิน นำ้ เปล่า นมจืด บีกเกอร์ขนาด 50 cm3 ขวดรปู ชมพู่ แทง่ แกว้ คนสาร กรวยกรอง กระดาษเซล โลเฟน กระดาษกรอง ตารางบนั ทึกผลการทดลอง ผลท่สี งั เกตได้ หลงั กรอง ตวั อยา่ งสาร ของก่อนกรอง อปุ กรณ์ท่ใี ช้กรอง นมจืด กระดาษเซลโลเฟน สขี าวขุ่น ไมม่ ีตะกอน ใสไม่มีสี ไมม่ ีตะกอน กระดาษกรอง สีขาวขุ่น ไม่มีตะกอน สีขาวขุ่น ไมม่ ตี ะกอน น้ำโคลน กระดาษเซลโลเฟน สเี ทาดำขนุ่ มีตะกอน ใสไมม่ ีสี ไม่มีตะกอน กระดาษกรอง สรปุ ผลการทดลอง จากการทดลองพบได้วา่ เมื่อนำน้ำโคลน ไปกรองด้วยกระดาษกรอง และนมจืด กระดาษเซลโลเฟน อุปกรณ์ที่ใช้ในการกรองสารแต่ละชนิดแตกต่างกัน เนื่องจากขนาดของอนุภาคของสารแต่ละชนิดไม่เท่ากนั ดังนัน้ การท่ีจะเลือกอปุ กรณ์ท่ีจะนำมากรองสารแต่ละชนิดควรเลอื กให้ถูกตอ้ งและเหมาะสม ถ้าใช้อุปกรณ์ไม่ เหมาะสมจะทำใหน้ ำ้ ทีไ่ หลลงในขวดรูปชมพไู่ มใ่ สหรือยังมีสง่ิ เจอื ปนอยู่
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 9 ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 เวลา 2 ช่วั โมง หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 สารรอบตัวเรา โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 แผนการจัดการเรียนรู้เรอื่ ง จดุ เดือดของสารบริสทุ ธแิ์ ละสารผสม ผู้สอนนางสาวจันจิรา ธนนั ชัย 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง สถานะของสสารการเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี 2. ตัวช้วี ัด เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของสารบริสุทธิ์และสารผสม โดยการวัดอุณหภูมิ ว 2.1 ม.1/4 เขียนกราฟแปลความหมายขอ้ มลู จากกราฟหรือสารสนเทศ 3. สาระสำคัญ สารบริสุทธิ์ เป็นสารเนื้อเดียวที่ประกอบด้วยสารเพียงอย่างเดียว ไม่มีสารอื่นเจือปน จุดเดือด คือ อณุ หภูมิขณะที่ของเหลวมคี วามดนั ไอเท่ากบั ความดนั บรรยากาศ ณ อณุ หภูมนิ ี้ของเหลวจะเปลย่ี นสถานะเป็น ไอได้ทั่วทั้งหมด และการหาจุดเดือด การที่สารไม่บริสุทธิ์หรือสารละลายจุดเดือดไม่คงที่ เกิดจากอัตราส่วน ระหว่างจำนวนโมเลกุลของตัวถกู ละลายและตัวทำละลาย 4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (1) นักเรียนสามารถอธบิ ายผลการทดลองจดุ เดือดของสารบริสทุ ธ์ิและสารผสมได้ (K) (2) นักเรียนสามารถทำกรทดลองหาจดุ เดือดของสารบริสุทธ์แิ ละสารผสมได้ (P) (3) นักเรียนใฝเ่ รยี นรู้ มุ่งมน่ั ในการทำงาน และมีวนิ ัยในการเรยี น (A) 5. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน (1) ความสามารถในการสื่อสาร - การอธบิ าย การเขียน การตอบคำถาม (2) ความสามารถในการคดิ - การสงั เกต การสำรวจ การคิดวเิ คราะห์ การสรา้ งคำอธิบาย การอภปิ ราย การส่ือความหมาย การทำกิจกรรมโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบค้นโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (3) ความสามารถในการแก้ไขปญั หา - สามารถแกป้ ญั หาท่ีเกดิ ข้นึ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
6. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ - มวี นิ ยั - มงุ่ มัน่ ในการทำงาน - ใฝ่เรียนรู้ 7. สาระการเรยี นรู้ สารบริสุทธ์ิ (Pure Substance) เป็นสารเนื้อเดียวที่ประกอบด้วยสารเพียงอย่างเดียว ไม่มีสารอื่นเจือปน เช่น น้ำ น้ำตาล เกลือ คาร์บอนไดออกไซด์ เปน็ ต้น จุดเดอื ด คือ อุณหภมู ขิ ณะทขี่ องเหลวมีความดนั ไอเทา่ กบั ความดันบรรยากาศ ณ อณุ หภมู ินข้ี องเหลวจะเปล่ยี น สถานะเป็นไอได้ทว่ั ทัง้ หมด วธิ ีการตรวจสอบสารบรสิ ุทธิ์ด้วยการหาจุดเดอื ด การหาจุดเดือด ( Boiling Point ) การที่สารไม่บริสุทธิ์ หรือ สารละลายจุดเดือดไม่คงที่ เกิดจาก อัตราสว่ นระหว่างจำนวนโมเลกุลของตวั ถูกละลายและตวั ทำละลาย เปลีย่ นแปลงไปโมเลกุลทม่ี ีจุดเดือดต่ำจะ ระเหยไปเร็วกวา่ ทำใหส้ ารทีม่ ีจุดเดอื ดสงู ใน อตั ราส่วนที่มากกว่าจึงเป็นผลใหจ้ ดุ เดอื ดสงู ข้ึนเรื่อยๆ โดยดูจากรูป ท่ีแสดงเป็นกราฟ วธิ ที ี่ 1 นำสารไประเหย โดยการให้ความร้อน (การระเหย คือ การทำให้สารเปลี่ยนสถานะจากของเหลว กลายเปน็ แก๊ส) ผลที่เกิดขึ้น ถ้ามีของแข็งเหลืออยู่แสดงว่า มีองค์ประกอบ 2 ส่วนขึ้นไปโดยมีสถานะแตกต่างกัน (ของแข็งในของเหลว) แสดงว่าเปน็ สารละลาย ผลที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีสารใดเหลืออยู่ แสดงว่า อาจเป็นสารบริสุทธิ์ที่มีองค์ประกอบเดียวหรือเป็น สารละลายที่มีองค์ประกอบสถานะเดียวกนั (ของเหลวทั้งตัวทำละลายและตวั ละลาย) ดังนั้น จึงสรุปไม่ได้วา่ เปน็ สารประเภทใด วธิ ที ี่ 2 นำสารท่ตี ้องการตรวจสอบไปหาจุดเดือด (สารน้นั ตอ้ งเปน็ ของเหลว) ผลที่เกิดขึ้น หากจุดเดือดคงที่ สารนั้นคือสารบริสุทธิ์ แต่ถ้าจุดเดือดของสารนั้นไม่คงที่ สารนั้นคือ สารละลาย
8. กระบวนการจดั การเรียนรู้ (ใชร้ ูปแบบการสอนสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry cycle) (5Es) 8.1 ข้นั สรา้ งความสนใจ (Engagement) (10 นาที) (1) กระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยให้นักเรียนเปิดหนังสือหน้า 15 แล้วให้ทำทบทวน ความร้กู อ่ นเรยี น แลว้ ครูกเ็ ฉลยคำตอบดังนี้ (ขอ้ แรก เพราะการเดือดเกดิ ขน้ึ เมอ่ื ของเหลวไดร้ ับความรอ้ นแลว้ เปลย่ี น สถานะเป็นแก๊ส ทั่วภาชนะ ถ้าของเหลว เปลี่ยนสถานะเปน็ แก๊สเฉพาะผิวหน้า เรียกว่า การระเหย ดังนั้น การเปลี่ยน สถานะ ของของเหลวเป็นแก๊สมี2ลักษณะ คือ การเดือดและการระเหย ข้อทส่ี อง ✓การหลอมเหลวเกดิ ข้นึ เมื่อสารเปลี่ยน สถานะจากของแข็งเป็นของเหลว) (2) ครูชี้แจงให้นักเรียนวา่ วันนี้ครูจะสอนเกีย่ วกับจุดเดือดของสารบรสิ ุทธ์ิและสารผสม และ จะให้นักเรยี นแบง่ กลุ่มทำการทดลองดว้ ย 8.2 ขน้ั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (85 นาที) (1) ครูอธิบายความรู้เรือ่ งจุดเดือดของสารบรสิ ุทธิ์และสารผสมให้นักเรียนฟัง โดยใช้สื่อการ สอน PowerPoint (2) นักเรียนแบ่งเปน็ 6 กล่มุ และใหน้ กั เรยี นอ่านวธิ กี ารทดลองของกจิ กรรมที่ 2.1 ในหน้า16 โดยเปล่ยี นจากการวัดอณุ หภูมทิ กุ ๆ 30 วนิ าที เป็นวดั อณุ หภมู ิทกุ ๆ 1 นาที (3) นักเรียนรับใบกิจกรรม เรื่องจุดเดือดของสารบริสุทธิ์และสารผสมจากครู และทำการ ทดลองตามข้ันตอนในหนงั สือ 8.3 ขัน้ อภปิ รายและลงข้อสรุป (Explain) (5 นาท)ี (1) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและสรุปความรู้ดังนี้ (สารบริสุทธิ์ เป็นสารเนื้อเดียวท่ี ประกอบดว้ ยสารเพียงอย่างเดียว ไม่มสี ารอื่นเจอื ปน จุดเดอื ด คือ อณุ หภูมขิ ณะท่ีของเหลวมีความดนั ไอเทา่ กับ ความดันบรรยากาศ ณ อุณหภูมินี้ของเหลวจะเปล่ียนสถานะเปน็ ไอไดท้ ัว่ ทั้งหมด เมื่ออุณหภูมิขณะเดือดของ น้ำกลั่นจะคงที่ ส่วนสารละลายโซเดียมคลอไรด์อุณหภูมิขณะเดือดจะเพิ่ม สูงขึ้นเรื่อยๆ และสารบริสุทธิ์เม่ือ ได้รับความร้อนจะมีอุณหภูมิสูงขน้ึ และกลายเป็นไอจนกระท่ังเกิดการเดือดอุณหภูมขิ ณะเดือดจะคงที่แม้ว่าจะ ให้ความร้อนต่อไป ส่วนสารละลายโซเดียมคลอไรด์เมื่อให้ความร้อนจะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น และกลายเป็นไอ จนกระทัง่ เกดิ การเดือดโดยอณุ หภมู ิขณะเดอื ดจะเพิ่มขน้ึ เร่ือยๆไม่คงที่)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154