Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การสำรวจการรับรู้บทบาทตนเองตามสมรรถนะบัณฑิตพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลแก่ผู้รับบริการวัยเด็กของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต

การสำรวจการรับรู้บทบาทตนเองตามสมรรถนะบัณฑิตพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลแก่ผู้รับบริการวัยเด็กของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต

Published by Reading Room, 2021-08-09 08:39:53

Description: กลุ่ม 4 การสำรวจการรับรู้บทบาทตนเองตามสมรรถนะบัณฑิตพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลแก่ผู้รับบริการวัยเด็กของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต

Search

Read the Text Version

46 2. L = Labeling and Leaflet for Patient Information คือ ฉลากยา ฉลากยาเสริม และข้อมูลยา ส่ปู ระชาชน โดยมเี ป้าหมายในการสนบั สนุนใหใ้ ชฉ้ ลากยามาตรฐาน (RDU label) เพือ่ ใหผ้ ปู้ ว่ ย รับทราบขอ้ มลู ทสี่ ำคัญเกยี่ วกับยาได้อย่างสะดวกและครบถ้วน ช่วยใหผ้ ปู้ ว่ ยใชย้ าไดอ้ ย่างถกู ต้องและ ปลอดภยั มากข้ึน ทั้งชว่ ยให้เภสัชกรใหค้ ำแนะนำได้งา่ ยขน้ึ เนื่องจากสามารถใชข้ ้อความบนฉลากยา มา ประกอบคำอธบิ ายได้โดยสะดวก นอกจากนนั้ ฉลากยามาตรฐานในปจั จุบันมีขนาดเล็กไมส่ ามารถ บรรจุขอ้ มูลสำคัญทผี่ ปู้ ่วยควรทราบของยาแตล่ ะชนิด ซง่ึ อาจแกไ้ ขโดยการใช้ฉลากยาเสริม (extended label) ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นและสามารถแนบหรือแปะตดิ เปน็ สติกเกอรไ์ ปกบั ซองยาท่ี ผปู้ ่วยได้รับจากสถานพยาบาล เพอ่ื เพิ่มข้อมูลท่สี ำคญั แกผ่ ้ปู ่วย ซ่งึ อาจมีความสำคญั ต่อการส่งเสรมิ ให้ เกดิ การใช้ยาได้อย่างเหมาะสมย่งิ ข้ึน 3. E = Essential RDU Tools คือ เคร่อื งมอื จำเป็นท่ีชว่ ยให้เกดิ การสง่ั ใชย้ าอยา่ งสมเหตุผล ประกอบดว้ ยเคร่ืองมือทสี่ ำคัญ6ประการ ดงั นี้ 3.1. เป้าหมายในการรกั ษา (Goal, G) และคำแนะนำการใช้ยาในกลมุ่ ยาเป้าหมายซง่ึ สอดคลอ้ งกับ หลักฐานเชิงประจกั ษ์ท่ีเปน็ ปัจจุบัน และเหมาะสมกับบริบทในการปฏบิ ตั ิงานของแตล่ ะสถานพยาบาล (Recommendation, R) 3.2. เภสัชตำรับที่รายการยาถูกคดั เลอื กอย่างโปร่งใส โดยใช้หลักเกณฑท์ ่สี อดคลอ้ งกับหลักฐานเชงิ ประจักษ์และหลักฐานดา้ นความคุ้มคา่ 3.3. แนวทางการสง่ ตรวจและการตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัตกิ ารที่จำเป็นตอ่ การวินิจฉยั โรคเป้าหมาย และ การติดตามผลการรกั ษาที่สอดคล้องกับระดบั ของสถานพยาบาล (Monitoring, M) 3.4. การจัดหาหรอื จัดทำระบบขอ้ มูลอเิ ลก็ โทรนิคส์ ดา้ นยาและการรักษาโรค ทจี่ ำเปน็ ต่อการใชย้ า อย่างสมเหตุผล 3.5. ระบบและวธิ กี ารปฏิบัตใิ นการประเมินและการติดตามผลการใชย้ ารวมทัง้ การใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั แก่ผูส้ ั่งใชย้ า 3.6. นโยบายด้านยาที่จำเป็นตอ่ ระบบการใช้ยาที่สมเหตุผล ได้แก่ นโยบายการใช้ยาตามบญั ชยี าหลกั แห่งชาติ นโยบายการสงั่ ใช้ยาด้วยชอ่ื สามัญทางยา และนโยบายการใช้ยาในผ้ปู ่วยสทิ ธริ กั ษาพยาบาล กลุ่มต่างๆอย่างเทา่ เทยี มกัน (Policy, P) 4. A = Awareness for RDU Principles among Health Personnel and Patients คอื ความ ตระหนักรู้ของบุคลากรทางการแพทย์และผูร้ ับบริการต่อการใชย้ าอย่างสมเหตผุ ล โดยมเี ป้าหมายให้ เกิดการสรา้ งกลไก ระบบ และกจิ กรรมของสถานพยาบาล ทส่ี นบั สนุนการสร้างความตระหนักรู้ฯ เพือ่ ให้เกดิ การเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมการใช้ยาของบุคลากรทางการแพทย์และผรู้ ับบริการให้มคี วาม

47 สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในการใชย้ าอยา่ งสมเหตผุ ล และต่างมเี จตคติทด่ี ี จนไดร้ ับการยอมรบั เปน็ วฒั นธรรมองค์กรและกลายเป็นบรรทัดฐานทางสงั คมในหมู่ประชาชนผใู้ ชย้ าซงึ่ รวมถงึ ตัวผู้ป่วยเอง และบคุ คลใกล้ชิดที่อาจมีสว่ นช่วยเหลือในการใช้ยาของผู้ป่วย 5. S = Special Population Care คือ การดูแลด้านยาเพ่ือความปลอดภัยของประกรกลุ่มพิเศษ โดย มเี ปา้ หมายใหเ้ กิดกลไก ระบบ และมาตรการ ในระบบยาของสถานพยาบาล ทสี่ นบั สนุนให้เกิดการใช้ ยาอยา่ งรอบคอบ ระมัดระวังในประชากรกล่มุ พิเศษและกลไกดงั กลา่ วถูกนำไปใช้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ ในการป้องกนั อนั ตรายจากการใชย้ าในสว่ นทส่ี ามารถป้องกันได้ โดยไดจ้ ดั ทำคำแนะนำและตัวช้ีวัด สำหรบั การดแู ลดา้ นยาเพือ่ ความปลอดภัยของประชากรกลุ่มพเิ ศษ 6 กล่มุ ได้แก่ 1) ผูส้ ูงอายุ 2) สตรี ตัง้ ครรภ์ 3) สตรีใหน้ มบตุ ร 4) ผู้ปว่ ยเด็ก 5)ผปู้ ว่ ยโรคตบั และ 6) ผูป้ ว่ ยโรคไตเร้อื รังเพื่อลด ภาวะแทรกซ้อนจากยาในผู้รับบรกิ ารกลมุ่ พเิ ศษสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานตามตัวชวี้ ดั ทไี่ ด้รับการกำหนด ขึน้ 6. E = Ethics in Prescription คือ การส่งเสรมิ จริยธรรมและจรรยาบรรณทางการแพทยใ์ นการสง่ั ใชย้ า โดยมีเป้าหมายให้สถานพยาบาลปฏิบตั ิตามแนวทางในการคดั เลือกยาและการสัง่ ใช้ยาที่เปน็ ไป ตามเกณฑ์จริยธรรมว่าดว้ ยการสง่ เสรมิ การขายยาของประเทศไทย รวมถงึ การจัดใหเ้ กดิ กลไก ระบบ และมาตรการตามข้อกำหนดในการมีปฏสิ มั พนั ธ์กบั บรษิ ทั ยา ซง่ึ ผลลพั ธท์ ไ่ี ดค้ ือกระบวนการนำยาเขา้ และออกจากสถานพยาบาลมีความโปรง่ ใส ตรวจสอบได้ไม่ตกอยใู่ นอิทธิพล ของการสง่ เสริมการขาย ยาทข่ี าดจริยธรรม และเป้าประสงค์ในระดบั บุคลากร ใหม้ ีการส่งั ใช้ยาภายใต้ แนวทางของการใช้ยา อยา่ งสมเหตุผล ตรงตามหลกั จรยิ ธรรมทางการแพทย์ โดยคำนึงถงึ การส่ังใช้ยาท่ีเป็นประโยชน์แก่ ผรู้ บั บรกิ ารจริง ผลกระทบทอี่ าจเกดิ ข้นึ จากการใช้ยา ความเท่าเทยี มของผู้รบั บริการและการเคารพใน สิทธิผู้ปว่ ย 2.2. ตวั ชี้วัดการใช้ยายา่ งสมเหตผุ ลของโรงพยาบาล (ศศิธร เอือ้ อนันต์, 2559) • ตวั ชี้วัดท่ี1 ร้อยละของรายการยาทสี่ ัง่ ใช้ยาในบญั ชียาหลักแห่งชาติ • ตัวชี้วัดท่ี2 ประสิทธผิ ลการดำเนนิ งานของคณะกรรมการ PTC ในการชน้ี ำสื่อสารและ ส่งเสรมิ เพื่อนำไปสู่ การเปน็ โรงพยาบาลส่งเสรมิ การใชย้ าอย่างสมเหตผุ ล • ตวั ช้วี ดั ที่3 การดำเนนิ งานในการจัดทำฉลากยามาตรฐาน ฉลากยาเสรมิ และเอกสารขอ้ มูล ยาใน 13 กลมุ่ ท่ีมรี ายละเอยี ดครบถ้วน • ตัวชี้วดั ที่4 รายการยาที่ควรพิจารณาตัดออก 8 รายการ ซ่ึงยังคงมอี ย่ใู นบัญชรี ายการยา ของโรงพยาบาล • ตวั ช้วี ดั ท่ี5 การดำเนนิ งานเพื่อสง่ เสรมิ จริยธรรมในการจัดซ้ือและสง่ เสรมิ การขายยา

48 • ตวั ชวี้ ดั ท่ี6 รอ้ ยละการใชย้ าปฏชิ วี นะในโรคตดิ เชอ้ื ท่ีระบบการหายใจชว่ งบนและหลอดลม อกั เสบ เฉยี บพลนั ในผูป้ ว่ ยนอก • ตวั ชี้วัดท่ี7 ร้อยละการใช้ยาปฏิชวี นะในโรคอจุ จาระร่วงเฉียบพลนั • ตวั ชว้ี ดั ที่8 รอ้ ยละการใชย้ าปฏชิ ีวนะในบาดแผลสดจากอุบัติเหตุ • ตัวชี้วัดที่9 รอ้ ยละการใช้ยาปฏิชีวนะในหญิงคลอดปกตคิ รบกำหนดทางช่องคลอด • ตัวชวี้ ดั ที่10 รอ้ ยละของผู้ป่วยความดันเลือดสูงทว่ั ไป ทใี่ ช้ RAS blockade (ACEI/ ARB/ Renin inhibitor) 2 ชนิดรว่ มกนั ในการรักษาภาวะความดันเลอื ดสูง • ตวั ชี้วัดที่11 ร้อยละของผู้ปว่ ยทใ่ี ช้ glibenclamide ในผ้ปู ่วยทมี่ ีอายมุ ากกวา่ 65 ปีหรือมี eGFR น้อยกวา่ 60 มล./นาที/1.73 ตารางเมตร • ตวั ชี้วดั ท่ี12 รอ้ ยละของผปู้ ว่ ยเบาหวานที่ใชย้ า metformin เปน็ ยาชนิดเดยี วหรือร่วมกับยา อน่ื เพื่อควบคุม ระดบั น้ำตาล โดยไมม่ ขี ้อห้ามใช้ (ห้ามใช้หาก eGFR<30 มล./นาท/ี 1.73 ตร. ม.)> >30มล./นาท/ี 1.73ตร.ม.) • ตัวชี้วดั ที่13 รอ้ ยละของผูป้ ่วยท่ีมกี ารใชย้ ากลุ่ม NSAIDs ซ้ำซ้อน • ตวั ชวี้ ัดที่14 รอ้ ยละผปู้ ่วยโรคไตเรื้อรังระดับ 3 ข้ึนไปทไ่ี ด้รับยา NSAIDs • ตัวช้ีวดั ที่15 รอ้ ยละผปู้ ว่ ยโรคหืดเรอ้ื รงั ทีไ่ ด้รบั ยา inhaled corticosteroid • ตัวชวี้ ดั ท่ี16 รอ้ ยละผปู้ ่วยนอกสูงอายุ (มากกว่า 65 ปี) ท่ีใชย้ ากลุ่ม long-acting benzodiazepine ได้แก่ chlordiazepoxide, diazepam, dipotassiumchlorazepat • ตัวชีว้ ัดท่ี17 จำนวนสตรตี ้งั ครรภท์ ไี่ ด้รบั ยาท่หี ้ามใช้ ไดแ้ ก่ ยาwarfarin*, statins, ergots เม่อื รู้วา่ ต้งั ครรภแ์ ล้ว (* ยกเว้นกรณีใส่ mechanical heart valve) • ตัวชี้วดั ท่ี18 รอ้ ยละของผู้ปว่ ยเด็กที่ได้รบั การวนิ จิ ฉัยเปน็ โรคติดเชื้อทางเดนิ หายใจ (ครอบคลุมโรคตามรหสั ICD-10ตาม RUA-URI) และได้รบั ยาต้านฮสิ ตามีนชนดิ non- sedating 2.3. ตวั ชวี้ ัดการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของโรงพยาบาลทีเ่ กยี่ วข้องกบั ผู้รับบรกิ ารวัยเด็ก 1. รอ้ ยละของการใช้ยาปฏชิ วี นะในโรคระบบทางเดินหายใจท่ี OPD <20% 2. รอ้ ยละของการใชย้ าปฏิชีวนะในโรคท้องรว่ งเฉยี บพลัน <20% 3. ร้อยละของการใชย้ าปฏิชีวนะในบาดแผลสดจากอุบัตเิ หตุ <40% 4. ร้อยละของผู้ปว่ ยโรคหืดเรื้อรงั ทีม่ ีการใช้ inhaled corticosteroid >80% 5. ร้อยละผู้ป่วยเดก็ ทป่ี ่วยระบบทางเดินหายใจ ใช้ non-sedating antihistamine <20%

49 2.4. การบริหารยาโดยหลักการ 10R (Quality Care Thailand, 2019) 1. Right patient (ผู้ป่วยทีเ่ หมาะสม) • ตรวจสอบชือ่ ยาและสายรดั ข้อมือ • โดยอดุ มคติให้ใช้ตัวระบุ 2 ตวั ขนึ้ ไปและขอให้ผ้ปู ่วยระบตุ นเอง 2. Right Medication / drug (ยาท่ถี ูกต้อง) • ตรวจสอบช่อื ยาทคี่ วรหลกี เล่ียงช่อื แบรนด์ • ตรวจสอบวนั หมดอายุ • ตรวจสอบคำส่ังแพทย์ • โดยเฉพาะยาปฏิชวี นะได้รับการทบทวนอยา่ งสมำ่ เสมอ 3. Right dose (ปรมิ าณนาท่ีถกู ต้องและเหมาะสม) • ตรวจสอบ order แพทย์ • ยนื ยันความเหมาะสมของขนาดยาโดยใช้ BNF หรือแนวทางท้องถ่นิ • หากจำเป็นให้คำนวณขนาดยาและให้พยาบาลอีกคนคำนวณขนาดยาดว้ ย 4. Right route (เส้นทางท่ถี ูกต้อง) • ตรวจสอบวา่ ยาท่ใี ห้ oral / IV / IM / Suppository • ยนื ยันว่าผ้ปู ว่ ยสามารถรับหรอื รบั ยาตามเส้นทางที่ส่งั 5. Right time (เวลาทเี่ หมาะสม) • ตรวจสอบความถี่ของการใชย้ าตามทีแ่ พทย์สั่ง • ตรวจสอบอีกคร้ังว่าใหเ้ วลาที่กำหนดในเวลาที่ถูกต้อง • ยนื ยนั เมือ่ ไดร้ บั ยาครัง้ สุดทา้ ย 6. Right patient education (ผปู้ ว่ ยควรมีความรเู้ กี่ยวกับยาที่จะได้รับ) • ตรวจสอบวา่ ผู้ปว่ ยเขา้ ใจวา่ เป็นยาอะไร • ทำใหพ้ วกเขาตระหนกั วา่ พวกเขาควรตดิ ต่อผ้เู ช่ยี วชาญดา้ นการดูแลสุขภาพหากพวกเขาพบ ผลขา้ งเคยี งหรอื ปฏิกริ ยิ า

50 7. Right documentation (การบนั ทึกการให้ยาทถี่ ูกตอ้ ง) • พยาบาลลงนามในยาหลังจากไดร้ ับยา • การกำหนดยาอย่างถูกต้องพร้อมวันเริ่มต้นและวนั สิ้นสุด 8. Right to refuse (สิทธิใ์ นการปฏิเสธ) • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไดร้ ับความยนิ ยอมจากผู้ปว่ ยในการจัดการยา • โปรดทราบวา่ ผู้ป่วยมีสทิ ธทิ จ่ี ะปฏเิ สธการใช้ยาหากพวกเขามคี วามสามารถในการทำเชน่ น้นั 9. Right assessment (การประเมินอาการคนไขก้ ่อนให้ยา) • ตรวจสอบผปู้ ่วยของคุณตอ้ งการยาจริง ๆ • ตรวจสอบขอ้ หา้ มในการใช้ยาของคนไข้แตล่ ะคน • การสังเกตเบื้องต้นหากจำเปน็ ต้องให้ยาหรือไม่ 10. Right evaluation (การประเมินผลหลกั การใหย้ า) • ตรวจสอบให้แน่ใจวา่ ยาทำงานตามที่ควรจะเป็น • ตรวจสอบใหแ้ นใ่ จว่ามกี ารทานยาอย่างสมำ่ เสมอ • การสังเกตอย่างต่อเน่ืองถา้ จำเป็น 3. แนวคิดการรับรู้และแนวคิดบทบาท 3.1 การรับรู้ หมายถึง การทมี่ นษุ ย์นำข้อมูลที่ได้จากความรู้สึกสมั ผัส (Sensation) ซงึ่ เปน็ ข้อมูลข้อมูลดิบ (Raw Data) จากประสาทสัมผสั ทัง้ 5 อนั ประกอบด้วย ตา หู จมกู ลิน้ และกาย สัมผัสมาจำแนก แยกแยะ คดั เลือก วิเคราะหด์ ว้ ยกระบวนการทำงานของสมอง แลว้ แปลสิ่งทไ่ี ด้ ออกเปน็ ส่งิ ใดทีม่ คี วามหมายเพอื่ นำไปใชใ้ นการเรยี นรตู้ อ่ ไป (แสงเดอื น ทวีสนิ , 2545) ดงั นัน้ พฤติกรรมของบุคคลจะตอบสนองต่อส่งเร้าท่ีได้รับได้อย่างไร ขนึ้ อยู่กับผลการทำงานของกระบวนการ รับรู้ และทำใหบ้ ุคคลตระหนักถงึ ตนเอง บคุ คลอ่นื สิ่งของ และเหตกุ ารณใ์ นสงิ่ แวดล้อมในโลกแหง่ ความเปน็ จรงิ การรับรูใ้ ห้ความหมาย ความสำคัญ มอี ิทธพิ ลตอ่ การแสดงออกแตล่ ะบคุ คลรับรตู้ อ่ ส่ิง เร้าในสถานการณ์เดยี วกนั ได้แตกต่างกันไปตามประสบการณ์ (ชดิ ชนก ทองไทย, 2556) 3.2 กระบวนการรับรู้ ประกอบด้วย 1. อาการรับสมั ผสั หมายถึง อวยั วะรับสมั ผสั ต่าง ๆ ไดร้ บั กระตนุ้ จากสิง่ เร้าแล้วจะแปล ความหมายโดยอาศัยประสบการณ์เข้ามาช่วย

51 2. การแปลความหมายของอาการสมั ผัส การแปลความหมายของสิง่ เรา้ ทร่ี ับเขา้ มาจะถกู ต้อง เพียงใดขึน้ อยู่กับปจั จยั 2 ประการ คือ 2.1 ปัจจัยทางด้านสรีระ เป็นขดี จำกดั ความสามารถของอวัยวะรบั สัมผัสที่ ตอบสนองต่อสิ่งเร้า เชน่ ขนาดของสิง่ เรา้ ความสึกหรอของอวยั วะรบั สัมผสั เป็นตน้ 2.2 ปัจจยั ทางจิตวิทยา สง่ิ เร้าท่มี ากระทบกับอวยั วะรับสมั ผัสมีมาก มนุษย์จะเลือก รับรเู้ ฉพาะส่งิ เรา้ ทีม่ ีความหมาย แต่การรบั รดู้ ังกล่าวจะเกิดขึ้นหรอื ไม่นนั้ ยอ่ มอยู่กับปัจจัยด้าน จติ วิทยา เชน่ - ความต้ังใจ เชน่ ความเปลีย่ นแปลง ความแปลกใหมข่ นาดและความเข้มการกระทําซำ้ - สติปญั ญา ทาํ ให้บุคคลเขา้ ใจเหตกุ ารณ์หรือสงิ่ ต่าง ๆ ไดช้ า้ หรอื รวดเร็ว - ความระวงั ระไวเป็นความคลอ่ งแคลว่ หรือไวต่อการรับรู้สิ่งเรา้ ต่างๆ - คณุ ภาพของจติ ใจความเหน่อื ยล้าหรอื ความแจม่ ใสของจิตใจย่อมมี ผลกระทบต่อความ เข้าใจสง่ิ เรา้ ตา่ ง ๆ ได้ - บุคลกิ ภาพ ผทู้ ่มี ีบุคลิกภาพเปดิ เผยชอบสงั คมกับผู้ที่มบี ุคลกิ ภาพเกบ็ ตัวมักจะรับรู้ส่งิ ในทางตรงขา้ มเสมอ 3. ประสบการณเ์ ดิม บุคคลจะรบั รู้ส่ิงตา่ ง ๆ ด้วยการคาดคะเนหรอื ตง้ั สมมุติฐานไวก้ ่อน เม่อื ไดร้ บั สิ่งเรา้ ท่ีเกดิ ข้ึนแล้ว ประสบการณเ์ ดิมทเี่ คยมมี าก่อนจะชว่ ยใหส้ ามารถยืนยันการคาดคะเนได้ หรือทําการแก้ไขการคาดคะเนเสียใหม่ (ศริ โิ สภาคย์ บรู พาเดชะ. 2529 : 93-97) 3.3 บทบาท หมายถึง “บทบาท” ตามความหมายของพจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หมายถึง “การกระทำ หน้าทีก่ ำหนดให้” (ราชบณั ฑิตยสถานม, 2546) บทบาท ตามความหมายของ Dictionary of Education หมายถงึ ลกั ษณะพฤติกรรมที่ แสดงออกของแตล่ ะบุคคลภายในกลุ่มที่กำหนด ตามแบบกระสวนพฤติกรรมของหนา้ ที่ท่ีคาดหวัง หรือหนา้ ที่บุคคลตอ้ งกระทำใหบ้ รรลผุ ลสำเร็จภายใตส้ ภาพแวดล้อมทางสังคมท่กี ำหนด(Wallace, S., 2015) บทบาทหมายถงึ ภาวะทตี่ ้องรบั ผดิ ชอบตามสถานภาพของแตล่ ะบุคคล ถา้ บกพร่องไปอาจ ก่อใหเ้ กดิ เสยี หายจะน้อยกวา่ บกพร่องในหน้าที่ (กลั ยาณี พรมทอง, 2560) ดงั น้นั บทบาทหมายถงึ พฤติกรรมการทำหนา้ ท่ที ีแ่ สดงและบ่งบอกทส่ี ามารถมองเหน็ ในสงั คม ตอ่ ความคาดหวงั ของบุคคลทีเ่ ก่ยี วขอ้ งในสภาพแวดลอ้ มของแตล่ ะบคุ คล 3.4 ลักษณะของบทบาท ประกอบด้วย บทบาทในอุดมคติ (Ideal Role) ได้แก่บทบาทท่ี กำหนดไว้เป็นกฎหมาย หรอื ตามความคาดหวังของบคุ คลทั่ว ไปในสงั คม (Expected Role) เป็นแบบ ฉบบั ของบทบาทที่สมบูรณ์ซึ่งผู้ที่มสี ถานภาพหนึ่งๆ ควรกระทา แตบ่ างครง้ั อาจไม่มีใครกระทำตามนั้น ได้อาทิสังคมคาดหวังว่าผู้บริหารสถานศึกษาต้องปฏิบัติหน้าท่ีหรือแสดงบทบาทนักประชาสัมพันธ์

52 จะต้องมีทักษะในการสื่อความหมาย รู้จกั วธิ ีสร้างภาพพจน์ท่ดี ีให้เกดิ ขึ้นแกส่ ถานศึกษา รจู้ ักและเขา้ ใจ วิธีการเผยแพร่ข่าวสารด้วยสื่อและวิธีการต่างๆ แต่ผู้บริหารสถานศึกษาบางคน อาจจะไม่เคยแสดง บทบาทน้ีเลยก็ได้ บทบาทท่ีบุคคลเข้าใจหรือรับรู้ (Perceived Role) ได้แก่บทบาทที่ข้ึนอยู่กับบุคคล น้ันๆ จะคาดคิดด้วยตนเอง ท้ังน้ียอ่ มเก่ียวกับทศั นคติ ค่านิยม หรอื บุคลิกภาพ และประสบการณ์ของ แต่ละบุคคล เช่น ผู้บริหารสถานศึกษาเข้าใจว่าตนเองควรแสดงบทบาทการบริหารวิชาการของ สถานศึกษา ดังน้ัน ผู้บริหารสถานศึกษาจึงให้นโยบายเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของ สถานศึกษาว่า ต้องยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นต้น บทบาทที่แสดงออกจริง (Actual Role หรือ Enacted Role) ได้แก่การกระทำที่บุคคลปฏิบัติจริง ซ่ึงย่อมข้ึนอยู่กับสถานการณ์เฉพาะหน้าใน ขณะนั้นด้วย ซ่ึงอาจเป็นสภาพแวดล้อมธรรมชาติและสภาพแวดล้อมทางสังคม อาทิจากแรงกดดัน ต่างๆ มีอิทธิพลต่อการบทบาทท่ีแสดงออกจริงของบุคคล ดังน้ันบทบาทที่แสดงออกจริงจึงอาจจะ สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับบทบาทในอุดมคติหรือบทบาทที่บุคคลเข้าใจหรือรับรู้ก็ได้ยกตัวอย่าง เช่น ผู้บริหารสถานศึกษารับรู้ตนเองว่าต้องทำการบริหารบุคคลด้วยความโปร่งใสและสามารถ ตรวจสอบได้แต่ในทางปฏิบัติบางครั้งถูกแรงกดดัน จากนักการเมืองท้องถ่ิน ทำให้ไม่สามารถทำได้ ตามหลักการบรหิ ารบคุ คลเปน็ ต้น (จำนง อดวิ ฒั นสิทธ์แิ ละคณะ, 2540) 4. แนวคิดสมรรถนะของบัณฑติ พยาบาลในการใชย้ าอย่างสมเหตุผลและการจดั การศึกษาทางการ พยาบาล 4.1 สมรรถนะที่พึงมีเพ่ือการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของพยาบาลศาสตรบัณฑิต (สุนทราวดี เพียรพิเชฐ, ศกุ รใ์ จ เจริญสุข, และทุตยิ รัตน์ รน่ื เริง, 2562) การใช้ยาอย่างสมเหตุผลในหลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต สภาการพยาบาล ได้พัฒนา สมรรถนะท่ีพึงมีเพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของบัณฑิต พยาบาลข้ึนจากกรอบสมรรถนะการใช้ยา อย่างสมเหตุผลของคณะทำงานขับเคล่ือนการพัฒนาระบบ การผลิตและพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ เพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ภายใต้คณะอนุกรรมการส่งเสริม การใช้ยาอย่างสมเหตุผล (กรอบ สมรรถน ะกลางของ 5 สภ าวิชาชีพ ) ซึ่งพั ฒ นาภ ายใต้กรอบ สมรรถนะ ของผู้สั่ งใช้ยา “The Prescribing Competency Framework” ที่กำหนดโดยสถาบันสุขภาพและ ความเป็นเลิศ ทางด้านการแพทย์ (The National Institute for Health Care Excellence, NICE) และสมาคม เภสัชกรรม (The Royal Pharmaceutical Society) ของ สหราชอาณาจักร ฉบับตีพิมพ์ เผยแพร่ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2559 ซึง่ ประกอบดว้ ย 10 สมรรถนะ ภายใต้ 2 มิติ คือมิติดา้ นการให้คำปรึกษา (The consultation) และมิติ ด้าน การกำกับ การใช้ยาตามการสั่งการให้ ยา (Prescribing Governance) และคัดเลือกสมรรถนะย่อยมาจัดทำเป็นรายละเอียดสมรรถนะในแต่ละด้าน ให้ สอดคล้องกับบริบทการ ปฏิบัติการพยาบาล โดยเทียบเคียงกับสมรรถนะผู้ประกอบวิชาชีพการ พยาบาลและการผดุงครรภ์ (Competencies of registered nurses) ดงั นี้

53 1. สามารถประเมินปญั หาผู้ป่วย ท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การใชย้ า หรือมคี วามจำเปน็ ตอ้ งใชย้ าในการ รักษา (Assess the patient) 1.1. การประเมินประวัตโิ รคประจำตัว ประวตั ิการใชย้ า และประวัติการแพย้ า แพ้อาหาร 1.2. ประเมนิ อาการข้างเคียงจากการใชย้ า 1.3. ประเมินอาการทด่ี ขี ึ้นหรือเลวลง 1.4. ติดตามความรว่ มมือในการใช้ยาอย่างต่อเนอ่ื ง 1.5. การสง่ ตอ่ 2. สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความจำเป็น (Consider the options) 2.1. พิจารณาข้อมลู ทีส่ ำคัญของผปู้ ่วยท่ีเกีย่ วข้องกับการเลือกใชย้ าหรือการรักษาแบบ ไม่ใช้ยาใน การรักษาและการส่งเสริมสขุ ภาพ 2.2. พิจารณาข้อมูลท่ีสำคัญของผู้ป่วยเพ่ือประกอบการปรับขนาดยา หยุดการให้ยา หรือเปลี่ยน ยา 2.3. ประเมินความเสย่ี งและประโยชนข์ องการใชย้ าและไม่ใชย้ า 2.4. ใช้ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ของยาท่ีอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยต่อไปน้ี เชน่ พนั ธุกรรม อายุ ความพร่องของไต การต้ังครรภ์ ฯลฯ เพ่อื ใหข้ ้อมลู แก่ผเู้ ก่ียวข้องให้เกิด ความปลอดภัย ในการใช้ยา 2.5. พิจารณาโรคร่วม ยาท่ีใช้อยู่ การแพ้ยา ข้อห้ามการใช้ยา และคุณภาพชีวิตท่ีอาจ ส่งผล กระทบต่อการเลือกใชย้ า 2.6. คำนึงถึงปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับการใช้ยาของผู้ป่วย (เช่น ความสามารถในการกลืนยา ศาสนา) และผลกระทบทอี่ าจเกดิ ขน้ึ จากวิธีการบรหิ ารยา 2.7. พัฒนาความรู้ให้เป็นปัจจุบัน ใช้แหล่งข้อมูลท่ีเช่ือถือได้ ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และ คำนึงถงึ ความคุ้มทุนในการพจิ ารณาการใช้ยาอยา่ งสมเหตผุ ล 2.8. เข้ า ใจ เร่ื อ ง เชื้ อ ด้ื อ ย า แ ล ะ แ น ว ท า ง ก า ร ป้ อ ง กั น แ ล ะ ค ว บ คุ ม เช้ื อ ดื้ อ ย า (antimicrobial stewardship measures)

54 3. สามารถสื่อสารเพ่ือให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา โดยพิจารณาจากข้อมูลทางเลือกท่ี ถูกต้อง เหมาะสมกบั บริบทและเคารพในมุมมองของผู้ป่วย (Reach a shared decision) 3.1. ช้ีแจงทางเลือกในการรักษา ยอมรับในการตัดสินใจเลือกแผนการรักษาและเคารพ ในสิทธิ ของผู้ปว่ ย/ผดู้ ูแล ในการปฏเิ สธและจำกดั การรกั ษา 3.2. ระบุและยอมรับ ความแตกต่างระหว่างบุ คคล ค่านิยม ความเชื่อ และความ คาดหวงั เก่ยี วกบั สขุ ภาพและการรักษาดว้ ยยา 3.3. อธิบายเหตุผล และความเส่ียง/ประโยชน์ของทางเลือกในการรักษาท่ีผู้ป่วย/ผู้ดูแล เข้าใจ ได้ 3.4. ประเมินความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ด่วนตัดสิน และ เข้าใจ เหตุผลในการไม่ร่วมมือของผู้ป่วยท่ีอาจเกิดขึ้นได้และหาวิธีที่ดีท่ีสุดในการสนับสนุนผู้ป่วย/ ผู้ดูแล 3.5. สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย/ผู้เก่ียวข้องเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยไม่ คาดหวงั ว่าการส่งั ยาน้นั จะเป็นไปตามท่ีตอ้ งการ 3.6. ทำความเข้าใจกบั การร่วมปรึกษาหารือก่อนใชย้ าเพ่ือผลลัพธ์ท่ีนำไปสู่ความพึง พอใจของทุก ฝ่ายท่เี กี่ยวข้อง 4. บริหารยาตามการส่งั ใช้ยาไดอ้ ย่างถูกต้อง 4.1. เข้าใจโอกาสที่จะเกิดผลไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา และดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยง/ ลด ความเสี่ยงทจี่ ะเกดิ ขนึ้ ตระหนกั และจดั การแกไ้ ขปัญหา 4.2. เข้าใจการส่งั จา่ ยยาของแพทยต์ ามกรอบบัญชียาหลกั แห่งชาติ 4.3. ตรวจสอบและคำนวณการใชย้ าให้ถกู ตอ้ ง 4.5. ใช้ข้อมูลที่ทันสมัยเก่ียวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (เช่น การเก็บรักษา การบรรจุ ฯลฯ) 4.6. ใช้ระบบทีจ่ ำเป็นเพ่อื การบริหารยาอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ (เชน่ ใบ MAR) 4.7. สือ่ สารข้อมลู เกี่ยวกับยาและการใชย้ าแกผ่ เู้ กยี่ วขอ้ งเม่ือต้องมีการสง่ ตอ่ ขอ้ มลู การรักษา 5. สามารถใหข้ ้อมลู ท่จี ำเปน็ ต่อการใช้ยาไดอ้ ย่างเพียงพอ (Provide information) 5.1. ตรวจสอบความเข้าใจและความม่งุ ม่ันต้ังใจของผปู้ ่วย/ผดู้ แู ลในการจัดการ เฝ้าระวงั ตดิ ตาม และการมาตรวจตามนดั

55 5.2. ให้ขอ้ มูลเกี่ยวกับยาท่ีชัดเจน เข้าใจได้ง่าย และเข้าถงึ ได้กับผู้ป่วย/ผดู้ ูแล (เชน่ ใช้ เพอ่ื อะไร ใช้อย่างไร อาการข้างเคียงที่ อาจเกิดข้ึน รายงาน อย่างไร ระยะเวลาของการใช้ ยา) 5.3. แนะนำผูป้ ่วย/ผูด้ แู ลเก่ียวกบั แหล่งขอ้ มูลทเี่ ช่อื ถือได้ในเรอื่ งยา และการรกั ษา 5.4. สร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วย/ผู้ดูแล ว่าจะจัดการอย่างไรในกรณีท่ีมีอาการไม่ดีขึ้นหรือ การ รักษาไม่ก้าวหนา้ ในช่วงเวลาท่ีกำหนด 5.5. สนับสนุนผู้ป่วย/ผูด้ แู ลให้มีสว่ นรบั ผิดชอบในการจัดการตนเองเร่ืองยาและภาวะ เจ็บป่วย 6. สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียงท่ีอาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้ (Monitor and review) 6.1. ทบทวนแผนการบริหารยาใหส้ อดคล้องกบั แผนการรักษาท่ผี ้ปู ่วยได้รบั 6.2. ต้องมกี ารติดตามประสทิ ธภิ าพของการรักษาและอาการขา้ งเคียงที่อาจเกิดขึน้ จาก การใช้ยา 6.3. ค้นหาและรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาโดยใช้ระบบการรายงานที่ เหมาะสม 6.4. ปรับแผนการบรหิ ารยาใหต้ อบสนองต่ออาการและความต้องการของผ้ปู ว่ ย 7. สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยท้ังต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม (Prescribe safely) 7.1. รู้เก่ียวกับชนิด สาเหตุ ของความคลาดเคล่ือนทางยาที่พบบ่อย และวิธีการป้องกัน การ หลกี เลยี่ ง และการประเมิน 7.2. ระบุความเส่ียงที่อาจเกิดข้ึนจากการส่ังยาผ่านสื่อหรือบุคคลอื่น เช่น ส่ังทาง โทรศัพท์ ทาง E-mail ท า ง Line ห รื อ ส่ั ง ผ่ า น บุ ค ค ล ท่ี ส า ม แ ล ะ ห า แ น ว ท า ง ล ด ค ว า ม เส่ี ย ง นั้น 7.3. บรหิ ารยาอย่างปลอดภยั ตามกระบวนการบรหิ ารยา เชน่ 7 rights 7.4. พัฒนาหาความรใู้ ห้ทันสมัยอย่เู สมอในประเด็นใหม่ที่เกิดขน้ึ เก่ียวกับความปลอดภัย ในการ ใชย้ า 7.5. รายงานความคลาดเคลือ่ นในการใชย้ า และ ทบทวนการปฏบิ ัตเิ พ่อื ป้องกนั การเกดิ ซำ้ 8. สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ และเป็นไปตามหลัก เวชจริยศาสตร์ (Prescribe professionally) 8.1. มน่ั ใจวา่ พยาบาลสามารถสง่ั จา่ ยยาได้ตามพรบ.วิชาชพี และพรบ.ยาแหง่ ชาติ

56 8.2. ยอมรับความรับผิดชอบส่วนบุคคลในการสั่งยาและเข้าใจในประเด็นกฎหมายและ จรยิ ธรรม 8.3. ร้แู ละทำงานภายใต้กฎหมาย และระเบียบข้อบงั คับเกย่ี วกับการส่ังยา (ยาที่ควบคุม ยาท่ีไม่ มีใบอนญุ าต ยาไมม่ ีฉลาก) 9. สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยา ได้อย่างต่อเน่ือง (Improve prescribing practice) 9.1. สะท้อนคิดการบริหารยาของตนเองและการส่ังยาของผู้เก่ียวข้อง เพื่อปรับปรุงการ ใช้ยา อย่างสมเหตุผล 9.2. เข้าใจและใช้เครื่องมือหรือกลไกท่ีเหมาะสมในการปรับปรุงการบริหารยาและการ สั่งยา (เชน่ patient and peer review feedback, prescribing data and analysis and audit) 10. สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบ สหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Prescribe as part of a team) 10.1. มีส่วนร่วมกับสหวิชาชีพเพื่อให้ม่ันใจว่าการดูแลมีความต่อเนื่อง เชื่อมโยงกันใน ทุกหน่วย โดยไมข่ ดั แย้ง 10.2. สร้างสัมพันธภาพกับทีมสหวิชาชีพ บนพื้นฐานของความเขา้ ใจ ความไว้วางใจ และยอมรับ ใน บทบาทของสหวชิ าชพี 4.2. เนือ้ หาหลกั เพอ่ื การใชย้ าอย่างสมเหตุผลในหลกั สูตรพยาบาลศาสตร์บณั ฑิต 4.2.1. การบรหิ ารยาในเดก็ ( พรทิพย์ มชี ัย, อัจฉรา พไิ ลสมบรูณ์) ประสิทธิภาพของการใช้ยารักษาโรคหรือภาวะผิดปกติในเด็กข้ึนกับการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง แม่นยำซึ่งการเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับโรคหรือภาวะของผู้ป่วย การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล โดย คำนงึ ถงึ เภสชั วทิ ยา พษิ และผลขา้ งเคยี งของยาท่ใี ช้ โดยทั่วไปการใหย้ าแกเ่ ดก็ ควรคำนงึ ถงึ ดังน้ี 1. ขนาดสูงสุด (maximal dose) ท่ีคำนวณได้โดยใช้น้ำหนักของเด็กเป็นหลัก ถ้าเกินขนาดที่ใช้ใน ผู้ใหญ่ต้องใหข้ นาดท่ใี ช้ในผูใ้ หญ่ 2. เด็กอว้ นมี metabolic rate ต่ำ เพราะไขมันเป็น metabolically insert tissue อาจต้องใช้ ideal body weight หรอื weight for height มาคำนวณในบางกรณี 3. เด็กที่บวม (edema) ต้องคิดขนาดยาจากน้ำหนักตัวก่อนบวมหรือน้ำหนักซ่ึงน้อยกว่าท่ีช่ังได้ ในขณะบวม

57 4. เด็กที่มีการท่างานของไตลดลงหรือเสียไป (renal impairment/renal failure) จะต้องปรับลด ขนาดยาท่ขี บั ออกทางไต 4.2.2. หลกั การบริหารยาในเดก็ (ธิดาพร วงศท์ องเหลือ,2553) 1. ใชย้ าเฉพาะเมื่อมขี อ้ บง่ ชี้ ใช้ดว้ ยความระมัดระวัง 2. เลือกใช้ยาที่ผ่านการรับรองว่ามีประสิทธิภาพในการักษา เหมาะสมกับโรคและผู้ป่วย ประวัตกิ ารแพ้ยา ชนดิ ของยาและราคายา 3.ต้องมคี วามรเู้ ก่ียวกับเภสชั วทิ ยา 4. ตอ้ งทราบขนาด วิธีการใช้ และระยะเวลาทใ่ี ห้ยา 5. คำนึงถึงโรคประจำตัว 6. การให้ยาหลายชนิดต้องคำนงึ ถึง drug-drug interaction 7. ทารกแรกเกิด มีพื้นท่ีผิวกายมากกว่าผู้ใหญ่ถึง 3 เท่า จึงดูดซึมยาทางผิวหนังมากกว่า ผู้ใหญ่ 3 เท่าด้วย จงึ ควรเลอื กความเขม้ ขน้ ให้เหมาะสม 8. การดูดซึมยาในเด็กเรียงลำดับจากเร็วไปช้า ดังนี้ suspension > capsule > tablet > sustained release tablet 9. ควรแนะนำวธิ ีการใช้ยาให้พอ่ แม่หรือผ้ดู ูแลเด็กเขา้ ใจและนำไปปฏบิ ัติได้ถูกต้อง 4.2.3. ขนาดยาทใ่ี ช้ในเดก็ จะคำนวณจากน้ำหนักตัว ขนาดสูงสุด ( maximal dose) ท่ีคำนวณได้โดยใช้น้ำหนักตัวเป็น หลัก ถ้าเกินขนาดที่ใช้ในผู้ใหญ่ต้องให้ขนาดท่ีใช้ในผู้ใหญ่ ถ้าเด็กอ้วน ต้องใช้ ideal body weight หรือ weight for height มาคำนวณ เด็กท่ีบวม ต้องใช้น้ำหนักตัวก่อนบวมมาคำนวณ เด็กท่ีมีการ ทำงานของไตลดลงหรอื เสียไป ตอ้ งปรับลดขนาดยาชนิดที่ขบั ออกทางไตลง การคำนวณขนาดยาในเดก็ (ภทั รนิ ทร์ พทิ ักษ์โชติวรรณ, วีรยา กุลละวณชิ ย์, 2549) 1. กฎของยงั (Young’s Rule) ใชส้ ำหรบั เดก็ อายุ 2-12 ปี ขนาดยาในเด็ก = อายุ (ปี)อายุ (ป)ี +12ขนาดยาผ้ใู หญ่ 2. กฎของฟรายด์ (Fried’s rule) ใชก้ บั เดก็ อายตุ ำ่ กวา่ 1 ปี ขนาดยาในเดก็ = อายุ (เดือน)150 เดอื นขนาดยาผู้ใหญ่ โดยสว่ นใหญใ่ นการคำนวณ ขนาดยาในเด็กจะเทียบกบั นำ้ หนักเปน็ หลกั ดงั น้ี ถ้าเดก็ นำ้ หนกั น้อยกวา่ 30 กโิ ลกรมั = (น้ำหนักของเดก็ 2)% ขนาดยาในผ้ใู หญ่ ถ้าเด็กน้ำหนกั มากกวา่ 30 กิโลกรมั = (น้ำหนักของเดก็ + 30)% ขนาดยาในผู้ใหญ่ 4.2.4. ประเภทของยาและรปู แบบของยา ประเภทของยาจำแนกตามพระราชบัญญตั ยิ า 5 กล่มุ (อาสาสมคั รสาธารณสขุ , 2651)

58 1. ยาสามัญประจำบ้าน คือ ยาที่กระทรวงสาธารณสุขคัดเลือกไว้ให้ประชาชนสามารถ เลือกใช้ได้เอง หาซ้ือได้โดยทั่วไป จะสังเกตได้ว่าจะต้องมีคำว่า “ยาสามัญประจำบ้าน” กำกับไว้บน ฉลาก เชน่ พาราเซตามอล ยาแก้ไอ เป็นต้น 2. ยาอันตราย คือ ยาแผนปัจจุบันท่ีมีอนั ตรายสูงกว่ายาสามญั ประจำบ้าน การใช้ยาประเภท น้ีต้องผ่านการดูแลจากเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข เช่น แพทย์ เภสัชกร ยากลุ่มน้ีจะมีคำว่า “ยาอันตราย” ระบุไวบ้ นฉลากข้างขวดหรือภาชนะทีบ่ รรจยุ า 3. ยาแผนปัจจุบันบรรจุเสร็จท่ีมิใช่ยาอันตราย คือ ยาแผนปัจจุบันท่ีผลิตขึ้นในรูปแบบต่างๆ ทางเภสัชกรรม มีบรรจุหีบห่อปิดไว้ มีฉลากครบถ้วน และเป็นยาที่กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้จัดให้ เป็นยาสามัญประจำบ้าน ยาควบคุมพิเศษ ยาที่ออกฤทธ์ิต่อจิตประสาทหรือยาเสพติด เน่ืองจากเห็น วา่ เป็นที่ยาที่คอ่ นข้างมีความปลอดภัย เช่น ยาแก้ไข้หวัดสูตรผสม และยาท่ีใช้ภายนอกท่ีโฆษณาอย่าง แพรห่ ลาย 4. ยาสมุนไพร คือ ยาที่ได้จากพืช หรือสัตว์ หรือแร่ธาตุท่ีไม่ได้นำไปปรุงแต่งใดๆ เช่น ว่าน หางจระเข้ ใบมะขามแขก ตับปลา ดแี กลือ เปน็ ตน้ 5. ยาแผนโบราณ คือ ยาที่ใช้กันมานานในอดีตเป็นส่วนใหญ่และปัจจุบันยังคงมีใช้อยูบ่ ้าง ใน ปัจจุบันยาท่ีใช้รักษาโรคแผนโบราณจะต้องขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณอย่างถูกต้อง เช่น ยาเขียวหอม ยาธาตบุ รรจบ เป็นตน้ 3.2.5. ประเภทของยาจำแนกตามวิธกี ารใช้ 1.ยาท่ีใช้สำหรับภายใน คือ ยาที่ใช้เพ่ือหวังผลในทางรักษาทั้งตัว ได้แก่ ยารับประทาน และ ยาฉีด 2.ยาท่ีใช้สำหรับภายนอก คอื ยาท่ีใช้เพ่ือหวงั ผลการรักษาเฉพาะที่ ได้แก่ ยาทา ยาหยอด ยา ดม ยาชำระลา้ งบาดแผล ฯลฯ 3.2.6. รปู แบบของยา ยามีหลายรูปแบบได้แก่ ยาเม็ด ยาเม็ดเคลือบ ยาแคปซูล ยาผง ยาน้ำใส ยาน้ำแขวนตะกอน ยาน้ำแขวนละออง ยาครีม ยาข้ีผึ้ง ยาปราศจากเชื้อยาเหน็บ เป็นต้น ยาเหล่านี้มีองค์ประกอบอยู่ 2 ส่วนคือ ตัวยาสำคัญ และ ตัวยาไม่สำคัญ ตัวยาสำคัญจะเป็นส่วนประกอบท่ีมีฤทธ์ิในการรักษา ส่วน ใหญ่ตัวยาสำคัญจะถูกปลดปล่อยออกจากรูปแบบยาทั้งหมดในคราวเดียวทันที (prompt release) เมอ่ื ยาถูกนำไปใช้ แตป่ ัจจบุ ันมีการออกแบบยาให้ตัวยาสำคัญคอ่ ยๆ ถกู ปลดปลอ่ ยออกจากรูปแบบยา อย่างช้าๆ (sustained release) หรือ เล่ือนเวลาที่ตัวยาสำคัญจะถูกปลดปล่อยออกจากรูปแบบยา (delayed release) เมอื่ ยาถกู นำไปใช้ รูปแบบยาที่แตกต่างกันนีช้ ่วยให้ความสะดวกและปลอดภัยแก่

59 ผู้ป่วยในการใช้ยา แต่ถ้าใช้ไม่ถูกต้อง เช่น บดหรือเคี้ยวยาก่อนกลืน ความสะดวกน้ันก็จะกลายเป็น โทษไป 1.ยาเม็ด ยาเม็ดเคลอื บ ยาแคปซูล สำหรับรับประทาน ต้องกลืนไปทั้งเม็ดหรือแคปซูล พร้อมน้ำสะอาด 1 แก้ว หากเม็ดยาหรือ แคปซูลมีรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปจากเมื่อแรกรับยามา เช่น เยิ้ม สีกระดำกระด่าง มีเกล็ดยาเกาะอยู่ แคปซลู บวมพอง แสดงวา่ ยาเสื่อมคุณภาพแล้ว หา้ มนำมาใช้ 2.ยาเม็ดหรอื แคปซูลชนดิ ปลดปลอ่ ยตวั ยาสำคญั ออกจากรปู แบบยาอย่างช้าๆ ต้องกลืนไปทั้งเม็ดหรือแคปซูล พร้อมน้ำสะอาด 1 แก้ว ห้ามบด หรือเค้ียวเม็ดยา ก่อนกลืน แมก้ ารแกะแคปซูลเทผงยาออกมาใสป่ าก กห็ า้ มทำ มิฉะนัน้ จะไดร้ บั ยาในปรมิ าณสูงมาก เปน็ อนั ตราย 3.ยารับประทานชนิดนำ้ แขวนตะกอน หรือ แขวนละออง ต้องเขย่าขวดก่อนรินยาเสมอ เพ่ือให้ตัวยาสำคัญกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ และรินยาโดยใช้ ชอ้ นตวงยา ซึ่ง 1 ช้อนชาจะเท่ากับ 5 ซีซี และ 1 ช้อนโต๊ะจะเทา่ กับ 3 ช้อนชา หรือ 15 ซซี ี หากเขย่า ยาน้ำแขวนตะกอนแล้ว แตต่ ะกอนยังจบั แน่นอยทู่ ่ีก้นขวด หรือ เขย่ายานำ้ แขวนละอองแล้ว แต่ยังพบ การแยกชน้ั ของนำ้ กบั นำ้ มนั แสดงวา่ ยาเสอื่ มคุณภาพ ห้ามใชย้ านน้ั 4.ยาอม หากเปน็ ยาอมใต้ลนิ้ ตอ้ งนำยาเม็ดใส่ไวใ้ ต้ล้ิน และอมไว้โดยไม่กลืนนำ้ ลาย เพื่อให้ยาถูกดูดซึมเขา้ กระแสเลือดผ่าน ทางหลอดเลือดในช่องปาก แต่หากเป็นยาอมแก้เจ็บคอ หรือยาอมแก้การติดเช้ือราในปาก ให้นำเม็ด ยาวางไว้บนลิ้น และอมไว้ ปล่อยให้น้ำลายมาละลายยา เมื่ออมยาประเภทน้ีสามารถกลืนน้ำลายได้ หากเม็ดยามีรูปร่างหน้าตาเปล่ียนไปจากเมื่อแรกรับยามา เช่น สีกระดำกระด่าง แสดงว่ายาเสื่อม คณุ ภาพแลว้ ห้ามนำมาใช้ 5.ยาผง สำหรับรับประทาน ต้องนำไปผสมน้ำก่อนดื่ม ควรใช้ตามที่ระบุบนฉลาก เช่น ยาผงเกลือแร่ ทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่เมื่อท้องเสีย จะต้องผสมยา 1 ซองกับน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 1 แก้ว หากใช้ซองใหญ่ก็ต้องผสมกับน้ำ 750 ซีซี คนให้ละลายและดื่ม ห้ามเก็บค้างคืน สำหรับยาผงท่ีใช้เป็น ยาระบายจะต้องผสมนำ้ ต้มสุกที่เยน็ แลว้ 1 แก้วและดมื่ ทันที พร้อมด่ืมน้ำตามอีก 1 แก้ว ห้ามตงั้ ทิง้ ไว้ นาน เพราะยาจะพองตัวมากและขน้ หนืดจนด่ืมไม่ได้ 6.ยาทาผิวหนงั เป็นยาครมี เจล หรือขี้ผ้ึง ก่อนใช้ควรทำความสะอาดผิวหนังบริเวณท่ีต้องการ จากน้ันบีบยา ลงไปพอประมาณ แล้วทาให้ยาแผ่ไปบางๆ บนผิวหนัง หากหลอดยาบวม หรือเมื่อบีบยาออกมาได้แต่ นำ้ หรือนำ้ มนั ทแ่ี ยกชนั้ กับเน้ือยา แสดงวา่ ยาเสือ่ มคณุ ภาพแลว้ ห้ามนำมาใช้

60 7.ยาทา ถู นวด อาจเปน็ ยาครีม เจล หรอื ข้ีผ้ึง ใช้แก้อาการปวดเม่ือย ซ่ึงหลังจากทายาแลว้ ต้องทำการถแู ละ นวดผวิ หนงั บริเวณนนั้ ดว้ ย เพอ่ื ให้เกิดความรอ้ น จงึ จะแกอ้ าการปวดเม่ือยได้ 8.ยาหยอดตา เป็นยาน้ำและถูกทำให้ปราศจากเช้ือ ยาป้ายตาก็เปน็ ยาท่ีถูกทำใหป้ ราศจากเชอื้ ทง้ั ยาหยอด ตาและป้ายตา บางชนดิ ต้องเก็บในตู้เย็น ซงึ่ ข้ึนอยูว่ ่าตัวยาสำคัญคอื ยาใด ก่อนใช้ต้องลา้ งมือใหส้ ะอาด และหยอดยา 1 หยด หรือป้ายยา 1 เซนติเมตร ลงไปในกระพุ้งเปลือกตาล่าง โดยไม่ให้ปลายหลอด สมั ผัสกับตา ยาหยอดตาและยาป้ายตาที่เปดิ ใชแ้ ล้ว หากใช้ไม่หมดสามารถเก็บไว้ใช้ได้อกี แต่ไมเ่ กิน 1 เดือน หากต้องใช้ยาหยอดตาหรือยาป้ายตา 2 ชนิด ให้ใช้ห่างกันประมาณ 10 นาที หากยา 2 ชนิด นน้ั ชนิดหนง่ึ เป็นยาหยอดตา อกี ชนดิ หนึง่ เป็นยาป้ายตา ใหใ้ ชย้ าหยอดตากอ่ น 9.ยาล้างตา เม่ือเปิดใช้แล้ว มอี ายอุ ยไู่ ดเ้ พียง 7 วัน จงึ ไมค่ วรซ้อื ยาขวดโตมาใช้ แมว้ ่าราคาจะถูกกว่าขวดเลก็ 10.ยาหยอดหู ยาหยอดจมูก ยาพ่นจมกู เปน็ ยาท่ีตอ้ งการให้ออกฤทธิ์เฉพาะที่หู หรือ จมกู เท่านนั้ กอ่ นหยอดหรอื พน่ ยา ควรกำจัดส่ิง ที่อุดตันออกก่อน ได้แก่ ขี้หู และน้ำมูก ควรใช้ยาตามจำนวนครั้งที่ระบุบนฉลาก การใช้มากเกินไปไม่ ชว่ ยให้ดีขึ้น แต่อาจทำให้อาการเป็นมากขึ้นได้ เช่นกรณียาหยอด/พ่นจมูกซ่ึงมักประกอบด้วยตัวยาลด อาการคัดจมูก หากใช้เกินกว่า 4 คร้ังตอ่ วันหรือนานกว่า 3 วัน จะทำให้เยอื่ บุโพรงจมูกบวม และรู้สึก คัดจมูกมากข้ึนกว่าเดมิ 11.ยาสดู พน่ เขา้ ทางปาก เป็นรูปแบบยาที่มีวิธีใช้พิเศษ ใช้รักษาโรคหืดและโรคปอดอุดก้ันเรื้อรัง โดยให้ออกฤทธิ์ เฉพาะที่ที่บริเวณหลอดลม ต้องฝึกวิธีใช้ให้ถูกต้อง จึงจะได้ยาเข้าไปยังหลอดลม แต่หากทำไม่ได้ ควร ปรึกษาเภสัชกร เพราะปัจจุบันมีเครื่องช่วยในการสูดพ่น ซ่ึงเม่ือนำมาใช้ร่วมจะทำให้ประสบ ความสำเรจ็ ในการสูดพน่ ยา และทำให้ควบคมุ อาการของโรคได้ 12.ยาสอด / สวนทวารหนกั ใช้เพ่ือรักษาริดสีดวงทวาร หรือ เป็นยาระบาย ขึ้นอยู่ว่าตัวยาสำคัญคือยาใด ยาสอดทวาร หนักมีส่วนประกอบเป็นขี้ผ้ึงเป็นส่วนใหญ่ จึงต้องแช่ในตู้เย็น (ห้ามใส่ในช่องแช่แข็ง) เพื่อให้คงรูปร่าง ซึ่งคล้ายจรวด เม่ือจะใช้จึงนำออกมาจากตู้เย็น ปล่อยให้คลายตัวสักพัก แล้วฉีกกระดาษหุ้มออก จุ่ม ยาลงในน้ำสะอาด 1 แก้ว แล้วสอดยาเข้าในทวารหนัก โดยเอาด้านแหลมเข้า หลังจากสอดยาแล้วให้ นอนตอ่ สกั 15 นาที จงึ ลกุ ขน้ึ 13.ยาสอดช่องคลอด

61 เป็นยาเม็ดแข็ง ไม่ตอ้ งแช่ตูเ้ ย็น ใช้รักษาอาการตกขาวในผหู้ ญิง ควรจุ่มเมด็ ยาลงในน้ำสะอาด 1 แก้ว ก่อนสอดยาเข้าในช่องคลอด โดยเอาด้านแหลมเข้า เพื่อให้สอดเม็ดยาได้ง่ายขึ้น หลังจากสอด ยาแล้วใหน้ อนตอ่ สัก 15 นาที จึงลุกขึน้ 14. ยาแผน่ แปะผิวหนังใชใ้ นจุดประสงค์ตา่ ง ๆ ใช้แกป้ วดในผปู้ ่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ใช้ในผทู้ ี่มีอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ ใช้แกเ้ มารถ เมาเรือ ใช้เป็นฮอรโ์ มนทดแทนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ใช้คุมกำเนิด ใช้ช่วยอดบุหร่ี แต่ไม่ว่าจะ ใช้ในจุดประสงค์ใด วิธีใช้ยาแผ่นแปะเหล่านี้ก็คือ ต้องติดแผ่นยาทั้งแผ่น ห้ามตัดแบ่ง และใช้ตาม ระยะเวลาท่ีระบุไว้ เช่น ยาแผ่นแปะแก้ปวดเฟนตานิล (fentanyl) ที่ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายมี อายุการใช้ 3วันต่อการแปะ 1 แผ่นการแปะแผ่นยานานกว่าน้ีจะไม่ได้ผลแก้ปวด นอกจากนี้การแปะ แผ่นยาบนผิวหนังไม่ว่าจะเป็นยาใดจะต้องแปะบนผิวหนังท่ีสะอาด ไม่มีเหงื่อ ไม่มีขน เพื่อให้แผ่นยา แปะอยูไ่ ด้ และไม่ปดิ ซ้ำที่เดมิ เมอ่ื เปล่ียนแผ่น หากแผ่นยาหลุดออกมาก่อนเวลาเปล่ียนแผน่ ให้ทงิ้ แผ่น ยาน้ันไป และนำแผน่ ยาแผ่นใหมม่ าแปะทผ่ี ิวหนังบรเิ วณอ่ืน 15.ยาฉดี เปน็ ยาปราศจากเชอื้ สว่ นใหญ่ฉีดโดยแพทย์หรือพยาบาล ยกเว้นยาฉีดอนิ ซูลินที่ผู้ปว่ ยจะฉีดเอง ยานี้เป็นยาฉดี เข้า ใตผ้ วิ หนัง ตอ้ งเกบ็ ยาในตเู้ ย็นบรเิ วณท่ไี ม่ใชช่ ่องแชแ่ ข็ง เม่ือจะใชก้ ็นำออกมาจากตู้เยน็ ปลอ่ ยให้คลาย ตัวสักพัก และคลึงขวดยาระหว่างฝ่ามือทั้งสองข้างเพื่อให้อินซูลินมีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิกาย หาก เป็นอินซูลินชนิดน้ำขุ่น ต้องคลึงขวดยาจนยากระจายตัวเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงดูดยาออกมาตาม ปริมาณท่ีระบุไว้บนฉลาก จากน้ันจึงฉีดเข้าใต้ผิวหนัง โดยก่อนฉีดต้องเชด็ ทำความสะอาดผวิ หนังด้วย สำลีชุบแอลกอฮอล์ ปัจจุบันมียาฉีดอินสุลินชนิดปากกาซ่ึงใช้ได้สะดวกขึ้น อินสุลินท่ีอยู่ในปากกาไม่ จำเป็นต้องเก็บในตู้เยน็ เพราะใชห้ มดภายในเวลาไม่เกนิ 1 เดอื น แต่อนิ สุลนิ ท่ียงั ไม่เปิดใชไ้ ม่ว่าจะเป็น ชนิดปกตหิ รอื ชนิดทใ่ี ช้กบั ปากกาจะตอ้ งเก็บไว้ในตู้เย็นบริเวณท่ไี ม่ใช่ชอ่ งแชแ่ ข็ง 5. งานวิจยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง การวิจัยเกี่ยวกับสมรรถนะของนิสิตพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลน้ันไม่ปรากฏในการ ทบทวนวรรณกรรม พบเพียงการศึกษาการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาสมรรถนะของนิสิต พยาบาล การรับรู้บทบาทตนเองของนิสิตพยาบาลตามสมรรถนะการใช้ยาอย่างสมเหตุผล และ การศึกษาการเกิดความคลาดเคล่อื นทางยาในเด็ก ดังน้ี กมลรัตน์ เทอร์เนอร์, เมทณี ระดาบุตร, นฤมล เหล่าโกสิน, ลัดดาวัลย์ ไวยสุระสิงห์และสตรี รตั น์ ธาดากานต์ (2562) ศึกษา การประเมินกระบวนการบูรณาการการจัดการเรียนการสอนการใช้ ยาอย่างสมเหตุผลในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต พบว่า ด้านการกำหนดนโยบายข้อมูลเชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพมีความสอดคล้องกัน สถาบันการศึกษาพยาบาลส่วนใหญ่มีการกำหนด

62 นโยบายการจัดการเรียนการสอน/การบูรณาการ การใช้ยาอย่างสมเหตุผล เร่ิมตั้งแต่การกำหนด นโยบายของสภาการพยาบาลไปจนถึงการพัฒนาการเรียนการสอนเพ่ือการใช้ยาอย่างสมเหตุผลและ อาจารย์ผู้สอนแต่ละสถาบันการศึกษา ได้รับนโยบายจากสภาการพยาบาลในช่วงของการปรับปรุง หลักสูตรปี 2560 และ 2561 จะเห็นได้วา่ การมีนโยบายที่ชัดเจนเป็นจุดแข็งของการบรหิ ารคือ มีการ วางแผนและมีการกําหนดนโยบาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองจะนําไปสู่ผลท่ีพึงประสงค์ของ การดำเนินงาน นอกจากนี้การรับมอบนโยบายจากผู้บริหารเป็นปัจจัยหนึ่งท่ีมีผลต่อความสําเร็จแต่ อย่างไรก็ตามนโยบายควรได้รับการติดตามและ ประเมินผลในระยะ ด้านการกำหนดผู้รับผิดชอบ การบูรณาการและการจัดการเรียนการสอนการใช้ยาอย่างสม เหตุผล ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิง คุณภาพมีความสอดคล้องกัน สถาบันการศึกษาพยาบาลส่วน ใหญ่มีการกำหนดผู้รับผิดชอบการบูร ณาการและการจัดการเรียนการสอนในการบูรณาการการใช้ ยาอย่างสมเหตุผล โดยเริ่มจากกำหนด นโยบายของสภาการพยาบาล การกาํ หนดผูร้ บั ผดิ ชอบ การบรู ณาการเรยี นการสอนจนไปสกู่ ารจดั การ เรียนการสอน ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยที่พบว่า การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาควรมีการ กำหนดบทบาทครูผู้รับผิดชอบก่อนการจัดการเรียนรู้ในด้านการเตรียมหน่วยการเรียนรู้และจัดการ เรียนรู้ ซ่ึงบทบาทสําคัญของครคู ือการสนบั สนุนการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้และควบคุมดูแลเวลา ในการดำเนินการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การจัดการเรียนการสอนใน ชั้นเรียนท่ีเหมาะสมกับผู้เรียนเป็นส่ิงที่มคี วามสําคญั ซ่งึ ทำให้ผู้เรยี นไมต่ ้องกงั วลในการคน้ คว้าเพ่ิมเติม ดา้ นการกำหนดสมรรถนะการใช้ยาอย่างสมเหตุผลมีความสอดคล้องกันทั้งข้อมูลเชิงปริมาณ และเชิง คุณภาพพบว่า สถาบันการศึกษาพยาบาลมีการกำหนดรายวิชาที่มีการบูรณาการการใช้ยาอย่างสม เหตผุ ลในมคอ.2 ส่วนใหญ่กําหนดประเด็นเนื้อหาการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในรายวิชาท่ีเกี่ยวข้องมกี าร กำหนดสมรรถนะของการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในวัตถุประสงค์ ในมคอ.3 หรือมคอ.4 มีการจัดการ เรียนการสอนทีส่ ัมพันธ์กบั สมรรถนะของการใชย้ าอย่างสมเหตุผลจากการศึกษาผลของการกำกับดแู ล ตนเองต่อประสิทธิภาพของหลักสูตรในการใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ พบว่าการกำหนดสมรรถนะการ เรียนรู้จะเพิ่มศักยภาพในการปรับปรุงประสิทธิภาพการเรียนการสอนของผู้เรียน สอดคล้องกับ การศึกษาเปรียบเทยี บความรู้ด้านเนื้อหาของนักเรียนตามการจัดการเรยี นรู้ของสะเต็มและสมรรถนะ ของหลักสูตรในการเรียนเสมือนจริง พบว่าการกำหนดสมรรถนะของหลักสูตรมีอิทธิพลต่อการคงอยู่ ของนกั เรียนในการจดั การเรยี นรู้ตามแนวทางสะเต็ม ด้านการกำหนดรายวชิ าและประเดน็ การเรียนรู้ มีความสอดคล้องกันทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ จะเห็นได้ว่าสถาบันการศึกษาส่วน ใหญ่มีการกำหนดรายวิชาและประเด็นการเรียนรู้ โดยบรรจุคำว่า “การใช้ยาอย่างสมเหตุผล” อยู่ใน คำอธิบายรายวิชาท่ีเกี่ยวข้องตามการศึกษาของ McCrory และคณะ พบว่า การกำหนดรายวิชาและ ประเด็นการเรียนรู้เป็นปัจจัยสําคัญท่ีกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการอภิปรายปัญหาที่เกิดขึ้นจากการสอน ด้านการกำหนดวัตถุประสงค์และผลการเรียนรู้ จะเห็นได้ว่าเกือบทุกสถาบันมีการกำหนด

63 วัตถปุ ระสงคแ์ ละผลการเรียนร้เู กีย่ วกับสมรรถนะการใช้ยาอยา่ งสมเหตุผลในวตั ถถุ ุประสงค์ของมคอ.3 หรอื มคอ.4 จากการศึกษาปัจจัยท่ีอธบิ ายผลของการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่เปลย่ี นแปลงไป พบว่า การกําหนดวตั ถุประสงค์ของหลักสตู รสามารถอธิบายการเปล่ียนแปลงผลเชิงลกึ ของการเรียนการสอน ได้อย่างชัดเจนสอดคล้องกับงานวิจัยของ Kadri และคณะ พบว่า การกำหนดวัตถุประสงค์ของ หลักสูตรมีผลต่อการแนวทางการเรียนรู้ของผู้เรียน ด้านการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง เกือบทุกสถาบันการศึกษามีวิธีการจัดการเรียนการสอนเก่ียวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผล และมีการบูรณาการระหว่างรายวิชาและสหสาขาด้วย โดยต้องพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเรื่อง การใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการจัดการเรียนการสอนท่ีหลากหลายวิธี สอดคล้องกับงานวิจัยเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย เช่น การอภิปรายกลุ่ม การใช้ กรณีศึกษา การใชผังความคิดและการเรียนแบบร่วมมือสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ในระดับสูงและช่วย ส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนในด้านการพัฒนาตนเองมากขึ้น ด้านการประเมินผลท่ีหลากหลาย สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่มีการประเมินผลการบูรณาการการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในรายวิชาท้ังใน ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซ่ึงสอดคล้องกับทั้งการวจิ ัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ อย่างไรก็ ตามการประเมินกระบวนการท่ีหลากหลายควรมุ่งเนน้ ประเมินทั้งกระบวนการเรียนการสอน ส่ือ การ สอน กิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผล และควรมีประเมินการเรียนรู้จากการปฏิบัติ ควรมีการกำหนดเกณฑ์ ผลลัพธ์ ตัวชี้วัดท่ีชัดเจนในการเรียนรู้จากการปฏิบัติในทุกกิจกรรม พันธนกิจ หลักของสถาบันในทุกมิติอย่างสม่ำเสมอสอดคล้องกับ Zhang ที่กล่าวว่า การประเมินผลควรเป็นได นามิกท่ีสามารถทำการปรบั ในระหว่างการดําเนนิ การตามขอ้ เสนอแนะท่ีไดร้ ับจากการประเมนิ ผลเป็น ระยะ ซึ่งจะทำให้การทำงานมีคุณภาพการศึกษารวมถึงสามารถตัดสินใจในการดำเนินงานในระยะ ต่อไป ดารุณี บุญหม่ืนและคณะ (2561) ศึกษาการรับรู้บทบาทตนเองตามสมรรถนะบัณฑิต พยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของนิสิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิต พบว่าบัณฑิตพยาบาล มีการรับรู้สมรรถนะการใช้ยาสมเหตุผลโดยรวมอยู่ในระดับมากซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยที่ศึกษา สมรรถนะด้านความสามารถในการใช้ยา ของนักศึกษาพยาบาลท่ีเร่ิมเรียนพยาบาลและนักศึกษา พยาบาลท่ีจะสำเร็จการศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลท่ีเริ่มเรียนพยาบาล จำนวน 328 คนและนักศึกษาพยาบาลก่อนสำเร็จการศึกษาพยาบาล จำนวน338 คน โดยประเมิน ความรู้เก่ียวกับเภสัชวิทยา การบริหารจัดการยา รวมถึงการประยุกต์ความรู้ไปใช้ในการตัดสินใจการ ให้ยาแก่ผู้ป่วยผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาพยาบาลที่จะสำเรจ็ การศึกษาพยาบาลมคี วามรู้ทักษะการ ปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้ยาและการตัดสินใจดีกว่านักศึกษาพยาบาลที่เริ่มเรียนพยาบาล10 ซึ่งการท่ี บัณฑิตพยาบาลจะมีสมรรถนะดังกล่าวได้นั้นการจัดการเรียนการสอนนับเป็นกระบวนการท่ีสำคัญใน การสร้างสมรรถนะ โดยเฉพาะอย่างย่ิงสมรรถนะด้านการใช้ยาของพยาบาลซ่ึงควรมีการจัดการเรียน

64 การสอนท่ีช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้จากทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติได้ เมื่อพิจารณาสมรรถนะย่อย การใช้ยาอย่างสมเหตุผลพบว่า มีการรับรู้สมรรถนะย่อยในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูง ท่สี ุดคือ สมรรถนะการใช้ยาสมเหตุผลด้านทำงานร่วมกับผู้อืน่ แบบสหวชิ าชีพ รองลงมาคือ สมรรถนะ ด้านใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพและเป็นไปตามหลักเวชจริยศาสตร์ ส่วนด้านร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น สำหรบั ด้านที่ได้คะแนนน้อย ท่ีสุดคือ การร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็นทั้งนี้อาจเป็นเพราะ พยาบาลไม่ได้เป็นผู้ท่ีมีบทบาทในการส่ังยาโดยตรง แต่มีบทบาทในการรับผิดชอบบริหารยา การรับรู้ สมรรถนะในการร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมจึงมีค่าคะแนนน้อยกว่าด้านอ่ืน แต่ อยา่ งไรกต็ ามยงั อยใู่ นระดบั มาก ธนธรณ์ ปิ่นรัตน์, อศัลยา อร่ามวิทย์และดวงใจ ดวงฤทธิ์ (2561) ศึกษาการเกิดความ คลาดเคล่อื นทางยาในผู้ปว่ ยเด็ก พบวา่ อัตราการเกิดความคลาดเคลื่อนทางยาในผปู้ ว่ ยเด็กพบมากกว่า ผู้ใหญ่ จากการศึกษาของ Simpson และคณะ, Kaushal และคณะ และ Fortescue และคณะ พบว่าความคลาดเคลื่อนทางยาในผู้ป่วยเด็กมีอัตราการเกิดร้อยละ 71 - 78 Zakharov และคณะ รายงานว่าพบอัตรา ความคลาดเคลื่อนทางยาในกลุ่มคนอายุ 1-5 ปี มากที่สุดร้อยละ 26.0 ในขณะที่ กลุ่มคนอายุ 45-60 ปีพบน้อยที่สุดร้อยละ 10.75 จากการศกึ ษาของ Kaushal และคณะ พบว่าอัตรา การเกิดเหตุการณ์ ไม่พึงประสงค์ (potential adverse events; ADEs) ในผู้ป่วยเด็กสูงกว่าผู้ใหญ่ ประมาณ 3เท่า (ร้อยละ 1.1 เทียบกับร้อยละ 0.4; p < 0.001) เช่นเดียวกับอัตราการเกิดความ คลาดเคล่ือนทางยาท่ีเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือเกือบทําให้เสียชีวิตซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Stucky และคณะ พบว่าอัตราการเกิดในผู้ป่วยเด็กสูงกว่าผู้ใหญ่ ประมาณ 3 เท่าเช่นกัน (ร้อยละ 31 เทียบกับ ร้อยละ 13) สําาหรับในประเทศไทย โสภิตา กรี ติอไุ ร และคณะพบว่าความคลาดเคล่ือนจาก การส่ังใช้ยาเป็นความคลาดเคล่ือนทางยาท่ีพบมากที่สุดในผู้ป่วยเด็ก โดยมีอัตราการเกิดมากถึง ร้อย ละ 41.6 ซ่ึงส่วนใหญ่เกิดจากการไม่ส่ังยาที่ควรใช้ต่อเน่ือง อย่างไรก็ตามผลการศึกษาของ โสภิตา กรี ติอไุ ร และคณะ และ นีลกมล ภูมิภมร และคณะมีความสอดคล้องกันวา่ ผลของความคลาดเคล่ือน ทางยาท่ีเกิดข้ึนนั้นยังไม่ทําให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยและจากการศึกษาของ Kaushal และคณะ, Fortescue และคณะ และ Hartzema และคณะ พบวา่ การให้ยาผิดขนาด (wrong dose/incorrect dose) มีอัตราการเกิดมากที่สุดถึงร้อยละ 28-31 โดยเฉพาะโรงพยาบาลท่ีเป็นศูนย์แพทยศาสตร์ ศึกษาช้ันคลินิก เน่ืองจากแพทย์ฝึกหัดและนักศึกษาแพทย์ที่ปฏิบัติงานยังขาดประสบการณ์ นอกจากนี้ Hartzema และคณะ ยังพบสาเหตุเพ่ิมติมว่า เกิดจากผู้ปกครองขาดความรู้ในการบริหาร ยาเน่ืองจากไม่ได้รับคำแนะนำการใช้ยาจากเภสัชกร เป็นต้นความคลาดเคล่ือนทางยาที่มีอัตราการ เกิดสงู เชน่ กนั คอื ไม่สั่งใช้ยาทค่ี วรใชอ้ ย่างต่อเนอื่ ง (omission) ซงึ่ จากการศกึ ษาของ นีลกมล ภูมิภมร

65 และคณะ ในประเทศไทยพบ ว่าอัตราการเกิดความคลาดเคล่ือนประเภทนี้สูงถึงร้อยละ 70.4 ในกลุ่ม ผู้ป่วยในแรกรับและร้อยละ 55.6 ในกลุ่มผู้ป่วยที่จําหน่ายออกจาก โรงพยาบาล สําหรับความคลาด เคล่ือนทางยาท่ีเกิดรองลงมาคอื การบริหารยาผิดวธิ ี (wrong route) ผลการศึกษาของ Kaushal และ คณะ, Fortescue และคณะ และ Hartzema และคณะ พบว่ามีอัตราการเกิดร้อยละ 11-18 ใกล้เคียงกบั ความถ่ีในการให้ยาผิด (wrong frequency) ซ่ึงมอี ตั ราการเกดิ ร้อยละ 9-12 เมอ่ื พิจารณา ตามกลุ่มยา Kaushal และคณะ พบ ความคลาดเคลื่อนทางยาของยากลุ่มอิเล็กโทรไลต์ และสารนํ้า (electrolyte and fluids) มากที่สุด ร้อยละ 26 ซึ่งมีสาเหตุมาจากการสั่งใช้ยาไม่ระบุความแรงให้ ชัดเจน ความผิดพลาดของการผสม และเจือจางยาก่อนบริหารยา ส่งผลใหผู้ป่วยได้รับยาผิดขนาด และดว้ ยเหตุนีจ้ ึงทำให้การบรหิ ารยา โดยการฉีดเกิดความคลาดเคลอ่ื นทางยามากที่สดุ จากการศึกษาและทบทวนวรรณกรรม ไม่พบว่ามีผู้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้และ การศึกษาเก่ียวกับสมรรถนะของนิสิตพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลกับผู้รับบริการวัยเด็ก มี เพียงการศึกษาสมรรถนะของบัณฑิตพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลแก่ผู้รับบริการที่ไม่ระบุ เฉพาะกลุ่มอายุ และการศึกษารูปแบบการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาสมรรถนะของบัณฑิตใน การใช้ยาอย่างสมเหตุผลแก่ผู้รับบริการตามท่ีสภาพยาบาลกำหนด ในการวิจัยน้ี ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษา การรับรู้บทบาทตนเองของนิสิตพยาบาลตามสมรรถนะการใช้ยาอย่างสมเหตุผลกับผ้รู ับบริการวัยเด็ก ตามกรอบแนวคิดสรรถนะฯท่ีสภาพยาบาลกำหนด ซ่ึงเป็นการศึกษาการรับรู้บทบาทที่บุคคลเข้าใจ หรือรับรู้ (perceived role) เก่ียวกับการกระทำที่สอดคล้องตามหลักสมรรถนะฯที่องค์กรวิชีพ กำหนด เน่ืองจากหากบุคคลไม่มีการรับรู้พฤติกรรมหรือบทบาทที่ตนเองต้องกระทำตามองค์กร วชิ าชพี กำหนด บุคคลนนั้ ก็จะไมส่ ามารถพัฒนาสมรรถนะหรือความสามารถเฉพาะด้านนัน้ ๆได้

66 บทท่ี 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครงั้ น้เี ป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey research) ศึกษาเปรยี บเทยี บในเรื่องการรับรู้ ของนสิ ติ พยาบาลศาสตรบัณฑิต เก่ียวกับบทบาทนสิ ติ พยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลแก่ ผู้รับบรกิ ารวยั เดก็ ซึ่งมวี ิธีดำเนินการวิจัยดงั นี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง และการคดั เลอื กกลมุ่ ตัวอยา่ ง 1. ประชากรเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิยา ลัยนเรศวร ที่ลงทะเบียนเรียนในช้ันปีท่ี 1 ถึง ช้ันปีท่ี 4 ปีการศึกษา2563 จำนวน 494 คน เน่ืองจากนิสติ พยาบาล หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ในแต่ละช้ันปจี ะต้องพัฒนา สมรรถนะการใช้ยาอย่างสมเหตุผลแก่ผู้รับบริการทุกช่วงวัยรวมถึงวัยเด็ก แต่ระดับของ สมรรถนะจะสมบูรณ์เม่ือสำเร็จการศึกษาหลักสูตรในชั้นปีที่ 4 ตามท่ีสภาพยาบาลแห่ง ประเทศไทยกำหนด ดังนั้น นิสิตแต่ละช้ันปีต้องตระหนักหรือรับรู้บทบาทตนเองหรือ พฤติกรรมตนเองที่ต้องสอดคล้องกับสมรรถนะการใช้ยาอย่างสมเหตุผลแก่ผู้รับบริการที่ สภาพยาบาลฯ กำหนดในทุกขณะของการฝึกปฏิบัติหรือศึกษาในหลักสูตรพยาบาล ศาสตร์ และถึงแม้ว่าหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตจะกำหนดเนื้อหาการพยาบาลเด็ก ไว้ในช้ันปีที่ 3 แต่เนื้อหาดังกล่าวไม่มีผลต่อการการรับรู้บทบาทของนิสิตพยาบาลตาม สมรรถนะฯ เน่ืองจากข้อคำถามไมใ่ ช่ความรู้เรื่องยาที่เฉพาะในเด็ก แต่เป็นข้อคำถามการ รับรู้บทบาทของนิสติ พยาบาลตามข้อสมรรถนะฯ ทปี่ ระยุกต์กบั บริบทของผ้รู ับบรกิ ารวัย เด็กเทา่ นัน้ เช่น ข้อจำกดั การส่ือสาร การมีครอบครวั เปน็ ผูด้ ูแลหลัก 2. กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรการคำนวณจากตารางขนาดตัวอย่างสำเร็จรูป ของ Yamane (1973) และกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างเพื่อป้องกันการสูญหายของกลุ่ม ตวั อย่าง 10%กลุ่มตวั อย่างทผี่ วู้ จิ ัยคดั เลอื กมคี ณุ สมบัตติ ามเกณฑ์คดั เขา้ ดังนี้ 1) เป็นนสิ ิต พยาบาล หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร ท่ีลงทะเบียนเรยี นในปี การศึกษา 2563 2) อายุไม่ตำ่ กวา่ 18 ปีบรบิ ูรณ์ 3) สามารถฟัง อ่านและเขยี นภาษาไทย ได้อย่างเข้าใจ 4) ยินดีเข้าร่วมการวิจัย โดยมีเกณฑ์คัดออกกลุ่มตัวอย่างคือ เป็นนิสิตท่ี ลาออกหรอื พักการศึกษาระหวา่ งทมี่ ีการเก็บรวบรวมข้อมูล

67 สูตรการคำนวณจากตารางขนาดตัวอย่างสำเร็จรูปของ Yamane (1973) ระดับความเชื่อม่ัน 95% กำหนดระดับความเช่ือม่ัน 95% (ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05) และคำนวณขนาด กลมุ่ ตัวอย่างจากกรอบประชากรจำนวน 494 คน ดงั น้ี ตารางขนาดตัวอย่างของ Yamane (1973) ระดบั ความเชอ่ื ม่ัน 95% ดงั ตารางด้านล่างน้ี ขนาด ขนาดตวั อย่าง (n) ตามระดบั ความคลาดเคลอ่ื น ประชากร(N) ±1% ±2% ±3% ±4% ±5% ±10% 500 b B B b 222 83 1000 b B B 385 286 91 1500 b b 638 441 316 94 2000 b b 714 476 333 95 2500 b 1250 769 500 345 96 จากการคำนวณกลุ่มตัวอย่างจากนิสิตพยาบาลศาสตรบัณฑิตในปีการศึกษา 2563 จำนวน 494 คน จะได้กลุ่มตัวอย่าง ทั้งหมด 222 คนและกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างเพิ่ม 10% ของจำนวน กลุม่ ตัวอย่างท่คี ำนวณได้เพ่อื ป้องกันการสูญหายของกลมุ่ ตัวอยา่ ง เป็นจำนวน 23 คน (222×10/100 = 22.2) ดังนั้น รวมจำนวนกลุ่มตัวอย่างในงานวิจยั เป็น 245 คน จากน้ันผู้วิจัยทำ การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified random sampling) เน่ืองจากเป็นการสุ่มตัวอย่างชนิดที่ แบ่งกลุ่มประชากรออกเปน็ กลุ่มยอ่ ย ๆ บนพื้นฐานของระดบั ตัวแปรทสี่ ำคญั ซึ่งแตล่ ะกลมุ่ จะมีลกั ษณะ ที่เหมือนกันมากท่ีสุด โดยจัดแบ่งนิสิตพยาบาล หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตเป็น 4 ระดับช้ันปี และทำการเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) ด้วยวิธีการจับ ฉลากแบบใส่คืน (Sampling with Replacement) สามารถทำได้โดยการนำรายชื่อนิสิตพยาบาลศา สตรบัณฑิตมาสุ่มแล้วใส่กลับคืนเขา้ ไปในกรอบตัวอยา่ งเดมิ (Sampling Frame) เพ่ือใหห้ น่วยตวั อย่าง ทุกหน่วยมโี อกาสถูกสุ่มได้อย่างเทา่ เทียมกนั สูตรคำนวณขนาดตวั อย่างตามสัดส่วน ขนาดตัวอย่างของแต่ละชั้นปี = n×nl N โดย nl = ขนาดประชากรแต่ละชน้ั ปี n = ขนาดตวั อย่างของงานวจิ ัย

68 N = ขนาดตัวประชากร แทนคา่ ในสตู รได้จำนวนกล่มุ ตัวอยา่ งแต่ละช้นั ปดี ังนี้ ช้นั ปีท่ี 1 แทนคา่ สูตร = 245×118 494 = 58.52 คดิ เปน็ จำนวนเตม็ 59 คน ชน้ั ปที ่ี 2 แทนค่าสตู ร = 245×134 494 = 66.45 คดิ เป็นจำนวนเต็ม 66 คน ชน้ั ปที ่ี 3 แทนค่าสูตร = 245×117 494 = 58.02 คิดเป็นจำนวนเต็ม 58 คน ชั้นปีที่ 4 แทนคา่ สูตร = 245×125 494 = 61.99 คิดเปน็ จำนวนเต็ม 62 คน ตารางสรุปจำนวนประชากรและกลมุ่ ตัวอย่างจำแนกตามระดบั ช้ันปี ช้ันปี จำนวน ประชากร กลุ่มตวั อย่าง 1 118 53 2 134 60 3 117 53 4 125 56 รวม 494 222 เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมในคร้งั น้ี คือ แบบสอบถามการรบั รูข้ องนิสติ พยาบาลเร่อื ง บทบาทนสิ ิตพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ลแกผ่ ู้รับบริการวยั เด็ก มรี ายละเอยี ดดังน้ี วธิ กี ารสร้างเครอ่ื งมือ 1. ผูว้ จิ ัยสรา้ งแบบสอบถามการรบั ร้ขู องนสิ ิตพยาบาลเร่อื งบทบาทนิสิตพยาบาลในการใช้ยา อย่าง สมเหตผุ ลแกผ่ ู้รับบริการวัยเดก็ โดยศึกษากรอบแนวคิดสมรรถนะการใช้ยาอยา่ งสม เหตุผลของบณั ฑิตพยาบาล ท่กี ำหนดโดยสภาพยาบาล และแนวคดิ หลักเภสัชวิทยาในการใชย้ ากับ ผรู้ บั บรกิ ารวัยเด็ก จากนั้นนำมากำหนดเปน็ ขอ้ คำถามของแบบสอบถามฯ มลี ักษณะเปน็ มาตราวัด แบบประมาณคา่ (Rating Scales) โดยใช้เกณฑ์ การใหค้ ะแนน ดงั นี้ 5 คะแนน หมายถงึ เห็นดว้ ยอยา่ งยิง่ 4 คะแนน หมายถึง เหน็ ด้วย 3 คะแนน หมายถึง ไมแ่ นใ่ จ

69 2 คะแนน หมายถึง ไมเ่ ห็นด้วย 1 คะแนน หมายถึง ไม่เหน็ ด้วยอยา่ งยิ่ง 2. แบบสอบถามข้อมูลสว่ นบคุ คลของกลุ่มตวั อย่าง ไดแ้ ก่ อายุ เพศ ช้นั ปีการศกึ ษา ผลการ เรียนรูเ้ ฉลี่ยตลอดการศึกษาปัจจบุ นั (GPA) ผลการเรยี นรู้ (เกรด) วิชาเภสัชวทิ ยา ประสบการณ์การ พยาบาลผูร้ บั บรกิ าร วยั เด็ก ประสบการณ์การฟังบรรยายหลักการใช้ยาอย่างสมเหตุผล วธิ ีการทดสอบเครือ่ งมอื ผู้ศกึ ษาวจิ ัยไดน้ ำแบบสอบถามที่สร้างขน้ึ ไปทดสอบความเทย่ี งตรง ( Validity ) และความ เช่อื มัน่ ( Reliability ) เพื่อให้ข้อมลู มีความสมบรู ณ์ ดังน้ี 1. การหาความเที่ยงตรง (Validity) ผู้วิจัยได้นำแบบสอบถามที่ได้สร้างข้ึนไปปรึกษาอาจารย์ ที่ปรึกษา จากน้ันนำเสนอต่อผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ท่ีมีความเชี่ยวชาญด้านการพยาบาลเด็ก การใช้ยา ในผู้รับบรกิ ารวัยเด็ก และการใชย้ าอย่างสมเหตุผล ให้ผู้ทรงคณุ วฒุ ิพิจารณาคุณภาพแบบสอบถามใน ด้านความตรงเนื้อหา (Content Validity) หลังจากท่ีผู้ทรงคุณวุฒิพจิ ารณาคุณภาพแบบสอบถามแล้ว ผู้วิจัยรวบรวมความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิมาหาค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (Content Validity Index : CVI) เพ่ือตรวจสอบ ความเที่ยงตรงของข้อคำถามในแต่ละข้อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ ครอบคลุมเน้ือหาและสอดคล้องกับการวิจัยครั้งน้ี โดยผลจากการประเมินของผู้ทรงคุณวุฒิ สามารถ นำมาคำนวณหาคา่ ดชั นคี วามตรงตามเนื้อหา (Content Validity Index : CVI) ไดด้ งั นี้ CVI = R 3,4 /N โดย R 3,4 = ผลรวมของจำนวนข้อคำถามท่ผี ู้ทรงคุณวฒุ ิทุกคนให้ความคิดเห็นระดบั 3 และ 4 N = จำนวนผทู้ รงคณุ วฒุ ิ การแปลผลคา่ CVI ต้องมคี ่าตั้งแต่ 0.8 ข้นึ ไป เครอื่ งมือวจิ ัยจึงจะมคี วามเทย่ี งตรง (Davis,1992) จากนนั้ จึงนำผลจากการประเมินของผทู้ รงคณุ วฒุ ิมาปรับปรุงแก้ไข เพอ่ื ให้ แบบสอบถามมีความเที่ยงตรงมากขน้ึ 2.การหาความเช่ือมน่ั (Reliability) หลงั จากแบบสอบถามไดร้ บั การรับรองจากผ้ทู รงวุฒิแลว้ ผวู้ จิ ัยจึงนำแบบสอบถามทไ่ี ด้นำมาทดสอบความเชอ่ื มน่ั ของแบบสอบถามกับนสิ ติ พยาบาลทีม่ ลี กั ษณะ คลา้ ยคลึงกบั กลุม่ ตวั อยา่ งมากท่สี ุด คอื นิสติ หลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต จำนวน 30 คน โดยใช้ สตู รสมั ประสทิ ธิ์แอลฟาครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) ซ่ึงหากได้ค่าสมั ประสิทธ์ิ

70 แอลฟามากกว่า 0.9 แสดงว่าแบบสอบถามมีความเชือ่ มั่นสงู (reliability) เหมาะสมที่จะนำไปใช้ใน การวิจยั ได้ (บุญใจ ศรีสถติ ยน์ รากรู , 2553) ดงั นี้ สูตรสัมประสทิ ธ์ิแอลฟาครอนบาค  = ������ (1 - ���������������������2���2) ������−1 โดยท่ี  คือ คา่ ความสอดคลอ้ งภายใน n คอื จำนวนข้อคำถามในแบบสอบถาม Si2 คอื ผลรวมของความแปรปรวนของคะแนนแตล่ ะข้อ St2 คือ ความแปรปรวนของคะแนนรวมทัง้ ฉบับ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ห ลั งจ า ก โค ร งก า ร วิ จั ย ได้ รั บ อ นุ มั ติ ให้ ท ำ วิ จั ย จ า ก ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร จ ริ ย ธ ร ร ม วิ จั ย ใน ม นุ ษ ย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้วิจัยทำหนังสือขออนุญาตเก็บรวบรวมข้อมูลจากคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ และแจ้งภาควิชาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เพ่ือเข้าไปดำเนินการช้ีแจงถึง วัตถุประสงค์ของการทำวิจัยและเก็บข้อมูลกับนิสิตพยาบาลด้วยตนเองระหว่างเดือน ธันวาคม 2563 ถึงมกราคม 2564 ด้วยวิธีการดังน้ี 1. ขอความอนุเคราะห์การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการทำหนังสือขอความอนุเคราะห์จาก คณบดคี ณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก เพื่อขออนญุ าตในการทำวิจยั และ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 2. เม่ือไดร้ บั อนุญาต ผู้วจิ ยั พบอาสาสมคั รกลุ่มตวั อยา่ งด้วยวธิ กี าร นัดพบกล่มุ ตวั อยา่ ง ณ โถง คณะพยาบาลศาสตร์ ในวันและเวลาที่กลุ่มตัวอย่างสะดวก และขอความยินยอมเข้าร่วมการวิจัยหลัง อธิบายรายละเอียดโครงการวิจัยและพทิ กั ษ์สิทธิกลุม่ ตวั อย่าง 3. หลังจากกลุ่มตัวอย่างยินยอมเข้าร่วมวิจัย ผู้วิจัยอธิบายเกี่ยวกับแบบสอบถามและวิธีการ ตอบแบบสอบถาม โดยใหเ้ วลาแกอ่ าสาสมัครในการตอบแบบสอบถามตามสะดวก และสามารถส่งคืน แบบสอบถามแก่ผวู้ จิ ยั ด้วยวิธีการใหก้ ล่มุ ตวั อย่างตอบแบบสอบถามและผวู้ ิจัยรอรับ 4. ผู้วิจยั ตรวจสอบความถกู ตอ้ งสมบรู ณ์ของแบบสอบถามเพื่อนำมาวเิ คราะหข์ ้อมลู กรณีการเก็บรวบรวมโดยการสุ่ม เพ่ือป้องกันปัญหาไม่ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างตามท่ีกำหนด ผู้วิจัยได้กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างเพิ่มเติมเพ่ือป้องกันการสูญหายของกลุ่มตัวอย่าง 10% นอกเหนือจากขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่คำนวณได้จากสูตรการคำนวณจากตารางขนาดตัวอย่าง

71 สำเร็จรูปของ Yamane (1973) โดยข้อมูลที่ทำแบบสอบถามท้ังหมดจะถูกเก็บเป็นความลับตามท่ี ระบุในหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และผู้วิจัยจะปฏิบัติต่ออาสาสมัครตามหลักวิถีใหม่ (New Normal) อยา่ งเครง่ ครดั ตามมาตรการปอ้ งกนั COVID-19 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู การวิเคราะห์ข้อมลู ในการศกึ ษาคร้ังน้ี ผวู้ ิจัยใช้การวเิ คราะห์ประมวลผลข้อมลู เชงิ ปรมิ าณโดย ใช้โปรแกรมสำเรจ็ รปู คอมพวิ เตอร์ทางสถติ ิ 1. วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive) ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) และค่ารอ้ ยละ (Percentage) 2. วิเคราะห์คะแนนการรับรู้บทบาทนิสิตพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลกับผู้รับบริการ วัยเด็กของนิสิตพยาบาลแต่ละช้ันปี โดยใช้สถิติการหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation) 3. วเิ คราะห์เปรยี บเทียบคะแนนการรับรู้บทบาทนิสติ พยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลกับ ผู้รับบริการวัยเด็กของนิสิตพยาบาลแต่ละชั้นปี โดยใช้สถิติ Analysis of Variance (ANOVA) ประเภท One – way ANOVA ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูลการเปรยี บเทยี บมากกว่า 2 กลุ่มหรือชนั้ ปี

72 บทที่ 4 ผลการวจิ ัย จากการศึกษา เร่ือง การสำรวจการรับรู้บทบาทตนเองตามสมรถนะบัณฑิตพยาบาลใน การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลแก่ผู้รับบริการวัยเด็กของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้บทบาทตนเองตามสมรรถนะของบัณฑิตพยาบาลในการใช้ยาอย่าง สมเหตุผลแก่ผู้รับบริการวัยเด็กของนิสิตพยาบาลหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณ ฑิตและ เพอื่ เปรียบเทยี บการรับรู้บทบาทตนเองตามสมรรถนะของบัณฑิตพยาบาลในการใช้ยาอยา่ งสมเหตุผล แก่ผู้รับบริการวัยเด็กในนิสิตแต่ละชั้นปี เก็บรวบรวมข้อมูลในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยใช้ แบบสอบถามการรับรู้บทบาทตนเองตามสมรถนะบัณฑิตพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล แก่ผู้รับบรกิ ารวัยเดก็ ของนสิ ิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิตกบั กลุ่มตวั อย่างจำนวน 245 คน โดยใช้ สถิติ Oneway ANOVA ในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผู้วจิ ยั เสนอผลการวิจัยและอภิปรายผล ดงั นี้ สว่ นที่ 1 ขอ้ มูลส่วนบุคคลของนสิ ิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑติ สว่ นท่ี 2 แบบสอบถามการรับรู้บทบาทตนเองตามสมรถนะบัณฑิตพยาบาลในการใช้ยาอย่าง สมเหตสุ มผลแก่ผู้รับบริการวัยเดก็ ของนิสิตหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ สว่ นท่ี 1 ขอ้ มลู ส่วนบุคคลของนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ ขอ้ มลู สว่ นบุคคล ไดแ้ ก่ อายุ เพศ ประสบการณก์ ารปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลแกผ่ รู้ บั บริการทม่ี ีอายุต้ังแต่ แรกเกิดถึง 15 ปีบรบิ รู ณ์ การรบั รู้เกย่ี วกับสมรรถนะของนิสิตพยาบาลศาสตรในการใช้ยาอยา่ งสม เหตุผล ความเข้าใจในสมรรถนะของบณั ฑิตพยาบาลในการใชย้ าอยา่ งสมเหตผุ ล ข้อมูลสว่ นบคุ คล จำนวน(คน) ร้อยละ ระดับการศึกษา ปี 1 59 24.08 ปี 2 66 26.92 ปี 3 58 23.70 ปี 4 62 25.30

73 ขอ้ มูลสว่ นบุคคล จำนวน(คน) ร้อยละ อายุ (ป)ี 18 9 3.67 19 48 19.59 20 76 31.02 21 52 21.22 22 46 18.77 23 12 4.89 24 1 0.40 25 1 0.40 เพศ ชาย 24 10.17 หญงิ 221 89.83 ประสบการณ์การปฏบิ ตั ิการพยาบาลแก่ผรู้ ับบรกิ ารที่มีอายุตัง้ แตแ่ รกเกิดถึง 15 ปีบริบรู ณ์ เคยมปี ระสบการณ์ 136 56.28 ไมเ่ คยมีประสบการณ์ 109 43.72 การรับรูเ้ กย่ี วสมรรถนะของนิสิตพยาบาลศาสตร์ในการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ล เคยรับรู้เก่ียวสมรรถนะของ 198 80.82 นิสติ พยาบาลศาสตรใ์ นการใช้ ยาอยา่ งสมเหตุผล ไมเ่ คยรบั รู้เกี่ยวสมรรถนะของ 47 19.18 นิสติ พยาบาลศาสตรใ์ นการใช้ ยาอย่างสมเหตุผล ความเข้าใจในสมรรถนะของบณั ฑิตพยาบาลในการใช้ยาอยา่ งสมเหตผุ ล ไม่เข้าใจสมรรถนะการใช้ยา 86 35.10 อยา่ งสมเหตุผล เขา้ ใจสมรรถนะการใชย้ า 30 12.25 อย่างสมเหตุผลน้อย เขา้ ใจสมรรถนะการใช้ยา 6 2.45 อยา่ งสมเหตผุ ลค่อนขา้ งนอ้ ย

74 ข้อมูลสว่ นบุคคล จำนวน(คน) รอ้ ยละ เข้าใจสมรรถนะการใชย้ า 86 35.10 อย่างสมเหตุผลค่อนข้างมาก เข้าใจสมรรถนะการใช้ยา 37 15.10 อย่างสมเหตผุ ลมาก ตารางท่ี 1 จำนวน ร้อยละ คา่ เฉลยี่ และความแปรปรวนของกลุ่มตวั อยา่ งชัน้ ปีที่ 1จำแนกตามขอ้ มลู สว่ นบคุ คล สว่ นท่ี 2 แบบสอบถามการรับรบู้ ทบาทตนเองตามสมรถนะบณั ฑิตพยาบาลในการใช้ยาอย่าง สมเหตุสมผลแกผ่ ู้รับบรกิ ารวัยเด็กของนสิ ิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิตจำแนกรายขอ้ (n=245) สมรรถนะท่ี 1 สามารถประเมนิ ปญั หาผู้ปว่ ย ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั การใช้ยา หรือมี x̄ S.D. ระดับการรบั รู้ สมรรถนะ ความจำเป็นตอ้ งใช้ยาในการรักษา (Assess the patient) มากทีส่ ดุ 1.ท่านต้องประเมินโรคประจำตวั ประวัตกิ ารแพย้ า แพอ้ าหาร สารเคมอี ื่น ๆ กอ่ นจะใชย้ า 4.81 0.49 มากทสี่ ดุ มากท่ีสดุ กับผรู้ ับบรกิ ารวัยเดก็ มากทส่ี ดุ 2.ท่านตอ้ งประเมินอาการขา้ งเคียงจากการใชย้ าทเี่ กดิ ข้นึ กบั ผรุ้ ับบรกิ ารวยั เดก็ 4.78 0.50 มากที่สุด 3.ท่านต้องประเมินแนวโน้มการเปลย่ี นแปลงภาวะสขุ ภาพของผรู้ ับบรกิ ารหลังไดร้ บั ยาวัย 4.66 0.59 มากที่สดุ เดก็ 4.ท่านตอ้ งประเนผรู้ บั บรกิ ารวัยเดก็ อย่างต่อเน่ืองเกี่ยวกับความรว่ มมอื ในการใช้ยา เชน่ 4.68 0.59 รบั ประทานยาหรือฉดี ยาตรงตามแผนการรกั ษา 5.ท่านต้องรายงานอาจารย์พยาบาล/พยาบาลพี่เล้ียง/แพทย์ เม่อื พบว่าผ้รู บั บรกิ ารวยั เดก็ 4.72 0.58 จำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา รวม 4.73 0.55 ตารางท่ี 2 คา่ เฉล่ยี สว่ นเลย่ี งเบนมาตรฐานและระดบั การรบั รสู้ มรรถนะที่ 1 สามารถประเมินปญั หาผปู้ ว่ ย ที่ เกย่ี วขอ้ งกบั การใช้ยา หรือมคี วามจำเปน็ ต้องใช้ยาในการรักษา (Assess the patient) จากตารางที่ 2 พบวา่ นสิ ติ พยาบาลศาสตรบณั ฑิตประเมินแบบสอบถาม การรบั รู้สมรรถนะ ท่ี 1 สามารถประเมนิ ปญั หาผู้ปว่ ย ที่เกย่ี วขอ้ งกับการใช้ยา หรือมคี วามจำเปน็ ตอ้ งใช้ยาในการรักษา (Assess the patient) อยใู่ นระดบั มากท่สี ุด

75 สมรรถนะท่ี 2 สามารถประเมนิ ปญั หาผู้ปว่ ย ที่เก่ียวขอ้ งกับการใชย้ า หรือมี x̄ S.D. ระดบั การรบั รู้ ความจำเปน็ ต้องใช้ยาในการรกั ษา (Assess the patient) สมรรถนะ 6.ทา่ นตอ้ งมสี ว่ นร่วมในการพิจารณาขอ้ มลู สำคญั ผรู้ บั บริการวยั เดก็ กับอาจารย์พยาบาล/พ่ี 4.39 0.78 มากที่สุด เลย้ี ง/แพทย์ เพอ่ื การตดั สนิ ใจในการเลอื กใช้ยาอยา่ งเหมาะสมตามความจำเป็น 7.ทา่ นต้องมีสว่ นรว่ มในการพิจารณาขอ้ มูลสำคญั ของผู้รบั บริการวัยเดก็ กับอาจารย์ 4.34 0.76 มากทส่ี ดุ พยาบาล/พยาบาลพเ่ี ลย้ี ง/แพทย์ เพอื่ ประกอบการตดั สนิ ใจปรบั ขนาดยา หยุดยาหรือ เปลีย่ นยา เชน่ การเปลี่ยนแปลงภาวะสขุ ภาพของผปู้ ว่ ยเด็ก 8.ทา่ นต้องมีสว่ นรว่ มในการพจิ ารณาความเสยี่ งและประโยชน์ของการใชแ้ ละไม่ใชย้ าแตล่ ะ 4.46 0.72 มากทส่ี ุด ครัง้ ท่อี าจเกดิ ขึ้นกบั ผรู้ ับบรกิ ารวยั เด็ก 9.ท่านต้องให้ขอ้ มูลแกผ่ ปู้ ่วยเดก็ และ/หรอื ครอบครวั เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความปลอดภยั ในการใชย้ า 4.75 0.54 มากทส่ี ดุ โดยยดึ หลักเภสชั วทิ ยาในเดก็ ร่วมกับอาจารยพ์ ยาบาล/พยาบาลพเ่ี ลย้ี ง/แพทย์ 10.ท่านตอ้ งประเมนิ ขอ้ มลู ของผรู้ บั บริการวยั เดก็ เกย่ี วกบั โรครว่ ม ยาทใี่ ชอ้ ยู่ การแพย้ า ข้อ 4.66 0.64 มากทสี่ ุด หา้ มการใช้ยาและคณุ ภาพชวี ิตร่วมกบั อาจารยพ์ ยาบาล/พยาบาลพ่เี ลีย้ ง/แพทย์ เพอ่ื ประโยชน์ตอ่ การตดั สินใจใชย้ าแกผ่ ูร้ บั บรกิ ารวยั เดก็ 11.ทา่ นตอ้ งตระหนกั และรายงานปจั จัยสว่ นบุคคลของผูร้ บั บริการวยั เด็ก ทีอ่ าจมผี ลตอ่ การ 4.71 0.53 มากทส่ี ุด ตดั สินใจใชย้ าและบรหิ ารยา เชน่ อายุ พฒั นาการตามวัย ความสารถในการกลืน ระดบั ความ รู้สึกตวั แกอ่ าจารย์พยาบาล/พยาบาลพี่เลย้ี ง/แพทย์ 12.ท่านต้องศกึ ษาค้นคว้าขอ้ มูลที่เป็นปัจจุบันและเชือ่ ถอื ไดเ้ กยี่ วกบั ยาท่ีใชก้ บั ผรู้ บั บริการวยั 4.70 0.54 มากที่สดุ เดก็ และนำเสนอตอ่ อาจารย์พยาบาล/พยาบาลพี่เลย้ี ง/แพทย์ เพอื่ ประโยชน์ในการตดั สนิ ใจ ใช้ยาแกผ่ ู้รบั บรกิ ารวยั เดก็ 13.ท่านตอ้ งศกึ ษาทำความเข้าใจเรอ่ื งเชื้อดื้อยา แนวทางการปอ้ งกันและควบคมุ เช้อื ด้อื ยา 4.59 0.64 มากทีส่ ุด และนำเสนอต่ออาจารย์พยาบาล/พยาบาลพี่เลย้ี ง/แพทย์ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการตดั สนิ ใจใช้ยา แก่ผู้รบั บริการวัยเดก็ รวม 4.57 0.64 มากที่สดุ ตารางท่ี 3 ค่าเฉลี่ย สว่ นเลย่ี งเบนมาตรฐานและระดบั การรบั รู้สมรรถนะท่ี 2 สามารถประเมนิ ปญั หาผปู้ ว่ ย ที่เกีย่ วขอ้ งกบั การใชย้ า หรอื มีความจำเปน็ ตอ้ งใชย้ าในการรกั ษา (Assess the patient) จากตารางที่ 3 พบวา่ นิสติ พยาบาลศาสตรบัณฑิตประเมนิ แบบสอบถาม การรับรู้สมรรถนะ ที่ 2 สามารถร่วมพจิ ารณาการเลือกใชย้ าได้อยา่ งเหมาะสม ตามความจำเปน็ (Consider the options) อยู่ในระดบั มากทส่ี ุด

76 สมรรถนะที่ 3 สามารถสื่อสารเพ่อื ให้ผปู้ ่วยร่วมตดั สนิ ใจในการใชย้ า โดย x̄ S.D. ระดับการรบั รู้ พิจารณาจากขอ้ มูลทางเลือกท่ีถกู ต้อง เหมาะสมกบั บรบิ ทและเคารพใน สมรรถนะ มุมมองของผู้ป่วย (Reach a shared decision) 14.ท่านต้องประสานและมสี ่วนรว่ มในการอธบิ ายข้อมูลทางเลอื กกับอาจารยพ์ ยาบาล/ 4.53 0.67 มากที่สุด พยาบาลพี่เลย้ี ง/แพทย์ เพ่อื ใหผ้ รู้ บั บริการวัยเด็กและครอบครัวผดู้ แู ลไดร้ ับการอธิบายข้อมลู เกย่ี วกบั ทางเลอื กในการรักษาให้มคี วามเข้าใจท่ถี กู ตอ้ ง 15.ทา่ นต้องยอมรับและเคารพการตัดสินใจของผูร้ ับบรกิ ารวัยเด็ก/ผ้ดู ูแล/ครอบครวั ในการ 4.73 0.52 มากทส่ี ดุ เลือกแผนการรกั ษาหรอื ปฏิเสธการรักษาบนพนื้ ฐานความแตกต่างระหวา่ งบุคคลและความ คาดหวังตอ่ การรกั ษาและสุขภาพของผู้รับบรกิ ารวยั เด็ก 16.ทา่ นตอ้ งสามารถให้ขอ้ มลู เกย่ี วกบั เหตุผล ความเสยี่ ง และประโยชนใ์ นการใชย้ า หรอื การ 4.72 0.57 มากทส่ี ุด รักษาอนื่ ในภาษาทีผ่ รู้ บั บรกิ ารวัยเดก็ /ผู้ดแู ล/ครอบครวั สามารถเขา้ ใจได้ 17.ท่านตอ้ งสามารถตดิ ตามประเมนิ ความร่วมมอื ในการใช้ยาของผรู้ ับบรกิ ารวยั เดก็ อยา่ ง 4.61 0.61 มากทส่ี ดุ ต่อเน่อื ง 18.ท่านตอ้ งสามารถสอบถามปญั หาอปุ สรรคของผรู้ ับบริการวัยเดก็ และหาวิธกี ารแกไ้ ข เมือ่ 4.58 0.65 มากที่สุด พบความไมร่ ว่ มมอื ในการใช้ยา 19.ทา่ นต้องสามารถพดู ชแ้ี จงกับผรู้ บั บริการ เพื่อส่งเสรมิ ให้เกดิ ใชย้ าอยา่ งสมเหตผุ ล โดยไม่ 4.50 0.77 มากท่สี ดุ คาดหวังผลของการรักษาหรอื การใชย้ า 20.ท่านต้องสามารถกระตุ้นใหผ้ รู้ บั บรกิ ารวัยเด็กและ/หรือครอบครวั เขา้ ร่วมพดู คยุ ปรกึ ษา 4.53 0.68 มากทสี่ ุด ตดั สนิ ใจร่วมกับทมี สุขภาพก่อนกำหนดแนวทางการรักษาและการใช้ยาที่เหมาะสม รวม 4.60 0.64 มากทีส่ ุด ตารางที่ 4 คา่ เฉลย่ี สว่ นเลยี่ งเบนมาตรฐานและระดบั การรบั รู้สมรรถนะท่ี 3 สามารถสอ่ื สารเพื่อให้ผปู้ ่วย รว่ มตัดสนิ ใจในการใช้ยา โดยพจิ ารณาจากข้อมลู ทางเลอื กท่ถี กู ตอ้ ง เหมาะสมกบั บริบทและเคารพในมุมมองของ ผูป้ ว่ ย (Reach a shared decision) จากตารางที่ 4 พบว่า นิสิตพยาบาลศาสตรบัณฑิตประเมินแบบสอบถาม การรับรู้สมรรถนะ ท่ี 3 สามารถสือ่ สารเพื่อให้ผู้ปว่ ยรว่ มตัดสนิ ใจในการใชย้ า โดยพจิ ารณาจากข้อมลู ทางเลอื กท่ีถกู ต้อง เหมาะสมกับบริบทและเคารพในมุมมองของผปู้ ว่ ย (Reach a shared decision)อยู่ในระดบั มากที่สดุ สมรรถนะท่ี 4 บริหารยาตามการสงั่ ใช้ยาได้อย่างถูกตอ้ ง x̄ S.D. ระดับการรับรู้ สมรรถนะ 21.ทา่ นต้องสามารถระบุโอกาสเกดิ ผลขา้ งเคยี งจากการใช้ยาและวางแผนการปฏิบตั กิ าร 4.62 0.60 มากที่สดุ พยาบาลเพือ่ ความปลอดภัยของผรู้ ับบริการวยั เด็ก 22.ท่านตอ้ งเขา้ ใจการสั่งใช้ยาตามกรอบบญั ชยี าหลกั แห่งชาติ 4.62 0.68 มากทส่ี ดุ 23.ทา่ นตอ้ งสามารถตรวจสอบยาและวธิ ีการบริหารยาตามหลักการ 10 R ก่อนให้ยาแก่ 4.70 0.62 มากทส่ี ุด

77 สมรรถนะที่ 4 บริหารยาตามการสงั่ ใช้ยาไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง x̄ S.D. ระดับการรับรู้ สมรรถนะ ผู้รับบริการวัยเด็ก 24.ท่านตอ้ งประเมนิ โอกาสเกดิ ความเสยี่ งในการบรหิ ารยาผดิ พลาดกอ่ นการให้ยา แก่ 4.78 0.52 มากทส่ี ุด ผู้รับบริการวยั เดก็ เชน่ การใหย้ าผิดขนาด ผดิ วธิ ี ผดิ ชนิด ผดิ วตั ถุประสงค์ 25.ทา่ นต้องศกึ ษาค้นคว้าและใช้ข้อมลู ท่ีเป็นปัจจบุ ัน ทนั สมัยและเชอื่ ถอื ได้เกยี่ วกบั การ 4.77 0.48 มากที่สดุ บรหิ ารยาทีใ่ ช้กับผู้รบั บรกิ ารวยั เดก็ 26.ท่านตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามขั้นตอนของระบบการให้ยาทีป่ ลอดภัยของโรงพยาบาล เชน่ การ 4.79 0.52 มากทีส่ ุด ตรวจสอบและบนั ทกึ การให้ยาในใบ MAR 27.ท่านตอ้ งสามารถอธิบายให้ขอ้ มลู เรื่องยาของผุร้ บั บริการวัยเด็ก แกบ่ ุคลากรที่เกย่ี วขอ้ ง 4.72 0.55 มากทส่ี ุด เม่ือตอ้ งสง่ ตอ่ การรักษา รวม 4.04 0.57 มากทส่ี ุด ตารางท่ี 5 คา่ เฉลย่ี สว่ นเลยี่ งเบนมาตรฐานและระดบั การรบั รู้บรหิ ารยาตามการสงั่ ใช้ยาได้อย่างถูกตอ้ ง จากตารางท่ี 5 พบว่า นิสิตพยาบาลศาสตรบัณฑิตประเมินแบบสอบถาม การรบั รสู้ มรรถนะ ที่ 4 บรหิ ารยาตามการสง่ั ใชย้ าไดอ้ ย่างถูกตอ้ งอยู่ในระดับมากท่ีสุด สมรรถนะที่ 5 สามารถใหข้ ้อมูลทีจ่ ำเป็นต่อการใช้ยาได้อยา่ งเพยี งพอ x̄ S.D. ระดับการรบั รู้ (Provide information) สมรรถนะ 28.ทา่ นตอ้ งสามารถตรวจสอบความเข้าใจและให้ขอ้ มลู แกผ่ ูร้ บั บรกิ ารวัยเดก็ และ/หรือ 4.70 0.53 มากที่สุด ครอบครัวเพอื่ ใหส้ ามารถตดิ ตามเฝ้าระวงั ตนเองเกีย่ วกบั ผลการรักษาด้วยยาและการมา ตรวจตามนัด 29.ทา่ นตอ้ งสามารถให้ขอ้ มลู เกีย่ วกับยาในภาษาทีผ่ รู้ บั บรกิ ารวัยเดก็ และ/หรอื ครอบครัว 4.76 0.51 มากท่สี ดุ สามารถเขา้ ใจได้ ได้แก่ วัตถุประสงค์ วิธีการ ขนาด ระยะเวลาการใชย้ า อาการข้างเคยี งเม่อื ไดร้ บั ยา และการจดั การ 30. ทา่ นต้องแนะนำผรู้ ับบรกิ ารวยั เดก็ และ/หรือครอบครัวเก่ียวกบั แหลง่ ความรเู้ ร่ืองยา 4.73 0.52 มากที่สุด และการรักษาที่เช่อื ถือได้ เช่น โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลใกล้บา้ น องค์การเภสชั กรรม เป็นต้น 31.ท่านตอ้ งสามารถสร้างความมนั่ ใจใหผ้ ้รู ับบริการวยั เดก็ และ/หรอื ครอบครัวโดยการให้ 4.73 0.58 มากทส่ี ุด ข้อมลู ท่ีจำเป็นเกย่ี วกับการจดั การภาวะสุขภาพท่ีจำเป็น เมอื่ การรกั ษาหรอื การใช้ยาไมไ่ ดร้ ับ ผลเป็นทนี่ า่ พึงพอใจ 32.ท่านต้องสามารถกระตุน้ และสอนให้ผูร้ บั บริการวยั เดก็ และ/หรอื ครอบครวั มสี ่วนรว่ มใน 4.64 0.59 มากที่สุด การจัดการสุขภาพและการใชย้ าของผู้รบั บรกิ ารวยั เด็ก รวม 4.71 0.55 มากทส่ี ุด ตารางท่ี 6 ค่าเฉล่ีย ส่วนเลยี่ งเบนมาตรฐานและระดบั การรบั รสู้ มรรถนะท่ี 5 สามารถใหข้ ้อมลู ทีจ่ ำเป็นต่อ การใชย้ าได้อยา่ งเพยี งพอ (Provide information)

78 จากตารางที่ 6 พบวา่ นสิ ิตพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ประเมนิ แบบสอบถาม การรับรู้สมรรถนะ ท่ี 5 สามารถใหข้ ้อมูลทจี่ ำเป็นต่อการใชย้ าได้อย่างเพยี งพอ (Provide information)อยู่ในระดบั มาก ที่สุด สมรรถนะท่ี 6 สามารถติดตามผลการรกั ษา และรายงานผลขา้ งเคียงท่อี าจ x̄ S.D. ระดับการรบั รู้ เกดิ ข้นึ จากการใชย้ าได้ (Monitor and review) สมรรถนะ 33.ทา่ นตอ้ งตรวจสอบทบทวนแผนการรกั ษาและยาทผี่ รู้ บั บรกิ ารวัยเด็กได้รับสม่ำเสมอ 4.68 0.56 มากทีส่ ดุ 34.ทา่ นต้องสามารถตดิ ตาม ประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ขิ องการรกั ษาและการใช้ยาตลอดจน 4.62 0.59 มากทส่ี ุด ผลขา้ งเคยี งทีเ่ กิดขน้ึ 35. เมอื่ พบว่าผรู้ บั บรกิ ารวัยเด็กเกิดผลข้างเคียงจากการใชย้ า ทา่ นตอ้ งรายงานเหตกุ ารณ์ 4.79 0.45 มากทส่ี ุด ทันทตี ่ออาจารย์พยาบาล/พยาบาลพเ่ี ลย้ี ง/แพทย์ 36.เม่อื พบวา่ มีการเปล่ยี นแปลงของปัจจยั ทีม่ ผี ลตอ่ การใช้ยาของผรู้ บั บริการวยั เดก็ เช่น 4.63 0.66 มากทส่ี ุด ภาวะสุขภาพ ทา่ นต้องสามารถปรบั แผนการบรหิ ารยาใหม่ ทา่ นตอ้ งรายงานผลการรกั ษาตอ่ อาจารยพ์ ยาบาล/พยาบาลพเ่ี ลย้ี ง/แพทย์ เปน็ ระยะ รวม 4.68 0.56 มากท่ีสดุ ตารางที่ 7 คา่ เฉล่ยี สว่ นเลยี่ งเบนมาตรฐานและระดบั การรบั รู้สมรรถนะท่ี 6 สามารถตดิ ตามผลการรกั ษา และรายงานผลข้างเคียงทอ่ี าจเกิดขน้ึ จากการใช้ยาได้ (Monitor and review) จากตารางท่ี 7 พบวา่ นสิ ติ พยาบาลศาสตรบณั ฑิตประเมินแบบสอบถาม การรบั รสู้ มรรถนะ ท่ี 6 สามารถตดิ ตามผลการรกั ษา และรายงานผลข้างเคียงทอ่ี าจเกิดข้ึนจากการใชย้ าได้ (Monitor and review)อยใู่ นระดับมากที่สดุ สมรรถนะท่ี 7 สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภยั ท้ังตอ่ ผ้ปู ว่ ย และไมเ่ กิดผล x̄ S.D. ระดบั การรับรู้ สมรรถนะ กระทบต่อสงั คมโดยรวม (Prescribe safely) มากทีส่ ุด มากทีส่ ดุ 37.ท่านตอ้ งเรียนรแุ้ ละทำความเขา้ ใจเร่ือง “ความคลาดเคลื่อนทางยา” ในประเดน็ ที่ 4.65 0.61 มากทส่ี ดุ มากที่สุด เกย่ี วข้องไดแ้ ก่ ชนดิ สาเหตุ การประเมนิ การปอ้ งกนั และจดั การทเ่ี ก่ยี วข้อง มากทส่ี ุด 38.ท่านตระหนักถึงโอกาสเสยี่ ง “ความคลาดเคลอื่ นทางยา” จากการสงั่ ยาผ่านโทรศัพท์ E- 4.61 0.67 mail/Line หรอื สง่ั ผา่ นบคุ คลทสี่ ามและหาแนวทางลดความเสย่ี งนนั้ 39. ทา่ นตอ้ งสามารถตรวจสอบยาและวธิ กี ารบริหารยาตามหลกั การพยาบาล 10 R กอ่ นให้ 4.76 0.53 ยาแก่ผูร้ ับบรกิ ารวยั เด็ก 40.เม่ือพบวา่ ผู้รบั บริการวัยเดก็ ไดร้ บั ผลกระทบจาก “ความคลาดเคลอ่ื นในทางใชย้ า” ทา่ น 4.76 0.53 ตอ้ งรายงานเหตกุ ารณท์ ันทตี ่ออาจารย์พยาบาล/พยาบาลพเ่ี ล้ยี ง/แพทย์ และวางแผนเพ่ือ ป้องกันการเกดิ ซ้ำ 41.ทา่ นต้องยอมรบั ขอ้ ผิดพลาดของตนเองในการใช้ยาแก่ผูร้ บั ริการวัยเด็กภายใตก้ ฎหมาย 4.73 0.55

79 สมรรถนะที่ 7 สามารถใช้ยาไดอ้ ย่างปลอดภัยท้ังต่อผปู้ ว่ ย และไม่เกิดผล x̄ S.D. ระดับการรับรู้ กระทบต่อสงั คมโดยรวม (Prescribe safely) สมรรถนะ ระเบียบข้อบงั คบั และหลกั จรยิ ธรรมเก่ียวกบั การใช้ยา มากทส่ี ุด รวม 4.70 0.58 ตารางท่ี 8 คา่ เฉลีย่ สว่ นเลยี่ งเบนมาตรฐานและระดบั การรบั รู้สมรรถนะท่ี 7 สามารถใช้ยาไดอ้ ยา่ ง ปลอดภยั ท้งั ต่อผูป้ ่วย และไมเ่ กิดผลกระทบต่อสงั คมโดยรวม (Prescribe safely) จากตารางท่ี 8 พบว่า นิสิตพยาบาลศาสตรบัณฑิตประเมนิ แบบสอบถาม การรบั รสู้ มรรถนะ ท่ี 7 สามารถใช้ยาไดอ้ ย่างปลอดภัยท้ังตอ่ ผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบตอ่ สงั คมโดยรวม (Prescribe safely)อย่ใู นระดับมากทสี่ ดุ สมรรถนะท่ี 8 สามารถใช้ยาได้อยา่ งเหมาะสมตามความร้คู วามสามารถทาง x̄ S.D. ระดบั การรบั รู้ วิชาชีพ และเป็นไปตามหลักเวชจริยศาสตร์ (Prescribe professionally) สมรรถนะ 42.ท่านตอ้ งทบทวนการบรหิ ารยาของตนเองและทบทวนการสง่ั ยาของผู้ทีเ่ กย่ี วข้อง 4.75 0.51 มากทส่ี ดุ สมำ่ เสมอ เพอื่ พฒั นาการใช้ยาอยา่ งสมเหตุผล รวม 4.75 0.51 มากทสี่ ดุ ตารางที่ 9 ค่าเฉลยี่ สว่ นเลย่ี งเบนมาตรฐานและระดบั การรบั รู้สมรรถนะที่ 8 สามารถใช้ยาได้อยา่ ง เหมาะสมตามความรู้ความสามารถทางวชิ าชพี และเป็นไปตามหลักเวชจรยิ ศาสตร์ (Prescribe professionally) จากตารางที่ 9 พบวา่ นสิ ิตพยาบาลศาสตรบณั ฑิตประเมินแบบสอบถาม การรับรู้สมรรถนะ ท่ี 8 สามารถใชย้ าได้อย่างเหมาะสมตามความรู้ความสามารถทางวิชาชพี และเป็นไปตามหลกั เวช จริยศาสตร์ (Prescribe professionally) อยูใ่ นระดบั มากทสี่ ดุ สมรรถนะท่ี 9. สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยา ได้อย่าง x̄ S.D. ระดบั การรบั รู้ ต่อเนื่อง (Improve prescribing practice) สมรรถนะ 43.ทา่ นต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจ และใช้วิธีการในระบบบรหิ ารการพยาบาล เพือ่ พฒั นาการ 4.69 0.60 มากทส่ี ุด บริหารยาแก่ผรู้ บั บริการวยั เด็ก เชน่ ระบบ patient and peer review feedback, prescribing data and analysis and audit 44.ท่านต้องสามารถทำงานร่วมกบั บุคลากรอืน่ ในทมี สขุ ภาพ เชน่ แพทย์ เภสัชกร ในการ 4.70 0.61 มากทส่ี ุด ดแู ลเก่ียวกับการใช้ยาอยา่ งต่อเน่ืองและปลอดภยั รวม 4.69 0.61 มากทส่ี ุด ตารางท่ี 10 คา่ เฉลยี่ สว่ นเลย่ี งเบนมาตรฐานและระดบั การรบั รู้สมรรถนะท่ี 9. สามารถพฒั นาความรู้ ความสามารถในการใช้ยา ไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง (Improve prescribing practice)

80 จากตารางท่ี 10 พบว่า นิสิตพยาบาลศาสตรบัณฑิตประเมินแบบสอบถาม การรบั รู้สมรรถนะ ท่ี 9. สามารถพฒั นาความรคู้ วามสามารถในการใชย้ า ไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่ือง (Improve prescribing practice)อยใู่ นระดบั มากท่สี ุด สมรรถนะที่ 10 สามารถทำงานรว่ มกบั บุคลากรอนื่ แบบสหวิชาชีพ เพื่อ x̄ S.D. ระดบั การรบั รู้ ส่งเสริมใหเ้ กดิ การใช้ยาอยา่ งสมเหตุผล (Prescribe as part of a team) สมรรถนะ 45.ทา่ นตอ้ งยอมรบั ไวว้ างใจและให้เกียรติตอ่ บทบาทตนเองและบคุ ลากรอ่ืนในทมี สขุ ภาพ 4.77 0.51 มากทส่ี ดุ ในการรักษาการพยาบาลผ้รู บั บรกิ ารวยั เดก็ รวม 4.77 0.51 มากทีส่ ุด ตารางท่ี 11 ค่าเฉล่ยี ส่วนเลย่ี งเบนมาตรฐานและระดบั การรบั รู้สมรรถนะที่ 10 สามารถทำงานร่วมกบั บุคลากรอ่นื แบบสหวชิ าชพี เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การใช้ยาอยา่ งสมเหตผุ ล (Prescribe as part of a team) จากตารางท่ี 11 พบว่า นิสติ พยาบาลศาสตรบัณฑติ ประเมินแบบสอบถาม การรับรสู้ มรรถนะ ที่ 10 สามารถทำงานรว่ มกับบุคลากรอ่นื แบบสหวิชาชพี เพ่ือสง่ เสริมให้เกดิ การใช้ยาอยา่ งสมเหตุผล (Prescribe as part of a team) อยใู่ นระดับมากทสี่ ุด

81 ตารางรวมค่าเฉล่ยี และคา่ เบ่ียงเบนมาตรฐานรายสมรรถนะของนสิ ติ หลักสตู รพยาบาลศาสตร บณั ฑิต การรับรู้บทบาทตนเองตามสมรถนะบณั ฑิตพยาบาลในการใชย้ า Mean Std. ระดับการรบั รู้ สมรรถนะ อยา่ งสมเหตุสมผลแกผ่ ู้รับบริการวัยเดก็ ของนิสิตหลักสตู ร Deviation มากที่สุด พยาบาลศาสตรบัณฑิต มากทส่ี ดุ มากท่สี ดุ สมรรถนะที่ 1 สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วย ท่เี กย่ี วข้องกับการใชย้ า 4.73 0.55 หรือมีความจำเป็นตอ้ งใชย้ าในการรกั ษา (Assess the patient) 4.57 0.64 มากที่สดุ สมรรถนะที่ 2 สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาไดอ้ ย่างเหมาะสม 4.60 0.64 มากที่สุด ตามความจำเปน็ (Consider the options) มากทส่ี ุด สมรรถนะที่ 3 สามารถสอื่ สารเพื่อใหผ้ ู้ปว่ ยร่วมตัดสนิ ใจในการใชย้ า มากที่สุด โดยพจิ ารณาจากข้อมลู ทางเลือกที่ถกู ต้อง เหมาะสมกบั บริบทและ มากที่สุด เคารพในมุมมองของผู้ปว่ ย (Reach a shared decision) มากทส่ี ุด สมรรถนะท่ี 4 บรหิ ารยาตามการส่งั ใช้ยาได้อย่างถูกต้อง 4.04 0.57 มากทส่ี ดุ สมรรถนะที่ 5 สามารถให้ขอ้ มูลท่ีจำเปน็ ต่อการใชย้ าได้อย่างเพยี งพอ 4.71 0.55 มากท่ีสดุ (Provide information) สมรรถนะที่ 6 สามารถติดตามผลการรกั ษา และรายงานผลขา้ งเคยี งที่ 4.68 0.56 อาจเกิดขึน้ จากการใชย้ าได้ (Monitor and review) สมรรถนะที่ 7 สามารถใชย้ าไดอ้ ย่างปลอดภัยทัง้ ต่อผปู้ ่วย และไม่ 4.70 0.58 เกิดผลกระทบต่อสงั คมโดยรวม (Prescribe safely) สมรรถนะที่ 8 สามารถใช้ยาได้อยา่ งเหมาะสมตามความรู้ 4.75 0.51 ความสามารถทางวิชาชีพ และเป็นไปตามหลกั เวชจรยิ ศาสตร์ (Prescribe professionally) สมรรถนะที่ 9. สามารถพัฒนาความรคู้ วามสามารถในการใชย้ า ได้ 4.69 0.61 อย่างต่อเนือ่ ง (Improve prescribing practice) สมรรถนะที่ 10 สามารถทำงานร่วมกบั บคุ ลากรอนื่ แบบสหวชิ าชีพ 4.77 0.51 เพื่อสง่ เสรมิ ให้เกดิ การใช้ยาอยา่ งสมเหตผุ ล (Prescribe as part of a 4.92 0.57 team) รวม จากตารางที่ 12 พบวา่ นิสิตพยาบาลศาสตร์บัณฑติ มกี ารรับรูส้ รรถนะพยาบาลการใชย้ า อยา่ งสมเหตุผลในผ้รู ับบริการวัยเดก็ อยใู่ นระดับมากทส่ี ุด

82 ตอนที่ 3 ขอ้ มลู เปรียบเทียบ คะแนนการรับร้บู ทบาทตนเองตามสมรถนะบัณฑติ พยาบาลในการใช้ ยาอย่างสมเหตุสมผลแก่ผู้รบั บรกิ ารวยั เด็กของนสิ ติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตของนสิ ติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตรรายสมรรถนะในแต่ละชัน้ ปี การรับรสู้ มรรถนะที่ 1 สามารถประเมินปัญหาผ้ปู ่วย ทีเ่ กี่ยวข้องกับการใช้ยา หรือมีความ จำเปน็ ต้องใชย้ าในการรกั ษา (Assess the patient) แหล่งของความแปรปรวน SS df MS F P-value ระหวา่ งกล่มุ 106.779 3 35.593 7.314 .000 ภายในกลุ่ม 1172.748 241 4.866 รวม 1279.527 244 *มีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั 0.5 จากตารางท่ี 13 พบวา่ นสิ ติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชัน้ ปที ี่ 1- 4 มีการรบั รู้ สมรรถนะที่ 1 สามารถประเมินปัญหาผู้ปว่ ย ทเ่ี กยี่ วข้องกับการใช้ยา หรือมคี วามจำเป็นตอ้ งใชย้ าใน การรักษา (Assess the patient) แตกต่างกนั อย่างมนี ยั สำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05 ระดับชนั้ ปี ค่าเฉลย่ี ช้นั ปที ี่1 ชนั้ ปีท่ี2 ชน้ั ปีที่3 ช้นั ปที ี่4 4.50 4.76 4.73 4.89 ชนั้ ปี 1 4.50 - -1.253* -1.114* -1.841* ชนั้ ปี 2 4.76 - .139 -.588 ชัน้ ปี 3 4.73 - -.727 ช้นั ปี 4 4.89 - *มนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั 0.5 จากตารางท่ี 14 พบวา่ นสิ ติ ช้ันปที ี่ 1 มีการรบั รใู้ นสมรรถนะที่1แตกต่างกบั นิสติ ชนั้ ปที ่ี 2 3 และ4 อยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิติที่ระดับ .05 โดยนสิ ิตชน้ั ปีที่ 1 มีการรบั รู้ในสมรรถนะท่ี 1 สามารถ ประเมนิ ปัญหาผ้ปู ว่ ย ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับการใชย้ า หรอื มคี วามจำเปน็ ตอ้ งใช้ยาในการรกั ษา (Assess the patient) ทค่ี ะแนนการรับรู้ต่ำกวา่ นสิ ติ ชน้ั ปีท่ี 2 ชน้ั ปีที่3 และชัน้ ปที ี่ 4

83 สมรรถนะท่ี 2 สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความจำเปน็ (Consider the options) แหลง่ ของความแปรปรวน SS df MS F P-value ระหว่างกลมุ่ 100.926 3 33.642 2.323 .076 ภายในกลุม่ 3490.527 241 14.484 รวม 3591.453 244 *มนี ยั สำคญั ทางสถิติทรี่ ะดับ 0.5 จากตารางท่ี 15 พบวา่ นสิ ิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้ันปีที่1-4 มกี ารรบั รู้สมรรถนะ ที่ 2 สามารถรว่ มพจิ ารณาการเลือกใชย้ าได้อยา่ งเหมาะสม ตามความจำเป็น (Consider the options) แตกตา่ งกนั อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .05 ระดับช้ันปี ค่าเฉล่ยี ชั้นปีท1ี่ ชั้นปที 2ี่ ชัน้ ปีท3ี่ ชนั้ ปีท4่ี 4.44 3.98 4.61 4.66 ช้นั ปี 1 4.44 - -1.073* -1.217 -1.794* ชน้ั ปี 2 3.98 - .144 -.720 ชน้ั ปี 3 4.61 - -.577 ช้ันปี 4 4.66 - *มนี ยั สำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั 0.5 จากตารางท่ี 16 พบวา่ นสิ ิตช้ันปที ่ี 1 มีการรบั ร้ใู นสมรรถนะท่ี1แตกต่างกับ นิสิตชนั้ ปที ่ี 2 3 และ4 อย่างมนี ยั สำคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 โดยนิสิตชั้นปีท่ี 1 มกี ารรบั รใู้ นสมรรถนะท่ี 2 สามารถ รว่ มพจิ ารณาการเลอื กใช้ยาไดอ้ ย่างเหมาะสม ตามความจำเป็น (Consider the options) ท่ีคะแนน การรบั รู้ต่ำกวา่ นสิ ิตชน้ั ปที ี่ 3และ4 แต่มีคะแนนสูงกว่านสิ ิตชั้นปีท่ี 2

84 สมรรถนะท่ี 3 สามารถสื่อสารเพื่อให้ผ้ปู ่วยร่วมตัดสนิ ใจในการใชย้ า โดยพิจารณาจากขอ้ มลู ทางเลือกทถี่ กู ตอ้ ง เหมาะสมกับบรบิ ทและเคารพในมุมมองของผู้ปว่ ย (Reach a shared decision) แหลง่ ของความแปรปรวน SS df MS F P-value ระหวา่ งกลุ่ม 269.479 3 89.826 8.652 .000 ภายในกลุ่ม 2502.049 241 10.382 รวม 2771.527 244 *มีนยั สำคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ 0.5 จากตารางที่ 17 พบวา่ นสิ ติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชน้ั ปีท่ี1-4 มีการรบั รู้สมรรถนะ ท่ี 3 สามารถสื่อสารเพ่ือใหผ้ ู้ป่วยร่วมตดั สนิ ใจในการใช้ยา โดยพิจารณาจากข้อมลู ทางเลอื กที่ถูกต้อง เหมาะสมกับบริบทและเคารพในมุมมองของผ้ปู ว่ ย (Reach a shared decision) แตกต่างกนั อย่างมี นัยสำคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .05 ระดับช้นั ปี คา่ เฉลีย่ ช้นั ปที 1ี่ ช้ันปที 2ี่ ชน้ั ปีท3่ี ชน้ั ปีท4่ี 4.40 4.62 4.65 4.71 ชน้ั ปี 1 4.40 - -2.215* -2.384* -2.714* ชั้นปี 2 4.62 - -.259 -.589 ชนั้ ปี 3 4.65 - -.330 ชั้นปี 4 4.71 - *มนี ยั สำคญั ทางสถติ ิท่ีระดบั 0.5 จากตารางที่ 18 พบว่า นสิ ิตชนั้ ปที ่ี 1 มีการรบั รใู้ นสมรรถนะที่ 3 สามารถส่ือสารเพ่ือให้ ผปู้ ว่ ยร่วมตัดสนิ ใจในการใชย้ า โดยพจิ ารณาจากข้อมลู ทางเลอื กทถี่ กู ต้อง เหมาะสมกับบรบิ ทและ เคารพในมุมมองของผูป้ ่วย (Reach a shared decision) แตกต่างกับ นิสิตชน้ั ปีท่ี 2 3 และ4 อยา่ งมี นยั สำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 โดยนสิ ติ ช้นั ปีที่ 1 มกี ารรับร้ใู นสมรรถนะท่ี 3 สามารถสอ่ื สารเพ่ือให้ ผู้ป่วยรว่ มตัดสนิ ใจในการใชย้ า โดยพจิ ารณาจากข้อมูลทางเลอื กท่ีถูกตอ้ ง เหมาะสมกับบริบทและ เคารพในมุมมองของผปู้ ว่ ย (Reach a shared decision) ทคี่ ะแนนการรับร้ตู ำ่ กว่านสิ ิตชั้นปที ี่ 2 3 และ4

85 สมรรถนะท่ี 4 บริหารยาตามการส่ังใช้ยาไดอ้ ย่างถกู ต้อง แหลง่ ของความแปรปรวน SS df MS F P-value ระหวา่ งกล่มุ 107.008 3 35.669 4.165 .007 ภายในกลุม่ 2063.988 241 8.564 รวม 2170.996 244 *มีนยั สำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดบั 0.5 จากตารางที่ 19 พบวา่ นสิ ติ หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ ช้ันปีท่ี1-4 มกี ารรบั รู้สมรรถนะ ที่ 4 บริหารยาตามการส่งั ใชย้ าได้อย่างถูกต้องไม่แตกต่างกันอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถติ ิที่ระดับ .05 ระดบั ช้นั ปี คา่ เฉลยี่ ชัน้ ปีท1ี่ ชนั้ ปีท2่ี ชน้ั ปที 3ี่ ช้นั ปีท4ี่ 4.51 4.79 4.72 4.78 ชน้ั ปี 1 4.51 - -1.630* -1.190* -1.639* ชนั้ ปี 2 4.79 - -.441 -.007 ชั้นปี 3 4.72 - -.448 ชน้ั ปี 4 4.78 - *มนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั 0.5 จากตารางที่ 20 พบวา่ นิสติ ชน้ั ปีท่ี 1 มกี ารรบั รใู้ นสมรรถนะท่ี 4 แตกต่างกับ นิสิตช้ันปที ี่ 2 3 และ4 อย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .05 โดยนิสิตช้นั ปที ่ี 1 มีการรบั รู้ในสมรรถนะที่ 4 บริหาร ยาตามการส่งั ใชย้ าได้อย่างถูกตอ้ งท่ีคะแนนการรับรู้ตำ่ กวา่ นิสิตชนั้ ปีท่ี 2 ชน้ั ปีที่ 3และช้นั ปีท่ี 4

86 สมรรถนะท่ี 5 สามารถใหข้ ้อมลู ท่ีจำเป็นตอ่ การใชย้ าไดอ้ ยา่ งเพยี งพอ (Provide information) แหลง่ ของความแปรปรวน SS df MS F P-value ระหวา่ งกลุม่ 25.786 3 8.595 1.794 .149 ภายในกลมุ่ 1154.925 241 4.792 รวม 1180.710 244 *มีนยั สำคญั ทางสถติ ิท่ีระดบั 0.5 จากตารางท่ี 21 พบว่า นิสติ หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิตชนั้ ปที ่ี1-4 มกี ารรบั รู้สมรรถนะท่ี 5 สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ (Provide information) ไมแ่ ตกต่างกนั อย่างมี นัยสำคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 ระดบั ชัน้ ปี คา่ เฉล่ยี ช้ันปที 1่ี ชัน้ ปที 2ี่ ช้ันปีท3ี่ ชัน้ ปีท4่ี 4.60 4.74 4.71 4.79 ชัน้ ปี 1 4.60 - -.716 -.552 -.817* ชน้ั ปี 2 4.74 - .165 -.155 ช้ันปี 3 4.71 - .319 ชนั้ ปี 4 4.79 - *มีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั 0.5 จากตารางที่ 22 พบว่า นิสิตช้นั ปที ่ี 1 มกี ารรบั รู้ในสมรรถนะท่ี 5 สามารถใหข้ ้อมลู ท่จี ำเปน็ ตอ่ การใช้ยาได้อยา่ งเพยี งพอ (Provide information) แตกตา่ งกับนิสิตช้นั ปีที่ 4 อย่างมีนยั สำคัญทาง สถติ ิท่รี ะดบั .05 โดยนสิ ิตชัน้ ปที ่ี 1 มกี ารรับรู้ในสมรรถนะที่ 5สมรรถนะท่ี 5 สามารถให้ข้อมูลท่ี จำเปน็ ตอ่ การใชย้ าได้อยา่ งเพียงพอ (Provide information) ทคี่ ะแนนการรับรู้ต่ำกว่านิสิตช้นั ปีท่ี 2 3และ4 และนิสติ ชัน้ ปที ่ี 2 มคี ะแนนการรับรู้สมรรถนะที่ 5 มากกว่านิสิตชั้นปีท่ี 3

87 สมรรถนะท่ี 6 สามารถตดิ ตามผลการรักษา และรายงานผลขา้ งเคยี งท่อี าจเกิดข้ึนจากการใช้ยาได้ (Monitor and review) แหล่งของความแปรปรวน SS df MS F P-value ระหว่างกลมุ่ 51.321 3 17.107 3.547 .015 ภายในกล่มุ 1162.377 241 4.823 รวม 1213.698 244 *มีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ 0.5 จากตารางท่ี 23 พบว่า นิสติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้ันปีที่1-4 มีการรบั รู้สมรรถนะ ท่ี 6 สามารถติดตามผลการรกั ษา และรายงานผลข้างเคียงที่อาจเกดิ ขึน้ จากการใชย้ าได้ (Monitor and review) แตกต่างกนั อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั .05 ระดับชัน้ ปี คา่ เฉล่ยี ชั้นปีท1่ี ชน้ั ปที 2ี่ ช้ันปที 3ี่ ชัน้ ปที 4ี่ 4.52 4.73 4.73 4.73 ชัน้ ปี 1 4.52 - -1.121* -.914* -1.101.* ชนั้ ปี 2 4.73 - -.180 -.020 ชั้นปี 3 4.73 - -.160 ชน้ั ปี 4 4.73 - *มีนัยสำคญั ทางสถิติท่ีระดับ 0.5 จากตารางท่ี 24 พบวา่ นิสิตชัน้ ปที ่ี 1 มกี ารรบั รู้ในสมรรถนะที่ 6 สามารถติดตาม ผลการรักษา และรายงานผลขา้ งเคียงท่ีอาจเกิดข้นึ จากการใช้ยาได้ (Monitor and review) แตกต่าง กับ นสิ ิตช้นั ปที ่ี 2 3 และ4 อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .05 โดยนิสิตชั้นปที ี่ 1 มีการรบั รู้ใน สมรรถนะท่ี 6 สามารถตดิ ตามผลการรกั ษา และรายงานผลข้างเคยี งที่อาจเกดิ ข้นึ จากการใชย้ าได้ (Monitor and review) ท่คี ะแนนการรบั รู้ต่ำกวา่ นสิ ติ ช้นั ปที ี่2 ช้นั ปที ่ี 3และชั้นปีที่4

88 สมรรถนะท่ี 7 สามารถใชย้ าได้อยา่ งปลอดภยั ท้ังต่อผู้ป่วย และไมเ่ กิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม (Prescribe safely) แหลง่ ของความแปรปรวน SS df MS F P-value ระหวา่ งกลุ่ม 24.595 3 8.198 2.195 .089 ภายในกล่มุ 900.197 241 3.735 รวม 924.792 244 *มนี ัยสำคญั ทางสถติ ิท่ีระดบั 0.5 จากตารางท่ี 25 พบวา่ นิสิตหลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ช้ันปที ี่1-4 มีการรับรู้สมรรถนะท่ี 7 สามารถใช้ยาไดอ้ ย่างปลอดภัยทงั้ ต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม (Prescribe safely) ไมแ่ ตกต่างกันอยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .05 ระดบั ช้ันปี ค่าเฉลีย่ ชนั้ ปีท1่ี ชั้นปที 2่ี ชั้นปีท3ี่ ช้ันปที 4่ี 4.55 4.77 4.71 4.75 ชน้ั ปี 1 4.55 - -.818* -.695 -.663 ชน้ั ปี 2 4.77 - .123 .154 ชน้ั ปี 3 4.71 - -.031 ชั้นปี 4 4.75 - *มีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั 0.5 จากตารางที่ 26 พบวา่ นสิ ติ ชนั้ ปที ่ี 1 มกี ารรบั รใู้ นสมรรถนะท่ี 7 สามารถใชย้ าไดอ้ ย่าง ปลอดภัยทงั้ ต่อผปู้ ว่ ย และไมเ่ กดิ ผลกระทบตอ่ สังคมโดยรวม (Prescribe safely)แตกต่างกบั นสิ ติ ช้นั ปีท่ี 2 อยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05 โดยนิสติ ชน้ั ปที ี่ 1 มกี ารรบั รู้ในสมรรถนะท่ี 7 สามารถใช้ ยาได้อย่างปลอดภยั ท้ังต่อผู้ป่วย และไมเ่ กดิ ผลกระทบตอ่ สังคมโดยรวม (Prescribe safely) ท่คี ะแนน การรบั รู้ตำ่ กว่านิสติ ช้ันปที ่ี 2 3และ4 และคะแนนนิสติ ช้นั ปีท่ี 2 มคี ะแนนการรบั รู้สมรรถนะท่ี 7

89 สามารถใช้ยาได้อยา่ งปลอดภัยท้งั ต่อผูป้ ่วย และไม่เกดิ ผลกระทบต่อสังคมโดยรวม (Prescribe safely) มากกว่านสิ ิตชั้นปีท่ี3 สมรรถนะที่ 8 สามารถใช้ยาไดอ้ ย่างเหมาะสมตามความรคู้ วามสามารถทางวชิ าชีพ และเปน็ ไป ตามหลักเวชจริยศาสตร์ (Prescribe professionally) แหล่งของความแปรปรวน SS df MS F P-value ระหวา่ งกลมุ่ 2.322 3 .774 3.109 .027 ภายในกลมุ่ 59.989 241 .249 รวม 62.310 244 *มนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั 0.5 จากตารางที่ 27 พบว่า นสิ ติ หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชัน้ ปที ี่1-4 มกี ารรบั รู้สมรรถนะท่ี 8 สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความรู้ความสามารถทางวชิ าชพี และเปน็ ไปตามหลักเวช จริยศาสตร์ (Prescribe professionally) แตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ระดับช้นั ปี ค่าเฉลย่ี ชั้นปีท1่ี ชน้ั ปที 2่ี ชนั้ ปที 3ี่ ช้ันปีท4ี่ 4.58 4.82 4.78 4.81 ชน้ั ปี 1 4.58 - -.242* -.000* -.230* ชนั้ ปี 2 4.82 - -.042 .012 ชั้นปี 3 4.78 - -.031 ชนั้ ปี 4 4.81 - *มนี ัยสำคญั ทางสถติ ิที่ระดับ 0.5 จากตารางที่ 28 พบว่า นิสิตช้นั ปที ี่ 1 มีการรับรูใ้ นสมรรถนะที่ 8 สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความร้คู วามสามารถทางวชิ าชีพและเปน็ ไปตามหลักเวชจริยศาสตร์ (Prescribe professionally) แตกตา่ งกับนิสติ ชั้นปีท่ี 2 ช้ันปที ี่ 3 และชั้นปที ่ี 4 อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 โดยนสิ ิตช้ันปี ที่ 1 มีการรบั รู้ในสมรรถนะท่ี 8 สามารถใช้ยาได้อยา่ งเหมาะสมตามความร้คู วามสามารถทางวชิ าชีพ

90 และเป็นไปตามหลักเวช จรยิ ศาสตร์ (Prescribe professionally)ที่คะแนนการรับรู้ตำ่ กว่านสิ ิตชัน้ ปี ท2่ี ชน้ั ปที ่ี3และชัน้ ปที ี่ 4 สมรรถนะท่ี 9. สามารถพัฒนาความรคู้ วามสามารถในการใช้ยา ไดอ้ ย่างต่อเนอ่ื ง (Improve prescribing practice) แหล่งของความแปรปรวน SS df MS F P-value ระหวา่ งกล่มุ 13.520 3 4.507 3.683 .013 ภายในกลมุ่ 294.864 241 1.224 รวม 308.384 244 *มนี ยั สำคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั 0.5 จากตารางท่ี 29 พบวา่ นิสติ หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชน้ั ปที ี่1-4 มกี ารรบั รู้สมรรถนะท่ี 9. สามารถพัฒนาความร้คู วามสามารถในการใชย้ า ไดอ้ ย่างต่อเนอ่ื ง (Improve prescribing practice) แตกต่างกนั อย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .05 ระดบั ชน้ั ปี คา่ เฉลย่ี ชนั้ ปีท1่ี ช้นั ปีท2่ี ช้นั ปที 3่ี ชนั้ ปที 4ี่ 4.49 4.76 4.72 4.79 ช้ันปี 1 4.49 - -.547* -.465* -.598* ชัน้ ปี 2 4.76 - .082 .050 ชั้นปี 3 4.72 - -.132 ชน้ั ปี 4 4.79 - *มนี ยั สำคญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.5 จากตารางที่ 30 พบว่า นิสิตช้ันปีท่ี 1 มกี ารรบั รู้ในสมรรถนะที่ 9. สามารถพฒั นาความรู้ ความสามารถในการใช้ยา ได้อยา่ งต่อเนื่อง (Improve prescribing practice) แตกตา่ งกับ นสิ ิตช้ันปี ท่ี 2 ชน้ั ปที ่ี3 ชั้นปีท่ี4 อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05 โดยนิสิตชน้ั ปที ่ี 1 มีการรับรใู้ นสมรรถนะ ที่ 9. สามารถพฒั นาความร้คู วามสามารถในการใช้ยา ไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่ือง (Improve prescribing

91 practice)ท่คี ะแนนการรับรูต้ ่ำกว่านสิ ติ ชั้นปีที่ 2 ชัน้ ปีท่ี 3และชั้นปที ี่4 และคะแนนนสิ ิตช้ันปีท่ี 2 มี คะแนนการรบั รู้สมรรถนะที่ 9. สามารถพฒั นาความรู้ความสามารถในการใชย้ า ได้อย่างต่อเน่อื ง (Improve prescribing practice) มากกว่านสิ ติ ชนั้ ปีที่ 3 สมรรถนะที่ 10 สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอน่ื แบบสหวชิ าชีพ เพือ่ สง่ เสรมิ ให้เกดิ การใชย้ า อยา่ งสมเหตผุ ล (Prescribe as part of a team) แหลง่ ของความแปรปรวน SS df MS F P-value ระหวา่ งกล่มุ 4.190 3 1.397 5.703 .001 ภายในกลมุ่ 59.010 241 .245 รวม 63.200 244 *มีนยั สำคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั 0.5 จากตารางท่ี 31 พบว่า นสิ ิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้ันปที ี่1-4 มีการรบั รู้สมรรถนะท่ี 10 สามารถทำงานร่วมกับบคุ ลากรอ่ืนแบบสหวชิ าชพี เพอ่ื ส่งเสริมใหเ้ กดิ การใช้ยาอยา่ งสมเหตุผล (Prescribe as part of a team) แตกต่างกนั อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทร่ี ะดบั .05 ระดบั ชน้ั ปี คา่ เฉลย่ี ช้ันปที ่ี1 ชน้ั ปีที่2 ชั้นปที ่ี3 ช้ันปีท่ี4 4.50 4.85 4.81 4.87 ช้นั ปี 1 4.50 - -.306* -.268* -.329* ชน้ั ปี 2 4.85 - .038 -.022 ชน้ั ปี 3 4.81 - -.061 ชน้ั ปี 4 4.87 - *มีนัยสำคญั ทางสถิติทรี่ ะดับ 0.5 จากตารางท่ี 32 พบว่า นสิ ิตชน้ั ปที ี่ 1 มกี ารรบั รใู้ นสมรรถนะที่ 10 สามารถทำงานรว่ มกับ บุคลากรอน่ื แบบสหวชิ าชีพ เพ่ือสง่ เสรมิ ให้เกิดการใชย้ าอย่างสมเหตุผล (Prescribe as part of a team) แตกต่างกับ นิสติ ชั้นปีท่ี 2 ชัน้ ปีที่3 และช้ันปีท่ี4 อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05 โดย

92 นสิ ิตช้ันปที ี่ 1 มกี ารรับรใู้ นสมรรถนะท่ี 10 ที่คะแนนการรับรู้ต่ำกวา่ นิสิตชั้นปที ี่2 ช้ันปีที่ 3 และช้ันปที ่ี 4 ตอนท่ี 4 ข้อมูลเปรยี บเทียบ คะแนนการรบั รบู้ ทบาทตนเองตามสมรรถนะบัณฑิตพยาบาลในการ ใชย้ าอยา่ งสมเหตสุ มผลแก่ผู้รับบรกิ ารวยั เด็กของนิสติ หลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิตของนสิ ติ หลักสูตรพยาบาลศาสตรในแตล่ ะช้นั ปีแตกต่างกันโดยค่าสถิติ One=way ANOVA สมรรถนะบัณฑิตพยาบาลในการใช้ ระดบั ช้ันปี ยาอยา่ งสมเหตุผลแก่ผูร้ ับบริการวยั ชน้ั ปีที่ 1 ชัน้ ปีท่ี 2 ชน้ั ปที ี่ 3 ช้นั ปีท่ี 4 F P-value เดก็ x̄ S.D. x̄ S.D. x̄ S.D. x̄ S.D. สมรรถนะท่ี 1 สามารถประเมนิ ปญั หา 4.50 3.00 4.76 1.96 4.73 2.33 4.89 1.21 7.31* .00 ผปู้ ่วย ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับการใช้ยา หรอื มี ความจำเป็นต้องใช้ยาในการรกั ษา (Assess the patient) สมรรถนะที่ 2 สามารถรว่ มพิจารณา 4.44 5.05 3.98 3.06 4.61 3.51 4.66 3.40 2.32 .08 การเลือกใชย้ าไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ตาม ความจำเป็น (Consider the options) สมรรถนะท่ี 3 สามารถสอ่ื สารเพอ่ื ให้ 4.40 4.14 4.62 3.03 4.65 3.23 4.71 2.28 8.65* .00 ผูป้ ่วยรว่ มตัดสินใจในการใช้ยา โดย พิจารณาจากข้อมลู ทางเลอื กท่ีถูกต้อง เหมาะสมกบั บรบิ ทและเคารพใน มมุ มองของผปู้ ว่ ย (Reach a shared decision) สมรรถนะที่ 4 บรหิ ารยาตามการสง่ั ใช้ 4.51 3.95 4.79 2.12 4.72 3.12 4.78 2.30 4.16* .00 ยาไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง สมรรถนะท่ี 5 สามารถให้ขอ้ มลู ที่ 4.60 2.76 4.74 1.93 4.71 1.98 4.79 2.03 1.79 .14 จำเป็นตอ่ การใช้ยาไดอ้ ย่างเพยี งพอ (Provide information) สมรรถนะท่ี 6 สามารถตดิ ตาม 4.52 3.14 4.73 1.79 4.73 1.89 4.73 1.70 3.55* .01 ผลการรักษา และรายงานผลข้างเคยี งท่ี อาจเกิดข้ึนจากการใช้ยาได้ (Monitor

93 สมรรถนะบัณฑิตพยาบาลในการใช้ ระดับชนั้ ปี F P-value .08 aยnาdอrยeา่ vงieสwมเ)หตผุ ลแก่ผรู้ ับบริการวัย .03 .01 สมรรถนะท่ี 7 สามเดาก็รถใช้ยาได้อย่าง 4.55 2.73 4.77 1.56 4.71 1.61 4.75 1.62 2.19 .00 .03 ปลอดภัยทง้ั ต่อผปู้ ่วย และไม่เกดิ ผล กระทบตอ่ สังคมโดยรวม (Prescribe safely) สมรรถนะท่ี 8 สามารถใช้ยาได้อยา่ ง 4.58 .66 4.82 .46 4.78 .42 4.81 .40 3.11* เหมาะสมตามความร้คู วามสามารถทาง วชิ าชพี และเป็นไปตามหลักเวชจริย ศาสตร์ (Prescribe professionally) สมรรถนะท่ี 9. สามารถพัฒนาความรู้ 4.49 1.54 4.76 .98 4.72 .92 4.79 .86 3.68* ความสามารถในการใชย้ า ได้อยา่ ง ต่อเนอ่ื ง (Improve prescribing practice) สมรรถนะที่ 10 สามารถทำงานร่วมกับ 4.50 .73 4.85 .44 4.81 .44 4.87 .34 5.70* บคุ ลากรอ่ืนแบบสหวชิ าชพี เพอ่ื สง่ เสริมให้เกิดการใชย้ าอยา่ งสมเหตุผล (Prescribe as part of a team) รวม 4.50 0.06 4.65 0.25 4.71 0.05 4.77 0.07 4.25 จากตารางที่ 33 พบวา่ คะแนนการรับร้บู ทบาทตนเองตามสมรรถนะบัณฑติ พยาบาลใน การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลแก่ผรู้ บั บรกิ ารวยั เดก็ ของนสิ ิตหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบัณฑิตของนิสิต หลกั สูตรพยาบาลศาสตรในแตล่ ะชั้นปีแตกต่างกันโดยค่าสถิติ One-way ANOVA พบว่า นสิ ิต พยาบาลศาสตรบัณฑิตระดับช้ันปีท่ี 1 – 4 มีการรบั รู้บทบาทตนเองตามสมรรถนะบัณฑติ พยาบาล ในการใชย้ าอย่างสมเหตุผล ได้แก่ สมรรถนะที่ 1 สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยท่เี กีย่ วขอ้ งกบั การใช้ยา หรือมคี วามจำเป็นตอ้ งใชย้ าในการรกั ษา (Assess the patient) สมรรถนะท่ี 3 สามารถ สื่อสารเพื่อใหผ้ ปู้ ว่ ยร่วมตัดสนิ ใจในการใชย้ า โดยพิจารณาจากข้อมูลทางเลือกท่ีถูกต้องเหมาะสม กบั บรบิ ทและเคารพในมุมมองของผปู้ ่วย (Reach a shared decision) สมรรถนะท่ี 4 บรหิ ารยา ตามการส่งั ใช้ยาได้อยา่ งถูกต้อง สมรรถนะท่ี 6 สามารถตดิ ตามผลการรกั ษา และรายงานผลข้างเคยี ง ทอ่ี าจเกิดขน้ึ จากการใชย้ าได้ (Monitor and review) สมรรถนะท่ี 8 สามารถใชย้ าได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชพี และเปน็ ไปตามหลักเวชจรยิ ศาสตร์ (Prescribe professionally)

94 สมรรถนะท่ี 9 สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใชย้ าได้อยา่ งต่อเน่ือง (Improve prescribing practice) สมรรถนะที่ 10 สามารถทำงานร่วมกบั บคุ ลากรอ่ืนแบบสหวิชาชพี เพอ่ื ส่งเสริมให้เกิดการใชย้ าอยา่ งสมเหตผุ ล (Prescribe as part of a team) แตกต่างกนั อย่าง มีนยั สำคญั ทางสถิติ และสมรรถนะท่ี 2 สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตาม ความจำเป็น (Consider the options)สมรรถนะท่ี 5 สามารถให้ขอ้ มูลทีจ่ ำเปน็ ต่อการใชย้ าได้ อยา่ งเพียงพอ (Provide information) สมรรถนะท่ี 7 สามารถใช้ยาได้อยา่ งปลอดภัยทัง้ ตอ่ ผู้ป่วย และไมเ่ กิดผลกระทบต่อสงั คมโดยรวม (Prescribe safely) ไม่แตกต่างกนั อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิติ

95 บทท5่ี สรปุ ผลการวจิ ัยอภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ การวิจยั เรือ่ งการสำรวจการรับรู้บทบาทตนเองตามสมรรถนะบัณฑิตพยาบาลในการใช้ยา อยา่ งสมเหตผุ ลแกผ่ รู้ บั บริการวยั เด็กของนสิ ติ หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑิต (The survey of Bachelor Nursing Students’ perception about Nursing Student Roles according to Nursing Competency in Rational Drug Use in pediatric patients.) การวิจัยนี้เปน็ การวิจัย เชงิ ปรมิ าณ (quantitative research ) รูปแบบวิจยั เชงิ สำรวจ (Survey research) มีวัตถุประสงค์ ของการวจิ ยั ดงั น้ี 1. เพื่อศกึ ษาการรับรู้บทบาทตนเองตามสมรรถนะของบัณฑติ พยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลแก่ ผ้รู บั บรกิ ารวัยเดก็ ของนสิ ติ พยาบาลหลักสตู รพยาบาลศาสตรบัณฑติ 2. เพอ่ื เปรียบเทียบการรบั รู้บทบาทตนเองตามสมรรถนะของบัณฑิตพยาบาลในการใชย้ าอยา่ งสม เหตุผลแกผ่ ู้รับบริการวยั เดก็ ในนสิ ิตแตล่ ะชัน้ ปี การดำเนินการวิจัยคร้งั น้ี ประชากรทใ่ี ชในการศึกษาวิจัยในครั้งน้ี คือ นิสติ คณะพยาบาล ศาสตร์ช้นั ปีท1ี่ -4 จำนวน 494 คน ผูว้ ิจัยไดเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู เกยี่ วกบั กลุมตวั อยางทเ่ี ป็นนิสิต คณะพยาบาลศาสตร์ช้นั ปีท่ี 1-4 ทใี่ หความรวมมือในการตอบแบบสอบถามโดยไดม้ าจากการคำนวณ จากสตู ร Yamane ได้จาํ นวน 245 คน คิดเปนรอยละ 49.59 ของประชากรท้ังหมด ซึ่งเครอื่ งมือท่ีใช ในการวิจยั เปนแบบสอบถามแบงเปน 2 ส่วน คือ สว่ นที่ 1 ขอมลู ส่วนบคุ คลของกลมุ่ ตัวอย่าง ส่วนที่ 2 แบบสอบถามการรับรู้ของนิสิตพยาบาลเรอ่ื งบทบาทนิสิตพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลแก่ ผรู้ ับบรกิ ารวัยเดก็ จำนวน 45 ขอ้ แบบสอบถามไดผ้ ่านการตรวจความตรงของเน้ือจากผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ จำนวน 3 ท่าน ซง่ึ ในแตล่ ะขอ้ คำถามมคี ่า CVI = 1 และคา่ ความเท่ียงของเน้ือหาด้วยวิธกี ารหาค่า สัมประสทิ ธอิ์ ัลฟ่าครอนบาคเทา่ กับ 0.98 วเิ คราะห์ข้อมลู โดยใชส้ ถิติ Analysis of Variance (ANOVA) ประเภท One – way ANOVA โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเรจ็ รปู ซ่งึ ผลการศกึ ษาสรุป ได้ดังต่อไปนี้