Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กลุ่ม 16 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

กลุ่ม 16 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

Published by Reading Room, 2022-01-13 07:45:43

Description: กลุ่ม 16 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

Search

Read the Text Version

ปจั จยั ท่ีมีความสัมพนั ธก์ ับพฤตกิ รรมการใช้หนา้ กากอนามยั เพื่อป้องกนั โรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร The correlation between associated factors and facemask-wearing behavior to prevent COVID-19 of nursing students, Naresuan University นางสาวอภญิ ญา นากกร รหัสนิสติ 61561364 นางสาวกฤตยา วรสวสั ด์ิ รหัสนสิ ิต 61560060 นางสาวศุภกั ษร ใจยะเสน รหสั นิสิต 61561142 นายกฤษณ์ ภพู วก รหัสนสิ ติ 61560077 นางสาวทิพาวรรณ ฉนั ทะ รหัสนิสิต 61560473 นางสาวพรสวรรค์ บญุ รอด รหสั นสิ ิต 61560770 นางสาวสวรส คาเขียว รหัสนสิ ติ 61561166 อาจารยท์ ่ีปรึกษา อาจารยร์ ุ่งเพชร หอมสวุ รรณ์ รายวชิ า 501378 วิจัยเบอื้ งตน้ ทางการพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร

ปจั จยั ท่ีมีความสัมพนั ธ์กับพฤตกิ รรมการใช้หนา้ กากอนามยั เพื่อป้องกนั โรคตดิ เชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร The correlation between associated factors and facemask-wearing behavior to prevent COVID-19 of nursing students, Naresuan University นางสาวอภญิ ญา นากกร รหัสนิสติ 61561364 นางสาวกฤตยา วรสวสั ด์ิ รหัสนสิ ิต 61560060 นางสาวศุภักษร ใจยะเสน รหสั นิสิต 61561142 นายกฤษณ์ ภพู วก รหัสนสิ ติ 61560077 นางสาวทิพาวรรณ ฉนั ทะ รหัสนิสิต 61560473 นางสาวพรสวรรค์ บญุ รอด รหสั นสิ ิต 61560770 นางสาวสวรส คาเขียว รหัสนสิ ติ 61561166 อาจารยท์ ่ีปรึกษา อาจารยร์ ุ่งเพชร หอมสวุ รรณ์ รายวชิ า 501378 วิจัยเบอื้ งตน้ ทางการพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร

ชื่อเรื่อง ปัจจยั ทม่ี ีความสมั พันธก์ บั พฤติกรรมการใช้หนา้ กากอนามยั เพ่ือป้องกนั โรคติดเช้ือ คณะผวู้ ิจัย ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19 ) ของนสิ ติ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร นางสาวอภิญญา นากกร ท่ปี รึกษา นางสาวกฤตยา วรสวสั ด์ิ คาสาคญั นางสาวศภุ กั ษร ใจยะเสน นายกฤษณ์ ภูพวก นางสาวทพิ าวรรณ ฉันทะ นางสาวพรสวรรค์ บญุ รอด นางสาวสวรส คาเขยี ว อาจารย์รงุ่ เพชร หอมสวุ รรณ์ หน้ากากอนามยั , ไวรัสโคโรนา 2019 และ นสิ ิตพยาบาล บทคัดย่อ การวิจัยเชิงพรรณาน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับ พฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตคณะ พยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1-4 มหาวิทยาลัยนเรศวร จานวน 232 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามปัจจัยนา ปัจจัยเอ้ือ ปัจจัยเสริม และ แบบสอบถามพฤตกิ รรมการใช้หนา้ กากอนามัยเพือ่ ปอ้ งกันโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 มีค่าดัชนีความ ตรงตามเน้ือหาเท่ากับ 1, 0.97, 0.93, 0.97 และ 0.97 ตามลาดับ คานวณความเชื่อม่ันของ แบบสอบถามด้วยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) ได้เท่ากับ .85 และแบบทดสอบความรู้โดยสูตร KR 20 เท่ากับ .58 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และสถติ ิสมั ประสิทธิ์สหสมั พนั ธ์แบบเพยี รส์ ัน ผลการวิจัยพบวา่ 1) ปัจจัยนา ได้แก่ ความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ในระดับต่ามาก (r= .068, .223, p< .01) 2) ปัจจัยเอ้ือ ได้แก่ นโยบายหรือกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัย และการ เขา้ ถงึ หน้ากากอนามยั มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโค โรนา 2019 ในระดบั ตา่ (r= .369, .465, p< .01) 3) ปจั จยั เสริม ได้แก่ การสนบั สนุนหน้ากากอนามยั มีความสมั พนั ธก์ ับพฤติกรรมการใช้หน้ากาก อนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ในระดับต่า ( r= .349, p< .01) ส่วนการได้รับข้อมูล ขา่ วสารเก่ียวกบั การใชห้ น้ากากอนามยั มีความสัมพันธ์กนั ในระดบั ต่ามาก (r= .267, p< .01)

ผลการวิจัยครั้งน้ีแสดงให้เห็นว่า ปัจจัยที่นามาศึกษาและพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยมี ความสมั พนั ธ์กนั ในระดับน้อยมากจงึ ควรนาปจั จยั อนื่ ๆที่เกย่ี วขอ้ งมาศึกษาเพิ่มเตมิ

Title The correlation between associated factors and facemask-wearing Author behavior to prevent COVID-19 of nursing students, Naresuan University Miss Apinya Nakkon Advisor Miss Krittaya Vorasawat Keywords Miss Supaksorn jaiyasen Mister Kris Phupuak Miss Tipawan Chanta Miss Pornsawan Boonrod Miss Savarot Camekeaw Miss Rungphetch Homsuwan face mask, corona virus 2019 และ Nursing student ABSTRACT The purpose of this descriptive research were to study the correlation between factors associated with facemask-wearing behavior to prevent COVID-19.The research was conducted on 232 nursing students, Naresuan University. The data were collected by using 5 parts of questionnaires which consists of the general data, predisporing factor,enabling factor,reinforcing factor and facemask-wearing behavior for the prevention of COVID-19 with 1, 0.97, 0.93, 0.97 และ 0.97 of the content validity index, respectively . The knowledge questionnaire was tested by using the Kuder Richadson- 20 with reliability of .58 The Cronbach's alpha coefficient of questionnaires was .85. The data were analyzed by using percentage, mean, standard deviation. Pearson correlation coefficient statistics. The results of this revealed that 1) The correlation between the predisporing factors including knowledge and attitudes and facemask –wearing behavior was a very low level. (r= .068, .223, p< .01) 2) The correlation between enabling factors including policy, rules, mask using regulations and mask accession and facemask –wearing behavior was a low level. (r= .369, .465, p< .01) 3) The correlation between reinforcing factors including mask support and facemask –wearing behavior was a low level. ( r= .349, p< .01). And the correlation

between the receiving of masks using information had a very low level. (r=.267, p< .01) The recommendation of this research is the other relevant factors should be further studied

ก สารบญั สารบัญ........................................................................................................................................... ก บทที่ 1 .......................................................................................................................................... 1 บทนา............................................................................................................................................. 1 ความเป็นมาของปัญหา......................................................................................................................1 คาถามการวิจัย ..................................................................................................................................4 จุดม่งุ หมายของการศึกษา..................................................................................................................4 สมมติฐานของการวจิ ยั .......................................................................................................................5 ขอบเขตของการวจิ ยั .........................................................................................................................5 ตวั แปรที่ใช้ในการวิจัย .......................................................................................................................6 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ...............................................................................................................................6 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะไดร้ ับ ................................................................................................................7 บทท่ี 2 .......................................................................................................................................... 8 เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ...................................................................................................... 8 แนวคิดหลกั เก่ียวกับโรคตดิ เช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 ............................................................................8 ความหมาย สาเหตุ และการวินจิ ฉัยของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019..........................................8 การวินิจฉยั โรคติดเช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 ......................................................................................9 อาการและอาการแสดง ...............................................................................................................10 ปจั จยั เสยี่ งตอ่ การเกดิ โรค ............................................................................................................11 แนวทางการรักษาและการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ...............................................................12 หน้ากากอนามัย (FACE MASK) ..........................................................................................................14 แนวคิดและทฤษฎีที่เกยี่ วข้องกับพฤติกรรมสุขภาพ : PRECEDE MODEL..........................................17 งานวิจยั ท่เี กยี่ วข้อง..........................................................................................................................18 กรอบแนวคิดของการวจิ ัย................................................................................................................22 กรอบแนวคิดของการวจิ ัย................................................................................................................23 บทท่ี 3 .........................................................................................................................................24 วิธดี าเนินงานวจิ ัย.........................................................................................................................24 ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง..............................................................................................................24 เครอื่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ัย ..................................................................................................................25

ข การสร้างเคร่ืองมือ ...........................................................................................................................26 การพทิ ักษส์ ิทธิของกลุ่มตวั อย่าง ......................................................................................................27 วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู .................................................................................................................28 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ..........................................................................................................................28 บทที่ 4 .........................................................................................................................................30 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ..................................................................................................................30 สว่ นที่ 1 ข้อมลู ทวั่ ไปของกลุ่มตัวอยา่ ง..............................................................................................31 สว่ นที่ 2 ปัจจัยท่ีอาจเกีย่ วข้องกบั พฤติกรรมการใช้หนา้ กากอนามยั .................................................31 2.1 ด้านปัจจยั นา ........................................................................................................................31 2.2 ดา้ นปัจจยั เอื้อ......................................................................................................................35 2.3 ดา้ นปัจจัยเสริม ในการใช้หนา้ กากอนามัยในการป้องกนั โรคตดิ เชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 .......36 สว่ นท่ี 3 พฤติกรรมการใช้หนา้ กากอนามยั เพ่ือป้องกันโรคติดเชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019 .......................38 สว่ นที่ 4 ความสมั พันธ์ระหวา่ งปจั จยั ท่ีเก่ยี วข้องกับพฤตกิ รรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่อื ปอ้ งกนั โรค ติดเช้อื ไวรสั โคโรนา 2019................................................................................................................39 4.1 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจยั นา ปจั จยั เอือ้ และปจั จยั เสรมิ กับพฤติกรรมการใช้ หนา้ กากอนามยั เพื่อป้องกันเช้ือไวรสั โคโรนา 2019 .....................................................................39 บทที่ 5 .........................................................................................................................................40 สรปุ ผลการวจิ ัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ .............................................................................40 สรปุ ผลการวิจยั ................................................................................................................................40 อภปิ รายผลการวิจัย.........................................................................................................................42 ขอ้ เสนอแนะในการนาวิจัยไปใช้.......................................................................................................44 ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั ครัง้ ต่อไป....................................................................................................44 ขอ้ จากดั ในการวจิ ยั ..........................................................................................................................44 บรรณานกุ รม................................................................................................................................47 ภาคผนวก ....................................................................................................................................50

ค สารบัญตาราง ตาราง 1 แสดงจานวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้เฉล่ยี ต่อ เดือน....................................................................................................................................................31 ตาราง 2 แสดงจานวน ร้อยละ คา่ เฉลยี่ และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของกลุ่มตวั อยา่ งจาแนกตามความรู้ เกีย่ วกับโรคติดเช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 .................................................................................................31 ตาราง 3 แสดงจานวน ร้อยละ คา่ เฉล่ยี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลมุ่ ตวั อย่างจาแนกตามทัศนคติ เก่ียวกบั โรคตดิ เชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 .................................................................................................33 ตาราง 4 แสดงจานวน รอ้ ยละ คา่ เฉล่ยี และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตวั อยา่ งจาแนกตามระดบั ความคิดเหน็ เก่ยี วกบั ปัจจัยเอื้อในการใชห้ นา้ กากอนามัยในการป้องกนั โรคตดิ เชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 .35 ตาราง 5 แสดงจานวน รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของกลมุ่ ตัวอย่าง จาแนกตามระดับ ความคิดเห็นเกย่ี วกับปัจจยั เสริมในการใชห้ นา้ กากอนามัยในการปอ้ งกันโรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ............................................................................................................................................................36 ตาราง 6 แสดงจานวน ร้อยละ ค่าเฉลีย่ และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอยา่ ง จาแนกตามระดับ ของพฤติกรรมการใช้หนา้ กากอนามยั เพื่อป้องกันโรคติดเชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019...................................38 ตาราง 7 แสดงค่าสัมประสทิ ธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างปจั จยั นา ปจั จยั เออื้ และปจั จัยเสรมิ กับการใช้หน้ากาก อนามัยกบั พฤติกรรมการใชห้ นา้ กากอนามัยเพ่ือป้องกันเชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 ...................................39

1 บทที่ 1 บทนา ความเป็นมาของปญั หา ปัจจุบันภาวะสุขภาพของมนุษย์ถูกคุกคามจากโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิง โรคในระบบ ทางเดินหายใจเฉียบพลันอย่างรุนแรง ที่เกิดจากไวรัสโคโรนาชนิดท่ีสอง ซ่ึงเป็นเชื้อท่ีมีความเกี่ยวข้อง ทางพันธุกรรมอย่างใกล้ชิดกับเช้ือไวรัสโรคซาร์ส (Severe acute respiratory syndrome coronavirus 2 : SARS-CoV-2) ท้ังนี้องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้โรคนี้เป็นโรคอุบัติใหม่ที่มี รายงานการแพร่ระบาดครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2019 หรือท่ีเรียกส้ันๆ ว่า โรคโควิด-ไนน์ทีน (Covid-19) (BBC News ไทย, 2563) จากรายงานสถานการณ์ การแพรก่ ระจายของเชื้อไวรัส Covid-19 ขององค์กรอนามัยโลกเม่ือ วนั ท่ี 10 พฤษภาคม 2563 พบวา่ มยี อดผูท้ ตี่ ิดเช้ือไวรัส Covid-19 ท่ัวโลกโดยรวมอยู่ท่ี 4,130,908 คน โดยประเทศท่ีมียอดผู้ติดเชื้อไวรัส Covid-19 มากท่ีสุดคือ สหรัฐอเมริกา 1,348,309 คน รองลงมาคือ สเปน 264,663 คน และ อิตาลี 218,268 คน ตามลาดับ และประเทศท่ีมียอดผู้เสียชีวิตจากการติดเช้ือ ไวรัส Covid-19 มากที่สุด คือ สหรัฐอเมริกา 80,056 คน รองลงมาคือ สเปน 26,621 คน และ อิตาลี 30,395 คน ตามลาดับ สาหรับสถานการณ์การแพร่กระจายของเช้ือไวรัส Covid-19 ในประเทศไทย พบวา่ มยี อดผู้ตดิ เช้อื ไวรสั Covid-19 อยู่ที่ 3,009 คน เสียชวี ิต 56 คน (กรมควบคุมโรค, 2563) เม่ือบุคคลไดร้ ับเชื้อไวรัส Covid-19 เข้าส่รู า่ งกาย ซ่งึ อาจเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับละออง ฝอย (Droplet) เมื่อผู้ติดเช้ือไอ หรือจาม โดยละอองเหล่าน้ีจะเข้าสู่ปาก หรือจมูกของคนท่ีอยู่ใกล้เคียง หรอื ผ่านเขา้ ไปในปอด และจากการสัมผัสพ้ืนผิวหรือวัตถุที่มีเช้ือไวรัส Covid-19 แล้วมาสัมผัสกับเย่ือบุ ปาก จมูกหรือตา (WHO, 2020) เช้ือไวรัสน้ีจะมีระยะเวลาฟักตัว 10-14 วัน (สมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก แห่งประเทศไทย, 2563) หลังจากน้ันผู้ติดเชื้อจะมีอาการแสดงแตกต่างกันตามระดับความรุนแรงของ การติดเช้ือไวรัส Covid-19 ซึ่งแบ่งได้ 4 ระดับ ได้แก่ 1) อาการน้อย คือ มีอาการไข้แต่ใช้ยาลดไข้แล้ว อาการดีข้ึน อาจมีไอแต่ไม่เหน่ือย ภาพถ่ายรังสีปอดปกติ 2) อาการปานกลาง คือ มีอาการไข้ และมี อาการทางระบบทางเดนิ หายใจ หายใจเร็วแต่น้อยกว่า 30 ครั้งต่อนาที เร่ิมมีอาการเพลียแต่ยังสามารถ ชว่ ยตนเองได้ พบภาพถ่ายรังสปี อดผดิ ปกติ 3) อาการรุนแรง พบหายใจเร็วมากกว่าหรือเท่ากับ 30 คร้ัง ตอ่ นาที และ/หรือความอ่ิมตัวของออกซิเจนน้อยกว่าหรือเท่ากับ 93% ขณะพัก PaO2/FiO2 น้อยกว่า หรือเท่ากับ 300 มิลลิเมตรปรอท พบภาพถ่ายรังสีปอดแย่ลงอย่างต่อเน่ืองมากกว่าร้อยละ 50 ภายใน 48 ชั่วโมง และ 4) อาการวิกฤติ มีภาวะการหายใจล้มเหลว ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ช็อค และมีอวัยวะระบบอ่ืน ล้มเหลว (ฐานเศรษฐกิจ, 2563) จากข้อมูลของวารสารการแพทย์ The Lancet ระบุว่าผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัส Covid-19 ใน กลุ่มท่ีมีโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โดยเฉพาะผู้ท่ีมีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปมีโอกาสเสี่ยงเสียชีวิต มากกว่าคนปกติ กล่มุ ผทู้ ีต่ ิดเช้ือไวรัส Covid-19 ท่มี โี รคหัวใจจะเพ่มิ ความเส่ียงในการเสยี ชีวิต โดยพบว่า มีโรคหัวใจและโรคหลอดเลอื ดสมอง 40% ซึ่งกลุ่มน้ีเมื่อได้รับเชื้อไวรัส Covid-19 จะส่งผลให้มีภาวะหัว

2 ใจเต้นผิดจังหวะได้ 17% กล้ามเน้ือหัวใจอักเสบได้ 7% ส่งผลให้ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวได้ 9% ตลอดจนไตวาย 4% กลุ่มผู้ที่มีโรคประจาตัวย่ิงเพิ่มความเส่ียงต่อการเสียชีวิตจากการติดเชื้ อไวรัส Covid-19 จากข้อมูลท้ังหมด 138 เคสที่ได้รับเช้ือไวรัส Covid-19 ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ระบุว่า ผู้ป่วยอาการหนักระยะวิกฤติมักจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง 58% โรคเบาหวาน 22% โรคหลอดเลือด หัวใจ 25% โรคหลอดเลอื ดสมอง 17% (อนสุ ิทธิ์ ทฬั หสิรเิ วทย์, 2563) จากขอ้ มลู ของโรงพยาบาลบารงุ ราษฎร์ ระบวุ า่ กลุ่มผูป้ ่วยทเี่ ส่ยี งมีอาการรนุ แรงหากได้รับเช้ือ ไวรสั Covid-19 มี 8 กล่มุ ได้แก่ 1) โรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดท่ี 2 รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวานขณะ ตั้งครรภ์ ล้วนมีความเส่ียงในการเกิดอาการรุนแรงหากได้รับเชื้อไวรัส Covid-19 เนื่องจากผู้ป่วย โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้าตาลได้ไม่ดี และมีระดับน้าตาลในเลือดสูงกว่าเป้าหมาย มักมีโรคแทรก ซ้อนอน่ื ๆ ร่วมด้วย นอกจากนก้ี ารตดิ เชื้อยงั ทาให้ระดับน้าตาลในเลือดผันผวนและควบคุมได้ยาก ทาให้ ระบบภมู ิคุ้มกันต่าและติดเช้ือไดง้ า่ ยขนึ้ รวมถึงเช้ือจะโรคเจรญิ เติบโตได้ดใี นภาวะนา้ ตาลในเลือดสูง 2) โรคไตเร้ือรัง ผู้ป่วยโรคไตที่อยู่ในข้ันท่ี 3 ถึงขั้นท่ี 5 ผู้ป่วยที่รักษาด้วยการฟอกเลือดและ ผู้ป่วยท่ีเปลี่ยนถ่ายไตอยู่ในกลุ่มเส่ียงในการมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยที่รักษาด้วยการฟอกเลือดอาจมี ภูมิค้มุ กันต่ากว่าคนปกติท่ัวไป นอกจากน้ีผู้ป่วยท่ีได้รับการเปล่ียนถ่ายไตต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกันทาให้ ภูมิคมุ้ กนั ลดตา่ ลงทาให้ติดเชอื้ ได้งา่ ยข้ึน 3) โรคปอดและทางเดินทางหายใจ ผู้ป่วยโรคปอดและทางเดินหายใจที่มีความเส่ียงสูง คือ ผู้ป่วยโรคหืดหอบระดับปานกลางถึงรุนแรงและผู้ป่วยโรคปอดเร้ือรัง เช่น โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคปอดอักเสบเร้ือรังและโรคซิสติก ไฟโบรซิส เน่ืองจากเชื้อไวรัส Covid-19 มีผลกระทบต่อ ระบบทางเดนิ หายใจ กระตุน้ อาการหอบหืดและอาจทาใหเ้ กิดโรคปอดบวมและโรคร้ายแรงอ่ืนๆ สาหรับ ผูป้ ่วยโรคปอด เช้อื ไวรัส Covid-19 อาจทาให้โรคปอดกาเรบิ หนักข้นึ ทาให้ผปู้ ว่ ยมีอาการรุนแรง 4) โรคอว้ น ผทู้ ่เี ปน็ โรคอว้ นชนิดรุนแรงคือผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายต้ังแต่ 40 ข้ึนไปหรือต้ังแต่ 30 ข้ึนไป สาหรับชาวเอเชีย ผู้ท่ีเป็นโรคอ้วนชนิดรุนแรงมีความเสี่ยงในการเกิดกลุ่มอาการหายใจลาบาก เฉียบพลัน (ARDS) ซ่ึงเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สาคัญของเช้ือไวรัส Covid-19 นอกจากน้ีผู้ท่ีเป็นโรคอ้วน ชนดิ รุนแรงยังมโี รคประจาตวั เรอื้ รงั อน่ื ๆ ท่ยี งิ่ เพิม่ ความเส่ยี งของการมีอาการท่ีรนุ แรง 5) โรคตับ ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง เช่น โรคตับแข็ง ผู้ป่วยปลูกถ่ายตับที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วย ภาวะทมี่ ีตบั อักเสบจากภมู ไิ วเกนิ (AIH) และผู้ปว่ ยมะเร็งตับที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยคีโม มีความเส่ียง ที่จะเกิดอาการรุนแรงหากได้รับเชื้อไวรัส Covid-19 เนื่องจากอาการป่วยจากเช้ือไวรัส Covid-19 รวมถงึ ยาที่ใช้ในการรักษาโรค อาจมีผลกระทบต่อการทางานของตับ โดยเฉพาะผู้ท่ีมีปัญหาเกี่ยวกับตับ อยเู่ ดิม 6) ผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น กลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง กลุ่มผู้ป่วยโรคเอดส์ คนท่ีสูบบุหร่ี ล้วนมีความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรง เนื่องจากภูมิคุ้มกันท่ีอ่อนแอทาให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับ เชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังอาจติดเช้ือนานกว่าผู้ป่วยที่ได้รับเช้ือไวรัส Covid-19 กลมุ่ อื่น ๆ 7) ผู้ป่วยท่ใี ช้ยากดภมู ิค้มุ กัน เช่น ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะอยู่ในกลุ่มเส่ียงเน่ืองจากยากด ภมู ิคุ้มกันทาให้ภูมคิ ุ้มกันรา่ งกายออ่ นแอลง เพ่ือป้องกันไม่ให้ร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่แต่ขณะเดียวกัน ทาใหม้ ีความเสี่ยงต่อการตดิ เช้ืองา่ ยข้ึน และอาจมีความรุนแรงของการตดิ เชอื้ สงู ข้นึ

3 8) ผู้ป่วยโรคหัวใจ หากได้รับเช้ือไวรัส Covid-19 อาจมีอาการหัวใจวายหรือภาวะหัวใจ ลม้ เหลวได้ อาการโรคหัวใจที่รุนแรงยิ่งข้ึนน้ีเกิดจากอาการป่วยของการติดเช้ือไวรัสและการท่ีหัวใจต้อง ทางานหนักขึ้น เช่น หัวใจเต้นเร็วข้ึนจากภาวะไข้ ประกอบกับระดับออกซิเจนท่ีต่าลงจากปอดบวมและ โอกาสในการเกิดลิ่มเลือดอุดตันที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน (Myocarditis) ในกลมุ่ ผปู้ ่วยท่ไี ด้รับเชอ้ื ไวรัส Covid-19 อีกด้วย (โรงพยาบาลบารุงราษฎร์, 2563) จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กล่าวคือ กรมควบคุมโรค และกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทา แบบการประเมินตนเอง เรื่อง ระดับความเส่ียงและคาแนะนาในการปฏิบัติตนต่อเช้ือไวรัส Covid-19 เพื่อให้ทุกคนได้ประเมินระดับความเสี่ยงและปัจจัยเส่ียงของตนเองโดยมีประเด็นข้อคาถามดังน้ี 1) ผู้ป่วยมีอุณหภูมิกายต้ังแต่ 37.5 องศาขึ้นไป หรือให้ประวัติว่ามีไข้ 2) ผู้ป่วยมีอาการระบบทางเดิน หายใจ อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ \"ไอ น้ามูก เจ็บคอ หายใจเหน่ือย หรือหายใจลาบาก\" 3) ผู้ป่วยมี ประวัติเดินทางไปยัง หรือมาจาก หรืออาศัยอยู่ในพ้ืนที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในช่วงเวลา 14 วัน กอ่ นป่วย 4)อยูใ่ กล้ชดิ กบั ผปู้ ว่ ยทย่ี ืนยันวา่ ติดเชอื้ ไวรัส Covid-19 (ใกลก้ ว่า 1 เมตร นานเกิน 5 นาที) ในช่วง 14 วันก่อน 5) มีประวัติไปสถานที่ชุมนุมชน หรือสถานที่ที่มีการรวมกลุ่มคน เช่น ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล หรือ ขนส่งสาธารณะ 6) ผู้ป่วยประกอบอาชีพท่ีสัมผัส ใกล้ชิดกบั นักท่องเทย่ี วตา่ งชาติ สถานท่ีแออัด หรือติดต่อคนจานวนมาก 7) เป็นบุคลากรทางการแพทย์ 8) มีผู้ใกลช้ ิดปว่ ยเปน็ ไขห้ วัดพรอ้ มกัน มากกวา่ 5 คน ในชว่ งสัปดาห์ท่ีป่วย (กรมควบคมุ โรค, 2563) สาหรับแนวทางในการรักษาการติดเชื้อไวรัส Covid-19 ขณะนี้ หลายประเทศกาลังศึกษา ค้นคว้า และวิจัย สูตรหรือตาหรับยาเพื่อใช้รักษาโรค ยกตัวอย่างเช่น WHO เริ่มการทดลองใช้ตัวยา 4 ขนานที่มีอยู่ในปัจจุบัน ประกอบด้วย เรมเดซิเวียร์ (remdesivir ยาสูตรผสมที่ใช้ต้านไวรัสเอชไอวี ระหว่างโลปินาเวียร์ (lopinavir) กับริโทนาเวียร์ (ritonavir) ยาสูตรผสมระหว่างโลปินาเวียร์กับริโทนา เวียร์ที่เพิ่มอินเตอเฟอรอนเบต้า ยาคลอโรควิน (chloroquine) ท่ีใช้ต้านโรคมาลาเรีย (WHO, 2020) แต่อย่างไรก็ตาม ยาที่ใช้สาหรับรักษาการติดเชื้อไวรัส Covid-19 ในขณะน้ี ยังไม่มีการประกาศออกมา อย่างเปน็ ทางการถงึ หลกั ฐานยืนยันถึงประสิทธิภาพในการรักษา ประกอบกับการพัฒนาวัคซีนเพ่ือสร้าง ภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งยังอยู่ในระยะของการทดลอง ดังนั้นส่ิงที่อาจช่วยป้องกันการติดเช้ือไวรัสนี้ได้คือการ ปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมสุขภาพ (กรงุ เทพธุรกจิ , 2563) ทุกคนสามารถป้องกันตนเองและช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสแพร่กระจายสู่คนอื่นได้ ซ่ึงมีหลายวิธี ยกตวั อยา่ งเช่น 1) การล้างมอื บอ่ ยๆ เปน็ เวลา 20 วินาทีด้วยสบ่แู ละน้า หรือเจลล้างมือที่มีส่วนผสมของ แอลกอฮอล์ 2) รักษาระยะห่างท่ีปลอดภัยจากผู้ที่ไอหรือจาม 3) ไม่สัมผัสตา จมูก หรือปาก 4) ปิดจมูก และปากด้วยข้อพับด้านในข้อศอกหรือกระดาษชาระเมื่อไอหรือจาม 5) เก็บตัวอยู่บ้านเมื่อไม่สบาย 6) หากมไี ข้ ไอ และหายใจลาบากโปรดไปพบแพทย์ ตดิ ตอ่ ล่วงหน้า 7) ปฏิบัติตามคาแนะนาของหน่วยงาน สาธารณสุขในพื้นที่ 8) การทา Social Distancing หมายถึง การลดการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างตนเอง และผู้อื่นรวมไปถึงคนในครอบครัวเพื่อลดการแพร่กระจายของโรคติดต่อต่าง ๆโดยเฉพาะโรคในระบบ ทางเดินหายใจ และอีกหน่ึงวิธีที่ช่วยลดการแพร่กระจายของเช้ือไวรัสได้ คือ การใส่หน้ากากอนามัย (WHO, 2020) ปัจจุบันการสวมหน้ากากอนามัยเป็นอีกหนึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เป็นที่นิยม และแพร่หลาย โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่กระจายของเชื้อไวรัส Covid-19 ซ่ึงการสวมหน้ากาก อนามัยเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันเพ่ือจากัดการกระจายของเช้ือโรคจากระบบทางเดินหายใจ ซ่ึง

4 รวมถงึ ไวรสั Covid-19 จากรายงานขา่ วของบีบีซีไทย โดยพญ.พรรณพมิ ล วิปุลากร อธบิ ดีกรมอนามัยได้ กล่าวบอกกับบีบีซีไทยว่า การแพร่ระบาดของเช้ือไวรัส Covid-19 ที่ก่อให้เกิดโรคน้ันมาในรูปแบบ ละอองฝอยท่ีพุ่งออกมาจากผู้ท่ีติดเชื้อ ซ่ึงการใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (surgical face mask) สามารถป้องกันการกระจายตัวของเชื้อไวรัส Covid-19 ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่สบาย มีการไอ จาม จาเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เช้ือโรคในตัวกระจายไปยังผู้อื่น อกี ทงั้ ยังไดบ้ อกถึงความแตกตา่ งของประสทิ ธภิ าพของการใช้หนา้ กากแบบ N95 กับหน้ากากอนามัยทาง การแพทย์ไว้ว่า การใช้หน้ากากแบบ N95 ผู้สวมใส่มักจะอึดอัดเพราะมีการทอด้วยเส้นใยที่แน่น ดังนั้น หากตอ้ งใช้หน้ากากตอ่ เน่ืองเป็นเวลานาน และเพ่ือป้องกันเชื้อไวรัส Covid-19 จึงแนะนาให้ใช้หน้ากาก อนามัยทางการแพทย์ อีกทง้ั ข้อมลู สนบั สนนุ จากนพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ท่ีได้ให้ คาแนะนาเพ่มิ เตมิ วา่ หนา้ กากอนามยั แบบ N95 นั้นถ้าใสไ่ ม่ถกู วธิ ีอาจทาให้ประสิทธิภาพต่าลงเมื่อเทียบ กับหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ จากสถานการณ์ปัจจุบันน้ีกล่าวได้ว่าทุกคนควรใส่หน้ากากอนามัย เพอ่ื ปอ้ งกันการกระจายตัวของเช้อื ไวรัส Covid-19 โดยเฉพาะ 1) ผู้ป่วยโรคติดเช้ือทางเดินหายใจหรือผู้ ที่เดินทางกลับมาจากพ้นื ทร่ี ะบาดในระหว่างท่ีต้องสังเกตอาการ 14 วัน 2)บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ ทตี่ อ้ งดแู ลผู้ป่วยและ 3) ผูท้ ่ีมคี วามเสยี่ งตอ่ การติดเช้ือสูง เช่น พนักงานขับรถสาธารณะ หรือผู้ที่ต้องเข้า ไปในพ้ืนทแี่ ออัด (BBC News ไทย, 2563) จากข้อมูลต่าง ๆ ที่กล่าวมา ผู้วิจัยจึงสนใจจะทาการศึกษาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งผลการวิจัยสามารถนาไปเผยแพร่เพื่อเป็นการให้ความรู้ และสามารถนาไปเป็น ข้อมูลพ้ืนฐานเพอ่ื ใชส้ าหรับพจิ ารณาในการกาหนดแนวทางการดาเนนิ งานทีเ่ หมาะสมในโอกาสต่อไป คาถามการวิจยั 1. พฤตกิ รรมการเลอื กใช้หน้ากากอนามยั ในนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์เป็นอย่างไร 2. ปัจจยั ทีส่ ง่ ผลต่อพฤตกิ รรมการใชห้ น้ากากอนามยั ในนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์มอี ะไรบ้าง จุดมงุ่ หมายของการศึกษา 1. วตั ถุประสงค์หลกั เพือ่ ศกึ ษาปัจจัยท่ีมีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติด เช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 ของนสิ ิตคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลยั นเรศวร 2. วตั ถุประสงค์เฉพาะ เพ่อื ศึกษาประเด็นสาคญั ตอ่ ไปนี้ 1.พฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิต คณะพยาบาลศาสตรม์ หาวทิ ยาลยั นเรศวร 2.ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกัน โรคติดเชื้อ เชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 ของนสิ ติ คณะพยาบาลศาสตรม์ หาวิทยาลัยนเรศวร

5 สมมติฐานของการวิจัย 1. ความรู้เกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัย เพือ่ ป้องกนั โรคตดิ เชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 2. ทัศนคติเก่ียวกับการใช้หน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัย เพ่ือป้องกันโรคตดิ เช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 3. นโยบายหรือกฎระเบียบข้อบังคับเก่ียวกับการใช้หน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการใชห้ นา้ กากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 4. การเข้าถึงหน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกัน โรคติดเชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 5. การสนับสนุนหน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือ ปอ้ งกนั โรคติดเชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019 6. การได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ หนา้ กากอนามัยเพ่อื ปอ้ งกันโรคติดเช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 ขอบเขตของการวจิ ยั 1. ขอบเขตดา้ นเนื้อหา เนอ้ื หาทท่ี าการศึกษา คือ ปัจจยั ทม่ี ีความสมั พนั ธ์กับพฤติกรรมการใชห้ น้ากากอนามัยเพ่ือ ป้องกนั โรคติดเชื้อไวรสั โคโรนา 2019 ของนสิ ิตคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร 2. ขอบเขตด้านประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากร ที่ใช้ในการศึกษาครั้งน้ี คือ นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ หลักสูตรพยาบาลศาสตร บัณฑิต ระดับปริญญาตรี ภาคปกติ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 ชั้นปีท่ี 1-4 ซ่ึงไม่นับรวม ผูว้ ิจัย 7 คน ได้จานวนประชาการทั้งหมด 495 คน (ฝา่ ยเวชระเบยี น คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร, 2563) ดงั น้ี นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ช้ันปีที่ 1 จานวน 118 คน นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ชั้น ปีท่ี 2 จานวน 134 คน นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ช้ันปีที่ 3 จานวน 118 คน นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ ช้ันปที ่ี 4 จานวน 125 คน กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี คือ นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ หลักสูตรพยาบาลศาสตร บณั ฑิต ระดับปรญิ ญาตรี ภาคปกติ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 ชั้นปีท่ี 1-4 ได้กลุ่มตัวอย่าง จานวน 221 คน และเพื่อป้องกันข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือสูญหาย(Dropout rate) จึงเผ่ือขนาดกลุ่ม ตวั อยา่ ง ร้อยละ 5 ของจานวนกลุ่มตัวอยา่ ง คิดเปน็ 11 คน รวมจานวนกลุ่มตวั อยา่ ง ทงั้ สนิ้ 232 คน และใช้วิธีคดั เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มจากประชากรตามสัดส่วนของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ในแต่ละ ชัน้ โดยใชว้ ิธกี ารกาหนดขนาดกลมุ่ ตัวอย่างแบบชัน้ ภมู ิ (Stratified Random Sampling) ไดด้ ังนี้ นิสติ คณะพยาบาลศาสตรช์ ้นั ปที ่ี 1 จานวน 54 คน นสิ ติ คณะพยาบาลศาสตร์ชนั้ ปีที่ 2 จานวน 66 คน นิสติ คณะพยาบาลศาสตร์ชัน้ ปีที่ 3 จานวน 54 คน นิสิตคณะพยาบาลศาสตรช์ ้ันปที ่ี 4 จานวน 58 คน หลังจากน้ันจงึ สุม่ กลุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้คอมพวิ เตอร์ สร้างตาราง รายช่ือในโปรแกรม Excel แล้วนาเขา้ ไปสุ่มในโปรแกรม SPSS เลือกให้โปรแกรมสุ่มจากจานวนรายช่ือ ทัง้ หมดเพ่อื ให้ไดต้ ัวแทนท่ดี ีของกลมุ่ ประชากร

6 3. ขอบเขตด้านพืน้ ท่ี การศึกษาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัย เพ่ือป้องกันโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวรจะศึกษาเฉพาะเวลาท่ีนิสิตอยู่ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวทิ ยาลยั นเรศวรเท่านั้น 4. ขอบเขตด้านเวลา ระยะเวลาในการศกึ ษา คือ เดอื นเมษายน พ.ศ.2563 – เดือน มนี าคม พ.ศ.2564 ตวั แปรทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย ตวั แปรอสิ ระ แบง่ เปน็ 3 กลุม่ ได้แก่ 1. ปจั จัยนา ประกอบดว้ ย 1.1 ความรู้เกยี่ วกับหนา้ กากอนามยั และโรคตดิ เช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 1.2 ทัศนคติต่อการใช้หนา้ กากอนามัยในการป้องกนั โรคติดเช้ือไวรสั โคโรนา 2019 2. ปัจจัยเออื้ ประกอบดว้ ย 2.1 นโยบายหรอื กฎระเบยี บข้อบงั คับเก่ยี วกบั การใช้หน้ากากอนามัย 2.2 การเข้าถึงหนา้ กากอนามยั 3. ปัจจยั เสริม ประกอบด้วย 3.1 การสนบั สนนุ หน้ากากอนามัย 3.2 การได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยจากส่ือต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ อนิ เตอรเ์ นต็ ตัวแปรตาม คือ พฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิต คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร นยิ ามศัพท์เฉพาะ ผู้วจิ ยั ได้กาหนดนยิ ามศัพท์เฉพาะทเี่ ก่ยี วข้อง ไวด้ งั น้ี 1. ปัจจัยทีส่ ่งผลตอ่ พฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัย หมายถึง ส่ิงท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ หน้ากากอนามัย 2. โรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 หมายถึง โรคที่เกิดจากเช้ือไวรัสกลุ่มโคโรนา โดยเช้ือไวรัส ถ่ายทอดผ่านการสัมผัสโดยตรงกับละอองฝอย (Droplet) จากลมหายใจของผู้ติดเช้ือท่ีเกิดจากการไอ และจาม 3. พฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 หมายถึง การปฏบิ ตั ิหรอื การกระทาทถ่ี ูกต้องเพ่ือป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา2019 โดยการใช้หน้ากากอนามัย ในลกั ษณะใดลกั ษณะหน่งึ หรือทุกลักษณะ ดังน้ี 3.1 เลือกใช้หน้ากากอนามยั ขนาดพอดีกับใบหนา้ 3.2 ลา้ งมือดว้ ยน้าและสบู่ให้สะอาดกอ่ นใชห้ น้ากากอนามยั 3.3 ใชห้ นา้ กากอนามัยใหค้ ลมุ ทงั้ ปากและจมูก ปรับสายใหพ้ อดกี บั ใบหน้า

7 3.4 เปลย่ี นอันใหมใ่ นกรณที ่หี น้ากากอนามยั เปือ้ นหรอื ชารุด และท้ิงอันท่ีใช้แล้วลงในถังขยะที่ มฝี าปดิ หรือขยะติดเชือ้ 3.5 ล้างมือให้สะอาดทุกคร้ังหลังจากใช้มือจับหน้ากากอนามัยหลังสัมผัสสารคัดหลั่ง น้ามูก น้าลาย หรอื หลังเลกิ ใชห้ นา้ กากอนามยั 4. หนา้ กากอนามยั หมายถึง เครอ่ื งมือทางการแพทย์ชนิดหน่ึงสาหรบั การป้องกันการแพร่เช้ือ และการติดเช้ือโรคระบบทางเดนิ หายใจ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รบั 1. ผลจากการวิจัย สามารถนามาเป็นแนวทางในการรณรงค์ให้ใช้หน้ากากอนามัยท่ีมี ประสทิ ธภิ าพเพื่อป้องกันโรคตดิ เชื้อไวรสั โคโรนา 2019 2. ผลจากการวิจัยทาให้ทราบถึงความรู้ ทัศนคติ และปัจจัยท่ีมีผลต่อพฤติกรรมการใช้ หน้ากากอนามยั ในกลุ่มเป้าหมายและปัจจยั ทมี่ คี วามสมั พันธต์ ่อการใช้หน้ากากอนามัย 3. ผลจากการวิจยั สามารถนาข้อมูลนี้มาใช้ประโยชนใ์ นการป้องกัน ควบคุมโรค และเฝ้าระวัง การระบาดของเช้ือไวรสั ในอนาคตต่อไป

8 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้อง การศึกษาวิจัยคร้ังน้ี เป็นการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากาก อนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้วิจัยได้ทาการศึกษา แนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องเพ่ือเป็นกรอบแนวทางในการ ดาเนนิ การวจิ ยั ดังต่อไปน้ี 1. แนวคิดหลักเกย่ี วกบั โรคตดิ เชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019 1.1 ความหมาย สาเหตุ และการวนิ ิจฉัยของโรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 1.2 อาการและอาการแสดง 1.3 การแพร่กระจายเช้อื 1.4 ปจั จัยเสย่ี งตอ่ การเกดิ โรค 1.5 แนวทางการรกั ษาและการป้องกนั การแพร่กระจายเชือ้ 2. หนา้ กากอนามยั (Face mask) 3. แนวคดิ และทฤษฎที ่เี กย่ี วขอ้ งกับพฤติกรรมสขุ ภาพ : PRECEDE Model 4. งานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง 5. กรอบแนวคดิ ของการวิจยั แนวคดิ หลักเกีย่ วกับโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ความหมาย สาเหตุ และการวนิ ิจฉัยของโรคติดเช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 โรคติดเช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 หมายถึง โรคทเ่ี กดิ จากเชื้อไวรัสโคโรนาที่เกิดจากการผสมสาร พันธุกรรมระหว่างไวรัสโคโรนาของค้างคาวกับไวรัสโคโรนาของงูเห่า (Chinese cobra, Naja Atra ) ซ่งึ เชอื้ มีการกลายพนั ธุใ์ นเวลาต่อมาจนสามารถติดต่อไปสู่คนและแพร่กระจายจากคนสู่คน (ภาควิชาจุล ชวี วิทยาคณะแพทยศาสตร์ศริ ิราชพยาบาล มหาวทิ ยาลยั มหิดล,2563) เชอ้ื ไวรัสโคโรนาชนดิ น้ีจัดอยู่ในตระกูลเดียวกันกับไวรัสท่ีก่อให้เกิดโรคซาร์ส (SARS) หรือโรค เมอรส์ (MERS) ซ่ึงผู้ทีต่ ิดเชือ้ ไวรัสโคโรนาสายพนั ธใ์ุ หม่ 2019 น้ี จะมีอาการเชน่ เดียวกบั ผูป้ ่วยท่ีมีการติด เช้ือในระบบทางเดินหายใจ โดยจะแสดงอาการต้ังแต่ระดับความรุนแรงน้อย ได้แก่ คัดจมูก เจ็บคอ ไอ และมีไข้ โดยในบางรายท่ีมีอาการรุนแรงจะมีอาการปอดบวมหรือหายใจลาบากร่วมด้วย บางราย เสียชีวิตได้ แต่พบไม่บ่อยนัก แต่หากผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจาตัว เช่น เบาหวาน และโรคหัวใจ จะ เป็นกลมุ่ ทีเ่ สีย่ งตอ่ การเจ็บปว่ ยรุนแรง (WHO,2563)

9 การวนิ ิจฉัยโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (กรมควบคมุ โรค,2563) 1. ผู้ป่วยที่มีอาการระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหน่ึงดังต่อไปน้ี ไอ น้ามูก เจ็บคอ ไม่ได้ กลน่ิ หายใจเร็ว หายใจเหนอ่ื ย หรอื หายใจลาบาก และ/หรือมปี ระวัติไข้หรือวัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 37.5°C ข้นึ ไป และมปี ระวัติในชว่ ง 14 วนั กอ่ นวันเรมิ่ ป่วยอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งต่อไปนี้ 1.1 มปี ระวัติเดนิ ทางไปยงั หรอื มาจาก หรืออย่อู าศัยในพ้ืนทเ่ี กิดโรคของ COVID-19 1.2 ประกอบอาชีพท่ีเก่ียวข้องกับนักท่องเที่ยว สถานที่แออัด หรือติดต่อกับคนจานวน มาก 1.3 ไปในสถานท่ีชุมชน หรือสถานท่ีที่มีการรวมกลุ่มคน เช่น ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล ขนสง่ สาธารณะ 1.4 สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน หรือสารคัดหล่ังจากระบบทางเดินหายใจของผู้ป่วยยืนยัน COVID-19 โดยไม่ได้ใสอ่ ปุ กรณ์ปอ้ งกันตนเองท่เี หมาะสม 2. ผู้ป่วยโรคปอดอกั เสบทแ่ี พทย์ผู้ตรวจรักษาสงสยั วา่ เป็น COVID-19 3. เปน็ บุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข ที่มีอาการระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่าง หนึ่งดังต่อไปนี้ ไอ น้ามูก เจ็บคอ ไม่ได้กล่ิน หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย หรือหายใจลาบาก และ/หรือมี ประวตั ไิ ข้หรือวดั อณุ หภูมิไดต้ ้ังแต่ 37.5°C ขึ้นไป ทีแ่ พทย์ผตู้ รวจรักษาสงสยั วา่ เป็น COVID-19 4. พบผู้มีอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเป็นกลุ่มก้อน ต้ังแต่ 5 รายขึ้นไป ในสถานที่ เดยี วกนั ในช่วงสัปดาหเ์ ดยี วกนั โดยมคี วามเชอื่ มโยงกนั ทางระบาดวทิ ยา ผปู้ ว่ ยท่เี ขา้ เกณฑ์ 1. ให้ผู้ป่วยใส่หน้ากากอนามัย พักรอ ณ บริเวณที่จัดไว้ หรือให้รอฟังผลที่บ้านโดยให้ คาแนะนาการปฏิบัติตัว หากมีข้อบ่งช้ีในการรับไว้เป็นผู้ป่วยใน ให้อยู่ในห้องแยกโรคเด่ียว (single room หรอื isolation room) โดยไมจ่ าเปน็ ต้องเปน็ AIIR 2. บุคลากรสวม PPE ตามความเหมาะสม กรณีทั่วไปให้ใช้ droplet ร่วมกับ contact precautions [กาวน์ ถุงมือ หน้ากากอนามัย และ face shield] หากมีการทา aerosol generating procedure เช่น การเก็บตัวอย่าง nasopharyngeal swab ให้บุคลากรสวมชุดป้องกันแบบ airborne ร่วมกับ contact precautions [กาวน์ชนิดกันน้า ถุงมือ หน้ากากชนิด N95 กระจังกันหน้า หรือแว่น ป้องกนั ตา (goggle) และหมวกคลมุ ผม] 3. ถ้ามีขอ้ บ่งชี้ในการถา่ ยภาพรังสปี อด (film chest) แนะนาใหเ้ ป็น portable x-ray 4. ตรวจทางห้องปฏิบัติการพ้ืนฐาน พิจารณาตามความเหมาะสม (ไม่จาเป็นต้องใช้ designated receiving area ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานของห้องปฏบิ ตั กิ าร) 5. การเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 5.1 กรณีผู้ป่วยไม่มีอาการปอดอักเสบ เก็บ nasopharyngeal swab หรือ oropharyngeal swab ใน หลอด UTM หรอื VTM (อย่างน้อย 2 มล.) จานวน 1 ชดุ 5.2 กรณผี ู้ป่วยมอี าการปอดอกั เสบ และไม่ใสท่ ่อช่วยหายใจ 5.2.1 เก็บเสมหะใสใ่ น sterile container จานวน 1 ขวด หรือ ใส่ในหลอด UTM หรือ VTM จานวน 1 ชดุ

10 5.2.2 เด็กอายุ <5 ปีหรือผู้ท่ีไม่สามารถเก็บเสมหะได้ ให้เก็บ nasopharyngeal swab หรือ oropharyngeal swab หรอื suction ใสใ่ นหลอด UTM หรอื VTM จานวน 1 ชุด 5.3 กรณีผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบ และใส่ท่อช่วยหายใจ เก็บ tracheal suction ใส่ในหลอด UTM หรอื VTM จานวน 1 หลอด ผลการตรวจหาเชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 1. ไม่พบเช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 (1 หอ้ งปฏบิ ัติการ) 1.1 พิจารณาดูแลรกั ษาตามความเหมาะสม 1.2 สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ ในกรณีท่ีผู้ป่วยมีการสัมผัสโรคชัดเจน (เสี่ยงสูง) ให้พิจารณา home-quarantine ต่อจนครบ 14 วนั หลังการสมั ผสั โรค 1.3 ถ้ามีอาการรุนแรง ให้พิจารณารับไว้ในโรงพยาบาลเพื่อการตรวจวินิจฉัย และรักษาตามความ เหมาะสม ใหใ้ ช้ droplet precautions ระหวา่ งรอผลการวินิจฉยั สดุ ท้าย 1.4 กรณีอาการไมด่ ีข้ึนภายใน 48 ชั่วโมง พจิ ารณาสง่ ตรวจหาเชือ้ ไวรัส SARS-CoV-2 ซา้ 2. ตรวจพบเช้ือไวรสั โคโรนา 2019 2.1 รับไว้ในโรงพยาบาล ใน single isolation room หรือ cohort ward (ที่มีเฉพาะผู้ป่วยยืนยัน) ท่ี ระยะห่างระหวา่ งเตียงอยา่ งนอ้ ย 1 เมตร 2.2 กรณอี าการรนุ แรง หรือต้องทา aerosol generating procedure ใหเ้ ข้า AIIR 2.3 ใหก้ ารรกั ษาด้วยยาต้านไวรัสตามแนวทางการดแู ลรักษา อาการและอาการแสดง (WHO,2563) เมอื่ บุคคลสมั ผัสเชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 เช้ือจะมีระยะฟักตัวในช่วงประมาณ 2-14 วัน โดยใน ระหว่างทฟ่ี ักตัวนั้น เช้ือสามารถติดต่อถ่ายทอดไปยังบุคคลอื่นได้ ซ่ึงผู้ท่ีติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการป่วย ไมร่ นุ แรงหรอื รนุ แรงปานกลาง อาการทัว่ ไป มีดงั น้ี 1. ไข้ 2. ไอแหง้ 3. อ่อนเพลีย อาการทีไ่ มค่ ่อยพบ มีดงั น้ี 1. ปวดเมือ่ ยเน้ือตวั 2. เจบ็ คอ 3. ท้องเสยี 4. ตาแดง 5. ปวดศรี ษะ 6. สญู เสยี ความสามารถในการดมกลิ่นและรบั รส 7. ผน่ื บนผิวหนัง หรอื นวิ้ มอื นว้ิ เท้าเปล่ยี นสี อาการรนุ แรงมดี ังน้ี 1. หายใจลาบากหรือหายใจถี่ 2. เจบ็ หนา้ อกหรือแน่นหน้าอก

11 3. สญู เสียความสามารถในการพูดและเคล่อื นไหว การแพร่กระจายเช้ือ (อมร ลลี ารัศมี,2563) เช้ือแพร่กระจายจากคนสู่คนได้หลายลักษณะ ช่องทางหลัก คือแพร่ผ่านทางละอองฝอยของ เสมหะขนาดใหญ่ (droplet transmission) จากการไอ จาม น้ามูก น้าลาย ส่วนช่องทางอื่นๆ ได้แก่ ส่ิง คัดหลั่งของผู้ป่วยมาสัมผัสเย่ือบุต่าง ๆ ผ่านการขย้ีตา การสัมผัสใบหน้าและปาก ( contact transmission) และยังสามารถแพร่ผ่านส่ิงของเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ท่ีมีการปนเป้ือนเชื้อ (transmission via fomite) ได้ด้วย ในบางกรณีพิเศษอาจแพร่ผ่านทางละอองฝอยขนาดเล็ก (aerosol transmission) ขณะที่มีการทาหัตถการที่ทาให้เกิดละอองฝอยขนาดเล็ก เช่น การพ่นยา นอกจากน้ีพบว่าเชื้อขับออก ทางอุจจาระได้ 1. การแพร่กระจาย/ติดต่อจากสารคัดหลั่งท่ีอยู่ในตัวผู้ติดเช้ือแพร่ผ่านทางละอองฝอยเสมหะ ขนาดใหญ่ (droplet transmission) จากการไอ จาม น้ามูก น้าลาย ในระยะใกล้ชิด (น้อยกว่า1 เมตร) ส่ิงคัดหล่ังของผู้ป่วยมาสัมผัสเยื่อบุต่างๆ ผ่านการขยี้ตา การสัมผัสใบหน้าและปาก ( contact transmission) และยงั สามารถแพร่ผ่านสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ (transmission via fomite) ซึ่งเชื้อมีชีวิตบนผิวโลหะ อะลูมีเนียม ไม้ กระดาษ แก้ว หรือผิวของสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ท่ี อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียสได้นาน 4-5 วัน และบนผิวพลาสติกอาจจะมีชีวิตนานถึง 9 วัน ถ้าอุณหภูมิ ลดเหลือ 4 องศาเซลเซียสจะมีชีวิตได้นาน 28 วัน ถ้าอุณหภูมิสูงถึง 30 องศาเซลเซียสจะอยู่ได้นานไม่ เกนิ 1 วัน 2. การแพร่ผ่านทางละอองฝอยขนาดเล็ก (aerosol transmission) ขณะที่มีการทาหัตถการ ที่ทาให้เกิดละอองฝอยขนาดเล็ก เช่น การพ่นยา ฟุ้งกระจายออกมาเป็นหยดน้าเล็ก ๆ ที่ลอยในอากาศ (ขนาด >5 micron) ซ่ึงจะตกลงบนพื้นในระยะ 1-2 เมตร ซ่ึงในละอองฝอยเช้ือจะอยู่รอดได้เพียง 5 นาที ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดไม่เกิน ๒ เมตรจากผู้แพร่เช้ือจะสูดดมเชื้อในอากาศผ่านทางละอองฝอยขนาดใหญ่ (droplet) และละอองฝอยขนาดเล็ก (เล็กกว่า 5 ไมครอนเรียกว่า droplet nuclei หรือ aerosol) เข้า ไปในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะจากการไอ จามรดกันโดยตรง ถ้าอยู่ห่างจากผู้แพร่เช้ือหรือผู้ป่วย เกนิ 2 เมตรข้นึ ไป จะตดิ เชือ้ จากการสดู ละอองฝอยขนาดเล็กทล่ี ่องลอยในอากาศไปไดไ้ กลกวา่ 5 เมตร 3. การแพรก่ ระจายจากเชื้อที่อยู่ในอุจจาระ มีการตรวจพบเชื้อในอุจจาระ เกิดจากการสัมผัส อจุ จาระ หรือมกี ารทาใหน้ ้าล้างอุจจาระกระเด็นเป็นฝอยละอองข้ึนมา เมื่อเวลากดชักโครกโดยไม่ปิดฝา โถส้วม ปัจจยั เสี่ยงตอ่ การเกิดโรค การเกิดโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 มีปัจจัยท่ีเก่ียวข้อง 4 ปัจจัย (กรมควบคุมโรค,2563) ดงั น้ี 1. ปัจจัยด้านเช้ือก่อโรค ซึ่งเช้ือสามารถแพร่จากคนไปสู่คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วย 1 คน สามารถแพร่เชื้อให้กับผู้ที่ยังไม่ติดเช้ือได้มากกว่า 2 คน โรคน้ีมีความสามารถท่ีจะแพร่ระบาดได้ อยา่ งรวดเรว็ และปริมาณของเช้ือไวรัสที่ไดร้ บั ถ้ามากจะทาใหเ้ กดิ โรคเร็ว 2. ปัจจัยด้านส่ิงแวดล้อม ในลักษณะอากาศบางอย่าง อาจจะส่งผลให้ไวรัสอยู่ได้นานขึ้น เช่น อุณหภูม:ิ 4องศา~28วนั ถ้า>30องศาอายจุ ะสันลง, ความชื้น : >50 % จะมชี ีวติ อยไู่ ด้ดกี ว่า 30 %

12 3. ปจั จัยดา้ นบุคคล คอื สุขภาพของผทู้ ี่ไดร้ บั เชื้อ โรคประจาตัว ปฏกิ ริ ยิ าอิมมูน การปฏิบัติตน เม่ือเริม่ ปว่ ย และระบบภูมคิ ุม้ กันของรา่ งกายแต่ละคนมีผลตอ่ ระดบั ความรนุ แรงทแ่ี ตกต่างกนั 4. ปัจจัยด้านระบบสาธารณสุข คือ การมีมาตรการตรวจคัดกรอง แยกกัก กักกัน หรือคุมไว้ สังเกต เพ่อื การเฝา้ ระวัง ปอ้ งกัน และควบคุมโรคได้อยา่ งครอบคลมุ แนวทางการรกั ษาและการป้องกนั การแพร่กระจายเชื้อ แนวทางการรกั ษาตามกลมุ่ อาการ แบง่ ไดเ้ ป็น 4 กรณี (กรมการแพทย์,2563) ดงั นี้ 1. Confirmed case ไม่มีอาการ (asymptomatic): - แนะนาให้นอนโรงพยาบาล หรือในสถานท่ีรัฐจัดให้ 2-7 วัน เม่ือไม่มีภาวะแทรกซ้อน พิจารณาให้ไปพักต่อที่โรงพยาบาลเฉพาะ (designated hospital/หอผู้ป่วยเฉพาะกิจ COVID-19) อยา่ งน้อย 14 วัน - ปฏบิ ตั ติ ามคาแนะนาการจาหน่ายผู้ป่วย - ให้ดูแลรักษาตามอาการ ไม่ให้ยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง รวมทั้งอาจ ได้รับผลขา้ งเคยี งจากยา 2. Confirmed case with mild symptoms and no risk factors: (ภาพถา่ ยรงั สปี อดปกติ ทไ่ี ม่มีภาวะเสยี่ ง/โรครว่ มสาคัญ) - แนะนาให้นอนโรงพยาบาล 2-7 วัน ดูแลรกั ษาตามอาการ พิจารณาให้ยา 2 ชนิด นาน 5 วนั คอื 1) Chloroquine หรอื hydroxychloroquine ร่วมกบั 2) Darunavir + ritonavir หรือ lopinavir/ritonavir หรอื azithromycin - เม่ืออาการดีข้ึนและผลถ่ายภาพรังสีปอดยังคงปกติพิจารณาให้ไปพักต่อที่โรงพยาบาล เฉพาะ (designated hospital/หอผู้ปว่ ยเฉพาะกจิ COVID-19) อยา่ งนอ้ ย 14 วัน นับจากวนั เร่มิ ปว่ ย - ปฏบิ ตั ติ ามคาแนะนาการจาหนา่ ยผปู้ ่วย - หากภาพถ่ายรังสีปอดแย่ลง (progression of infiltration) ให้พิจารณาเพิ่ม favipiravir เป็นเวลา 5-10 วนั ขน้ึ กับอาการทางคลินิก 3. Confirmed case with mild symptoms and risk factors: ภาพถา่ ยรังสปี อดปกติ แตม่ ีปัจจัยเสีย่ ง/โรครว่ มสาคัญ ข้อใดข้อหน่ึงต่อไปน้ีได้แก่อายุมากกว่า 60 ปี, โรคปอดอุดก้ันเรื้อรัง (COPD) รวมโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ , โรคไตเร้ือรัง (CKD), โรคหัวใจและ หลอดเลือด รวมโรคหัวใจแต่กาเนิด, โรคหลอดเลือดสมอง, เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้, ภาวะอ้วน (BMI ≥35 กก./ตร.ม.), ตับแขง็ , ภาวะภมู คิ ุ้มกนั ตา่ และ lymphocyte น้อยกวา่ 1,000 เซลล/์ ลบ.มม. - แนะนาให้ใชย้ าอย่างน้อย 2 ชนิด นาน 5 วัน คือ 1) Chloroquine หรอื hydroxychloroquine รว่ มกบั 2) Darunavir + ritonavir หรือ lopinavir/ritonavir อาจพิจารณาใหย้ าชนดิ ที่ 3 ร่วมดว้ ยคอื azithromycin - หากภาพถ่ายรังสีปอดแย่ลง (progression of infiltration) ให้พิจารณาเพิ่ม favipiravir เปน็ เวลา 5-10 วัน ขึน้ กบั อาการทางคลนิ ิก

13 4. Confirmed case with pneumonia หรือ ถ้าเอกซเรย์ปอดปกติ แต่มีอาการ หรืออาการ แสดง เข้าไดก้ บั pneumonia และ SpO2 ท่ี room air น้อยกว่า 95%: - แนะนาให้ใชย้ าอย่างนอ้ ย 3 ชนดิ 1) Favipiravir เปน็ เวลา 5-10 วัน ข้นึ กบั อาการทางคลินกิ ร่วมกบั 2) Chloroquine หรอื hydroxychloroquine เป็นเวลา 5-10 วนั รว่ มกบั 3) Darunavir + ritonavir หรือ lopinavir/ritonavir เป็นเวลา 5-10 วัน อาจพิจารณาให้ยาชนิดท่ี 4 ร่วมด้วยคือ azithromycin เป็นเวลา 5 วัน - เลือกใช้ respiratory support ดว้ ย HFNC กอ่ นใช้ invasive ventilation - พิจารณาใช้ organ support อืน่ ๆ ตามความจาเปน็ แนวทางการรักษาในผ้ปู ว่ ยเดก็ 1. Confirmed case with mild symptoms and no risk factors ท่ีไม่มีปัจจัยเสี่ยง/โรคร่วมสาคัญ และภาพถ่ายรังสีปอดปกติ แนะนาให้ดูแลรักษาตาม อาการ และพิจารณาให้ยา 2 ชนิดร่วมกัน คือ chloroquine หรือ hydroxychloroquine ร่วมกับ darunavir + ritonavir หรือ lopinavir/ritonavir หรอื azithromycin นาน 5 วนั 2. Confirmed case with mild symptoms and risk factors ทมี่ ปี จั จยั เสย่ี ง/โรคร่วมสาคัญ (อายุน้อยกว่า 5 ปี และภาวะอ่ืน ๆ เหมือนเกณฑ์ในผู้ใหญ่) แนะนาใหย้ าอยา่ งน้อย 2 ชนดิ นาน 5 วนั ได้แก่ - Chloroquine หรือ hydroxychloroquine ร่วมกบั - Darunavir + ritonavir (ถ้าอายมุ ากกวา่ 3 ปี) หรือ lopinavir/ritonavir (ถ้าอายุ น้อยกวา่ 3 ปี) อาจพจิ ารณาให้ยาชนิดท่ี 3 ร่วมดว้ ยคือ azithromycin 3. Confirmed case with pneumonia หรือผู้ป่วยมีอาการ หรือ อาการแสดง เข้าได้กับปอดบวมโดยไม่พบรอยโรคแต่มี SpO2 ที่ room air น้อยกว่า 95% แนะนาให้ยาอย่างน้อย 3 ชนิดคือ favipiravir เป็นเวลา 5-10 วัน และยาอีก 2 ชนิดตามข้อ 2 เป็นเวลา 5-10 วัน อาจพิจารณาให้ยาชนิดท่ี 4 ร่วมด้วยคือ azithromycin เป็นเวลา 5 วนั พฤติกรรมทเ่ี กยี่ วข้อง การระบาดของ Corona Virus ที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทันท่วงทีไปท่ัวโลกน้ัน ทา ให้ผู้คนรับรู้ถึงความอันตรายต่าง ๆ ของไวรัสน้ี ท้ังการติดต่อกันอย่างง่ายดาย ผ่านละอองที่ออกมากับ ลมหายใจ หรือสัมผัสสารคัดหลั่ง ระยะฟักตัวท่ีกินเวลาเกือบเดือน กระท่ังความรุนแรงต่อโรคและผล พวงทไ่ี วรสั ฝังตวั เองไวใ้ นปอดของผปู้ ว่ ยซงึ่ หลังจากนั้นผ้ปู ่วยสามารถกลับมาเป็นใหม่ได้ ด้วยเหตุน้ีเองสิ่ง ทตี่ ามมาคอื การเผยแพรข่ ่าวสารที่เกิดขนึ้ ในรปู แบบต่าง ๆ ทไี่ มว่ ่าจะเปน็ ขา่ วสารของรัฐบาลหรือออกมา จากผู้คนท่ัวไป เม่ือเกิดการรับรู้ชุดข้อมูลข่าวสารเหล่าน้ีจึงกระตุ้นพฤติกรรมของมนุษย์รูปแบบต่าง ๆ ขึน้ มา

14 การป้องกนั การแพร่กระจายเช้อื วธิ ีป้องกนั สาหรับ ผูท้ ่ีมีความเส่ียง 1. การกักตัว การแยกตวั จากสงั คม เชน่ งดไปโรงเรียนหรอื ที่ทางาน และ ไม่ควรออกจากบ้าน และหลีกเลี่ยงเขา้ ท่ชี มุ ชน 2. การเว้นระยะห่างทางสังคม (physical distancing) คือ การทิ้งระยะห่างจากผู้อ่ืนอย่าง น้อย 1-2 เมตร 3. การแยกเคร่ืองใช้หรือสถานที่ส่วนตัว เช่น แยกหอ้ งนอน หมอน ผ้าห่ม แยกห้องน้า/หากใช้ ห้องน้ารวม ใหใ้ ชห้ ้องนา้ เป็นคนสดุ ทา้ ย และทาความสะอาดหลังใช้ทันที 4. การรับประทานอาหาร ไม่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อ่ืน แยกล้าง/แยกเก็บ ช้อน ส้อม จาน ชาม และของใชส้ ่วนตวั 5. กรณีอยู่กับสัตว์เล้ียง หลีกเล่ียงการคลุกคลีกับสัตว์เล้ียง เพราะเช้ือไวรัสอาจไปติดบนขน สัตว์ ทาให้เชือ้ แพร่กระจายไปท่ีอน่ื 6. การสัง่ ของออนไลน์ ให้คนสง่ ของวางของไว้ท่หี นา้ บ้าน ไม่ออกไปรับของจากมือโดยตรง 7. การสังเกตตัวเอง สังเกตอาการ ไข้ ไอ หอบ เจ็บคอ มีน้ามูก ปวดเม่ือย หรือไม่ หากมี อาการเหล่าน้ี ใหใ้ ส่หนา้ กากอนามัยและไปพบแพทย์ 8. การทาความสะอาดบา้ น/สถานท่กี ักตัว ควรทาดว้ ยนา้ ยาทาความสะอาดหรอื น้ายาฆ่าเชื้อที่ ขายตามร้านคา้ ทั่วไป 9. การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น ออกกาลังกายในท่ีพัก พักผ่อนให้เพียงพอ อ่าน หนงั สือ ปลกู ตน้ ไม้ ฯลฯ วธิ ีป้องกนั สาหรบั คนทั่วไป 1. การหลกี เล่ียงการใกลช้ ดิ กับผู้ปว่ ยทีม่ อี าการ เช่น ไอ จาม น้ามกู ไหล เหนื่อยหอบ เจบ็ คอ 2. การเล่ียงการเดินทางไปในพื้นท่ีเสี่ยง หรือประเทศท่ีมีการระบาด เช่น ประเทศจีน อิตาลี สเปน สหรฐั อเมริกา ฯลฯ 3. การลา้ งมอื ควรล้างมอื ใหส้ ม่าเสมอด้วยสบู่ หรอื แอลกอฮอลเ์ จล อยา่ งนอ้ ย 20 วนิ าที 4. การหลีกเลยี่ งสมั ผัสบริเวณใบหนา้ งดจับตา จมกู ปากขณะทีไ่ มไ่ ดล้ ้างมอื 5. การสัมผัสพ้นื ผิวท่ีไมส่ ะอาด ไมค่ วรสัมผัสราวบนั ได อาจมีเช้อื โรคเกาะอยู่ 6. การทานอาหาร ควรทานอาหารทีส่ ุก สะอาด และใช้ชอ้ นกลางไม่ทานอาหารท่ีทาจากสัตว์ หายาก 7. สาหรับบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยท่ีติดเช้ือ ควรใส่หน้ากากอนามัย หรอื ใส่แวน่ ตานิรภยั เพ่ือป้องกนั เชือ้ ในละอองฝอยจากเสมหะหรอื สารคัดหล่ังเขา้ ตา หนา้ กากอนามยั (face mask) หน้ากากอนามัย หมายถึง หน้ากากท่ีใช้เพ่ือช่วยป้องกันระบบทางเดินหายใจจากมลพิษ สารพิษ และเช้ือโรค แพทย์แนะนาให้ใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคที่เก่ียวกับระบบทางเดินหายใจ เนอื่ งจากเป็นวิธีการปอ้ งกนั การแพร่กระจายของเชื้อแบคทเี รียหรือเช้ือไวรัส จดุ ประสงคใ์ นการใช้หนา้ กาก การใชห้ น้ากากโดยทั่วไปมีอยู่ 2 ลกั ษณะ คอื

15 1. ผทู้ ่ไี มป่ ่วย ใช้สาหรับปอ้ งกันการสูดหายใจเอาละอองมลพิษหรือเชื้อโรคเขา้ รา่ งกาย ควรเลือกหน้ากากโดยคานึงถึงสภาพแวดล้อมภายนอก เน้นหน้ากากท่ีมีประสิทธิภาพสูงและเหมาะสม กับอนุภาคของฝ่นุ และเชอื้ โรค และความเสยี่ งในสถานท่นี ้นั 2. ผู้ป่วย ใช้สาหรับป้องกันการแพร่กระจายของละอองเชื้อโรคจากลมหายใจ ไอ หรือจาม ออกภายนอก เน้นหน้ากากท่ีป้องกันการซึมผ่านของเชื้อโรคผ่านการ ไอ จาม ได้ดี ใช้แล้วไม่ควรนา กลับมาใช้ซ้า ละอองเช้ือโรค (Droplet) เชื้อโรคออกมากับน้ามูก น้าลาย ที่หายใจหรือไอจามออกมา โดยท่ัวไป ละอองฝอยจะมีขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอน และจะฟุ้งในอากาศไม่นาน แพร่ไปไม่ไกล ได้แก่ โรคติดเชื้อ ทางเดนิ หายใจส่วนบนท่ีเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก ซ่ึงจริง ๆแล้วตัวไวรัส เองมีขนาดเล็กมาก แต่เนื่องจากตัวไวรัสเองไม่สามารถลอยไปในอากาศได้เอง จาเป็นต้องเกาะไปกับ พาหะ ถึงจะแพร่ไปสู่คนอ่ืนได้ ซ่ึงเมื่อไวรัสรวมกับละอองแล้ว ขนาดอนุภาคจึงมากกว่า 5 ไมครอน ซ่ึง สามารถปอ้ งกนั ไดโ้ ดยแผ่นกรองของหน้ากากอนามยั ธรรมดา แต่ต้องมีการปิดที่มิดชิดกันการร่ัวไหลของ ละอองเข้าทางรขู องหน้ากาก ฝุ่นเช้ือโรคในอากาศ (Air-borne transmission) เชื้อโรคที่แพร่กระจายไปกับฝอยละอองขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน ซ่ึง ด้วยขนาดท่ีเล็ก ทาให้ฝอยละอองที่มีเชื้อนั้นกระจายไปได้ไกลในอากาศ โรคที่ติดต่อกัน ด้วยวิธีนีไ้ ดแ้ ก่ วณั โรคของระบบทางเดินหายใจ หัด (measles) ไข้อีสุกอีใส แบคทีเรียต่างๆ ไม่สามารถ กรองไดด้ ว้ ยหน้ากากผา้ หรือหน้ากากกันฝุ่นทั่วไป ต้องใช้หน้ากากที่มีแผนกรองความละเอียดสูงเท่าน่ัน และเพื่อความปลอดภัย ควรเลือกใช้หน้ากากท่ีมีประสิทธิภาพการป้องกัน 90% ขึ้นไป เช่น หน้ากาก N95 / FFP2 ชนดิ ของหนา้ กากอนามยั จาแนกหนา้ กากอนามัยตาม วัสดุที่ใช้ คณุ สมบัติ ลกั ษณะการใชท้ แี่ นะนา ประสิทธิภาพในการ ป้องกัน ออกเป็น 6 ชนิด ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี 1. หน้ากากอนามัยแบบแผ่น Surgical Pleat mask (มากกวา่ 3ชน้ั ) วัสดทุ ี่ใช้ ผลติ มาจากใยสังเคราะห์ คุณสมบัตขิ องหน้ากาก สามารถปอ้ งกันเชอ้ื โรคท่ีมีอนุภาคขนาด 3 ไมครอน ท่ีแพร่กระจายผ่านทางการ ไอหรอื จาม ไดแ้ ก่ เชอ้ื แบคทเี รีย เชอ้ื รา และเชื้อไวรสั บางชนิด ประสทิ ธภิ าพการปอ้ งกนั ไวรัส 60%-80% ข้ึนกบั ขนาดและรูปแบบหนา้ กากเทียบกับใบหนา้ ผูใ้ ช้ ลักษณะการใช้ท่ีแนะนา ใช้สาหรับให้ผู้ป่วยสวมใส่เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ สาหรับบุคคลท่ัวไป ใช้ ป้องกันฝุ่นทั่วไปเช้ือโรคท่ีมากับละอองไอ หรือ ไอจามไม่แนะนาสาหรับPM2.5และเช้ือโรคขนาดเล็ก เช่นวัณโรค ไข้หัด และแบคทีเรยี ต่างๆ ข้อจากัด ไม่แนบกระชับกับใบหน้า เวลาใส่อาจมีลมรอบๆ หน้ากากไหลผ่านเข้ามาได้อยู่ โดยเฉพาะ บรเิ วณด้านลา่ งของหนา้ กากอนามยั ไม่แนะนาให้กลบั มาใช้ซ้า และไม่แนะนาใหใ้ ช้รว่ มกบั ผอู้ ืน่ 2. หนา้ กากผา้ วสั ดทุ ี่ใช้ เช่น ผ้าฝา้ ย ผา้ ใยสังเคราะห์ คุณสมบตั ิ - ประสทิ ธภิ าพการปอ้ งกนั ไวรัส <30%

16 ลักษณะการใช้ท่แี นะนา ป้องกนั ฝ่นุ ป้องกนั น้าลาย ไอ จาม แตไ่ มส่ ารมารถกันเช้ือไวรัสที่มีอนุภาคขนาด เล็กได้ ข้อจากัด ควรซกั บ่อย ๆ เพราะหนา้ กากแบบผ้าปอ้ งกนั ความชื้นไมไ่ ด้และยังเสย่ี งต่อการที่เช้ือโรคติดค้าง อยู่ในหน้ากากนานกว่าหน้ากากชนิดอื่น จึงไม่แนะนาให้ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยไข้หวัดผู้ป่วยโรค ทางเดนิ หายใจ และบคุ ลากรทางการแพทยใ์ นโรงพยาบาล สวมใสห่ นา้ กากผ้า 3. หนา้ กากกันฝุน่ ผลิตจากฟองนา้ วัสดทุ ่ใี ช้ - คณุ สมบตั ิ กนั ฝ่นุ ได้แตไ่ มส่ ามารถกรองเชอื้ ไวรสั ที่มอี นภุ าคขนาดเล็ก ประสิทธิภาพการปอ้ งกนั ไวรสั <30% ลักษณะการใช้ที่แนะนา สาหรับใช้กันฝุ่นท่ัวไปเช่นฝุ่นจากงงานก่อสร้าง เกสรดอกไม้ ไม่แนะนาสาหรับ PM2.5และเชื้อโรคขนาดเลก็ เช่นวณั โรค ไข้หดั และแบคทีเรียตา่ ง ๆ ข้อจากดั ควรซักบ่อยๆ 4. หน้ากากกนั ฝุ่นแบบมีมาตรฐาน /FFP1 วัสดุทีใ่ ช้ ผลติ จากโพรลีโพรพลิ นิ คณุ สมบัติ ปอ้ งกนั ฝุน่ ทีม่ ีอนภุ าค 0.6micron และฝุ่นทไี่ ม่มีน้ามนั ป้องกันเชอ้ื แบคทีเรีย เช้ือไวรัส ประสิทธิภาพการปอ้ งกนั ไวรสั เฉลี่ย 80% ลักษณะการใช้ที่แนะนา ใช้สาหรับใช้กันฝุ่นทั่วไป เชื้อแบคทีเรีย เช้ือไวรัส และ PM2.5 ได้ แต่ ประสิทธิภาพตา่ กวา่ หนา้ กาก N95 ขอ้ จากัด อึดอัดและหายใจลาบากเวลาสวมใส่ หาซอื้ ยาก และมีราคาคอ่ นข้างสงู 5. หนา้ กากกนั ฝ่นุ แบบมมี าตรฐาน N95 วสั ดทุ ่ใี ช้ ผลติ จากโพรลีโพรพลิ ิน คุณสมบตั ิ สามารถครอบลงไปทบ่ี ริเวณหนา้ จมกู และปากอยา่ งมิดชดิ ประสทิ ธภิ าพการป้องกันไวรัส เฉลีย่ 95% ลักษณะการใช้ที่แนะนา สาหรับใชก้ ันฝนุ่ ท่วั ไป เชื้อโรค และ PM2.5 ได้ เหมาะสาหรบั งานที่มีความเส่ียง เชน่ งานตรวจและรกั ษาผู้ปว่ ย งานทาความสะอาด และพ่นฆ่าเชือ้ ข้อจากดั ราคาแพงเม่ือเทียบกับหน้ากากอนามัยแบบแบบเยื่อกระดาษ 3 ชั้น และไม่เหมาะที่จะใช้งาน กับผู้ป่วยท่ีเป็นโรคปอด โรคหอบหืด และหญิงต้ังครรภ์ เน่ืองจากลมหายใจผ่านเข้าออกได้ยากเพราะมี แรงต้านภายในซึง่ อาจทาให้หายใจลาบาก 6. หนา้ กากคาร์บอน วัสดทุ ใี่ ช้ ผลิตจากใยสงั เคราะห์ คณุ สมบัติ คุณสมบัตไิ มต่ ่างจากหนา้ กากทางการแพทย์ แต่จะมีความพิเศษมากขึ้นเพราะมีช้ัน Carbon ท่สี ามารถกรองกลน่ิ ท่ีไมพ่ ึงประสงคไ์ ดด้ ีกวา่ หน้ากากอนามยั ทว่ั ไป ประสิทธิภาพการป้องกันไวรัส กรองเชื้อแบคทีเรียได้ 95% กรองฝุ่นละอองขนาด 3 ไมครอน ได้ 66.37% ลักษณะการใช้ที่แนะนา สวมใส่ 2 แผ่น จะกันได้มีประสิทธิภาพถึง 89.75% เช่นเดียวกับหน้ากาก อนามัยทางการแพทย์ ข้อจากดั ต้องสวมใส่ 2 แผน่ จะมปี ระสิทธิภาพเพิ่มข้ึนเปน็ 89.75% (Rachana Pochakit,2563)

17 แนวคิดและทฤษฎีที่เกยี่ วข้องกับพฤตกิ รรมสขุ ภาพ : PRECEDE Model แนวคิดแบบจาลอง PRECEDE Model PRECEDE Model เป็นคาย่อมาจาก Predisposing, Reinforcing and Enabling Causes in Evaluation/Environmental Diagnosis and Evaluation เปน็ การวนิ ิจฉยั และประเมินผลทางด้าน การศึกษาหรือการเรียนรู้และด้านส่ิงแวดล้อมตามโครงสร้างด้านปัจจัยนา ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม โดย เนน้ ไปทีก่ ารวเิ คราะห์ปัจจัยดา้ นการศึกษาหรือการเรยี นรทู้ ่จี าเปน็ ตอ่ การวางแผนกิจกรรมการสร้างเสริม สภุ าพ พัฒนาขนึ้ โดย Lawrence W. Green มีจุดมงุ่ หมายเพอ่ื นามาใชเ้ ปน็ กรอบแนวคิดในกระบวนการ วางแผนการใหส้ ุขศึกษาอย่างเปน็ ระบบ (จักรพนั ธ์ เพ็ชรภมู ิ, 2559) ซึ่งมี 4 ขัน้ ตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การประเมินด้านสงั คม ( Social assessment ) มี 1ปัจจัย คอื คุณภาพชวี ติ ขั้นท่ี 2 การประเมนิ ดา้ นระบาดวทิ ยา พฤตกิ รรมและสิง่ แวดลอ้ ม (Epidemiological,behavioral and environmental assessment ) มี 1 ปจั จัย คอื สขุ ภาพ ข้ันท่ี 3 การประเมินการด้านการศึกษาและนิเวศวิทยา ( Educational and ecological assessment ) มี 2 ปจั จยั คอื พฤตกิ รรมและวิถีชีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม ขั้นท่ี 4 การประเมินด้านการบริหารและนโยบาย และการจัดกิจกรรมในโครงการส่งเสริม สุขภาพ ( Administrative and Policy assessment and intervention alignment ) มี 3 ปัจจัย คอื ปจั จัยนา ปจั จัยเออื้ และปจั จัยเสรมิ โดยผู้วิจัยได้นาระยะที่ 3 การประเมินการด้านการศึกษาและนิเวศวิทยา ( Educational and ecological assessment ) มาใช้ในการศึกษา มี 2 ปัจจัย คือ พฤติกรรมและวิถีชีวิตและ ส่ิงแวดล้อม ของ PRECEDE Model มาเป็นต้นแบบประยุกต์ใช้ในการสร้างกรอบแนวคิดในการทาวิจัย เรื่อง ปัจจัยท่ีมีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ซ่ึงในระยะที่ 3 น้ี ประกอบด้วย 3 กลุ่มปัจจัย ด้วยกัน คือ ปัจจัยนา ( Predisposing factors ) ปัจจัยเอ้ือ ( Enabling factors ) และปัจจัยเสริม (Reinforcing factors ) ทั้งสามปัจจัยจะมีความแตกต่างกันในการส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แต่ทั้ง 3 ปัจจัย จาเป็นต้องใช้ร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดการสร้างแรงจูงใจ การสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืน ของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมท่ีเหมาะสม ดังนั้นการวางแผนเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพของ บุคคลต้องคานึงถึงอิทธิพลของปัจจัยทั้ง 3 ส่วนที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพในการนามาจัดกระทา รว่ มกนั เพือ่ สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมสุขภาพทต่ี ้องการ ดงั น้ี 1. ปัจจัยนา ( Predisposing factors ) คือ ปัจจัยภายในตัวบุคคลในระดับพุทธิพิสัยที่มี อิทธิพลกระตุ้นหรือช้ีนาให้เกิดการแสดงพฤติกรรมสุขภาพออกมา เช่น ความรู้ ทัศนคติ ความเชื่อ คา่ นิยม การรบั ร้ปู ระโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรม หรือการรับรู้ความสามารถในการกระทาพฤติกรรม ทางสุขภาพ ซึง่ ปัจจัยเหลา่ น้ีสง่ ผลตอ่ การเกิดแรงจูงใจภายในตัวบุคคลที่ส่งผลต่อการกระทาเร่ืองใดเร่ือง หนง่ึ ทีเ่ ก่ียวข้องกับพฤติกรรมและส่วนของปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ เพศ สถานภาพของบุคคล (จักร พันธ์ เพช็ รภมู ิ, 2559) ซึง่ ในการศกึ ษาวิจัยครั้งนี้ปัจจัยนาท่ีเป็นองค์ประกอบท่ีมีผลต่อพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยที่ผู้วิจัย ได้ศึกษาแล้วว่ามีผลต่อพฤติกรรมนี้ได้แก่ ความรู้ ทัศนคติ ซ่ึงเป็นปัจจัยท่ีสาคัญในการท่ีจะส่งผลต่อการ แสดงพฤตกิ รรม

18 2. ปัจจัยเอ้ือ ( Enabling factors ) คือ ปัจจัยสนับสนุนให้บุคคลสามารถแสดงพฤติกรรม สขุ ภาพตามที่ต้องการที่เปน็ ผลมาจากปัจจัยนาได้ โดยเอ้ืออานวยให้บุคคลเกิดการเปล่ียนแปลงทางด้าน พฤติกรรมและส่ิงแวดล้อมโดยรอบท้ังทางด้านกายภาพและสังคมและวัฒนธรรมที่สนับสนุนให้เกิด พฤติกรรมสขุ ภาพที่พงึ ประสงค์หรอื ไม่กอ็ าจเปน็ อปุ สรรคทข่ี ดั ขวางไม่ให้สามารถแสดงพฤติกรรมสุขภาพ ได้ เช่น ทกั ษะสว่ นบุคคล นโยบายหรอื กฎระเบยี บขอ้ บงั คบั การเขา้ ถงึ ทรพั ยากรหรือบริการต่างๆ ซึ่งจะ ชว่ ยให้บคุ คลแสดงพฤติกรรมต่างๆ น้นั ได้งา่ ยขน้ึ เช่น ราคา งบประมาณ ความสะดวกในการใช้ ความ คมุ้ ค่า เปน็ ต้น (จกั รพนั ธ์ เพช็ รภมู ิ, 2559) 3. ปัจจัยเสริม ( Reinforcing factors ) คือ ปัจจัยที่บุคคลได้รับการตอบสนองจากการ ปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพแล้วท้ังจากตนเองและบุคคลรอบข้าง ซ่ึงปัจจัยเหล่านี้จะทาหน้าที่ สนบั สนุนใหบ้ คุ คลสามารถแสดงพฤติกรรมสุขภาพท่พี งึ ประสงค์อย่างตอ่ เน่ือง และสม่าเสมอ ปัจจัยเสริม ส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะของการกระตุ้นเตือน ยกย่องชมเชย ให้กาลังใจ การเอาเป็นแบบอย่าง ตาหนติ เิ ตยี น การลงโทษ เช่น การสนับสนุน การได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆ (จักรพันธ์ เพ็ชรภูมิ, 2559) จากการศึกษาวิจัย เร่ือง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือ ป้องกันเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซ่ึงจะทาให้เห็นถึง ความสาคญั ของการป้องกันตนเองและการช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสแพร่กระจายสู่คนอื่นได้มีหลายวิธี เช่น การล้างมือ การรักษาระยะห่างและวิธีการอื่นๆ รวมถึงการใส่หน้ากากอนามัยซึ่งเป็นวิธีท่ีเลือกมาเป็น หัวข้อวิจัยในคร้ังนี้ โดยมีการประยุกต์ใช้ PRECEDE Model มาใช้ในการกาหนดปัจจัยท่ีผลต่อการใช้ หน้ากากอนามยั เพอื่ ปอ้ งกันโรค มี 3 ปจั จยั คอื ปัจจยั นา ปัจจัยเอ้ือ ปจั จยั เสริม งานวจิ ัยทเี่ กี่ยวขอ้ ง จากการทบทวนวรรณกรรม กระทรวงสาธารณสุข. (2563) : ศึกษาพฤติกรรมป้องกันตนเองของประชาชนในการป้องกัน การแพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 หลังการผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรค จากการสารวจพบว่า ประชาชนมีพฤตกิ รรมป้องกันตนเองในระดับที่ดี หลังรัฐบาลมีการผ่อนปรนระดับพฤติกรรมการป้องกัน ตนเองลดลง ผลสารวจของสัปดาห์ล่าสุด ระหว่างวันที่ 29 พ.ค.- 4 มิ.ย. 2563 พบว่า ภาพรวม พฤติกรรมป้องกันตนเองอยู่ท่ีร้อยละ 75.7 โดยการใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลาเป็น พฤติกรรมที่ประชาชนปฏิบัติมากที่สุด ร้อยละ 91.5 รองลงมา ได้แก่ ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ หรือเจล แอลกอฮอล์ ร้อยละ 83.9 กินอาหารร้อนและใช้ช้อนกลางของตนเอง ร้อยละ 83.7 ระวังไม่อยู่ใกล้คน อื่นในระยะน้อยกว่า 2 เมตร ร้อยละ 66 และระวังไม่เอามือจับหน้า จมูก ปาก ร้อยละ 58.8 และ ผล การสารวจทัศนคติความเหน็ ของประชาชน โดยสารวจท้ังออฟไลนจ์ านวน 4 ครงั้ และออนไลน์จานวน 8 ครั้ง ต้ังแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2563 สรุปได้ว่า ประชาชนมีแนวโน้มในการสวม หน้ากากลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มเส่ียงที่มีโอกาสสัมผัสโรค ได้แก่ เพศชายอายุ 15-24 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มจะ ออกไปทากิจกรรมนอกบ้านอย่างต่อเนื่อง จึงต้องเน้นการกระตุ้นรณรงค์ให้สวมหน้ากากเพ่ิมขึ้น ส่ว น คาถามว่าจะเลิกสวมหน้ากากเม่ือไหร่ ร้อยละ 53.5 ระบุว่าจะสวมหน้ากากต่อเน่ือง ส่วนร้อยละ 44.4

19 จะเลกิ สวมเมือ่ ไม่มรี ายงานผู้ป่วยในประเทศ, ร้อย ละ 13.6 เมื่อยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และร้อยละ 10.5 เม่อื ไม่มอี าการป่วย กติ ตพิ ร เนาว์สุวรรณ. (2563) : ศึกษาความสาเร็จในการดาเนินงานควบคุมโรคติดเช้ือไวรัสโค โรนา 2019 (COVID-19) ในชุมชนของอาสาสมคั รสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) ประเทศไทย จาก การตอบแบบสอบถามออนไลน์ โดยมีกลุ่มตัวอย่างจานวน 10,400 คน ผลการศึกษาพบว่า อสม.ใน ประเทศไทยมีศักยภาพในการดาเนินงานเฝ้าระวัง และยับยั้งการแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนอื่ งจากมกี ารรบั รู้ขา่ วสารเกี่ยวกบั โรคติดเชอ้ื ไวรสั โคโรนา2019 ภายใต้ความสาเร็จท้ังจากปัจจัยภายใน ของ อสม. ซึ่งได้แก่ การมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี ได้แก่ การสวมผ้าปิดปาก ปิดจมูก (Mask) การออก กาลังกาย การรับประทานอาหารท่ีมีประโยชน์ การล้างมือ การเว้นระยะทางสังคม ส่งผลให้เกิดการ ตระหนกั ถงึ ความรนุ แรงของโรค จนเป็นแบบอย่างที่ดีให้ครอบครัวและชุมชน และปัจจัยหนุนจากปัจจัย ภายนอก ไดแ้ ก่ การดาเนินงานเชิงรุกโดยเฉพาะ การเคาะประตูบ้านเพื่อให้ความรู้แบบถึงลูกถึงคน การ ค้นหาผ้ตู ดิ เชื้อ และรายงานอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง มีการวางแผนการดาเนินงานอย่างชัดเจน ทั้งนี้เพื่อ ประโยชน์ในการเฝ้าระวงั ควบคมุ โรคอุบตั ิใหม่ในชุมชนได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ แคทเธอร์รีน โซ-คัม เทง และ ไค-เยน วัง (2003: ออนไลน์) : ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการ สวมหน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ในผู้ใหญ่ชาวจีนในฮ่องกง ผล การศึกษาพบว่า 61.2% ของ ผู้ตอบแบบสอบถามรายงานว่าสวมหน้ากากอนามัยอย่างสม่าเสมอเพ่ือ ป้องกันการแพร่กระจายของโรคซารส์ และอตั ราการสวมหน้ากากอนามัยของผู้ตอบแบบสอบถามท่ีมีภูมิ หลังทางประชากรท่ีแตกต่างกัน ผลการวิเคราะห์การถดถอยสองตัวแปร พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่ เป็นผหู้ ญิง [OR = 1.810; ชว่ งความเช่ือมั่น 95% (CI) = 1.445, 2.268] ซ่ึงมีอายุระหว่าง 50 ถึง 59 ปี (หรือ = 1.918; CI = 1.305, 2.819) ที่มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย (OR = 1.523; CI = 0.825, 1.605) ผู้ท่ีแต่งงานแล้ว (OR = 2.108; CI = 1.656, 2.682) และผู้ท่ีมีรายได้มากกว่า 5,000 เหรียญ สหรัฐต่อเดือน (OR = 2.512; CI = 1.156, 5.460) มีแนวโน้มที่จะสวมหน้ากากเพื่อป้องกันโรคซาร์ สในกลุ่มประชากรของตนเอง ผลการวิจยั ยังแสดงให้เห็นว่าเพศ ( χ 2 = 26.8, P <0.001) อายุ ( χ 2 = 12.6, P <0.001) และสถานภาพการสมรส ( χ 2= 36.97, P <0.001) มีความแตกต่างของกลุ่มย่อย อย่างมนี ัยสาคัญในพฤติกรรมการปอ้ งกัน ซูยู เชน และคณะ (Xuyu; et al.2020: ออนไลน์) : ศึกษาสุขอนามัยของมือพฤติกรรมการ สวมหน้ากาก และปจั จยั ทีเ่ ก่ียวข้องระหว่างการแพรร่ ะบาดของ COVID-19 : การศกึ ษาขา้ มส่วนระหว่าง นกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาในหวู่ฮ่ันประเทศจีน ผลการศึกษาพบว่ามี นักเรียนร้อยละ 51.60 มีพฤติกรรม การสวมหน้ากากอนามัยที่ดี เกรด วุฒิการศึกษาของบิดามารดาและท่ีอยู่อาศัยมีความสัมพันธ์อย่างมี นยั สาคัญกับพฤตกิ รรมการสวมหนา้ กากทีด่ ีขนึ้ การศึกษาด้านสุขอนามัยของมือและพฤติกรรมการสวม หน้ากากเป็นประโยชน์อย่างมากในการป้องกันโรคติดเช้ือ ผู้ปกครองควรให้ความสาคัญกับคาแนะนา ด้านพฤตกิ รรม ณัฏฐ์สิณี สุขสมัย, ขวัญใจ อานาจสัตย์ซื่อ, พัชราพร เกิดมงคล,วันเพ็ญ แก้วปาน, นิตยา วัจ นะภูมิ. (2558) : ศึกษาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพในผู้สูงอายุท่ีทางานนอก ระบบ ในกรุงเทพมหานคร จานวน 144 คน กาหนดตัวแปรในการศึกษา ดังน้ี ปัจจัยนา คือ ความรู้ ทัศนคติ อายุ การศึกษา ความเพียงพอของรายได้ ปัจจัยเอ้ือ คือ การเข้าถึงบริการ นโยบายที่เอ้ือ และ

20 ปัจจัยเสริม คือ การได้รับการสนับสนุนทางสังคม พบว่า ความรู้และทัศนคติเก่ียวกับการสร้างเสริม สขุ ภาพ อายุ การศึกษา ความเพียงพอของรายได้ การเข้าถึงบริการทางสุขภาพ นโยบายการสร้างเสริม สุขภาพในชุมชน การได้รับการสนับสนุนจากบุคลากรทางการ สาธารณสุข การรับรู้ภาวะสุขภาพ ประเภทของอาชีพ จานวนวันทางานในหนึ่งสัปดาห์ และจานวนช่ัวโมงในการทางานต่อหน่ึงวัน มี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุท่ีทางานนอกระบบ และทัศนคติเกี่ยวกับการ สร้างเสริมสุขภาพ การสนับสนุนจากบุคลากรทางการสาธารณสุข อาชีพ การศึกษา การรับรู้ภาวะ สุขภาพ จานวนวันทางานในหน่ึงสัปดาห์ สามารถทานายพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุท่ี ทางานนอกระบบได้รอ้ ยละ 46.01 ธานีกล่อมใจ, จรรยา แกว้ ใจบุญ, ทกั ษกิ า ชัชวรัตน.์ (2563) : ศกึ ษาความรแู้ ละพฤติกรรมของ ประชาชน เรื่องการป้องกันตนเองจากการติดเช้ือไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ 2019 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือประชาชนในเขตตาบลบ้านสาง อาเภอเมือง จังหวัดพะเยา จานวน 150 คน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่ม ตัวอย่างสว่ นใหญม่ ีความรู้ เรอ่ื งการป้องกันตนเองจากการติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 และพบว่าประเด็น ท่ีกลุ่มตัวอย่างตอบไม่ถูกต้องมากท่ีสุด ได้แก่ โรคท่ีเกิดจากเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) เป็น การติดเชื้อไวรัสตระกูลเดียวกับซาร์ส (SARs) และ เมอร์ส (MERS) จึงทาให้มีความรุนแรงมาก (ร้อยละ 20) เช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) มีระยะฟักตัว 3 - 14 วัน (ร้อยละ 13.33) โรคท่ีเกิดจากเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) สามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ และสามารถแพร่เชื้อได้ทันทีแม้ไม่มี อาการ (ร้อยละ 13.33) ด้านพฤติกรรมการป้องกันโรคท่ีเกิดจากเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X =1.61, SD = 0.28) เมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อท่ีมีคะแนนน้อย คือ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ความเข้มข้นอย่างน้อย 70% เม่ือต้องออกไปที่สาธารณะ ( X = 1.03, SD = 0.67) ล้างมือทาความสะอาดดว้ ยสบู่ทกุ คร้งั หลงั สัมผัสเงินเหรียญหรือธนบัตร ( X = 1.23, SD = 0.68) ผลการวิเคราะหค์ วามสมั พนั ธ์ระหว่างความรูก้ บั พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั ตนเองจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธ์ุใหม่ 2019 พบว่ามีความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับปานกลาง (r = .327) อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติ (p-value = .000) จากการศึกษาพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้และมีพฤติกรรมการ ป้องกนั โรคในระดับมาก แต่ยังพบรายข้อทมี่ ีค่าคะแนนน้อย ซึ่งอาจสง่ ผลใหม้ ีการแพร่กระจายของโรคได้ จึงควรมีการสรา้ งความตระหนกั แก่ประชาชนในการปฏบิ ตั ติ ัวเพือ่ ป้องกันการแพรก่ ระจายของโรค มนพัทธ์ อารัมภ์วิโรจน. (2560) : ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ตนเองของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงในชุมชนบ้านท่าข้องเหล็ก หมู่ที่9 จังหวัดอุบลราชธานี จานวน 91 คน ประกอบดว้ ย ปัจจัยนา คือ ความร้เู กีย่ วกับโรคความดันโลหิตสูง ปัจจัยเอ้ือ คือ การได้รับข้อมูล ข่าวสารเก่ียวกับความดันโลหิตสูง การได้รับคาแนะนาจากแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และปัจจัยเสริม คือ การได้รับการกระตุ้นเตือนจากบุคคลในครอบครัว พบว่าความรู้เกี่ยวกับโรคความ ดันโลหิตสูง การได้รับข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับโรคความดันโลหิตสูง การได้รับคาแนะนาจากแพทย์ พยาบาลหรือเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของ ผู้สูงอายุเรื่องโรคความดันโลหิตสูง และเป็นปัจจัยร่วมกันทานายพฤติกรรมการดูแล สุขภาพตนเองของ ผู้สูงอายุโรคความดันโลหติ สูงไดร้ ้อยละ 42 วิไลวรรณ ไชยวัฒน์ (2552) : ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยในการ ป้องกัน โรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจของผู้ป่วยในที่มารับการรักษาในสถาบันโรคทรวง อก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยมีกลุ่มตัวอย่างจานวน 390 ราย ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัย

21 ทางชีวสังคม ได้แก่ เพศอายุ ระดับ การศึกษา สถานภาพสมรส อาชีพ รายได้ ประวัติการเจ็บป่วย ย้อนหลัง 1 ปี ของผู้ป่วยและญาติไม่มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยของผู้ป่วยใน สถาบันโรคทรวงอก 2) ปัจจัยนาได้แก่ ความรู้ทัศนคติเกี่ยวกับ การใช้หน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์ ทางบวกกับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยผู้ป่วยในสถาบันโรคทรวงอก อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ 0.01 3) ปัจจัยเอ้ือ ได้แก่ ความสะดวกในการใช้หน้ากากอนามัยราคาต่า ประโยชน์/ความคุ้มค่า มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยผู้ป่วยในสถาบันโรคทรวงอก อย่างมี นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05 ตามลาดับ ส่วนปัจจัยเอื้อการเข้าถึงหน้ากากอนามัยของ ผู้ป่วยมีความสัมพันธ์ตรงกันข้ามกับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยผู้ป่วยในสถาบันโรคทรวงอก และ ปัจจัยเออื้ การมนี โยบายในการใช้หน้ากากอนามัยในการป้องกันโรค ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ ใช้หน้ากากอนามัยผ้ปู ่วยในสถาบนั โรคทรวงอก 4) ปัจจยั เสริม ไดแ้ ก่ การได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ การสนับสนุนจากบุคคลใกล้ชิด มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยของ ผู้ป่วยในสถาบันโรคทรวงอกอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ระดับ 0.05 ส่วนการได้รับสนับสนุนหน้ากาก อนามัยจากแหล่งตา่ ง ๆ ไมม่ คี วามสัมพันธก์ บั พฤตกิ รรมการใช้หนา้ กากอนามัยผู้ป่วยในสถาบันโรคทรวง อก สกณุ า อยู่ดี (2551) : ศึกษาประสทิ ธิผลของโปรแกรมสขุ ศกึ ษาเพ่ือการปลูกฝังพฤติกรรมการ ป้องกันโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจโดยการสวมหน้ากากอนามัยในกลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 จานวน 80 คน ผลการวิจัย พบวา่ 1) ภายหลงั การเข้ารว่ มโปรแกรมสุขศึกษาคะแนนเฉลยี่ หลงั ได้รับโปรแกรมสุขศึกษากลุ่มทดลองมี ความรู้การรับรู้โอกาสเสียงการรับรู้ความรุนแรงของโรคการรับรู้ผลดีของการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในการ ป้องกันโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจและการรับรู้อุปสรรคของการป้องกันโรคติดต่อทางระบบ ทางเดินหายใจโดยการสวมหน้ากากอนามัยในกลุ่มทดลองก่อนได้รับโปรแกรมสุขศึกษาและกลุ่ม เปรียบเทียบมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 2) ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม สุขศกึ ษาคะแนนเฉล่ียพฤตกิ รรมการป้องกันโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจโดยการสวมหน้าอนามัย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาในกลุ่มทดลองก่อนการจัดโปรแกรมและกลุ่มเปรียบเทียบมีความแตกต่าง กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 3) ความรู้การรับรู้โอกาสเส่ียงต่อการเกิดโรคติดต่อทางระบบ ทางเดินหายใจ การรับรู้ความรุนแรงของการเกิดโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ การรับรู้ผลดีของ การป้องกันโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจโดยการสวมหน้ากากอนามัยและการรับรู้อุปสรรคของ การป้องกันโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจโดยการสวมหน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์ทางบวกกับ พฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเดินหายใจโดยการสวมหน้ากากอนามัยของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ. 05 4) ตัวแปรอธิบาย ได้แก่ เพศ อายุ รายได้ของ ครอบครัวและประสบการณ์การป่วยด้วยโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจไม่มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ การปลูกฝังพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อ ทางระบบทาง้เดินหายใจโดยการสวมหน้ากากอนามัยในนักเรียนชั้นประถมศึกษาน้ันสามารถช่วยเพิ่ม ประสทิ ธภิ าพในเรอื่ งการปอ้ งกันโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจได้ องค์การอนามัยโลก. (2563) : ศึกษาคาแนะนา การใช้หน้ากากอนามัยในบริบทของโรคโควิด 19 พบว่า การใช้หน้ากากกรองอนุภาค N95 เปรียบเทียบกับการใช้หน้ากากทางการแพทย์ไม่มี ความสัมพันธ์กับความเสี่ยงท่ีลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ในการแสดงอาการป่วยทางระบบทางเดิน

22 หายใจหรือการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ หรือเชื้อไวรัสที่ยืนยันด้วยผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หลักฐาน วิชาการจากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ของการศึกษาเชิงสังเกตเรื่อง betacoronavirus ที่ เป็นต้นเหตุของโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน (SARS) โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS) และ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 บ่งช้ีว่าการใช้อุปกรณ์ป้องกัน (รวมถึงหน้ากากกรองอนุภาคและ หน้ากากทางการแพทย์) ช่วยลดความเส่ียงติดเช้ือของบุคลากรสาธารณสุขอย่างมีนัยสาคัญ N95 และ หน้ากากกรองอนุภาคที่มีลักษณะคล้ายกันอาจมีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงมากกว่าหน้ากากทาง การแพทย์หรือหน้ากากผ้าฝ้ายแบบ 12-16 ชั้น รวมถึงการให้คาแนะนาเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอย่าง ถูกต้องเพ่ือให้หน้ากากมีประสิทธิผลมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และไม่ทาให้การแพร่เช้ือเพิ่มข้ึน จาก การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า ได้มีการศึกษาพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยใน บุคคลต่าง ๆ ท้ังในบุคคลปกติและในกลุ่มผู้ป่วย ซ่ึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัยทางชีวสังคม ท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคติด เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และยงั พบการนาทฤษฎี PRECEDE Model มาใช้ในการศึกษาพฤติกรรมการใช้ หน้ากากอนามัยเพอ่ื ป้องกนั โรคตดิ ตอ่ ทางระบบทางเดินหายใจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะพฤติกรรมการใช้ หน้ากากอนามยั เพื่อปอ้ งกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึง่ ปัจจบุ ันโรคน้ีมีการแพร่ระบาดไปยังทั่วโลก ผู้วิจัยจึงได้สนใจศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 โดยนาทฤษฎี PRECEDE Model มาประยุกต์ใช้ ในงานวิจัยครั้งน้ีจะทาให้เห็นปัจจัยที่ส่งผลต่อ พฤตกิ รรมการใชห้ น้ากากอนามัยเพ่ือปอ้ งกันเช้ือไวรสั โค โรนา 2019 อย่างชดั เจนมากข้ึน กรอบแนวคดิ ของการวิจัย ในการศึกษาวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้ยึดกรอบแนวคิดพฤติกรรมสุขภาพโดยใช้ PRECEDE model กลา่ วคอื พฤติกรรมสุขภาพของบุคคลมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยนา เป็นองค์ประกอบท่ีมี ผลตอ่ พฤตกิ รรมการใช้หน้ากากอนามัยได้แก่ ความรู้ ทัศนคติ ซึ่งเป็นปัจจัยท่ีสาคัญในการท่ีจะส่งผลต่อ การแสดงพฤติกรรม ปัจจัยเอื้อ เป็นปัจจัยท่ีอาศัยอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมท่ีก่อให้เกิดพฤติกรรมโดยตรง อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนหรือยับยั้งพฤติกรรมของบุคคล และ ปัจจัยเสริม เป็นปัจจัยที่แสดงให้เห็นว่า พฤตกิ รรมสุขภาพน้นั ไดร้ บั การสนบั สนุน เป็นผลสะท้อนทบ่ี คุ คลจะไดร้ ับจากการแสดงพฤติกรรมน้ัน ซ่ึง อาจช่วยสนับสนุนหรือเป็นแรงกระตุ้นในการแสดงพฤติกรรมทางสุขภาพ ซ่ึงปัจจัยท้ัง 3 ดังกล่าวล้วน ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ผู้วิจัยได้สรุปเป็นกรอบ แนวคิดเชงิ ภาพได้ดังนี้

กรอบแนวคิดของการวจิ ัย 23 ตวั แปรอสิ ระ ปัจจัยนา ตัวแปรตาม - ความรู้เกี่ยวกบั หนา้ กากอนามยั และ พฤติกรรมการใชห้ นา้ กากอนามัยเพ่ือ โรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ป้องกันเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 - ทศั นคตติ ่อการใช้หน้ากากอนามัย ของนิสติ คณะพยาบาลศาสตร์ ในการปอ้ งกันโรคตดิ เช้ือไวรสั โคโรนา มหาวิทยาลัยนเรศวร 2019 ปัจจยั เอื้อ - นโยบายหรือกฎระเบียบข้อบงั คบั เกยี่ วกบั การใช้หนา้ กากอนามัย - การเข้าถงึ หนา้ กากอนามัย ปจั จัยเสรมิ - การสนบั สนุนหน้ากากอนามยั - การไดร้ บั ข้อมูลข่าวสารเกยี่ วกบั การ ใชห้ น้ากากอนามัยจากส่อื ตา่ งๆ เช่น โทรทัศน์ อนิ เตอร์เน็ต

24 บทท่ี 3 วธิ ีดาเนินงานวจิ ยั การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive Research) เพ่ือศึกษาพฤติกรรม การเลือกใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการเลือกใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกัน โรคตดิ เช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ ซึง่ มีวิธกี ารดาเนนิ การวิจัยดงั น้ี ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ประชากร ท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี คือ นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ หลักสูตรพยาบาลศาสตร บัณฑิต ระดับปริญญาตรี ภาคปกติ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 ชั้นปีที่ 1-4 ซ่ึงไม่นับรวม ผู้วจิ ัย 7 คน ได้จานวนประชาการทั้งหมด 495 คน (ฝ่ายเวชระเบยี น คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร, 2563) ดงั นี้ นิสติ คณะพยาบาลศาสตร์ชน้ั ปที ี่ 1 จานวน 118 คน นสิ ิตคณะพยาบาลศาสตร์ช้นั ปีท่ี 2 จานวน 134 คน นสิ ิตคณะพยาบาลศาสตรช์ ้ันปีที่ 3 จานวน 118 คน นสิ ิตคณะพยาบาลศาสตรช์ นั้ ปที ่ี 4 จานวน 125 คน กลุ่มตัวอย่าง ท่ีใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ หลักสูตรพยาบาลศาสตร บัณฑิต ระดับปริญญาตรี ภาคปกติ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 ช้ันปีท่ี 1-4 โดยวิธีการ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มจากประชากรตามสัดส่วนของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์แต่ละชั้นปี ซึ่งทา การกาหนดกลุ่มตัวอย่างโดย ใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ (Yamane, 1973 อ้างถึงใน บุญใจ ศรีสถิตนรา กรู , 2553) กาหนดระดับนัยสาคัญทีร่ ะดับ .05 ได้กลุ่มตวั อยา่ ง จานวน 221 คน ตวั อยา่ งจากสูตร Yamane คน เม่อื n = จานวนกลมุ่ ตวั อยา่ ง e = ความคลาดเคลื่อนของการสุ่มตวั อยา่ ง (0.05) N = ขนาดของประชากร และเพื่อปอ้ งกนั ขอ้ มูลไม่ครบถว้ นหรือสญู หาย (Dropout rate) จึงเผ่อื ขนาดกลมุ่ ตวั อยา่ ง ร้อยละ 5 ของจานวนกลุ่มตัวอย่าง คิดเป็น 11 คน จะได้กลุ่มตัวอย่างนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ ระดับ ปรญิ ญาตรี ภาคปกติ ปีการศึกษา 2563 จานวนทั้งสิ้น 232 คน และใช้วิธีคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่ม

25 จากประชากรตามสัดส่วนของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ในแต่ละชั้น โดยใช้วิธีการกาหนดขนาดกลุ่ม ตัวอย่างแบบชัน้ ภูมิ (Stratified Random Sampling) ไดด้ ังน้ี ตวั อยา่ งจากสูตร เมื่อ ni = ขนาดตัวอย่างของแตล่ ะชั้น n = ขนาดตวั อย่างของงานวิจยั Ni = จานวนประชากรในแต่ละชั้น N = จานวนประชากรทั้งหมด นิสิตคณะพยาบาลศาสตรช์ ั้นปีท่ี 1 จานวน 54 คน นสิ ิตคณะพยาบาลศาสตรช์ ั้นปที ี่ 2 จานวน 66 คน นสิ ติ คณะพยาบาลศาสตร์ช้นั ปที ่ี 3 จานวน 54 คน นสิ ิตคณะพยาบาลศาสตรช์ ัน้ ปีท่ี 4 จานวน 58 คน หลังจากนั้นจึงสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้คอมพิวเตอร์ สร้างตารางรายช่ือในโปรแกรม Excel แล้วนาเข้าไปสุ่มในโปรแกรม SPSS เลือกให้โปรแกรมสุ่มจาก จานวนรายชอ่ื ท้งั หมดเพือ่ ใหไ้ ดต้ วั แทนท่ดี ีของกลมุ่ ประชากร คุณสมบัตขิ องกลุ่มตัวอย่างท่ีเลอื กเข้าศึกษา (Inclusion Criteria) 1. นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ หลักสูตรพยาบาลศาสตร์บณั ฑิต ระดับปริญญาตรี ภาคปกติ ช้ันปี ท่ี 1-4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ปกี ารศกึ ษา 2563 2. ยนิ ยอมเขา้ ร่วมวจิ ยั และเซ็นใบยินยอมการเข้าร่วมวจิ ยั เกณฑ์การคดั ออกของกล่มุ ตัวอย่าง (Exclusion Criteria) 1. ขอยุตกิ ารเข้าร่วมวิจยั ระหวา่ งการทาวจิ ัย เครื่องมอื ท่ีใช้ในการวจิ ยั ในการวจิ ัยครั้งนค้ี ณะผวู้ จิ ยั รวบรวมข้อมลู โดยแบ่งเปน็ 3 สว่ น ดังนี้ ส่วนที่ 1 ข้อมูลท่ัวไป จานวน 4 ข้อ ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉล่ียต่อ เดอื น สว่ นที่ 2 แบบสอบถามปัจจยั ที่อาจเกย่ี วขอ้ งกับพฤติกรรมการใชห้ นา้ กากอนามัย 2.1 แบบสอบถามปจั จัยนา ในการใช้หน้ากากอนามัยในการปอ้ งกันโรคติดเช้อื ไวรัส โคโรนา 2019 ประกอบดว้ ย 2.1.1 แบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร โดยลกั ษณะแบบสอบถามเป็นแบบให้เลือกตอบ ใช่ ไม่ใช่ จานวน 10 ขอ้ มคี ะแนนระหว่าง 0-10 คะแนน

26 2.1.2 แบบสอบถามทัศนคติต่อการใช้หน้ากากอนามัยในการป้องกันโรคติดเช้ือไวรัส โคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยลักษณะแบบสอบถามเป็นแบบ เลือกตอบ เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง จานวน 10 ข้อ มีคะแนนระหว่าง 10-40 คะแนน 2.2 แบบสอบถามด้านปัจจัยเอ้ือ ในการใช้หน้ากากอนามัยในการป้องกันโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยลักษณะแบบสอบถามเป็น แบบเลือกตอบ มากทส่ี ดุ มาก นอ้ ย นอ้ ยทีส่ ุด จานวน 10 ข้อ มคี ะแนนระหวา่ ง 10-40 คะแนน 2.3 แบบสอบถามด้านปจั จัยเสริม ในการใชห้ น้ากากอนามัยในการป้องกันโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยลักษณะแบบสอบถามเป็น แบบเลอื กตอบ มากทีส่ ดุ มาก นอ้ ย นอ้ ยทีส่ ดุ จานวน 10 ข้อ มคี ะแนนระหว่าง 10-40 คะแนน ส่วนที่ 3 แบบสอบถามเกยี่ วกับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโค โรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยลักษณะแบบสอบถามเป็นแบบ เลือกตอบ มากทสี่ ุด มาก นอ้ ย น้อยทสี่ ดุ จานวน 10 ข้อ มีคะแนนระหวา่ ง 10-40 คะแนน การสร้างเคร่ืองมือ การสรา้ งเคร่อื งมอื มขี ัน้ ตอน ดงั นี้ 1. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร ทฤษฎี บทความ ตาราวิชาการ และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง นามา สร้างเครือ่ งมอื ใหค้ รอบคลุมตามประเดน็ ทตี่ ้องการวัดในแตล่ ะตัวแปร 2. สรา้ งแบบสอบถามการใช้หน้ากากอนามยั เพ่อื ป้องกนั โรคตดิ เช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 ไดแ้ ก่ ส่วนที่ 1 ข้อมลู ท่ัวไป จานวน 4 ข้อ ส่วนท่ี 2 แบบสอบถามปัจจัยนา ประกอบด้วย แบบสอบถามความรู้เก่ียวกับการใช้หน้ากาก อนามัยเพ่อื ป้องกันโรคตดิ เชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 จานวน 10 ขอ้ และแบบสอบถามทัศนคติเกี่ยวกับการ ใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 จานวน 10 ข้อ แบบสอบถามปัจจัยเอ้ือ จานวน 10 ขอ้ และแบบสอบถามปจั จัยเสริม จานวน 10 ขอ้ ส่วนท่ี 3 แบบสอบถามเก่ียวกับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโค โรนา 2019 จานวน 10 ขอ้ 3. นาแบบสอบถามท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนเสนอต่ออาจารย์ท่ีปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรอบรู้ และเชยี่ วชาญในศาสตรท์ เ่ี กีย่ วข้อง จานวน 3 ทา่ น ประกอบด้วย 1. อาจารยศ์ รสี ุภา ใจโสภา 2. อาจารย์ ดร. ปวงกมล กฤษณบุตร 3. อาจารย์ ดร.รุ่งทิวา บุญประคม เพ่ือตรวจสอบคุณภาพ แบบสอบถาม เก่ียวกับความตรงของเนื้อหา แล้วนามาปรับแก้เน้ือหาให้สอดคล้อง และเหมาะสมตาม ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิภายใต้คาแนะนาของอาจารย์ท่ีปรึกษา จากนั้นนาไปทดลองใช้กับใช้กับ กลุ่มประชากรที่มีลักษณะคลา้ ยคลึงกับกลมุ่ ตัวอย่างมากท่ีสุด คือ นิสติ คณะพยาบาลศาสตร์ ช้ันปีที่ 1- 4

27 มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย จานวน 30 คน แล้วนาผลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อ ปรบั ปรุงคณุ ภาพของเครื่องมือตามเกณฑ์ ดังนี้ 3.1 การตรวจสอบความตรงตามเน้ือหา (Content Validity) โดยการวิเคราะห์หาค่า ดัชนีความเท่ียงตรงตามเนื้อหา (Content validity index : CVI) โดยผู้เช่ียวชาญ 3 ท่าน ได้ค่าความ ตรงตามเน้ือหา ส่วนที่ 2 แบบสอบถามปัจจัยนา ประกอบด้วย แบบสอบถามความรู้เก่ียวกับการใช้ หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 และแบบสอบถามทัศนคติเก่ียวกับการใช้ หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 แบบสอบถามปัจจัยเอ้ือ และแบบสอบถาม ปจั จยั เสริม ส่วนที่ 3 แบบสอบถามเก่ียวกับพฤตกิ รรมการใชห้ นา้ กากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ได้ค่าความตรงตามเน้ือหา1 0.97 0.93 0.97 และ 0.97 ตามลาดับ ซึ่งมากกว่า .80 แสดงใหเ้ ห็นวา่ เครอื่ งมือวจิ ยั มีความตรงตามเนือ้ หา 3.2 การหาความเท่ียงของเครื่องมือ (Reliability) โดยนาแบบสอบถามท่ีได้ตรวจสอบ ความตรงตามเนือ้ หาแล้วไปทดลองกบั นสิ ิตคณะพยาบาลศาสตร์ ช้ันปีท่ี 1-4 จานวน 30 คนท่ีมีลักษณะ คล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตรของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson method) แบบ KR20 ในส่วนที่ 2 คือ ปัจจัยนา ได้แก่ แบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ค่าความเท่ียงเท่ากับ .578 และใช้สูตรสัมประสิทธ์ิแอลฟาของครอ นบาค (Cronbach’s alpha coefficent) ในส่วนท่ี 2 แบบสอบถามปัจจัยนา ได้แก่ แบบสอบถาม ทัศนคติเก่ียวกับการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 แบบสอบถามปัจจัย เอือ้ แบบสอบถามปัจจัยเสริม และสว่ นท่ี 3 แบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อ ปอ้ งกนั โรคติดเชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 ได้คา่ ความเทย่ี ง .846 ซ่ึงมากกว่าค่าที่ยอมรับได้ คือ .80 แสดงว่า เคร่อื งมอื วิจัยมคี วามเที่ยง การพทิ กั ษส์ ิทธขิ องกลุ่มตวั อยา่ ง การศึกษาคร้ังนี้มีการพิทักษ์สิทธิกลุ่มตัวอย่างโดยผู้วิจัยเสนอโครงร่างวิจัยต่อคณะกรรมการ จริยธรรมในมนุษย์ของมหาวิทยาลัยนเรศวรเพ่ือพิจารณาอนุมัติการทาวิจัย หลังได้รับอนุมัติแล้ว ผู้วิจัย ดาเนินงาน และรวบรวมข้อมูลออนไลน์ผ่านทาง Google form โดยผู้วิจัยได้จัดทาหนังสือแสดงความ ยินยอมการเข้าร่วมโครงการวิจัยแก่ผู้ท่ีทาแบบสอบถาม เพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการวิจัย ประโยชน์ของการวิจัย ระยะเวลาของการทาวิจัย วิธีการเก็บรวบรวม ข้อมลู และสทิ ธขิ องกลุ่มตวั อย่างท่ีมีสทิ ธใิ นการตอบรบั หรอื ปฏเิ สธในการเข้าร่วมในโครงการวิจัยเม่ือใดก็ ได้ โดยไม่จาเป็นต้องแจ้งเหตุผล และการปฏิเสธการเข้าร่วมการวิจัยนี้ จะไม่มีผลใด ๆ ต่อกลุ่มตัวอย่าง ข้อมูลที่ได้จะถูกบันทึกไว้เป็นความลับตามรหัสโดยไม่มีการระบุช่ือ-สกุล ข้อมูลจะถูกวิเคราะห์และ นาเสนอในภาพรวม โดยจะนาไปใช้ในประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการวิจัย กลุ่มตัวอย่างสามารถสอบถามผู้วิจัยได้ตลอดเวลา หากกลุ่มตัวอย่างยินดีเข้าร่วมโครงการวิจัย ให้เลือก

28 คาตอบแสดงความยินยอมใน Google form ยกเว้น กรณีที่อายุไม่ถึง 20 ปี จะมีการลงนามหนังสือ แสดงความยนิ ยอมเขา้ ร่วมโครงการวิจยั ผา่ นทางออนไลน์ วธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมูล การทาวิจยั ครั้งนี้ทาการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยมกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลดังน้ี 1. ผู้วิจัยดาเนินการย่ืนหนังสือและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพ่ือขอรับการพิจารณารับรอง จรยิ ธรรมการวิจัยในมนุษยจ์ ากคณะกรรมการจรยิ ธรรมวจิ ัยมนุษยข์ องมหาวทิ ยาลยั นเรศวร 2. ผู้วิจัยจัดทาหนังสือขออนุญาตคณบดี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในการ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นนิสิตพยาบาลช้ันปีท่ี 1-4 ทั้งหมด 232 คน และทดสอบ คุณภาพเคร่อื งมือจานวน 30 คน รวมท้ังสิ้น 262 คน 3. เมอ่ื ได้รับอนุมัติ ผู้วจิ ัยติดต่อกลมุ่ ทดสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือ และส่งแบบสอบถามในรูปแบบ Google form ผ่านทาง Facebook พร้อมแนะนาตัว ช้แี จงวัตถปุ ระสงค์และรายละเอียดในการเข้าร่วม โครงการวิจยั ตลอดจนสทิ ธใิ์ นการตอบรับหรือปฏิเสธ หรือการยุติการเข้าร่วมวิจัยซ่ึงกลุ่มตัวอย่างมีสิทธิ ท่ปี ฏิเสธการเขา้ ร่วมในโครงการเขา้ ร่วมโครงการวิจัยเมื่อใดก็ได้ โดยไม่จาเป็นต้องแจ้งเหตุผล และจะไม่ มีผลใด ๆ ต่อกลุ่มตัวอย่าง ข้อมูลที่ได้จะบันทึกไว้เป็นความลับตามรหัส โดยไม่มีการระบุช่ือ-สกุล และ จะนาเสนอโดยภาพรวมเท่านั้น 4. ผู้วิจัยติดต่อกลุ่มตัวอย่าง และส่งแบบสอบถามในรูปแบบ Google form ผ่านทาง Facebook พร้อมแนะนาตัว ชี้แจงวัตถุประสงค์และรายละเอียดในการเข้าร่วมโครงการวิจัย ตลอดจน สิทธ์ิในการตอบรับหรอื ปฏเิ สธ หรือการยุติการเข้าร่วมวิจัยซ่ึงกลุ่มตัวอย่างมีสิทธิท่ีปฏิเสธการเข้าร่วมใน โครงการเข้าร่วมโครงการวิจัยเมื่อใดก็ได้ โดยไม่จาเป็นต้องแจ้งเหตุผล และจะไม่มีผลใด ๆ ต่อกลุ่ม ตัวอย่าง ข้อมูลที่ได้จะบันทึกไว้เป็นความลับตามรหัส โดยไม่มีการระบุช่ือ-สกุล และจะนาเสนอโดย ภาพรวมเทา่ นั้น 5. เม่ือผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยยินดีเข้าร่วมโครงการวิจัยและตอบแบบสอบถาม ให้เลือก คาตอบแสดงความยินยอมใน Google form ยกเว้น กรณีที่อายุไม่ถึง 20 ปี จะมีการลงนามหนังสือ แสดงความยนิ ยอมเข้าร่วมโครงการวิจัยผ่านทางออนไลน์ 6. หลังตอบแบบสอบถามแล้วให้กลุ่มตัวอย่าง Submit เพื่อส่งกลับคืนผู้วิจัย แล้วผู้วิจัยทา การตรวจสอบความครบถว้ นสมบูรณ์ของข้อมลู แลว้ นาแบบสอบถามมาตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ และ นาขอ้ มูลท่ีไดม้ าวเิ คราะหต์ อ่ ไป การวิเคราะหข์ อ้ มูล นาแบบสอบถามทีเ่ ก็บไดท้ ้ังหมด มาตรวจสอบความสมบรู ณ์ และนามาวิเคราะหข์ อ้ มูลโดยใช้ โปรแกรมสาเร็จรูป SPSS สถิติที่นามาใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู ประกอบดว้ ย สถติ ิเชิงพรรณนา ดงั นี้ 1. ข้อมูลทางพฤติกรรมการเลือกใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน

29 2. วิเคราะหค์ วามสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจัยกับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติด เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ โดยใช้สถิติสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Product – Moment Correlation Coefficient)

30 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยคร้งั นเี้ ป็นการศึกษาความสมั พันธร์ ะหวา่ งปจั จัยท่เี ก่ียวข้องกบั พฤตกิ รรมการใช้หน้ากาก อนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยการ ใช้แบบสอบถามอิเล็กทรอนิกส์จากกลุ่มตัวอย่าง จานวน 232 ราย ในระยะเวลา 1 สัปดาห์ ตั้งแต่วันท่ี 4 มีนาคม 2564 ถึง วันที่ 10 มีนาคม 2564 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลนาเสนอในรูปแบบของ ตารางประกอบคาบรรยาย แบง่ ออกเปน็ 4 สว่ น ดงั น้ี สว่ นที่ 1 ข้อมลู ทว่ั ไปของกลุ่มตัวอย่าง ส่วนที่ 2 ปัจจัยทีอ่ าจเกี่ยวขอ้ งกบั พฤติกรรมการใชห้ น้ากากอนามัย ประกอบด้วย 2.1 ด้านปัจจยั นา ในการใช้หนา้ กากอนามัยในการป้องกันโรคติดเชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 2.2 ด้านปัจจัยเอ้ือ ในการใชห้ น้ากากอนามยั ในการป้องกนั โรคติดเช้ือไวรสั โคโรนา 2019 2.3 ดา้ นปัจจยั เสริม ในการใช้หน้ากากอนามยั ในการป้องกันโรคติดเชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 สว่ นที่ 3 พฤติกรรมการใช้หนา้ กากอนามยั เพ่ือป้องกนั โรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ส่วนที่ 4 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งปัจจยั ทีเ่ ก่ียวข้องกบั พฤติกรรมการใช้หนา้ กากอนามัยเพอ่ื ป้องกันโรคติดเชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019

31 ส่วนท่ี 1 ขอ้ มลู ท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่าง ในการวิจยั เร่ืองนี้ กลุ่มตัวอยา่ งทศี่ ึกษาได้แก่ นสิ ติ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ชน้ั ปที ี่ 1-4 จานวน 232 คน ซงึ่ มีลกั ษณะข้อมูลทัว่ ไป ดงั ตารางที่ 1 ตาราง 1 แสดงจานวน ร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ งจาแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายไดเ้ ฉล่ียต่อ เดือน ลักษณะของกลมุ่ ตัวอยา่ ง จานวน (n=232) รอ้ ยละ 1. เพศ 19 8.19 ชาย 213 91.81 หญิง 56 24.14 2. อายุ 176 75.86 นอ้ ยกวา่ 20 ปี มากกวา่ 20 ปี 54 23.29 66 28.01 3. ระดับการศกึ ษา 54 23.70 ชนั้ ปีท่ี 1 58 25.00 ชั้นปที ี่ 2 ชั้นปที ่ี 3 20 8.62 ชั้นปีท่ี 4 103 44.40 91 39.22 4. รายไดเ้ ฉลี่ยตอ่ เดอื น 18 7.76 ตา่ กวา่ หรือเท่ากับ 3,000 บาท 3,001-5,000 บาท 5,001-10,000 บาท มากกว่า 10,000 บาท จากตารางท่ี 1 พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกือบท้ังหมดเป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 91.81 ส่วนใหญ่ อายุมากกว่า 20 ปี คิดเป็นร้อยละ 75.86 จานวนกลุ่มตัวอย่างในแต่ละช้ันปีมีจานวนใกล้เคียงกัน โดย นิสิตช้ันปีที่ 2 มีจานวนมากกว่าชั้นปีอื่นเล็กน้อย และกลุ่มตัวอย่างเกือบครึ่งหน่ึงมีรายได้เฉล่ีย 3,001- 5,000 บาท ส่วนท่ี 2 ปัจจัยท่ีอาจเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้หนา้ กากอนามยั 2.1 ดา้ นปจั จัยนา ในการใชห้ น้ากากอนามัยในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้แก่ ความรู้ และทัศนคติเกย่ี วกับโรคตดิ เชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 ตาราง 2 แสดงจานวน ร้อยละ คา่ เฉลี่ย และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของกลมุ่ ตัวอย่างจาแนกตามความรู้ เก่ียวกบั โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

32 ขอ้ คาถาม คนท่ีตอบถกู ̅ S.D. จานวน ร้อยละ 1. โรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 สามารถตดิ ต่อผ่านทางละออง 227 97.84 ฝอย โดยการไอ จาม และจากการพดู คยุ ใกลช้ ดิ กับผู้ตดิ เชือ้ ได้ 2. โรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มรี ะยะฟกั ตัวประมาณ 14 วัน 232 100 3. โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ป้องกันโดยการหลีกเลี่ยงการ 231 99.56 ใกล้ชดิ กบั ผู้ปว่ ยทม่ี อี าการ และเล่ียงการเดนิ ทางไปในพน้ื ท่เี ส่ยี ง 4. โรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคติดต่อทางระบบ 227 97.84 ทางเดนิ หายใจ 5. วิธีป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 หมายถึง การล้าง 232 100 มือ การใช้หน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างทางสังคม 81.45 0.21 (SOCIAL DISTANCING) 92.98 6. หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ไม่สามารถซักแล้วนามาใช้ 215 ใหม่ได้อกี 7. ควรล้างมือกอ่ นและหลังการสัมผสั หน้ากากอนามยั 225 96.98 8. หนา้ กากอนามัยทางการแพทย์มีประสิทธิภาพในการป้องกัน 42 18.10 โรคติดเชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 ได้ 100% 9. ท่านมีวิธีการทดสอบความพอดีกับใบหน้าก่อนใช้หน้ากาก 138 59.48 อนามัย โดยวางมือท้ังสองข้างบนหน้ากากแล้วหายใจออกแรง ๆ เพือ่ ทดสอบว่ามีลมออกหรอื ไม่ 10. การออกกาลังกายสามารถป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 120 51.72 2019 ได้ จากตารางท่ี 2 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 โดยเฉลี่ย ร้อยละ 81.45 โดยข้อคาถามทีก่ ลมุ่ ตวั อย่างทกุ คนตอบถูก คือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีระยะฟัก ตัวประมาณ 14 วนั และ วิธีปอ้ งกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หมายถึง การล้างมือ การใช้หน้ากาก อนามัย และเว้นระยะห่างทางสังคม โดยข้อคาถามท่ีได้คะแนนน้อยท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 18.10 คือ หน้ากากอนามัยทางการแพทย์มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ได้ 100% รองลงมาคือ การออกกาลังกายสามารถป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ได้ คิดเป็นร้อยละ 51.72

33 และ ท่านมีวิธีการทดสอบความพอดีกับใบหน้าก่อนใช้หน้ากากอนามัย โดยวางมือทั้งสองข้างบน หนา้ กากแล้วหายใจออกแรง ๆ เพ่อื ทดสอบวา่ มีลมออกหรอื ไม่ รอ้ ยละ 59.48 ตามลาดับ ตาราง 3 แสดงจานวน ร้อยละ คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานของกลุ่มตวั อยา่ งจาแนกตามทัศนคติ เกย่ี วกับโรคตดิ เช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 ความคดิ เหน็ (n=232) ขอ้ คาถาม เหน็ เหน็ ไม่เหน็ ไม่เห็น ̅ S.D. ระดบั ด้วย ดว้ ย ดว้ ย ดว้ ย ทัศนคติ อย่าง อย่างยง่ิ ยง่ิ 1.ท่านคดิ วา่ การสวมหน้ากาก 8 5 44 175 1.34 .689 ไม่เห็นดว้ ย อนามยั เมื่อมีอาการป่วยเก่ยี วกบั (3.4) (2.2) (19.0) (75.4) (33.5) อยา่ งยิ่ง ระบบทางเดินหายใจในที่ สาธารณะเปน็ เรื่องที่น่าอาย 2.ทา่ นคิดวา่ การรณรงค์ใช้ 116 110 3 3 3.46 .595 เห็นดว้ ย หน้ากากอนามัยในโรงพยาบาล (50.0) (47.4) (1.3) (1.3) (86.5) อยา่ งยิ่ง จะทาใหผ้ ู้ป่วยมีการใช้หนา้ กาก อนามยั มากขนึ้ 3.ท่านคิดวา่ การสวมหนา้ กาก 13 62 122 35 2.23 .770 ไม่เห็นดว้ ย อนามยั ทาให้เกดิ การสะสมของ (5.6) (26.7) (52.6) (15.1) (55.75) เชื้อโรค 4.ท่านคดิ ว่า การสวมหน้ากาก 5 22 115 90 1.75 .713 ไมเ่ ห็นด้วย อนามยั ทาใหบ้ คุ คลอน่ื มองว่า (2.2) (9.5) (49.6) (38.8) (43.75) อยา่ งยิ่ง ท่านปว่ ยหรอื ไมส่ บาย 5.ท่านคิดว่า คนท่ีมีสขุ ภาพ 5 7 63 157 1.40 .656 ไม่เหน็ ด้วย ร่างกายแข็งแรงดี ไมจ่ าเปน็ ต้อง (2.2) (3.0) (27.2) (67.7) (35) อย่างยง่ิ ใชห้ น้ากากอนามัย 6.ท่านคดิ วา่ การใช้หน้ากาก 8 43 95 86 1.88 .827 ไม่เห็นดว้ ย อนามยั เปน็ เรื่องท่ยี ุ่งยาก (3.4) (18.5) (40.9) (37.1) (47) 7.ทา่ นคดิ ว่า ทา่ นม่ันใจว่าจะสวม 147 80 3 2 3.60 .564 เหน็ ด้วย หนา้ กากอนามัยทกุ คร้ังเม่ือออก (63.4) (34.5) (1.3) (0.9) (90) อยา่ งยงิ่ จากบ้าน 8ท่านคิดวา่ หนา้ กากอนามยั มี 140 88 3 1 3.58 .544 เห็นดว้ ย ประโยชน์ ในการปอ้ งกันโรคติด (60.3) (37.9) (1.3) (0.4) (89.50) อยา่ งยง่ิ เชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 9.ทา่ นคิดวา่ ท่านมน่ั ใจว่า การใช้ 94 129 8 1 3.36 .572 เหน็ ด้วย

34 ความคิดเห็น (n=232) ข้อคาถาม เห็น เห็น ไมเ่ ห็น ไมเ่ ห็น ̅ S.D. ระดบั ด้วย ด้วย ด้วย ดว้ ย ทัศนคติ อย่าง อย่างย่งิ ย่ิง หนา้ กากอนามยั จะชว่ ยป้องกัน (40.5) (55.6) (3.4) (0.4) (87.75) อยา่ งยิ่ง การแพร่ระบาดของโรคตดิ เชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019 ได้ 10.ท่านคิดวา่ ท่านเป็นตวั อย่างที่ 123 106 2 1 3.51 .542 เหน็ ดว้ ย ดีแก่เพ่ือน พี่ นอ้ ง คนใน (53.0) (45.7) (0.9) (0.4) (87.75) อย่างยง่ิ ครอบครัวและคนอื่นๆ ในเร่ือง การใช้หน้ากากอนามยั เพอ่ื ป้องกนั การแพรก่ ระจายเช้อื ของโรคติด เชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 จากตารางที่ 3 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยของทัศนคติเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในรายขอ้ ท่ีกล่าวว่า ท่านมั่นใจว่าจะสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกจากบ้านมากท่ีสุด ซ่ึงอยู่ ในระดับเห็นด้วยอยา่ งยิง่ คดิ เปน็ 3.60 รองลงมาคอื รายข้อทา่ นมนั่ ใจว่าการใชห้ นา้ กากอนามัยจะช่วย ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ และ รายข้อท่านเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เพ่ือน พ่ี น้อง คนในครอบครัวและคนอื่นๆ ในเร่ืองการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเช้ือของ โรคตดิ เชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 ตามลาดับ โดยรายข้อท่ีมีเฉล่ียน้อยที่สุดซ่ึงเป็นระดับทัศนคติไม่เห็นด้วย อย่างย่ิงคือ ท่านคิดว่าการสวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจในที่ สาธารณะเป็นเร่ืองท่ีน่าอาย รองลงมาคือ ข้อท่านคิดว่าคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีไม่จาเป็นต้องใช้ หนา้ กากอนามยั และข้อทา่ นคิดว่าการสวมหน้ากากอนามัยทาให้บุคคลอื่นมองว่าท่านป่วยหรือไม่สบาย ตามลาดับ

35 2.2 ด้านปัจจัยเอือ้ ในการใชห้ นา้ กากอนามยั ในการปอ้ งกนั โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตาราง 4 แสดงจานวน รอ้ ยละ คา่ เฉลีย่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลมุ่ ตัวอย่างจาแนกตามระดบั ความคดิ เห็นเกยี่ วกบั ปัจจัยเอ้ือในการใชห้ น้ากากอนามัยในการป้องกนั โรคตดิ เชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 ความคิดเห็น (n=232) มาก มาก นอ้ ย น้อย ̅ SD ระดบั ขอ้ คาถาม ท่สี ุด ทีส่ ุด 1. ท่านไดร้ บั ข้อมูล ข่าวสาร จาก 71 138 22 1 3.20 .615 มาก รฐั บาลวา่ มีนโยบายใหป้ ระชาชนสวม (30.6) (59.5) (9.5) (0.4) (80.00) หนา้ กากอนามยั เพ่ือปอ้ งกันโรคติดเช้ือ ไวรสั โคโรนา 2019 2. สถานบรกิ ารสขุ ภาพ หรือ 124 105 3 0 3.52 .526 มาก โรงพยาบาลใกลท้ ่ีพกั ของทา่ นมกี าร (53.4) (45.3) (1.3) (0.0) (88.00) ท่ีสุด ประกาศให้ประชาชนสวมหน้ากาก อนามยั เพ่อื ป้องกนั โรคติดเชือ้ ไวรัสโค โรนา 2019 3. หน่วยงานราชการมีแนวปฏิบัตใิ ห้ผู้ 127 101 4 0 3.53 .534 มาก มาติดต่อสวมหนา้ กากอนามยั กอ่ นเขา้ (54.7) (43.5) (1.7) (0.0) (88.25) ท่สี ุด สถานทเี่ พื่อป้องกนั โรคติดเชอ้ื ไวรสั โค โรนา 2019 4. สถานบริการ ห้างสรรพสนิ ค้า 136 94 2 0 3.58 .512 มาก รา้ นคา้ ต่าง ๆ มีขอ้ กาหนดให้ผมู้ ารับ (58.6) (40.5) (0.9) (0.0) (89.50) ทส่ี ุด บริการสวมหนา้ กากอนามยั ก่อนเข้า สถานทเ่ี พื่อป้องกนั โรคติดเชอ้ื ไวรสั โค โรนา 2019 5. มหาวิทยาลยั หรอื คณะฯของทา่ นมี 155 76 1 0 3.66 .482 มาก กฎระเบยี บให้นสิ ิตสวมหน้ากาก (66.8) (32.8) (0.4) (0.0) (91.50) ทสี่ ุด อนามัยตลอดเวลา เพื่อป้องกันโรคติด เชื้อไวรสั โคโรนา 2019 6. ท่านจดั เตรียมหน้ากากอนามัยไว้ 139 90 2 1 3.58 .536 มาก อย่างเพียงพอและพร้อมใชเ้ สมอทุกวนั (59.9) (38.8) (0.9) (0.4) (89.50) ที่สดุ 7. ทา่ นได้รบั ความรู้เร่ืองวธิ ใี ชแ้ ละ 91 126 14 1 3.32 .606 มาก ประโยชน์ของหน้ากากอนามัย จาก (39.2) (54.3) (6.0) (0.4) (83.00) ทีส่ ุด สถานศกึ ษา 8. ทา่ นสามารถหาซ้ือหน้ากากอนามยั 75 128 26 3 3.19 .674 มาก สาหรับการป้องกันโรคตดิ เชื้อโคโรนา (32.3) (55.2) (11.2) (1.3) (79.75) 2019 ได้โดยงา่ ย

36 ขอ้ คาถาม ความคิดเห็น (n=232) ̅ SD ระดบั มาก มาก นอ้ ย น้อย 9. ท่านทราบชอ่ งทาง หรือสถานทใ่ี น ท่ีสุด ทส่ี ุด 3.22 .642 มาก การจัดหาซ้ือหน้ากากอนามยั เพอื่ 77 129 25 1 (80.50) ป้องกนั โรคติดเชอื้ โคโรนา 2019 (33.2) (55.6) (10.8) (0.4) 10. ท่านคดิ ว่าราคาของหน้ากาก 2.89 .753 มาก อนามัยแพงเกนิ ไป 51 107 71 3 (72.25) (22.0) (46.1) (30.6) (1.3) จากตารางท่ี 4 พบวา่ ปัจจัยเออื้ ในการใช้หนา้ กากอนามัยในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกลุ่มตัวอย่างโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยรายข้อท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงท่ีสุดคือ มหาวิทยาลัย หรอื คณะฯของทา่ นมกี ฎระเบยี บให้นสิ ิตสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเพ่ือป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโร นา 2019 คิดเป็น 3.66 รองลงมาคือ สถานบริการ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่าง ๆ มีข้อกาหนดให้ผู้มา รับบริการสวมหน้ากากอนามัยก่อนเข้าสถานท่ีเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ ท่าน จัดเตรียมหน้ากากอนามัยไว้อย่างเพียงพอและพร้อมใช้เสมอทุกวัน โดยปัจจัยด้านราคาของหน้ากาก อนามัยท่ีแพงเกินไปไดค้ า่ เฉลี่ยน้อยท่ีสุด คิดเป็น 2.89 รองลงมาคือ ท่านสามารถหาซื้อหน้ากากอนามัย สาหรบั การปอ้ งกนั โรคตดิ เช้ือโคโรนา 2019 ไดโ้ ดยง่าย และท่านทราบช่องทาง หรือสถานที่ในการจัดหา ซือ้ หนา้ กากอนามยั เพื่อป้องกนั โรคตดิ เชอ้ื โคโรนา 2019 ตามลาดับ 2.3 ดา้ นปัจจัยเสริม ในการใชห้ นา้ กากอนามยั ในการป้องกันโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 ตาราง 5 แสดงจานวน รอ้ ยละ ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของกลมุ่ ตวั อย่าง จาแนกตามระดบั ความคิดเหน็ เกยี่ วกบั ปจั จัยเสริมในการใชห้ น้ากากอนามัยในการปอ้ งกันโรคตดิ เชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 ระดับความคิดเหน็ (n=232) ข้อคาถาม มาก มาก น้อย น้อย ̅ SD ระดบั ท่ีสุด ท่ีสดุ 1. ทา่ นไดร้ บั การสนบั สนุนหน้ากาก อนามัย จากครอบครัว 110 97 17 8 3.33 .760 มาก 2. ทา่ นได้รับการสนบั สนนุ หนา้ กากอนามัย (83.25) ท่ีสุด จากเพือ่ น (47.4) (41.8) (7.3) (3.4) 2.34 .884 น้อย 3. ท่านได้รบั การสนบั สนุนหน้ากาก (85.5) อนามยั จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 23 75 93 41 น้อย 4. ทา่ นไดร้ บั การสนับสนนุ หน้ากาก 2.12 .976 อนามยั จากสถานศึกษา (9.9) (32.3) (40.1) (17.7) (53) มาก 5. ทา่ นไดร้ ับการสนบั สนนุ หน้ากาก 2.53 1.015 อนามยั จากสถานบริการสาธารณสุข 24 53 81 74 (63.25) นอ้ ย 2.17 .978 (10.3) (22.8) (34.9) (31.9) (54.25) 44 81 61 46 (19.0) (34.9) (26.3) (19.8) 25 59 79 69 (10.8) (25.4) (34.1) (29.7)

37 ระดับความคดิ เห็น (n=232) ข้อคาถาม มาก มาก นอ้ ย น้อย ̅ SD ระดบั ที่สุด ทีส่ ดุ มาก หรือโรงพยาบาลท่ีท่านไปใช้บริการ 2.72 .904 น้อย 6. ท่านไดร้ ับข่าวสารเก่ียวกับการใช้ 44 106 55 27 (68) มาก หน้ากากอนามัยในการป้องกันโรคติดเช้ือ (19.0) (45.7) (23.7) (11.6) มาก ไวรัสโคโรนา 2019 จากโทรทัศน์ วิทยุ 2.41 .883 หรอื เสยี งตามสายในหมบู่ ้าน 26 80 90 36 (60.25) มาก 7. ท่านได้รับขา่ วสารเกย่ี วกบั การใช้ (11.2) (34.5) (38.8) (15.5) ที่สุด หนา้ กากอนามัยในการป้องกันโรคติดเชือ้ 3.06 .685 ไวรัสโคโรนา 2019 จากแผ่นพบั หรอื ค่มู ือ 54 144 27 7 (76.5) ทีแ่ จกตามสถานทต่ี า่ งๆ (23.3) (62.1) (11.6) (3.0) 8. ทา่ นไดร้ ับขา่ วสารเกย่ี วกับการใช้ 3.08 .679 หน้ากากอนามัยในการป้องกันโรคตดิ เช้ือ 58 139 30 5 (77) ไวรสั โคโรนา 2019 จากบคุ ลากร (25.0) (59.9) (12.9) (2.2) ทางดา้ นสาธารณสุข 3.56 .586 9. ทา่ นไดร้ บั ขา่ วสารเกีย่ วกับการใช้ 138 87 5 2 (89) หน้ากากอนามยั ในการป้องกันโรคติดเชอื้ (59.5) (37.5) (2.2) (0.9) ไวรสั โคโรนา 2019 จากสถานบริการ สาธารณสุขหรือโรงพยาบาลท่ีท่านไปใช้ บริการ 10. ท่านไดร้ ับข่าวสารเกี่ยวกบั การใช้ หนา้ กากอนามัยในการป้องกันโรคติดเช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 จากระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ สื่อสังคมออนไลน์ จากตารางที่ 5 พบว่า ปัจจัยเสริมในการใช้หน้ากากอนามัยในการป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโร นา 2019 โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยรายข้อท่ีได้ค่าเฉลี่ยสูงที่สุดมีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ท่ีสุด ได้แก่ ท่านได้รับข่าวสารเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยในการป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่ือสังคมออนไลน์ คิดเป็น 3.56 รองลงมาคือ ท่านได้รับการ สนบั สนุนหน้ากากอนามัยจากครอบครัว โดยรายข้อท่ีมีค่าเฉล่ียต่าท่ีสุดมีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับ น้อยคือ ท่านได้รับการสนับสนุนหน้ากากอนามัยจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข รองลงมาคือ จากสถาน บริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลท่ีท่านไปใช้บริการ และจากเพอ่ื นตามลาดับ

38 สว่ นที่ 3 พฤตกิ รรมการใช้หน้ากากอนามัยเพอ่ื ป้องกนั โรคตดิ เชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 ตาราง 6 แสดงจานวน ร้อยละ ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง จาแนกตามระดับ ของพฤติกรรมการใชห้ น้ากากอนามัยเพือ่ ป้องกนั โรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ระดบั ความคิดเหน็ (n=232) ̅ ขอ้ คาถาม มาก มาก น้อย นอ้ ย 3.31 SD ระดบั ที่สดุ ที่สดุ (82.75) .721 1. ท่านใส่หน้ากากอนามยั ทุกคร้งั เมอ่ื มี มาก คนในครอบครวั ปว่ ยดว้ ยโรคตดิ ตอ่ ทาง 108 89 35 0 3.36 .765 ท่สี ดุ ระบบทางเดินหายใจ (84) .748 2. ท่านใส่หน้ากากอนามัยขณะทีท่ า่ นไป (46.6) (38.4) (15.1) (0.0) 3.28 มาก ในท่ีสาธารณะเท่านน้ั (82) .900 ทส่ี ุด 3. ท่านใช้หนา้ กากอนามัย เพื่อปอ้ งกนั 116 91 17 8 .755 มาก ตนเองในช่วงทมี่ ีการระบาดของโรคตดิ เชื้อ (50.0) (39.2) (7.3) (3.4) 2.01 .712 ที่สดุ ไวรสั โคโรนา 2019 เท่านั้น (50.25) .594 4. ท่านเลอื กหนา้ กากอนามัยทีใ่ ส่แล้ว 104 93 32 3 3.07 .725 น้อย หลวม ท่านจะไดห้ ายใจสะดวก (44.8) (40.1) (13.8) (1.3) (76.75) .523 5. ท่านล้างมือให้สะอาดทุกครัง้ ก่อนและ 3.11 มาก หลังการใชห้ นา้ กากอนามัย 16 47 93 76 (77.75) .804 6. ทา่ นสามารถหาซ้ือหนา้ กากอนามัย (6.9) (20.3) (40.1) (32.8) 3.54 มาก จากทีม่ ีแหลง่ จาหน่ายได้อย่างสะดวก (88.50) 7. ท่านท้งิ หนา้ กากอนามยั ทุกคร้ังหลังใช้ 72 108 49 3 2.77 มาก งาน (31.0) (46.6) (21.1) (1.3) (69.25) ท่ีสุด 8. ท่านใชม้ อื จบั หน้ากากอนามยั ใน 3.64 มาก ระหวา่ งท่ที ่านยังใสห่ นา้ กากอนามัยอยู่ 68 127 32 5 (91.00) 9. เม่ือท่านป่วย ท่านจะใส่หน้ากาก (29.3) (54.7) (13.8) (2.2) มาก อนามยั เพอ่ื ลดการแพรก่ ระจายเชือ้ สูค่ น 1.31 ทส่ี ุด อื่น 138 82 12 0 (32.75) 10. ท่านใช้หนา้ กากอนามัยร่วมกับผอู้ ืน่ (59.5) (35.3) (5.2) (0.0) นอ้ ย ได้ ท่ีสดุ 31 125 67 9 (13.4) (53.9) (28.9) (3.9) 154 73 5 0 (66.4) (31.5) (2.2) (0.0) 10 20 1 201 (4.3) (8.6) (0.4) (86.6) จากตารางที่ 6 พบว่า พฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกลุ่มตัวอย่างโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยข้อที่ได้ค่าเฉล่ียมากที่สุด มีระดับของพฤติกรรมอยู่ ในระดับมากที่สุดได้แก่ เม่ือท่านป่วยท่านจะใส่หน้ากากอนามัยเพื่อลดการแพร่กระจายเช้ือสู่คนอ่ืน คิด เป็น 3.64 รองลงมาคือ ท่านท้ิงหน้ากากอนามัยทุกคร้ังหลังใช้งาน และท่านใส่หน้ากากอนามัยขณะที่

39 ท่านไปในที่สาธารณะเท่าน้ันตามลาดับ โดยพฤติกรรมข้อท่ีได้ค่าเฉล่ียน้อยท่ีสุดได้แก่ ท่านใช้หน้ากาก อนามัยร่วมกับผ้อู ่นื ได้ คิดเป็น 1.31 สว่ นท่ี 4 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างปจั จยั ท่เี ก่ียวขอ้ งกบั พฤติกรรมการใชห้ น้ากากอนามัยเพอ่ื ปอ้ งกันโรค ตดิ เชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 4.1 การวเิ คราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปจั จัยนา ปัจจยั เออื้ และปจั จัยเสริมกับพฤตกิ รรม การใช้หน้ากากอนามยั เพื่อป้องกนั เชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 วเิ คราะห์ความสัมพันธร์ ะหวา่ งปจั จยั นา ปจั จัยเอื้อ และปจั จยั เสรมิ กับพฤตกิ รรมการใช้ หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกนั เชื้อไวรสั โคโรนา 2019 โดยใชส้ ถิตวิ เิ คราะหค์ วามสมั พนั ธ์ด้วยคา่ สมั ประสิทธ์ิ สหสมั พันธ์ของเพยี รส์ ัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) ตาราง 7 แสดงค่าสมั ประสทิ ธิ์สหสัมพนั ธ์ระหวา่ งปัจจัยนา ปจั จยั เอ้ือ และปัจจัยเสรมิ กับการใช้ หน้ากากอนามยั กับพฤตกิ รรมการใช้หนา้ กากอนามัยเพื่อป้องกันเชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 ปจั จยั พฤติกรรมการใช้หนา้ กากอนามยั Sig ระดบั (n=232) 2-tailed ความสมั พนั ธ์ ค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ (r) ปัจจยั นา ความรเู้ ก่ยี วกบั การใช้หน้ากากอนามยั .068 .00 สมั พนั ธต์ า่ มาก ทศั นคติเกย่ี วกับการใช้หนา้ กากอนามยั .223 .00 สมั พันธ์ต่ามาก ปจั จัยเอื้อ นโยบายหรือกฎระเบียบขอ้ บังคบั .369 .00 สมั พันธต์ า่ การเขา้ ถงึ หนา้ กากอนามยั .465 .00 สัมพนั ธต์ ่า ปจั จัยเสรมิ การสนบั สนุนหน้ากากอนามัย .349 .00 สมั พันธ์ตา่ การไดร้ บั ข้อมลู ขา่ วสารจากส่ือต่างๆ .267 .00 สัมพนั ธต์ า่ มาก p<.01 จากตารางท่ี 7 พบว่า ปจั จยั นา ไดแ้ ก่ ความรู้ และทัศนคตเิ กยี่ วกับการใชห้ นา้ กากอนามัยมี ความสมั พันธก์ ับพฤตกิ รรมการใชห้ น้ากากอนามัยเพ่อื ป้องกันโรคติดเช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 ในระดับต่า มากโดยมีค่า r .068, .223 ตามลาดบั ทร่ี ะดบั นยั สาคญั ทางสถิติ .01 ปัจจยั เอ้ือ ไดแ้ ก่ นโยบายหรือกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัย และการ เข้าถึงหน้ากากอนามยั มคี วามสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หนา้ กากอนามัยเพ่ือป้องกนั โรคตดิ เชอ้ื ไวรสั โค โรนา 2019 ในระดบั ต่า โดยมีค่า r= .369, .465 ตามลาดับ ทร่ี ะดบั นยั สาคญั ทางสถติ ิ .01 ปัจจัยเสริม ได้แก่ การสนับสนุนหน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากาก อนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระดับต่า โดยมีค่า r= .349 ส่วนการได้รับข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกัน เชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 ในระดบั ตา่ มาก โดยมีค่า r=.267 ท่ีระดบั นยั สาคญั ทางสถิติ .01

40 บทที่ 5 สรปุ ผลการวจิ ัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวจิ ยั ครั้งนเ้ี ป็นการวจิ ยั เชงิ พรรณนา (Descriptive Research) โดยมีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อศกึ ษา ความสมั พนั ธร์ ะหว่างปัจจยั ที่มีความเก่ียวข้องกับพฤติกรรมการใช้หนา้ กากอนามยั เพื่อป้องกันโรคตดิ เชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019 ของนสิ ิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร กลมุ่ ตัวอยา่ งเป็นนิสติ ชน้ั ปที ี่ 1- 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร จานวน 232 ราย เครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการวิจัยเปน็ แบบสอบถามซ่งึ ผา่ นการตรวจสอบความตรงตามเน้ือหาจากผู้ทรงคุณวุฒิจานวน 3 ทา่ น คานวณไดค้ ่า ดัชนีความตรงตามเน้ือหา เท่ากบั 0.97 และนาไปทดลองใชก้ ับกล่มุ ตวั อยา่ งจานวน 30 ราย เพ่อื ทดสอบ ความชัดเจนของข้อคาถาม คานวณได้คา่ ความเชือ่ ม่ันของแบบสอบถามด้วยสตู รสมั ประสิทธิ์แอลฟา่ ของครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) เท่ากบั .85 และแบบทดสอบความรู้โดยสูตร KR 20 เท่ากบั .58 ดาเนินการเก็บข้อมูลโดยสง่ แบบสอบถามทางอเิ ลก็ ทรอนิกส์ และวิเคราะห์ขอ้ มลู โดยใชส้ ถติ ิ รอ้ ยละ คา่ เฉลี่ย สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และ สัมประสิทธ์ิสหสัมพนั ธข์ องเพียรส์ ัน สรุปผลการวจิ ัย การศกึ ษาวิจยั ครงั้ นี้ ผลการศึกษาสรปุ ได้ดงั นี้ กลมุ่ ตวั อยา่ งทั้งหมด จานวน 232 ราย เป็นเพศหญิงมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 91.81 อยู่ในช่วง อายุมากกว่า 20 ปี คิดเป็นร้อยละ 75.86 จานวนกลุ่มตัวอย่างในแต่ละช้ันปีมีจานวนใกล้เคียงกัน โดย นิสิตช้นั ปีท่ี 1 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 23.29 นิสิตช้ันปีที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 28.01 นิสิตชั้นปีที่ 3 คิดเป็นร้อยละ 23.70 นิสิตช้ันปีที่ 4 คิดเป็นร้อยละ 25.00 และกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ท่ี 3,001-5,000 บาท คดิ เปน็ ร้อยละ 44.40 ปจั จยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับพฤติกรรมการใชห้ นา้ กากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ของนสิ ติ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ด้านปัจจัยนา กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เก่ียวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเฉลี่ย รอ้ ยละ 81.45 โดยขอ้ คาถามที่กล่มุ ตวั อย่างทุกคนตอบถูก คือ โรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 มีระยะฟัก ตัวประมาณ 14 วนั และ วธิ ีปอ้ งกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หมายถึง การล้างมือ การใช้หน้ากาก อนามัย และเว้นระยะห่างทางสังคม โดยข้อคาถามที่ได้คะแนนน้อยที่สุดคือ หน้ากากอนามัยทาง การแพทย์มีประสทิ ธิภาพในการป้องกนั โรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ได้ 100% รองลงมาคือ การออก กาลังกายสามารถป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ได้ และ ท่านมีวิธีการทดสอบความพอดีกับ ใบหนา้ กอ่ นใช้หน้ากากอนามยั โดยวางมอื ท้ังสองขา้ งบนหนา้ กากแลว้ หายใจออกแรง ๆ เพื่อทดสอบว่ามี ลมออกหรือไม่ ตามลาดับ ในด้านของทัศนคติ กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉล่ียของทัศนคติเกี่ยวกับโรคติด เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในรายขอ้ ทา่ นมั่นใจว่าจะสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเม่ือออกจากบ้านมากท่ีสุด ซ่งึ อย่ใู นระดบั เห็นด้วยอย่างยิ่ง รองลงมาคือ รายข้อท่านม่ันใจว่าการใช้หน้ากากอนามัยจะช่วยป้องกัน การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ และ รายข้อท่านเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เพ่ือน พ่ี น้อง คนในครอบครัวและคนอื่นๆ ในเรื่องการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันการแพร่กระจายเช้ือของโรคติด

41 เชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 ตามลาดบั โดยรายขอ้ ทมี่ ีเฉลย่ี น้อยที่สุดซ่ึงเป็นระดับทศั นคตไิ ม่เห็นด้วยอย่างย่ิง คือ ทา่ นคิดว่าการสวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจในที่สาธารณะเป็น เรือ่ งทีน่ า่ อาย รองลงมาคอื ขอ้ ทา่ นคิดว่าคนท่มี ีสขุ ภาพรา่ งกายแข็งแรงดีไม่จาเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัย และขอ้ ท่านคดิ วา่ การสวมหน้ากากอนามัยทาใหบ้ คุ คลอื่นมองว่าทา่ นปว่ ยหรือไม่สบาย ด้านปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเอื้อในการใช้หน้ากากอนามัยในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโร นา 2019 ของกลมุ่ ตัวอย่างโดยรวมอยู่ในระดบั มากที่สุด โดยรายข้อท่มี ีคา่ เฉล่ยี สูงที่สุดคือ มหาวิทยาลัย หรือคณะฯของทา่ นมกี ฎระเบยี บใหน้ ิสติ สวมหนา้ กากอนามยั ตลอดเวลาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโร นา 2019 รองลงมาคือ สถานบริการ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่าง ๆ มีข้อกาหนดให้ผู้มารับบริการสวม หน้ากากอนามัยก่อนเข้าสถานที่เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ ท่านจัดเตรียมหน้ากาก อนามยั ไวอ้ ยา่ งเพียงพอและพรอ้ มใช้เสมอทุกวนั โดยปัจจัยด้านราคาของหนา้ กากอนามัยที่แพงเกินไปได้ ค่าเฉลี่ยน้อยท่ีสดุ รองลงมาคอื ทา่ นสามารถหาซ้ือหน้ากากอนามัยสาหรับการป้องกันโรคติดเชื้อโคโรน่า 2019 ได้โดยง่าย และทา่ นทราบชอ่ งทาง หรือสถานทีใ่ นการจดั หาซื้อหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติด เช้อื โคโรน่า 2019 ตามลาดับ ด้านปจั จัยเสริม ปัจจัยเสริมในการใช้หน้ากากอนามัยในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโค โรนา 2019 โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยรายข้อที่ได้ค่าเฉลี่ยสูงท่ีสุดมีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับ มากทสี่ ุด ไดแ้ ก่ ท่านได้รับข่าวสารเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยในการป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สื่อสังคมออนไลน์ รองลงมาคือ ท่านได้รับการสนับสนุนหน้ากาก อนามัยจากครอบครัว โดยรายขอ้ ทม่ี คี ่าเฉล่ยี ตา่ ทสี่ ุดมรี ะดับความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อยคือ ท่านได้รับการ สนับสนุนหน้ากากอนามัยจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข รองลงมาคือ จากสถานบริการสาธารณสุขหรือ โรงพยาบาลท่ีทา่ นไปใชบ้ ริการ และจากเพื่อน พฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ของนิสิตคณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันโรค ติดเช้ือไวรัสโคโรนา2019 โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยข้อท่ีได้ค่าเฉลี่ยมากท่ีสุด มีระดับของพฤติกรรม อยู่ในระดับมากที่สุดได้แก่ เมื่อท่านป่วยท่านจะใส่หน้ากากอนามัยเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อสู่คนอ่ืน คิดเป็น 3.64 รองลงมาคือ ท่านท้ิงหน้ากากอนามัยทุกครั้งหลังใช้งาน และท่านใส่หน้ากากอนามัย ขณะท่ีท่านไปในท่ีสาธารณะเท่านั้นตามลาดับ โดยพฤติกรรมข้อท่ีได้ค่าเฉลี่ยน้อยท่ีสุดได้แก่ ท่านใช้ หนา้ กากอนามัยร่วมกบั ผ้อู นื่ ได้ คิดเป็น 1.31 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติด เช้ือไวรัสโคโรนา 2019 พบว่า ปัจจัยนา ได้แก่ ความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยมี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพ่ือป้องกันเช้ือไวรสั โคโรนา 2019 ในระดับต่ามาก (r = .068, .223, p < .01) ปัจจัยเอื้อ ได้แก่ นโยบายหรือกฎระเบียบข้อบังคับเก่ียวกับการใช้หน้ากาก อนามัย และการเข้าถึงหน้ากากอนามัยมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน เชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 ในระดับต่า (r= .369, .465, p < .01) ปัจจัยเสริม ได้แก่ การสนับสนุนหน้ากาก