ความคิดเหน็ ของนิสิตพยาบาลท่มี ีต่อการทาวจิ ัยระดับปริญญาตรี นายธนวฒั น์ เห็มภาค 60560481 นางสาวทรัพย์สิดี สงิ ห์กรุง 60560450 นางสาวทศั นีย์ คาแก้ว 60560467 นายเทอดเกียรติ เจริญสขุ 60560474 นางสาวธนญั ญา สนนั่ เอือ้ 60560498 นางสาวธมนวรรณ ประทมุ โช 60560504 นางสาวธญั ชนก เกงเขตร์ 60560511 นางสาวธญั ชนก สายทอง 60560528 รายงานวจิ ัยเสนอคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เพ่อื เป็ นส่วนหน่ึงของรายวชิ า วจิ ัยเบือ้ งต้นทางการพยาบาล 501378 หลักสูตรปริญญาพยาบาลศาสตร์บัณฑติ สงิ หาคม 2562 ลขิ สิทธ์ิเป็ นของมหาวทิ ยาลัยนเรศวร
ประกาศคุณูปการ ผ้วู จิ ยั ขอกราบขอบพระคณุ เป็นอย่างสงู ในความกรุณาของ ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ณิชกานต์ ทรงไทย ท่ีปรึกษาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี ที่กรุณาให้คาปรึกษาพร้อมทงั้ ให้คาแนะนาตลอด ระยะเวลาจนแก้ไขข้อบกพร่องของวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรี ด้วยความเอาใจใสจ่ นทาให้วทิ ยานิพนธ์ฉบบั นีส้ าเร็จลลุ ว่ งได้อยา่ งสมบรู ณ์และทรงคณุ คา่ ขอขอบพระคณุ ผ้ทู รงคณุ วุฒิ รองศาสตราจารย์ ดร. นงนชุ โอบะ ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. อุไรวรรณ ชยั ชนะวิโรจน์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ภัทรมนสั พงศ์รังสรรค์ ท่ีได้กรุณาตรวจสอบ เคร่ืองมือวิจยั และให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงเคร่ืองมือวจิ ยั เหนือสิ่งอื่นใดขอกราบขอบพระคณุ บดิ า มารดา ของผ้วู ิจยั ท่ีให้กาลงั ใจและให้การสนบั สนนุ ในทกุ ๆ ด้านอยา่ งดที ี่สดุ เสมอมา คณุ ค่าและคณุ ประโยชน์อันพึงจะมีจากวิจยั ฉบบั นี ้ผู้วิจัยขอมอบและอทุ ิศแด่ผู้มีพระคณุ ทกุ ๆ ท่าน และนิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 3 และชนั้ ปีที่ 4 ที่เป็นกลมุ่ ตวั อย่างในการททาวิจยั ครัง้ นี ้ผ้วู ิจยั หวงั เป็นอยา่ งยง่ิ วา่ งานวจิ ยั นีจ้ ะเป็นประโยชน์ตอ่ ผ้ทู ี่สนใจไมม่ ากก็น้อย คณะผ้จู ดั ทา
ช่ือเร่ือง ความคดิ เห็นของนสิ ิตพยาบาลที่มีตอ่ การทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรี ผู้วิจัย ธนวฒั น์ เหม็ ภาค ทรัพย์สิดี สิงห์กรุง ทศั นีย์ คาแก้ว เทอดเกียรติ เจริญสขุ ธนญั ญา สนน่ั เอือ้ ธมนวรรณ ประทมุ โช ธญั ชนก เกงเขตร์ ธญั ชนก สายทอง ประธานท่ปี รึกษา ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ณิชกานต์ ทรงไทย ประเภทสารนิพนธ์ วจิ ยั ระดบั ปริญญาตรี พยาบาลศาสตรบณั ฑติ , มหาวิทยาลยั นเรศวร, 2562 คาสาคัญ ความคดิ เห็น วิจยั ระดบั ปริญญาตรี นิสติ พยาบาล บทคัดย่อ การวิจัยครัง้ นีเ้ ป็นการวิจัยเชิงสารวจ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของนิสิต พยาบาลท่ีมีตอ่ ปัญหาการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี กล่มุ ตวั อย่าง คือ นิสิตพยาบาลชนั้ ปีท่ี 3 และชนั้ ปี ท่ี 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร รวมจานวนทงั้ สิน้ 161 คน ท่ีได้มาจากวิธีการส่มุ แบบ มีระบบ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวจิ ยั เป็นแบบสอบถามความคดิ เห็นของนิสิตพยาบาลท่ีมีตอ่ ปัญหาในการ ทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี ท่ีผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนือ้ หาจากผ้ทู รงคณุ วฒุ ิได้คา่ ดชั นีความ ตรงเท่ากับ .85 แล้วทดสอบความเท่ียงได้คา่ สมั ประสิทธ์ิอลั ฟาครอนบาค เทา่ กบั .90 วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิตคิ วามถ่ี ร้อยละ คา่ เฉลี่ย ความเบ่ียงเบนมาตรฐานและการทดสอบคา่ ที
ผลการศกึ ษาพบวา่ 1. ความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลท่ีมีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี โดยรวมอย่ใู น ระดบั น้อย (x =̅ 2.31 S.D. = 0.41) โดยกล่มุ ตวั อย่างมีความคิดเห็นว่าปัญหาทกุ ด้านอย่ใู นระดบั น้อย ยกเว้น ด้านหลกั สตู รและการสอนที่มีปัญหาอยใู่ นระดบั ปานกลาง (x ̅=2.78 S.D. = 0.58) 2. ความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 3 และ ชนั้ ปีท่ี 4 ท่ีมีต่อปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดบั .05 โดยความคิดเห็นของนิสิต พยาบาลชนั้ ปีท่ี 3 ท่ีมีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี โดยรวมอยใู่ นระดบั น้อย (x ̅=2.46 S.D. = 0.42) และมากกวา่ นิสิตพยาบาลชนั้ ปีท่ี 4 ซง่ึ อยใู่ นระดบั น้อย (x =̅ 2.16 S.D. = 0.34)
Title NURSING STUDENTS’ OPINIONS THAT AFFECT THEIR PROBLEMS Author IN THEIR UNDERGRADUATE RESEARCH Tanawat Hempak Advisor Sapsidee Singkrung Academic Paper Thatsanee Kamkeaw Keywords Terdkiat Jarernsook Tanunya Sanun-ua Tamonwan Prathumcho Thanchanok Kengkhet Thanchanok Saithong Assist.Prof.Dr.Nichakarn Songthai Research in Bachelor of Nursing Science, Naresuan University, 2562 Opinions, Undergraduate Thesis, Nursing student ABSTRACT The objective of this survey research were to study the nursing students’ opinions about undergraduate thesis problems and to compare the opinions that affect 3rd year and 4th year nursing students’ problems. The sample were 161 respondents 3rd year and 4th year nursing students of Naresaun University were selected by systematic sampling. The instrument for data collecting was a questionnaire. The questionnaire was analyzed by 3 experts with the validity index equal to 0.85, the reliability with alpha cronbach's coefficient of the questionnaire was 0.90 Data was analyzed by using frequency, percentage, mean, standard deviation and independent T-test.
The results of this study are: 1. The undergraduate research problems of nursing students’ opinions overall were at a low level (x ̅=2.31 S.D. = 0.41). The sample group's opinion that problem of all aspects was at a low level, except aspect of the curriculum and teaching that had problems at a medium level (x ̅ = 2.78 S.D. = 0.58). 2. The 3rd year nursing students’ opinion was significantly different from 4th year nursing students’ opinion (p< .05). The overall opinion of 3rd year nursing students was at a low level (x =̅ 2.46 S.D. = 0.42) and more than the overall opinion of 4th year nursing students was at a low level (x ̅=2.16 S.D. = 0.34).
สารบัญ บทท่ี หน้า 1.บทนา………………………………………………………………………….................. 1 ความเป็นมาของปัญหา………………………………………………………....…...... 1 คาถามการวิจยั …………………………………………………………...........……… 3 จดุ มงุ่ หมายของการศกึ ษา…………..…………………………………….......………. 4 สมมตฐิ านของการวิจยั …………………………………………………..……...…...... 4 ขอบเขตของงานวิจยั …………………………………………………..................…… 4 นิยามศพั ท์เฉพาะ…………………………………………………..….....…………..... 5 ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะได้รับ………………………………………………….........……. 6 2.เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวข้อง………………………………………………….......... 7 แนวคดิ เกี่ยวกบั ความคดิ เห็นของความคดิ เหน็ ……………………………………...… 8 การทาวจิ ยั ของนิสติ พยาบาล…………………………………………………….......... 11 ปัญหาในการทาวจิ ยั ……………………………………………...................….......... 15 งานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้อง………………………………………………........…..…………... 18 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั …………………………………………………...…………....... 24 3.วธิ ีดาเนินการวจิ ัย………………………………………………………….....…............ 25 ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง………………………………………………....…..…....... 25 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจยั …………………………………………………..….....…...... 28 การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือ…………………………………………………......... 29 การเก็บรวบรวมข้อมลู …………………………………………………..………........... 30 การวเิ คราะห์ข้อมลู ………………………………………………..........…..…………. 31 การพิทกั ษ์สิทธิ์กลมุ่ ตวั อยา่ ง................………………………………….......……….. 32
สารบญั (ต่อ) บทท่ี หน้า 4.ผลการวิจัย………………………………………………………............................ 33 ตอนท่ี 1 เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู เกี่ยวกบั ข้อมลู สว่ นบคุ คล ได้แก่ เพศ ระดบั การศกึ ษา โดยใช้คา่ ความถ่ี และคา่ ร้อยละ และอายุ โดยใช้คา่ เฉลี่ย และสว่ น 34 เบ่ียงเบนมาตรฐาน.................................................................................. ตอนที่ 2 เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู ความคิดเห็นที่มีตอ่ ปัญหาในในการทาวจิ ยั โดย 35 ใช้คา่ เฉลี่ย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน..................................................... ตอนที่ 3 เสนอผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความคดิ เหน็ ที่มีตอ่ ปัญหาในการทาวจิ ยั 37 ระดบั ปริญญาตรีของนิสิตพยาบาลชนั้ ปีท่ี 3 และชนั้ ปีที่ 4 โดยการทดสอบ 38 คา่ ที (T-Test Independent )……………………………………… 39 40 5. สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ................................................................... 42 สรุปผลการวจิ ยั .................................................................................................... อภิปรายผล.......................................................................................................... ข้อเสนอแนะ........................................................................................................ บรรณานุกรม…………………………………………………………………………………………… 44 ภาคผนวก………………………………………………………………………………………… 49 ประวัตผิ ู้วิจัย………………………………………………………………………………… 90
สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 แสดงจานวนประชากรและกลุ่มตวั อย่างทีศึกษา……………………..................... 26 2 แสดงคา่ ความถี่ คา่ ร้อยละ คา่ เฉลี่ย และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน เก่ียวกบั ข้อมลู สว่ น บคุ คลของผ้ตู อบแบบสอบถาม (n = 161) ……….........….......................… 34 3 แสดงความคดิ เห็นที่มีตอ่ ปัญหาในการทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรีของนิสิตพยาบาล โดย ใช้คา่ เฉลี่ย (x)̅ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)………………...……………… 35 4 แสดงการเปรียบเทียบความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลท่ีมีตอ่ ปัญหาในการทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรีโดยใช้สถิตคิ า่ ที (Independent T-Test) …………………………… 37 5. แสดงการตรวจสอบความเชื่อมน่ั ของเครื่องมือ ( Reliability) แบบสอบถามความคดิ เห็น ของนสิ ติ พยาบาลท่ีมีตอ่ การทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรี……………………..……… 55 6 แสดงความคดิ เหน็ เก่ียวกบั ปัญหาในการทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรีของนิสติ พยาบาล โดย ใช้คา่ เฉล่ีย (x)̅ และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) ด้านความรู้ความสามารถทาง วิชาการของนิสติ จาแนกรายด้านและรายข้อ……………………………………… 64 7 แสดงคา่ เฉลี่ย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั ปัญหาและอปุ สรรคใน การทาวิจยั ด้านคณุ ลกั ษณะสว่ นตวั ของนิสติ จาแนกรายด้านและรายข้อ............... 68 8 แสดงคา่ เฉลี่ย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั ปัญหาและอปุ สรรคใน การทาวิจยั ด้านความพร้อมของนสิ ิตจาแนกรายด้านและรายข้อ......................... 72 9 แสดงคา่ เฉลี่ย และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ความคดิ เห็นเกี่ยวกบั ปัญหาและอปุ สรรคใน การทาวจิ ยั ด้านหลกั สตู รและการเรียนการสอนจาแนกรายด้านและรายข้อ........... 76 10 แสดงคา่ เฉล่ีย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ความคดิ เห็นเกี่ยวกบั ปัญหาและอปุ สรรคใน การทาวิจยั ด้านอาจารย์ที่ปรึกษาจาแนกรายด้านและรายข้อ.............................. 80
1 บทท่ี 1 บทนา ความเป็ นมาของปัญหา การทาวิจยั เป็นการศกึ ษาค้นคว้าหรือแสวงหาความรู้ใหม่ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการศึกษาค้นคว้าโดยตลอดทกุ ขนั้ ตอนของกระบวนการวิจยั และมีแนวคิดทฤษฎีมาสนบั สนนุ การ ทดสอบสมมติฐาน เพื่อให้องค์ความรู้ท่ีค้นพบมีความน่าเช่ือถือ และนาไปใช้ประโยชน์ได้จริงในทาง ปฏิบตั ิ (บญุ ใจ ศรีสถิตย์นรากรู , 2553) นอกจากผลการวิจยั จะสามารถนาไปใช้แก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพแล้วยงั ชว่ ยให้เข้าใจปรากฏการณ์และพฤติกรรมตา่ ง ๆสามารถใช้ทานายปรากฏการณ์ได้ อย่างถกู ต้องมากกว่าการคาดคะเนแบบสามญั สานึก สามารถนาผลการวิจยั มาใช้ประโยชน์เพ่ือการ ปรับปรุงหรือพฒั นาบคุ คลและหนว่ ยงานตา่ ง ๆให้เจริญก้าวหน้าดยี งิ่ ขนึ ้ (นิภา ศรีไพโรจน์, 2553 อ้างถึง ใน วนิดา พิงสระน้อย, 2556) ด้วยเหตผุ ลนี ้การทาวิจยั จึงเป็นสิ่งจาเป็นและสาคญั ที่นิสิตทงั้ ในระดบั ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกจะต้องเรียนรู้และลงมือปฏิบตั ิ แตค่ วามลมุ่ ลึกในการทาวิจยั ความสาเร็จในการทาวทิ ยานิพนธ์ และปัญหาอปุ สรรคอาจแตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะระดบั การทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรีเป็นวิธีหน่ึงท่ีจะช่วยสร้างทกั ษะการแสวงหาความรู้ ฝึกวิเคราะห์ วิจารณ์เพ่ือสร้างความก้าวหน้าทางวิชาการ ซ่งึ มหาวิทยาลยั นเรศวรเป็นสถาบนั หนึ่งของประเทศไทยท่ี ประกาศตนวา่ เป็นมหาวิทยาลยั แห่งการวิจยั ได้ให้ความสาคญั กบั งานด้านการวิจยั โดยมีการประกาศ แนวปฏิบตั ิเก่ียวกบั การจดั การศกึ ษารายวิชาให้คณะ หรือหนว่ ยงานที่เรียกช่ืออยา่ งอ่ืนที่เทียบเทา่ คณะ ที่มีการจดั การเรียนการสอนระดบั ปริญญาตรี บรรจรุ ายวิชาวิจยั หรือวิทยานิพนธ์ระดบั ปริญญาตรี โดย มีจดุ มงุ่ หมายเพ่ือปลกู ฝังให้นิสติ เป็นผ้ใู ฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จกั ศกึ ษาค้นคว้า วิเคราะห์ เรียบเรียงความ คดิ และสรุปผลท่ีได้จากการศกึ ษาค้นคว้าอยา่ งเป็นระบบ โดยเปิดให้นิสิตในชนั้ ป่ีท่ี 3 หรือชนั้ ปีท่ี 4 หรือ ชนั้ ปีที่ 5 ในภาคการศึกษาต้นหรือภาคการศึกษาปลาย ตามความเหมาะสมของแต่ละหลกั สตู ร ซึ่ง กาหนดให้มีจานวนหน่วยกิต 3-9 หน่วยกิต โดยมีกระบวนการและขนั้ ตอนการดาเนินงาน ให้เป็นไป ตามความประสงค์ของคณะ สาขาวชิ า และ สง่ เสริมให้มีลกั ษณะบรู ณาการร่วมกบั ศาสตร์อื่น ๆ
2 เพ่ือให้เกิดงานนวัตกรรมเพ่ิมขึน้ (มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2561) ซึ่งเป้าหมายของการจดั การศึกษา รายวิชาวิจยั เพ่ือให้นิสิตเข้าใจกระบวนการวิจยั สามารถเขียนโครงร่างงานวิจยั ดาเนินการวิจยั โดยใช้ องค์ความรู้จากศาสตร์ที่ตนเองศึกษาหรือ บรู ณาการร่วมกบั ศาสตร์อื่น ๆ ตามความสนใจและความ ถนดั ของนสิ ติ ภายใต้การดแู ลของอาจารย์ท่ีปรึกษาในการจดั ทาวิทยานิพนธ์ให้ประสบความสาเร็จ ความสาเร็จในการทาวิจยั หรือวทิ ยานพิ นธ์ของนิสิตแตล่ ะระดบั ก็มีความแตกต่างกนั โดยทศั น์ศิ รินทร์ สว่างบุญ และรัชนีวรรณ ตัง้ ภักดี (2561) ได้ทาการศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลสาเร็จในการทา วิทยานิพนธ์ของนิสิตระดบั บณั ฑิตศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคามพบว่า นิสิต ปริญญาเอกมีความสาเร็จในการทาวิทยานพิ นธ์ในระดบั สงู สว่ นนสิ ิตปริญญาโทมีความสาเร็จในระดบั ปานกลาง แสดงให้เห็นวา่ การทาวิจยั ในแตล่ ะระดบั การศกึ ษาอาจมีปัญหาและอปุ สรรคท่ีแตกตา่ งกนั ซึง่ ผลการศึกษาส่วนใหญ่พบวา่ นิสิตปริญญาโทมีความคดิ เห็นว่ามีปัญหาในการทาวิทยานิพนธ์อยใู่ น ระดบั ปานกลาง จะเห็นได้จากการศกึ ษาของ สมจิตร์ แก้วมณี (2551) ที่ศกึ ษาความคดิ เห็นตอ่ ปัญหา ในการทาวิทยานิพนธ์ของนกั ศกึ ษาระดบั มหาบณั ฑิต พบว่า นกั ศกึ ษามีความคดิ เห็นตอ่ ปัญหาการทา วิทยานิพนธ์ทงั้ 5 ด้าน คือ ด้านความรู้ความสามรถทางวิชาการของนกั ศกึ ษา ด้านการบริการวิชาการ ของมหาวิทยาลยั ด้านหลักสูตรและการเรียนการสอน ด้านคณุ ลกั ษณะส่วนตัวและความพร้อมของ ศกึ ษา มีปัญหาอยใู่ นระดบั ปานกลาง แตด่ ้านคณุ ลกั ษณะของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานพิ นธ์มีปัญหาอยู่ ในระดับน้อย และการวิจัยของนันท์นภัส มีครุฑ (2553) ได้ศึกษาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการทา วิทยานิพนธ์ระดบั ปริญญาโท พบว่า นกั ศึกษาประสบปัญหาที่เก่ียวข้องกับการทาวิทยานิพนธ์ทงั้ 5 ด้าน คอื ด้านสว่ นตวั ของนกั ศกึ ษา ด้านกระบวนการในการทาวิทยานิพนธ์ ด้านคณะกรรมการที่ปรึกษา วิทยานิพนธ์ ด้านระเบียบข้อบงั คบั และแนวปฏิบตั ิที่เก่ียวข้องกับการทาวิทยานิพนธ์ และด้านแหล่ง ศึกษาค้นคว้าภายในมหาวิทยาลัยในระดบั ปานกลาง ทัศน์ศิรินทร์ สว่างบุญ และรัชนีวรรณ ตงั้ ภักดี (2561) ได้ทาการศกึ ษาปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ ความสาเร็จในการทาวิทยานพิ นธ์ของนิสติ ระดบั บณั ฑิตศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคามพบว่า คณุ ลกั ษณะของนิสิต ความรู้และทกั ษะการทา วิจยั ของนสิ ติ และอาจารย์ท่ีปรึกษามีความสมั พนั ธ์กบั ความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์ คณะพยาบาลศาสตร์ได้สนองตอ่ นโยบายดงั กล่าว และม่งุ เน้นให้นสิ ิตเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีความรู้ความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ด้วยตนเอง และนาเสนอกระบวนการเรียนรู้ใน
3 รูปแบบการวิจยั ได้ จึงได้จดั ให้มีหลักสตู รการเรียนการสอนในรายวิชาวิจยั เบือ้ งต้นทางการพยาบาล สาหรับนิสิตพยาบาลศาสตร์ชนั้ ที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 จานวน 3 หน่วยกิต ภายใต้การดแู ลของอาจารย์ที่ ปรึกษา โดยเน้นให้ผ้เู รียนมีความรู้เกี่ยวกับระเบียบวิจยั ฝึกการทาวิจยั เบือ้ งต้นทางการพยาบาลโดย คานงึ ถงึ จรรยาบรรณของนกั วิจยั และสามารถนาผลการวิจยั มาใช้ในการพฒั นาการพยาบาลได้ ถึงแม้ นสิ ิตพยาบาลหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต จะได้รับการสอนในภาคทฤษฎี และได้ลงมือปฏิบตั กิ าร ทาวิทยานิพนธ์ระดบั ปริญญาตรีเหมือนๆ กนั ทงั้ นิสิตพยาบาล ชนั้ ปีที่ 3 และชนั้ ปีท่ี 4 แตป่ ัจจยั อ่ืน ๆ ของทงั้ 2 ชนั้ ปี มีความแตกตา่ งกนั นอกจากระดบั การศกึ ษา เช่น อายุ เพศ และประสบการณ์ในการทา วิทยานิพนธ์ ที่แตกต่างกันซ่ึงส่งผลให้นิสิตพยาบาล ชัน้ ปี ท่ี 3 และ 4 มีความคิดเห็นต่อการทา วทิ ยานพิ นธ์ระดบั ปริญญาตรีที่แตกตา่ งกนั นอกจากนี ้การทบทวนเอกสารและงานวิจยั ท่ีเก่ียวข้องที่ผ่านมาพบว่าส่วนใหญ่ทาการศึกษา ความคดิ เห็นท่ีมีตอ่ การทาวิทยานิพนธ์ในระดบั มหาบณั ฑิต แตไ่ มพ่ บการศกึ ษาในนิสิตระดบั ปริญญา ตรี ผ้วู ิจยั ในฐานะนิสิตพยาบาลหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต จงึ สนใจที่จะศกึ ษาความคิดเห็นของ นิสิตพยาบาลที่มีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรีทงั้ 5 ด้าน คือ ด้านคณุ ลกั ษณะส่วนตวั ของ นสิ ิต ด้านความพร้อมของนิสิต ด้านหลกั สตู รและการเรียนการสอน ด้านอาจารย์ท่ีปรึกษา ด้านความรู้ ความสามารถทางวิชาการของนิสติ และเปรียบเทียบความคดิ เหน็ ของนิสิตพยาบาลชนั้ ปีท่ี 3 และ ชนั้ ปี ท่ี 4 ท่ีมีตอ่ การทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี เพื่อเป็นข้อมลู เชิงประจกั ษ์ในการวางแผนการจดั การเรียนการ สอนรายวิชาวิจัยเบือ้ งต้นทางการพยาบาลที่ช่วยลดปัญหาในการทาวิจัยระดบั ปริญญาตรีของนิสิต พยาบาลตอ่ ไป คาถามการวจิ ัย 1. ความคดิ เห็นของนสิ ิตพยาบาลท่ีมีตอ่ ปัญหาในการทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรีเป็นอยา่ งไร 2. ความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 3 และชนั้ ปีท่ี 4 ที่มีต่อปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรีตา่ งกนั หรือไม่ อยา่ งไร
4 จุดมุ่งหมายของการศกึ ษา 1. เพื่อศกึ ษาความคดิ เหน็ ของนิสิตพยาบาลที่มีตอ่ ปัญหาในการทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรี 2. เพ่ือเปรียบเทียบความคดิ เห็นของนิสิตพยาบาลชนั้ ปีท่ี 3 และชนั้ ปีท่ี 4 ท่ีมีตอ่ ปัญหาในการ ทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรี สมมตฐิ านของการวิจัย 1. นิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 3 และชนั้ ปีที่ 4 มีความคิดเห็นตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญา ตรีแตกตา่ งกนั ขอบเขตของงานวิจัย การทาวิจยั นีเ้ป็นการวิจยั เชิงสารวจ (survey research) มีขอบเขตการวจิ ยั ดงั นี ้ ขอบเขตด้านเนือ้ หา ความคดิ เห็นของนิสิตพยาบาลท่ีมีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรีในการศกึ ษาครัง้ นี ้ ผู้วิจัยใช้กรอบแนวคิดจาการวิจัยก่อนหน้าท่ีพบปัญหาในการทาวิจัย 5 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ความสามารถทางวิชาการของนิสิต ด้านคณุ ลกั ษณะส่วนตวั ของนิสิต ด้านความพร้อมของนิสิต ด้าน หลกั สูตรและการเรียนการสอน และด้านอาจารย์ที่ปรึกษา โดยประเมินได้จากแบบสอบถาม ความ คิดเห็นของนิสิตพยาบาลที่มีต่อการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี (สมจิตร์ แก้วมณี, 2551; ศศธิ ร สพุ นั ทวี และภิรดา ชยั รัตน์ 2561; ทศั น์ศริ ินทร์ สวา่ ง บญุ และรัชนีวรรณ ตงั้ ภกั ดี, 2561) ขอบเขตด้านประชากรท่ใี ช้ในการวิจัย ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาครัง้ นี ้ ได้แก่ นิสิตที่กาลังศึกษาอยู่ในคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร จานวน 2 ชนั้ ปี คือ ชนั้ ปีที่ 3 จานวน 117 คน และ ชนั้ ปีที่ 4 จานวน 113 คน รวม ทงั้ สนิ ้ 230 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทาวิจัยครัง้ นี ้ เป็นนิสิตที่กาลังศึกษาอยู่ในคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ชนั้ ปีที่ 3 และชนั้ ปีที่ 4 ที่ได้จากการสมุ่ เเบบมีระบบ จานวน 161 คน โดยคานวณ จากสตู รของ ทาโร ยามาเน่ (Taro Yamane) และเพิ่มจานวนเพื่อปอ้ งกนั การสญู หายของกลมุ่ ตวั อย่าง ร้อยละ 10
5 ขอบเขตด้านตัวแปร ตวั แปรในการศกึ ษาครัง้ นี ้คอื ความคดิ เหน็ ท่ีมีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี นิยามศัพท์เฉพาะ ความคิดเหน็ ท่ีมีต่อการทาวิจัยระดับปริญญาตรี หมายถึง ความเช่ือ เจตคติ คา่ นิยม อคติ การตดั สินใจ และแสดงออกเป็นความรู้สึกส่วนบุคคลท่ีมีต่อปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี ประกอบด้วย 5 ด้าน 1. ด้านความรู้ความสามารถทางวิชาการของนิสิต หมายถึง ความเชี่ยวชาญใน การดาเนินการวิจยั ตงั้ แตก่ ารตงั้ ประเด็นหวั ข้อในการวิจยั ความสามารถในการหาและวิเคราะห์ข้อมลู การสรุปผลและอภิปรายผล ความสามารถทางด้านสถิติเพ่ือการวิจัย ความสามารถในการสร้ าง เคร่ืองมือ ตลอดจนมีความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาไทยและภาษองั กฤษ 2. ด้านคุณลักษณะส่วนตัวของนิสิต หมายถึง พฤติกรรมเฉพาะของบุคคลท่ี เก่ียวข้องกบั การดาเนนิ การวิจยั ได้แก่ ความมงุ่ มนั่ ความตงั้ ใจ ความพยายาม ความอดทน ความวิตก กงั วล ตลอดจนการวางแผนการบริหารเวลา การวางแผนการศกึ ษา ภาระงานความรับผดิ ชอบ 3. ด้านความพร้อมของนิสิต หมายถึง สมรรถภาพทางกาย จิตใจ และทรัพยากร คือ งบประมาณ ของบุคคลที่ปฏิบตั ิหรือดาเนินการวิจยั ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสาเร็จผลตามที่ มงุ่ หวงั ในระยะเวลาท่ีกาหนด 4. ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน หมายถึง การจัดแผนการเรียนการสอนใน รายวิชาวิจยั เบอื ้ งต้นทางการพยาบาลภาค ประกอบด้วย จานวนหนว่ ยกิต ความเหมาะสมของชว่ งเวลา ท่ีจดั ให้มีการเรียนการสอน การลาดบั เนือ้ หา ความเพียงพอของเนือ้ หาในรายวิชา ระยะเวลาของการ เรียนในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตั ิ 5. ด้านอาจารย์ท่ีปรึกษาวิจัย หมายถึง การปฏิบตั หิ น้าที่ของอาจารย์ประจากล่มุ ที่ ได้รับการแตง่ ตงั้ ให้รับผิดชอบกระบวนการเรียนรู้เพ่ือวิจยั ในการพิจารณาเค้าโครง การให้คาแนะนา ระยะเวลาในการเข้าพบ และควบคมุ ดแู ลการดาเนินการวิจยั ให้กบั นิสิตเพื่อให้การดาเนินการวิจยั สาเร็จ ลลุ ว่ งอยา่ งสมบรู ณ์
6 นิสิตพยาบาล หมายถึง ผ้ทู ี่กาลงั ศึกษาอย่ใู นคณะพยาบาลศาสตร์ ชนั้ ปีท่ี 3 และชนั้ ปีที่ 4 หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปีการศกึ ษา 2562 ประโยชน์ท่คี าดว่าจะได้รับ 1. ทาให้ทราบระดบั ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรีของนิสิตพยาบาล 2. ได้ข้อมูลที่เป็นหลักฐานเชิงประจกั ษ์ที่สามารถใช้เป็นข้อมูลพืน้ ฐานในการปรับปรุงการ จัดการเรียนการสอนที่ช่วยลดปัญหาในการทาวิจัยระดบั ปริญญาตรีของนิสิตพยาบาล หลักสูตร พยาบาลศาสตรบณั ฑิตรุ่นตอ่ ๆ ไป
7 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้อง การศึกษาเ ปรี ยบ เ ที ยบความ คิดเ ห็ นข อง นิสิ ตพ ยาบ าล ท่ี มี ต่อปั ญ หาใ น การทาวิจัยระ ดับ ปริญญาตรีได้ค้นคว้าเอกสารและทบทวนงานวิจยั ท่ีเก่ียวข้อง ซง่ึ ประกอบด้วยเนือ้ หาดงั ตอ่ ไปนี ้ 1. แนวคดิ เกี่ยวกบั ความคดิ เห็น 1.1 ความหมายของความคดิ เหน็ 1.2 ปัจจยั พืน้ ฐานที่มีอทิ ธิพลตอ่ ความคดิ เหน็ 1.3 การวดั ความคดิ เห็น 2. การวิจยั ในระดบั ปริญญาตรีของนิสิตพยาบาล 2.1 นโยบายการวจิ ยั ในระดบั ปริญญาตรีของมหาวิทยาลยั นเรศวร 2.2 การจดั การเรียนการสอนวิชาวิจยั เบือ้ งต้นทางการพยาบาลของคณะพยาบาล ศาสตร์ 3. ปัญหาในการทาวจิ ยั 3.1. ด้านความรู้ความสามารถทางวชิ าการของนสิ ิต 3.2. ด้านลกั ษณะสว่ นตวั ของนิสิต 3.3. ด้านความพร้อมของนิสติ 3.4. ด้านหลกั สตู รการเรียนการสอน 3.5. ด้านอาจารย์ที่ปรึกษาวจิ ยั 4. งานวิจยั ที่เก่ียวข้อง 5. กรอบแนวคดิ การวิจยั
8 แนวคิดเก่ียวกับความคดิ เหน็ 1. ความหมายของความคดิ เหน็ ความคิดเหน็ ของแตล่ ะบคุ คลมีความแตกตา่ งกนั ซง่ึ นกั วิชาการได้ให้ความหมายของความ คดิ เหน็ ไว้ ดงั นี ้ ดวงอุมา โสภา (2551) ได้ให้ความหมายว่า ความคิดเห็นเป็นการแสดงออกของแต่ละ บคุ คลในอนั ที่จะพิจารณาถึงข้อเท็จจริงอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งที่มากระทบความรู้สึกภายใน ซึ่งความรู้สึก ภายในได้แก่ เจตคติ ความเช่ือ ค่านิยมและอคติ ท่ีมีในตวั บุคคลนนั้ เพื่อให้บุคคลอ่ืนได้รับรู้ รวมทัง้ แนวทางปฏิบตั ิหรือท่าทีของพฤติกรรมตอบสนองในเชิงบวกหรือเชิงลบ หรือในลกั ษณะชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ ควรคนึง สีหาวงษ์ (2554) ได้ให้ความหมายวา่ ความคดิ เห็น หมายถึง การตดั สินใจ ความ เชื่อ การแสดงออกด้านความรู้สึกตอ่ ส่ิงใดส่ิงหนึ่งหรือเหตกุ ารณ์ใดเหตกุ ารณ์หนึ่ง อาจถกู ต้องหรือไม่ก็ ตาม อาจได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธจากคนอื่นได้ ความคิดเห็นอาจเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและ สภาพแวดล้อมได้ สามารถแสดงออกด้วยคาพดู หรือการเขียนได้ ชเู กียรติ ศิริวงศ์ (2554) ได้ให้ความหมายว่า ความคิดเห็น เป็นความรู้สึกของบคุ คลตอ่ ส่ิง ใดสิ่งหนงึ่ ในเร่ืองใดเร่ืองหนงึ่ โดยเฉพาะ ซง่ึ อาจแสดงออกมาด้วยการพดู การปฏิบตั หิ รือการเขียน ทศพล พรหมนารถ (2554) ได้ให้ความหมายวา่ ความคิดเห็น การแสดงออกทางความรู้สกึ หรือทศั นคติ สว่ นหนง่ึ ซง่ึ อาจจะเป็นท่ียอมรับหรือไมย่ อมรับจากผ้อู ่ืนก็ได้ ยภุ าวดี เรืองศรี (2554) ได้ให้ความหมายวา่ ความคดิ เห็น หมายถึง ความเช่ือ การตดั สินใจ การแสดงออกด้านความรู้สกึ ตอ่ เหตกุ ารณ์หนง่ึ เหตกุ ารณ์ใดหรือส่งิ หนงึ่ ส่ิงใด นันท์นภัส นิ่มกุล (2555) ได้ให้ความหมายว่า ความคิดเห็นเป็นการแสดงทางด้าน ความรู้สกึ นึกคดิ การตดั สินใจ และความเชื่อตอ่ สิ่งใดส่ิงหน่งึ เหตกุ ารณ์หน่ึง ด้วยการพดู หรือการเขียน ซึ่งความคิดเห็นของแต่ละบุคคลอาจจะเป็นท่ียอมรับหรือปฏิเสธจากบุคคลอื่นก็ได้ ความคิดเห็นนี ้ อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา วรัทยา พรหมสนุ ทร (2555) ได้ให้ความหมายวา่ ความคิดเห็น คือ การแสดงออกทางด้าน ความเช่ือและความรู้สกึ ตอ่ สง่ิ ใดส่ิงหนง่ึ อาจจะเป็นการพดู หรือการเขียนก็ได้
9 พระมหาบญุ ฤทธ์ิ บญุ ธรรมมงคล (2556) สรุปได้วา่ ความคดิ เห็น เป็นการแสดงความรู้สกึ ของบคุ คลแตล่ ะบคุ คลที่มีตอ่ สง่ิ ใดสิ่งหนง่ึ ในชว่ งเวลาหนงึ่ ๆ อศั วิน วาจาสิทธ์ิ (2557) ได้ให้ความหมายวา่ ความคดิ เหน็ เป็นความรู้สกึ ภายในของแตล่ ะ บคุ คล โดยการออกมาหลายรูปแบบ เชน่ การเรียน การพดู การแสดงออกทางพฤตกิ รรม ขจร สุระปอ้ ง (2558) ได้ให้ความหมายวา่ ความคิดเห็น หมายถึง ทศั นคตหิ รือข้อเท็จจริง จากความรู้และประสบการณ์ของบคุ คลเรื่องใดเรื่องหน่ึง ซึ่งสามารถแสดงออกมาในรูปแบบท่ีเป็นลาย ลกั ษณ์อกั ษรหรือการพดู ซง่ึ เกิดขนึ ้ ในชว่ งระยะเวลาใดเวลาหนงึ่ ในสถานการณ์ที่แตกตา่ งกนั อัมพาพร นพรัตน์ (2558) ได้ให้ความหมายว่า ความคิดเห็นเป็นการแสดงออกทาง พฤตกิ รรมที่มีตอ่ สง่ิ หนงึ่ สงิ่ ใด ทงั้ ทางบวกและทางลบ ซงึ่ อาจได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธก็ได้ สรุปความหมายของความคิดเห็น เป็นความเชื่อหรือความรู้สึกนึกคิดของบุคคลในการ ตดั สินใจตอ่ เร่ืองใดเรื่องหน่งึ และแสดงออกผา่ นการพดู หรือการเขียนให้บคุ คลอื่นรับรู้ อาจมีผ้เู ห็นด้วย ไมเ่ ห็นด้วย หรือไมม่ ีความรู้สกึ ใด ๆ ก็ได้และความคิดเห็นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์และ กาลเวลา 2. ปัจจัยพืน้ ฐานท่มี ีอิทธิพลต่อความคดิ เหน็ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นในผลการศึกษาของดวงอุมา โสภา (2551 อ้างถึงใน อมั พาพร นพรัตน์, 2551) ได้สรุปปัจจยั พืน้ ฐานที่มีอทิ ธิพลตอ่ ความคดิ เห็นของบคุ คลซ่ึงทาให้บคุ คลแต่ ละคนแสดงความคดิ เหน็ ท่ีเหมือนกนั หรือแตกตา่ งกนั ไว้ ดงั นี ้ 2.1. ปัจจยั ทางพนั ธุกรรมและร่างกาย คือ เพศ อวยั วะ ความครบถ้วนสมบรู ณ์ของอวยั วะ ตา่ ง ๆ คณุ ภาพสมอง 2.2. ระดบั การศกึ ษา การศกึ ษามีอิทธิพลตอ่ การแสดงออกซง่ึ ความคดิ เห็นและการศกึ ษา ทาให้บคุ คลที่มีความรู้ในเรื่องต่าง ๆมากขึน้ และคนท่ีมีความรู้มากมกั จะมีความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ อยา่ งมีเหตผุ ล 2.3. ความเชื่อ ค่านิยม และเจตคติของบคุ คลในเร่ืองต่าง ๆ ซ่ึงอาจจะได้จากการเรียนรู้ จากกลมุ่ บคุ คลในสงั คม หรือจากการอบรมสง่ั สอนในครอบครัว
10 2.4. ประสบการณ์ เป็นส่ิงท่ีก่อให้เกิดการเรียนรู้ ทาให้มีความรู้ ความเข้าใจในหน้าที่ และ ความรับผิดชอบตอ่ งาน ซงึ่ จะสง่ ผลตอ่ ความคดิ เหน็ 2.5. ปัจจัยต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ส่ือมวลชน ได้แก่ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ส่ิงตา่ ง ๆ เหลา่ นีม้ ีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดเห็นของบคุ คล เป็นการได้รับข่าวสารข้อมลู ต่าง ๆของ แต่ละบคุ คล กล่มุ และสงั คมที่เกี่ยวข้อง มีอิทธิพลตอ่ ความคิดเห็นของบุคคล เพราะ เม่ือบุคคลอย่ใู น กลมุ่ ใดหรือในสงั คมใดก็ต้องยอมรับและปฏิบตั ิตามกฎเกณฑ์ของกลมุ่ หรือสงั คม ซง่ึ ทาให้บคุ คลนนั้ มี ความเหน็ ไปตามกลมุ่ หรือสงั คมท่ีอยู่ 3. การประเมนิ ความคิดเหน็ การประเมินความคิดเห็นเป็ นการศึกษาความเช่ือหรื อความร้ ู สึกนึกคิดของบุคคลในการ ตดั สินใจตอ่ เรื่องใดเร่ืองหนง่ึ ดงั นี ้ Zadrozny (1959 อ้างถึงใน วิรัตน์ เกตเุ ทศ, 2547) กล่าวไว้ว่า การวดั ความคิดเห็นโดยทวั่ ไปจะต้องมีส่วนประกอบ 3 อย่าง คือ บุคคลที่จะถูกวัด ส่ิงเร้ าและการตอบสนอง ซ่ึงจะออกมาเป็น ระดบั สงู ตา่ มากน้อย วธิ ีวดั ความคดิ เหน็ โดยสว่ นมากจะใช้การตอบแบบสอบถามและการสมั ภาษณ์ Best (1977 อ้างถึงใน วิลาวลั ย์ สุขสวสั ด์ิ, 2556) กล่าวว่า การวดั ความคดิ เห็นโดยทวั่ ไป จะต้องมีองคป์ ระกอบ 3 อยา่ ง คือ บคุ คลที่จะถกู วดั สงิ่ เร้าที่มีการตอบสนองซงึ่ จะออกมาในระดบั สงู ต่า มากน้อยวิธีวดั ความคิดเห็นนนั้ โดยมากจะใช้ตอบแบบสอบถามและการสัมภาษณ์โดยให้ผู้ท่ีตอบ คาถามเลือกตอบแบบสอบถามและผ้ถู กู วดั จะเลือกตอบตามความคดิ เหน็ ของตน การใช้แบบสอบถามสาหรับการวดั ความคิดเห็นนนั้ ใช้การวดั แบบลิเคอร์ท โดยเร่ิมจาก การรวบรวม หรือเรียบเรียงข้อความที่เกี่ยวกบั ความคิดเห็นและระบใุ ห้ผ้ตู อบ ตอบว่าเห็นด้วยหรือไม่ เห็นด้ วยเก่ี ยวกับข้ อความท่ีกาหนดให้ ซึ่งข้ อความแต่ละข้ อความจะมีความคิดเห็นเลือกตอบโดย แบง่ เป็น 5 ระดบั ได้แก่ เห็นด้วยอยา่ งยิ่ง เหน็ ด้วย ไมแ่ นใ่ จ ไมเ่ หน็ ด้วย ไมเ่ หน็ ด้วยอยา่ งยิง่ จะเห็นได้ ว่า การประเมินความคิดเห็น คือ การประเมินความคิดเห็นโดยท่ัวไปมี องคป์ ระกอบ 3 อย่าง ได้แก่ บคุ คลท่ีจะถกู ประเมิน ส่งิ เร้า และการตอบสนอง ซึ่งจะออกมาเป็นระดบั สงู ต่ามาก น้อย โดยวิธีการประเมินความคิดเห็นส่วนใหญ่จะใช้การตอบแบบสอบถามและการสมั ภาษณ์
11 ดงั นนั้ ในการวิจยั ครัง้ นีจ้ ึงใช้แบบสอบถามในการประเมินความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลท่ีมีตอ่ สิ่งเร้า ตา่ ง ๆ ทงั้ 5 ด้านในการทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรี การทาวิจัยระดับปริญญาตรีของนิสติ พยาบาล 1. ความหมายของการทาวิจัย ตามพจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้ให้ความหมายของ “วิจัย” ว่า หมายถึง การค้นคว้าเพื่อหาข้อมูลอย่างถ่ีถ้วนตามหลักวิชา เช่น วิจัยเรื่องปัญหาการจราจรใน กรุงเทพมหานคร เป็นต้น (พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554) พิสณุ ฟองศรี (2551) ได้กลา่ วถึงความหมายของปัญหาวิจยั วา่ หมายถงึ ประเดน็ ที่นกั วิจยั สงสยั ใคร่รู้และต้องดาเนินการตามระบบระเบียบวิธีวิจยั เพ่ือค้นหาคาตอบท่ีถูกต้องให้ตรงกบั ความ เป็นจริงมากที่สุด ซึ่งในสถานการณ์ท่ัวไปเรามักมีข้อสงสัยอยู่เสมอว่าทาไมจึงเกิดปรากฏการณ์ บางอยา่ งขนึ ้ เพราะเหตใุ ด ประทุม ฤกษ์กลาง (2553) กล่าวว่า การวิจัยเป็นวิธีการแสวงหาความรู้ข้อเท็จจริงเพ่ือ อธิบายปัญหาข้ อข้ องใจของปรากฏการณ์ต่าง ๆ อย่างมีระบบระเบียบ โดยอาศัยวิธีการทาง วทิ ยาศาสตร์ เพื่อให้ได้คาตอบท่ีนา่ เชื่อถือและใช้อ้างองิ ได้ทว่ั ไป มาเรียม นิลพนั ธ์ุ (2554) การวิจยั คือ กระบวนการแสวงหาความรู้อย่างเป็นระบบเชื่อถือ ได้ โดยอาศยั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อตอบคาถามการวิจยั ผลท่ีได้สามารถนาไปแก้ปัญหา พฒั นาองคค์ วามรู้ จากความหมายของหลกั สตู รดงั กล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้วา่ วิจยั หมายถึง การศึกษา และค้นคว้าอย่างเป็นระบบในประเด็นท่ียงั ไม่มีผ้ใู ดศกึ ษามาก่อน โดยองค์ความรู้ที่ได้หลงั จากศกึ ษา ค้นคว้าจะเป็นประโยชน์ตอ่ คนสว่ นมาก 2. นโยบายการวจิ ัยในระดบั ปริญญาตรีของมหาวทิ ยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลยั นเรศวรมีนโยบายในการปลูกฝังให้นิสิตระดบั ปริญญาตรีเป็นผ้ใู ฝ่ เรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จกั ศกึ ษาค้นคว้า วิเคราะห์เรียบเรียงความคิด และสรุปผลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบนนั้ เพ่ือให้การจัดการศึกษาตามนโยบายของมหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นไปด้วยความเรียบร้ อยและมี
12 ประสิทธิภาพตลอดจนเพื่อให้เกิดความเข้าใจและมีแนวปฏิบตั ทิ ี่เป็นไปในทิศทางเดียวกนั อาศยั อานาจ ความในมาตรา 20 แห่งพระราชบญั ญตั ิมหาวิทยาลยั นเรศวร พ.ศ.2533 ประกอบกบั มติสภาวิชาการ ในการประชุม ครัง้ ท่ี 2/2561 เมื่อวนั ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 จึงให้กาหนดแนวปฏิบตั ิเกี่ยวกับการจดั การศึกษารายวิชาวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรี (Undergraduate Thesis) รายวิชาโครงงานและ รายวิชาวิจยั ให้คณะหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นท่ีเทียบเทา่ คณะมีการจดั การเรียนการสอนระดบั ปริญญาตรี บรรจรุ ายวิชาวิทยานิพนธ์ระดบั ปริญญาตรี โดยมีจุดม่งุ หมายเพื่อปลูกฝังให้นิสิตเป็นผ้ใู ฝ่ เรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จกั ศกึ ษาค้นคว้า วิเคราะห์ เรียบเรียงความคิดและสรุปผลที่ได้จากการศกึ ษาค้นคว้า อยา่ งเป็นระบบ 3. การจัดการเรียนการสอนวิชาวจิ ัยเบือ้ งต้นทางการพยาบาลของคณะพยาบาล ศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรได้กาหนดให้ผู้ศึกษาเรียนภาคทฤษฎีใน รายวิชา 501378 วิจยั เบือ้ งต้นทางการพยาบาล (Introduction to Research in Nursing) ในหลกั สตู ร พยาบาลศาสตรบณั ฑิต (หลกั สตู รปรับปรุง พ.ศ. 2559) ซึ่งมีคาอธิบายรายวิชาที่ว่าการเช่ือมโยงการ แสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปสู่กระบวนการวิจัย ระเบียบวิธีวิจยั จรรยาบรรณนักวิจัย การนา ผลการวิจยั มาใช้ในการพฒั นาการพยาบาล ฝึกการทาวิจยั ทางการพยาบาล ดาเนินการจดั การเรียน การสอนในภาคการศึกษาต้น สาหรับนิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 3 ประกอบด้วย การบรรยาย จานวน 30 ชวั่ โมง ซงึ่ มีหวั ข้อการเรียนการสอน ดงั นี ้ 1. ความรู้เบอื ้ งต้นเก่ียวกบั การวิจยั ประกอบด้วย วิธีการแสวงหาความรู้ทางการพยาบาล ความหมาย การจาแนกประเภท และกระบวนการวิจยั การวิจยั ทางการพยาบาล 2. วธิ ีดาเนนิ การวิจยั ประกอบด้วย 2.1 การกาหนดคาถามการวิจยั วตั ถุประสงค์ สมมติฐานการวิจยั และหลกั การ เขียนชื่อเร่ืองวิจยั 2.2 จริยธรรมการวิจัย การอ้ างอิง การคัดลอก การพิทักษ์สิทธิ์ผู้เข้ าร่วม โครงการวิจยั
13 2.3 ตวั แปร ความหมาย การจาแนกประเภท มาตรวดั ตวั แปร และการให้คานิยาม ตวั แปร 2.4 การเลือกทฤษฎี กรอบแนวคดิ การกาหนดขอบเขตการวิจยั และการทบทวน วรรณกรรมในการวจิ ยั 2.5 ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง การคานวณขนาดตวั อยา่ งในงานวจิ ยั ชนิดตา่ ง ๆ วิธีการสมุ่ ตวั อยา่ ง 2.6 การออกแบบการวิจยั การวิจยั แบบไม่ทดลอง การวิจยั แบบทดลอง การวิจยั แบบกึง่ ทดลอง การวิจยั เชิงคณุ ภาพ 2.7 เคร่ืองมือวิจยั ประเภทของเคร่ืองมือวิจยั การสร้างและการตรวจสอบคณุ ภาพ เคร่ืองมือวิจยั 2.8 การเก็บรวบรวมข้อมลู 2.9 การวิเคราะห์ข้อมูล การเตรียมข้อมลู เพื่อการวิเคราะห์การเลือกใช้สถิติเพื่อ การวิจัย สถิติบรรยาย,สถิติท่ีใช้ในการทดสอบสมมติฐาน (การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย, การทดสอบ ความสมั พนั ธ์) 2.10 ความตรงของการวิจยั การสรุปและอภิปรายผลการวจิ ยั 3. การเขียนโครงร่าง รายงานการวจิ ยั และบทความวิจยั 4. แนวทางการประเมนิ คณุ ภาพ และการนาผลการวจิ ยั ไปใช้ การสอนเสริม นสิ ิตท่ีได้คะแนนน้อยกวา่ ร้อยละ 60 จะได้รับการสอบซอ่ มเสริม 1 ครัง้ (Mid- term) ให้ใช้คะแนนมากท่ีสุดแต่ไม่เกินร้ อยละ 60 ในกรณีท่ีนิสิตไม่ผ่าน จะได้รับการสอนเสริมตาม ความต้องการของนิสิตเฉพาะราย และในปีการศกึ ษา 2562 มีจานวนนิสิตทงั้ สิน้ 124 คน แบง่ ออกเป็น 16 กลมุ่ แตล่ ะกล่มุ มีจานวน 7-8 คนตอ่ ทาการวิจยั 1 เร่ือง เพ่ือให้นิสิตฝึกการทาวิจยั เบือ้ งต้นทางการ พยาบาลโดยคานึงถึง จรรยาบรรณของนักวิจยั และสามารถนาผลการวิจยั มาใช้ในการพฒั นาการ พยาบาล จานวนชว่ั โมงที่ใช้ในการฝึกทาวิจยั จานวน 45 ชว่ั โมง และการศกึ ษาด้วยตนเอง จานวน 75 ชว่ั โมง จานวนชวั่ โมงตอ่ สปั ดาห์ท่ีอาจารย์ให้คาปรึกษาและแนะนาทางวิชาการแก่นิสิตเป็นรายบคุ คล และรายกลมุ่ ผ้สู อนเปิดโอกาสให้ผ้เู รียนขอคาปรึกษาได้ทงั้ แบบเผชิญหน้า โทรศพั ท์ และจดหมายอเิ ลก
14 โทรนิกส์ ในกรณีที่ผ้เู รียนต้องการขอคาปรึกษาในแบบเผชิญหน้าให้ผ้เู รียนนดั หมายผ้สู อนลว่ งหน้า โดย ผ้สู อนมีจานวนชวั่ โมงการให้คาปรึกษาอย่างน้อย 4 ชว่ั โมงตอ่ สปั ดาห์ มีการพฒั นาผลการเรียนรู้ของ นกั ศกึ ษาทงั้ ในด้านคณุ ธรรม จริยธรรม ด้านความรู้ ด้านทกั ษะทางปัญญา ทกั ษะด้านความสมั พนั ธ์ ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และด้านทักษะการวิเคราะห์ตัวเลข การสื่อสารและการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศที่ต้องพฒั นา มีเกณฑ์การวดั และประเมนิ ผล ดงั นี ้ 1. การประเมินผลการเรียน นิสิตต้องมีเวลาเข้าเรียนทงั้ ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตั ิไม่น้อย กวา่ ร้อยละ 80 จงึ จะมีสิทธ์ิในการสอบวดั ผล 2. การตดั เกรด ตดั เกรดแบบอิงกลุ่ม ตามคู่มือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนิสิต (คณะพยาบาลศาสตร์, 2559) โดยคานวณจากคะแนนภาคทฤษฎี 2 หน่วยกิต และภาคปฏิบตั ิ 1 หนว่ ย กิต และมีการประเมินและการปรับปรุงการดาเนินงานของรายวิชา โดยวิธีดงั นี ้ 2.1 กลยทุ ธ์การประเมินประสิทธิผลของรายวชิ าโดยนกั ศกึ ษา นิสติ ประเมินประสทิ ธิผล การเรียนการสอนตามแบบประเมินรายวชิ าและประเมนิ ประสทิ ธิผลการเรียนการสอนตามแบบประเมิน อาจารย์ผ้สู อนโดยผ้เู รียน 2.2 สงั เกตการณ์สอนของผ้รู ่วมทีม และประเมินตามแบบประเมินอาจารย์ผ้สู อน (เชน่ ผ้รู ับผิดชอบรายวิชา อาจารย์ผู้สอนในรายวิชา) ให้พิจารณาจากผลการสอบภาคทฤษฎีการนาเสนอ โครงร่าง การฝึกทาวจิ ยั และรายงานการวิจยั ร่วมกบั ผลการประเมนิ ของนิสิต 3. การปรับปรุงการสอนซ่ึงจะจดั ประชุมเพื่อร่วมกันหาแนวทางหรือวางแผนการปรับปรุง พฒั นารายวชิ า 4. การทบทวนมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนกั ศึกษา มีคณะกรรมการทวนสอบมาตรฐาน ผลสมั ฤทธ์ิเพ่ือประเมินผลการเรียนรู้ของนิสิต (คะแนน/เกรด) กบั ข้อสอบ รายงาน และการให้คะแนน พฤตกิ รรมของนิสติ 5. การดาเนินการทบทวนและการวางแผนการปรับปรุงประสิทธิผลของรายวิชา โดย ประชุมคณาจารย์ผ้รู ับผิดชอบสอนเพ่ือดาเนินการทบทวนและการวางแผนการสอน ในรายวิชาทกุ ปี การศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนื่อง ปรับปรุงประมวลรายวิชาทกุ ปีตามผลการสมั มนาการจดั การเรียนการสอน
15 เน่ืองจากระยะเวลาในการศึกษาวิชาวิจัยเบือ้ งต้ นทางการพยาบาล ( Introduction to Research in Nursing) อยู่ช่วงภาคเรียนที่ 1 เท่านนั้ ประกอบกับนกั ศึกษาพยาบาลชนั้ ปีที่ 3 ยังคงมี ประสบการณ์การฝึกภาคปฏิบตั ิน้อย จงึ อาจทาให้ปัญหาในเร่ือง การเลือกหวั ข้อวิจยั ได้ช้า การค้ นคว้า ข้อมลู ต้องทาในเวลาจากดั อาจทาให้ข้อมลู ท่ีได้ไมค่ รอบคลมุ เท่าท่ีควร ซึ่งจะสง่ ผลให้คณุ ภาพของการ ทาวิจยั ที่ทาออกมาด้อยกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลตอ่ ความน่าเช่ือถือของข้อมลู ที่จะได้เผยแพร่ตอ่ บคุ คล อ่ืน ปัญหาในการทาวิจัย ปัญหาของการทาวิจยั ประกอบไปด้วย องค์ประกอบหลายด้านท่ีเก่ียวข้องทงั้ ตวั ผ้สู อน ผ้เู รียน การจดั การเรียนการสอน ซงึ่ สอดคล้องกบั ผลการวจิ ยั กอ่ นหน้า ดงั นี ้ จากการศกึ ษาการวิจยั ของสมจิตร แก้วมณี (2551) พบปัญหาในการทาวิทยานิพนธ์ของนกั ศกึ ษาระดบั มหาบณั ฑติ ดงั นี ้ 1. ด้านคณุ ลกั ษณะสว่ นตวั และความพร้อมของนสิ ติ คณุ ลกั ษณะสว่ นตวั และความพร้อมของนิสิต ได้แก่ ความตงั้ ใจ ความมงุ่ มนั่ ความพยายาม ความอดทน การบริหารเวลาและความพร้อมในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ภาระความรับผิดชอบในครอบครัว ภารกิจด้านหน้าที่การงาน สขุ ภาพอนามยั สุขภาพแวดล้อมของที่พกั อาศยั และงบประมาณในการทา วทิ ยานพิ นธ์ เป็นปัจจยั ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกบั ปัญหาในการทาวิทยานิพนธ์ด้านความรู้ความสามารถทาง วชิ าการของนสิ ิต สามารถจาแนกความรู้ความสามารถทางวิชาการของนักศึกษาออกเป็น 2 ด้าน คือ 1) ความรู้ความสามารถด้านการวิจยั ตงั้ แตก่ ารหาหวั ข้อให้ตรงกบั ความสนใจความสามารถในการสร้าง เครื่องมือ สถิติเพ่ือการวิจยั การวิเคราะห์ข้อมลู สรุปและอภิปรายผล 2) ความสามารถทางด้านภาษา ทงั้ ทางภาษาไทยและภาษาองั กฤษ และความสามารถด้านอ่ืน ๆ
16 2. ด้านคณุ ลกั ษณะของอาจารย์ท่ีปรึกษาวทิ ยานิพนธ์ การทาวิจัยมีความจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องมีอาจารย์ท่ีปรึกษาวิจัย คอยให้คาปรึกษา แนะนา และชว่ ยเหลือเพ่ือให้การทาวิจยั สาเร็จ ซง่ึ พอจะจาแนกได้วา่ คณุ ลกั ษณะของอาจารย์ที่ปรึกษา วจิ ยั ได้เป็น 2 ด้าน 2.1. ความรับผิดชอบและวิธีการให้คาปรึกษา ได้แก่ ความรับผิดชอบและเอาใจใส่ใน การให้คาปรึกษา การให้คาแนะนาในทกุ ขนั้ ตอนรวมทงั้ การให้กาลงั ใจ 2.2. ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และความสัมพันธ์กับผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ ความรู้ในทกุ ๆขนั้ ตอนของการทาวิจยั ประสบการณ์ในการควบคมุ วิจยั ตาแหนง่ ทางวิชาการและวฒุ ิ ศึกษา และสัมพันธภาพกับผู้เก่ียวข้อง ได้แก่ สัมพันธภาพระหว่างอาจารย์ท่ีปรึกษากับนักศึกษา สมั พนั ธภาพระหวา่ งประธานและกรรมการท่ีปรึกษา 3. ด้านหลกั สตู รและการเรียนการสอน เนือ้ หาสาระของรายวิชา การจดั รายวิชาท่ีเปิดสอน โดยเฉพาะรานวิชาทางด้านการวิจยั และสถิติที่ใช้ในการวจิ ยั เทคนคิ วธิ ีการสอน ภาระงานในแตล่ ะวิชา และการเสนอทาวิทยานิพนธ์ซง่ึ ต้อง ผา่ นกระบวนการ กฎเกณฑ์และแนวปฏิบตั หิ ลายขนั้ ตอน ยงั เป็นอีกปัจจยั ที่มีสว่ นเกี่ยวข้องกบั ปัญหาใน การทาวิจยั จากการศกึ ษาผลวิจยั ของ ทศั น์ศริ ินทร์ สวา่ งบญุ และรัชนีวรรณ ตงั้ ภกั ดี (2561) พบปัจจยั ท่ีสง่ ผลสาเร็จในการทาวิทยานพิ นธ์ของนสิ ิตระดบั ปริญญาตรี คือ ปัจจยั ด้านคณุ ลกั ษณะของนิสิต เป็น เพียงปัจจยั เดียวที่ส่งผลตอ่ ความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์อย่างมีนยั สาคญั เน่ืองจากคณุ ลกั ษณะ ตา่ ง ๆ ของนิสิตไม่ว่าจะเป็นความมงุ่ มน่ั ตงั้ ใจ ความเชื่อมน่ั ความรับผิดชอบของตวั นิสิตเอง ส่งผลต่อ การวางแผนการทาวิทยานิพนธ์ที่ดี โดยไม่ต้องได้รับการสนับสนุนจากแหล่งอื่น ๆ ก็สามารถบรรลุ ความสาเร็จได้ รองลงมาคือ ความรู้และทกั ษะการทาวิจยั ของนิสิต และการให้คาปรึกษาของอาจารย์ที่ ปรึกษา
17 จากการศกึ ษาผลการวิจยั ของ ศศิธร สุพนั ทวี และภิรดา ชยั รัตน์ (2561) พบในปัจจยั ที่ส่งผล ตอ่ ความสาเร็จในการทาวิทยานพิ นธ์ของนสิ ิตระดบั บณั ฑิตศกึ ษา ได้แก่ 1. ปัจจยั ส่วนบุคคลด้านผู้เรียน ประกอบด้วย ความคาดหวงั ว่าจะสาเร็จ และการ สนบั สนนุ ทางสงั คม 2. ปัจจยั การบริหารวิชาการของมหาวิทยาลยั ประกอบด้วย แหลง่ ค้นคว้าทางวิชาการ และการให้บริการของหอสมดุ 3. ปัจจยั ด้านหลกั สตู รและการสอน ประกอบด้วย หลกั สตู รการเรียนการสอนและการ จดั ทาวทิ ยานพิ นธ์ 4. ปัจจัยด้านคุณลักษณะส่วนตัวของนิสิต ประกอบด้วย ความตัง้ ใจในการทา วิทยานิพนธ์ การจดั การเวลาในการทาวิทยานิพนธ์ และคณุ ลกั ษณะของนสิ ิตที่ส่งผลตอ่ ความสาเร็จใน การทาวทิ ยานิพนธ์ 5. ปัจจยั ด้านคณุ ลกั ษณะของอาจารย์ที่ปรึกษา ประกอบด้วย ความรู้ความสามารถ ของอาจารย์ที่ปรึกษา และการให้เวลาสาหรับการให้คาปรึกษาแนะนา สรุปการศกึ ษาครัง้ นีจ้ ึงสอบถามปัญหาและอปุ สรรคในการทาวิจยั สาหรับนิสิตพยาบาลทงั้ 5 ด้าน ดงั นี ้ 1. ด้านความรู้ความสามารถทางวิชาการของนสิ ิต หมายถงึ ความรู้ความสามารถของ นิสิตในการดาเนินการวจิ ยั ตงั้ แตก่ ารตงั้ ประเดน็ หวั ข้อในการวิจยั ความสามารถในการหาและวิเคราะห์ ข้อมลู การสรุปผลและอภิปรายผล ความสามารถทางด้านสถิตเิ พื่อการวิจัย ความสามารถในการสร้าง เครื่องมือ ตลอดจนความสามารถในการใช้ภาษาไทยและภาษองั กฤษ 2. ด้านลักษณะส่วนตัวของนิสิต หมายถึง ลักษณะส่วนตัวท่ีเกี่ยวข้ องกับการ ดาเนินการวิจยั ได้แก่ ความคิด ความม่งุ มน่ั ความตงั้ ใจ ความพยายาม ความอดทน ความวิตกกงั วล ตลอดจนการวางแผนการบริหารเวลา การวางแผนการศกึ ษา ภาระงานความรับผดิ ชอบ 3. ด้านความพร้อมของนิสิต หมายถึง สมรรถภาพของบคุ คลท่ีปฏิบตั ิหรือดาเนินการ วจิ ยั ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพและสาเร็จผลตามที่มงุ่ หวงั
18 4. ด้านหลกั สตู รการเรียนการสอน หมายถึง แผนการเรียนการสอนและกิจกรรมตา่ ง ๆ ท่ีสถาบนั การ ศึกษา จัดขึน้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนในด้านต่าง ๆ ท่ีกาหนดไว้ในการศึกษาเพื่อให้บรรลุ วตั ถปุ ระสงค์ท่ีกาหนดไว้ 5. ด้านอาจารย์ที่ปรึกษาวิจยั หมายถึง อาจารย์ประจาท่ีได้รับการแตง่ ตงั้ ให้รับผิดชอบ กระบวนการเรียนรู้เพื่อการพิจารณาเค้าโครง การให้คาแนะนา และควบคุมดูแลการดาเนินการ วิทยานพิ นธ์ให้กบั นิสติ เพ่ือให้การดาเนินการวิทยานพิ นธ์สาเร็จลลุ ว่ งอยา่ งสมบรู ณ์ งานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้อง จากการศึกษางานวิจัยท่ีเก่ียวกับปัญหา และปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการทาวิทยานิพนธ์ของ นกั ศกึ ษา มีดงั นี ้ ทรงธรรม ธีระกุล (2547) ได้ศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์ของ มหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ ผลการศึกษาพบว่า 1) มหาบณั ฑิต มหาวิทยาลัยทักษิณ มีความ คดิ เห็นเกี่ยวกบั ปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ ความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์ในภาพรวมอย่ใู นระดบั มาก ปัจจยั ที่ มีความสาคัญเป็นอันดับหนึ่ง คือ คุณลักษณะของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ รองลงมา คือ คุณลักษณะของนิสิต ประสบการณ์ วิชาการของนิสิต และการบริการวิชาการของมหาวิทยาลัย ตามลาดับ 2) มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยทักษิณ ที่มีสภาพนิสิต สภาพสมรส หลักสูตรการศึกษา สาขาวิชา ภารกิจการงานขณะทาวิทยานิพนธ์ และระเบียบวิธีการของการวิจยั ท่ีทาวทิ ยานพิ นธ์ตา่ งกนั มีความคิดเห็นเก่ียวกบั ปัจจยั ท่ีส่งผลตอ่ ความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์ในภาพรวมไม่แตกตา่ งกัน ส่วนระยะเวลาท่ีใช้ในการทาวิทยานิพนธ์ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนระยะเวลาที่ใช้ในการทา วิทยานิพนธ์นับจากเริ่มเข้าศึกษาจนสาเร็จการศึกษาตา่ งกัน มีความคิดเห็นตา่ งกันอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ .05 โดยมหาบณั ฑิตท่ีมีสถานภาพสมรสมีค่าเฉลี่ยความคิดเห็นสูงกว่ามหาบณั ฑิตท่ีมี สถานภาพโสด ชลกมล สนองคณุ (2548) ได้ศึกษาปัจจยั ท่ีส่งผลตอ่ ความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์ของ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาระดับ บณั ฑิตศกึ ษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนคร ได้รับปัจจยั ท่ีส่งผลตอ่ ความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์
19 อยใู่ นระดบั มาก เมื่อพิจารณาแตล่ ะปัจจยั พบวา่ ปัจจยั ด้านสภาพสว่ นบคุ คล ได้แก่ อายุ ประสบการณ์ การทาวิจยั ประเภทการศกึ ษา และปัจจยั ด้านวิชาการและการทาวิทยานพิ นธ์ ได้แก่ อาจารย์ที่ปรึกษา วิทยานิพนธ์มีผลตอ่ ความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์ของนกั ศกึ ษาระดบั บณั ฑิตศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนคร อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั .05 จฬุ าวลยั สรุ ะอารีย์ (2551) ได้ศกึ ษาสภาพการทาวิจยั ปัญหา อปุ สรรคและความต้องการใน การทาวจิ ยั ของบคุ ลากรโรงเรียนนายเรือ ผลการศกึ ษาพบวา่ 1) มีปัญหาและอปุ สรรคในการทาวิจยั อยู่ ในระดบั ปานกลาง (x̅= 3.25) 2) ความต้องการในการทาวิจยั ของบคุ ลากรโรงเรียนนายเรือ ส่วนใหญ่ ต้องการทาวิจยั เพราะเห็นวา่ การทาวิจยั จะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาและปรับปรุงการปฏิบตั ิงาน ร้อย ละ 71.01 กัญญาวีร์ ปัทมดิลก และคณะ (2551) ได้ศึกษาสภาพปัญหาการทาวิทยานิพนธ์ระดับ บณั ฑิตศึกษา มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ผลการศกึ ษาพบว่า ความคดิ เห็น ของผู้สาเร็จการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเกี่ยวกับปัญหาการทาวิทยานิพนธ์มีระดับโดยรวม ด้าน หลกั สตู ร ด้านนกั ศกึ ษา และด้านบทบาทของอาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ท่ีระดบั ปัญหาในระดบั มาก สว่ นด้านการบริการทางวชิ าการของมหาวทิ ยาลยั มีระดบั ปัญหาในระดบั ปานกลาง สมจิตร์ แก้วมณี (2551) ได้ศกึ ษาปัญหาในการทาวิทยานิพนธ์ของนกั ศกึ ษาระดบั มหาบัณฑิต คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ ผลการศกึ ษาพบว่า 1) นกั ศึกษามีความคิดเห็นต่อ ปัญหาการทาวิทยานิพนธ์ทงั้ 5 ด้าน คอื ด้านความรู้ความสามรถทางวิชาการของนกั ศกึ ษา มีปัญหาอยู่ ในระดบั ปานกลาง คา่ เฉลี่ย 3.02 ด้านการบริการวิชาการของมหาวิทยาลยั มีปัญหาอย่ใู นระดบั ปาน กลาง คา่ เฉล่ีย 2.72 ด้านหลกั สตู รและการเรียนการสอน มีปัญหาอยใู่ นระดบั ปานกลาง คา่ เฉลี่ย 2.63 ด้านคณุ ลกั ษณะส่วนตวั และความพร้อมของนกั ศกึ ษา มีปัญหาอยู่ในระดบั ปานกลาง ค่าเฉล่ีย 2.51 ด้านคุณลักษณะของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์มีปัญหาอยู่ในระดับน้อย ค่าเฉ ล่ีย 2.47 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นตอ่ ปัญหาในการทาวิทยานิพนธ์ พบว่า นกั ศกึ ษาท่ีมีตวั แปรต่างกันในด้าน อายุ สถานภาพสมรส สถานภาพการทางานในขณะที่ทาวทิ ยานิพนธ์และประสบการณ์ทางานวิจยั กอ่ น เข้าศกึ ษา ตลอดจนสาขาวิชา มีความคดิ เหน็ ตอ่ ปัญหาในการทาวทิ ยานิพนธ์ในภาพรวมไมแ่ ตกตา่ งกนั
20 3) นักศึกษาหญิงประสบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการทาวิทยานิพนธ์ด้านแหล่งศึกษาค้นคว้าภายใน มหาวิทยาลยั มากกวา่ นกั ศกึ ษาชายโดยคะแนนเฉล่ียแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 ธิดาพร ประทมุ วี (2553) ได้ศกึ ษาปัจจยั ความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์ของนกั ศึกษาระดบั บณั ฑิตศกึ ษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั ราชนครินทร์ ผลศกึ ษาพบว่า 1) ปัจจยั ความสาเร็จในการทาวิทยา นพิ นธ์ พบวา่ ด้านความรู้ทางวิชาการของนกั ศกึ ษา ด้านการบริการวิชาการของมหาวิทยาลยั มีคา่ เฉล่ีย อยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบปัจจัยความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาระดับ บณั ฑิตศกึ ษาของมหาวิทยาลยั ราชนครินทร์จาแนกตาม เพศ และอาชีพแตกตา่ งกนั มีปัจจยั ความสาเร็จ ในการทานิพนธ์ไม่แตกตา่ งกัน ส่วนนกั ศึกษาระดบั บณั ฑิตของมหาวิทยาลยั ราชภัฏราชนครินทร์ ที่มี อายุ สาขาวิชา และประเภทการวิจยั ในการทาวิทยานิพนธ์แตกต่างกัน มีปัจจยั ความสาเร็จในการทา วิทยานิพนธ์ในด้านการบริการวิชาการของมหาวิทยาลยั แตกตา่ งกนั อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.05 สว่ นปัจจยั ด้านอื่น ๆ ไมพ่ บความแตกตา่ งกนั นนั ท์นภสั มีครุฑ (2553) ได้ศกึ ษาปัญหาท่ีเกี่ยวข้องกบั การทาวิทยานิพนธ์ระดบั ปริญญาโท หลักสูตรนิติศาสตรมหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั รามคาแหง ผลการศึกษาพบว่า 1) นักศึกษาประสบ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกบั การทาวิทยานิพนธ์ทงั้ 5 ด้าน คือ ด้านส่วนตวั ของนกั ศกึ ษา ด้านกระบวนการใน การทาวิทยานิพนธ์ ด้านคณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ด้านระเบียบข้อบงั คบั และแนวปฏิบตั ิที่ เก่ียวข้องกบั การทาวิทยานิพนธ์ และด้านแหล่งศกึ ษาค้นคว้าภายในมหาวิทยาลยั ในระดบั ปานกลาง 2) จดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาท่ีเกี่ยวข้องกบั การทาวิทยานิพนธ์ ทงั้ 5 ด้าน จากมากไปหาน้อย ดงั นี ้ด้านแหลง่ ศกึ ษาค้นคว้าภายในมหาวิทยาลยั ด้านระเบียบข้อบงั คบั และแนวปฏิบตั ทิ ี่เกี่ยวข้องกบั การทาวิทยานิพนธ์ ด้านกระบวนการในการทาวิทยานิพนธ์ ด้านคณะกรรมการท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ และด้านสว่ นตวั ของนกั ศกึ ษา ดิลกรัตน์ โคตรสุมาตย์ (2554) ได้ศึกษาปัจจยั ท่ีส่งผลต่อระยะเวลาการสาเร็จการศกึ ษาของ นกั ศกึ ษา ระดบั บณั ฑติ ศกึ ษา มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ผลการศกึ ษาพบว่า 1) ปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ ระยะเวลา การสาเร็จการศกึ ษาของนกั ศกึ ษาระดบั บณั ฑิตศกึ ษา มหาวิทยาลยั ขอนแก่น โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั ปัจจยั ที่เป็นปัญหามาก เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอย่ใู นระดบั มากทงั้ 5 ด้าน และค่าเฉล่ียราย ด้านจากมากไปหาน้อยเรียงตามลาดบั ดงั นี ้ด้านอาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์/การศึกษาอิสระ ด้าน
21 การบริหารจัดการของหลักสูตร ด้านการบริหารแหล่งค้นคว้าทางวิชาการ ด้านการเสนอผลงาน วทิ ยานพิ นธ์และด้านการดาเนินการทาวิทยานพิ นธ์/การศกึ ษา วิลาวณั ย์ ดาราฉาย (2554) ได้ศกึ ษาปัจจยั ที่เกี่ยวข้องกบั การรับรู้ความสามารถของตนด้าน การเรียนของนกั เรียนชว่ งชนั้ ที่ 2-3 ผลศกึ ษาพบวา่ 1) นกั เรียนเพศหญิงและนกั เรียนเพศชายมีการรับรู้ ความสามารถของตนด้านการเรียนแตกตา่ งกนั ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานของผ้วู ิจยั โดยในการศกึ ษานี ้ พบว่า นักเรียนเพศหญิงมีการรับรู้ความสามารถของตนด้านการเรียนสูงกว่านักเรียนเพศชาย 2 ) นกั เรียนชว่ งชนั้ ท่ี 2 และนกั เรียนช่วงชนั้ ที่ 3 มีการรับรู้ความสามารถของตนในด้านการเรียนไม่แตกตา่ ง กัน ซ่ึงไม่เป็นไปตามสมมติฐานของผู้วิจยั 3) นกั เรียนที่มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่างกันมีการรับรู้ ความสามารถของตนด้านการเรียนแตกตา่ งกนั โดยนกั เรียนท่ีมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสงู มีการรับรู้ ความสามารถของตนด้านการเรียนสูงกว่านกั เรียนท่ีมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่า และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนปานกลาง 4) ไม่พบปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างระดบั การศกึ ษาของมารดากับการมีส่วนร่วมใน กิจกรรมของโรงเรี ยนของมารดาท่ีส่งผลร่ วมกันต่อการรับร้ ู ความสาม ารถของตนด้ านการเรี ยนของ นกั เรียน ซ่งึ ไมเ่ ป็นไปตามสมมตฐิ านของผ้วู ิจยั 5) การรับรู้ความสามารถในการส่งเสริมด้านการเรียน ของมารดากบั การรับรู้ความสามารถของตนด้านการเรียนของนกั เรียนมีความสมั พนั ธ์กนั ทางบวก ชนิดา ชาอินทร์ และคณะ (2555) ได้ศกึ ษาปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การสาเร็จการศกึ ษาของนกั ศึกษา ระดบั บณั ฑิตศกึ ษา คณะสตั วแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ผลการศกึ ษาพบว่า ปัจจยั ท่ีทาให้ บณั ฑิตไมส่ าเร็จการศกึ ษาตามเกณฑ์ที่กาหนด ในปัจจยั ทว่ั ไปไมม่ ีนยั สาคญั และในภาพรวมทงั้ 4 ด้าน การจดั การเรียนการสอนและหลกั สูตร ด้านอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ การทาวิทยานิพนธ์และการ เผยแพร่ผลงาน ตวั นักศกึ ษา มีผลมากค่าเฉลี่ย 3.50 ด้านการเรียนการสอนและหลักสูตร นักศึกษา บณั ฑิตศกึ ษาระดบั ผลปัจจยั อย่ใู นระดบั ปานกลาง ค่าเฉล่ีย 2.96 ด้านอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ พบวา่ ผลปัจจยั อยใู่ นระดบั มีผลมาก คา่ เฉล่ีย 3.74 ด้านการทาวิทยานิพนธ์และการเผยแพร่ผลงานอยู่ ในระดบั มีผลมาก ค่าเฉลี่ย 3.56 ส่วนปัจจัยตวั บณั ฑิต โดยภาพรวมอย่ใู นระดบั มีผลมาก คา่ เฉลี่ย 3.74 มทั ธราวลั ย์ สืบวฒั นะ (2557) ได้ศกึ ษาความคิดเห็นของนิสิตตอ่ การเลือกเรียนรายวิชาศกึ ษา ทว่ั ไปของนิสิตระดบั ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผลการศกึ ษาพบวา่ นิสิตระดบั ปริญญาตรี
22 มหาวิทยาลยั มหาสารคาม โดยภาพรวมเห็นด้วยตอ่ การเลือกเรียนรายวิชาศกึ ษาทวั่ ไป อยใู่ นระดบั มาก 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความสามรถสว่ นบคุ คลตอ่ การเลือกเรียนรายวิชา ด้านอาจารย์สอนรายวิชาศึกษา ทว่ั ไป ตามลาดบั ระดบั ปานกลาง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านสถานที่จดั การเรียนการสอน ด้านบคุ คลท่ีมีอิทธิพล ในการตดั สนิ ใจเลือกเรียนรายวิชา และชว่ งเวลาในการเรียนการสอนรายวชิ าศกึ ษาทว่ั ไปตามลาดบั ภรณ์ทิพย์ ห่อห้มุ ดี (2558) ได้ศกึ ษาความคิดเห็นของนิสิตท่ีมีตอ่ การจดั การเรียนการสอน ของ วทิ ยาลยั การบริหารรัฐกิจ มหาวทิ ยาลยั บรู พา ศนู ย์การศกึ ษาสระแก้ว ผลการศกึ ษาพบวา่ ความคดิ เห็น ของนิสติ ที่มีผลตอ่ การจดั การเรียนการสอนของมหาวิทยาลยั การบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลยั บรู พา ศนู ย์ การศกึ ษาสระแก้ว ภาพรวม พบวา่ นิสิตมีความเห็นว่าการจดั การเรียนการอย่ใู นระดบั ดีมากท่ีสดุ เมื่อ จาแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านอาจารย์ผ้สู อน เป็นด้านท่ีมีการจดั การเรียนการสอนดีมากที่สุด เป็น อนั ดบั หนงึ่ รองลงมา ได้แก่ ด้านอาจารย์ผ้สู อน ด้านการวดั และการประเมินผล ด้านการจดั กิจกรรมการ เรียนการสอน และด้านอาคารสถานที่ ส่ือ และอปุ กรณ์การสอน ตามลาดบั อมั พาพร นพรัตน์ (2558) ได้ศกึ ษาความคิดเห็นของนกั ศกึ ษาท่ีมีตอ่ การจดั การเรียนการสอน ตามหลกั สตู รของสถาบนั การพลศกึ ษา วิทยาเขตยะลา ผลการศกึ ษาพบวา่ 1) นกั ศกึ ษามีความคดิ เห็น โดยรวม อยใู่ นระดบั มาก คา่ เฉลี่ย 3.89 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านมีความเห็นด้วยระดบั มากในทกุ ด้าน ได้แก่ ด้านวิธีการสอนและการจัดการเรียนการสอน ด้านหลักสูตร ด้านผู้สอน ด้านการวัดและ ประเมินผล และด้านอปุ กรณ์และสถานท่ี 2) นกั ศกึ ษาเพศชายและนกั ศกึ ษาเพศหญิงมีความคดิ เห็นที่ แตกตา่ งกัน 3) นกั ศกึ ษาในคณะตา่ งกนั มีความคิดเห็นต่อการเรียนการสอนตามหลกั สตู ร ไม่แตกตา่ ง กนั อศั วิน แสงพิกลุ และธัญธชั วภิ ตั ิภมู ปิ ระเทศ (2559) ได้ศกึ ษาความคดิ เห็นของนกั ศกึ ษาระดบั ปริ ญญาตรี ท่ีมีต่อลักษณะวิชาและ รู ปแบบการสอนในวิชาวิจัยด้ านการท่องเที่ ยวแ ละการโรงแรม มหาวิทยาลยั ธุรกิจบณั ฑิตย์ พบว่า 1) วิชาวิจยั ควรเน้นการสอนท่ีกระบวนการหรือวิธีการทาวิจยั มาก ที่สดุ นอกจากนีน้ กั ศึกษายงั เห็นว่าควรให้อาจารย์ผ้สู อนบรรยายพร้อมยกตวั อย่างประสบการณ์วิจัย จริงของผู้สอนมากท่ีสุด 2) ในส่วนของการทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่า นักศึกษาชายและ นกั ศกึ ษาหญิงไมม่ ีความคดิ เห็นแตกตา่ งกนั ในเรื่องลกั ษณะวิชาวิจยั ด้านการทอ่ งเที่ยวและการโรงแรม อย่างไรก็ตาม สาหรับ ความคิดเห็นที่มีต่อลกั ษณะวิชาวิจยั ด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม พบว่า
23 นกั ศึกษาท่ีมีระดบั ผลการเรียนต่ากว่า 2.00 และระหว่าง 2.00 – 3.00 มีความคิดเห็นแตกต่างจาก นกั ศกึ ษาที่มีผลการเรียน ตงั้ แต่ 3.01 ขนึ ้ ไป สาหรับความคดิ เห็นท่ีมีตอ่ รูปแบบการสอนใน วิชาวจิ ยั ด้าน การทอ่ งเท่ียวและการโรงแรม พบวา่ นกั ศกึ ษาท่ีมี ผลการเรียนต่ากวา่ 2.00 และระหวา่ ง 2.00 - 3.00 มี ความ คิดเหน็ แตกตา่ งจากนกั ศกึ ษาที่มีผลการเรียนตงั้ แต่ 3.01 ขนึ ้ ไป ทงั้ นีอ้ าจเน่ืองมาจากเนือ้ หาของ วิชา ถกู มองวา่ ยากและเป็นเร่ืองไกลตวั ในมมุ มองของนกั ศกึ ษา ที่มีผลการเรียนต่า (ผลการเรียนตา่ กวา่ 2.00) และปานกลาง (ผลการเรียนระหว่าง 2.00-3.00) จึงสง่ ผลให้มีความคดิ เห็นตอ่ รูปแบบการเรียน ในวิชานีแ้ ตกตา่ งไปจากกลมุ่ นกั ศกึ ษาท่ีมีผลการเรียนสงู (ผลการเรียน ตงั้ แต่ 3.01 ขนึ ้ ไป) ทศั น์ศิรินทร์ สว่างบุญ และรัชนีวรรณ ตงั้ ภกั ดี (2561) ได้ศกึ ษาปัจจยั ที่ส่งผลสาเร็จในการทา วิทยานิพนธ์ของนิสิตระดบั บณั ฑิตศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม ผลการศกึ ษา พบว่า 1) ผลการวิจัยท่ีศึกษาระดับความสาเร็จของการทาวิทยานิพนธ์ ซ่ึงผู้วิจัยพิจารณาจาก ระยะเวลาในการศกึ ษา คณุ ภาพวิทยานิพนธ์ และการตีพิมพ์วทิ ยานพิ นธ์ ในภาพรวมมีความสาเร็จปาน กลาง 2) ผลการศกึ ษาปัจจยั ท่ีมีความสมั พนั ธ์กบั ความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์ พบวา่ ปัจจยั ด้าน คณุ ลกั ษณะของนิสิตมีความสมั พันธ์สงู สุด รองลงมาคือ ความรู้และทกั ษะการทาวิจยั ของนิสิต และ การให้คาปรึกษาของอาจารย์ที่ปรึกษา ซ่ึงเห็นได้ว่าปัจจยั ที่มีความสมั พนั ธ์กับความสาเร็จในการทา วิทยานิพนธ์สว่ นใหญ่มาจากตวั นิสิตผ้ทู าวิจยั เอง 3) ผลการศกึ ษาปัจจยั ท่ีส่งผลตอ่ ความสาเร็จในการ ทาวิทยานิพนธ์ พบว่า ปัจจยั ด้านคณุ ลกั ษณะของนิสิต เป็นเพียงปัจจยั เดียวท่ีส่งผลตอ่ ความสาเร็จใน การทาวิทยานิพนธ์อยา่ งมีนยั สาคญั ศศิธร สพุ นั ทวี และภิรดา ชยั รัตน์ (2561) ได้ศึกษาปัญหาและอปุ สรรคในการทาวิทยานิพนธ์ ของ นิสิ ตระ ดับบัณ ฑิตศึกษา โครง การศิล ปศาส ตรม หา บัณ ฑิตส าขาวิ ช ารั ฐ ศาส ตร์ (ภ าคพิเ ศษ ) มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ผลการวิจยั พบว่า 1) ปัจจยั ท่ีส่งผลต่อความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์ ของนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคลด้านผู้เรียน ปัจจัยการบริหารวิชาการของ มหาวิทยาลัย ปัจจยั ด้านหลกั สูตรและการสอน ปัจจยั ด้านคุณลกั ษณะส่วนตวั ของนิสิต ปัจจัยด้าน คณุ ลกั ษณะของอาจารย์ที่ปรึกษา 2) ผลการศึกษาเก่ียวกับปัญหาและอุปสรรคในการทาวิทยานิพนธ์ สรุปได้ดงั นี ้ปัญหาและอปุ สรรคที่เกิดจากปัจจยั ส่วนบคุ คล ได้แก่ นิสิตขาดการวางแผน นิสิตต้องการ การสนบั สนนุ ชว่ ยเหลือเร่ืองทนุ ทรัพย์ ต้องการความชว่ ยเหลือจากเพื่อนและอาจารย์ที่ปรึกษา ปัญหา
24 และอุปสรรคท่ีเกิดจากแหล่งค้นคว้าทางวิชาการของมหาวิทยาลัย ได้แก่ ห้องสมุดมีห นังสือไม่ ครอบคลมุ สื่อเทคโนโลยีในการค้นคว้าไมเ่ พียงพอ ปัญหาและอปุ สรรคที่เกิดจากหลกั สตู รและการสอน ขาดการจดั รายวชิ าเรียนไว้ควบคกู่ บั การทาวทิ ยานิพนธ์ในแผนการศกึ ษา ปัญหาและอปุ สรรคท่ีเกิดจาก คณุ ลกั ษณะของนิสิต ได้แก่ ขาดการวางแผน การจดั ทาตารางเวลา ไม่แก้งานตามท่ีอาจารย์ที่ปรึกษา แนะนา ไม่มีเวลามาใช้แหลง่ ค้นคว้าทางวิชาการ ปัญหาและอปุ สรรคที่เกิดจากคณุ ลกั ษณะสว่ นตวั ของ อาจารย์ท่ีปรึกษาวทิ ยานพิ นธ์ ได้แก่ อาจารย์ท่ีปรึกษามีเวลาจากดั ให้นิสิตเข้าพบเพ่ือให้ความช่วยเหลือ แนะนา อาจารย์มีภาระงานอ่ืนนอกเหนือจากงานท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ จากการทบทวนงานวิจยั ท่ีเก่ียวข้องข้างต้น พบว่า ความคิดเห็นตอ่ การทาทาวิจยั ประกอบด้วย องค์ประกอบ 5 ด้าน ได้แก่ ด้านคณุ ลกั ษณะส่วนตวั ของนิสิต ด้านความพร้อมของนิสิต ด้านหลกั สตู ร และการเรียนการสอน ด้านอาจารย์ท่ีปรึกษา ด้านความรู้ ความสามารถทางวชิ าการของนิสติ ปัจจยั ที่มี ความสมั พนั ธ์กบั ความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์เรียงลาดบั มากไปน้อย ได้แก่ ด้านคณุ ลกั ษณะของ นิสิต ด้านความรู้และทกั ษะการทาวิจยั ของนิสิต และด้านอาจารย์ท่ีปรึกษา และพบวา่ คณุ ลกั ษณะของ นิสิตส่งผลต่อความสาเร็จในการทาวิทยานิพนธ์มากที่สุด ดงั นนั้ การศกึ ษาครัง้ นีจ้ ึงสนใจที่จะศึกษา ความคิดเห็นของนิสิตปริญญาตรีใน 5 ด้านนีแ้ ละสนใจเปรียบเทียบความคิดเห็นของนิสิตท่ีมี คณุ ลกั ษณะแตกตา่ งกนั กรอบแนวคิดการวจิ ัย ความคิดเห็นที่มีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ของนิสิตพยาบาล ในการศึกษาครัง้ นีใ้ ช้แนวคดิ จาก ผลการวิจยั ก่อนหน้าของสมจิตร์ แก้วมณี (2551) และศศิธร สุพนั ทวี และภิรดา ชยั รัตน์ (2561) และ ทศั น์ศิรินทร์ สว่างบุญ และรัชนีวรรณ ตงั้ ภักดี (2561) เกี่ยวกบั ความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลที่มีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ ด้านคณุ ลกั ษณะส่วนตวั ของนิสิต ด้านความพร้อมของนิสิต ด้านหลกั สูตรและการเรียนการสอน ด้านอาจารย์ท่ีปรึกษา และด้านความรู้ ความสามารถทางวิชาการของนสิ ติ พยาบาลศาสตรบณั ฑติ ชนั้ ปีท่ี 3 และชนั้ ปีท่ี 4
25 บทท่ี 3 วิธีดาเนินงานวจิ ัย การศึกษานีเ้ ป็นการศึกษาวิจัยเชิงสารวจ (Survey research) เพ่ือศึกษาความคิดเห็นและ เปรียบเทียบความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลท่ีมีต่อปัญหาในการทาวิจัยระดับปริญญาตรี โดยมี รายละเอียดเก่ียวกบั วิธีดาเนนิ การวิจยั ดงั นี ้ ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ประชากร ประชากรในการศึกษาวิจัยครัง้ นี ้ คือ นิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย นเรศวร ชนั้ ปีท่ี 3 จานวน 117 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการทาวิจยั ปีการศึกษา 2562 และนิสิตหลักสูตร พยาบาลศาสตรบณั ฑิต ชนั้ ปีท่ี 4 จานวน 113 คน ซึ่งผ่านการทาวิจยั แล้วเมื่อ ปีการศกึ ษา 2561 รวม จานวนทงั้ สนิ ้ 230 คน กลุ่มตวั อย่าง 1. ขนาดกลมุ่ ตวั อยา่ ง 1.1 กลมุ่ ตวั อย่างท่ีใช้ในการวิจยั ครัง้ นี ้คือ นิสิตพยาบาล หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต ในชัน้ ปีท่ี 3 และ ชัน้ ปีที่ 4 ที่ได้มาจากการคานวณกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตรทาโรยามาเน่ (Taro Yamane) (yamane, 1973 อ้างใน บญุ ใจ ศรีสถิตย์นรากรู , 2553) N ������ = 1 + Ne2 ที่ระดบั ความเช่ือมน่ั 95% เมื่อ N = ขนาดประชากร e = ความคลาดเคลื่อนของการสมุ่ ตวั อยา่ ง n = ขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ ง
26 คานวณกลมุ่ ตวั อยา่ งจากสตู รได้ดงั นี ้ 230 ������ = 1 + 230(0.05)2 n = 146 คน 1.2 หลงั จากคานวณได้กล่มุ ตวั อย่างนิสิตพยาบาลศาสตรบณั ฑิตจานวน 146 คน ผ้วู ิจยั ได้พิจารณาเพิ่มจานวนกล่มุ ตวั อย่าง เพื่อปอ้ งกนั การสญู หายของกล่มุ ตวั อยา่ งอีกร้อยละ 10 (Pilot & Beck, 2004) คดิ เป็นจานวน 15 คน รวมจานวนกลมุ่ ตวั อยา่ งทงั้ สนิ ้ 161 คน 2. การได้มาซง่ึ กลมุ่ ตวั อยา่ ง 2.1 หลงั จากนนั้ คานวณหากลมุ่ ตวั อยา่ งแตล่ ะชนั้ ปีโดยผ้วู ิจยั ทาการเทียบอตั ราส่วนของแต่ ละชนั้ ปี ได้จานวนนิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 3 จานวน 82 คน และนิสิตพยาบาลชนั้ ปีท่ี 4 จานวน 79 คน ได้ ดงั ตารางท่ี 1 ตารางท่ี 1 จานวนประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีศกึ ษา ชัน้ ปี จานวนประชากร/คน จานวนกลุ่มตัวอย่าง/คน นิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 3 117 82 นสิ ติ พยาบาลชนั้ ปีท่ี 4 113 79 รวม 230 161 2.2 หลังจากนัน้ จึงทาการสุ่มแบบมีระบบ (Systematic random sampling)เป็นวิธีสุ่ม ตวั อยา่ งทกุ หน่วยของประชากรที่ได้กาหนดไว้ในกรอบตวั อยา่ ง (Sampling flame) โดยท่ีหนว่ ยตวั อยา่ ง ควรถูกจดั เรียงลาดบั แบบส่มุ ขนั้ ตอนการส่มุ ตวั อย่างแบบมีระบบมีดงั นี ้(บญุ ใจ ศรีสถิตย์นรากูร, 2553
27 1. หาชว่ งการสมุ่ หรือ Sampling interval I=N n เม่ือ I = ชว่ งการสมุ่ N = ขนาดของประชากร n = ขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ ง 2. สมุ่ หมายเลขตงั้ ต้นระหว่างหมายเลข 1 ถึงหมายเลข I จานวน 1 หมายเลข โดยใช้ วิธีการสมุ่ แบบง่าย (Simple random sampling) เพื่อนามาเป็นหมายเลขตงั้ ต้น ซง่ึ ได้หมายเลข R 3. สมุ่ ตวั อยา่ งจากประชากรในกรอบตวั อย่าง ให้ได้ขนาดตวั อยา่ ง ให้ได้ตวั อยา่ งครบ ตามที่กาหนดไว้ โดยนาหมายเลข R มาบวกกบั คา่ ชว่ งท่ีใช้ในการสมุ่ ตวั อยา่ งที่คานวณได้ในขนั้ ตอนท่ี 2 โดยใช้สตู ร R, R+I, R+2I, R+3I…..+ R + (n-1) เกณฑ์การคัดเข้า (inclusion criteria) 1. นิสิตพยาบาลศาสตร์ชัน้ ปีท่ี 3 และ ชัน้ ปีที่ 4 ที่ศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลยั นเรศวร 2. มีอายุ 20 ปีบริบรู ณ์ขนึ ้ ไป 3. ยนิ ดใี ห้ความร่วมมือในการทาวจิ ยั ครัง้ นี ้ เกณฑ์การคัดออก (exclusion criteria) 1. ต้องการยกเลกิ การเข้าร่วมวิจยั ระหวา่ งการดาเนนิ การ 2. มีภาวะเจบ็ ป่วยกะทนั หนั ไมส่ ามารถให้ข้อมลู ได้ 3. ลาออกหรือมีการย้ายออกจากคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรการวิจัยใน ระหวา่ งการดาเนนิ การวิจยั
28 เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการวจิ ัย เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจยั ครัง้ นี ้คือ แบบสอบถามความคิดเห็นท่ีมีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ของ นิสิตพยาบาล แบง่ เป็น 2 สว่ นคือ ส่วนท่ี 1 ข้อมูลท่ัวไป เป็นข้อคาถามแบบเลือกตอบจานวน 2 ข้อ ได้แก่ เพศ และระดับ การศกึ ษา ข้อคาถามแบบปลายเปิดจานวน 1 ข้อ ได้แก่ อายุ รวมข้อคาถามทงั้ สนิ ้ 3 ข้อ ส่วนท่ี 2 แบบสอบถามแบบสอบถามความคิดเห็นเก่ียวกับปัญหาในการทาวิจยั ที่ ผู้วิจัย ดดั แปลงจากแบบสอบถามปัญหาในการทาวิทยานิพนธ์ของนกั ศกึ ษามหาบณั ฑติ ของสมจติ ร์ แก้วมณี (2551) เพ่ือให้ข้อคาถามมีความเหมาะสมกบั การจดั ทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรี ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ คณุ ลักษณะส่วนตวั และความพร้ อมของนักศึกษา ความรู้ความสามารถทางวิชาการของนักศึกษา คณุ ลกั ษณะของอาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ หลกั สตู รและการเรียนการสอน การบริการวิชาการของ มหาวิทยาลยั ซึง่ ไมไ่ ด้ระบคุ า่ ความตรงตามเนือ้ หาและคา่ ความเที่ยงไว้ ข้อคาถามเป็นแบบเลือกตอบ และ Rating Scale 5 ระดบั รวมทงั้ หมด 40 ข้อ โดยมีรายละเอียดของแบบสอบถาม ดงั นี ้ 1. ด้านความรู้ความสามารถทางวิชาการของนสิ ิต จานวน 11 ข้อ จานวน 9 ข้อ 2. ด้านคณุ ลกั ษณะสว่ นตวั ของนิสติ จานวน 6 ข้อ จานวน 8 ข้อ 3. ด้านความพร้อมของนสิ ติ จานวน 6 ข้อ 4. ด้านหลกั สตู รและการเรียนการสอน เป็นปัญหาในการทาวิจยั น้อยที่สดุ 5. ด้านอาจารย์ที่ปรึกษาวจิ ยั น้อย ปานกลาง โดยกาหนดเกณฑ์การให้คะแนน ดงั นี ้ มาก มากที่สดุ ระดบั คะแนน ตรงตามสภาพความเป็นจริง 5 มากท่ีสดุ หมายถงึ 4 มาก หมายถึง 3 ปานกลาง หมายถงึ 2 น้อย หมายถงึ 1 น้อยที่สดุ หมายถึง
29 กาหนดเกณฑ์การแปลผลความคดิ เห็นที่มีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั จากคะแนนเฉล่ีย เป็น 5 ระดบั โดย ใช้คา่ พิสยั หารด้วยจานวนชนั้ = (ขีดจากดั บนของคะแนนสงู สดุ – ขีดจากดั ลา่ งของคะแนนต่าสดุ ) หาร 5 (บญุ ใจ ศรีสถิตนรากรู , 2553) คา่ เฉล่ีย ระดบั ปัญหาในการทาวิจยั 1.00 - 1.50 หมายถงึ มากที่สดุ 1.51 – 2.50 หมายถึง มาก 2.51 - 3.50 หมายถึง ปานกลาง 3.51 - 4.51 หมายถงึ น้อย 4.51 - 5.00 หมายถงึ น้อยท่ีสดุ การตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ การตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถามในการวิจัยครัง้ นี ้ โดยหาความตรงตามเนือ้ หา (Content Validity) และ ความเท่ียง (Reliability) มีขนั้ ตอน ดงั นี ้ การหาความตรงตามเนือ้ หา (Content Validity) โดยนาแบบสอบถามท่ีพฒั นาขนึ ้ ให้อาจารย์ที่ปรึกษาผ้คู วบคมุ การวิจยั ตรวจแก้ไขเนือ้ หาและ ภาษาที่ใช้ แล้วนาแบบสอบถามพร้ อมโครงร่างวิจยั ฉบบั ย่อให้ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่านที่มีความรู้และ ประสบการณ์ในการทาวิจยั พิจารณาความสอดคล้องระหว่างคาถามกบั นิยามเชิงปฏิบตั ิการของตวั แปร รวบรวมความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิมาแจกแจงระดับความคิดเห็น รวมจานวนคาถามท่ี ผ้เู ช่ียวชาญทุกคนให้ความเห็น และหาคา่ ดชั นีความตรงตามเนือ้ หา (Content validity Index = CVI) จากสตู ร (บญุ ใจ ศรีสถิตย์นรากรู , 2553) CVI = ∑ ������3,4 N เมื่อ ∑ ������3,4 = จานวนคาถามท่ีผ้เู ช่ียวชาญทกุ คนให้ความคดิ เห็นในระดบั 3 และ 4 N = จานวนคาถามทงั้ หมด
30 ซง่ึ กาหนดระดบั การแสดงความคิดเหน็ เป็น 4 ระดบั คอื 1 หมายถงึ ไมต่ รงตามคานยิ ามเลย 2 หมายถงึ คาถามจาเป็นต้องได้รับการพจิ ารณาทบทวนและ ปรับปรุงอยา่ งมาก จงึ จะมีความตรงตามคานิยาม 3 หมายถึง คาถามจาเป็นต้องได้รับการพจิ ารณาทบทวนและ ปรับปรุงเล็กน้อย จงึ จะมีความตรงตามคานยิ าม 4 หมายถงึ คาถามมีความตรงตามคานยิ าม ได้ค่าความตรงตามเนือ้ หาโดยรวมเท่ากบั .85 ส่วนรายด้านพบว่าด้านความรู้ความสามารถ ทางวิชาการของนิสิตเท่ากับ 1.00 ด้านคณุ ลกั ษณะส่วนตวั ของนิสิตเท่ากับ .85 ด้านความพร้อมของ นิสติ เทา่ กบั .75 ด้านหลกั สตู รและการเรียนการสอนเทา่ กบั .80 ด้านอาจารย์ท่ีปรึกษาวจิ ยั เทา่ กบั .75 การหาค่าความเท่ยี ง (Reliability) หลังจากได้รับการรับรองการทาวิจัยจากคณะกรรมการจริยธรรมเก่ียวกับวิจยั ในมนุษย์ของ มหาวิทยาลยั นเรศวรแล้วจึงดาเนินการทดสอบความเที่ยงของเคร่ืองมือวิจยั โดยนาแบบสอบถามท่ี ผา่ นการตรวจสอบความตรงตามเนือ้ หาไปทดลองใช้ (Try Out) กบั นิสิตพยาบาล หลกั สตู รพยาบาลศา สตรบณั ฑิต ชนั้ ปีท่ี 3 และชนั้ ปีที่ 4 ท่ีมีลกั ษณะคล้ายคลงึ กบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง จานวน 30 คน โดยมีขนั้ ตอน ในการเก็บรวบรวมข้อมลู เช่นเดียวกบั กลมุ่ ตวั อย่าง และนาข้อมลู ท่ีได้มาวเิ คราะห์หาคา่ ความสอดคล้อง ภายในโดยการหาค่าสัมประสิทธิแอลฟาครอนบคั (Cronbach’ s Alpha Coefficient; α) (บุญใจ ศรี สถิตย์นรากรู , 2553) ได้คา่ ความเที่ยงโดยรวมเทา่ กบั .90 ส่วนรายด้านพบวา่ ด้านความรู้ความสามารถ ทางวิชาการของนสิ ิตเทา่ กบั .90 ด้านคณุ ลกั ษณะสว่ นตวั ของนสิ ิตเท่ากบั .90 ด้านความพร้อมของนสิ ิต เทา่ กบั .91 ด้านหลกั สตู รและการเรียนการสอนเท่ากบั .90 ด้านอาจารย์ท่ีปรึกษาวจิ ยั เทา่ กบั .90 การเกบ็ รวมรวมข้อมูล หลงั จากได้รับการรับรองการทาวิจยั จากคณะกรรมการจริยธรรมเกี่ยวกับวิจยั ในมนุษย์ของ มหาวิทยาลยั นเรศวรแล้วจงึ ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมลู หมายเลขโครงการวิจยั คือ 0659/62 โดยใช้
31 แบบสอบถามท่ีผา่ นการตรวจสอบความตรงตามเนือ้ หาและความเท่ียงแล้ว ซงึ่ มีขนั้ ตอนในการรวบรวม ข้อมลู ดงั นี ้ 1. ผู้วิจัยทาหนังสือถึงคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เพ่ือชีแ้ จง วตั ถปุ ระสงค์และขออนญุ าตเก็บรวบรวมข้อมลู จากกล่มุ ตวั อยา่ งในนิสิตพยาบาลหลกั สตู รพยาบาลศา สตรบณั ฑติ ชนั้ ปีที่ 3 และ ชนั้ ปีที่ 4 พร้อมแนบตวั อยา่ งแบบสอบถามการวิจยั เพ่ือประกอบการพิจารณา 2. เมื่อได้ รับอนุญาตในการเก็บข้ อมูลผู้วิจัยจะนัดกลุ่มตัวอย่างเพ่ืออธิบายให้ ทราบ วตั ถปุ ระสงค์ และประโยชน์ของการศกึ ษาวิจยั การรักษาความลบั และการพิทกั ษ์สิทธิ์อื่น ๆ ของผ้ตู อบ แบบสอบถาม รวมทงั้ อธิบายวิธีตอบแบบสอบถามให้กล่มุ ตวั อย่างเข้าใจ โดยกลุ่มตวั อย่างสามารถ ปฏิเสธการเข้าร่วมวิจยั ได้โดยไม่มีผลกระทบใด ๆ ตอ่ กลมุ่ ตวั อยา่ ง เม่ือกลมุ่ ตวั อย่างยินดีเข้าร่วมวิจยั ผ้ ูวิจัยจะให้ กลุ่มตัวอย่างลงนามยินยอมเข้ าร่ วมการวิจัยในแบบฟอร์ มอย่างเป็ นลายลักษณ์ อักษร จากนนั้ ผ้วู ิจยั จงึ แจกแบบสอบถามไปให้กบั กล่มุ ตวั อย่าง โดยกลมุ่ ตวั อย่างสามารถใช้เวลาในการตอบ แบบสอบถามได้โดยอิสระ และนดั หมายเพ่ือขอรับแบบสอบถามคืนจากตวั แทนของนิสิตพยาบาลแต่ ละชนั้ ปีท่ีอาสาเป็นผ้รู วบรวมแบบสอบถามจากกลมุ่ ตวั อย่างเพ่ือสง่ คนื ให้นกั วจิ ยั ตอ่ ไป 3. เม่ือได้รับแบบสอบถามคืนมาแล้ว ผ้วู จิ ยั จะทาการตรวจสอบความสมบรู ณ์และความ ถกู ต้องของแบบสอบถามท่ีได้รับคนื จากกลมุ่ ตวั อยา่ งก่อนนาไปวเิ คราะห์ข้อมลู ทางสถิติ การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยนาแบบสอบถามที่มีความสมบูรณ์มาวิเคราะห์เนือ้ หาโดยยึดวัตถุประสงค์และ สมมติฐานที่ตงั้ ไว้เป็นหลกั จากนนั้ ทาการบนั ทึกและวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรมสาเร็จรูป ทางคอมพวิ เตอร์ โดยใช้สถิตดิ งั นี ้ 1. วิเคราะห์ข้อมลู สว่ นบคุ คลของนิสิตพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ได้แก่ เพศ ระดบั ชนั้ ปี และอายุ โดยใช้สถิตคิ วามถี่ (frequency) ร้อยละ (percentage) 2. วิเคราะห์ข้อมลู แบบสอบถามแบบสอบถามความคดิ เห็นเก่ียวกบั ปัญหาในการทาวิจยั ด้วย การหาคา่ เฉล่ีย (mean) และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (standard deviation)
32 3. เปรียบเทียบความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลที่มีตอ่ ปัญหาในการทาวิทยานิพนธ์ ระหว่าง นิสติ ชนั้ ปีท่ี 3 และ ชนั้ ปีท่ี 4 โดยการทดสอบคา่ ทีเป็นอสิ ระตอ่ กนั (T-Test Independent) การพทิ ักษ์สทิ ธ์ิกลุ่มตัวอย่าง การวิจยั ครัง้ นี ้ผ่านการเสนอคณะกรรมการจริยธรรมเกี่ยวกบั วิจยั ในมนษุ ย์ของมหาวิทยาลยั นเรศวรก่อนดาเนินการศึกษาและการเก็บข้อมูลหมายเลขโครงการวิจยั คือ 0659/62 โดยผ้วู ิจยั ได้มี การพิทกั ษ์สิทธ์ิกบั ผ้เู ข้าร่วมวิจยั โดยกล่มุ ตวั อย่างทกุ คนจะได้รับการแจ้งให้ทราบถึงวตั ถปุ ระสงค์ของ การวิจยั กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมลู และชีแ้ จงถึงขนั้ ตอนในการเก็บข้อมลู ให้กลมุ่ เปา้ หมายทราบ ถึงสิทธ์ิที่จะเข้าร่วมหรือไมเ่ ข้าร่วมโครงการวจิ ยั ตามความสมคั รใจโดยข้อมลู ท่ีได้รับของกลมุ่ ตวั อย่างจะ ถกู เก็บเป็นความลบั นามาใช้เฉพาะในการศกึ ษาเพียงเทา่ นนั้ และการนาเสนอโดยภาพรวม การเสนอ ข้อมลู จะไมเ่ สนอช่ือของผ้เู ข้าร่วมวิจัย และกลุ่มเปา้ หมายมีสิทธิ์ที่จะไมเ่ ข้าร่วมหรือตอบแบบสอบถาม โดยไม่มีผลกระทบใด ๆ หากมีการใช้ข้อมูลเก่ียวกบั กล่มุ ตวั อย่างเพ่ือการรับความช่วยเหลือ หรือเพื่อ วัตถุประสงค์ใด ๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากกลุ่มตวั อย่างด้วยเสมอ และเปิดโอกาสให้ กลุ่ม ตวั อยา่ งซกั ถามข้อสงสยั เม่ือกลมุ่ ตวั อยา่ งยนิ ยอมให้การศกึ ษา
33 บทท่ี 4 ผลการวจิ ยั การศกึ ษานีเ้ ป็นวิจัยเชิงสารวจ (Survey research) เพื่อศกึ ษาและเปรียบเทียบความคิดเห็น ของนิสติ พยาบาลที่มีตอ่ ปัญหาในการทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรี เก็บรวบรวมข้อมลู ตามแบบสอบถามที่ผ้วู ิจยั ได้ดัดแปลงขึน้ ผลการวิเคราะห์ข้อมลู นาเสนอใน รูปแบบตารางประกอบคาอธิบายตามลาดบั ดงั นี ้ ตอนที่ 1 เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู เกี่ยวกบั ข้อมลู สว่ นบคุ คล ได้แก่ เพศ ระดบั การศกึ ษา โดย ใช้คา่ ความถ่ี และคา่ ร้อยละ และอายุ โดยใช้คา่ เฉลี่ย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตอนท่ี 2 เสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ความคดิ เหน็ ที่มีตอ่ ปัญหาในในการทาวิจยั โดยใช้ คา่ เฉล่ีย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตอนท่ี 3 เสนอผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความคิดเห็นท่ีมีต่อปัญหาในการทาวิจยั ระดับ ปริญญาตรีของนสิ ติ พยาบาลชนั้ ปีที่ 3 และชนั้ ปีที่ 4 โดยการทดสอบคา่ ที (T-Test Independent )
34 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ตอนท่ี 1 ข้อมูลเก่ียวกับข้อมูลส่วนบุคคล ตาราง 2 แสดงค่าความถ่ี ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เก่ียวกับข้อมูลส่วน บุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม (n = 161) ข้อมูลส่วนบุคคล จานวน (คน) ร้ อยละ เพศ 12 7.4 ชาย 6 3.7 ชนั้ ปีที่ 3 6 3.7 ชนั้ ปีที่ 4 149 92.5 หญิง 76 47.2 ชนั้ ปีที่ 3 73 45.3 ชนั้ ปีที่ 4 161 100 ระดบั ชัน้ ปี 82 50.9 79 49.1 ชนั้ ปีที่ 3 x̅ = 21 S.D. = 1.16 ชนั้ ปีที่ 4 x̅ = 21 S.D. = 1.21 อายุ x̅ = 22 S.D. = .87 ชนั้ ปีที่ 3 ชนั้ ปีท่ี 4 จากตาราง 2 พบว่ากล่มุ ตวั อย่าง สว่ นใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 92.5) กาลงั ศกึ ษาในชนั้ ปีท่ี 3 (ร้อยละ 50.9) และมีอายเุ ฉลี่ย 21 ปี (S.D. = 1.16)
ตอนท่ี 2 ความคดิ เหน็ ของนิสติ พยาบาลชัน้ ปี ท่ี 3 และชัน้ ปี ท่ี 4 ท่มี ีต่ ตาราง 3 แสดงความคิดเหน็ ท่มี ีต่อปัญหาในการทาวิจัยระดับปริญญ ปัญหาในการทาวจิ ัย ชัน้ ปี ท่ี ���̅��� S.D. ร 1. ด้านความรู้ความสามารถทางวชิ าการของนิสิต 2.59 .50 2. ด้านคณุ ลกั ษณะสว่ นตวั ของนิสติ 2.13 .51 3. ด้านความพร้อมของนสิ ิต 2.52 .63 4. ด้านหลกั สตู รและการเรียนการสอน 2.92 .68 5. ด้านอาจารย์ท่ีปรึกษาวจิ ยั 2.10 .87 รวม 2.46 .42
35 ตอปัญหาในการทาวิจัยระดับปริญญาตรี ญาตรีของนิสติ พยาบาล โดยใช้ค่าเฉล่ีย (���̅���) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) ระดับชัน้ ปี รวม 3 ชัน้ ปี ท่ี 4 ระดับปัญหา ���̅��� S.D. ระดับปัญหา ���̅��� S.D. ระดบั ปัญหา ปานกลาง 2.30 .46 น้อย 2.45 .50 น้อย น้อย 1.93 .38 น้อย 2.03 .46 น้อย ปานกลาง 2.36 .53 น้อย 2.44 .59 น้อย ปานกลาง 2.65 .65 ปานกลาง 2.78 .58 ปานกลาง น้อย 1.41 .50 น้อยท่ีสดุ 1.76 .79 น้อย น้อย 2.16 .34 น้อย 2.31 .41 น้อย
36 จากตาราง 3 พบว่าความคดิ เห็นของนิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 3 และชนั้ ปีที่ 4 ท่ีมีตอ่ ปัญหาใน การทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี โดยรวมอยู่ในระดบั น้อย (x̅= 2.31 S.D. = 0.41) เมื่อพิจารณาราย ด้าน พบว่า นิสิตมีปัญหาในการทาวิจัยด้านความรู้ความสามารถทางวิชาการของนิสิต ด้าน คณุ ลกั ษณะส่วนตวั ของนิสิต ด้านความพร้อมของนิสิต และด้านอาจารย์ท่ีปรึกษาวิจยั อย่ใู นระดบั น้อย แต่นิสิตมีปัญหาในการทาวิจัยด้านหลกั สูตรและการเรียนการสอนอยู่ในระดับปานกลาง (x̅= 2.78 S.D. = 0.58) เมื่อพิจารณาความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลชนั้ ปีท่ี 3 ท่ีมีต่อปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี โดยรวมอยใู่ นระดบั น้อย (x̅= 2.46 S.D. = 0.42) เมื่อพิจารณารายด้าน พบวา่ นิสิตมี ปัญหาในการทาวิจัยด้านหลักสูตรและการเรียนการสอนมากที่สุด (x̅= 2.92 S.D. = 0.68) รองลงมาคือ ด้านความรู้ความสามารถทางวิชาการของนิสิต (x̅= 2.59 S.D. = 0.50) ซึ่งทงั้ 2 ด้านดงั กลา่ วนิสิตมีความเห็นเกี่ยวกบั ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรีอยใู่ นระดบั ปานกลาง ส่วนด้านที่นิสิตมีความเห็นว่าเป็นปัญหาในการทาวิจัยน้อยท่ีสุดคือ ด้านอาจารย์ท่ีปรึกษาวิจัย (x̅ = 2.10 S.D. = 0.87) ซง่ึ อยใู่ นระดบั น้อย เม่ือพิจารณาความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 4 ที่มีต่อปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี โดยรวมอย่ใู นระดบั น้อย (x̅= 2.16 S.D. = 0.34 ) เม่ือพิจารณารายด้าน พบวา่ นิสิตมี ปัญหาในการทาวิจยั ด้านหลกั สตู รการเรียนการสอนอย่ใู นระดบั มากที่สดุ (x̅= 2.65 S.D. = 0.65) ซึ่งด้านดงั กล่าวนิสิตมีความเห็นเกี่ยวกับปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรีอยู่ในระดบั ปาน กลาง ส่วนด้านท่ีนิสิตมีความเห็นว่าเป็นปัญหาในการทาวิจยั น้อยที่สดุ คือ ด้านอาจารย์ท่ีปรึกษา วจิ ยั (x̅= 1.41 S.D.= .50) ซง่ึ อยใู่ นระดบั น้อยที่สดุ
37 ตอนท่ี 3 เปรียบเทียบความคิดเหน็ ท่ีมีต่อปัญหาในการทาวิจัยระดับปริญญาตรีของนิสิต พยาบาลชัน้ ปี ท่ี 3 และชัน้ ปี ท่ี 4 ตาราง 4 แสดงการเปรียบเทยี บความคิดเหน็ ของนิสิตพยาบาลท่ีมีต่อปัญหาในการทาวิจัย ระดบั ปริญญาตรีโดยใช้สถติ คิ ่าที (Independent T-Test) ประเดน็ ปัญหา ระดบั ชัน้ ปี P- ชนั้ ปีท่ี 3 ชนั้ ปีท่ี 4 t value 1. ด้านความรู้ความสามารถทางวิชาการของนิสิต x̅ S.D. x̅ S.D. 2. ด้านคณุ ลกั ษณะสว่ นตวั ของนิสิต 2.59 .50 2.30 .47 3.79 .00* 3. ด้านความพร้อมของนิสิต 2.13 .51 1.90 .38 2.93 .00* 4. ด้านหลกั สตู รและการเรียนการสอน 2.52 .63 2.36 .53 1.67 .10 5. ด้านอาจารย์ท่ีปรึกษาวิจยั 2.92 .68 2.65 .65 2.58 .01* 2.10 .87 1.41 .50 6.07 .00* รวม .00* * มีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั .05 2.46 .42 2.16 .34 5.03 จากตารางท่ี 8 พบว่า ความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลชัน้ ปีท่ี 3 และชนั้ ปีท่ี 4 ท่ีมีต่อ ปัญหาในการทาวิจัยระดบั ปริญญาตรีโดยรวมแตกตา่ งกันอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 เม่ือพจิ ารณารายด้านพบวา่ ความคดิ เห็นของนิสิตพยาบาลชนั้ ปีท่ี 3 และ ชนั้ ปีที่ 4 ที่มีตอ่ ปัญหาใน การทาวิจยั ด้านความรู้ความสามารถทางวิชาการของนิสิต ด้านคณุ ลกั ษณะส่วนตวั ของนิสิต ด้าน หลกั สตู รและการเรียนการสอน และด้านอาจารย์ที่ปรึกษาวิจยั แตกต่างกนั อย่างมีนยั สาคญั ทาง สถิตทิ ่ีระดบั .05 ยกเว้นด้านความพร้อมของนิสิตซึง่ พบวา่ แตกตา่ งกนั อยา่ งไมม่ ีนยั สาคญั ทางสถิติ ที่ระดบั .05
38 บทท่ี 5 สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครัง้ นีเ้ ป็นการวิจยั เชิงสารวจ (Survey research) โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษา ความคิดเห็นและเปรียบเทียบความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลท่ีมีต่อปัญหาในการทาวิจัยระดบั ปริญญาตรีและเพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นท่ีมีต่อปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี กลุ่ม ตวั อย่าง คือ นิสิตท่ีกาลงั ศกึ ษาอย่ใู นคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร จานวน 2 ชนั้ ปี คอื นิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 3 ซ่ึงอย่รู ะหวา่ งการทาวิจยั จานวน 82 คน และนิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 4 ซึง่ ผา่ นการทาวจิ ยั มาแล้ว จานวน 79 คน รวมจานวนทงั้ สนิ ้ 161 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) ความคิดเห็นของนิสิต พยาบาลที่มีต่อปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 ข้อมูลท่ัวไป สว่ นท่ี 2 แบบสอบถามความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลท่ีมีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี ซึ่งข้อคาถามเป็นแบบเลือกตอบและ Rating Scale 5 ระดบั รวมทัง้ หมด 40 ข้อ การตรวจสอบ คณุ ภาพของเคร่ืองมือ โดยหาความตรงตามเนือ้ หา (Content Validity) โดยผ้ทู รงคณุ วฒุ ิจานวน 3 ทา่ น และหาคา่ ดชั นีความตรงตามเนือ้ หา (Content Validity Index) โดยแบบสอบถามในสว่ นที่ 2 ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนือ้ หา (Content Validity Index) เท่ากับ .85 แล้วนาไปหาความเที่ยง (Reliability) และนาแบบสอบถามท่ีผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนือ้ หา แล้วนาไปทดลองใช้ (Try Out) กับนิสิตพยาบาลหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต ชนั้ ปีที่ 3 และชนั้ ปีที่ 4 ที่มีลกั ษณะ คล้ายคลงึ กบั กล่มุ ตวั อยา่ ง จานวน 30 คน โดยมีขนั้ ตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชน่ เดียวกบั กล่มุ ตวั อย่าง และนาข้อมูลท่ีได้มาวิเคราะห์หาค่าความสอดคล้องภายในโดยการหาค่าสมั ประสิทธิ แอลฟาครอนบคั (Cronbach’ s Alpha Coefficient; α) ซง่ึ แบบสอบถามได้คา่ ความเท่ียง .90 ผ้วู ิจยั ได้เก็บรวบรวมข้อมลู โดยแจกแบบสอบถามให้กับนิสิตพยาบาลชนั้ ปีท่ี 3 จานวน 82 คน และนิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 4 จานวน 79 คน รวมทงั้ สิน้ 161 คน โดยรวบรวมแบบสอบถามที่ ได้รับคนื มาตรวจสอบความสมบรู ณ์ของนิสิตทกุ ชดุ ซ่งึ ผ้วู ิจยั แจกแบบสอบถามทงั้ สิน้ 161 ชดุ และ นาแบบสอบถามไปตรวจสอบความสมบรู ณ์ของข้อมลู ได้จานวน 161 ชดุ คิดเป็นร้อยละ 100 จึง นาแบบสอบถามท่ีได้มาไปวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ
39 การวิเคราะห์ข้อมลู โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูป วิเคราะห์ข้อมลู ส่วนบุคคลของ นิสิตพยาบาลศาสตรบัณฑิต ได้แก่ เพศ ระดับชัน้ ปี โดยใช้สถิติความถ่ี (frequency) ร้ อยละ (percentage) วิเคราะห์ข้อมลู สว่ นบคุ คล ได้แก่ อายุ และระดบั ปัญหาและอปุ สรรคในการทาวจิ ยั ของนิสิตพยาบาล ด้วยการหาค่าเฉลี่ย (mean) และความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) และวิเคราะห์เปรียบเทียบความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลที่มีต่อปัญหาในการทา วิทยานพิ นธ์ ระหวา่ งนิสติ ชนั้ ปีท่ี 3 และ ชนั้ ปีท่ี 4 โดยการทดสอบคา่ ที (Independent t-test) สรุปผลการวิจัย 1. ลักษณะท่วั ไปของกลุ่มตวั อย่าง นิสิตพยาบาลที่เป็นกล่มุ ตวั อย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้ อยละ 92.5 กาลงั ศกึ ษาในชนั้ ปีที่ 3 คดิ เป็นร้อยละ 50.9 และมีอายเุ ฉลี่ย 21 ปี 2. ความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลท่ีมีต่อปัญหาในการทาวิจัยระดับปริญญาตรี ดงั นี้ ความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลที่มีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี โดยรวม อยใู่ นระดบั น้อย (x̅= 2.31 S.D. = 0.41) เม่ือพิจารณารายด้าน พบวา่ นิสิตมีปัญหาในการทาวิจยั ด้านความรู้ความสามารถทางวิชาการของนิสิต ด้านคณุ ลกั ษณะสว่ นตวั ของนิสิต ด้านความพร้อม ของนิสิต และด้านอาจารย์ท่ีปรึกษาวิจัยอยู่ในระดับน้อย แต่นิสิตมีปัญหาในการทาวิจัยด้าน หลกั สตู รและการเรียนการสอนอยใู่ นระดบั ปานกลาง (x̅= 2.78 S.D. = 0.58) เมื่อพิจารณาความคดิ เห็นของนิสติ พยาบาลชนั้ ปีที่ 3 ท่ีมีตอ่ ปัญหาในการทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรี โดยรวมอย่ใู นระดบั น้อย (x̅= 2.46 S.D. = 0.42) และความคิดเห็นของนิสิตพยาบาล ชัน้ ปี ที่ 4 ท่ีมีต่อปัญหาในการทาวิจัยระดับปริญญาตรี โดยรวมอยู่ในระดับน้อย (x̅= 2.16 S.D. = .34 ) 3. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลท่ีมีต่อปัญหาในการทาวิจัย ระดับปริญญาตรี ความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลชนั้ ปีที่ 3 และ ชนั้ ปีท่ี 4 ท่ีมีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี โดยรวมแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 ซงึ่ สอดคล้องกับสมมติฐานท่ีกล่าวไว้ว่า นิสติ พยาบาลชนั้ ปีท่ี 3 และชนั้ ปีที่ 4 มีความคดิ เห็นตอ่ การทาวจิ ยั ระดบั ปริญญาตรีแตกตา่ งกนั
40 อภปิ รายผลการวิจัย จากการศกึ ษาความคิดเห็นและเปรียบเทียบความคิดเห็นของนิสิตพยาบาลท่ีมีตอ่ การทา วิจยั ระดบั ปริญญาตรี ผลการวิจยั อภิปรายได้ดงั นี ้ 1. ความคดิ เห็นของนิสติ พยาบาลชนั้ ปีที่ 3 และชนั้ ปีที่ 4 ท่ีมีตอ่ ปัญหาในการทาวิจยั ระดบั ปริญญาตรี โดยรวมอยใู่ นระดบั น้อย (x̅ = 2.31 S.D. = 0.41) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า นิสิตมี ปัญหาในการทาวิจยั ด้านความรู้ความสามารถทางวิชาการของนิสิต ด้านคณุ ลกั ษณะส่วนตวั ของ นิสิต ด้านความพร้อมของนิสิต และด้านอาจารย์ที่ปรึกษาวิจยั อย่ใู นระดบั น้อย แตน่ ิสิตมีปัญหาใน การทาวิจยั ด้านหลกั สตู รและการเรียนการสอนอยใู่ นระดบั ปานกลาง (x̅ = 2.78 S.D. = 0.58) ซ่ึง ไม่สอดคล้องกับผลการวิจัยของสมจิตร์ แก้วมณี (2551) ที่ได้ศึกษา พบว่า ปัญหาในการทา วทิ ยานิพนธ์ของนกั ศกึ ษาระดบั มหาบณั ฑิต ในภาพรวมทงั้ 5 ด้าน อย่ใู นระดบั ปานกลาง เน่ืองจาก การเรียนการสอนในระดบั มหาบณั ฑิตมีหลกั สตู รและความยากมากกวา่ ระดบั ปริญญาตรี การทา วิทยานิพนธ์ของนกั ศึกษาระดบั มหาบณั ฑิตได้จดั ทาวิทยานิพนธ์เป็นรายเด่ียวแต่การทาวิจยั ใน ระดบั ปริญญาตรี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ได้จัดทาวิจยั เป็นรายกล่มุ ทาให้มี ปัญหาในการทาวิจยั แตกตา่ งกนั จงึ มีประเดน็ ท่ีจะอภิปรายผลในแตล่ ะด้าน ดงั นี ้ ด้านคณุ ลกั ษณะส่วนตวั ของนิสิตอย่ใู นระดบั น้อย เน่ืองจากนิสิตมีความมงุ่ มนั่ ตงั้ ใจ ท่มุ เท เวลา มีความพยายามในการทางาน อดทนตอ่ อปุ สรรค รับผิดชอบตอ่ หน้าท่ีที่ได้รับมอบหมาย และ ทางานร่วมกันเป็นทีมท่ีเหมาะสม เพื่อให้งานวิจยั สาเร็จตามเป้าหมาย นิสิตจึงตดั สินว่ามีด้าน คณุ ลกั ษณะส่วนตวั ของนิสิตมีปัญหาอย่ใู นระดบั น้อย ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของทศั น์ศิรินทร์ สว่างบญุ และรัชนีวรรณ ตงั้ ภักดี (2561) พบวา่ ด้านคณุ ลกั ษณะของนสิ ิตมีปัญหาอยใู่ นระดบั น้อย เนื่องจาก คณุ ลกั ษณะตา่ งๆ ของนิสิต ไมว่ ่าจะเป็นความมงุ่ มนั่ ตงั้ ใจ ความเช่ือมนั่ ความรับผิดชอบ ของตวั นิสิตเอง ส่งผลตอ่ การวางแผนการทาวิทยานิพนธ์ที่ดี โดยไม่ต้องได้รับการสนบั สนุนจาก แหลง่ อื่น ๆ ก็สามารถบรรลคุ วามสาเร็จได้ ด้านหลกั สตู รการเรียนการสอนอย่ใู นระดบั ปานกลาง เนื่องจากมีระยะเวลาและสดั สว่ นใน การเรียนภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จานวนหน่วยกิตของวิชาวิจัยที่จัดไว้ในหลักสูตร การ เรียงลาดบั เนือ้ หารายวชิ าวิจยั ท่ีไมเ่ หมาะสม ทาให้นสิ ิตเช่ือวา่ หลกั สตู รการเรียนการสอนเป็นปัญหา ในการทาวิจยั ระดบั ปานกลาง ซง่ึ สอดคล้องกบั งานวิจยั ของ สมจติ ร์ แก้วมณี (2551) พบวา่ ปัญหา ในการทาวิทยานิพนธ์ของนกั ศกึ ษาระดบั มหาบณั ฑิตด้านหลกั สตู รและการเรียนการสอนมีปัญหา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112