ปรญิ ญานิพนธ์ เรอื่ ง ผลของโปรแกรมการจดั การความเครียดโดยวิธีการผอ่ นคลาย ต่อความเครียดของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร The effect of stress management program by using relaxation method on stress of student nurse, Faculty of Nursing, Naresuan University. คณะผ้จู ัดทำ 61560398 นางสาวณัฐริกา ประสงค์ 61560428 นางสาวตรัยพร ปัญญาไว 61560497 นางสาวธนัญพรรษ พงศช์ ลฤทธ์ิ 61560558 นางสาวนภัทสร บญุ มาก 61561012 นางสาววารุณี ไชยปญั ญา 61561067 นายศักดส์ิ ิทธ์ิ ทองเชื้อ 61561234 นางสาวสุทศิ า อนิ ขำเครอื 61561319 นางสาวสุวนันท์ วงษ์จวง เสนอ ผศ.ดร.เชาวนี ล่องชผู ล รายวชิ า 501378 วจิ ัยเบ้ืองต้นทางการพยาบาล ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2562 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร
กติ ตกิ รรมประกาศ งานวจิ ยั ฉบบั น้สี ำเรจ็ ลงได้ดว้ ยดี เนื่องจากได้รบั ความกรุณาอย่างสูงจาก ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. เชาวนี ลอ่ งชผู ล อาจารย์ทป่ี รกึ ษางานวิจัย ท่กี รณุ าใหค้ ำแนะนำปรกึ ษา ตลอดจนปรบั ปรงุ แก้ไขขอ้ บกพร่องตา่ ง ๆ ดว้ ย ความเอาใจใสอ่ ยา่ งดยี ่ิง ผ้วู ิจยั ตระหนกั ถึงความต้ังใจจริงและความทุ่มเทของอาจารย์ และขอกราบขอบพระคณุ เป็นอยา่ งสงู ไว้ ณ ทน่ี ้ี ขอขอบพระคณุ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. สุนทรภี รณ์ มีพริ้ง ดร.นศิ ากร โพธมิ าศ และดร.มาณิกา เพชร รตั น์ คณะอาจารย์กลุม่ วชิ าการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ซึ่งเป็น ผู้ทรงคุณวุฒทิ ่ีให้ความอนเุ คราะหต์ รวจสอบคุณภาพเคร่ืองมอื วิจัย รวมถึงขอขอบคุณกลุ่มตัวอย่าง คือ นสิ ติ คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ระดบั ปรญิ ญาตรี ปีการศกึ ษา 2563 ชนั้ ปที ่ี 1 จำนวน 60 คน ทใ่ี หค้ วาม รว่ มมอื ในเขา้ ร่วมโปรแกรมการจัดการกับความเครยี ดการ จนทำให้งานวิจยั นส้ี ำเรจ็ ลลุ ่วงไปด้วยดี อนง่ึ ผวู้ ิจัยหวงั ว่า งานวจิ ยั ฉบบั น้ีจะมีประโยชนอ์ ยู่ไม่นอ้ ย จงึ ขอมอบส่วนดี ทั้งหมดน้ี ใหแ้ ก่เหล่าคณาจารย์ ท่ี ได้ประสทิ ธิประสาทวชิ าจนทำให้ผลงานวจิ ยั เป็นประโยชนต์ ่อท่ีเก่ียวขอ้ ง สำหรับขอ้ บกพร่องต่าง ๆ ท่ีอาจจะ เกดิ ขึน้ นน้ั ผูว้ ิจยั ขอน้อมรบั ผิดเพยี งผูเ้ ดยี ว และยินดีทจ่ี ะรับฟังคำแนะนำจากทุกทา่ นทไ่ี ดเ้ ข้ามาศกึ ษาเพ่ือเป็น ประโยชนใ์ นการพฒั นางานวิจัยต่อไป คณะผู้วจิ ยั 2563
บทคดั ย่อ วจิ ยั กงึ่ ทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลงั การทดลองครั้งน้มี ีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรม การจัดการความเครยี ดโดยวิธผี ่อนคลายต่อการลดลงของระดับความเครยี ดในนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ ระหว่าง กลมุ่ ท่ไี ด้รับโปรแกรมการจดั การความเครียดโดยวธิ กี ารผอ่ นคลายกับกลมุ่ ท่ไี ด้รับการดูแลตามมาตรฐานของ มหาวทิ ยาลยั กลุม่ ตัวอย่างได้แก่นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศ ช้ันปีท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2563 ที่ผ่าน การทำแบบประเมินวัดความเครยี ดกรมสขุ ภาพจิต (STSP-20) และมคี ะแนนความเครียดตัง้ แต่ 24-61 คะแนน จำนวน 60 คน โดยแบง่ เปน็ 2 กลุม่ คือ กลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือทีใ่ ช้ในงานวจิ ัยคอื แบบวดั ความเครยี ดกรมสขุ ภาพจติ (STSP-20) โดยผ่านการตรวจสอบความตรงโดยผู้เชย่ี วชาญ ทดสอบความ เชื่อม่ันโดยวิธกี าร Cronbach’s Alpha เท่ากบั .94 และ โปรแกรมการจดั การความเครียดโดยวธิ ีผอ่ นคลายผา่ น การตรวจสอบคุณภาพโดยผู้ทรงคณุ วุฒิ คา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ งของเครื่องมือ มีคา่ มากกว่า 0.5 ขน้ึ ไป เก็บรวบรวม ขอ้ มูลโดยรวบรวมคะแนนจากแบบวัดความเครยี ดกรมสุขภาพจิต (STSP-20) ของกลมุ่ ตัวอย่างท้ังก่อนและหลัง การทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใชส้ ถิตพิ รรณนา ได้แก่ คา่ เฉล่ีย สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และสถิติ T-test ผลการวจิ ยั มีดงั ตอ่ ไปนี้ เมื่อสิ้นสดุ การทดลองพบวา่ กลุ่มทดลองท่ไี ดเ้ ข้าร่วมโปรแกรมการจดั การความเครยี ดโดยวิธกี ารผอ่ นคลาย มีคา่ เฉล่ยี คะแนนความเครยี ดนอ้ ยกวา่ กลุ่มควบคุมทีไ่ ด้รบั การดแู ลตามาตรฐานมหาวิทยาลัยอย่างมีนัยสำคัญทาง สถติ ิท่รี ะดบั .05 สรุปผลวิจัยและข้อเสนอแนะโปรแกรมการจัดการความเครียดโดยวิธีผอ่ นคลายทีผ่ วู้ ิจัยสรา้ งขน้ึ สามารถทำ ให้นสิ ิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ชนั้ ปีท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563 มีระดับความเครียดทีล่ ดลง ผวู้ ิจยั จึงเหน็ สมควรว่าโปรแกรมการจดั การความเครยี ดโดยวธิ ผี ่อนคลายสามารถนำไปปรับใชก้ ับนิสติ คณะอื่นๆได้
Abstract This quasi-experimental resarch two-group was aimed to study the effects of a relaxation stress management program on the reduction of stress levels in nursing student, Naresuan University. Between the groups who received the relaxation stress management program and those receiving the standard university care. The sample group was students of Faculty of Nursing. Naresuan University, first academic year nursing student, Academic Year 2020, who completed the Department of Mental Health Stress Measurement Assessment (STSP-20) and had a stress score ranging from 24-61 scores of 60 people, divided into 2 groups: the experimental group and the control group, 30 each. The research tools were Department of Mental Health Stress Measurement Form (STSP-20), which was validated by experts. Tested for confidence using Cronbach's Alpha method of .94 and stress management program by a qualified relaxation method. The instrument consistency index value is greater than 0.5 Data were collected by collecting scores from the Department of Mental Health Stress Scale (STSP- 20) of the samples before and after the experiment. The data were analyzed using descriptive statistics including mean, standard deviation and Independent T-test statistics. The results of the research are as follows. The result showed that of the trial, it was found that the experimental group that participated in the stress management program by relaxation method had a statistically significantly less average stress score than the standard university eye care control group of .05. Conclusion of the research results and the recommendations of the relaxation stress management program created by the researcher could make nursing students Naresuan University, Year 1, Academic Year 2020, had lower stress levels. The researcher therefore deems it appropriate that the stress management program by relaxation method can be applied to other faculties.
สารบญั บทที่ หน้า 1 บทนำ .........................................................................................................................................................1 ทมี่ าและความสำคัญ..........................................................................................................................................1 คำถามการวิจัย ..................................................................................................................................................3 วตั ถปุ ระสงค์ ......................................................................................................................................................3 ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ งทใี่ ชใ้ นงานวิจยั .........................................................................................................3 ประชากร.......................................................................................................................................................3 กลุ่มตวั อย่าง ..................................................................................................................................................3 ตวั แปรทศ่ี กึ ษา...................................................................................................................................................4 สมมติฐาน ..........................................................................................................................................................4 ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะไดร้ ับ.................................................................................................................................4 นยิ ามศพั ท์ .........................................................................................................................................................4 กรอบแนวคิดการวิจัย ........................................................................................................................................5 2 เอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง ..................................................................................................................7 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วข้องกบั ความเครยี ดและการจัดการกบั ความเครยี ด..…...............................................8 ความหมายของความเครียด…………….…………………………………………….……………………………………………………8 ความหมายการจดั การกับความเครยี ด.………………………………………………………………………………………………..9 กระบวนการจัดการความเครยี ด………….………………………………………….…………………………………………………11 รูปแบบการจดั การกับความเครียด……….………………………………………….………………………………………………..15 เอกสารทีเ่ กีย่ วข้องกบั วิธกี ารจัดการความเครยี ด..........................................................................................……15 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ.................................................................16 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กี่ยวข้องกบั การฝึกหายใจ...........................................................................................24 เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวขอ้ งกับดนตรี........................................................................................................26
สารบญั (ตอ่ ) บทท่ี หน้า งานวจิ ัยท่ีเก่ยี วข้องกบั วิธีการจดั การความเครยี ด............................................................................................35 3 วิธกี ารดำเนนิ งานวจิ ยั ...............................................................................................................................33 การกำหนดประชากรและการเลือกกลุ่มตวั อยา่ ง............................................................................................. 33 การคัดเลือกกลุ่มตวั อย่าง ................................................................................................................................ 34 เกณฑ์การคัดออก ....................................................................................................................................... 35 เกณฑ์การยตุ ิการเข้าร่วมโครงการวิจัย ........................................................................................................ 36 ระยะเวลาในการทดลอง ................................................................................................................................. 36 การออกแบบการวิจัย...................................................................................................................................... 36 การสร้างเคร่ืองมือท่ีใช้ในการวจิ ัย ................................................................................................................... 36 การหาคณุ ภาพของเครอ่ื งมอื ........................................................................................................................... 36 ตวั อยา่ งการโปแกรมการจัดการความเครียดโดยวิธีการผอ่ นคลาย................................................................... 37 การเก็บรวบรวมข้อมูล .................................................................................................................................... 39 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ......................................................................................................................................... 39 การพทิ ักษส์ ิทธิ์ผูเ้ ข้าร่วมโครงการวิจัย ............................................................................................................. 39 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล...............................................................................................................................40 สญั ลักษณใ์ นการวิเคราะหข์ ้อมูล ..................................................................................................................... 40 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................................................................................... 40 5 สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ......................................................................................................41 สรปุ ผลการวจิ ยั ............................................................................................................................................... 41 อภปิ รายผล..................................................................................................................................................... 41 ขอ้ เสนอแนะเพื่อการปฏิบตั ิ ............................................................................................................................ 43 ข้อเสนอแนะเพ่ือการวจิ ยั ต่อไป ....................................................................................................................... 43 บรรณานุกรม................................................................................................................................................45 ประวัติผู้วิจยั โดยย่อ......................................................................................................................................48
สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 ผลการเปรยี บเทียบคา่ เฉล่ียระดับความเครียดของนสิ ติ กลุม่ ทดลองที่ไดร้ ับโปรแกรมการจัดการ ความเครยี ดโดยวธิ ผี อ่ นคลาย กบั กลมุ่ ควบคุมที่ได้รับการดูแลตามมาตรฐานของมหาวิทยาลัย กอ่ นและหลังทำการทดลอง……………………………………………………………………………………………………….46
สารบญั รูปภาพ ภาพประกอบ หนา้ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย……………………………………………………………………………………………………7 2 ประชาสัมพันธ์เชิญชวนเข้าร่วมวจิ ัย………………………………………………………………………………39
1 บทที่ 1 บทนำ ทีม่ าและความสำคัญ ความเครยี ด เปน็ ภาวะสขุ ภาพที่เกิดจากการทบ่ี ุคคลต้องเผชญิ กบั สงิ่ แวดลอ้ ม สถานการณบ์ ุคคลที่ต้องมี ปฏิสัมพนั ธร์ ว่ มกนั ซงึ่ การแสดงออกทางอารมณ์จะมคี วามแตกต่างกันขน้ึ อยกู่ ับการประเมินปัญหาของบคุ คล หรือ สิง่ ต่างๆที่มากระทบ หากบุคคลประเมินสงิ่ ต่างๆเหล่านน้ั ว่าคุกคามเกินท่ีจะจัดการไดอ้ าจสง่ ผลใหเ้ กดิ ปญั หาต่อการ ปรับตัว หากไมส่ ามารถจัดการกบั ปัญหาทเ่ี ผชญิ ไดอ้ าจนำมาซึ่งปญั หาสขุ ภาพ (Lazarus, 1976; Linden,2005) โดยธรรมชาตเิ มอื่ เกดิ ความเครียดข้ึน บคุ คลจะปรบั ตัวเข้าสภู่ าวะสมดุล ระดับความเครยี ด ข้นึ อยกู่ ับสภาพปญั หา การคดิ การประเมินของแต่ละบคุ คล ถา้ บุคคลมองวา่ ปัญหาท่ปี ระสบอยนู่ ้นั ใหญ่ รุนแรง แก้ ไม่ไหว และไม่มีใครช่วยกจ็ ะเกดิ ความเครยี ดมาก การมีความเครยี ดระดบั ที่พอดีจะกระตุน้ ใหม้ ีพลัง มีความ กระตือรือรน้ ในการต่อสูช้ วี ิต ช่วยผลกั ดนั ให้เอาชนะอุปสรรคต่างๆไดด้ ขี ึ้น แต่เมื่อใดท่ีมคี วามเครยี ดสงู โดยเฉพาะ เครยี ดเปน็ เวลานาน จะส่งผลตอ่ สขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิต( Chareonwutpong &Wattradul, 2011) จากการ สำรวจความเครยี ดในประเทศไทย พบวา่ ความเครียดเปน็ ปัญหาสขุ ภาพท่ีพบไดใ้ นทุกชว่ งวยั (สถาบนั วจิ ยั และ บรกิ ารวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสมั ชญั ,2559) โดยนกั ศกึ ษาพยาบาลเป็นกลุ่มบคุ คลที่มคี วามเครียดในระดบั สูง โดยนกั ศกึ ษาชว่ งวยั 18-22 ปี เปน็ ช่วงท่ีต้องปรบั ตวั กับการเปล่ยี นแปลงต่างๆ เช่น การเปล่ียนท่ีอยู่อาศยั การ ปรบั ตัวกับการเรยี นและหลักสูตรเฉพาะสาขา ก่อใหเ้ กิดความเครียดแก่ผู้เรยี น เน่อื งจากมกี ารเรียนท่หี นัก และมี การฝึกปฏิบัติการพยาบาลตามลักษณะของวิชาชพี ซง่ึ เกย่ี วขอ้ งโดยตรงกับชีวิตและความปลอดภัยของผรู้ บั บริการ (สริ ทิ รัพย์ สหี ะวงษ์ และคณะ, 2561) โดยเฉพาะนิสติ ชัน้ ปีที่ 1 น้ียงั อย่ใู นชว่ งวยั รุน่ เปน็ วัยทีม่ กี ารเปลย่ี นแปลง ทางดา้ นรา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เปน็ วยั ทีม่ ีปัญหาในเร่ืองของการปรบั ตัว และคุณลกั ษณะ ด้านความม่ันคงทางอารมณ์ กลา่ วคือ มีอารมณเ์ ปลี่ยนแปลงไดง้ ่าย หวน่ั ไหว วติ กกงั วล มีอารมณร์ ุนแรง จึงเกิด ความเครยี ดทางอารมณ์ได้งา่ ย ( ญาดา หลาวเพช็ ร, 2544 ; อา้ งองิ จาก ศรีธรรม ธนะภมู ิ, 2535) เชน่ เดียวกนั กบั ในประเทศอเมริกาท่ีมกี ารสำรวจพบวา่ ประชาชนมีความเครียดอยใู่ นระดบั ปานกลาง ถึงระดับสูง ซง่ึ ช่วงอายุทีม่ ี ระดับความเครยี ดสงู กว่าปกติและสูงที่สุดคือ ชว่ งอายุ 18 -35 ปี (APA, 2015) ทง้ั น้ีจากการสำรวจยังพบวา่ ปจั จยั ท่นี ำมาซึ่งความเครยี ดแตกต่างกันออกไป นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ช้ันปีที่ 1 เป็นกล่มุ บุคคลที่มีความเครียดโดยรวมอยใู่ นระดบั ปานกลาง (สพุ าณี วรรณสา และคณะ, 2560) ซึ่งอาจเป็นเพราะเปน็ ช่วงวยั ทีม่ ีการเปลย่ี นแปลงในการดำเนินชวี ิต ท้ังจากภายใน ตนเอง ซึ่งไดแ้ ก่ การเปลย่ี นแปลงช่วงวัยรุ่นเปน็ วยั ผู้ใหญ่ที่ตอ้ งรบั ผิดชอบตนเองมากข้นึ มกี ารเปล่ยี นแปลง ภายนอก ซึ่งได้แก่ การเปล่ียนแปลงจากสิง่ แวดล้อมเดิมๆ ของตนเองมาเป็นสง่ิ แวดล้อมใหม่และใหญ่ขึ้นกวา่ เดิม ในสถานศึกษาใหม่ เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ ภาวะเศรษฐกจิ ใหมร่ วมทั้งการเรียน การสอนท่ีเปลีย่ นไปทตี่ ้องมี การศกึ ษาค้นควา้ หาความรู้ เรียนรดู้ ว้ ยตนเองมากขน้ึ ต้องช่วยเหลอื ตนเองมากขนึ้ (พรรณพมิ ล หลอ่ ตระกูล, 2554) ซึ่งการจดั การเรียนการสอนทางพยาบาลศาสตร์มที ั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏบิ ัตเิ ป็นการจัดการศึกษาท่ี เตรยี มพยาบาลให้เปน็ ผทู้ ่มี คี วามสามารถทง้ั ในด้านวชิ าการและการปฏิบตั ิการพยาบาลตามลักษณะของวชิ าชพี ซ่ึง เกย่ี วขอ้ งโดยตรงกบั ชวี ิตและความปลอดภัยของผู้รบั บริการ ทำให้นสิ ิตพยาบาลต้องมีความรับผดิ ชอบสงู ทั้งต่อ
2 ตนเองและบุคคลอ่นื ต้องปฏบิ ัติการพยาบาลกับผู้ป่วยจริง การเรยี นทางด้านวชิ าชีพการพยาบาลจงึ เป็นการเรียนที่ เน้นหนักทงั้ ภาคทฤษฎแี ละปฏิบัตเิ ปน็ สาเหตุหนึ่งท่ที ำใหน้ ิสิตเกิดความเครยี ดได้ (Lertsakornsiri, 2015) นสิ ิตคณะพยาบาลศาสตร์ ชัน้ ปที ่ี 2-3 ระหว่างฝกึ ปฏบิ ัตงิ านจะมีความเครยี ดอย่ใู นระดับมาก ซง่ึ เปน็ ผล มาจากการทีน่ ิสิตพยาบาลตอ้ งเผชิญกับส่ิงแวดล้อมใหม่ เช่นพยาบาลประจำหอผปู้ ว่ ยท่ีแสดงความไมเ่ ปน็ มติ ร ไม่ สนใจให้คำแนะนำ หรอื สอนทักษะปฏบิ ัติการพยาบาล รวมถงึ นิสติ พยาบาลกลัวการทำงานผดิ พลาด รูส้ กึ วติ กกังวล ในการขน้ึ ฝกึ ปฏิบัติงานและความจำไม่ค่อยดี (ลัดดาวัลย์ แดงเถนิ , 2558) สอดคล้องกับ Elliott (2002) ; เอลเลยี ด และคณะ (2009) กลา่ วว่า การฝกึ ปฏบิ ัติงานทางคลนิ กิ ของนสิ ิตพยาบาลก่อให้เกิดความเครียด เน่ืองจากการทตี่ อ้ ง เผชิญกบั ส่ิงแวดลอ้ มใหมเ่ ชน่ พยาบาลประจำหอผ้ปู ่วย รวมถึงเคร่ืองมือทางการแพทย์ทย่ี ังไมม่ ีทักษะเพียงพอใน การใชง้ าน และความต้องการความช่วยเหลือจากผู้ป่วย ซงึ่ เปน็ สาเหตทุ ำให้นสิ ิตช้ันปที ี่ 2-3 ท่อี ยู่ระหว่างการฝกึ ปฏิบตั ิงานเกิดความเครียดได้ ซง่ึ งานวิจยั ของ (ลดั ดาวลั ย์ แดงเถิน, 2558) ได้มีการเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปญั หาความเครียด ของนิสติ คณะพยาบาลศาสตร์ ชนั้ ปีที่ 2-3 ทอี่ ยรู่ ะหว่างฝึกปฏบิ ตั งิ าน คอื ควรมีการสอน การฝกึ ทักษะให้นสิ ิต พยาบาลใหม้ ีความรู้ ความสามารถมีศักยภาพในการปฏิบตั ิการพยาบาลใหม้ ากขึ้น เพราะเมื่อนิสิตมีทักษะการ ปฏิบัติดี มีการเตรยี มความพร้อมก่อนขึน้ ฝึกปฏบิ ตั ิ มคี วามม่ันใจในการปฏิบตั ิการพยาบาล กจ็ ะทำใหเ้ กดิ ความ ไวว้ างใจจากพยาบาลประจำหอผปู้ ว่ ย ผปู้ ่วย รวมถงึ แพทย์เจา้ ของไข้ ผลกระทบจากความเครยี ดในนิสิตพยาบาล พบว่าหากนิสิตพยาบาลไมส่ ามารถจัดการกบั ความเครยี ดได้ ด้วยตนเอง อาจสง่ ผลกระทบตอ่ การเรยี นรู้ ความมน่ั ใจในการปฏิบตั ิงาน การปรบั ตัวเข้ากบั สถานการณ์ตา่ งๆ จงึ เห็นว่าการสง่ เสริมสขุ ภาพในด้านการจดั การความเครียดของนสิ ติ พยาบาลเปน็ ส่ิงสำคัญ นักวิจยั จึงได้ศึกษาถงึ การ จดั การความเครยี ด และการพัฒนารปู แบบโปรแกรมเพื่อลดระดบั ความเครียดในกลุ่มนิสิตพยาบาล พบวา่ การศึกษาสำหรับการจดั การกับความเครียดสามารถทำไดห้ ลายวิธี เชน่ การฝึกเกร็งและคลายกลา้ มเนื้อ การฝึก หายใจ การทำสมาธเิ บื้องต้น การใช้จนิ ตนาการ การฝึกโยคะ การสะทอ้ นกลบั ทางชีวภาพ เปน็ ตน้ ซึ่งทง้ั หมด เป็นโปรแกรมการลดระดบั ความเครยี ด โดยการสง่ เสริมให้บุคคลควบคุมตนเองท้งั ด้านสรรี วทิ ยาและจิตใจ ร่วมกบั ความร้สู ึกผ่อนคลาย ด้วยวธิ ีการฝกึ ควบคมุ ดา้ นสรรี วทิ ยา ปรบั สมดลุ ดา้ นจติ ใจ จากท่ีกลา่ วมาข้างตน้ จะเห็น จุดเน้นของโปรแกรมส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมเพื่อลดระดบั ของความเครยี ดเมื่อบุคคลอยู่ในภาวะเครยี ด ดว้ ยวิธกี าร เผชิญความเครยี ด และจัดการกับอารมณ์ ผทู้ ี่ประสบความสำเร็จในการจัดการกับความเครียดได้ดีน้นั มคี วาม ยดื หยนุ่ ในการจดั การกบั ความเครยี ด สำหรับการวิจยั ในคร้ังนีไ้ ด้ใชว้ ิธกี ารจัดการความเครียดทผ่ี ้วู ิจยั ได้สร้าง โปรแกรมขน้ึ ตามแนวคดิ ของลาซารัส ( Lazarus ) ( สุดารตั น์ หนูหอม, 2544 ) คือเม่ือบคุ คลมีภาวะเครยี ด เกดิ ขนึ้ บุคคลจะมีความพยามยามทีจ่ ะเปลี่ยนแปลงความรู้สกึ นึกคิด และพฤติกรรมเพื่อจดั การกับสิ่งที่เป็นอันตราย หรือส่ิงทีค่ ุกคามตอ่ สวัสดิภาพของตน เรยี กพฤติกรรมนี้วา่ พฤติกรรมการเผชิญความเครียด โดยมี 2 ลกั ษณะคอื การมุ่งแก้ปัญหาเป็นการเผชญิ ความเครยี ดโดยการจดั การกับสาเหตุของสถานการณ์ความเครยี ดท่ีเกดิ ขน้ึ และการ จัดการกับอารมณ์เปน็ วิธีการทบี่ ุคคลตอบสนองตอ่ ความเครียดด้วยการจัดการกบั อารมณ์และความรสู้ กึ โดย หลงั จากนสิ ติ มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ วโิ รฒทไ่ี ด้รับจัดการความเครียดด้วยวธิ กี ารฝึกสมาธิ ร่วมกับการคิดแบบอรยิ สัจ และการฝกึ เกรง็ คลายกลา้ มเน้อื มวี ธิ ีการจัดการความเครยี ดได้ดกี ว่ากลุ่มท่ีไม่ไดร้ ับการฝึกอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติ
3 ทีร่ ะดับ .01 (นัยนา เหลืองประวัติ, 2547 ) รวมถงึ นสิ ิตจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ท่มี ีอายุระหวา่ ง 18-21 ปีทเ่ี ปน็ อาสาสมคั รเขา้ ร่วมการทดลองด้วยความสมคั รใจทีไ่ ดร้ ับการฟังดนตรธี รรมชาตแิ ละดนตรตี ามความชอบน้ันมี คะแนนความเครยี ดลดลงอยา่ งมรี ะดบั นยั สำคัญทางสถิติที่ .01 (วรัญญา รมุ แสง, 2547 ) จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ผวู้ จิ ัยไดเ้ ห็นความสำคัญของการจัดการความเครยี ดให้กับนสิ ิตพยาบาลชั้นปที ี่ 1 เนอ่ื งจากเปน็ ช่วงของการเปลย่ี นแปลงระดับของการศึกษา จากระดับมธั ยมศึกษาเขา้ สู่การศึกษาใน ระดับอุดมศึกษา เปน็ ชว่ งวัยที่ผเู้ รยี นหรือนสิ ิตจะต้องมีการพฒั นากระบวนการคิด โดยเฉพาะการคดิ ในเชงิ นามธรรม ตอ้ งมีการปรบั ตัวหลายๆประการ เชน่ การรบั นอ้ งใหม่ การต้องปรบั ตัวเขา้ กบั การเรียนการสอนใน มหาวิทยาลยั การเปล่ยี นแปลงทอี่ ยู่อาศัย และการเข้าสงั คมใหม่ นสิ ติ คณะพยาบาลกเ็ ช่นเดียวกันกบั นสิ ิตคณะอืน่ ๆ ท่ีต้องเผชิญความเครียดตา่ งๆ และต้องมวี ิธกี ารจดั การกับความเครยี ดที่เกิดขึน้ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในชนั้ ปแี รก (สพุ าณี วรรณสา และคณะ, 2560) ซ่ึงจะเหน็ ไดจ้ ากการศึกษาของ (วัลลภา ตันตสิ นุ ทร, 2554) ที่พบว่า นักศึกษา พยาบาลศาสตร์ช้นั ปีท่ี 1 วทิ ยาลยั พยาบาลอตุ รดิตถ์ มีความเครยี ดสงู กวา่ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีอื่น ๆ ผู้วจิ ัยจึงสนใจทจี่ ะพัฒนาโปรแกรมการจดั การความเครียด เพือ่ ใช้เปน็ แนวทางทีจ่ ะช่วยให้นิสติ พยาบาลมคี วามรู้ และทักษะในการจดั การความเครยี ด โดยโปรแกรมที่จัดข้ึนผู้วจิ ัยเลอื กใชว้ ธิ กี ารฝึกสมาธแิ บบอานาปานสติ การฝกึ การหายใจ และการฟังเสยี งดนตรธี รรมชาติ โดยการจัดการกบั ความเครยี ดนสี้ ามารถทำให้นิสิตพยาบาลปอ้ งกัน และขจดั ความเครยี ดทีอ่ าจเกิดขนึ้ ในชวี ิตได้ เพ่ือส่งเสริมให้นสิ ติ สามารถปรบั ตวั อยา่ งเหมาะสม พร้อมท้ังสามารถ เผชญิ ตอ่ ความเครยี ดไดด้ ีขนึ้ สง่ ผลให้นิสิตพยาบาลสามารถศกึ ษาเล่าเรยี นและประสบผลสำเรจ็ ในชวี ิตมีคุณภาพ ชีวติ ทีด่ ีสบื ไป คำถามการวจิ ัย คา่ เฉลีย่ ระหว่างโปรแกรมการจัดการความเครยี ดโดยวธิ ีการผ่อนคลายและการดูแลตามมาตรฐานของทาง มหาวทิ ยาลยั มีความแตกตา่ งกนั หรอื ไม่ วัตถปุ ระสงค์ เพือ่ ศกึ ษาผลของโปรแกรมการจัดการความเครยี ดโดยวิธผี อ่ นคลายตอ่ การลดลงของระดับความเครียดใน นสิ ิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปกี ารศกึ ษา 2563 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ งที่ใช้ในงานวิจัย ประชากร คือ นิสติ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ระดบั ปริญญาตรี ปีการศึกษา 2563 ชน้ั ปที 1่ี จำนวน 112 คน กลมุ่ ตัวอยา่ ง คือ นิสติ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ระดับปริญญาตรี ปีการศึกษา 2563 ชนั้ ปีท1่ี โดยการคัดเลอื กผเู้ ขา้ ร่วมโปรแกรมการจดั การกบั ความเครียด จะตอ้ งผ่านการทำแบบวัดความเครียด กรม สุขภาพจิต (SPST-20) และมีคะแนนความเครยี ดต้ังแต่ 24-61 คะแนนจำนวน 60 คน จากนั้นทำการสุ่มอย่างงา่ ย (Simple Random Sampling) เพื่อแบ่งนิสติ ออกเปน็ 2 กลุม่ ได้แก่ กลุ่มทดลองจำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุม
4 จำนวน 30 คน ซึ่งการกำหนดจำนวนกลมุ่ ตวั อยา่ งในครง้ั น้ี อา้ งอิงจากงานวิจยั ท่ีมีลกั ษณะคลา้ ยกนั (นัยนา เหลือง ประวตั ิ, 2547) ตัวแปรทศี่ กึ ษา 1. ตวั แปรอสิ ระ ไดแ้ ก่ โปรแกรมการจัดการความเครยี ดโดยวิธีการผ่อนคลาย ประกอบดว้ ยการฟังดนตรี การทำสมาธิ และการฝกึ หายใจ 2. ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ความเครยี ด สมมติฐาน โปรแกรมการจัดการความเครียดโดยวธิ ีการผ่อนคลายสง่ ผลให้คา่ เฉลี่ยระดับความเครียดของกล่มุ ทดลอง ลดลงกว่ากล่มุ ควบคุม ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะได้รับ 1. เพื่อให้ทราบว่าวธิ ีการจัดการความเครยี ดโดยการฟงั ดนตรี การฝกึ สมาธิ การฝึกหายใจมผี ลต่อระดับ ความเครยี ดในกลุ่มทดลองได้ดีกว่ากลุม่ ควบคมุ 2. เปน็ แนวทางในการชว่ ยลดความเครยี ดให้แกน่ สิ ิตระดับอุดมศกึ ษาชนั้ ปที ่ี 1 อายุ 18-20 ปี นิยามศัพท์ โปรแกรมการจัดการความเครยี ดโดยวิธีการผอ่ นคลาย หมายถงึ การสอนวธิ กี ารผอ่ นคลายความเครียด โดยผ่านสือ่ การสอนแบบออนไลน์ คือ Google Form ซง่ึ ประกอบด้วยรายละเอยี ด ดังนี้ - การฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ หมายถึง วธิ ีลดความเครียด โดยใหน้ สิ ิตรู้สึกตัวโดยการกำหนด ลมหายใจเขา้ ออกอย่างต่อเน่ืองเปน็ ขัน้ ตอน 4 ข้นั ดงั น้ี ขัน้ ที่ 1 เตรยี มท่าน่ังฝึกสมาธิ ควรน่ังทา่ ขัดสมาธิ เทา้ ขวาทับบนเทา้ ซา้ ย เอามือซ้ายวางบนหน้าตักเทา้ ขวา แล้วเอามือข้างขวาทบั บนมอื ซา้ ย น่ังตวั ตรง ปล่อยวาง ความรสู้ กึ นึกคดิ ให้ว่าง ขน้ั ท่ี 2 กำหนดลมหายใจเข้าออก พร้อมทั้งภาวนาวา่ “พุท” เมื่อหายใจเข้า และ “โธ” เมอ่ื หายใจออก จนจิตสงบ ข้นั ท่ี 3 กำหนดลมหายใจแบบการนบั (คณานบั ) มี 2 ตอน ชว่ งแรก ใหน้ บั เป็นคไู่ ปเร่ือยๆ ชว่ งสองใหน้ บั แบบเรว็ โดยเพิม่ ทีละหนงึ่ ขั้นท่ี 4 การติดตามลมหายใจ ใชส้ ตติ ามลมอย่ตู รงจดุ ทลี่ มกระทบ (นัยนา เหลืองประวตั ิ, 2547 ) - การฝึกการหายใจ หมายถึง การฝึกหายใจช้าๆ ลึกๆ โดยใช้กลา้ มเน้ือกระบังลมบรเิ วณท้องจะ ช่วยให้รา่ งกายได้อากาศเข้าสู่ปอดมากข้ึนเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กล้ามเนื้อ หนา้ ท้องและลําไสด้ ว้ ยการฝึกหายใจอยา่ งถกู วิธีจะทำให้หวั ใจเต้นชา้ ลง สมองแจ่มใสเพราะได้ออกซเิ จนมากข้ึน และการหายใจออกอย่างช้าๆจะทำใหร้ ู้สึกวา่ ได้ปลดปลอ่ ยความเครยี ดออกไปจากตวั จนหมดส้ิน (กรมสุขภาพจติ , 2562)
5 - การฟงั ดนตรีธรรมชาติ หมายถึง การฟงั เสียงดนตรจี ากวดิ ีโอเสยี งดนตรีธรรมชาติ ซึ่งบทเพลง เหล่าน้เี ปน็ ของคณุ จำรัส เศวตาภรณ์ ซึ่งเป็นผู้ประพันธบ์ ทเพลงชุด Piano in The Gardan และทางผ้วู จิ ัยได้มีการ ศกึ ษาวิจยั เกี่ยวกับการใชด้ นตรธี รรมชาติ เพื่อผอ่ นคลายความเครียด ของ (กวณิ วุฒิ กลนั่ ไพฑูรย์, 2558 ; อา้ งองิ จาก วรัญญา รุมแสง, 2547) ซง่ึ ทางผวู้ ิจยั ได้นำบทเพลงมาเรยี งต่อกนั แบบ non-stop จำนวน 5 เพลง ความเครียด หมายถึง สภาวะทางร่างกายและจิตใจตอบสนองต่อความกดดนั การคุกคามทำให้เกิด ความ ทุกข์ ความไมส่ บายใจ เช่น การเปลยี่ นทอี่ ยู่ ทท่ี ำงาน การเจอส่ิงแปลกใหมท่ ่ีไมค่ นุ้ เคย ลักษณะงาน ความสัมพนั ธ์ กบั ผู้รว่ มงาน ความเครยี ดในระดับหนง่ึ จะทำให้คนเกิดการปรับตัว ซึ่งมีความหมายมากกว่าการตอบสนองทางด้าน รา่ งกาย การปรบั ตวั นมี้ ีท้ังด้านบวกและด้านลบ (Selye H.,1976a) และเป็นสิง่ ทีส่ ามารถหลกี เลี่ยงได้ ความเครียด ที่มมี ากเกนิ และเกิดผลยาวนานจะทำใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงดา้ นความรู้ สติปัญญา ทัศนคติ และอารมณ์ โดยใช้ แบบวดั ความเครยี ดสวนปรงุ (SPST-20) ในการประเมนิ ระดับความเครยี ดของอาสาสมัคร มกี ารแปลความหมาย ของคะแนนไว้แล้ว ดังนี้ ระดบั คะแนน 0 – 23 คะแนน แปลผล ทา่ นมคี วามเครยี ดอยใู่ นระดบั น้อย ระดบั คะแนน 24 – 41 คะแนน แปลผล ท่านมคี วามเครยี ดในระดบั ปานกลาง ระดบั คะแนน 42 – 61 คะแนน แปลผล ทา่ นมคี วามเครยี ดในระดบั สงู ระดบั คะแนน 62 คะแนนขน้ึ ไป แปลผล มคี วามเครยี ดในระดบั รุนแรง นสิ ิตคณะพยาบาลศาสตร์ หมายถึง นิสิตทเ่ี ปน็ อาสาสมัครเข้าร่วมโครงการวจิ ัย ซงึ่ มีอายุตงั้ แต่ 18-20 ปี ซ่ึงเปน็ กลุ่มบุคคลท่ีมีความเสี่ยงในการเกดิ ความเครียดได้ง่าย เพราะในระยะนี้ เปน็ ชว่ งวัยท่มี ีการเปลีย่ นแปลงใน การดำเนินชวี ติ ทงั้ จากภายในตนเอง ซึง่ ไดแ้ ก่ การเปลยี่ นแปลงช่วงวยั รุ่นเปน็ วัยผใู้ หญท่ ่ตี อ้ ง รับผดิ ชอบตนเองมาก ขึน้ มีการเปลย่ี นแปลงภายนอก ซึ่งได้แก่ การเปล่ียนแปลงจากสิง่ แวดล้อมเดมิ ๆของตนเอง มาเป็น ส่ิงแวดล้อมใหม่ และใหญ่ข้ึนกว่าเดิม ในสถานศึกษาใหม่ เพ่ือนใหม่ สังคมใหม่ ภาวะเศรษฐกิจใหม่ รวมทงั้ การเรยี นการสอนที่ เปลยี่ นไป ที่ตอ้ งมกี ารศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้ เรียนรู้ดว้ ยตนเองมากขึน้ ต้องช่วยเหลอื ตนเองมากข้ึน กรอบแนวคิดการวจิ ยั การวิจัยในคร้ังนผ้ี วู้ จิ ัยได้ศึกษาแนวคดิ ทฤษฎีความเครยี ดและการเผชิญความเครียด (Stress Appraisal and Coping Model) ของลาซารสั และโฟลค์ แมน (Lazarus and Folkman, 1984) มาประยุกต์ใช้เป็นกรอบ แนวคิด โดยลาซารัสและโฟล์คแมนไดก้ ล่าวถงึ การเผชิญกบั ความเครยี ดวา่ เม่ือบคุ คลได้ประเมินและรบั ร้ไู ด้วา่ ตนถกู คุกคามหนักจนเกินกว่าความสามารถทจี่ ะรบั ได้ จะมกี ระบวนการเผชิญความเครียดเริม่ ขน้ึ ซงึ่ เป็นกระบวนการที่ บุคคลจะพยายามทงั้ การกระทำ ความรู้สึก และความนึกคิดในการจดั การกับความเครยี ดที่เกดิ ขนึ้ ลาซารสั และโฟล์คแมนยังเชอื่ วา่ การเผชญิ กับความเครยี ดเปน็ ความพยายามทางปัญญาและความพยายามทางพฤติกรรมใน การกำจัดส่งิ ทค่ี กุ คามตนหรือลดความรสู้ กึ ไม่สบายใจและอารมณ์ทุกขข์ องบุคคล โดยการเผชิญความเครยี ดน้ี สามารถเปล่ียนแปลงไดต้ ลอดเวลาตามแตอ่ ายุและประสบการณข์ องบคุ คล ไม่มีการตดั สินวา่ วิธใี ดจะดีท่สี ดุ การ เผชิญกับความเครยี ดจะแบ่งออกเป็น 2 รปู แบบ ได้แก่ 1) การเผชิญความเครียดแบบมุ่งแกป้ ัญหา (problem focused coping) เป็นกระบวนการจดั การกบั ปัญหาทต่ี น้ เหตุ เป็นการแก้ไขปัญหาโดยจัดการกบั สิง่ คกุ คามที่ ก่อให้เกิดความเครยี ด 2) การเผชญิ ความเครยี ดแบบจดั การกบั อารมณ์ (emotional focused coping) วิธีการ
6 ของบุคคลในการทจี่ ะจัดการกับปญั หาโดยการปรบั อารมณแ์ ละควบคมุ ความเครียดทางอารมณ์ของตนเอง แต่ไม่ได้ แกไ้ ขไปท่ปี ัญหาของความเครียด จากแนวคิดทฤษฎีดังกลา่ วผ้วู จิ ัยได้ทำการศกึ ษาถึงผลของโปรแกรมการจัดการกับความเครียดซง่ึ เป็นการ เผชิญกบั ความเครียดแบบจัดการกบั อารมณ์ (emotional focused coping) ตามแนวคิดทฤษฎีของลาซารสั และโฟลค์ แมนจึงสามารถนำมาใชใ้ นการศึกษาตวั แปรอสิ ระ คือการได้รับโปรแกรมการจัดการกบั ความเครียดโดย วิธผี อ่ นคลาย ประกอบไปดว้ ย การฝึกการหายใจ และการฝกึ สมาธิ และการฟังดนตรี และการไม่ไดร้ ับโปรแกรม การจัดการกบั ความเครยี ด ซึง่ สง่ ผลตอ่ ตัวแปรตาม คือ ระดับความเครียด และสามารถนำมาประยุกตใ์ ช้เปน็ กรอบ แนวคดิ การวจิ ยั ไดด้ ังน้ี โปรแกรมการจัดการกับความเครียดโดยวิธีผอ่ นคลาย ความเครียด ประกอบไปด้วย - การฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ - การฝกึ การหายใจ - การฟังเสียงดนตรีธรรมชาติ ซึ่งโปรแกรมมี 7 ครงั้ (วันจันทร์ วนั องั คาร วันพุธ วนั พฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทติ ย์ ; 1 สัปดาห์) ครง้ั ละ 41 นาที ดงั นี้ ครั้งท่ี 1 (วันจนั ทร์) ฝกึ สมาธิ, ฝกึ หายใจ, ฟงั ดนตรี ครง้ั ท่ี 2 (วันอังคาร) ฝึกหายใจ, ฟังดนตรี, ฝกึ สมาธิ ครัง้ ที่ 3 (วันพธุ ) ฟังดนตรี, ฝึกสมาธิ, ฝึกหายใจ ครัง้ ที่ 4 (วนั พฤหัสบด)ี ฝกึ สมาธิ, ฝึกหายใจ, ฟงั ดนตรี ครัง้ ท่ี 5 (วนั ศุกร์) ฝกึ หายใจ, ฟงั ดนตรี, ฝึกสมาธิ คร้งั ท่ี 6 (วนั เสาร)์ ฟังดนตรี, ฝึกสมาธิ, ฝกึ หายใจ ครง้ั ท่ี 7 (วันอาทิตย)์ ฝึกสมาธิ, ฝึกหายใจ, ฟงั ดนตรี กรอบแนวคิดความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งโปรแกรมการจัดการกบั ความเครยี ดโดยวธิ ีผอ่ นคลายและระดบั ความเครียด
7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง การวจิ ัยครง้ั นี้ เป็นการศึกษาผลของโปรแกรมการจดั การกับความเครยี ดประกอบดว้ ยการ ฝึกสมาธิแบบ อานาปานสติ การฝึกหายใจ และการฟงั ดนตรี ในการจัดการกบั ความเครียดของนิสติ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปกี าร 2563 โดยผวู้ จิ ัยไดศ้ ึกษาเอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวข้อง เพอ่ื กำหนดกรอบแนวคิดใน การวิจัยดงั หวั ข้อต่อไปน้ี 1. เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กี่ยวข้องกบั ความเครียดและการจัดการกบั ความเครียด 1.1 ความหมายของความเครยี ด กรมสขุ ภาพจิต (2541) ความเครียด คือ ภาวะของอารมณ์หรอื ความรสู้ ึกที่เกดิ ข้ึนเมื่อเผชิญกับปัญหา ตา่ งๆ ทีท่ ำให้รสู้ กึ ไม่สบายใจ คบั ขอ้ งใจ หรอื ถูกบีบคั้น กดดันจนทำให้เกิดความรู้สึกทุกขใ์ จ สบั สน โกรธหรือ เสียใจ กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (2541) กล่าววา่ ความเครยี ด หมายถึง ปฏิกริ ยิ าของรา่ งกายที่ตอบ โตต้ อ่ สภาพแวดล้อม ความเครยี ดเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของ แต่ละบุคคลในสภาวะการณ์อยา่ งเดียวกนั ร่างกายจะแสดงออกเวลามคี วามเครียดโดยมีความดนั โลหิตสงู ข้ึนกว่าปกติ ชีพจรเตน้ เร็วขนึ้ หายใจถ่ขี ้นึ หัวใจจะ ทำงานมากขน้ึ และกล้ามเน้ือจะเกร็งปฏิกิริยาเหล่านเ้ี รียกโดยรวมว่าเป็นปฏิกิริยาของการ “จะสูห้ รือจะถอยหน”ี เซลเย่ (Selye, 1976) อา้ งถึงในอรพรรณ ลือบญุ ธวชั ชยั (2545) กล่าววา่ ความเครียดเปน็ กลุม่ อาการที่ รา่ งกายมีปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองตอ่ สง่ิ ทม่ี าคุกคามบุคคล โดยสิง่ น้นั เป็นสิง่ ทไ่ี ม่พึงประสงค์และมีตน้ เหตุมาจาก สถานการณห์ รือเหตกุ ารณท์ เ่ี ก่ยี วขอ้ งทั้งรา่ งกายจิตใจ ส่งิ แวดลอ้ ม และสังคมท่ีบุคคลประเมินแล้ววา่ เปน็ อนั ตราย ตอ่ ตนเอง Roger (อา้ งถึงใน กรมสุขภาพจิต, 2541) ได้อธบิ ายไวว้ ่า ความเครยี ด หมายถึง ภาวะจิตใจของบคุ คลท่ี รูส้ กึ ว่าตนถูกคุกคาม ทำใหเ้ กิดความรสู้ ึกวติ กกังวล ระส่ำระสาย สบั สนและไมแ่ นใ่ จในทิศทางพฤติกรรมของตน อันเป็นผลมาจากการท่ีบุคคลมีความไม่สอดคล้องระหว่างโครงสร้างแหง่ ตน ทำใหเ้ กดิ กระบวนการทางจติ ทจ่ี ะดึง เอากลไกการป้องกันตนเองมาใช้ โดยมลี กั ษณะบดิ เบอื นการรบั รทู้ ่ไี มย่ ืดหยุ่น ผดิ พลาด เกิดความวติ กกังวล ไม่ ยอมรบั พฤติกรรมบางส่วนของตน ซง่ึ เป็นผลใหร้ ู้สึกวา่ ถูกคุกคามมากย่งิ ข้ึน อรพรรณ ลือบญุ ธวชั ชัย (2545) กลา่ วว่า ความเครียดคอื สภาวะกดดันในบุคคลที่เกดิ ข้นึ เมอ่ื มีสิง่ หน่ึงส่งิ ใด มาคุกคาม ก่อใหเ้ กดิ ความไม่สมดลุ ทงั้ รา่ งกาย จติ ใจ อารมณส์ งั คม และจิตวิญญาณของบุคคล รวมถึงพัฒนาการ ทางร่างกายและจติ ใจของบุคคลด้วย หรอื อาจกลา่ วว่าสภาวะเครยี ดเปน็ กลไกการปอ้ งกันตวั ทีเ่ กดิ ขึน้ เมอื่ มี ภยันตรายจากภายนอกมารบกวน สมิต อาชวนิจกลุ (2537) กล่าวว่า ความเครียดคือสภาวะที่ซบั ซ้อนของรา่ งกายและจิตใจอนั เกดิ จาก สภาวะแวดลอ้ มหรอื สถานการณท์ ีบ่ บี บงั คับใหร้ ่างกายและจิตใจเปลยี่ นแปลงไปและความเครียดจะยังคงอยู่
8 เรอ่ื ยไปจนกว่าสถานการณ์น้ันจะถูกกำจัดใหห้ มดไป ความเครยี ดเป็นสงิ่ ที่เกิดข้ึนได้กบั ทุกคนในทุกชว่ งเวลาและ เม่ือเกิดความเครยี ดในตวั บุคคลแลว้ จะทำใหเ้ กิดอาการไม่พึงประสงคต์ า่ งๆ ทงั้ ทางรา่ งกายและจิตใจ เช่นหงุดหงดิ กลวั วิตกกงั วล ปวดศีรษะ เกิดอาการทาง กระเพาะ ทำให้อาหารไม่ย่อย นอนไม่หลบั อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวหมด แรง ย้ำคิดย้ำทำ เกิดอาการผิดปกติทางประสาทได้ จากความหมายของความเครียดทก่ี ลา่ วมาข้างตน้ สรุปได้ว่า ความเครียด หมายถงึ การท่บี ุคคลต้องเผชญิ อยใู่ นภาวะท่รี ูส้ ึกกดดนั ไม่สบายใจ ไม่แน่ใจ ว้าวุ่นใจ วิตกกังวล ถูกบบี คั้น ทำให้เกดิ การตอบสนองของรา่ งกาย จิตใจ ความคดิ ถา้ บคุ คลสามารถปรับตวั และมีความพึงพอใจก็จะทำให้เกิด พลงั ในการจัดการสิง่ ต่างๆ แต่หากไมม่ ี ความพึงพอใจและไมส่ ามารถปรับตวั ได้ กจ็ ะทำใหเ้ กิดความเครียด ส่งผลใหเ้ สียความสมดลุ ในการดำเนนิ ชีวิตใน สงั คม ขาดประสทิ ธภิ าพในการทำงาน หรือสรปุ อีกนัยหนึง่ ความเครียด หมายถงึ ภาวะท่ีร่างกายและจติ ใจ ตอบสนองต่อความกดดนั การคุกคามหรอื บีบคนั้ ทางดา้ นจิตใจ และร่างกาย จากเหตุการณต์ า่ งๆตงั้ แตเ่ หตกุ ารณ์ เลก็ ๆน้อยๆท่เี ป็นเหตกุ ารณ์ในชีวิตประจำวนั จนถึงเหตกุ ารณ์สำคญั หรอื รา้ ยแรงทเี่ กดิ ข้ึน เพ่อื ปรบั สมดุลร่างกาย และจิตใจให้อยใู่ นภาวะปกติ 1.2 ความหมายการจดั การกับความเครียด การจดั การกบั ความเครียด คือพฤติกรรมที่จดั กระทำเพื่อควบคุมความเครียดเป็นการเผชิญ หรอื การ จดั การตอ่ ความเครียด (Coping) (Lazarus, 1976) พฤติกรรมทใ่ี ช้ในการจดั การกบั ความเครยี ดเปน็ ความ พยายามทเี่ ปน็ ทงั้ การการกระทำทีเ่ ห็นชดั เจนและการกระทำที่ซอ่ นอยู่ภายใน จิตใจ เพ่ือที่จะจดั การกบั ความ ต้องการของสงิ่ แวดล้อมกับความต้องการภายในตน และจดั การกบั ความขัดแย้งของสง่ิ เหล่านั้น ซ่งึ ต้องใช้พลังและ ทรพั ยากรมากมาย หรือเป็นกลไกท่บี ุคคลใช้เพ่ือ รักษาภาวะสมดลุ ของจติ ใจเมื่อถูกรบกวน เพื่อให้สามารถทำ หนา้ ทไ่ี ด้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ แตล่ ะพฤติกรรมจะประกอบด้วยการสนองต่อสง่ิ แวดล้อม ทช่ี ว่ ยให้บุคคลควบคมุ ความเครียดไดร้ วมท้ังขบวนการทางจิตทเ่ี สรมิ สรา้ งความสำเร็จในการปรับตัวต่อภาวะเครียด ( Monet and Lazarus, 1977 ; Goosen and Bush, 1979) การจดั การกับความเครียด หมายถึง วิธี นิสัย หรอื แนวทางท่ีบคุ คลใช้เผชญิ กบั เหตุการณ์ต่างๆ เป็นไปได้ ทงั้ การปฏิเสธ การถอยหนี ยอมรับ หรือต่อสู้เพ่ือควบคุมเหตกุ ารณ์นนั้ (Menaghan, 1982) หรอื หมายถงึ กระบวนการทบ่ี คุ คลพยายามทีจ่ ะทำให้ความเครียดลดลงหรือขจัดให้หมดไป ( Garland and Bush, 1982) เป็น กระบวนการปฏบิ ตั ิการ เพื่อป้องกนั หรือลดความทกุ ข์ทรมานที่เกิดจากความเครียด (Clarke, 1984) กระบวนการเหล่าน้จี ะประกอบด้วยพฤติกรรมทเ่ี ปดิ เผยและซอ่ นเรน้ หลายอยา่ งดว้ ยกัน และเปน็ สิ่งที่บคุ คลกระทำภายหลงั ทีไ่ ด้พยายามใช้กลไกในการป้องกนั ตวั ทางจติ แล้วไม่สามารถกําจัดภาวะคุกคามได้ (Kalkman and Davis, 1980) หรอื หมายถึงกลุ่มของพฤติกรรมการกระทำ ความคิด ทั้งขณะมจี ิตสํานึกและ ภายใตจ้ ติ ไรส้ ํานกึ ท่ีทำให้บุคคลจัดการกบั สถานการณ์ความยุ่งยากท่มี ารบกวน คุกคามความสขุ ของชวี ิต ( Stone, Helder and Scheider, 1988) เป็นการรวบรวมการควบคุมตนเองและส่ิงแวดล้อม (Crider and others, 1983 ) และคนส่วนใหญจ่ ะใช้วิธีการจัดการกบั ความเครยี ดเพยี ง 1 – 2 วธิ ที ี่คุ้นเคยหรือเคยใช้แล้วประสบความสำเรจ็ ใน
9 การแก้ไขควบคมุ ภาวะเครียด บางครัง้ กแ็ ก้ไขปญั หาไดด้ โี ดยใช้แบบใดแบบหน่งึ แตก่ ลบั แกป้ ัญหาไมไ่ ด้ ในการใช้ แบบเดียวกนั แตป่ ญั หาตา่ งกัน (Darley and other, 1981) แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามบุคคลทมี่ ีประสิทธิผล ต้องสามารถ จดั การกบั ความเครียดได้เป็นอยา่ งดี (Schermerhorn, 1988) สำหรับบารอ์ อน (Baron, 1997) ได้ให้ความหมายของการจดั การกับความเครียดหมายถึง เป็น ความสามารถในการทำงานภายใต้ความกดดันได้ มคี วามอดทนต่อความเครยี ดและควบคุม อารมณไ์ ดด้ ี มี ความสามารถในการต่อตา้ นเหตกุ ารณ์รา้ ยๆ หรือสถานการณ์ที่มีความกดดนั โดยไม่ มีความทอ้ ถอย แต่กลับเพิ่ม การจดั การกับความเครียดในทางบวก สามารถรับมือกบั ส่งิ ตา่ งๆดว้ ยเทคนิคและวิธกี ารต่างๆ เพื่อขจดั ความเครยี ด ท้ังหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพท้งั ในที่ทำงานและทบี่ า้ น ตลอดจนมีความสามารถในการยืดเวลาท่ีจะแสดงความ ยนิ ดีปรีดาได้ อจิ เนทาวเิ ซียสและเบย์นี (สดุ ารตั น์ หนหู อม, 2544 ; อ้างอิงจาก Ignatavicius and Bayne, 1991) ให้ ความหมายการจดั การกับความเครยี ดว่า เป็นพฤติกรรมหรือความคดิ ที่บคุ คลใช้เพื่อควบคุมสาเหตุของความเครียด หรือควบคุมความรู้สกึ เครียดบคุ คลจะใช้สติปญั ญาในการเลอื กวิธีการเผชญิ ความเครียดที่เคยใช้แลว้ ประสบ ความสำเร็จในอดีตถงึ สากลวิธนี ใ้ี ช้แล้วไมป่ ระสบความสำเร็จบุคคลจะคัดเลอื กวิธอี ่นื ต้องไป จากความหมายของการจัดการกับความเครยี ดทั้งหมดท่ีกล่าวมาสามารถสรปุ ได้วา่ การจัดการกับ ความเครยี ด หมายถงึ การที่บุคคลทำให้ความเครยี ดลดลงหรือขจดั ให้หมดไป เพอื่ ป้องกนั หรือลดความทุกข์ทรมาน ท่ีเกิดจากความเครยี ด โดยบุคคลจะใช้สตปิ ญั ญาในการเลือกวธิ กี ารจัดการ กับความเครยี ดท่เี คยใช้แล้วประสบ ความสำเรจ็ ในอดีต ถ้าวธิ ีนีใ้ ช้แลว้ ไม่ประสบความสำเร็จบุคคลจะเลอื กวธิ อี ่นื ต่อไป (นัยนา เหลืองประวตั ิ, 2547) 1.3 กระบวนการจดั การความเครยี ด กระบวนการจัดการกบั ความเครยี ดเป็นขนั้ ตอนของการตอบสนองต่อสงิ่ กระตุ้นความเครียด โดยมี เป้าหมายเพ่ือรักษาสมดุลระหว่างสิ่งกระตุ้นความเครียดกับความสามารถทจี่ ะจัดการกบั สง่ิ นน้ั และเปน็ กระบวนการทต่ี อ้ งอาศัยระยะเวลาในตอบสนองต่อส่งิ กระตุ้นความเครยี ด โดยลาซารัสเสนอว่ากระบวนการจดั การ กับความเครียดประกอบด้วยขัน้ ตอนดังน้ี (สดุ ารตั น์ หนูหอม, 2544) ขั้นตอนท่ี 1 การถูกคุกคามจากส่งิ กระตุ้นความเครยี ด เม่ือบุคคลแปลความหมายส่ิงกระตุ้น (stimuli) วา่ เปน็ อนั ตรายหรอื มาคุกคามต่อดุลยภาพทางจติ ใจ บุคคลจะใช้ความพยายามทจี่ ะขจัดหรือบรรเทาความรู้สึกกดดัน เหล่านั้นให้หมดไปแต่โดยธรรมชาติแลว้ ความกดดนั ท่เี กดิ ข้ึนจะทำให้ความสมดลุ ระหวา่ งความกดดนั กับ ความสามารถของบุคคลท่จี ะจัดการกับความกดดัน ซึ่งเคยมีอย่เู ดมิ เสยี ไปด้วย ดังน้ันบคุ คลจึงรบั รู้และแปล ความหมายส่งิ กระตุ้นนนั้ ว่า ทำให้เกิดความรู้สกึ กดดัน ไมส่ บายใจ และสูญเสียภาวะสมดุลของตนในท่ีสุด ข้นั ตอนที่ 2 การประเมินสงิ่ กระตุ้น การประเมินสิ่งกระตุ้นท่ีคุกคามภาวะสมดลุ ของบคุ คลเป็น กระบวนการที่ตอ้ งใช้ความรู้และ สตปิ ญั ญาภายใตท้ ฤษฎกี ารประเมินทางความคดิ (cognitive appraisal) ซ่ึงเป็น ทฤษฎีทเี่ น้นในเร่อื งของกระบวนการ (process oriented) ภายใตส้ มมตฐิ านว่า 1. บุคคลและสง่ิ แวดล้อมมี ความสัมพนั ธ์กันอยู่ตลอดเวลา 2. ความสัมพนั ธ์ดงั กลา่ วเป็นไปในลักษณะของการโต้ตอบซง่ึ กนั และกันภายใต้
10 ทฤษฎกี ารประเมินทางความคดิ นัน้ ความหมายของเหตุการณ์หรอื สิง่ เร้าความเครียด ข้นึ อย่กู บั กระบวนการ ประเมินทางความคิด กล่าวโดยง่ายคอื ส่ิงเร้าจะมีความหมายอย่างไรนน้ั ข้นึ อยู่กบั การรบั รู้หรือการตีความของ บุคคลโดยผ่านกระบวนการทางความคดิ (cognitive process) ผลของการประเมินจะนำไปสู่การตอบสนองที่ แตกตา่ งกัน การประเมนิ สภาพการณ์หรือสิง่ เร้าความเครียดมี 3 ขน้ั ตอนคือ 1. การประเมนิ ขนั้ แรก เม่ือบุคคลเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ บุคคลจะประเมินในขน้ั แรกว่าเหตุการณ์นั้นมี ผลทางบวก ทางลบ หรอื ไมม่ ีผลต่อตนเอง ถา้ เหตุการณน์ น้ั ถูกประเมนิ วา่ เป็นผลดีหรอื ไม่มผี ลต่อตนเองแล้วผลการ ประเมินจะแสดงออกในทางท่ีดีหรือในเชงิ บวก ในทางตรงกันข้ามเม่ือประเมินเหตุการณ์ท่ีเกดิ ขึน้ วา่ มผี ลในเชิงลบ ต่อตนเองหรือการประเมินที่ก่อให้เกิดความเครยี ด (stressful appraisal) ผลของการประเมนิ ดังกล่าวสามารถ ก่อให้เกดิ ผลในเชงิ ลบต่อบุคคลได้ โดยเฉพาะผลกระทบต่อสขุ ภาพและความเจ็บปว่ ย ลกั ษณะของการประเมินใน เชงิ ลบ มี 3 ลกั ษณะ 1. ลักษณะที่เปน็ อนั ตรายหรอื ต้องสญู เสีย ได้แก่ ความเสียหายทเ่ี กดิ ข้นึ แล้ว เช่น การสูญเสยี อวัยวะ การ สญู เสยี ความสัมพันธ์กบั คนรกั การเจ็บป่วยท้ังชนิดเฉยี บพลันและเร้ือรัง 2. ลกั ษณะท่คี ุกคามเปน็ การคาดการณ์ว่าเหตุการณ์นน้ั จะก่อให้เกิดการสญู เสียหรือความเสียหายแนน่ อน 3. ลักษณะทท่ี า้ ทายเปน็ อันตรายทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ ภายหน้า แต่บคุ คลคาดการณ์ว่าสามารถจะจัดการกับ สถานการณนัน้ ได้ กลา่ วคือเม่ือบุคคลเผชญิ ต่อสิ่งเรา้ หรือเหตกุ ารณ์ที่กอ่ ให้เกิดความเครยี ด การประเมินข้ันแรกคือ การ ประเมนิ วา่ เหตกุ ารณน้นั เปน็ การสญู เสียหรอื ทำให้เกดิ ความกลวั ว่าจะสญู เสีย การประเมินท้งั สองลักษณะนีใ้ ห้ผลใน เชิงลบทางอารมณ์ ทำให้มีอารมณ์โกรธ ขนุ่ เคือง หวาดกลัว เช่นเดียวกับการประเมนิ ในเชิงท้าทายทแี่ ม้จะเตรยี ม จัดการกับปญั หานน้ั แต่ความตน่ื เตน้ และความหวาดกลวั ต่อเหตุการณ์ทีเ่ กิดข้ึนทำให้บุคคลเกิดความเครยี ดได้ เชน่ กนั ตรงกนั ขา้ มกับการประเมนิ ในเชิงบวกท่ีทำให้บคุ คลสามารถตอบสนองต่อความเครียดได้ตรงจดุ และเลือกใช้ พฤติกรรมการจดั การ กบั ความเครียดท่เี หมาะสม อันนํามาซ่ึงการปรบั ตวั ได้ในทีส่ ุด 2. การประเมินข้นั ทสี่ อง หมายถึงการที่บุคคลใช้สตปิ ัญญาความรู้ประสบการณ์ ประเมนิ แหล่งประโยชน์ และทางเลือกของตน เพ่ือจาํ กดั อันตรายจากส่งิ ทตี่ นรับรู้ว่าเป็นอันตราแก่ตนเอง และเป็นการประเมนิ สถานการณ์ ใหมเ่ พ่ือทบทวนดูว่าการประเมินสถานการณ์ขน้ั แรกนัน้ ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ รวมทง้ั ประเมินว่าพฤตกิ รรมการ เผชญิ ความเครยี ดในการประเมินขัน้ แรกมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยการประเมินแหล่งประโยชน์และทางเลือกของ ตนเองนี้เปน็ การนําทรัพยากร ท้งั ภายในและภายนอกมาเอื้ออาํ นวยให้ตนเอง ในการกาํ จัดและสรรหาการกระทำท่ี เป็นทางเลือกทด่ี ีทีส่ ุดให้ตนเองแต่ถ้าบุคคลมปี ัจจัยดังกล่าวไมเ่ พยี งพอจะทำให้เกดิ ผลทางลบ เกิดความเครยี ด หมด หวัง ท้อแท้ หรอื ซมึ เศร้าขึน้ อารมณ์ดังกล่าวมีผลต่อสุขภาพและความเจ็บปว่ ยทั้งทางตรงและทางอ้อม จากการ วจิ ยั ของฟอลค์ แมนและลาซารสั พบว่าการประเมินสถานการณ์มอี ิทธิพลต่อ พฤตกิ รรมการเผชิญความเครยี ดอยา่ ง มีนยั สําคญั คือสถานการณ์ใดทบี่ คุ คลประเมนิ ว่าตนเองไมส่ ามารถเปลย่ี นแปลงแก้ไขไดแ้ ลว้ บุคคลจะใช้พฤติกรรม การเผชิญความเครียดแบบควบคุมอารมณ์ (affective oriented method) มากกว่าสถานการณท์ บ่ี ุคคลประเมนิ วา่ สามารถแก้ไขบางอย่างได้ และสถานการณ์ทบี่ ุคคลประเมนิ ว่าตอ้ งค้นหาข้อมลู มาเพม่ิ เติมเพ่ือนาํ มาแก้ไข
11 สถานการณน์ ้นั บุคคลจะใช้พฤตกิ รรมการเผชิญความเครียดแบบมุ่งแกไ้ ขตามปัญหาทเ่ี กิดขึน้ (problem oriented method) มากกว่า 3. การประเมินซ้ำ หลงั จากบุคคลได้แสดงความพยายามท่ีจะกาํ จัดอนั ตรายทั้งทางรปู ธรรม และทาง ความคิดออกมาแล้ว บคุ คลจะประเมนิ สถานการณ์ซำ้ เพ่ือพจิ ารณาอนั ตรายที่ตนรับรู้วา่ ยงั มีอยู่ในระดบั ใดมากขนึ้ หรือลดลง หรือได้ถกู กาํ จัดไปแล้ว ขน้ั ตอนน้ีถือได้ว่าเปน็ การเร่ิมวงจรการประเมนิ สถานการณ์ครง้ั แรกใหม่ก็ได้ เพราะผลจากการประเมินซำ้ นี้ บุคคลจะทราบว่ายังมสี งิ่ เร้าความเครยี ดอยหู่ รอื ไม่ และเขาควรเลือกใช้วิธกี ารเผชญิ ความเครยี ดแบบใดจงึ จะเหมาะสมและสามารถกําจดั ภาวะเครยี ดใหล้ ุลว่ งไปได้ ดงั ทกี่ ลา่ วมาทำให้เหน็ ได้วา่ การ ประเมนิ สง่ิ กระตุ้นความเครียดเป็นขนั้ ตอนสำคญั ของกระบวนการประเมินความเครียดเพราะถ้าผลการประเมินส่ิง กระตุ้นความเครียดออกมาในลกั ษณะใดก็จะส่งผลต่อพฤตกิ รรมการเผชญิ ความเครยี ดในทิศทางน้นั ด้วย กลา่ วคอื การประเมินสถานการณ์ วา่ รนุ แรงเกนิ ความสามารถท่ีตนจะแก้ไขหรือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไดจ้ ะทำให้บุคคล เลอื กใช้พฤติกรรมการเผชญิ ความเครียดแบบมุ่งควบคุมอารมณ์มากกว่าทีจ่ ะเผชญิ ความเครยี ดแบบแก้ไขตาม ปัญหาทีเ่ กิดขนึ้ ซงึ่ การประเมินสถานการณ์ในลักษณะดังกลา่ วจะนาํ ไปสู่ผลลัพธข์ องการเผชญิ ความเครยี ดท่ีไม่ เหมาะสม นัน่ คือความล้มเหลวของการปรบั ตวั เพ่ือรกั ษาภาวะสมดุล ขนั้ ตอนท่ี 3 การทาํ นายหรือคาดการณ์ต่อผลท่ีจะไดร้ บั จากสิง่ กระตุ้นความเครยี ด เมื่อบุคคลประเมนิ สิง่ กระตุ้นท่ีได้รบั และแปลผลว่าสิ่งกระตุ้นนั้นคุกคามต่อภาวะสมดลุ การประเมนิ ในลักษณะดังกลา่ วเป็นการประเมิน ท่ีก่อให้เกิดภาวะเครียด (stressful appraisal) ขณะทบี่ ุคคลคาดการณ์หรือทำนายตอ่ สถานการณท์ ี่ต้องเผชญิ กับ ภาวะเครียดน้ันบุคคลจะมปี ฏิกริ ยิ าตอบสนองทั้งดา้ นร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรมเกิดขนึ้ ด้วย กลา่ วคอื ภายหลงั การประเมนิ ขน้ั แรกปฏิกริ ยิ าโต้ตอบความเครยี ดทางอารมณ์จะเปน็ แบบทวั่ ไป ได้แก่ ความวติ กกังวล ความสับสน เมอ่ื เวลาผ่านไปบุคคลได้พจิ ารณาสถานการณแ์ ละได้ประเมินสถานการณ์ครั้งทส่ี อง ปฏิกริ ยิ าตอบสนอง ความเครยี ดทางอารมณ์จะเปลย่ี นไปเป็นแบบทเี่ ฉพาะเจาะจงมากขน้ึ เช่น อารมณ์เศรา้ อารมณโ์ กรธ อารมณ์กลวั หรอื การยอมรบั ต่อเหตกุ ารณ์ทีเ่ กิดขึ้นปฏิกริ ิยาโต้ตอบความเครียดทางอารมณ์นัน้ มีความสมั พนั ธ์กบั การประเมนิ สิง่ กระตุ้นความเครยี ดอย่างมาก กล่าวคอื อารมณ์ทเี่ กิดขึ้นของแตล่ ะบุคคลจะสัมพันธ์กบั การใช้กลไกทางจิตและ พฤติกรรมการเผชญิ ความเครียด เช่น อารมณเ์ ศรา้ มคี วามสัมพันธ์กบั การใช้กลไกทางจิตแบบชดเชย และมี ความสมั พันธ์กับการใช้พฤติกรรมการเผชญิ ความเครยี ดแบบการควบคุมอารมณ์ทเี่ ป็นทกุ ข์ (affection oriented) มากกว่าท่จี ะเผชญิ กบั สถานการณ์ที่กอ่ ให้เกิดความเครียดดว้ ยเหตุผลอยา่ งจรงิ จัง ส่วนปฏิกิรยิ าตอบสนอง ความเครยี ดทางรา่ งกายจะเกิดข้ึนพร้อมๆกับปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองทางอารมณ์ และมคี วามสมั พันธ์กบั ปฏกิ ริ ิยาทาง อารมณ์ด้วย ปฏิกิริยาทางร่างกายทีเ่ กิดข้นึ มี 3 ขนั้ ตอน คอื ข้ันแรกระบบต่อมไร้ท่อถูกกระตุ้น ต่อมาระบบ ประสาทซมิ พาเธติคถูกกระตุ้น และอวัยวะเปา้ หมายมีปฏกิ ิรยิ า พบว่าภายหลงั การประเมนิ สถานการณ์ข้นั แรก การตอบสนองความเครียดทางร่างกายจะเป็นแบบทว่ั ๆ ไป คือ ต่อมพิทูอินทารีและต่อมหมวกไตจะทำงานมากขนึ้ แตภ่ ายหลงั การประเมนิ ขั้นที่สองและการประเมินซำ้ ปฏิกิรยิ าตอบสนองทางร่างกายจะเป็นผลรวมของฮอร์โมน ท้ังหมดท่ีถูก กระตุ้น ระบบประสาทถูกกระตุ้น และอวัยวะเปา้ หมายหมายจะถูกกระตุ้นมากขน้ึ และท้ายท่ีสุด บคุ คลจะแสดงพฤติกรรมออกมาเพื่อตอบสนองต่อความเครียดนน้ั พฤติกรรมที่ตอบสนองต่อความเครียดในการ
12 ประเมนิ แต่ละครั้งจะตา่ งกัน คอื การประเมนิ ครง้ั แรกพฤติกรรมของบุคคลจะมุ่งเนน้ ทต่ี วั กระตุ้นความเครยี ด แต่ การประเมินครงั้ ทส่ี องและการประเมนิ ซำ้ พฤติกรรมของบุคคลจะมุ่งเนน้ ท่ีพฤติกรรม การเผชิญความเครียด มากกว่า ดงั นั้นจะเห็นไดว้ า่ พฤติกรรมการเผชญิ ความเครยี ดของบุคคลแต่ละคนนัน้ เกดิ ข้ึนอยา่ งเปน็ กระบวนการ และตอ่ เน่ืองตลอดเวลาและลักษณะของพฤติกรรมการเผชิญความเครียดท่ีบคุ คลเลือกใช้ย่อมสามารถทํานายถงึ ผลลัพธว์ า่ บุคคลจะสามารถปรับตัวไดห้ รอื ไม่เช่นกนั ขั้นตอนท่ี 4 พฤติกรรมการเผชญิ ความเครียด พฤติกรรมการเผชญิ ความเครยี ดเป็นตวั เชื่อมระหวา่ งส่งิ กระตุ้นความเครยี ดกบั การปรับตวั ได้ พฤติกรรมการเผชญิ ความเครยี ดเปน็ กระบวนการท่ีประกอบด้วยพฤติกรรมท่ี มอี ิทธิพลมาจากการใช้สตปิ ญั ญาไตร่ตรอง ปฏิกริ ิยาตอบสนองความเครียดทางอารมณ์ และปฏิกิรยิ าตอบสนอง ความเครยี ดทางรา่ งกาย ท้ังสามองค์ประกอบมีปฏสิ ัมพันธ์กันจึงได้แสดงออกมาเปน็ พฤตกิ รรมการเผชิญ ความเครยี ด พฤติกรรมการเผชญิ ความเครียดเป็นผลมาจากการใช้สติปัญญา การประเมนิ สถานการณ์การใช้ สติปญั ญาประเมนิ แหล่งประโยชน์ และการประเมนิ วถิ ที างทีจ่ ะจดั การกบั ส่ิงเรา้ ความเครียดนนั้ ๆ พฤติกรรมการ เผชิญความเครียดจะเกิดข้นึ อย่างเป็นกระบวนการและมเี ป้าหมาย ในการแสดงพฤติกรรมน้ัน ๆ อยา่ งต่อเนื่องโดย พฤติกรรมการเผชญิ ความเครียดมเี ป้าหมาย 2 ประการคอื 1. เพอ่ื ขจดั สิ่งเร้าความเครียดให้หมดสภาพเปน็ ส่งิ กระตุ้นที่ทำให้เกดิ ภาวะเครยี ด โดยมีเป้าหมายท่ีสาเหตุ ของการเกดิ ภาวะเครยี ดเปน็ หลัก 2. เพื่อรักษาความม่นั คงของตนเองไว้ ดว้ ยการพยายามควบคุมปฏกิ ริ ิยาทางดา้ นร่างกาย และอารมณ์ไว้ โดยไมจ่ ัดการกบั สาเหตุของความเครียดโดยตรง แต่มงุ่ เป้าหมายไปท่ีอารมณ์ที่เป็นทกุ ข์ซึ่งเป็นผลมาจาก ความเครยี ดเปน็ หลัก ขน้ั ตอนท่ี 5 การปรับตัวได้ การปรบั ตัวไดค้ ือผลลพั ธ์ของความพยายามทีจ่ ะรกั ษาดลุ ยภาพของตนเองไว้ บคุ คลที่ใช้ พฤติกรรมการเผชิญความเครยี ดที่เหมาะสมจะสามารถสร้างความสมดุลระหว่างการกดดันจากสง่ิ เร้า ความเครียดกบั ความสามารถในการจัดการกับแรงกดดันน้ันไดแ้ ละเมื่อกระบวนการเผชญิ ความเครยี ดดำเนิน วนเวยี นไปเร่ือย ๆ พฤติกรรมการเผชิญความเครียดทเี่ หมาะสมจะสามารถขจัด สง่ิ ที่คุกคามออกไปและนําบคุ คล กลบั เขา้ สสู่ มดลุ เดิมในที่สดุ ในทางตรงข้ามพฤตกิ รรมการเผชญิ ความเครยี ดที่ไมเ่ หมาะสมจะทำให้บุคคลไมส่ ามารถ จัดการกบั ความเครียดนัน้ ไดม้ ีผลทำให้บุคคลเข้าสู่ภาวะวิกฤตในทส่ี ุด ดงั ทก่ี ล่าวมาทำให้เห็นได้วา่ พฤติกรรมการเผชิญความเครยี ดเป็นผลจากกระบวนการเผชิญ ความเครยี ด เม่ือบุคคลรับรู้วา่ สถานการณ์หน่ึงมผี ลคกุ คามต่อดุลยภาพของตน เมอื่ นน้ั กระบวนการเผชิญความเครยี ดจะเร่ิมขนึ้ โดยเร่ิมจากการประเมินส่งิ กระตุ้นความเครียดขน้ั แรก ซึ่งเน้นการประเมินอันตรายของสถานการณ์ แล้วติดตาม ด้วยการประเมินสิ่งกระตุ้นความเครยี ดขนั้ ท่ีสอง ซึ่งเน้นการประเมนิ แหลง่ ทรพั ยากรท่ีจะนําเข้ามาในกระบวนการ และวิธีการท่จี ะเผชญิ กับสิง่ ที่มาคุกคามตนเอง พฤติกรรมเผชิญความเครยี ด คือพฤตกิ รรมท้งั หมดทีเ่ กดิ ขึ้นใน กระบวนการนี้มีเป้าหมายเพื่อกําจดั สิ่งท่มี าคกุ คามโดยตรงหรือมเี ป้าหมายเพ่ือลดความรู้สึกไมส่ บายใจและอารมณ์ ทเี่ ป็นทกุ ขข์ องบคุ คล หลังจากแสดงพฤติกรรมการเผชิญความเครยี ดไปแล้วบคุ คลจะประเมินสถานการณ์ซ้ำอีก การประเมนิ ซำ้ นีเ้ ปน็ การเริ่มต้นกระบวนการเผชญิ ความเครียดอกี คร้งั ถ้าผลจากการประเมนิ พบว่าสิ่งกระตุ้นนั้น
13 ยงั คงคุกคามต่อดุลยภาพของตนอยู่ ขัน้ ตอนต่างๆ ในกระบวนการจะดำเนนิ ต่อไปและย้อนกลบั ไปมาได้ตลอด ตราบเทา่ ที่กระบวนการน้ันยังไมส่ ามารถบรรลุเปา้ หมาย คือการปรับตวั เข้าสู่ภาวะสมดลุ ได้อยา่ งแทจ้ ริง จากกระบวนการเผชญิ ความเครียด จะเห็นไดว้ ่าพฤติกรรมการเผชญิ ความเครียดเป็น ตวั เช่ือมระหวา่ ง ผลกระทบของส่ิงกระตุ้นความเครยี ดกบั การปรับตัวเข้าสูส่ มดุล โดยพฤติกรรมทเี่ กดิ ข้นึ ในระหวา่ งกระบวนการ เผชญิ ความเครียดนี้ อาจมีเป้าหมายเพ่ือทำให้สิง่ ที่กระตุ้นความเครยี ดหมดสภาพการเป็นส่ิงกระตนุ้ ความเครียด หรืออาจมีเป้าหมายเพือ่ รักษาความมัน่ คง ทางอารมณ์เอาไว้ โดยไม่จำกดั สาเหตุของความเครียดก็ไดแ้ ต่ กระบวนการเผชิญความเครยี ดท่ีเลือกใช้พฤติกรรมการเผชิญความเครียดแบบการควบคุมอารมณ์ทเ่ี ป็นทกุ ข์บคุ คล จะตอ้ งใช้ เวลานานกับการจดั การกับความเครยี ดซ่ึงอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงจนเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้ (นัยนา เหลืองประวตั ิ, 2547) 1.4 รูปแบบการจดั การกบั ความเครยี ด ลาซารสั และโฟลค์ แมน (Lazarus & Folkman, 1984) กลา่ ววา่ เม่ือบุคคลมภี าวะเครียดเกดิ ขึ้น บคุ คล จะมีความพยายามที่จะเปล่ยี นแปลงความรสู้ กึ นึกคดิ และพฤติกรรมเพ่ือจดั การกบั ส่งิ ทเ่ี ป็นอนั ตราย หรอื สง่ิ ท่ี คกุ คามตอ่ สวัสดภิ าพของตน เรยี กพฤติกรรมเผชิญความเครียด ซึ่งแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ (Lazarus & Folkman, 1984) 1. พฤตกิ รรมเผชญิ ความเครยี ด แบบมุ่งแก้ไขปัญหาทเี่ กดิ ข้ึน ( Problem-Focused behavior ) เปน็ พฤติกรรมทบ่ี ุคคลพยายามใช้กระบวนการแก้ไขปัญหาทเี่ กิดขึ้น โดยมุ่งเผชิญกบั เหตุการณ์ท่ีเกดิ ขน้ึ ตามความเปน็ จริง และวิเคราะหห์ าหนทางในการแก้ไข หรอื เพ่ิมความสามารถของตนในการแก้ไขทจี่ ะเผชิญกบั ปญั หาน้ัน การ ยอมรบั กับเหตุการณ์ท่ีเกิดข้นึ การพยามยามคิดหาวิธแี ก้ปัญหาในหลาย ๆ ทางการขอความช่วยเหลอื จากแหล่งอ่นื ในการแก้ปญั หา เป็นต้น 2. พฤตกิ รรมเผชญิ ความเครยี ดแบบมุ่งแกไ้ ขท่ีอารมณ์ (Emotional – Focused Behavior) เปน็ พฤติกรรมทบ่ี ุคคลนำกลไกทางจิตเขา้ มาชว่ ยจัดการหรือบรรเทาภาวะเครียดที่เกดิ ข้นึ เพ่ือรักษาสมดลุ ของจติ ใจไว้ พฤติกรรมนนั้ ได้แก่ การปฏิเสธ การหลกี หนี การเพ้อฝัน การนงั่ สมาธิ การดืม่ สุรา การใช้ยานอนหลับ การแยก ตนเอง การรบั ฟงั แต่เรอื่ งท่ีดี การโยนความผิดใหผ้ อู้ น่ื การแสดงอาการโกรธ เปน็ ต้น 2. เอกสารท่เี ก่ียวข้องกับวิธีการจดั การความเครยี ด การจัดการกับความเครียดน้ันมหี ลายวิธี สำหรบั การวิจยั ครงั้ น้ีไดใ้ ช้แนวคิดของลาซารัส (Lazarus) ดังนี้ การจดั การกับความเครียดทางดา้ นอารมณ์ เป็นการปรับอารมณ์หรือความรู้สกึ เพ่อื ไมใ่ ห้ความเครียดนนั้ ทำลายขวญั กาํ ลงั ใจหรอื ลดประสทิ ธิภาพในการทำหน้าท่ีของบคุ คลโดยใช้กลไกทางจิต เพื่อลดความตงึ เครียด ทางด้านจิตใจ ได้แก่ การหลีกหนีจากเหตุการณ์หรอื ปัญหา การเล่นกฬี าหรอื ทำกจิ กรรมทท่ี ำให้สมองไม่หมกมุ่นกบั ปัญหา การนงั่ สมาธิ การแสวงหาสิ่งสนบั สนุนทางจิตใจ การโทษตนเอง และการแสดงความโกรธ เป็นต้น โดย ผวู้ จิ ัยเลือก วิธกี ารฝึกสมาธิ การหายใจ และการฟงั เพลง เพราะเปน็ การทำจิตใจใหส้ งบ และร้สู กึ ผอ่ นคลาย ทำให้
14 สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้ดีย่ิงข้นึ และเป็นวธิ ีท่ีสามารถปฏิบตั ิได้สะดวก โดยสรุปแล้ววธิ ีการจดั การกับ ความเครียดท้ัง 3 วธิ ีน้ี เปน็ การจดั การกับความเครียดทางด้านอารมณ์ 2.1 เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ ก่ียวข้องกับการฝกึ สมาธิแบบอานาปานสติ การฝกึ สมาธเิ พ่ือมีวัตถปุ ระสงค์เพียงเพ่ือทำให้ใจสงบ เป็นการผอ่ นคลายเท่าน้ัน ไม่ก้าวลกึ ในแง่ของการ ปฏิบัติธรรม การฝกึ ความสนใจจดจ่อสงบนิง่ กบั สง่ิ ใดส่ิงหนงึ่ เพยี งอย่างหนึ่ง เช่น ลมหายใจเข้าออก การยุบพองของ ท้อง หรอื คำพูดสองสามพยางคท์ ้งั นีเ้ พอ่ื ให้ระลึกรู้ไปตาม อิรยิ าบถปจั จบุ ันของรา่ งกายและการเปล่ียนแปลงของ จติ ใจ อารมณ์ การฝึกสมาธใิ นลกั ษณะน้ชี ว่ ยใหร้ ่างกายพักผ่อนเตม็ ท่ี เป็นการบรรเทาความกดดนั และความตึง เครยี ดได้อยา่ งดี 2.1.1 ความหมายของสมาธิ พระราชวรมนุ ี (2529) กลา่ วถึงความหมายของสมาธิไว้ดังนี้ สมาธิ หมายถึง มีความน่งิ หรอื สภาวะที่ จิตแน่วแนต่ อ่ ส่งิ ท่ีกำหนดในสิ่งทีใ่ ดส่งิ หน่งึ พระมหาบัว ญาณสัมปนั โน (2528) กลา่ วถึง สมาธิ คือ ความสงบ หรอื ความต้งั ม่นั ของใจ จงเป็น ข้าศึกต่อความคะนองของใจ เสฐยี รพงษ์ วรรณปก (2524) ได้ให้ความเหน็ วา่ สมาธิ หมายถึงความต้ัง มน่ั หรอื หยดุ น่ิงแหง่ จติ การ รวมพลงั จติ และความไม่ฟงุ้ ซ่าน หรอื จดั ระเบยี บความคิดได้ กล่าวโดยสรุปไดว้ ่า สมาธคิ ือจิตท่ตี งั้ มั่นในอารมณ์เดยี ว โดยท่ีมี การรสู้ กึ รว่ มดว้ ย อยทู่ กุ ขณะทีม่ ีลม หายใจเข้าออก 2.1.2 ลักษณะของจติ ทเี่ ป็นสมาธิ พระราชวรมนุ ี (2529) อธบิ ายถึงลกั ษณะของจิตท่เี ป็นสมาธไิ ว้ว่า จะตอ้ งมี ลักษณะแขง็ แรง มพี ลังมาก ราบเรียบสงบเหมือนกบั นำ้ ในสระทนี่ ่ิง ในกระจางมองเหน็ ไดช้ ัด นมุ่ นวลควร แกง้ าน ไม่เครยี ดดี ไม่กระด้าง ไมข่ ุ่นมัว ไมส่ บั สน ไมเ่ ร้าร้อน ไมก่ ระวนกระวาย จติ ทเี่ ป็นสมาธิจะต้องประกอบด้วย จิตทบี่ ริสุทธ์ิปราศจากสง่ิ ทีร่ บกวนมีความมน่ั คงของอารมณ์ ไม่วอกแวก จิตทีม่ ีความวอ่ งไวในการทำงาน ระดับของ จิตสามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ระดับ คือ ระดับธรรมดาสามารถเกดิ ความตั้งใจ ระดับกลาง ทำใหเ้ กิดความสงบจิตแนว่ แน่ สมองโปร่ง ระดบั สูง จติ เกิดความแมน่ ยำเกิดปญั ญา มหากุฎราชวทิ ยาลยั (2522) ไดอ้ ธิบาย ระดับของสมาธิ ในระดบั ขณกิ สมาธิวา่ เปน็ สมาธิ ทีเ่ กดิ เพยี งชว่ั ขณะหนงึ่ ทคี่ นท่วั ไปใชป่ ระโยชนใ์ นการปฏิบตั ิหน้าที่ การงานใน ชวี ิตประจำวนั ได้ผลดี หรือใช่เปน็ จุดเริ่มต้นในการเจริญวปิ สั สนา สมาธิระดบั นสี้ ามารถบรรเทาความวา้ วุน่ ความ ฟงุ้ ซา่ นของจิตได้ สมาธริ ะดบั ขณิกสมาธิอาจเกิดข้ึนโดยทบี่ ุคคลนนั้ อาจไมร่ ู้ตวั ว่ากำลังมีสมาธิ ซง่ึ ถ้าบุคคลฝากได้ อย่างสมำ่ เสมอจนจิตเป็นสมาธิ จะมผี ลตอ่ ร่างกาย สว่ นระดับอปุ จารสมาธหิ รือทเี่ รยี กสมาธิจวนจะแน่วแน่ เป็น สมาธิที่สามารถระงบั อารมณ์ได้ สมาธริ ะดับ อปุ จารสมาธจิ ะต้องเกดิ ก่อนท่ีจะเกิดในระดับ อัปปนาสมาธิ (ญาณ) บุคคลท่มี ีความพยายามในการฝากจติ ใจให้เปน็ สมาธิ จะมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ จติ เป็นสมาธไิ ม่ซัด สา่ ย ไมส่ นใจในสรรพสิ่งใดๆ ทอ่ี ยูร่ อบขา้ ง กลา่ วคอื ไดย้ ินกเ็ หมอื นไม่ได้ยิน เหน็ กเ็ หมอื นไมเ่ หน็ (นงเยาว์ ชาญ ณรงค,์ 2525)
15 กล่าวโดยสรุปไดว้ ่า ลกั ษณะของจิตท่ีเป็นสมาธิ จะมลี กั ษณะสงบราบเรียบ บริสุทธ์ิ มอี ารมณ์เดียว สมองปลอดโปร่ง ปราศจากกเิ ลสเร่อื งเศรา้ หมองต่าง ๆ ท่เี กิดจากความร้สู ึกของตนเอง 2.1.3 วิธกี ารฝกึ สมาธิ วิธีการฝกึ สมาธิในหลักคำสอนของศาสนา มี 40 วิธีหรอื 40 แบบ แบง่ เป็น 7 หมวด ประกอบดว้ ย 1. หมวดกสิณ คอื วัตถุท่ีนำเอามาเพยี งพอทำใหเ้ กดิ สมาธมิ ี 10 อยา่ ง 2. หมวดอสภุ ะ หมายถึง ซากศพอันมีลกั ษณะตา่ งๆกนั 10 ลักษณะ 3. หมวดอนสุ ติ ได้แก่ การระลึกถึงบุคคลและคุณธรรม 10 ประการ 4. หมวดพรหมวหิ ารส่ี เป็นคณุ ธรรมอนั ประเสริฐ 4 ประการ 5. หมวดอรูป หมายถึง อรปู ธรรม หรือสงิ่ ท่ีมิมิใช้วตั ถุนำมาเปน็ เครอ่ื งมือฝึกสมาธิ 4 ลกั ษณะ 6. หมวดปฏกิ ูลสัญญา หมายถงึ อาหารปฏกิ ูลสญั ญา หมายถึง การพจิ ารณาความนา่ เกลียดของ อาหาร 7. หมวดตธุ าตวุ ตั ถาน หมายถึง การกำหนดธาตทุ ง้ั 4 หรือส่วนประกอบของ ร่างกาย 4 ชนิด คือ สว่ นที่มี ลกั ษณะขนั แข็งหรือกนเนื้อท่ี เรียกว่าปฐวีธาตุ (ธาตดุ ิน) ส่วนท่มี ี ลกั ษณะเอิบอาบ ซมึ ซบั เกาะยดึ เรยี กวา่ อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) สวนทมี่ ีลักษณะพัดไหว สนั่ สะเทือน เรียกวา่ วาโยธาตุ (ธาตุลม) ส่วนท่ีมลี ักษณะเผาไหม้มีความ ร้อน หรืออุณหภูมิ เรยี กวา่ เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) วธิ กี ารฝึกสมาธิท้ัง 40 วธิ ี หรอื 40 แบบท่ีกลา่ วมาเป็นพียงอุปกรณส์ ำหรบั บุคคลทม่ี ลี ักษณะจรติ ที่ ตา่ งกนั บุคคลทปี่ ระสงค์จะฝึกสมาธิเลือกวธิ ีทจ่ี ะพจิ ารณาแลว้ เหน็ ว่า เหมาะสมกจ็ ะเกิดผลดี จิตเป็นสมาธิได้ โดยง่าย (วิทย์ วิศยเวทยแ์ ละเสถียรพงษ์ วรรณปก, 2525) สำหรบั การวจิ ัยในครัง้ นีไ้ ด้ใช้วธิ ีฝึกสมาธแิ บบอานาปาน สติ ซึง่ เป็นวิธที ่สี ามารถปฏิบตั ิได้สะดวก เพราะลมหายใจมีอยกู่ บั บุคคลทุกคนสามารถใช้ไดท้ กุ เวลา ทุกสถานท่ไี ม่ ตอ้ งเตรยี มอุปกรณ์ ขณะเดยี วกนั อารมณก์ ็เป็นรปู ธรรมสามารถกำหนดไดช้ ัดเจน เม่ือเริ่มปฏิบตั กิ ไ็ ด้รบั ประโยชน์ ทันทีไม่ต้องรอจนเกดิ สมาธิท่เี ปน็ ขัน้ ตอนในระดับสงู ประการสำคัญเม่ือ ปฏิบัตสิ มาธิแบบอานาปานสติ แล้วจะไม่ กระทบกระเทอื นต่อสุขภาพ ซ่งึ พระพทุ ธองคต์ รัสไวถ้ ึงประสบการณ์ของพระองค์ ดังน้ัน เมอ่ื เราอยูด่ ว้ ยวหิ ารธรรม อันมีอานาปานสติ แม้ทำมากตาก็ไม่เมื่อย กายก็ไมเ่ มอ่ื ย ตรงกันขา้ มกลบั จะเกื้อกูลแก่สุขภาพใหด้ ีขนึ้ การใช้ พลังงานจะน้อยลง (พระราชวร มุนี, 2529) 2.1.4 ขัน้ ตอนการฝกึ สมาธแิ บบอานาปานสติ สำหรบั การฝกึ สมาธแิ บบอานาปานสติมผี ูใ้ ห้ขนั้ ตอนการฝึกมากมายหลายคน ซึ่งขน้ั ตอนน้นั ก็จะคลา้ ยคลึง กัน ดงั น้ันวจิ ยั จงึ เลือกที่จะดำเนนิ การฝึกตามขน้ั ตอนดังนี้พระราชวสิ ุทธกิ วี (2526) ไดแ้ บ่งข้ันตอนการฝึกสมาธิ แบบอานาปานสติดงั น้ี ขนั้ เตรยี มก่อนการลงมือปฏิบัติ 1. สมาทานศีล หรือต้งั วิรตั ิ คือ ตัง้ ใจงดเวน้ ดว้ ยตนเอง ในศีล 5 2. ระลึกถึงคุณพระรตั นตรัย เพื่อความเชอ่ื มนั่ และสร้างความผอ่ งใสให้แกใ่ จ 3. แผ่เมตตา แผค่ วามปรารถนาดีไปยังมนุษยแ์ ละสัตวท์ ุกจำพวก
16 4. ตัดกงั วล เชน่ ความกังวลเร่อื งงาน การเรียน ญาตพิ ่นี ้องใหอ้ อกไปจากใจเสีย ชว่ั คราวไม่คิดถึงเรื่องใน อดตี ที่ผ่านมา ไม่คดิ ถึงเร่ืองอนาคตท่ยี งั มาไม่ถึง แต่ใหค้ ดิ ถึงปัจจบุ ันคือ อารมณ์ของกรรมฐานเท่าน้นั ซง่ึ ในท่นี ค้ี ือ การกำหนดลมหายใจเขา้ - ออก 5. กำหนดเวลาในการฝกึ ควรมีการกาหนดไว้ว่าจะฝึกคราวละกน่ี าที โดยเร่ิมจาก 10 นาทถี งึ 20 นาทกี ็ได้ ข้ันลงมือฝกึ ก. การนงั่ ผ้ชู ายน่ังขัดสมาธิ ผู้หญิงนง่ั พับเพยี บก็ได้หรือจะนั่งขัดสมาธิก็ไดต้ าม ความถนัด พยายามควบคุม ใจไมใ่ ห้ฟงุ้ ซ่านไปในภายนอก พร้อมกบั มีคาํ บริกรรมกำกับเพอื่ ให้ใจมเี คร่ืองยึด คอื ภาวนา “ พุท ” เมื่อหายใจเข้า และภาวนาว่า “ โธ “ เมื่อหายใจออก ข. การกำหนดลมหายใจ ให้ทำตามลำดบั ขั้นดังนี้ 1. ขัน้ ว่ิงตามลมเม่ือเร่มิ กำหนดลมหายใจ กส็ ดู ลมหายใจเข้าให้แรงจนเตม็ ปอดประมาณ 3 ครงั้ เพื่อจะ กำหนดการเขา้ – ออกได้สะดวกต่อจากนัน้ ก็ปลอ่ ยลมหายใจเข้า ออกตามสบาย เข้าก็รู้วา่ เข้า ออกกร็ วู้ า่ ออก ยาวก็ รู้ว่ายาว สัน้ กร็ วู้ ่าสน้ั พร้อมทัง้ ภาวนาวา่ พทุ โธ กำกับไปดว้ ย โดยส่งใจกำหนดวิง่ ตามลมไปตามจุดกำหนดทงั้ 3 จุด คือ ปลายจมูก 1 ท่ามกลางอก 1 ท่ที ้อง 1 2. ข้ันกำหนดอยู่ทจี่ ดุ แหง่ หน่งึ เม่อื กำหนดลมหายใจเข้า - ออก โดยตาม ลมไปจนจิตไมฟ่ ุ้งซา่ นไป ภายนอกแลว้ กใ็ ห้เปลย่ี นมากำหนดจิตไวเ้ ฉพาะจดุ ใดจะหนึ่งในจดุ ทง้ั 3 คือ ทปี่ ลายจมูก 1 ท่ามกลางอก 1 และท่ี ทอ้ ง 1ตามท่จี ะกำหนดได้ถนัด 3. การกำหนดลมหายใจด้วยการนับ หากผู้ปฏบิ ตั ิสมาธเิ บ้ืองตน้ ไมไ่ ดผ้ ลดี หรือ สามารถทำได้ดีแล้ว แต่ ตอ้ งการจะหาวธิ ใี หม่บ้างกล็ องหนั มากำหนดลมหายใจด้วยการนบั ก็อาจจะได้ผลดีหรอื ได้ผลเพม่ิ ขน้ึ เพราะอุปนสิ ยั ของแตล่ ะคนถนดั ไม่เหมือนกัน การกำหนดลมหายใจด้วยการนบั นี้ เรยี กว่า คณนา (การนับ) โดยสง่ ใจไปกำหนดนับอยทู่ ี่ปลายจมูกแห่ง เดยี ว หายใจเขา้ ก็ให้รู้เขา้ หายใจออกก็ให้ร้วู ่าออก คณนา มีอยู่ 2 วิธี คือ 1.การนบั อยา่ งชา้ (คือการนบั เปน็ คู่ เชน่ 1, 1 2, 2 3, 3 ฯลฯ เปน็ ตน้ ) 1,1,2,2,3,3,4,4,5,5 1,1,2,2,3,3,4,4,5,5,6,6 1,1,2,2,3,3,4,4,5,5,6,6,7,7 1,1,2,2,3,3,4,4,5,5,6,6,7,7,8,8
17 1,1,2,2,3,3,4,4,5,5,6,6,7,7,8,8,9,9 1 , 1 , 2 , 2 , 3 , 3 , 4 , 4 , 5 , 5 , 6 , 6 , 7 , 7 , 8 , 8 , 9 , 9 , 10 , 10 1,1,2,2,3,3,4,4,5,5 ฯลฯ 2.การนบั อยา่ งเรว็ (คือการนับเพิม่ ทีละหน่งึ เช่น 1, 2, 3, 4, 5.) 12345 123456 1234567 12345678 123456789 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ฯลฯ 2.1.5 ประโยชนข์ องการฝึกสมาธิ เสฐียรพงษ์ วรรณปก (2524) กล่าวถงึ ประโยชน์ของสมาธไิ ว้ 4 อันดับ ดว้ ยกัน คือ 1. ประโยชนข์ องสมาธิท่เี ปน็ จุดมงุ่ หมายทางศาสนา 1.1 ประโยชน์ระดับต้น สามารถระงับกิเลสไดเ้ ป็นคร้ังคราว 1.2 ประโยชน์ระดับสงู สดุ คอื การเตรียมจติ ให้พรอ้ มท่จี ะใชป้ ญั ญา พิจารณาสภาวะธรรมตามเป็นจรงิ จะเหน็ แจง้ ไตรลักษณ์ กําจดั กิเลสอาสวะใหห้ มดไปจากจิต สนั ดานในที่สุด 2. ประโยชนท์ างด้านอภญิ ญา ผู้ฝกึ ฝนจิตจนได้สมาธิระดับฌานสมาบัตแิ ล้ว สามารถได้ความสามารถพิเศษวิสัยสามัญชน ( อภิญญา ) คือ ได้ฤทธิข์ ้นั โลกยี ต์ ่าง ๆ เชน่ เจรญิ ปริยญาณ ( ทายใจคนได้ ) ทิพพจักขุ ( ตาทิพย์ ) ปุพเพนิวา สานุสสติ ( ระลึกชาตไิ ด้ ) เป็นตน้ 3. ประโยชนใ์ นดา้ นพฒั นาบคุ ลกิ ภาพ บุคคลท่ีฝึกจติ ใหเ้ ปน็ สมาธิประจำยอ่ มมี บคุ ลิกภาพท่ีพงึ ปรารถนาหลายประการ เช่น 3.1 มีบุคลกิ ภาพเข้มแข็ง หนักแน่นม่นั ค่ัง
18 3.2 มีความสงบเยอื กเยน็ ไม่ฉุนเฉยี วเกรี้ยวกราด 3.3 มคี วามสภาพนมุ่ นวล ทา่ ทที ี่มีเมตตา 3.4 สดชื่นผอ่ งใส ย้มิ แยม้ เบิกบาน 3.5 งามสง่าองอาจ น่าเกรมขาม 3.6 มีความม่ันคงทางอารมณ์ 3.7 กระฉับกระเฉง กระปร้ีกระเปร่าไม่ซมเซอ่ื ง 3.8 มจี ิตใจพรอ้ มที่จะเผชิญเหตุการณ์ต่างๆ และสามารถแก้ไข สถานการณ์คบั ขันได้ 3.9 มองอะไรทะลปุ รุโปรง่ รบั รอู้ ะไรฉับไว รู้จักตนเองและผู้อื่นตามความเป็นจรงิ 4. ประโยชน์ในชวี ิตประจำวนั 4.1 ทำใหจ้ ิตใจสบายหายเครยี ด มคี วามสุขผ่องใส 4.2 หายความวติ กหวาดกลัว หายกระวนกระวายใจ 4.3 นอนหลับงา่ ย หลบั สนทิ 4.4 มีความวอ่ งไวกระฉบั กระเฉง 4.5 มีความเพยี รพยายามแน่วแน่ในจุดหมาย 4.6 ร้เู ทา่ ทนั ปรากฏการณ์ และยับยงั้ ชงั่ ใจดี 4.7 มีประสทิ ธิภาพในการทำงาน เช่น เรียนหนงั สอื และการทำกิจกรรมทุกอย่าง 4.8 สง่ เสรมิ ความจำได้ดี 4.9 เกือ้ กลู แกส่ ุขภาพ เช่น ชะลอความแก่ ดูอ่อนกว่าวยั พระราชวรมุนี (2529) กลา่ วถึงประโยชนข์ อง ผู้ทีฝ่ กึ สมาธิ แบบอานาปานสตไิ ว้วา่ จะทำให้เป็นผู้มีจิตใจและบคุ ลิกภาพเข้มแข็ง หนกั แนน่ มนั่ คง สุภาพ มเี มตตา กรุณา รจู้ กั ตนเอง และผูอ้ ืน่ ตามความเปนจริง (ปราศจากนิวรณ)์ จิตอยใู่ นสภาพพร้อมต่อการรบั การ ปลกู ฝงั คณุ ธรรมต่าง ๆ และสง่ เสรมิ ให้มีนสิ ัยทีด่ ี รจู้ ักทำใจใหส้ งบ สามารถยับย้งั ความทกุ ข์ทีเ่ กิดขึ้นได้ มีความม่นั คงทาง อารมณ์ ช่วยใหม้ ีสตริ ู้เท่าทันพฤติกรรมกรรมทางวาจา ความร้สู กึ นกึ คดิ และ ภาวะจติ ใจทีเ่ กดิ ขนึ้ ด้วย ชำนาญ นศิ ารตั น์ (2526) กล่าวถึงเรอ่ื งประโยชนข์ องการฝึกสมาธิ สำหรับนักเรียนไวด้ งั นี้ 1. สามารถเรยี นหนงั สือได้ผลดี เพราะทำให้มีความจำแม่นยำดีข้ึนกวา่ เดิม 2. สามารถทำสิ่งต่างๆไดด้ ีขน้ึ ไมผ่ ิดพลาด เพราะมีสติสมบูรณ์ข้ึน 3. สามารถทำงานไดร้ วดเร็ว ไดง้ านมาก เพราะสมาธิชว่ ยให้เพลิดเพลินกับงานได้ โดยไม่รู้สึกเหนื่อย และงานที่ทำก็ได้รับผลดี 4. ทำใหเ้ ปน็ คนมีอารมณ์เยือกเยน็ มีความสุขใจ หนา้ ตาผอ่ งใส มบี คุ ลิกภาพท่ีน่าคบ 5. ทำใหโ้ รคบางอย่างหายไป โดยเฉพาะโรคทเ่ี กี่ยวกบั โรคจิต โรคประสาท 6. ทำให้ตนเองและสังคมอยู่ไดอ้ ยา่ งมีความสขุ เชน่ ถ้าอยใู่ นโรงเรียนกท็ ำให้ครู และเพ่ือน ได้รับ ความสขุ ถา้ อย่ทู ่บี า้ นก็ทำใหพ้ อ่ แม่ มีความสขุ เพราะอารมณ์ดี
19 7. สามารถมองเห็นวิธกี ารแก้ไขปญั หาความยุ่งยากและความเดอื ดร้อนวุ่นวายของชวี ิตได้ โดยวิธกี ารที่ ถูกต้อง จากเอกสารท่ีเกย่ี วข้องกับการฝกึ สมาธิ ทำให้ทราบถึงประโยชน์ที่เกิดจากการทำจิตใจน่งิ ไม่ฟุ้งซา่ นและยัง มีประโยชนม์ ากมายที่เกดิ ขึ้นในชวี ิตประจำวนั ทั้งในดา้ นการศกึ ษาเล่าเรียน การดำรงอยใู่ นสังคม ตลอดจนการ ประกอบอาชีพการงาน 2.1.6 งานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับการฝึกสมาธแิ บบอานาปานสติ ชมช่ืน สมประเสรฐิ (2526) ได้ศึกษาวจิ ยั ผลของการฝึกสมาธติ อ่ ระดับความวิตกกังวลโดยการใช้วิธีฝึก สมาธแิ บบอานาปานสติ กลุม่ ตวั อย่างเปน็ นกั ศึกษาคณะวทิ ยาศาสตรช์ ัน้ ปีท่ี1 มหาวิทยาลัยมหดิ ล ปกี ารศึกษา 2523 – 2524 ทม่ี ีอายุ 17 – 21 ปีจำนวน 64 คน โดยการทดสอบความวิตกกังวลก่อนและหลังการทดลองทำการ ฝกึ สมาธิแบบอานาปานสตดิ ว้ ย แบบทดสอบ STATE – TRAIT ANXITY โดยจดจำนวนครั้งของผทู้ ี่มาฝกึ สมาธิ เอาไวภ้ ายหลังจาก ช่วง 3 เดือน ได้กล่มุ ตวั อยา่ ง 3 กลุ่ม ดังน้ี กลุ่มนักศึกษาท่ีมีระยะเวลาฝึกมากกว่ารอ้ ยละ 75 (M 1) กลุ่มนักศึกษาที่มีระยะเวลาฝึกระหว่าง 50 – 75 (M 2) กลมุ่ ที่ได้รับการฝึกสมาธิ (SCL) ผลการศกึ ษาพบวา่ ทั้ง 3 กลมุ่ ระดบั ความวติ กกังวลแตกต่างกัน คือ กล่มุ M 1 มีความวิตกกังวลน้อยกว่า กลุ่ม M 2 แต่ไมแ่ ตกตา่ งกบั กลุ่ม SCL และนักศึกษากลุ่ม M 1 มีระดับความวติ กกังวลแบบเทรดลดลงมากกว่าก่อนเร่ิมทำการฝึกแตกตา่ งกัน อยา่ งมนี ัยสำคญั สอดคลอ้ งกับ รตั นา ต้ังชล (2530) ไดศ้ ึกษาวจิ ัยเร่ืองผลการฝกึ สมาธแิ บบชาวพทุ ธต่อสุขภาพจติ ของเด็กนกั เรียน โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรยี นระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 ปีการศึกษา 2529 โรงเรียนบวร มงคล จำนวน 37 คน แบ่งเป็นกล่มุ ทดลอง 20 คน และกลุ่มควบคุม 17 คน โดยใช้ระยะเวลาฝึกสมาธิ 8 สปั ดาห์ๆ ละ 4 วนั ๆ ละ 1 ครัง้ ยกเว้นวนั ศุกร์ ทำการฝึกสมาธิระหว่าง 12.00 – 12.40 น. โดยกลุ่มทดลองมีการฝึกสมาธิ แบบอานาปานสตมิ ากกวา่ รอ้ ยละ 50 (14 ครั้งข้ึนไป) กลุ่มควบคุมท่ีไม่ไดร้ ับการฝึกตามเกณฑ์ทก่ี ำหนดไวเ้ ม่ือมกี าร ทดสอบด้วยแบบทดสอบวัดสุขภาพจติ SCL – 90 ก่อนและหลัง การทดลองพบวา่ กลุ่มทดลองไมม่ สี ภาวะ สขุ ภาพจติ ดีกว่ากลมุ่ ควบคุม แต่เม่อื เปรยี บเทยี บ ภายในกลุ่มทดลองพบว่า ภายหลังการทดลองนักเรียนมีสภาวะ ดีกวา่ ก่อนทำการทดลองฝกึ สมาธิ แบบอานาปานสติจำนวน 3 ด้านคอื ดา้ นความรสู้ ึกผิดปกตขิ องรา่ งกาย ดา้ น ความซมึ เศรา้ และดา้ นความวิตกกังวล แต่ในกลุ่มควบคมุ มีสภาวะสขุ ภาพจิตดีกวา่ ก่อนทำการการทดลอง ด้าน ความรสู้ กึ ผดิ ปกติของรา่ งกาย เช่นเดียวกบั ฐิตวิ สั ส สขุ ปอ้ ม (2545) ได้ศกึ ษาการเปรยี บเทยี บผล ของการฝึก สมาธแิ บบอานาปานสติกับการฝึกการผอ่ นคลายกล้ามเน้ือท่ีมตี ่อความเครยี ดในการเรยี นของนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรียนมักกะสนั พิทยา กรงุ เทพมหานคร พบว่า นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความเครยี ด ในการเรยี นลดลง หลังจากได้รับการ ฝกึ สมาธิแบบอานาปานสติ อย่างมีนยั สำคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั 0.1 และ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 2 ที่ได้รบั การฝกึ สมาธิแบบอานาปานสติ นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ทไี่ ด้รบั การฝกึ ผ่อนคลายกล้ามเน้ือมคี วามเครียดลดลงไมแ่ ตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สำคญั ทางสถิติ ซีแมน และคนอ่นื ๆ (Seeman, et al., 1972) ได้ศกึ ษาถงึ อทิ ธพิ ลของการฝึกสมาธกิ ับการรู้จกั ตน (Self – Actualization) ศกึ ษากบั กลมุ่ บคุ คล 2 กลมุ่ คือ กลุ่มทดลอง 15 คน เปน็ ชาย 8 คน หญงิ 7 คน และกลุม่
20 ควบคมุ 20 คน เป็นชาย 10 คน หญงิ 10 คน โดยท้ังหมดเป็นนกั ศึกษาระดบั ปริญญาตรี มหาวทิ ยาลยั ซินเนติ โดย ใชแ้ บบทดสอบวดั บุคลิกภาพ ชว่ งกอ่ นและหลังการฝกึ สมาธิในช่วงระยะเวลาห่างกนั 2 เดือน โดยกลุ่มทดลองจะมี การเรียนการฝึกสมาธเิ ปน็ รายบคุ คลประมาณ 30 – 60 นาทีในชว่ งเริ่มต้น และอีก 3 วันตอ่ มาเรียนเกีย่ วกบั เทคนิคการฝึกเปน็ กลุม่ จากนั้นมีการฝึกสมาธิทุกวันๆ ละ 2 ครั้ง ในช่วงเวลาเช้าและเย็น ครั้งละ 15 – 20 นาที พบว่านักศึกษาท่ีฝกึ สมาธใิ นกลุม่ ทดลองมคี วามสามารถควบคุมความโกรธสูงกว่ากลมุ่ ควบคุมเชน่ เดียวกบั ทรอล (Throll, 1982) ไดศ้ กึ ษาผลการฝกึ สมาธิแบบที.เอ็ม และการฝกึ ผอ่ นคลายโดยศึกษากบั กลุ่มตวั อยา่ ง จำนวน 39 คน ในมหาวทิ ยาลัยวคิ ตอเรยี โดยใชแ้ บบสอบถาม วดั บุคลิกภาพของไอแซงค์ ท่ีมชี ่อื วา่ STAI เป็นแบบสอบถามท่ี เกีย่ วกับสขุ ภาพและการใช้ยา ซง่ึ มกี ารทดสอบภายหลงั การเรียนและการฝึกแต่ละเทคนิคเสรจ็ สน้ิ เปน็ ระยะเวลา ห่างกนั 5 – 10 สปั ดาห์ ผลการศกึ ษาพบว่าการทดสอบครั้งแรกไม่พบความแตกตา่ ง แต่การทดสอบครั้งสดุ ท้าย พบวากลมุ่ ท่ฝี ึกสมาธิแบบท.ี เอ็ม มีการลดลงของอาการทางประสาทในด้านความมนั่ คง ด้านการแสดงออกและด้าน การเก็บตัว นอกจากนย้ี ังพบว่ากลุ่มทม่ี ีการฝึกแบบที.เอ็ม มีการใช้ยามากกว่ากล่มุ ทมี่ ีการฝึกผ่อนคลาย และในทั้ง 2 กลุ่ม มกี ารลดลงของคะแนนจากท้งั ความวิตกและแบบสเตท และแบบเทรท ขวญั ตา กลนิ่ หอม และคณะ (2557) ไดม้ ีการศึกษาถงึ ผลของการจดั การความเครียดด้วยอานาปานสติ และการผ่อนคลายกล้ามเน้ือของผู้ดูแลผสู้ งู อายโุ รคหลอดเลือดสมอง การวิจยั ครัง้ น้ีเปน็ การวจิ ยั กึ่งทดลอง (quasi- experimental research) แบบวัดก่อนและหลังการทดลอง (one group pretest-posttest design) วตั ถุประสงค์เพ่ือศกึ ษาผลของการจัดการความเครยี ดของผู้ดูแลผูส้ ูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง โดยใช้แนวคิดของ ลาซารสั (Lazarus, 1984) เปน็ กรอบแนวคิดในการวจิ ยั โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มตัวอย่าง เปน็ ผู้ดแู ลผ้สู ูงอายโุ รคหลอดเลือดสมองจำนวน 15 ราย ทีไ่ ด้รับการตรวจและการวินิจฉยั จากแพทยว์ ่าเป็นโรค หลอดเลือดสมอง ณ โรงพยาบาลพระจอมเกล้าจังหวัด เพชรบุรีและถูกจำหน่ายกลบั ไปอยบู่ ้าน กลุ่มตวั อย่างไดร้ บั การพยาบาลตามโปรแกรมการจัดการความเครียดของ ผ้ดู แู ลผูส้ ูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง พร้อมกบั คู่มอื การ จดั การความเครียดสำหรบั ผู้ดูแลผู้สงู อายโุ รคหลอดเลือดสมองท่ผี วู้ จิ ัยพัฒนาขนึ้ เครอื่ งมือในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู คือ แบบบันทึกข้อมูลสว่ นบคุ คล แบบประเมิน ความเครยี ดของผู้ดูแลผูส้ ูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง วเิ คราะห์ ขอ้ มลู โดยใช้สถิติเชิงบรรยาย สถติ ทิ ดสอบที ผลการศึกษาพบวา่ กลุ่มตัวอยา่ งมคี ะแนนความเครียดหลังได้รบั โปรแกรมลดลงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ างสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 ผลการศกึ ษาครง้ั นีส้ ามารถ นำไปใช้เปน็ แนวทางในการพัฒนาคุณภาพ การพยาบาลและช่วยเหลือผู้ดแู ลผ้สู ูงอายุโรคหลอดเลอื ดสมองในการ จัดการความเครยี ด 2.2 เอกสารและงานวิจัยท่เี กี่ยวข้องกับการฝึกหายใจ 2.2.1 ความหมายของการหายใจอย่างถกู วิธี ตามหลักกายวิภาคศาสตร์และสรีรวทิ ยา การหายใจคือกระบวนการนำอากาศเข้าและออกจากร่างกาย ซ่งึ ควบคมุ โดยศนู ยค์ วบคมุ การหายใจบรเิ วณกา้ นสมองในระบบประสาทสว่ นกลาง โดยทวั่ ไปการหายใจเกิดข้ึนเอง จากการทำงานของระบบประสาทอัตโนมตั ิ แตห่ ากเราเข้าไปกำหนดหรือควบคุมด้วยอำนาจจิตใจ การหายใจจะ ทำงานด้วยระบบประสาทสั่งการ การหายใจเข้าและออกทำใหเ้ กดิ การแลกเปล่ยี นกา๊ ซภายในปอด ก๊าซออกซเิ จนท่ี
21 เข้าสรู่ า่ งกายขณะหายใจเข้าจะซมึ เขา้ สกู่ ระแสเลือด จากนั้นเมด็ เลอื ดแดงจึงลำเลยี งไปเลีย้ งเซลลต์ า่ งๆขณะท่ีก๊าซ คารบ์ อนไดออกไซด์จะถูกลำเลียงออกจากเซลลเ์ วลาหายใจออก เม่อื ไรที่กระบวนการหายใจสนิ้ สุดลง ยอ่ มหมายถงึ การเสียชีวติ อวยั วะทส่ี ำคญั ต่อการหายใจหลักๆประกอบด้วยปอดกระดูกซโี่ ครง กล้ามเนอ้ื กระดกู ไหปลารา้ และ กลา้ มเนือ้ กะบงั ลมท่ีกน้ั อยรู่ ะหวา่ งช่วงอกและช่องท้อง ผู้ใหญห่ ายใจเฉล่ยี นาทีละ 12 – 18 คร้ัง ขณะท่เี ด็กและ วยั รุน่ หายใจเฉล่ยี นาทลี ะ 20 – 26 คร้ัง นายแพทยแ์ อนดรวู ์ ไวล์ (Andrew Weil) ผู้เชีย่ วชาญด้านการแพทย์แบบผสมผสาน กล่าวว่า ลม หายใจเปน็ แกน่ ของชวี ติ การหายใจท่ีดเี ปน็ สะพานเช่อื มระหว่างกายกับจิต ความมสี ตแิ ละไม่มีสติ เป็นกญุ แจสำคัญ ทช่ี ว่ ยก่อใหเ้ กิดสขุ ภาวะในการหายใจทีด่ ี กะบังลมควรถูกดันลงข้างล่างให้มากท่สี ดุ จนหนา้ ท้องพอง เพ่ือให้พนื้ ท่ี ช่วงอกขยายเต็มท่ี ทำให้ปริมาตรความจอุ ากาศของปอดเพ่ิมข้ึน สามารถหายใจลึกและยาว แลกเปลย่ี นก๊าซได้ ทวั่ ถงึ ปอดทกุ ส่วน แล้วหายใจออกให้ได้มากทสี่ ุดจนท้องยุบ เพอ่ื ขับอากาศเสยี ออกใหห้ มด จึงจะชว่ ยให้รา่ งกาย แขง็ แรง รสู้ ึกปลอดโปร่งและผ่อนคลาย แตใ่ นชวี ติ ทเี่ รง่ รีบและเต็มไปดว้ ยความเครียดของยุคปัจจบุ ันร่างกายมัก ตอบสนองด้วยการหายใจส้นั ต้นื และเรว็ โดยอัตโนมัติ ทำให้อากาศเขา้ สู่ปอดเพยี งแค่คร้ังละ 500 มิลลิลติ รทั้งที่ จรงิ ๆแล้วปอดจอุ ากาศได้มากที่สุดถงึ 5,000 – 6,000 มลิ ลลิ ิตร ฉะน้ัน การหายใจทขี่ าดประสิทธภิ าพจงึ ไมเ่ พียงทำ ใหเ้ ซลล์ได้รับออกซเิ จนน้อย แต่ยงั ทำให้อากาศเกา่ ตกค้างอยใู่ นปอดปรมิ าณมาก ส่งผลใหร้ ู้สึกเหนือ่ ยง่าย ร่างกาย อ่อนแอ 2.2.2 เทคนิคการผอ่ นคลายความเครยี ดโดยการฝกึ หายใจ ตามปกติคนท่วั ไปจะหายใจต้ืนๆ โดยใช้กลา้ มเน้ือหน้าอกเป็นหลัก ทำให้ไดอ้ อกซิเจนไปเลย้ี ง ร่างกายนอ้ ยกวา่ ท่ีควร โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เวลาเครยี ด คนเราจะย่งิ หายใจถ่ี และตน้ื มากข้ึนกว่าเดมิ ทำใหเ้ กดิ อาการถอนหายใจเป็นระยะๆ เพอื่ ให้ได้ออกซิเจนมากขึ้น การฝึกหายใจชา้ ๆ ลกึ ๆ โดยใช้กลา้ มเนื้อกระบังลม บรเิ วณท้องจะชว่ ยให้ร่างกายไดอ้ ากาศเข้าสูป่ อดมากขนึ้ เพ่ิมปริมาณออกซิเจนในเลือด และยงั ช่วยเพม่ิ ความ แขง็ แรงแกก่ ลา้ มเนอื้ หน้าทอ้ งและลําไส้ดว้ ยการฝึกหายใจอยา่ งถกู วิธีจะทําให้หวั ใจเต้นช้าลง สมองแจ่มใสเพราะได้ ออกซิเจนมากข้นึ และการหายใจออกอย่างช้าๆ จะทำใหร้ ู้สึกวา่ ไดป้ ลดปลอ่ ยความเครียดออกไปจากตัวจนหมดส้ิน (กรมสขุ ภาพจติ , 2548) จดุ เน้นของการฝึกหายใจอย่างผอ่ นคลาย 1. การรับรู้ลมหายใจเข้า-ออก อย่างรตู้ วั ทุกขณะ 2. การหายใจเขา้ -ออกอยา่ งถูกต้องและผ่อนคลาย: หายใจเขา้ ท้องพอง หายใจออกท้องแฟบ วิธกี ารฝึก 1. นงั่ ในทา่ ทส่ี บาย หลบั ตา เอามือประสานไว้บรเิ วณทอ้ ง 2. ค่อยๆ หายใจเขา้ พร้อมๆ กบั นับเลข 1 ถงึ 4 เป็นจังหวะช้าๆ 1...2...3...4... ให้มอื รูส้ ึกวา่ ท้อง พองออก 3. กลนั้ หายใจเอาไว้ชัว่ ครู่ นบั 1 ถึง 4 เปน็ จังหวะช้าๆ เชน่ เดียวกับเม่อื หายใจเข้า
22 4. คอ่ ยๆ ผอ่ นลมหายใจออก โดยนับ 1 ถึง 8 อยา่ งช้าๆ 1...2...3...4...5...6...7...8... พยายามไล่ลม หายใจออกมาให้หมด สังเกตว่าหน้าทอ้ งแฟบลง 5. ทำซ้ำอีก โดยหายใจเขา้ ชา้ ๆ กล้นั ไวแ้ ลว้ หายใจออกโดยชว่ งท่หี ายใจออกให้นานกวา่ หายใจเข้า ข้อแนะนำ - การฝึกการหายใจ ควรทำติดตอ่ กนั ประมาณ 4 – 5 ครงั้ - ควรฝึกทกุ คร้ังทรี่ ู้สึกเครียด รู้สกึ โกรธ รูส้ ึกไมส่ บายใจหรือฝกึ ทกุ ครั้งทนี่ กึ ได้ - ทกุ ครั้งที่หายใจออก ให้ร้สู กึ ว่าไดผ้ ลกั ดนั ความเครียดออกมาด้วยจนหมด เหลอื ไวแ้ ต่ความรสู้ กึ โล่ง สบายเทา่ น้นั - ในแต่ละวัน ควรฝกึ การหายใจท่ถี ูกวธิ ใี ห้ไดป้ ระมาณ 40 คร้ัง แต่ไม่จำเปน็ ต้องทำติดต่อในคราว เดียวกัน เทคนคิ การหายใจแบบลกึ และการผ่อนคลาย กล้ามเนือ้ เป็นวธิ ีที่ทำไดง้ ่าย สามารถฝกึ และปฏิบัตไิ ด้ ด้วยตัวเองโดยไมต่ ้องใช้อุปกรณ์ นยิ มใชเ้ พื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคเรอ้ื รัง และผ้ปู ่วยท่มี ีความเครยี ด ซมึ เศร้า อาการ เจบ็ ปวดเร้ือรงั การหายใจแบบลกึ โดยสดู หายใจเข้าทาง จมูกลึกๆ ชา้ ๆ และหายใจออกทางปากช้าๆ หายใจเขา้ และ ออกอยา่ งสมำ่ เสมอ 4 ครง้ั ต่อนาทีจะช่วยให้ร่างกายได้ อากาศเข้าสปู่ อดมากขึน้ เพ่ิมออกซเิ จนในเลือด การ ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อจะทำใหค้ วามตงึ ของกลา้ มเนื้อ ลดลง กล้ามเน้ือแต่ละสว่ น เชน่ แขน ขา ใบหนา้ ลำคอ ขากรรไกร ไหล่ หลงั มกี ารเกร็งและคลาย ซ่ึงส่งผลต่อ จิตใจทำใหร้ สู้ กึ ผ่อนคลาย เกิดความสงบ มีสมาธิไมค่ ดิ ฟุ้งซ่าน ทำให้นอนหลับได้ดี ลดความเจบ็ ปวด ความวติ ก กังวลลดความเมื่อยลา้ ความดนั โลหติ อตั ราหัวใจเต้น 1642 MMP64-3 และชีพจรลดลง (Astin, et al., 2003 ; กระทรวงสาธารณสขุ กรมสุขภาพจติ , 2546 ; ธวชั ชัย และคณะ, 2552) อธบิ ดกี รมสขุ ภาพจิต กล่าววา่ การฝกึ การหายใจคลายเครียด ควรทำติดตอ่ กนั ประมาณ 4-5 คร้ังและ ควรฝกึ ทุกคร้ังที่เครียด หรอื เมือ่ รูส้ กึ โกรธ รสู้ กึ ไมส่ บายใจ หรอื ทุกครั้งที่นึกได้ แต่ละวนั ควรฝึกหายใจใหถ้ ูกวิธี ประมาณ 40 ครงั้ แต่ไมจ่ ำเปน็ ต้องทำคราวเดยี ว นอกจากนี้ประชาชนควรออกกำลังกายอยา่ งน้อยวนั ละ 30 นาที สัปดาหล์ ะอย่างน้อย 3 วนั จะทำให้ร่างกายหลัง่ สารแหง่ ความสขุ ออกมาก จะรู้สึกสบาย นอนหลบั ดีขน้ึ 2.3 เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ ก่ียวข้องกับดนตรี 2.3.1 ความหมาย “ดนตรี” ตรงกบั คำว่า “music” ในภาษาอังกฤษ ตามหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ระบุไวว้ ่า ชาตกิ รีกเป็น ชาติแรกทน่ี ำคำนมี้ าใช้ รูปคำเดิมของกรีก ไดม้ าจากคำวา่ Muses หมายถึงเทพเจ้าท้ัง 9 องคข์ องชาวกรีก ที่ เกี่ยวขอ้ งกับเร่ืองความกลมกลืน ความสอดคล้อง ความเหมาะเจาะ และความงดงามทุกอย่าง ไม่เฉพาะแต่การเล่น เครื่องดนตรี การขับร้องและการลลี าศเท่าน้นั แตร่ วมไปถึงด้านอักษรศาสตร์ โดยเฉพาะบทกวีและศิลปะการแสดง ด้านวรรณคดี ด้านวิทยาศาสตร์ และด้านคณิตศาสตร์ดว้ ย ปัจจบุ นั คำวา่ music ไดแ้ พร่หลายออกไปเกอื บทุก
23 ภาษา แต่มกี ารนำไปปรับเปล่ียนการเขียนให้ถูกต้องตามหลกั ภาษาของตน เช่น ในภาษาฝรัง่ เศส ตรงกบั คำวา่ musique ในภาษาเยอรมัน ตรงกบั คำวา่ musik ในภาษาอิตาลี ตรงกบั คำวา่ musica และภาษาอ่ืนๆอีก ในปัจจุบันได้มีผใู้ ห้ความหมายของคำวา่ “ดนตร”ี ไว้มากมาย ตวั อย่างเช่น พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั ภูมพิ ลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรสั เก่ียวกับดนตรี วา่ “ดนตรคี อื ส่ิง ประณีตงดงาม และทุกคนควรนิยมในคุณค่าของดนตรีทกุ ประเภท เพราะว่าดนตรีแตล่ ะประเภทตา่ งก็มคี วาม เหมาะสมตามแตโ่ อกาส และอารมณ์ที่ตา่ งๆกนั ออกไป” พระเจนดรุ ยิ างค์ บิดาดนตรสี ากลของประเทศไทย ได้ให้ความหมายไวว้ า่ “ดนตรเี ป็นศลิ ปะเกีย่ วกับเสยี ง เป็นสาขาหน่งึ ในเครอื ศิลปะ เป็นยอดแห่งศลิ ปะ มชี ื่อว่า The Divine Art หมายถงึ เป็นศิลปะช้ันสงู ศลิ ปะน้ีใช้การ บรรเลงของเครื่องดนตรี หรือเสียงขับร้องเปน็ สื่อ ทำให้ผู้ฟงั เกดิ ความรสู้ กึ สะเทือนใจ เกิดอารมณส์ อดคล้องกันไป กับบทเพลงท่ไี ดร้ ับฟังอยู่ ดนตรเี ป็นสาขาหน่ึงของวิทยาศาสตร์ เพราะเสยี งร้อง เสยี งสูงต่ำของดนตรีเปน็ ไปตาม กฎเกณฑธ์ รรมชาติ เครือ่ งดนตรีต่างๆตอ้ งอาศยั กฎเกณฑ์ของวิทยาศาสตรเ์ ขา้ ช่วยประดิษฐ์” กำธร สนทิ วงศ์ ณ อยุธยา อาจารยผ์ ู้สอนดนตรที ี่มชี ือ่ เสยี งของประเทศไทย ได้อธบิ ายความหมายของ ดนตรีไวว้ า่ “ดนตรีเปน็ เคร่ืองมอื (Tools) สำหรับไว้สือ่ ความคิด (Idea) ความนึกฝัน (Imagination) และ ความรสู้ กึ (Emotion) โดยออกมาในรูปของเสียง เพ่ือใหต้ ัวเอง ให้ผู้อน่ื ไดช้ ื่นชม ได้ช่ืนใจ” สุกรี เจริญสขุ กล่าวถึงความหมายของดนตรวี า่ ดนตรเี ป็นงานศลิ ปะที่มนุษยส์ ร้างขึน้ โดยอาศัยเสียงเป็น สอ่ื ถ่ายทอดความรสู้ ึกของศลิ ปนิ เสยี งดนตรีเป็นเสยี งทม่ี คี วามงาม นำมาเรยี บเรยี งอยา่ งมศี ิลปะ กลายเป็นบท เพลงความแตกต่างระหว่างเสียงดนตรีกับเสียงอืน่ ๆ คือ เสียงดนตรเี ป็นเสยี งทป่ี ระดิษฐข์ ้ึน โดยอาศยั ความงดงาม ของเสียง ศลิ ปินผูส้ ร้างเสียงได้สอดใส่อารมณ์ลงไปในเสียง เพอื่ ให้เสียงมีความรูส้ ึกทางศิลปะ ส่วนเสียงอืน่ ๆ ท่ี ไมใ่ ช่เสยี งดนตรี เปน็ เพยี งเสยี งท่ขี าดคุณสมบตั ิทางศลิ ปะ กล่าวคอื ขาดความรสู้ กึ ทางศลิ ปะในเสียง ขาดวิญญาณ ศลิ ปนิ ในเสยี งอารมณ์ ความรู้สึก ส่งิ ท่มี ากระทบตัณหา หรือความอยาก ส่งิ เหล่านจ้ี ะถูกบนั ทกึ ลงไปในดนตรี เป็น คณุ สมบตั ิท่ีสำคญั ของศิลปะ อารมณ์ในดนตรีก็เหมอื นกบั อารมณช์ ีวติ ศิลปินถา่ ยทอดลงไปในผลงานดนตรีท่ีมี อารมณ์กจ็ ะส่ือไปกระทบความรู้สกึ ต่อผ้ชู ม หรอื ผู้ฟังได้ ศิลปนิ เก่งผลงานดี ยอ่ มมีโอกาสถ่ายทอดอารมณ์ไปสู่ผ้ฟู งั ไดด้ ี พจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายดนตรีไวว้ ่า “ดนตรีคอื เสียงที่ประกอบ กันเป็นทำนองเพลง, เคร่อื งบรรเลงซึง่ มเี สยี งดังทำใหร้ สู้ กึ เพลดิ เพลนิ หรือเกิดอารมณ์รัก โศก หรอื ร่ืนเริง เป็นตน้ ไดต้ ามทำนองเพลง” ดนตรี (องั กฤษ : music) คือ เสยี งที่จดั เรียงอย่างเปน็ ระเบียบ และมีแบบแผนโครงสรา้ ง เปน็ รูปแบบของ กิจกรรมเชงิ ศิลปะของมนุษย์ทเี่ กย่ี วข้องกับเสียงโดยดนตรีนนั้ แสดงออกมาในดา้ นระดับเสียง (ซง่ึ รวมถึงทว่ งทำนอง และเสยี งประสาน) จังหวะ และคณุ ภาพเสยี ง (ความต่อเน่ืองของเสียง พืน้ ผิวของเสียง ความดังค่อย) ดนตรีนน้ั สามารถใช้ในดา้ นศลิ ปะหรือสนุ ทรียศาสตร์ การส่อื สาร ความบันเทงิ รวมถึงใชใ้ นงานพิธีการต่างๆ
24 ดนตรเี ปน็ ศิลปะทถ่ี ูกนำไปแปรความหมายตา่ ง ๆ มากมาย การค้นหาความหมายในเสียงดนตรี นักภาษาศาสตร์ได้พยายามนำเสยี งดนตรีมาตคี วาม ใหน้ ิยายทไ่ี ด้ยินท่ัวไปวา่ “ดนตรเี ป็นภาษาสากล” บางครงั้ ก็จะ ไดย้ ินว่า “ดนตรีเป็นภาษาของอารมณ์” 2.3.2 ความสำคญั และคณุ ค่า ดนตรีมีความผูกพันกับชวี ิตของมนษุ ย์อยูต่ ลอดเวลา เป็นส่วนหนง่ึ ของชีวิตมนษุ ย์เริ่มตั้งแตแ่ รกเกิดจนถึง วาระสุดท้ายของชวี ติ แรกเกิดทารกจะไดย้ ินเสยี งเห่กลอ่ มจากมารดา หรือฟังเสียงเพลงเพ่ือใหเ้ กดิ ความเพลดิ เพลิน เม่อื เร่ิมเข้าสรู่ ะบบการศึกษาดนตรีกถ็ ูกนำมาใช้เพอ่ื พัฒนามนุษยใ์ หเ้ จรญิ งอกงามครบทุกดา้ น ได้แก่ ดา้ นร่างกาย ด้านสังคม ดา้ นอารมณ์ และด้านสติปัญญา เม่ือชีวิตเรม่ิ เขา้ สวู่ ยั ทำงาน ดนตรีก็จะถกู นำมาใช้เพ่อื ใหเ้ กดิ ความผ่อน คลาย ความตงึ เครียดจากการทำงานในรปู แบบตา่ งๆ กนั ออกไป จนสดุ ทา้ ยของชีวติ กย็ ังมีดนตรีเพอื่ ใชส้ ำหรับงาน ศพ จะเห็นได้วา่ ดนตรีน้นั มีความผูกพนั ต่อมนุษย์อย่างลึกซ้งึ จึงทำใหม้ กี ารศึกษาทดลอง เพ่ือหาข้อสรุปเก่ียวกบั คณุ ประโยชน์ของดนตรีจะได้นำมาใช้ในการพัฒนาชวี ติ ของมนุษย์ให้มีคณุ ภาพสงู ขนึ้ ดนตรีจึงเป็นวิทยาศาสตร์ ประยกุ ต์ คือเป็นท้ังศลิ ปะและวทิ ยาศาสตร์ เปน็ วิทยาการทมี่ ีคุณค่าสำหรบั มนุษย์ทุกคน 2.3.4 องค์ประกอบ องคป์ ระกอบของดนตรี คือ ส่วนสำคญั พ้ืนฐานท่ีทำใหเ้ กดิ เปน็ ดนตรีขึ้น ทง้ั น้โี ดยจะกลา่ วถงึ องคป์ ระกอบ ของดนตรีโดยรวม มิไดย้ ึดเอาหลกั เกณฑข์ องดนตรีใดเป็นมาตรฐาน องค์ประกอบของดนตรที สี่ ำคัญประกอบไป ด้วยปจั จยั เหล่าน้ีคือ เสยี ง ทำนอง เสยี งประสาน จงั หวะ และรูปแบบของดนตรี เสียง (Tone) เปน็ การยากท่ีจะกลา่ วหรอื ระบุได้ ว่าดนตรีเกดิ ขน้ึ ในช่วงเวลาใด ทั้งนเี้ นอ่ื งจากไมส่ ามารถหาหลักฐานมา อ้างองิ ได้อยา่ งแนช่ ัด จงึ ได้แต่เพยี งสนั นษิ ฐานและต้ังข้อสงั เกตจากโบราณวัตถุหรือหลกั ฐานทาง ประวตั ิศาสตร์ อืน่ ๆ ทีย่ ังคงหลงเหลืออยใู่ นปัจจุบัน โดยสนั นิษฐานตามหลักการและเหตุผล และคำนึงถึงความเปน็ ไปได้มากที่สุด ข้อสนั นิษฐานที่เกีย่ วกบั กำเนิดของดนตรมี ดี งั นี้ ลักษณะเสียงทีเ่ รียกว่า Tone นน้ั จะมคี วามแตกต่างไปจากเสยี งทม่ี ีความหมายวา่ Noise เน่อื งจาก ลกั ษณะของการเกิดเสยี งที่เรียกวา่ Tone นัน้ เกดิ จากการสนั่ สะเทือนของอากาศอยา่ งสมำ่ เสมอ สว่ นเสียงใน ความหมายวา่ Noise น้ันเกดิ จากการสั่นสะเทือนของอากาศทีไ่ ม่สม่ำเสมอ เสียงดนตรีไม่วา่ จะเป็นเสียงทีเ่ กิดจาก การเปา่ การร้อง การดีด หรอื การสี จะเปน็ ลักษณะเสยี งทเ่ี รยี กวา่ Tone เพราะการสัน่ สะเทือนเป็นไปอยา่ ง สมำ่ เสมอ เสียงประกอบไปด้วยคุณสมบัตสิ ำคัญ 4 ประการคือ ระดับเสยี ง ความส้นั ยาวของเสยี ง ความดงั เบาของ เสียง และสสี ันของเสยี ง 1. ระดับเสยี ง (Pitch)
25 ระดบั เสียง หมายถึง ความสูงต่ำของเสยี งในเชงิ ภายภาพ หากความถ่ขี องการสั่นสะเทอื นเป็นไปอย่าง รวดเร็ว จะทำให้เกดิ เสียงสงู ถา้ ความถ่ีของการสนั่ สะเทือนเปน็ ลกั ษณะช้า จะทำให้เกิดเสียงต่ำ หขู องมนุษย์ สามารถแยกเสียงตั้งแตร่ ะดับความถ่ีของการสั่นสะเทือน 16 คร้ัง / วนิ าที จนถงึ 20,000 คร้ัง / วนิ าที 2. ความสนั้ - ยาวของเสยี ง (Duration) เสียงดนตรีจะมคี วามแตกต่างกันในเรื่องของความส้ัน ยาวของเสียง กลา่ วคือบางคร้งั เราจะไดย้ ิน ลกั ษณะของการลากเสยี งยาวๆ หรอื บางครง้ั ก็จะเปน็ ลักษณะห้วน ๆ สน้ั ๆ ความแตกต่างกนั ในลักษณะนี้เรยี กวา่ ความส้นั - ยาวของเสียง 3. ความดงั - เบาของเสียง (Dynamics) เสียงดนตรีจะมคี วามแตกตา่ งกนั ในเร่ืองของความดัง - เบาของเสียงเชน่ กนั กล่าวคอื บางครัง้ เราจะได้ ยินการบรรเลงเพลงที่มเี สยี งดัง อกึ ทึกครึกโครม ตรงกนั ข้ามบางคร้ังกจ็ ะได้ยนิ เสียงดนตรีท่นี มุ่ นวล หรือแผว่ เบา ลักษณะของการเกิดเสยี งแบบน้ีเรยี กว่า ความดงั - เบาของเสยี ง ความดงั - เบาของเสียง อาจจะเกิดข้นึ ในลักษณะเบาหรือดังข้ึนทนั ทีทนั ใด หรอื อาจจะเป็นลกั ษณะ คอ่ ย ๆ เบาลงหรือค่อย ๆ ดังขึน้ 4. สสี นั ของเสยี ง (Tone Color) สีสันของเสียง (Tone Color หรือ Timbre) หมายถึง ความแตกต่างของเสยี งซึ่งมาจากแหล่งกำเนิด เสียงทต่ี า่ งกนั ซึ่งได้แก่เสียงของเครื่องดนตรีชนดิ ต่าง ๆ รวมไปถึงเสียงรอ้ งของมนุษยด์ ้วย ยกตวั อย่างเช่น ในบท เพลง ๆ หนึง่ หากขับร้องโดยผ้ชู ายกจ็ ะได้ความรสู้ กึ ท่ีแตกตา่ งจากการขบั ร้องโดยผู้หญงิ หรอื ในการบรรเลงดนตรี หากเป็นการบรรเลงเดย่ี วก็จะมีความแตกต่างไปจากการบรรเลงเปน็ วง หรือบรรเลงโดยเคร่ืองดนตรีที่ตา่ งชนดิ กนั ลักษณะท่แี ตกตา่ งกนั นีเ้ รียกว่าสีสันของเสยี ง คณุ สมบัตทิ ้ัง 4 ประการของเสยี งรวมกันทำให้เกดิ เสยี งดนตรีทห่ี ลากหลายจนทำให้ดนตรีเป็นศลิ ปะ อยา่ งหน่ึง โดยสรุปเสียงดนตรีมไี ด้ต้ังแต่ ตำ่ - สงู สนั้ - ยาว เบา - ดัง และมีเสยี งท่ีแตกต่างกนั ของเครื่องดนตรีแต่ ละชนดิ ทำนอง (Melody) ทำนอง คือ การจัดเรยี งของเสยี งที่มีความแตกตา่ งกนั ของระดบั เสียงและความยาวของเสียง โดยทวั่ ไป ดนตรีจะประกอบไปดว้ ยทำนองซึง่ เป็นองค์ประกอบทง่ี า่ ยต่อการจดจำมากที่สุด ทำนองมีหลายลกั ษณะแตกต่าง กนั ออกไป องคป์ ระกอบของทำนองท่ีควรทราบได้แก่ จงั หวะของทำนอง (Melodic Rhythm) คอื ความสั้นยาวของระดับเสยี งแตล่ ะเสียงทปี่ ระกอบกันเป็น ทำนอง มติ ขิ องทำนอง (Melodic Dimensions) ประกอบดว้ ย 2 สว่ น คอื ความยาวและช่วงกว้าง 1. ความยาว (Length) ทำนองบางครั้งอาจจะสัน้ ๆ เป็นสว่ น ๆ ซงึ่ ส่วนทเ่ี ลก็ สดุ หรอื สนั้ ทส่ี ุดเรยี กว่า โมทีฟ (Motive) บางคร้ังอาจเปน็ ทำนองที่ยาวมาก ๆ
26 2. ช่วงกว้าง (Range) คือ ระยะระหว่างระดบั เสยี งต่ำสดุ จนถึงระดบั เสยี งสงู สดุ ชว่ งเสียงของทำนอง (Register) ทำนองเพลงอาจจะอยูใ่ นช่วงเสยี งใดช่วงเสยี งหนึง่ เชน่ ในชว่ งเสียงตำ่ กลาง หรือสูง บางคร้งั ทำนองอาจจะเคลื่อนที่จากช่วงเสยี งหนึ่งไปยังอกี ชว่ งเสยี งหนง่ึ ก็ได้ ทศิ ทางของทำนอง (Direction) หมายถึง การเคล่อื นทขี่ องทำนอง กลา่ วคือทำนองอาจจะเคล่อื นท่ไี ปใน หลายทิศทาง เช่น เคลื่อนที่ขึ้น เคลอ่ื นท่ลี ง หรืออยู่กบั ที่ โดยปกติทำนองมักจะเคลอ่ื นที่ขนึ้ จดุ สูงสุดเม่อื เน้ือหาของ เพลงดำเนนิ ไปถึง จุดสำคัญที่สดุ ปกตกิ ารเคล่ือนท่ีของทำนองอาจจะเปน็ ในลักษณะกระโดด (Disjunct Progression) หรือเรียงกนั ไป (Conjunct Progression) บทเพลงนัน้ จะนา่ สนใจ น่าฟงั หรือชวนฉงนสงสยั ข้ึนอยู่ กับผลรวมของคณุ สมบตั ิตา่ ง ๆ ของทำนอง ทำนองจดั เปน็ ลกั ษณะพื้นฐานของดนตรีหรอื บทเพลง โดยทัว่ ไป ทำนองที่เปน็ หลักในบทเพลงหนง่ึ จะเรยี กว่าทำนองหลกั (Main Theme) ในแต่ละบทเพลงอาจจะมที ำนองหลักได้ มากกว่า 1 ทำนอง เสียงประสาน (Harmony) เสยี งประสานคือ องคป์ ระกอบของดนตรีที่เกิดขน้ึ จากการผสมผสานของเสยี งมากกว่าหน่งึ แนวเสียง เสียง ประสานเปน็ องคป์ ระกอบดนตรีท่ีสลับซับซ้อนกว่าจังหวะและทำนอง แสดงถึงความประณีตในการประพันธ์ อย่างไรกต็ ามในบางวฒั นธรรมอาจจะไม่พบการประสานเสียงของดนตรเี ลย เชน่ ดนตรีพ้ืนเมืองหรือดนตรีพืน้ บา้ น ที่มคี วามเรยี บง่ายของการประพนั ธ์ ซึ่งเปน็ ดนตรที ี่แสดงถึงเอกลกั ษณ์ของตนเอง การประสานเสียงน้ันมี 2 ลกั ษณะคอื การประสานเสยี งท่ีมีลกั ษณะของเสียงที่กลมกลืนกันและไม่ กลมกลนื กนั 1. เสียงประสานทีก่ ลมกลืน (Consonance) เสยี งประสานทก่ี ลมกลนื กนั นั้น เม่ือฟังแลว้ จะทำให้เกิด ความร้สู กึ กลมกล่อม สบายหู สามารถพบไดใ้ นหลาย ๆ วัฒนธรรมดนตรี 2. เสยี งประสานที่ไมก่ ลมกลืน (Dissonance) เสียงประสานที่ไม่กลมกลืนกนั เมื่อฟงั แลว้ จะทำให้เกดิ ความรสู้ ึกขดั หู ตึงเครยี ด คา้ งหรือแขวนอยู่ ลักษณะของเสียงประสานท่ีไมก่ ลมกลืนกนั มักจะไมพ่ บใน วฒั นธรรมดนตรตี ะวันออก แต่ในวัฒนธรรมดนตรตี ะวนั ตกจะมกี ารใช้เสียงประสานในรูปแบบน้ี จงั หวะ (Rhythm) จังหวะสามารถแบ่งออกได้เป็นลกั ษณะสำคัญดังนี้ 1. อัตราจังหวะ (Meter) โดยทวั่ ไปบทเพลงทปี่ ระพันธ์ขนึ้ อยา่ ง มีระเบียบแบบแผนจะมอี ัตราจงั หวะท่ชี ดั เจน เช่น บทเพลงประเภท เพลงเถาในดนตรไี ทยจะมี 3 ท่อน ท่อนท่ี 1 มีอตั ราจงั หวะ 3 ชนั้ ทอ่ นท่ี 2 มอี ัตราจงั หวะ 2 ช้ัน และท่อนท่ี 3 มี อัตราจังหวะ 1 ช้นั หรือชน้ั เดียว โดยฉง่ิ จะทำหนา้ ท่ีกำกบั จังหวะ อตั ราจงั หวะ ซ่ึงผูบ้ รรเลงมคี วามจำเป็นต้องทราบ ถงึ อตั ราจังหวะเหล่าน้ี หรอื บทเพลงในดนตรีคลาสสคิ ของอินเดยี กจ็ ะมีอตั ราจังหวะที่หลากหลาย ในวฒั นธรรม ดนตรีตะวนั ตกซึ่งมกี ารบันทึกดนตรเี ป็นโนต้ ดนตรที ่ชี ดั เจนอยา่ งมี ระบบ ก็ได้แสดงหรือบ่งบอกอตั ราจังหวะของ
27 เพลงไวอ้ ย่างชัดเจนเช่นกนั เช่น บทเพลงในลักษณะจงั หวะแบบสามชา่ (cha cha cha) กจ็ ะมีอตั ราจังหวะ 4/4 ซึ่งหมายความวา่ ในหนึ่งห้องเพลงจะมี 4 จังหวะ เป็นต้น 2. ความชา้ - เร็วของจังหวะ (Tempo) ดนตรีทุกชนิดในโลกจะมีความช้าเรว็ ของจงั หวะเพลง เช่นเพลงทใ่ี ชป้ ระกอบการเต้นรำเพือ่ ความ สนุกสนาน กอ็ าจจะมีจงั หวะที่คอ่ นข้างกระชบั รวดเร็ว ตรงกนั ขา้ มกบั เพลงทีใ่ ช้กลอ่ มเด็ก กม็ ีจังหวะท่คี ่อนขา้ งชา้ เป็นเร่อื งของเสียงทเ่ี คลอื่ นทไ่ี ปในชว่ งเวลา ดงั น้ันองค์ประกอบเรื่องเวลาจึงเป็นสว่ นสำคญั อีกสว่ นหนึง่ ของดนตรี ทางดนตรอี งค์ประกอบเร่อื งเวลาประกอบไปด้วย ความเรว็ ของจังหวะ (Tempo) อัตราจังหวะ (Meter) และ จังหวะ (Rhythm) ความชา้ - เรว็ ของจงั หวะ อาจจะเกดิ ขึน้ ในลกั ษณะชา้ หรอื เรว็ ข้นึ ทนั ทที นั ใด หรืออาจจะเปน็ ลักษณะ คอ่ ย ๆ ชา้ ลงหรือค่อย ๆ เร็วข้ึน 2.3.5 รปู แบบ ดนตรีที่ประพันธ์ข้ึนอย่างมรี ะเบยี บแบบแผน จะมีรปู แบบท่ีคอ่ นข้างชดั เจน ซึง่ ได้แก่ ดนตรีที่ประพนั ธ์ข้ึน เพือ่ การฟังทเ่ี รียกว่า ดนตรีศิลป์ หรอื ดนตรีช้ันสงู ของแต่ละชาติ หรอื ดนตรปี ระจำชาติ เชน่ ดนตรีตะวนั ตกจะมี โครงสรา้ งของบทเพลงทชี่ ัดเจน บทเพลงจะมกี ารแบ่งออกเป็นท่อนต่าง ๆ เชน่ บทเพลงประเภทรูปแบบ Concerto จะมี 3 ท่อน คอื ท่อนที่ 1 เปน็ แบบ Allegro มจี งั หวะเร็ว ทอ่ นท่ี 2 ช้า และท่อนท่ี 3 เร็ว ในแตล่ ะ ทอ่ นก็จะมีรปู แบบปลกี ย่อยออกไปอีก เช่น ในทอ่ นท่ี 1 อาจจะเป็นแบบ Rondo ซงึ่ แบง่ ออกไดเ้ ปน็ ท่อน A B A B หรอื ตวั อยา่ งเชน่ ในบทเพลงไทยเดมิ ลักษณะรปู แบบเพลงเถา ก็จะประกอบด้วย 3 ท่อน ทอ่ นที่ 1 เป็นอัตราจังหวะ 3 ช้นั ทอ่ นท่ี 2 เป็นอัตราจังหวะ 2 ชัน้ และท่อนท่ี 3 เปน็ อัตราจงั หวะ 1 ชน้ั อยา่ งไรก็ตาม เรามักจะไมค่ ่อยพบรูปแบบของดนตรหี รอื บทเพลงท่ีชดั เจนในดนตรีพนื้ บ้าน เนื่องจากเปน็ ดนตรที ี่ประพันธ์ขึน้ เพอ่ื ประกอบกิจกรรมตา่ ง ๆ ในชีวติ ประจำวนั ซ่งึ มิได้คำนึงถึงหลักการประพนั ธ์แต่อย่างใด 2.3.6 ประโยชน์ เสียงดนตรมี อี ิทธิพลตอ่ มนษุ ย์ โดยมนษุ ย์จะทำการโตต้ อบกลับต่อเสียงที่ได้ยินในหลายลกั ษณะต่าง ๆ กนั ด้วยเหตุน้มี นุษย์จงึ นำเอาอิทธิพลของเสยี งมาใช้ในการปรบั ปรุงพฒั นาคุณภาพชีวิตให้ดขี ึ้น มีท้งั ทางด้านการศกึ ษา ดา้ นการแพทย์ ดา้ นการกีฬา ด้านสงั คม และดา้ นอ่นื ๆ 2.3.6.1 ด้านการศกึ ษา มีการนำเสยี งดนตรมี าใชป้ ระกอบการสอนแบบสร้างสรรคท์ างศลิ ปะ ผลปรากฏวา่ เสียงดนตรสี ามารถสง่ เสริมพัฒนาการทางอารมณ์ เสริมสร้างความคดิ จนิ ตนาการ ชว่ ยกระต้นุ ให้มีการแสดงออก ในทางสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้มีความสมั พันธ์ระหว่างประสาทหู กล้ามเน้ือมือ ใหส้ อดคล้องกบั การใช้ความคดิ ทำให้ หายเหน่ือย และคลายความตึงเครยี ด มกี ารทดลองใหน้ ักศึกษาทำขอ้ สอบท่ีมเี สียงดนตรีกบั ไม่มเี สียงดนตรี ประกอบ ผลปรากฏวา่ กล่มุ ท่ีไมม่ เี สียงดนตรีทำคะแนนไดน้ ้อยกว่ากลุ่มท่ีมีเสยี งดนตรี และยงั พบอีกวา่ กลุ่มที่ใช้ เพลงร็อค จะทำคะแนนไดน้ ้อยกว่ากลมุ่ ท่ใี ชเ้ พลงคลาสสิกและแจ๊ส
28 2.3.6.2 ด้านการแพทย์ ใช้เสียงดนตรกี ระตนุ้ การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มารดา ผลปรากฏว่าเด็กมี ปฏิกริ ิยาตอบรบั กบั เสียงเพลงท้งั ทางพฤติกรรมและรา่ งกายในทางทดี่ ี เสียงเพลงทีน่ ุ่มนวลจะทำใหเ้ ด็กมีอาการสงบ เงียบ รา่ งกายเจรญิ เติบโตขึ้นและยังชว่ ยให้ระบบหายใจและระบบย่อยดีขนึ้ การนำเสยี งดนตรีมาบำบัดรักษา ผู้ป่วยปัญญาออ่ น โดยใช้เสยี งดนตรปี ระกอบ ผลของการทำงานดีขึ้นกวา่ ไม่ได้ใช้เสยี งดนตรีประกอบ ใช้ เสียงดนตรลี ดหรอื บรรเทาความทุกทรมานจากการเจบ็ ปวดของผู้ป่วยใน 48 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด และยังช่วย ผอ่ นคลายภาวะทางอารมณ์ได้เป็นอยา่ งดี 2.3.6.3 ด้านสังคม มกี ารใชจ้ งั หวะดนตรมี ากำหนดใหม้ นุษย์ทำงานใหเ้ กิดความพร้อมเพรียง เช่น จงั หวะ ยกของส่งของ ใช้เสียงดนตรใี นการปลุกเรา้ อารมณ์ใหเ้ กดิ ความรัก สามัคคี รักหมูค่ ณะ เชน่ เพลงปลกุ ใจ เพลงเชียร์ ใชเ้ สยี งดนตรเี พือ่ สรา้ งบรรยากาศในการประกอบพิธีกรรมตา่ ง ๆ ให้ดูศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ น่าเชือ่ ถือ เครง่ ขรึม ใช้เสยี งดนตรี เพือ่ สื่ออารมณ์ ความรู้สึก ทร่ี ่าเริงเบิกบาน สดช่นื แจม่ ใส แสดงความยินดี เช่นงานวันเกิด งานเลยี้ งฉลอง งาน มงคลตา่ ง ๆ 2.3.6.4 ด้านจติ วิทยา ใชเ้ สยี งดนตรีปรบั เปลยี่ นพฤติกรรมท่ีกา้ วร้าวของมนุษย์ โดยเฉพาะเด็กจะทำใหเ้ ด็ก มสี มาธยิ าวข้ึน อ่อนโยนขนึ้ ถ้าใหฟ้ ังเสยี งดนตรีท่ีมีท่วงทำนองทเี่ หมาะสมบ่อย ๆ คร้ัง 2.3.6.5 ดา้ นการกีฬา ใชเ้ สียงเพลงประกอบกจิ กรรมกีฬา เชน่ ยมิ นาสตกิ กิจกรรมเขา้ จังหวะ การบรหิ าร รา่ งกายประกอบเสยี งดนตรหี รอื การเตน้ แอรโ์ รบิก (Aerobic Dance) ดนตรบี ำบดั “ดนตรบี ำบดั ” (Music Therapy) บางคนอาจเรียกวา่ ”สังคีตบำบัด” เป็นการใช้เสยี งดนตรที ีเ่ ปน็ ภาษาสากลมาบำบัดหรือฟื้นฟูสุขภาพทั้งรา่ งกายและจิตใจในเวลาเดียวกัน โดยอาจอย่ใู นรปู การฟงั ดนตรีหรือเล่น ดนตรกี ็ได้ เร่ืองของดนตรีบำบดั มกี ารใชก้ นั มาหลายพันปีแลว้ เริ่มจากชนเผา่ พ้นื เมืองทั่วโลกได้ใชด้ นตรใี นการ เต้นรำ ประกอบพธิ ีกรรม รวมถงึ เป็นสว่ นหนง่ึ ของการเยียวยารกั ษาโรค สำหรบั หลักฐานทางการแพทยเ์ ร่ิมมีบนั ทึก มาต้ังแต่ ค.ศ 1960 แพทยช์ าวดัทช์ท่านหน่งึ ได้พบวา่ เสยี งดนตรีช่วยบำบดั ในระหวา่ งการคลอด หรือกรณีมีอาการ เจบ็ ปวดมาก ดนตรคี ลาสสกิ จะนำมาใช้แทนยากล่อมประสาทหรือยาลดอาการปวดไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ นอกจากนี้การทหารในสหรฐั อเมรกิ ากน็ ำมาใช้บำบัดทางจิตเพอ่ื ฟน้ื ฟูสมรรถภาพของร่างกายและจิตใจ ตอ่ มา ในช่วงตน้ ปีค.ศ 1970 นักประพนั ธ์เพลงช่ือสตเี วฟ ฮลั เพิร์น ไดเ้ ร่มิ ตน้ ทำดนตรีแนวใหม่ในลักษณะของ “New Age Music” มจี ุดมุง่ หมายให้ผู้ฟังเกิดความรูส้ กึ ผ่อนคลายสรา้ งสมดุลของร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ เขา้ ด้วยกัน ดนตรี สไตล์นจี้ ะไม่มที ว่ งทำนอง ลีลา หรอื จงั หวะชัดเจนท่ีจะทำให้จดจำได้ จงึ เหมาะกับผทู้ ่ีตอ้ งการผ่อนคลาย น่งั สมาธิ เลน่ โยคะ หรอื ขณะนวด จนกระทั่งปคี .ศ 2000 มกี ารบำบัดโดยนกั ดนตรบี ำบัดท่ีเรียกวา่ “Music Therapist” ซ่ึงต้องผ่านการ อบรมอย่างจรงิ จงั อย่างในสหรฐั อเมริกามวี ทิ ยาลัยและมหาวิทยาลัยกวา่ 50 แหง่ ที่เปดิ สอนวชิ า Music Therapy ซง่ึ ตอ้ งใช้เวลาเรยี นถงึ 4 ปจี บแลว้ จะได้รบั Certification Board for Music Therapists สำหรบั ในบ้านเรานกั ดนตรบี ำบัดตอ้ งผา่ นการเรียนดนตรีหรอื ประกาศนียบัตรรับรองจากโรงเรยี นสอนดนตรอี ย่างนอ้ ย 1 ปี ซ่ึงจะมีการ
29 สอนกันตงั้ แตก่ ารฟังดนตรีประเภทต่าง ๆ จิตวทิ ยาการส่อื สาร ความผดิ ปกติของรา่ งกาย จติ ใจ และอารมณ์ เมอื งไทยมีการใชท้ ฤษฎีนมี้ าหลายปีแล้ว ส่วนใหญ่นำไปบำบดั ผูต้ ิดยาเสพติด พฒั นาดา้ นสมอง และพฤตกิ รรม อยา่ งเด็กที่เปน็ ออทิสติก พฒั นาการเจรญิ เตบิ โตของทารกในครรภ์ ผูป้ ว่ ยทางจติ ผ้สู งู อายุ ผปู้ ่วยโรคอลั ไซเมอร์ นักโทษในเรือนจำหรือผทู้ ี่อยูใ่ นภาวะเครียด หลังจากทเี่ ร่ิมใช้เสยี งดนตรีเข้าไปมีส่วนในการรักษาปัญหาท่มี อี ยเู่ ดิมของโรคน้ัน ๆ แล้ว ปจั จบุ นั ยงั เร่มิ นำมาใช้ในเชิงปอ้ งกันเพอื่ ส่งเสรมิ สุขภาพอย่างการออกกำลงั กาย การผ่อนคลายความเครยี ดในสถานบริการต่าง ๆ เชน่ โรงพยาบาลศิรริ าช สถานพกั ฟื้นคนพกิ ารสวางคนวิ าส บางปู สมุทรปราการ ของสภากาชาดไทย และตาม โรงพยาบาลอีกหลายแหง่ ดังนัน้ ดนตรบี ำบดั (music therapy) คือ ศาสตร์ทีว่ ่าดว้ ยการนำดนตรี หรอื องค์ประกอบต่าง ๆ ทาง ดนตรี มาประยุกตใ์ ชเ้ พ่ือปรับเปลย่ี น พัฒนา และคงรักษาไวซ้ ่งึ สขุ ภาวะของรา่ งกาย จิตใจ สงั คม และภมู ิปัญญา โดยมนี ักดนตรบี ำบดั เป็นผู้ดำเนนิ การเพื่อไปสู่เป้าหมายทต่ี ั้งไว้ ซ่งึ ไม่ใช่เปา้ หมายในทางดนตรศี กึ ษา ผา่ นกิจกรรม ทางดนตรตี ่าง ๆ อย่างมรี ูปแบบโครงสร้างทชี่ ัดเจน มีหลักเกณฑ์และระเบียบวิธที างวิทยาศาสตร์ เปา้ หมายของดนตรบี ำบัดไม่ไดเ้ นน้ ที่ทักษะทางดนตรี แต่เน้นในด้านพัฒนาการทางร่างกาย จติ ใจ สังคม และภูมิปญั ญา ขึน้ อยู่กบั ความจำเป็นของแตล่ ะคนที่มารับการบำบดั สามารถนำไปประยุกต์ใชไ้ ด้ในหลายบรบิ ท ทงั้ ทบี่ า้ น สถานศึกษา สถานพยาบาลและศนู ยส์ ขุ ภาพตา่ ง ๆ ประโยชน์ของดนตรบี ำบัด ดนตรบี ำบดั สามารถนำมาใช้ประโยชนไ์ ดห้ ลากหลายรูปแบบ และกลุ่มเป้าหมาย ทง้ั ในเดก็ วยั รนุ่ วัย ผู้ใหญ่ และผู้สูงวยั เพื่อตอบสนองความจำเปน็ ทแี่ ตกต่างกันไป เช่น ปัญหาบกพร่องของพัฒนาการ สติปัญญา และ การเรียนรู้, โรคซมึ เศรา้ , โรคสมองเสอื่ มอัลไซเมอร์, โรคหลอดเลือดสมอง, ความพิการทางรา่ งกาย, อาการเจบ็ ปวด และภาวะอนื่ ๆ สำหรับบคุ คลทวั่ ไป กส็ ามารถใช้ประโยชน์จากดนตรบี ำบดั ไดเ้ ช่นกัน ชว่ ยในการผ่อนคลายความตงึ เครยี ด และประกอบในการออกกำลงั กายเสริมสรา้ งสุขภาพ ประโยชนข์ องดนตรบี ำบัดมีดังน้ี 1) ปรับสภาพจติ ใจให้อย่ใู นสภาวะสมดุล มคี วามสงบ และมีทัศนคตใิ นเชิงบวกเพ่มิ ขึ้น 2) ผ่อนคลายความตึงเครียด ลดความวติ กกงั วล (anxiety/stress management) 3) กระตุน้ เสรมิ สรา้ ง และพัฒนาทกั ษะการเรียนรู้ และความจำ (cognitive skill) 4) กระตุน้ การรับรู้ (perception) 5) เสรมิ สร้างสมาธิ (attention span) 6) เสริมสร้างทักษะสงั คม (social skill) 7) พัฒนาทักษะการส่ือสารและการใช้ภาษา (communication and language skill) 8) พัฒนาทักษะการเคล่ือนไหว (motor skill) 9) ลดความตงึ ตัวของกลา้ มเน้ือ (muscle tension)
30 10) การจัดการอาการเจ็บปวดจากสาเหตุตา่ ง ๆ (pain management) 11) ปรับเปล่ียนพฤตกิ รรม (behavior modification) 12) สรา้ งสมั พันธภาพท่ีดใี นการบำบดั รักษาตา่ ง ๆ (therapeutic alliance) 13) ช่วยเสริมในกระบวนการบำบัดทางจติ เวช ทงั้ ในด้านการประเมนิ ความรู้สึก สรา้ งเสรมิ อารมณเ์ ชิง บวก การควบคมุ ตนเอง การแก้ปมขดั แย้งตา่ ง ๆ และเสรมิ สร้างความเข้มแข็งของครอบครัว โดยสรุปดนตรบี ำบัด มปี ระโยชน์หลากหลายข้ึนอยู่กับการนำไปใช้ โดยบรู ณาการเขา้ กบั การบำบัดรกั ษา อน่ื ๆ สามารถนำมาประยุกต์ใชไ้ ด้หลากหลาย ท้ังในโรงพยาบาล ในโรงเรียน และในกลุ่มเดก็ พิเศษ ลักษณะเดน่ ของดนตรีบำบดั ดนตรีบำบัดมีคุณลกั ษณะเดน่ เฉพาะตวั หลายดา้ น ทำใหส้ ามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับอายุ ทุกความ หลากหลายของปัญหา สามารถกระตนุ้ และส่งเสรมิ พัฒนาการไดใ้ นทกุ ด้าน ลกั ษณะเดน่ ของดนตรบี ำบดั ได้แก่ 1) กระตุ้นการทำงานของสมองไดห้ ลายสว่ น และชว่ ยใหม้ สี มาธิจดจอ่ ได้ดยี ่งิ ขนึ้ 2) ประยกุ ตเ์ ขา้ กับระดับความสามารถของบุคคลไดง้ ่าย และสะท้อนใหเ้ หน็ ถึงระดบั ความสามารถดว้ ย เช่นกนั 3) เป็นเสมอื นแบบฝกึ หดั ที่เข้าใจง่าย แมจ้ ะไมร่ ูภ้ าษากต็ าม 4) เสรมิ สร้างการรับรู้ที่มีความหมาย และมคี วามสนุกสนานไปพร้อมกัน 5) เสริมสรา้ งบริบททางสงั คม ใหค้ วามรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ใหโ้ ครงสรา้ งหลกั เบื้องต้นในการสื่อสาร 6) เปน็ เครื่องมือชว่ ยจำท่ีมีประสิทธภิ าพ 7) สนบั สนนุ และเสริมสร้างทักษะการเคลื่อนไหว 8) สามารถแทรกซึมเขา้ ไปในความทรงจำ และอารมณ์ได้ 9) เสรมิ สร้างการตอบสนองต่อข้อมูลปอ้ นกลับแบบทนั ทีและไม่มีกำแพงดา้ นภาษา (nonverbal, immediate feedback) 10) มีแนวโน้มทจี่ ะประสบความสำเร็จในการบำบัดไดง้ ่าย เน่อื งจากประยกุ ตใ์ ช้ได้ ทุกเพศ ทุกวยั ทุก ระดบั ความสามารถ 2.3 งานวิจัยท่เี ก่ียวข้องกบั ดนตรี จากงานวิจัยของกวณิ วฒุ ิ กลั่นไพฑูรย์, (2557) ได้ศกึ ษาเร่ืองของผลของการฟังดนตรีตาม ความชอบและตนตรีธรรมชาตติ อ่ การลดความเครียดของนักศกึ ษา คณะศลิ ปะศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าช มงคลพระนคร กลุ่มตัวอยา่ ง 18 -21 ปี พบว่า ดนตรตี ามความชอบ และดนตรธี รรมชาติ สามารถลดความเครยี ด ของนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร ซ่ึงอยใู่ นชว่ งอายุ 18 – 21 ปี (วัยรุ่น) ได้ อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ คือ หลังจากที่ได้ฟังดนตรีแลว้ กลุม่ ตวั อยา่ งมีระดบั ความเครียดลดลง เม่อื เปรยี บเทียบก่อนได้ ฟงั ดนตรี และดนตรีท้ังสองประเภทมีประสิทธภิ าพในการลดความเครยี ดในกลุม่ นี้ไดไ้ ม่แตกต่างกนั ซ่งึ สอดคลอ้ ง กับงานวจิ ัยของ วรญั ญา รุมแสง (2547) ได้ศึกษาเรือ่ งของผลของการฟงั ดนตรีตามความชอบและตนตรีธรรมชาติ
31 ต่อการลดความเครยี ดของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย พบว่า กลมุ่ นิสิตท่ไี ด้ฟงั ดนตรตี ามความชอบและดนตรี ธรรมชาตมิ ีคะแนนความเครียดและคะแนนความดึงตัวของกล้ามเน้อื ในชว่ งหลังการทดลองลดลงอยา่ งมีนัยสำคญั ท่รี ะดบั สถติ ิ .01 เมื่อเปรียบเทียบกบั ก่อนการทดลอง และ กลมุ่ นสิ ิตท่ีไดฟ้ ังดนตรีตามความชอบและดนตรี ธรรมชาติมีคะแนนความเครียดและคะแนนความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ไมต่ ่างกันทางสถติ ิ 2.4 งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกบั วิธีการจัดการความเครยี ด จากงานวิจยั ของ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.หงษ์ศิริ ภิยโยดิลกชัย และคณะ (2558) ไดศ้ ึกษาความเครียด และการแก้ไขปัญหาความเครียดของนักศึกษา สาขาวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศทางธุรกจิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลรตั นโกสนิ ทร์ บพติ รพิมขุ จักรวรรดิ ผลการวจิ ัยพบวา่ สาเหตทุ ่สี ง่ ผลทำให้นกั ศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยี สารสนเทศทางธรุ กิจ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลรตั นโกสนิ ทร์ เกิดความเครียดมากที่สดุ คือด้านการเรียน เปน็ สว่ นใหญ่ และมีความสามารถการจัดการความเครียดอยู่ในระดบั กลาง เมือ่ ทดสอบหาความแตกตา่ งพบวา่ 1. นักศกึ ษาของเพศหญิงและเพศชายมสี าเหตขุ องความเครียด ไมม่ ีความแตกต่างกนั 2. นกั ศึกษาที่มชี นั้ ปีแตกตา่ งกันมีสาเหตขุ องความเครียดแตกต่างกัน อย่างมีนยั สำคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ 0.05 โดยเฉพาะนักศึกษาชั้นปที ่ี 4 ปจั จัยที่เป็นสาเหตขุ องความเครยี ดทุกด้านมีผลตอ่ ความเครยี ดของ นักศกึ ษาโดยรวมโดยมีคา่ เฉล่ียเทา่ กับ 2.697 3. นักศกึ ษาท่ีมีผลการเรยี นรวมแตกต่างกันมีสาเหตุของความเครียดไม่มคี วามแตกต่างกัน ซ่งึ สอดคล้องกับงานวจิ ยั ของจิราภรณ์ สรรพวีรวงศ์ และคณะ (2559) ไดศ้ ึกษาเรื่องความเครียด การจัดการ ความเครียด และความต้องการความชว่ ยเหลอื ของนกั ศึกษาพยาบาล ผลการวิจยั พบวา่ ครึง่ หนึง่ ของนักศึกษา พยาบาลมคี วามเครียดอยู่ระดับสูง (ร้อยละ 50.7) สาเหตขุ องความเครียดมาจากกจิ กรรมดา้ นการเรียนทงั้ หมด สว่ นมากใช้วิธีการจัดการความเครียดทั้ง 3 วิธี และในระดับปานกลาง (ร้อยละ 91.8) เปรียบเทยี บความเครียดและ การจัดการความเครียดของนักศึกษาแต่ละชนั้ ปีพบวา่ ไมแ่ ตกต่างกนั (p>.05) เช่นเดยี วกับความสมั พันธร์ ะหว่าง ความเครียดและการจดั การความเครยี ดพบว่าไม่มีความสัมพันธก์ นั (p>.05) ความต้องการความชว่ ยเหลือเม่ือมี ความเครียด เรียงตามความต้องการ 1 ถึง 5 ได้แก่ ความช่วยเหลอื จากครอบครัวมากทสี่ ุด (ร้อยละ 59.47) ความ ชว่ ยเหลอื จากเพ่ือน (รอ้ ยละ 23.20) ความชว่ ยเหลอื จากอาจารย์ (ร้อยละ 17.64) ความชว่ ยเหลอื จากรุ่นพี่ (ร้อย ละ 10.13) และความช่วยเหลอื จากแฟน (ร้อยละ 5.88) และ สริ ทิ รพั ย์ สีหะวงษ์ และคณะ (2561) ศึกษาเรื่อง ปจั จยั ที่สง่ ผลต่อความเครียดของนักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธานี ผลการวิจัยพบวา่ นักศกึ ษาพยาบาลมีความเครียดในระดับน้อย (mild stress) คิดเป็นรอ้ ยละ 0.30 มีความเครียดในระดับปานกลาง (moderate stress) คดิ เป็นร้อยละ 27.90 มคี วามเครยี ดในระดับสงู (high stress) คิดเปน็ รอ้ ยละ 51.70 และมี ความเครียดในระดบั รุนแรง (severe stress) คดิ เป็น รอ้ ยละ 20.10 ปัจจยั ทีค่ วามเครยี ดสมั พนั ธก์ ับความเครยี ด ของนักศึกษาพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทรี่ ะดับ .01 คือ ปจั จัยด้านลักษณะส่วนบุคคล ปัจจัยดา้ นการเรียน ปัจจัยด้านสัมพันธภาพ ปจั จัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจยั ดา้ นกิจกรรม และปัจจยั ดา้ นความคาดหวงั ผลการสำรวจ แนวทางจัดการความเครยี ดของนักศกึ ษาพยาบาลทีใ่ ชม้ ากท่สี ุดคือ การนันทนาการ รองลงมาคือ การปรึกษาผูอ้ ื่น และการนอนหลับตามลำดบั
32 สุพาณี วรรณสา และคณะ (2560) ศึกษาความเครียดและการจัดการความเครยี ดของนกั ศึกษาพยาบาล ศาสตร์ ชน้ั ปที ่ี1 มหาวทิ ยาลัยปทุมธานี ผลการวิจัยพบวา่ ส่วนใหญน่ กั ศกึ ษามีความเครยี ดอยู่ในระดับปานกลาง (X= 3.23) ส่วนใหญม่ กี ารจัดการความเครยี ดได้อย่างเหมาะสมในระดบั ปานกลาง (X=2.50) และพบวา่ ความเครียด มีความสมั พนั ธก์ ับการจัดการความเครยี ด อยา่ งมนี ัยสำคญั ทร่ี ะดบั .05 ในระดับต่ำ และในทิศทาง เดียวกัน (r=.377) สุรยิ า ยอดทอง และคณะ (2560) ศึกษาความเครียดและการเผชญิ ความเครยี ดของนกั ศึกษาพยาบาลในการ ขึน้ ฝึกปฏิบัติงานบนหอผปู้ ่วยรายวิชาปฏิบัตหิ ลกั การและเทคนิคการพยาบาล วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ตรงั ผลการวจิ ยั พบวา่ ระดับความเครียดของนกั ศกึ ษาอยู่ในระดับปานกลาง มคี ่าเฉล่ียเทา่ กับ 66.32 สว่ นเบย่ี งเบน มาตรฐานเท่ากับ 14.746 ในการเผชญิ ความเครียด พบวา่ ระดับพฤตกิ รรมการเผชิญความเครยี ดของนักศึกษา พยาบาล ในภาพรวมอยู่ระดับมากมีคา่ เฉลยี่ เท่ากบั 3.38 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .55 และความสมั พันธ์ ระหว่างระดับความเครียดกบั วธิ ีการเผชิญความเครียดพบว่า ระดับความเครยี ดโดยรวมมีความสมั พนั ธ์ทางบวกกับ การเผชิญความเครียดโดยรวม อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิติ (r=.640, p<.01) ระดับความเครยี ดโดบรวมมี ความสัมพนั ธ์ทางบวกกบั การเผชญิ ความเครียดด้านมุ่งเนน้ แกป้ ัญหาและการเผชิญความเครียดดา้ นม่งุ เน้นอารมณ์ อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถติ ิ (r=.250, p<.05 และ r=.791, p<.01 ตามลำดบั ) นยั นา เหลอื งประวตั ิ (2547) ได้ศึกษาเร่ืองผลของการใช้วีธีการจัดการกบั ความเครียดโดยการจดั การ ความเครียดโดยการฝึกสมาธิ การคดิ แบบอริยสจั และการฝึกเกรง็ กล้ามเน้ือและคลายกล้ามเน้อื เพ่อื การจัดการกบั ความเครียด ของนสิ ิตมหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ พบวา่ นิสติ ที่ได้รับการฝึกวิธกี ารจัดการกบั ความเครยี ดใน กลุ่มทดลอง มกี ารจัดการกับความเครยี ดสงู กว่านสิ ิตท่ีไม่ไดร้ ับการฝึกวิธีการจดั การกับความเครียดในกลุ่มควบคุม อย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .01 และไม่พบปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการได้รบั การฝึกวธิ กี ารจดั การกับความเครียด กับบุคลกิ ภาพทมี่ ีต่อการจดั การกบั ความเครียดของนิสติ
33 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงานวจิ ัย ในการวจิ ยั ในครงั้ น้ี เปน็ การวจิ ยั แบบก่ึงทดลอง (Quasi-Experimental Research) โดยมวี ัตถุประสงค์ เพือ่ ศึกษาผลของการใชโ้ ปรแกรมการจดั การความเครยี ดโดยวธิ ีผอ่ นคลายต่อการลดลงของระดับความเครียดของ นิสติ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปกี ารศึกษา 2563 การกำหนดประชากรและการเลือกกลุม่ ตัวอยา่ ง ประชากร ประชากรทใี่ ช้ในการวจิ ยั ในครงั้ นี้ คอื นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ ระดับปริญญาตรี เป็นนิสิตในช้ันปที ่ี 1 ปี การศึกษา 2563 มหาวทิ ยาลัยนเรศวร จำนวน 112 คน กลุ่มตัวอยา่ ง กลมุ่ ตัวอยา่ งทใ่ี ชใ้ นการวิจัยในครง้ั นี้เป็นนิสติ คณะพยาบาลศาสตร์ ช้ันปที ่ี 1 ท่ีมคี ะแนนความเครียดจาก แบบวดั ความเครียด (SPST – 20) อยู่ที่ 24 – 61 คะแนน ซ่งึ เปน็ ความเครียดท่ีอยใู่ นระดับปานกลาง และระดบั สงู มีอายุ 18-20 ปี จำนวน 60 คน โดยผวู้ ิจัยแบ่งเป็น 2 กลมุ่ คอื กลุ่มทดลองและกลมุ่ ควบคุม ผวู้ ิจยั ได้ใหอ้ าสาสมัครทำแบบวัดความเครยี ดสวนปรุง (SPST-20) และมคี ะแนนความเครียดตง้ั แต่ 24-61 คะแนนจำนวน 60 คน โดยมกี ารสุม่ อยา่ งงา่ ย (Simple Random Sampling) เพ่ือเขา้ ร่วมโปรแกรมผ่อนคลาย ความเครยี ด และนำมาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยใช้วธิ ีการการสุม่ อย่าง่าย (Simple Random Sampling) เช่นเดียวกนั โดยกลมุ่ ที่ 1 จะไดก้ ารฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ การฝึกการหายใจและการฟงั ดนตรตี ามธรรมชาติ จำนวน 30 คน และกลมุ่ ที่ 2 ไมไ่ ดร้ ับการฝึกผ่อนคลายความเครยี ด จำนวน 30 คน ซง่ึ ภายหลังจากจบโครงการ วจิ ัยในครง้ั นี้ หากพบวา่ ผลโปรแกรมการจัดการความเครียดด้วยวธิ กี ารการผอ่ นคลาย สามารถชว่ ยลดความเครยี ด ของกลุม่ ตวั อยา่ งไดจ้ รงิ ผู้วจิ ัยจะเชญิ ให้เข้ารว่ มโปรแกรมการจดั การความเครียดโดยวิธีการการผ่อนคลาย แบบวัดความเครยี ดนี้มกี ารแปลความหมายของคะแนนไว้แล้ว ดงั น้ี ระดบั คะแนน 0 – 21 คะแนน ท่านมีความเครยี ดอยใู่ นระดับน้อยและหายไปได้ในระยะเวลาสัน้ ๆ เปน็ ความเครียดทีเ่ กิดขึ้นไดใ้ น ชีวิตประจำวนั และสามารถปรับตวั กบั สถานการณต์ ่าง ๆ ได้อยา่ งเหมาะสม ความเครียดในระดับนถ้ี ือว่ามีประโยชน์ ในการดำเนนิ ชีวิตประจำวัน เปน็ แรงจงู ใจในที่นำไปสคู่ วามสำเรจ็ ในชวี ติ ได้ ระดับคะแนน 24 – 41 คะแนน ทา่ นมีความเครียดในระดับปานกลางเกิดขนึ้ ได้ในชีวติ ประจำวนั เนอื่ งจากมสี ่ิงคุกคามหรือ เหตุการณ์ที่ทำ ใหเ้ ครียด อาจร้สู ึกวิตกกังวลหรือกลวั ถือวา่ อยู่ในเกณฑป์ กติ ความเครยี ดระดับน้ีไม่ก่อใหเ้ กดิ อันตรายหรือเปน็ ผลเสยี ตอ่ การดำเนนิ ชีวิต ทา่ นสามารถผอ่ นคลายความเครยี ดด้วยการทำกจิ กรรมทเ่ี พิ่มพลัง เช่น ออกกำลงั กาย
34 เลน่ กีฬา ทำสงิ่ ทส่ี นกุ สนานเพลดิ เพลิน เช่น ฟงั เพลง อ่านหนังสอื ทำงานอดเิ รก หรือพูดคุยระบายความไมส่ บายใจ กับผู้ท่ไี ว้วางใจ ระดับคะแนน 42 – 61 คะแนน ทา่ นมีความเครียดในระดบั สูง เป็นระดับทีท่ า่ นได้รับความเดอื นรอ้ นจากส่งิ ต่าง ๆ หรือเหตกุ ารณ์ รอบตวั ทำให้วติ กกังวล กลวั รสู้ ึกขดั แยง้ หรอื อยู่ในสถานการณ์ท่ีแกไ้ ข จัดการปญั หาน้นั ไม่ได้ ปรบั ความร้สู ึกดว้ ยความ ลำบากจะส่งผลต่อการใช้ชีวติ ประจำวัน และการเจบ็ ปว่ ย เชน่ ความดนั โลหิตสงู เปน็ แผลในกระเพาะอาหาร ฯลฯ ทา่ นสามารถคลายเครียดดว้ ยวิธที ี่ทำได้ง่ายแต่ไดผ้ ลดีคือ การฝึกหายใจ คลายเครยี ด พดู คยุ ระบายความเครยี ดกบั ผ้ไู ว้วางใจ หาสาเหตหุ รือปัญหาที่ทำให้เครยี ดและหาวธิ แี ก้ไข หากท่านไมส่ ามารถจัดการคลายเครียดดว้ ยตนเองได้ ควรปรกึ ษากับผ้ใู หก้ ารปรึกษาในหน่วยงานต่าง ๆ ระดบั คะแนน 62 คะแนนขนึ้ ไป ทา่ นมีความเครียดในระดบั รุนแรง เปน็ ความเครียดระดบั สูงทเี่ กิดต่อเน่อื งหรอื ท่านกำลงั เผชิญกบั วกิ ฤต ของชีวติ เช่น เจ็บปว่ ยรุนแรง เรอื้ รังมคี วามพกิ าร สูญเสยี คนรกั ทรพั ยส์ นิ หรอื ส่ิงทร่ี ัก ความเครียดระดบั นี้ส่งผล ทำใหเ้ จบ็ ปว่ ยทางกายและสุขภาพจติ ชีวิตไม่มีความสุข ความคดิ ฟงุ้ ซา่ น การตัดสินใจไม่ดี ยบั ยง้ั อารมณ์ไม่ได้ ความเครยี ดระดบั นถ้ี า้ ปล่อยไวจ้ ะเกิดผลเสียท้งั ต่อตนเองและคนใกลช้ ดิ ควรได้รับการ ช่วยเหลอื จากผใู้ หก้ าร ปรกึ ษาอยา่ งรวดเร็ว เชน่ ทางโทรศพั ท์ หรือผู้ใหก้ ารปรึกษาในหน่วยงานต่าง ๆ ดงั นนั้ ผู้วิจยั จึงเลือกกลุม่ ที่ผ่านเกณฑ์แบบวดั ความเครียดต้ังแต่ชว่ งคะแนน 24 - 61 คือผู้ทีม่ ีความเครียด ระดับกลางและระดับสูง (สมิต อาชีวนจิ กลุ , 2542) เน่ืองจากเป็นบุคคลมคี วามเครยี ดอยู่ในระดับท่ตี ้องหาวธิ กี าร จดั การกบั ความเครียดหากพบว่ามบี ุคคลทเ่ี ขา้ ร่วมในการทำแบบประเมินมผี ลคะแนนตง้ั แต่ 62 คะแนนขึ้นไป ทาง ผวู้ จิ ยั จะแจ้งผลการใหค้ ำแนะนำในการตดิ ปรึกษากับหน่วยงานภายในมหาวิทยาลยั เพ่ือให้ได้รับการช่วยเหลอื หรือ ใหค้ ำปรกึ ษาอย่างรวดเรว็ การคดั เลือกกล่มุ ตัวอยา่ ง กลมุ่ ตวั อยา่ งทเี่ ขา้ รว่ มการทดลองในครัง้ นี้ ต้องเป็นผ้ทู ผ่ี า่ นเกณฑ์การประเมินความเครยี ดเบือ้ งตน้ ทผี่ ู้วจิ ัย ได้ตง้ั ไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ประชาสมั พันธ์เชญิ ชวนนสิ ิตคณะพยาบาลช้นั ปที ่ี 1 เข้าร่วมโครงการวิจัย “ผลของโปรแกรมจัดกการ ความเครียดโดยวิธีการผ่อนคลายตอ่ ความเครียดของนสิ ติ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวทิ ยาลยั นเรศวร” ผา่ น ช่องทางออนไลน์ (ภาพท่ี 1) และหากนิสิตมีความสนใจทีจ่ ะเข้าโครงการวจิ ยั ผู้วจิ ยั จะเชิญอาสาสมัครเข้ากลุ่ม ไลน์ เพื่อรบั ฟังคำชี้แจง้ รายละเอียดเกยี่ วกับโปรแกรมการจัดการความเครียดด้วยวิธีการผอ่ นคลาย ความเครยี ด
35 2. ใหอ้ าสาสมคั รท่ีสนใจเข้ารว่ มโครงการวจิ ัย ทำแบบวดั ความเครียด กรมสุขภาพจิต (SPST - 20) โดย อาสาสมคั รทผ่ี า่ นเกณฑ์ตามท่ีผวู้ จิ ัยกำหนด จะต้องมีคะแนนความเครยี ด 24-61 คะแนน 3. เม่อื ได้อาสาสมัครทผี่ ่านเกณฑ์ท่ีผวู้ ิจัยกำหนดจำนวน 60 คน ทางผ้วู ิจยั จะขอใหอ้ าสาสมัครอา่ นรายละเอยี ด ในหนังสือยินยอมก่อนลงลายลกั ษณ์ ก่อนการเขา้ รว่ มโครงการวิจยั เกณฑก์ ารคัดออก 1. ผู้วจิ ัยไมย่ นิ ยอมเขา้ ร่วมการวิจยั
36 2. เจ็บปว่ ยรุนแรงในระหว่างเก็บรวบรวมข้อมูลจนตอ้ งเข้ารบั การรักษาในโรงพยาบาล เกณฑก์ ารยุติการเขา้ ร่วมโครงการวจิ ัย พ้นสภาพการเป็นนสิ ิตคณะพยาบาลศาสตร์ ระยะเวลาในการทดลอง การทดลองครั้งท่ีใช้ระยะเวลาในการทดลอง 7 ครงั้ โดยใชเ้ วลาครงั้ ละ 41 นาที การออกแบบการวิจยั การวจิ ยั คร้งั น้เี ปน็ การวิจยั กึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) โดยการใช้การวิจยั แบบ Two group ซ่งึ จะแบง่ เปน็ 2 กลมุ่ คือ กลุ่มทดลอง (Experimental Group) กลมุ่ ทจ่ี ะได้เขา้ ร่วมการฝกึ สมาธิแบบอา- นาปานสติ การฝกึ การหายใจและการฟังดนตรตี ามธรรมชาติ จำนวน 30 คน และ กลมุ่ ควบคุม (Control Group) กล่มุ ทไ่ี ม่ไดร้ บั การฝกึ ผ่อนคลายความเครียดแตจ่ ะมีการทำแบบสอบถามเก่ียวกับวธิ ีการจัดการกับความเครยี ดของ ตนเอง จำนวน 30 คน การสร้างเครื่องมือท่ใี ช้ในการวิจยั 1. โปรแกรมการจดั การความเครียดโดยวิธีผ่อนคลายแบ่งไดเ้ ป็น - สำหรบั กลมุ่ ทดลอง ได้รบั การเขา้ ร่วมโปรแกรมการจดั การความเครียดโดยวิธผี อ่ นคลาย - สำหรบั กลุ่มควบคุม ไม่ได้รบั การเข้าร่วมโปรแกรมการจดั การความเครียดโดยวิธผี ่อนคลาย 2. แบบวดั ความเครยี ด กรมสุขภาพจิต (SPST - 20) การหาคณุ ภาพของเครอื่ งมือ 1. แบบวดั ความเครยี ด กรมสุขภาพจติ (SPST - 20) เปน็ แบบวดั ความเครยี ดของกรมสุขภาพจิต โดยวดั ความเครยี ดในชว่ ง 6 เดือนท่ผี ่านมาว่ามีเหตุการณใ์ ดเกิดข้ึนกับ ตนเองบา้ ง และมีความรสู้ ึกอย่างไรต่อเหตุการณน์ น้ั โดยประกอบไปดว้ ยคำถามทีใ่ ชว้ ดั ความเครียด จำนวน 20 ขอ้ โดยมมี าตรวดั ตั้งแต่ 0 - 5 ดังนี้ ระดับความเครยี ด 1 หมายถงึ ไม่รสู้ กึ เครียด ระดับความเครียด 2 หมายถึง รูส้ กึ เครยี ดเล็กน้อย ระดับความเครยี ด 3 หมายถงึ รสู้ ึกเครียดปานกลาง ระดบั ความเครียด 4 หมายถึง รู้สึกเครียดมาก ระดับความเครยี ด 5 หมายถึง รู้สกึ เครยี ดมากที่สดุ สวุ ัฒน์ มหตั นิรันดรก์ ุล และคณะ (2540) ไดท้ ำการการสร้างแบบวดั ความเครยี ดสวนปรงุ (SPST – 20) และหาคุณภาพของแบบวัด มีคา่ Cronbach’s Alpha มากกว่า 0.7 และมีค่า Concurrent Validity มากกวา่ 0.27 อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิตเิ มื่อองิ ตามคา่ EMG ท่ีชว่ งความเช่อื มั่น 95%
37 ผู้วิจยั ได้มีการนำแบบวัดความเครยี ดนี้ไปใชใ้ นนสิ ิตท่ีไม่ใชก่ ลมุ่ ตวั อย่าง (Tryout) คอื นสิ ิตคณะพยาบาล- ศาสตร์ ช้ันปที ่ี 2 ปีการศึกษา 2563 ที่อาสาสมคั รทำแบบวัดความเครยี ด จำนวน 40 คน จากนนั้ ผวู้ ิจยั จงึ นำไปหา คา่ ความเชอ่ื มั่นได้ค่า Cronbach’s Alpha เทา่ กับ .94 2. โปรแกรมการจดั การความเครียดโดยวธิ ีผ่อนคลาย 2.1 ผวู้ จิ ัยดำเนนิ การศกึ ษาทฤษฎเี อกสาร ตำรา บทความ และงานวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้องกับวิธีการจัดการ เพื่อ เปน็ แนวทางในการสร้างโปรแกรมการจัดการความเครยี ดโดยวิธีผอ่ นคลาย 2.2 การสรา้ งโปรแกรมการจัดการความเครียดโดยวิธผี ่อนคลาย ผวู้ ิจัยได้มกี ารนำโปรแกรมการจดั การ ความเครียดโดยวิธีผ่อนคลายที่สรา้ งข้ึนให้ผู้ทรงคุณวฒุ ิประจำสาขาวิชาสขุ ภาพจติ และจิตเวชจำนวน 3 ทา่ น พิจารณาความเหมาะสมและความสอดคล้องดา้ นเนอื้ หา วัตถปุ ระสงค์ วธิ ีการดำเนินการ และ รูปแบบ จากนน้ั ผวู้ จิ ยั จะนำมาปรบั ปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์มากย่งิ ขึน้ 2.3 ผวู้ จิ ัยใช้คะแนนจากแบบประเมนิ ดชั นคี วามสอดคล้องของเคร่อื งมือวิจัย (IOC) ที่ได้จากผู้ทรงคณุ วฒุ ิ ในการหาคุณภาพของโปแกรมการจดั การความเครยี ดด้วยวธิ ีการผอ่ นคลาย โดยคา่ ดชั นีความ สอดคล้องทย่ี อมรับได้ มคี า่ ต้ังแต่ 0.50 ขนึ้ ไป 2.4 ผ้วู ิจยั ได้มกี ารนำโปรแกรมทีผ่ ่านการตรวจสอบโดยผทู้ รงคุณวุฒแิ ละได้มกี ารปรับแก้ไขเรียบร้อยแล้ว นำไปให้กลุ่มนสิ ิตที่ไมใ่ ชก่ ลมุ่ ตวั อยา่ ง (Ttyout) คือ นสิ ติ คณะพยาบาลศาสตร์ ชน้ั ปที ี่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 มหาวยิ าลยั นเรศวร จำนวน 5 คน โปรแกรมการจัดการความเครียดโดยวิธีผ่อนคลายทีใ่ ช้ในการศกึ ษาวจิ ยั ในคร้งั นี้ ผ้วู จิ ัยได้มีการใช้กจิ กรรม 1) การฟงั ดนตรีธรรมชาติ 2) การฝกึ สมาธิแบบอานาปานสติ 3) การฝกึ การหายใจ ซึง่ มจี ดุ ประสงค์ทจ่ี ะทำใหน้ ิสติ กลุ่มตัวอยา่ งไดร้ จู้ กั วธิ กี ารจดั การกบั ความเครยี ดโดยการผอ่ นคลาย ตัวอย่างการโปแกรมการจดั การความเครยี ดโดยวธิ ีการผ่อนคลาย คร้ังที่ 1 การฟังดนตรี, การฝกึ สมาธแิ บบอานาปานสติ, การฝกึ หายใจ เวลา 41 นาที วัตถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือชว่ ยผ่อนคลายความเครยี ด 2. เพือ่ ใหน้ ิสติ ทราบถึงวิธีการจัดการความเครียดโดยการผ่อนคลาย วิธกี ารดำเนินการ การวจิ ยั ครั้งนผ้ี วู้ ิจัยแบง่ ออกเปน็ 3 ขั้นตอนดังต่อไปน้ี 1. ระยะเตรยี มการทดลอง แบ่งเป็นข้ันตอนตา่ ง ๆ ตงั ต่อไปนี้ 1.1 ผู้วจิ ยั ไดม้ กี ารจัดเตรียมรายชอ่ื นิสติ คณะพยาบาลศาสตร์ ช้นั ปที ่ี 1 ปีการศกึ ษา 2563 มหาวทิ ยาลัยนเรศวร จำนวน 119 คน 1.2 ผ้วู ิจยั ได้มีการจัดเตรยี มแบบวัดความเครียด กรมสขุ ภาพจิต (SPST - 20) ท่ีอยู่ในรปู แบบ google form ใหน้ ิสติ คณะพยาบาลศาสตร์ ช้ันปีท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 มหาวทิ ยาลยั นเรศวร จำนวน 119 คน ได้ทำการประเมินความเครยี ดของตนเอง
38 1.3 ผ้วู จิ ัยได้มกี ารจัดเตรียมวดิ โี อการสอนฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ ความยาว 20 นาที 1.4 ผู้วจิ ยั ได้มีการจัดเตรียมวดิ ีโอการสอนการฝกึ การหายใจ ความยาว 5.14 นาที 1.5 ผวู้ ิจยั ไดม้ ีการจดั เตรียมวดิ ีโอเสียงดนตรีธรรมชาติ ความยาว 16.49 นาที 2. ระยะทดลอง มีข้นั ตอนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 2.1 ผวู้ ิจยั จะนำแบบวดั ความเครยี ด กรมสุขภาพจิต (SPST - 20) ทอ่ี ยใู่ นรูปแบบ Google form ให้ นสิ ิตคณะพยาบาลศาสตร์ชนั้ ปีท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 119 คน ไดท้ ำการประเมิน ความเครยี ดของตนเองกอ่ นการเข้ารับการทดลอง ซ่ึงต้องผ่านเกณฑ์ตามท่ีผู้วิจยั ได้กำหนดไว้ แลว้ จงึ นำข้อมูลทไ่ี ด้มาใช้ในการวิเคราะหผ์ ล 2.2 หลงั จากได้นิสติ ท่ีทำแบบวดั ความเครียดผ่านตามเกณฑ์ทก่ี ำหนดไวแ้ ล้วผู้วิจัยจะทำการสุ่มอยา่ ง งา่ ย (Simple Random Sampling) เพ่อื คดั นสิ ิตทจี่ ะเข้าร่วมการทดลองจำนวน 60 คน โดยจะ แบ่งออกเปน็ 2 กลมุ่ คือกลุ่มทดลอง 30 คน โดยกลมุ่ ทดลองจะได้รบั การเข้าโปรแกรมการฝึก ผอ่ นคลายความเครยี ดโดยการฟังดนตรี การฝึกหายใจและการฝกึ สมาธิ และกลุม่ ควบคุม 30 คน จะไม่ได้เข้ารว่ มการทดลองน้ีแต่จะได้ทำแบบสอบถามวธิ กี ารจดั การความเครยี ดของตนเอง เท่านน้ั 2.3 โปรแกรมการฝึกการผอ่ นคลายความเครยี ดจะจดั ทำโดยใช้ google form มีรายละเอียดดังน้ี 1) วิดโี อเสยี งดนตรธี รรมชาติจะมีระยะเวลา โดยชว่ งสนิ้ สดุ ของคลิปเสยี ง และผูเ้ ข้าร่วม โปรแกรมจะต้องตอบคำถามทท่ี างผวู้ จิ ยั จัดเตรยี มไว้ 2) วิดีโอการฝึกการหายใจและคลปิ วิดีโอการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ ผวู้ จิ ัยจะจัดทำวดิ โี อ การสอนฝึกหายใจและการฝกึ สมาธิโดยหลงั สน้ิ สดุ วดิ ีโอ ผู้เขา้ รว่ มโปรแกรมจะต้องตอบ คำถามที่ทางผู้วิจยั จัดเตรยี มไว้ 3) รายละเอยี ดกิจกรรม ท้งั หมด 7 วนั ครั้งท่ี 1 (วนั จันทร์) ฝกึ สมาธิ, ฝกึ หายใจ, ฟังดนตรี ครั้งท่ี 2 (วันอังคาร) ฝกึ หายใจ, ฟังดนตรี, ฝึกสมาธิ ครง้ั ท่ี 3 (วนั พธุ ) ฟังดนตรี, ฝกึ สมาธิ, ฝกึ หายใจ ครัง้ ที่ 4 (วันพฤหสั บดี) ฝกึ สมาธิ, ฝกึ หายใจ, ฟงั ดนตรี ครงั้ ท่ี 5 (วันศุกร์) ฝกึ หายใจ, ฟังดนตรี, ฝกึ สมาธิ ครั้งท่ี 6 (วันเสาร)์ ฟังดนตรี, ฝกึ สมาธิ, ฝึกหายใจ ครั้งท่ี 7 (วันอาทิตย์) ฝึกสมาธิ, ฝกึ หายใจ, ฟังดนตรี 3. ระยะหลังการทดลอง เม่อื เข้าร่วมการทดลองครบ 7 วัน วันละ 41 นาที ครบตามกำหนด ผู้วิจัยจะใหก้ ลมุ่ ตัวอย่างท้งั 2 กล่มุ คอื กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคมุ ทำแบบวดั ความเครียด กรมสขุ ภาพจิต (SPST - 20) ซำ้ อกี คร้ังเพอื่ ประเมนิ ระดบั ความเครยี ดหลังการเข้ารว่ มโครงการวจิ ยั
39 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู รวบรวมคะแนนจากแบบวัดความเครียด กรมสขุ ภาพจติ (SPST - 20) ของกลุ่มตัวอยา่ งท้ังกอ่ นและหลังการ ทดลอง การวิเคราะหข์ ้อมูล เม่ือเกบ็ รวบรวมข้อมลู ได้ตามความต้องการแลว้ จะนำข้อมลู ท้ังหมดมาตรวจสอบความถกู ตอ้ งสมบูรณ์ แลว้ ทำการวเิ คราะห์ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อพสิ จู นส์ มมติฐานและนำมาเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู โดยมี รายละเอยี ดในการวิเคราะห์ข้อมูลดงั นี้ สถิตทิ ใ่ี ช้ในการทดสอบสมมติฐานประกอบด้วย การรายงานค่าเฉลี่ยคะแนนความเครยี ดจากแบบวดั ความเครยี ด กรมสขุ ภาพจิต (SPST - 20) ของกลุ่มตวั อยา่ งทง้ั 2 กลุ่ม โดยใช้สถติ เิ ชิงพรรณนาและทดสอบความ แตกต่างของคา่ เฉลีย่ คะแนนจากแบบวดั ซ่งึ ทดสอบไดก้ ่อนการทดลอง โดยเปรียบเทยี บทงั้ 2 กลุม่ โดยใช้ Independent t-test การพทิ กั ษ์สิทธผ์ิ เู้ ข้ารว่ มโครงการวิจัย ผ้วู ิจัยไดเ้ สนอเสนอโครงการวิจยั เรอ่ื ง ผลของโปรแกรมการจัดการความเครยี ดด้วยวธิ กี ารผอ่ นคลาย ความเครียดให้กบั ประธานคณะกรรมการจรยิ ธรรมการวจิ ัยในมนษุ ย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เพ่ือขอรบั การพจิ ารณา จริยธรรมการวิจัยในมนษุ ย์ ผ้วู จิ ัยไดม้ กี ารขออนญุ าต คณะบดีคณพยาบาลศาสตร์ ในการเกบ็ ข้อมูลและทดสอบโปรแกรมการกับ นิสติ คณพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563 ผวู้ ิจัยอธบิ ายรายละเอยี ดเกย่ี วกบั โครงการวจิ ัยและขอความยนิ ยอมผู้เข้ารว่ ม โครงการวิจยั ผูว้ ิจัยจะขอให้ ผูเ้ ข้าร่วมทำแบบวัดความเครียด กรมสขุ ภาพจิต (SPST – 20) โดยผวู้ จิ ยั จะสง่ ลิงค์ของแบบวัดความเครยี ดสวนปรงุ (SPST – 20) ทางกล่มุ Line ที่ผวู้ ิจยั ไดต้ ง้ั ข้นึ และมีอาสาสมคั รเปน็ สมาชกิ ซึ่งอาสาสมัครสามารถทำแบบวดั ความเครียดได้ภายในระยะเวลา 48 ชว่ั โมง ในกรณที ่ีไม่สะดวก ผู้เข้าร่วมสามารถขอถอนตัว ออกจากโครงการวจิ ยั ไดต้ ลอดเวลา หากมีข้อสงสัยใด ๆ เก่ียวกบั โครงการวิจยั ผเู้ ข้าร่วมสามารถสอบถามจากผู้วิจัยไดต้ ลอดเวลา ภายหลังสนิ้ สุดการวิจัย ผู้วจิ ัยจะข้อมูลท่ีผ่านการวิเคราะห์แลว้ เสนอผู้เก่ยี วข้องเพ่ือให้เกิดประโยชน์ ต่อการ จัดการเรียนการสอนของคณะพยาบาลศาสตร์ต่อไป หากกลุม่ ตัวอยา่ งยินดีเข้าร่วมโครงการวิจยั และผู้แทนโดยชอบทำ/ผู้ปกครองอนุญาตใหเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากผูเ้ ข้าร่วมโครงการวจิ ยั จึงให้แสดงความยินยอม โดยมีการลงนามเป็นลายลกั ษณอ์ ักษรในหนงั สือแสดงความ ยินยอมเข้าร่วมโครงการวิจัย และหนังสือแสดงความยินยอมเข้าร่วมโครงการวิจัยสำหรับผ้แู ทนโดยชอบธรรม/ ผปู้ กครอง
40 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลกั ษณ์ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ในการนําเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู และแปลผลของการศึกษาในคร้งั นี้ ผู้วิจัยไดก้ ำหนดสญั ลกั ษณ์ต่างๆ ทีใ่ ช้แทนความหมายดังต่อไปนี้ n แทน จำนวนนสิ ติ ทีเ่ ปน็ กลุ่มตวั อย่าง X แทน คา่ คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตวั อย่าง D แทน ผลต่างของคะแนนระดบั ความเครียดของนิสติ กอ่ นและหลังการทดลอง S.D. แทน คา่ ความเบ่ียงเบนมาตรฐาน t แทน คา่ อัตราส่วนวิกฤตของการแจกแจงแบบที p แทน ระดับนัยสาํ คัญทางสถติ ิ ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ในการศึกษาค้นควา้ ผู้วิจยั ดำเนนิ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ดังน้ี 1. เปรียบเทยี บระดบั ความเครยี ดของนิสิตกลุ่มควบคุมและกลมุ่ ทดลอง ก่อนทำการทดลอง 2. เปรียบเทียบระดับความเครยี ดของนิสติ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม หลงั ทำการทดลอง ตาราง ผลการเปรยี บเทยี บค่าเฉลีย่ ระดับความเครียดของนิสิตกลมุ่ ทดลองที่ได้รับโปรแกรมการจดั การ ความเครยี ดโดยวธิ ผี ่อนคลาย กบั กลมุ่ ควบคมุ ที่ได้รับการดูแลตามมาตรฐานของมหาวิทยาลัย กอ่ นและหลงั ทำการ ทดลอง จากตารางพบว่าค่าเฉล่ียระดับความเครียดของนิสิตกลุม่ ทดลองที่ได้รบั โปรแกรมการจดั การความเครยี ด โดยวธิ กี ารผอ่ นกอ่ นการทดลองไมแ่ ตกต่างกับคา่ เฉลี่ยระดับความเครยี ดของนสิ ิตกลุม่ ควบคมุ ท่ีได้รบั การดแู ลตาม การจดั การกบั กลุม่ ทดลอง n=30 กลุ่มควบคมุ n=30 ความเครยี ด ก่อนการทดลอง 42.467 10.454 42.167 10.389 -0.3 -0.111 0.912 หลงั การทดลอง 36.567 13.885 47.300 14.826 10.733 2.894* 0.005 มาตรฐานของมหาวทิ ยาลยั ก่อนทำการทดลอง ทร่ี ะดบั นยั สำคัญที่ .05 และคา่ เฉลยี่ ระดับความเครียดของนิสติ กลมุ่ ทดลองท่ีได้รบั โปรแกรมการจัดการความเครยี ดโดยวิธีผอ่ นคลายหลงั ทำการทดลองแตกต่างกับค่าเฉลย่ี ระดับ ความเครียดของนิสิตกลุม่ ควบคมุ ที่ได้รบั การดูแลตามมาตรฐานของมหาวทิ ยาลัยหลงั ทำการทดลอง ทรี่ ะดับ นัยสำคัญที่ .05 จะเห็นไดว้ า่ กลุ่มทดลองหลงั ทำการทดลองมคี ่าเฉลี่ยท่ีน้อยกวา่ กลมุ่ ควบคุมหลังทำการทดลอง
41 บทที่ 5 สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ งานวิจยั เรื่อง ผลของโปรแกรมการจดั การความเครยี ดโดยวธิ กี ารผ่อนคลายต่อความเครียดของนสิ ติ คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ในครั้งนเ้ี ป็นงานวจิ ัยกึง่ ทดลองทีเ่ ก็บรวบรวมข้อมูลจาก นสิ ิตชัน้ ปีที่ 1 คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปกี ารศึกษา 2563 ผู้วจิ ัยไดท้ ำการประมวลผลการวิเคราะห์ข้อมูล สรุป และอภปิ รายผลตามสมมตฐิ านทตี่ ั้งไว้ เพื่อใหท้ ราบวา่ ข้อมูลทร่ี วบรวมมาสนับสนุนการคาดหมายหรือเป็นไปตาม จุดประสงค์ท่ีตงั้ ไวม้ ากน้อยเพียงใด ต่อจากนนั้ จะเป็นการอภิปรายผลของระดบั ความเครียดในนสิ ิตคณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ภายหลงั เข้าร่วมโปรแกรมการจดั การความเครียดประกอบด้วยการฝกึ สมาธิแบบอา นาปานสติ การฝกึ หายใจ และการฟงั ดนตรี โดยสามารถสรปุ ขั้นตอนการวิจยั และผลของการวิจัยได้ ดังนี้คอื สรุปผลการวจิ ัย จากการวจิ ยั สามารถสรปุ ผลการทดลองได้ดังนี้ นสิ ติ ที่ไดเ้ ข้ารว่ มโปรแกรมการจัดการความเครยี ดโดยวธิ กี ารผ่อนคลายในกลุ่มทดลองมีค่าเฉลยี่ ระดบั ความเครยี ดลดลงกว่านิสิตกลุ่มควบคุมทไ่ี ด้รับการดแู ลตามมาตรฐานของทางมหาวิทยาลัย อยา่ งมีนยั สำคัญทาง สถิติท่ีระดบั .05 อภิปรายผล จากสมมติฐานกลา่ วว่า “ โปรแกรมการจดั การความเครียดโดยวิธกี ารผ่อนคลายทำใหค้ า่ เฉล่ียคะแนน ความเครยี ดของกลมุ่ ทดลองลดลงกว่ากอ่ นทดลอง ” สมมติฐานนี้ไดค้ าดหมายวา่ ระดบั ความเครียดของกลุ่ม ทดลองลดลงมากกวา่ กลุ่มควบคมุ เม่ือสิน้ สุดการทดลองในการวเิ คราะห์ข้อมูลเพ่ือสำรวจสมมติฐานนี้ ผู้วจิ ยั ไดท้ ำ การวเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยใช้วิธีการ t – test แบบกลุ่มตัวอยา่ ง 2 กลมุ่ เปน็ อสิ ระต่อกนั ( t – test independent sample ) และพบวา่ กลมุ่ ทดลองท่ีได้เขา้ รว่ มโปรแกรมการจัดการความเครยี ดโดยวธิ กี ารผ่อนคลาย มีคา่ เฉล่ีย คะแนนความเครียดน้อยกว่ากลุ่มควบคุมทไี่ ม่ไดเ้ ข้ารว่ มโปรแกรมการจดั การความเครียดโดยวธิ ีการผอ่ นคลาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05 ท้ังน้อี าจเป็นเพราะโปรแกรมการจดั การความเครียดโดยวิธกี ารผ่อนคลายมี ประสทิ ธภิ าพที่สามารถนำมาใช้จัดการกับความเครยี ดของนสิ ิตมหาวทิ ยาลัยนเรศวรได้ ซ่งึ ผู้วจิ ัยไดท้ ดลองใชว้ ิธกี าร ผอ่ นคลายที่ประกอบไปดว้ ย การฝกึ สมาธิแบบอานาปานสติ การฝกึ หายใจ และการฟงั ดนตรีธรรมชาติ ทำให้กล่มุ ทดลองมีระดับความเครยี ดลดลงตรงตามวัตถุประสงค์ สําหรับการวิจยั ในคร้งั น้ไี ด้ใช้วธิ ีการจัดการความเครยี ดท่ผี ู้วิจัยได้สรา้ งโปรแกรมข้ึน ตามแนวคิดของ ลาซารัส ( Lazarus ) ( สุดารตั น์ หนูหอม, 2544 ) คอื เมอื่ บุคคลมีภาวะเครยี ด เกิดขน้ึ บุคคลจะมีความพยายามท่ี จะเปลย่ี นแปลงความรู้สึกนกึ คิด และพฤติกรรมเพื่อจัดการกบั สิง่ ท่ีเป็นอนั ตราย หรือสง่ิ ที่คกุ คามตอ่ สวัสดิภาพของ ตน เรียกพฤติกรรมน้ีว่า พฤติกรรมการเผชิญความเครียด โดยมี 2 ลกั ษณะคือ การมงุ่ แก้ปญั หาเปน็ การเผชิญ ความเครยี ดโดยการจดั การกับสาเหตขุ องสถานการณ์ความเครยี ดทีเ่ กดิ ขน้ึ และการจดั การกบั อารมณ์เป็นวธิ ีการท่ี บุคคลตอบสนองต่อความเครียดด้วยการจัดการกบั อารมณ์และความรสู้ กึ โดยหลังจากนิสติ มหาวิทยาลยั ศรีนคริน วโิ รฒท่ีไดร้ ับจัดการความเครียดด้วยวิธีการฝึกสมาธิ รว่ มกับการคดิ แบบอรยิ สัจ และการฝกึ เกรง็ คลายกล้ามเนื้อมี
42 วธิ กี ารจดั การความเครยี ดได้ดีกวา่ กลมุ่ ที่ไม่ไดร้ บั การฝึกอย่างมีนยั สาํ คัญทางสถติ ทิ ี่ระดับ .01 (นัยนา เหลือง ประวตั ิ, 2547 ) รวมถงึ นสิ ิตจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัยท่ีมอี ายรุ ะหว่าง 18-21 ปที เ่ี ป็น อาสาสมัครเข้าร่วมการ ทดลองดว้ ยความสมัครใจที่ได้รับการฟงั ดนตรีธรรมชาติและดนตรตี ามความชอบนัน้ มี คะแนนความเครยี ดลดลง อย่างมีระดับนยั สําคัญทางสถิตทิ ี่ .01 (วรัญญา รุมแสง, 2547 ) ด้วยเหตผุ ลดงั กลา่ วข้างต้นแสดงให้เห็นว่า โปรแกรมการจัดการความเครยี ดโดยวิธีการผอ่ นคลายสามารถ ลดระดบั ความเครียดของนิสติ มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ ซ่ึงเป็นการจดั การกับความเครยี ดทางดา้ นอารมณท์ ั้ง 3 วธิ ี โดยมงี านวจิ ัยที่สอดคล้องกบั การวิจยั ข้างต้น ได้แกง่ านวจิ ัยของ ชมช่ืน สมประเสริฐ (2526) ได้ศึกษาวจิ ัยผลของ การฝกึ สมาธติ อ่ ระดับความวิตกกงั วลโดยการใชว้ ิธฝี ึกสมาธิแบบอานาปานสติ กลุ่มตัวอย่างเปน็ นักศึกษาคณะ วทิ ยาศาสตรช์ ้นั ปที ่1ี มหาวิทยาลัยมหดิ ล ปกี ารศกึ ษา 2523 – 2524 ที่มีอายุ 17 – 21 ปจี ำนวน 64 คน โดยการ ทดสอบความวติ กกงั วลก่อนและหลังการทดลองทำการ ฝึกสมาธิแบบอานาปานสติด้วย แบบทดสอบ STATE – TRAIT ANXITY โดยจดจำนวนครั้งของผู้ท่ีมาฝึกสมาธิ เอาไว้ภายหลังจาก ช่วง 3 เดอื น ได้กลุ่มตัวอยา่ ง 3 กลุม่ ดังนี้ กลุ่มนักศกึ ษาทมี่ รี ะยะเวลาฝกึ มากกว่าร้อยละ 75 (M 1) กลมุ่ นักศึกษาที่มีระยะเวลาฝึกระหวา่ ง 50 – 75 (M 2) กลมุ่ ท่ีได้รบั การฝึกสมาธิ (SCL) ผลการศึกษาพบว่า ทง้ั 3 กลุ่ม ระดับความวิตกกงั วลแตกตา่ งกัน คือ กลุ่ม M 1 มคี วามวติ กกังวลน้อยกวา่ กลุ่ม M 2 แต่ไม่แตกต่างกับ กลุม่ SCL และนักศึกษากลมุ่ M 1 มรี ะดบั ความวิตกกังวล แบบเทรดลดลงมากกวา่ กอ่ นเร่ิมทำการฝึกแตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสําคัญ สอดคล้องกบั ฐิติวสั ส สขุ ป้อม (2545) ได้ ศกึ ษาการเปรียบเทยี บผล ของการฝกึ สมาธแิ บบอานาปานสติกบั การฝกึ การผ่อนคลายกลา้ มเนือ้ ที่มีต่อ ความเครียดในการเรียนของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรียนมักกะสนั พิทยา กรุงเทพมหานคร พบวา่ นักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 มคี วามเครยี ดในการเรยี นลดลง หลังจากไดร้ บั การ ฝกึ สมาธแิ บบอานาปานสติ อย่าง มีนยั สําคัญทางสถิติทีร่ ะดบั 0.1 และนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ทไี่ ดร้ ับการฝึก สมาธแิ บบอานาปานสติ นกั เรียน ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ที่ได้รบั การฝกึ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อมีความเครยี ดลดลงไม่ แตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสาํ คญั ทาง สถติ ิ ซแี มน และคนอื่น ๆ (Seeman, et al., 1972) ได้ศึกษาถึงอิทธพิ ลของการฝึกสมาธิกับการรู้จกั ตน (Self – Actualization) ศึกษากบั กลุ่มบุคคล 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง 15 คน เป็นชาย 8 คน หญิง 7 คน และกลุ่ม ควบคุม 20 คน เป็นชาย 10 คน หญงิ 10 คน โดยท้งั หมดเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลยั ซินเนติ โดย ใช้แบบทดสอบวัดบุคลกิ ภาพ ช่วงก่อนและหลังการฝกึ สมาธิในชวงระยะเวลาห่างกัน 2 เดือน โดยกลมุ่ ทดลองจะมี การเรียนการ ฝึกสมาธเิ ป็นรายบุคคลประมาณ 30 – 60 นาทใี นชว่ งเริ่มต้น และอกี 3 วันตอ่ มาเรียนเก่ียวกบั เทคนิคการฝึกเป็นกลุ่มจากนั้นมีการฝึกสมาธิทุกวันๆ ละ 2 คร้งั ในชว่ งเวลาเช้าและเยน็ ครั้งละ 15 – 20 นาที พบว่านกั ศึกษาทฝี่ กึ สมาธิในกลุม่ ทดลองมคี วามสามารถควบคมุ ความโกรธสูงกวา่ กลุม่ ควบคมุ เชน่ เดียวกับ ทรอล (Throll, 1982) ไดศ้ กึ ษาผลการฝึกสมาธแิ บบท.ี เอ็ม และการฝกึ ผอ่ นคลายโดยศึกษากบั กลมุ่ ตัวอยา่ ง จำนวน 39 คน ในมหาวิทยาลยั วิคตอเรยี โดยใชแ้ บบสอบถาม วัดบุคลิกภาพของไอแซงค์ ท่ีมีชื่อวา่ STAI เป็นแบบสอบถามท่ี เก่ียวกับสุขภาพและการใช้ยา ซงึ่ มกี ารทดสอบภายหลังการเรยี นและการฝึกแต่ละเทคนิคเสร็จสน้ิ เปน็ ระยะเวลา หา่ งกนั 5 – 10 สปั ดาห์ ผลการศึกษาพบว่าการทดสอบคร้ังแรกไม่พบความแตกต่าง แต่การทดสอบครง้ั สดุ ท้าย พบวากล่มุ ทฝี่ ึกสมาธแิ บบท.ี เอ็ม มีการลดลงของอาการทางประสาทในด้านความม่ันคง ดา้ นการแสดงออกและดา้ น การเก็บตวั นอกจากนย้ี ังพบว่ากลุ่มทม่ี ีการฝกึ แบบท.ี เอ็ม มีการใชย้ ามากกว่ากลุ่มที่มีการฝกึ ผ่อนคลาย และในท้งั 2 กลุ่ม มีการลดลงของคะแนนจากท้ังความวิตกและแบบสเตท และแบบเทรท กวิณวุฒิ กล่นั ไพฑูรย์, (2557) ได้ ศกึ ษาเรื่องของผลของการฟังดนตรีตามความชอบและตนตรธี รรมชาติตอ่ การลดความเครียดของนักศึกษา คณะ
Search