ตวั ช้วี ดั / ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอื่ /แหลง่ เรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ช้ินงาน ประเมินผล 2. ผลกระทบต่อพืชและสัตว์ เป็นผลให้การ สังเคราะหด์ ้วยแสง ของพืชผิดปกติ ได้ผลผลิต นอ้ ยลง ในทะเลถา้ บรรยากาศชนั โอโซนลดลง ร้อยละ 25 แพลงกต์ อนพืชจะลดลง แพลงก์ ตอนสัตวจ์ ะได้รับผลกระทบต่อการเจรญิ เติบโต โซ่อาหารในทะเลจะได้รบั ผลกระทบ 3. บรรยากาศโลกรอ้ นขึนมสี าเหตุมาจากการใช้ สารซีเอฟซี ทา้ ให้ชันโอโซน ซง่ึ เป็นตัวกรองรงั สี ตา่ งๆ ทจี่ ะแผม่ าถึงพนื โลกลดลง มีผลให้รังสี ต่างๆ แผ่มาถึงพนื โลกไดม้ ากขึน ทา้ ใหอ้ ากาศท่ี ผวิ โลกร้อนขึน น้าในมหาสมุทรขยายตวั ท้าให้ เกิดน้าท่วมทั่วไป นา้ แขง็ ขวั โลกละลาย ระดับนา้ ทะเลสูงขึน บรรยากาศของโลกจะ แปรปรวน เกิดอทุ กภัยทั่วไป บางแห่งแห้งแล้ง เกดิ มหันตภยั ทัว่ โลก 4. รังสอี ลั ตราไวโอเลตท้าลายส่วนประกอบของ วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น สซี ดี ลง การยึด เกาะ ความแขง้ ความเหนียว ความยืดหยุน่ ของวสั ดทุ ใี่ ช้ในการก่อสรา้ งเกิดการเปลีย่ นแปลง ไป
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล 2.2 ปรากฏการณเ์ รือนกระจก (green house effect) บรรยากาศของโลก ซึง่ ประกอบด้วย แก๊สชนดิ ต่างๆ ซ่งึ สว่ นใหญจ่ ะเป็นแกส๊ ไนโตรเจน และออกซเิ จน โดยรวมปรมิ าณร้อยละ 99 ท่ี เหลืออกี ร้อยละ 1 จะเปน็ แก๊ส คารบ์ อนไดออกไซด์ มเี ทนและแกส๊ อนื่ ๆ รวมทงั ไอนา้ และฝนุ่ ละออง แกส๊ ที่เหลือเพยี ง รอ้ ยละ 1 นเี องทมี่ ีความส้าคัญ เนื่องจาก เปรยี บเสมอื นกับแก๊สเรือนกระจก เม่ือรงั สีจาก ดวงอาทิตย์ส่องมายังผวิ โลก รงั สอี ลั ตราไวโอเลต จะถูกดดู กลืนในชันของโอโซนและบางสว่ นจะ สะทอ้ นกลับไปในบรรยากาศ และพบว่ารงั สที ่ี ส่องมาถึงผวิ โลกนีบางส่วนจะถกู นา้ ไปใช้และ บางสว่ นจะถูกแกส๊ อืน่ ๆ หรือแกส๊ เรือนกระจก ดดู กลนื ไว้ แลว้ สะท้อนกลับออกไปในรปู ของรงั สี อินฟราเรดหรือความร้อน ท้าให้โลกอนุ่ ขนึ เรียก ปรากฏการณน์ ีว่า ปรากฏการณ์เรอื นกระจก แกส๊ เรือนกระจกทส่ี ้าคญั ได้แก่ 1. คารบ์ อนไดออกไซด์ แกส๊ นีไม่มีกลิน่ ดดู ซบั ความรอ้ นได้ดี ใช้ในอุตสาหกรรมหลายชนิด เชน่ โซดา นา้ อดั ลม การเผาไหม้เชอื เพลิง ฟอสซิลในยานพาหนะ โรงงานอตุ สาหกรรม การ
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่อื /แหล่งเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล เผาปา่ ไม้ ทา้ ให้เกดิ แกส๊ CO2 ซงึ่ เป็นตัวการที่ ทา้ ให้เกดิ ปรากฏการณ์เรอื นกระจกถึงรอ้ ยละ 57 2. คลอโรฟลูออโรคารบ์ อน หรือ CFC เป็น แก๊สทีม่ นุษยส์ ังเคราะหข์ นึ ใชใ้ นอุตสาหกรรม เชน่ เครอ่ื งทา้ ความเย็นตา่ งๆ ใชเ้ ป็นแก๊สขับดนั ในกระป๋องสเปรย์ ใช้เป็นสารผสมทที่ ้าให้เกิด ฟองในการผลติ โม CFC นดี ูดซับความรอ้ นได้ ดีกว่าคารบ์ อนไดออกไซด์เป็นหมืน่ เท่า มีอายุ ยาวนานเป็น 100 ปีจงึ สลายตัว ทา้ ใหเ้ กิด ปรากฏการณ์เรือนกระจกไดม้ ากถึงร้อยละ 24 3. มเี ทน เปน็ แก๊สทเ่ี กิดขึนเองตาม ธรรมชาติ และจากการกระท้าของมนษุ ย์ เชน่ การเผาไหม้เชือเพลิงฟอสซิล การท้าเหมืองถา่ น หนิ การใช้แกส๊ ธรรมชาติ การปลุกพืชในพนื ท่ีท่ี มนี ้าทว่ มขงั มเี ทนดูดวับความรอ้ นไดด้ กี ว่าแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ถึง 20 เท่า จึงมสี ่วนทา้ ให้ เกิดปรากฎการณเ์ รือนกระจกไดม้ าก 4. ไนตรสั ออกไซด์ เกิดตามธรรมชาติและการ กระทา้ ของมนษุ ย์ เชน่ การใช้ป๋ยุ ทม่ี ีไนโตรเจน เปน็ องค์ประกอบ การเผาหญา้ จากทุ่งนา เผา ป่าไม้ เผาเชอื เพลงิ ฟอสซลิ จากยานพาหนะและ โรงงานอุตสาหกรรม ไนตรัสออกไซด์ดูดซบั
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล ความรอ้ นได้ดีกว่าคารบ์ อนไดออกไซดถ์ ึง 200 เทา่ มีสว่ นท้าให้เกดิ ปรากฏการณ์เรอื นกระจกได้ ประมาณร้อยละ 6 ผลกระทบจากปรากฏการณเ์ รอื นกระจก 1. ผลกระทบตอ่ ภมู ิอากาศ เชน่ พายุ ไต้ฝนุ่ นา้ ทว่ ม การพังทลายของดิน ดินเส่ือ คณุ ภาพ เกิดฝนทงิ ชว่ งยาวนานมาก เกดิ ความ แห้งแล้ง 2. ผลกระทบต่อพลังงาน การผลติ พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งธรรมชาติ ได้รับ ผลกระทบจากความแปรปรวนของอากาศ การ เกิดฟา้ คะนอง พายุฝน ลมแปรปรวน เป็น อุปสรรคต่อการขุดเจาะนา้ มนั ในทะเล 3. ผลกระทบต่อระดับนา้ ทะเล อากาศ รอ้ น น้าแขง็ ละลาย เป็นผลใหร้ ะดบั นา้ ทะเล สูงขนึ สง่ ผลกระทบตอ่ พืนที่ชายทะเล มี ผลกระทบต่อเศรษฐกจิ สภาพสงั คม 4. ผลกระทบตอ่ แหล่งน้า อุณหภูมสิ งู เปน็ เหตใุ ห้นา้ ระเหยมากขนึ พืชได้นา้ น้อยลง ท้าใหพ้ ชื ไมเ่ จรญิ เตบิ โต
ตวั ชวี้ ดั / ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล 5. ผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย อากาศร้อนทา้ ใหป้ ระสิทธิภาพการท้างานลดลง หงดุ หงิดง่ายมี ผลต่อสุขภาพอนามยั 6. ผลกระทบตอ่ เกษตรกรรม เม่ือ ปริมาณแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์เพ่มิ ขึน พชื ก็ สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้มากขึน แมลงก็จะ มีอาหารอดุ มสมบรู ณ์ท้าใหเ้ กิดการขยายพันธ์ และกระจายพันธุ์ไดม้ ากขึนและรวดเร็ว ท้าให้ เกิดโรคระบาด มีแมลงศตั รเู พม่ิ มากขนึ พืช สตั ว์ท่ีไมส่ ามารถปรับตัวไดท้ ันกอ็ าจสญู พนั ธุไ์ ด้ มาตรการป้องกนั ผลกระทบปรากฏการณเ์ รือน กระจก 1. สง่ เสริมการสงวนและการใชพ้ ลังงาน อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 2. ใชเ้ ชอื เพลงิ ท่ีก่อใหเ้ กดิ แก๊ส คารบ์ อนไดออกไซด์ในปรมิ าณทีน่ ้อยท่ีสดุ 3. เลกิ ผลติ เลิกใช้สารคลอโรฟลอู อโร คารบ์ อน 4. หยดุ ยงั การทา้ ลายป่าไม้
ตวั ช้ีวัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวดั และ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอื่ /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ ชน้ิ งาน ประเมนิ ผล 2.3 ฝนกรด การเกิดฝนกรด เกิดจากในบรรยากาศมี ออกไซดข์ องไนโตรเจนและก้ามะถันปนเป้ือน แกส๊ ทป่ี นเปื้อนนจี ดั เป็นมลพิษทางอากาศท่ี มนุษยส์ ร้างขึน จากยานพาหนะและโรงงาน อตุ สาหกรรม แก๊สเหลา่ นจี ะละลายปนอยู่กบั ไอ นา้ ของบรรยากาศและถูกออกซไิ ดซเ์ ป็นกรดไน ตริกและกรดกา้ มะถนั ในทส่ี ุด โดยท่วั ไปนา้ ฝนจะ มีคา่ pH ประมาณ 5.6 ซึ่งสภาพกรดของ นา้ ฝนมาจากกรดคาร์บอนิกท่ีเกดิ จากแกส๊ CO2 ทมี่ ีอยู่แลว้ ในบรรยากาศแตฝ่ นกรดทีเ่ กิดจากกรด ไนตริกและกรดกา้ มะถันอาจมีค่า pH ตา่้ ถงึ 4.0 ในกรณีทมี่ ลี ะอองหนาทึบบางครงั อาจพบค่า pH ไดถ้ ึง 2.0 ผลกระทบจากฝนกรด 1. ผลกระทบต่อระบบนเิ วศในนา้ ท้าให้ คา่ pH ในน้าต่้า ถา้ pH ตา้่ กว่า 5 จะทา้ ให้ สตั วน์ ้าไมส่ ามารถมีชวี ติ อยู่ได้ 2. ผลกระทบต่อสวนสาธารณะและเขต ป่าสงวน ฝนกรดท้าใหใ้ บไม้ร่วงหล่น เมล็ดไม่ งอกชะลา้ งธาตอุ าหารจากพชื ใบ
ตวั ช้วี ดั / ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่อื /แหล่งเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ชิน้ งาน ประเมนิ ผล 3. ผลกระทบตอ่ พืชเศรษฐกิจ ถา้ คา่ pH เป็น 3 จะมีผลรุนแรงทา้ ลายใบของต้นถ่ัว และชะ ลา้ งแคลเซยี มจากใบยาสูบ ท่ีสา้ คัญคือจะ ทา้ ลายการแตกตาและยบั ยงั การสังเคราะหด์ ว้ ย แสง 4. ผลกระทบตอ่ วสั ดุและส่ิงปลูกสรา้ งตา่ ง ๆ ท้า ให้ถกู กัดกร่อนผุพังเสื่อมโทรม 5. ผลกระทบต่อน้าในแหลง่ น้า ทา้ ใหน้ ้ามีสภาพ เปน็ กรดไมเ่ หมาะ ต่อการนา้ มา อุปโภคบริโภค เปน็ สาเหตุทา้ ให้ขาดแคลนน้าได้ แนวทางการแก้ไข 1. ลดกิจกรรมที่จะท้าให้เกิดแกส๊ SO2 และ NOX 2. การเลอื กชนิดพืชปลกู โดยเลอื กสายพันธุท์ ่ี สามารถเตบิ โตได้ในสภาวะท่เี ปน็ กรด 3. การใช้แหล่งพลังงานแสงอาทติ ยท์ ดแทน พลงั งานท่ีไดจ้ ากเชือเพลิง 2.4 ปรากฏการณเ์ อลนโิ ญและลานญิ า
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล เป็นปรากฏการณ์ทเี่ กดิ ขนึ ในมหาสมทุ ร แปซฟิ ิก แถบเส้นศนู ย์สูตรบริเวณชายฝ่ัง ตะวันตกของทวปี อเมริกากลางและอเมรกิ าใต้ไป จนถึงฝ่งั ตะวันออกของทวีปออสเตรเลยี ตอน เหนอื มหี ลักฐานว่าปรากฏการณน์ ีได้เกดิ มา นานนบั พนั ปีมาแล้ว และเป็นปรากฏการณ์ท่ี แสดงใหเ้ หน็ ถึงความสัมพันธ์ของกระแสลมใน บรรยากาศและกระแสนา้ ในมหาสมุทร โดยปกตแิ ล้วนอกฝ่งั ทวีปอเมริกาใตแ้ ละอเมรกิ า กลางจะมีกระแสน้าเย็นฮัมโบลท์ (Himboldt Current) ซึ่งมีผลต่อสภาพภูมิอากาศบรเิ วณนี โดยจะทา้ ให้อากาศแหง้ แล้งและเยน็ เกดิ ขนึ บรเิ วณตอนใต้ของประเทศเอกวาดอร์ เปรู และ ตอนเหนอื ของชลิ ี รวมทงั มีผลให้กระแสนา้ ใน มหาสมุทรมีอุณหภมู ิตา่้ กวา่ บรเิ วณเสน้ ศนู ย์สตู ร หรอื บรเิ วณอนื่ ถึง 5.5 องศาเซลเซยี ส ในปีที่ ไม่เกิดเอลนิโญนัน ลมสนิ คา้ ตะวนั ออกเฉียงใตม้ ี ก้าลงั แรงและพดั ไปทางตะวันตกของมหาสมุทร แปซิฟิก (พัดไปทางออสเตรเลยี ) และเมื่อผสม กบั แรงบิดจากการหมนุ รอบตัวเองของโลก หรือ แรงโคริออลิส
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล (Coriolis force) ท้าใหก้ ระแสลมเหนือเส้นศนู ย์ สตู รเคล่ือนบิดไปทางขวามือ และกระแสลมใต้ เส้นศูนยส์ ูตรเคล่อื นบดิ ไปทางซ้ายมอื เป็นผล ใหพ้ ัดพากระแสน้าอุ่นที่ผวิ หน้ามหาสมุทรบริเวณ นอกชายฝ่ังเปรเู คล่ือนท่ีหา่ งจากฝัง่ ตะวนั ตก (ออสเตรเลยี ) กระแสนา้ เย็นท่ีอยูล่ กึ ลงไป ดา้ นลา่ ง (เพราะนา้ เยน็ หนักกว่านา้ อ่นุ ) จงึ หมนุ วนขนึ มาแทนทีน่ ้าอนุ่ ทผี่ วิ น้า เรยี กว่าเกิด “Upwelling” พร้อมกับน้าธาตุอาหารจากกน้ ทะเลขึนมาสู่ผิวนา้ ทา้ ใหม้ ีการเจริญของแพลงก์ ตอนอยา่ งสมบรู ณ์และท้าให้มีปลาโดยเฉพาะปลา แองโชวีอดุ มสมบูรณม์ าก เปรจู ึงเป็นประเทศท่ี จบั ปลาแองโชวสี ูงที่สุดในโลก โดยเฉพาะในชว่ ง ต้นคริสตศ์ กั ราช 1970 3. ครเู ปดิ โอกาสให้นักเรียนสอบถามเนอื หา เรื่อง ผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ ว่ามีสว่ นไหนท่ี ไม่เข้าใจและใหค้ วามรู้เพม่ิ เติมในส่วนนนั 3. ขันลงข้อสรปุ 1. ครูมอบหมายให้นกั เรยี นสรุปความคิด รวบยอดเก่ียวกับเนือหาที่ได้เรียนในวันนี
ตวั ชีว้ ัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ชน้ิ งาน ประเมินผล 2. ครูมอบหมายใหน้ ักเรียนไปศึกษา ความรู้ เรื่อง ทรัพยากรปา่ ไม้ ซ่งึ จะเรยี นใน คาบต่อไปมาลว่ งหนา้
แผนการจดั การเรียนรู้ ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 เรือ่ ง มนษุ ยก์ ับความย่ังยืนของส่ิงแวดล้อม แผนการสอนท่ี 15 เรอื่ ง ทรพั ยากรป่าไม้ รายวชิ าชีววิทยา 6 ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 รหสั วิชา ว 33206 ครูผ้สู อน นางสาวจนั จริ า ธนนั ชยั ตาแหนง่ พนกั งานราชการ เวลาทีใ่ ช้ 2 ชัว่ โมง ตัวช้ีวัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวดั และ กจิ กรรมการเรียนรู้ สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ช้นิ งาน ประเมินผล 4. สบื ค้นขอ้ มลู อภิปราย 1. หนังสือเรียน เร่อื งระบบนิเวศและ น้า ดิน อากาศ ป่าไม้และสตั ว์ปา่ 1. ใบงาน ผ่านระดบั คะแนน การจดั กระบวนการเรียนรู้ ชีววิทยาเล่ม 6 ของ ทรัพยากรธรรมชาติมา สถาบันส่งเสรมิ การ ประยุกตใ์ ช้เพือ่ แก้ปญั หา เป็นทรัพยากรธรรมชาติทส่ี ้าคัญ ทรพั ยากรป่าไม้ ร้อยละ 60 ขนึ ไป 1. ขนั สรา้ งความสนใจ สอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละ จดั การ และหาแนวทาง เทคโนโลยี ในการอนุรักษ์ฟน้ื ฟู และจา้ เปน็ ต่อการดา้ รงชีวิตของ ครฉู ายวีดิทัศน์ของ สสวท. เรอ่ื ง ทรัพยากรปา่ 2. อนิ เทอร์เนต็ สิ่งแวดล้อม 5. จดั นทิ รรศการ มนษุ ย์ มนษุ ยน์ า้ ไม้ในประเทศไทย ซึ่งประกอบดว้ ย ปา่ เบญจ เสวนาวชิ าการเกย่ี วกบั ปญั หาสิ่งแวดล้อมใน ทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ ถา้ ใช้ พรรณ ป่าดบิ ชืน ปา่ เตง็ รงั ป่าชายเลน ปา่ พรุ ทอ้ งถิน่ แนวทางการ แก้ไขปัญหา การใช้ ทรัพยากรอย่างไมเ่ ห็นคุณค่าจะ (อาจใช้ภาพจากหนังสอื หรือเวบ็ ไซต์ประกอบได้) ทรัพยากรอยา่ งย่ังยนื รว่ มกับชมุ ชน ส่งผลใหป้ รมิ าณของ นักเรยี นจะได้เหน็ และได้ฟังค้าบรรยายสภาพป่า ทรัพยากรธรรมชาตลิ ดลง และ ตามสภาพจริง กอ่ ให้เกดิ มลพิษต่อส่ิงแวดลอ้ ม 2. ขันสา้ รวจและค้นหา รวมทังส่งผลกระทบต่อคณุ ภาพ 1. ครูและนกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายว่าปา่ ไมม้ ี ชีวติ ของมนุษย์ด้วย ดงั นัน มนษุ ย์ ประโยชน์ต่อคนไทยอย่างไร หรอื อาจน้า จงึ ตอ้ งมีความรู้ความเขา้ ใจ สถานการณ์ทป่ี า่ ไมถ้ ูกท้าลาย เช่น ไฟปา่ น้า เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ เพอื่ ทว่ ม การตัดไมท้ ้าลายป่า มาให้นักเรยี น ใช้และจัดการได้อยา่ งเหมาะสม อภปิ รายแลว้ ตังคา้ ถามว่าเม่ือเกดิ เหตกุ ารณเ์ ช่นนี การจดั การทรัพยากรธรรมชาติ จะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อสิ่งมีชีวติ แล้วให้ นักเรยี นตอบคา้ ถาม
ตวั ชีว้ ัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวดั และ กจิ กรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ช้นิ งาน ประเมนิ ผล และสิง่ แวดล้อมเพื่อเป็นแนวทาง - ปา่ ไมใ้ หป้ ระโยชน์ต่อมนุษยท์ ังทางตรงและ ในการดา้ เนินงาน ทางอ้อมอยา่ งไร ในสงั คมท่ีมกี ารพฒั นา 1. ปา่ ไมใ้ หป้ ระโยชน์แกม่ นษุ ย์ทางตรง คือ อย่างยั่งยนื จะต้องมกี ารจัดการ มนุษย์น้าผลผลติ จากป่าไมห้ รือผลิตภณั ฑ์ที่มีอยู่ ทรัพยากรธรรมชาติและ ในป่ามาใชเ้ พื่อเป็นปัจจยั ส่ีในการด้ารงชีวิต เช่น สง่ิ แวดล้อมท่ีดี ซึ่งต้องอาศยั ในดา้ นอาหาร มนุษยน์ ้าพืชและสตั ว์ทีอ่ าศัยอยู่ ความรว่ มมือจากหลายๆฝ่าย ทงั ในป่ามาเป็นอาหาร ในดา้ นที่อยู่อาศัยมนุษย์นา้ ภาครัฐและเอกชน ในเร่ืองการ ไม้มาใช้ในการก่อสร้างท่อี ยู่อาศยั ทา้ เครื่องเรอื น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ และท้าเครอื่ งประดบั ตกแตง่ บ้านจากผลติ ผลของ ทรัพยากรธรรมชาติอย่างถูกวิธี ปา่ ประเภทรากไม้ เขาสัตว์ กระดูกสตั ว์ เปน็ ตน้ ในด้านเครื่องนงุ่ ห่มมนุษย์ใช้เส้นใยพชื มาถัก ทอเป็นเคร่อื งนงุ่ ห่ม และในด้านยารักษาโรค มนุษย์ใชผ้ ลิตภัณฑข์ องป่าทงั พืชและสตั ว์มาใช้ เปน็ ยารกั ษาโรคและนา้ มาท้าผลติ ภณั ฑ์ของ เครอ่ื งส้าอางตา่ งๆ 2. ป่าไม้ให้ประโยชน์แก่มนษุ ย์ทางอ้อม คือ เป็นแหลง่ หมนุ เวียนสารในระบบนิเวศ ชว่ ย ปอ้ งกนั ลมพายุ น้าทว่ ม การชะล้างพังทลาย ของดนิ เป็นแหลง่ เรียนรู้ตามธรรมชาติ แหลง่ พกั ผ่อนหย่อนใจ เปน็ ต้น)
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหลง่ เรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล 2. ครูมอบหมายให้นกั เรียนท้ากิจกรรมท่ี 23.6 กิจกรรมท่ี 23.6 มนุษยก์ ับการใช้ทรพั ยากรป่าไม้ จุดประสงคข์ องกจิ กรรม เพื่อใหน้ กั เรยี น สามารถ 1) วิเคราะห์ขอ้ มลู การเปลีย่ นแปลงพืนทีป่ ่าไม้ ของประเทศไทยตังแตป่ ี พ.ศ. 2504-2560 2) สบื ค้นข้อมลู และรวบรวมข่าวจากสอ่ื ต่าง ๆ และนา้ มาอภิปรายรว่ มกัน เกย่ี วกบั การท้าลาย ป่าไม้ การลักลอบตดั ไม้ การใชท้ รัพยากรปา่ ไม้ (สืบค้นจากอินเตอร์เน็ต ภายใน 20 นาท)ี 3) อภปิ รายรว่ มกันถึงผลกระทบจากการท้าลาย ปา่ ไม้ ท้าให้พนื ที่ป่าไม้ลดลง และเสนอแนวทาง ในการปอ้ งกันการท้าลายปา่ ไม้ และอนรุ ักษป์ า่ ไม้ 3. ครูใหน้ ักเรียนวเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยนา้ เสนอใน รูปของกราฟเพ่ือดูแนวโน้มของการเปลย่ี นแปลง จากนันอภปิ รายตามประเด็นในกิจกรรมท่ี 23.6 ซง่ึ มีแนวการตอบ ดงั นี - ในชว่ งตงั แต่ปี พ.ศ. 2504-2560 เนอื ที่ ปา่ ลดลงเปน็ ปริมาณเท่าใด เฉล่ยี ลดลงปีละ เทา่ ใด(การเปลย่ี นแปลงเนือที่ปา่ ไมต้ ังแตป่ ี พ.ศ. 2504-2560 พบวา่ พนื ที่ป่าไมล้ ดลง 89.95
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล ลา้ นไร่เฉลยี่ ลดลงปลี ะ 2.43 ลา้ นไร่ ซงึ่ ถา้ เป็นอย่อู ยา่ งนีตอ่ ไปอีก แนวโนม้ ในอนาคตปา่ ไม้ จะลดลงอีก เนอ่ื งจากประชากรเพม่ิ ขนึ จึงมีความ ตอ้ งการทรัพยากรปา่ ไมเ้ พื่อน้ามาใช้ประโยชน์ เพิม่ มากขนึ เชน่ เดียวกนั ถ้าไม่มีการรณรงค์ปลูก ปา่ ทดแทน หรือรณรงค์การใชว้ ัสดอุ ื่นทดแทน การใชไ้ ม้ หรอื ใหม้ ีการอนรุ ักษ์ปา่ ไมห้ รือปลกู ป่า ทดแทนเพมิ่ ขนึ ) - สถานการณ์พืนที่ป่าไม้ในภาคต่าง ๆ เป็น อย่างไร และภาคใดมพี ืนท่ีป่าไมม้ ากท่สี ดุ เมื่อ เทียบกับพนื ท่ที ังหมดของภาค (สถานการณ์พืนท่ี ปา่ ไมใ้ นภาคต่างๆ ยังมปี ริมาณค่อนขา้ งน้อยเม่ือ เทียบกบั พืนที่ของภาค โดยพบวา่ ภาคเหนอื มี พืนทปี่ า่ ไมม้ ากที่สดุ คอื ประมาณรอ้ ยละ 55.56 ของพืนทีท่ ังหมดของภาค สว่ นภาคอื่น ๆ มีพนื ที่ ป่าไม้ไม่ถึงรอ้ ยละ 50 ของพืนท่ีทังหมดของภาค โดยพบวา่ ภาคกลาง/ภาคตะวันออก/ตะวนั ตก มี พืนทปี่ ่าไมร้ องลงมาร้อยละ 29.63 ภาคใต้ร้อย ละ 24.74 และภาคตะวันออกเฉยี งเหนือร้อย ละ 15.82) - เพราะเหตุใดพืนท่ีปา่ ไม้เพ่ือการอนรุ ักษใ์ น ภาคเหนอื จงึ มีมากกวา่ ภาคอ่ืน ๆ (เพราะ
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรียนรู้ ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศเป็นภเู ขาสงู จงึ ไม่เหมาะแก่ การเพาะปลกู และเป็นท่ีอยู่อาศยั หรือแถบภสู งู มผี ู้คนเขา้ ไปอาศัยอยู่น้อย และการคมนาคม คอ่ นข้างล้าบาก ส่วนใหญจ่ ะมีพวกชนเผ่าน้อย กลมุ่ ต่าง ๆ ที่อาศัยอย่เู ทา่ นัน การลกั ลอบตดั ไมอ้ อกมาจึงท้าได้ค่อนขา้ งยาก ดงั นนั ปา่ จึงยงั คง สภาพอยู่ได้ และเปน็ แหล่งของต้นนา้ ลา้ ธารที่ สา้ คญั อีกตอ่ ไป) - การลดลงของพืนทปี่ ่าไม้ในประเทศไทย ก่อใหเ้ กิดผลกระทบด้านใดบ้าง - ขาดแหลง่ ปจั จัยส่ี - เกิดนา้ ทว่ มฉบั พลัน - อากาศแปรปรวน - หนา้ ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ - สัตวป์ า่ ไม่มีท่ีอยอู่ าศยั - ท้าให้เกิดปรากฏการณเ์ รือนกระจกเพราะแกส๊ CO2 เพ่ิมขนึ - ขาดแหล่งทอ่ งเที่ยวและพักผอ่ นหยอ่ นใจ) - มีแนวทางอย่างไรบา้ งในการที่จะเพ่ิมพนื ทีป่ า่ ไม้ ในประเทศไทย
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรียนรู้ ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล ( แนวทางการเพมิ่ พืนทป่ี ่าไม้ในประเทศไทย เชน่ 1. การปลกู ปา่ อาจจะมกี ารรณรงค์ปลูกป่าในวนั สา้ คัญต่าง ๆ ของประเทศมากขนึ 2. กา้ หนดเขตพืนที่อนรุ ักษ์ให้มากขนึ และก้าหนด บทลงโทษทีช่ ดั เจนและเด็ดขาด 3. ใหค้ วามรกู้ ับประชาชนเกย่ี วกบั เรือ่ งป่า ความส้าคัญของป่า และผลกระทบท่เี กดิ ขนึ ถา้ ป่าถูกท้าลายไป โดยยกเหตุการณท์ ่ีเกดิ ขนึ ใน ปจั จุบนั เปน็ หลัก เช่น เกดิ อุทกภยั ทบี่ า้ นนา้ ก้อ จงั หวดั เพชรบูรณ์ หรอื เกดิ อุทกภยั ในจังหวัด นครศรธี รรมราช เป็นต้น) 4. ครูนา้ อภิปราย เรือ่ ง การจดั การทรัพยากรป่า ไม้ โดยน้าอภปิ รายวา่ มีปจั จัยใดบ้างทีท่ ้าใหป้ ่าไม้ ในท่ตี า่ งๆ บนโลกแตกตา่ งกันทงั ลักษณะ ความ หนาแนน่ ขนาด ความสูง และชนดิ ของพันธไุ์ ม้ โดยมีสาระสา้ คัญ ดังนี ปัจจัยทีท่ า้ ให้ป่าไมแ้ ตกต่างกนั คือ 1. ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ ลักษณะภมู ิประเทศทต่ี ังอยูใ่ นบริเวณท่ีแตกตา่ ง กนั จะเป็นตัวก้าหนดลักษณะและชนิดของป่าไม้ นนั ๆ เช่น บริเวณเขตศูนยส์ ตู ร ทีม่ อี ากาศร้อน
ตวั ช้วี ดั / ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ สอ่ื /แหลง่ เรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ชิน้ งาน ประเมนิ ผล ชนื จะพบป่าดบิ ชนื ในบริเวณเขตขัวโลกจะพบ ป่าประเภทป่าสน เป็นตน้ นอกจากนพี บวา่ ความสงู จากระดบั นา้ ทะเลก็มีส่วนในการทา้ ใหป้ ่า มีลักษณะแตกตา่ งกัน เช่น ทรี่ ะดับความสงู จาก นา้ ทะเลตังแต่ 1,000 เมตรขึนไป จะพบปา่ ประเภทป่าดิบเขา ป่าสนเขา 2. ลกั ษณะภมู ิอากาศ พบว่าอณุ หภูมิและความชืนเป็นอกี ปัจจยั หนง่ึ ที่กา้ หนดลักษณะของป่าแต่ละ ประเภท เชน่ ป่าดิบชนื จะมีอณุ หภมู โิ ดย เฉล่ีย 25-27 องศาเซลเซียส ปริมาณน้าฝน เฉลย่ี 2,000-4,000 มิลลเิ มตรต่อปี ปา่ ผลดั ใบในเขตรอ้ น มีอุณหภูมิ แปรผนั ไปตามฤดู เชน่ ฤดรู ้อนจะมีความอบอนุ่ และในฤดหู นาวอณุ หภูมจิ ะต่า้ ปรมิ าณนา้ ฝน เฉลี่ย 750-1,500 มลิ ลิเมตรตอ่ ปี ปา่ สนเขาหรือปา่ ไทกา พบวา่ มีฤดู หนาวค่อนข้างยาวนานและอุณหภมู ติ ิดลบ และ มชี ่วงฤดรู ้อนสัน ๆ มปี รมิ าณฝนตกเล็กน้อย 3. ดิน ดนิ มสี ่วนในการก้าหนดประเภทของปา่ โดยพบวา่ ดินมีความอดุ มสมบูรณ์ของธาตุอาหาร
ตวั ชว้ี ดั / ความรู้ ภาระงาน/ การวดั และ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ ชิ้นงาน ประเมินผล สงู มกั จะมีความเปน็ กรด ซ่งึ พบได้ในป่าดงดิบ ชนื และในเขตทะเลทรายมักพบวา่ ดินไม่ สามารถจะเกบ็ ความช่มุ ชืนของนา้ ในดินไวไ้ ด้เลย จึงท้าใหป้ ระสิทธิภาพในการปลูกพชื ลดลง พชื ที่ ขนึ จงึ เป็นพชื ทนแล้งเท่านนั 5. ครูให้ความรู้เพ่ิมเติมแก่นกั เรยี นในรายละเอยี ด ของชนิดป่าไมท้ ี่ปรากฏในสว่ นต่าง ๆ ของโลก ดงั นี ชนดิ ของปา่ ไม้ในโลก ปา่ ไมท้ ่ีปรากฏในส่วนต่าง ๆ ของโลก แบง่ ได้ 3 กลุ่มคือ 1. ปา่ ไม้เขตร้อน 2. ป่าไมเ้ ขตอบอนุ่ 3. ป่าไมเ้ ขตหนาว ปา่ ไม้เขตร้อน 1. ปา่ ดงดบิ หรือปา่ ดิบเขา พบใน เขตรอ้ นชืนไมม่ กี ารผลดั ใบ ต้นไมส้ ูงใหญ่ พบท่ี ลุ่มแมน่ า้ แซร์ในแอฟริกา ลุ่มแมน่ ้าอะเมซอนใน อเมริกาใต้ หมเู่ กาะอินเดยี ตะวนั ออก และเขต เทือกเขาสูงเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ พนั ธไุ์ ม้ท่ี พบมหี ลากหลายชนดิ
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ สอ่ื /แหลง่ เรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล 2. ปา่ มรสมุ พบในเขตมรสุมที่มีฤดูแลง้ อย่าง นอ้ ยหน่ึงเดือน มีการผลดั ใบ ต้นไม้มีขนาด ค่อนข้างใหญ่ แต่ไมห่ นาแนน่ พบในไทย ลาว พมา่ เวยี ดนาม กัมพชู า และอนิ เดีย ไมท้ ี่ สา้ คญั คือ ไมส้ ัก 3. ป่าหนาม พบในเขตภูมิอากาศ ค่อนข้างแหง้ แลง้ ใบขนาดเล็ก เปน็ มนั มหี นาม สลับฤดูแล้วผลัดใบเหลือแต่หนาม พบในทรี่ าบสงู บราซลิ ทางตอนใต้ของแอฟรกิ า ที่ราบสูงเด คข่านในอนิ เดีย ป่าไมเ้ ขตอบอุน่ พบในเขตทมี่ ลี ักษณะภูมิอากาศชุ่มชืน แบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ชนิดดว้ ยกนั คอื 1. ป่าไม้อบอ่นุ ผลัดใบ เปน็ ป่าไมท้ ี่มี ใบขนาดใหญ่และผลดั ใบในช่วงฤดูหนาว ในฤดู ร้อนต้นไมจ้ ะเขียวชอุ่ม ล้าต้นจะใหญ่และสงู พบทางตะวนั ออกของสหรฐั อเมรกิ าและจนี ทาง ตอนใต้ของชลิ ี และยุโรป 2. ป่าไม้อบอุ่นไมผ่ ลัดใบ มีใบเขยี ว ชอุ่มตลอดปี แต่มีตน้ ไม้น้อยชนดิ แตล่ ะชนดิ มี จา้ นวนมาก มีลา้ ตน้ เตียและเล็ก แหล่งทีพ่ บ ได้แก่ท่ีราบสงู เอธโิ อเปีย รอบทะเลสาบแทน
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล แดนยกิ าและทะเลสาบในอัสซ่าในทวีปแอฟริกา ทางตะวนั ออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา และ หมูเ่ กาะนิวซแี ลนด์ 3. ป่าเมดเิ ตอรเ์ รเนยี น พบในเขต ภูมิอากาศแบบเมดิเตอรเ์ รเนียน เปน็ หมู่ไมผ้ สม กับป่าละเมาะ ตน้ ไม้จะเขียวชอ่มุ ตลอดปี แม้จะ มีอากาศแหง้ แล้งในฤดรู อ้ นก็ตาม สถานท่ีพบ ได้แก่กล่มุ ประเทศรอบทะเลเมดเิ ตอรเ์ รเนยี น ชายฝงั่ ตะวันตกตอนกลางของสหรฐั อเมริกาและ ชิลี ตอนใต้ของแอฟรกิ า และออสเตรเลีย ปา่ ไม้เขตหนาว พบในเขตภูมอิ ากาศอบอุน่ ค้อนข้าง หนาว พบมากในซีกโลกเหนือเทา่ นนั เป็นไม้ เนืออ่อนเกือบทังหมด ลา้ ตน้ มีขนาดเล็กกวา่ ปา่ ไมใ้ นเขตร้อน บางทเี รียกวา่ ปา่ สน ล้าต้นตงั ตรง ก่งิ สัน ใบแหลม ไม่ทิงใบและขนึ เบียดเสียดกัน อย่างหนาแนน่ รัสเซียเรยี ก ปา่ ไทกา แคนาดา เรียก ปา่ สนเหนอื 6. ครใู หน้ ักเรียนตอบค้าถาม ดงั นี - ปา่ ไมใ้ นประเทศไทยมีก่ีประเภท มนุษย์ ไดร้ บั ประโยชนโ์ ดยตรงจากป่าไม้ด้านใดบา้ ง
ตวั ชวี้ ดั / ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรยี นรู้ สอื่ /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล ( ป่าไมใ้ นประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. ปา่ ไมผ่ ลดั ใบ ได้แก่ ป่าดิบเขา ปา่ ดิบชนื ปา่ ดบิ แลง้ ปา่ ชายเลน 2. ปา่ ผลดั ใบ ไดแ้ ก่ ป่าเต็งรงั หรือป่า แดง ป่าเบญจพรรณ) - ปา่ ไมม้ ีสว่ นในการช่วยในการป้องกนั น้า ท่วมได้อยา่ งไร (ในขณะทีฝ่ นตกหนกั นา้ ฝน บางสว่ นจะถูกตน้ ไม้ในปา่ ดดู ซบั เอาไว้ ทา้ ให้ ปรมิ าณน้าที่ไหลตามลา้ น้าลดลง ใน ขณะเดยี วกนั นา้ ท่ีไหลจากทสี่ ูงจะถูกตน้ ไม้ชว่ ย ชะลอความเร็วของน้าให้ช้าลง ช่วยลดการ พงั ทลายของดนิ และเกดิ นา้ ป่าไหลหลาก) - การอนรุ ักษป์ า่ ไมท้ า้ ไดโ้ ดยวธิ ีใดบา้ ง (การ อนรุ กั ษ์ป่าไม้มีแนวทางดังนี 1. ลดการตัดไม้ท้าลายปา่ 2. ชว่ ยกนั ปลกู ป่าไม้เพม่ิ ขนึ 3. ใช้ไม้อย่างประหยัดและมี ประสทิ ธิภาพ 4. ใช้วัสดอุ น่ื ทดแทนการใช้ไม้โดยตรง ฯลฯ)
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล - ผลกระทบทเ่ี กิดจากป่าไมถ้ ูกท้าลายคือ อะไร ( ถา้ ปา่ ไมถ้ ูกท้าลายจะเกิดผลกระทบดงั นี 1. แหล่งตน้ น้าลา้ ธารลดลง ท้าใหเ้ กดิ สภาพแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล 2. สภาวะอากาศแปรปรวน เช่น รอ้ น จัด หรอื หนาวจดั ไมเ่ ปน็ ไปตามฤดูกาล 3. เกดิ น้าท่วมแบพลนั เนอ่ื งจากนา้ ป่า ไหลบ่า 4. เกิดการพังทลายของดิน หน้าดินถกู ทา้ ลาย ทา้ ให้ดนิ ขาดความอุดมสมบูรณ์ 5. สตั วป์ า่ ไมม่ ที ่ีอยอู่ าศัย 6. แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์เพ่ิมขึนทา้ ให้ เกดิ ปรากฏการณ์เรือนกระจก 7. การหมนุ เวียนของแร่ธาตใุ นระบบ นิเวศหยดุ ชะงัก ) 7. ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นสอบถาม เนือหา เรือ่ ง ทรัพยากรปา่ ไม้ ว่ามสี ่วนไหนที่ไม่ เข้าใจและใหค้ วามรเู้ พิ่มเติมในสว่ นนนั
ตวั ช้วี ดั / ความรู้ ภาระงาน/ การวดั และ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิน้ งาน ประเมินผล 3. ขนั ลงข้อสรปุ 1. ครูมอบหมายใหน้ ักเรยี นสรปุ ความคิด รวบยอดเก่ยี วกบั เนือหาท่ีไดเ้ รยี นในวนั นี 2. ครูมอบหมายให้นักเรยี นไปศกึ ษา ความรู้ เรื่อง ทรัพยากรสัตว์ป่า ซึง่ จะเรียนใน คาบต่อไป มาล่วงหนา้
แผนการจดั การเรียนรู้ ช่อื หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เรื่อง มนุษยก์ ับความยั่งยนื ของส่ิงแวดลอ้ ม แผนการสอนท่ี 17 เรอื่ ง ทรพั ยากรสตั วป์ า่ และแรธ่ าตุ รายวิชาชีววิทยา 6 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 รหสั วิชา ว 33206 ครูผู้สอน นางสาวจันจิรา ธนนั ชยั ตาแหนง่ พนักงานราชการ เวลาที่ใช้ 2 ชวั่ โมง ตวั ชี้วดั / ความรู้ ภาระงาน/ การวดั และ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื /แหลง่ เรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ ชิ้นงาน ประเมินผล 4. สบื ค้นข้อมลู อภปิ ราย น้า ดิน อากาศ ป่าไมแ้ ละสตั ว์ปา่ 1. ใบงาน ผ่านระดับคะแนน การจดั กระบวนการเรยี นรู้ 1. หนงั สือเรียน เร่อื งระบบนิเวศและ เป็นทรพั ยากรธรรมชาติท่ีส้าคัญ ทรัพยากรสตั ว์ รอ้ ยละ 60 ขึนไป 1. ขนั สร้างความสนใจ ชีววิทยาเล่ม 6 ของ ทรัพยากรธรรมชาติมา และจ้าเป็นต่อการด้ารงชีวิตของ ป่าและแร่ธาตุ ครนู า้ รปู ภาพสัตวป์ ่าทถ่ี ูกลกั ลอบนา้ ไป สถาบนั ส่งเสรมิ การ ประยกุ ต์ใช้เพอื่ แก้ปญั หา มนุษย์ มนุษยน์ า้ ขายมาอภิปราย น้าพระราชบญั ญัตคิ ุ้มครองสัตว์ สอนวิทยาศาสตรแ์ ละ จัดการ และหาแนวทาง ทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ ถ้าใช้ ปา่ พ.ศ. 2535 มาชแี จงให้นกั เรยี นทราบ เทคโนโลยี ในการอนุรักษ์ฟนื้ ฟู ทรัพยากรอยา่ งไม่เหน็ คณุ ค่าจะ 2. ขนั ส้ารวจและค้นหา 2. อินเทอรเ์ นต็ ส่งิ แวดล้อม ส่งผลใหป้ รมิ าณของ 1. ครใู หน้ ักเรยี นสืบค้นข้อมูลจาก 5. จัดนทิ รรศการ ทรพั ยากรธรรมชาติลดลง และ เวบ็ ไซตข์ องกรมป่าไม้ ในเรอ่ื งสตั วป์ า่ ผา่ นทาง เสวนาวิชาการเกี่ยวกับ ก่อใหเ้ กิดมลพษิ ต่อสิ่งแวดลอ้ ม www.google.com หรือ www.google.co.th ปัญหาสง่ิ แวดล้อมใน รวมทงั ส่งผลกระทบต่อคุณภาพ เพือ่ ดภู าพสตั วป์ ่าสงวนและสัตว์ป่าคมุ้ ครอง และ ท้องถิ่น แนวทางการ ชีวิตของมนษุ ย์ด้วย ดังนัน มนุษย์ ค้าอธิบาย รปู ร่างลักษณะ พฤติกรรมการ แกไ้ ขปญั หา การใช้ จงึ ตอ้ งมีความรูค้ วามเขา้ ใจ ด้ารงชวี ติ ของสัตวเ์ หล่านัน ทรัพยากรอยา่ งย่ังยืน เกย่ี วกบั ทรัพยากรธรรมชาติ เพือ่ 2. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภิปราย โดยใชค้ า้ ถาม รว่ มกับชุมชน ใชแ้ ละจัดการได้อยา่ งเหมาะสม ในหนงั สือเรยี น ซ่ึงมแี นวค้าตอบ ดังนี การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ - สัตว์ป่าสงวนและสตั ว์ปา่ คมุ้ ครองแตกต่าง กันอย่างไร
ตวั ชีว้ ัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวดั และ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล และสิง่ แวดลอ้ มเพื่อเปน็ แนวทาง ( สตั ว์ปา่ สงวน หมายถงึ สัตว์ปา่ หายากมี ในการด้าเนนิ งาน ทังหมด 15 ชนิดคอื แรด กระซู่ กูปรี หรอื โคไพร ควายปา่ ละองหรอื ละม่งั เนือสมนั ในสงั คมท่ีมีการพัฒนา กวางผา เลียงผา นกเจา้ ฟ้าหญงิ สิรนิ ธร นก อยา่ งย่ังยืน จะต้องมีการจดั การ แตว้ แรว้ ท้องด้า นกกระเรยี น แมวลายหินออ่ น ทรัพยากรธรรมชาติและ สมเสร็จ เก้งหม้อ พะยนู หรือหมูน้า สัตว์ปา่ ทัง ส่งิ แวดลอ้ มท่ีดี ซึ่งต้องอาศยั 15 ชนดิ นหี า้ มลา่ โดยเดด็ ขาดเว้นแตจ่ ะทา้ เพ่ือ ความรว่ มมือจากหลายๆฝา่ ย ทัง การศึกษา หรอื เพื่อกิจกการของสวนสัตว์ ภาครฐั และเอกชน ในเร่ืองการ สาธารณะ โดยต้องขออนุญาตจากกรมปา่ ไม้ ปรับเปล่ียนพฤติกรรมการใช้ ซากของสตั วเ์ หลา่ นีจึงห้ามมีไวใ้ นครอบครอง ทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งถูกวิธี ยกเวน้ จะไดร้ ับอนญุ าตจากทางราชการ สตั ว์ปา่ คุ้มครอง หมายถึง สตั วป์ า่ ทมี่ ี พระราชบญั ญัติไว้ แบง่ เปน็ 2 ประเภทคือ 1. สตั วป์ า่ คุ้มครองประเภทที่ 1 สงวนไว้เพ่อื ประดบั ความงามตามธรรมชาติ หรือ สงวนไวม้ ิใหจ้ ้านวนลดลง สตั วป์ ระเภทเหล่านี หา้ มล่า เว้นแตจ่ ะไดร้ ับอนญุ าตจากกรมป่าไม้ กอ่ น สตั ว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1 มที งั สนิ 166 รายการ เช่น ชา้ ง ชะมด กระรอก ลิง ชะนี คา่ ง เมน่ นาก แมวป่า เสอื ปลา อเี ห็น หนหู ริง่ และหมาไม้ นอกนันเปน็ นกอีก 130
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล ชนดิ เชน่ นกกวกั นกกาบบวั นกขนุ ทอง นกเงือก นกเขาไฟ เปน็ ต้น 2. สัตวป์ ่าค้มุ ครองประเภทท่ี 2 มีทังหมด 29 ชนิด เชน่ กระทิง กวาง กระจง วัวแดง เสือโคร่ง เสอื ดาว อีเกง้ หมคี น หมี ควาย และนกอน่ื ๆ อีก 19 ชนิด เช่น นก กระสา นกแขวก นกอโี ก้ง และไกป่ ่า เป็นต้น สัตวป์ า่ คุ้มครองประเภทที่ 2 ก่อนล่าต้องไดร้ ับ อนุญาตจากทางราชการ และตอ้ งปฏิบตั อิ ย่าง เคร่งครดั เกีย่ วกับวธิ ีการ อาวุธทีใ่ ช้ สถานที่และ ระยะเวลาทที่ ้าการลา่ ) - จงอธิบายหลักการอนุรักษส์ ัตวป์ า่ ( การอนุรกั ษส์ ัตว์ปา่ มีวธิ ีจดั การดงั นี 1. การปอ้ งกนั ออกกฎหมายคุ้มครอง สตั ว์ป่า ปอ้ งกันและปราบปราม ผู้กระทา้ ผิด พระราชบัญญตั ิสงวนและคุ้มครองสตั วป์ ่า ส่งเสรมิ สนบั สนนุ การจดั ตงั สมาคมเกีย่ วกบั สัตว์ ปา่ เช่น นยิ มไพรสมาคม ฯลฯ 2. การอนรุ ักษแ์ หล่งท่ีอย่อู าศัย แหลง่ น้าและอาหารของสัตวป์ า่ ป้องกนั ไฟ ปลกู ป่า ทดแทน เพิ่มปรมิ าณเกลือในท่ชี นื แฉะ เพื่อทา้ โปง่ เทียมให้สัตว์ป่ามากนิ
ตวั ชีว้ ัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอื่ /แหล่งเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ช้ินงาน ประเมนิ ผล 3. การคน้ ควา้ วจิ ยั ทางวิชาการ เพอ่ื เพ่ิม จ้านวนสัตว์ป่าในปรมิ าณท่ีพอเหมาะกับปริมาณ อาหาร และที่อยู่อาศัย 4. การใช้ประโยชน์จากสัตวป์ ่า อนญุ าต ให้ลา่ ได้ เมือ่ มีปรมิ าณมากพอ แตห่ ้ามลา่ ตัว อ่อนหรือเพศเมีย) - สมนั เป็นสัตว์ป่าในประเทศไทยที่สูญพันธ์ุ ไปจากโลกเม่ือประมาณ 60 ปีมาแล้ว สมนั จดั เปน็ สตั ว์ปา่ ประเภทใด และการสญู พนั ธ์ุ เน่อื งมาจากสาเหตุใด (สมันหรือเนือสมันเป็นสตั ว์ ป่าสงวนทีพ่ บเฉพาะในประเทศไทย บรเิ วณลุ่ม แมน่ า้ เจา้ พระยา ซึง่ ปจั จบุ นั ได้สญู พนั ธไ์ุ ปแล้ว การสูญพันธ์ุเน่ืองมาจากป่าไม้ซึ่งเป็นป่าละเมาะ และเป็นแหล่งที่อยู่อาศยั ถกู ท้าลาย นอกจากนีมี การลา่ เอาเขาท่สี วยงามไปท้าเป็นสง่ิ ประดบั และนา้ เนอื มาเป็นอาหาร เป็นต้น) 3. ครูนา้ อภิปรายเกี่ยวกบั ทรัพยากรแรธ่ าตุ ตาม รายละเอยี ดในใบความรู้ 4. ครูเปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนสอบถาม เนือหา เร่อื ง ทรัพยากรสตั ว์ปา่ และแรธ่ าตุ วา่ มี ส่วนไหน ทีไ่ ม่เขา้ ใจและให้ความรเู้ พิม่ เติมในสว่ นนนั
ตวั ชวี้ ดั / ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล 3. ขนั ลงขอ้ สรุป 1. ครูมอบหมายให้นักเรยี นสรปุ ความคดิ รวบยอดเกย่ี วกบั เนือหาที่ไดเ้ รียนในวันนี 2. ครูมอบหมายใหน้ กั เรยี นไปศึกษา ความรู้ เรอื่ ง หลกั การอนุรกั ษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติ ซึง่ จะเรยี นในคาบต่อไปมา ลว่ งหนา้
แผนการจดั การเรียนรู้ ชื่อหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 3 เรอื่ ง มนษุ ยก์ ับความย่ังยืนของส่ิงแวดลอ้ ม แผนการสอนท่ี 18 เรือ่ ง หลกั การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รายวิชาชีววิทยา 6 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 รหสั วิชา ว 33206 ครูผ้สู อน นางสาวจนั จริ า ธนนั ชัย ตาแหน่ง พนกั งานราชการ เวลาทใี่ ช้ 2 ชวั่ โมง ตวั ช้ีวดั / ความรู้ ภาระงาน/ การวดั และ กิจกรรมการเรยี นรู้ สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชนิ้ งาน ประเมนิ ผล 1. หนังสือเรียน 4. สืบคน้ ขอ้ มลู อภปิ ราย น้า ดิน อากาศ ป่าไม้และสัตว์ปา่ 1. ใบงาน ผ่านระดับคะแนน การจัดกระบวนการเรยี นรู้ ชีววิทยาเล่ม 6 ของ สถาบันส่งเสรมิ การ เร่อื งระบบนิเวศและ เปน็ ทรัพยากรธรรมชาติทสี่ ้าคัญ หลักการอนุรักษ์ ร้อยละ 60 ขนึ ไป 1. ขนั สรา้ งความสนใจ สอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาติมา และจ้าเป็นต่อการดา้ รงชวี ติ ของ ทรัพยากรธรรม 1. ครูน้าภาพป่าไมท้ ่ีอุดมสมบูรณ์กบั ป่า 2. อนิ เทอร์เนต็ ประยกุ ตใ์ ชเ้ พือ่ แกป้ ัญหา มนษุ ย์ มนุษย์นา้ ชาติ ไมท้ ่ีถกู ท้าลายมาให้นักเรียนดู และรว่ มกนั จัดการ และหาแนวทาง ทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ ถ้าใช้ อภปิ ราย ในการอนรุ ักษ์ฟน้ื ฟู ทรพั ยากรอยา่ งไม่เหน็ คุณค่าจะ โดยใชค้ ้าถามน้า เชน่ “ภาพใดทน่ี ักเรียนดแู ล้ว สิ่งแวดล้อม สง่ ผลใหป้ ริมาณของ เกดิ ความสดช่ืน และนักเรยี นชอบภาพใด 5. จดั นิทรรศการ ทรัพยากรธรรมชาติลดลง และ มากกวา่ กัน เพราะเหตใุ ด” และ “ภาพใดที่มี เสวนาวิชาการเกยี่ วกบั ก่อให้เกิดมลพิษต่อสง่ิ แวดลอ้ ม ความหลากหลายของสิ่งมชี วี ิตมากกวา่ กนั ปญั หาสิ่งแวดล้อมใน รวมทังสง่ ผลกระทบต่อคณุ ภาพ เพราะเหตุใด” ท้องถ่ิน แนวทางการ ชวี ติ ของมนษุ ย์ด้วย ดงั นัน มนษุ ย์ 2. ครใู หน้ ักเรียนรว่ มกนั อภปิ ราย เพื่อ แก้ไขปัญหา การใช้ จึงต้องมีความรู้ความเข้าใจ นา้ ไปสขู่ ้อสรุปที่วา่ ปา่ ไมจ้ ะอดุ มสมบูรณ์อยู่ได้ ทรพั ยากรอยา่ งยั่งยนื เกยี่ วกับทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อ ตอ้ งมีการอนุรักษ์ รว่ มกบั ชมุ ชน ใชแ้ ละจดั การได้อยา่ งเหมาะสม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ตวั ชีว้ ัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมินผล และส่ิงแวดลอ้ มเพ่ือเปน็ แนวทาง 2. ขันส้ารวจและค้นหา ในการดา้ เนินงาน 1. ครูและนกั เรียนรว่ มกนั อภิปราย ในสงั คมที่มีการพัฒนา ความหมายคา้ ว่า การอนรุ ักษ์ (conservation) อย่างย่ังยืน จะต้องมกี ารจดั การ และทรัพยากรธรรมชาติ (natural resource) ทรพั ยากรธรรมชาติและ แล้วรวมสองค้าไว้ดว้ ยกัน เป็นคา้ ว่า การ ส่ิงแวดล้อมท่ดี ี ซึ่งตอ้ งอาศยั อนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ ซึง่ หมายถึงการใช้ ความร่วมมอื จากหลายๆฝา่ ย ทงั ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมเี หตผุ ล เพ่อื มนุษยจ์ ะ ภาครฐั และเอกชน ในเรือ่ งการ มชี ีวติ อยูอ่ ยา่ งมคี ุณภาพทดี่ ีตลอดไป ครอู าจนา้ ปรับเปลยี่ นพฤติกรรมการใช้ แผนภาพหลกั การอนุรกั ษใ์ หน้ ักเรียนไดร้ ว่ มกัน ทรัพยากรธรรมชาติอย่างถกู วิธี สรุป ดงั นี 2. ครูให้นักเรยี นท้ากิจกรรมที่ 23.7 กิจกรรมท่ี 23.7 เสริมสร้างการใชป้ ระโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติในท้องถน่ิ อยา่ งยงั่ ยืน จุดประสงค์ของกิจกรรม เพื่อให้นกั เรยี น สามารถ
ตวั ชวี้ ัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ ช้นิ งาน ประเมนิ ผล 1) เลอื กปัญหาและค้นคว้าข้อมลู จากการใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในโรงเรียน 2) แสดงความคดิ เห็นเกย่ี วกับการใช้ ทรพั ยากรธรรมชาติทังในดา้ นประโยชน์ และใน ดา้ นที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อมและคน ในโรงเรียน 3) เสนอแนวความคดิ ในการแกป้ ญั หาเก่ยี วกับ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติท่ีเกดิ ขนึ ในโรงเรยี น ตลอดถงึ การรกั ษาและปรับปรงุ คณุ ภาพ สิง่ แวดล้อมของโรงเรยี น แนวการจดั กจิ กรรม อาจท้าได้ ดังนี 1) แบง่ นกั เรียนออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 3-5 คน ให้ แต่ละกลุ่มสา้ รวจปญั หาสงิ่ แวดล้อมที่เกิดจากการ ใชท้ รพั ยากรในท้องถิน่ ของนักเรยี นกล่มุ ละ 1 เร่ือง 2) ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มเสนอเรื่องต่ออาจารย์ผู้สอนและ เพือ่ นกลุม่ อืน่ ได้ทราบ เพ่ือไม่ใหซ้ ้ากัน 3) แตล่ ะกลุ่มระดมความคิด ศกึ ษาคน้ ควา้ อภิปราย รว่ มกันคิดวางแผน หาแนวทาง ป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เลือกตาม บทบาทและหน้าที่ 4) เขียนรายงานผลการทา้ กจิ กรรม
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรียนรู้ สือ่ /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล 5) นา้ เสนอและเผยแพรผ่ ลงานโดยการจดั นทิ รรศการ 3. หลงั การท้ากจิ กรรม ครูให้นักเรยี นตอบค้าถาม ในหนงั สอื เรยี น ดังนี - ในโรงเรยี นของนักเรยี นมีโครงการรกั ษา คณุ ภาพสิง่ แวดล้อมหรือไม่ ถ้ามไี ด้ด้าเนินการ อยา่ งไร (คา้ ตอบข้อนีกจ็ ะมหี ลากหลาย เพราะ แตล่ ะโรงเรียนตา่ งก็มีแนวทางในการดา้ เนนิ การ ตามความเหมาะสม และสภาพของโรงเรยี น ตัวอยา่ งเช่น กิจกรรมการจดั ชมุ ชุมอนุรกั ษ์ โรงเรยี น โดยแบง่ ใหน้ ักเรียนทา้ กจิ กรรมยอ่ ย ๆ หลายกิจกรรมไดแ้ ก่ 1. กจิ กรรมสวนผเี สือระบบเปิด นกั เรียนกจ็ ะช่วยดูแลสวนหยอ่ มภายในโรงเรียน 2. กิจกรรมปลดทกุ ขส์ ขุ ใจ ดูแล สภาพห้องสขุ าภายในโรงเรยี น 3. กิจกรรมประหยัดพลังงาน ดแู ล เรื่องประหยดั น้า ประหยดั ไฟ ภายในโรงเรยี น 4. กจิ กรรมอาคารสวยชว่ ยการเรยี น ดแู ลความสะอาดเปน็ ระเบียบเรยี บรอ้ ยของ อาคารเรยี นทน่ี ักเรียนเรียน
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สือ่ /แหลง่ เรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล 5. กจิ กรมทงิ ขยะให้เป็นที่ ดแู ลการทิง ขยะในถงั ขยะตามลกั ษณะขยะ เชน่ ขยะเปียก ขยะแห้ง หรอขยะทสี่ ามารถรีไซเคิลได้ นอกจากนีบางกิจกรรม เชน่ กิจกรรมปลดทุกข์ สขุ ใจ นักเรียนเฝ้าระวัง ดูแล เขยี นรายงาน เสนออาจารย์ เพื่อร่วมมือกับนักการภารโรง พนักงานทา้ ความสะอาดของโรงเรยี นก็จะท้าให้ สงิ่ แวดล้อมภายในโรงเรียนสะอาดสวยงาม ประหยัดรายจ่ายโรงเรยี นด้วย) - ปัญหาสงิ่ แวดลอ้ มท่วั โลกมสี าเหตมุ าจาก อะไรบ้าง ( ปัญหาสงิ่ แวดล้อมท่ัวโลกมสี าเหตดุ ังนี 1. การเพิ่มจา้ นวนประชากร 2. การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ 3. ความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 4. ประชากรขาดความรู้และความเชื่อที่ ผิด 5. ขาดการประชาสมั พนั ธ์ 6. สงคราม 7. การสร้างส่งิ กอ่ สร้างต่าง ๆ เพ่มิ ขนึ )
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล - การป้องกันไม่ใหเ้ กิดปัญหาสิง่ แวดลอ้ มขึน ในชมุ ชนของนักเรยี น มีแนวทางปฏบิ ตั ิท่ีสา้ คัญ อย่างไร (แนวการตอบข้อนีนักเรียนสามารถตอบ ได้ตามความเหมาะสม และความสอดคล้องกับ ทอ้ งถ่นิ ซึง่ อาจจะตอบตามแนวทางดังนี 1. ใหค้ วามรูเ้ รื่องส่งิ แวดล้อมแกค่ นใน ชมุ ชน ทังนอกโรงเรียนและในโรงเรยี น นอก โรงเรยี น เช่น ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ วิทยุ โทรทศั น์ หนังสือพิมพ์ ในโรงเรยี นก็อาจจะ บรรจอุ ยู่ในหลักสตู รสถานศึกษา หรือสอดแทรก ไดใ้ นทุกวิชา 2. สรา้ งจรยิ ธรรมทางส่งิ แวดล้อม คอื ปลูกฝงั อบรมใหบ้ ุคคลมจี ติ สา้ นึกท่ดี ีต่อ สิ่งแวดลอ้ ม เหน็ ความส้าคัญและประโยชน์ของ ส่งิ แวดลอ้ มต่อการด้ารงชวี ิตมนษุ ย์ เพราะมนษุ ย์ ไมส่ ามารถดา้ รงชีวติ อยู่ได้หากสภาพสง่ิ แวดลอ้ ม สูญเสียหรอื เสือ่ มโทรม 3. มกี ฎหมายสิ่งแวดล้อม เช่น พระราชบัญญัติต่าง ๆ เพื่อส่งเสรมิ และรักษา คุณภาพส่งิ แวดล้อมให้เปน็ ไปอย่างมี ประสทิ ธิภาพ)
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ สอ่ื /แหลง่ เรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล - สาเหตุสา้ คัญทท่ี า้ ใหเ้ กิดปญั หาการขาด แคลนทรพั ยากรธรรมชาติ ได้แกอ่ ะไรบ้าง (สาเหตุสา้ คญั ที่ทา้ ใหเ้ กิดปัญหาการขาด แคลนทรพั ยากรธรรมชาตไิ ด้แก่ 1. จา้ นวนประชากรเพ่ิมขนึ ตอ้ ง ต้องการใชท้ รพั ยากรมากขึน 2. การขยายตวั ทางเศรษฐกจิ เพมิ่ ขนึ 3. ความกา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 4. ประชาชนขาดความรู้ หรอื รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ใช้ทรพั ยากรธรรมชาตไิ มถ่ ูกวธิ ี 5. นโยบายของรัฐไม่เขม้ งวด เจ้าหนา้ ท่ขี องรฐั ไม่รับผดิ ชอบเทา่ ทคี่ วร) - หลักการอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติ เพือ่ การใชป้ ระโยชนอ์ ย่างยั่งยืนมีวิธีการใดบา้ ง ( การอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพ่ือ การใช้ประโยชน์อย่างย่ังยืน เช่น 1. การเกบ็ กัก ทรัพยากรธรรมชาติท่ี มีแนวโนม้ จะขาดแคลนไวใ้ ชใ้ นอนาคต 2. การรกั ษา ซอ่ มแซม ทรัพยากรที่ ถกู ท้าลายให้เป็นปกติ
ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล 3. การฟื้นฟู ทรพั ยากรที่เสื่อมโทรมให้ สามารถกลับมาใช้ได้อกี 4. การปอ้ งกนั ทรัพยากรที่ถกู ท้าลาย หรอื มแี นวโน้มจะถกู ท้าลายใหเ้ ป็นปกติ) - การพัฒนาทย่ี ง่ั ยืนมแี นวทางในการปฏิบตั ิ อย่างไรบ้าง ( มแี นวทางดังนี 1. การรักษาคุณภาพส่ิงแวดลอ้ ม 2. การใชท้ รัพยากรอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 3. ควบคมุ การเจริญเติบโตของประชากร ใหเ้ หมาะสมกบั ปรมิ าณทรัพยากรธรรมชาติ 4. การปรบั เปล่ียนพฤติกรรมการใช้ ทรพั ยากรธรรมชาติใหถ้ กู วธิ ี 5. เพม่ิ ความหลากหลายของระบบนิเวศ และหลกี เล่ยี งการทา้ ลายสิ่งแวดลอ้ ม) - ให้นกั เรยี นยกตัวอย่างการพฒั นา ทรพั ยากรธรรมชาติ เพอื่ การใชป้ ระโยชน์อย่าง ย่งั ยนื ที่ตอ้ งอาศัยเทคโนโลยีควบค่มู าสกั 2-3 ตวั อย่าง (การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ เพือ่ การใช้ประโยชนอ์ ยา่ งย่ังยนื ที่ต้องอาศยั เทคโนโลยมี าชว่ ย เช่น
ตวั ชว้ี ดั / ความรู้ ภาระงาน/ การวดั และ กจิ กรรมการเรียนรู้ สือ่ /แหล่งเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ ชิ้นงาน ประเมินผล 1. การใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากเซลลส์ ุริยะ (solar cell) ในการนา้ พลงั งานแสงมาใชแ้ ทน การใชแ้ สงสวา่ งในบา้ นเรือน แทนพลงั งานความ ร้อนทใี่ ชเ้ ชอื เพลิงในการหุงตม้ ตา่ ง ๆ 2. การใชก้ ังหนั ชัยพัฒนาในการบา้ บัดน้า เสียเป็นการฟนื้ ฟแู หล่งน้าให้มีคณุ ภาพดีขึน) 4. ครเู ปดิ โอกาสให้นักเรียนสอบถามเนือหา เร่ือง หลักการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ วา่ มีสว่ น ไหนท่ไี ม่เขา้ ใจและให้ความรเู้ พ่ิมเติมในสว่ นนนั 3. ขนั ลงขอ้ สรุป 1. ครูมอบหมายใหน้ กั เรียนสรุปความคดิ รวบยอดเกยี่ วกับเนือหาท่ีไดเ้ รียนในวันนี
Search