Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นิทานชาดกอันดับที่3

นิทานชาดกอันดับที่3

Published by จริยา พาศิริ, 2021-07-12 03:51:20

Description: นิทานชาดกอันดับที่3

Search

Read the Text Version

1

นิทานชาดก lau ๓ พระธรรบเทศนาของ พระกาวนาวิริยคุณ (เผด็จ กดฺตชีโว) รองเจาอาวาสวัดพ่ระธรรมกาย จ.ปํฤบธานี ขอมอบเป็นธรรมบรรณาการ

นิฑานขาดก เล่ม ๓ พระธรรมเทศนาของ พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทตฺตชีโว) รองเจ้าอาวาลวัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี จัดพิมพ์และพิมพ์โดย ๑๐(ร:/๑๙-๒๑ ถนนนเรศ แขวงลี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ร)0๕00 โทร.๒๓๓๐๓๐๒-(ร: โทรลาร ๒๓(๙(ร:๙(£(ร: จัดจำหน่ายโดย บริษัท บีเอ็นเฟิ บุเกส์ จำ กัด 0^๖ ถนนลี่พระยา แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ๑๐(ร:๐๐ โทร.๒๓(ร:๐๓0^๐-๑ โทรลาร ๒๓(ะว'(ร:๐(๙(ร: ธนาณัติสั่งจ่าย \"บริษัท ปีเอ็นเค บุ๊คส์ จำ กัด\"ป.ณ.กลาง ลิฃสิทธิ้เป็นของมูลนิธิธรรมกาย ISBN 974-89321-2-5 ราคา Qlfo บาท 006-2-0142-3000

■r#.

คำ ปรารภ คนในโลกนี้อยากทำดี อยากเป็นคนดีทุกคน แต่เพราะเหตุ ต้นแบบดี ๆ เป็นแบบอย่าง จึงต่างคิดหามาตรฐานทำความดี ต่างๆ กันไป ที่พอมีปั'ญญาก็ทำดีถูกวิธีไต้สร้างลมความดีเป็นบารมี เพิ่มพูนติดตัวไป ไม่เลียทีที่ไต้เกิดมาเป็นคน แต่ที่มีป๋'ญฌาน'อย เห็นผิดเป็นชอบก็หลงทาง ขาดทุนไปชาติหนึ่ง ต้วยเหตุนี้เราจึงควรคึกษาต้นแบบการทำความดีจาก \"ชาดก\" แม้ว่ามีบางเรื่องที่เป็นนิทานพื้นบ้านปนเปเข้ามา แต่กระนั้นก็ดีเรา ก็น่าจะคึกษาชาดกไนต้านที่เป็นวัฒนธรรมชาวพุทธ แทนที่จะตั้งข้อ กังขาไนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒&•๒๙ ระหว่างที่เดินทางไปยุโรป และประเทศอังกฤษ อาตมภาพไต้มีโอกาสพบปะ สนทนากับ อาจารย์ทางปรัชญาไนมหาวิทยาลัยออกชฟอร์ด และเคมบริดจ์ หลายท่านศาสตราจารย์ท่านหนึ่งไดีไห้ข้อคิดว่า ท่านไต้ทราบข่าวว่าขณะนี้พระภิกษุไทยแสะพุทธศาสนิก-ชน ชาวไทยไม่สนไจชาดก เนึ่องจากเพราะไต้พบว่า บางเรื่องมีนิทาน พื้นบ้านมาปะปนอยู่ต้วย เดี๋ยวนี้ไครพูดถึงชาดกทำไห้รูสึกว่าเป็น เรื่องครํ่าครึ งมงาย ดังใfนท่านจึงขอฝากเตือนใจว่า คนที่คิดอย่างนี้iพั้แหละ งมงาย เพราะถ้าเราเรียนแต่ทฤษฏีล้วนๆ เราก็ได้แต่ท่องจำเป็น เพียงความรู้ดิบ ความรู้เกิดจากการจำนี้นไม'สามารถนำมาใช้งาน

อย่าว่าแต่จะไปสอนลูกหลานเลย แม้แต่จะนำมาสอนตัวเองก็ไม่ได้ ความรู้ทางทฤษฏีเช่นปี ผูเ้ ป็นครูบาอาจารย์ ด้องลองแล้วลองอีก กว่าจะได้ความรู้สุกๆ ขึน้ มา ก็ฝานการลองชนิดผิดๆ ถูกๆ มาเสีย มากต่อมาก แต่ล้ามีเรื่องราวประกอบ ก็จะมองเห็นวิธีการนำ ทฤษฏีมาใช้เปลี่ยนจากนามธรรมเป็นรูปธรรม ได้ชัดเจนขึ้น ท่านศาสตราจารย์ได้ยกตัวอย่างถึงนิทานอีสป ซึ่งเป็นเรื่อง ไม่จริง ก็ยังเอามาสอนคนได้ ส่วนนิทานชาดกเป็นวัฒนธรรมชาว พุทธเป็นแบบแผนในการท่าความดี เป็นเครื่องปีนยัน การเวียนว่าย ตายเกิด ชาวพุทธเองยังเมินไม่เอาใจใสใยดี เป็นการดูถูกคำสอน ของพระสัมมาส้มพุทธเด้า และดูถูกตัวเอง ดังนั้นอาตมภาพจึงใคร่ขอให้เราลองพิจารณาความหมาย และคุณค่าของนิทานชาดก ซึ่งเป็นสมบัติทาง{โญญาอันลาค่าของ ชาวพุทธ ใหถี่ถ้วนและรอบคอบ นิทาน แปลว่า เหตุเป็นเครื่องมอบใหซึ่งผล, มูลเค้า, เรื่อง เดิม, สมุฏฐาน ชาดก แปลว่า ประวัติการทำความดีของพระสัมมาส้มพุทธเค้า ที่มีมาในชาติก่อนๆ นิทานชาดก มิใช่เรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสอนคุณธรรม แต่นิทาน ชาดก คือ เรื่องในอดีตชาติของพระสัมมาส้มพุทธเค้า ที่พระองค์ ทรงแสดงแก่พระภิกษุในโอกาสต่าง ๆ บางครั้งก็เพื่อแสดงภูมิหสัง ของผู้ที่พระองค์ต้องการแสดงธรรมให้ฟ้'ง บางครั้งก็เพื่ออธิบาย เหตุการณ์ต่างๆ ที่เภิดขึ้น เมื่ออ่านนิทานชาดก นอกจากจะใต้ทราบเหตุการณ์ต่าง ๆ

แล้วเรายังได้ทราบอุปนิสัยใจคอของบุคคล ในแง่มุมทีเราอาจนึกไม่ ถึงว่าจะมีหรือเป็นไปได้อีกด้วย ไม่เพียงแต่เท่านิ เรายังทราบอีกว่า ทำ ไมเขาจึงเป็นเซ่นนั้น และพระพุทธองคได้ทรงซ่วยเหลือเขา อย่างไรบ้าง ในวัฏสงสารอันยาวนานนับภพนับชาติไม่ล้วนนี้ พระพุทธ- องค์ เมื่อครั้งดำรงพระชนม์เป็นพระโพธิสัตว์ ได้เวียนว่ายตาย เกิดเป็นมนุษย์บ้าง พลาดพสังไปเป็นสัตว์เดียรัจฉานบาง แต่ก็ ได้ประกอบคุณงามความดีมาทุกภพทุกชาติ จนกระทั่งได้มาเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระชาติสุดท้าย ผู้ที่อ่านหรือฟังนิทานชาดก จึงควรอ่านหรือฟังด้วยความ พิจารณา และในที่สุด นำ หสักธรรมที่ไดํใปใช้เป็นคุณประโยชน์แก่ ตนเองและผู้อื่น จึงจะถึอว่าถูกด้อง ส่วนความสนุกสนานเพลิดเพลิน นั้น ใหถึอว่าเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น จึงจะนับว่าได้ประโยชน์ จากนิทานชาดกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไวไท้แล้วอย่างแ'คจรื ๑ มกราคม ๒๕๓๑

คำ นำ ในระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕:๒๗ ถึงต้นปี ๒๕:๒e; หลวงพ่อ ทัตตชีโว ไต้นำ นิทานชาดก มาแสดงพระธรรมเทศนาทุกบ่าย วันอาทิตย์ ติดต่อกันเป็นเวลากว่า ๑ ปี การเล่านิทานชาดกของ หลวงพ่อมิไต้เป็นเพียงการเล่าเรื่องลู่กันฟังอย่างเดียวเท่านั้น แต่ ท่านไต้อธิบายสรุบ่ และวิเคราะห์ชาดกเรื่องนั้นๆ ทั้งยังให้ข้อคิด จากชาดกอันเป็นบ่ระโยชน์ต่อผู้ฟังอย่างยิ่ง ทำ ให้การฟังพระธรรม เทศนาเป็นเรื่องที่ต้องติดตามฟัง ติดต่อกันทุกลับ่ดาห์ ผู้ฟังต่าง จดบันทึกเอาไว้เพื่อจะไต้อ่านอีกในภายหลัง อาทิตย่ใดที่มิไดีไบ่วัด ทำ ให้ต้องพลาดเรื่องชาดกก็จะต้องติดตามขออ่านจากบันทึก ของ กัลยาณมิตรที่ไต้บันทึกไว้ กาลเวลาผ่านไบ่ ผู้ที่เศยฟังนิทานชาดก ยังศงระลึกถึงเรื่องราว ที่สนุกสนานของชาดก แม้จะไต้มิการนำนิทานชาดกหลายเรื่องมา เรียบเรียงใหม่ สำ หรับนักอ่านรุ่นเยาว์ แต่หลายคนยังคงระลึกถึง ต้นเรื่อง ที่หลวงพ่อไต้แสดงพระธรรมเทศนาไว้ นิทานชาดก ที่บริษัท กราพีคอาร์ต 28 จำ กัด ไดีรับอนุญาต ให้นำมาจัดพีมฟในครั้งนี้ เป็นการรวมหัวข้อนิทานชาดก ที่หลวงพ่อ เทศน์ทั้งหมด เรียงสำดับในอรรถกถา จากวรรค ๑ ถึงวรรค ๗ และ เพื่อความเหมาะสมในการจัดพีมพ์ จึงไต้แยกพีมพ์เป็น ๗ เล่ม บริษัท กราพีคอาร์ต 28 จำ กัด ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ ทัตตชีโว ที่ไต้อนุญาตให้จัดพิมพ์หนังลือเล่มนี้ขึ้น



๙ นิทานชาดก ๑0 เล่ม ๓ ๑๗ ๒๖ กุรุงคมิคชาดก ๓๖ คุกคุรชาดก ๕0 โภชาชานียชาดก ติฏฐชาดก ๕๙ ๖๗ มหิฬามุขชาดก ๗๙ อภิณหชาดก ๙๗ นันทวิสาลชาดก กัณหชาดก มุณิกชาดก วิธีปึกสมาธิ

กุรุงคมิคชาดก ชาดกว่าด้วยการร้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมคน สถานที่ดรสซๆดก เวฬุวันมหาวิหาร นครราชคฤห์ สาเทดุที่ตรสยๆดก ในสมัยพุทธกาล หลังจากพระสัมมาส้มพุทธเจ้าตรัสรูได้ ไม'นาน ก็ทรงออกประกาศพระศาสนา พร้อมด้วยบรรดาพระสงฆ์ สาวกไปทั่วชมพูทวีป ครงนั้นมีผู้เลือมไสศรัทธาออกบวชปฎิบติธรรม ตามพระองค์จนบรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์จำนวนมากมาย

นิทานชาดกเล่มสาม ๑๑ แต่เป็นที่น่าสลดใจว่า พระญาติของพระองค์ท่านหนึ่งคือ ฬระเ,'ฬวทํ'ด ถึงแม้จะบวชแล้วก็ไม่อาจซึมซับเอาพระธรรมอันวิเศษ เข้าไปชำระล้างจิตใจอันมากด้วยความอิจฉาริษยา มักใหญ่ใฝ่สูง อยากเด่นอยากด้งให้เบาบางลงได้ ท่านกลับคิดจองล้างจองผลาญ พระลัมมาลัมพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา เช่น ยุยงให้คณะสงฆ์แตกแยก จ้างนายขมังธนุให้มาลอบยิงพระพุทธองค์ ปล่อยข้างธนบาลที่ตกมัน และถูกมอมเหล้าจนคลุ้มคลั่งให้เข้าทำร้าย จนกระทั่งท้ายที่สุด ลงมือลอบปลงพระชนม์ด้วยตนเอง โดยขึ้นไปกลิ้งหินบนภูเขาให้ ตกลงมาทับพระผู้มืพระภาคเจ้า แต่ไม'ว่าจะไซวิธีใด ๆ ก็ไม่อาจปลง พระชนม์พระบรมคาสดาได้ เรื่องที่พระเทวทัตลอบทำร้ายพระผู้มืพระภาคเจ้าด้วยวิธีการ ต่าง ๆ เป็นที่ล่วงรู้กันทั่วเมือง ประชาซนพากันสาปแช่ง พระภิกษุ ทั่งหลายต่างพากันตำหนิติเตียนกล่าวโทษพระเทวทัต แต่ก็ไม่รู้จะทำ ประการใดจึงจะให้ท่านสำนึกผิด จึงได้แต่ทั่งสนทนาปรับทุกข์กัน อยู่ในโรงธรรมสภาเท่านั้น พระลัมมาลัมพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ จึงทรงระลึกชาติ หนหลังด้วยบุพเพนิวาสาษุสติญาณ ตรัสแก่พระภิกษุเหล่านั้นว่า \"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตไม่ได้คิดจองล้าง จองผลาญเราแต่เฉพาะชาตินี้หรอกนะ แรงพยาบาทของเทวท้ต ที่มีต่อเรานี้นมีมาในอดีตหลายภพหลายชาติแล้ว\"

๑๒ นิทานชาดกเล่มสาม แล้วตรัสเล่า กุรฃคมิคซๆดก ดังน เนื้อหาชาดก ครั้งหนึ่งในอดีต ณ ป่าใหญใกล้นครพาราณสี มีกวางหนุ่ม ตัวหนึ่งเป็นกวางเฉลียวฉลาด ท่าทางป่ราดเป่รียว ทะมัดทะแมง และตื่นตัวอยู่เสมอ มันระมัดระวังตัวเป็นอย่างดีตลอดมา จึงรอดพ้น จากการถูกล่ามาได้ ครั้นถึงด้นฤดูฝน ไม้ผลผลิดอกออกผลเต็มต้น กวางนั้นก็ ออกมาหา ผลมะรื่น กิน แต่เนึ่องจากพื้นดินเปียกชื้น เวลายํ่าไป ที'ไดก็ปรากฏรอยเท้าซัดเจนที่นั้น ไนครั้งนั้นมีพรานป่าคนหนึ่งชอบซัดห้างล่าสัตว์ วันหนึ่ง นายพรานผู้นั้นสังเกตเห็นรอยเท้ากวางที่ได้ด้นมะรื่นด้นหนึ่ง จึง ปีนขึ้นไปซัดห้างไว้บนด้นไม้นั้น พอเช้ามีดวันรุ่งขึ้น หสังจากกินช้าว เช้าเสร็จแล้วก็ถือหอกปีนขึ้นไป่นั่งคอยท่าอยู่บนต้นมะรื่น ฝ่ายกวางนั้นฺ พอรุ่งเช้าก็ออกจากที่อาศัยตรงไปยังด้นมะรื่น เพื่อกินผลของมันเช่นเคย แต่เนึ่องจากเป็นกวางที่ฉลาดรอบคอบ ไม่ประมาท จึงไม่ด่วนผลุนผสันเช้าไป่ทันที เฝัาวนเวียนสังเกตอยู่ ห่าง ๆ เพื่อดูว่าจะมีอันตรายบ้างหรือเปล่า ครั้นเห็นอะไรอย่างหนึ่ง ผิดสังเกตอยู่บนด้นไม้ก็สงสัยจึงยืนอยู่ห่าง ๆ ไม่ยอมเช้าไปไกล้

พ^-. โ ร^ๆร*^ ร-^ 7

๑a: นิทานชาดกเล่มสาม นายพรานคอยอยู่นานเห็นกวางไม่เข้ามาแน่ จึงเด็ดผล มะรื่นขว้างไปให้ตกลงตรงหน้ากวาง หวังจะล่อให้กวางเดินเข้ามา ไกล่อีกลักนิดพอที่ตนจะพุ่งหอกไปถึง กวางเห็นดังนันจึงคิดในใจว่า \"ธรรมดาผลไม้ถ้าตกเอง จะต้องหล่นลงมาตรง ๆเหมือน คนเขย่าของที่ห้อยอยู่ให้ตกลงมา แต่ผลมะรืนปีกลับกลิงมาหาเราไต้ ชะรอยจะมืนายพรานซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ คอยดักทำร้ายเราอยู่ เป็นแน่\" คิดดังนีแล้วจึงชำเลืองมองขืนไปบนต้นไม้ พิจารณาดูลักครู่ ก็เห็นนายพรานแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น แล้วเดินหลีกห่างออกไป แต่ก่อนไปกวางนั้นก็แกล้งพูดกระทบนายพรานขึ้นดัง ๆ ว่า \"เฮ้ย...เจ้าลูกไม้ เมื่อก่อนนี้เจ้าเคยตกลงมาตรง ๆ แต่!มืยวปี เจ้าม้นผิดธรรมชาติเสียแล้ว กลิ้งมาหาเราไต้เอง เจ้าล่อเราต้วยอุบาย ใด กวางกุรุงคะรู้อุบายนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะไปหาไม้มะรน ต้นอื่น ผลของเจ้าเราไม'ชอบใจแล้ว\" ฝ่ายนายพรานนั่งอยู่บนห้างได็ยินดังนั้นก็แค้นใจ เพราะ อุตล่าห์เหน็ดเหนื่อยขัดห้างนั่งรอคอยจนเมื่อยขบอยู่เป็นเวลานาน แต่กลับไม'สามารถหลอกกวางไต้ ชํ้ายังถูกกวางพูดกระทบกระเทียบ เปรียบเปรยเอาอีก จึงพุ่งหอกออกไปจนสุดแรงเกิด หวังจะให้ถูก กวางนั้น แล้วตะโกนตามหลังไปว่า

นิทานชาดกเล่มสาม (ร)^ \"เจ้ากวางตัวดี วันนี้เอ็งทำให้ข้าผิดหวังมาก เอ็งตาย เสียเถอะ!\" หอกนั้นพุ่งไปไม่ถึงตัวกวางเพราะอยู่ไกลเกินไป กวางนั้น หันกลับมาแล้วพูดเย้ยนายพรานอีกว่า \"พรานเอ๋ย ถึงทำนจะฆ่าเราได้ แต่ทำนก็ด้องลงไปไข้กรรม ในนรกแน่ ๆ\" แล้วจากไป 'ประฃุมซๆดก พระลัมมาลัมทุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า นาย'พรานชัด'พางในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัดผู้มาก กวางกุรงคะ ด้วยความพยาบาท ได้มาเป็นพระลัมมา- ลัมพุทธเจ้าเอง ชัอคิดจากซาดก ๑. จงอย่าเป็นคนเห็นแก่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสิ่งใด ที่รูสึกว่าเป็นลาภลอยใด้มาง่าย ๆอย่าไปฉวยเอา เพราะจะถูกล่อลวง ด้วยลูกไม้ต่าง ๆโดยง่าย โบราณจึงพูดเตือนสติไว้เสมอ ๆ ว่า \"ถ้าปีใครชี้แนะว่า สิ่งใดจะทำให้รวยเร็ว ๆเกงเร็ว ๆ ปีชึ่อเสียงเร็ว ๆ โดยไม'ด้องลงทุนลงแรง ให้ตั้งข้อสังเกตไว้เลยว่า นั่นคือ ลกใฟ้ ไม'ควรให้ความสนใจจะดีทว่า\"

๑๖ นิทานชาดกเล่มสาม ๒. หมั่นสั่งลมบุญมาก ๆ ถ้ามากเต็มที่จริง ๆ แล้ว ใครก็ ทำ อันตรายไม่ได้ ไล่ความไม่ได้ บุญของเราที่มีอยู่จะตามเตือนสติ ไมไห้หลงลูกไม่ไคร จนเกิดโลภ โกรธ หลง เห็นแก่ได้ เห็นแก่เกียรติยศ รท. จากชาดกเรื่องนี้จึงทำไห็รูว่า คำ ว่า ลูกไม ได้กลาย มาเป็นสำนวนไทย หมายถึง เล่ห์เหลี่ยม ชนเชิง อริบายฟั'ฬท์ กุรุงคมิคซาดก (อ่านว่า กุ-รุง-คะ-มิก-คะ-ชา-ดก) กุรงค, มิค กวาง มะรน. มะลื๋น ซื่อด้นไม้ขนาดไหญ่ ไบรูปไข่ ผลเท่ามะกอก ห้าง หรือมะปรางขนาดเซื่อง บ้างเรืยกว่า กระบก หรือตระบก ที่พักเล็ก ๆ ชั่วคราว ที่ทำ ไว้คอยเฝัาดูเหตุการณ์ \"พระคาดา'ประจำชาดก ณาตเมตํ กุรุงคลส ยํ ตฺวํ เลปณฺณิ เลยยลิ อณฺณํ เลปณฺณึ คจุฉามิ น เม เต รุจจเต ผสํ ดูก่อน ไม้มะรื่น เจ้าล่อไจเราด้วยอุบายได กวางกุรุงคะ รู้อุบายนี้นแล้ว เพราะฉะนัน เราจะไปหาไม้มะรืนด้นอืน ผลของเจ้า เราไม่ชอบไจแล้ว

กุกกุรซาดก ชาดกว่าด้วยการสงเคราะห์ณาติ สดๆนพี่ดรสซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี สาเหตุที่ตรัสซาดก ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายนั่งสนทนา กันอยู่ ณ เซตวันมหาวิหาร ถึงเรื่องที'พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงช่วย ให้พระประยูรญาติจำนวนมากได้บรรลุธรรม ถึงความพ้นทุกข์ และ ในจำนวนนน มีพระประยูรญาติหลายพระองคํได้มาเป็นกำสังสำคัญ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีพระอานนท์เป็นต้น



นิทานชาดกเล่มสาม ๑๙ พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงทราบถึงข้อสนทนานั้น จึงตรัสว่า \"ดูก่อน ภิกษุท้งหลพ มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคต ได้นำประโยชน์มาสูหมู่ญาติ แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็นำประโยชน์ มาสู่หมู่ญาติแล้วเช่นกัน\" แล้วพระองค์ได้ทรงนำ กุกกุรรๆดก มาตรัสเล่าดังนี้ เนอฬๆซๆดก ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตปกครองกรุงพาราณสี พระองค'โปรดการเสด็จประพาสอุทยานมาก วันหนึ่ง พระองค์เสด็จ ประพาสอุทยานจนเวลาเย็นมากแล้วจึงเสด็จกสับ ราชบุรุษไม่ สามารถลากราชรถได็ในวันนั้น จึงจอดทิ้งไว้นอกโรงรถ บังเอิญ คืนวันนั้นฝนตกหนัก หนังหุ้มราชรถเมื่อถูกฝนก็อ่อนดัวลง และส่ง กลินเหม็นตุ ๆ เหล่าสุนัขในวังได้กลิ่นก็พากันมาแทะกินกันอย่าง เอร็ดอร่อย รุ่งเข้า ราชบุรุษมาเห็นหนังหุ้มราชรถอยู่ในสภาพขาดวิ่น ไปทั้งดันเช่นนั้นก็ตกใจ แต่คิดว่า คงจะไม่ใช่การกระทำของสุนัข ในวังเป็นแน่ เพราะสุนัขในวังทุกดัวล้วนได้รับการtเกฝนมาอย่างดี จะด้องเป็นสุนัขนอกวังแอบเล็ดลอดเข้ามาทางท'อนํ้าอย่างแน่นอน จึงน่าความไปกราบทูลให้พระเจ้าพรหมทัตทรงทราบ พระองค์ทรง กริวมาก มีพระราชบัญชาให้ฆ่าสุนัขทุกดัวทีพบ เว้นไว้แต่สุนัขที่เลี้ยง ไว้โนวังเท่านั้น

lao นิทานชาดกเล่มสาม ในครั้งนั้น พวกสุนัขนอกวังถูกฆ่าตายมากมายราวใบไม้ร่วง ตัวไหนทียังไม่ตายก็ต้องคอยหลบซ่อน สุนัขทังหลายต้องอดอยาก ยากแค้นแสนสาหัส จึงต่างพากันไปหาพญาสุนัขที่ป่าช้านอกเมือง แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไห้ฟัง เมื่อพญาสุนัขไต้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากบรรดาสุนัขนั้งหลาย แล้ว ก็คิดว่าต้นเหตุของความเดือดร้อนครั้งนีต้องมาจากสุนัขไนวัง อย่างแน่นอน เพราะสุนัขภายนอกไม่อาจเล็ดลอดเช้าไปไนวังซึงม ทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนาไต้ และถึงแม้ว่าจะเช้าไปไต้ สุนัขไนวัง ก็คงจะกรูกันเช้ามาขับไล่และทำร้าย จะไม่ปล่อยไห้มืเวลากัดกิน หนังหัมราชรถเป็นแน่ คิดตังนั้นแล้ว พญาสุนัขจึงปลอบโยนสุนัขทงหลายไห้หายวิตก และรับปากว่าจะซ่วยสุนัขทุกตัวไห้รอดชีวิต แล้วระลึกถึงบุญบารมื ที่ตนไต้สร้างสมมาพร้อมกับอธิษฐานจิตว่า \"ด้วยบุญบารมีที่ข้าพเจาสร้างสมมาแล้วด้วยดีหนึง และจิต อันมีเมตตาเปียมในสรรพสัตว์ทังหลายของข้าพเจ้า'ตนึง ขอคุณ ความดีทังสองประการมี จงช่วยคุ้มครองข้าพเจ้าขณะเดินทางใปเด้า พระราชาด้วย อย่าให้มีใครทำร้าย หรือดีดร้ายต่อข้าพเจ้าเลย\" เมื่ออธิษฐานจิตแล้ว พญาสุนัขจึงออกเดินทางไปยังพระราช วังทันที ตลอดการเดินทางอันเร่งรีบนั้น มืไต้รับอันตรายได ๆ เลย เมื่อเล็ดลอดเช้าไปไนพระราชวังไต้แล้ว ก็ตรงไปยังท้องพระโรง เช้าไปหมอบอย่ไต้พระราชอาสน์ของพระเจ้าพรหมทัต

นิทานชาดกเล่มสาม ๒๑ ฝ่ายราชบุรุษ เมื่อเห็นดังนั้นต่างกรูกันเข้ามาจะจับ แต่ด้วย แรงอธิษฐานของพญาสุนัขทำให้พระเจ้าพรหมทัตทรงเมตตา ตรัส สั่งห้ามไว้ พญาสุนัขจึงออกมาจากใต้พระราชอาสน์ ถวายบังคม แล้วพูลถามขึ้นว่า \"ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบว่าใฒ้!เาละอองธุลีพระบาท ปีรับสั่งให้ราชบุรุษฆ่าสุนัขทุกตัวจริงหรือ พระเจ้าข้า?\" พระเจ้าพรหมทัตทรงตรัสตอบว่า \"จริง เพราะสุนัขทั้งหลายกัดแทะหนังห้มราชรถของเรา\" พญาสุนัขพูลถามต่อว่า \"ขอเดชะ พระองค์ทรงให้ฆ่าสุนัขทุกตัวที่พบโดยปีได้ยกเว้น เลยหรือพระเจ้าข้า?\" พระเจ้าพรหมทัตทรงตรัสตอบว่า \"สุนัขที่เราเลยงไว้ ปีได้ถูกสั่งฆ่า\" พญาสุนัขจึงกราบทูลว่า \"ขอเดชะ เมื่อแรกตรัลว่าให้ฆ่าสุนัขทุกตัว แจ้วเหตุใดจึง ทรงยกเว้นสุนัขในวังเล่าพระเจ้าข้า เช่นน จะปีเป็นการลำเอียง เข้าข้างสุนัขของพระองค์เองดอกหรือ ธรรมดาพระมหากษัตริย์ ย่อมทรงไว้ชงความยุติธรรมตุจตราชู ยึดมั่นในราชธรรมอย่าง เคร่งครัด...\" แล้วเล่าต่อไปอีกว่า \"สุน้ขที่ปีเจ้าของเลี้ยงไว้ในวัง สมบูรณ์ด้วยลีส้นและกำลัง สุน้ขพวกนนไม่ถูกฆ่า กลับถูกฆ่าเฉพาะสุน้ขที่ไม่ปีเจ้าของอยู่ ภายนอกวัง เช่นนี้จะจัดว่าเที่ยงตรงคือฆ่าไม่เลือกหน้าได้อย่างไร

๒๒ นิทานชาดกเล่มสาม กลับเป็นการฆ่าไม่ปรานีเฉพาะสุนัขที่ไม่มีเจ้าของ พวกมีใช่ผู้ร้าย กลับได้รับมรณภ้ยโดยไม่เป็นธรรม\" พระเจ้าพรหมทัตได้ฟังดังนน ก็ทรงกริวและตรัสขึนว่า \"สุนัขที่เราเที่ยงไว้ทุกตัว ล้วนได้รับการอบรมอย่างดี ย่อม จะไม'กัดหนังหุ้มราชรถของเราเอง เราจึงให้เว้นไว้เด้าบังอาจกล่าว ว่าเราสั่งฆ่าผู้บริสุทธ เล้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นตัวการ?\" \"สุนัขในวังพระเล้าข้า\" พญาสุนัขทูลตอบ \"เล้าบังอาจกล่าวหาสุนัขในวังได้อย่างไร?\" \"ข้าพระองค์สามารถพิสูจน์ได้พระเล้าข้า\" พระราชาจึงให้พญาสุนัขทำการพิสูจน์ พญาสุนัขจึงขอให้ ราชบุรุษนำหญ้ามาขยำกับนํ้ามันเปรียง แล้วคนเอาแต่นํ้า นำ มา กรอกปากสุนัขทุกตัวในวัง สุนัขเหล่านนก็ลำรอกเอาชิ้นส่วนของ หนังหุ้มราชรถออกมาด้วยกันทั้งลิ้น พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรดังนน ก็ทรงเข้าพระทํโย ทุกอย่างใด้แจ่มแจ้ง พระองค์ทรงใว้วางพระทัยราชบุรุษมากเกินใป ทรงมีความลำเอียงเพรๅะรักและเมตตาสุนัขที่พระองค์เลี้ยงใว้จนทำให้ ต้องสร้างบาปมากมาย เมื่อใต้ประจักษ์ความจริงเช่นนี้ พระองค์ จึงมีรับสั่งให้เนรเทศสุนัขในวังออกใปเลียสิน แล้วทรงประกาศยกเลิก การเข่นฆ่าทำลายล้างชีวิตสัตว์ทั้งปวง ทรงตรัสสรรเสริญพญาสุนัขว่า \"แม้เล้าจะเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่ก็มีจิตใจโอบอ้อมอารื มี ความอาจหาญยิ่งนัก กล้าเอาชีวิตของตนเองเสี่ยงกับความตาย เพื่อความยุติธรรม และความสงบสุขของหมู่ญาติทั้งปวงของเล้า\"

นิทานชาดกเล่มสาม ๒๓ พระเจ้าพรหมทัตทรงชาบซึ้งพระทัยยิ่งนัก โปรดให้กั้น เศวตฉัตรแก่พญาสุนัข พญาสุนัขจึงแสดงทศพิธราชธรรมถวาย และขอร้องไห้พระองค์ตั้งมั่นอยู่ในศีลห้า ให้บำรุงพระชนกชนนี ข ดำ รงอยู่ในความไม่ประมาทตลอดไป แลดงธรรมแล้วถวายเศวตฉัตรคืน พระเจ้าพรหมทัตโปรดให้บำรุงเลี้ยงสุนัขทงหลายด้วยอาหาร อย่างดีตลอดไป และทรงห้ามมิให้ฆ่าสัตว์ทงหลายในกรุงพาราณลี ด้วย ตั้งแต่นนเป็นด้นมา พระเจ้าพรหมทัตและข้าราชบริพาร ต่างประพฤติธรรมตามโอวาทของพญาสุนัข ครั้นละโลกไปแล้ว ต่างได้ไปบังเกิดในลรวงสวรรค์ด้วยกันทงสิ้น 'ประซมซาดก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมซาดกว่า 'พระเจ้า'พร•พม'สัต ได้มาเป็นพระอานนท์ สุ'นัขทื่เ'พสือ ได้มาเป็นพุทธบริษัททงหลาย 'พญาสุนัข ได้มาเป็นพระองค์เอง

la<r นิทานขาดกเล่มสาม ข้อคิดจๆกซๆดก ๑. เมื่อเกิดเรื่องไมดีไม่งามขึ้นในบ้านหรือในที่ทำงาน หาก เรามีส่วนเกี่ยวข้องหรือต้องรับผิดชอบด้วยแล้ว ไม่ควรลงลัย^น แต่ฝ่ายเดียว ควรเฉลียวใจถึงบุคคลที่อยู่ไกลชิดกับเราด้วย มิฉะนั้น เราอาจลงโทษผิดคนได้ โบราณจึงมีข้อเตือนใจในเรื่องนี้อยู่ เซ่น หนอนปอนไส้ หรือ เกลือเป็นหนอน หรือโคลงโลกนิติที่ว่า ช้างสารหกศอกไซร้ เสียงา งูเห่ากลายเป็นปลา อย่าช้อง ช้าเก่าเกิดแต่ตา ตนปู ก็ดี เมียรักอยู่ร่วมห้อง อย่าไว้วางใจ ๒. ความอยุติธรรมนั้งหลาย มักเกิดจากความลำเอียง ซึง มี <r ประการ คือ ๑. ลำ เอียงเพราะรัก ๒. ลำ เอียงเพราะชัง ๓. ลำ เอียงเพราะกลัว <r. ลำ เอียงเพราะหลง ๓. พระลัมมาลัมพุทธเจ้าทรงแลดงมงคลชีวิตในมงคลที่ ๑๗ ว่า การลงเคราะห์ญาติเป็นมงคลอันสูงสุด(ญาตกา นณจ ลงคโท... เอตมุ มงคลมุตป) เมื่อเรามีความผาสุก ลมควรอย่างยิ่งที่จะทำการลงเคราะห์ ญาติให้เขามีความผาสุกด้วย ให์คิดว่าญาติของเราเป็นเนี้อนาบุญ อย่างหนึ่งซึ่งเราลามารถหว่านเมล็ดพันธ์ดี ๆ คือทำอุปการคุณให้

นิทานชาดกเล่มสาม ๒(ร: แก่เขาก่อน เมื่อถึงคราวเกิดเหตุเภทภัยใด ๆ ขึ้นกับเราหรือคนใน ครอบครัวของเรา หรือเมื่อต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใด ๆ ญาติของเราอาจช่วยเราไต้ ข้อนี้พระสัมมาส้มพุทธเจ้าตรัสยํ้าว่า \"ผู้ทำอุปการคุณค่อน และผู้มีกตัญญกตเวทิตานั้น บุคคล ทงสองประเภทนี้เปีนบุคคลซึ่งประเสริฐหาได้ยาก ควรแค่การ สรรเสริญ\" อริบๆยสั'ฬท์ กุกกุรชาดก (อ่านว่า กุก-กุ-ระ-ชา-ดก} กกกร ลุนัข จจ \"พระคาดาประจำซาดก เย กุก.กุรา ราชกุลสฺมิ วฑ.ฒา โกเลย.ยกา วณฺณพลูปปน.นา เตเม น วซฺฌา มยมลม วซ.ฌา นายํ ลฆจ.จา ทุพ.พลฆาติกายํ ลุนัขเหล่าใดอัน!^คลเลี้ยงไว่ในราชตระกูล เป็นสัตว์มี เจ้าของ ลมบูรณ์ต้วยสีสันและกำสัง ลุนัขเหล่านั้นไม่ถูกฆ่า พวกเรา กสับถูกฆ่า เมื่อเป็นเช่นนี้ จะว่าเที่ยงตรง คือฆ่าไม่เลือกหน้าไต้ อย่างไร กสับเป็นการฆ่าไม่ปราณีเฉพาะลุนัขที่ไม่มีเจ้าของต่างหาก

โภชาชานียชาดก ชาดกว่าด้วยความเพียรอันยิ่งใหญ่ ฟิคๆนทีตรัสซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครลาวัตถี สๆ!.ทดุทีตรัสขาดก ในการปฎิปติธรรมนั้น ต้องอาศัยความเพียรและความอดทน เป็นอย่างยิ่ง ในลมัยพุทธกาล พระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีความตงใจ ปฎิป้ติธรรมเป็นอย่างดีมาแต่ต้น แต่ครันวันเวลาผ่านไปนานปเข้า ก็ยังใม'เห็นผลของการปฎิป้ติธรรมเสียที จึงบังเกิดความเบือหน่าย คลายความเพียรลง

นิทานชาดกเล่มสาม ๒๗ พระสัมมาล้มพุทธเจ้าทรงเปียมดวยพระเมตตาธิคุณอัน ยิ่งใหญ่ หวังจะอนุเคราะห์ภิกษุรูปนั้น จึงเรียกภิกษุรูปนั้นมา แล้ว ตรัลว่า \"ดูก่อนภิกษุ บ้ณฑิตในกาลก่อนนั้น ได้ทำความเพียรที่ ไม่น่าจะทำได้ แมได้ร้บบาดเจ็บสาหัสเพียงใดก็ไม่ยอมละความเพียร เธอมาบวชในศาสนาที่สามารถนำตนออกจากกองๆกขํไปสู่โลๆตรภูมิ ได้ ไฉนจึงละความเพียรเสียเล่า\" แล้วพระพุทธองค์ทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุลติเ\"บาณ นำ โภชาชานียชาดก มาตรัสเล่า ด้งนี้ เนึ้อ'พาชาดก ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมปติ ณ กรุง พาราณลี พระองค์มีม้า สินธพอาชาไนย ซื่อว่า โภชๆชๆนียะ เป็นม้าที่ได้รับการปีกมาแล้วอย่างดีเยี่ยม มีรูปร่างองอาจลํ่าสัน มี พละกำลังเป็นเลิศกว่าม้าทงปวง มีปีเท้าเร็วประหนึ่งสายฟัา จนอาจ กล่าวได้ว่า แม้เมื่อพระราชาขี่ม้าโภชาชานียะเข้าลู่สนามรบแล้ว ต่อให้ข้าศึกมาพร้อมกันทงลิบทิศก็ยังเอาชนะได้ แม้เพียงเลียงร้อง ก็ทำ ให้ม้าของข้าศึกหวาดผวาเลียแล้ว พระเจ้าพรหมท้ตจึงทรง โปรดปรานยิ่งมัก ถือเป็นม้ามิ่งมงคลคู'พระบารมี ทรงอาทรรักใคร่ ประหนึ่งเป็นโอรสก็ไม่ปาน ถืงกับมีพระราชกระแสรับสั่งให้จัดที่ ให้อยู'เสมือนจัดให้สำหรับบคคลผ้สูงศักดิ้ มีความโอ่โถง งดงาม

\\q๘ นิทานชาดกเล่มสาม ปูลาดพื้นห้องด้วยไม้หอม มีหน้าต่างประดับด้วยม่านผ้ากัมพลแดง เพดานสลักเสลาลายทองอบรํ่าด้วยพวงดอกไม้และเครื่องหอม ให้ บริโภคข้าวสาลีที่เก็บไว้อย่างดีถึงสามปี มีกลิ่นหอมและรสเลิศ ภาชนะที่ใล่อาหารล้วนทำด้วยทองคำมีค่ามหาศาล พระนครพาราณลีนั้นมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ กล่าวได้ว่าไม่เคย มีกษัตริย์นครใดที่ไม่ปรารถนานครพาราณลี แต่เนื่องด้วยมีทหารกล้า มีพระราชาที่สามารถ ทั้งยังมีม้าอาชาไนยเซ่นนี้ด้วย จึงเป็นที่ครั่นคร้าม ยำ เกรงแก่อริราชศัตรูทั้งหลาย ครั้นต่อมาเมื่อพระเจ้าพรหมทัตชราลง มีพระราชาจากนคร ต่าง ๆ ถึงเจ็ดพระนครได้ร่วมมีอกันบุกเข้าล้อมกรุงพาราณลีไว้ แล้วแต่งทูตมาเจรจาขอให้พระเจ้าพรหมทัตยอมศิโรราบ มิฉะนั้น จะยกทัพเข้าชิงเมีอง พระเจ้าพรหมทัตจึงทรงเรียกประชุมอำมาตย์ราชมนตรีเพื่อ ขอความเห็น ที่ประชุมมีมติให้แม่ทัพม้าที่มีความสามารถเยี่ยมผู้หนื่ง เป็นผู้ออกไปรับศึกครั้งนี้ พระองค์จึงตรัสถามแม่ทัพม้าผู้นั้นว่าจะรับ ศึกเจ้าเมีองทั้งเจ็ดพระนครได้หรีอ แม่ทัพม้าผู้นั้นทูลตอบว่า \"ขอเดชะ หากขาพระพุทธเจ้าได้ม้าสินธพโภขาชาปียะ เข้าสู่สนามด้วยแล้ว อย่าว่าแต่กษัตริย์เจ็ดพระนครเลย แม้ด้องรบ กับกษัตริย์ทั้งชมพทวีป ข้าพระพุทธเจ้าก็หาครันคร้ามไม'พระพุทธเจ้า

นิทานชาดกเล่มสาม ๒๙ พระเจ้าพรหมทัตจึงมีพระบรมราชานุญาตแก่แม่ทัพม้า ในทันที ท่านแม่ทัพขี่ม้าสินธพโภชาซานียะ น่าไพร่พลบุกเข้าทลาย ค่ายซนที่หนึ่งโดยไม่ซักข้า แม้ว่ากองทัพของข้าศึกจะหนาแน่น เพียงไร แต่เมื่อนายทหารกล้าควบโภชาชานียะฝ่าเข้าไป กองทัพ ของข้าศึกแทบจะแยกออกเป็นทาง เพราะไม่อาจต้านทานการบุก อันหนักหน่วงและรวดแวไต้ ฝ่ายกองทหารที่ติดตามมา ก็ตีโอบ ไล่เข้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง กองทัพของฝ่ายข้าศึกถอยร่นไม่เป็นขบวน ท่านแม่ทัพควบโภชาชานียะบุกเข้าไปจนประชิดตัวพระราชาองค์ที่Vนึ่ง แต่ละเพลงทวนที่ฟาดฟันมา ยั้งรวดเร็ว หนักแน่น และแม่นยำ เพียงไมกี่เพลง ม้าของข้าศึกก็อ่อนกำลังเลียหลัก พระราชาองค์ที่หนึ่ง ไม่อาจต้านทานเพลงทวนของท่านแม่ทัพไต้ถึงกับตกจากหลังม้า ถูกจับเป็นเชลยกลางสมรภูมินั้น เมื่อจับพระราชาองค์ที่หนึ่งไต้และน่าเข้าลู่พระนครแล้ว ท่านแม่ทัพก็เข้าตีค่ายอื่น ๆ ต่อไป จนจับพระราชาไดถึงหกพระนคร แล้ว แต่ไนการจับพระราชาองค์ที่หกนั้น โภชาชานียะถูกธนูยิง บาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจทรงตัวอยู่ไต้ ท่านแม่ทัพจึงพามาที่พระทวาร หลวง แก้เกราะไห้หย่อนเพื่อไห้[ภชาชานียะสบายตัวขึ้น แล้วกล่าวว่า \"โภชาชานียะเอ๋ย เจ้าถูกธนูบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ คง จะออกไปร่วมเป็นร่วมตายกับเราไมใดอีกแล้ว นครพาราณสีปีม้าคึก มากมาย แต่จะหาเทียบเทียมเจ้าได้นี้นไมม้เลย\"

๓๐ นิทานชาดกเล่มสามํ โภชาซานียะได้ฟงดังนํ้น ก็ค่อย ๆลืมตาขึ้นมองท่านแม่ทัพ พลางคิดว่า \"ศึกครั้งสุดท้ายปีหนักที่สุด การที่ท่านแม่ทัพจะขี่ม้ๆตัวอื่น ออกรบนั้น ไม่มีทางเอาชนะข้าศึกได้แน่ งานที่เราทำมากว่าค่อนแล้ว ก็จะต้องเสียไป ท่านแม่ทัพผูมีมีมีอเป็นเสีคก็จักพินาค แม้พระเจ้า พาราณสีก็จักไม่พ้นเงือมมีอศัตรู เรามองไม่เห็นม้าตัวไหนจะ สามารถพอที่จะบุกเข้าตีหักค่ายที่เจ็ดลงไต้เลย\" คิดด้งนีแล้ว ม้าโภชาซานียะจึงกล่าวกับท่านแม่ทัพว่า \"เพื่อนเอ๋ย ม้าอื่นที่จักพาท่านบุกเข้าทำลายค่ายที่เจ็ด นอกจากเราแล้ว ยังไม่เล็งเห็นเลย เราจะไม่ยอมไห้ผลงานที่ทำมา ถึงเพียงนั้แล้วต้องเสียไปเปล่า ขึนชื่อว่าม้าสินธพอาชาไนย แม้ จะถูกธนูบาดเจ็บสาหัสจนต้องนอนตะแคงกับพื้นก็ยังประเสริฐกว่า ม้าทั่วไป ท่านจงช่วยพยุงเราให้สุกขึ้น แล้วผูกเกราะออกรบเถิด\" ท่านแม่ทัพม้าได้ฟังแล้ว!ลึกตืนตันใจจนไม่อาจกล่าวคำพูด ใด ๆ ได้ ได้แต่พยุงม้าโภชาชานียะให้ลุกขึ้น พันบาดแผลให้แน่น ลวมเกราะพร้อมที่จะเข้าสู่สมรภมิอีกครั้ง ข่ ข่ ม้าศึกโภชาชานียะข่มความเจ็บปวด พาท่านแม่ทัพบุกตะลุย เข้าทำลายค่ายที่เจ็ด เมื่อจับพระราชาใด้แล้วก็ลิ้นแรงล้มลง ทหาร ที่งหลายจึงช่วยกันพามาที่พระทวารหลวง

a

๓๒ นิทานชาดกเล่มสาม พระเจ้าพรหมทัตเสด็จมาดูอาการของโภชาซานียะด้วย ความห่วงใยยิ่งนัก ยิ่งเห็นโภชาซานียะได้รับทุกขเวทนาสาหัส นอน ตะแคงกายอยู่กับพื้นเซ่นนั้น พระองค์เสีกปวดร้าวพระทัยยิงนัก ทรงทรุดพระวรกายลง ยกพระหัตถ์ขึนลูบศีรษะของโภชาชานียะ โภชาชานียะค่อย ๆ ลืมตา ผงกศีรษะขึ้นแล้วกราบบังคมทุลว่า \"ขอเดชะ ขอใต้ฟ้าละอองธุลีพระบาทได้1ปรดอย่าได้สำเร็จ โทษพระราชาทั้งเจ็ดเลย ขอได้โปรดเมตตาให้ถวายสัตยานุสัตย์เลีย แล้วปล่อยไป อิสสริยยศอันใตที่ใต้ฟ้าละอองธุลีพระบาทจะพระราช ทานแก'ข้าพระพุทธเด้าและท่านเฌทพ ขอได้โปรดจงรวมพระราชทาน แก'ท่านแม่ทัพผู้เดียวเถิด อย่าให้ท่านแม่ทัพผู้สามารถจับพระราชา ได้ถึงเจ็ดพระนครต้องได้รับโทษเพราะเหตุทีข้าพระพุทธเด้าบาดเจ็บ เลย ขอใต้ฟ้าละอองธุลีพระบาทจงบำเพ็ญทาน รักษาดีล และ ทรงครองราชสมปติโดฺยธรรมเถิด ขอเดชะ\" กล่าวจบแล้ว ทหารทงหลายก็ซ่วยกันถอดเกราะออกจาก ร่างของโภชาชานียะ เมื่อเกราะพ้นจากตัว โภชาชานียะก็ลิ้นใจ พระเจ้าพรหมทัตโปรดให้ทำพิธีศพม้าสินธพโภชาชานียะ อย่างสมเกียรติเซ่นนักรบผู้กล้าหาญ ทรงพระราชทานบำเหน็จรางวัล แก่แม่ทัพผู้นัน และโปรดใหัพระราชาทังเจ็ดถือนำพระพิพ้ฒน์ลัตยา ทรงปฎิบํติตามคำทูลขอของโภชาชานียะทุกประการ

นิทานขาดกเล่มสาม ๓๓ 'ประฃุมขาดก เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงชาดกจบแล้ว ทรงแสดงอริยสัจลี่ พระภิกษุผู้คลายความเพียรรูปนั้นล่งกระแสใจลุ่มลึกไปตามพระธรรม เทศนา สามารถรวมใจให้สงบหยุดนิ่งเป็นสมาธิแน่วแน่ เข้าถึง ธรรมกายอรหัต สำ เร็จเป็นพระอรหันต์ ณ ที่นนเอง พระพุทธองค์ทรงประชุมชาดกว่า 'ผระเจ้า'พรหม'ฬัด ได้มาเป็นพระอานนท์ แม่'ทํ'หมา ได้มาเป็นพระสารีบุตร ม่ๆโภขๆขานยะ ได้มาเป็นพระองค์เอง ข้อคิดจากขาดก ๑. ผู้ที่สั่งสมบุญบารมีไว้มาก แมพลาดพลั้งไปเกิดเป็นสัตว์ เดียรัจฉาน บุญนั้นยังส่งผลให้เกิดในตระกูลดี มีความสามารถ เป็นที่รักของผู้เป็นเจ้าของ ๒. ควรแกตนให้มีความเพียร เมื่อตงใจทำลี่งใดในทางที่ดี งามแล้ว ต้องทำให้สำเร็จ ถ้ายังไม'สำเร็จจะไม'ล้มเลิกเป็นอันขาด แม้งานนั้นจะยากลำบากหรีอมีอุปสรรคเพียงใดก็ตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่างอันดีในการ บำ เพ็ญ รรยบๆรมี มาตงแต่ครงเป็นพระโพธิสัตว์ แม้ในพระชาติ สุดท้าย พระองค์ยังปรารภความเพียรที่ประกอบด้วยองค์ <r ก่อน ตรัสรู้ว่า

๓<r นิทานชาดกเล่มสาม แม้เลือดและเนื้อในร่างกายของเราจะเหือดแห้งหายไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที ถ้าหากย้งไม'บรรลุพระสัมมา สัมโพธิญาณ ปราบกิเลสให้หมดไป เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราจะไม่ยอมลุกจากที่เป็นอันขาด ๓. คุณธรรมอย่างหนึ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงเน้นตลอด ภพชาติอันยาวนานก็คือ ไม'ผูกพยาบาทจองเวรผู้Iด แม้จะถูกทำร้าย จนถึงแก่ชีวิตก็ตาม ธรรมะลำหรับกษัตริย์หรือผู้ปกครองพึงยึดถึอเป็นหลัก ปฎิป้ติ เรืยกว่า ทสฟึรรๆขรรรม มี ๑๐ ประการ คือ ๑. หาน การให้ปันแก่ผู้ควรให้ ๒. มีความประพฤติอยู่ในศีลธรรมอันดี ฅ. บเจาคะ หมั่นสละทรัพย์แก่สาธารณประโยชน์ ๔. อาซวะ ความเป็นผู้เที่ยงตรง ๔. มัหวะ มีความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ^. ด'นะ มีความตั้งใจขจัดคนพาล อภิบาลคนดี ๗. อโกระ ใม''อุนเฉียวเจ้าอารมณ์ ใม'โกรธง่าย ๔. อรหิงสา ไม'เบียดเบียนใครให้เดือดร้อน ๙. อันดิ มีความทํรหดอดทน ๑๐. อรโรธนะ ไม'ทำความชั่วเสียเอง

นิทานชาดกเล่มสาม ต)๕ อริบายสัฬท์ โภชาชานียชาดก (อ่านว่า โพ-ชา-ขา-ปี-ยะ-ชา-ดก) โภชน + อๆชานย = โภชาชๆนีย หมายถึงม้าอาชาไนยที่ ม้าสินธพ ได้รับการบำรุงเลี้ยงอันเลิศ ม้าพัน®ดีตระกูลหนึ่งแถบลุ่มแม่นํ้าสินธุ อาชาไนย แปลว่า แกมาแล้วอย่างดี ใช้เรียกม้าที่ แกมาอย่างดีแล้วว่า ม้าอาชาไนย ถ้า เป็นช้างเรียกว่า ช้างอาชาไนย ใน ทำ นองเดียวกันก็ใช้เรียกคนที่ฝึกตัวเอง มาอย่างดีแล้ว มีความแกล้วกล้าทรนง องอาจ มีระเบียบวินัยดี มีสติปัญญา เฉียบแหลมว่า บุรนอาชาไนย 'พระคาอาบระจำซาตก อปี บํสุเสนฺ เสมาใน ลลฺเลภิ สลฺลลีกใต เสยโยว วฬวา โภชโฌ ยุฌฺช มญเณว ลารถิ ดูก่อน นายสารถี ม้าสินธพอาชาไนยถูกครแทงแล้ว แม้นอนตะแคงอยู่ช้างเดียว ก็ยังประเสริฐกว่าม้ากระจอก ท่านจงประกอบฉันออกรบอีกเถิด

ติฏฐชาดก ชาดกว่าด้วยการทรงหยั่งรู้อัธยาศัยใจคอ^น สถานที่ดรัสซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครลาวัตถี สาเฬดุที่ตรสฃๆดก ในสมัยพุทธกาล มีประชาซนเลื่อมใสในพุทธธรรมอย่างยิ่ง จึงสละเพศฆราวาสออกบวซเป็นพระภิกษุจำนวนมาก ดังนน เพื่อ ความสะดวกในการปกครองสงฆ์และประใยซน์ในการเผยแผ่พระพุทธ ศาสนา พระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นพระอรหันต์แล้วและมีความสามารถ ในการอบรมสั่งสอน จึงแยกย้ายไปอยู่ตามสถานที่วิเวก ทำ การ อบรมสั่งสอนพระภิกษุบวซใหม่อย่างเข้มงวดกวดขัน ทำ ให้มีผู้บรรลุ ธรรมจำนวนมาก และการประกาศพระพุทธศาสนาก็สามารถขยาย วงกว้างไปจนทวซมพูทวีป นับว่าประสบผลดีอย่างยิ่ง

นิทานชาดกเล่มสาม ๓๗ อย่างไรก็ตาม ในครั้งนั้นก็มีปัญหาเรื่องการอบรมพระภิกษุ ใหม่ไม่ได้ผลเกิดขึ้นในสำนักของพระลารีบุตร ผู้!(ฬอว่าเป็นธรรม เสนาบดี จนได้ กล่าวคือ ในบรรดาลุกศิษย์ของท่านจำนวนมากนั้น มีพระภิกษุรปหนึ่ง ข ๆขํ แม้อยู่ในความดูแลของท่านอย่างไกลชิดมาตลอด ar เดือนแล้วก็ตาม ดีอทงให้เรียนพระวินัยอย่างเต็มที่ ทงใหป็กนั้งลมาธิเจริญภาวนา อย่างสมํ่าเสมอตลอดกลางวันกลางดีนมิได้ขาด และพระภิกษุรูป นั้นเองก็เต็มใจ ตงใจปฎิป่ติตามคำสอนอย่างดีเยี่ยม แต่ไม่ว่าพระสารี บุตรจะเคี่ยวเข็ญยักย้ายถ่ายเทวิธีปฎิปติธรรมแบบใด ๆ การเจริญ ภาวนาของท่านก็ไม'ก้าวหน้าเลย ไม'สามารถแม้แต่จะท่าใจให้สงบ ลงได้สักครู่ นิมิตในกรรมฐานก็ไม'เคยเกิดขึ้น พระสารีบุตรนึกรู้ทันทีว่า ลูกศิษย์รูปนี้คงต้องเป็น พุทธเวไนย แน่ ๆ มิใช่วิสัยของท่านที่จะให้การอบรมสั่งสอนต่อไป ดังนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นท่านจึงพาลูกศิษย์รูปนี้ไปเฝัาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องราวทงหมดให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงตรัสถามพระสารีบุตรถึงวิธีฝืกอบรมพระภิกษุ ใหม่รูปนี้ ท่านก็กราบทูลว่าใหฝืกสมาธิภาวนาโดยใช้ อสุภกรรมฐาน เป็นหสักเหมีอนกับที่รีเกให้กับลูกศิษย์อื่น ๆ พระบรมศาสดาทรงระลึกชาติหนหสังด้วยบุพเพนิวาสานุสติ ญาณ แล้วตรัสว่า

๓ นิทานชาดกเล่มสาม \"สารีบุตร เธอไม่ได้บรรลุ อาสยานุสยญาณ เธอจึงรีเก ลูกฅิษย์รูปนี้ไม่ได้ผล เธอจงกล้บไปก่อน ทิง้ลูกฅิษ!!ไว้กับเรา เย็น ๆ ค่อยมารับกกับ\" อดีตชาติของพระภิกษุรูปนี้เมื่อ aroo ชาติหลัง ๆ ท่านได้ เกิดเป็นช่างทองมาตลอด ได้รับการ'ฝืกฝนใหใช้ทองคำบริลุทธี้ทำเป็น รูปพรรณต่าง ๆ ที่งดงามวิจิตร ดังนี้นในชาตินี้ท่านจะรูลีกแช่มชื่น แจ่มไสได้ ก็ต่อเมื่อพบแต่ของที่สวยงามเท่านี้น เมื่อให้มาแกสมาธิ โดยพิจารณาของไม่งาม จึงไม่ถูกอัธยาศัย ท่าใจไห้สงบไม'ได้ พระพุทธองค์ทรงหยั่งรู้อัธยาศัยเช่นนี้แล้ว จึงทรงปรับวิธี เจริญสมาธิภาวนาให้พระภิกษุรูปนี้โดยเฉพาะ โดยตรัสสงให้ พระภิกษุด้วยกันจัดกุฏิหลังดี ๆใหม่ ๆให้พัก หาจีวรใหม่ ๆ เนี้อดี ๆ มาให้!ช้ ยิ่งภว่านี้น พระองค์ยังทรงพาออกบิณฑบาตด้วย ซึ่ง โอกาสเช่นนี้ไม'เคยมีพระภิกษุบวชใหม่รูปใดได้รับมาก่อนเลย หลังจากฉันอาหารเสเจแล้ว พระพุทธองคได้ทรงพาไปชม บริเวณวัดอันร่ม'รื่นจนทั่ว ครั้นไปถึงสวนมะม่วงหลังวัด ก็ทรงอธิษฐาน ให้เกิดสระบัวขนาดใหญ่ขึ้นสระหนึ่ง มีกอบัวใหญ่เกิดขึ้นกลางสระ หนึ่งกอ และที่กลางกอนี้นให้มีดอกบัวใหญ่สวยเด่นสะดุดตาอยู่ หนึ่งดอก เนึ่องจากสระนี้นเกิดจากพุทธานุภาพทั่วบริเวณจึงสงบ ร่มรื่น พระภิกษุรปนี้นเหินแล้วก็บังเกิดความเบิกบาน จิตใจแช่มชื่น '

นิทานชาดกเล่มสาม ๓๙ พรผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสั่งให้พระภิกษุรูปนั้นนั่งพิจารณา ดอกบัวในสระไปตามลำพัง ส่วนพระองค์เสด็จกลับเข้าไปใน พระคันธกุฎี แล้วทรงอธิษฐานให้ดอกบัวเนรมิตนั้นค่อย ๆ เปลี่ยน แปลง จากดอกบัวที่สวยงามเหมือนดอกบัวทองเมื่อลักครู่ กลับกลาย เป็นเหี่ยวลง ๆ สีซีดจางลง ๆ กลีบค่อย ๆโรยร่วงไปทีละกลีบ ลองกลีบ แม้แต่เกสรก็ค่อย ๆโรยร่วงไปทีละชิ้น ๆ จนในที่ลุดเหลือแต่ฝักบัว เหี่ยวแห้ง หาความสวยงามไม่ได้เลย พระภิกษุรูปนั้นมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของดอกบัวที่ เกิดขึ้นต่อหน้าก็ได็คิด บังเกิดความสลดไจว่า \"ดอกบัวดอกนี้เมื่อสักครู่ดูงามนักหนา เพียงชวประเดี๋ยว เดียวสีสันก็แปรปรวนไป กสีบก็ร่วง เกสรก็หล่น เหลือแต่เพียงนักแกน ในเท่านี้น ดอกบัวแท้ๆ ยังเปลี่ยนแปลงเหี่ยวแห้งไปถึงปานนี้ ร่างกายของเราก็คงปาน ๆกัน สังขารทงหลาย ทัง้ ปวง ไม'เที่ยงหนอ ต้องแก' เจ็บ ตาย เป็นแน่แท้' เมื่อคิดเปรียบเทียบความร่วงโรยของดอกบัวกับลังขารของตน ได้แล้ว ไจก็เริ่มสงบ หายพังซ่าน จิตหยุดนิ่ง เกิดปฐมมรรคเป็น ดวงสว่างอยู่ภายไน เมื่อเอาไจลอดนิ่งเข้ากลางดวงสว่างนั้น ก็เห็นกาย ไนกาย ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม จนไนที่ลุดก็เข้าถึงธรรมกายโคตรภู และปลาบปลื้มชื่นซมอยู่แต่เพียง ธรรมกายเบื้องด้นนี้เท่านั้น

aro นิทานชาดกเล่มสาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบถึงวาระจิตของพระภิกษุ รูปนนแล้ว ทรงเปล่งรัศมีมาจากพระคันธกุฎี และตรัสเตือนสติ เป็นพระคาถาว่า \"เธอจงตัดความสิเนหาของตนเสียให้ขาด เหมือนเด็ด ดอกบ้วใน ฤดูสารท ฉะนน เธอจงพอกพูนทางแห่งความสงบ พระสุคตทรงแสดงพระนิพพานแล้ว\" เมื่อจบพระคาถาแล้ว พระภิกษุรูปนั้นสามารถประคองใจ ให้หยุดนิ่ง บรรลุธรรมกายที่ประณีตยิ่งขึนไปตามลำคับ ตงแต่ ธรรมกายพระใสดา ธรรมกายพระสกิทาคามี ธรรมกายพระอนาคามี จนกระทั่งถึงธรรมกายพระอรหัต หมดกิเลสโดยลิ้นเชิงเป็นพระอรหันต์ อยู่ตรงนั้นเอง ท่านจึงเปล่งอุทานด้วยความดีใจ เป็นคาถาว่า \"เราอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีความปรารถนาบ?สุทธี้แล้ว สิน้ อาสวะแล้ว ครองกายนี้ไว้เป็นครั้งสุดห้าย มีศีลบ?สุทธ มีอินทรีย์ ตงมั่นดีแล้ว ดังดวงจันทร์พ้นจากปากราหู ฉะนี้น\" ครั้นเปล่งอุทานแล้ว จึงเข้าไปกราบถวายบังคมพระบรม คาสดาด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ขณะนั้น พระสารีบุตรเข้ามาเฝัาพระผู้มีพระภาคเจ้าพอดี และได้พาพระภิกษุผู้เป็นศิษย์ซึ่งบัดนี้ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว กสับไปยังสำนักของท่าน

นิทานชาดกเล่มสาม (5:๑ เย็นวันนั้นเอง พระภิกษุนั้งหลายได้ประชุมกันในธรรมสภา แสดงความชื่นชมยินดีว่า \"วันนได้บังเกิดพระอรหันต็ขึ้นมาอีกรูปหนึ่งแล้ว ทงนีเป็น เพราะญาณหัสนะ ทรงหยั่งรู้อัธยาคัยสัตว์ใลกของพระสัมมา สัมพุทธเจ้าโดยแท้ ส่วนพระสารีบุตรไม'มีอาสยานุสยญาณ จึง ไม'ทราบอัธยาศัยของศิษย์ดังเซ่นพระพุทธองค์\" ขณะที่พระภิกษุกำลังสรรเสริญพระพุทธานุภาพกันอยู่นั้น พระบรมคาสดาได้เสด็จเข้ามาในธรรมสภา ตรัสถามถึงเรื่องที่ พระภิกษุกำลังสนทนากัน ครั้นทรงทราบแล้วจึงตรัสอธิบายว่า การที่พระองค์รู้อัธยาศัยของพระภิกษุรูปนี้ ไม่ได้เป็นเรื่อง น่าอัศจรรย์อะไร เพราะเป็นธรรมดาของพระลัมมาลัมพุทธเจ้า ทงหลายอยู่แล้วว่าจะต้องรู้ แต่ที่น่าอัศจรรย์กว่านี้ก็คือ แม้ชาติก่อน พระองค์ยังไม่ได้ตรัสรู้ ก็ยังสามารถรู้อัธยาศัยของ^นได้ แล้วตรัส เล่า ติฏฐชาดก มีเนี้อความว่า เนอหาชาดก ในอดีตกาล เมื่อครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชลมปติกรุง พาราณลี ในสมัยนั้น พระองค์มีราชบัณฑิตสอนธรรมอยู่ผู้หนึ่ง วันหนึ่ง ม้าอาชาไนยมงคลอัศวราชของพระองค์ ไม่ยอม

(5:๒ นิทานชาดกเล่มสาม ลงไปดื่มนํ้า และอาบนํ้าที่ท่าที่เคยลงตามปกติ ไม่ว่าคนเลี้ยงม้า จะบังคับเคี่ยวเข็ญอย่างไรก็ไม่ยอม คนเลี้ยงม้ามีความร้อนใจมาก เพราะม้ามงคลนี้เป็นที่ โปรดปรานของพระราชา ทรงถนอมเหมีอนแก้วตา เหมีอนโอรสก็ ไม'ปาน เนื่องจากเป็นม้าคู'บุญ แสนรู้ แข็งแรง ปราดเปรียว และtiเท้า จัด พระองค์เคยไซ้เป็นราชพาหนะยามออกศึกสงครามรักษาบ้านเมีอง ให้รอดปลอดภัยตลอดมา เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นเซ่นนี้ จึงต้องรีบเซ้าเฝัา ถวายรายงานให้ทรงทราบโดยด่วน พระเจ้าพรหมท้ตทรงทราบแล้ว ให้เดือดร้อนพระท้ยนัก จึงทรงให้บัณฑิตในราชสำนักรีบไปสอบสวน ฝ่ายราชบัณฑิตเมื่อตรวจดูแล้วก็ทราบว่า ม้านี้ไม่ไต้เป็น โรคภัยไซ้เจ็บแต่อย่างใด จึงนึกเฉลียวใจว่า ต้องมีเหตุบางอย่างที่ เป็นเรื่องของความกินแหนงแคลงใจเกิดขึ้น เพราะม้ามงคลนี้เฉลียว ฉลาดเยี่ยงคน จึงซักไซ้โล่เลียงคนเลี้ยงม้าอย่างถี่ก้วนจนไต้ความว่า ก่อนหบ้านี้ไม'นาน มีคนนำม้าไม'มีสกุลตัวหนื่ง มาดื่มนํ้าและอาบนํ้า ที่ท่านํ้านี้ ม้าอาชาไนยเห็นเซ้าจึงไม'ยอมลงมาที่ท่านั้นอีก เมื่อราชบัณฑิตพิเคราะห์ดูแล้วก็รู้ว่า ม้าอาชาไนยตัวนี้เป็น ม้าถือตัว ไม'ยอมดื่มนํ้าและอาบนี้าร่วมท่ากับม้าไม'มีสกุลรุนชาติ เซ่นนั้น แต่จะอธิบายสาเหตุเรื่องนี้กับคนเลี้ยงม้าตรง ๆ ก็เห็นว่า ป่วยการ เพราะภูมิปัญญาอย่างคนเลี้ยงม้าผู้นี้คงจะตามไม'ทัน รังแต่จะมากเรื่องไปเปล่า ๆ จึงเลี่ยงอธิบายไปว่า



Carer นิทานชาดกเล่มสาม \"นี่แน่ะ ท่านผู้เลี้ยงมา! ท่านจงน่าม้าอัควราชนี่ไปอาบนา และดื่มนี่าที่ท่าอื่น ๆดูม้าง ดูแต่คนที่บ?โภคข้าวปายาส ที่เขาปรุง ด้วยเนยใส นี่าผงนี่าอ้อย บ่อยๆเข้ายังรู'จักเบื่อได้ ม้าตัวนี่ดื่มนี่า อาบนี่าที่ท่านี่ปอย ๆ นานวันเข้าก็คงจะเบื่อเช่นเดียวกัน\" คนเลี้ยงม้าได้ฟังคำของราชบัณฑิตแล้วก็ทำตาม นำ ม้า มงคลอัศวราชไปดื่มนํ้า และอาบนํ้าในท่าอื่น ม้ามงคลก็ยินยอม แต่โดยดี ราชบัณฑิตจึงกลับมากราบทูลพระราชาให้ทรงทราบเรื่องราว ทั้งหมด พระเจ้าพรหมทัตทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง บังเกิดความ ปลาบปลื้มเป็นล้นพ้น ทรงสรรเสริญราชบัณฑิตที่ลามารถหยั่งรู้ แม้อัธยาศัยของลัตว์เดียรัจฉาน แล้วพระราชทานเกียรติยศและรางวัล ให้เป็นการตอบแทน ประซุมซๆดก พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานมาแสดง แล้วทรง ประชุมชาดกว่า ม้ามงคลอัสวราชในครั้งนน ได้มาเกิดเป็นพระภิกษุ ช่างทองรูปนึ๋ 'พระเจ้า'พร'ทมหํ'ต ได้มาเป็นพระอานนท์ ราชบัฌ,'ฬิต ได้มาเป็นพระองค์เอง

นิทานชาดกเล่มสาม ร:๕ ข้อคิดจากชาดก ๑. โดยทั่วไป เป็นธรรมดาว่าบุคคลยิ่ง'ฝึกจิตใจให้ละอาด มีความรู้ความสามารถสูงขึ้นเพียงใร ก็มักจะมีความรูลึกอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นเองโดยอัดในม้ติ คือ ใม'อยากคลุกคลีกับผู้ที่ใร้คุณธรรม ยกเว้นแต่มีจิตกรุณา ต้องการจะสงเคราะห์ช่วยเหลีอ ซาวโลกสรรเสริญพระสัมมาล้มพุทธเจ้าว่า เป็นศาสดาที่ ประเสริฐที่ลุด เพราะตามธรรมดา คนทั่งหลายมักจะถือตัว ใม่อยาก ยุ่งกับผู้ที่ตํ่ากว่า แต่พระองค์ทรงมีนํ้าพระทัย ทนเหน็ดเหนื่อยมา เคี่ยวเข็ญทั่งสอนชาวโลก ซึ่งมีอัธยาศัยประณีตบ้าง ทรามบ้าง แตกต่างกับพระองค์ราวฟ้ากับดิน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่าง เหลีอล้น ตังนนบุคคลใดก็ตาม ที่มีครู อาจารย์ดี มีเพื่อนดี มาเคี่ยวเข็ญ วากล่าวตักเตือน ต้องถือว่าท่านลดตัวลงมาใกล้ชิด มาช่วยเหลือ สมควรรับปฎิปติตามโอวาทอย่างเคร่งครัด และกราบขอบพระคุณ โดยความเคารพอย่างสูง บ้านเมีองใดที่มีพระมหากษัตริย์ที่ใม่ถือพระองค์ ยอมลดตัว มาเยี่ยมเยียนราษฎร ทรงพูดคุยใต่ถามทุกฃ์ลุข และพระราชทาน คำ แนะนำต่าง ๆ ประชาชนในบ้านเมืองทั่นควรสำนึกในพระมหา กรุณาธิคุณของพระองคไห้มาก ๆ ๒. เมึ่อใต้คนดีมีวิชามาอยู่ต้วย ต้องจัดที่อยู่อาศัย เครื่องมือ

srb นทานชาดกเลมสาม เครื่องใช้ เลื้อผ้า อาหารให้อย่างดี จัดหน้าที่การงานให้อย่างเหมาะลม และให้ความเคารพเกรงใจด้วย มิฉะนนแล้วที่านจะรำคาญ เบื่อหน่าย และหนีไปเลีย เพราะคนดีมีฝืมือ โดยทั่วไปแล้วไม่เห็นแก่เงิน แต่ เห็นแก่งานที่เหมาะลมกับความลามารถ และเกียรติยศของเขา อีกประการหนึ่ง เมื่อคนดีมืคุณธรรมสูงมาหาถึงบ้าน เรา ต้องให้การต้อนรับอย่างเต็มที่ จึงจะเป็นมงคล ๓. มืบ้างเหมือนกันที่บางคนเป็นพุทธเวไนย ใคร ๆ ก็ลอน ให็ไม'ไต้ ต้องรอให้พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงทั่งลอน จึงจะบรรลุธรรม อย่างเช่นพระภิกษุในเรื่องนี แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากถึเกลมาธิ ไม่ก้าวหน้า ก็อย่าทึกทักว่าตัวเป็นพุทธเวไนย เลยหยุด■รก ไว้รอไปพบ พระพุทธเจ้าเบื้องหน้า จะเลียเวลาเปล่า ลำ หรับคนหนุ่มลาวที่เริม รกลมาธิใหม่ ๆ ควรเจริญอลุภกรรมฐานให้มาก ๆ จะประลบผลลำแจ cr. เมื่อผู้!หญ่จะอธิบายเหตุผลให้ผู้น้อย หากเห็นว่าผู้น้อย มืภูมิปัญญายังไม่ถึง แต่เพื่อหวังผลในเชิงปฎิปติ ก็อาจบอกเลี่ยง เป็นอย่างอื่น ซึ่งมืล่วนแห่งความจริงก็ไต้ โบราณชอบพูดในทำนอง นี้มาก เช่น บอกเด็กว่า \"อย่าขี่หมา เดี๋ยวฟ้าผ่าตาย\" ความจริงฟัาไม'ผ่า แต่ลุนัฃจะกัดเอา เพราะมันจักกะจี แต่ ป่วยการอธิบายกับเด็ก

นิทานชาดกเล่มสาม cr๗ บอกผู้Iหญ่ที่ปัญญาน้อยว่า \"ถ้าลูกสาว ลูกชายคนโตแต่งงานแล้ว พ่อแม่ต้องรืบเข้าว้ด ไปถืออุโบสถศีลทุกว้นพระ ถ้าไม่ถือ จ้ญไรจะขึ้นบ้าน\" ความจริงไม่มีตัวจัญไร แต่ท่านอุปมาว่า ตัวจัญไรนั้น คือ ความแตกร้าวในครอบครัว เพราะโดยทั่วไปตามชนบท หนุ่มลาว มักแต่งงานตงแต่อายุยังน้อย พ่อตาแม่ยาย ลูกสะใภ้ลูกเขย อายุ จึงไกล้เคืยงกันมาก เมื่อต้องมาอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน อาจเผลอสติ ขาดการไตร่ตรองยงคิด ท่าให้เกิดเรื่องเสียหายขึ้นไต้ง่าย พ่อแม่ จึงควรหาโอกาสไปศึกษาธรรมะ รักษาศีล' อบรมจิตใจ ให้มั่นคง ไว้เสมอ เป็นการบ้องกัน ภาษิตที่ว่า \"ปลูกบ้านอย่าคร่อมตอ เดี๋ยวจ้ญไรจะขึ้นบ้าน\" ก็เช่นกัน ท่านอุปมาตัวจัญไรไว้เป็น ๒ ประการ คือ ๑. ปลวกอาจมีอยู่ที่ตอก่อนแล้ว พอปลูกบ้าน ยังไม่ทันจะเสร็จ ปลวกก็ขึ้นถึงหลังคาไต้ ๒. เมื่อมีตออยู่ข้างล่าง ท่าให้ปักเสาเข็มลงไป ไม่ไต้ต้องอาศัยตอนั้นคํ้าอยู่ ไม่นานตอจะผุ บ้านก็จะทรดลงทันที

๕๘ นิทานชาดกเล่มสาม อริ'นๆยศัพท์ ติฎฐชาดก (อ่านว่า ติด-ถะ-ชา-ดก) ติฏฐ ท่านํ้า (ที่สำหรับข้าม) สิฎฐ อุบาย, ทางชอบ อสุภกรรมฐๆน หมายถึงกรรมฐานที่ไม่งาม ได้แก่การเจริญ ภาวนาด้วยการพิจารณาลิ่งที่ไม่น่าดู เซ่น ซากศพ ๑๐ อย่าง ดังนีคือ ๑. ซากศพที่เน่าขึ้นอืดแล้ว ๒. ศพที่เขียวคลํ้า ๓r.i. ศพที่มีนํ้าเหลืองไหล :.(ริ:. ศพที่ขาดเป็นท่อน ๆ แล้ว ๕. ศพที่ถูกสัตว์ทึ้งกิน ๖. ศพที่กระจุยกระจายแล้ว ๗. ศพที่ถูกสับเป็นท่อน ๆ cr. ศพที่อาบไปด้วยเลือด ๙. ศพที่เต็มไปด้วยหนอน ๑๐. ศพที่เหลือแต่โครงกระดูก อสุภกรรมฐาน เหมาะอย่างยิ่งลำหรับพระภิกษุ ภิกษุณี ที่ยังหนุ่มยังลาว ไข้พิจารณาเพื่อให้ ละจากกามราคะทึ้งปวง การริเกอสุภกรรม ฐานนี้จำเป็นต้องมีอาจารย์ศวบคุมอย่างไกลืชิด

นิทานชาดกเล่มสาม <r๙ พุทธเวไนย บุคคลที่พระสัมมาล้มพุทธเจ้าพึงลังลอนได้ เท่านั้น อาสยๆนุสยญๆณ ญาณอันเป็นเครื่องรู้อัธยาศัยของสัตว์โลก คันธกุฎี กุฎีที่อาศัยของพระสัมมาล้มพุทธเจ้าซึ่งทำ จากไม้หอมต่าง ๆ เซ่น แก่นจันทน์ กฤษณา และยังประดับประดาด้วยดอกไม้ ของหอม ที่พุทธบริษัทนำมาบูชาพระสัมมาล้มพุทธเจ้า ทำ ให้หอมกรุ่นอย่ตลอดเวลา 'พระคาถา'ประจำชาดก อณฺณมณฺเณหิ ติฎเ^หิ อลฺลํ ปาเยหิ ลารถิ อจจาสนลฺล ปุริใล ปายาลลฺลปิ ตปฺปติ ดูก่อนนายสารถี ท่านจงยังม้าให้อาบนํ้าและดื่มนํ้าที่ท่าโน้นบ้าง ท่านี้บ้าง แม้ข้าวปายาสที่คนบริโภคปอยครั้ง คนก็ยังเบื่อได้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook