Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การมีกิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาล มหาวิทยาลัยนเรศวร

การมีกิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาล มหาวิทยาลัยนเรศวร

Published by Reading Room, 2021-04-26 07:53:49

Description: การมีกิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาล มหาวิทยาลัยนเรศวร

Search

Read the Text Version

การมกี ิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาล มหาวิทยาลัยนเรศวร สดุ าภา ถงุ คา สุนกิ า กันทา สุพนดิ า อนนั ต์ สุพชิ ญา ศรีชัยพันธ์ุ สุวฒั นา เยน็ คงคา สษุ ณิ ี เอยี๊ บทวี อภิญญา ดอกกหุ ลาบ ปรญิ ญานิพนธ์ฉบบั น้ี เป็นส่วนหนง่ึ ของการศกึ ษาหลกั สูตรปริญญาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ตุลาคม 2562 ลขิ สิทธิเ์ ป็นของมหาวิทยาลัยนเรศวร

ประกาศคณุ ปู การ ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้ สาเร็จได้ดว้ ยความกรุณาจาก ดร.อลงกรณ์ อักษรศรี อาจารย์ทีป่ รกึ ษา ปริญญานิพนธ์ ซึ่งเสียสละเวลาอันมีค่าอย่างยิ่งของท่าน ในการให้คาปรึกษา แนะนาและชี้แนวทางที่ เป็นประโยชน์ ในการทาปริญญานิพนธ์ด้วยความเอาใจใส่และห่วงใย พร้อมท้ังให้กาลังใจอย่าง สม่าเสมอตลอดระยะเวลาในการทาวิทยานิพนธ์ฉบับน้ี ให้สาเร็จลุล่วงได้อย่างสมบูรณ์และทรงคุณค่า ผูว้ จิ ัยรสู้ กึ ซาบซ้งึ และประทบั ใจเป็นอย่างย่ิง และขอกราบขอบพระคุณเปน็ อย่างสงู มา ณ โอกาสน้ี ขอกราบขอบพระคุณ ดร.อลงกรณ์ อักษรศรี อาจารย์ท่ีปรึกษาปริญญานิพนธ์ ที่ได้กรุณาให้ ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะการให้คาแนะนาและที่ปรึกษาในการใช้สถิติและขอ กราบขอบพระคุณ คณะกรรมการสอบปริญญานิพนธ์ทุกท่าน ท่ีได้กรุณาให้คาแนะนาตลอดจนแก้ไข ข้อบกพร่องของปริญญานิพนธ์ ทาให้ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้สมบูรณ์ ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ทุกท่านที่กรุณาตรวจสอบแก้ไข และให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ซ่ึงทาให้เครื่องมือวิจัยมี ประสทิ ธภิ าพ ขอกราบขอบพระคุณคณบดคี ณะพยาบาลศาสตร์ รองศาสตราจารย์ ดร.ชมนาด วรรณพรศิริ ทใ่ี ห้ความอนุเคราะห์และความสะดวกในการเก็บข้อมูลเพ่ือการวจิ ัย ตลอดจนนิสิตคณะพยาบาลชั้นปี ท่ี 1 และชัน้ ปีที่ 4 ทกุ ทา่ นทเี่ ปน็ กลุม่ ตวั อย่างทใ่ี หค้ วามรว่ มมือในการเก็บข้อมลู เปน็ อย่างดี เหนือส่ิงอ่ืนใด ขอขอบพระคุณบิดา มารดาของผู้วิจัย ที่ให้กาลังใจและให้การสนับสนุน ในทกุ ๆ ดา้ นอย่างดที สี่ ดุ เสมอมา คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากปริญญานิพนธ์ฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นคุณความดีของทุก ท่านที่มีส่วนร่วม สนับสนุนให้งานวิจัยมีความสาเร็จ ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างย่ิงว่าการศึกษาในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการสง่ เสริมการมีกิจกรรมทางกายใหน้ ิสิตพยาบาล มหาวิทยาลยั นเรศวร และเห็น ถงึ ความสาคญั ของการมกี จิ กรรมทางกายต่อไป ผู้วิจยั

ชื่อเรือ่ ง การมกี จิ กรรมทางกายของนสิ ิตพยาบาล มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ผ้วู จิ ัย นางสาวสดุ าภา ถุงคา อาจารย์ทีป่ รึกษา ประเภทสารนิพนธ์ นางสาวสนุ ิกา กนั ทา คาสาคัญ นางสาวสุพนดิ า อนนั ต์ นางสาวสพุ ิชญา ศรชี ยั พนั ธุ์ นางสาวสวุ ฒั นา เยน็ คงคา นางสาวสุษณิ ี เอี๊ยบทวี นางสาวอภญิ ญา ดอกกุหลาบ ดร.อลงกรณ์ อักษรศรี ปรญิ ญานพิ นธ์, พย.บ. มหาวทิ ยาลยั นเรศวร, 2562 กิจกรรมทางกาย นิสติ พยาบาล บทคดั ยอ่ วยั รนุ่ มีกิจกรรมทางกายนอ้ ยสง่ ผลกระทบต่อสขุ ภาพ เชน่ โรคเบาหวาน ความดนั โลหิตสงู หรือ โรคอ้วน การวิจัยคร้ังน้ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือศึกษาและเปรียบเทียบการมีกิจกรรมทางกายของนิสิต พยาบาลระหว่างชั้นปีท่ี 1 และช้ันปีท่ี 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร กลมุ่ ตัวอย่างทีศ่ ึกษาเป็นนสิ ิตพยาบาล ท่ีกาลังศึกษาในช้ันปีท่ี 1 และชั้นปีที่ 4 หลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรปีการศึกษา 2562 จานวน 166 คน ซ่ึงได้มาจากการสุ่มแบบมีระบบ เก็บ รวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบประเมินการมีกิจกรรมทางกายสาหรับนิสิต ผ่านการตรวจสอบความตรง เชิงเน้ือหาโดยผทู้ รงคุณวฒุ ิ 3 ท่าน แล้วนามาทดสอบหาค่าความเช่ือม่ันของแบบประเมิน ดว้ ยวิธกี าร หาคา่ สมั ประสทิ ธิ์อลั ฟ่า (Alpha Coefficient) ของ Cronbach มีค่าเทา่ กับ .702 วิเคราะห์ข้อมูลโดย การใช้หาค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของกิจกรรมทางกายและใช้ Independent t-test เพื่อเปรียบเทยี บค่าคะแนนการมีกจิ กรรมทางกายระหว่างนิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 1 และชนั้ ปที ่ี 4 โดยรวมและรายด้าน ใช้ Chi-square test ในการเปรียบเทยี บข้อมลู ท่ัวไปของนิสิตพยาบาลช้ันปีท่ี 1 และชน้ั ปีท่ี 4 ได้แก่ เพศ โรคประจาตัว ที่พักอาศัย และยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง ผลวิจัยพบว่า การมีกิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาลช้ันปีที่ 1 และช้ันปีท่ี 4 โดยภาพรวมอยู่ใน ระดับต่า (x̄ =32.40, SD.=7.14) และเม่ือพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านกิจกรรมการออกกาลังกายอยู่ ในระดับต่า (x̄ =7.50, SD.=3.29) ด้านกิจกรรมการทางานบ้านและด้านกิจกรรมนันทนาการอยู่ใน ระดบั ปานกลาง (x̄ =8.43, SD.=2.78 และ x̄ =16.46, SD.=4.22, ตามลาดับ) การเปรียบเทียบการมีกิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 1 และช้ันปีที่ 4 แตกต่างกัน อย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และเม่ือเปรียบเทียบรายด้าน พบว่า ด้านกิจกรรมการ ออกกาลังกายของนิสิตพยาบาลช้ันปีที่ 1 และชั้นปีที่ 4 แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ

ท่ีระดับ .05 ด้านกิจกรรมการทางานบ้านและด้านกิจกรรมนันทนาการของนิสิตพยาบาลช้ันปีที่ 1 และชัน้ ปีที่ 4 แตกต่างกนั อย่างไม่มนี ัยสาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 ข้อเสนอแนะในการนาผลงานวิจัยไปใช้ ควรส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกาย โดยการสร้าง แรงจูงใจและรณรงค์ให้เห็นถึงความสาคัญของการมีกิจกรรมทางกาย ควรจัดกิจกรรมนันทนาการ เชิงบูรณาการร่วมกับคณะอื่นๆ เช่น ค่ายอาสาสานสัมพันธ์ เป็นต้น การทาวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษา ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการมีกิจกรรมทางกายและควรมีการศึกษางานวิจัยเชิงทดลอง เพ่ือเพิ่ม การมกี จิ กรรมทางกายในนิสิตพยาบาล

Title PHYSICAL ACTIVITY OF NURSING STUDENTS , NARESUAN Author UNIVERSITY Advisor Academic Paper Sudapha Thungkham Keywords Sunika Kanta Supanida Anan Supitchaya Srichaiphan Suwatthana Yenkhongkha Susinee Eiabtawee Apinya Dokkulab Alongkorn Aksornsri, RN, Ph.D Thesis Submitted B.N.S. Naresuan University, 2019 Physical Activity, Nursing Students, Naresuan University ABSTRACT Adolescents have a low level of physical activity. This event affects on health problems such as diabetes mellitus, hypertension or obesity. The purposes of this research were to study and compare the physical activities of nursing students between the freshmen and seniors nursing at Naresuan University. The sample of the study were 166 students, the Systematic random sampling was used to recruit the sample. Data were collected by using a physical activity questionnaire. Content Validity Index was used to assess content validity. The Cronbach’s alpha was used to test reliability, and Cronbach’s alpha coefficient was .702. Physical activity scores were analyzed by using mean and standard deviation. An Independent t-test was used to compare physical activity scores between freshmen and senior nursing students. The Chi-square test was employed to compare gender, medical conditions, accommodation, and transportation. The result revealed that the overall physical activity scores of freshmen and senior nursing students were at a low level (x̄ =32.40, SD.=7.14). When considering each aspect, it was found that exercise scores in the freshmen and senior nursing students were at low a level (x̄ =7.50, SD.=3.29). The housework activities scores of freshmen and senior nursing students were at a moderate level (x̄ =8.43, SD.=2.78). The recreational activity scores of

the freshmen and senior nursing students were at a moderate level (x̄ =16.46, SD.=4.22). There was no significant difference in physical activity between freshmen and senior nursing students. However, there was significant difference (p<.05) in exercise, and there was no significant difference (p>.05) in housework activity and recreational activity. Nursing students should be encouraged to increase physical activity by participating in physical activity programs with students in other faculties such as the volunteer relation camp. Further research should study factors that influence the motivation to increase physical activity level, and interventional study should be conducted to increase physical activity among nursing students.

สารบัญ บทที่ หน้า 1 บทนา………………………………………………………………………………………………………...…............ ความเปน็ มาของปัญหา………………………………………………………………………………........1 วัตถุประสงค์การวิจัย……………………………………………………………………………………......3 คาถามการวจิ ยั …………………………………………………………………………………………......…3 สมมติฐานการวิจยั ………………………………………………………………………………........……..3 ขอบเขตการวจิ ยั ……………………………………………………………….……………….....………….3 นิยามศพั ท์เฉพาะ…………………………………………………………….……………….....……………5 ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะไดร้ บั .……………………………………………….…………….…...……………5 กรอบแนวคิดการวจิ ัย….…………………………………………………….…………….…..……………5 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเี กี่ยวขอ้ ง………………………………………………………….………………........ กิจกรรมทางกาย………………………………………………………………………………….....……..…7 หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร…….....….16 งานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วข้อง…………………………………………………………………………………………...19 3 วิธีดาเนินงานวิจยั ………………………………………………………………………………………………...…… ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง……………………………………………………………………..………….27 เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการวิจัย………………………………………………………………………….....………29 การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ……………………………………………………………….....………32 การรวบรวมข้อมลู …………………………………………………………………………………….……....32 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล…………………………………………………………………………………..…..……33 การพทิ ักษ์สิทธิ์กล่มุ ตวั อย่าง………………………………………………………………………..…..….33

สารบัญ (ตอ่ ) บทท่ี หน้า 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………………………………...... ตอนท่ี 1 การวเิ คราะห์ข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist)………………………………………………………………………………………………………….....36 ตอนท่ี 2 การวเิ คราะห์ขอ้ มูลระดับการมกี ิจกรรมทางกายของนิสติ พยาบาลช้ันปที ี่ 1 และปีที่ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร………………………………………………………………..………….....…38 ตอนท่ี 3 การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเปรยี บเทียบการมีกิจกรรมทางกาย และเปรียบเทยี บข้อมลู ท่วั ไปของนิสิตพยาบาลชั้นปีที่ 1 และปที ่ี 4 .มหาวทิ ยาลัยนเรศวร…………………….….........…44 5 บทสรุป………………………………………………………………………………………………….......…………………… สรปุ ผลการวิจยั …………………………………………………………………………………………….....………49 อภปิ รายผลการวิจัย………………………………………………………………………………………......…….50 ข้อเสนอแนะ………………………………………………………………………………………………….......……56 บรรณานกุ รม……………………………………………………………………………………………………………........…..57 ภาคผนวก…………………………………………………………………………………………………………………......…… ภาคผนวก ก รายนามผู้ทรงคุณวฒุ ติ รวจแบบสอบถาม........................................................62 ภาคผนวก ข ผทู้ รงตรวจสอบเคร่อื งมอื ………………………………………….................................63 ภาคผนวก ค แบบสอบถามงานวจิ ยั …………………………………………………………………….…....65 ภาคผนวก ง บนั ทึกข้อความ………………………………………………………………………………….…72 ภาคผนวก จ ประวตั ิผู้วจิ ัย………………………………………………………………….........……..........75

สารบญั ตาราง ตาราง หนา้ 1 ความหมายของจานวนก้าวทเ่ี ดินต่อระดบั กจิ กรรมทางกายรายวนั ….………………………...…….13 2 ความแมน่ ยาของเคร่ือง Activity Tracker………………………..………………………………………….16 3 แสดงจานวนและรอ้ ยละของกล่มุ ตัวอยา่ ง จาแนกตามข้อมูลทว่ั ไป........................................36 4 แสดงคา่ เฉลย่ี สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดับการมีกิจกรรมทางกาย เปน็ ภาพรวม……………......................................................……………………….…..............38 5 แสดงค่าเฉล่ยี สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานและระดับการมกี ิจกรรมทางกาย เป็นรายด้าน จาแนกตามช้ันปีทศ่ี ึกษา……………………….......................…….………………38 6 แสดงคา่ เฉลยี่ และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน การมีกจิ กรรมทางกายเป็นรายข้อ ในแต่ละดา้ น ของนิสติ พยาบาลชน้ั ปที ่ี 1……………………………………...........….…………39 7 แสดงคา่ เฉล่ยี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การมีกจิ กรรมทางกายเป็นรายข้อ ในแต่ละด้าน ของนิสิตพยาบาลชนั้ ปที ี่ 4……………………………………………..................41 8 แสดงการเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งข้อมลู ทว่ั ไประหวา่ งนิสิตพยาบาลช้ันปีท่ี 1 และชัน้ ปีท่ี 4 ด้วยวธิ กี ารทดสอบด้วยสถติ ิไคสแควร์ (Chi-Square Test)..................44 9 แสดงการเปรยี บเทยี บความแตกต่างการมกี จิ กรรมทางกายระหวา่ งนสิ ิตพยาบาล ช้ันปที ่ี 1 และชน้ั ปีที่ 4 ด้วยวิธกี ารทดสอบดว้ ยสถิติ t-test แบบ Independent (Independent t-test) (N=166)……………...........…….. …….46 10 แสดงค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา.................................................…………………………..........63 11 แบบประเมินการมกี ิจกรรมทางกายสาหรับนิสติ ..........................…………………………..........66

สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตาราง หน้า 12 การตรวจสอบความเชอ่ื ม่ันของเครือ่ งมอื (Reliability) แบบประเมินการมีกิจกรรม ทางกายสาหรบั นสิ ิต (n=166)...................................................................................................68 13 แสดงค่าเฉลย่ี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการมีกจิ กรรมทางกายสาหรบั นิสติ ..............70

บทท่ี 1 บทนำ ท่ีมำและควำมสำคญั ในปัจจบุ ันความเจริญก้าวหน้าทางดา้ นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยมี ีการเปลี่ยนแปลงไปมากและ เข้ามามีบทบาทต่อการใช้ชีวิตประจาวันของมนุษย์เป็นอย่างมาก เช่น การใช้สมาร์ทโฟน การติดสังคม ออนไลน์ ทาให้ไม่เกิดการเคลื่อนไหวและก่อให้เกิดการขาดการเข้าร่วมกิจกรรมทางกายมากข้ึน และจาก สถานการณ์ การมีกิจกรรมทางกายท่ีเพียงพอของประชากรไทย จากข้อมูลสารวจกิจกรรมทางกายของ คนไทย สถาบันวจิ ยั ประชากรและสงั คมมหาวทิ ยาลยั มหิดล ในปี 2559 พบวา่ มีกิจกรรมทางกายแตกต่าง กันตามช่วงวัย ดังน้ี วัยเด็ก 6-12 ปี ร้อยละ 26.2 วัยเด็กและวัยรุ่น 13-17 ปี ร้อยละ 26.9 วัยผู้ใหญ่ 18-59 ปี ร้อยละ 71 และวยั สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 69.4 และโดยเฉล่ียทกุ ช่วงวยั มกี ิจกรรมทางกาย 2.28 ช่ัวโมงต่อวัน การนอนหลับ 8.07 ช่ัวโมงต่อวัน และมีจานวนช่ัวโมงของพฤติกรรมเนือยน่ิง คือ กิจกรรมท่ีมีการน่ัง หรือนอนราบซ่ึงเป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานต่า เช่น การน่ังเล่นโทรศัพท์มือถือ การใช้ คอมพวิ เตอร์ การนงั่ หรอื นอนดูโทรทัศน์ เฉลยี่ 13.25 ชั่วโมงต่อวนั โดยส่วนมากพฤติกรรมเนือยน่ิงจะเกิด ในกลุ่มวัยรนุ่ จึงส่งผลให้เกิดการมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพออีกท้ังยังมีผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตซ่ึงจากการศึกษาผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์และคุณภาพชีวิตจากโรคอ้วน ในประเทศไทย พบว่า ต้นทุนทางเศรษฐกิจท่ีสูญเสียจากการเป็นโรคอ้วนในไทยมมี ูลคา่ รวมท้งั สนิ้ 12,142 ล้านบาท โดยคดิ จากค่าใช้จา่ ยในการรักษาพยาบาลและต้นทนุ การสูญเสียผลิตภาพ ซ่ึงค่าใช้จ่ายท่ีเกดิ จาก คา่ รกั ษาพยาบาลมีมูลค่าสูงถึง 5,584 ล้านบาท ซึ่ง 3 ลาดับแรก มาจากโรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด และโรคมะเร็งลาไส้ (กองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ , 2561) ดังนั้น จากข้อมูลการสารวจ กิจกรรมทางกายและการศึกษาผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์ พบว่า กิจกรรมทางกายของกลุ่มวัยรุ่นใน ปัจจุบันมีไม่เพียงพอเน่ืองจากปัญหาดังกล่าวได้เข้ามามีบทบาทและส่งผลกระทบในการดาเนิน ชีวิตประจาวนั เป็นอยา่ งมาก กจิ กรรมทางกาย (Physical activity) คือ การเคล่ือนไหวร่างกายทุกรูปแบบทีเ่ กิดจากการหดตัว ของกล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กทาให้ร่างกายมีการใช้พลังงานเพิ่มข้ึนจากขณะพัก ซ่ึงมี ความสัมพันธ์กับสุขภาพและสมรรถภาพทางกายของบุคคล โดยการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมนั้นสามารถ กระตุ้นพัฒนาการรับรู้และการเรียนรู้ของสมอง พฤติกรรม รวมถึงการแสดงออกทางกายวาจา อารมณ์ รวมทั้งความรู้สึกนึกคิด อากัปกิริยา การเคล่ือนไหวของร่างกาย (เจริญ กระบวนรัตน์, 2550) โดยระดับ ของกิจกรรมทางกายแบ่งเป็น 3 ระดับคือ ระดับเบา คือ การเคล่ือนไหวท่ีน้อยในการออกแรงเป็น การเคลื่อนไหวที่เกิดข้ึนในชีวิตประจาวัน เช่น การเดินระยะทางส้ันๆ การทางานบ้าน เป็นต้น ระดับ ปานกลาง คือ กจิ กรรมท่ที าให้รู้สึกเหน่ือยปานกลางระหว่างทากิจกรรมยงั สามารถพูดเป็นประโยคได้ เช่น การเดินเร็ว การป่ันจักรยาน เป็นต้น และระดับหนัก คือ การเคล่ือนไหวร่างกายที่ทาให้รู้สึกเหนื่อยมาก

2 ระหว่างทากิจกรรมไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ เช่น การว่ิง การว่ายน้าเร็ว การเล่นกีฬา เป็นต้น (กองกิจกรรมทางกายเพือ่ สขุ ภาพ, 2561) ประโยชน์ของการมีกิจกรรมทางกายน้ันมีมากมาย ได้แก่ (1) มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเพิ่มมากขึ้น เช่น การเข้าร่วมชมรมดนตรีไทย ชมรมเต้นแอโรบิก ทาให้เกิดการผ่อนคลายและเกิดความสนุกสนาน (2) สร้างเสริมคุณธรรมและจริยธรรม เช่น การเข้าวัดบุญ (3) เพ่ิมความเชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งเกิดจาก ประสบการณ์การทางานที่หลากหลาย (4) มีสมาธิมากขึ้นจากการน่ังสมาธิ (5) กระตุ้นการเรียนรู้มากข้ึน (6) ช่วยลดการสะสมไขมันในร่างกายหรือลดน้าตาลในเลือด เช่น ออกกาลังกาย เป็นต้น (7) ช่วยป้องกัน การเกิดโรคต่างๆ เชน่ โรคเบาหวาน โรคความจาเส่อื ม โรคหัวใจ โรคหอบหดื ปอ้ งกันอาการภมู ิแพ้ อีกท้ัง ยงั ลดความเครียด ความวติ กกงั วลและภาวะซึมเศรา้ อกี ด้วย (กองกิจกรรมทางกายเพื่อสขุ ภาพ, 2561) จากการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการมีกิจกรรมทางกาย การเล่นกีฬาและการส่งเสริมสุขภาพของ นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ พบว่า กิจกรรมท่ีนักศึกษาส่วนใหญ่ทากิจกรรมในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ คือ การฟังเพลงและดูโทรทัศน์ ร้อยละ 82.6, การนอน ร้อยละ 51.8, ออกกาลังกายในวันหยุด ร้อยละ 42.7 ส่วนความถี่ในการออกกาลังกายนักศึกษาส่วนใหญ่ออกกาลังกายสัปดาห์ละ 1 คร้ัง คิดเป็นร้อยละ 28.0 (นราภรณ์ ขันธบุตร, 2548 และอานนท์ สีดาเพ็ง, 2551 อ้างถึงใน กิติพงษ์ ขัติยะ, 2559) และจากการ สารวจของสานักงานสถิติแห่งชาติ เกี่ยวกับพฤติกรรมการออกกาลังกายของประชากรไทยปี พ.ศ.2550 วัยรุ่นหรือเยาวชนอายุ 15-24 ปี มีการออกกาลังกายร้อยละ 29.9 ซ่ึงสาเหตุของผู้ที่ไม่ออกกาลังกาย คือ ไมม่ ีเวลา ร้อยละ 51.4 และไม่สนใจ รอ้ ยละ 40.4 โดยความถีใ่ นการออกกาลังกาย 3-5 วนั ร้อยละ 38.2, 6-7 วัน ร้อยละ 28.2 และน้อยกว่า 3 วัน ร้อยละ 21.6 (สานักงานสถิติแห่งชาติ, 2550 อ้างถึงใน กิติพงษ์ ขัติยะ, 2559) โดยเฉพาะวัยรุ่นท่ีเป็นนักศึกษาพยาบาลพบว่าอุปสรรคในการออกกาลังกายของ นักศึกษาพยาบาล คือ ภาระงานด้านการเรียนและการฝึกปฏิบัติงานที่หนัก ทาให้ขาดความพร้อมทาง ด้านร่างกายและจิตใจ เกิดความเหน่ือยล้า อ่อนเพลียจากการเรียนการสอบระหว่างภาคเรียนหรือปลาย ภาคเรียน และนิสิตพยาบาลมีความสนใจ เช่น การดูโทรทัศน์ เล่นเกม เล่นอินเตอร์เน็ต มากกว่าการ ออกกาลังกาย (ผ่องศรี ศรีมรกต และคณะ, 2551 อ้างถึงใน ธนพร แย้มศรี, 2559) นักศึกษาพยาบาล ช้ันปีที่ 1 ยังเป็นช่วงของการปรับตัวและมีกิจกรรมเสริมหลักสูตร ท่ีต้องเพิ่มเติมในช่วงนอกเวลาหลาย กจิ กรรม ทาใหน้ ักศึกษาไม่ค่อยมเี วลาว่างในการออกกาลังกาย จากการศึกษาพฤติกรรมการใช้เวลาว่างกับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับพฤติกรรมการ ใช้เวลาว่างของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ช้ันปีท่ี 1 เป็นความสัมพันธ์ในทางลบ (อภินันท์ สิริรัตนจิตต์, 2557 อ้างถึงใน อาระวี ทับทิม และศรีสมร สุริยาศศิน, 2560) และยังพบว่านักศึกษาพยาบาลส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการออกกาลังกายอยู่ในระดับต่า ร้อยละ 41.8 (สรัลรัตน์ พลอินทร์, 2542 อ้างถึงใน ลัดดาวัลย์ ไวยสุระสิงห์, จิราพรรณ โพธ์ิทอง, สุภาภรณ์ วรอรุณ และทิวา มหาพรหม, 2551 อ้างถึงใน ธนพร แย้มศรี, 2559)

3 จากศกึ ษาค้นคว้าแผนการศกึ ษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑติ มหาวิทยาลัยนเรศวร (หลักสูตร ปรับปรุง พ.ศ. 2559) พบว่า นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 1 ภาคการศึกษาต้นศึกษาทั้งหมด 22 หน่วยกิตและภาคการศึกษาปลายศึกษาทั้งหมด 22 หน่วยกิต ซ่ึงรวมหน่วยกิตทั้งหมดตลอด ปีการศึกษา 44 หน่วยกิตส่วนนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ช้ันปีที่ 4 ภาคการศึกษาต้นศึกษาทั้งหมด 13 หน่วยกิต และภาคการศึกษาปลายศึกษาทั้งหมด 10 หน่วยกิต ซ่ึงรวมหน่วยกิตทั้งหมดตลอดปีการศึกษา 23 หน่วยกิต ซึ่งพบว่าการเรียนของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ช้ันปีที่ 1 และนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีท่ี 4 มีความแตกต่างกันอย่างมาก ดังน้ัน กลุ่มผู้วิจัยจึงเล็งเห็นความสาคัญและสนใจที่จะจัดทา งานวิจัยเรอ่ื ง ศึกษาการมีกิจกรรมทางกายของนิสติ พยาบาลชั้นปที ่ี 1 และช้ันปีที 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งได้มาจากการทบทวนวรรณกรรมที่ศึกษาเกี่ยวกับการมีกิจกรรมทางกายในนิสิต ทั่วไปและนิสิตพยาบาล โดยทาการสังเคราะห์จานวนวิจัยด้วยวิธีการทบทวนแบบบูรณาการ ข้อมูล พ้ืนฐานเกี่ยวกับการมีกิจกรรมทางกายและทราบระดับการมีกิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาลช้ันปีที่ 1 และช้ันปีท่ี 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร อีกท้ังยังเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมทางกายสาหรับนิสิตพยาบาล เพอื่ ใหม้ พี ฤตกิ รรมทางกายทเ่ี หมาะสมอกี ดว้ ย วัตถปุ ระสงคก์ ำรวิจัย 1. ศึกษาการมกี ิจกรรมทางกายของนสิ ิตพยาบาลชนั้ ปที ี่ 1 และชั้นปที ่ี 4 มหาวิทยาลยั นเรศวร 2. เปรยี บเทยี บการมีกจิ กรรมทางกายของนสิ ิตพยาบาลระหว่างช้ันปีท่ี 1 และช้ันปีที่ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร คำถำมกำรวิจยั 1. กิจกรรมทางกายของนสิ ิตพยาบาลช้ันปที ่ี 1 และชัน้ ปที ี่ 4 เป็นอยา่ งไร 2. กิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาลระหว่างช้ันปีที่ 1 และช้ันปีท่ี 4 แตกต่างกันหรอื ไม่ อย่างไร สมมุติฐำนกำรวิจัย 1. กิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาลอยู่ในระดบั ปานกลาง 2. กิจกรรมทางกายของนิสติ พยาบาลระหวา่ งชั้นปีท่ี 1 และชนั้ ปที ี่ 4 แตกตา่ งกนั ขอบเขตของกำรวิจัย 1. ดา้ นแหลง่ ขอ้ มูล ประกอบดว้ ยขอบเขตดา้ นประชากร กลุ่มตวั อย่าง ดังนี้ 1.1 ขอบเขตดา้ นประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นิสิตพยาบาลที่กาลังศึกษาในช้ันปีท่ี 1 และชั้น ปีท่ี 4 หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2562 จานวน 256 คน

4 1.2 ขอบเขตด้านกล่มุ ตัวอยา่ ง กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยคร้ังนี้ เป็นนิสิตพยาบาล ท่ีกาลังศึกษาในชั้นปีที่ 1 และชั้น ปีที่ 4 หลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิต คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2562 ที่ได้จากการคานวณขนาดกลุ่มตัวอย่างจากประชากรตามวิธีของทาโร่ ยามาเน่ (Yamane,1973. อ้างอิง ใน บญุ ใจ ศรสี ถิตยน์ รากร, 2553) กาหนดความคลาดเคล่ือนของการสมุ่ ตวั อย่าง 0.05 จากสูตร n = N 1+Ne2 เมอ่ื n = จานวนกลมุ่ ตวั อย่าง e = ความคลาดเคล่อื นของการสมุ่ ตวั อย่าง 0.05 N = ขนาดของประชากร (256) ได้ขนาดกลุ่มตัวอยา่ งท้งั หมด n = 256 1+256(0.05)2 = 156.09 ดังน้ัน ในการศึกษาครั้งน้ีจะได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างของนิสิตพยาบาล มหาวิทยาลัยนเรศวร จานวน 156 คน และเพ่ือป้องกันการสูญหายของกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยจึงได้ทาการคานวณกลุ่มตัวอย่าง เพิ่มขึ้น ร้อยละ 10 (พรรณี ปิติสุทธิธรรม และชยันต์ พิเชียรสุนทร, 2554) ได้กลุ่มตัวอย่างเพ่ิมขึ้นมา 15 คน ดังนนั้ ไดข้ นาดกลมุ่ ตวั อย่างทง้ั สนิ้ 171 คน 1.3 ขอบเขตช่วงเวลาการวิจยั ระยะเวลาในการศึกษาวจิ ัย กันยายน – ตลุ าคม 2562 2. ขอบเขตตวั แปรที่ใช้ในการศกึ ษา การมกี ิจกรรมทางกาย ประกอบดว้ ย 3 ด้าน ดงั น้ี 1. กิจกรรมด้านการออกกาลังกาย คือ การท่ีร่างกายมีการเคลื่อนไหวมากกว่าการ เคลื่อนไหวตามปกติในชีวิตประจาวัน และระบบกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายได้มีการยืดหดและคลาย กลา้ มเนอื้ ทาให้เกดิ การพัฒนาสมรรถภาพทางร่างกาย เชน่ การวง่ิ ออกกาลังกาย กระโดดเชอื ก แบดมนิ ตัน เทควันโด แกวง่ แขน เป็นต้น (ชาญชลกั ษณ์ เย่ยี มมิตร, 2554) 2. กิจกรรมด้านการทางานบา้ น คือ กิจกรรมตา่ งๆท่เี ก่ียวกับการดารงชีวิตประจาวันในการ สร้างความสุขภายในบ้าน หรือหอพักซ่ึงต้องปฏิบัติเป็นประจา รวมไปถึงการดูแลสิ่งของและสิ่งแวดล้อม บริเวณบา้ นหรือบรเิ วณหอพัก เช่น กวาดหอพัก/บ้าน รีดผ้า ล้างจาน รดน้าต้นไม้ ประกอบอาหาร ล้างรถ เปน็ ตน้ (นิภาวรรณ วดศี ิรศักดิ์, 2559)

5 3. กิจกรรมด้านนันทนาการ คือ กิจกรรมท่ีทาเพื่อความบันเทิงหรือผ่อนคลาย ด้วยความ สมคั รใจความสบายใจ มอี ิสระและสนกุ สนาน เช่น เล่มเกมโทรศัพท์/คอมพิวเตอร์ ฟังเพลง ให้อาหารปลา เขา้ วัดทาบุญ น่งั สมาธิ เป็นต้น (อาภากร แสงหิรัญวัฒนา, 2559) นยิ ำมศัพท์เฉพำะ กจิ กรรมทางกาย หมายถงึ กิจกรรมการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายในทุกรูปแบบที่เกดิ จากการหดตวั ของกล้ามเน้ือมัดใหญแ่ ละกลา้ มเน้ือมัดเล็ก ทาให้ร่างกายมกี ารใช้พลังงานเพิ่มข้ึนจากขณะ พัก (อาภากร แสงหริ ัญวัฒนา, 2559) ประกอบด้วย 3 ดา้ น ดังน้ี 1. กิจกรรมดา้ นการออกกาลังกาย คอื การที่ร่างกายมีการเคล่ือนไหวมากกวา่ การเคลอื่ นไหว ตามปกติในชวี ติ ประจาวัน และระบบกล้ามเน้ือทุกส่วนของรา่ งกายได้มีการยืดหดและคลายกลา้ มเนื้อ ทาให้เกดิ การพฒั นาสมรรถภาพทางกาย 2. กิจกรรมด้านการทางานบ้าน คือ กจิ กรรมตา่ งๆ ท่เี กี่ยวกับการดารงชีวิตประจาวันในการ สร้างความสขุ ภายในบา้ นหรือหอพักซึง่ ต้องปฏิบัตเิ ป็นประจา รวมไปถึงการดูแลสงิ่ ของและสิ่งแวดล้อม บรเิ วณบา้ นหรอื บรเิ วณหอพัก 3. กิจกรรมดา้ นนนั ทนาการ คือ กจิ กรรมทที่ าเพ่ือความบนั เทิงหรือผอ่ นคลาย ด้วยความ สมัครใจ ความสบายใจ มีอสิ ระและสนุกสนาน สามารถวัดได้โดย แบบประเมินกจิ กรรมทางกายสาหรับ นสิ ติ จานวน 43 ขอ้ สรา้ งโดยการทบทวนวรรณกรรมทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั งานวจิ ัยทผ่ี ่านมา นิสิตพยาบาล หมายถึง ผู้ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ช้ันปีท่ี 1 และ ชน้ั ปที ่ี 4 ปกี ารศึกษา 2562 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ประโยชนท์ ่คี ำดว่ำจะได้รบั 1. ทาใหท้ ราบข้อมลู พน้ื ฐานเก่ียวกบั การมีกจิ กรรมทางกายและทราบระดบั การมีกิจกรรม ทางกายของนสิ ติ พยาบาลชัน้ ปีที่ 1 และชนั้ ปที ี่ 4 มหาวิทยาลยั นเรศวร 2. เปน็ แนวทางในการจัดกจิ กรรมทางกายสาหรับนิสิตพยาบาลเพ่ือให้มีพฤติกรรมทางกาย ท่เี หมาะสม กรอบแนวคิดงำนวจิ ัย ตวั แปรต้น กิจกรรมทางกาย มี 3 ดา้ น ดังนี้ 1. กิจกรรมด้านการออกกาลงั กาย 2. กิจกรรมด้านการทางานบ้าน 3. กิจกรรมดา้ นนนั ทนาการ

6 การมีกิจกรรมทางกายตามความหมาย ของ WHO หมายถึง กิจกรรมที่ครอบคลุมการประกอบ กิจกรรมในชีวิตประจาวันและในสายอาชีพ อีกท้ังการทากิจกรรมในยามว่าง ซึ่งรวมถึงการออกกาลังกาย การทากิจกรรมนันทนาการ และจากการศึกษากิจกรรทางกายของอาภากร แสงหิรัญวัฒนา และการ ทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้องท่ีผ่านมา พบว่าการมีกิจกรรมทางกาย สามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้ 1. กจิ กรรมดา้ นการออกกาลังกาย คือ การทีร่ า่ งกายมีการเคลื่อนไหวมากกวา่ การเคลอื่ นไหว ตามปกติในชวี ิตประจาวนั และระบบกล้ามเนื้อทุกสว่ นของร่างกายได้มกี ารยืดหดและคลายกล้ามเน้ือ ทาให้เกดิ การพฒั นาสมรรถภาพทางร่างกาย 2. กจิ กรรมด้านการทางานบ้าน คือ กจิ กรรมตา่ งๆท่ีเกีย่ วกบั การดารงชวี ิตประจาวันในการ สร้างความสุขภายในบ้านหรือหอพักซงึ่ ต้องปฏบิ ตั ิเป็นประจา รวมไปถงึ การดแู ลสิ่งของและส่ิงแวดล้อม บรเิ วณบ้านหรือบริเวณหอพักดว้ ย 3. กิจกรรมดา้ นนนั ทนาการ คอื กิจกรรมท่ีทาเพื่อความบันเทงิ หรอื ผ่อนคลาย ดว้ ยความ สมัครใจ ความสบายใจ มีอิสระและสนุกสนาน ศึกษาการเรียนการสอนหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ.2559) พบว่า นิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 1 มีหน่วยกิตภาคการศึกษาต้น 22 หน่วยกิต ภาคการศึกษาปลาย 22 หน่วยกิต รวมท้ังหมด 44 หน่วยกิต และนิสิตพยาบาลช้ันปีที่ 4 มีหน่วยกิต ภาคการศึกษาต้น 13 หน่วยกิต ภาคการศึกษาปลาย 10 หน่วยกิต รวมทั้งหมด 23 หน่วยกิต ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างค่อนข้างมาก (คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร, 2559) นอกจากนัน้ นสิ ติ ชั้นปีที่ 1 ยงั มกี ิจกรรมทตี่ ้องเข้ารว่ ม ทั้งของทางคณะและมหาวิทยาลัย เช่น โครงการปฐมนิเทศนิสิตใหม่ (Beginning camp), กิจกรรม วันไหว้ครูมหาวิทยาลัยนเรศวรและบายศรีสู่ขวัญนิสิตใหม่, โครงการเปิดห้องเชียร์คณะพยาบาลศาสตร์ Power cheer ร้องเพลงมหาวิทยาลัย ภาคภูมิใจมหาวิทยาลัยนเรศวร, เปิดโลกกิจกรรมมหาวิทยาลัย นเรศวร, โครงการ NU Freshmen night เป็นตน้ (องค์การนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร, 2562) และในสว่ น ของนิสิตชั้นปีที่ 4 มีเพียงกิจกรรมของทางคณะเท่านั้นที่ต้องเข้าร่วม เช่น กิจกรรมวันไหว้ครู คณะพยาบาลศาสตร์ เปน็ ต้น

บทท่ี 2 เอกสำรและงำนวิจยั ที่เกย่ี วขอ้ ง ในการศึกษาวิจัยครั้งน้ีผู้วิจัยและคณะได้ศึกษาค้นคว้าเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ี เกย่ี วข้องกบั การมีกิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ดงั น้ี 1. กิจกรรมทางกาย 1.1 ความหมายกิจกรรมทางกาย 1.2 ระดบั กิจกรรมทางกาย 1.3 การประเมินกจิ กรรมทางกาย 2. หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑติ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร 3. งานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้อง 1. กิจกรรมทำงกำย 1.1 ควำมหมำยกจิ กรรมทำงกำย กิจกรรมทางกาย หมายถึง การเคลื่อนไหวของร่างกายโดยกล้ามเน้ือและกระดูกท่ีทาให้เกิด การใช้พลังงาน (Physical activity is defined as any bodily movement produced by skeletal muscles that requires energy expenditure) ตัวอย่างกิจกรรมเช่น การเดิน ข่ีจักรยาน การเต้น การทาสวน ซ่ึงในแต่ละช่วงอายุมีความต้องการระดับของกิจกรรมทางกายท่ีแตกต่างกันออกไป (อานวย ตันพานชิ ย์, 2553) กิจกรรมทางกาย หมายถึง การเคล่ือนไหวร่างกายในอิริยาบถต่างๆ ในชีวิตประจาวัน ส่งผล ให้เกิดการใช้และเผาผลาญพลังงานโดยกล้ามเน้ือ ไม่ว่าจะเป็นการทางาน การเดินทาง กิจกรรม นันทนาการการออกกาลังกาย การทอ่ งเทย่ี ว (กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสขุ , 2561) กิจกรรมทางกาย หมายถงึ การเคลื่อนไหวทุกอย่างท่ีเกิดข้ึน โดยใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ซ่ึงแบ่ง ได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเบา ระดับปานกลาง และระดับหนัก (สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสรมิ สุขภาพ, 2559) องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า กิจกรรมทางกาย (Physical Activity) หมายถึง รา่ งกายมีการเคลื่อนไหวในส่วนต่างๆในการทากิจกรรม ท่ีเกิดจากกล้ามเนื้อมีการทางานเพ่ิมขึ้นจากขณะ พักหรือภาวะปกติ การเคลื่อนไหวร่างกายสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ (วิลาสินี อดุลยานนท์, 2553) 1. การทางานประกอบอาชีพ (Occupational Activity) เช่น ถีบสามล้อ หาบขนมขาย เกย่ี วข้าว ขนของขน้ึ ลง ฯลฯ

8 2. การทางานบ้าน/งานสวน/งานสนามในบริเวณบ้าน (Household Activity) เช่น เช็ด กระจก ทางานบ้าน ทาครัว ล้างถ้วยชาม ล้างขัดพื้น ถูบ้าน เก็บเก่ียวดอกไม้/ผลไม้/ผัก ขุดดนิ ตัดแต่งก่ิง ดายหญา้ ฯลฯ 3. การเดนิ ทางจากที่หน่ึงไปยงั ทห่ี นึ่ง (Transportation) เช่น เดินไปทางาน เดินข้นึ บนั ได ปั่นจกั รยานไปทางาน เดินไปทาธุระ ฯลฯ 4. การทากิจกรรมในเวลาว่างหรืองานอดิเรก (Leisure Time Activity) เช่น กิจกรรม นันทนาการ (Recreation Activity) การเล่นกีฬา (Competitive Sport) การออกกาลังกายเพื่อฝึกฝน ร่างกาย (Exercise / Exercise Training) กิจกรรมทางกาย (physical activity) คือ การให้ร่างกายได้มีการเคล่ือนไหว และเผาผลาญ พลังงาน เชน่ การปนี เขา การเล่นกีฬา รวมถึง การเดิน (American Heart Association, 2013 อ้างถึงใน กรอนงค์ ยืนยงชัยวฒั น์, 2559 หน้า 203) กฎบัตรโตรอนโต (Toronto Charter, 2009 อ้างถึงใน อัจฉรา ปุราคม และคณะ) กิจกรรม ทางกาย หมายถึง การเพิ่มกิจกรรมและลดพฤติกรรมการน่ังอยู่กับที่ (Sedentary behavior) โดยมุ่งเน้น การปฏบิ ตั ิ 4 ดา้ น อันมีพืน้ ฐานมาจากแนวทางหลัก 9 ประการ ดงั น้ี 1. นาแนวทางเร่ืองความเป็นธรรม มาผสมผสานเพ่ือลดความไม่เท่าเทียมทางสังคมและ สขุ ภาพ รวมทง้ั การขาดโอกาสในการเขา้ ถึงการมีกิจกรรมทางกาย 2. ให้ความสาคัญกับปัจจัยทางสภาพแวดล้อม สังคม และปัจเจกบุคคล ซ่ึงมีผลต่อการมี กิจกรรมทางกายไม่เพยี งพอ 3. ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมืออย่างยั่งยืนในการปฏิบัติในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับประเทศ ระดับภมู ภิ าคและระดับท้องถ่นิ ซึ่งครอบคลมุ ทุกภาคส่วนเพ่อื ผลสาเร็จท่ยี ่ิงใหญ่ 4. เสริมสร้างศักยภาพและสนับสนุนการฝึกอบรม การทาวิจัย การนาแผนสู่การปฏิบัติ นโยบายการประเมนิ ผลและการเฝา้ ระวัง 5. ใช้แนวทางการส่งเสริมตลอดช่วงชวี ิต เพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั ความต้องการและพฒั นาการ ของเด็ก ครอบครวั ผูใ้ หญ่ และผ้สู งู วยั 6. ขับเคล่ือนและผลกั ดัน เพ่ือใหผ้ ู้มีอานาจในการตัดสินใจและชุมชนเพม่ิ พันธะสัญญาทาง การเมืองและการจดั สรรทรัพยากร เพอ่ื ส่งเสรมิ กจิ กรรมทางกาย 7. การคานึงถึงความอ่อนไหวทางวัฒนธรรม และได้รับการปรับใช้สอดคล้องกับสภาพ ความเปน็ จรงิ ทหี่ ลากหลายบรบิ ทและทรัพยากรของชมุ ชน 8. ส่งเสริมทางเลือกสุขภาพส่วนบุคคล ทาให้ทางเลือกของกิจกรรมทางกายเป็นทางเลือก ที่ปฏบิ ตั ิไดง้ า่ ย

9 9. พฒั นาความร่วมมือเพือ่ การลงมอื ปฏิบัตริ ว่ มกนั (The Toronto Charter for Physical Activity: A Global Call to Action, 2010) สรปุ กจิ กรรมทางกาย หมายถึง การเคลื่อนไหวที่เกดิ ขึน้ ของร่างกาย ทาให้เกิดการใช้พลังงาน และการเผาผลาญพลังงานของกล้ามเน้ือ เช่น การเดิน การทาสวน การออกกาลังกาย การเล่นกีฬา เปน็ ตน้ 1.2 ระดบั กจิ กรรมทำงกำย ระดับกิจกรรมทางกาย (Physical activity level) ในการจัดกิจกรรมทางกายในแตละกลุ มวัย สามารถแบ่งระดบั กจิ กรรมทางกายออกเปน 4 ระดบั ดังนี้ 1. พฤติกรรมการอยูน่ิงเฉย (Sedentary behavior) เปนกิจกรรมไมสงผลใหเกิดการใช้ พลังงานในระดับท่ีเพียงพอ เชน การน่ังเฉยๆ การน่ังทางาน การดูโทรทศั น แตอยางไรก็ตาม ซึ่งไม่รวมถึง เวลาท่ีใชในการนอนหลบั ใน 2. กิจกรรมทางกายระดับเบา (Low physical activity) เปนกจิ กรรมที่ทาใหเกิดการใช้ พลังงานในระดับต่า ซึ่งมีการทากิจกรรมเคลื่อนไหวนอยกวา 3 วันตอสัปดาห และมีการเผาผลาญ พลงั งานนอยกวา 1500 MET เชน กจิ กรรมงานบาน กิจกรรมการเดินทางโดยรถยนต์ 3. กิจกรรมทางกายระดับปานกลาง (Moderate physical activity) เปนกิจกรรม ทางกายที่อยูในระดับท่ีเพียงพอ องคการอนามัยโลกในป ค.ศ. 2012 กาหนดเกณฑของกิจกรรมระดับ ปานกลาง ไวดงั น้ี 3.1 กิจกรรมระดับหนัก ทปี่ ฏิบตั ติ ิดตอกันอยางนอย 3 วัน และอยางนอย 20 นาทตี อวนั 3.2 กิจกรรมระดบั ปานกลาง ทีป่ ฏิบัตติ ิดตอกนั อยางนอย 5 วัน หรอื การเดิน ตดิ ตอกันอย่างน้อย 30 นาที 3.3 กิจกรรมระดับหนักสลับปานกลาง ที่ปฏิบัติติดตอกันอยางนอย 5 วัน จน ทาใหเกิดการใช้พลังงานอย างนอย 600 MET- minutes/week กิจกรรมทางกายระดับปานกลาง เปนกิจกรรมท่ีมีการเคล่ือนไหวติดตอกันอยางนอย 10 นาที และสงผลใหหายใจเร็วขึ้นพอสมควร แตไม ถึงกับมีอาการหอบเหน่ือย ยังสามารถพูดคุยได หรืออัตราการเตนหัวใจอยูท่ีระดับรอยละ 65-69 ของ อัตราการเตนของหัวใจสูงสุด เชน การว่ิงเหยาะติดตอกันอยางนอย 20 นาที, การทางานบานติดตอกัน อยางนอย 20 นาที ชนิดของกิจกรรมท่ีปฏิบัติในระดับนี้ สามารถคานวณการเผาผลาญพลังงาน (MET) ไดดังนี้

10 - กจิ กรรมทางาน เทากบั 4 MET - กิจกรรมการเดินและขีจ่ ักรยาน เทากบั 4 MET - กจิ กรรมการนันทนาการ เทากับ 4 MET 4. กิจกรรมทางกายระดับหนัก (Vigorous physical activity) เปนกิจกรรมทางกาย ระดบั สงู สุด ซ่ึงมดี ังน้ี 4.1 กิจกรรมระดับหนกั อยางนอย 3 วัน และเกดิ การเผาผลาญพลังงานอยางนอย 1500 MET- minutes/week 4.2 กจิ กรรมระดับหนกั สลบั ปานกลาง ท่ีปฏบิ ัตติ ดิ ตอกันอยางนอย 7 วนั จนทาให เกิดการเผาผลาญพลังงานอยางนอย 3000 MET- minutes/ week กิจกรรมทางกายระดับหนักเปน กิจกรรมท่ีมีการเคลื่อนไหวติดตอกันอยางนอย 10 นาที และสงผลใหอัตราการเตนของหัวใจเตนเร็วข้ึน จนรูสึกเหน่ือยหอบ หรือมีอัตราการเตนของหัวใจอยูท่ีระดับ 70-85 ของอัตราการเตน ของหัวใจสูงสุด เชน การเดิน-วิ่ง การข่ีจักรยาน อยางนอย 3 วันตอสัปดาห กิจกรรมท่ีปฏิบัติ ในระดับนี้สามารถคานวณ การเผาผลาญพลังงาน (MET) ไดดงั น้ี - กิจกรรมทางาน เทากบั 8 MET - กิจกรรมการเดนิ และข่ีจักรยาน เทากบั 8 MET - กิจกรรมการนันทนาการ เทากบั 8 MET การท่ีบุคคลโดยท่ัวไปจะมีสุขภาพท่ีดีน้ันจาเปนจะตองมีระดับกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ (Sufficient physical activity) หมายถึง การมีกิจกรรมทางกายในระดับปานกลาง ถึงระดับสูง (Moderate-Vigorous Physical Activity: MVPA) อยางนอยสัปดาหละ 5 คร้ัง คร้ังละ 30 นาที หรือ มีกิจกรรมระดับหนักอยางน้อยสัปดาหละ 3 คร้ังๆ ละ 20 นาที อยางไรก็ตาม หลักฐานจากการวิจัยใน หลายประเทศยังพบวา ประชากรของโลกจานวนสวนใหญ่ยังทากิจกรรมทางกายยังไมถึงระดับที่เพียงพอ สาหรับประเทศไทย ส่วนผลจากการสารวจกิจกรรมทางกายระดับชาติ พบว าประชากรรอยละ 66.3 มีกิจกรรมทางกายเพียงพอและร อยละ 33.7 มีกิจกรรมทางกายไม ถึงระดับที่เพียงพอ โดยกอง ออกกาลงั กายเพอื่ สุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขแนะนาการมีกจิ กรรมทางกายท่ีเพียงพอไวดังนี้ เดินวันละ 10000 ก้าว, ข้ึนลงบันได 5 ชั้น 5 เท่ียว, คราดหญา โกยหญา 30 นาที, ข่ีจักรยานประมาณ 8 กิโลเมตร 30 นาที, ชูตลูกบาสเกตบอล 30 นาที, เดินประมาณ 2.8 กิโลเมตร 35 นาที, หมุนลอรถเข็นขณะน่ังใน รถเข็น 30-40 นาที, หมุนล้อรถเข็นขณะน่ังในรถเข็น 30-40 นาที, ทาสวน ขุดดิน 30-45 นาที, เล่น วอลเลย์บอล 45 นาที, เช็ดถูบ้านหน้าต่าง 45-60 นาที, ล้างและเช็ดขัดรถยนต์ 45-60 นาที, ข้ึนลงบันได 15 นาท,ี วง่ิ ประมาณ 2.4 กโิ ลเมตร 15 นาท,ี กระโดดเชอื ก 15 นาท,ี ปั่นจักรยานประมาณ 6.4 กิโลเมตร

11 15 นาที, เล่นบาสเกตบอล 15-20 นาที, เล่นบาสเกตบอลล้อเข็น (ผู้พิการ) 20 นาที, ว่ายน้า 20 นาที, ออกกาลังกายแบบแอโรบิกในน้า 30 นาที, เดินประมาณ 3.2 กิโลเมตร 30 นาที (อานวย ตันพานิชย์, 2553) ระดับกิจกรรมทางกาย สามารถแบงออกเปน 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเบา ระดับปานกลาง ระดับหนัก ดังรายละเอยี ดน้ี (สานักงานกองทุนสนับสนนุ การสรา้ งเสรมิ สุขภาพ, 2559) 1. ระดับเบา หมายถึง การเคลื่อนไหวท่ีเกิดขนึ้ ในชีวิตประจาวัน เปน็ ระดับการเคล่ือนไหว น้อยมาก เช่น การยืน การนั่ง การเดนิ ระยะทางส้ันๆ 2. ระดับปานกลาง หมายถึง การเคล่ือนไหวที่ออกแรงโดย ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ มีความ หนักและเหน่ือยในระดับเดียวกันกับการเดินเร็ว ข่ีจักรยาน การทางานบ้าน มีชีพจรอยู่ท่ี 120-150 คร้ัง และมเี หงอื่ ออก ซึง่ ระหว่างเคล่อื นไหวยงั สามารถพดู เปน็ ประโยคได้ 3. ระดับหนัก หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายท่ีมี การกระทาซ้าๆและต่อเน่ือง โดยใช้ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น การวิ่ง การเดินขึ้นบันได การออกกาลัง มีระดับชีพจรอยู่ที่ 150 คร้ังขึ้นไป จนทา ให้หอบเหนอ่ื ย และพูดเปน็ ประโยคไม่ได้ สาหรับความเหมาะสมในวัยและช่วงเวลาในการออกกาลังกาย มีการกาหนดไว้ว่า เด็ก อายุ 6-17 ปี ควรมีกิจกรรมทางกาย วันละ 60 นาที หรือ 420 นาที ต่อสัปดาห์ ผู้ใหญ่ อายุ 18 - 64 ปี ควรมี กจิ กรรมทางกาย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ กิจกรรมระดับเหนอ่ื ยมาก 75 นาที และผสู้ ูงอายุ อายเุ กนิ กว่า 64 ปี ควรมกี จิ กรรมทางกาย 150 นาทีต่อสปั ดาห์ควบคูก่ ับการฝึกการทรงตัว ระดับกิจกรรมทางกาย สามารถแบงออกเปน 4 ระดับ ตามกิจกรรมการเคล่ือนไหวและ กจิ กรรมการออกกาลงั กายได้ดงั นี้ (รชั ดาวรรณ ลิมาชาน, 2549 หนา้ 12-13) ระดับที่ 1 กิจกรรมการเคล่ือนไหวออกแรงในวิถีชีวิต แสดงถึงสิ่งที่ต้องกระทา อยู่ (Lifestyle Physical Activity) ทุกวัน ช่วยสง่ เสริมการมีสขุ ภาพดมี ีสมรรถภาพและความสุขสบายได้ เช่น เดินข้ึนบันได เดินในท่ีทางาน เดินในตลาด เดินหลังอาหารเท่ียง/เย็น ทางานบ้านหรืองานอาชีพท่ีใช้แรง เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างรถยนต์ ตัดหญ้า ทางานอดิเรกท่ีต้องใช้แรง เช่น การพรวนดิน รดน้าต้นไม้ พาสุนัขไปเดินเล่น การเล่นกับลูก กิจกรรมเหล่านี้ถ้าทาด้วยความแรงปานกลางขึ้นไป สะสมให้ได้อย่าง น้อย 30 นาที หรือเท่ากับการเดินเร็ว 3.2 กิโลเมตรในคร่ึงชั่วโมง จะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ที่สาคัญ กิจกรรมในวิถีชีวิตหลายอย่าง หากทาอย่างกระฉับกระเฉงต่อเน่ืองและนานพอก็จะเป็นกิจกรรมการ ออกกาลงั กายแบบแอโรบกิ ได้ ระดับท่ี 2 กิจกรรมการออกกาลังกายท่ีเป็นแบบแผน ซึ่งค่อนข้างหนักกว่ากิจกรรมการ เคล่ือนไหวออกแรงในวิถีชีวิต ได้แก่ การออกกาลังกายแบบแอโรบิกหรือเล่นกีฬา และนันทนาการ บางอย่างต้องการอุปกรณ์และใช้เวลาพอสมควร กิจกรรมเหล่าน้ีจะทาให้หัวใจเต้นเร็วข้ึน จะช่วยส่งเสริม สมรรถภาพของหัวใจและปอดช่วยในความสามารถในการปฏิบัติการ (Performance) และช่วยควบคุม ไขมันในร่างกาย โดยต้องทากิจกรรมเหล่านี้ 3-5 วันต่อสัปดาห์ อย่างน้อยครั้งละ 20 นาที ด้วยความแรง ปานกลางถึงหนัก

12 ระดับท่ี 3 กิจกรรมการออกกาลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงทนทานและอ่อนตัว เช่น การยกน้าหนักการบริหารร่างกายโดยใช้น้าหนักตนเอง การยืดเหยียดกล้ามเน้ือ โดยทากิจกรรม เหล่าน้ี สัปดาห์ละ 2-3 วัน กิจกรรมในวิถีชีวิตไม่ค่อยส่งเสรมิ ความออ่ นตวั ดังน้ัน การยืดเหยยี ดกล้ามเน้ือ มัดใหญ่จนถึงจุดท่ีเร่ิมตึง (mild discomfort) แต่ไม่เจ็บ อาจทาได้สัปดาห์ละ 3-7 วัน สาหรับการฝึก กล้ามเนื้อหรือความแข็งแรงโดยยกน้าหนักนั้น เป็นการฝึกกล้ามเน้ือมัดใหญ่ประมาณสัปดาห์ละ 2-3 วัน โดยการสลับด้วยการพัก 1 วัน จะช่วยทาให้กล้ามเนื้อตึงตัวและแข็งแรง กิจกรรมต่างๆ เหล่าน้ี ไมจ่ าเป็นตอ้ งใช้เคร่ืองมอื พเิ ศษ แต่จาเป็นต้องเรยี นรเู้ ทคนิคทีถ่ กู ต้อง ระดบั ท่ี 4 การทากจิ กรรมประเภทท่ีไม่คอ่ ยมีการเคลอื่ นไหวออกแรง หรือออกกาลงั กาย หรือมีชวี ติ แบบสบายไม่ตอ้ งออกแรงนัน้ เช่น การน่ังดูโทรทัศน์ การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ยกเวน้ การ พักผอ่ นนอนหลับ 1.3 กำรประเมนิ กจิ กรรมทำงกำย การประเมินกิจกรรมทางกายมมีหลายชนิด และพัฒนาเพื่อวัตถุประสงค์ท่ีแตกต่างกัน ออกไป แบบประเมินท่ีสาคัญและเป็นที่นิยมใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม International Physical Activity Questionnaire (IPAQ) แ ล ะ แ บ บ ส อ บ ถ า ม Global Physical Activity Questionnaire (GPAQ) ซ่ึงพัฒนาและปรับปรุงโดยองคก์ ารอนามยั โลก ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นการใชแ้ บบสอบถามอย่างงา่ ย เพื่อประเมิน ระดับและรูปแบบการออกกลังกายเท่านั้น ส่วนการวัดระดับกิจกรรมทางกายโดยวิธี Doubly-labelled water technique เป็นวิธีวัดมาตรฐานสาหรับการประเมินระดับการใช้พลังงานระดับบุคคล (total energy expenditure at the individual level) เชน่ การวัดอตั ราการเตน้ ของหวั ใจ เคร่ืองตรวจวดั การ เคลอ่ื นไหวของรา่ งกาย (movement sensors) ปัจจบุ นั ได้มีการพัฒนาเครอ่ื งมือวดั ระดบั กจิ กรรม ทาง กาย ระหว่างการวัดอัตราการเต้นของหัวใจเข้ากับการวัดการเคล่ือนไหวของร่างกาย ซึ่งพบว่าให้ผล การศึกษาท่ีถูกต้องและแม่นยามากกว่าการใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงอย่างเดียว (ขอนแก่นเวชสาร, 2557) การ ประ เมิ นกิจ กรร มท างก าย ( Measurement of Physical Activity) (อา รีย า จริ ธนานุวัฒน์, 2559) ไดก้ ลา่ วถึงการวดั ปริมาณการมกี จิ กรรมทางกายไว้ดงั ต่อไปนี้ การมีกจิ กรรมทางกาย ทาให้มีการเพ่ิมการใช้พลังงานมากกว่าในระดับพักและอัตราการใช้พลังงานจะเชื่อมโยงกับความห นัก (intensity) ของการมีกิจกรรมพลังงานที่ใช้ระหว่างการมีกิจกรรมทางกายนั้นเป็นองค์ประกอบ 1 ใน 3 ของพลังงานท่ีใช้ทั้งวัน มักคานวณพลังงานที่ใช้ออกมาเป็นตัวเลขได้ค่าเป็นหน่วยกิโลแคลอรี (kilocalories) หรือหน่วยเป็น MET (metabolic equivalent task) และวิธีการอย่างง่าย คือ ดูว่าใช้ เวลาเท่าไหร่ในการมีกิจกรรมทางกายในแต่ละประเภท ในแต่ละวันหรือในแต่ละสัปดาห์ การวัดเป็น กโิ ลแคลอรี การใช้ออกซเิ จน 1 ลติ รเท่ากับการใช้พลังงานคนนา้ หนกั 70 กิโลกรมั เดิน 30 นาทที ี่ 4 ไมล์ต่อช่ัวโมง (mph) การใช้ออกซิเจนคิดเป็น 1 ลิตรต่อนาทีการเดิน 30 นาที เท่ากับใช้ออกซิเจน 30 ลติ ร

13 เพราะฉะนั้นการใช้พลังงานท้ังหมด (รวมขณะพัก) = 30 L x 5 kcal/L= 150 kcal การ ใช้พลังงานที่เกิดจากการมีกิจกรรมทางกาย = 90 L x ( 5-1.25 kcal/L (พลังงานท่ีใช้ขณะพัก) = 112.5 kcal ดังนั้น การใช้พลังงานบางคร้ังอาจใช้การเปรียบเทียบดัชนีมวลกายเป็นกิโลแคลอรีต่อกิโลกรัมต่อ นาที (kcal/kg/min) การวดั เป็น MET ซ่งึ เป็นหนว่ ยของความหนกั ของการมีกิจกรรม MET หมายถึง อตั ราส่วน ของพลังงานท่ีร่างกายใช้ในการออกแรงกายต่อพลังงานที่ใช้ขณะพักโดย 1 MET 1 kcal/kg/hr เป็น พลังงานท่ีเทียบเท่ากบั พลังงานท่ีร่างกายใชข้ ณะนั่งอยู่เฉยๆ โดยร่างกายจะใช้พลังงาน 1 kcal ต่อน้าหนัก 1 kg ต่อชั่วโมง แต่ข้ึนอยู่กับปัจจัยด้านเพศอายุและขนาดร่างกาย ที่มีผลต่อพลังงานท่ีใช้ขณะพักการใช้ ออกซิเจนข้ึนอยู่กับความหนักของกิจกรรมทางกายตัวอย่าง กิจกรรมการเดินทางไปกลับท่ีทางานช่วงละ 30 นาที ความหนัก 3 AMETS คานวณได้ 3 METs (ความหนัก) x 30 นาที (ระยะเวลา) x 2 ช่วงต่อวัน (ความถ่)ี = 180 MET/นาท/ี วันหรอื 3 MET/ช่ัวโมง/วนั ความเช่ือมโยงระหวา่ งความหนักเบาของกจิ กรรม ทางกายกับ MET การออกแรงกายอย่างปานกลางจะใช้พลังงานเป็น 4 เท่าของการนั่งเฉยๆ และการออก แรงกายอยา่ งหนกั จะใช้พลังงานเปน็ 8 เท่า ดังนี้ - กจิ กรรมการทางานออกแรงปานกลาง คา่ MET เทากับ 4 - กจิ กรรมการทางานออกแรงอย่างหนกั คา่ MET เทากบั 8 - กจิ กรรมการเดนิ และขีจ่ ักรยานปานกลาง ค่า MET เทากับ 4 - กจิ กรรมการเดินและข่ีจกั รยานอยา่ งหนกั คา่ MET เทากบั 8 - กจิ กรรมการนนั ทนาการปานกลาง ค่า MET เทากบั 4 - กิจกรรมการนนั ทนาการอยา่ งหนกั คา่ MET เทา่ กับ 8 การนับจานวนกา้ วทีเ่ ดิน เปน็ วิธใี นการวดั ปริมาณการมกี จิ กรรมทางกายอกี วิธีหนึง่ โดยใช้ การนาอุปกรณ์มาติดท่ีร่างกายเพื่อดูการเคลื่อนไหวและบันทึกจานวนก้าวท่ีเดินท่ีเป็นท่ีนิยมคือ การใช้ Pedometer เน่ืองจากมีขนาดเล็กและประหยัดสามารถบันทึกข้อมูลได้ถูกต้องใกล้เคียงกับกิจกรรม และถูกนามาใช้เพ่ือตั้งเ ป้าหมายในการเดินและการเคล่ื อนไหวโดยมีกา รแปลผลจานวนก้าวท่ีเดิ น ดงั ตารางที่ 1 ดงั น้ี ตารางท่ี 1 ความหมายของจานวนก้าวท่ีเดินต่อระดับกิจกรรมทางกายรายวัน (อารียา จิรธนานุวัฒน์, 2559) จำนวนก้ำวที่เดินตอ่ วนั ระดบั กจิ กรรม < 5,000 เฉื่อยชามาก (Sedentary) 5,000 - 7,499 เฉอ่ื ยชา (low active) 7,500 - 9,999 เรม่ิ กระฉับกระเฉง (somewhat active)

14 10,000 - 12,500 กระฉับกระเฉง (active) > 12,500 กระฉบั กระเฉงมาก (highly active) นอกจากนี้ได้แบ่งวิธีการประเมินกิจกรรมทางกาย (Methods of Assessing Physical Activity) ออกเป็น 2 วิธี ได้แก่ วิธีการวัดแบบอัตนัย (subjective methods) และวิธีการวัดแบบปรนัย (objective methods) ดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี (อารียา จริ ธนานุวฒั น,์ 2559) 1. วิธีการวัดแบบอัตนัย (Subjective methods) วิธีการนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเป็น ผู้บันทึกกิจกรรมท่ีเกิดข้ึนกับตนเองหรือความจาที่เกี่ยวข้องกับการมีกิจกรรมแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ การประเมินโดยใชแ้ บบสอบถาม (Questionnaire) และการจดบันทึก (Diaries/logs) 1.1) การประเมินโดยใช้แบบสอบถาม เป็นการค้นหาประเภทและมิติของ พฤติกรรมการมีกิจกรรมทางกาย ท้ังจากแบบประเมินตนเองและการสัมภาษณ์ แบบสอบถามจะมี รายละเอียดแตกตา่ งกันไป มีตัง้ แต่จานวนข้อน้อยๆ จนถึงมาก แบบสอบถามแบ่งเปน็ 3 ประเภท คอื 1.1.1) แบบสอบถามกิจกรรมทางกายแบบโดยรวม (Global PA questionnaire) เป็นแบบสอบถามกิจกรรมทางกายความหนกั ระดับปานกลางถงึ หนัก 150 นาที/สัปดาห์ หรอื เพ่ือแยกระดับกิจกรรมทางกาย เชน่ ตื่นตัว/เพิกเฉย 1.1.2) แบบสอบถามกิจกรรมทางกายแบบระลึกส้ันๆ (Short recall PA questionnaire) เป็นแบบสอบถามที่ใช้ประเมินอย่างเร็ว เพ่ือดูปริมาณทั้งหมดของการมีกิจกรรม ทางกาย โดยแยกตามมิติของระดับความหนักกิจกรรม แบบสอบถามประเภทนี้ใช้ทานายสัดส่วนคน วัยผู้ใหญ่ท่ีมีกิจกรรมทางกายในการสารวจระดับประเทศ เพ่ือเฝ้าระวังใช้อธิบายทางระบาดวิทยาและใช้ เพื่อหาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมท่ีมาจากโปรแกรมของงานวิจัยชนิดของการสารวจกิจกรรม จะรวมถึง กิจกรรมความหนักระดับปานกลางถึงหนัก หรือการเลือกกิจกรรม เช่น การเดินการข้ึนบันไดและการน่ัง ปกติ แบบสอบถามประเภทนี้จะมี 7-12 ขอ้ และสามารถตอบได้เองหรือใชผ้ ู้สมั ภาษณ์คะแนนท่ีได้จะเป็น ตัวเลขลาดับตัวเลขสูง แปลว่า มีกิจกรรมอยู่ในระดับดีหรือมีปริมาณการมีกิจกรรมมาก โดยดูจากความถี่ การมีกิจกรรมเป็นสัปดาห์หรือเดือน x จานวนเวลาที่มีกิจกรรม x ความหนักของกิจกรรมความหนัก กิจกรรมวดั เปน็ MET เชน่ แบบสอบถามประเภท International PA Questionnaire (IPAQ) 1.1.3) แบบสอบถามดูประวัติการมีกิจกรรมทางกาย (Quantitative history PA questionnaire) ใช้สาหรับการสารวจรายละเอียดกิจกรรมท่ีผ่านมา อาจหมายถึงเดือนก่อน หรือปีหรือในช่วงชวี ิต ข้อคาถามจะ มี 20-60 ข้อ และมักใช้การสัมภาษณ์ สว่ นใหญใ่ ช้ในงานระบาดวิทยา เพ่ือดูว่าประเภทของกิจกรรมทางกาย หรือความหนักของกิจกรรมทางกายแบบใดที่ทาให้เกดิ การเสียชีวิต และดูโรคต่างๆ ท่ีเป็น รวมทั้งพฤติกรรมสุขภาพท่ีเก่ียวข้องมีประโยชน์ในแง่การประเมินปริมาณกิจกรรม

15 ทางกายในช่วงเวลาหนึ่งที่ผ่านมา เพื่อเชื่อมโยงกับสภาวะสุขภาพในปัจจุบัน เช่น แบบสอบถามประเภท Bone Loading History Questionnaire 1.2) การจดบันทึก (Diaries/logs) สมุดบันทึกมักจะมีรายละเอียดช่ัวโมงต่อ ช่ัวโมง หรอื กิจกรรมต่อกิจกรรม บันทึกกจิ กรรมทางกายและพฤติกรรมการนัง่ ของคนๆ หนงึ่ นักวิจัยมกั ใช้ สมุดบันทึกเป็นตัวช่วยเสริมในการควบคุมกากับ การจดบันทึกอาจอยู่ในรูปแบบสมุดหรือใช้โปรแกรมใน มือถือ ส่วนข้อจากัดของการจดบันทึกคือความตรงในการวัดกิจกรรมทางกายของแต่ละคน ตัวอย่าง งานวิจัยที่หาความสัมพันธ์ของการจดบันทึกกิจกรรมทางกาย (48-item daily PA log) กับการใช้ accelerometer-based log พบชว่ งความสัมพันธร์ ะหว่าง r = 0.22 ถึง r = 0.36 (64) 2. วธิ กี ารวดั แบบปรนัย (Objective methods) แบง่ เป็น 3 ประเภท ได้แก่ การวัดการ สญู เสียพลงั งาน การวัดทางสรรี วิทยา และการวัดการเคลอื่ น ดังรายละเอียดตอ่ ไปนี้ 2.1) การวัดการสูญเสียพลังงาน (measures of energy expenditure) ได้แก่ การวัดความร้อนทางอ้อม (indirect calorimetry) ซึ่งเป็นการวัดปริมาณการใช้ออกซิเจนและการสร้าง คาร์บอนไดออกไซด์ วิธีการนี้ใช้วัดการสูญเสียพลังงานภายใต้ห้องทดลอง วิธี the doubly labeled water method เป็นการวดั พลังงานทั้งหมดที่ใช้ในชีวิตประจาวันตลอดระยะเวลา 1-3 สัปดาห์ และการ สังเกตโดยตรง (direct observation) เป็นการสังเกตโดยการมองหรือการบนั ทึกวดิ ีโอ วิธีการนี้ใช้ประเมิน ประเภทหรือชนิดของการมกี ิจกรรมทางกายว่าเกิดขน้ึ เมอ่ื ไหร่ ท่ีไหนกับใครนิยมใชว้ ดั ในเดก็ และวยั รุ่น 2.2) การวัดทางสรีรวิทยา (Physiological Measures) ได้แก่ การดูอัตราการ เต้นหวั ใจ (heart rate monitoring) 2.3) การวดั การเคลือ่ นไหว (Motion Sensors) ได้แก่ Accelerometer สาหรับวัดอัตราเร่งและการเคล่ือนไหว สามารถดูเร่ือง ความถ่ีระยะเวลาและความหนักของกิจกรรมสามารถวัดได้ 3 ทิศทาง คือ แนวตรง ทแยง และไปทาง ด้านหน้า ด้านหลัง อุปกรณ์น้ีใช้ติดร่างกายได้ท้ังสะโพก ข้อเท้า ข้อมือ หรือหลัง สาหรับการเลือกใช้ อุปกรณน์ ้มี ีขอ้ ควรพิจารณา ไดแ้ ก่ ราคาอุปกรณค์ ่อนข้างแพง Pedormeter ใช้วัดจานวนก้าวท่ีเดินในแต่ละวัน และวัดระยะทางท่ีเดิน ใช้ติดร่างกาย เช่นกัน อุปกรณ์ดังกล่าวนี้ถือว่าได้รับความนิยมในการประเมินกิจกรรมทางกายแบบ มองเหน็ ไดแ้ ต่มีขอ้ จากดั ตรงทีไ่ ม่สามารถประเมนิ การเคลื่อนไหวอ่ืนๆ ทไ่ี มใ่ ช่การเดินได้ Activity Tracker เครื่องวัดกิจกรรมทางกายสาหรับใช้ติดตามความหนัก ของกิจกรรมทางกายซึ่งพัฒนาให้สามารถวัดกิจกรรมให้ได้มากกว่าการวิ่งและการเดิน ประมวลผลเป็น กิโลแคลอรี (Kcal) โดยอุปกรณ์สามารถติดตามระดับความหนักของการมีกิจกรรมได้ 5 ระดับ ได้แก่ sederitary, mild, moderate, tight vigorous, และ vigorous เครอ่ื งมือน้ีมีความแมน่ ยาในการคานวณ

16 ค่าการเผาผลาญพลังงานมากกว่าร้อยละ 80 และมคี วามแม่นยาในการแยกระดับกิจกรรม ตามตารางท่ี 2 ดงั นี้ ตารางที่ 2 ความแมน่ ยาของเครอ่ื ง Activity Tracker (อารียา จริ ธนานวุ ัฒน์, 2559) กจิ กรรม ควำมแม่นยำ (Accuracy)% การอา่ นหนงั สือ 100 ± 0.0 การเดนิ 99.0 ± 0.6 แอโรบกิ 90.5 ± 2.79 การวง่ิ การเลน่ กีฬา 87.0 ± 4.1 2. หลกั สตู รพยำบำลศำสตรบัณฑติ คณะพยำบำลศำสตร์ มหำวิทยำลัยนเรศวร ตามแผนการศึกษา ของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2559 ไดก้ าหนดการศึกษาภาคบงั คบั ของนสิ ิตชน้ั ปที ่ี 1 และของนสิ ติ ชัน้ ปีท่ี 4 ดงั ตอ่ ไปน้ี ชั้นปีท่ี 1 ภำคกำรศึกษำต้น 001*** หมวดวิชาศกึ ษาทัว่ ไป กล่มุ วชิ าภาษา 3(2-2-5) 001*** หมวดวชิ าศึกษาทว่ั ไป กลุ่มวชิ ามนษุ ยศาสตร์ 3(2-2-5) 001*** หมวดวชิ าศึกษาทว่ั ไป กลุ่มวิชามนุษยศาสตร์ 3(2-2-5) 001*** หมวดวชิ าศกึ ษาทว่ั ไป กลุม่ วชิ าสงั คมศาสตร์ 3(2-2-5) 001*** หมวดวิชาศกึ ษาท่ัวไป กลมุ่ วิชาวิทยาศาสตร์และคณติ ศาสตร์ 3(2-2-5) 261106 ฟสิ กิ สส์ าหรบั วิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ 2(2-0-4) Physics of Health Science 2(2-0-4) 501184 จิตสาธารณะเพ่ือการบริการ 3(3-0-6) Conscious Care for Service ****** วชิ าเลอื กเสรี 1 Free Elective course 1

17 รวม 22 หนว่ ยกติ รวมหน่วยกิตภาคทฤษฎี 17 หนว่ ยกติ (17 ช่ัวโมง : สปั ดาห์) รวมหน่วยกิตภาคปฏบิ ตั ิ 17 หน่วยกิต (10 ชั่วโมง : สปั ดาห์) รวมหน่วยกิต 17 หน่วยกิต (27 ชวั่ โมง : สัปดาห์) ช้นั ปที ี่ 1 ภำคกำรศกึ ษำปลำย 001*** หมวดวชิ าศกึ ษาทว่ั ไป กลุ่มวิชาภาษา 3(2-2-5) 001*** หมวดวชิ าศึกษาท่วั ไป กลุม่ วิชาสังคมศาสตร์ 3(2-2-5) 001*** หมวดวิชาศึกษาทว่ั ไป กลุ่มวชิ าพลานามัย (ไมน่ บั หน่วยกติ ) 1(0-2-1) 001*** หมวดวชิ าศกึ ษาทัว่ ไป กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์และคณติ ศาสตร์ 3(2-2-5) 258211 เซลล์และชวี วทิ ยาระดับโมเลกุล 3(3-0-6) Cell and Molecgolar Biology 3(3-0-6) 255111 ชวี สถิติ 3(3-0-6) Biostatistics 256102 เคมีทวั่ ไป 3(3-0-6) General Chemistry 2(2-0-4) 501271 การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพและการปอ้ งกนั ความเจ็บปว่ ย Health Promotion and illness Prevention 501177 เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สารทางการพยาบาล Nursing Information and Communication Technology รวม 22 หน่วยกิต รวมหนว่ ยกติ ภาคทฤษฎี 19 หนว่ ยกิต (19 ช่วั โมง : สัปดาห)์ รวมหน่วยกติ ภาคปฏบิ ัติ 3 หน่วยกิต (6 ช่ัวโมง : สัปดาห์) รวมหน่วยกิต 22 หน่วยกติ (25 ชั่วโมง : สัปดาห์) ไม่รวมหน่วยกติ 1 หน่วยกิต

18 ชั้นปที ่ี 4 ภำคกำรศกึ ษำตน้ 501413 การพยาบาลมารดา ทารกและการผดุงครรภ์ 2 3(3-0-6) Maternity Nursing and Midwifery II 1(0-4-2) ใช้กบั รหสั 60 เปน็ ตน้ ไป 501435 การพยาบาลผูใ้ หญ่และผู้สงู อายุ 3 3(3-0-6) Nursing for Adult and Older Adult III 1(0-4-2) ใช้กับรหสั 60 เปน็ ต้นไป 501436 ปฏิบัตกิ ารพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 3 3(0-9-4) Practicum in Nursing for Adult and Older Adult III 3(0-12-6) ใชก้ ับรหสั 60 เปน็ ตน้ ไป 501463 การพยาบาลเบ้อื งตน้ 1(0-4-2) Primary Medical Care 501464 การพยาบาลอนามัยชุมชน 2 2(2-0-4) Community Health Nursing II 501480 การจัดการทางการพยาบาล 2(2-0-4) Management in Nursing 1(0-4-2) ใช้กบั รหสั 60 เปน็ ต้นไป 501481 ปฏบิ ัติการจัดการทางการพยาบาล 2(2-0-4) practicum in Management in Nursing 1(0-4-2) ใชก้ บั รหัส 60 เปน็ ต้นไป รวม 13 หน่วยกติ รวมหน่วยกติ ภาคทฤษฎี 10 หน่วยกิต (10 ช่วั โมง : สัปดาห)์ รวมหนว่ ยกติ ภาคปฏบิ ตั ิ 3 หนว่ ยกติ (12 ชั่วโมง : สปั ดาห)์ รวมหนว่ ยกติ 13 หนว่ ยกติ (22 ชวั่ โมง : สปั ดาห์)

19 ช้นั ปีท่ี 4 ภำคกำรศกึ ษำปลำย 501414 ปฏิบตั ิการพยาบาลมารดา ทารกและการผดงุ ครรภ์ 2 4(0-12-6) ใช้กบั รหสั 60 เปน็ ตน้ ไป practicum of Marternity Nursing and Midwifery II 4(0-16-8) 501465 ปฏบิ ัติการพยาบาลอนามัยชุมชน 3(0-9-4) ใชก้ ับรหัส 60 เปน็ ตน้ ไป practicum in Community Health Nursing 3(0-12-6) 501482 สมั มนาประเดน็ และแนวโน้มของวชิ าชีพพยาบาล 2(1-2-3) Seminar in nursing Professional Issues and Trends 1(0-3-1) ใช้กบั รหัส 60 เป็นตน้ ไป 501483 ปฏิบัตกิ ารพยาบาลวิชาชพี ในสาขาท่เี ลือกสรร 1(0-4-2) practicum in Seminar in nursing Professional in Selected Area รวม 10 หนว่ ยกติ รวมหนว่ ยกติ ภาคทฤษฎี 1 หนว่ ยกิต (1 ชวั่ โมง : สัปดาห์) รวมหน่วยกติ ภาคปฏบิ ตั ิ 9 หนว่ ยกิต (34 ชั่วโมง : สปั ดาห์) รวมหนว่ ยกติ 10 หน่วยกิต (35 ช่วั โมง : สปั ดาห์) (คณะพยาบาลศาสตรมหาวทิ ยาลัยนเรศวร, 2559) 3. งำนวิจัยที่เก่ียวข้อง วลั ลภา เทพหัสดิน ณ อยุธยา (2527) วิจยั เรื่อง “นิสิตนักศกึ ษาในสถาบันอุดมศึกษา” ได้ศึกษา เกี่ยวกับสภาพนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา ซ่ึงพบว่าสภาพนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของ สหรัฐอเมริกามีลักษณะใกล้เคียงกับสภาพนักศึกษาในประเทศไทยคือ 1. นักศึกษาช้ันปีที่ 1 รู้สึกมีความ สนใจและตื่นเต้นต่อทุกสิ่งท่ีอยู่รอบๆตัวไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมต่างๆ การเรียนหรือสังคมในมหาวิทยาลัยท่ี นักศึกษาอยากเรียน โดยมีความตั้งใจในการศึกษาและอยากปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมมหาวิทยาลัย ซ่ึง พร้อมที่จะสนิทสนมและเช่ือฟังคาส่ังสอนของอาจารย์ 2. นักศึกษาช้ันปีท่ี 2 ไม่ค่อยพอใจต่อครูอาจารย์ โดยเรม่ิ มีความขัดแย้งและเปน็ ปฏปิ ักษ์ต่อมหาวทิ ยาลัย มคี วามรู้สกึ วา่ ตนเองเปน็ ผู้ใหญ่ข้ึน 3. นกั ศึกษาชั้น ปีท่ี 3 มักสงบเงียบชอบอยู่กับกลุ่มเพ่ือนๆ มากกว่า และมีความเพกิ เฉยต่อสังคมมหาวิทยาลยั และต่อการ เรียนซ่ึงอาจมีความคิดท่ีจะมีเพ่ือนต่างเพศที่สนิทสนมพอท่ีจะเป็นคู่รัก 4. นักศึกษาช้ันปีที่ 4 ส่วนมาก มักจะยุ่งเก่ยี วกับการหางาน การศึกษาต่อและความกา้ วหน้าในอนาคตมากกว่ากิจกรรมของมหาวิทยาลยั

20 ชยั ชนะ มิตรสัมพันธ์ (2552) วจิ ัยเรอ่ื ง “การศึกษาความต้องการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการของ นกั ศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกลุ่มภาคกลาง” มีวตั ถุประสงค์เพอ่ื ศึกษาความตอ้ งการในการ เข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการของนักศกึ ษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกลุ่มภาคกลาง จานวน 5 แห่ง คือ 1. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร 2. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพฯ 3. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ 4. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธนบุรี และ 5. มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ กลุ่มตัวอย่าง คือ นกั ศึกษาปรญิ ญาตรชี ั้นปีท่ี 1-4 จานวน 2,000 คน ผลการวิจัยพบว่า นกั ศึกษาทั้งเพศชายและหญิง มีความต้องการด้านการบริหารจัดการในการ เข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการในระดับปานกลาง และระดับสูงสุดในด้านบุคลากร อย่างไรก็ตาม นักศึกษา ชายมีความต้องการด้านวัสดุอุปกรณ์ในระดับปานกลาง ขณะท่ีนักศึกษาหญิงมีความต้องการในระดับ สูงสุด นักศึกษาช้ันปีที่ 1 มีความต้องการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการในระดับมากท่ีสุด ขณะท่ีนักศึกษา ชั้นปีที่ 2-4 มคี วามตอ้ งการระดับปานกลางในด้านการบรหิ ารจดั การ นกั ศกึ ษาชน้ั ปีที่ 1-3 มคี วามต้องการ ในระดับปานกลาง ในขณะที่นักศึกษาชั้นปีที่ 4 และปีท่ี 3 (หลักสูตร 2 ปีต่อเนื่อง) มีความต้องการใน ระดับมาก ส่วนชั้นปีที่ 4 (หลักสูตร 2 ปีต่อเนื่อง) มีความต้องการในระดับมากที่สุด อย่างไรก็ตามการ บริการด้านบุคลากร นักศึกษาชั้นปที ี่ 1-3 มีความต้องการในระดับปานกลาง นักศึกษาช้ันปีท่ี 2 ช้ันปีที่ 4 และนักศึกษาหลักสูตรต่อเนื่อง 2 ปี มีความต้องการในระดับสูงสุด และสุดท้ายคือ นักศึกษาระดับชั้นปีที่ 1 มีความต้องการด้านวัสดุอุปกรณ์ในระดับสูง ขณะท่ีชั้นปีท่ี 3 มีความต้องการในระดับปานกลาง และ นักศึกษาในชั้นปอี ื่นๆมคี วามตอ้ งการในระดับมากทส่ี ดุ มนทน์ดวงพัฒน์ อนุ่ พรมมี และสินศักดช์ิ มนม์ อ่นุ พรมมี (2552) วิจัยเร่ือง “กิจกรรมทางกายของ นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา: การศึกษาด้วยแบบจาลองการ เปลี่ยนแปลงและข้ันตอนการเปล่ียนแปลง” มีวัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาระดับการปฏิบัติกิจกรรมทางกาย การรับรู้ความสามารถตนเอง ความสมดุลของการตัดสินใจ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ตามแบบจาลองการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Transtheoretical model) ของ Dr.James O.Prochaska กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพระบรมราชชนนีนครราชสีมาที่กาลังศึกษาอยู่ในชั้นปีท่ี 1 ในปีการศึกษา 2552 จานวน 110 คน ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาพยาบาลส่วนใหญ่ มีกิจกรรมทางกาย อย่างต่อเน่ืองเป็นเวลาอย่างน้อยมากกว่า 6 เดือน (44.5%) รองลงมาคือ ขั้นที่มีการเปล่ียนแปลงสู่การมี กิจกรรมทางกาย (29.1%) และข้ันเตรียมพร้อมสู่การมีกิจกรรมทางกาย (21.8%) ตามลาดับ และมี รายงานว่าอยู่ในข้ันก่อนเกิดความตระหนัก และข้ันเกิดความตระหนักท่ีจะมีกิจกรรมทางกาย (4.5%) นกั ศึกษาพยาบาลรับรู้ความสามารถตนเองในการปฏิบัติกิจกรรมทางกายในระดับปานกลางค่อนข้างมาก ปจั จัยท่ีนักศึกษาใช้ในการตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมทางกาย ส่วนใหญ่เปน็ ปัจจัยด้านบวก เช่น ประโยชน์ที่ เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ สาหรับกระบวนการเปลี่ยนแปลงและการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมพบว่า เทคนิคท่ี นักศึกษาพยาบาลใช้ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบ่อยท่ีสุด 3 อันดับแรก คือ การประเมิน

21 ผลลัพธ์ที่จะเกิดข้ึนกับตนเอง การปลดปล่อยทางสังคม และการใช้วิธีการกระตุ้นพฤติกรรม ส่วนใน การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ พบว่า ความสมดุลของการตัดสินใจ มีความสัมพนั ธ์เชิงบวก กับระดับการมีกิจกรรมทางกาย แสดงให้เห็นว่า นักศึกษาท่ีอยู่ในกลุ่มที่มีกิจกรรมทางกายอย่างต่อเนื่อง ใช้เหตุผลท้ังเชิงบวกและเชิงลบ ในการตัดสินใจมีกิจกรรมทางกายมากกว่านักศึกษาที่อยู่ในกลุ่มกาลัง เตรียมพร้อมสู่การมีกิจกรรมทางกายเทคนิคที่ใช้เพื่อรักษาระดับการปฏิบัติกิจกรรมทางกาย หรือเพ่ือ เลื่อนระดับการปฏิบัติกิจกรรมทางกายที่นักศึกษาใช้บ่อยที่สุด ได้แก่ การใช้เทคนิคปลูกจิตสานึก (p=0.025) การใช้การประเมินผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง (p=0.005) การใช้เทคนิคการใช้เงื่อนไขใน ทางตรงข้าม (p=0.015) และการใช้เทคนิคกระตุน้ พฤตกิ รรม (p=0.011) รณวัตน์ มณีนิล (2555) วิจัยเร่ือง “ศึกษาการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการของนักศึกษาระดับ ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยศรีสะเกษ” มีวัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการของ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จานวน 361 คน ผลการวิจัยพบว่า 1. นักศึกษาเพศชายเข้าร่วมกิจกรรม นันทนาการ ด้านกิจกรรมพิเศษมากท่ีสุด รองลงมาด้านการบริการอาสาสมัคร และด้านนันทนาการทาง สังคม ตามลาดับ 2. นกั ศึกษาเพศหญิงเข้าร่วมกิจกรรมนนั ทนาการ ดา้ นกิจกรรมพเิ ศษมากที่สุด รองลงมา ด้านนันทนาการทางสังคม และด้านพัฒนาจิตใจและความสงบสุข ตามลาดับ 3. นักศึกษาชั้นปีท่ี 1 เข้า ร่วมกิจกรรมนันทนาการ ด้านกิจกรรมพิเศษมากที่สุด รองลงมาด้านนันทนาการทางสังคม และด้าน พัฒนาจิตใจและความสงบสุข ตามลาดับ 4. นกั ศึกษาช้ันปีท่ี 2 เข้ารว่ มกิจกรรมนันทนาการ ด้านกจิ กรรม พิเศษมากท่ีสดุ รองลงมา คือ ด้านนันทนาการทางสังคม และด้านพัฒนาจิตใจและความสงบสุขตามลาดับ 5. นกั ศกึ ษาช้ันปที ่ี 3 เข้าร่วมกิจกรรมนนั ทนาการด้านกิจกรรมพิเศษมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านนันทนา การทางสังคม และด้านบริการอาสาสมัคร ตามลาดับ 6. นักศึกษาช้ันปีท่ี 4 เข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ ด้านกิจกรรมพิเศษมากที่สุด รองลงมาด้านนันทนาการทางสังคม และด้านบริการอาสาสมัคร ตามลาดับ 7. นักศึกษากลุ่มสาขาวิชาครุศาสตร์ เข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ ด้านกิจกรรมพิเศษมากที่สุด รองลงมา ด้านนันทนาการทางสังคม และด้านพัฒนาจิตใจและความสงบสุข ตามลาดับ 8. นักศึกษากลุ่มสาขาวิชา วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการด้านกิจกรรมพิเศษมากท่ีสุด ด้านพัฒนาการทาง สังคม และด้านบริการอาสาสมัคร ตามลาดับ 9. นักศึกษากลุ่มสาขาวิชาบริหารธุรกิจและบัญชี เข้าร่วม กจิ กรรมนันทนาการ ด้านกิจการพิเศษมากที่สุด รองลงมาดา้ นนนั ทนาการทางสงั คม และด้านพฒั นาจติ ใจ และความสงบสุข ตามลาดับ 10. นักศึกษากลุ่มสาขาวิชาศิลปศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ เข้าร่วม กิจกรรมนันทนาการด้านกิจกรรมพิเศษมากที่สุดรองลงมาด้านนันทนาการทางสังคมและด้านการบริการ อาสาสมคั ร ศรัณต์ เจียรนัย (2555) วิจัยเร่ือง “สภาพและความต้องการการจัดกิจกรรมนันทนาการของ นกั ศึกษา สถาบนั การพลศกึ ษา” มีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือ ศึกษาสภาพการจัดกิจกรรมนนั ทนาการของนักศึกษา

22 สถาบันการพละศึกษา และเพ่ือศึกษาและเปรียบเทียบความต้องการการจัดกิจกรรมนันทนาการของ นักศึกษาสถาบันการพละศึกษาตามตัวแปรเพศ วิทยาเขตและช้ันปีกลุ่มตัวอย่าง คือกลุ่มตัวอย่างที่ ใช้ในการสอบถามได้แก่นักศึกษาระดับปริญญาตรีของสถาบันการพละศึกษาจานวนสี่วิทยาเขต ได้แก่ วทิ ยาเขตสุโขทัย วิทยาเขตสพุ รรณบุรี วิทยาเขตมหาสารคาม และวิทยาเขตยะลา ได้กลุ่มตวั อย่างจานวน 400 คน ผลวิจัยพบวา่ ผลการวิจยั สรปุ ตอนผลการวิจัย 1. สภาพการจดั กจิ กรรมนันทนาการของนักศึกษา สถาบันการพลศึกษาพบว่า ประเภทของกิจกรรมนันทนาการมีความหลากหลายการจัดกิจกรรม นันทนาการ มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงมีนโยบายแผนงานและงบประมาณสนับสนุน มีการ ประชาสัมพันธ์ทมี่ ีการจัดเวลาให้นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรม มีการสารวจความต้องการของนักศึกษาและมี การจัดโปรแกรมกิจกรรมนนั ทนาการอย่างชดั เจน มีคณาจารย์ที่มีความรคู้ วามชานาญและมีความสามารถ ในการจัดกิจกรรมนันทนาการ มีอุปกรณ์สถานที่และสิ่งอานวยความสะดวกท่ีถาวรมีความเหมาะสม มีความพร้อมพอเพียงและมีความปลอดภัย 2. ความต้องการการจัดกิจกรรมนันทนาการของนักศึกษา สถาบันการพลศึกษาร้านประเภทกิจกรรมนันทนาการท่ีมีจานวนมากท่ีสุด ได้แก่ เกมและกีฬาส่วนที่มี ความต้องการจานวนน้อยท่ีสุด ได้แก่ วรรณกรรม (อ่านพดู เขียน) 3. นักศึกษาสถาบันการพลศึกษามีความ ต้องการการจัดกิจกรรมนันทนาการด้านการจัดการด้านบุคลากรและด้านอุปกรณ์สถาน ท่ีและสิ่งอานวย ความสะดวกโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 4. นักศึกษาสถาบนั การพลศึกษาทีม่ ีเพศต่างกันมีความ ต้องการการจัดกิจกรรมนันทนาการแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนนักศึกษา สถาบันการพลศึกษาที่เรียนวิทยาเขตต่างกันและชั้นปีต่างกัน มีความต้องการการจัดกิจกรรมนันทนาการ ไมแ่ ตกต่างกัน ชาญชลักษณ์ เยี่ยมมิตร (2556) วิจัยเร่ือง “การศึกษาพฤติกรรมการออกกาลังกายของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณีปกี ารศกึ ษา 2554” มีวัตถปุ ระสงคเ์ พื่อ ศึกษาและเปรียบเทียบพฤตกิ รรม การออกกาลังกายของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณีปีการศึกษา 2554 กลุ่มตัวอย่าง คือ นกั ศกึ ษามหาวิทยาลัยราชภฏั ราไพพรรณปี กี ารศึกษา 2554 จานวน 437 คน ผลวิจัยพบวา่ 1. พฤติกรรม การออกกาลังกายของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณปี ีการศึกษา 2554 ได้แก่ 1.1 ด้านความรู้ เก่ียวกับการออกกาลังกาย โดยรวมอยู่ในระดับมีความรู้ดีมาก เท่ากับ 0.83 1.2 ด้านเจตคติเก่ียวกับการ ออกกาลังกายโดยรวมอยู่ในระดับมาก เท่ากับ 4.05 และ 1.3 ด้านการปฏิบัติเก่ียวกับการออกกาลังกาย โดยรวมอยู่ในระดับดีเท่ากับ 2.90 2. พฤติกรรมการออกกาลังกายระหว่างนักศึกษาชายกับนักศกึ ษาหญิง ของมหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณี ปีการศึกษา 2554 ด้านเจตคติเก่ียวกับการออกกาลังกาย และด้าน พฤตกิ รรมการออกกาลังกายแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี .05 ในขณะท่ีด้านความร้เู กี่ยวกับการ ออกกาลังกายไม่แตกต่างกัน และ 3. พฤติกรรมการออกกาลังกายของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ ราไพพรรณปี ีการศึกษา 2554 จาแนกตามระดับช้ันปี ด้านความรู้เกยี่ วกับการออกกาลังกาย และด้านการ

23 ปฏิบัติเกี่ยวกับการออกกาลังกายอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ในขณะที่ด้านเจตคติเก่ียวกับการ ออกกาลังกายไม่แตกตา่ งกนั นายชโลทร เสยี งใส และสุจติ รา สุคนธทรัพย์ (2556) วิจัยเรื่อง “ปัจจัยท่ีมคี วามสัมพันธ์กบั การมี กิจกรรมทางกายของนิสิตนักศึกษา สถาบนั อดุ มศึกษาในกรุงเทพมหานคร” มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการ มีกิจกรรมทางกาย และปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์ต่อการมีกิจกรรมทางกายของนิสิตนักศึกษาสถาบัน อุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร จานวน 460 คน ผลการวิจัยพบว่า 1. นิสิตนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร มีความรู้ เกี่ยวกับกิจกรรมทางกายในภาพรวมอยู่ในระดับควรปรับปรุง มีทัศนคติเก่ียวกับกิจกรรมทางกายใน ภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก และมีพฤติกรรมทางการในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2. ปัจจัยนาด้าน ความรู้มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการมีกิจกรรมทางกายไปในทิศทางตรงข้าม แต่ปัจจัยนาด้านทัศนคติ ปัจจัยเอ้ือ ปจั จยั เสรมิ มคี วามสัมพันธก์ บั พฤติกรรมการปฏบิ ัติกิจกรรมทางกายไปในทิศทางเดยี วกัน กานดามณี พานแสง และคณะ (2558) วิจัยเรื่อง “ความสัมพันธ์ระหว่างผลการเรียนสะสม ระยะเวลาการเตรียมตัวสอบและการจัดการความเครียดกับความเครียดของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีท่ี 4 ในการสอบข้ึนทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ของ วิทยาลยั พยาบาลตารวจ” ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย คอื นกั ศึกษาพยาบาลหลักสูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑิต ช้ันปีท่ี 4 วิทยาลัยพยาบาลตารวจ ซ่ึงผ่านการเรียนภาคทฤษฎีและปฏิบัติตามท่ีหลักสูตรกาหนดและอยู่ ระหว่างการเตรียมตัวสอบขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและ ผดุงครรภ์ช้ันหน่ึงจานวน 68 คน ผลการวิจัยพบว่า นกั ศึกษาพยาบาลตารวจช้ันปีท่ี 4 ส่วนใหญ่ไม่เครียด คิดเป็นร้อยละ 47.06 รองลงมามีระดับความเครียดสูงกว่าปกติเล็กน้อยเครียดมากและปานกลางคิดเป็น ร้อยละ 29.41, 16.18 และ 7.35 ตามลาดับ ระยะเวลาการเตรียมตัวสอบการจัดการความเครียดมี ความสัมพันธ์กับระดับความเครียดของนักศึกษาพยาบาลช้ันปีที่ 4 ในการสอบข้ึนทะเบียนและรับ ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ของวิทยาลัยพยาบาลตารวจอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 แต่ผลการเรียนสะสมไม่มีความสัมพันธ์กับระดับความเครียดของนักศึกษา พยาบาลชั้นปีท่ี 4 ในการสอบข้ึนทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการ ผดงุ ครรภข์ องวิทยาลยั พยาบาลตารวจอย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ิท่ีระดับ .05 พลพิพัฒน์ สุขพัฒน์ธี (2558) วิจัยเร่ือง “พฤติกรรมกิจกรรมทางกายของนักศึกษามหาวิทยาลัย ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา” มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาพฤติกรรมกิจกรรมทางกายของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา จานวน 364 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการนั่งหรือนอนอยู่กับท่ีของนักศึกษาชายและนักศึกษา หญงิ ส่วนใหญ่คือ นั่งหรือนอนคุย/เลน่ โทรศัพทม์ ือถือ นัง่ หรอื นอนดโู ทรทศั น์ และนั่งคุยกบั เพือ่ น 2) นักศึกษาชายมพี ฤตกิ รรมการนั่งหรือนอนอยกู่ ับท่ี วันละ 4 ชั่วโมงหรือสปั ดาห์ละ 5 วัน ส่วนนักศกึ ษาหญิง

24 มีพฤติกรรมการน่ังหรือนอนอยู่กับท่ี วันละ 5 ชั่วโมงหรือสัปดาห์ละ 6 วัน 3) นักศึกษาชายและนักศึกษา หญิง ส่วนใหญ่ทางานบ้าน วันละ 1 ชั่วโมงหรือสัปดาห์ละ 3-4 วัน 4) พฤติกรรมการเดินทาง นักศึกษา ชายและนักศึกษาหญิง มีการเดินทางส่วนใหญ่คือ การเดินทางด้วยเท้า ขบั ข่ีจกั รยานยนต์ และโดยสารรถ สาธารณะหรือส่วนบคุ คล 5) พฤติกรรมการเรยี น นักศึกษาชายและนักศึกษาหญงิ สว่ นใหญ่ คิด เป็นร้อยละ 81.40 และ 82.10 ตามลาดับ ไม่มีการเคล่ือนไหวร่างกายในการเรียน 6) นักศึกษาชายส่วน ใหญ่ประกอบกจิ กรรมยามวา่ งมากที่สุด คือ ฟุตบอล วิ่งจ็อกกิง้ ร้องเพลง และฟุตซอล ส่วนนักศึกษาหญิง ประกอบกิจกรรมยามว่างมากที่สุด คือ ร้องเพลง วิ่งจ๊อกกิ้ง ข่ีจักรยาน และแบดมินตันตามลาดับ 7) นักศึกษาชายมีกิจกรรมยามว่าง ในความหนักระดับปานกลางวันละ 1 ชั่วโมงหรือสัปดาห์ละ 5 วัน ส่วน นักศึกษาหญิงมีกิจกรรมยามว่างในความหนักระดับปานกลางวันละ 1 ช่ัวโมงหรือสัปดาห์ละ 4 วัน 8) นักศึกษาชายมีกิจกรรมยามว่างในความหนักระดับหนัก วันละ 1 ชั่วโมงหรือสัปดาห์ละ 4 วัน ส่วน นักศกึ ษาหญงิ มกี ิจกรรมยามวา่ งในความหนกั ระดบั หนัก วันละ 1 ชัว่ โมงหรอื สัปดาห์ละ 3 วนั กติ พิ งษ์ ขัติยะ (2559) วจิ ัยเรอ่ื ง “กิจกรรมทางกายของนกั ศกึ ษาระดบั ปริญญาตรี มหาวิทยาลัย แม่โจ้ จังหวดั เชียงใหม่” มีวัตถุประสงค์ ได้แก่ 1. เพื่อศึกษากิจกรรมทางกายในชีวิตประจาวันและในเวลา ว่าง รวมทั้งสถานท่ีปฏิบัติกิจกรรมทางกายของนักศึกษา 2. เพ่ือศึกษาความบ่อย ความหนัก และ ระยะเวลานาน ในการปฏิบัติกิจกรรมทางกายของนักศึกษา 3. เพ่ือศึกษาปัญหา การแก้ไขปัญหา และ ข้อเสนอแนะในการปฏิบัติกิจกรรมทางกายของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวทิ ยาลัยแมโ่ จ้ ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2557 จานวน 228 คน ผลการวจิ ัยพบว่า กจิ กรรมทางกาย ของนักศึกษาส่วนใหญ่ในชีวิตประจาวัน ด้านการเรียน ได้แก่ การเดินไปเรียน การเดินข้ึนลงบันได และ การปฏิบัติงานฟาร์ม ด้านกิจวัตรประจาวัน ได้แก่ การเดิน การทางานบ้าน และการขี่จักรยาน ส่วน กิจกรรมทางกายในเวลาว่าง ด้านการออกกาลังกาย ได้แก่ การวิ่งเหยาะ และการเล่นฟิตเนส ด้านการ เล่นกีฬา ได้แก่ แบดมินตัน และฟุตซอล สาหรับสถานทีป่ ฏิบัติกิจกรรมทางกาย ได้แก่ สนามกีฬาอินทนิล และหอพักนักศึกษา ตามลาดับ ในการปฏิบัติกิจกรรมทางกาย มีความบ่อย 3-5 วัน/สัปดาห์ ความหนัก รู้สึกเหนื่อย และใช้ระยะเวลานาน 30-60 นาที/วัน สาหรับปัญหาท่ีประสบและการแก้ไขปัญหา ได้แก่ ปัญหาปวดเม่ือยกล้ามเนื้อ แก้ไขโดยการอบอุ่นร่างกายก่อนออกกาลังกายและใช้ยานวด ปัญหาเหนื่อย หอบ แกไ้ ขโดยการวงิ่ บอ่ ยๆ จนเกดิ ความเคยชนิ และปญั หามฝี นตก แก้ไขโดยการไปเลน่ กฬี าในรม่ ธนพร แย้มศรี (2559) วิจัยเร่ือง “ปัจจัยทานายพฤติกรรมการออกกาลังกายของนักศึกษา พยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษา ปัจจัยทานายพฤติกรรมการออกกาลังกายของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จานวน 214 คน ผลวิจัยพบว่า พฤติกรรมการออกกาลังกายของกลุ่มตัวอย่างโดยภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง และปัจจัยการรับรู้ ความสามารถของตนเอง และอิทธิพลระหว่างบุคคลมีอิทธิพลต่อ พฤติกรรมการออกกาลังกาย

25 (β=0.391, β=0.128 ตามลาดับ) โดยสามารถรว่ มกันทานายพฤติกรรมการออกกาลังกายได้ร้อยละ 19.6 (R2 =0.196, p<0.001) อาภากร แสงหิรัญวัฒนา (2559) วิจัยเรื่อง “พฤตกิ รรมการประกอบกิจกรรมทางกายของนิสิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” มีวัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาพฤติกรรมการประกอบกิจกรรมทางกาย และ อปุ สรรคในการออกกาลังกายและเล่นกีฬาของนิสิตมหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ชั้นปีที่ 1-4 จานวน 400 คน ผลการวิจัยพบว่า 1. พฤติกรรมเนือยน่ิงใน ชีวิตประจาวันของนิสิต ส่วนใหญ่คุย/เล่นโทรศัพท์ มือถือ น่ังคุยกับเพ่ือนและฟังเพลง 2. พฤติกรรม การเดินทางของนิสิต ใชแ้ รงปานกลางส่วนใหญจ่ ะเป็นการใชร้ ถโดยสารสาธารณะและการเดินข้นึ ลงบันได แทนการใช้ลฟิ ท์ เดินเปล่ียนอาคารเรยี น และเดนิ ทางเท้า 3. พฤตกิ รรมการทางานบ้านของนสิ ิต ส่วนใหญ่ ซักเส้ือผ้าด้วยเคร่ืองซักผ้า ปัดกวาดบ้าน และเช็ดถูบ้าน 4. พฤติกรรมการใช้เวลาว่างของนิสิต 4.1 พฤตกิ รรมการใช้เวลาว่าง (นนั ทนาการ) ของนสิ ิตส่วนใหญ่ดูภาพยนตร์ เขา้ หอ้ งสมุด อ่านหนังสอื และ เล่นดนตรีร้องเพลง 4.2 พฤติกรรมการใช้เวลาว่าง (ออกกาลังกาย) ของนิสิตส่วนใหญ่เดินออกกาลังกาย วิ่งออกกาลังกายและขี่จักรยาน 4.3 พฤติกรรมการใช้เวลาว่าง (เล่นกีฬา) ของนิสิตส่วนใหญ่เล่น แบดมินตัน บาสเกตบอลและว่ายน้า 5. อปุ สรรคในการออกกาลังกายและเล่นกีฬา ส่วนใหญ่นสิ ิตเรียนมา ท้ังวันและรู้สึกเหน่ือยและไม่มีเวลาในการออกกาลังกาย มีอุปสรรคอยู่ในระดับมากและนิสิตคิดว่าไม่มี ความจาเป็นในการออกกาลงั กายและเลน่ กีฬา มีอุปสรรคอยู่ในระดบั น้อย ขวัญจิต เพ็งแป้น (2561) วิจัยเรื่อง “ความรู้ เจตคติเกี่ยวกับการออกกาลังกาย และพฤติกรรม การออกกาลังกายของนักศึกษาพยาบาลในเขตอาเภอเมืองอุบลราชธานี” มีวัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษา ความรู้ เจตคติเกี่ยวกับการออกกาลังกาย และพฤติกรรมการออกกาลังกายของนักศึกษาพยาบาลในเขต อาเภอเมืองจังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาลในเขตอาเภอเมืองจังหวัด อุบลราชธานี จานวน 200 คน ผลการวิจัยพบวา นักศึกษาพยาบาลสวนใหญมีความรูเกี่ยวกับการออก กาลังกายอยูในระดับดี (x̄ =90.05, SD.=5.90) เจตคติเก่ียวกับการออกกาลังกายอยูในระดับดี (x̄ =3.31, SD.=0.19) และพฤติกรรมการออกกาลงั กายอยูในระดับปานกลาง (x̄ =2.71, SD.=0.22) จิรวรรณ อินคุ้ม และคณะ (2561) วิจัยเรื่อง “พฤติกรรมการออกกาลังกายของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาพฤติกรรมการ ออกกาลังกาย เปรียบเทียบความแตกต่างของพฤติกรรมการออกกาลังกาย โดยจาแนกตามเพศ และ ดัชนมี วลกาย และศกึ ษาความสมั พันธร์ ะหว่างเจตคตติ ่อการออกกาลงั กาย ความเครียด การสนบั สนุนทาง สังคม การรับรู้สมรรถนะของตนเองกับพฤติกรรมการออกกาลังกายของนิสิตพยาบาล กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตพยาบาลหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปีการศึกษา 2559 จานวน 247 คน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการ ออกกาลังกายอยู่ในระดับปานกลาง (80.57%) พฤติกรรมการออกกาลังกายของนิสิตชายและหญิง

26 ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างส่วนมากเป็นเพศหญิง แต่นิสิตท่ีมีดัชนี มวลกายแตกต่างกันจะมีพฤติกรรมการออกกาลังกายแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ เนื่องจาก บคุ คลที่มีน้าหนักเกินทาให้แขนขารับน้าหนักมากกว่าปกติการเคลื่อนไหวร่างกายจึงต้องใช้แรงมาก ส่งผล ให้ร่างกายอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย ทาให้ชอบอยู่นิ่งและไม่ออกกาลังกาย ผลการวเิ คราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างปัจจัยกับพฤติกรรมการออกกาลังกาย พบว่า เจตคติต่อการออกกาลังกายไม่มีความสัมพันธ์ต่อ พฤติกรรมการออกกาลังกายอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติ ในขณะทปี่ ัจจัยด้านความเครยี ดมคี วามสมั พนั ธ์ทาง ลบ การสนับสนุนทางสังคมและการรับรู้สมรรถนะของตนเองมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการ ออกกาลงั กายของนิสติ พยาบาลอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติ โชติมา แกว้ กอง (ม.ป.ป.) วิจัยเร่ือง “การแบ่งแยกแรงงานระหว่างเพศของงานบา้ นและงานดูแล: กรณีศกึ ษาความเท่าเทียมระหวา่ งเพศของนสิ ิตระดบั ปรญิ ญาตรี มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์” มี วัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาระดับทัศนคติของนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต่อการแบ่ง งานกันทาสาหรับงานบ้านและงานดูแล และเพ่ือให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เอื้ออานวยต่อการออกไป ทางานนอกบา้ นของสตรี กลุ่มตวั อยา่ ง คือ นสิ ติ ระดับปรญิ ญาตรี ภาคปกติ ในมหาวทิ ยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขนและกาแพงแสน ในปีการศึกษา 2553 จานวน 390 คน ผลวิจัยพบว่า งานบ้านและ งานดูแลท่ีนิสิตมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ทาคร้ังแรกส่วนใหญ่ ถึงร้อยละ 38.46 คือ งานทาความสะอาด บา้ น เช่น กวาดบา้ น, เช็ดถูบา้ น โดยผูฝ้ ึกหัดให้นิสิตทางานบา้ นและงานดูแลครั้งแรก ส่วนใหญถ่ ึง ร้อยละ 78.21 คือ มารดา ในส่วนของทัศนคติต่อการแบ่งงานกันทา สาหรับงานบ้านและงานดูแลระหว่างภรรยา และสามี นิสิตส่วนใหญ่แสดงทัศนคติระดับมากในประเด็นการแบ่งปันงานบ้านและงานดูแลให้เท่ากัน ระหวา่ งภรรยาและสามี (x̄ =3.84, SD.=0.942)

บทที่ 3 วิธีกำรดำเนินกำรวจิ ัย การศึกษาวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเชิงสารวจ (Survey Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษา การมีกิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรและเปรียบเทียบการมี กจิ กรรมทางกายระหว่างนิสติ พยาบาลช้นั ปที ี่ 1 ถงึ และนิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 4 โดยมีรายละเอยี ดเกย่ี วกับ วธิ ีดาเนนิ การศกึ ษาตามลาดับข้นั ตอน ดังต่อไปน้ี ประชำกรและกลมุ่ ตวั อย่ำง ประชำกร ท่ใี ช้ในการศึกษาครั้งน้ี คอื นสิ ิตพยาบาลช้นั ปีท่ี 1 จานวน 143 คน และนิสติ พยาบาล ช้ันปีท่ี 4 จานวน 113 คน มหาวิทยาลยั นเรศวร ประจาปีการศกึ ษา 2562 กลุ่มตัวอย่ำง คือ นิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 1 ถึง และนิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ประจาปีการศกึ ษา 2562 จานวน 171 คน กาหนดเกณฑค์ ดั เขา้ และคดั ออกดงั น้ี เกณฑ์คัดเขำ้ 1. มีอายุ 18 ปขี น้ึ ไป 2. เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ไม่มีความบกพร่องด้านการได้ยิน สามารถอ่านเขียน ภาษาไทยได้ 3. ยนิ ดีใหค้ วามรว่ มมอื ในการทาวจิ ยั คร้ังนี้ เกณฑค์ ัดออก 1. ต้องการยกเลกิ การเขา้ รว่ มวิจยั ระหว่างดาเนนิ การ 2. มภี าวะเจ็บป่วยกะทันหนั ไม่สามารถใหข้ อ้ มลู ได้ 3. ลาออกหรือมีการย้ายออกจากพ้นื ที่การวจิ ัยในระหวา่ งการดาเนินการวิจยั ขนำดของกลุ่มตัวอยำ่ ง กาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างในการวจิ ัย โดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ (Yamane, 1973 อ้างอิงใน บุญใจ ศรีสถิตนรากูร, 2553) กาหนดความคลาดเคล่ือนของการสุ่มตัวอย่าง เทา่ กับ .05 มวี ิธีการคานวณกล่มุ ตวั อยา่ ง ดังนี้ n = N 1+Ne2 เมอ่ื n = จานวนกลุม่ ตวั อยา่ ง e = ความคลาดเคลื่อนของการสุม่ ตวั อย่าง 0.05 N = ขนาดของประชากร (256)

28 ได้ขนาดกลุม่ ตัวอย่างท้งั หมด n = 256 1+256(0.05)2 = 156.09 ดังน้ัน ในการศึกษาคร้ังนี้จะได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างของนิสิตพยาบาล มหาวิทยาลัยนเรศวร จานวน 156 คน และเพื่อป้องกันการสูญหายของกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยจึงได้ทาการคานวณกลุ่มตัวอย่าง เพ่ิมข้ึนร้อยละ 10 (พรรณี ปิติสุทธิธรรม และชยันต์ พิเชียรสุนทร, 2554) ได้กลุ่มตัวอย่างเพิ่มขึ้นมา 15 คน ดังน้ัน ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างท้ังส้ิน 171 คน ทั้งนี้มีนิสิต 5 คนท่ีตอบแบบสอบถามไม่ครบผู้วิจัยจึง ไดท้ าการคดั ออก ดงั นัน้ จึงไดก้ ลุ่มตัวอยา่ งท้ังสนิ้ 166 คน กำรไดม้ ำซงึ่ กลุ่มตัวอยำ่ ง 1. คานวณขนาดกลุม่ ตวั อย่างตามสัดสว่ นประชากรในแต่ละช้ันปี โดยใช้วธิ ีการกาหนดขนาดกลุ่ม ตัวอยา่ งแบบช้นั ภูมิ (Stratified Sampling) โดยคานวณขนาดตวั อยา่ งตามสัดสว่ นประชากรของแต่ละชั้น (บุญใจ ศรสี ถติ นรากรู , 2553, หนา้ 193) ขนาดตวั อยา่ ง = n×n1 N n1 = ขนาดตัวอย่างของแต่ละช้นั n = ขนาดตวั อย่างของงานวิจยั N = ขนาดประชากร ชน้ั ปี 1 จานวน 143 คน คานวณขนาดตัวอย่างไดด้ งั นี้ ขนาดตัวอยา่ ง = 171×143 256 ขนาดตัวอย่าง = 95.52 ดงั นน้ั ไดข้ นาดกลมุ่ ตวั อยา่ งชน้ั ปี 1 จานวน 96 คน ช้ันปี 4 จานวน 113 คน คานวณขนาดตัวอย่างได้ดังน้ี ขนาดตวั อยา่ ง = 171×113 256 ขนาดตัวอยา่ ง = 75.48 ดงั นั้น ไดข้ นาดกลุ่มตัวอย่างชนั้ ปี 4 จานวน 75 คน

29 ไดข้ นาดกลุ่มตัวอย่างท้ังหมด แสดงไดด้ ังแผนภาพ จานวนประชากร 256 คน ชนั้ ปี 1 ชน้ั ปี 4 จานวน 143 คน จานวน 113 คน ขนาดกล่มุ ตวั อยา่ ง 171 คน ช้นั ปี 1 ชนั้ ปี 4 จานวน 96 คน จานวน 75 คน 2. การสุ่มตัวอย่าง ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ (Systematic Sampling) เม่ือได้จานวนกลุ่ม ตวั อย่างแตล่ ะชัน้ ปี รวมทัง้ สน้ิ 171 คน แล้วผู้วิจัยคานวณชว่ งท่ีใชใ้ นการสุม่ ตวั อย่าง โดย 2.1 ส่มุ ประชากรแต่ละช้นั ปจี ากรหัสนิสิตเรียงตามลาดับท่สี ่มุ ได้ 2.2 คานวณหาช่วงท่ีใช้ในการสุ่มตัวอย่าง (interval) โดยการนาจานวนประชากรทั้งหมด แต่ละชัน้ ปีหารด้วยขนาดกลุ่มตัวอยา่ งของแตล่ ะช้ันปีทคี่ านวณได้ในขัน้ ตอนท่ี 1 หรือจากสูตร I = N/n 2.3 สุ่มหมายเลขต้ังต้นระหว่างหมายเลข 1 ถึง หมายเลข I จานวน 1 หมายเลขโดยใช้ วิธกี ารสุม่ แบบงา่ ย เพอ่ื นามาเป็นหมายเลขตัง้ ต้น เชน่ หมายเลข R 2.4 เลือกตวั อย่างจากประชากรจากกรอบตัวอย่างให้ครบตามที่กาหนดไว้ โดยนาหมายเลข R มาบวกกบั ค่าช่วงท่ไี ด้จากการคานวณในขอ้ 2.2 โดยใชส้ ตู ร R, R+I, R+2I, R+3I, R+4I, ……… 3. ทาการสุ่มกลุ่มทดลองใช้เคร่ืองมือด้วยหลักการเดียวกันกับ ข้อ 2 เพ่ือให้ได้กลุ่มทดลองใช้ เครื่องมือทไ่ี ม่ใช่กลุ่มตวั อย่างจานวน 30 คน 4. ในงานวิจัยคร้ังนี้ พบว่ามีแบบสอบถามไม่สมบูรณ์ 5 ฉบับ ผู้วิจัยจึงได้คัดออก จึงได้ แบบสอบถามท้งั สิ้น 166 ฉบบั เครือ่ งมือท่ใี ชใ้ นกำรวิจยั เคร่ืองมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลครง้ั นี้ คือ แบบประเมนิ กิจกรรมทางกายสาหรับนิสิตของนิสิต พยาบาลชั้นปีท่ี 1 และช้ันปีท่ี 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยเคร่ืองมือสร้างโดยผู้วิจัย จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ประกอบไปด้วย แบบสอบถามน้ีมีจานวน 2 ตอน มีลักษณะเป็น แบบตรวจคาตอบ (check-list) ดังน้ี

30 ตอนที่ 1 ข้อมูลท่วั ไปเกย่ี วกับผตู้ อบแบบสอบถาม ประกอบไปดว้ ย เพศ อายุ โรคประจาตัว ระดับชน้ั ปี ที่พักอาศยั และยานพาหนะที่ใชใ้ นการเดินทาง ตอนท่ี 2 แบบประเมินกจิ กรรมทางกายของนสิ ติ พยาบาล มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ประจาปี การศึกษา 2562 โดยจาแนกออกเปน็ 3 ดา้ น คอื 2.1 กิจกรรมดา้ นการออกกาลงั กาย มีทั้งหมด 20 ข้อ 2.2 กิจกรรมด้านการทางานบ้าน มที ้งั หมด 8 ขอ้ 2.3 กจิ กรรมด้านนันทนาการ มีท้งั หมด 15 ข้อ โดยรวมจานวนข้อทัง้ หมด 43 ขอ้ คะแนนตา่ สดุ คือ 0 คะแนน คะแนนสูงสุด 129 คะแนน การให้คะแนนแบบประเมนิ น้นั มเี กณฑ์การใหค้ ะแนน ดังน้ี ความถ/ี่ สปั ดาห์ ไมไ่ ด้ปฏบิ ตั ิ ให้ 0 คะแนน 1-2 ครง้ั ให้ 1 คะแนน 3-4 คร้ัง ให้ 2 คะแนน 5-7 คร้งั ให้ 3 คะแนน เกณฑ์การแปลความหมายของคะแนน เพื่อแสดงถึงกิจกรรมทางกายของนิสิตของนิสิตพยาบาล ชน้ั ปีที่ 1 และชั้นปีท่ี 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ประจาปีการศึกษา 2562 โดยพิจารณาจากค่าคะแนนเฉลี่ย โดยแบ่งคะแนนเฉลี่ยเป็น 3 ระดับและแบ่งคะแนนเฉลี่ยออกเป็น 3 ด้าน คือ กิจกรรมด้านการ ออกกาลังกาย กิจกรรมด้านการทางานบ้านและกิจกรรมด้านนันทนาการ โดยคานวณช่วงคะแนนพิสัย จากสตู ร (บญุ ใจ ศรีสถติ ย์นรากูร, 2545, หนา้ 304-305) ชว่ งคะแนน = คะแนนสงู สดุ – คะแนนตา่ สุด 3 กิจกรรมด้ำนกำรออกกำลังกำย ชว่ งคะแนน = 60 – 0 3 = 20 ซงึ่ สามารถแปลผลคะแนนการมีกิจกรรมทางกาย กิจกรรมด้านการออกกาลงั ได้ ดังน้ี คะแนนเฉลย่ี กำรแปลผล 40.00 – 60.00 มีกิจกรรมทางกายดา้ นการออกกาลังกายในระดบั มาก 20.00 – 39.99 มีกจิ กรรมทางกายดา้ นการออกกาลังกายในระดบั ปานกลาง 0.00 – 19.99 มกี ิจกรรมทางกายออกกาลงั กายในระดบั ต่า

31 กิจกรรมดำ้ นกำรทำงำนบ้ำน ชว่ งคะแนน = 24 – 0 3 =8 ซึ่งสามารถแปลผลคะแนนการมกี จิ กรรมทางกาย กิจกรรมดา้ นการทางานบ้านได้ ดงั นี้ คะแนนเฉลย่ี กำรแปลผล 16.00 – 24.00 มีกจิ กรรมทางกายดา้ นการทางานบา้ นในระดับมาก 8.00 – 15.99 มีกจิ กรรมทางกายด้านการทางานบ้านในระดับปานกลาง 0.00 – 7.99 มีกจิ กรรมทางกายด้านการทางานบ้านในระดบั ตา่ กจิ กรรมด้ำนนันทนำกำร ชว่ งคะแนน = 45 – 0 3 = 15 ซ่ึงสามารถแปลผลคะแนนการมีกจิ กรรมทางกาย กจิ กรรมดา้ นนนั ทนาการได้ ดงั นี้ คะแนนเฉล่ีย กำรแปลผล 30.00 – 45.00 มกี จิ กรรมทางกายดา้ นนันทนาการในระดับมาก 15.00 – 29.99 มีกจิ กรรมทางกายดา้ นนันทนาการในระดบั ปานกลาง 0.00 – 14.99 มกี จิ กรรมทางกายดา้ นนันทนาการในระดับต่า กจิ กรรมทำงกำย ชว่ งคะแนน = 129 – 0 3 = 43 ซง่ึ สามารถแปลผลคะแนนการมกี ิจกรรมทางกาย ทง้ั 3 ด้าน ไดแ้ ก่ ด้านการออกกาลงั กาย ดา้ นการ ทางานบา้ น และดา้ นกจิ กรรมนนั ทนาการ ดังนี้

32 คะแนนเฉลี่ย กำรแปลผล 86.00 – 129.00 มกี จิ กรรมทางกายดา้ นนนั ทนาการในระดับมาก 43.00 – 85.99 มีกจิ กรรมทางกายด้านนนั ทนาการในระดับปานกลาง 0.00 – 42.99 มกี จิ กรรมทางกายดา้ นนันทนาการในระดบั ตา่ กำรตรวจสอบคุณภำพเครือ่ งมอื ผู้วจิ ัยได้ดาเนนิ การตามลาดบั ดังน้ี 1. ความเท่ียงตรง (validity) โดยนาแบบสอบถามที่สร้างข้ึนไปให้ผู้เช่ียวชาญจานวน 3 ท่าน ประเมินความตรงตามเน้ือหา โดยพิจารณาทีละข้อความว่าสอดคล้องกับเนื้อหาหรือไม่ เน้นที่ระดับ ความเห็นด้วยของผู้เชี่ยวชาญต่อข้อความน้ันๆ การกาหนดระดับความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญท่ีมีต่อ ข้อความแต่ละข้อโดยใช้ มาตราส่วนประเมินค่า 4 ระดับ คือ ไม่สอดคล้อง ให้ 1 คะแนน สอดคล้องน้อย ให้ 2 คะแนน สอดคล้องค่อนข้างมาก ให้ 3 คะแนนสอดคล้องมาก ให้ 4 คะแนน แล้วนามาคานวณ ค่า CVI ซ่งึ Polit & Beck (2008) เรยี กว่า I-CVI (ค่า CVI ทไ่ี ดจ้ ากการพิจารณารายข้อ : Item) ค่า CVI ท่ี ดีควรมีค่า > .80 (Polit & Beck, 2008) แบบสอบถามท่มี ีความสมบูรณ์ คา่ CVI จะเท่ากับ 1 2. ปรับปรุงแบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของผู้เช่ียวชาญแล้วดาเนินการแก้ไข ให้สมบูรณ์ก่อน นาไปทดลองใช้ โดยคา่ ดัชนคี วามตรงเชงิ เน้อื หา มีคา่ เท่ากับ .95 3. นาแบบสอบถามท่ปี รบั ปรงุ แล้วไปทดลองใช้ (try out) กับนิสติ ทีไ่ ม่ใช่กลุ่มตวั อย่างจานวน 30 คน เพ่ือหาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเพื่อหาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามด้วยวิธีการหาค่า สัมประสิทธ์สิ หสัมพนั ธ์ อลั ฟา่ (alpha coefficient) ของ Cronbach (สวุ มิ ล ติรกานันท์, 2555, หน้า 156 อา้ งถึงใน อาภากร แสงหิรญั วฒั นา, 2559) ไม่ไดป้ ฏบิ ตั ิ ให้ 0 คะแนน 1-2 ครงั้ ให้ 1 คะแนน 3-4 ครงั้ ให้ 2 คะแนน 5-7 คร้งั ให้ 3 คะแนน แล้วนาค่าที่ได้แต่ละข้อมาคานวณหาค่าสัมประสิทธิ์ครอนบาค โปรแกรม SPSS สามารถคานวณค่าน้ีได้ 0.702 กำรรวบรวมขอ้ มลู ผู้วิจยั ใช้วิธเี ก็บรวบรวมขอ้ มลู ดงั นี้ 1. ทาหนังสือขออนุญาตจากคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรเพ่ือขอเข้าเก็บ ขอ้ มลู วจิ ยั กบั กล่มุ ตวั อยา่ ง

33 2. เม่ือได้รับอนุญาตแล้ว คณะผู้วิจัยติดต่อกับเจ้าหน้าท่ีแผนระเบียนนิสิตเพื่อขอทราบรายชื่อ นิสติ ชน้ั ปีที่ 1 และชนั้ ปีที่ 4 3. เมื่อได้รายช่ือนิสิตช้ันปที ี่ 1 และชั้นปีที่ 4 มาแล้ว เรียงตามระบบบัญชีเรียกชอื่ การสุ่มจะแบ่ง ประชากรออกเป็นช่วงๆท่ีเท่ากันโดยใช้ช่วงจากสัดส่วนของขนาดกลุ่มตัวอย่างและประชากรแล้วสุ่ม ประชากรหน่วยแรก ส่วนหนว่ ยตอ่ ๆไปนับจากชว่ งสดั ส่วนทีค่ านวณไว้ 4. เม่ือได้รายช่ือนิสิตชั้นปีที่ 1 และช้ันปีที่ 4 มาแล้วทาการติดต่อหัวหน้าชั้นปีในแต่ละช้ันปี เพื่อทาการแจกแบบประเมิน (ใส่ซองสีนา้ ตาลขนาดใหญ่) และขอนดั รบั คนื อีก 1 สปั ดาหต์ อ่ มา 5. หัวหน้าช้ันปีทาการแจกแบบประเมินตามรายช่ือที่ได้ทาการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ (systematic sampling) กำรวิเครำะหข์ อ้ มูล ผู้วิจัยนาข้อมูลไปวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรมสาเร็จในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ดังน้ี ใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (x̄ ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (SD.) ในการวิเคราะห์กิจกรรมทางกายและใช้ Independent t-test ในการเปรียบเทยี บคา่ คะแนนการมีกจิ กรรมทางกายระหว่างนิสติ พยาบาลช้ันปที ่ี 1 และช้ันปีท่ี 4 และใช้ Chi-square test ในการเปรียบเทียบข้อมูลท่ัวไปของนิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 1 และ ช้ันปีท่ี 4 ได้แก่ เพศ โรคประจาตวั ทพ่ี กั อาศยั และยานพาหนะท่ใี ช้ในการเดนิ ทาง กำรพทิ ักษส์ ทิ ธกิ์ ล่มุ ตัวอยำ่ ง การศึกษาคร้ังนี้มกี ารพทิ ักษ์สทิ ธ์ิกลมุ่ ตัวอย่าง โดยผูว้ ิจยั เสนอโครงร่างวิจยั เสนอตอ่ คณะกรรมการ จริยธรรมในมนุษย์ของมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อพิจารณาอนุมัติการทาวิจัย หลังได้รับอนุมัติแล้ว ผู้วิจัย ดาเนินงานและรวบรวมข้อมลู โดยผ้วู จิ ัยชแ้ี จงวตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั ประโยชน์ของการวิจัย ระยะเวลา ของการทาวิจัย วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล และสิทธิของกลุ่มตัวอย่างที่มีสิทธิในการตอบรับ หรือปฏิเสธ หรอื บอกเลกิ เข้ารว่ มในโครงการวจิ ัยเมื่อใดก็ได้ โดยไม่จาเป็นตอ้ งแจ้งเหตุผล และการบอกเลิกการเข้ารว่ ม การวิจัยน้ี จะไม่มีผลใดๆต่อกลุ่มตัวอย่าง ข้อมูลท่ีได้จะถูกบันทึกไว้ตามรหัสโดยไม่มีการระบุช่ือสกุล และ ถูกเก็บเป็นความลับ ข้อมูลจะถูกวิเคราะห์และนาเสนอในภาพรวม หากมีข้อสงสัยเก่ียวกับการวิจัย กลุ่มตัวอย่างสามารถสอบถามผู้วิจัยได้ตลอดเวลา ภายหลังส้ินสุดการวิจัย ผู้วิจัยจะนาข้อมูลที่ผ่าน การวิเคราะห์แล้วเสนอต่อผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนของคณะ พยาบาลศาสตร์ต่อไป หากกลุ่มตัวอย่าง ยินดีเข้าร่วมโครงการวิจัย และผู้แทนโดยชอบธรรม/ผู้ปกครอง อนุญาตให้เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยจึงให้แสดงคามยินยอมโดยการลงนามเป็ นลาย ลักษณ์อักษรในหนังสือแสดงความยินยอมเข้าร่วมโครงการวิจัย และหนังสือแสดงความยินยอมเข้าร่วม โครงการวจิ ยั สาหรับผู้แทนโดยชอบธรรม/ผปู้ กครอง

บทท่ี 4 ผลกำรวเิ ครำะห์ข้อมลู การวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาวิจัยเร่ือง การมีกิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาล มหาวิทยาลัย นเรศวร ผู้วิจัยได้นาข้อมูลจากแบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่าง จานวน 166 ชุด ที่ผ่านการตรวจสอบ คุณภาพแล้วนามาทาการวิเคราะห์ดว้ ยวธิ ีการทางสถติ โิ ดยมกี ารนาเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ดังต่อไปนี้ สัญลกั ษณ์ทใี่ ชใ้ นกำรวเิ ครำะห์ขอ้ มลู เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจตรงกนั ในการแปลความหมาย จากผลการวิเคราะห์ข้อมลู ผ้วู ิจัยได้กาหนด สญั ลกั ษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู ดังน้ี n หมายถึง ขนาดของกลมุ่ ตัวอยา่ ง x̄ หมายถึง คา่ เฉลีย่ เลขคณติ ของข้อมูลท่ไี ดจ้ ากกลุ่มตวั อย่าง SD. หมายถงึ คา่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลมุ่ ตัวอย่าง t หมายถงึ ค่าสถิติทดสอบ t-test x2 หมายถึง คา่ สถติ ทิ ดสอบ Chi-Square p หมายถงึ คา่ ความนา่ จะเปน็ * หมายถงึ มีนัยความสาคญั ทางสถติ ิท่ีระดับ .05 ผลกำรวิเครำะหข์ ้อมลู การนาผลการวิเคราะห์ข้อมูล และการแปลผลการวิเคราะหข์ ้อมูลการศึกษางานวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัย ได้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูป SPSS ในการประมวลผลข้อมูล ผู้วิจัยได้วิเคราะห์และนาเสนอใน รปู แบบของตารางประกอบคาอธิบาย โดยเรียงลาดับหัวข้อการวิเคราะห์ข้อมลู เป็น 3 ตอน ดงั น้ี ตอนที่ 1 การวเิ คราะห์ข้อมลู ทัว่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถามเปน็ แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) ตอนท่ี 2 การวิเคราะห์ขอ้ มูลระดับการมีกิจกรรมทางกายของนิสติ พยาบาลชน้ั ปที ี่ 1 และปที ี่ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ตอนที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมลู เปรียบเทยี บการมีกจิ กรรมทางกาย และเปรียบเทยี บข้อมลู ท่ัวไป ของนิสิตพยาบาลชัน้ ปีท่ี 1 และปที ี่ 4 มหาวิทยาลยั นเรศวร

36 ตอนที่ 1 ข้อมลู ท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่ำง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคร้ังน้ีมีจานวน 171 คน ภายหลังการเก็บรวบรวมข้อมูล พบว่า ผู้วิจัย ได้รับแบบสอบถามกลบั คนื 166 ฉบบั และเป็นแบบสอบถามทส่ี มบรู ณ์ ข้อมูลท่ัวไป ประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับ เพศ อายุ ช้ันปีที่กาลังศึกษา โรคประจาตัว ที่พักอาศัย และยานพาหนะทใ่ี ช้ในการเดินทาง ดังแสดงในตาราง 3 ตำรำงท่ี 3 แสดงจำนวน และรอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่ำง จำแนกตำมข้อมลู ทว่ั ไป ขอ้ มูลท่ัวไป ทงั้ หมด ชนั้ ปที ี่ 1 ชัน้ ปที ี่ 4 จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ เพศ ชาย 14 8.4 11 11.8 3 4.1 หญงิ 152 91.6 82 88.2 70 95.9 อำยุ 18-20 ปี 93 56.0 92 98.9 1 1.4 21 ปี ขึ้นไป 73 44.0 1 1.1 72 98.6 (Min=18, Max=26 x̄ =20.01 ป,ี SD.=1.81 ป) โรคประจำตวั 6 3.6 5 5.4 1 1.4 มี 160 96.4 88 94.6 72 98.6 ไมม่ ี ทีพ่ ักอำศยั 1 0.6 1 1.1 0 0 บ้านพกั อาศัย 82 49.4 82 88.2 0 0 หอพกั ในมหาวิทยาลยั 83 50 10 10.8 73 100 หอนอกมหาวิทยาลัย 000000 อื่นๆ

37 ข้อมูลท่ัวไป ทั้งหมด ชั้นปที ่ี 1 ช้นั ปที ่ี 4 จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ ยำนพำหนะทใี่ ช้ในกำรเดินทำง 4 2.4 1 1.1 3 4.1 รถยนต์ 120 72.3 50 53.8 70 95.9 รถจักรยานยนต์ รถโดยสารประจาทาง 00000 0 0 รถขนส่งมวลชนของมหาวิทยาลยั 42 25.3 42 45.2 0 จากตารางท่ี 3 พบว่า กลุ่มตวั อยา่ งมีจานวนทัง้ หมด 166 คน ส่วนใหญเ่ ป็นเพศหญงิ จานวน 152 คน (ร้อยละ 91.6) และเพศชาย จานวน 14 คน (รอ้ ยละ 8.4) แบ่งนิสิตพยาบาลช้ันปีที่ 1 จานวน 93 คน (ร้อยละ 56.02) และนิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 4 จานวน 73 คน (ร้อยละ 43.98) อายุเฉล่ียรวม 20.01 ปี (SD.=1.81 ปี) สาหรับโรคประจาตัว พบว่าโดย มีโรคประจาตัว จานวน 6 คน (ร้อยละ 3.6) ไม่มี โรคประจาตัว จานวน 160 คน (ร้อยละ 96.4) โดยนิสิตพยาบาลช้ันปีที่ 1 มีโรคประจาตัว จานวน 5 คน (ร้อยละ 5.4) ไม่มีโรคประจาตัว จานวน 88 คน (ร้อยละ 94.6) และนิสิตพยาบาลชั้นปีที่ 4 มี โรคประจาตัว จานวน 1 คน (ร้อยละ 1.4) ไม่มีโรคประจาตัว จานวน 72 คน (ร้อยละ 98.6) สาหรับ ท่พี ักอาศัยโดยภาพรวม ได้แก่ บ้านพักอาศัย จานวน 1 คน (ร้อยละ 0.6), หอพักในมหาวิทยาลัย จานวน 82 คน (ร้อยละ 49.4) และหอพักนอกมหาวิทยาลัย จานวน 83 คน (ร้อยละ 50) โดยนิสิตพยาบาล ช้ันปีท่ี 1 มีท่ีพักอาศัย ได้แก่ บ้านพักอาศัย จานวน 1 คน (ร้อยละ 1.1), หอพักในมหาวิทยาลัย จานวน 82 คน (ร้อยละ 88.2) และหอพักนอกมหาวิทยาลัย จานวน 10 คน (ร้อยละ 10.8) และนิสิตพยาบาล ชั้นปีที่ 4 มีท่ีพักอาศัย ได้แก่ หอพักนอกมหาวิทยาลัย จานวน 73 คน (ร้อยละ 100) และสาหรับ ยานพาหนะท่ีใช้ในการเดินทางโดยรวม ได้แก่ รถยนต์ จานวน 4 คน (ร้อยละ 2.4), รถจักรยานยนต์ จานวน 120 คน (ร้อยละ 72.3), รถขนส่งมวลชนของมหาวิทยาลัย จานวน 42 คน (ร้อยละ 25.3) และ ไม่มีผู้ใช้รถโดยสารประจาทาง โดยนิสิตพยาบาลช้ันปีที่ 1 ใช้ยานพาหนะในการเดินทาง ได้แก่ รถยนต์ จานวน 1 คน (ร้อยละ 1.1), รถจักรยานยนต์ จานวน 50 คน (ร้อยละ 53.8), รถขนส่งมวลชนของ มหาวิทยาลัย จานวน 42 คน (ร้อยละ 45.2) และไม่มีผู้ใช้รถโดยสารประจาทาง และนิสิตพยาบาลชน้ั ปีที่ 4 ใช้ยานพาหนะในการเดินทาง ได้แก่ รถยนต์ จานวน 3 คน (ร้อยละ 4.1), รถจักรยานยนต์ จานวน 70 คน (รอ้ ยละ 95.9), ไม่มีผใู้ ช้รถขนสง่ มวลชนของมหาวิทยาลยั และรถโดยสารประจาทาง

38 ตอนท่ี 2 ระดบั กำรมกี จิ กรรมทำงกำยของนสิ ติ พยำบำลชัน้ ปีที่ 1 และปที ี่ 4 มหำวทิ ยำลัยนเรศวร การแปลผลการมีกิจกรรมทางกายของนิสิตพยาบาลชั้นปีที่ 1 และปีที่ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้แก่ ด้านกจิ กรรมการออกกาลังกาย ด้านการทางานบ้าน และด้านกิจกรรมนนั ทนาการ ผู้วจิ ัยไดแ้ ปลผล ข้อมูลเปน็ ภาพรวมและรายดา้ น โดยจาแนกตามชนั้ ปที ีศ่ ึกษา ดังแสดงในตาราง 4-7 ตำรำงท่ี 4 แสดงค่ำเฉลี่ย ส่วนเบยี่ งเบนมำตรฐำน และระดบั กำรมกี จิ กรรมทำงกำยเปน็ ภำพรวม ตวั แปร รวมกลุ่มตวั อยำ่ ง (N=166) x̄ SD. ระดบั กจิ กรรมทำงกำย 32.40 7.14 ตา่ (Total Physical Activity) จากตารางท่ี 4 ระดบั การมกี จิ กรรมทางกายโดยภาพรวมของนิสติ พยาบาลชั้นปีที่ 1 และชัน้ ปีที่ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวรจัดอยู่ในระดับต่า (x̄ =32.40, SD.=7.14) ตำรำงท่ี 5 แสดงค่ำเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมำตรฐำน และระดับกำรมีกิจกรรมทำงกำยเป็นรำยด้ำน จำแนกตำมช้นั ปีท่ีศึกษำ ตวั แปร รวมกล่มุ ตวั อย่าง (N=166) ช้ันปที ่ี 1 (n=93) ชัน้ ปีที่ 4 (n=73) x̄ SD. ระดบั x̄ SD. ระดบั x̄ SD. ระดบั ดา้ นการออก 7.50 3.29 ตา่ 8.32 3.38 ตา่ 6.47 2.87 ตา่ กาลังกาย ด้านการทางาน 8.43 2.78 ปานกลาง 8.41 2.80 ปานกลาง 8.47 2.77 ปานกลาง บ้าน ดา้ นกิจกรรม 16.46 4.22 ปานกลาง 16.48 4.36 ปานกลาง 16.44 4.07 ปานกลาง นันทนาการ

39 จากตารางท่ี 5 พบว่า ด้านออกกาลังกายของนิสิตพยาบาล โดยภาพรวมอยู่ในระดับต่า (x̄ =7.50, SD.=3.29) ซึ่งแบ่งตามช้ันปี พบว่า นิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 1 มีการออกกาลังกายอยู่ในระดับต่า (x̄ =8.32, SD.=3.38) และนิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 4 มีการออกกาลังกายอยู่ในระดับต่า (x̄ =6.47, SD.= 2.87) ด้านการทางานบ้านของนิสิตพยาบาล โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( x̄ =8.43, SD.=2.78) ซึ่งแบ่งตามชั้นปี พบว่า นิสิตพยาบาลชั้นปีที่ 1 มีการทางานบ้านอยู่ในระดับปานกลาง (x̄ =8.41, SD.=2.80) และนิสิตพยาบาลช้ันปีที่ 4 มีการทางานบ้านอยู่ในระดับปานกลาง (x̄ =8.47, SD.=2.77) ด้านกิจกรรมนันทนาการของนิสิตพยาบาล โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( x̄ =16.46, SD.=4.22) ซ่ึงแบ่งตามชั้นปี พบว่า นิสิตพยาบาลช้ันปีท่ี 1 มีกิจกรรมนันทนาการอยู่ในระดับปานกลาง (x̄ =16.48, SD.=4.36) และนิสิตพยาบาลชั้นปีท่ี 4 มีกิจกรรมนันทนาการอยู่ในระดับปานกลาง (x̄ =16.44, SD.=4.07) ตำรำงท่ี 6 แสดงคำ่ เฉลยี่ กำรมีกจิ กรรมทำงกำยเป็นรำยขอ้ ในแต่ละด้ำน ของนิสิตพยำบำลชั้นปีที่ 1 ตวั แปร x̄ SD. กิจกรรมดำ้ นกำรออกกำลังกำย 1. ปน่ั จกั รยาน 0.29 0.54 2. กระโดดเชอื ก 0.04 0.20 3. แกวง่ แขน 1.54 1.00 4. เดินขึ้นบันได 2.80 0.54 5. เดนิ ออกกาลังกาย 1.98 0.91 6. วง่ิ ออกกาลงั กาย 0.97 0.84 7. ตอ่ ยมวย 0.00 0.00 8. วา่ ยน้า 0.00 0.00 9. เต้นแอโรบิก 0.19 0.50 10. เปตอง 0.00 0.00 11. ตะกร้อ 0.00 0.00 12. เทนนสิ 0.01 0.11 13. เขา้ ยิม / เข้าฟติ เนส 0.05 0.27 14. ฟุตซอล 0.00 0.00 15. ฟตุ บอล 0.00 0.00 16. เทเบลิ เทนนสิ 0.03 0.31 17. วอลเลยบ์ อล 0.13 0.49 18. แบดมนิ ตัน 0.19 0.44

40 ตัวแปร x̄ SD. 0.11 19. บาสเกตบอล 0.01 0.35 20. เทควันโด 0.09 กิจกรรมด้ำนกำรทำงำนบ้ำน 0.75 21. กวาดพนื้ หอพกั /บ้าน 1.68 0.71 22. ถพู ื้นหอพกั /บ้าน 1.18 0.44 23. ดูดฝุ่น 0.12 0.77 24. ซักผา้ 1.89 0.85 25. รดี ผ้า 1.85 0.33 26. ประกอบอาหาร 0.10 0.85 27. ล้างจาน 1.43 0.40 28. ล้างจกั รยานยนต์ 0.16 กจิ กรรมนันทนำกำร 0.56 29. ฟงั เพลง 2.75 0.95 30. รอ้ งเพลง 1.94 0.96 31. เล่นดนตรีเชน่ กีตาร์, กลองชดุ , เปยี โน ฯลฯ 0.68 0.53 32. ดโู ทรทัศน์ 0.15 0.89 33. ดูภาพยนตร์ 1.10 0.92 34. ใช้คอมพวิ เตอร/์ โทรศพั ทน์ อ้ ยกว่าวันละ 0.78 0.74 2 ชัว่ โมง/ วนั 2.38 35. ใชค้ อมพวิ เตอร/์ โทรศพั ทม์ ากกวา่ วันละ 0.86 0.82 2 ช่ัวโมง/วนั 0.84 36. ใช้ส่อื โซเชียลมิเดยี เชน่ Facebook , Instagram 2.32 0.75 , Line , Twitter ฯลฯ นอ้ ยกว่าวนั ละ 2 ช่วั โมง/วนั 1.73 37. ใช้สื่อโซเชยี ลมเิ ดยี เชน่ Facebook , Instagram 0.34 , Line , Twitter ฯลฯ มากกวา่ วนั ละ 2 ชว่ั โมง/วัน 0.14 0.45 38. อ่านหนงั สือ เช่น ตาราเรยี น , นยิ าย , การต์ นู 0.27 0.61 0.30 0.95 ฯลฯ 0.59 0.73 39. ให้อาหารปลา 0.54 40. เข้าวดั ทาบญุ 41. นงั่ สมาธิ 42. เตน้ สันทนาการ 43. เข้าค่าย/กิจกรรมชมรม

41 จากตารางที่ 6 แสดงค่าเฉลี่ยการมีกิจกรรมทางกายเป็นรายข้อในแต่ละด้านของนิสิตพยาบาล ชน้ั ปีท่ี 1 พบว่า ด้านกจิ กรรมการออกกาลังกายของนิสิตพยาบาลช้ันปที ่ี 1 โดยเรียงส่วนทป่ี ฏิบตั ิมากทสี่ ุด ไปยังส่วนที่ปฏิบัติน้อยท่ีสุด ดังน้ี เดินขึ้นบันได (x̄ =2.80, SD.=0.54) เดินออกกาลังกาย (x̄ =1.98, SD.=0.91) แกว่งแขน (x̄ =1.54, SD.=1.00) วิ่งออกกาลังกาย (x̄ =0.97, SD.=0.84) ปั่นจักรยาน (x̄ =0.29, SD.=0.54) เต้นแอโรบิก, แบดมินตัน (x̄ =0.19, SD.=0.50) วอลเลย์บอล (x̄ =0.13, SD.=0.49) เทควันโด (x̄ =0.09, SD.=0.35) เข้ายิม/เข้าฟิตเนส (x̄ =0.05, SD.=0.27) กระโดดเชือก (x̄ =0.04, SD.=0.20) เทเบิลเทนนิส (x̄ =0.03, SD.=0.31) เทนนิส (x̄ =0.01, SD.=0.11) บาสเกตบอล (x̄ =0.01, SD.=0.11) และตอ่ ยมวย, ว่ายน้า, เปตอง, ตะกร้อ, ฟุตซอล, ฟตุ บอล (x̄ =0.00, SD.=0.00) ด้านการทางานบ้านของนิสิตพยาบาลช้นั ปีที่ 1 โดยเรียงส่วนที่ปฏบิ ัติมากที่สุดไปยังสว่ นท่ีปฏิบัติ น้อย ดังนี้ ซักผ้า (x̄ =1.89, SD.=0.77) รีดผ้า (x̄ =1.85, SD.=0.85) กวาดพ้ืนหอพัก/บ้าน (x̄ =1.68, SD.=0.75) ล้างจาน (x̄ =1.43, SD.=0.85) ถูพ้ืนหอพัก/บ้าน (x̄ =1.18, SD.=0.71) ล้างจักรยานยนต์ (x̄ =0.16, SD.=0.40) ดดู ฝนุ่ (x̄ =0.12, SD.=0.44) และประกอบอาหาร (x̄ =0.10, SD.=0.33) ดา้ นกิจกรรมการนันทนาการของนิสิตพยาบาลช้ันปีท่ี1 โดยเรียงส่วนที่ปฏิบัติมากที่สุดไปยังส่วน ท่ีปฏิบัติน้อย มีดงั นี้ ฟังเพลง (x̄ =2.75, SD.=0.56) ใช้คอมพิวเตอร์/โทรศัพท์มากกว่าวันละ 2 ชั่วโมง/วัน (x̄ =2.38, SD.=0.74) ใช้สื่อโซเชียลมิเดีย เช่น Facebook, Instagram, Line, Twitter ฯลฯ มากกว่า วันละ 2 ชั่วโมง/วัน (x̄ =2.32, SD.=0.84) ร้องเพลง (x̄ =1.94SD.=0.95) อ่านหนังสือ เช่น ตาราเรียน, นิยาย, การ์ตูน ฯลฯ (x̄ =1.73, SD.=0.75) ภาพยนตร์ (x̄ =1.10, SD.=0.89) ใช้สื่อโซเชียลมิเดีย เช่น Facebook, Instagram, Line, Twitter ฯลฯ น้อยกว่าวันละ 2 ช่ัวโมง/วัน (x̄ =0.82, SD.=0.86) ใช้ คอมพิวเตอร์/โทรศัพท์น้อยกวา่ วันละ 2 ชั่วโมง/วัน (x̄ =0.78, SD.=0.92) เล่นดนตรีเช่น กีตาร,์ กลองชุด, เปียโน ฯลฯ (x̄ =x̄ =0.68, SD.=0.68) เต้นสันทนาการ (x̄ =0.59, SD.=0.95) เข้าค่าย/กิจกรรมชมรม (x̄ =0.54, SD.=0.73) นั่งสมาธิ (x̄ =0.30, SD.=0.61) เข้าวัดทาบุญ (x̄ =0.27, SD.=0.45) ดูโทรทัศน์ (x̄ =0.15, SD.=0.53) และให้อาหารปลา (x̄ =0.14, SD.=0.34) ตำรำงท่ี 7 แสดงค่ำเฉล่ียกำรมีกิจกรรมทำงกำยเป็นรำยข้อในแต่ละด้ำน ของนิสิตพยำบำล ชนั้ ปที ี่ 4 ตวั แปร x̄ SD. กิจกรรมดำ้ นกำรออกกำลังกำย 0.03 0.16 1. ปั่นจกั รยาน 0.10 0.51 2. กระโดดเชอื ก 1.03 0.90 3. แกวง่ แขน 2.68 0.62 4. เดินขน้ึ บันได 1.21 0.90 5. เดินออกกาลงั กาย 0.71 0.89 6. วงิ่ ออกกาลังกาย