Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 4 ระบบหมุนเวียนเลือดเเละระบบภูมิคุ้มกัน

หน่วยที่ 4 ระบบหมุนเวียนเลือดเเละระบบภูมิคุ้มกัน

Published by Jiab Chanchira, 2019-09-12 23:45:04

Description: หน่วยที่ 4 ระบบหมุนเวียนเลือดเเละระบบภูมิคุ้มกัน

Search

Read the Text Version

การออกแบบการจัดการเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ รายวชิ า ชวี วิทยา 3 รหัสวิชา ว30243 ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 4 เรือ่ ง ระบบระบบหมุนเวยี นเลอื ดและระบบภูมิคุม้ กนั จัดทาโดย นางสาวจนั จิรา ธนนั ชยั ตาแหนง่ พนกั งานราชการ โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 ตาบลช่างเคิ่ง อาเภอแม่แจม่ จังหวัดเชียงใหม่ สานกั บริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สานักงานการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร

คาอธิบายรายวชิ า รายวชิ า ชีววิทยา 3 รหัสวิชา ว30243 ช้ัน มัธยมศึกษาปที ี่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 เวลา 60 ช่วั โมง จานวน 1.5 หนว่ ยกิต ****************************************** ศึกษาวิเคราะห์ อภิปรายและอธิบายเก่ียวกับการเคลื่อนท่ีของส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียว การเคล่ือนที่ของสัตว์ไม่มี กระดูกสันหลัง โครงสร้างและกระบวนการย่อยอาหารของสัตว์ท่ีไม่มี ทางเดินอาหาร สัตว์ท่ีมีทางเดินอาหารแบบไม่ สมบูรณ์ และสัตว์ที่มีทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ทางเดินอาหาร สัตว์ที่มีทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ และสัตว์ที่มี ทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ โครงสร้าง หน้าที่ และกระบวนการย่อยอาหาร และการดูดซึมสารอาหารภายในระบบย่อย อาหารของมนุษย์ โครงสร้างและการทางานของหัวใจและหลอดเลือดในมนุษย์ การหมุนเวียนเลือดและระบบนาเหลือง ของมนุษย์ ระบบภูมคิ มุ้ กนั โครงสร้างและหน้าทีข่ องไต และโครงสรา้ งทใ่ี ชล้ าเลยี งปสั สาวะออกจากร่างกาย โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สืบเสาะหาความรู้ สืบค้นข้อมูล สังเกต วิเคราะห์ สังเคราะห์อธิบาย อภิปรายและสรุปกระบวนการกลุ่ม เพ่ือให้เกิดความรู้ความคิด ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ ส่ือสารสิ่งที่ เรียนรูแ้ ละนาความร้ไู ปใช้ในชีวิตของตนเอง และดูแลรกั ษาสิ่งมีชวี ิตอ่นื ๆ เฝ้าระวงั และพัฒนาสิง่ แวดลอ้ มอยา่ งยง่ั ยนื เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการนาความรู้ ความเข้าใจ ในด้านรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัยใฝ่ เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทางาน รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ รวมถึงการมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม สามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืน ป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากสารเสพติด น้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง มาประยกุ ต์ใช้ในการดาเนินชวี ิตประจาวันได้อยา่ งเหมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเปรียบเทยี บโครงสร้างและกระบวนการยอ่ ยอาหารของสตั ว์ที่ไม่มี ทางเดนิ อาหาร สัตว์ทม่ี ที างเดินอาหารแบบไมส่ มบูรณ์ และสตั วท์ ่มี ีทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ 2. สังเกต อธบิ าย การกนิ อาหารของไฮดราและพลานาเรยี 3. อธบิ ายเก่ียวกับโครงสรา้ ง หน้าที่ และกระบวนการย่อยอาหาร และการดูดซึมสารอาหารภายในระบบย่อย อาหารของมนุษย์ 4. สืบค้นขอ้ มูล อธบิ าย และเปรียบเทยี บโครงสรา้ งที่ทาหนา้ ทแี่ ลกเปลีย่ นแกส๊ ของฟองนา ไฮดรา พลานาเรยี ไสเ้ ดอื นดนิ แมลง ปลา กบ และนก 5. สงั เกต และอธบิ ายโครงสรา้ งของปอดในสตั ว์เลียงลูกด้วยนานม 6. สืบค้นข้อมลู อธิบายโครงสรา้ งที่ใชใ้ นการแลกเปล่ียนแก๊ส และกระบวนการแลกเปล่ียนแกส๊ ของมนุษย์ 7. อธบิ ายการทางานของปอด และทดลองวดั ปริมาตรของอากาศในการหายใจออกของมนุษย์

8. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ าย และเปรยี บเทียบระบบหมุนเวียนเลอื ดแบบเปิดและระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด 9. สงั เกต และอธบิ ายทิศทางการไหลของเลอื ดและการเคลื่อนท่ีของเซลล์เม็ดเลอื ดในหางปลา และสรุป ความสมั พันธร์ ะหวา่ งขนาดของหลอดเลือดกับความเร็วในการไหลของเลือด 10. อธิบายโครงสรา้ งและการทางานของหวั ใจและหลอดเลือดในมนุษย์ 11. สงั เกต และอธิบายโครงสร้างหัวใจของสัตว์เลยี งลูกด้วยนานม ทิศทางการไหลของเลือดผา่ นหวั ใจของมนษุ ย์ และเขยี นแผนผงั สรุป การหมุนเวยี นเลอื ดของมนุษย์ 12. สบื คน้ ข้อมูล ระบุความแตกตา่ งของเซลล์เมด็ เลือดแดง เซลลเ์ มด็ เลือดขาวเพลตเลต และพลาสมา 13. อธิบายหมเู่ ลอื ดและหลกั การให้และรับเลือดในระบบ ABO และระบบ Rh 14. อธบิ าย และสรุปเก่ียวกบั สว่ นประกอบและหน้าท่ีของนาเหลอื ง รวมทงั โครงสร้างและหน้าทีข่ องหลอด นาเหลอื ง และต่อมนาเหลือง 15. สบื คน้ ข้อมลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บกลไกการต่อต้านหรอื ทาลายส่งิ แปลกปลอมแบบไมจ่ าเพาะและแบบ จาเพาะ 16. สืบค้นขอ้ มลู อธิบาย และเปรยี บเทียบการสร้างภมู คิ ุ้มกนั ก่อเองและภมู ิค้มุ กันรับมา 17. สืบค้นข้อมลู และอธิบายเก่ยี วกบั ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกนั ท่ีทาให้เกดิ เอดส์ ภูมิแพ้ การสร้างภูมิ ต้านทานต่อเนอื เย่ือตนเอง 18. สบื ค้นข้อมูล อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ งและหน้าท่ใี นการกาจัดของเสยี ออกจากร่างกายของฟองนา ไฮดรา พลานาเรีย ไส้เดือนดิน แมลง และสตั ว์มีกระดกู สนั หลงั 19. อธิบายโครงสรา้ งและหน้าทข่ี องไต และโครงสรา้ งที่ใชล้ าเลยี งปสั สาวะออกจากร่างกาย 20. อธิบายกลไกการทางานของหนว่ ยไต ในการกาจดั ของเสียออกจากร่างกาย และเขยี นแผนผงั สรุปขนั ตอน การกาจดั ของเสียออกจากรา่ งกายโดยหน่วยไต 21. สืบค้นข้อมูล อธบิ าย และยกตวั อย่างเก่ยี วกบั ความผดิ ปกตขิ องไตอนั เนื่องมาจากโรคต่าง ๆ รวมทั้งหมด 21 ผลการเรียนรู้

ผังมโนทศั น์ รายวิชาชวี วทิ ยา 3 รหัสวิชา ว 32203 ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2562 ชอื่ หน่วย การย่อยอาหาร ช่อื หน่วย ระบบหายใจ จานวน 9 ช่วั โมง : 20 คะแนน จานวน 18 ชว่ั โมง : 15 คะแนน รายวชิ าชวี วิทยา 3 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 จานวน 60 ชั่วโมง ช่อื หน่วย ระบบขับถ่าย ชื่อหน่วย ระบบหมุนเวียนเลอื ดและ จานวน 15 ชัว่ โมง : 15 คะแนน ระบบภูมคิ มุ้ กนั จานวน 18 ชว่ั โมง : 20 คะแนน

ผงั มโนทัศน์ รายวิชา ชีววิทยา 3 รหัสวิชา ว 32203 ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 เรื่อง ระบบหมนุ เวยี นโลหติ และระบบภมู คิ มุ้ กนั จานวน 18 ชั่วโมง : 20 คะแนน ชื่อเร่ือง การลาเลยี งสารในรา่ งกายของ ชือ่ เร่อื ง การลา เลียงสารในรา่ งกายของคน สง่ิ มีชวี ติ เซลล์เดียวและของสตั ว์ จานวน 6 ช่วั โมง : 7 คะแนน จานวน 3 ชว่ั โมง : 6 คะแนน หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 เรื่อง ระบบหมนุ เวียนโลหติ และ ระบบภมู คิ มุ้ กนั จานวน 18 ช่ัวโมง ช่อื เร่อื ง ระบบน้าเหลอื ง ชอื่ เรือ่ ง ระบบภูมคิ ุ้มกัน จานวน 3 ชัว่ โมง : 7 คะแนน จานวน 6 ช่วั โมง : 7 คะแนน

แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 4 เร่ือง ระบบหมุนเวียนโลหติ และระบบภมู ิคุม้ กนั แผนจัดการเรยี นรู้ที่ 1 เรอื่ ง การลาเลียงสารในร่างกายของสัตว์ รายวิชา ชีววิทยา 3 รหัสวิชา ว 32203 ระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2562 นา้ หนักเวลาเรียน 1.5 (นน./นก.) เวลาเรียน 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ เวลาทีใ่ ชใ้ นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 12 ชัว่ โมง ............................................................................................................................. ............................. 1. สาระสาคัญ ส่ิงมีชีวติ เซลลเ์ ดียว และส่ิงมีชีวติ หลายเซลลท์ ่ีเริ่มทางานร่วมกนั เป็นเน้ือเยอื่ เช่น ฟองน้า ไฮดรา และพลานา เรีย สิ่งมีชีวติ เหล่าน้ีเซลลบ์ ริเวณผวิ สมั ผสั กบั ส่ิงแวดลอ้ มโดยตรง การลาเลียงสารจึงเป็นการลาเลียงผา่ นเซลลโ์ ดยตรงซ่ึง เพียงพอต่อความตอ้ งการของร่างกาย ส่วนสัตวท์ ี่มีโครงร่างซบั ซอ้ นและมีขนาดใหญ่ เซลลท์ ่ีอยภู่ ายในร่างกายไมไ่ ด้ สมั ผสั กบั ส่ิงแวดลอ้ มโดยตรงจาเป็นตอ้ งมีระบบลาเลียงสาร 2. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวช้ีวดั ชนั้ ปี/ผลการเรียนร/ู้ เปา้ หมายการเรยี นรู้ 8. สืบค้นข้อมูล อธบิ าย และเปรยี บเทยี บระบบหมุนเวยี นเลือดแบบเปิดและระบบหมนุ เวียนเลือดแบบปดิ 9. สงั เกต และอธิบายทิศทางการไหลของเลอื ดและการเคล่ือนทข่ี องเซลล์เม็ดเลือดในหางปลา และสรุป ความสัมพันธร์ ะหว่างขนาดของหลอดเลือดกับความเรว็ ในการไหลของเลือด 10. อธิบายโครงสรา้ งและการทางานของหัวใจและหลอดเลือดในมนุษย์ 11. สงั เกต และอธบิ ายโครงสรา้ งหัวใจของสัตวเ์ ลยี งลกู ด้วยนานม ทิศทางการไหลของเลอื ดผา่ นหวั ใจของมนษุ ย์ และเขียนแผนผังสรปุ การหมุนเวยี นเลือดของมนุษย์ 12. สืบคน้ ข้อมูล ระบุความแตกตา่ งของเซลล์เมด็ เลอื ดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาวเพลตเลต และพลาสมา 13. อธิบายหมู่เลือดและหลักการให้และรับเลือดในระบบ ABO และระบบ Rh 14. อธิบาย และสรปุ เกยี่ วกับสว่ นประกอบและหนา้ ท่ีของนาเหลอื ง รวมทงั โครงสร้างและหน้าที่ของหลอด นาเหลือง และต่อมนาเหลอื ง 15. สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบาย และเปรยี บเทียบกลไกการต่อต้านหรือทาลายส่งิ แปลกปลอมแบบไมจ่ าเพาะและแบบ จาเพาะ 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 เน้อื หาสาระหลัก : นักเรยี นสามารถอธบิ าย ระบบหมุนเวียนโลหิตและระบบภูมคิ ุ้มกนั ได้ 3.2 ทักษะ/กระบวนการ : นกั เรยี นสรปุ องคค์ วามรู้และนาเสนอได้ 3.3 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ : นักเรียนมพี ฤตกิ รรมใฝเ่ รียนรู้ในการเรียน 4. สมรรถนะสาคัญของนักเรียน 4.1 ความสามารถในการส่ือสาร 4.2 ความสามารถในการคิด

5. คณุ ลกั ษณะของวชิ า - ความรับผิดชอบ - ความรอบคอบ - กระบวนการกล่มุ 6. คณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ 1. ใฝ่เรยี นรู้ 2. ม่งุ มน่ั ในการทางาน 7. ชนิ งาน/ภาระงาน : - กิจกรรมที่ 1 การหมุนเวยี นเลือดของปลา - ใบงาน ท่ี 1 เร่อื ง การลาเลียงสารในร่างกายของสตั ว์ - ใบกิจกรรม ท่ี 1 หัวใจของสัตวเ์ ลียงลูกด้วยนม - ใบงาน 1 เร่ืองส่วนประกอบของหวั ใจ - ใบงานท่ี 1 เรือ่ ง ระบบนาเหลอื ง - ใบงานที่ 2 เรอ่ื ง เปรียบเทียบระหว่าง เลอื ดและนาเหลอื ง - ใบงานที่ 1 เรอื่ ง การป้องกันและทาลายเชือโรคและส่งิ แปลกปลอม - ใบงานที่ 2 ภูมคิ ุ้มกนั ของคน - แบบฝกึ เสรมิ ประสบการณ์ เรือ่ ง ภูมิคุม้ กนั ของรา่ งกาย 8. กระบวนการการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ช่ัวโมงที่1-3 1. ข้นั สร้างความสนใจ (Engagement) 1.1. ครูแจง้ สาระการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ทีค่ าดหวัง จุดประสงคก์ ารเรียนรู้/แนวปฏิบัติในการเรยี น 1.2. ครนู าสนทนากับนักเรียน ถึงเรอ่ื งรา่ งกายของนักเรยี นว่าประกอบด้วยเซลลจ์ านวนมากมาย “ สิ่งจาเป็นสาหรับการดารงชีวิตของเซลล์ได้แกอ่ ะไรบ้าง และขณะทีเ่ ซลล์ดาเนนิ กจิ กรรมต่างๆ นันมีสิ่งท่ีเซลลต์ ้องกาจัด ออกหรือไม่ ร่างกายจะมวี ิธีการอย่างไรในการนาสิ่งทีจ่ าเปน็ ต้องใชใ้ นการดารง ชีวติ เช่น สารอาหารจากลาไสเ้ ล็กไปให้ เซลล์ และขณะเดียวกันก็ต้องหาวธิ กี าร นาส่งิ ท่ีรา่ งกายต้องการกาจดั ออกไปยังอวัยวะขบั ถา่ ย” คาตอบของนักเรยี น ขึนอยู่กับประสบการณข์ องนักเรยี น แต่นกั เรียนควรสรปุ ไดว้ ่า ต้องอาศยั ระบบหมนุ เวยี นเลือดในการลาเลยี งสารไปยัง สว่ นต่างๆ ของรา่ งกาย - การลาเลียงสารในสิ่งมีชวี ติ มคี วามสาคญั ตอ่ การดารงชวี ิตอย่างไร (แนวคาตอบ ส่ิงมีชีวิตมี การลาเลียงนา เกลือแร่ อาหาร และของเสยี ตา่ งๆ ภายในส่ิงมีชีวติ มีความสาคญั อย่างย่งิ เพราะขบวนการเมแทโบลิซึม ภายในส่ิงมชี ีวติ ตอ้ งอาศัยการแลกเปลี่ยนสงิ่ ตา่ งๆ ระหวา่ งภายใน สิง่ มีชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ มตลอดเวลา) 2. ข้ันสารวจและคน้ หา (Exploration) 2.1. นกั เรยี นทบทวนและระดมความคิดภายในกลมุ่ เร่ือง การแลกเปล่ียนแกส๊ การขบั ถ่าย การยอ่ ย อาหารของส่งิ มชี ีวติ เซลลเ์ ดียว เชน่ อะมบี า พารามีเซียม และสง่ิ มชี วี ิตหลายเซลล์ เชน่ ฟองนา ไฮดรา เพ่ือให้นักเรียน สรปุ ไดว้ ่าการลาเลียงสารของส่ิงมชี ีวิตดังกลา่ วต้องผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ครูอาจใชค้ าถามเพื่อนาไปสูก่ ารอภปิ รายดงั นี

- ส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น อะมีบา พารามีเซียมมีวิธีการลาเลียงสารเป็นอย่างไร (แนวคาตอบ สิ่งมชี ีวิตเซลล์เดียว มีการรบั สารท่เี ซลลต์ อ้ งการ และกาจัดสารทเี่ ซลล์ ไม่ตอ้ งการผา่ นเยอื่ หุม้ เซลล์ซ่ึงสมั ผสั กบั ส่งิ แวดล้อม โดยตรงนอกจากนีภายในเซลลย์ ังมีการไหลของไซโทพลาซึมไปรอบๆ เซลล์ เรยี กวา่ ไซโคลซิส (cyclosis)) - ฟองนา และไฮดรามีระบบหมุนเวียนเลือดหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ ไม่มีระบบหมุนเวียน เลือด เพราะสารตา่ งๆ แพร่จากส่งิ แวดลอ้ มเขา้ ส่เู ซลล์โดยตรง เนื่องจากฟองนานันประกอบด้วยเซลล์ที่รวมกลุ่มกันยงั ไม่มีระบบ เนือเยอ่ื สว่ นไฮดรามเี นอื เยือ่ 2 ชันเทา่ นัน) พลานาเรียมีโครงสร้างร่างกายซับซ้อนกว่าไฮดรา แต่สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ทังที่มีวิธีการลาเลียง สารเช่นเดยี วกับไฮดรานักเรยี นคดิ ว่าเป็นเพราะเหตุใด (พลานาเรีย เป็นสตั ว์ทม่ี ีขนาดเล็ก ลาตวั แบน มพี นื ทผี่ ิวสมั ผัสกับ ส่ิงแวดล้อมมากเม่ือเทียบกับขนาดของร่างกาย สามารถแลกเปลี่ยนสารกับสิ่งแวดล้อมได้โดยตรงและมีการลาเลียงสาร ระหว่างเซลล์ในรา่ งกาย) 2.2. ครูให้นกั เรียนรว่ มกันพิจารณาภาพโครงสรา้ งภายใน และระบบหมนุ เวยี นเลือดของสัตว์ทม่ี ีโครงสร้าง ร่างกายซบั ซอ้ นและขนาดใหญ่กว่าพลานาเรีย ไดแ้ ก่ ไส้เดอื นดิน แมลง และกุ้ง ในใบความรูแ้ ละให้นักเรียนวิเคราะห์ว่า ถ้าสัตว์เหลา่ นีมกี ารแลกเปล่ียนสารกับส่ิงแวดล้อม และการลาเลียงสารภายในร่างกายเหมือนพลานาเรีย สัตวเ์ หลา่ นจี ะ สามารถการงชวี ิตอยูไ่ ดอ้ ยา่ งปกตหิ รอื ไม่ เพราะเหตใุ ด 2.3. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เสนอความคิดเห็นและให้เพ่ือนนักเรียนร่วมกันพิจารณาความเป็นไปได้ ของคาตอบเหล่านัน จากการอภิปรายนกั เรยี นควรสรปุ ได้วา่ สตั ว์ทีม่ โี ครงสร้างของร่างกายขนาดใหญ่และซับซ้อนจะอาศัย การแลกเปล่ียนสารกับสง่ิ แวดล้อม และการลาเลียงสารภายในร่างกายด้วยวิธีการแพร่อย่างเดยี วไม่ได้ เพราะสารต่าง ๆ เช่น แก๊สออกซเิ จนจะตอ้ งใชเ้ วลานานมากกวา่ จะแพร่จากภายนอกไปยังส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายอยา่ งทั่วถงึ จึงจาเปน็ ตอ้ ง มีเลือด และระบบหมุนเวียนเลอื ดชว่ ยในการลาเลียงสารไปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายไดอ้ ย่างทวั่ ถึงและรวดเร็ว 2.4. ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเรือ่ งระบบการลาเลียงสารของไส้เดือนดิน แมลงและกุ้ง โดยใช้ใบความรู้ หรืออาจใช้ภาพแผ่นภาพระบบหมุนเวียนเลือดของสัตว์ดังกล่าวประกอบการอธิบายเสริมความรู้ให้นักเรียน สังเกตพฤติ กรมความมุ่งมนั่ ในการทางานโดยใชแ้ บบประเมนิ ความมงุ่ มั่นในการทางาน 3. ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 3.1. ครใู ห้นกั เรียนร่วมกันอภปิ รายและสรุปโดยใช้คาถาม ดงั นี - ไส้เดอื นดิน แมลง และกุง้ มวี ิธีการลาเลยี งสารเหมือนหรือตา่ งกนั อย่างไร (แนวคาตอบ สตั วท์ ัง 3 ชนิด มีระบบหมุนเวียนเลือดต่างกันไส้เดือนดินมีระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด ส่วนแมลงและกุ้งมีระบบหมุนเวียน เลอื ดแบบเปิด) - การหมุนเวียนเลือดแบบวงจรปิดและแบบวงจรเปิดต่างกันอย่างไรให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายและ เขียนเป็นแผนภาพ (แบบวงจรปิดเลือดจะไหลอยู่ในหลอดเลือดตลอดเวลา การแลกเปลี่ยนสารระหว่างเลือดกับเนือเย่ือจะ ผ่านทางผนังหลอดเลอื ดฝอย ส่วนแบบวงจรเปิดในบางช่วงเลอื ดจะไหลออกมาสู่ช่องรับเลือดต่างๆ ตามลาตัวเน่ืองจาก หลอดเลือดไม่ได้เชื่อมติดต่อกันตลอดการแลกเปลี่ยนสารระหว่างเลือดกับเนือเย่ือบางส่วนจะแลกเปล่ียนโดยไม่ต้องผ่าน ผนงั หลอดเลอื ดฝอย เนื่องจากเลอื ดสมั ผสั กบั เนอื เยือ่ บริเวณนนั โดยตรง)

- แมลงจะไดร้ ับก๊าซออกซเิ จนจากระบบหมุนเวยี นเลือดหรือไม่ เพราะเหตใุ ด (แนวคาตอบ นกั เรียน ควรใช้ความรู้จากเร่ืองการแลกเปลี่ยนแก๊สมาใช้ในการตอบคาถาม ดังนี แมลง ได้รับออกซิเจนจากท่อลมซ่ึงแตกแขนงเป็น ทอ่ ลมฝอยนาออกซเิ จนไปให้เซลล์โดยตรง และเลือดของแมลงไม่มฮี โี มโกลบนิ ท่ีจะนาออกซเิ จนไปใหเ้ ซลล์) 3.2. ครูนานักเรียนเข้าสู่เร่ืองระบบหมุนเวียนเลือดของสัตว์มีกระดูกสันหลัง โดยใช้คาถามนาให้นักเรียน อภิปรายว่า “สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังมีระบบหมุนเวียนเลือดแตกต่างจากสัตว์ที่กล่าวมาแล้วอย่างไร” หลังจากท่ีนักเรียน อภิปรายและควรสรุปได้วา่ เนื่องจากสัตว์มีกระดูกสันหลงั มีขนาดใหญ่กว่า โครงสร้างของร่างกายก็แตกต่างกันและอาศัย อยใู่ นสภาพแวดล้อมแตกต่างกบั สัตวท์ ่ีกล่าวมาแลว้ ดงั นัน นา่ จะมรี ะบบหมุนเวียนเลือดต่างกันแล้วใหน้ ักเรยี นทากจิ กรรม ท่ี 1 เพอื่ สารวจตรวจสอบการหมุนเวยี นเลอื ดของปลา 3.3. ครแู จ้งจุดประสงค์ของการทากจิ กรรมท่ี 1 - ทากิจกรรมเพ่ือศึกษาการหมุนเวียนเลือดของปลา หรือในโครงสร้างของสัตว์อื่นๆท่ีบางและใสจน สามารถสงั เกตการณ์หมุนเวยี นของเลอื ด - บอกทิศทางการไหลของเลือด และความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของหลอดเลือดกับความเร็วการไหล ของเลอื ด 3.4. ครูควรแนะนานกั เรียนวา่ - ปลาที่นามาศึกษาควรเป็นปลาขนาดเล็ก และแข็งแรง เช่น ปลานิล ปลาหางนกยูง ปลากระดี่ สาหรบั ปลาหางนกยูง ตัวเมียจะเหน็ ชัดกว่าตัวผู้เพราะไมม่ สี ี - ขณะท่ีวางปลาบนสไลด์ต้องให้ความชุ่มชืนบริเวณหัวและเหงือกตลอดเวลา เวลาที่ศึกษาแต่ละครัง ไม่ควรนานเกินไป เพราะปลาอาจจะตาย ควรปล่อยลงนาสักครู่แล้วจึงนาไปศึกษาใหม่ตาแหน่ง ที่จะใช้ศึกษาดูการไหล ของเลือดคือบริเวณหางปลา และในระหว่างท่ีนักเรียนกาลังศึกษาการเคล่ือนท่ีของเซลล์เม็ดเลือดอยู่นัน ครูให้นักเรียน สังเกตขนาดของหลอดเลือดขนาดใหญ่ซึ่งครูควรตังคาถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนัน เพื่อเชื่อมโยงความรู้ของนักเรียน เกีย่ วกับแรงดันและการเคลือ่ นที่ของสาร 3.5. ครูให้นักเรียนสังเกตหลอดเลือดท่ีเช่ือมโยงระหว่างหลอดเลือดแต่ละหลอดเลือดและควรให้นักเรียน บนั ทกึ ผลการทดลองด้วยหลงั จากทนี่ ักเรียนทากจิ กรรมเสรจ็ แลว้ และครูควรสงั เกตทกั ษะการใช้กลอ้ งจุลทรรศนใ์ นขณะท่ี นักเรยี นกาลังศึกษาอยู่นนั ตังแตก่ ารปรับกลอ้ งจุลทรรศน์ การหาภาพตลอดจนการเกบ็ กลอ้ ง 3.6 สังเกตพฤตกิ รมการทดลองโดยใช้ แบบประเมนิ การทดลอง 4. ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) 4.1. ครใู ห้นกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายและสรุปโดยใช้คาถามท้ายกจิ กรรม ดงั นี - ทศิ ทางการเคลอ่ื นทข่ี องเซลลเ์ ม็ดเลอื ดในหลอดเลือดต่างๆ เป็นอยา่ งไร (แนวคาตอบ เซลลเ์ มด็ เลือดจะเคล่ือนท่สี วนทางกนั บางหลอดเลือดเซลล์เม็ดเลอื ดเคลอื่ นท่ีไปทางหัว บางหลอดเลอื ดเซลลเ์ มด็ เลือดเคลื่อนที่ ไปทางหาง) - การเคลื่อนที่ของเซลลเ์ มด็ เลือดในหลอดเลอื ดมีความเรว็ เทา่ กนั ทุกหลอดหรือไม่ อย่างไร (แนว คาตอบ ไม่เท่ากนั เซลล์เม็ดเลอื ดที่เคล่ือนท่ีไปทางด้านหางเรว็ กวา่ ไปทางดา้ นหัว และเซลลเ์ มด็ เลอื ดที่เคลอื่ นที่ไปใน หลอดเลือดขนาดเล็กกว่าจะเคล่อื นทเ่ี รว็ กวา่ )

- นักเรยี นมีขอ้ สังเกตอยา่ งไรว่าหลอดเลอื ดใดเป็นหลอดเลือดอาร์เตอรหี รอื เวน (หลอดเลือดอารเ์ ตอรี เลอื ดจะไหลจากทางดา้ นโคนหางไปยังด้านปลายหาง สว่ นหลอดเลือดเวนจะไหลจากทางด้านปลายหางไปยังด้านโคนหาง (ภาพในกล้องจลุ ทรรศน์จะกลับทศิ ทางซา้ ยเป็นขวา) 4.2. ครใู หน้ ักเรียนสบื คน้ ข้อมูลเกีย่ วกับระบบหมนุ เวยี นเลือดของปลาซ่ึงมหี วั ใจ 2 ห้อง สัตวส์ ะเทนิ นา สะเทินบกซงึ่ มีหัวใจ 3 ห้อง และให้นกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายโดยใช้ตวั อย่างคาถามดงั นี -ระบบหมนุ เวยี นเลือดของปลาเหมือนหรือแตกต่างกับไส้เดือนดนิ หรือไม่ อย่างไร (ปลามรี ะบบการ หมนุ เวยี นเลอื ดเหมือนกับไส้เดอื นดนิ เพราะมีระบบหมุนเวยี นเลือดแบบวงจรปิด ซง่ึ เป็นระบบท่ีเลอื ดไหลอยูภ่ ายใน หลอดเลือด แตป่ ลามอี วยั วะทที่ าหนา้ ทีส่ บู ฉีดเลือดที่แท้จริงคือหวั ใจ) - เลือดทีไ่ หลผา่ นหัวใจของปลาเป็นเลือดทีม่ ีออกซเิ จนมากหรอื น้อย เพราะเหตใุ ด (เลือดท่ีไหล ผ่านหวั ใจของปลาเป็นเลือดที่มอี อกซเิ จนน้อย เน่อื งจากเป็นเลอื ดทม่ี าจากสว่ นตา่ งๆของร่างกาย) 5. ขน้ั ประเมนิ ผล (Evaluation 5.1 นักเรียนทาแบบทดสอบย่อย 5.2. นักเรียนสง่ ใบงานใหค้ รูตรวจ และเปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนในเรื่องที่ยงั ไม่เขา้ ใจ กระบวนการการจัดการเรยี นรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ช่ัวโมงที่ 4-9 1. ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement) 1.1 ครูถามนักเรยี นว่า “นักเรียนคิดวา่ หลังจากที่เราหายใจแลว้ ออกซเิ จนไปไหน” (แนวคาตอบ เขา้ ไป ไหนกระแสเลือดและไปยังเซลล์ตา่ งๆของร่างกาย) 1.2 “เลอื ดไหลไปยงั ส่วนต่างๆของรา่ งกายได้อยา่ งไร” (แนวคาตอบ มหี วั ใจช่วยในการบีบตัว) 1.3 “นักเรยี นคิดว่าบนโลกนีมสี ิง่ มีชวี ิตทไี่ ม่มหี วั ใจหรอื ไม่ แลว้ สิง่ มชี วี ติ เหล่านันมกี ารล้าเลยี งสารตา่ งๆ อยา่ งไร” 2. ขนั้ สารวจและสืบคน้ (Exploration) 2.1 ครแู สดงภาพ ระบบหมนุ เวยี นเลอื ดแบบเปดิ และแบบปิด ให้นกั เรียนศกึ ษาเปรยี บเทียบความแตกตา่ ง ของระบบหมนุ เวยี นเลือดทังสองแบบ 2.2 ศกึ ษาโครงสร้างของหัวใจ โดยทากจิ กรรมท่ี 1 เรอ่ื ง หัวใจของสัตวเ์ ลียงลูกดว้ ยนม ทาการทดลองโดย ใช้แบบประเมินพฤตกิ รรมการทดลอง 2.3 ครูสมุ่ เรยี กนักเรยี นออกมานาเสนอข้อมลู 2-3 คน สังเกตพฤติกรรมโดยใชแ้ บบประเมินการรายงาน หน้าชนั เรยี น 3. ขั้นอภปิ รายและลงข้อมูล (Explanation) 3.1 นักเรียนระดมความคดิ โดยผ่านคาถามจากครเู พื่อให้นักเรียนมคี วามเขา้ ใจมากขนึ ดงั นี 3.2 “ระบบหมนุ เวยี นเลือดมีสว่ นประกอบใดบ้าง” (แนวคาตอบ เลือด หัวใจ เสน้ เลือด)

3.3 “นักเรยี นคดิ วา่ ระบบหมุนเวยี นเลือดทังสองแบบแตกต่างกันอยา่ งไร” (แนวคาตอบ การไหลของ เลอื ดถ้าเป็นระบบปิดเลือดจะอย่ใู นเสน้ เลอื ดตลอดเวลา สว่ นระบบเปิดเลือดจะไหลไปปนกบั นาเหลอื งที่ hemocole เรยี กว่า hemolymph) 3.4 จากแผนภาพการไหลของเลอื ดผ่านหัวใจใหน้ กั เรียนอภิปรายร่วมกนั เกยี่ วกับความหมายของคาว่า “atrium atery vein venticle” 3.4 ครูใหน้ กั เรียนศึกษาวดี ีทัศนเ์ รอ่ื งการหมุนเวียนเลือด และทาใบงานท่ี 1 เรื่อง สว่ นประกอบของ หัวใจ พร้อมกบั ประเมินพฤติกรรมความมุ่งมน่ั ในการทางาน โดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมความมุ่งม่ันในการทางาน 4. ขนั้ ขยายความรู้และประยุกต์ (Elaboration) 4.1 จากการท่ีนักเรียนศึกษาเรอื่ งแรงดันเลือด หากนักเรยี นมีแรงดนั เลอื ดเท่ากับ 185/80 มี ความหมายว่าอย่างไร (มีแรงดนั ขณะหวั ใจบบี ตัวสูงสุดเท่ากับ 185 ขณะหวั ใจคลายตวั สูงสดุ เท่ากับ 80) 4.2 ครแู ละนกั เรยี นอภปิ รายร่วมกันเก่ียวกับโรคความดนั โลหติ สงู สาเหตุของโรค ผลเสียท่เี กดิ จาก โรค และแนวทางการปอ้ งกนั โรคความดันโลหติ สงู 4.3 ครูใหค้ วามรเู้ พิ่มเติมเกย่ี วกับหมเู ลือด ABO และ Rh 5. ข้ันประเมินผล (Evaluation) 5.1 นกั เรียนทาแบบทดสอบยอ่ ย 5.2 นักเรียนสง่ ใบงานให้ครูตรวจ และเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นในเรือ่ งท่ยี ังไม่เขา้ ใจ กระบวนการการจัดการเรยี นร้โู ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ช่วั โมงที่ 10-12 1. ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement) 1.1 ครแู จ้งสาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรทู้ ่ีคาดหวงั จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้/แนวปฏิบตั ใิ นการเรียน 1.2 ครถู ามนกั เรยี นเพ่ือทดสอบความเขา้ ใจ - “นักเรียนคดิ วา่ มนุษย์จะสามารถกินเลือดอยา่ งเดยี วเป็นอาหารได้หรือไม่” (แนวคาตอบ ไม่ได้ เพราะจะทาใหไ้ ม่ได้สารอาหารครบถว้ น) - ครถู ามนกั เรยี นว่า “จากคาตอบของนักเรยี น นักเรยี นคดิ วา่ ภายในเลือดของคนเรามีอะไรเป็น สว่ นประกอบบ้าง” โดยให้นักเรยี นแต่ละคนบันทึกค้าตอบของตัวเองลงในสมุดจากนันสุ่มตวั อย่างเพ่ือเปรียบเทยี บของแต่ ละคน 2. ขน้ั สารวจและสืบคน้ (Exploration) (40 นาท)ี 2.2 ครแู สดงภาพเลือดทผ่ี ่านการป่นั และแยกเป็นส่วนประกอบตา่ งๆ

อภปิ รายร่วมกันโดยการระดมความคดิ เกย่ี วกบั ส่วนประกอบของเลือด (นาเลือด เม็ดเลือดแดง เม็ด เลือดขาว เกลด็ เลือด) 2.3 ครูอธบิ ายเพ่มิ เติมเกย่ี วกับสว่ นประกอบต่างๆในนาเลือด และลักษณะของเม็ดเลือดแดง 2.4 ครูแสดงภาพเม็ดเลือดขาวแบบตา่ งๆและใหน้ ักเรยี นเปรียบเทียบเมด็ เลือดขาวชนดิ ต่างและ แบ่งกลมุ่ ของเม็ดเลือดขาว (แบ่งเปน็ 2 กลมุ่ คือ มีแกรนลู และไม่มีแกรนลู ) 2.5 ครแู ละนักเรียนอภปิ รายร่วมกนั เกี่ยวกบั การทางานของเมด็ เลือดขาวชนิดตา่ งๆ 2.6 ครถู ามนักเรียนวา่ ถ้านักเรยี นมเี ลอื ดออกนกั เรยี นจะท้าอย่างไร “เอามอื หรือผา้ สะอาดปดิ ปาก แผลไว้ และเลือดจะแข็งตวั และหยดุ ไหล) 3. ขั้นอภิปรายและลงข้อมลู (Explanation) 3.1 ครูและนกั เรยี นอภปิ รายเกี่ยวกับการแข็งตวั ของเลือด 3.2 ครูใหข้ ้อมลู เกี่ยวกับนาเหลอื ง และให้นักเรยี นเขยี นตารางวเิ คราะห์ความเปรียบเทียบระหว่าง เลอื ด และนาเหลืองโดยใช้ ใบงานท่ี 2 เปรียบเทยี บระหวา่ ง เลือดและนาเหลืองพร้อมกบั สงั เกตทักษะการจาแนก 3.3 ครูถามนักเรียนวา่ ตงั แต่ตน้ เดือนมามนี ักเรยี นคนไหนบ้างที่เปน็ หวดั และมีใครบา้ งทต่ี ิดหวัดจาก เพอ่ื น 3.5 ครูอธิบายความสาคญั ของนาเหลอื ง แล้วให้นกั เรียนทาใบงานท่ี 1 เร่อื ง ระบบนาเหลือง 3.6 ครูตังคาถามวา่ “จริงหรอื ไมท่ ีเ่ มอ่ื เราเปน็ หวดั แลว้ เราสามารถหายไดเ้ องใน 2-3 วัน” หากนกั เรียน ตอบว่าจรงิ เป็นเพราะเหตุได้ (เพราะร่างกายมีภมู ิคุ้มกนั ) 3.7 ครูอธิบายเก่ียวกับหมเู่ ลือดแบบ ABO และแบบ Rh

4. ข้นั ขยายความรแู้ ละประยุกต์ (Elaboration) 4.1 ครูถามนักเรยี นหากหมอใหเ้ ลอื ดไม่ต้องกับหมเู่ ลือดที่รา่ งกายของเราสามารถรบั ไดจ้ ะส่งผลอย่างไร และอภิปรายรว่ มกันเกย่ี วกับโรค Erythroblastosis fetalis 4.2 ครูให้ตัวแทนนักเรียนที่มีกรุ๊ปเลือดแต่ละกรุ๊ปออกมาเขียนแอนติเจน และแอนติบอดี ที่ตัวเองมี หนา้ ชันเรยี นและอภปิ รายกับเพื่อนรว่ มชนั ว่าถกู ตอ้ งหรือไม่ และใครสามารถให้และรับเลือดจากใครได้บ้างพร้อมกับสังเกต ความมุง่ มั่นในการทางาน โดยใช้แบบประเมินพฤติกรรม ความม่งุ ม่ันในการทางาน 5. ขั้นประเมินผล (Evaluation) 5.1 นกั เรียนทาแบบทดสอบย่อย 5.2 นักเรยี นสง่ ใบงานให้ครตู รวจ และเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนในเร่อื งทยี่ ังไม่เข้าใจ กระบวนการการจดั การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ช่ัวโมงท่ี 13-15 1. ขน้ั สร้างความสนใจ 1. ครใู ห้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี น เรอ่ื ง ภมู ิคมุ้ กันของรา่ งกาย จานวน 10 ขอ้ ลงในกระดาษคาตอบ 2. ครูแจ้งผลการเรยี นร้ทู ่คี าดหวังและ ทบทวนเนอื หาท่ีเรียนผ่านมา เร่ือง ระบบหมนุ เวยี นเลือดและระบบ นาเหลอื ง 2. ข้นั สารวจและคน้ หา 1. ครนู กั เรยี นแบ่งกลุม่ เป็น 4 กล่มุ แล้วร่วมกันศกึ ษาความรใู้ นใบความร้ทู ่ี 20 เรอ่ื ง - กลุ่มที่ 1 เรอ่ื ง ความต้านทางตามธรรมชาติ และ กลไกการป้องกันภายในร่างกาย - กลุ่มท่ี 2 เรื่อง ภูมคิ ุ้มกนั แบบจาเพาะเจาะจง และ การตอบสนองทางภูมิคุ้มกนั - กล่มุ ท่ี 3 เรอื่ ง เซลลท์ เี่ กี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน และ ชนิดของภมู ิคมุ้ กนั แบ่งตามลักษณะการสรา้ ง - กลมุ่ ท่ี 4 แอนติเจน และ แอนติบอดี 2. ครูใหแ้ ต่ละกลุ่มส่งตวั แทนนกั เรียนออกมารายงานหน้าชัน โดยให้แต่ละกลุม่ มีคาถามถามเพ่ือนท่ีฟังรายงาน กลุ่มละ 3 ข้อ 3. ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนสอบถามเนอื หา เรื่อง ภูมคิ มุ้ กันของรา่ งกาย วา่ มีสว่ นไหนท่ไี มเ่ ขา้ ใจและใหค้ วามรู้ เพิ่มเติมในสว่ นนัน 3. ข้ันลงข้อสรุป 1. ครูใหน้ ักเรียนสรปุ ความคิดรวบยอดเกีย่ วกับเนือหาท่ีได้เรียนในวนั นี โดยใช้คาถาม ดังนี - ร่างกายของคนเราได้รับเชือโรคเขา้ ทางใด ( ทางลมหายใจ ทางผวิ หนังทางเดินอาหาร ) - อาการทแี่ สดงออกเร่ิมต้นเมอ่ื มสี ิง่ แปลกปลอมเขา้ สู่ร่างกายได้แก่ ( การจาม การหล่ังน้าตา อาเจียน ) - ระบบภูมคิ ุ้มกันคืออะไร ( สงิ่ ที่รา่ งกายสรา้ งขึนมาเพื่อป้องกนั และก้าจัดแอนตเิ จนที่เปน็ อันตรายต่อร่างกาย) - ระบบภูมคิ มุ้ กันแบง่ ออกเปน็ กช่ี นดิ อะไรบา้ ง (2 ชนดิ คือ ระบบภูมิคมุ้ กนั โดยก้าเนดิ และระบบภูมิคมุ้ กัน จ้าเพาะ )

- ลมิ โฟไซต์ทมี ีจานวนมากทสี่ ุดในรา่ งกายคือ (เซลล์บแี ละเซลลท์ ี) - เซลลบ์ ีทาหน้าท่ีอะไร (สามารถสร้างแอนตบิ อดีจ้าเพาะ) - เซลล์ทีทาหนา้ ทีอ่ ะไร( ควบคุมการทา้ งานของเซลลบ์ ีและฟาโกไซตใ์ ห้อยใู่ นสภาพสมดลุ ) 2. ครูให้นกั เรยี นทาแบบฝึกเสริมประสบการณ์ เรือ่ ง ภูมิคุม้ กนั ของรา่ งกาย 3. ครใู ห้นกั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี น เรื่อง ภมู คิ ุ้มกันของรา่ งกาย 4. ครูมอบหมายใหน้ กั เรียนไปศกึ ษาความรู้ เร่อื ง ความผิดปกติของระบบภูมคิ มุ้ กันโรค ซ่งึ จะเรยี นในคาบต่อไป มาลว่ งหน้า กระบวนการการจัดการเรียนร้โู ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ชวั่ โมงท่ี 16-18 1. ขนั สรา้ งความสนใจ 1. ครนู าอภิปรายร่วมกับนักเรียนวา่ เหตุใดในสภาพแวดลอ้ มเดยี วกนั คนบางคนถึงมีการเจบ็ ป่วยได้งา่ ยกวา่ คน บางคน เป็นไปไดห้ รือไมว่ ่าภูมิคมุ้ กันของรา่ งกายของแต่ละคนแตกต่างกัน 2. ครใู ห้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง ความผดิ ปกตขิ องระบบภูมิคุม้ กนั โรค จานวน 10 ข้อ ลงใน กระดาษคาตอบ 2. ขนั สารวจและค้นหา 1. ครูและนกั เรยี นร่วมกนั ทากจิ กรรมท่ี 6.14 ปัจจัยทม่ี ผี ลต่อการทางานของระบบภมู ิคุ้มกันของรา่ งกาย โดยแจ้ง จุดประสงคข์ องกิจกรรม เพือ่ ให้นักเรียนสามารถ 1. รวบรวมขอ้ มูลเก่ยี วกบั ปจั จยั ท่มี ีผลตอ่ การทางานของระบบภูมิคุ้มกนั ของรา่ งกาย 2. เผยแพรข่ อ้ มลู ให้ผอู้ นื่ ทราบ 2. การรวบรวมขอ้ มลู เก่ยี วกับปัจจยั ท่มี ีผลตอ่ การทางานของระบบภูมคิ ุ้มกันของรา่ งกาย ครูควรแนะนาแหลง่ ค้นควา้ ใหน้ ักเรียน ได้แก่ วารสารการแพทย์ต่างๆ ในห้องสมดุ หรือจากโรงพยาบาล สถานีอนามยั ตา่ งๆ เปน็ ตน้ ควรให้ นักเรียนได้จดั ทาเปน็ รายงานมาล่วงหน้าและนาเสนอหนา้ ชันเรียนแล้วให้จดั ปา้ ยนเิ ทศในโรงเรยี นเพ่ือเผยแพร่ความรู้ ให้กับนกั เรียนโดยทัว่ ไป 3. ครแู นะนาใหน้ ักเรยี นเกดิ ความตระหนกั ถึงอนั ตรายทเ่ี กดิ จากภูมคิ มุ้ กนั ผิดปกติตา่ งๆ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคสร้าง ภมู ิตา้ นทานตอ่ เนอื เยื่อตนเอง และโดยเฉพาะอย่างยง่ิ โรคเอดส์ และให้นักเรียนสืบค้นข้อมลู และศึกษาภาพที่ 6-47 ใน หนังสอื เรยี น/ใบความรู้ แล้วร่วมกนั อภิปรายโดยใช้คาถามดังนี - นกั เรยี นคิดวา่ จานวนผปู้ ่วยเป็นเอดส์มผี ลกระทบต่อสงั คมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างไร เพราะเหตุใด (การท่ีมีผู้ป่วยเอดส์จ้านวนมากในประเทศใดๆ นนั จะสง่ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เน่อื งจากรฐั บาลจะต้องเสยี งบประมาณจา้ นวนมากในการรกั ษาผปู้ ่วย สา้ หรับประเทศไทยผปู้ ว่ ยเอดส์ที่พบอย่ใู นช่วงอายปุ ระมาณ 20 - 50 ปี ซึ่ง เป็นกลุ่มคนที่เป็นแรงงานหลักของประเทศ เมื่อบุคคลเหล่านีไมส่ ามารถท้างานประกอบอาชีพไดจ้ งึ ส่งผลกระทบต่อ เศรษฐกจิ ของประเทศโดยรวม นอกจากนปี ัญหาของผปู้ ว่ ยเอดสย์ งั อาจสง่ ผลกระทบทา้ ให้เกดิ ปัญหาสังคมและครอบครวั เนอ่ื งจากคนที่ได้รบั เชือ HIV แล้ว สามารถมีชวี ิตอย่ไู ดป้ ระมาณ 5 - 10 ปี จึงทา้ ให้เกดิ ปัญหาเดก็ ก้าพรา้ ซง่ึ ก่อให้ เกิด ปัญหาสังคมตามมา)

- นักเรียนคิดว่าในระยะแรกจานวน HIV ลดลงและเพ่ิมขึนในปีหลงั ๆ เพราะเหตใุ ด (มเี หตุผลทีอ่ าจเป็นไปได้ดงั นี 1. ชว่ งแรกเชือไวรัส HIV มีการเพิ่มจ้านวนในขณะทภี่ ูมติ า้ นทานของร่างกายสรา้ งขึนไมท่ ัน เมอ่ื เวลาผา่ นไปร่างกายมีการ ตอบสนองโดยการสร้างภูมิคุ้มกันตา้ นทานเพ่ิมขึน จงึ ท้าให้ไวรสั ลดจา้ นวนลง แต่เมือ่ เวลาผา่ นไปนานขนึ ไวรัสมกี ารเพ่ิม จ้านวนมากขนึ และทา้ ลายภมู ิคุ้มกัน คือ มีเซลล์ CD4+ หรอื เซลล์ ที ผู้ชว่ ยมาก จนขาดความสมดลุ ด้วยเหตนุ ีใน ตอนท้ายของการตดิ เชือผู้ปว่ ยจงึ มปี รมิ าณไวรัสเพิ่มขนึ แตเ่ ซลล์ที ลดลง 2. ช่วงแรกไวรสั HIV จะจับกับแมโครฟาจเปน็ หลัก โดยไม่มผี ลต่อการทา้ ลายเซลลท์ ี ดังนนั ในระยะต้นจงึ เหน็ เซลลท์ ี ไม่ ลดลง ขณะเดยี วกนั เมื่อเวลาผา่ นไปไวรัสจะกระจายไปตามอวยั วะตา่ งๆ มากขนึ เชน่ สมอง หวั ใจ ระบบทางเดนิ อาหาร ประกอบกบั รา่ งกายพยายามสรา้ งภูมคิ ุ้มกนั มาท้าลายไวรสั HIV เพมิ่ ขึน จงึ เหน็ วา่ ปริมาณ HIV ในตอนกลางๆ จงึ มี ปริมาณน้อย เมือ่ เวลาผ่านไปสมดลุ เกิดเสยี เพราะไวรสั HIV มีการเพม่ิ จ้านวนตลอดเวลาและเกิดการกลายพนั ธ์ จงึ มี การท้าลายเซลล์ที เพิ่มขึน ดังนนั เซลลท์ ใี นระยะท้ายจึงลดลงอย่างรวดเรว็ ) - นักเรยี นคดิ ว่าควรจะมีวธิ ปี ้องกนั การติดเชือเอดส์อย่างไรบา้ ง (แนวคา้ ตอบยใู่ นหัวข้อการป้องกนั เอดส์ มี กล่าวไว้ในหนงั สอื เรียนแล้ว) - นักเรยี นคดิ วา่ จะป้องกนั การแพรร่ ะบาดของเอดส์ได้อยา่ งไร และใครหรือหนว่ ยงานใดควรมีบทบาท อยา่ งไรในการแก้ไขปญั หาการแพร่ระบาดของเอดส์ (นกั เรียนทกุ คนควรจะมีหน้าท่ีช่วยกนั ปอ้ งกันการแพร่ระบาดของ เอดส์ โดยศึกษาจากพฤติกรรมที่เส่ยี งต่อการตดิ เอดส์ หนว่ ยงานของกระทรวงสาธารณสุข สือ่ มวลชนทุกแขนง สถานศึกษาต่างๆ ควรมบี ทบาทในการเผยแพร่ความรใู้ ห้ประชาชนไดท้ ราบถึงภยั ของโรคเอดส์และวธิ ปี ้องกนั ต่างๆ) 4. เพอื่ ให้นักเรียนตระหนักถึงสถานการณ์ของโรคเอดส์ท้องถ่นิ ทน่ี กั เรียนอาศยั อย่วู า่ เป็นอยา่ งไร ครูมอบหมาย ใหน้ ักเรยี นทากิจกรรมเสนอแนะ เรือ่ ง โรคเอดส์ โดยแจง้ จุดประสงค์ของกิจกรรมวา่ เพื่อใหน้ กั เรยี นสามารถ 1. รวบรวมขอ้ มลู เก่ยี วกบั โรคเอดส์ หรอื การเปน็ โรคทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ระบบภูมคิ ุม้ กนั ของคนในทอ้ งถิน่ 2. เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกบั โรคเอดสใ์ ห้ผู้อ่ืนทราบ ซงึ่ การรวบรวมข้อมลู เกี่ยวกบั เอดสแ์ ละการรกั ษาหรือการเปน็ โรคเก่ยี วข้องกบั ระบบภมู ิคุ้มกันของคนในท้องถ่นิ นกั เรียนจะรวบรวมได้จากโรงพยาบาล หรือสถานีอนามยั ครอู าจจะเชญิ แพทยม์ าให้ความรดู้ ้วยก็ได้ หรอื ให้นกั เรยี น รวบรวมขา่ วเกย่ี วกบั โรคเอดส์จากหนังสือพมิ พ์หรอื โทรทัศน์กไ็ ด้ โดยอาจทาในรูปโครงงานตงั แต่ต้นเทอมและนาเสนอในวันนี 5. ครเู ปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นสอบถามเนอื หา เร่ือง ความผิดปกติของระบบภูมคิ ุ้มกันโรค ว่ามีสว่ นไหนทไี่ ม่เขา้ ใจ และให้ความร้เู พมิ่ เติมในส่วนนัน 3. ขันลงข้อสรปุ 1. ครใู หน้ กั เรียนสรปุ ความคิดรวบยอดเกยี่ วกบั เนือหาท่ีไดเ้ รียนในวนั นี โดยใช้คาถาม ดังนี - ในตวั นกั เรียนมภี มู ิคมุ้ กนั ในร่างกายหรือไม่( มี ) - โรคท่ีเกิดจากภมู ิคมุ้ กนั ของรา่ งกายได้แก่ ( โรคภมู แิ พ้ โรคเอดส์) - สารท่ีทาให้เกิดการแพ้ เชน่ ( ละอองเกสร แพย้ า สารเคมี อาหารบางอย่าง เช่น อาหารทะเล หน่อไม้) - สารท่ีทาใหเ้ กดิ อาหารแพ้ในรา่ งกายได้แก่ (สารฮีสตามีน )

- โรคเอดส์เกดิ ขึนได้อย่างไร(เกิดจากเชอื ไวรัสชนิดหนึง่ ชื่อ HIV ) - โรคเอดสต์ ิดต่อได้อย่างไร (การใชเ้ ขม็ และกระบอกฉีดยา การร่วมเพศ ทางการถ่ายเลือด ทางแม่ที่มเี ชือ ไวรัสเอดส์) - ระยะท่ีเปน็ อันตรายและแสดงอาการชัดแจ้งทส่ี ดุ คือ (ระยะที่ 2) 2. ครูให้นักเรยี นทาแบบฝึกเสริมประสบการณ์ เร่อื ง ความผดิ ปกตขิ องระบบภมู คิ ุ้มกนั โรค 3. ครใู หน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง ความผิดปกตขิ องระบบภมู คิ ้มุ กันโรค 4. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั เฉลยตวั อยา่ งข้อสอบเข้ามหาวทิ ยาลยั และมอบหมายใหน้ ักเรยี นทาแบบฝกึ หดั ท้ายบท ส่งครู พรอ้ มทังใหน้ ักเรยี นกลับไปทบทวนความรู้ เพื่อเตรียมตัวสอบเก็บคะแนนประจาบท และสอบเกบ็ คะแนนปลาย ภาคซึ่งครูจะแจง้ ให้ทราบตอ่ ไป 9. สอ่ื การเรียนการสอน / แหลง่ เรียนรู้ จานวน สภาพการใชส้ อื่ รายการสื่อ 1 ชดุ ขนั ตรวจสอบความรเู้ ดิม 1 ชุด ขันสรา้ งความสนใจ 1. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 1 ชดุ ขนั สรา้ งความสนใจ 2. กจิ กรรมที่ 1 การหมุนเวียนเลือดของปลา 1 ชุด ขนั สรา้ งความสนใจ 3. ใบงาน ท่ี 1 เรือ่ ง การลาเลยี งสารในร่างกายของสตั ว์ 1 ชดุ ขันสรา้ งความสนใจ 4. ใบกจิ กรรม ที่ 1 หวั ใจของสตั ว์เลี้ยงลกู ด้วยนม 1 ชุด ขันสรา้ งความสนใจ 5. ใบงาน 1 เร่ืองส่วนประกอบของหัวใจ 1 ชุด ขนั สร้างความสนใจ 6. ใบงานท่ี 1 เรอ่ื ง ระบบน้าเหลอื ง 7. ใบงานท่ี 2 เรอ่ื ง เปรยี บเทยี บระหว่าง เลือดและน้าเหลือง 1 ชุด ขันสรา้ งความสนใจ 8. ใบงานที่ 1 เรือ่ ง การปอ้ งกนั และทาลายเชือ้ โรคและส่ิง แปลกปลอม 1 ชดุ ขนั สรา้ งความสนใจ 9. ใบงานที่ 2 ภมู ิคุ้มกนั ของคน 1 ชุด ขันสรา้ งความสนใจ 10. แบบฝกึ เสรมิ ประสบการณ์ เร่อื ง ภูมคิ มุ้ กนั ของรา่ งกาย

10. การวัดผลและประเมินผล เป้าหมาย หลักฐานการเรียนรู้ วธิ ีวดั เครื่องมอื วดั ฯ ประเด็น/ การเรยี นรู้ ชนิ้ งาน/ภาระงาน เกณฑ์การให้ นกั เรียนสามารถ กจิ กรรมที่ 1 การหมุนเวียนเลอื ด ตรวจใบงาน กิจกรรมที่ 1 การหมุนเวียน คะแนน ทาได้ถูกต้อง อธิบายระบบ ของปลา เลือดของปลา 70 % ขนึ ไป หมนุ เวยี นโลหติ ใบงาน ท่ี 1 เรอื่ ง การลาเลยี งสาร ใบงาน ที่ 1 เรอ่ื ง การลาเลียง ทาได้ถูกต้อง 70 % ขนึ ไป และระบบ ในร่างกายของสัตว์ สารในรา่ งกายของสตั ว์ ภมู คิ มุ้ กันได้ ใบกิจกรรม ที่ 1 หัวใจของสัตว์ ใบกิจกรรม ท่ี 1 หวั ใจของสัตว์ เลียงลูกดว้ ยนม เลียงลูกดว้ ยนม ใบงาน 1 เรอ่ื งส่วนประกอบของ ใบงาน 1 เรอื่ งส่วนประกอบ หัวใจ ของหัวใจ ใบงานท่ี 1 เรอื่ ง ระบบนาเหลือง ใบงานท่ี 1 เร่อื ง ระบบ ใบงานท่ี 2 เร่อื ง เปรยี บเทียบ นาเหลอื ง ระหว่าง เลอื ดและนาเหลอื ง ใบงานที่ 2 เร่ือง เปรียบเทียบ ใบงานท่ี 1 เร่ือง การป้องกนั และ ระหว่าง เลอื ดและนาเหลอื ง ทาลายเชอื โรคและสงิ่ ใบงานท่ี 1 เรอ่ื ง การป้องกนั แปลกปลอม และทาลายเชือโรคและสิ่ง ใบงานที่ 2 ภมู ิคุ้มกันของคน แปลกปลอม แบบฝกึ เสริมประสบการณ์ เร่อื ง ใบงานท่ี 2 ภูมคิ ุ้มกนั ของคน ภมู ิค้มุ กนั ของรา่ งกาย แบบฝกึ เสริมประสบการณ์ เรือ่ ง ภูมคิ ้มุ กนั ของร่างกาย แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ตรวจ แบบทดสอบก่อนเรยี น แบบทดสอบ ก่อนเรยี น

11. การบรู ณาการตามจุดเนน้ ของโรงเรียน หลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง ครู ผู้เรยี น 1. ความพอประมาณ พอดดี ้านเทคโนโลยี พอดดี ้านจติ ใจ รูจ้ ักใชเ้ ทคโนโลยีมาผลติ สื่อทเี่ หมาะสม มีจิตสานึกท่ีดี เออื อาทร ประนีประนอม และสอดคล้องเนอื หาเปน็ ประโยชน์ต่อ นึกถึงประโยชนส์ ่วนรวม/กลมุ่ ผ้เู รยี นและพฒั นาจากภูมปิ ัญญาของ ผเู้ รยี น 2. ความมเี หตุผล - ยึดถือการประกอบอาชพี ดว้ ยความ ไม่หยดุ น่ิงทห่ี าหนทางในชีวติ หลดุ พน้ ถกู ตอ้ ง สจุ รติ แม้จะตกอยู่ในภาวะขาด จากความทุกขย์ าก (การคน้ หาคาตอบ แคลน ในการดารงชวี ิต เพอื่ ให้หลุดพ้นจากความไมร่ ู้) 3. มีภมู ิคุมกันในตวั ทด่ี ี ภมู ปิ ัญญา : มีความรู้ รอบคอบ และ ภมู ิปญั ญา : มีความรู้ รอบคอบ และ ระมัดระวงั ระมัดระวัง สร้างสรรค์ 4. เง่ือนไขความรู้ ความรอบรู้ เรือ่ ง ระบบหมนุ เวียน ความรอบรู้ เร่ือง ระบบหมนุ เวยี น โลหิตและระบบภูมคิ มุ้ กัน โลหิตและระบบภมู ิคุ้มกนั 5. เง่ือนไขคุณธรรม มีความตระหนักใน คณุ ธรรม มี มีความตระหนกั ใน คณุ ธรรม มี ความซ่ือสัตย์สจุ รติ และมีความอดทน มี ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ และมคี วามอดทน มี สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ความเพยี ร ใชส้ ตปิ ญั ญาในการดาเนิน ความเพียร ใช้สตปิ ญั ญาในการดาเนนิ - ชีวติ ชวี ติ ส่งิ แวดล้อม ครู ผู้เรียน - - - ครู - ผเู้ รียน - ลงชอ่ื ..................................................ผ้สู อน (นางสาวจันจิรา ธนันชัย)

กจิ กรรมท่ี 1 การหมนุ เวยี นเลอื ดของปลา วัสดุ อุปกรณ์ 1. ปลาขนาดเลก็ เช่น ปลาหางนกยงู ลูกปานิล หรือลูกอ๊อด /2. สาลี 3. สไลดแ์ ละกระจก 4. กล้องจลุ ทรรศน์ วธิ กี ารทดลอง 1. นาปลาขนาดเล็กหรือลกู อ๊อดวางลงบนสไลด์ ใชส้ าลีชุบนาพันรอบส่วนหัวของปลาแล้วนากระจกปดิ สไลด์วาง ทับบริเวณส่วนหาง ดังภาพ 2. นาสไลด์ไปตรวจดดู ้วยกลอ้ งจลุ ทรรศน์โดยใช้เลนสใ์ กลว้ ัตถุกาลังขยายตา่ ศึกษาทิศทางและความเรว็ ของการ เคลื่อนท่ีของเซลลเ์ มด็ เลอื ดตรงบริเวณหาง สงั เกตการเรยี งตวั ของเม็ดเลอื ด ตารางบันทกึ ผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… - ทิศทางการเคลอื่ นท่ีของเซลล์เมด็ เลือดในหลอดเลอื ดมีความเร็วเท่ากนั ทุกหลอดเลือดหรอื ไม่อย่างไร - นักเรียนมีข้อสงั เกตอยา่ งไรวา่ หลอดเลือดใดเป็นหลอดเลือดอาร์เทอรหี รอื หลอดเลอื ดเวน

เฉลย กิจกรรมที่ 1 การหมุนเวยี นเลอื ดของปลา - ทศิ ทางการเคล่ือนทขี่ องเซลล์เม็ดเลือดในหลอดเลือดมีความเร็วเทา่ กนั ทุกหลอดเลือดหรือไม่อย่างไร ไมเ่ ท่ากัน เซลล์เมด็ เลือดท่ีเคลอ่ื นไปทางด้านหางเร็วกวา่ ไปทางดา้ นหวั และเซลลเ์ ม็ดเลอื ดท่ีเคล่อื นไปในหลอด เลือดขนาดเล็กกวา่ จะเคล่ือนทีเ่ รว็ กวา่ - นกั เรียนมขี ้อสังเกตอย่างไรวา่ หลอดเลอื ดใดเป็นหลอดเลือดอาร์เทอรีหรอื หลอดเลอื ดเวน หลอดเลือดอารเ์ ตอรเี ลือดจะไหลจากทางดา้ นโคนหางไปยงั ดา้ นปลายหาง สว่ นหลอดเลือดเวนจะไหลจากดา้ นปลายหางไปยงั ด้านโคนหาง

แบบทดสอบย่อย 1. การลาเลียงสารในร่างกายของสตั ว์เซลลเ์ ดียวและสง่ิ มีชีวติ หลายเซลล์ มกี ารลาเลยี งแบบใด ก. ผวิ สัมผัส ข. ท่อลาเลยี ง ค. หัวใจเทยี ม ง. หวั ใจ 2. ไส้เดือนดนิ มีการลาเลยี งสารในรา่ งกายอยา่ งไร ก. ผวิ สัมผัส ข. ทอ่ ลาเลียง ค. หัวใจเทยี ม ง. หวั ใจ 3. แมลงมีการลาเลียงสารในร่างกายอย่างไร ก. ผวิ สัมผสั ข. ทอ่ ลาเลียง ค. หวั ใจเทยี ม ง. หวั ใจ 4. ปลามหี วั ใจกหี่ อ้ ง ก. 2 ข. 3 ค. 4 ง. 5 5. เลอื ดมีการไหลเวยี นในเลือดตลอดเวลาเรียกวา่ ก. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปดิ ข. ระบบหมุนเวยี นเลอื ดแบบเปิด ค. ระบบหมุนเวยี นเลือดแบบสลับ ง. ระบบหมนุ เวียนเลือดแบบปิด 6. เลือดมีการไหลเวยี นในเลือดตลอดเวลาเรียกว่า ก. ระบบหมุนเวยี นเลือดแบบปดิ ข. ระบบหมนุ เวียนเลือดแบบเปิด ค. ระบบหมุนเวยี นเลือดแบบสลับ ง. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด

7. หวั ใจเทยี มของไส้เดือนดนิ ทาหน้าทีเ่ หมือนกบั โครงสร้างใดของมนษุ ย์ ก หัวใจ ข เสน้ เลอื ดและหัวใจ ค เวนทรเิ คลิ ง เอเทรยี ม 8. สตั วช์ นิดใดมีระบบหมุนเวยี นเลอื ดแบบเปดิ ก. ไส้เดอื นดิน ข. แม่เพรียง ค. ก้งุ กุลาดา ง. ปลาหมกึ กล้วย 9. เราจะพบลกั ษณะทีเ่ หมือนกันของหวั ใจสัตว์ 2 ชนิด คือ กบและหมใู นขอ้ ใด ก. มเี วนตรเิ คิลสองห้อง ข. เลอื ดท่ีมอี อกซิเจนสูงไหลเขา้ ส่หู ัวใจห้องเอเตรยี มซ้าย ค. เลือดที่มอี อกซเิ จนสงู ไหลเขา้ สหู่ ัวใจห้องเอเตรยี มขวา ง. เลือกทเี่ ข้าหวั ใจห้องเอเตรียมซ้ายนีมาจากจากปอดเท่านนั 10. ทศิ ทางการเคล่ือนท่ขี องเซลล์เม็ดเลือดในหลอดเลือดมคี วามเร็วเทา่ กันทุกหลอดเลือดหรอื ไม่อยา่ งไร ก. ไมเ่ ท่ากัน เซลลเ์ ม็ดเลือดท่ีเคลอ่ื นไปทางดา้ นหางเรว็ กว่าไปทางด้านหัวและเซลล์เมด็ เลือดทเ่ี คล่ือนไปในหลอด เลอื ดขนาดเล็กกว่าจะเคล่อื นที่เร็วกวา่ ข. ไม่เทา่ กัน เซลลเ์ ม็ดเลือดท่ีเคลื่อนไปทางด้านหางช้ากว่าไปทางด้านหัวและเซลลเ์ มด็ เลือดทเ่ี คล่ือนไปในหลอด เลอื ดขนาดเล็กกวา่ จะเคลอื่ นท่ีเร็วกวา่ ค. ไม่เทา่ กัน เซลล์เม็ดเลอื ดทเ่ี คลื่อนไปทางด้านหางช้ากว่าไปทางดา้ นหวั และเซลล์เม็ดเลือดท่เี คลื่อนไปในหลอด เลือดขนาดเล็กกว่าจะเคลอ่ื นทีช่ ้ากวา่ ง. ไมเ่ ท่ากัน เซลลเ์ ม็ดเลือดที่เคลื่อนไปทางด้านหางเร็วกวา่ ไปทางด้านหัวและเซลล์เม็ดเลือดที่เคลอ่ื นไปใน หลอดเลอื ดขนาดเลก็ กวา่ จะเคล่ือนทีช่ า้ กวา่

เฉลยแบบทดสอบยอ่ ย 1. ก 2. ค 3. ง 4. ก 5. ก 6. ข 7. ข 8. ค 9. ข 10. ก

ใบงาน ท่ี 1 เร่ือง การลาเลยี งสารในร่างกายของสัตว์ จงตอบคาถามต่อไปนีใ้ ห้ถูกต้อง เรอื่ ง การลาเลยี งสารในร่างกายของสงิ่ มีชวี ิตเซลล์เดียวและสตั ว์ 1.แมลงไดร้ ับออกซิเจนจากระบบหมนุ เวียนเลือดหรอื ไม่ เพราะเหตุใด คาตอบ . ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................ 2.เลอื ดท่ไี หลผ่านหัวใจของปลาเป็นเลอื ดท่มี ีแก๊สออกซิเจนมากหรอื น้อย เพราะเหตุใด คาตอบ . ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................

ใบงาน ที่ 1 เร่อื ง การลาเลยี งสารในร่างกายของสตั ว์ จงตอบคาถามต่อไปนีให้ถูกต้อง 1. แมลงได้รบั ออกซิเจนจากระบบหมนุ เวยี นเลอื ดหรือไม่ เพราะเหตุใด คาตอบ แมลงไดร้ บั ออกซิเจนจากท่อลมซ่งึ แตกแขนงเปน็ ท่อลมฝอยนาออกซิเจนไปใหเ้ ซลลโ์ ดยตรง และเลอื ด ของแมลงไมม่ ีฮีโมโกลบินท่ีจะนาออกซิเจนไปให้เซลล์ 2. เลอื ดที่ไหลผา่ นหวั ใจของปลาเปน็ เลอื ดท่ีมีแกส๊ ออกซิเจนมากหรือน้อย เพราะเหตุใด คาตอบ เลือดที่ไหลผ่านหัวใจของปลาเป็นเลือดที่มอี อกซเิ จนน้อย เนอ่ื งจากเป็นเลอื ดทมี่ าจากสว่ นตา่ งๆของ ร่างกาย

ใบกิจกรรม ที่ 1 หัวใจของสัตวเ์ ลี้ยงลกู ดว้ ยนม วัสดุอุปกรณ์ 1. หวั ใจหมู 2. ถุงมือยาง 3. แทง่ แกว้ คนสาร 4. เครื่องมือผา่ ตัด 5. ถาดผ่าตดั วธิ ีการทดลอง ศึกษาหวั ใจของสตั วเ์ ลยี งลกู ด้วยนานม เช่น หวั ใจหมู โดยให้นกั เรยี นสวมถงุ มือยาง นาหัวใจมาล้างให้สะอาด แล้วดาเนินการดงั นี 1. สงั เกตขนาด รปู รา่ งภายนอก และหลอดเลือดเล็กๆ ทีผ่ ิวรอบนอกสุดของหวั ใจ 2. สงั เกตความหนาของผนงั หลอดเลือดที่ติดต่อกบั หัวใจ ใช้แทง่ แก้วปลายทหู่ รือนิวมือสอดลงไปตามหลอด เลอื ดทมี่ ีขนาดใหญ่ท่สี ดุ 3. ใช้กรรไกรตดั ผนงั หลอดเลอื ดเข้ามาจนถึงโคนหลอดเลอื ด และตดั ต่อเข้าไปจนถึงผนังหอ้ งหวั ใจ สังเกต ลกั ษณะลินของหวั ใจที่กันระหวา่ งห้องเอเตรียมและห้องเวนตรเิ คลิ ใชก้ รรไกรตดั สว่ นปลายล่างสดุ ของของหวั ใจห้องเวน ตรเิ คลิ ใหเ้ ปน็ ชอ่ ง และใสน่ าเข้าไปในช่องใหน้ าไหลตา้ นลนิ หัวใจ สังเกตว่าลินเปิดหรือปิด 4. ใช้มดี ผา่ ผนงั หวั ใจตอ่ ไปจนถึงโคนหลอดเลือดหลอดหนึ่ง ใชแ้ ทง่ แกว้ ปลายดา้ นทู่หรอื นวิ มอื สอดไปตาม หลอดเลอื ดที่ติดต่อกบั หวั ใจห้องนี สังเกตลินท่ีอย่บู ริเวณในหลอดเลือด 5. ทาเช่นเดยี วกบั 3 และ 4 กบั หลอดเลอื ดใหญ่อีกหลอดหนง่ึ แล้วผ่าหัวใจตามยาวออกเป็นซีกซา้ ยและขวา สังเกตห้องทงั 4 ภายในหัวใจ 6. ใช้เข็มเข่ียตรงบรเิ วณลนิ ท่ีกนั ภายในหลอดเลือดที่ออกจากหัวใจหอ้ งเวนตริเคลิ ซ้าย ซึ่งมี 3 แฉก เพื่อศึกษา ช่องทางท่ีเลอื ดจะไปเลียงหัวใจ 7. รายงานสรปุ ผลการศึกษาโครงสร้างของหัวใจและทิศทางการหมุนเวยี นเลอื ดผ่านหัวใจ

แบบทดสอบย่อย 1. หวั ใจคนหอ้ งใดมีแรงบบี มากท่สี ดุ ก. ห้องบนขวา ข. ห้องบนซ้าย ค. ห้องล่างขวา ง. หอ้ งลา่ งซา้ ย 2. เสน้ เลอื ดใดมีออกซเิ จนในปริมารมาก ก. PULMONARY ARTERY ข. PULMONARY ARTERY ค. RENAL VEIN ง. HEPATIC VEIN 3. หัวใจมหี ลอดเลือดนาเลอื ดมาเลยี งกลา้ มเนือหวั ใจ เรียกวา่ ก. โคโรนารอี ารเ์ ตอรี ข. พลั โมนารอี ารเ์ ตอรี ค. พัลโมนารีเวน ง. เอออรต์ า 4. หวั ใจคนปกติจะมีอัตราการเตน้ อยู่ระหวา่ งเท่าใด ก. 50-60 ข. 60-70 ค. 60-100 ง. 60-120 5. ความดนั เลือดของผูใ้ หญ่ตามปกตมิ ีคา่ เฉล่ียประมาณกมี่ ิลลเิ มตรของปรอท ก. 90/60 ข. 110/70 ค. 120/80 ง. 130/90 6. หลอดเลอื ดในข้อใดท่มี ีความดันเลือดสงู ท่ีสุด ก. หลอดเลอื ดท่นี าเลือดออกจากหวั ใจ ข. หลอดเลือดทีน่ าเลือดออกจากปอด ค. หลอดเลอื ดท่ีนาเลอื ดออกจากตบั ง. หลอดเลอื ดท่ีนาเลือดออกจากไต

7. การหมนุ เวียนเลือดในรา่ งกายคนจะผ่านอวยั วะต่าง ๆ ต่อไปนีตามลาดับอย่างไรจงึ จะถูกต้อง 1. หวั ใจ 2. หลอดเลือดแดง 3. หลอดเลอื ดดา 4. หลอดเลอื ดฝอย 5. ปอด คาตอบทีถ่ ูกตอ้ งคือ ก. 1-2-3-4-5 ข. 1-2-4-3-5 ค. 2-5-3-4-1 ง. 3-1-5-4-2 8. อวัยวะท่ีทาหนา้ ที่สบู ฉีดเลือดใหไ้ หลไปทิศทางต่างๆ ทั่วรา่ งกาย คืออะไร ก. ไต ข. ปอด ค. หวั ใจ ง. หลอดเลอื ด 9. หลอดเลือดทนี่ าเลือดออกจากหัวใจไปยังส่วนตา่ งๆ ของร่างกายคือข้อใด ก. หลอดเลือดดา ข. หลอดเลอื ดแดง ค. หลอดเลอื ดฝอย ง. ข และ ค 10. ส้นเลอื ดชนิดใดที่ใชว้ ัดชพี จร ก. เส้นเลอื ดดา ข. เส้นเลอื ดแดง ค. เสน้ เลอื ดฝอย ง. เส้นเลือดท่ีขัวปอด

เฉลยแบบทดสอบยอ่ ย 1. ง 2. ข 3. ก 4. ค 5. ค 6. ก 7. ก 8. ค 9. ข 10. ข

ใบกจิ กรรมท่ี 1 หัวใจของสัตวเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้านม วสั ดอุ ุปกรณ์ 1. หวั ใจหมู 2. ถุงมือยาง 3. แท่งแก้วคนสาร 4. เครอื่ งมือผา่ ตัด 5. ถาดผา่ ตดั วธิ กี ารทดลอง ศกึ ษาหวั ใจของสัตวเ์ ลยี งลกู ด้วยนานม เช่น หัวใจหมู โดยใหน้ กั เรยี นสวมถงุ มือยาง นาหัวใจมาล้างใหส้ ะอาดแลว้ ดาเนินการดังนี 1. สงั เกตขนาด รูปรา่ งภายนอก และหลอดเลือดเล็กๆ ท่ผี ิวรอบนอกสดุ ของหวั ใจ 2. สงั เกตความหนาของผนังหลอดเลอื ดท่ีติดต่อกับหวั ใจ ใชแ้ ท่งแกว้ ปลายทู่หรือนวิ มือสอดลงไปตามหลอด เลือดที่มีขนาดใหญ่ทีส่ ุด 3. ใชก้ รรไกรตดั ผนังหลอดเลือดเข้ามาจนถงึ โคนหลอดเลอื ด และตดั ต่อเข้าไปจนถึงผนงั หอ้ งหวั ใจ สงั เกต ลกั ษณะลินหวั ใจทีก่ ันระหว่างห้องเอเตรยี มและหอ้ งเวนตริเคลิ ใชก้ รรไกรตดั ส่วนปลายล่างสดุ ของหัวใจห้องเวนตริเคลิ ให้ เปน็ ชอ่ ง และใสน่ าเขา้ ไปในชอ่ งให้นาไหลตา้ นลนิ หวั ใจ สังเกตวา่ ลินเปิดหรอื ปดิ 4. ใช้มีดผา่ ผนังหัวใจตอ่ ไปจนถงึ โคนหลอดเลือดหลอดหน่ึง ใช้แท่งแกว้ ปลายท่หู รือนิวมือสอดไปตามหลอด เลอื ดท่ีตดิ ต่อกบั หัวใจห้องนี สังเกตลินท่ีอยบู่ ริเวณโคนหลอดเลอื ด 5. ทาเช่นเดียวกบั ข้อ 3 และ 4 กบั หลอดเลอื ดใหญ่อีกหลอดหน่งึ แล้วผา่ หวั ใจตามยาวออกเปน็ ซีกซา้ ยและขวา สงั เกต หอ้ งทงั 4 ภายในหัวใจ 6. ใชเ้ ขม็ เขี่ยตรงบรเิ วณลนิ ที่กนั ภายในหลอดเลือดท่ีออกจากหัวใจห้องเวนตริเคลิ ซ้ายซึ่งมี 3 แฉก เพ่อื ศกึ ษา ชอ่ งทางที่เลือดจะไปเลียงหวั ใจ 7. รายงานสรปุ ผลการศึกษาโครงสรา้ งของหวั ใจและทิศทางการหมุนเวยี นเลอื ดผา่ นหวั ใจ

ใบงาน 1 เรอ่ื งสว่ นประกอบของหวั ใจ ใหน้ ักเรยี นจบั คคู่ าตอบตอ่ ไปนใี หถ้ ูกต้อง ……….1. หลอดเลอื ดท่นี าเลือดออกจากรา่ งกายส่วนบนเข้าสู่หวั ใจ ……….2. ลินที่กันระหว่างหัวใจหอ้ งบนซา้ ย กับห้องล่างซ้าย ……….3. ระบบเลอื ดทเ่ี ลือดไหลอย่ใู นหลอดเลือดตลอดเวลา ……….4. ระบบหมุนเวียนเลือดทเี่ ลอื ดผา่ นหัวใจครงั เดียว ……….5. เสน้ เลือดใหญท่ นี่ าเลอื ดออกจากหวั ใจไปยงั ส่วนต่างๆของรา่ งกาย ……….6. เสน้ เลือดท่ีนาเลอื ดจากปอดเข้าสหู่ วั ใจ ……….7. ลนิ หัวใจทีก่ นั ระหว่างหัวใจหอ้ งลา่ งขวากบั หลอดเลือดไปปอด ……….8. แอง่ ของเหลวท่ีเกิดจากการปนกันของน้าเลอื ดกับนา้ เหลือง ……….9. เสน้ เลือดท่ีนาเลือดเข้าสหู่ วั ใจ ……….10. เส้นเลือดทีน่ าเลือดสว่ นล่างเข้าสูห่ วั ใจ A. Closed Circulatory system B. Single Circulation C. Superior vena cava D. Bicuspid valve E. Aorta F. Vein G. Pulmonic valve H. hemocoel I. inferior vena cava J. pulmonary veins

ใบงาน 1 เรอื่ งส่วนประกอบของหวั ใจ ให้นกั เรียนจับคคู่ าตอบต่อไปนีให้ถกู ต้อง C 1. หลอดเลือดทีน่ าเลอื ดออกจากรา่ งกายส่วนบนเขา้ สู่หวั ใจ D 2. ลินทก่ี นั ระหวา่ งหวั ใจห้องบนซ้าย กับหอ้ งลา่ งซา้ ย A 3. ระบบเลอื ดท่ีเลือดไหลอยู่ในหลอดเลือดตลอดเวลา B 4. ระบบหมุนเวยี นเลอื ดท่ีเลอื ดผ่านหัวใจครงั เดยี ว E 5. เส้นเลอื ดใหญท่ นี่ าเลอื ดออกจากหวั ใจไปยังส่วนต่างๆของรา่ งกาย F 6. เส้นเลอื ดทน่ี าเลือดจากปอดเข้าสหู่ ัวใจ G 7. ลินหวั ใจที่กนั ระหวา่ งหัวใจห้องล่างขวากับหลอดเลอื ดไปปอด H 8. แอ่งของเหลวทเ่ี กดิ จากการปนกนั ของนาเลือดกบั นาเหลอื ง J 9. เสน้ เลือดที่นาเลือดเข้าสูห่ ัวใจ I 10. เส้นเลือดทน่ี าเลอื ดส่วนลา่ งเขา้ สู่หวั ใจ A. Closed Circulatory system B. Single Circulation C. Superior vena cava D. Bicuspid valve E. Aorta F. Vein G. Pulmonic valve H. hemocoel I. inferior vena cava J. pulmonary veins

ใบความรู้ เรอ่ื ง การลาเลยี งสารในรา่ งกายคน คนมรี ะบบเลือดแบบวงจรปิด โดยมหี ัวใจทาหนา้ ทส่ี ูบฉีดเลือดและมี หลอดเลือด เป็นท่อลาเลยี งเลือด เม่อื หวั ใจบีบตัว เลือดจะถูกสง่ ไปตามหลอดเลือดหมนุ เวยี นไปท่วั รา่ งกาย รปู ท่ี 6.101 แสดงการหมนุ เวยี นของเลือดในระบบเลือดแบบวงจรปดิ ของคน การหมุนเวยี นเลือดในระบบเลอื ดแบบวงจรปิด แสดงตามแผนผงั นี้ หัวใจ เอออร์ตา อาร์เตอรี อารเ์ ตอริโอล หลอดเลอื ดฝอย เวนาคาวา เวน เวนูล

รปู ที่ 6.102 แสดงหลอดเลือดแดงและหลอดเลอื ดดาท่ีสาคัญของระบบหมนุ เวียนเลอื ด ของคน หวั ใจ หัวใจของสตั วเ์ ลียงลูกด้วยนานม ( รวมทังคน ) มีลักษณะใกลเ้ คยี งกันจึงสามารถหามาทากิจกรรมได้โดยงา่ ยโดย ใช้หวั ในหมู ตาแหน่งของหัวใจคนจะตังอยู่ในทรวงอกค่อนไปทางซ้ายเล็กน้อย มีเยื่อหุ้มหัวใจเรียกว่า เพอริคาร์เดียม ( Pericadium ) ล้อมรอบ ซ่ึงมีนาเหลืองหล่อเลียงอยู่ภายในเยื่อหุ้มนี หัวใจประกอบไปด้วยเนือเย่ือ 3 ชัน ชันนอกและ ชันในเป็นชันเนือเยอ่ื บผุ วิ บาง ๆ แตเ่ นือเย่อื ชันกลางนนั หนามาก เพราะเป็นสว่ นของกลา้ มเนอื หัวใจ ( Cardiac muscle ) ซ่ึงมีลักษณะพิเศษท่ีมีการทางานอยู่นอกอานาจจิตใจ และมีลายเล็กน้อย หากตัดกล้ามเนือหัวใจจะแยกออกเป็น 2 แฉก และตอ่ เนือ่ งกนั กับเซลลอ์ ่นื ๆ โดยตลอด การหมุนเวียนเลือดในคนมีความซับซ้อนมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามคงมีหลักการเดียวกับสัตว์ชันสูงโดยทั่ว ๆ ไป ท่มี ีหัวใจเป็นตัวสบู ฉดี เลอื ดไปเลยี งร่างกายตลอดเวลาและหัวใจมี 4 หอ้ ง คือเอเตรยี ม 2 ห้อง และเวนตรเิ คลิ 2 หอ้ งเลือด ดีจะอยู่ซีกซ้าย และเลือดเสียจะอยู่ทางซีกขวา ซีกซ้ายใหญ่กว่าซีกขวา โดยดูจากร่องแบ่ง ซีกซ้ายของหัวใจมีหลอดเลือด 2 เส้น คือ พัลโมนารีเวน( Pulmonary vein ) เป็นเส้นรับเลือดจากปอดซ้ายและขวาเพ่ือเข้าสู่เอเตรียมซ้าย ส่วนซีกขวา ของหัวในมีหลอดเลือด 2 เส้น รับเลือดจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าสู่หัวในห้องเอเตรรียมขวา เส้นนีคือ เวนาคาวา เป็นหลอดเลือดที่มีผนังบางแต่เป็นเส้นที่มีขนาดใหญ่ท่ีสุด ซึ่งแบ่งเป็นซูพีเรีย เวนาคาวา ( Superior venacava ) รับ

เลือดเสียจากส่วนหัวและแขน และอินฟีเรีย เวนาคาว ( Inferior venacava ) รับเลือดเสียจากลาตัวและขา ถ้าติดตาม เส้นเวนาคาวาเข้าไปจะถงึ หัวในห้องเอเตรยี มขวา เมอ่ื เอเตรยี มขวาบีบตวั เลอื ดจะไหลลงสเู่ วนตริเคลิ ขวา โดยผ่านลินสาม แฉกหรือ ลิ้นไตรคัสปิด ( Tricuspid vale ) ลินนีมีลักษณะลู่ลงไปยังห้องเวนตริเคิล แสดงว่าทิศทางของเลือดจะไหล จากบนลงล่าง เมื่อผ่าห้องเวนตริเคิลของหัวใจพบว่าห้องเวนตริเคิลซ้ายหนากว่าห้องเวนตริเคิลขวา แสดงว่าการบีบตัว ของห้องเวนตริเคิลซ้ายมีมาก เน่ืองจากต้องสูบฉีดเลือดให้ไปเลียงได้ท่ัวร่างกาย ห้องเวนตริเคิลขวาผนังบางกว่าห้องเวน ตรเิ คิลซา้ ย เพราะสบู ฉดี เลือดส่งไปฟอกท่ปี อดเท่านนั ในหัวใจห้องเอเตรียมซ้ายกับห้องเวนตริเคิลซ้ายมีทางต่อถึงกัน โดยมีลินไบคัสปิด ( Bicuspid vale ) คือลินท่ีมี ลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ 2 แผ่น ปิดกันไม่ให้เลือดไหลย้อนขึนไปสหู่ ้องเอเตรียมซ้าย จากเวนตริเคิลซ้ายนีมีหลอดเลือดนา เลือดออกจากเวนตริเคิลซ้ายไปเลียงร่างกาย หลอดเลือดนีคือหลอดเลือดแดงใหญ่ท่ีบางคน เรียกว่า ขัวหัวใจหรือเอออร์ ตา ( Aorta ) ในหลอดเลือดนีมีลินเซมิลนู าร์ ( Semilunar valve ) เป็นลินลักษณะคร่ึงวงกลม 3 ชิน ชนกันเช่นเดียวกับ ในพัลโมนารีอาร์เตอรี ( Pulmonary artery ) ท่ีนาเลือดจากหัวใจเวนตริเคิลขวาไปปอดก็มีลินลักษณะเดียวกันนีกันอยู่ เพอื่ กันไม่ให้เลือดไหลยอ้ นเขา้ สู่หัวใจห้องล่างอีก หากสูบฉดี ออกไปจากหวั ใจแลว้ รปู ท่ี 6.105 แผนภาพผา่ หัวใจตามยาว สรปุ หัวใจ 4 ห้อง ประกอบด้วย 1. เอเตรยี มขวา เป็นหวั ใจห้องบนขวา รบั เลือดทใี่ ช้แลว้ จากร่างกายเข้าสูห่ ัวใจ โดยรับเลือดจากซูพเี รีย เวนาคา วา ซงึ่ รับเลอื ดมาจากสว่ นหวั และแขนและอกี เส้นหนงึ่ คอื อินฟิเรีย เวนาคาวา ซ่ึงรับเลือดจากลาตวั และขา

2. เอเตรียมซ้าย เป็นหัวใจห้องบนซ้าย รับเลือดดีที่มีออกซิเจนสูงจากปอด กลับเข้าหัวใจทางหลอดเลือดพัลโม นารีเวน 3. เวนตริเคิลขวา หรือหัวใจห้องล่างขวา รับเลือดจากเอเตรียมขวาส่งไปฟอกที่ปอด โดยหลอดเลือดพัลโมนารี เวน 4. เวนตริเคิลซ้าย หรือหัวใจห้องล่างซ้าย รับเลือดจากเอเตรียมซ้ายซ่ึงเป็นเลือดดี ส่งไปเลียงส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกาย โดยอาศยั หลอดเลอื ดเอออร์ตา เวนติเคลิ ซ้ายมีผนงั กลา้ มเนอื หนาท่สี ุด ล้ินหัวใจ ลนิ หัวใจกันระหว่างห้องต่าง ๆ เพ่ือไมใ่ หเ้ ลือดไหลย้อนกลับ ได้แก่ 1. ล้ินไตรคัสปิด ( Tricuspid valve ) กันระหว่างหัวใจห้องเอเตรียมขวาและเวนตริเคิลขวา มีลักษณะเป็น เยื่อ 3 ชิน โดยเปิดให้เลือดไหลจากห้องเอเตรียมลงสู่เวนตริเคิล และเมื่อเวนตริเคิลบีบตัวมีความดันสูงขึนจะดันให้ลินนี ปดิ ป้องกันเลอื ดไหลย้อนกลับสู่เอเตรียมขวา 2. ลิน้ ไบคัสปิด ( Bicuspid vale ) หรือลน้ิ ไมตรัล ( Mitral valve ) กันระหวา่ งหัวใจหอ้ งเอเตรียมซา้ ยกับ เวนตรเิ คิลซา้ ย เป็นเยือ่ 2 ชนิ ทีย่ อมใหเ้ ลือดไหลจากหอ้ งบนลงส่หู ้องล่าง แต่จะปดิ กันไม่ให้เลอื ดไหลย้อนกลับห้องเอ เตรยี มซ้าย 3. ลิ้นเซมิลูนาร์ ( Semilunar valve ) มีลักษณะเป็นรูปคร่ึงวงกลมกันระหว่างเวนตริเคิลขวากับโคนหลอด เลือดพลั โมนารี อารเ์ ตอรี จึงเรียกว่า ลนิ้ พัลโมนารีเซมิลูนาร์ ( Pulmonary senilunar valve ) อีกลินหน่งึ กันระหวา่ ง เวนตรเิ คิลซ้ายกบั โคนหลอดเลือดเอออร์ตา จงึ เรยี กวา่ ลิน้ เอออรต์ ิกเซมลิ นู าร์ ( Aortic semilunar valve ) จากการศึกษาตัวอย่างหัวใจสัตว์เลียงลูกด้วยนานมแล้วจะพบว่า หัวใจมีหลอดเลือดอยู่ 2 กลุ่ม ท่ีต่อเนื่องกับ หัวใจ กลมุ่ หลอดเลือดท่ีนาเลือดจากสว่ นต่าง ๆ ขอองร่างกายเข้าสหู่ ัวใจเรยี กหลอดเลือดเหลา่ นีว่า เวน ( Vein ) สาหรบั หลอดเลอื ดกลมุ่ ทนี่ าเลอื ดออกจากหวั ใจเรียกวา่ อาร์เตอรี ( Arterry ) ในกลุ่มของเวนหากมีขนาดใหญ่ขึนเรียกว่า เวนาคาวา ( Venacava ) เส้นที่เล็กลงกว่าเวนเรียกว่า เวนูล ( Vanule ) และหลอดเลือดทเ่ี ล็กกวา่ นี คอื หลอดเลือดฝอย ( Capillary ) สาหรับกล่มุ อารเ์ ตอรีนันเส้นท่ีใหญ่กว่าอาร์เตอรี คอื เอออรต์ าร์หรือขั้วหัวใจ ( Aorta ) ซ่ึงมีอยูเ่ พียงเสน้ เดียวที่ ออกจากหัวใจหอ้ งลา่ งซา้ ย เส้นท่เี ลก็ กวา่ อารเ์ ตอรี คอื อาร์เตอริโอล ( Arteriole ) และท่เี ล็กกว่านีคอื หลอดเลอื ดฝอย การหมนุ เวยี นเลอื ดผ่านหัวใจ เริ่มจากหัวใจห้องบนขวารับเลือดจากส่วนหัว และแขนทาง ซูพีเรียเวนาคาวา (Superior venacava ) ส่วน เลอื ดจากลาตวั และขาเข้าทาง อินฟิเรียเวนาคาวา ( Inferior venacava ) เขา้ ส่หู วั ใจหอ้ งบนขวาเชน่ กัน เมอ่ื หัวใจห้อง บนขวาบีบตัวเลือดไหลลงสูห่ ้องล่างขวา โดยผา่ นลินสามแฉกหรือลนิ ไตรคสั ปิด ( Tricuspid valve ) เม่อื หวั ใจหอ้ งล่าง ขวาบบี ตัวเลอื ดจะเขา้ สู่พัลโมนารี อาร์เตอรี (Pulmonary artery ) โดยผ่านลินเซมลิ ูนาร์ (senilunar valve ) หลอด เลือดนีนาเลอื ดไปแลกเปล่ยี นแก๊ส โดยการปล่อยคาร์บอนไดออกไซดใ์ ห้กับปอด แล้วรับออกซเิ จนจากปอด ทาให้เลอื ดที่มี ออกซิเจนสูงไหลกลับเข้าสู่หัวใจทางพัลโมนารีเวน ( Pulmonary vein ) ส่งไปสู่ห้องบนซ้าย เม่ือห้องบนซ้ายบีบตัว เลือดจะไหลผ่านลนิ ไบคัสปิดหรือลินไมตรัล (Bicuspid vale หรือ Mitral valve ) ลงสูห่ อ้ งล่างซา้ ย เมื่อหอ้ งลา่ งซ้าย บีบตัวเลือดจะไหลออกทางเอออร์ตาไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และในเอออร์ตามีลินเซมิลูนาร์เปน็ ตัวกันมิให้เลอื ดไหล

ย้อนกลับเขา้ สู่หัวใจห้องลา่ งซ้ายอกี ครัง เม่อื หลอดเลอื ดเลยี งสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายเสร็จแล้วจะกลายเป็นเลือดเสยี กลบั เข้าสหู่ ัวใจหอ้ งบนขวาทางเวนาคาวา ดงั กล่าวแล้ว รูปท่ี 6.109 แสดงการทางานของกลา้ มเนือ้ หัวใจห้องบน และห้องลา่ งซีกซ้ายเทา่ น้นั รูปที่ 6.110 ในการทางานของหัวใจน้นั หอ้ งบนจะบีบตัวในจังหวะเดยี วกันท้งั ห้องซ้ายและ ขวา ดันเลอื ดให้ไหลลงห้องล่าง เมื่อห้องลา่ งบีบตัวพรอ้ มกนั เลือดจะออกทาง หลอดเลือดที่ออกจากหัวใจ

รปู ท่ี 6.111 แผนภาพบนแสดงทิศทางการไหลเวยี นของเลือดที่หวั ใจ เลือดดาจาก ทัว่ รา่ งกาย ไหลกลบั มาเขา้ หวั ใจซีกขวา แลว้ ถกู สง่ ไปปอด มีการแลกเปล่ียน แกส๊ ทป่ี อดเมือ่ เลอื ดรับออกซิเจนมากข้ึนกลายเปน็ หลอดเลอื ดแดงไหลกลบั หัวใจซีกซ้ายเพ่ือสบู ฉีดไปเลยี้ งทวั่ ร่างกาย ส่วนภาพล่างแสดงหลอดเลอื ดฝอย ในปอดซง่ึ เปน็ แหลง่ ท่ีเลือดดามารับออกซเิ จน

รปู ท่ี 6.112 แผนภาพแสดงรายละเอยี ดของทศิ ทางการไหลเวยี นเลือดในหวั ใจ

รปู ที่ 6.113 แผนภาพแสดงอารเ์ ตอรี และเวน หลอดเลอื ดสาคญั ๆ ในร่างกายสัตว์ เลยี งลูกด้วยนานม การบีบตัวของหัวใจห้องบนและห้องลา่ งจะบีบตวั ไม่พร้อมกัน จะบบี ตัวในระยะเวลาท่หี ่างกันไมม่ ากนัก โดยหอ้ ง บนจะบีบตวั ไล่เลือดลงส่หู ้องล่างก่อน จากนนั หัวใจห้องลา่ งจงึ บีบตัวไลเ่ ลอื ดออกจากหัวใจ แต่หัวใจห้องขวาและห้องซ้าย จะบบี ตวั ในจงั หวะเดยี วกนั การทางานของหัวใจมีจังหวะบีบตัวและคลายตัวประมาณนาทีละ 72 ครัง โดยการทางานของหัวใจชักนาใหเ้ กิด ความต่างศักย์ไฟฟ้า จึงสามารถใช้ประโยชน์จากความต่างศักย์ไฟฟ้า บันทึกการทงานของหัวใจได้โดยใช้เครื่องตรวจ คล่ืนไฟฟ้าของหัวใจ ( Electrocardiograph ) ซ่ึงจะบันทึกออกมาเป็นรูปกราฟ เรียกว่า คล่ืนไฟฟ้าของหัวใจ (Electrocardiogram ) หรอื ใชค้ ายอ่ ๆ วา่ ECG หรอื EKG

ใบงานที่ 1 เรอ่ื ง ระบบนา้ เหลือง คาชแี จง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามต่อไปนี 1. ระบบนาเหลือง ประกอบดว้ ย………………………………………………………………………….……………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..………………..………………………………………………… 2. นาเหลือง มลี ักษณะ………………………………………………………………………………………………….…………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..………………….……………………………………………… 3. ท่อนาเหลือง มลี ักษณะ………………………………………………………………………………..………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..……………..…………………………………………………… 4. บรเิ วณรา่ งกายที่พบต่อมนาเหลอื ง คือ……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………...……………………………………………………………… 5. อวยั วะนาเหลืองท่ีขนาดใหญ่ที่สดุ คอื ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..………………………………………………………………… 6. หนา้ ท่สี าคัญของนาเหลอื ง………………………………………………………………………..…………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..………..………………………………………………………

เฉลยใบงานที่ 1 เร่อื ง ระบบน้าเหลอื ง 1. ระบบนาเหลือง ประกอบดว้ ยนาเหลอื ง ทอ่ นาเหลือง อวัยวะนาเหลอื ง 2. นาเหลือง มลี ักษณะ เป็นของเหลวทซ่ี ึมผา่ นผนงั หลอดเลือดฝอยมาอยู่ระหวา่ งเซลล์ 3. ท่อนาเหลือง มีลักษณะ ท่อนาเหลอื งฝอยมปี ลายตัน ท่อนาเหลอื งฝอยจากบรเิ วณตา่ งๆ จะมารวมกันเปน็ ท่อ นาเหลอื งใหญ่ที่บรเิ วณใกล้หวั ใจ นาเหลอื งจะไหลเข้าสรู่ ะบบหมุนเวยี นเลือด 4. บรเิ วณรา่ งกายท่พี บตอ่ มนาเหลือง คือ ที่คอ รักแร้ โคนขา 5. อวัยวะนาเหลืองที่ขนาดใหญ่ทส่ี ดุ คือ ม้าม 6. หนา้ ทส่ี าคญั ของนาเหลือง 1. เปน็ ทางลาเลยี งไขมัน เซลล์เม็ดเลือดขาว และโปรตนี 2. ม้าม ทาหนา้ ทีท่ าลายเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง และเกลด็ ทห่ี มดอายุ และม้ามมเี ซลล์เม็ดเลือดขาวชว่ ยทาลาย เชอื โรคและส่งิ แปลกปลอม 3. ตอ่ มไทมัส เปน็ แหลง่ ทม่ี ีการเจริญของลิมโฟไซด์ 4. ทอมซิล ทาหน้าท่ีดกั และทาลายเชอื จุลินทรยี ์ไม่ให้ผ่านเข้าสู่รา่ งกาย

ใบงานท่ี 2 เรื่อง เปรยี บเทยี บระหวา่ ง เลอื ดและน้าเหลือง จงวเิ คราะหค์ วามเปรียบเทียบระหว่าง เลือดและนาเหลอื ง เลือด นา้ เหลอื ง

เฉลยใบงานที่ 2 เรอื่ ง เปรียบเทยี บระหวา่ ง เลือดและน้าเหลอื ง จงวิเคราะหค์ วามเปรยี บเทียบระหว่าง เลือดและนาเหลือง เลอื ด นา้ เหลือง ไตฟอกเลือด นา้ เหลืองจะถูกทาให้บรสิ ุทธิ์ในตัวเอง คุณสามารถเหน็ เลอื ดในกรณที ่มี ีความเสียหายให้กับ น้าเหลอื งไมส่ ามารถมองเหน็ ได้ดว้ ยตาเปล่า เรอื เลือดประกอบด้วยพลาสมาของเหลวเซลล์เม็ดเลือด นา้ เหลอื งกรองที่ช่องทางเขา้ มาในระบบหัวใจและ ขาวเซลล์เมด็ เลอื ดแดงและเกล็ดเลือด หลอดเลือดเป็นเหมือนของเหลวสีขาวหรือสขี าวใส เลือดจะสบู ไปทัว่ รา่ งกายโดยหวั ใจ น้าเหลืองจะถกู ย้ายไปผ่านฟังก์ช่ันปกติของร่างกาย เลือดขนส่งออกซิเจนไปทั่วร่างกาย น้าเหลืองขจัดของเสียออกจากระบบ เลอื ดไหลผา่ นรา่ งกายในลักษณะเปน็ วงกลม การเคล่อื นไหวของนา้ เหลอื งเป็นไปในทิศทางเดียว เลือดมีเซลลเ์ ม็ดเลือดแดงเม็ดเลอื ดขาวและเกลด็ นา้ เหลืองเปน็ ของเหลวสขี าวและชัดเจน เลือด

แบบทดสอบย่อย 1. นาเหลอื งต่างจากเลือด คือ ก.ไม่มีออกซิเจน ข. ไมม่ ีคาร์บอนไดออกไซด์ ค. ไมม่ ี แอนตอบอดี ง. ไม่มฮี โี มโกบิน 2. นาเหลอื ง และนาเลอื ดแตกตา่ งกนั คือ ก. ไมแ่ ตกต่างกัน ข. นาเลือดมี ไฟบิโนเจน น้อยกวา่ ค. นาเหลืองมีโปรตีนมากแต่เซลล์เม็ดเลอื ดขาวนอ้ ย ง. นาเหลอื งมโี ปรตนี น้อยแตเ่ ซลลเ์ มด็ เลือดขาวมาก 3. อวยั วะนาเหลือง มีลกั ษณะคลา้ ยกบั ตอ่ มนาเหลือง อวยั วะในข้อใดเป็นอวยั วะนาเหลือง ก. ม้าม ข. นาตอ่ มทอนซิน ค. ต่อมไทมัส ง. ถูกทกุ ข้อ 4. หนา้ ทสี่ าคญั ของตอ่ มนาเหลือง และอวัยวะนาเหลอื ง คือ ก. ทาลายเชอื โรค ข. กรองนาเหลือง ค. ทาลายเม็ดเลือดขาวและสร้างเซลล์เม็ดเลอื ดขาว(บางชนิด) ง. ถกู ทกุ ข้อ 5. คนท่ีมหี มเู่ ลือด Rh+ คือ ก. มีแอนตแิ จน Rh ท่ผี วิ เม็ดเลอื ดแดง แต่ไม่มีแอนติบอดี Rh ในนาเลอื ด ข. มแี อนติแจน Rh ท่ผี วิ เม็ดเลือดแดง และไมม่ แี อนติบอดี Rh ในนาเลอื ด ค. ไมม่ แี อนติแจน Rh ท่ีผวิ เมด็ เลอื ดแดง แต่ไม่มแี อนตบิ อดี Rh ในนาเลือด ง. ไม่มแี อนตแิ จน Rh ทผ่ี ิวเมด็ เลือดแดง และไมม่ ีแอนตบิ อดี Rh ในนาเลือด

6. ผ้รู บั มีเลือดหมู่ B จะรบั เลอื ดจากหมู่เลอื ด AB ไม่ได้เพราะอะไร ก. เพราะหมู่ AB มแี อนตแิ จน A ข. เพราะหมู่ AB มแี อนตแิ จน B ค. เพราะหมู่ AB มแี อนติแจนทงั A และ B ง. เพราะหมู่ AB ไม่มีแอนตแิ จนทงั A และ B 7. ผรู้ ับมีหมูเ่ ลอื ด O จะรับเลือดไดเ้ ฉพาะหมู่ O เทา่ นนั เพราะอะไร ก. เพราะหมู่ O มแี อนตบิ อดี b ข. เพราะหมู่ O มีแอนตบิ อดี a ค. เพราะหมู่ O มีแอนติบอดี O ง. เพราะหมู่ O มีแอนตบิ อดี ทงั a และ b 8. โรคใดท่ีไม่ไดต้ ิดต่อทางเลือด ก. เลอื ดจาง ข. ไวรสั ตบั อักเสบ ค. เอดส์ ง. ทาลัสซเิ มยี 9. โรคฮโี มฟิเลยี คอื ก. เลอื ดแข็งตวั ข. เลอื ดไม่แขง็ ตัว ค. ไมม่ เี กลด็ เลือด ง. ไม่มเี มด็ เลือดขาว 10. สว่ นประกอบของเลือดประกอบดว้ ยอะไรบ้าง ก. เซลล์เมด็ เลอื ดแดง เซลล์เม็ดเลอื ดแดง ข. เซลล์เมด็ เลือดแดง เซลลเ์ มด็ เลือดแดง เพลตเลต ค. เซลล์เมด็ เลอื ดแดง เซลล์เม็ดเลอื ดแดง เพลตเลต พลาสมา ง. เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดแดง เพลตเลต พลาสมา นาเหลอื ง

เฉลยแบบทดสอบยอ่ ย 1. ง 2. ค 3. ง 4. ง 5. ก 6. ค 7. ง 8. ก 9. ข 10. ค

ใบความรู้ เรอื่ ง สว่ นประกอบของเลือดและนา้ เหลือง เลอื ด ประกอบดว้ ย 2 สว่ น คอื 1. สว่ นท่เี ปน็ ของเหลว มี 55% โดยปริมาตร เรยี กว่า นาเลอื ดหรอื พลาสมา (Plazma) ประกอบด้วยนา ประมาณ 91% นอกนนั เปน็ สารอ่ืนๆ ได้แก่ สารอาหารต่างๆ เอนไซม์ และแกส๊ นาเลือดจะทาหน้าที่ ลาเลียงอาหารไปยงั เซลล์ และนาของเสียรวมทังก๊าซคารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากเซลล์ ไปยงั อวัยวะขบั ถา่ ย เพ่ือกาจดั ออกนอกรา่ งกาย นกั วทิ ยาศาสตรช์ าวอังกฤษชอ่ื วลิ เลยี ม ฮาร์วีย์ เปน็ ผทู้ พ่ี บการค้นพบการหมุนเวยี นของเลอื ด และอธิบายวา่ เลือดมีการ ไหลไปในทิศทางเดียวกนั 2. ส่วนที่เป็นของแข็ง มี 45% โดยปรมิ าตร ได้แก่ - เซลลเ์ มด็ เลอื ดแดง (Red blood cell) รูปร่างคอ่ นข้างกลมแบน ตรงกลางบุ๋ม ไมม่ นี ิวเคลยี ส มีรงควีตถุสี แดง เรียกวา่ ฮโี มโกลบนิ (Harmoglobin) ทาหน้าท่ลี าเลียงก๊าซออกซเิ จนไปยงั สว่ นต่างๆของร่างกาย แหลง่ ทส่ี ร้างเม็ด เลือดแดง คือ ไขกระดกู มีอายอุ ยู่ประมาณ 110 - 120 วนั หลังจากนนั จะถูกสง่ ไปทาลายทตี่ บั และมา้ ม - เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว (White blood cell) รปู รา่ งกลม มีขนาดใหญ่กว่าเซลลเ์ มด็ เลือดแดง แต่มีจานวนนอ้ ย กวา่ ไมม่ สี ี มีนวิ เคลียส แหล่งทสี่ ร้างเมด็ เลอื ดขาว คือ มา้ ม ไขกระดูก และต่อมนาเหลือง ทาหนา้ ที่ ทาลายเชอื โรค มอี ายุ ประมาณ 7 - 14 วนั - เกลด็ เลือดหรอื แผน่ เลือด (Blood platelet) ไมใ่ ช่เซลล์ แตเ่ ป็นชินสว่ นของเซลล์ มรี ปู ร่างกลม ไมม่ สี ี ไม่มนี ิวเคลียส มี อายุประมาณ 4 วัน ทาหนา้ ที่ ชว่ ยในการแขง็ ตวั ของเลือด หากเขียนตารางรบั และการให้หมูเ่ ลือดจะไดด้ ังนี ถา้ ผรู้ ับมีเลือดหมู่ B จะรบั เลอื ดจากหมู่ AB ไม่ได้ เพราะหมู่ AB มีแอนติเจน ทงั A และ B สว่ นผูร้ ับคือหมู่ B มแี อนตบิ อดี a สามารถจบั กลุ่มตกตะกอนกับแอนตเิ จน A ไดร้ ถา้ ผู้รับมีหม่เู ลือด O จะรบั เลอื ดได้เฉพาะหมู่ O เทา่ นนั เพราะหมู่ O มแี อนติบอดี ทงั a และ b ซ่ึงจะตรงกับ แอนตเิ จนของหมู่ A ,B และ AB จงึ รบั เลอื ดหมู่อื่นไม่ได้ จะเห็นวา่ การใหเ้ ลือดนนั พจิ ารณาเฉพาะแอนตเิ จนของผใู้ ห้กบั แอนตบิ อดีของผู้รบั เทา่ นัน ไม่ต้องพจิ ารณาถงึ แอนตบิ อดีของผใู้ หแ้ ละแอนติเจนของผรู้ บั เพราะหากนามาพิจารณาพรอ้ ม ๆ กนั กจ็ ะเหลอื แตก่ ารให้และรับเฉพาะหมู่ เลือดเดยี วกันเทา่ นนั โดยทว่ั ๆ ไปแล้วแอนตบิ อดีของผู้ให้ไมค่ ่อยมีผลกบั แอนตเิ จนของผู้รับมากนกั เน่ืองจากเลือดท่ใี หม้ ี ปริมาณนอ้ ยกวา่ เลอื ดของผู้รบั การตกตะกอนเกิดขนึ บ้างเพียงเล็กน้อย การรับและการใหด้ งั แผนภาพและตารางจึงใช้ได้

นอกจากหมู่เลอื ดทส่ี าคัญ 4 หมู่ แลว้ ยงั มหี มู่เลอื ดอีกหมทู่ ่ีมคี วามสาคัญแกช่ ีวติ นั่นคอื หมู่เลอื ดระบบ Rh ซง่ึ ได้มาจากคาว่า Rhesus monkey ซึ่งเปน็ ลิงวอกชนดิ หนึ่งมชี ่อื วิทยาศาสตร์ว่า Macaca mulutta หม่เู ลอื ดระบบ Rh แบง่ เป็น 2 พวก คือ Rh+ และ Rh- คนท่มี ีหมเู่ ลือด Rh+ มแี อนติเจน Rh ท่ีผวิ เมด็ เลือดแดง แตไ่ ม่มแี อนตบิ อดี Rh ในนาเลือด คนที่มีหมู่เลือด Rh- ไมม่ แี อนตเิ จน Rh ที่ผิวเมด็ เลอื ดแดง และไม่มีแอนตบิ อดี Rh ในนาเลอื ด แตค่ นทม่ี ี Rh- นีสามารถสร้างแอนติบอดี Rh ในนาเลอื ดได้ เมอื่ ไดร้ ับเลอื ดหมู่ Rh+ เขา้ ไป ในการถา่ ยเลือด ตอ้ งคานึงถงึ เลือด Rh ดว้ ย เพราะคนทม่ี ีเลือด Rh- ครงั แรกเมอื่ ได้รับเลือด Rh+ อาจถกู กระตุ้นให้สร้างแอนติบอดี Rh ใน รา่ งกายผ้รู ับและมีการสะสมแอนติบอดี Rh ในการรบั เลอื ดคราวต่อไปอาจมีการจับกลมุ่ ของเมด็ เลือดแดงทาให้ถึงตายได้ ในกรณที ่หี ญิงมเี ลือด Rh- แตง่ งานกบั ชายท่ีมีเลอื ด Rh+ หากเกดิ ทารกในครรภม์ เี ลือด Rh+ ซง่ึ ได้ยีนมาจาก พอ่ เลือดทารกในครรภ์นนั จะกระตุ้นให้แม่สรา้ งแอนติบอดี Rh ขึนมาต่อตา้ น Rh+ ทารกคนแรกอยู่ในครรภเ์ พียง 9 เดอื นแอนติบอดี Rh ของแมย่ ังไมม่ ากพอทจ่ี ะทาลาย Rh+ ได้ ลกู คนแรกจึงคลอดออกมาปกติ แต่ถ้าลูกคนถดั มาเกดิ มี Rh+ เป็นคนทีส่ องอีก เลือดของแมจ่ ะสรา้ งแอนตบิ อดี Rh เพ่ิมมากขึน และสามารถส่งเข้าไปยังรกสทู่ ารกในครรภ์ ทาให้ เม็ดเลือดแดงของทารกจับกลุ่มตกตะกอน ทารกถงึ ตายได้ โรคนเี รียกวา่ อิรโิ ทรบลาสโทซิส ฟที าลสิ หากเขยี นตารางรับและการให้หม่เู ลือดจะไดด้ งั นี

ผ้รู บั มีเลือดหมู่ B จะรับเลือดจากหมู่ AB ไม่ได้ เพราะหมู่ AB มีแอนตเิ จน ทงั A และ B สว่ นผรู้ ับคอื หมู่ B มแี อนตบิ อดี a สามารถจับกลุ่มตกตะกอนกบั แอนติเจน A ไดร้ ับ ถ้าผู้รบั มีหม่เู ลือด O จะรบั เลอื ดไดเ้ ฉพาะหมู่ O เท่านนั เพราะหมู่ O มีแอนติบอดี ทัง a และ b ซง่ึ จะตรงกบั แอนติเจนของหมู่ A ,B และ AB จงึ รบั เลอื ดหมู่อ่ืนไม่ได้ จะเห็นว่าการใหเ้ ลือดนันพจิ ารณาเฉพาะแอนติเจนของผู้ให้กับแอนตบิ อดีของผู้รับเทา่ นนั ไมต่ ้องพิจารณาถงึ แอนติบอดีของผู้ให้และแอนติเจนของผ้รู บั เพราะหากนามาพิจารณาพรอ้ ม ๆ กัน กจ็ ะเหลอื แตก่ ารใหแ้ ละรบั เฉพาะหมู่ เลอื ดเดียวกันเท่านนั โดยท่วั ๆ ไปแลว้ แอนตบิ อดีของผู้ให้ไม่คอ่ ยมีผลกบั แอนติเจนของผู้รับมากนัก เน่ืองจากเลอื ดท่ใี หม้ ี ปรมิ าณน้อยกวา่ เลือดของผู้รับ การตกตะกอนเกิดขนึ บา้ งเพียงเล็กน้อย การรับและการใหด้ ังแผนภาพและตารางจงึ ใช้ได้ ในคนไทยส่วนใหญ่แล้วไม่ได้คิดเลือดหมู่ Rh- กนั เทา่ ใดนัก เพราะส่วนใหญ่มากกว่า 99 % เปน็ Rh+ มเี พยี ง 1 ใน 500 เท่านนั ที่เปน็ Rh- นอกจากเลอื ดระบบ ABO และ Rh แลว้ ยงั มหี มูเ่ ลอื ดอีกมากมาย ซึง่ ไม่กลา่ วถงึ ในท่นี ี เชน่ หมเู่ ลอื ด MN และ อน่ื ๆ ระบบนา้ เหลอื ง เป็นระบบลาเลยี งสารต่าง ๆ ใหก้ ลบั เข้าสเู่ ส้นเลอื ด โดยเฉพาะสารอาหารพวกกรดไขมันที่ดูดซมึ จากลาไส้ เลก็ ระบบนาเหลอื งจะไม่มีอวัยวะสาหรบั สูบฉีดไปยงั สว่ นต่าง ๆ ประกอบไปด้วย นาเหลือง ( Lymph ) ทอ่ นาเหลอื ง ( Lymph vessel ) และอวยั วะนาเหลอื ง ( Lymphatic organ ) นาเหลอื ง ( Lymph ) ส่วนประกอบของนาเหลืองคล้ายกบั ในเลอื ดแตไ่ มม่ ีเม็ดเลอื ดแดง เปน็ ของเหลวท่ีซึม ผ่านผนงั เส้นเลอื ดฝอยออกมาอยูร่ ะหวา่ งเซลล์หรอื รอบ ๆ เซลล์ เพอื่ หล่อเลียงเซลล์ ในนาเหลอื งจะมโี ปรตีน โมเลกลุ เล็ก เช่น อลั บมู ิน และสารทมี่ โี มเลกุลเล็ก ๆ เชน่ กา๊ ซ นา นาตาลกลโู คส ทอ่ นาเหลือง ( Lymph vessel ) เป็นทอ่ ตนั มีอยู่ท่วั ร่างกายมขี นาดต่าง ๆ กนั มลี ักษณะคลา้ ยเสน้ เลือดเวน คอื มีลินกนั ปอ้ งกนั การไหลกลับของนาเหลือง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook