Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่องของดอกไม้

เรื่องของดอกไม้

Published by amornrat.lim, 2021-12-02 08:43:40

Description: เรื่องของดอกไม้

Search

Read the Text Version

เรือ่ งของดอกไม้ จัดทำ�โดย นายถาวร แซล่ ่มิ

- สารบัญ - โครงสรา้ งของดอกไม้ 3-4 พชื ใบเลยื้ งค ู่ 5 พชื ใบเลื้ยงเด่ยี ว 6 2

โครงสร้างของดอกไม้ โครงสรา้ งของดอกไม้ ประกอบดว้ ยส่วน ในพชื ดอกบางชนิดวงของกลบี เล้ยี งอาจ ต่าง ๆ 4 สว่ นหลกั โดยแตล่ ะสว่ นจะเรียง มีสีสันสดใส เพือ่ ทำ�หน้าทล่ี อ่ แมลงให้เขา้ มาผสม ตวั จากชัน้ ทีอ่ ยนู่ อกสุดเขา้ สูส่ ่วนใน คือ กลีบเล้ียง เกสรเชน่ เดียวกับกลีบดอก อกี ท้งั ในพืชบางชนิด กลีบดอก เกสรตวั ผู้ และเกสรตวั เมีย ตามลำ�ดับ ยังมี “ริ้วประดบั ” (Epicalyx) หรือกลีบสีเขยี ว โดยส่วนประกอบทง้ั 4 นี้จะอยู่บนฐานรองดอก ซง่ึ ขนาดเล็กท่ีเรียงตวั เปน็ วงบรเิ วณใต้กลีบเลยี้ ง เช่นที่ อย่ปู ลายสุดของก้านชดู อก ปรากฏในดอกชบา และพรู่ ะหง เปน็ ต้น ดอกไม้ (Flower) คอื อวยั วะสว่ นสำ�คัญ 2. ชั้นกลบี ดอก (Corolla) หรือวงของ ท่ที ำ�หนา้ ท่ใี นการสบื พันธขุ์ องพชื ดอก (Angio- กลบี ดอกประกอบดว้ ยกลีบดอก (Petal) ท่ีเปน็ sperm) เป็นส่วนโครงสร้างของพืชที่พฒั นามาจาก ส่วนโครงสรา้ งอยู่ถัดเขา้ มาจากกลีบเลีย้ ง มักมี กง่ิ และใบ ดอกไมแ้ ต่ละดอกมักมขี นาด รูปรา่ ง และ สีสันสวยงามจากรงควตั ถุประเภทต่าง ๆ เช่น แค สสี นั แตกต่างกันไปตามชนดิ ของพันธ์ุพชื ซึง่ ส่วน โรทนี อยด์ (Carotenoid) หรอื แอนโทไซยานิน ใหญ่แลว้ เรามักเห็นดอกไม้มสี ีสนั สวยงามและสง่ (Anthocyanin) ในพชื ดอกบางชนดิ อยา่ งดอก กลน่ิ หอม หารูไ้ มว่ ่าลักษณะทางโครงสร้างท่โี ดดเด่น พุดตาน กลีบดอกนั้นสามารถเปลยี่ นสีได้ หรอื ใน เหล่านี้ ชว่ ยสง่ เสรมิ กระบวนการสืบพันธข์ุ องพชื พชื บางชนิด กลบี ดอกอาจมกี ลิ่นหอมผสมผสาน โดยการดงึ ดดู และลอ่ เหลา่ แมลงนานาชนิดเข้ามาช่วย อยดู่ ้วย จากการมีท้ังต่อมกลนิ่ และต่อมน้ำ�หวาน ในการผสมเกสรน่นั เอง ตรงบรเิ วณโคนของกลีบดอก ซง่ึ ทำ�หนา้ ทชี่ ่วย โครงสร้างหลกั ของดอกไมส้ ามารถแบง่ ออก ดึงดูดแมลงใหเ้ ข้ามาผสมเกสร เปน็ 4 สว่ น ไดแ้ ก่ ชั้นกลีบเล้ียง (Calyx) ชนั้ กลบี นอกจากน้ี ยังมี “วงกลบี รวม” (Perianth) ดอก (Corolla) ชนั้ เกสรเพศผู้ (Androecium) ที่ปรากฏข้ึนในพืชซึ่งวงของกลีบเล้ียงและกลีบดอก และช้ันเกสรเพศเมีย (Gynaecium) ซงึ่ เรยี งตัว มลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กันจนแยกไม่ออก อยา่ งเชน่ ใน จากชั้นนอกสดุ เข้าสูด่ ้านในของดอกไม้ โดยส่วน จำ�ปี จำ�ปา บัวหลวง และทิวลิป เป็นต้น ประกอบท้ัง 4 ตัง้ อยบู่ นฐานรองดอกท่ีบรเิ วณ 3. ช้ันเกสรเพศผู้ (Androecium) ปลายสดุ ของกา้ นชูดอก ดงั น้ี ประกอบด้วยเกสรเพศผู้ (Stamen) ทำ�หนา้ ที่ 1. ชนั้ กลีบเลยี้ ง (Calyx) หรอื วงของ สร้างเซลล์สืบพนั ธุเ์ พศผู้ ซง่ึ ในพืชส่วนใหญม่ ักมี กลบี เลย้ี งประกอบดว้ ยกลีบเลยี้ ง (Sepal) ทเี่ ปน็ จำ�นวนมากและเรียงตวั เปน็ วง โดยเกสรเพศผมู้ ีทงั้ โครงสร้างหอ่ หุ้มด้านนอกสดุ ของตัวดอก มกั มสี ี สว่ นท่แี ยกออกจากกนั เปน็ อสิ ระและส่วนของเกสร เขยี วคล้ายสว่ นของใบไมจ้ ากการมีองค์ประกอบของ ท่มี โี ครงสร้างตดิ กนั หรอื อาจเชือ่ มตดิ กับสว่ นอนื่ คลอโรฟลิ ล์อยู่ภายใน ซึ่งทำ�ใหก้ ลบี เล้ียง ๆ ของดอกไม้ อยา่ งเช่นในดอกเข็มและดอกลำ�โพง นอกจากทำ�หน้าที่ป้องกันอันตรายให้แก่ ซ่ึงเกสรเพศผู้จะเช่อื มติดกับส่วนของกลบี ดอก สว่ นโครงสร้างภายในของดอกไมแ้ ลว้ ยงั สามารถ หรือที่พบในดอกรักและดอกเทียนท่เี กสรเพศผมู้ ี สังเคราะห์แสง (Photosynthesis) เพื่อสรา้ งสาร โครงสรา้ งติดกบั เกสรเพศ เมีย เกสรเพศผมู้ อี งค์ อาหารให้แกพ่ ืชอีกดว้ ย กลบี เลยี้ งสว่ นใหญ่จะหมด ประกอบสำ�คัญ 2 สว่ น คอื หนา้ ทแี่ ละหลุดร่วงไปจากต้น เมอื่ ดอกไม้บานเตม็ ที่ 1. อบั เรณู (Anther) หรืออับเกสรเพศผู้ มี แล้ว ลกั ษณะเปน็ แทง่ กลมยาว 2 พู ภายในประกอบด้วย “ถงุ เรณ”ู (Pollen Sac) ขนาดเลก็ 4 ถุง ซงึ่ บรรจุ 3 ละอองเรณู (Pollen Grain) ทม่ี ีลักษณะ เปน็ เมด็

ขนาดเล็กสีเหลืองจำ�นวนมาก ผิวของเรณู 1. ดอดเกสรเพศเมยี (Stigma) คอื สว่ นที่ นนั้ แตกต่างกันไปตามชนิดของพืช เมื่อดอกเจรญิ มลี กั ษณะโปร่งพองออกมาเปน็ ตมุ่ แผแ่ บนเป็นแฉก เต็มที่แลว้ ถงุ ละอองเรณจู ะแตกออก ทำ�ใหล้ ะออง ๆ เป็นพูและมนี ำ้ �หวานเหนียวคน้ หรอื ขนคอยจบั เรณปู ลิวไปตกลงบนยอดเกสรเพศเมยี เพ่ือสร้าง ละอองเรณูท่ีลอยมาติด สเปริ ์ม (Sperm) ท่ีใช้ในการผสมพันธ์ุตอ่ ไป ใน 2. ก้านชเู กสรเพศเมีย (Style) คือ ส่วนท่ีมี พืชแต่ละชนิด จำ�นวนของเกสรเพศผู้จะมีจำ�นวน ลักษณะเปน็ เส้นหรือกา้ นขนาดเล็กทีเ่ ชอ่ื มต่อจาก มากน้อยแตกต่างกนั ไป แต่โดยทวั่ ไป แล้ว พชื โบราณหรอื พชื ชัน้ ตำ่ �มักมี ยอดเกสรตวั เมยี ลงสรู่ งั ไข่ เพอ่ื เปน็ เสน้ เกสรเพศผู้จำ�นวนมาก ส่วนพชื ทม่ี ี ทางใหส้ เปริ ์มเคล่ือนตวั เข้ามาปฏิสนธิ วิวฒั นาการสูงเกสรจะมีจำ�นวนลดลง กบั ไข่ 2. กา้ นชูเกสรเพศผู้ (Fila- 3. รังไข่ (Ovary) คือ ส่วนของ ment) คอื สว่ นโครงสร้างทีท่ ำ�หน้าท่ี กระเปาะพองโตที่ยดึ หรอื อาจฝงั อยกู่ ับ ชอู ับเรณู มลี กั ษณะโครงสร้างเป็นเสน้ ฐานรองดอก (Receptacle) ภายใน ทอี่ าจอยู่รวมกันเปน็ กลุม่ หรอื แยก มลี กั ษณะเป็นหอ้ งขนาด เล็กเรยี ก จากกนั เปน็ อิสระ มีขนาดและความยาวแตกตา่ งกนั ว่า “โลคลุ ” (Locule) ซึง่ ภายในโล ไปตามชนดิ ของพืช คลุ ประกอบด้วยออวลุ (Ovule) ท่มี ีหนา้ ทีส่ รา้ งไข่ 4. ชนั้ เกสรเพศเมีย (Gynaecium) (Egg) บรรจอุ ยู่ แต่ละหนว่ ยของเกสรเพศเมยี ทมี่ ี ประกอบด้วยเกสรเพศเมยี (Pistil) อยู่ด้านใน โลคุลท่ีห่อหุม้ ไข่ไวภ้ ายในเรยี กว่า “คาร์เพล” (Car- สุดของดอก เป็นสว่ นโครงสรา้ งที่พัฒนามาจาก pel) โดยใน 1 โลคลุ อาจมี 1 คาร์เพล หรอื หลาย ใบ เพือ่ ทำ�หนา้ ทสี่ รา้ งเซลล์สืบพนั ธ์เุ พศเมีย ในพืช คาร์เพลตามชนิดของดอกไม้ เม่อื เกิดการปฏสิ นธิ แต่ละชนดิ เกสรเพศเมียอาจมเี พียงหนงึ่ หรืออาจมี รังไข่จะเจริญไปเปน็ ผล ขณะทีอ่ อวลุ จะเจรญิ ไปเป็น จำ�นวนมากขึ้นอย่กู ับชนิดพนั ธุพ์ ืช เกสรเพศเมียมี สว่ นของเมล็ดนน่ั เอง องคป์ ระกอบสำ�คัญ 3 ส่วน คือ 4

พืชใบเล้ยี งคู่ นิยามของพชื ใบเลยี้ งคู่ (Dicotyledon แตกต่างกนั อกี มากระหว่างพืชใบเลีย้ งเด่ยี วและใบ หรอื Magnoliopsida) คอื พชื ทมี่ ใี บ เลย้ี งคู่ อย่างเชน่ ลักษณะโครงสร้างของเกสร หรอื เลี้ยง 2 ใบ เมอื่ เริม่ งอกออกจากเมลด็ พันธุ์ เป็นพืช ปากใบ (Stomata) แตม่ ันยากทจ่ี ะสงั เกตเหน็ ชัด ท่ีมรี ากเป็นระบบรากแกว้ และเม่อื เจริญเติบโตเตม็ ดว้ ยตาเปล่า ที่แล้ว จะไม่เกิดข้อและปล้องขึ้นชดั เจนตามบรเิ วณ พชื ใบเลย้ี งค่สู ่วนใหญ่เปน็ พืชทมี่ ีอายุยนื ยาว ลำ�ต้นเหมอื นกับพชื ใบเล้ยี งเด่ียว พืชใบเลี้ยงคู่ มี กวา่ พืชใบเลยี้ งเดีย่ ว มลี ักษณะของใบกว้าง มเี ส้น เปลอื กหนาและมีเน้อื ไม้แข็งแรง ขณะทที่ ่อลำ�เลียง ใบแตกแขนงเปน็ ร่างแหที่ซบั ซอ้ นออกจากตรงแกน่ อาหารและน้ำ�ของพชื กลมุ่ น้ี จะจัดเรียงอยภู่ ายใน กลางของใบ และสว่ นของกลบี ดอกจะมีจำ�นวนราว ลำ�ต้นอยา่ งเปน็ ระเบียบ จงึ ทำ�ใหพ้ ชื ใบเล้ยี งค่มู ีการ 4 ถงึ 5 กลีบ หรือเทา่ ทวคี ูณของ 4 และ 5 ขึ้นไป เจรญิ เตบิ โตทางด้านข้าง สามารถแผก่ ง่ิ กา้ นสาขาได้ นอกจากน้ี พืชใบเลีย้ งคู่ยังมีความแตกตา่ งจากพืช ดี ใบเล้ยี งเด่ยี วในอีกหลายด้าน เชน่ โครงสร้างของ แกนกลางของลำ�ต้นพชื กลมุ่ นจี้ ะไมม่ ที ่อ เกสรและลกั ษณะของปากใบ เปน็ ตน้ ลำ�เลียง แตจ่ ะเปน็ เน้ือไม้ซง่ึ มคี วามแขง็ แรงคงทน ตัวอยา่ งพืชใบเล้ยี งคู่ พชื หลากหลายสาย สว่ นท่อลำ�เลยี งจะจัดเรียงเป็นวงอยา่ งมรี ะเบียบอยู่ พนั ธท์ุ เ่ี ราพบเห็นบนโลกส่วนใหญ่ คอื พชื ใบเลยี้ งคู่ รอบลำ�ต้น สว่ นใบของพืชกลมุ่ นม้ี ลี กั ษณะกวา้ ง มี ซึง่ มมี ากราว 175,000 ถึง 200,000 ชนดิ โดยท่ี การแตกแขนงเปน็ ร่างแหออกจากแกนกลางของใบ พืชใบเลยี้ งค่นู ้นั ถูกจัดจำ�แนกอยใู่ นกลมุ่ ตา่ งๆ ตาม จำ�นวนของกลีบดอกจะมี 4 – 5 กลีบ หรอื ทวีคูณ ลกั ษณะโครงสรา้ งของพืช อยา่ งเช่น พชื ดอกตระ ของ 4 – 5 หากปลูกพืชใบเล้ียงคูเ่ พ่อื เก็บเกีย่ ว กูลแมคโนลิด (Magnoliidae) ซึ่งเป็นกลมุ่ ของ ผลผลติ สว่ นใหญ่มักตอ้ งใช้เวลา นานกวา่ พืชใบ พืชดอกที่มมี ากถงึ 9,000 ชนดิ เชน่ แมกโนเลีย เลยี้ งเดี่ยวถงึ จะเก็บเก่ียวผลผลิตได้ ทัง้ นี้ยงั มีความ จำ�ปี จำ�ปา จันทน์เทศ อบเชย พริกไทย ทิวลิป แตกตา่ งกนั อกี มากระหว่างพชื ใบเลย้ี งเดีย่ วและใบ เปน็ ต้น ทงั้ พืชสวน ไมพ้ ุ่ม ไมย้ ืนต้นและไมด้ อก หรือ เล้ียงคู่ อย่างเช่น ลกั ษณะโครงสรา้ งของเกสร หรอื แมแ้ ตก่ ระบองเพชร ลว้ นจดั อยใู่ นกลุ่มพืชใบเล้ียงคู่ ปากใบ (Stomata) แตม่ นั ยากทจ่ี ะสังเกตเหน็ ชัด ทง้ั หมด ด้วยตาเปลา่ 5

พชื ใบเลีย้ งเดีย่ ว พืชใบเลยี้ งเดย่ี ว สามารถจดั จำ�แนก และมีจำ�นวนใบเรยี งตวั กนั เป็นเลขค่หี รือใบเด่ียว ได้จากหลายลกั ษณะ ทงั้ ลักษณะ สว่ นของกลบี ดอกจะมีจำ�นวน 3 กลีบ หรอื เท่า กายภาพภายนอก ลักษณะของทอ่ ลำ�เลยี ง และ ทวีคณู ของ 3 ข้ึนไป ระบบราก ตัวอย่างพชื ใบเล้ยี งเดย่ี วทสี่ ำ�คัญ ในการจัดหมวดหม่พู ชื เกณฑ์ท่ใี ช้สามารถ พืชใบเลยี้ งเดี่ยวบนโลกมมี ากถงึ 67,000 ชนดิ โดย แสดงถงึ สายสัมพนั ธข์ องพืชไดอ้ ยา่ งใกล้ชิดที่สดุ คอื มพี ชื ในตระกูลกลว้ ยไม้ (Orchidaceae) มากเป็น การจำ�แนกตามระบบสืบพันธ์ุ ทำ�ใหพ้ ชื พรรณท้ัง ลำ�ดับทหี่ น่ึงราว 20,000 ถงึ 25,000 ชนดิ รองลง หลาย สามารถแบง่ ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ไดแ้ ก่ พชื มาเปน็ พืชตระกูลหญ้า (Poaceae หรอื Gram- มีดอกและพืชไมม่ ดี อก โดยในกลมุ่ พืชมีดอกนน้ั ยัง ineae) ที่มีจำ�นวนมากกว่า 9,000 ชนิด ซ่งึ โดย สามารถจำ�แนกออกเปน็ 2 กลุม่ ย่อย ได้แก่ พชื ใบ ทั่วไป เราอาจไมค่ าดคดิ ว่าพืชในตระกลู หญา้ นนั้ เล้ียงเดย่ี ว และพชื ใบเลย้ี งคู่ เป็นพืชมีดอก แต่ในความเป็นจรงิ แล้ว พืชเหลา่ นี้มดี นิยามของพชื ใบเลี้ยงเด่ยี ว (Monocoty- อกเลก็ ๆ เมื่อถงึ ระยะสืบพนั ธุ์ นอกจากน้ี พืชตระกลู ledon หรือ Liliopsida) คอื พชื ทมี่ ใี บเลยี้ งเพยี ง หญา้ ยังเป็นพชื ท่มี คี วามสำ�คัญทางเศรษฐกิจสูงและ ใบเดียว เมอ่ื เมลด็ พนั ธเุ์ รมิ่ งอก มีการเจรญิ เติบโต พืชผลติ ผลหลกั ในภาคเกษตรกรรมอกี ด้วย เชน่ ของลำ�ต้นสว่ นใหญอ่ ย่ใู ต้พ้ืนดิน มีระบบรากเป็น ขา้ ว ข้าวสาลี ขา้ วโพดและอ้อย รากฝอย ซึง่ เมื่อพชื ใบเลยี้ งเด่ียวเจริญเตบิ โตเตม็ นอกจากน้ี ยงั มีพชื ใบเลี้ยงเด่ียวในตระกลู ท่แี ล้ว ตามบรเิ วณลำ�ตน้ จะเกิดข้อและปลอ้ งขึ้น หนอ่ ไมฝ้ รง่ั (Asparagaceae) ท่ีมจี ำ�นวนมากเปน็ ชดั เจน โดยที่ภายในลำ�ตน้ จะมกี ลุ่มเน้อื เยอ่ื ลำ�เลยี ง ลำ�ดับท่ี 3 ราว 5,000 ชนดิ เปน็ กล่มุ พืชมีดอกที่ กระจัดกระจายอยูอ่ ยา่ งไมเ่ ป็นระเบยี บ จงึ ทำ�ใหพ้ ชื สามารถสงั เกตเหน็ ไดช้ ดั เชน่ แดฟโฟดิล (Daffo- ใบเลย้ี งเดี่ยวไมม่ ีการเจริญเติบโตออกทางด้านข้าง dil) และดอกบัว รวมไปถึงวา่ นหางจระเข้ หวั หอม ไมม่ ีก่ิงก้านสาขาเหมือนพืชยืนต้นขนาดใหญ่ทง้ั หนอ่ ไม้ฝรั่ง กระเทียมและสับปะรด นอกเหนอื จาก หลาย พืชใบเล้ยี งเด่ยี วในตระกลู หลักแล้ว ยังมีพืชใบเลย้ี ง พืชใบเลย้ี งเด่ียวส่วนใหญ่ จงึ เปน็ พืชล้มลกุ เด่ยี วในตระกลู อน่ื อกี มากมาย เช่น ธปู ฤๅษี กก ทมี่ ีอายุส้นั (ราว 1 ป)ี มลี ักษณะใบเรยี วยาวและตั้ง ปาล์ม และกล้วย ซง่ึ ลว้ นแลว้ แตเ่ ป็นพชื มีดอกใน ตรง โดยมีเส้นใบเรียงตวั กันในแนวขนาน กลมุ่ พืชใบเล้ียงเดย่ี วรว่ มกันทัง้ หมด 6

วิดีโอการจำ�แนกพชิ , ววิ ฒั นาการ และ ชีววิทยา 7

นายถาวร แซ่ล่มิ ราคา 155 บาท รหสั : 63103790 หลักสตู ร: ดจิ ทิ ัลคอนเทนต์ และสอื่ มหาวทิ ยาลัยวลัยลักษณ์ [email protected] โก’ เชฟ’ฟฟ ขอบคณุ ข้อมูลจาก - https://ngthai.com/science/15396/flowerstructure/ - https://ngthai.com/science/25114/dicotyledon/ - https://ngthai.com/science/25103/8monocotyledon/


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook