Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัย

วิจัย

Published by Jiab Chanchira, 2022-02-07 15:04:52

Description: วิจัย

Search

Read the Text Version

รายงานวิจนั ในชนั้ เรียน การพัฒนาทักษะการจาแนกชนดิ ของเมฆโดยใชแ้ ผนการเรียนรู้ หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 เรอ่ื งเมฆและหมอก ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวัดเชียงใหม่ นางสาวจันจิรา ธนนั ชัย ตาแหน่ง ครผู ้ชู ่วย โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 สานักงานบริหารงานการศึกษาพิเศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

รายงาน การพัฒนาทักษะการจำแนกชนิดของเมฆโดยใชแ้ ผนการเรียนรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 เรอื่ งเมฆและหมอก ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชยี งใหม่ จนั จิรา ธนันชยั โรงเรียนบราชประชานเุ คราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ สำนกั บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564

ก ชือ่ เรือ่ ง : การพัฒนาทักษะการจำแนกชนิดของเมฆโดยใช้แผนการเรียนรู้หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 เร่ือง เมฆและหมอก ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1/5 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชยี งใหม่ ผวู้ ิจยั : นางสาวจนั จริ า ธนันชยั ตำแหน่ง ครูผ้ชู ว่ ย โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ ปที ว่ี จิ ัย : 2564 บทคดั ยอ่ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชา วิทยาศาสตร์โดยใช้แผนการเรยี นรหู้ น่วยการเรยี นรู้ที่ 2 เรอื่ ง เมฆและหมอก ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 1/5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อศึกษาทักษะการจำแนกชนิดของเมฆโดย ใช้แผนการเรียนรหู้ น่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 เร่อื ง เมฆและหมอก ของนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1/5 โรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ 3) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแผนการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง เมฆและหมอก ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยคร้ังน้ีใช้วิธีวิจัยก่ึงทดลอง (Quasi-Experimental Research) กลุ่ม ตัวอย่าง ได้แก่ มัธยมศึกษาปีที่ 1/5 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 29 คน เครื่องมือ ท่ีใช้ใน การวิจัย ได้แก่ แผนการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง เมฆและหมอก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน แบบประเมินทักษะการจำแนกชนิดของเมฆ แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติท่ีใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วย t-test dependent ผลการวจิ ัยปรากฏ ดังน้ี 1. นักเรียนที่เรียนด้วยแผนการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง เมฆและหมอก ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ มีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนหลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 2. นักเรียนที่เรียนด้วยแผนการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง เมฆและหมอก ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ มีทักษะการจำแนก ทกั ษะการจำแนกชนิดเมฆอยู่ในระดับดี ( =3.63, =0.90) 3. นักเรียนท่ีเรียนด้วยแผนการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง เมฆและหมอก ของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ มีความพึงพอใจต่อ การเรยี นอยูใ่ นระดบั มาก (  = 4.39,  = 0.69)

ข กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยการพฒั นาทักษะการจำแนกชนิดของเมฆโดยใช้แผนการเรียนรู้หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง เมฆและหมอก ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัด เชียงใหม่ เล่มนี้สำเร็จลงได้ด้วยการสนับสนุนให้ความรู้ คำแนะนำ และเป็นท่ีปรึกษาในการทำทุกข้ันตอน ของนางสาวณัฐธนัญา บุญถึง ครูพีเ่ ลยี้ ง และหวั หน้ากลุ่มสาระวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ขอขอบพระคุณ นายอดิศร แดงเรือน ผู้อำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัด เชยี งใหม่ นายวเิ ศษ ฟองตา รองผอู้ ำนวยการฝ่ายบรหิ ารวชิ าการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 จงั หวัด เชียงใหม่ ที่กรุณาให้คำแนะนำ แก้ไข และตรวจสอบเคร่ืองมือในการศึกษาค้นคว้า จนทำให้การศึกษา คน้ ควา้ ครั้งนส้ี มบูรณ์และมคี ุณคา่ ขอขอบพระคุณผู้บริหารโรงเรียน บุคลากร และนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนราช ประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอแม่แจ่ม จงั หวัดเชียงใหม่ ท่ีให้ความอนุเคราะห์ อำนวยความ สะดวก และให้ความร่วมมือเป็นอยา่ งยิ่งในการเก็บข้อมลู คุณค่าและประโยชน์อันพงึ มีจากการศึกษาค้นคว้า ฉบบั น้ี ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการวิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะการจำแนกชนิดของเมฆโดยใช้แผนการ เรียนรู้หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 เรอ่ื ง เมฆและหมอก ของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรยี นราชประชา นุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่จังหวัดเชียงใหม่ ในคร้ังน้ี จะประโยชน์ต่อการเรียนรู้ต่อผู้สนใจได้ตาม สมควร หากพบขอ้ ผดิ พลาดประการใด ผวู้ จิ ยั กราบขออภัยมา ณ ที่นดี้ ้วย จันจริ า ธนนั ชยั กมุ ภาพันธ์ 2564

สารบัญ ค บทคัดย่อ หน้า กิตตกิ รรมประกาศ ก สารบญั ข ค บทท่ี 1 บทนำ ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา 1 วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา 3 สมมติฐานของการศกึ ษา 4 ความสำคญั ของการวิจัย 4 ขอบเขตของการศึกษา 4 นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 6 ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะไดร้ ับ 6 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง 8 หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 12 แผนการจดั การเรยี นรู้ 15 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน 22 ทักษะการจำแนก 22 ความพงึ พอใจของผเู้ รียน 27 งานวิจัยที่เกีย่ วข้อง 29 บทท่ี 3 วิธีดำเนนิ การวิจัย 29 ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง 29 ระยะเวลาทีใ่ ชใ้ นการศึกษา 30 รูปแบบของการศึกษา 30 เครอ่ื งมอื ท่ีใชใ้ นการศึกษา 35 การสรา้ งและหาคุณภาพเคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั การเกบ็ รวบรวมข้อมลู

สารบัญ (ตอ่ ) ง การวเิ คราะห์ข้อมูล หนา้ สถิตทิ ่ใี ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล 35 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 36 สญั ลักษณ์ท่ีใชใ้ นการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ลำดบั ขน้ั ตอนในการเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 40 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 40 บทท่ี 5 สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 40 วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย สรปุ ผลการวจิ ัย 45 อภิปรายผล 45 ข้อเสนอแนะ 46 47 บรรณานกุ รม ภาคผนวก 48 51

บทท่ี 1 บทนำ ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับ ชวี ิตของทุกคน ทง้ั ในการดำรงชีวติ ประจำวัน และในอาชพี ตา่ งๆ เครื่องมอื เครอื่ งใชต้ ลอดจนผลผลติ ต่าง ๆ เพ่ืออำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงานล้วนเป็นผลของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ผสมกับความคิด สร้างสรรคแ์ ละศาสตร์อืน่ ๆ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดการพฒั นาเทคโนโลยีอย่างมาก ในทางกลบั กัน เทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญมากที่ทำให้มีการศึกษาค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง วิทยาศาสตร์ทำให้คนได้พัฒนาวิธีคิด ท้ังความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์คิดวิเคราะห์ วิจารณ์มี ทักษะในการค้นคว้าหาความรู้มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ ข้อมูลหลากหลาย และประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้(กระทรวงศึกษาธิการ, 2553) นอกจากนี้แล้ว วิทยาศาสตร์ถือเป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งความรู้ทุกคนควรได้รับการพัฒนาใหม่ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เพื่อท่ีจะมีความรู้ความเข้าใจโลกธรรมชาติและเทคโนโลยีท่ีมนุษย์สร้างสรรค์ข้ึน ตลอดจนนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผลสร้างสรรค์และมีคุณธรรม (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2551) ดังนั้นวิทยาศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพบว่าการจัด การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของไทยเพื่อพัฒนาให้นักเรียนมีคุณภาพในทุก ๆ ด้านยังอยู่ในขอบเขตจำกัด สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2551) กล่าวว่า ควรพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาที่ส่งผลต่อ การพัฒนาของนักเรียนท้ังในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดวิเคราะห์การใช้เหตุผล ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ และการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยตนเอง นอกจากน้ีความสามารถในการแก้ปัญหามี ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตมาก การที่บุคคลอยู่รอดในสังคมได้ต้องเป็นผู้ท่ีมีความคิด รู้จักคิด ร้จู ักแก้ปญั หา และจากการศึกษา พบว่า การจัดการศึกษาวทิ ยาศาสตร์ใน ปัจจุบันเกี่ยวกับการส่งเสริมให้นักเรียนเกิดทักษะในการแก้ปัญหายังไม่ประสบความ สำเร็จ เท่าที่ควร ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะนักเรียนยังมีพื้นฐานความรู้ไม่มากพอท่ีจะวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลที่ เป็นประโยชน์ต่อการนำไปใชต้ ่อยอดองคค์ วามรู้ในระดับท่ีสูงขึ้นได้โดยเฉพาะอย่างย่ิงในการศึกษาวิชาเคมี ซ่ึงเป็นสาขาหนึ่งในวิชาวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเก่ียวกับธรรมชาติของสสาร โดยเน้นอธิบายสมบัติทาง กายภาพ และปฏิกริ ิยาเคมขี องสสาร ในระดับอนุภาคท่ีเป็นองค์ประกอบของสสาร ได้แก่ โมเลกลุ อะตอม และไอออน ซ่ึงจำเป็นอย่างยิ่งท่ีนักเรียนจะต้องมีพื้นฐานเก่ียวกับสัญลักษณ์ของธาตุและตำแหน่งของธาตุ ในตารางธาตุ เนื่องจากองค์ความรู้นี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญเก่ียวกับชนิด และสมบัติของธาตุที่เป็น องค์ประกอบในสสาร ซึง่ สมบตั ิเหล่าน้จี ะเปน็ สิ่งท่ใี ชอ้ ธิบายลักษณะ และสมบัตขิ องสสารแต่ละชนิดไดก้ าร เรยี นรูด้ ว้ ยเกม จะช่วยส่งเสรมิ ให้นักเรียนศึกษาคน้ คว้าหาความรดู้ ว้ ยตนเองฝกึ ทักษะกระบวนการกลุ่มทาง สังคม เช่น ทักษะกระบวนการกลุ่มทักษะความเป็นผู้นำ ฝึกความรับผิดชอบ และฝึกการช่วยเหลือผู้อ่ืน ด้วยความเต็มใจ อีกทั้งนักเรียนยังได้ตื่นเต้น สนุกสนานกับการเรียนรู้ (สุวิทย์มูลคำ และอรทัย มูลค า, 2545) ตลอดจนสมาชิกของกลุ่มจะต้องมกี ารกำหนดเป้าหมายรว่ มกัน ช่วยเหลอื ซงึ่ กันและกันเพือ่ น าไปสู่ ความสำเรจ็ ของกลมุ่ การแข่งขันระหวา่ งกลุ่มด้วยเกมน้ัน ไม่เหมือนกับการแข่งขันทางการเรียนแบบอ่ืนที่ มักเปิดโอกาสให้เฉพาะนักเรียนท่ีเรียนเก่งเท่านั้นที่มีโอกาสแข่งขันกันแต่เทคนิคการแข่งขันระหว่างกลุ่ม

2 ด้วยเกมนั้นแตกต่างจากการแข่งขันแบบอื่น เน่ืเน่ืองจากการแข่งขันด้วยเกมเปิดโอกาสให้นักเรียนท่ีมี ความสามารถแตกต่างกันได้ทำงานร่วมกนั ภายในกลุ่ม เข้าร่วมการแข่งขันด้วยกัน และได้รับค าชมเชยใน ผลสำเรจ็ เทา่ เทียมกนั (สมศักดส์ิ นิ ธรุ ะเวชญ์, 2544) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ เป็นโรงเรียนประจำซึ่งรับนักเรียนที่ด้อย โอกาสทางการศึกษา เข้าศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาศึกษาปีท่ี 1 ถึงช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 เพ่ือพัฒนา คุ ณ ภ าพ ค วาม เป็ น อ ยู่ ข อ งผู้ เรี ย น ให้ ดี ยิ่ งข้ึ น ไป พ ร้ อ ม กั บ ก ารศึ ก ษ าต าม ห ลั ก สู ต รมั ธย ม ศึ ก ษ า ข อ ง กระทรวงศึกษาธิการ ในการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ ไดจ้ ัดให้มีการเรียนการสอนรายวิชา วิทยาศาสตร์ ในระดับช่วงชั้นที่ 2 ชว่ ง ช้ันที่ 3 และช่วงช้ันที่ 4 ซึ่งจัดตามความสามารถและความสนใจของผู้เรียน กิจกรรมการเรียนรู่ในกลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มงุ่ หวังให้ผูเ้ รยี นไดเ้ รียนรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ทเี่ น้น การเช่ือมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้ กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้และแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุก ข้ันตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้นมุ่งพัฒนา ผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่มีสมบูรณ์ มีความสมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง ภูมิใจในท้องถ่ิน มีสำนึกความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่ันในการปกครองตาม ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะท่ีจำเป็นในศตวรรษท่ี 21 โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตาม ศักยภาพ ซ่ึงเป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาข้ันพื้นฐาน (สำหรับโรงเรียนประเภทการศึกษาสงเคราะห์) มาตรฐานท่ี 2 กระบวนการบริหารและการจัดการของสถานศึกษา ขอ้ ท่ี 2.3 ดำเนนิ งานพฒั นาวิชาการท่ี เน้นคุณภาพผู้เรียนรอบด้านตามหลักสูตรสถานศึกษาและทุกกลุ่มเป้าหมาย สถานศึกษาบริหารจัดการ เกี่ยวกับงานวิชาการ ท้ังด้านการพัฒนาหลักสูตร กิจกรรมเสรมิ หลักสูตรที่เน้นคุณภาพผู้เรียนอย่างรอบ ด้าน เชื่อมโยงวิถีชีวิตจริง และครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายของนักเรียนด้อยโอกาสทางการศึกษา (โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่, 2563, หน้า 17) และสอดคล้องกับนโยบายของ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ ที่ว่า “มีระบบการจัดการศึกษาท่ีมีคุณภาพ มีครูมือ อาชีพ ผู้เรียนมีคุณลักษณะตามหลักสูตร และเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง” จากหลักการและเหตุผลดังกล่าว ทางโรงเรียนจึงได้จัดให้มีโครงการยกระดับผลสัมฤทธ์ิทาง วิชาการกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะข้ึน ซ่ึงเป็นโครงการต่อเนื่องท่ีเริ่มดำเนินการมาต้ังแต่ปีการศึกษา 2559 ถึงปัจจุบัน โครงการดังกล่าวได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อนักเรียน โรงเรียน และชุมชน แต่เป็นการ ดำเนินงานที่ไม่มีรูปแบบท่ีชัดเจน และยังไม่เคยมีการประเมินกระบวนการทำงานและความสำเร็จของ งานทด่ี ำเนินการ ถึงแม้จะมผี ลงานเชิงประจกั ษ์ทเ่ี กดิ ขึน้ ก็ตาม จากสภาพการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 ที่ผ่าน มา ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนต่ำลงคิดเป็นร้อยละ 65 ซ่ึงไม่เป็นไปตามเกณฑ์ท่ีกำหนดไว้ เน่ืองจากนักเรียนขาดความเข้าใจในบทเรียน ไมม่ ีทักษะพ้ืนฐานในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ พบว่านักเรียน ยังขาดทักษะการจำแนก นักเรียนไม่สามาถจัดกลุ่ม เรียงลำดับและหาความสัมพันธ์ของส่ิงต่าง ๆ รอบตัว ความตา่ งหรอื ความสัมพนั ธ์กัน จากปัญหาดังกล่าวอาจเป็นเพราะการจดั การเรียนการสอนยงั ขาด เทคนิคท่ีดี ขาดสื่อ หรือเอกสารประกอบการเรียนการสอน ทำให้ผู้วิจัยศึกษาวิธีการสอนแนวใหม่และ นวัตกรรมท่ีจะนำมาทดลองเพ่ือใช้แก้ปัญหาและเป็นแนวทางในการปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอน

3 รายวิชา วิทยาศาสตร์ ได้อีกวธิ ีหนง่ึ คอื การใช้แผนการจดั การเรยี นรู้ เปน็ สง่ิ ที่ชว่ ยใหน้ ักเรียนมีการพฒั นาดี ข้ึน เพราะนักเรียนมีโอกาสนำความรู้ท่ีได้เรียนมาแล้วมาฝึกให้เกิดความเข้าใจมากย่ิงขึ้น แผนการจัดการ เรียนรู้ จะทำให้เกิดความแม่นยำและคล่องแคล่วในแต่ละทักษะ การแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใน รายวิชา วิทยาศาสตร์ วิธีหน่ึงคือ การฝึกทักษะจากการลงมือปฏิบัติ ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ตามอัตภาพ ผู้เรียนแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน การให้ผู้เรียนได้ทำตามแผนการจัดการเรียนรู้ ท่ีเหมาะสมกับความสามารถของแต่ละคน ใช้เวลาท่ีแตกต่างกันออกไปตามลักษณะการเรียนรขู้ องแต่ละคน จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนเกิดกำลังใจในการเรียนรู้ นอกจากน้ันยังเป็นการซ่อมเสริมผู้เรียนท่ีเรียนไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน การฝึกทักษะยังช่วยให้ครู สามารถดำเนินการปรบั ปรุงแก้ไขปัญหาน้ัน ๆ ไดท้ ันทว่ งที ทำให้ทราบข้อบกพร่องของผู้เรียนแต่ละคนและ เป็นการประหยัดเวลา จะเห็นว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นนวัตกรรมท่ีมีบทบาทต่อการสอนท่ีดี ซง่ึ สามารถ นำมาใช้ได้ในทุกระดับชั้นเรียน สามารถนำมาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา และเพิ่มประสิทธิภาพการ เรียนการสอนวิชา วิทยาศาสตร์ ได้อีกแนวทางหน่ึง หรือกล่าวได้ว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้คือสื่อการเรยี น การสอนอย่างหนึ่งท่ีใช้ฝึกทักษะให้กับผู้เรียนหลังเรียนจบเนื้อหา และสามารถช่วยให้ผูเ้ รียนมีทักษะเขา้ ใจ บทเรยี นได้ดยี ิ่งขึ้น จากปัญหาและความสำคัญดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยในฐานะเป็นครูผู้สอนวิชา วิทยาศาสตร์ ระดับช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1/5 ได้สังเกตเห็นว่า ผ้เู รียนส่วนใหญข่ าดทักษะการจำแนก ความสามารถในการ จัดกลุ่ม การเรียนลำดับและหาความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ การแยกความเหมือนความต่าง เพื่อพัฒนา ทักษะการจำแนกอันเปน็ ส่งิ สำคัญยงิ่ ต่อการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้วิจัยสนใจทจี่ ะการการ พฒั นาทักษะการจำแนกชนิดของเมฆโดยใช้แผนการเรียนรู้ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่องเมฆและหมอก ของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ ข้ึน เพื่อวางรากฐาน การเรียนวิทยาศาสตร์ เพ่ือสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ผู้วิจัยได้ปรึกษาผู้เช่ียวชาญทางด้านการ พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าจากหนังสือ ตำรา เอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ และเข้าร่วมการอบรมพัฒนาตนเองในฐานะของครูผู้สอนศิลปะอยู่เสมอเพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ มาใชใ้ นการพัฒนาทักษะการจำแนกชนดิ ของเมฆโดยใช้แผนการเรยี นรู้ หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2 เรือ่ งเมฆและ หมอก ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1/5 เพ่ือใหก้ ารจัดการเรยี นการสอนมีประสิทธิภาพสงู สดุ ต่อไป วัตถุประสงค์ของการศกึ ษา 1. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้แผนการเรียนรหู้ น่วยการ เรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง เมฆและหมอก ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชียงใหม่ 2. เพื่อศกึ ษาทักษะการจำแนกชนิดของเมฆโดยใช้แผนการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง เมฆ และหมอก ของนกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชียงใหม่ 3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแผนการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง เมฆและ หมอก ของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 จงั หวัดเชียงใหม่

4 สมมติฐานการวจิ ยั 1. นักเรียนท่ีเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง เมฆและหมอก มีผลสัมฤทธิท์ างการเรียน หลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรียน ความสำคญั ของการวิจยั 1. ได้แผนการจัดการเรียนรู้2 เรื่อง เมฆและหมอก ที่ผ่านการหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มา ประยกุ ต์ใช้กับการจัดการเรียนการสอนนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1/5 2. ได้แผนการจัดการเรียนรู้2 เร่ือง เมฆและหมอก ท่ีช่วยให้ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือเรียนรู้ด้วย ตนเอง สามารถทำกิจกรรมในการเรียนรู้ และสรา้ งองคค์ วามรูด้ ว้ ยตนเองตามความสามารถที่มีอยู่ได้ 3. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนและผู้ที่สนใจในการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้2 เรื่อง เมฆและ หมอก ในระดบั ชั้นอน่ื ๆ ได้ ขอบเขตของการศึกษา ในการพัฒนาทักษะการจำแนกชนิดของเมฆโดยใช้แผนการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง เมฆและหมอก ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ ผู้วิจยั ไดก้ ำหนดขอบเขตของการศึกษาไว้ ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวนนกั เรียนทง้ั หมด 130 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 29 คน ได้มาโดยการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive sampling) โดยใช้จำนวนประชากรทง้ั หมดเป็นกลมุ่ ตวั อย่าง 2. เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาครั้งน้ี เป็นเนื้อหาท่ีใช้ในการศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนรายวิชา วิทยาศาสตร์ โดยใช้แผนการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง เมฆและหมอก ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1/5 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง 2560 ประกอบด้วยเนอ้ื หา 1 เรื่อง ดงั น้ี 2.1 เรอื่ งเมฆ การแบ่งชนิดของเมฆ แบ่งตามรูปร่างลักษณะและความสูงแบ่งตามรูปร่างลักษณะของ เมฆ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทใหญๆ่ 1. เมฆคิวมลู สั ( Cumulus Cloud)มีรูปร่างลักษณะเป็นเมฆก้อน 2. เมฆสเตรตสั (Stratus Cloud)มีรปู ร่างลกั ษณะเปน็ เมฆแผน่ หรือเมฆชน้ั 3. เมฆเซอรัส(Cirrus Cloud )มีรูปร่างลักษณะเป็นเมฆท่ีเป็นริ้ว ๆ คลา้ ยขนสัตว์

5 แบ่งตามระดบั ความสงู ของเมฆ สามารถแบง่ ได้ 4 ประเภทใหญ่ ๆ 1. เมฆชั้นสูง (High Clouds)จะอยู่ที่ความสูง 6,000- 18,000 เมตรข้ึนไป ส่วนใหญ่ จะเป็นผลึก นำ้ แขง็ เนื่องจากอยู่ท่รี ะดับสูงมากมสี ีขาวหรอื เทาอ่อน เมฆระดบั สงู มีอยู่ 3 ชนิด ดงั นี้ 1.1 เมฆเซอรัส (Cirrus Cloud) ลักษณะเป็นแผ่นบางสีขาวเจิดจ้าหรือสีเทาอ่อน ดวง อาทิตย์สามารถส่องผ่านได้อย่างดี เกิดจากผลึกน้ำแข็งขนาดจ๋ิวมีหลาย ๆ รูปทรง เช่น เป็นฝอย เป็นปุย คลา้ ยใยไหม คลา้ ยขนนกบาง ๆ หรือเปน็ ทางยาว 2. เมฆชั้นกลาง(Middle Clouds )จะอยู่ที่ความสูงระหว่าง 2,000 - 8,000 เมตร มีอยู่ 2 ชนิด ดงั น้ี 2.1 เมฆอัลโตคิวมูลัส ( Altocumulus Cloud ) มีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนเล็ก ๆ มี ลกั ษณะเปน็ คลนื่ เปน็ ลอนคล้าย ฝูงแกะที่อยรู่ วมกัน กอ้ นเมฆมีสขี าวหรอื สเี ทา 2.2 เมฆอัลโตสเตรตัส (Altostratus Cloud)มีลักษณะเป็นแผ่นปกคลุมบริเวณกว้าง บริเวณฐานเมฆจะเป็นสีเทาหรือสีฟ้า สามารถบังดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ ทำให้เห็นเป็นฝ้าๆ อาจทำให้ เกิดฝนละอองบางๆได้ 3. เมฆช้นั ตำ่ (Low Clouds) จะอยทู่ ี่ความสูงไม่เกนิ 2,000 เมตร มีอยู่ 3 ชนดิ ดงั น้ี 3.1 เมฆสเตรตรสั (Stratus Cloud) มีลักษณะเป็นแผ่นหรือเป็นชั้นสีเทา รวมตัวกันอยู่ เป็นบริเวณไม่กว้างมากนัก บางครั้งอาจเกิดในระดับต่ำมากคล้ายหมอก จะเคลื่อนที่ตามลมได้เร็วและอาจ ทำใหเ้ กดิ ฝนละอองได้ บางครั้งจะเห็นปกคลุมอยู่บนยอดเขา 3.2 เมฆสเตรโตรคิวมูลัส (Stratocumulus Cloud) มีลักษณะเป็นก้อนกลมคล้ายเมฆ คิวมูลัส แต่เรียงติดกันเป็นแถว ๆ รวมกันคล้ายคลื่น บางครั้งอาจจะแยกตัวออกเปน็ กลุ่มท่ีประกอบด้วยเมฆ กอ้ นเลก็ ๆ จำนวนมาก 3.3 เมฆนิมโบสเตรตัส (Nimbostratus Cloud)มีลกั ษณะเป็นแผ่น สีเทาเข้มปกคลุมเป็น บริเวณกว้างมาก ทำให้เกิดฝนหรือหิมะตกในปริมาณเล็กน้อยถึงปานกลางต่อเน่ืองเป็นเวลานาน ๆ ได้เมฆ ชนิดน้ไี มม่ ฟี า้ แลบฟา้ ร้อง 4. เมฆก่อตัวในแนวต้ัง(Clouds with Vertical Development)จะเกิดเม่ืออากาศเหนือพ้ืนดิน เมอื่ ไดร้ บั ความร้อนจากแสงอาทติ ย์ อากาศร้อนจะลอยตัวสูงขน้ึ และเกดิ เป็นเมฆ มอี ยู่ 2 ชนิด 4.1 เมฆคิวมูลัส ( Cumulus Cloud)เป็นเมฆที่ลอยตัวข้ึนช้าๆพร้อมกับอากาศที่ลอยตัว สูงข้ึน ถ้าขยายขนาดใหญ่ขึ้นเร่ือย ๆ อาจพัฒนาเป็นเมฆคิวมูโลนิมบัสได้ มีลักษณะหนาทึบกระจัดกระจาย เหมอื นก้อนสำลี 4.2 เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus Cloud)เป็นเมฆหนา ก้อนใหญ่ก่อตัวสูงมาก บางครั้งยอดเมฆจะแผ่ออกเป็นรูปท่ังทำให้เกิดฝนตกหนัก ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ลมแรง บางคร้ังมีลูกเห็บตก จึง เรยี กวา่ เมฆฝนฟา้ คะนอง

6 3. ตวั แปรท่ใี ชใ้ นการศกึ ษา 3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การเรียนการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โดยใช้แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2เร่ืองเมฆและหมอก ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1/5 3.2 ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ 3.2.1 ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน 3.2.2 ทักษะการจำแนกเมฆ 3.2.3 ความพงึ พอใจของนักเรียน 4. ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการศกึ ษา ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาคือ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 รวมระยะเวลา 2 ชั่วโมง ตั้งแต่ วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2564 นิยามศพั ท์เฉพาะ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง นวัตกรรมท่ีผู้วิจัยพัฒนาข้ึนเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และ ปฏบิ ัติตามข้นั ตอนการเรียน จนเกดิ ทกั ษะความสามารถทางด้านการพัฒนาทักษะการจำแนกชนิดของเมฆ โดยใช้แผนการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง เมฆและหมอก ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 จงั หวดั เชยี งใหม่ 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คะแนนผลการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ในแผนการจัดการ เรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง เมฆและหมอก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 ซึ่งสามารถวัดได้ ด้วยแบบทดสอบทผ่ี ู้วจิ ยั สรา้ งขึน้ 3. ทักษะการจำแนกชนิดของเมฆ หมายถึง ความสามารถในการจัดกลุ่ม เรียงลำดับและหา ความสัมพันธ์ของชนิดเมฆ โดยมีกฎเกณฑ์ ซึ่งสามารถวัดได้ด้วยแบบประเมินทักษะการจำแนกชนิดเมฆ ท่ีผู้วจิ ัยสรา้ งข้ึน 4. ความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความคิดเห็นหรือความรู้สึกในทางท่ีดีของนักเรียนท่ีมีต่อการ เรียนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง เมฆและหมอก ของนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1/5 ซึ่งสามารถวัดไดด้ ว้ ยแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนท่ผี วู้ ิจัยสร้างข้ึน 5. นักเรียน หมายถึง บุคคลท่ีศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 12 คน ประโยชน์ที่ไดร้ ับ 1. ได้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 ช่วยสำหรับนำไปพัฒนาการเรียน การสอนใหม้ ผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสงู ขน้ึ 3. ได้ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการ เรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง เมฆและหมอก เพอื่ นำมาปรับปรุงและพัฒนาการจดั การเรียนร้ใู นรายวิชาวิทยาศาสตร์ ในระดับช้นั อ่ืน ๆ ต่อไป

7 4. ได้ศึกษาทักษะการจำแนกชนิดเมฆของนักเรียนท่ีเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการ เรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง เมฆและหมอก ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาการจัดการ เรียนรู้ในรายวิทยาศาสตร์ในระดบั ชน้ั อื่น ๆ ต่อไป 5. ได้ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนตอ่ การเรียนดว้ ยแผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 2 เร่ือง เมฆและหมอก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 เพื่อนำมาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนรายวิชา วิทยาศาสตร์ในปีการศึกษาหนา้ ต่อไป

บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กยี่ วขอ้ ง การวิจยั เรอ่ื ง การพัฒนาทักษะการจำแนกชนดิ ของเมฆโดยใชแ้ ผนการเรยี นร้หู น่วยการเรยี นรูท้ ่ี 2 เร่ือง เมฆและหมอก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31จังหวัด เชียงใหม่ ผู้วจิ ัยได้ศึกษาค้นควา้ เอกสาร ตำราและงานวิจยั ท่ีเก่ียวข้องซึ่งสรปุ เป็นประเด็นสำคัญตามลำดับ หัวข้อ ดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2. แผนการจดั การเรยี นรู้ 3. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น 4. ทักษะการจำแนก 5. ความพงึ พอใจของผเู้ รียน 6. งานวิจยั ทเี่ ก่ยี วข้อง 1. หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี 1.1 วิสัยทศั น์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลงั ของชาตใิ หม้ นุษยท์ ่ีมี ความสมดลุ ท้ังดา้ นร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดม่นั ใน การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพ้ืนฐาน รวมทง้ั เจตคติท่ีจำเป็นตอ่ การศึกษาต่อ การประกอบอาชพี และการศึกษาตลอดชีวิตโดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็น สำคญั บนพื้นฐานความเชื่อวา่ ทุกคนสามารถเรียนร้แู ละพฒั นาตนเองไดเ้ ตม็ ตามศักยภาพ 1.2 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน มหี ลักการทีส่ ำคัญดังน้ี 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของความ เปน็ ไทย ควบคู่กบั ความเปน็ สากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือปวงชน ท่ีประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และคณุ ภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาท่ีสนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้ สอดคล้องกบั สภาพและความต้องการของท้องถน่ิ 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการ เรยี นรู้ 5. เปน็ หลกั สูตรการศึกษาทเ่ี น้นผเู้ รยี นเป็นสำคญั

9 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยครอบคลุมทุก กล่มุ เป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์ 1.3 จดุ หมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุขมี ศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมาย เพ่ือให้เกิดกับผู้เรียนเม่ือจบ การศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน ดังนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และคา่ นยิ มที่พึงประสงค์ เห็นคุณคา่ ของตนเอง มีวินัยและปฏิบตั ติ นตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาท่ตี นนับถอื ยดึ หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้ เทคโนโลยี และมที ักษะชีวิต 3. มสี ุขภาพกายและสขุ ภาพจิตที่ดี มีสขุ นิสยั และรกั การออกกำลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่ันในวิถีชีวิต และการ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุข 5. มีจติ สำนึกในการอนรุ ักษว์ ัฒนธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทย การอนุรักษ์และพฒั นาสิง่ แวดล้อม มจี ิต สาธารณะที่มุ่งทำประโยชนแ์ ละสรา้ งส่ิงทีด่ ีงามในสงั คม และอยู่รว่ มกันในสงั คมอยา่ งมคี วามสุข 1.4 สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผเู้ รียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่ง การพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีกำหนดน้ัน จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะ สำคัญ 5 ประการ ดังน้ี 1. ความสามารถในการส่ือสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ ภาษาถ่ายทอดความคิดความรู้ความเข้าใจ ความรสู้ ึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลขา่ วสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัด และลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วธิ กี ารส่ือสารท่ีมีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบทีม่ ตี ่อตนเองและสงั คม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพ่อื การตัดสินใจเก่ยี วกบั ตนเองและสงั คมอยา่ งเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศเข้าใจความสัมพันธ์ และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบท่ีเกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและ สิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ เปน็ ความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการ ดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและการอยู่ร่วมกันใน สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่าง เหมาะสมการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและการรู้จักหลีกเล่ียง พฤติกรรมไมพ่ งึ ประสงค์ท่ีสง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อ่ืน

10 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้การส่ือสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถกู ตอ้ งเหมาะสมและมีคณุ ธรรม 1.5 คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อให้ สามารถอยู่รว่ มกับผู้อ่นื ในสังคมได้อย่างมีความสขุ ในฐานะเปน็ พลเมอื งไทยและพลโลก ดงั นี้ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551) 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ 2. ซ่อื สัตยส์ ุจริต 3. มวี ินยั 4. ใฝ่ เรยี นรู้ 5. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง 6. มงุ่ ม่นั ในการทำงาน 7. รักความเปน็ ไทย 8. มีจิตสาธารณะ วิทยาศาสตร์ สาระที่ ๑ สง่ิ มชี วี ิตกับกระบวนการดำรงชีวิต มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจหนว่ ยพืน้ ฐานของสิง่ มชี ีวติ ความสมั พันธ์ของโครงสร้าง และหน้าทข่ี องระบบ ต่างๆ ของสิ่งมีชีวติ ทท่ี ำงานสัมพันธ์กนั มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ส่อื สารส่งิ ท่ี เรยี นรแู้ ละนำความรู้ไปใช้ในการดำรงชีวติ ของตนเองและดูแลส่ิงมีชีวติ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ๆ วิวฒั นาการของสิ่งมีชวี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใชเ้ ทคโนโลยชี วี ภาพทีม่ ี ผลกระทบต่อมนษุ ย์และส่ิงแวดลอ้ ม มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจติ วิทยา ศาสตร์ สื่อสาร สิง่ ท่เี รียนรู้ และนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระท่ี ๒ ชีวิตกบั ส่ิงแวดล้อม มาตรฐาน ว ๒.๑ เขา้ ใจสิง่ แวดลอ้ มในทอ้ งถ่ิน ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสง่ิ แวดลอ้ มกับสิ่งมีชวี ิต ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสงิ่ มีชีวิตตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรแู้ ละจติ วทิ ยาศาสตรส์ ่ือสารสงิ่ ทเี่ รยี นรแู้ ละนำความร้ไู ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๒ เขา้ ใจความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ทรพั ยากรธรรมชาติในระดบั ท้องถน่ิ ประเทศ และโลกนำความรู้ไปใช้ในในการจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม ในท้องถิ่นอยา่ งยัง่ ยนื สาระท่ี ๓ สารและสมบัตขิ องสาร มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจสมบัตขิ องสาร ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสมบตั ขิ องสารกับโครงสรา้ งและแรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งอนุภาค มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์สอ่ื สารสงิ่ ทเ่ี รยี นรู้ นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

11 มาตรฐาน ว ๓.๒ เขา้ ใจหลกั การและธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลงสถานะของสาร การเกิด สารละลาย การเกิดปฏิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรแู้ ละจิตวทิ ยาศาสตร์ สือ่ สารส่งิ ท่ีเรยี นรู้ และนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระที่ ๔ แรงและการเคลือ่ นที่ มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของแรงแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า แรงโนม้ ถว่ ง และแรงนิวเคลยี ร์ มีกระบวนการ สืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งทเ่ี รยี นรแู้ ละนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งถกู ตอ้ งและมี คุณธรรม มาตรฐาน ว ๔.๒ เขา้ ใจลักษณะการเคล่ือนท่ีแบบตา่ งๆ ของวตั ถใุ นธรรมชาติมกี ระบวนการ สบื เสาะหา ความรแู้ ละจติ วทิ ยาศาสตร์ สอ่ื สารส่งิ ที่เรยี นรู้และนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ สาระที่ ๕ พลังงาน มาตรฐาน ว ๕.๑ เข้าใจความสมั พันธ์ระหวา่ งพลังงานกับการดำรงชวี ิต การเปล่ียนรูปพลงั งาน ปฏิสมั พนั ธร์ ะหว่างสารและพลังงาน ผลของการใชพ้ ลงั งานต่อชวี ิตและสงิ่ แวดล้อม มีกระบวน การสืบเสาะหาความรู้ ส่ือสารสิง่ ท่ีเรียนรแู้ ละ นำความร้ไู ปใช้ประโยชน์ สาระท่ี ๖ : กระบวนการเปลย่ี นแปลงของโลก มาตรฐาน ว ๖.๑ เข้าใจกระบวนการตา่ ง ๆ ท่เี กดิ ขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสมั พันธ์ของ กระบวนการตา่ ง ๆ ท่มี ผี ลต่อการเปลย่ี นแปลงภมู ิอากาศ ภมู ปิ ระเทศ และสณั ฐานของ โลก มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรแู้ ละจิตวทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารสงิ่ ทเ่ี รียนรู้และนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ ๗ ดาราศาสตร์และอวกาศ มาตรฐาน ว ๗.๑ เขา้ ใจวิวัฒนาการของระบบสรุ ยิ ะ กาแลก็ ซีและเอกภพการปฏิสมั พันธภ์ ายในระบบ สุริยะและผลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ การส่ือสารสงิ่ ทเี่ รยี นรู้และนำความร้ไู ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๗.๒ เขา้ ใจความสำคัญของเทคโนโลยอี วกาศทีน่ ำมาใชใ้ นการสำรวจอวกาศและ ทรัพยากรธรรมชาติ ด้านการเกษตรและการสอื่ สาร มกี ระบวนการสืบเสาะ หาความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ ส่ือสารส่งิ ที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์อยา่ งมีคุณธรรม ต่อชีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม สาระท่ี ๘ ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๘.๑ ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตรใ์ นการสืบเสาะหาความรู้ การ แก้ปัญหา รวู้ ่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทเี่ กิดขนึ้ ส่วนใหญ่มีรูปแบบ ท่ีแน่นอน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครือ่ งมือท่ีมีอยู่ในชว่ งเวลานั้นๆ เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสิง่ แวดล้อม มคี วามเกยี่ วข้องสมั พันธ์กัน

12 1.7 คณุ ภาพผูเ้ รียน จบชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓ เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบท่ีสำคัญของเซลล์สิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการทำงานของ ระบบต่างๆ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต พฤติกรรมและการตอบสนองต่อสง่ิ เร้าของสง่ิ มีชวี ติ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสงิ่ มชี วี ิตในส่ิงแวดล้อม เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของสารละลาย สารบริสุทธ์ิ การเปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการ เปล่ียนสถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกิริยาเคมีเข้าใจแรงเสียดทาน โมเมนต์ของแรง การ เคล่ือนที่แบบต่างๆ ในชีวิตประจำวัน กฎการอนุรกั ษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน การ สะท้อน การหักเหและความเข้มของแสงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณทางไฟฟ้า หลักการต่อ วงจรไฟฟ้าในบ้าน พลังงานไฟฟ้าและหลักการเบื้องต้นของวงจรอิเล็กทรอนิกส์เข้าใจกระบวนการ เปล่ียนแปลงของเปลือกโลก แหล่งทรัพยากรธรณี ปัจจัยที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงของบรรยากาศ ปฏิสมั พันธภ์ ายในระบบสรุ ยิ ะ และผลทีม่ ตี ่อสง่ิ ต่างๆ บนโลก ความสำคัญของเทคโนโลยอี วกาศ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยี การพัฒนาและผลของการพัฒนาเทคโนโลยีต่อ คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมตั้งคำถามที่มีการกำหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคำตอบหลาย แนวทาง วางแผนและลงมือสำรวจตรวจสอบ วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูล และสร้าง องค์ความรู้สื่อสารความคิด ความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบโดยการพูด เขียน จัดแสดง หรือใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิต การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทำโครงงานหรือสร้างช้ินงานตามความสนใจแสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ในการสืบเสาะหาความรู้ โดยใช้ เคร่ืองมือและวิธีการท่ีให้ได้ผลถูกต้อง เช่ือถือได้ตระหนักในคุณค่าของความรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวันและการประกอบ อาชีพ แสดงความชื่นชม ยกย่องและเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้นแสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย มี พฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า มีส่วนร่วมในการ พทิ ักษ์ ดูแลทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมในท้องถิ่นทำงานรว่ มกับผู้อ่นื อย่างสร้างสรรค์ แสดงความ คดิ เห็นของตนเองและยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผู้อ่นื 2. แผนการจดั การเรียนรู้ 2.1 ความหมายของแผนการจดั การเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้เป็นหัวใจสำคัญของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แก่ผู้เรียนอันก่อให้เกิด พัฒนาการด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ และเจตคติท่ีดี และมีพฤติกรรมตามจุดหมายของหลักสูตร อย่างสมบรู ณย์ ่ิง มีคำอธิบาย และคำนิยามเกย่ี วกบั แผนการสอนไว้หลากหลายนยั ดงั น้ี นิยม ทิพย์จักร (2540, หน้า 11) กล่าวถึงแผนการสอนซ่ึงมีความหมายว่า เป็นการวางแผนการ สอนที่จัดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า เพื่อทำการสอนในวิชาใดวิชาหน่ึงเป็นแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน การใช้ส่ืออุปกรณ์และส่ือประมวลผล ให้สอดคล้องมาจากเจตนารมณ์ของหลักสูตร และ ความพรอ้ มของผูเ้ รยี นไดโ้ ดยเร็ว สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครู (2542, หน้า 22 - 25) กล่าวว่า แผนการสอนหรือบันทึก การสอน หมายถึง การนำวิชาหรือกลุ่มประสบการณ์ที่จะต้องทำการสอนตลอดภาคเรียนมาสร้างเป็น แผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยมีจุดประสงค์การเรียนการสอน เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียน

13 การสอน การใช้สื่อการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผลการเรียน ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ การเรียนการสอน หรือจุดเน้นของหลักสูตร สภาพของผู้เรียน และความพร้อมของโรงเรียน และตรงกับ ชีวิตจริงในท้องถ่ิน ซึ่งผู้สอนได้จัดทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าเพ่ือประสิทธิภาพในการเรียนการ สอน วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542, หน้า 1) กล่าวว่า แผนการสอน หมายถึง แผนการหรือโครงการที่ จัดทำเปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษร เพื่อใชใ้ นการปฏบิ ัตกิ ารสอนในรายวชิ าใดวิชาหนึ่ง เปน็ การเตรยี มการสอน อยา่ งมรี ะบบ และเปน็ เครอ่ื งมือท่ีช่วยให้ครูพัฒนาการจดั การเรียนการสอนไปสู่จุดประสงค์การเรียนรู้ และ จุดหมายของหลกั สตู รอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ รุจิร์ ภู่สาระ (2545, หน้า 159) ให้ความหมายว่า เป็นแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ใหผ้ ้เู รยี นตามทก่ี ำหนดไวใ้ นสาระในแตล่ ะกลุ่ม ปานรวี ยงยุทธวิชัย (2546, หน้า 18) กล่าวว่า แผนการสอน คือ การนำวิชาหรือกลุ่ม ประสบการณ์ท่ีจะต้องทำการสอนตลอดภาคเรียนมาสร้างเป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การ ใช้สื่ออุปกรณ์การสอน และการวัดประเมินผล สำหรับเนื้อหาสาระและจุดประสงค์การเรียนย่อย ๆ ให้ สอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์หรือจุดเนน้ ของหลักสตู ร สภาพของผู้เรียน ความพร้อมของโรงเรียนในด้านวัสดุ อุปกรณ์ และความคลอ้ งกบั ชีวติ จริงในท้องถนิ่ สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการหรือกำหนดการท่ีครูผู้สอนจัดทำขึ้นตาม เนื้อหา กิจกรรมในหลักสูตร ที่ครูเตรียมไว้ล่วงหน้าอย่างมีระบบ เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ ให้เกดิ ประสทิ ธิผลต่อการเรียนรสู้ งู สุดแก่ผู้เรียน 2.2 ความสำคญั ของแผนการจัดการเรยี นรู้ วัฒนาพร ระงบั ทุกข์ (2542, หน้า 2) กล่าวถงึ ความสำคัญของแผนการจัดการเรยี นรไู้ ว้ ดงั นี้ 1. ก่อให้เกิดการวางแผน และการเตรียมการล่วงหน้า เป็นการนำเทคนิควิธีการเรียนรู้ ส่ือ เทคโนโลยี และจิตวิทยาด้านการเรียนการสอนมาผสมผสานประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ดา้ นต่าง ๆ 2. ส่งเสริมใหค้ รผู ู้สอนคน้ คว้าหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร เทคนคิ การเรียนการสอน การเลือกใช้ สือ่ การวดั ผล และประเมินผล ตลอดจนประเดน็ ต่าง ๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ งจำเป็นในการเรียนรู้ ของผูเ้ รยี น 3. เป็นคู่มือการสอนสำหรับครูผู้สอน และครูผู้สอนแทน สามารถนำไปใช้ปฏิบัติการสอนได้ อย่างมน่ั ใจ 4. เป็นหลักฐานแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผลท่ีจะเป็น ประโยชนต์ อ่ การจัดการเรียนการสอนต่อไป 5. เป็นหลักฐานแสดงความเช่ียวชาญของครูผู้สอน ซ่ึงสามารถนำไปเสนอเป็นผลงานทาง วิชาการได้ 6. ครู อาจารย์ เกิดความตื่นตัวในการศึกษา มีการวิเคราะห์หลักสูตร เอกสาร ตำรา และสิ่งท่ี เก่ียวข้องกับการจัดทำแผนการสอน หรือการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และมี ประสทิ ธผิ ล 7. ครู อาจารย์ เกิดแนวคิดใหม่ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของการจัดทำแผนการสอนหรือ แผนการจัดการเรยี นรู้ ทส่ี อดคล้องกับการเปล่ียนแปลงของยุคสมัย

14 8. ครู อาจารย์ มีการวางแผนการสอนล่วงหนา้ อย่างเป็นระบบ จึงทำให้มีความมน่ั ใจในการสอน สอนไดค้ รบถว้ น และเป็นไปตามจุดหมายของหลกั สูตร 9. มขี ้อมูลสำหรับการปรับปรุง และพัฒนาแผนการสอน จากการบนั ทึกหลงั การสอน 10. นักเรียนได้เรียนรู้จากครู อาจารย์ ที่มีการเตรียมการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มี ประสิทธภิ าพ และมีประสทิ ธิผลตอ่ การเรียนรู้ 11. นกั เรยี นเกิดกระบวนการเรียนรู้ ทไ่ี ด้รับจากการออกแบบของครผู สู้ อนอย่างมมี าตรฐาน 12. นักเรยี นได้เรียนรเู้ ต็มตามศักยภาพจากครู อาจารย์ และด้วยตนเอง 13. ผเู้ รยี นเป็นศนู ยก์ ลางการเรยี นรูโ้ ดยแท้จรงิ สุพล วังสินธ์ุ (2543, หน้า 6) กล่าวว่า แผนการสอนเป็นเสมือนกุญแจดอกสำคญั ท่ีจะทำให้การเรียน การสอนมปี ระสิทธิภาพย่งิ ข้นึ พอสรปุ ความสำคญั ไดด้ ังน้ี 1. ทำให้เกิดการวางแผนวิชาท่ีสอน วิธีเรียนที่ดีท่ีเกิดจากการผสมผสานความรู้และจิตวิทยา การศกึ ษา 2. ช่วยให้ครูใฝ่ศึกษาหาความรู้ ทั้งหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนตลอดจนการวัดผล ประเมินผล 3. ส่งเสริมให้ครูใฝ่ศึกษาหาความรู้ทั้งหลกั สูตรและการจัดการเรียนการสอนตลอดจนวดั ผลและ ประเมนิ ผล 4. ใชเ้ ปน็ คูม่ ือสำหรับครทู มี่ าสอนแทนได้ 5. เปน็ หลกั ฐานแสดงข้อมลู ท่ีถูกต้อง เทีย่ งตรง เป็นประโยชนต์ ่อวงการศกึ ษา ธีระพัฒน์ ฤทธิ์ทอง (2545 , หน้า 104 - 105) ได้กล่าวถึงแผนการจัดการในการเรียนรู้ว่าเป็นหัวใจ สำคญั ในการวางแผนของครูในการท่ีจะให้นกั เรียนเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่คาดไว้ในกจิ กรรมการเรียนการ สอน ในแผนการเรยี นรู้จะมีกิจกรรมการเรียนรู้ให้นักเรียนปฏิบัติเพ่ือการเรียนรู้ การประเมินผลจากสภาพ จรงิ กาญจนา วัฒนายุ (2544, หน้า 3 - 8) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้ว่า เป็นส่ือท่ีครูสร้างข้ึนเพ่ือให้ เหมาะสมกันและหลากหลาย ตามความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียนครูต้องมีความสามารถในการ ประเมินผลการเรียนรู้ และนำผลการประเมินมาใช้ในการพัฒนาผู้เรียน แผนการสอนหรือแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ ถือเป็นหัวใจสำคัญประการหน่ึงของความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้ตามเจตนารมณ์ ของพระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 สรุปแผนการสอนหรือแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีความสำคัญต่อครูเป็นอย่างมากเป็นส่ือเพื่อ กำหนดบทบาทของครูท่ีจะพัฒนาบทบาทการเรียนให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ท่ี คาดหวงั 2.3 การประเมนิ แผนการสอนและแผนการจดั การเรียนรู้ การจัดทำแผนการสอนและแผนการจัดการเรียนรู้น้ัน ครูต้องมีการประเมินแผนการสอนและ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วย เพ่ือทราบถึงประสิทธิภาพของแผนว่ามีมากน้อยเพียงใดลักษณะของแผนการ จดั การเรียนรู้ที่ดีน้ัน มีนักการศึกษาคนสำคัญของไทยได้กล่าวถึงลักษณะของแผนการสอนท่ีดีว่า จะต้องมี ลักษณะดงั ต่อไปน้ี ปานรวี ยงยุทธวิชัย (2546, หน้า 56 - 57) กล่าวว่า แผนการสอนท่ีดีนั้นควรมีกิจกรรมการ เรียนรู้ 4 ประการ เป็นแผนการสอนท่ีมีกจิ กรรมท่ใี ห้ผู้เรยี นเป็นผลู้ งมือปฏิบัตใิ ห้มากที่สุด โดยครูเป็นเพียง

15 ผคู้ อยชนี้ ำส่งเสรมิ หรือกระตุ้นใหก้ จิ กรรมท่ผี ู้เรียนดำเนนิ การเป็นไปตามความมุ่งหมายเป็นแผนการสอนท่ี เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้ค้นพบคำตอบหรือทำสำเร็จด้วยตนเอง โดยครูผู้สอนพยายามลดบทบาทจากผู้ บอกคำตอบมาเปน็ ผคู้ อยกระตุ้นด้วยคำถามหรือปัญหา ใหผ้ ู้เรยี นคิดแก้หรอื หาแนวทางไปสู่ความสำเร็จใน การทำกิจกรรมเอง เป็นแผนการสอนทเี่ นน้ ทกั ษะกระบวนการ มุ่งให้ผู้เรียนรับรู้ และนำกระบวนการไปใช้ จริงเป็นแผนการสอนท่ีส่งเสริมการใช้วัสดุอุปกรณ์ ที่สามารถจัดหาได้ในท้องถิ่น หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุ อปุ กรณ์สำเรจ็ ราคาสงู อาภรณ์ ใจเทีย่ ง (2540, หนา้ 219) กล่าววา่ ลักษณะของแผนการสอนทด่ี คี วรมีลกั ษณะ ดังน้ี 1. เขียนให้ชัดเจนแจ่มแจ้งในทุกหัวข้อ เพ่ือให้ความกระจ่างแก่ผู้อ่านมีรายละเอียดพอสมควร ไม่ยน่ ย่อ และไม่ละเอยี ดมากเกนิ ไป 2. ใช้ภาษาเขียนส่ือความหมายได้เข้าใจตรงกัน เป็นประโยคท่ีได้ใจความไม่ยืดยาวและไม่เป็น ภาษาพดู 3. เขียนทุกหัวขอ้ หรือทุกชว่ งให้สอดคลอ้ งกนั เช่น 3.1 สาระสำคญั ต้องสอดคลอ้ งกับเนือ้ หา 3.2 จดุ ประสงค์จะตอ้ งสอดคล้องกับเนือ้ หา กจิ กรรม และการวัดผล 3.3 สื่อการเรยี นจะตอ้ งสอดคลอ้ งกับกิจกรรมและการวัดผล 4. เขียนใหเ้ ป็นลำดบั ข้นั ตอนการสอนก่อน - หลังในทุกหวั ข้อ 5. เขยี นหัวขอ้ ใหถ้ ูกตอ้ ง เช่น จุดประสงค์ทีเ่ ขยี นน้นั ต้องเขียนให้เป็นจดุ ประสงค์ เชงิ พฤตกิ รรม 6. จดั กิจกรรมใหเ้ หมาะสมกับเวลาทก่ี ำหนดให้ 7. คิดจัดกิจกรรมให้นา่ สนใจอยู่เสมอ ไมค่ วรใชว้ ธิ เี ดียวกนั ทุกคร้ังที่สอน 8. เขยี นให้เป็นระเบยี บ ง่ายแกก่ ารอ่านและสะอาดชวนอา่ น 9. เขียนในส่ิงทส่ี ามารถปฏบิ ตั ิได้จรงิ และสอนตามทไี่ ด้วางแผนไว้ สรุป แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ควรเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนเป็นผู้ได้ลงมือ ปฏิบัติให้มากที่สุด เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผูค้ ้นพบคำตอบ หรือทำสำเรจ็ ด้วยตนเอง ให้ผู้เรยี นคิดแก้หรือ หาแนวทางไปสู่ความสำเรจ็ ในการทำกิจกรรมเอง โดยครเู ป็นผู้ให้คำช้ีแนะ สง่ เสริมหรือกระตุ้นให้กจิ กรรม ดำเนินการไปตามความมุ่งหมาย เป็นแผนการจัดการเรียนรูท้ ่ีเน้นทกั ษะกระบวนการ มุ่งให้ผู้เรยี นรับรู้และ นำกระบวนการไปใช้จริง ส่งเสริมใช้วัสดุอุปกรณ์ท่ีสามารถจัดหาได้ในท้องถ่ิน มีการวัดผลประเมินผล ต่อเน่ืองใช้ผลเพ่อื การพัฒนา ซงึ่ ผู้วจิ ัยได้นำมาประยุกต์ใช้ในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาศิลปะ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 3. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น นกั วัดผลการศกึ ษาหลายท่านได้ให้ความหมายผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนโดยสรปุ ได้ว่า ผลของการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเกิดจากความรู้ ทักษะและความสามารถในด้านต่างๆ ของนักเรียนจนเกิด การเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรยี นรู้ (ไพศาล หวงั พาณชิ ย์, 2526) 3.1 รปู แบบของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น 1.1 ความรคู้ วามเขา้ ใจ วัดโดยใชแ้ บบทดสอบ 1.2 เจตคติ วัดโดยใช้แบบสอบถาม

16 1.3 ทักษะ วัดโดยใชแ้ บบสังเกต 3.2 แนวคิดเกีย่ วกบั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน จรูญ มิลินทร์ (2505) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนว่า คือความรู้ที่ได้รับ และทักษะที่พัฒนาขึ้นมาในตัวนักเรียน จากการเรียนปกติ แสดงออกมาให้เห็นได้โดยคะแนนที่สอบได้ใน วิชานัน้ ๆ ชวาล แพรัตกุล (2516) ได้ให้ความหมายของคําว่า “สัมฤทธ์ิผลทางการเรียน” ว่าเป็น ความสําเร็จในด้านความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพทางด้านต่าง ๆ ของสมอง นันคือ สัมฤทธ์ิผลทางการ เรียนควรจะประกอบด้วยสิ่งสําคัญอยางน้อย 3 องค์ประกอบ คือ ด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้าน สมรรถภาพสมอง บญุ ส่ง นิลแก้ว (2519) กล่าวว่า ความสัมฤทธ์ิ ผลทางการศึกษา หมายถึง ความสามารถ ของบุคคลท่ีได้เรยี นรู้ในสิ่งที่ได้รับการฝึ กอบรมสั่งสอนโดยเฉพาะอย่างยงิ่ เป็นความสามารถในการเรียนใน โรงเรยี นหรือสถานศึกษา พรทิพย์ ถาวรจักร์ (2525) ที่ศึกษาจากแนวคิดของอแนสตาซี่ พบวาผลสัมฤทธ์ิทางการ เรยี นมีความสัมพันธ์กบองค์ประกอบใหญ่ 2 ประการ คือ องค์ประกอบทางด้านสติปัญญากับองคป์ ระกอบ ท่ีไม่ใช่สติปัญญา องค์ประกอบทางด้านสติปัญญาเป็นองค์ประกอบท่ีสําคัญส่วนหนึ่งที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน และเป็นความสามารถทางด้านการคิดของบุคคลอันเป็นผลมาจากการสะสมของ ประสบการณ์ต่าง ๆ ได้แก่ สมรรถภาพทางสมอง ความคิดสร้างสรรค์ ความถนัดทางการเรียน ส่วน องค์ประกอบท่ีไม่ใชส่ ติปัญญา ได้แก่ องค์ประกอบทางด้านเศรษฐกิจ แรงจูงใจในการเรยี น การปรับตัวใน สงั คม สภาพครอบครัว ทศั นคตติ อ่ วิชา เปน็ ต้น พวงแก้ว โคจรานนท์ (2530) กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน คือ ความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถ และลกั ษณะทางด้านวิชาการ รวมท้ังสมรรถภาพทางสมองดา้ นต่าง ๆ เช่น ระดับสติปัญญา การคิด การแกปัญหาต ้ ่าง ๆ ของเด็ก ซ่ึงแสดงให้เห็นด้วยคะแนนท่ีได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหรือการรายงานทั้งเขียนและพูด การทํางานที่ได้รับมอบหมาย ตลอดจนการทําการบ้านใน แต่ละวิชา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจึงวัดได้จากผลสัมฤทธ์ิ รายวิชาซึ่งอาจมีทั้งดีมากดี ปาน กลาง หรือระดับตาํ่ อัจฉรา และ อรพินทร์ (2530) กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน หมายถึง ระดับ ความสําเรจ็ ทีไ่ ด้รบั จากการเรยี น ซึ่งได้ประเมินผลจากสองวิธี ดังตอ่ ไปนี้ 1. กระบวนการท่ีได้จากแบบทดสอบ โดยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนโดยทั่วไป 2. กระบวนการท่ไี ด้จากเกรดเฉลีย่ ของสถาบันการศกึ ษา ซงึ่ ต้องอาศัยกรรมวธิ ที ี่ ซบั ซอ้ นและชว่ งเวลาทย่ี าวนาน Mauritz and Nitmko (อ้างถึงใน สุนันท์, 2533) ได้กล่าวว่า การสัมฤทธิ์ผลทางการ เรยี นถือว่าเป็นตัวแปรท่สี ําคัญตัวหนึ่งในการทดสอบตอ่ ขบวนการเรยี นรู้และการประเมินผล ซึ่งจากตาราง แสดงการประเมินผลทางการศึกษา ไดช้ ี้ใหเ้ ห็นว่าจําเป็นทีจ่ ะต้องจัดหรอื ประเมนิ ผเู้ รียนใน 4 ประเด็นหลัก คือ Achievement การสัมฤทธ์ิผลทางการเรียน Aptitude การพิจารณาความถนัดของผู้เรียน Interest การค้นหาความสนใจในตัวผู้เรียน Personality การพัฒนาบุคลิกภาพที่เกิดข้ึนในตัวผู้เรียน แต่ปรากฏว่า ในความเป็นจริงแล้ว ในสถาบันโรงเรียนไม่สามารถประเมินได้ครบทั้ง 4 ประการ การประเมินจะพบเห็น

17 ได้ชัดในด้านการสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนมากที่สุด การประเมินด้านอื่น ๆ น้ันดูเหมือนเป็นการพิจารณาที่ ปรากฏในภายหลงั หรือปรากฏนอ้ ย 3.3 ความหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เสรมิ ศักด์ิ วิศาลาภรณ์ และ เอนกกุล กรแี สง (2522, หน้า 22) ได้ใหค้ วามหมายของการ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ว่าเป็นกระบวนการวัดปริมาณของผลการศึกษาเล่าเรียน ว่าเกิดข้ึนมากน้อย เพยี งใด คาํ นึงถงึ เฉพาะการทดสอบเท่านั้น สุรชัย ขวัญเมือง (2522, หน้า 232) ได้ให้ความหมายของ การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรยี น หมายถึง การตรวจสอบดูว่าผู้เรียนได้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายทางการศึกษาตามท่ีหลักสูตรกาหนดไว้ แล้ว เพียงใด ท้ังนี้ ยกเว้นในทางด้านอารมณ์ สังคมและการปรับตัว นอกจากน้ีแล้วยังหมายรวมไปถึงการ ประเมินผลความสําเร็จต่างๆ ท้ังที่เป็นการวัดโดยใช้แบบทดสอบ แบบให้ปฏิบัติการและแบบท่ีไม่ใช้ แบบทดสอบด้วย ไพศาล หวังพานิช (2526, หน้า 89) ได้ให้ความหมายของ การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียน หมายถึง คุณลักษณะ และความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นการ เปล่ียนแปลง พฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเกิดจากการฝึกฝนอบรม หรือจากการสอน ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนจึงเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถ หรือถามสัมฤทธิ์ผลของบุคคลว่าเรียน แล้ว รเู้ ทา่ ใด สมนึก ภัททิยธนี (2551, หน้า 73) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรยี นวา่ เปน็ แบบทดสอบทว่ี ัตสมรรถภาพสมองดา้ นตา่ งๆ ท่ีนักเรยี นได้รบั การเรยี นรู้ผ่านมาแล้ว พิ สุ ท ธ า อ ารีราษ ฎ ร์ (2551, ห น้ า 154) ก ล่ าว ว่า ผล สั ม ฤ ท ธ์ิท างก ารเรีย น (Achievement) หมายถึง ความสามารถของผู้เรียนในการแสดงออกโดยการทําแบบทดสอบให้ถูกต้อง หลังจากได้ผ่าน การศึกษาจากสื่อแล้วได้คะแนนสูงจะถือว่าผู้เรียนมีมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงซึ่ง ความสามารถที่มี ของผู้เรียนนี้เป็นผลมาจากการได้ศึกษาเนื้อหาความรู้จากสื่อ ดังน้ันจึงเป็นการวัด คุณภาพของสื่อได้ เช่นกัน ถ้าสื่อมีคุณภาพดีเมื่อให้ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาผ่านสื่อแล้วทําให้ผู้เรียนมี ผลสมั ฤทธ์ิทางการ เรียนท่ีดีด้วยในทางตรงกันข้ามถ้าส่ือไม่มีคุณภาพเม่ือผู้เรียนผ่านสื่อแล้วอาจจะมีผลทํา ใหผ้ ลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นตํา่ หรอื ค่อนขา้ งต่ำได้เช่นกัน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2557, หน้า 16) ได้สรุป ความหมาย ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนว่าเป็นการประเมินสมรรถภาพของผู้เรียนจะต้องมีเคร่ืองมือ การ ประเมินท่ีมี ประสิทธิภาพ ทั้งวิธีการประเมินกิจกรรมเกณฑ์การประเมิน และแบบประเมิน เป็นส่วนหนึ่ง ของ เคร่ืองมือการประเมิน ที่ผู้สอนต้องให้ความสําคัญและกําหนดสาระสําคัญของการประเมินไว้ใน แผนการจัดการเรียนรูเ้ พอ่ื การเตรยี มความพร้อมไวก้ ่อนการจัดการเรียนการสอน สรุปได้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับความสําเร็จที่ได้รับจากการ เรียนในด้านความรู้ความเข้าใจ และความสามารถทางด้านวิชาการ รวมท้ังสมรรถภาพทางสมองด้านต่าง ๆ เช่น การคิด การแก้ปญั หา ซึง่ ประเมินจากเกรดเฉล่ียท่ีไดจ้ ากสถาบันการศึกษาหรือโรงเรียน จงึ ถือได้ว่า ผลสัมฤทธิ์เปน็ ตัวแสดงใหเ้ หน็ ถึงความสาํ เร็จหรอื ล้มเหลวทางการศึกษา การวัดผลจากการเรียนว่าผ้เู รยี นมี ความรคู้ วามเข้าใจในเร่ืองทเ่ี รยี นภายหลังการเรยี นมากนอ้ ยเพยี งไร มคี วามรู้ในเร่ืองที่เรียนเท่าใด

18 3.4 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน ( Achievement Tests ) นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนไว้ ดังนี้ สุรชัย ขวัญเมือง (2522, หน้า 233) ได้กล่าวไว้วา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหมายถึง แบบทดสอบที่วัดความรู้ ทักษะและสมรรถภาพสมองต่าง ๆ ท่ีเด็กได้รับจากประสบการณ์ ทั้งปวงจากทางโรงเรียนและจากทางบ้าน ยกเว้นการวัดทางร่างกาย ความถนัดและทางบุคคลหรือสังคม ได้แก่ อารมณ์และการปรับตวั เปน็ ต้น ภัทรา นิคมานนท์ (2534, หน้า 23) ได้กล่าวไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการ เรียนหมายถึง แบบทดสอบท่ีใช้วัดปริมาณความรู้ ความสามารถ ทักษะเก่ียวกับด้านวิชาการท่ีเด็กได้ เรียนรู้มาในอดีต ว่ารับรู้ได้มากน้อยเพียงใด โดยท่ัวไปแล้วมักใช้หลังจากทํากิจกรรมเรียบร้อยแล้วเพ่ือ ประเมินการเรียนการสอนวา่ ไดผ้ ลเพยี งใด ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ (2538, หนา้ 218) และพวงรตั น์ ทวีรตั น์ (2543, หน้า 96) ได้กล่าวถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนในทํานองเดียวกันว่า หมายถึง แบบทดสอบที่วัด ความรู้ของนักเรียนที่ได้เรียนไปแล้ว ซ่ึงมักจะเป็นข้อคําถามให้นักเรียนตอบด้วยกระดาษและดินสอกับให้ นักเรียนปฏิบัติจริงสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบท่ีวัดความรู้ ความสามารถ ทกั ษะ ในดา้ นวชิ าการและเน้อื หาตา่ งๆในแตล่ ะวิชา สมนึก ภัททิยธนี (2551, หน้า 73) กล่าวว่า แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัตสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ท่ีนักเรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้ว แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบที่ครูสร้างข้ึน และ แบบทดสอบมาตรฐาน 3.5 หลกั เกณฑ์ในการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เยาวดี วิบูลย์ศรี (2528, หน้า 82) และวัญญา วศิ าลาภรณ์ (2522, หน้า 11) กล่าวถงึ หลักเกณฑ์ไว้สอดคลอ้ งกัน ดงั น้ี 1) เนื้อหาหรือทักษะท่ีครอบคลุมในแบบทดสอบน้ัน จะต้องเป็นพฤติกรรมท่ีสามารถวัด ผลสัมฤทธิ์ได้ 2) ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นทใี่ ช้แบบทดสอบวัดน้นั ถ้านําไปเปรียบเทยี บกัน จะตอ้ งให้ ทุกคนมีโอกาสเรียนรใู้ นสงิ่ ตา่ ง ๆ เหล่านนั้ ได้ครอบคลุมและเทา่ เทียมกนั 3) วัดให้ตรงกับจุดประสงค์ การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ควรจะวัด ตามวัตถุประสงค์ทกุ อยา่ งของการสอน และจะตอ้ งม่ันใจวา่ ได้วัดสง่ิ ที่ต้องการจะวัดได้จริง 4) การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็นการวัดความเจริญงอกงามของนักเรียน การ เปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าไปสู่วัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ ดังน้ัน ครูควรจะทราบว่าก่อนเรียนนักเรียนมี ความรู้ความสามารถอยา่ งไร เมื่อเรียนเสร็จแลว้ มคี วามรแู้ ตกตา่ งจากเดิมหรอื ไม่ โดยการทดสอบก่อนเรยี น และทดสอบหลงั เรยี น 5) การวัดผลเป็นการวัดผลทางอ้อม เป็นการยากท่ีจะใช้ข้อสอบแบบเขียนตอบ วัด พฤติกรรมตรง ๆ ของบุคคลได้ ส่ิงท่ีวัดได้ คอื การตอบสนองต่อข้อสอบ ดังนั้น การเปลี่ยนวัตถุประสงคใ์ ห้ เปน็ พฤติกรรมท่จี ะสอบ จะตอ้ งทําอย่างรอบคอบและถกู ต้อง

19 6) การวัดการเรยี นรู้ เป็นการยากท่จี ะวดั ทุกสิ่งทุกอยางทส่ี อนไดภ้ ายในเวลาจํากดั สิง่ ท่ี วัดได้เป็นเพยี งตวั แทนของพฤตกิ รรมทงั้ หมดเทา่ นนั้ ดังน้ัน ตอ้ งมนั ใจว่าส่ิงทวี่ ัดนั้นเปน็ ตัวแทนแทจ้ รงิ ได้ 7) การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็นเคร่ืองช่วยพัฒนาการสอนของครู และเป็ น เครื่องช่วยในการเรียนของเดก็ 8) ในการศึกษาท่ีสมบูรณ์น้ันส่ิงสําคัญไม่ได้อยู่ท่ีการทดสอบแต่เพียงอย่างเดียว การ ทบทวนการสอนของครกู ็เปน็ สิง่ สาํ คญั ยงิ่ 9) การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนควรจะเน้นในการวัดความสามารถในการใช้ความรู้ให้ เป็นประโยชน์ หรือการนําความรู้ไปใช้ในสถานการณใ์ หม่ ๆ 10) ควรใช้คาํ ถามใหส้ อดคลอ้ งกับเน้อื หาวิชาและวตั ถปุ ระสงค์ทีว่ ัด 11) ใหข้ อ้ สอบมีความเหมาะสมกับนกั เรยี นในด้านต่าง ๆ เชน่ ความยากง่ายพอเหมาะ มเี วลาพอสําหรบั นักเรียนในการทําขอ้ สอบ สรุปได้ว่า ในการที่จะสร้างแบบทดสอบท่ีดีและมีคุณภาพนั้นวิธีการสร้างแบบทดสอบท่ี เป็นคําถามต้องสอดคล้องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ เพ่ือวัดเนื้อหาและพฤติกรรมท่ีสอนไปแล้ว ต้องตั้ง คาํ ถามทส่ี ามารถวัดพฤติกรรมการเรียนการสอนได้อย่างครอบคลุมและตรงตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 3.6 ชนิดของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น นกั การศึกษาหลายท่านได้แบ่งชนดิ ของแบบทดสอบ ไว้ดังนี้ ชวาล แพรตั กุล (2516, หน้า 112 - 115) แบ่งแบบทดสอบออกเปน็ 2 ชนดิ ใหญ่ ๆ คอื 1. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) แบบทดสอบมาตรฐานเป็นตัวอยาง ของการกระทําหรือความรู้ของบุคคลแต่ละคนของกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง ซ่ึงรับมาภายใต้สภาพการณ์ท่ีกำหนด การให้คะแนนเป็นไปตามกฎเกณฑ์ และการตีความหมายก็เป็นไปตามตารางเกณฑ์ปกติ(Norm) แบบทดสอบมาตรฐานผู้สอนใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนเป็นรายบุคคลหรือรายห้องได้อย่าง ม่ันใจ และประหยัดถูกต้องตามหลักวิชามากกว่าการวัดด้วยวิธีอ่ืน ๆ ใช้สําหรับวัดพิสัยความรู้ของผู้เรียน ของแต่ละช้ัน และแต่ละกลุ่มว่ามีระดับความรู้ทัดเทียมกันหรือแต่กต่างกัน เพ่ือจะได้ปรับปรุงการสอนให้ เหมาะสมกับสภาพการณ์น้ัน ๆ ได้ ใช้แยกประเภทผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ตามความสามารถของเขา เพ่ือจะได้เรียนอย่างมีความสุขหรือใช้ในการวินิจฉัยสมรรถภาพว่าแต่ละคนเก่ง - อ่อน ในวิชาใดบ้าง มาก น้อยเพียงใดและเพราะสาเหตุใด ใช้เปรียบเทียบความงอกงามของผู้เรียนแต่ละคนแต่ละห้องว่ามี พัฒนาการข้ึนจากเดิมในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ มากน้อยเพียงใด ใช้ตรวจประสิทธิภาพของการเรียน ใช้ พยากรณ์ความสําเร็จในการศึกษาว่ามีโอกาสจะประสบความสําเร็จในทางใดระดับใด ใช้ในการแนะแนว โดยพิจารณาผลสอบจากแบบทดสอบมาตรฐานหลายฉบับวา่ เขามสี มรรถภาพทางสมองหรอื หัวโน้มเอียง หรือมีความถนัดในด้านใด เพ่ือจะได้แนะแนวอาชีพที่เหมาะสม ใช้ในการประเมินการศึกษา ใช้ในการวิจัย ในฐานะท่ีเปน็ แบบทดสอบมาตรฐานมปี ระสิทธภิ าพในการวดั สงู มาก การสาํ รวจค้นควา้ และการวิจัยต่าง ๆ จึงต้องอาศัยแบบทดสอบชนิดนี้เป็นเครื่องมือสําคัญ สําหรับการเกบ็ ขอ้ มูลในการทดลอง และเปรียบเทียบ ความสามารถ 2. แบบทดสอบท่ีผู้สอนสร้างขึ้นเอง (Teacher - Made Test) เป็ นแบบทดสอบ ผลสัมฤทธใิ์ นวชิ าต่างๆ เชน่ คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ หรอื ภาษา เปน็ ต้น โดยแบ่งได้เปน็ 2 แบบคือ แบบ

20 ให้ตอบเสรีและแบบจํากัดคําตอบ ซ่ึงคุณประโยชน์ของแบบทดสอบชนิดนี้อยู่ที่ สามารถพลิกแพลงให้ เหมาะกบั สภาพและเหตกุ ารณไ์ ด้ อาํ นวย เลศิ ชยนั ตี (2533, หนา้ 88 – 91) ไดแ้ บ่งแบบทดสอบออกเปน็ 18 ชนดิ ดังนี้ 1. แบบทดสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) แบบทดสอบชนิดน้ี ประกอบด้วย คําถาม 1 คําถาม มีตัวเลือก 4 – 5 ตัวเลือก ถ้าเป็นระดับประถมศึกษาควรมี 4 ตัวเลือก ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ควรสร้างให้มี 3 ตัวเลือก และควรมีรูปภาพประกอบมาก ๆ สําหรับระดับ มัธยมศึกษา จงึ ควรใช้ 5 ตวั เลือก 2. แบบทดสอบแบบถูก – ผิด (True – False Test) แบบทดสอบชนดิ นี้จัดวา่ เปน็ แบบ เลือกตอบอีกอยางหนึง่ แต่คาํ ตอบจะมีเพียงถกู หรือผิดหรือมสี องตวั เลอื กเท่านนั้ 3. แบบทดสอบแบบจับคู่ (Matching Test) ลักษณะของแบบทดสอบจัดว่าเป็นแบบ เลือกตอบอีกชนิดหนึ่ง แต่มีตัวเลือกจํานวนคงท่ีและภายหลังการคัดเลือกตัวเลือกท่ีถูกไปแล้วจํานวน ตัวเลอื กนจ้ี ะลดนอ้ ยลงไปเรอ่ื ยๆ 4. แบบทดสอบแบบให้เขียนตอบ (Free Response Test) แบบทดสอบชนิดน้ีมีหลาย ลักษณะ เช่น ให้เปน็ แบบเติมคาํ หรอื เตมิ ขอ้ ความส้นั ๆ หรือใหเ้ ขียนบรรยายแสดงความคดิ เห็น 5. แบบทดสอบท่ีใช้ความเร็วในการคิด (Speed Test) ลักษณะของแบบทดสอบ ความเรว็ จะประกอบดว้ ยข้อคําถามง่าย ๆ แตม่ ขี อ้ คําถามจํานวนมากๆ ใหเ้ วลาในการทําข้อสอบนอ้ ยมาก คะแนนท่ีได้จะเป็นตวั เลข ทีช่ ้ีให้เหน็ ถึงความเร็วในการคดิ และการทําขอ้ สอบ 6. แบบทดสอบแบบไม่จํากัดเวลา (Power Test) แบบทดสอบชนดิ นปี้ ระกอบดว้ ย ข้อ คาํ ถามท่ีคอ่ นข้างยาก ต้องใช้เวลาในการคิดเพื่อทําขอ้ สอบเป็นเวลานาน ดังนัน้ จะไม่จํากัดเวลาใน การทํา ข้อสอบ ใหผ้ ูส้ อบใชเ้ วลาคดิ จนกว่าจะสําเร็จ 7. แบบทดสอบที่วัดความสามารถข้ันสูงสุด (Maximum Performance) แบบทดสอบ ลักษณะน้ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อวัดความสามารถข้ันสูงสุดของผู้สอบ ผู้สอนต้องพยายามคิดทําข้อสอบให้ได้ คะแนนมากท่ีสุด คะแนนจะเป็นตัวชี้ถึงความสามารถข้ันสูงสุด เช่น การสอบวัดทางด้านสติปัญญา หรือ การวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน เป็นต้น 8. แบ บ ท ด สอบ ที่ วัด คุณ ลักษ ณ ะเฉพ าะอ ย่าง (Typical Performance Test) แบบทดสอบลักษณะน้ี มีจุดมุ่งหมายเพ่ือวัดความสามารถบางอย่างบางประการ หรือคุณลักษณะท่ี ตอ้ งการวดั เพยี งบางลกั ษณะเทา่ นั้น เชน่ แบบทดสอบวดั ความสนใจในวิชาชีพ หรือแบบวดั บคุ ลกิ ภาพ 9. แบบทดสอบแบบปรนัย (Objective Tests) แบบทดสอบแบบปรนัยเป็นแบบทดสอบ ท่ีประกอบดว้ ยคุณลักษณะ 3 ประการ คือ ก. คําถามทใ่ี ชถ้ ามเป็นคาํ ถามที่ชดั เจน ถามตรงจดุ อา่ นแลว้ รูว้ ่ากำลงั ถามอะไร ข. เกณฑ์การตรวจให้คะแนน ได้กำหนดไว้ชัดเจน ใคร ๆ ตรวจก็ได้คะแนน ตรงกนั เทา่ กัน ค. การแปลผลทุกคนท่ีแปลผลยอ่ มแปลไดต้ รงกนั เช่น ใครทําขอ้ สอบได้ คือ คน เก่งใครทําข้อสอบไมไ่ ด้ คอื คนเรียนออ่ น 10. แบบทดสอบแบบอัตนัย (Subjective Test) แบบทดสอบแบบอตั นยั เนน้ ท่ีคนออก ขอ้ สอบ เป็นคนตรวจและให้คะแนน การให้คนตรวจกย็ ่อมมีข้อยุ่งยากหลาย ๆ ประการเก่ียวกับอคติหรือ กเิ ลสท่ีมีอยใู นตวั คนแตล่ ะคน

21 11. การทดสอบทีใ่ ช้การเขยี น – ตอบ (Paper – Pencil Test) การทดสอบลกั ษณะน้ี อาจใช้เป็นแบบลักษณะของแบบทดสอบในข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 หรื อข้อ 4 ดังท่ีกล่าวมา เรียกว่า แบบทดสอบทเ่ี ป็นการทดสอบทใ่ี ชเ้ ขยี นตอบ 12. การทดสอบที่ไม่ใช้การเขียน (Performance Test) การทดสอบลักษณะน้ี ไม่ใชก้ าร เขียนตอบ แต่เป็นแบบสังเกตพฤติกรรมจากการกระทําโดยตรง เช่น การทดสอบทางพลศึกษา การ ทดสอบด้านการปฏบิ ตั ิในวิชาชา่ งประเภทต่างๆ เปน็ ต้น 13. การทดสอบทใ่ี ช้นักเรยี นเปน็ กลมุ่ (Group Tests) การทดสอบที่ใชล้ กั ษณะนกั เรยี น ทดสอบเป็นกลุ่ม ส่วนมากมักใช้ Paper – Pencil Test เพราะสามารถสอบนักเรียนได้พร้อมๆกัน ถึงแม้ นกั เรยี นจะมีจาํ นวนมาก 14. แบบทดสอบท่ีต้องสอบครั้งละ 1 คน (Individual Tests) การทดสอบที่สอบกับ นักเรียนเพียง 1 คน มักเป็นแบบทดสอบท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องทางด้านการเรียนหรือ เป็นการสอบเพ่ือดูความพร้อมทางด้านการเรียน ความพร้อมด้านการฟัง ความพร้อมด้านการอ่านและ โดยเฉพาะการสอบด้านการปฏบิ ัตงิ าน ฯลฯ ซงึ่ ต้องดูพฤติกรรมอากปั กริ ิยาของผู้เข้าสอบด้วยการสอบเป็น กลุ่ม ทาํ ให้ไม่สามารถสงั เกตพฤติกรรมของนักเรยี นไดโ้ ดยตรง 15. แบบทดสอบท่ีใช้ภาษา (Language Test) แบบทดสอบที่ใช้ภาษาจะเน้นที่การใช้ ภาษาเป็นการส่อื ความหมาย เหมาะสาํ หรบั นักเรียนทส่ี ามารถอ่านหนงั สือได้เร็ว แบบทดสอบที่ใช้ภาษาจึง เหมาะสาํ หรับนักเรียนที่อา่ นคลอ่ ง เชน่ ระดบั ช้ัน ป. 4 ป. 5 ป. 6 และระดับชนั้ มธั ยมศึกษาขน้ึ ไป 16. แบบทดสอบที่ไม่ใชภ้ าษา (Non – Language Test) แบบทดสอบชุดน้ีจะเหมาะกบั เด็กเลก็ ๆ และเหมาะกบั เดก็ ทไ่ี ม่สามารถส่ือความหมายด้วยการพูดหรือเขียนได้ 17. แบบทดสอบท่ีต้องการเฉพาะกระบวนการคิดตอบ (Process Test) แบบทดสอบ ลักษณะน้ี ผสู้ อบไมส่ นใจวาใครคดิ ได้หรอื ไม่ได้ แต่มคี วามสนใจท่ผี เู้ ข้าสอบคดิ อยางไร 18. แบบทดสอบแบบการสร้างจินตภาพ (Projective Test) ลักษณะแบบทดสอบจะ เป็นการสร้างจินตภาพท่เี นน้ ให้ผเู้ ข้าสอบแสดงความรู้ ความคิดต่อสงิ่ เรา้ ต่าง ๆ (Stimuli) ที่ตนได้พบเห็นผู้ เข้าสอบจะแสดงอาการตอบสนองออกมาเป็นความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติต่าง ๆ ต่อส่ิงเร้าที่ปรากฏอยู่ ตัว แบบทดสอบที่ใช้เป็นสิ่งเร้าจะมีลักษณะท่ีไม่ชัดเจน เพราะต้องการให้แบบทดสอบเป็นตัวการที่จะทําให้ ผู้สอบแสดงพฤติกรรมหรอื ความรู้สึกในการตอบสนองออกมาเท่าน้ัน เม่ือไรก็ตามทต่ี ัวแบบทดสอบมีความ ชัดเจนไม่ถือว่าเป็นการสอบเพื่อวัดการสร้างจินตภาพ การสอบลักษณะนี้จึงเหมาะกับบุคคลที่มีจิตไม่ สมประกอบ คนเหล่าน้ีเม่ือพบเห็นภาพสลัว ๆ ไม่ชัดเจน ก็จะระบายความรู้สึกนึกคิดที่เป็นปัญหาออกมา ผู้วัดผลก็จะแปลพฤติกรรมท่ีแสดงออกมานั้นให้เขารู้ว่าเป็นคนอย่างไร มีปัญหาหรือไม่ เห็นได้ว่าชนิดของ แบบทดสอบมีหลายชนิดด้วยกันไม่ว่าจะเป็น แบบทดสอบแบบปรนัย อัตนัย แบบเลือกตอบแบบจํากัด เวลา ท่ีผู้สอนสร้างข้นึ เอง หรือแบบทดสอบมาตรฐาน อย่างไรก็ตามการสร้างแบบทดสอบชนิดต่าง ๆ นั้น ผู้สร้างจะต้องสร้างให้เหมาะสมกับเนื้อหา และสอดคล้องกบจุดประสงค์ท่ีกำหนดไว้ และเลือกใช้ให้ เหมาะสมกบั ผสู้ อบดว้ ย

22 4. ทักษะการจำแนก ทักษะการจำแนกประเภท (Classifying) การจำแนกประเภทสำหรับเด็กปฐมวัย เป็นทักษะพ้ืนฐานที่ สำคัญที่เด็กควรได้รับพัฒนาเพื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์ หรือความแตกต่างของวัตถุหรือส่ิงของน้ัน ๆ ประกอบด้วย 4.1 ความหมายของการจำแนกประเภท การจำแนกประเภทเป็นส่ิงสำคัญมากในทางวิทยาศาสตร์ เพราะทำให้สะดวกในการค้นคว้าและ ทำให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ การจำแนกส่ิงใด ๆ ก็ตาม ผู้กระทำจะต้องใช้พ้ืนฐานความรู้เดิมและการสังเกต อย่างถ่ีถว้ นละเอยี ด รอบคอบเพ่ือให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง มีนักการศึกษาและผู้ให้ความหมายของการจำแนก ประเภทไว้หลายทา่ นไดแ้ ก่ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2547, หน้า 173) กล่าวว่า การจำแนกเปรียบเทียบ หมายถึง เป็นทักษะ พื้นฐานที่ใช้ในการจัดระเบียบข้อมูล ซ่ึงในการจำแนกเด็กต้องสามารถเปรียบเทียบและบอกข้อแตกต่าง ของคุณสมบัติ ถ้าเด็กเล็กมาก เด็กอาจจำแนกสี หรือจำแนกรูปร่างก็ได้ การจำแนกหรือเปรียบเทียบ สำหรับเดก็ ปฐมวัยตอ้ งใช้คุณสมบัติหยาบ ๆ เห็นเป็นรูปธรรมเดก็ จงึ ทำได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2551ข, หน้า 24) กล่าวว่า การจำแนก ประเภท หมายถึง การแบ่งพวก หรือเรียงลำดับวัตถุหรือสิ่งที่มอี ยู่ในปรากฏการณ์โดยมีเกณฑ์ ซ่งึ อาจเป็น ความเหมอื นความแตกตา่ งหรือความสัมพนั ธ์อย่างใดอยา่ งหน่ึง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2553ก, หน้า 77) กล่าวว่า การจำแนก ประเภท หมายถงึ การทใ่ี ช้จัดจำพวกวัตถุหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทต่ี ้องการศกึ ษาออกเป็นหมวดหมู่ โดย จัดสิ่งท่ีสมบัติบางประการร่วมกันให้อยุ่ในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งการจำแนกเป็นพวกนั้นต้องมีเกณฑ์ในการ จำแนกดว้ ย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2554, หน้า 11) กล่าวว่า การจำแนก ประเภท หมายถึง การจดั จำแนกส่งิ ของหรือเหตกุ ารณอ์ อกเป็นประเภทตา่ ง ๆ โดยพิจารณาจากลกั ษณะท่ี เหมือนกัน สัมพันธ์กัน หรอื แตกตา่ งกนั ของสิ่งของหรือเหตุการณห์ รือปรากฏการณ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2554, หน้า 68) กล่าวว่า การจำแนก ประเภท หมายถึง การแบ่งพวก หรือเรียงลำดับวัตถุหรือส่ิงท่ีมีอยู่ในปรากฏการณ์โดยมีเกณฑ์ ซึ่งอาจเป็น ความเหมอื นความแตกตา่ งหรอื ความสัมพันธ์อย่างใดอยา่ งหนึ่ง สรุปได้ว่า ทักษะการจำแนกประเภท หมายถึง ความสามารถในการแบ่งพวก หรือเรยี งลำดับวัตถุ หรือสิ่งที่มีอยู่ในปรากฏการณ์โดยมีเกณฑ์ ความเหมือน ความแตกต่าง และความสัมพันธ์ร่วมกันอย่างใด อยา่ งหนึ่ง 5. ความพึงพอใจของผู้เรียน 5.1 ความหมายของความพึงพอใจในการเรียน ความพึงพอใจ (Satisfaction) เปน็ ความรู้สกึ ท่รี ับรดู้ ้วยจติ ใจ และอาจแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม ตา่ ง ๆ ให้บุคคลรอบขา้ งได้รับรู้ นกั การศึกษาหลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายของความพึงพอใจไว้ดังนี้ Morse (1955, pp.19) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาวะจิตท่ีปราศจาก ความเครียด ท้งั นีเ้ พราะธรรมชาติของมนุษย์มคี วามต้องการ ถ้าความต้องการได้รับการตอบสนอง ท้งั หมดหรือบางส่วน

23 ความเครียดก็จะน้อยลง ความพึงพอใจก็จะเกิดข้ึนและในทางกลับกันถ้าความ ต้องการน้ันไม่ได้รับการ ตอบสนองความเครียดและความไม่พึงพอใจทจี่ ะเกดิ ขน้ึ Vroom (1964, pp.8) กลา่ ววา่ ความพงึ พอใจ หมายถึงผลทีไ่ ด้จากการท่ีบุคคลเขา้ ไปมี ส่วนร่วม ในสิ่งน้ัน ทัศนคติด้านบวกจะแสดงให้เป็นสภาพความพึงพอใจในสิ่งนั้น และทัศนคติด้านลบ จะแสดงให้ เหน็ สภาพความไม่พึงพอใจนนั่ เอง Good (1973, pp.320) กลา่ วว่า ความพึงพอใจในการทํางาน หมายถึง คณุ ลักษณะ สภาวะ หรือ ระดับความพงึ พอใจทเี่ ป็นผลมาจากความสนใจ และทัศนะของบุคคลทม่ี ีต่องาน คำดี ขินานา (2546, หน้า 29) กลา่ วว่า ความพึงพอใจต่อการปฏิบัติงาน หมายถึง ความรู้สึกนึก คิด หรอื ทัศนคติของผู้ปฏิบตั ิงานที่มีตอ่ การปฏิบตั ิงาน รวมทง้ั กระบวนการองค์ประกอบ ตลอดจนปัจจัยที่ เกยี่ วขอ้ งกับงานนัน้ ๆ หากเปน็ ไปในทางบวกจะเป็นผลทำใหเ้ กดิ ความพงึ พอใจต่อการปฏบิ ัติงาน จะมีการ เสียสละ อุทิศแรงกาย แรงใจ แรงทรัพย์ และสติปัญญาให้แก่งานมากขึ้น แต่ในทางตรงข้ามหาก ผ้ปู ฏบิ ตั ิงานมีความรู้สกึ นกึ คดิ หรือทศั นคติตอ่ การปฏิบัตงิ านเปน็ ไปในทางลบ จะมีผลทำใหเ้ กดิ ความไมพ่ ึง พอใจต่อการปฏิบัติงาน ขาดความกระตือรือร้นปฏิบัติงานไม่มีประสิทธิภาพ ท้ังนี้ ความพึงพอใจต่อการ ทำงานจะเป็นผลมาจากการสรา้ งแรงจูงใจของผู้บริหาร เพื่อท่ีจะกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความเต็มใจ มี ความสุข และใช้พลังงานที่มีอยู่ปฏิบัติงานให้ประสบความสำเร็จ ตามเป้าหมายขององค์กรหรือหน่วยงาน อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ประสาท อิศรปรดี า (2546, หน้า 300) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง พลงั ท่ีเกิดจากพลังทาง จติ ที่มีประสทิ ธิผลไปสู่เปา้ หมายทีต่ อ้ งการ และหาสง่ิ ทตี่ อ้ งการมาตอบสนอง มยุรี ศรคี ะเณย์ (2547, หน้า 67) กล่าวว่า ความพึงพอใจ คือ พลังที่เกดิ ขึ้นทางจติ ใจท่ีมผี ลทำให้ บคุ คลชอบ หรือไม่ชอบในงาน หรือกิจกรรมทท่ี ำ ซงึ่ สง่ ผลใหง้ านหรือกจิ กรรมท่ีทำน้นั ประสบความสำเรจ็ หรือล้มเหลวได้ ดังนั้นความพึงพอใจในเน้ือหาวิชาที่เรียน และกิจกรรมการเรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญท่ีช่วยให้ นกั เรยี นเกิดการเรยี นรู้ทด่ี ี กนกพร แถวโสภา (2547, หน้า 67) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สกึ นึกคิด หรือเจต คติของบุคคลที่มีต่อการทำงานหรือการปฏิบัติกิจกรรมในเชิงบวก ดังน้ันความพึงพอใจในการเรียนรู้ หมายถึง ความพอใจ ชอบใจในการร่วมปฏิบัติกิจกรรมการเรยี นการสอน และต้องการดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ จนบรรลผุ ลสำเร็จ มัชฌิมา เหล็กกล้า (2547, หน้า 26) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มี ต่อสิง่ หนง่ึ สงิ่ ใดท่ีเกดิ ขน้ึ ในจติ ใจของมนษุ ย์ สง่ ผลทำใหม้ นุษยแ์ สดงพฤตกิ รรมความรสู้ ึกน้นั ออกมา ศรีสุดา ญาติปล้ืม (2547, หน้า 69) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกรัก ชอบ พอใจ หรือเจตคติที่ดีของบุคคลท่ีมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการได้รับการตอบสนองความต้องการหรือความ คาดหวังในทางท่ีดีทั้งด้านวัตถุ และด้านจิตใจ เป็นความรู้สึกท่ีมีความสุขเมื่อได้รับความสำเร็จตามความ ต้องการหรอื แรงจูงใจ เสาวนีย์ สุริยาประภา (2547, หน้า 21) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกท่ีดี หรือมี ทัศนคติในทางทีด่ ีของบคุ คล ซงึ่ เกดิ จากการไดร้ ับการตอบสนองตามที่ตนเองตอ้ งการ อกนิษฐ์ กรไกร (2549, หน้า 48) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพ หรือระดับความพึง พอใจ

24 ท่ีมผี ลมาจากความสนใจ และเจตคติของบุคคลท่มี ีต่องานด้วย สรุปได้วา่ ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกชื่นชอบ พอใจ กระตือรอื ร้น ที่จะปฏิบัติกิจกรรม ให้ ประสบผลสำเรจ็ ตามจุดม่งุ หมายท่ีตงั้ ไว้ ดงั นน้ั ความพึงพอใจจงึ เป็นปจั จัยท่ีจะส่งผลให้การจัดการเรียนรู้ใน ชัน้ เรียนประสบผลสำเร็จตามจุดมงุ่ หมายทีต่ ้ังไว้ 5.2 แนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกับความพึงพอใจ นักการศึกษาสาขาต่าง ๆ ทำการศึกษาค้นคว้าและต้ังทฤษฎีเก่ียวกับแรงจูงใจในการทำงานไว้ ดงั น้ี สชุ า จันทน์เอม (2541, หนา้ 17) ได้เสนอแนวคดิ ในเร่ืองการจูงใจให้เกดิ ความพึงพอใจ ตอ่ การทำงานมีลกั ษณะ ดังนี้ 1. งานควรมีลักษณะมีส่วนร่วมสัมพันธ์กับความปรารถนาส่วนตัว งาน น้ันจะมี ความหมายสำหรบั ผู้ทำ 2. งานนัน้ ต้องมีการวางแผนและวดั ความสำเร็จ โดยใช้ระบบการทำงานและควบคุม ท่มี ีประสทิ ธิภาพ 3. เพอื่ ให้ไดผ้ ลในการจงู ใจภายในเป้าหมายของงาน จะตอ้ งมีลักษณะดังน้ี 3.1 คนทำงานมสี ว่ นรว่ มในการต้ังเปา้ หมาย 3.2 ผู้ปฏิบัตไิ ด้รบั ทราบผลสำเรจ็ ในการทำงานโดยตรง 3.3 งานนน้ั สามารถทำให้สำเร็จได้ สุดาทพิ ย์ บุษมงคล (2546, หน้า 49) ไดศ้ ึกษาธรรมชาติของมนุษย์ และไดอ้ ธบิ ายลกั ษณะ ของมนุษย์วา่ มี 2 ประเภท คือ 1. คนประเภท (X) มีลักษณะดงั ตอ่ ไปน้ี 1.1 สัญชาตญาณทจี่ ะหลกี เลีย่ งการทำงานทุกอยา่ งเทา่ ทจี่ ะทำได้ 1.2 ไมม่ ีความรบั ผดิ ชอบ 1.3 ชอบให้สง่ั การ 1.4 ไมม่ ีความคดิ ริเรมิ่ สร้างสรรค์ในการปรับปรงุ องค์กร 1.5 มีความปรารถนาให้ตอบสนองความต้องการด้านร่างกาย และความ ปลอดภยั 2. คนประเภท (Y) มีลักษณะดงั ต่อไปน้ี 2.1 ชอบทำงาน เห็นว่าการทำงานเปน็ ของสนกุ เหมือนการเลน่ หรอื การพักผอ่ น 2.2 มีความรบั ผดิ ชอบในการทำงาน 2.3 มีความทะเยอทะยาน และกระตอื รือร้น 2.4 สั่งการตนเอง และสามารถควบคุมตนเองได้ 2.5 มคี วามคิดริเร่มิ สรา้ งสรรคใ์ นการปรับปรุงงาน และองคก์ รพฒั นาวิธีทำงาน 2.6 ปรารถนาด้านเกียรติยศ ช่ือเสียง ความสมหวงั ในชวี ิต รักพงษ์ วงษ์ธานี (2546, หน้า 67) ได้เสนอทฤษฎีลำดับขั้นตอนของความต้องการ (Hierarchy of Needs) นับว่าเป็นทฤษฎีหนึ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ซ่ึงต้ังอยู่บนสมมติฐานท่ีว่า “มนุษย์ เรามีความต้องการอยู่เสมอไม่มีที่สิ้นสุด เม่ือความต้องการได้รับการตอบสนองหรือพึงพอใจอย่างใดอย่าง

25 หน่ึงแล้วความต้องการสิ่งอ่ืน ๆ ท่ีจะเกิดข้ึนมาอีก ความต้องการของคนเราอาจจะเกิดข้ึนซ้ำซ้อนกัน ความต้องการอยา่ งหนึ่งอาจยังไมห่ มดไป” ความตอ้ งการของมนษุ ยม์ ีลำดับขน้ั ดงั น้ี 1. ความต้องการทางดา้ นร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการพนื้ ฐาน ของมนุษย์ เน้นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ได้แก่ อาหาร อากาศ ท่ีอยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ความตอ้ งการผักผ่อน ความตอ้ งการทางเพศ 2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) ความม่ันคงในชีวิตท้ังที่เป็นอยู่ใน ปจั จุบนั และอนาคต ความเจรญิ ก้าวหนา้ อบอุน่ ใจ 3. ความตอ้ งการทางสังคม (Social Needs) เป็นส่ิงจงู ใจทสี่ ำคญั ตอ่ การเกดิ พฤติกรรม ต้องการใหส้ งั คมยอมรบั ตนเองเข้าเปน็ สมาชกิ ต้องการความเป็นมิตร ความรักจากเพ่อื นร่วมงาน 4. ความตอ้ งการมฐี านะ (Esteem Needs) มคี วามอยากเด่นในสงั คม มีชือ่ เสยี งอยากให้ บุคคลยกย่องสรรเสริญตนเอง อยากมีอสิ รเสรีภาพ 5. ความตอ้ งการที่จะประสบผลสำเร็จในชีวิต (Self - Actualization) เปน็ ความต้องการ ในระดับสูง อยากให้ตนเองประสบผลสำเร็จซกั อย่างในชีวติ ซึ่งเป็นไปไดย้ าก สุดาทิพย์ บษุ มงคล (2546, หนา้ 50 - 51) ไดท้ ำการศึกษาค้นคว้าทฤษฎที เ่ี ปน็ มูลเหตุทท่ี ำให้เกิด ความพึงพอใจในการทำงาน 2 ปจั จยั คือ 1. ปัจจัยกระตุ้น (Motivation Factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการงาน ซ่ึงมีผล ก่อให้เกิดความพึงพอใจในการทำงาน เช่น ความสำเร็จของงาน การได้รับการยอมรับนับถือลักษณะของ งาน ความรบั ผดิ ชอบ ความกา้ วหน้าในตำแหน่งการงาน 2. ปจั จยั ค้ำจุน (Hygiene Factors) เปน็ ปัจจยั ทเี่ ก่ียวขอ้ งกับส่ิงแวดลอ้ มในการทำงาน และมีหน้าท่ีให้บุคคลเกิดความพึงพอใจในการทำงาน เช่น เงินเดือน โอกาสที่จะก้าวหน้าในอนาคต สถานะของอาชพี สภาพการทำงาน เปน็ ต้น จากแนวคิดดังกลา่ ว เม่ือนำมาใชใ้ นกิจกรรมการเรียนรู้ ผลตอบแทนภายใน คือ ผลด้านความร้สู ึก ความสำเร็จท่ีเกิดขึ้นเม่ือสามารถเอาชนะความยุ่งยากต่าง ๆ และสามารถดำเนินงานภายใต้ความยุ่งยาก ท้ังหลายได้สำเร็จ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ ความม่ันใจตลอดจนได้รับการยกย่องจากบุคคลอื่น ส่วนผล ของการตอบแทนจากภายนอกจะเปน็ รางวัลท่ีบุคคลอ่ืนจัดหาให้มากกว่าท่ีตนเองให้ตนเอง เช่นการได้รับ การยกย่องชมเชย จากครูผู้สอน พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือแม้แต่การได้คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนใน ระดับท่นี ่าพอใจ 7.3 ปัจจัยที่เก่ียวข้องกับความพึงพอใจ สุชา จันทน์เอม (2541, หน้า 18 - 21) กล่าวว่า บุคคลจะมีความพึงพอใจต่อการทำงาน หรือกิจกรรมน้ันขน้ึ อยู่กบั การกระต้นุ ของสงิ่ จูงใจ 8 ประการ คอื 1. สิ่งจูงใจท่ีเป็นวัตถุ ได้แก่ เงินทอง ส่ิงของ เคร่ืองมือ เคร่ืองใช้สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับ การทำงาน 2. ส่ิงจงู ใจที่เป็นโอกาสของบคุ คล ได้แก่ ชื่อเสียง เกยี รตยิ ศ อำนาจวเิ ศษ ตำแหนง่ 3. สิ่งจูงใจที่เป็นสภาพ ได้แก่ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับ งาน 4. สิ่งจูงใจในอุดมคติ ได้แก่ ความพึงพอใจ ของบุคคลที่แสดงฝีมือ และความรู้สึกท่ีได้ ทำงานอยา่ งเต็มที่

26 5. สิ่งจูงใจท่ีเป็นความดึงดูดใจทางสังคม ได้แก่ ความสัมพันธ์ฉันมิตรในหมู่เพื่อนรว่ มงาน การยกย่องนบั ถอื ซึ่งกนั และกัน 6. ส่ิงจูงใจท่ีเป็นสภาพการทำงาน ได้แก่ การปรับปรุงวิถีการทำงานให้สอดคล้องกับ ความรู้ความสามารถ และใหส้ อดคล้องกบั ทัศนคตขิ องแต่ละบคุ คล 7. สิ่งจูงใจท่ีเป็นสภาพการทำงาน ได้แก่ การมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและมีส่วน รว่ มงานทกุ ชนดิ ท่ีหนว่ ยงานจดั ขนึ้ 8. สิ่งจงู ใจที่เปน็ สภาพการอยู่ร่วมกัน ได้แก่ ความพอใจของบุคคลท่ีได้อยรู่ ว่ มกับการรู้จัก กันอย่างกว้างขวาง ความสนิทสนมกลมเกลยี ว ความรว่ มมือในการทำงาน อกนิษฐ์ กรไกร (2549, หน้า 53) ได้กล่าวถึงการวัดความพึงพอใจไว้ว่า ในการวดั ความรู้สึก หรือการวดั ทัศนคติน้ันจะตอ้ งวัดออกมาประเมนิ ค่าความร้สู ึกไปในทางที่ดี ชอบหรอื พอใจ ส่วนทางลบ จะ เป็นการประเมินค่าความรู้สึกไปในทางที่ไม่ดี ไม่ชอบ หรือไม่พอใจ และการวัดในลักษณะปริมาณ (Magnitude) ซ่ึงเป็นความเข้มข้น ความรุนแรง หรือระดับทัศนคติไปในทิศทางท่ีพึงประสงค์ หรือไม่พึง ประสงค์นั้นเอง ซ่งึ วิธีการวัดนั้นมีอยู่หลายวิธี เช่น วิธีการสังเกต วิธีการสัมภาษณ์ วิธีการใช้แบบสอบถาม ซึง่ มีรายละเอยี ด ดงั น้ี 1. วิธีการสังเกต เป็นวิธีการใช้ตรวจสอบบุคคลอ่ืนโดยการเฝ้ามอง และจดบันทึกอย่างมี แบบแผน วิธีน้ันเป็นวิธกี ารศึกษาทเ่ี ก่าแก่ และยังเป็นท่ีนิยมใช้อย่างแพร่หลายจนถึงปัจจบุ ันแต่ก็เหมาะสม กบั การศกึ ษาเปน็ รายกรณเี ท่านั้น 2. วธิ กี ารสมั ภาษณ์ เป็นวธิ ีการท่ีผู้วจิ ัยจะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคยุ กับบคุ คลนั้น ๆ โดยการเตรียมแผนงานลว่ งหน้า เพือ่ ใหไ้ ด้ขอ้ มูลทเ่ี ปน็ จรงิ มากทสี่ ดุ 3. วิธีการใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) วิธีการนี้จะเป็นการใช้แบบสอบถามที่มี คำอธิบายไว้อย่างเรียบร้อย เพื่อให้ผู้ตอบทุกคนตอบมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มักใช้ในกรณีที่ต้องการ ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวนมากๆ วิธีน้ีนับเป็นวิธีท่ีนิยมใช้กันมากท่ีสุดในการวัดทัศนคติรูปแบบของ แบบสอบถามจะใช้มาตราวัดทัศนคติ ซ่ึงเป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบันวิธีหน่ึง คือ มาตราส่วนแบบลิเคิร์ท (Likert Scales) ประกอบด้วยข้อความท่ีแสดงถงึ ทัศนคติของบุคคลที่มีต่อส่ิงเร้าอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วมี คำตอบที่แสดงถึงระดับความรู้สึก 5 คำตอบ เช่น มากท่ีสุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด การศึกษาใน ครัง้ นี้ บุญชม ศรีสะอาด (2553, หน้า 74-54) ได้เสนอเครื่องมือท่ีใช้วัดความพึงพอใจ เช่น แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูล ประกอบด้วยชุดข้อคําถามที่ ต้องการ ให้กลุม่ ตัวอย่างตอบ โดยกาเครื่องหมายหรือเขียนตอบ หรือกรณีที่กลุ่มตวั อยา่ งอ่านหนงั สือ ไมไ่ ด้หรืออา่ น ไดย้ าก อาจใช้วิธกี ารสมั ภาษณ์ตามแบบสอบถาม นยิ มถามเก่ยี วกบั ข้อเท็จจริง ความ คดิ เหน็ ของบุคคล การวัดความพึงพอใจแบบมาตราส่วนประมาณค่ามี 5 ระดับ คือ พึงพอใจมากท่ีสุด ซ่ึง พอใจมาก พึงพอใจปานกลาง พึงพอใจน้อย พึงพอใจน้อยท่ีสุด โดยมี เกณฑ์การให้คะแนนตาม ระดับ ความพึงพอโจทั้ง 5 ระดับ ในการใช้แบบมาตราส่วนประมาณค่านั้น จะต้องรายงานผล การตอบของกลุ่ม ตัวอย่างของแต่ละข้อหรือแต่ละคน โดยภาพรวมว่ามีความพึง พอใจอยู่ในระดับใด จะต้องหาค่าเฉลี่ยของ กลุ่มในแต่ละข้อหรือแต่ละด้าน และโดยภาพรวมแล้วแปลความหมาย ค่าเฉล่ียอีกที การแปลความหมาย จะใช้เกณฑ์เป็นระบบเดียวกันกับระบบการให้คะแนน ในขั้น ต่อไปก็นำเอาข้อมูลมาจัดระบบ วิเคราะห์ แปลผลเพ่ือทจ่ี ะสรปุ และอ้างองิ ต่อไป

27 จากเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับความพึงพอใจพอสรุปได้ว่า ความพึงพอใจในการเรียนและ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนจะมีความสัมพันธ์กันทางบวก ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับกิจกรรมท่ีผู้เรียนได้ปฏิบัติน้ัน ทำให้ ผูเ้ รียนได้รบั การตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกาย และจิตใจ ซ่ึงเป็นส่วนสำคัญท่ีจะทำให้เกิดความ สมบูรณ์ของชีวิตมากน้อยเพียงใดน้ันก็คือ ส่ิงที่ครูสอนจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ในการ เสรมิ สรา้ งความพึงพอใจในการเรียนรู้ใหก้ ับผู้เรยี น ซึ่งผศู้ ึกษาได้นำหลักการสรา้ งความพงึ พอใจไปใช้ในการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้กีฬาวู้ดบอลข้ันพ้ืนฐาน เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้อย่างมี ความสุข และบรรลุจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิษณุ สุทธิวรรณ (2563) ศึกษาเร่ือง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตรโดยใชชุด กิจกรรมการเรียนรูประกอบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู(5Es) เรื่อง ลม ฟา อากาศของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปท่ี 5/2 โรงเรียนเทศบาลทาโขลง 1 การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1. เพ่ือพัฒนาชุด กิจกรรมการเรียนรูประกอบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es) เรื่อง ลมฟาอากาศ ใหมีประสิทธิภาพ 80/80 2. เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปท่ี 5/2 ท่ีไดรับการ จดั การเรยี นรูดวยชุดกิจกรรมการเรยี นรูประกอบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es) เรอ่ื ง ลมฟาอากาศ ตามเกณฑการเรียนแบบรอบรม นักเรียนช้ันประถมศึกษาปท่ี 5/2 จำนวน 34 คน ภาคเรียนท่ี 2 ป การศึกษา 2561 โรงเรียนเทศบาลทาโขลง 1 อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จากการศึกษาการ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 5/2 ภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2561 จำนวน 34 คน โรงเรียนเทศบาลทาโขลง 1 จังหวัดปทุมธานี ท่ีไดรับการจัดการเรียนรูโดยใชชุดกิจกรรม การเรยี นรูประกอบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู (5Es) เร่ือง ลมฟาอากาศ สามารถอภิปรายผลไดดงั นี้ 1. ประสิทธิภาพชุดกิจกรรม เรื่อง ลมฟาอากาศ ประกอบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es) พบวามีประสิทธิภาพชุดกิจกรรม (E1/E2) เทากับ 84.26/80.15 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกวาเกณฑวัตถุประ สงคท่ีต้ังไว คือ 80/80 ท้ังน้ีอาจเนื่องมาจากชุดกิจกรรมที่ผูวิจัยจัดทำข้ึนเปนกิจกรรที่เนนใหผูเรียนไดลง มอื ปฏิบัติจรงิ ทำใหนักเรยี นเกดิ ความสนใจ มคี วามกระตือรือรนในการเรียนและมคี วามเขาใจในการเรียน โดยใชชุดกิจกรรม ทำใหเม่ือทำกิจกรรมกรรมระหวางเรียน และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์มีคะแนน ประสิทธภิ าพสูงกวาเกณฑวัตถุประสงคที่ตั้งไว ซ่ึงสอดคลองกับงานวิจัยของ ธรี ะพงษ นามสงา (2550) ท่ี ใชชุดกิจกรรมในการจัดการเรียนรู พบวา การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใชชุดกิจกรรม มี ประสิทธิภาพตามเกณฑมาตรฐาน 82.50/85.33 ซ่ึงสูงกวาเกณฑมาตรฐาน ธนั วาวุฒิ ดังชัยภูมิ และวิษณุ สุทธิวรรณ (2562: 104-115) ไดพัฒนาชุดกิจกรรมชุดกิจกรรม เร่ือง เซลลของสิ่งมีชีวิต พบวา ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม มีคาเทากับ 80.52/81.35ซึ่งสูงกวาเกณฑมาตรฐาน และอรวรรณ มันใส และพจนีย เสง่ียมจิตต(2557) ไดสรางและพัฒนาชุดการสอนกลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร พบวาชุด การสอนมีประสิทธภิ าพเทากับ 84.42/83.33ซึง่ สงู กวาเกณฑมาตรฐาน 2. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปที่ 5/2 โรงเรยี นเทศบาลทาโขลง1 ท่ีไดรับ การจัดการเรียนรูโดยใชชุดกิจกรรมประกอบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es) เร่ืองลมฟาอากาศ พบวานักเรียน จำนวน 30 คน (รอยละ 88.33) มีคะแนนทดสอบกอนเรียนมีคาเฉล่ียและสวนเบ่ียงเบน มาตรฐาน 8.30 และ 2.63 ตามลำดับ ไมผานเกณฑการเรียนแบบรอบรูและคะแนนทดสอบหลังเรียนของ นักเรียนโดยใชชุดกิจกรรม ประกอบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es) เรื่อง ลมฟาอากาศ นักเรียน

28 จำนวน 34 คน (รอยละ 100) มีคะแนนเฉลี่ยและสวนเบ่ียงเบน 11 วารสารการบริหารนิติบุคคลและ นวัตกรรมท้องถิ่นปีที่ 6 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2563) มาตรฐานเทากับ 16.03 และ 2.22 ตามลำดับ ผานเกณฑการเรียนแบบรอบรูซึ่งเปนไปตาม สมมติฐานฐานที่ตั้งไว แสดงใหเห็นวาหลังจาก ทก่ี ลุมเปาหมายไดรับการสอนโดยใชชุดกิจกรรม เร่ือง ลมฟาอากาศ คะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เพ่ิมข้ึน ท้ังนี้อาจเน่ืองมาจากชุดกิจกรรมที่ผูวิจัย จัดทำขึ้นเปนกิจกรรมใหเนนผูเรียนไดลงมือปฏิบัติตามที่ ไดจัดไวในชุดกิจกรรม มีการเนนใหผูเรียน ไดฝกใชทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร ทักษะ กระบวนการคิด การสืบเสาะหาความรูคนหา ขอมูลดวยตนเอง เปดโอกาสใหผูเรียนไดใชความสามารถ ตามความตองการของตนเอง ชวยใหทุกคน ประสบความสำเร็จในการเรียนรู ฝกการตัดสินใจแสวงหา ความรูดวยตนเอง ผูเรียนไดเรียนรูตามความสามารถ ความสนใจ ตามเวลา และโอกาสที่เหมาะสมของแต ละคน นอกจากนีช้ ดุ กิจกรรมยังสามารถนำไปใชไดทุกสถานที่และทกุ เวลา อีกทั้งยงั สามารถเปนการเตรียม ความพรอมใหครูผูสอนเพราะชุดกิจกรรมผลิตไวเปนหมวดหมูสามารถนำไปใชไดทันที อีกทั้งยังมีเน้ือหา ความรู แบบบันทึกกิจกรรม พรอมเฉลย อยูในชุดกิจกรรม สอดคลองกับงานวิจัยของ ธันวาวุฒิ ดังชัยภูมิ และวิษณสุ ทุ ธิวรรณ (2562: 104-115) จรยี า ศรสี ดุ ดี (2550), และปติภทั ร กจิ บำรงุ (2561: 61-71) ท่ไี ด ทำการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรียนที่เรยี นโดยใชชุดกิจกรรมพบวา ผลสมั ฤทธ์ิทางการ เรยี นของนักเรยี นทเี่ รยี นโดยใชชุดกจิ กรรม มีผลสัมฤทธิ์หลังเรยี นสงู กวากอนเรยี นอยางมีนยั สำคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05

บทที่ 3 วธิ ีดำเนินการวจิ ยั การวิจัยครั้งน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือการการพัฒนาทักษะการจำแนกชนิดของเมฆโดยใช้ แผนการเรยี นรู้ โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 จงั หวัดเชยี งใหม่ ผวู้ ิจยั ได้ดำเนนิ การศกึ ษาตามลำดับหวั ข้อตอ่ ไปน้ี 1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 2. ระยะเวลาทใี่ ช้ในการศึกษา 3. รปู แบบของการศึกษา 4. เครอื่ งมอื ที่ใชใ้ นการศกึ ษา 5. การสรา้ งและหาคุณภาพเครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวิจยั 6. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 7. การวิเคราะห์ขอ้ มูล 8. สถติ ิที่ใช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล 1. ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวนนักเรยี นทัง้ หมด 130 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 29 คน ได้มาโดยการเลือก แบบเจาะจง (Purposive sampling) โดยใช้จำนวนประชากรท้ังหมดเปน็ กลุ่มตัวอย่าง 2. ระยะเวลาที่ใชใ้ นการศกึ ษา ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาคือ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 รวมระยะเวลา 2 ช่ัวโมง วันท่ี 13 มกราคม พ.ศ. 2564

30 3. รูปแบบของการศึกษา การศึกษาครั้งนี้ใช้รูปแบบการทดลองกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง (One Group Post- test Design) (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2548, หน้า 216) โดยมีแบบแผนการทดลองดัง ตารางที่ 1 ตารางที่ 3.1 แบบแผนการทดลองกล่มุ เดยี วทดสอบก่อนและหลัง (One Group Post-test Design) กลุม่ ทดลอง Pre-test Treatment Post-test X T1 T2 T1 แทน ทดสอบก่อนการทดลอง (Pre-test) X แทน การสอนโดยใช้แผนการจดั การเรยี นรู้ T2 แทน ทดสอบหลังได้รบั การทดลอง (Post-test) 4. เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการศึกษา การวจิ ยั ในครั้งน้มี เี ครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย 2 ประเภท ดังนี้ 1. เครื่องมือท่ีใชใ้ นการทดลอง ไดแ้ ก่ 1.1 แผนการจดั การเรียนรู้หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 เรอ่ื ง เมฆและหมอก ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1/5 2. เครือ่ งมือทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 2.1 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรื่องเมฆและหมอก 2.2 แบบประเมินทกั ษะการจำแนกชนดิ เมฆ 2.3 แบบสอบถามความพงึ พอใจในการเรยี น 5. การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครอื่ งมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย การวิจัยในคร้ังนี้มีการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ตามประเภทของ เคร่ืองมือ แบ่งออกเป็น 4 แบบ ดังน้ี 1) แผนการจัดการเรยี นรู้หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง เมฆและหมอก ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 มขี ั้นตอนการการสร้างและหาคณุ ภาพ ดงั นี้ 1.1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการ เรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด คู่มือ ตำรา เอกสาร และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดทำ แผนการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง เมฆและหมอกของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1/5 เพอ่ื ทราบขอบข่ายและแนวทางในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้

31 1.2) เลือกหน่วยการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะการจำแนกชนิดเมฆ และสร้างแผนการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง เมฆและหมอก ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1/5 จำนวน 1 แผน แผนละ 2 ช่ัวโมง มีรายละเอียดโครงสร้างของแผนการจัดการ เรยี นรู้ ดงั นี้ ตารางท่ี 3.2 โครงสร้างของแผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 1/5 หน่วยการเรียนรู้ แผนการ เนื้อหาสาระ ระยะเวลา จัดการเรยี นรู้ 1. บรรยากาศ 1 เมฆและหมอก 2 ชั่วโมง รวม 2 ชวั่ โมง 1.3) นำร่างแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีสร้างเสนอต่อหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และเหมาะสมตามหลักการของการจัดทำ แผนการจัดการเรียนรู้ แลว้ นำมาปรบั ปรงุ แกไ้ ขตามคำชแี้ นะ 1.4) นำแผนการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง เมฆและหมอก ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 ที่แก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เช่ียวชาญ จำนวน 3 คน ซ่ึงเป็นครูที่มี ประสบการณ์ทำงานมากกว่า 10 ปีขน้ึ ไป เพ่ือตรวจสอบความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนร้แู ละ ประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ ตามแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบมาตรา ส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด โดยใช้ เกณฑ์ค่าเฉลี่ย 3.51 ข้ึนไป ถือว่าใช้ได้ เป็นเกณฑ์ตัดสินว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีคุณภาพ โดยมี เกณฑ์การพจิ ารณาดังนี้ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545) ระดบั คะแนนเฉลยี่ 4.51 – 5.00 หมายถงึ มีความเหมาะสมมากที่สุด ระดบั คะแนนเฉล่ีย 3.51 – 4.50 หมายถงึ มีความเหมาะสมมาก ระดบั คะแนนเฉลยี่ 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความเหมาะสมปานกลาง ระดบั คะแนนเฉลีย่ 1.51 – 2.50 หมายถงึ มีความเหมาะสมน้อย ระดับคะแนนเฉลย่ี 1.00 – 1.50 หมายถึง มคี วามเหมาะสมน้อยท่สี ุด 1.5) นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญท้ัง 3 คน เพ่ือหาค่าเฉลี่ยที่เหมาะสมโดยค่า ดัชนีความสอดคล้อง (Item Objective Congruency Index: IOC) ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป จึงจะนำไปใช้ใน การจัดการเรียนการสอนได้ ซ่ึงผลการหาค่าดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้มีค่า เท่ากบั 0.67 – 1.00

32 1.6) นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญให้เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีสมบูรณ์ เพ่ือนำไปใช้สอนกับกลุ่ม ตัวอย่างต่อไป 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 มีข้ันตอนการการสรา้ งและหาคุณภาพ ดังน้ี 3.1) ศึกษาตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และวิธีตรวจสอบหาคุณภาพของแบบทดสอบ เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดทำ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์ เร่อื งเมฆและหมอก 3.2) วิเคราะห์เน้ือหา จุดประสงค์การเรียนรู้ มาตราฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด รายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องเมฆและหมอก ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 เพื่อนำเนื้อหามาสร้างแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น 3.2) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เร่ืองเมฆ และหมอก ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 ปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก โดยครอบคลุมเนื้อหาและ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ จำนวน 40 ขอ้ และใช้จริง 20 ข้อ 3.3) นำร่างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่สร้างเสนอต่อหัวหน้ากลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และทคโนโลยี เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และเหมาะสมตามหลักการ ของการจัดทำแบบทดสอบ แล้วนำมาปรบั ปรุงแกไ้ ขตามคำชแี้ นะ 3.4) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีแก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ซ่ึงเป็นครูที่มีประสบการณ์ทำงานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป เพ่ือตรวจความสอดคล้อง ระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ เพ่ือนำผลมาวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Item Objective Congruency Index: IOC) ซ่ึงผลการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นมีคา่ เท่ากบั 0.67 – 1.00 3.5) นำแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนทีผ่ า่ นการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ แล้ว จำนวน 20 ข้อ ไปทดลองใช้ (Try-out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 จังหวดั เชียงใหม่ จำนวน 20 คน ท่เี คยเรยี นเนื้อหานมี้ าแลว้ 3.6) นำกระดาษคำตอบของนักเรียนมาตรวจให้คะแนน โดยข้อใดตอบถูกให้ 1 คะแนน ข้อใดตอบผิดให้ 0 คะแนน รวมคะแนนแต่ละคนแล้วนำมาวิเคราะห์ข้อสอบเป็นรายข้อ เพื่อ นำมาวเิ คราะหห์ าคา่ ความยากง่าย (P) ค่าอำนาจจำแนก (r) และค่าความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบ (บุญ ชม ศรีสะอาด, 2545) ภายหลังการวิเคราะห์พบว่าค่าความยากง่ายเท่ากับ 0.20 – 0.70 ค่าอำนาจ จำแนกเท่ากับ 0.20 – 0.70 และคา่ ความเชื่อม่ันเทา่ กบั 0.86 3.7) จัดทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องเมฆ และหมอก ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 1/5 สมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้กบั กลุม่ ตวั อย่างต่อไป

33 4) แบบประเมินทักษะการจำแนกวรรณะของสี มีข้ันตอนการการสร้างและหาคุณภาพ ดงั นี้ 4.1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการ เรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชี้วัด คู่มือ ตำรา เอกสาร และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการสรา้ งแบบ ประเมินทกั ษะการจำแนกชนิดของเมฆ 4.2) สร้างแบบประเมนิ ทักษะการจำแนกชนิดของเมฆ ซ่ึงมลี ักษณะเป็นแบบมาตรา ส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยท่ีสุด โดยใช้ เกณฑ์ค่าเฉล่ีย 3.51 ข้ึนไป ถือว่าใช้ได้ เป็นเกณฑ์ตัดสินว่านักเรียนมีแบบประเมินทักษะการจำแนก วรรณะของสี โดยมีเกณฑก์ ารพิจารณาดงั น้ี ระดบั คะแนนเฉล่ยี 4.51 – 5.00 หมายถงึ มีทกั ษะดีเย่ยี ม ระดับคะแนนเฉลย่ี 3.51 – 4.50 หมายถึง มที ักษะดี ระดับคะแนนเฉลย่ี 2.51 – 3.50 หมายถงึ มที กั ษะปานกลาง ระดบั คะแนนเฉล่ยี 1.51 – 2.50 หมายถึง มที กั ษะพอใช้ ระดบั คะแนนเฉลยี่ 1.00 – 1.50 หมายถึง มีทกั ษะปรับปรุง 4.3) นำร่างแบบประเมินทักษะที่สร้างเสนอต่อหัวหน้ากลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพ่ือตรวจสอบความถูกต้อง และเหมาะสมตามหลักการของการ จัดทำแบบประเมนิ ทักษะ แล้วนำมาปรับปรงุ แก้ไขตามคำช้ีแนะ 4.4) นำแบบประเมินทักษะที่แก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ซ่ึงเป็น ครูท่ีมีประสบการณ์ทำงานมากกวา่ 10 ปีขึ้นไป เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของแบบประเมินทักษะ ตามแบบประเมินความเหมาะสม ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด โดยใช้เกณฑ์ค่าเฉล่ีย 3.51 ขึ้นไป ถือว่าใช้ได้ เป็นเกณฑ์ตัดสินว่าแบบประเมินทักษะมีคุณภาพ โดยมีเกณฑ์การพิจารณาดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ระดบั คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมมากที่สุด ระดบั คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความเหมาะสมมาก ระดบั คะแนนเฉลย่ี 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความเหมาะสมปานกลาง ระดับคะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถงึ มีความเหมาะสมนอ้ ย ระดบั คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความเหมาะสมนอ้ ยที่สดุ 4.5) นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญท้ัง 3 คน เพ่ือหาค่าเฉล่ียท่ีเหมาะสมโดยค่า ดัชนีความสอดคล้อง (Item Objective Congruency Index: IOC) ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป จึงจะนำไปใชใ้ น การประเมินทักษะของนักเรียนได้ ซ่งึ ผลการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบประเมินทักษะ มีค่าเทา่ กบั 0.67 – 1.00

34 4.6) นำแบบประเมินทักษะที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เช่ียวชาญแล้ว ไปทดลองใช้ (Try-out) กับนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชยี งใหม่ จำนวน 20 คน ทีเ่ คยเรยี นเน้ือหาน้มี าแลว้ 4.7) นำผลการแบบประเมินทักษะของนักเรียนมาวิเคราะห์หาค่าความเช่ือม่ันของ แบบประเมนิ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545) ภายหลงั การวเิ คราะหพ์ บวา่ คา่ ความเชือ่ มั่นเทา่ กับ 0.89 4.8) จัดทำแบบประเมินทักษะการจำแนกชนิดของเมฆ เพื่อนำไปใช้กับกลุ่ม ตัวอยา่ งต่อไป 5) แบบสอบถามความพงึ พอใจในการเรียน มีข้ันตอนการการสรา้ งและหาคุณภาพ ดังนี้ 5.1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการ เรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด คู่มือ ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง แบบสอบถามความพงึ พอใจในการเรียน 5.2) สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียน ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบมาตรา ส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ คือ มากท่ีสุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด โดยใช้ เกณฑ์ค่าเฉลี่ย 3.51 ขึ้นไป ถือว่าใช้ได้ เป็นเกณฑ์ตัดสินว่านักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียน โดยมี เกณฑก์ ารพิจารณาดงั น้ี (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545) ระดับคะแนนเฉลยี่ 4.51 – 5.00 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจมากที่สดุ ระดบั คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจมาก ระดบั คะแนนเฉล่ยี 2.51 – 3.50 หมายถึง มคี วามพึงพอใจปานกลาง ระดบั คะแนนเฉลีย่ 1.51 – 2.50 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจน้อย ระดับคะแนนเฉลยี่ 1.00 – 1.50 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจนอ้ ยที่สุด 5.3) นำร่างแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนที่สร้างเสนอต่อหัวหน้ากลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และเหมาะสมตามหลักการ ของการจัดทำแบบประเมนิ ทักษะ แล้วนำมาปรับปรงุ แกไ้ ขตามคำชแ้ี นะ 5.4) นำแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนท่ีแก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ซ่ึงเป็นครูที่มีประสบการณ์ทำงานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป เพื่อตรวจสอบความเหมาะสม ของแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียน ตามแบบประเมินความเหมาะสม ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยท่ีสุด โดยใช้เกณฑ์ค่าเฉลี่ย 3.51 ขึ้นไป ถือว่าใช้ได้ เป็นเกณฑ์ตัดสินว่าแบบประเมินทักษะมีคุณภาพ โดยมี เกณฑ์การพจิ ารณาดงั นี้ (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545) ระดับคะแนนเฉลีย่ 4.51 – 5.00 หมายถงึ มีความเหมาะสมมากทีส่ ุด ระดบั คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง มคี วามเหมาะสมมาก ระดบั คะแนนเฉลย่ี 2.51 – 3.50 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมปานกลาง

35 ระดับคะแนนเฉลย่ี 1.51 – 2.50 หมายถงึ มีความเหมาะสมนอ้ ย ระดบั คะแนนเฉลยี่ 1.00 – 1.50 หมายถึง มคี วามเหมาะสมน้อยท่ีสุด 5.5) นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 คน เพื่อหาค่าเฉล่ียท่ีเหมาะสมโดยค่า ดัชนีความสอดคล้อง (Item Objective Congruency Index: IOC) ต้ังแต่ 0.5 ข้ึนไป จึงจะนำไปใช้ใน การสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนได้ ซึ่งผลการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบ ประเมนิ ทักษะมคี า่ เท่ากบั 0.67 – 1.00 5.6) นำแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนท่ีผ่านการตรวจสอบจาก ผู้เชี่ยวชาญแล้ว ไปทดลองใช้ (Try-out) กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 จงั หวัดเชยี งใหม่ จำนวน 20 คน ท่เี คยเรียนเนอ้ื หานี้มาแลว้ 5.7) นำผลการแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนมาวิเคราะห์หาค่าความ เชื่อม่ันของแบบประเมิน (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ภายหลังการวิเคราะห์พบว่าค่าความเชื่อม่ัน เท่ากบั 0.89 5.8) จัดทำแบบสอบถามความพงึ พอใจในการเรียนฉบับสมบูรณ์ เพ่ือนำไปใช้กับกลุ่ม ตวั อยา่ งตอ่ ไป 6. การเก็บรวบรวมข้อมลู ผศู้ กึ ษาวจิ ยั ไดด้ ำเนนิ การทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูลตามลำดับขั้นตอน ดงั น้ี 6.1 ผู้วิจัยทำหนังสือขออนุญาตผู้บริหารโรงเรียน ทำความเข้าใจกับครูและนักเรียน ใน โรงเรียน และแจง้ วัตถปุ ระสงค์กับนักเรยี นกลุม่ ตัวอย่าง 6.2 ผู้วจิ ัยดำเนินการทดสอบกอ่ นเรียน (Pre-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนที่ผู้วิจัยสรา้ งขึ้นคือ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จำนวน 20 ข้อ ใชเ้ วลา 1 ช่วั โมง 6.3 ผู้วิจัยดำเนินการสอนด้วยตนเอง ตามแผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้น มัธยมศึกษาปที ี่ 1/5 จำนวน 1 แผน ซงึ่ ผวู้ จิ ัยสรา้ งขน้ึ จนครบพร้อมประเมินทักษะการจำแนกชนดิ ของ เมฆ 6.4 ผู้วิจัยดำเนินการทดสอบหลังเรียน (Post-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นฉบับเดียวกันกบั ท่ีใช้ในการทดสอบกอ่ นเรยี น 6.5 ผู้วิจัยดำเนินการประเมินความพึงพอใจในการเรียนของนักเรียน โดยการสอบถาม นกั เรียน ตามแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรยี น 7. การวิเคราะห์ข้อมลู ผ้วู จิ ัยไดด้ ำเนินการวเิ คราะห์ข้อมลู ดงั ต่อไปน้ี 7.1 หาค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลการเรียนรู้ประเด็นทักษะการจำแนกชนิด ของเมฆ โดยใชเ้ กณฑค์ า่ เฉลยี่ 3.51 ข้ึนไป เปน็ เกณฑ์ตัดสินว่านกั เรยี นมีทกั ษะการจำแนกชนดิ ของเมฆ

36 7.2 หาค่าเฉลยี่ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของผลการเรียนรู้ประเดน็ ความพึงพอใจนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โดยภาพรวมและรายด้าน 5 ด้านได้แก่ ด้านเน้ือหา ด้านการจัดกิจกรรมการ สอน ด้านส่อื การ เรียนการสอน ดา้ นการวัดผลการประเมนิ ผล และดา้ นประโยชนท์ ่ีไดร้ บั จากการเรยี น การสอน หลงั เรียนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เกณฑ์คา่ เฉล่ีย 3.51 ข้ึนไป เป็นเกณฑ์ตัดสินว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในการเรยี น 7.3 วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องงานชนิดของ เมฆ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 ก่อนและหลังเรียน ด้วยการวิเคราะห์ความแตกต่างของ ค่าเฉล่ยี โดยใช้ คา่ t (Paired Sample t Test) กำหนดนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับ .05 8. สถิตทิ ่ใี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ประกอบด้วย สถติ ิพ้ืนฐานในการวเิ คราะห์ข้อมูล สถิติทีใ่ ช้ในการ ทดสอบสมมตฐิ าน สถติ ิที่ใชใ้ นการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย ซง่ึ ผูว้ จิ ัยไดใ้ ช้โปรแกรมสำเรจ็ รูป ทางสถติ ิ (SPSS) ในการวเิ คราะห์ข้อมลู มรี ายละเอยี ดดังนี้ 8.1 สถิตพิ ้นื ฐานในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ 8.1.1 รอ้ ยละ (Percentage) ใชส้ ูตรดงั นี้ (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545, หนา้ 104) P = f x 100 n เม่อื P แทน ร้อยละ f แทน ความถี่ท่ีต้องการเปลี่ยนใหเ้ ป็นร้อยละ n แทน จำนวนความถ่ที ้ังหมด 8.1.2 ค่าเฉลีย่ (Mean) ของคะแนนใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2545, หน้า 105)  = x N เม่อื  แทน ค่าคะแนนเฉลย่ี ของประชากร  x แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมดในประชากร N แทน จำนวนนกั เรยี นในประชากร

37 8.1.3 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตรดงั นี้ (บุญชม ศรี สะอาด, 2545, หนา้ 106) = N  2 − ( )2 N (N −1) เมอื่  แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน  แทน คะแนนของนักเรียนแตล่ ะคน   2 แทน ผลรวมคะแนนแต่ละคนยกกำลงั สอง (  )2 แทน ผลรวมคะแนนทัง้ หมดยกกำลังสอง N แทน จำนวนนักเรียนในประชากร 8.2 สถติ ิทีใ่ ช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ 8.2.1 สถิติท่ใี ชเ้ ปรียบเทยี บความแตกตา่ งผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน ของนักเรียนก่อน เรียนและหลงั เรียน โดยใช้สถติ ิ t - test (Dependent Samples) มีสูตรดงั นี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545, หนา้ 112) t = D , df = N – 1 ND2 − (D)2 N −1 เมื่อ df แทน คา่ สถติ ทิ จ่ี ะใชเ้ ปรียบเทียบกับค่าวกิ ฤต t แทน การแจกแจงแบบที D แทน ความแตกต่างของคะแนนหลังเรยี นและก่อนเรยี น N แทน จำนวนกล่มุ ตัวอย่าง 8.3 สถติ ิที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพเครอื่ งมือวิจัย ได้แก่ 8.3.1 การหาค่าความเทย่ี งตรง (Validity) ใชส้ ูตรดัชนคี ่าความสอดคล้อง IOC (Index of Item Objective) (พสิ ณุ ฟองศรี, 2551, หนา้ 179) IOC = R N เมอื่ IOC แทน ดัชนคี า่ ความสอดคล้องระหว่างจดุ ประสงค์กบั เน้ือหา หรือขอ้ สอบกับจุดประสงค์ R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผู้เชี่ยวชาญทัง้ หมด N แทน จำนวนผเู้ ชยี่ วชาญทง้ั หมด

38 8.3.2 การหาค่าความยากง่าย (Difficulty) ใช้สูตรดงั น้ี (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545, หน้า 84) P= R N เมือ่ P แทน ค่าความยากงา่ ย R แทน จำนวนผู้ตอบถูกทง้ั หมด N แทน จำนวนผู้เข้าสอบทง้ั หมด หน้า 84) 8.3.3 การหาค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ใช้สูตรดังน้ี (บุญชม ศรีสะอาด, 2545, r = RU − RL f เมอ่ื r แทน คา่ อำนาจจำแนก RU แทน จำนวนคนทต่ี อบถูกในกล่มุ สงู RL แทน จำนวนคนที่ตอบถูกในกลุ่มตำ่ f แทน จำนวนคนในกลุม่ สงู หรือกล่มุ ต่ำ 8.3.4 การหาคา่ ความเชื่อมัน่ (Reliability) ใชส้ ตู รการคำนวณ KR-20 (Kuder- Richaedson Formular 20) ของ Kuder-Richaedson ดังนี้ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545, หนา้ 89) =rtt k k 1 1 − pq  − s2  เมอื่ rtt แทน ค่าความเช่ือม่นั k แทน จำนวนขอ้ สอบของแบบทดสอบทั้งหมด แทน สัดส่วนจำนวนคนที่ทำข้อสอบได้ทั้งหมด p แทน 1- p แทน ค่าความแปรปรวน q s2 โดยที่ s2 = ( )Nx2 − x2 N(N −1) เม่ือ x แทน จำนวนคะแนนของผทู้ ำข้อสอบ N แทน จำนวนผูท้ ำแบบทดสอบ

39 8.3.5 หาคา่ อำนาจจําแนกของแบบสอบถามรายข้อ โดยการหาค่าสัมประสทิ ธิ์ สหสัมพนั ธ์ อย่างง่ายระหว่างคะแนนรายข้อกันคะแนนรวม (Item Total Correlation) โดยใชส้ ตู ร Ferguson (Ferguson, 1981) ดงั น้ี NXY- X y rxy = [NX2 - (X)2][ Ny2 - (y)2] เมื่อ rxy แทน สมั ประสทิ ธิส์ หสมั พนั ธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกบั คะแนนรวม X แทน ผลรวมของคะแนนรายข้อ (Item) ของกลุ่มตัวอยา่ ง y แทน ผลรวมของคะแนนรวม (Total) ของกลมุ่ ตัวอย่าง X2 แทน ผลรวมของคะแนนรายขอ้ แต่ละตัวยกกาํ ลังสอง y2 แทน ผลรวมของคะแนนรวมทกุ ข้อแต่ละตวั ยกกําลงั สอง XY แทน ผลรวมของผลคณู ระหว่างคะแนนรายข้อกบั คะแนนรวมทกุ ข้อของทุกคน N แทน จำนวนกลมุ่ ตัวอย่าง 8.3.6 สถติ ิทีใ่ ช้หาคา่ ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความพึงพอใจ ใช้วธิ ีการหาค่า สัมประสิทธแิ์ อลฟ่า (Alpha-coefficient) ใช้วิธขี องครอนบาค (Cronbach) โดยใช้สตู ร (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2548, หน้า 200)  = nn-1 1 - St2Si2 เมอ่ื  แทน คา่ ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามท้ังฉบบั n แทน จำนวนขอ้ สอบของแบบสอบถาม St2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมทั้งฉบับ S12 แทน ผลรวมของคา่ ความแปรปรวนรายขอ้

บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู การพัฒนาทักษะการจำแนกชนิดเมฆโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ท่ี 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ทีใ่ ชใ้ นการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู 2. ลำดบั ขั้นตอนในการเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 3. ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล สญั ลกั ษณท์ ่ีใชใ้ นการเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ในการวิจัยในครั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในการแปลความหมายของผลการวิเคราะห์ ขอ้ มูล ผู้วจิ ยั จงึ ไดก้ ำหนดสัญลกั ษณ์ทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู ดังนี้ N แทน จำนวนนักเรยี น  แทน ค่าเฉล่ยี (Mean)  แทน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) t แทน สถติ ิทดสอบท่ีใชใ้ นการพิจารณา t - test ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนนิ การวิเคราะหข์ อ้ มลู ตามลำดบั ขัน้ ตอน ดังต่อไปนี้ ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้แผนการ จัดการเรียนรู้ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1/5 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชยี งใหม่ ตอนท่ี 2 ผลการศึกษาการพัฒนาทักษะการจำแนกชนิดเมฆโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ของ นกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1/5 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชยี งใหม่ ตอนที่ 3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เมฆและหมอก นกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 จงั หวัดเชยี งใหม่ ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลครัง้ นีผ้ วู้ จิ ยั ได้วิเคราะห์ข้อมลู ตามความมงุ่ หมายการวจิ ยั ดงั ตอ่ ไปนี้ ตอนท่ี 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้ใช้แผนการ จัดการเรียนรู้ ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 1/5 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 จงั หวัดเชียงใหม่ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์เพ่ือผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้ แผนการจัดการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัด เชียงใหม่ โดยมีผลคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนดังตารางท่ี 4.1 และวิเคราะห์การเปรียบเทียบ คา่ เฉลย่ี โดยใช้สถติ ิ t - test (Dependent Samples) ซง่ึ ปรากฏผลดังตารางท่ี 4.2

41 ตารางท่ี 4.1 คะแนนการทดสอบผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรยี นและหลงั เรยี น คนที่ คะแนนกอ่ นเรยี น คะแนนหลังเรียน ความแตกต่างของคะแนนหลัง ผลการทดลอง เรียนและกอ่ นเรียน (D) 16 12 6 เพม่ิ ขน้ึ 25 13 8 เพิ่มขึน้ 37 12 5 เพม่ิ ข้นึ 48 14 6 เพ่มิ ขึ้น 59 16 7 เพิ่มข้ึน 6 12 18 6 เพ่ิมขน้ึ 7 10 15 5 เพม่ิ ขน้ึ 89 13 4 เพ่ิมขน้ึ 98 14 6 เพิ่มขน้ึ 10 13 15 2 เพิ่มขึ้น 11 5 10 5 เพม่ิ ขน้ึ 12 6 11 5 เพม่ิ ขึ้น 13 8 14 6 เพิ่มขึ้น 14 6 12 6 เพิ่มขึ้น 15 5 13 8 เพิ่มขึน้ 16 7 12 5 เพม่ิ ขน้ึ 17 8 14 6 เพม่ิ ขน้ึ 18 9 16 7 เพิ่มขน้ึ 19 12 18 6 เพม่ิ ขน้ึ 20 8 14 6 เพ่ิมขนึ้ 21 13 15 2 เพิ่มขน้ึ 22 5 10 5 เพิ่มขน้ึ 23 12 18 6 เพิ่มข้ึน 24 10 15 5 เพิ่มข้นึ 25 9 13 4 เพิ่มขึ้น 26 6 11 5 เพิ่มขึ้น 27 8 14 6 เพม่ิ ขน้ึ 28 13 15 2 เพม่ิ ข้ึน 29 5 10 5 เพม่ิ ขึ้น จากตาราง 4.1 พบว่า นักเรียนมีคะแนนการทดสอบผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพ่ิมข้ึน จำนวน 29 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 100

42 ตารางท่ี 4.2 ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คา่ สถิติทดสอบที และระดับนัยสำคญั ทางสถิตใิ นการ ทดสอบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ของนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 1/5 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวัดเชยี งใหม่ การทดสอบ จำนวนนกั เรยี น คะแนนเตม็   t Sig กอ่ นเรียน 29 20 8.17 2.59 12.467 .000* หลังเรยี น 29 20 13.58 2.23 * มนี ัยสำคัญทางสถติ ิทรี่ ะดับ .05 จากตาราง 4.2 พบว่า การทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 8.17 และคะแนนเฉลี่ย หลังเรยี นเทา่ กับ 13.58 และเม่ือเปรียบเทยี บความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรยี นและหลงั เรียน พบว่า คะแนนสอบของนักเรียนหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 แสดงว่านักเรียน มพี ฒั นาการทางการเรยี นรู้รายวชิ าศิลปศึกษามีแนวโนม้ ในทศิ ทางทส่ี งู ขึน้ ตอนท่ี 2 ผลการศึกษาทกั ษะการจำแนกชนิดของเมฆโดยใชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้ ของ นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1/5 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 จังหวดั เชยี งใหม่ ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาทักษะการจำแนกชนิดของเมฆโดยใช้แผนการจัดการเรียนรรู้เร่ืองเมฆและ หมอก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ โดย ครูผู้สอนเป็นผู้ประเมินทักษะการจำแนกชนิดเมฆ ขณะเรียนโดยใช้แผนการจดั การเรียนรู้ ช้ันมัธยมศึกษา ปีที่ 1/5 ซ่งึ ปรากฏผลดังตารางท่ี 4.3 ตารางท่ี 4.3 แสดงผลการศึกษาทกั ษะการจำแนกชนดิ ของเมฆโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรือ่ งเมฆและ หมอกของนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1/5 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวดั เชียงใหม่ (N=12) รายการประเมนิ ระดับ   การปฏบิ ตั ิ 1) อธบิ ายการเกดิ เมฆได้ 3.75 0.75 ดี 2) ระบชุ นิดของเมฆได้ 3.58 0.79 ดี 3) บอกกระบวนการเกิดฝนได้ 3.67 3.50 ดี 4) วัดปรมิ าณน้ำฝนด้วยเครื่องมือที่สร้างได้ 3.50 0.90 ปานกลาง คา่ เฉล่ียรวม 3.63 1.49 ดี

43 จากตารางที่ 4.3 พบวา่ นักเรียนทีเ่ รยี นโดยใช้แผนการจัดการเรยี นรู้ เร่ืองเมฆและหมอก มีทกั ษะ การจำแนกชนิดของเมฆ โดยภาพรวมอยใู่ นระดับดี (  =3.63,  =1.49) เม่ือพิจารณาแยกตามรายการ ประเมิน ผลปรากฏวา่ รายการท่มี ีคา่ เฉล่ียสงู สุดคอื นักเรียนสามารถอธบิ ายการเกิดเมฆได้ได้ถูกต้อง (  =3.75,  =0.75) นักเรยี นสามารถบอกกระบวนการเกดิ ฝนได้ถกู ต้อง (  =3.67,  =3.50) รองลงมาคือ นกั เรยี นสามารถระบุชนิดของเมฆได้ถูกต้อง (  =3.58,  =0.79) และนักเรยี นสามารถวดั ปริมาณน้ำฝน ด้วยเคร่ืองมือทส่ี ร้างได้ (  =3.50,  =0.90) ตอนท่ี 3 ผลการศึกษาความพงึ พอใจของนักเรยี นตอ่ การเรยี นด้วยแผนการจัดการเรยี นรู้ ของ นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวดั เชียงใหม่ ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัด เชยี งใหม่ ซึง่ ปรากฏผลดงั ตารางท่ี 4.4 ตารางท่ี 4.4 ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดับความพงึ พอใจของนกั เรียนต่อการเรียนด้วยชดุ กจิ กรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ (N=12) ข้อความ ระดบั   ความพงึ พอใจ 1) เนอ้ื หาที่เรยี นเป็นเรอื่ งที่นักเรยี นสนใจ 4.42 0.66 มาก 2) เนื้อหาท่ีเรยี นเป็นเรื่องทน่ี ักเรยี นควรรเู้ พราะสามารถนำไป พฒั นาทกั ษะการจำแนกได้ 4.70 0.46 มากทส่ี ดุ 3) นักเรยี นฝึกปฏิบัตทิ ักษะจากเนอ้ื หาทเี่ รียนในแผนการจัดการ เรยี นรูไ้ ด้ 4.30 0.83 มาก 4) เนอื้ หาที่เรียนไม่ยากจนเกินไป 4.28 0.91 มาก 5) นักเรียนสนกุ สนานกบั กิจกรรมการเรยี นรู้ 4.23 0.87 มาก 6) นกั เรียนไดเ้ รยี นรู้การเผชิญและแกป้ ัญหาจากกจิ กรรม 4.09 0.89 มาก 7) นกั เรยี นมีส่วนร่วมในกจิ กรรมการเรียนรู้ 4.16 0.87 มาก 8) นักเรียนไดแ้ ลกเปลีย่ นเรียนรกู้ บั เพื่อน ๆ ในขณะทำกจิ กรรม 4.33 0.75 มาก 9) นักเรยี นนำเนือ้ หาทเ่ี รยี นไปใช้ในชวี ติ ประจำวันไดจ้ ริง 4.81 0.39 มากทส่ี ุด 10) แผนการจัดการเรยี นรู้น่าเรยี น 4.65 0.48 มากทสี่ ดุ 11) เน้ือหาในแผนการจัดการเรยี นรู้เขา้ ใจง่าย 4.88 0.32 มากที่สุด 12) ครผู ู้สอนมวี ิธีการสอนทดี่ ีและเหมาะสม 4.65 0.48 มากท่ีสดุ 13) จำนวนข้อคำถามในแบบทดสอบเหมาะสมกับเวลา 4.33 0.75 มาก 14) นกั เรยี นทราบผลการประเมินตนเองในเวลารวดเร็ว 4.23 0.84 มาก 15) นักเรยี นได้รับคำชมเชยเม่ือตั้งใจทำกิจกรรม 3.74 0.79 มาก

44 ขอ้ ความ ระดับ คา่ เฉล่ียรวม   ความพงึ พอใจ 4.39 0.69 มาก จากตารางท่ี 4.4 พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องเมฆและหมอกมีความพึง พอใจต่อการเรียนโดยรวมอยู่ในระดับมาก (  = 4.39,  = 0.69) ซ่ึงแสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีความพึง พอใจในการเรียน เม่ือแยกพิจารณาตามข้อคำถาม พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจด้านเน้ือหาเนื้อหาใน แผนการจัดการเรยี นรเู้ ข้าใจง่ายมากท่ีสุด (  = 4.88,  = 0.32) รองลงมาคือ นักเรียนนำเนื้อหาท่เี รียนไป ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง (  = 4.81,  = 0.39) และนักเรียนได้รับคำชมเชยเมื่อตั้งใจทำกิจกรรม นักเรียนมคี วามพึงพอใจนอ้ ยท่สี ุด (  = 3.74,  = 0.79)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook