1 ปจั จัยท่ีมคี วามสมั พนั ธก์ บั ความเครียดในการเรียนออนไลนข์ องนสิ ิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร กลั ยรัตน์ มงคล สุพณิ ญา เรอื นอนิ ทร์ สทุ ธิดา วัฒนะ ปยิ ฉัตร ใจยะสาร อรนิภา แสงอนิ ทร์ กลั ยา หยกลาภอุดมศรี ศุภวิชญ์ ศกั ดี นภัสวรรณ ภาภีร์ วทิ ยานพิ นธเ์ สนอบัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยนเรศวร เพอ่ื เปน็ สว่ นหนงึ่ ของการศกึ ษาหลักสตู ร ปรญิ ญาพยาบาลศาสตรบณั ฑิต มนี าคม 2564 ลิขสทิ ธิ์เปน็ ของมหาวิทยาลัยนเรศวร
2 ประกาศคณุ ูปการ ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณิชกานต์ ทรงไทย อาจารย์ที่ปรึกษาปริญญานิพนธ์ ซึ่งเสียสละเวลาอันมีค่ายิ่งของท่านในการให้คำปรึกษา แนะนำและชแ้ี นวทางท่ีเป็นประโยชน์ในการทำปริญญานิพนธ์ดว้ ยความเอาใจใส่และห่วงใย พร้อมท้ัง ให้กำลงั ใจอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาในการทำวทิ ยานพิ นธ์ฉบบั นี้ ใหส้ ำเร็จลลุ ่วงไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ และทรงคุณค่า ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ณ โอกาสน้ี ขอขอบพระคุณคณะกรรมการสอบปริญญานพิ นธ์ทุกท่าน ที่ได้กรุณาให้คำแนะนำตลอดจน แก้ไขขอ้ บกพร่องของปริญญานิพนธ์ ทำให้ปริญญานพิ นธฉ์ บับน้ีสมบรู ณ์ ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ทุกท่านที่กรุณาตรวจสอบแก้ไข และให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ซึ่งทำให้เครื่องมือวิจัยมี ประสทิ ธภิ าพ เหนือสิ่งอื่นใด ขอขอบพระคุณบิดา มารดาของผู้วิจัย ที่ให้กำลังใจและให้การสนับสนุนใน ทุก ๆ ด้านอย่างดีที่สุดเสมอมา และขอบคุณนิสิตพยาบาล ชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4 คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ทใ่ี หค้ วามรว่ มมอื ในการเปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ ง คณุ ค่าและประโยชน์อันพงึ มีจากปรญิ ญานิพนธ์ฉบบั น้ี ผวู้ ิจยั ขอมอบเป็นคุณความดีของทุก ท่านทมี่ สี ่วนร่วมสนับสนุนให้งานวิจัยมคี วามสำเร็จ ผู้วจิ ยั หวงั เปน็ อย่างยงิ่ วา่ การศึกษาในคร้ังนจ้ี ะเปน็ ข้อมลู เชงิ ประจักษ์ท่ีผู้เกี่ยวข้องในการจัดการเรยี นการสอนออนไลน์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการ จัดการเรียนการสอนวางแผนการลดปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความเครียดในการเรียนออนไลน์ของ นิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ในสถานการณใ์ กล้เคียงกันได้ ผูว้ จิ ยั
3 ชือ่ เรอ่ื ง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดในการเรียนออนไลน์ของนิสิต พยาบาลคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ผู้วิจยั นางสาวกลั ยรัตน์ มงคล นางสาวสุพิณญา เรอื นอนิ ทร์ นางสาวสุทธดิ า วัฒนะ นางสาวปิยฉตั ร ใจยะสาร นางสาวอรนิภา แสงอินทร์ นางสาวกัลยา หยกลาภอดุ มศรี นายศุภวิชญ์ ศักดี นางสาวนภัสวรรณ ภาภีร์ อาจารย์ทีป่ รึกษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ณิชกานต์ ทรงไทย ประเภทสารนิพนธ์ ปริญญานิพนธ์, พย.บ. มหาวทิ ยาลยั นเรศวร, 2563 คำสำคัญ ปจั จัย ความเครียด เรยี นออนไลน์ นสิ ิตพยาบาล บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดในการเรียน ออนไลน์ ของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิต พยาบาล ชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4 ปีการศึกษา 2563 จำนวนทั้งสิ้น 181 คน ที่ได้มาจากการสุ่ม ตัวอย่างแบบเป็นระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงตาม เนื้อหา โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาของปัจจัยสิ่งแวดล้อมในการเรียน ออนไลน์ และการสนับสนุนทางสังคม เท่ากับ 0.91 และ 0.85 ตามลำดับ นำไปทดลองใช้กับกลุ่ม ตวั อยา่ งจำนวน 30 ราย แลว้ นำมาหาคา่ สัมประสทิ ธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้เท่ากับ 0.90 และ0.93 ตามลำดับ ส่วนคา่ สมั ประสิทธ์แิ อลฟาของครอนบาคของแบบประเมนิ ความเครยี ด (SPST-20) เท่ากบั 0.94 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ วเิ คราะห์ความสมั พันธ์ด้วยสมั ประสทิ ธ์สิ หสมั พันธ์แบบพอยทไ์ บซเี รียล เพียรส์ นั และสเปยี ร์แมน ผลการวจิ ยั พบว่า กลมุ่ ตวั อย่างมีความเครียดของโดยรวมอยู่ในระดบั สงู (������̅ = 55.33, S.D. = 17.78) ปัจจัยสิ่งแวดล้อมในการเรียนออนไลน์ และการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางลบ กับความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (rs = -.384, r = -.621) ตามลำดับ ส่วนเพศ ชั้นปี และอายุไม่มีความสัมพันธ์กับความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (rpb =.084, rpb = -.136, rs = -.097) ตามลำดบั
4 Title FACTORS ASSOCIATED WITH STRESS TOWARD ONLINE LEARNING AMONG NURSING STUDENTS OF FACULTY OF NURSING, NARESUAN UNIVERSITY Author Kanyarat Mongkon Supinya Ruanin Suttida Wattana Piyachat Jaiyasarn Onnipha Saeng-in Kanlaya Yoklapudomsri Supawit Sakdee Napadsawan Phaphi AdvisorAssistant Professor Nichakarn Songthai, RN, Ph.D. Academic Paper Thesis Submitted B.N.S. Naresuan University, 2020 Keywords Factors, Stress, Online Learning, Nursing Students ABSTRACT This study aimed to study factors associated with stress toward online learning among nursing students of faculty of nursing, Naresuan University. The samples comprised of 181 nursing students who have studied 3rd and 4th year in academic year 2020. The data was collected using factors associated with stress toward online learning by systematic sampling. The questionnaire was examined content validity by qualified committees. The content validity index of the environmental factor in online learning and social supports are 0. 91 and 0. 85, respectively. In addition, the content validity was tested with Cronbach’ s alpha coefficient by resulting 0. 90 and 0. 93 respectively and Suanprung Stress Test-20 (SPST-20) showing the result 0.94. Moreover, the data were analyzed by frequency, percentage, average, standard deviation, Point Biserial Correlation, Pearson Product – Moment Correlation Coefficient and Spearman Rank Correlation Coefficient. As the results of the data analysis, level of stress in the samples indicated a high level (������̅ = 55.33, SD = 17.78). The environmental factor in online learning and
5 social supports both have statistically significance at .01 level (rs = -.384, r = -.621) and related negatively to stress toward online learning. Furthermore gender, years of study and age haven’t correlation with stress toward online learning and are statistically significant at .05 level. (rpb =.084, rpb = -.136, rs = -.097) ตามลำดับ
6 สารบัญ บทที่ หน้า 1 บทนำ………………………………....…......…...…………………………………………………………….. 1 ความเปน็ มาของปญั หา…………………………………….........………….......................... 1 จุดมุง่ หมายของการวจิ ยั ……………………………………....…..…………......................... 3 คำถามการวิจัย……………………………………....….........……...................................... 4 ขอบเขตการวจิ ยั ………………………………………………………………………………………. 4 ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะได้รับ………………………………………………………………………… 5 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ……………………………………………………………………………………… 5 สมมตฐิ านการวจิ ยั ……………………………………………………………………………………. 7 2 เอกสารวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง…………………………………………………………………………………….. 8 สถานการณก์ ารเรยี นออนไลน์ของนสิ ติ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร………………………………………………………………………………… 9 แนวคิดทฤษฎีและเอกสารทเ่ี กยี่ วข้องกบั ความเครียด……………………………………. 11 สาเหตุและปจั จยั ของความเครยี ด………………………………………………………………. 22 ปจั จัยภายในบุคคล……………………………………………………………………... 23 ปัจจยั ภายนอกบคุ คล…………………………………………………………………… 24 การเรยี นออนไลน…์ ………………………………………………………………………………….. 27 ความหมายของการเรยี นออนไลน์…………………………………………………. 27 องคป์ ระกอบหลักของระบบ e-Learning………………………………………. 29 ผูใ้ ช้งานระบบ LMS…………………………………………………………………….. 30 การเรยี นออนไลนแ์ บบสมบรู ณ…์ ………………………………………………….. 31 งานวิจัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง…………………………………………………………………………………… 28 กรอบแนวคิดการวจิ ัย………………………………………………………………………………. 37
7 สารบญั (ต่อ) บทที่ หน้า 3 วิธดี ำเนนิ การศึกษาค้นคว้า………………………………………………………………………………. 38 ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง……………………………………………………………………….. 38 เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวิจัย…………………………………………………………………………… 41 การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมอื ……………………………………………………………….. 44 การรวบรวมขอ้ มลู …………………………………………………………………………………… 45 การวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………………. 46 การพทิ ักษส์ ทิ ธกิ์ ลุ่มตัวอย่าง……………………………………………………………………… 47 4 ผลการวจิ ยั ……………………………………………………………………………………………………… 48 สว่ นท่ี 1 ข้อมูลท่วั ไปของนิสติ พยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร………………………………………………………………………… 48 สว่ นที่ 2 ผลการวิเคราะหค์ วามเครียดในการเรียนออนไลนข์ องนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร…………………………………………. 49 ส่วนท่ี 3 ปัจจยั ที่มีความสมั พนั ธก์ บั ความเครยี ดในการเรยี นออนไลน์ของ นสิ ิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร……………………. 51 5 บทสรปุ …………………………………………………………………………………………………………… 53 สรุปผลการวิจัย………………………………………………………………………………………. 54 อภิปรายผลการวิจัย………………………………………………………………………………… 54 ขอ้ เสนอแนะ………………………………………………………………………………………….. 57 บรรณานุกรม………………………………………………………………………………………………….. 58
8 สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า ภาคผนวก……………………………………………………………………………………………………….. 66 ประวตั ิผู้วจิ ยั …………………………………………………………………………………………………… 102
9 สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 จำนวน ร้อยละ คา่ เฉลี่ย และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ของกลมุ่ ตวั อยา่ ง (n=181)…….. 48 2 จำนวน รอ้ ยละ ของระดับความเครยี ดในการเรียนออนไลน์ (n=181)…………………….. 49 3 คา่ เฉลย่ี สว่ นเบี่ยงเบนมาตราฐาน และระดับความเครยี ดในการเรยี นออนไลน…์ ……… 50 4 ค่าเฉลยี่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ระดับสง่ิ แวดลอ้ มในการเรียนออนไลน์ และการสนับสนุนทางสงั คม (n=181)…………………………………………………………………. 50 5 คา่ สัมประสทิ ธส์ิ หสัมพันธ์ระหว่าง เพศ ช้นั ปีทก่ี ำลังศึกษา อายุ สิง่ แวดล้อมในการ เรยี นออนไลน์ และการสนบั สนุนทางสงั คมกบั ความเครียดของนิสติ พยาบาล ในการเรยี นออนไลน…์ ………………………………………………………………………………………. 51 6 การตรวจสอบความเช่ือมัน่ ของเครอ่ื งมอื (Reliability) แบบประเมินความเครียดใน การเรยี นออนไลน์ของนสิ ติ พยาบาล (n=30)………………………………………………………… 76 7 การตรวจความเช่ือมนั่ ของเครื่องมือ (Reliability) ด้านสง่ิ แวดลอ้ มท่ีเกีย่ วข้องกับ ความเครยี ดในการเรยี นออนไลนข์ องนสิ ิตพยาบาล (n=30)…………………………………… 78 8 การตรวจความเช่อื ม่ันของเคร่ืองมือ (Reliability) ดา้ นการสนบั สนุนทางสังคมท่ี เก่ียวข้องกับความเครยี ดในการเรยี นออนไลน์ของนิสติ พยาบาล (n=30)…………………. 82 9 วเิ คราะห์ความสมั พันธ์ (Correlation) เพศ อายุ ชน้ั ปี สิ่งแวดล้อมในการเรียน ออนไลน์ และสิ่งสนบั สนุนทางสงั คมกบั ความเครยี ดของนสิ ิตพยาบาลในการ เรียนออนไลน์ แบบเพยี รส์ ัน (Pearson's )…………………………………………………………… 85 10 วเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธ์ (Correlation) เพศ อายุ ชน้ั ปี สิง่ แวดลอ้ มในการเรยี น ออนไลน์ และสิง่ สนับสนนุ ทางสงั คมกับความเครียดของนสิ ิตพยาบาลในการ เรยี นออนไลน์ แบบสเปยี รแ์ มน (Spearman's)………………………………………………….… 88 11 วิเคราะห์ค่าเฉลีย่ จำนวน และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ของปจั จยั การสนับสนุนทาง สังคม และสงิ่ แวดล้อม………………………………………………………………………………………. 92
10 สารบัญตาราง (ต่อ) ตาราง หน้า 12 วเิ คราะห์คา่ เฉลยี่ จำนวน และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน ของปัจจยั สง่ิ แวดลอ้ มในการ เรยี นออนไลน์………………………………………………………………………………………………... 93 13 วเิ คราะห์จำนวน คา่ เฉลี่ย และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน แบบสอบถามด้านสิ่งแวดลอ้ ม ทเ่ี ก่ียวข้องกบั ความเครยี ดในการเรียนออนไลน์ของนสิ ิตพยาบาล…………………………… 94 14 วเิ คราะหจ์ ำนวน คา่ เฉลีย่ และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน แบบสอบถามการสนับสนนุ ทางสงั คมทเ่ี กย่ี วข้องกบั ความเครียดในการเรยี นออนไลนข์ องนิสติ พยาบาล……………. 97 15 วิเคราะห์จำนวน คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน แบบสอบถามความเครียดใน การเรียนออนไลน์ของนสิ ิตพยาบาล………………………………………………………………....... 99
11 สารบัญภาพ ภาพ หน้า 1 กรอบแนวคิดการวจิ ยั ……………………………………………………………………………………….. 37 2 ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง………………………………………………………………………………… 40
1 บทที่ 1 บทนำ ความเปน็ มาของปญั หา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในหลาย ประเทศรวมถึงประเทศไทย จากข้อมูลผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 รายแรกในประเทศไทยตั้งแต่ 13 มกราคม 2563 และเป็นรายแรกนอกประเทศจีน ไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ ผ่าน ละอองฝอยจากการไอจาม จงึ แพร่กระจายเชื้อได้ง่ายส่งผลทำลายอวัยวะภายในระบบทางเดินหายใจและ อวัยวะที่เกี่ยวข้อง เป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวติ (กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข, 2563) นอกจากนี้ ยงั เป็นโรคอบุ ัติใหม่ทยี่ ังไมม่ ียารักษาและไม่มวี ัคซีนปอ้ งกนั โรค ด้วยเหตุน้ีกระทรวงศกึ ษาธิการ (2563) จึง ประกาศให้สถานศึกษาทุกแห่งของรัฐและเอกชน ปิดเรียนการสอนด้วยเหตุพิเศษ ตั้งแต่วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการประกาศเปลี่ยนแปลง เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของนักเรียน และนักศึกษา ทั้งนี้ ให้สถานศึกษาจัดให้มีการเรียนการสอนออนไลน์ ซึ่งมหาวิทยาลัยนเรศวรได้ขานรับ นโยบายดังกล่าวและมอบหมายให้คณะต่าง ๆ ดำเนินการตามนโยบายนี้ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร จึงจัดการเรียนการสอนออนไลนแ์ บบสมบูรณ์ครั้งแรกให้กบั นสิ ิตชั้นปีท่ี 2 และช้ันปี ที่ 3 ในภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562 ส่วนนิสิตชั้นปีที่ 1 ไม่เปิดเรียนภาคฤดูร้อน และ ชั้น ปีที่ 4 ฝึก ภาคปฏิบัติจึงไม่ได้จัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันนิสิตชั้นปีที่ 2 และ 3 ดังกล่าว กำลัง ศึกษาชั้น ปีที่ 3 และ 4 ในปีการศึกษา 2563 ซึ่งถือได้ว่าเป็นนิสิตรุ่นแรกที่มีการจัดการเรียนการสอน ออนไลน์แบบสมบูรณ์ และมีประสบการณ์ที่แตกต่างจากชั้นปีอ่ืน ๆ เพราะหลังจากนั้นภาคฤดูร้อน ปี การศึกษา 2562 คณะพยาบาลศาสตร์มีการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานระหว่างการเรียน ออนไลน์และการเรียนในหอ้ งเรียนไมใ่ ช่การเรียนออนไลน์แบบสมบรู ณ์ การเรยี นออนไลน์ หมายถงึ การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทาง เช่น Web Browser, E-mail Chat Social Network ในการสื่อสาร โดยมีการกำหนดกิจกรรมการเรียน และการสอนที่ออกแบบด้วยวิธีการ สอนที่หลากหลาย มีการนำเสนอเนื้อหาสื่อแบบดิจิตอล การสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์ และการวัด ประเมินผลผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เหมือนการสอนในระบบชั้นเรียน ต่างกันตรงที่ผู้สอนและ ผูเ้ รียนไมไ่ ดเ้ ผชญิ หนา้ กัน (face to face) การเรยี นดว้ ยวธิ นี ผ้ี สู้ อนรับหนา้ ที่การออกแบบการเรียนรู้ด้วยอี
2 เลริ ์นนิง จัดเตรียมสอ่ื และกจิ กรรมการเรียน ร่วมกจิ กรรมการเรียนผา่ นเครอื่ งมือส่ือสารการเรียนการสอน ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ (ฐาปนีย์ ธรรมเมธา, 2557) การจัดการเรียนการสอนในระหว่างการแพร่ ระบาดของโรคตดิ ต่อเชื้อไวรสั COVID-19 ในชว่ งภาคฤดรู ้อน จึงเป็นสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นกับอาจารย์ และนิสิตซึ่งต่างก็ยังไม่มีประสบการณ์และไม่คุ้นเคยกับการเรียนการสอนออนไลน์แบบสมบูรณ์เช่นนี้มา ก่อน จงึ เป็นประสบการณใ์ หมค่ รั้งแรกที่อาจเป็นปัจจยั สำคญั ท่ีส่งผลใหเ้ กิดความเครียด ความเครียด หมายถึง ภาวะที่บุคคลรู้สึกว่าตนถูกคุกคามก่อให้เกิดความไม่สบายใจ กังวล สับสน วิตกกังวล เกิดความไม่สมดุลซึ่งเป็นผลมาจากการที่บุคคลรับรู้หรือประเมินสิ่งที่ผ่านเข้ามาใน ประสบการณ์ของตนว่า เป็นส่งิ ที่คกุ คามร่างกายและจิตใจทำให้เกิดการดงึ กลไกการป้องกนั ตนเอง เพื่อทำ ให้ความรู้สึกถูกกดดันหรือความเครียดเหลา่ นั้นคลายลงและกลับเข้าสู่สมดุลอีกครั้งหน่ึง (กรมสุขภาพจิต, 2546) ซึ่งผลกระทบจากความเครียดก่อให้เกิดอาการและพฤติกรรมที่แสดงออกเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ บุคคลรู้สึกเครียดจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียด ทำให้มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้าน เชาวป์ ญั ญา ไดแ้ ก่ มีปัญหาด้านความจำ อาจจะหลงลมื กับเร่อื งเล็ก ๆ สมาธิลดลงเกดิ อาการหงดุ หงิด วิตก กังวล กลัวตนเองทำผดิ พลาด หวาดกลัวกับสิง่ ทีย่ ังไมเ่ กิดขึน้ อยู่ตลอดเวลา การตัดสินใจการแก้ไขปัญหาไม่ ดีเท่าที่ควร มีผลกระทบด้านอารมณ์ ได้แก่ อารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ฉุนเฉียว ซึมเศร้า ร้องไห้ รู้สึกเหงาโดดเดี่ยว ผลกระทบด้านร่างกาย ได้แก่ เจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ปวดหัว ผมร่วง หนังตากระตุก ปวดตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ผิวพรรณหม่นหมอง หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกง่าย ระบบขับถ่ายมี ปัญหา คล่ืนไส้ เวียนหวั และดา้ นพฤตกิ รรมทแ่ี สดงออกเม่ือเกดิ ความเครยี ด ไดแ้ ก่ รบั ประทานอาหารมาก ขึ้นหรือน้อยลง นอนไม่หลับ มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อยลง ใช้ยาเสพติด บุหรี่ หรือแอลกอฮอล์มากขึ้น รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา ทำผดิ พลาดง่ายแม้แตเ่ รอ่ื งเลก็ ๆ เป็นต้น (กรมสขุ ภาพจติ , 2562) ชูทิตย์ ปานปรีชา (2529 อ้างถึงใน กรมสุขภาพจิต, 2546) กล่าวถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิด ความเครียดวา่ ประกอบดว้ ย 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายในบุคคล หรือสาเหตุตา่ ง ๆ ที่มาจากตัวบุคคล และ ปัจจัยภายนอก หรือปัจจัยต่าง ๆ นอกตัวคนที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดความเครียด สอดคล้องกับการศึกษา ของ เบญจวรรณ วงศ์ปราชญ์ (2561) กล่าวถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียด คือ สภาพแวดล้อมในการ เรียนออนไลน์ สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการเรียนการสอน ได้แก่ การจัดที่นั่งในห้องเรียนมีความ เหมาะสม อุณหภูมิในห้องเรียนอยู่ในระดับที่เหมาะสม แสงสว่างในห้องเรียนเอื้อต่อการเรียนการสอน มี ห้องสมุดหรือแหล่งสืบค้นข้อมูลที่ทันสมัย เครื่องคอมพิวเตอร์มีให้บริการอย่างเพียงพอ มีบอร์ด ประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งข่าวสารทางการศึกษา ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตไร้สายมีเสถียรภาพ เครือข่าย อินเตอร์เน็ตไร้สายให้บริการอย่างทั่วถึง และส่ิงสนับสนุนทางสังคม ประกอบด้วย เพื่อน ครู ครอบครัว นอกจากนี้ สิริทรัพย์ สีหะวงษ์, ณิชกานต์ ฝูงดี (2561) ได้ศึกษาพบว่า ปัญหาและอุปสรรคในการเรียน
3 ออนไลนน์ ักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานที ี่ พบว่า ผเู้ รยี นไม่เขา้ ใจบทเรียนและไม่ สามารถได้รับคำตอบทันทีเหมือนกับการเรียนในห้องเรียน การเรียนผ่านทางเว็บไซต์ค่อนข้างจะยากกวา่ การเรียนในห้องเรียน ผู้สอนไม่สามารถทราบได้ว่าผู้เรียนมีความเข้าใจกับเนื้อหาในทางเดียวกันหรือไม่ ผู้เรียนมีความโดดเดี่ยว ขาดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่สมบูรณ์ ซึ่งการเรียนในห้องเรียนซึ่งมีการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้มากกว่า และด้านคุณภาพของการเรียนที่ได้รับไม่เท่ากับการนั่งเรียนใน ห้องเรียน ปัจจัยที่พบว่ามีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง คือ ความล่าช้าในการเรียนได้รับข่าวสารเกี่ยวกับ การเรียนการสอนแบบออนไลน์ และผู้เรียนไม่สามารถนำแนวคิดที่ได้มาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์จริง ปัจจัยที่พบว่ามีปัญหาอยู่ในระดับน้อย คือ ในรูปแบบตำแหน่งการจัดวางของหน้าจอและเมนูต่าง ๆ ไม่ เหมาะสมและอุปกรณเ์ คร่ืองคอมพิวเตอรไ์ ม่สามารถรองรบั การใช้งานด้านมัลตมิ เี ดียได้ดี จากข้อมูลข้างต้นที่กล่าวมา จะเหน็ ได้ว่าสถานการณ์การเรียนการสอนที่เปลย่ี นไปจากการเรียน การสอนในหอ้ งเรียน เป็นการเรยี นการสอนแบบออนไลน์ (E-learning) เป็นเหตกุ ารณ์ใหม่ทส่ี ง่ ผลกระทบ โดยตรงต่อนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ส่งผลทำให้เกิดความเครียด ถึงแม้ทผี่ า่ นมานสิ ติ พยาบาลจะใชก้ ารเรยี นออนไลน์เป็นสอื่ เสรมิ แตส่ ถานการณก์ ารเรียนออนไลน์ระหว่าง ที่มีการแพรร่ ะบาดของโรคตดิ ตอ่ เชื้อไวรสั COVID-19 นี้ เป็นการเรียนการสอนออนไลน์แบบสมบูรณ์ครั้ง แรก และยังไมเ่ คยมีการศกึ ษาปจั จัยทีเ่ กีย่ วข้อง หรือสัมพนั ธ์กับความเครียดในการเรยี นออนไลน์ของนิสิต พยาบาล มหาวิทยาลยั นเรศวรมาก่อน ดงั นั้น ในฐานะทเี่ ป็นนิสติ พยาบาล จงึ สนใจทจี่ ะศกึ ษาปจั จัยที่มคี วามสมั พันธ์กับความเครียดใน การเรียนออนไลน์ของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ตามกรอบแนวคิดของ กรมสุขภาพจิต (2546) เพื่อเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ ให้บุคคลที่เกี่ยวขอ้ งนำไปวางแผนลดปัจจัยที่ส่งผลให้ เกิดความเครียด และส่งเสริมปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับความเครียดของนิสิตพยาบาล คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรต่อไป จดุ มุ่งหมายของการศกึ ษา 1. เพื่อศึกษาระดับความเครียดในการเรียนออนไลน์ของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเพศ อายุ ชั้นปี สิ่งแวดล้อมในการเรียนออนไลน์ การสนับสนุนทางสังคม และความเครียดในการเรียนออนไลน์ของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร
4 คำถามการวจิ ัย 1. ระดับความเครยี ดในการเรียนออนไลน์ของนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นอยา่ งไร 2. เพศ อายุ ชั้นปี สิ่งแวดล้อมในการเรียนออนไลน์ การสนับสนนุ ทางสังคมมคี วามสัมพันธก์ บั ความเครียดในการเรียนออนไลน์ของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร หรือไม่ อยา่ งไร ขอบเขตของงานวิจัย 1. ด้านแหล่งข้อมูล ประกอบด้วยขอบเขตด้านประชากร กลุ่มตัวอย่าง และช่วงเวลาการวิจัย ดังน้ี 1.1 ขอบเขตด้านประชากร ประชาการที่ใชใ้ นการวจิ ยั ครง้ั น้ี คอื นสิ ิตพยาบาล ทกี่ ำลังศึกษาในชนั้ ปที ่ี 3 และ ชัน้ ปที ่ี 4 หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศกึ ษา 2563 จำนวน 242 คน 1.2 ขอบเขตดา้ นกลุ่มตัวอย่าง กลุม่ ตวั อยา่ งในงานวจิ ยั ครัง้ น้ี เปน็ นิสิตพยาบาล ที่กำลังศกึ ษาในชัน้ ปที ี่ 3 และ ชั้นปีที่ 4 หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2563 ที่ได้จาก การคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างจากประชากรตามวธิ ีของทาโร่ ยามาเน่ (Yamane, 1973 อ้างถึงใน บุญใจ ศรสี ถติ ยน์ รากร, 2553) กำหนดระดับความคาดเคลอ่ื นเท่ากบั .05 ได้ขนาดกล่มุ ตวั อย่างจำนวน 181 คน 1.3 ขอบเขตช่วงเวลาการวิจัย ระยะเวลาในการศึกษาวจิ ยั พฤศจกิ ายน 2563 - มกราคม 2564 2. ขอบเขตตวั แปรทใี่ ชใ้ นการศึกษา 2.1 ตวั แปรตน้ คอื อายุ เพศ ช้ันปี สิ่งแวดล้อมในการเรยี นออนไลน์ และการสนบั สนนุ ทาง สังคม 2.2 ตัวแปรตาม คือ ความเครียด
5 3. ขอบเขตดา้ นเนอื้ หา ความเครียดในการศกึ ษาครั้งน้ีใช้แนวคดิ ของกรมสขุ ภาพจติ (ชูทิตย์ ปานปรีชา, 2529 อ้าง ถึงใน กรมสุขภาพจติ , 2546) เป็นกรอบในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจยั ภายในบุคคล และปัจจยั ภายนอกบุคคล ซึ่งในการศึกษาครั้งนี้ ปัจจัยภายในบุคคล คือ เพศ อายุ ชั้นปี ปัจจัยภายนอกบุคคล คือ สิ่งแวดล้อมในการเรียนออนไลน์ และการสนับสนุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับความเครียดในสถานการณ์ท่ี เป็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ คือ การเรียนออนไลน์แบบสมบูรณ์ครั้งแรก ประเมินได้ จากแบบวัดความเครียดของกรมสขุ ภาพจิต (SPST-20) ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั ผลการศึกษาครั้งนี้จะเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ท่ีผู้เกี่ยวข้องในการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ สามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ในการวางแผนการลดปัจจยั ท่ีส่งผลให้เกิดความเครยี ดในการเรียนออนไลน์ของ นิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ใน สถานการณใ์ กล้เคียงกันได้ นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ การเรียนออนไลน์ หมายถึง รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่อาศัยอินเทอร์เน็ตเป็นตัว นำเสนอบทเรียนให้ความรู้ และความเขา้ ใจแก่นิสติ พยาบาล ทดแทนการสอนในช้นั เรยี นท้ังหมด หรือการ เรียนออนไลน์แบบสมบูรณ์ ซึ่งผู้สอนจัดเตรียมสื่อมัลติมีเดีย และขั้นตอนของกิจกรรมการเรียน ร่วม กิจกรรมการเรียนผ่านเครื่องมือสื่อสารการเรียนการสอนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และผู้เรียนสามารถ ตดิ ต่อ สอ่ื สาร ซกั ถาม แลกเปล่ียนความคดิ เหน็ ร่วมกันไดท้ กุ ชอ่ งทางผ่านเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตเทา่ น้ันไม่มี การพบปะผสู้ อนและเพ่อื นในหอ้ งเรียนปกติ ความเครียด หมายถึง ภาวะที่นิสิตพยาบาลรับรู้หรือประเมินสิ่งที่เข้ามาในประสบการณ์การ เรียนออนไลน์ของตนว่าเป็นสิ่งคุกคามซึ่งมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง ด้านเชาว์ปัญญา ด้านอารมณ์ ดา้ นรา่ งกาย ดา้ นพฤตกิ รรม สิ่งแวดล้อมในการเรียนออนไลน์ หมายถึง สภาวะใด ๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรม และรูปนามธรรมท่ี ช่วยอำนวยความสะดวก หรือขัดขวางการเรียนออนไลน์ของนิสิตพยาบาลทั้งทางตรงและทางอ้อม ประกอบด้วย สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพในการเรียนออนไลน์ หมายถงึ องค์ประกอบทไี่ ม่มีชวี ิต
6 ทุกอย่างที่มีอยู่ในธรรมชาติ ได้แก่ สภาพห้องเรียน อุณหภูมิ แสงสว่าง เสียงบริเวณรอบ ๆ ที่เรียน ออนไลน์ อปุ กรณ์ทีใ่ ชใ้ นการเรียนออนไลน์ หมายถงึ ซง่ึ เป็นตัวกลางทำให้ผูเ้ รียนเกดิ การเรยี นรู้ ตามจุดประสงค์ของการเรียนการสอน เป็นเครื่องมือ และตัวกลางซึ่งมีความสำคัญในกระบวนการ การ สอนมีหน้าท่ีเป็นตวั นำความต้องการของอาจารย์ไปสู่ตัวนิสิตพยาบาล ได้แก่ เครื่องคอมพวิ เตอร์ สัญญาณ อนิ เตอรเ์ นต็ แบบไร้สาย เครือขา่ ยอินเตอรเ์ นต็ แหลง่ วทิ ยบรกิ าร ระบบการเรียนการสอนออนไลน์ หมายถงึ LMS ตดิ ต้งั อยภู่ ายใต้เคร่อื งคอมพิวเตอร์ แม่ข่าย โดยความสามารถของระบบ LMS แต่ละค่ายจะมีความสามารถที่แตกต่างกัน พอสรุปคุณสมบัติ คร่าว ๆ ที่ระบบ LMS ได้แก่ ความเสถียรของระบบปฏิบัติการ สื่อการเรียน การสอน ระบบจัดการบัญชี ผู้ใช้งาน เปน็ ตน้ การสนับสนุนทางสังคม หมายถึง การที่นิสิตพยาบาลมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในรูปแบบต่าง ๆ กับแหลง่ เอ้อื อำนวยทางสังคมของตนในการเรยี นออนไลน์ ประกอบด้วยการสนับสนุนจากเพ่ือน ครู และ ครอบครัว เปน็ ตน้ ดงั น้ี การสนับสนนุ ทางสังคมจากเพ่ือน หมายถงึ การรับรู้ตอ่ การไดร้ บั ความชว่ ยเหลือ และ การส่งเสริมที่ได้รับจากเพื่อนในมหาวิทยาลยั ได้แก่ มิตรภาพ การได้รับการช่วยเหลอื หรือแก้ปัญหา การ ใหค้ วามใสใ่ จ การให้คำปรึกษาหรอื ขอ้ มลู คำแนะนำ การสนับสนุนทางสังคมจากอาจารย์ หมายถึง การรับรู้ต่อการได้รับความช่วยเหลือ และการสง่ เสริมที่ได้รบั จากอาจารย์ ไดแ้ ก่ การไดร้ ับความไวว้ างใจจากอาจารย์ การไดร้ ับการยอมรับจาก อาจารย์ การช่วยแก้ปัญหาให้คำปรึกษาหรือรับฟังปัญหา การเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น และการ ช่วยใหเ้ ขา้ ใจเปา้ หมายของการสอน การสนับสนนุ ทางสังคมจากครอบครัว หมายถงึ การรบั รูต้ ่อการไดร้ ับความช่วยเหลือ และการส่งเสริมท่ีได้รับจากพ่อแม่หรือครอบครวั ได้แก่ การได้รับความใส่ใจหรอื สนใจให้ความสำคัญจาก พ่อแม่ การให้คำปรึกษา รับฟังปัญหา การให้เวลาและทำกิจกรรมตา่ ง ๆ ร่วมกัน และการให้ความรักของ พอ่ แม่ นสิ ิตพยาบาล หมายถงึ นิสิตท่ีกำลังศึกษาอยู่ในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชนั้ ปีที่ 3 และ ชั้นปีที่ 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ปีการศึกษา 2563 ที่มี ประสบการณใ์ นการเรยี นออนไลน์แบบสมบูรณใ์ นภาคฤดรู ้อน ปีการศกึ ษา 2562
7 สมมติฐานของการวิจัย เพศ อายุ ช้นั ปี สง่ิ แวดล้อมในการเรยี นออนไลน์ และการสนบั สนุนทางสังคม มคี วามสมั พนั ธก์ บั ความเครยี ดในการเรียนออนไลนข์ องนสิ ิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร
8 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกยี่ วขอ้ ง การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษา ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดในการเรียนออนไลน์ของ นสิ ิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์มหาวทิ ยาลยั นเรศวร โดยผวู้ จิ ัยได้ทบทวนวรรณกรรมที่เก่ยี วขอ้ ง ดงั นี้ 1. สถานการณก์ ารเรยี นออนไลน์ของนสิ ติ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร 2. แนวคิดทฤษฎแี ละเอกสารทเ่ี กยี่ วข้องกับความเครียด 2.1 ความหมายของความเครยี ด 2.2 แนวคิดทฤษฎคี วามเครยี ด 2.3 ลกั ษณะของความเครียด 2.4 ประเภทของความเครยี ด 2.5 ผลกระทบของความเครยี ด 2.6 ระดบั ความเครียด 3. สาเหตุและปัจจัยทเี่ กย่ี วข้องกบั ความเครยี ด 3.1 ปจั จัยภายในบุคคล 3.2 ปัจจยั ภายนอกบคุ คล 4. การเรียนออนไลน์ 4.1 ความหมายการเรยี นออนไลน์ 4.2 องค์ประกอบหลกั ของระบบ e-Learning 4.3 ผูใ้ ชง้ านระบบ LMS 4.4 การเรยี นออนไลน์แบบสมบูรณ์ 5. งานวิจยั ทเี่ ก่ยี วข้อง 5.1 งานวจิ ัยท่เี ก่ยี วข้องกับความเครียดจากการเรยี นของนักศึกษา 5.2 งานวิจยั ท่เี กย่ี วขอ้ งกบั ปัจจัยท่ีทำใหเ้ กิดความเครียดจากการเรียน 6. กรอบแนวคิด
9 1. สถานการณก์ ารเรยี นออนไลนข์ องนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID- 19)) ได้ ได้แพร่อยา่ งรวดเร็วและกวา้ งขวางไปหลายประเทศทว่ั โลก มผี ู้ตดิ เช้ือและเสยี ชีวิตเปน็ จำนวนมาก ประกอบกบั องคก์ ารอนามัยโลกได้ประกาศให้การระบาดของโรคโควิด 19 เปน็ การระบาดใหญใ่ นส่วนของ สถานการณ์การแพร่ระบาดของประเทศไทย (ประกาศกระทรวงสาธารณสุข, 2563) เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2563 กระทรวงสาธารณสุข แถลงพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 รายแรกใน ประเทศไทยและเป็นรายแรกนอกประเทศจีน (แถลงการณ์กระทรวงสาธารณสุข, 2563) โดยคำแนะนำ ของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 เป็น โรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 (ประกาศกระทรวงสาธารสุข, 2563) เป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดิน หายใจ ผ่านละอองฝอยจากการไอจาม (Droplet) เป็นทางหลัก จึงแพร่กระจายเชื้อได้ง่าย ส่งผลทำลาย อวัยวะภายในระบบทางเดินหายใจและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง เป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2563) นอกจากนี้ยังเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ยังไม่มียารักษาและไปมีวัคซีนป้องกันโรค ด้วยเหตุนี้กระทรวงศึกษาธิการ (2563) จึงประกาศให้สถานศึกษาทุกแห่งของรัฐและเอกชน ทั้งในระบบ และนอกระบบ ซ่งึ อยใู่ นสงั กดั และใบกำกับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรยี นด้วยเหตุพิเศษ ต้ังแต่วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการประกาศเปลี่ยนแปลง เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการ แพร่กระจายของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา ทอ่ี าจจะส่งผลกระทบต่อนกั เรียน นกั ศกึ ษา ทงั้ น้ี ให้สถานศึกษา จัดใหม้ ีการเรยี นการสอนด้วยการไมต่ อ้ งเข้าช้นั เรียน โดยปรับการเรียนการสอนเป็นทางออนไลน์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร (มหาวทิ ยาลัยนเรศวร, 2563) “เพ่ือเปน็ การเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019) หรือ โควิด-19 (COVID-19) ภายใน มหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อสั่งการและมาตรการของผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกอาศัย อำนาจความในมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2553 จึงเห็นสมควรให้ออก ประกาศดังน้ี ข้อ 1 ให้งดการเรียนการสอนในช้ันเรยี น และใหจ้ ดั การเรียนการสอนแบบออนไลน์ต่อไป ส่วน การดำเนินงานของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร โรงพยาบาลหัตถกรรม และการปฏิบัติงานใน สำนักงาน (Back Office) ให้ดำเนินการได้ในส่วนที่จำเป็นตามภารกิจในวันและเวลาราชการตามปกติ ทั้งนเ้ี พื่อไม่ใหม้ ผี ลกระทบตอ่ การดำเนินงานตามภารกิจของคณะหรือหน่วยงานหรือเกิดผลเสียตอ่ ราชการ
10 ข้อ 2 ให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยยังคงปฏิบัติตามประกาศมหาวิทยาลัยคำสั่งและข้อสั่งการ ของผูว้ ่าราชการจังหวัดพิษณุโลกทอ่ี อกเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคตดิ เช้ือไวรสั โคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019) หรอื โรคโควิค-19 (COVID-19 ทั้งทม่ี อี ยู่และจะมเี พิม่ เติมตอ่ ไป ข้อ 3 ให้ทกุ ส่วนงานและหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ภายในมหาวิทยาลัยยังคงมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019) หรือโรคโควิด-19 (COVID- 19)โดยตรวจสอบความปลอดภัยด้วยการทำความสะอาดบริเวณพื้นที่ที่ทำการห้องสำนักงานห้องทดลอง ทางวิทยาศาสตร์ อย่างสม่ำเสมอรวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ีต้องมีการใช้ร่วมกันอาทิเครื่องคอมพิวเตอร์ ไมโครโฟนเครื่องขยายเสยี งเป็นต้น ให้ทุกสว่ นงานและหน่วยงานต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัยจดั พ้ืนที่การทำงานใหพ้ ร้อมสำหรับการ ปฏิบัติโดยมุ่งเน้นการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และให้บุคลากรที่ต้องปฏิบัติงานในที่ ทำการจัดเตรียมอุปกรณ์ส่วนตัวสำหรับป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019) หรอื โรคโควิค-19 (COVID-19) อาทิ หนา้ กากอนามยั เจล/แอลกอฮอล์/สบสู่ ำหรับล้างมือ กระจงั ป้องกนั ใบหนา้ (Face shield)มาด้วยทุกครัง้ ให้หัวหน้าส่วนงานระดับคณะหรือเทียบเท่าและผู้อำนวยการกองหรือเทียบเท่ายังคงพิจารณา จัดให้บุคลากรปฏิบัติ ณ สถานที่พักอาศัยของตนเองได้เท่าที่จำเป็นต่อการปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวัง การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019 ) หรือโรคโควิด (COVID-19) ทง้ั น้ี ตอ้ งไม่กระทบตอ่ การดำเนินงานตามภารกจิ ของคณะหรอื หน่วยงานหรือราชการ ให้ทุกส่วนงานและหน่วยงานต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัยเตรียมการให้พร้อมสำหรับการให้ บุคลากรกลับมาปฏิบัติงานในที่ทำการตามปกติเมื่อพ้นช่วงเวลาเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019 ) หรือโรคโควิด (COVID-19) เพื่อให้คณะหรือ หน่วยงานสามารถดำเนินงานตามภารกจิ เต็มรปู แบบได้ทันที ให้ทุกส่วนงานและหน่วยงานต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัยตรวจสอบว่ามีบุคลากรหรือนิสิตท่ี เดินทางมาจากจังหวดั อ่ืนหรือจากต่างประเทศหากมีให้รายงานมหาวิทยาลยั เพื่อดำเนินการตามมาตรการ ของจังหวัดพษิ ณุโลกต่อไป ข้อ 4 ให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยดูแลและระมัดระวังตนเองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ โรคติดเช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019) หรอื โรคโควคิ -19 (COVID-19) โดยลดการ ใกลช้ ดิ และเว้นระยะห่างทางสังคมหากสงสยั ว่าตนอาจติดเช้ือหรือมภี าวะสุ่มเสี่ยงต่อการติดเช้ือไวรัสโคโร นา 2019 (Coronavirus Disease 2019) หรือโรคโควิด-19 (COVID-19) ให้ดำเนินการตามมาตรการที่
11 มหาวิทยาลยั และจังหวัดกำหนดเพือ่ ควบคุมและป้องกนั การแพร่ระบาดของโรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019) หรอื โรคโควดิ -19 (COVID-19) ข้อ 5 ให้บุคลากรปฏิบัติตามประกาศนี้อย่างเคร่งครัดกรณีที่มีปัญหาหรือข้อขัดข้องในการ ปฏบิ ตั ติ ามประกาศฉบบั น้ีให้อธิการบดีเปน็ ผู้วนิ จิ ฉัยชี้ขาด” ดังนั้น คณะพยาบาลศาสตร์จึงจัดให้มีการเรียนการสอนแบบออนไลน์ให้กับนิสิตทุกชั้นปี ตาม นโยบายของทางมหาวิทยาลัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งอาจารย์ และนสิ ติ ตา่ งกย็ ังไม่มีประสบการณ์และไม่คุน้ เคยกับการเรยี นการสอนแบบออนไลนแ์ บบสมบูรณ์เช่นน้ีมา ก่อน จงึ เป็นประสบการณใ์ หม่ครั้งแรกและปจั จัยสำคัญท่สี ่งผลใหเ้ กดิ ความเครยี ด 2. แนวคิดทฤษฎแี ละเอกสารทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความเครยี ด 2.1. ความหมายของความเครียด กรมสุขภาพจิต (2546) ความเครียด หมายถึง ภาวะที่บุคคลรู้สึกว่าตนถูกคุกคาม ก่อให้เกิด ความไม่สบายใจ กังวล สับสน วิตกกังวล เกิดความไม่สมดุล ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บุคคลรับรู้หรือ ประเมินส่ิงทผ่ี ่านเข้ามาในประสบการณข์ องตนวา่ เป็นส่ิงท่ีคุกคามรา่ งกายและจิตใจ ทำใหเ้ กดิ การดึงกลไก การป้องกันตนเองมาใช้ เพื่อทำให้ความรู้สึกถูกกดดัน หรือความเครียดเหล่านั้นคลายลง และกลับเข้าสู่ สมดลุ อกี ครั้งหน่ึง ลาซารัสและโฟล์คแมน (Lazarus & Folkman, 1984, p.46 อ้างถึงใน วีระชัย ชูประจิตต์, 2560, น.6) ความเครียด หมายถึง ภาวะชั่วคราวของความไม่สมดุลซึ่งเกิดจากกระบวนการรับรูห้ รือการ ประเมินของบุคคลต่อส่ิงท่ีเข้ามาในประสบการณ์ว่าสิ่งนั้นเป็นสิง่ คุกคาม โดยที่การรับรู้เป็นผลมาจากการ กระทำรว่ มกนั ของสภาพแวดลอ้ มภายนอกกับปจั จัยภายในตัวของบุคคลน้ัน เซลเย่ (Selye, 1976, p.42 อ้างถึงใน วีระชัย ชูประจิตต์, 2560, น.5) ความเครียด หมายถึง ภาวะทางชีวภาพท่ีแสดงให้รู้ได้โดยปรากฏการณข์ องกลุ่มอาการเฉพาะซึ่งเกิดขึ้นจาก ปฏิกิรยิ าตอบสนอง ทั่วไปของร่างกายต่อสิ่งรบกวน ความเครียดมีทั้งคุณและโทษขึ้นอยู่กับวิธีการที่บุ คคลตอบสนองหรือ จัดการกับปัจจัยความเครียดนั้น ๆ ถ้าเป็นการตอบสนองทางร่างกายเนื่องจากเงื่อนไขที่พึงพอใจ ซึ่งวัด เป็นความเครียดที่ก่อให้เกดิ ความอิ่มเอมใจและเพิ่มพูนแรงผลักดนั สู่จุดมุง่ หมาย เรียกว่าความเครียดท่ใี ห้ คุณ (Eustress) หากเปน็ การตอบสนองทางรา่ งกายเน่ืองจากเง่อื นไขท่ไี ม่พงึ พอใจและเปน็ อันตราย ซึง่ อาจ เกิดจากความรู้สึกหวาดหวั่น ลนลาน ทำอะไรไม่ถูก การตอบสนองนี้สามารถสร้างความเสียหายให้กับ ร่างกายได้เรียกวา่ ความเครยี ดทใี่ ห้โทษ (Distress)
12 สรุปได้ว่า ความเครียดในการวิจัยครั้งนี้ คือ ความเครียด หมายถึง ภาวะที่บุคคลรู้สึกว่าตนถูก คุกคาม ก่อให้เกดิ ความไม่สบายใจ เกิดความไมส่ มดลุ มาจากการทบ่ี คุ คลรบั รู้ หรือประเมินสิง่ ทผี่ ่านเขา้ มา ว่าเป็นส่ิงที่คุกคามร่างกาย และจติ ใจ ทำให้มกี ารปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กับสภาวะนนั้ เพื่อทำใหค้ วามรูส้ ึกถูกกดดัน หรือความเครยี ดเหล่านน้ั คลายลง และกลบั เขา้ สสู่ มดลุ อกี ครัง้ หน่ึง 2.2. แนวคดิ ทฤษฎีความเครียด Lazarus and Folkman (1984 อ้างใน กีรตญิ า ไทยอู่ 2558: 15) ได้พฒั นาแนวคิดเก่ียวกบั ความเครียด และอธิบายว่าความเครยี ดไมไ่ ด้ขึ้นอยู่กบั บุคคลหรือสิง่ แวดล้อม แต่คนกับสิ่งแวดล้อมจะมี อิทธพิ ลซงึ่ กันและกนั ดังนัน้ ความเครยี ด (Stress) จงึ หมายถงึ เหตุการณท์ ่ีบุคคลประเมินว่ามผี ลต่อสวสั ดิ ภาพของตนเองและตนจะต้องใชแ้ หล่งประโยชน์ในการปรบั ตัวทีม่ ีอยู่อยา่ งเต็มทีห่ รอื เกินกำลังน้นั คือ เหตุการณ์ทเี่ กดิ ข้ึนจะเครียดหรอื ไม่ ขึน้ อยู่กบั การประเมนิ ความสมดลุ ระหวา่ งความต้องการ (Demands) กับแหล่งประโยชนท์ ่ีมีอยู่ (Resources) ของบคุ คลนั้น การตัดสินภาวะเครียดของบคุ คลต้องผา่ น กระบวนการความรสู้ กึ นึกคดิ การประเมนิ โดยใชส้ ตปิ ญั ญา (Cognitive appraisal) จำแนกการประเมนิ โดยใชส้ ตปิ ัญญาออกเปน็ 3 ข้ันตอน ไดแ้ ก่ 1. การประเมนิ ปฐมภูมิ (Primary appraisal) เป็นการประเมินตัดสนิ ถงึ ความสำคญั และความ รนุ แรงของเหตกุ ารณน์ น้ั มผี ลกระทบอย่างไรต่อบุคคลการประเมนิ นีแ้ บ่งออกเปน็ 3 ลักษณะ คอื 1.1 ไมเ่ กดิ ผลใด ๆ หรือไม่มีความสำคัญกบั ตนเอง (Irrelevant) คอื การทีบ่ ุคคลประเมนิ ว่า เหตุการณน์ นั้ ไม่ได้เกยี่ วข้องกับสวัสดิภาพของตน หรือตนไมไ่ ด้มสี ่วนได้สว่ นเสียกับเหตกุ ารณ์นนั้ ๆ 1.2 มผี ลดหี รอื ได้รบั ประโยชน์กบั ตนเอง (Being positive) คอื การท่ีบุคคลประเมินวา่ เหตุการณน์ ัน้ มีผลไปในทางดีกับสวสั ดภิ าพของตนเอง ซึ่งทำใหบ้ ุคคลนั้นผอ่ นคลายโดยไมต่ อ้ งใช้ความ พยายามในการจัดการกับเหตุการณน์ ้ัน หรอื ไมต่ ้องใช้ความพยายามในการจดั การกับเหตุการณน์ ้ัน หรือไมต่ ้องใชค้ วามพยายามในการปรบั ตัว 1.3 เกดิ ความเครยี ด (Stress) คือ การพิจารณาตัดสนิ ว่า ในเหตกุ ารณน์ ้นั บุคคลตอ้ งดึง แหลง่ ประโยชน์ทมี่ อี ยู่ ซ่ึงการประเมนิ วา่ เป็นความเครยี ดน้ันจะมี 3 ลักษณะ คือ 1.3.1 เปน็ อันตรายหรือสญู เสีย (Harm and loss) หมายถงึ การท่บี ุคคลประเมินวา่ เกดิ การเสียหายข้ึนกับตนเองแล้ว เช่น การเจบ็ ปว่ ย การสญู เสียคนท่รี กั เปน็ ตน้ 1.3.2 คุกคาม (Threat) เป็นการประเมนิ ถงึ อันตราย หรอื การสญู เสยี ทจ่ี ะเกดิ ข้ึนใน อนาคต 1.3.3 ท้าทาย (Challenge) ซึ่งเป็นการพิจารณาตัดสินวา่ เหตกุ ารณน์ ัน้ อาจจะเปน็ อนั ตรายแต่มที างทจี่ ะควบคุมได้หรืออาจจะให้ประโยชน์กับตนเองทำใหม้ ขี วัญและกำลังใจดขี ้ึน
13 2. การประเมนิ ทุตยิ ภมู ิ (Secondary appraisal) เปน็ การประเมนิ แหล่งประโยชนแ์ ละ ทางเลอื กทจ่ี ะจัดการกับเหตกุ ารณ์น้ัน ๆ ต้องอาศัยความเฉลยี วฉลาดในการพจิ ารณาอย่างถี่ถ้วนมคี วาม ซับซอ้ นมากขึ้นเพ่ือท่ีจะหาทางแกไ้ ขจัดการปัญหาทเ่ี กดิ ขึน้ อยา่ งเหมาะสม 3. การประเมนิ ซ้ำ (Reappraisal) เปน็ กระบวนการท่ีต่อเนือ่ งจากการประเมนิ ปฐมภูมิและการ ประเมินทตุ ิยภมู ิ โดยใชข้ ้อมูลและแหลง่ ประโยชน์ทั้งจากสิ่งแวดลอ้ มและภายในบุคคล ในการควบคมุ หรือ จัดการกับสถานการณ์ท่ีมากระทบการประเมนิ ซำ้ เป็นกระบวนการท่ีเกดิ ขน้ึ อย่างต่อเน่ืองมีลักษณะเป็น พลวตั (Dynamic) อาจปรับเปลย่ี นไดห้ รอื เกดิ ขึ้นพรอ้ ม ๆ กันไดซ้ ่ึงอาจเกิดจาการทำงานของกลไกการ ปกป้อง (Defense appraisal) ทฤษฎคี วามเครียดของ สเลวิน (Slavin) (1991 อา้ งในสภุ าภัทร ทนเถือ่ น 2553: 24) ไดเ้ สนอ รูปแบบกระบวนการความเครียด พฒั นาตามทฤษฎคี วามเครียดของลาซารัสและโฟลค์ แมน (Lazarus; & Folkman.1984) ซึง่ ประกอบดว้ ยองค์ประกอบ 2 ประการ คอื 1. เหตกุ ารณท์ กี่ ่อให้เกิดความเครียด (Occurrence of a Potentially Stressful Event) ความเครียดเป็นผลของความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบุคคลกับสิ่งแวดลอ้ ม ซึ่งรวมไปถงึ เหตุการณต์ า่ ง ๆ ที่ เกดิ ขนึ้ แกบ่ ุคคลนน้ั ดว้ ย ดังนน้ั เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ท่เี กดิ ขนึ้ ถือเป็นส่ิงเรา้ ที่มากระต้นุ ใหเ้ กิดความเครียดได้และจะมี ความหมาย มากนอ้ ยเพียงใดข้นึ อยกู่ ับการประเมินของบุคคล เหตกุ ารณ์ที่ถอื เปน็ ส่ิงเรา้ น้ีจะมคี ุณลักษณะ คุณสมบตั ภิ ายในและภายนอก 2. การประเมนิ ทางปญั ญาข้างต้น (Primary Appraisal) เปน็ การประเมินเหตุการณห์ รือ สภาวการณ์ในสภาพแวดลอ้ มของบุคคลโดยทว่ั ๆ ไปไมเ่ ฉพาะเจาะจง เพื่อจะตัดสินวา่ มีผลคุกคามต่อ ตนเองหรือไม่ ประเมินจะใช้ท้ังปจั จัยส่วนบุคคล คอื คา่ นยิ ม และความเชื่อของบคุ คลในการประเมิน เช่น การถามตนเองว่า “ฉนั มปี ญั หาหรือไม่” และปจั จัยทางสภาพการณค์ ือเหตกุ ารณ์แปลกใหม่ แนวคิดทฤษฎขี องความเครยี ดของ กรมสุขภาพจิต (2546) ได้กลา่ วถงึ ความเครียดทั้งด้าน ร่างกายและจติ ใจว่า ความเครียดเปน็ เรอื่ งของรา่ งกายและจติ ใจทีเ่ กดิ การตน่ื ตวั เตรยี มรับกับเหตกุ ารณ์ หนึง่ ซึง่ เราคิดวา่ ไมน่ า่ พอใจ เปน็ เร่ืองทีห่ นักหนาสาหสั เกินกำลงั ทรพั ยากรทเี่ รามีอยู่ หรือเกนิ ความสามารถของเราทจ่ี ะแก้ไขได้ ทำใหร้ สู้ กึ หนักใจเป็นทุกขแ์ ละพลอยทำใหเ้ กดิ อาการผิดปกตทิ าง รา่ งกาย และพฤตกิ รรมตามไปด้วย สรปุ ไดว้ ่า แนวคิดทฤษฎเี ก่ียวกบั ความเครียดท้งั 3 กลมุ่ กลา่ วถึง ความเครียดเปน็ เร่ืองของ สิง่ แวดล้อมท่ีมีอิทธิพลต่อของร่างกายและจติ ใจ โดยผ่านกระบวนการคิดและประเมนิ ของบคุ คลนั้น ส่งผล ทำใหเ้ กิดการปรบั ตวั เพื่อเผชิญหนา้ และหาทางแก้ไขจัดการปัญหาท่ีเกดิ ขึ้นอย่างเหมาะสม ทำให้เกิดการ เปลยี่ นแปลงทางดา้ ยร่างกายและจติ ใจ หากเป็นเร่ืองที่เกินกำลังเราอาจมีผลต่ออาการผิดปกตทิ างร่างกาย
14 และพฤตกิ รรมตามไปด้วย ซง่ึ การศึกษาคร้ังนผ้ี ้วู ิจยั ได้ใช้ทฤษฎีความเครยี ดของกรมสขุ ภาพจติ (2546) ได้ กลา่ วถงึ ความเครยี ดท้ังดา้ นร่างกายและจิตใจวา่ ความเครยี ดเป็นเรื่องของรา่ งกายและจิตใจทเ่ี กดิ การ ตน่ื ตวั เตรยี มรับกับเหตุการณ์หนง่ึ ซึ่งเราคิดว่าไมน่ ่าพอใจ เป็นเรื่องทห่ี นักหนาสาหัสเกนิ กำลังทรพั ยากรที่ เรามีอยู่ หรอื เกนิ ความสามารถของเราที่จะแก้ไขไดท้ ำใหร้ สู้ ึกหนกั ใจ เป็นทุกข์และพลอยทำให้เกิดอาการ ผิดปกติทางรา่ งกาย และพฤติกรรมตามไปด้วย 2.3 ลกั ษณะของความเครยี ด Maslach (1990 อ้างถึงใน หงษ์ศิริ ภิยโยดิลกชัย, อรุณวรรณ กัมภูสิริพงษ์, มยุรี สวัสดิ์เมือง, และทัศนี จันทรภาส, 2558, น.5) ได้อธิบายความเครยี ดไว้ 3 ลักษณะดงั น้ี 1. ลกั ษณะตัวกระตุ้น (Stimulus Definition) ความเครยี ด คอื แรงกระตุ้นจากภายนอกที่เป็น สาเหตุให้เกิดปฏิกิริยาของความเครียดในแต่ละบุคคล และถ้าเกิดความเครียดในแต่ละบุคคลแล้ว ความเครียดลดลงจนถึงหมดไป ภายในขอบเขตที่แต่ละบุคคลยอมรับได้ บุคคลนั้นก็จะกลับเข้าสู่ภาวะ ปกตขิ องรา่ งกายและจติ ใจ 2. ลักษณะการตอบสนอง (Response Definition) ถ้าพิจารณาในรูปแบบของปฏิกิริยาของ สรีรวิทยาและจิตวิทยา ความเครยี ด คือ การตอบสนองภายในร่างกายต่อสิ่งที่มาคุกคามจากภายนอก แต่ อย่างไรก็ตาม ความเครียดในความหมายของการตอบสนองไม่สามารถอธิบายความแตกต่างของแต่ละ บุคคลไดอ้ ย่างเคร่งครัด 3. ลักษณะเป็นทั้งตัวกระตุ้นและการตอบสนอง (Stimulus and Response Approaches) ความเครียด คือ ลำดับขั้นของปฏิกิริยาระหว่าง ตัวกระตุ้นทางด้านสิ่งแวดล้อมกับการตอบสนองของ มนุษย์แต่ละบุคคล ซ่ึงจะเน้นไปถึงความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อมโดยเน้นกระบวนการ ทางจิตวิทยา เช่น การรับรู้และการนึกคิด ซึ่งความเครียดจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลรับรู้ความต้องการจาก ภายนอกเกนิ ขีดความสามารถที่จะรับไดข้ องแตล่ ะบคุ คล สมิต อาชวนิจกุล (2547:1 อ้างถึงใน หงษ์ศิริ ภิยโยดิลกชัย, อรุณวรรณ กัมภูสิริพงษ์, มยุรี สวัสด์ิเมือง, และทัศนี จันทรภาส, 2558, น.6) กล่าวว่า ความเครียดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนในทุก ช่วงเวลาและเมื่อเกิดความเครียดในตวั บุคคลแล้วจะทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ เช่น หงุดหงิด กลวั วติ กกงั วล ปวดศีรษะ เกดิ อาการทางกระเพาะ ทำใหอ้ าหารไม่ย่อย นอนไม่ หลับ อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวหมดแรง ย้ำคิดย้ำทำ เกิดอาการผิดปกติทางประสาทได้และได้กล่าวถึง ธรรมชาติของความเครียดวา่
15 1. ความเครียดเป็นปฏิกิริยาที่ทำให้มนุษย์สามารถทำในสิ่งที่ยากเกินกว่ากำลังสติปัญญา ความสามารถในเวลาปกติจะทำได้ จงึ เปน็ เครอื่ งมือสำคญั ของมนษุ ย์ทม่ี ปี ระโยชนอ์ ยา่ งย่ิงต่อการดำรงชีวิต หากรจู้ กั ควบคุมใหอ้ ยู่ในกรอบของความพอดี 2. สาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียดส่วนใหญ่เกิดจากจิตใจ แต่ปฏิกิริยาของความเครียดเกิดขึ้น โดยอตั โนมัติทั้งร่างกายและจิตใจ แต่เร่ืองทเ่ี กดิ จากจติ ใจไมส่ ามารถแก้ไขไดด้ ้วยพละกำลงั ทางรา่ งกาย 3. ความเครียดเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ในยามจำเป็นหากรู้จักใช้ให้ดี ดังนั้น สิ่งที่เป็นผลเสียของ ความเครียด คือ ความเครียดส่วนเกิน ซ่ึงหมายถงึ ปฏิกิริยาของความเครียดท่ีเกิดขึ้นมากกว่าความจำเป็น ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อการแก้ปัญหาต่อทั้งร่างกายและจิตใจตนเอง และความเครียดส่วนเกินนี้เองที่สมควร จะไดร้ ับการแก้ไข สรุปลักษณะของความเครียดได้ว่า ความเครียดเกิดจากการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมและมีการ ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมที่บุคคลนั้นเผชิญอยู่ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนในทุกช่วงเวลาและเมื่อเกิด ความเครียดในตัวบุคคลแลว้ จะทำใหเ้ กดิ อาการไม่พึงประสงคต์ ่าง ๆ ทัง้ ทางร่างกายและจติ ใจ 2.4 ประเภทของความเครยี ด Miller and Keane (1972 : 915–916 อ้างถึงใน กนกอร เปรมเดชา , 2559) ได้แบ่ง ความเครียดทีเ่ กดิ ขึ้นเป็น 2 ชนดิ คือ 1. ความเครียดทางร่างกาย (Physical Stress) แบ่งเป็นประเภทตามปฏิกิริยาตอบสนอง คือ ความเครียดชนิดเฉียบพลัน (Emergency Stress) เป็นสิ่งคุกคามชีวิตที่เกิดขึ้นทันทีทันใด เช่น การได้รับ บาดเจ็บ การเกิดอุบัติเหตุหรือการตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากลัวและความเครียดชนิดต่อเนื่อง (Continuous Stress) เป็นสิ่งที่คกุ คามชีวิตที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง เช่น การเปล่ียนแปลงทางร่างกายในวัยต่าง ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงของรา่ งกายในบางโอกาส เช่น การเจบ็ ป่วยเรือ้ รัง การตง้ั ครรภ์ เปน็ ตน้ 2. ความเครียดด้านจิตใจ (Psychological Stress) เป็นการตอบสนองของร่างกายอย่าง เฉียบพลนั เมอื่ คดิ วา่ จะมอี ันตรายเกิดข้ึน ทำให้เกิดความเครียดของกลา้ มเนอ้ื หัวใจเต้นแรงและเร็ว ฮาเฟน ฟรานเซน (Hafen Frandsen :1981 อ้างถึงใน อนุรัตน์ อนันทนาธร, 2559) แบ่งประเภทของ ความเครยี ด ตามความสามารถในการเกิดความเครียด เปน็ 2 ประเภท คือ 1. ความเครียดที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น ไม่ชอบสถานที่ที่มีเสียงดังอึกทึกก็สามารถหลบ หลีกไปอยทู่ อี่ ่ืนได้ 2. ความเครียดทไ่ี ม่สามารถหลกี เลี่ยงได้ เชน่ การเจบ็ ป่วย ความตาย นงลักษณ์เทพ สวัสดิ์ (2542:123 อ้างถึงใน อนุรัตน์ อนันทนาธร, 2559) ได้แบ่งชนิดของความเครียดไว้ ดังนี้
16 2.1 ทางกาย (Physical) ได้แก่ อาการที่ปรากฏทางร่างกาย เช่น ร่างกายมีอาการ เหนื่อยเมื่อยล้า ชั่วโมงการทำงานที่ไม่สม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่ไม่เป็นเวลา ความอ้วน ความ เจ็บปว่ ย การติดเช้อื โรคต่าง ๆ 2.2 ต่อม (Endocrine) ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงความสมดุลในฮอร์โมนของร่างกายใน ระบบทีก่ ำลงั ย่างเขา้ สู่วัยรุ่น วยั ท่กี ำลังจะมีบุตร วัยท่ีกำลังจะหมดประจำเดือนและความเครียดก่อนการมี ประจำเดอื น สมิต อาชวนิจกุล (2537:4 อ้างถึงใน อนุรัตน์ อนันทนาธร, 2559) ได้แบ่งประเภทของ ความเครยี ดออกไวเ้ ป็น 2 ประเภท คือ ความเครียดในระยะสั้น และความเครียดในระยะยาว 1. ความเครียดระยะสั้น เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด เช่น เมื่อตกใจหรือช็อกจาก สาเหตุบางอย่าง เช่น เสียงดัง การเคลื่อนที่อย่างกะทันหัน อุบัติเหตุต่าง ๆ เป็นต้น สภาพความเครียด แบบนี้ จะเป็นช่วงสั้น ๆ เพราะร่างกายจะปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติได้โดยอัตโนมัติ บางครั้งความเครียด อาจมสี าเหตมุ าจากด้านจิตใจ เชน่ ความเครียดท่ีเกิดจากคำพูดที่ไม่น่าฟงั ของบคุ คลใกลช้ ิด หรือได้รับข่าว ร้ายบางอย่าง เป็นต้น อาการของความเครียดระยะสั้น จะมีอาการตื่นกลัว ตื่นเต้น ชีพจรเต้นเร็วรู้สึก ปัน่ ป่วนในท้อง จติ ใจอ่อนไหวไม่มน่ั คง 2. ความเครียดระยะยาว ความเครียดบางอย่างเป็นเรื้อรังหรือกินเวลานาน เช่น เกิดจาก ปัญหาความไม่ลงรอยไม่เข้าใจกันในครอบครัว ปัญหาเรื่องการเงิน ปัญหาการงาน เป็นต้น ความเครียด แบบนี้จะรนุ แรงกวา่ ความเครียดระยะสนั้ จะมอี าการวติ กกังวลท่ีหาสาเหตไุ ม่ได้ นอนไมห่ ลับ เกิดความดนั โลหิตสงู และโรคหัวใจซึ่งหากเป็นมากควรพบนักจิตวิทยาหรือจติ แพทย์เพื่อให้คำแนะนำและบำบัดรักษา ได้ถกู ตอ้ ง สพุ านี สฤษฎว์ านชิ (2552, น. 385-386 อา้ งถึงใน วีระชัย ชูประจิตต์, 2560) แบ่งความเครียด ออกไดเ้ ป็น 2 กลมุ่ คอื 1. Eustress หรอื Constructive Stress จะเกิดข้ึนเม่ือคนเรามีความเครียดท่ีอยู่ในระดับ ที่ไม่ มากจนเกินไป มีความเครียดเล็กน้อยจะทำให้เกิดผลในเชิงบวก คือมีพลัง มีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง มีความขยันขึ้น นักกีฬา นักธุรกิจ รวมทั้งนักเรียนควรมีEustress จะได้ตั้งใจอ่านหนังสือ ตั้งใจทบทวนความรู้เป็นต้น เพอ่ื ช่วยให้มีความกระตอื รอื รน้ ที่จะทำงานให้ดีทส่ี ุด 2. Distress หรอื Destructive Stress เป็นความเครียดทีม่ ีมากจนเกินไปซึ่งส่งผลลบต่อบุคคล น้ัน ๆ เชน่ ทำใหค้ วามดันขนึ้ สงู ปวดศีรษะมาก มนึ หมดพลงั และมีปญั หาในทางพฤติกรรมตา่ ง ๆ เกดิ ขึ้น หรืออาจแบง่ ความเครยี ดออกตามเวลาท่ีเกดิ คือ
17 2.1 Acute Stress เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นในระยะเวลาหนึง่ ๆ และร่างกายก็ตอบสนอง ต่อความเครียดนั้นทันทีเหมือนกันโดยการหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา เมื่อความเครียดหายไป ร่างกายก็จะกลับสู่ภาวะปกติภาวะที่ก่อให้เกิดความเครียด เช่น ความกลัว ความเหงาหรือสถานการณ์ เร่งดว่ น เปน็ ต้น 2.2 Chronic Stress เป็นความเครียดเรื้อรัง เนื่องจากเกิดสะสมมานานโดยร่างกายไม่ สามารถตอบสนองหรอื จดั การต่อความเครียดนน้ั ได้ ตวั อยา่ งของความเครยี ดเร้อื รงั ได้แก่ ความเครยี ดจาก การทำงานไม่สมบรู ณ์สักทีตามสายตาของหวั หน้า หรือความเครียดที่เกิดจากปัญหาความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคลในทที่ ำงานท่ียังแกไ้ ขไม่ได้ เปน็ ตน้ สรุปประเภทของความเครียด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ด้านร่างกาย เป็นความเครียดที่คุกคาม ต่อร่างกายของบุคคล การตอบสนองอาจเกิดความเครียดทันทีทันใดหรือเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านจิตใจ เป็นความเครียดท่ีคุกคามต่อความร้สู ึกภายในตัวบุคคล มักเกดิ การตอบสนองตอ่ ร่างกายอย่างเฉียบพลัน 2.5 ผลกระทบของความเครยี ด สญั ญาณของความเครียดแบ่งออกเปน็ 4 กล่มุ โดยความเครยี ดในแต่ละกลุ่มต่างก็ส่งผลร้ายกับ สขุ ภาพของเราไมว่ ่าจะเป็นสขุ ภาพจิตและสุขภาพกาย (กรมสุขภาพจติ , 2562) แบ่งออกไดด้ ังนี้ กลุ่มที่ 1 อาการทางด้านเชาว์ปัญญา (Cognitive Symptoms) เมื่อเกิดความเครียดขึ้น สมอง ของเรามักจะได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรก และเมื่อส่งผลกับสมองแล้วก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการ ทำงานของสมองเกดิ ความผดิ ปกติ เช่น 1) มีปัญหาเรื่องความจำ ความเครียดเปรียบเสมือนหมอกหนาที่อยู่ในหัวของเรา เมื่อเราเกิดความเครียด มันก็จะบดบังสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในหัวของเราจนทำให้เรากลายเป็นคนขี้ลืม เช่น อาจจะหลงลมื กับเรือ่ งเล็ก ๆ 2) สมาธิลดลง ความเครียด ส่งผลให้เรามีสมาธิน้อยลง นอกจากนี้ยังทำให้ความ อดทนของเราต่ำลงมากกว่าปกติจนบางครั้งเราอาจจะเกดิ อาการหงดุ หงิดและเอะอะโวยวาย เนื่องจากไม่ สามารถเพ่งความสนใจไปกับการทำงานได้-วติ กกังวล ความวิตกกังวลก็เป็นความเครียดชนิดหนึ่งที่ส่งผล ทำใหค้ ุณรสู้ ึกเหมือนวา่ ตนเองกำลังทำผิดพลาด และทำใหค้ ุณไม่มัน่ ใจในส่ิงที่ทำ หรอื หวาดกลัวกับส่ิงที่ยัง ไมเ่ กิดข้นึ อยตู่ ลอดเวลา 3) แก้ไขปัญหาได้ไม่ดีเท่าที่ควร เช่นเดียวกับการตัดสินใจ เมื่อคนเรามีความเครียด สมองของเราจะทำงานไดช้ า้ ลง ความคดิ สร้างสรรค์และไอเดยี ต่าง ๆ ก็จะลดลง จนทำให้ไมส่ ามารถแก้ไข ปัญหาได้ทง้ั ๆ ท่ีปัญหาอาจจะไม่ใหญโ่ ต
18 กลุ่มที่ 2 อาการทางด้านอารมณ์ (Emotional Symptoms) จะสังเกตไดว้ า่ เมอ่ื เกิดความเครียด คนเราจะมีอารมณ์ที่แปรปรวนและไม่คงที่อยู่ตลอดเวลา บางรายอาจจะอารมณ์ร้ายมากขึ้นกว่าเดิม หรือไม่กม็ ีอาการซมึ เศรา้ จนเห็นไดช้ ัด ซ่งึ อาการทเี่ กิดจากความเครียดที่สง่ ผลตอ่ อารมณม์ ดี ังนี้ 1) อารมณ์แปรปรวน คงไม่มีใครอยากจะเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนตลอดเวลา เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย แต่บางครั้งความเครียดก็ทำให้เรารู้สึกอารมณ์แปรปรวนได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากเครียด ละก็ ควรจะรบี ตง้ั สติใหไ้ ดน้ ะคะ ไมอ่ ยา่ งน้ันอารมณ์ทีเ่ ดีย๋ วดีเด๋ียวรา้ ยอาจจะส่งผลกับการทำงานได้ 2) ฉุนเฉยี ว เวลาที่เรารู้สกึ เครียด ไมว่ า่ อะไรก็รสู้ ึกขัดหขู ัดตาไปเสียหมด จนทำใหเ้ รา อาจจะเหวีย่ งใสค่ นรอบขา้ งโดยทไ่ี มร่ ตู้ ัว ดงั นั้นเม่อื เกิดความเครียดควรจะใจเยน็ ใหม้ าก ๆ เลย 3) ซึมเศร้าและร้องไห้ อาการซึมเศร้าเป็นสิ่งที่จะมักจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดความเครียด บางคนเลือกใชก้ ารรอ้ งไห้เป็นการระบายความอัดอ้ันในใจออกมา ซงึ่ ถึงแม้ว่าจะช่วยได้บา้ งแต่ตราบใดที่ไม่ หายเครยี ดก็ไม่อาจหนีจากความซมึ เศรา้ พ้นอยา่ งแนน่ อน 4) รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว ความเครียดอาจส่งผลทำให้หลายคนปลีกตัวเองออกจาก สังคมโดยไม่รู้ตวั จนรสู้ ึกเหมอื นอยอู่ ยา่ งโดดเดีย่ ว และการอยู่เพียงคนเดยี วตามลำพงั ในภาวะความเครียด น้ันอาจส่งผลทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมาได้อีกดว้ ย กลุ่มที่ 3 อาการทางด้านร่างกาย (Physical Symptoms) สัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดของ อาการเครียดมักแสดงออกให้เห็นทางร่างกาย โดยอาการทางร่างกายจะเริ่มทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ กอ่ นจะคอ่ ย ๆ รนุ แรงขึ้นจนอาจถงึ ขน้ั ต้องเข้าโรงพยาบาล อาการส่วนใหญท่ ีพ่ บมี ดงั น้ี 1) ปวดหัว ความเครียดจะส่งผลทำให้เกิดอาการปวดหัว ซึ่งบางรายอาจจะมีอาการ ปวดไหลแ่ ละคอร่วมดว้ ย หรือบางรายกอ็ าจจะเกิดอาการปวดหัวรา้ ยแรง อย่างไมเกรนได้ 2) ผมร่วง ความเครียดอย่างรุนแรงจะทำให้เส้นผมที่อยู่ในช่วงการเติบโตหยุดการ เจริญเตบิ โตอย่างกะทันหนั และหลงั จากนนั้ 2-3 เดอื นเสน้ ผมเหล่าน้นั ก็จะหลุดร่วงจากศรี ษะ 3) หนังตากระตุก อาการหนังตากระตุกหลายคนมักเชื่อว่ามันเป็นลางบอกเหตุ แต่ จรงิ ๆ เวลาทคี่ นเราเครยี ดก็อาจจะทำใหห้ นังตากระตุกได้เชน่ กัน 4) กินจุบจิบไม่หยุด หลายคนยิ่งเครียดก็ยิ่งกินจุบกินจิบ และยิ่งหากไม่มีการออก กำลังกายร่วมด้วยก็จะทำใหน้ ำ้ หนักข้ึนได้งา่ ย ๆ เลย 5) ปวดตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ความเครยี ด มักทำให้เกิดอาการอ่อนล้าตาม สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายซงึ่ โดยสว่ นใหญม่ ักจะเกิดอาการปวดที่บรเิ วณ ไหล่ คอ และหลัง
19 6) ผิวพรรณหม่นหมอง ความเครียดเรื้อรังสามารถทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำลงได้ เพราะฮอร์โมนความเครียดจะไปทำให้ ทีโลเมียร์ (Telomere) ที่อยู่ส่วนปลายของดีเอ็นเอสั้นลง ทำให้ดี เอน็ เอไม่สามารถแบง่ ตวั ได้อยา่ งสมบูรณ์ส่งผลทำให้เกิดร้วิ รอย และผิวพรรณหมองคล้ำกอ่ นวัย 7) หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความเครียดจะส่งผลทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งโดย ปกติคนเราจะมีอัตราการเต้นหัวใจอยู่ที่ 60-100 ครั้งต่อนาที ซึ่งถ้าหากเกิดความเครียดสะสมและเรื้อรัง เป็นเวลานานอาจทำใหห้ วั ใจเต้นผิดจังหวะได้ 8) เหงื่อออกง่าย ความเครียดจะแสดงออกมาใหเ้ ห็นในรูปแบบของเหงื่อ เพราะเม่ือ เกิดความเครียดจะทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้อุณหภูมิร่างกาย สูงขึ้นจนร่างกายขับเหง่ือออกมา ดังนั้นยิง่ คุณมีความกดดันกจ็ ะยิ่งทำให้เหงื่อไหลออกมากถึงแม้ว่าคุณจะ ไมร่ สู้ ึกรอ้ นกต็ าม 9) ระบบขับถ่ายมปี ัญหา เม่อื ฮอร์โมนคอรต์ ิซอลหรือฮอร์โมนความเครียดในร่างกาย เพมิ่ สูงข้นึ ระบบยอ่ ยอาหารของคุณจะไปทำร้ายระบบลำไส้ของคุณเอง ซง่ึ จะทำใหเ้ กิดโรคลำไสอ้ ักเสบขึ้น ไดจ้ ากความเครียด แถมระบบยอ่ ยอาหารกย็ ังไมส่ ามารถดูดซมึ สารอาหารไดด้ ีเท่าท่ีควรอกี ด้วย 10) คลื่นไส้ เวียนหัว อาการคลื่นไส้เวียนหัวเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากความเครียด โดยปกติแล้วจะมีแค่เพียงอาการคลื่นไส้และเวียนหัว แต่ถ้าหากอาการรุนแรงขึ้นจนเครียดลงกระเพาะก็ อาจทำให้อาเจยี นได้ 11) ความต้องการทางเพศลดลง ความเครียดจะทำให้ระบบฮอร์โมนเพศลดลง จน ทำใหค้ วามต้องการทางเพศลดตามลงไปดว้ ย แต่ฮอร์โมนเหล่าน้จี ะกลบั เข้าสภู่ าวะปกติเมื่อเร าห าย เครียด 12) อาการภมู แิ พ้กำเริบ โรคภูมแิ พ้เปน็ หนึ่งในวิธีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งการตอบสนองนี้จะเกดิ ขึน้ เม่ือเกิดความเครยี ด โดยจะส่งผลรา้ ยแรงต่อร่างกายทำให้เจบ็ ปว่ ยได้ง่ายข้นึ กลุ่มที่ 4 อาการที่ส่งผลต่อพฤติกรรม (Behavioral Symptoms) ความเครียด นอกจากจะ ส่งผลต่อร่างกาย สมอง และอารมณ์แล้ว ก็ยังส่งผลทำให้พฤติกรรมในการใช้ชีวิตบางอย่างของเรา เปลี่ยนไป ซึ่งถ้าหากปล่อยเรื้อรังอาจจะทำให้ติดกลายเป็นนิสัยได้ โดยส่วนใหญ่เราเมื่อเราเครียดจะเกิด พฤตกิ รรมดงั ต่อไปน้ี 1) รับประทานมากขึ้นหรือน้อยลง สำหรับบางคน ความเครียดอาจจะทำให้รู้สึกเบ่ือ อาหาร และสำหรับบางคนอาจจะทำให้ยิ่งต้องหาของหวานมารับประทาน ซึ่งการรับประทานของหวาน มากเกนิ ไปอาจจะทำให้อ้วนได้
20 2) นอนไม่หลับ เม่ือเรารู้สึกกังวล สมองของเราจะตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้นอนไม่ หลับ และจะส่งผลทำให้คุณอ่อนเพลีย ทำงานได้ไม่เต็มที่ และการที่พักผ่อนไม่เพียงพอเป็นเวลานาน อาจจะทำให้เกดิ ภาวะซึมเศรา้ ได้ 3) ปลีกตัวเอง ความเครียด ส่งผลทำให้เรามีปฏิสัมพันธ์กบั คนอ่ืนน้อยลงเนือ่ งจากเรา จะเอาแตส่ นใจกบั สง่ิ ที่เราเครยี ดเพยี งอย่างเดยี วจนทำใหด้ ูเหมือนวา่ ปลีกแยกตัวเองออกจากสังคมได้ 4) ใช้ยาเสพติด บุหรี่ หรือแอลกอฮอล์มากขึ้น หลายคนเมื่อเกิดความเครียดและไม่ สามารถหาทางออกได้ก็มักจะไปพึ่งแอลกอฮอล์และสิ่งเสพติด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้หายเค รียดได้ เพยี งแตล่ ดความเครยี ดไดช้ ่วั คราวเท่าน้ัน แถมยงั สง่ ผลร้ายตอ่ สขุ ภาพอีกด้วย 5) รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา เมื่อเรารู้สึกกดดัน เราก็จะรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยลา้ ดงั น้นั เมื่อคุณรู้สกึ เครยี ดลองลุกขึน้ เดินไปรอบ ๆ เพ่ือให้ผอ่ นคลายกจ็ ะทำให้หายอ่อนเพลยี ได้ 6) ทำผิดพลาดแม้แต่เรื่องเล็ก ความสามารถต่าง ๆ ของคุณจะถูกคุกคามอย่างรนุ แรง เม่ือเกิดความเครยี ด จนทำให้ศนู ย์การรับร้ขู องสมองไม่สามารถทำงานได้อย่างเตม็ ที่ และทำให้คุณทำเร่ือง ผดิ พลาดเอาไดง้ ่ายๆ ยรรยงค์ อิ่มสวุ รรณ (ม.ป.ป.) ได้กลา่ วถงึ ความเครียดมผี ลตอ่ สุขภาพโดยมีอาการเหลา่ น้ี ได้แก่ 1) อาการแสดงทางรา่ งกาย : ปวดกล้ามเนอ้ื เบื่ออาหาร นอนหลบั ยาก 2) อาการแสดงทางด้านจติ ใจ : วิตกกงั วล 3) อาการแสดงทางด้านอารมณ์ : โกรธงา่ ย วติ กกังวล นอนไม่หลับ 4) อาการแสดงทางพฤตกิ รรม : รบั ประทานอาหารเก่ง อาการหรือพฤติกรรมที่แสดงออกเม่ือเกิดความเครียด ความเครียดเป็นภาวะกดดันเป็น ความรู้สึกภายในที่เป็นนามธรรม แต่เมื่อบุคคลรู้สึกเครียดจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียด 2 ทาง คือ ทางรา่ งกาย ได้แก่ เหงอ่ื แตก หายใจถีข่ ้นึ แลตืน้ ๆ กล้ามเน้อื เกรง็ ปากแหง้ ผุดลุกผุดนงั่ กนิ ไม่ได้ นอน ไมห่ ลับ ออ่ นเพลีย ปวดหัว ปวดเม่อื ยตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ความผดิ ปกติของหวั ใจ ความดันโลหิต สูง อึดอัดในท้อง กระเพาะอาหารปั่นป่วน โรคกระเพาะ อาการท้องผูก ท้องเสียบ่อย ๆ หอบหืด เสื่อม สมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น และทางจิตใจ แบ่งเป็น ด้านพฤติกรรม เช่น ปากสั่น มือสั่น เสียงสัน่ พูดเร็ว เดินตัวเกร็ง นอนไมห่ ลบั เป็นต้น ด้านความคิด เช่น คิดอะไรไม่ออก ไมม่ ีสมาธิ จำอะไรไม่ค่อยได้ เป็นต้น ด้านอารมณ์ เช่น อารมณ์กลัว วิตกกังวล เศร้า โกรธ คับข้องใจ ซึมเศร้า เป็นต้น (Lazarus 1984 : 26 อา้ งถึงใน นายณรงค์ ใจเที่ยง, 2559 )
21 เด็กไทยเครียด ผลกระทบโควิด-19 องค์การยูนิเซฟออกผลสำรวจล่าสุด เรื่องผลกระทบการ แพรร่ ะบาดของโควดิ -19 ต่อเดก็ และเยาวชนในประเทศไทย พบวา่ เดก็ และเยาวชนองค์การยูนิเซฟออกผล สำรวจล่าสุด เรื่องผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อเด็กและเยาวชนในประเทศไทย พบว่าเด็ก และเยาวชนกว่า 8 ใน 10 คน มคี วามวิตกกงั วลเก่ยี วกบั ปญั หาการเงนิ ของครอบครวั ซึง่ เป็นประเด็นท่เี ด็ก และเยาวชนกงั วลมากท่ีสุด เน่ืองจากพอ่ แมผ่ ปู้ กครองไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ อนั เปน็ ผลมาจากการ ปิดตัวของธุรกิจต่าง ๆ ตลอดจนการถูกเลิกจ้าง การสำรวจนี้จัดทำโดยองค์การยูนิเซฟ ร่วมกับสภาเด็ก และเยาวชนแห่งประเทศไทย โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ และกองทนุ ประชากรแหง่ สหประชาชาติ เป็นการสำรวจครั้งแรกที่มุ่งศึกษาผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 ต่อเด็กและเยาวชนในประเทศไทย และ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการที่แท้จริงของพวกเขา โดยเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามออนไลน์ ระหว่างวันท่ี 28 มีนาคม 63 ถึง 10 เมษายน 63 จากเด็กและเยาวชนจำนวน 6,771 คนทั่วประเทศ ส่วน ใหญ่อายุ 15-19 ปี ผลสำรวจยังพบว่า เด็กและเยาวชนกว่า 7 ใน 10 คน ระบุว่าวิกฤตโควิด-19 ส่งผล กระทบต่อสภาพจิตใจ โดยพวกเขามีความเครียด วิตกกังวลและเบื่อหน่าย นอกจากนี้ เด็กและเยาว ชน เกินครึ่งรู้สึกกังวลดา้ นการเรียน การสอบ และโอกาสในการศึกษาต่อ เนื่องจากการปิดโรงเรียนเป็นระยะ เวลานานในขณะที่ร้อยละ 7 รู้สึกกังวลเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เช่น การทะเลาะกันของ ผปู้ กครองและการทำรา้ ยรา่ งกาย (องคก์ ารยูนิเซฟ ประเทศไทย, 2563) สรุปได้ว่า ความเครียดเป็นภาวะกดดันเป็นความรู้สึกภายในที่เปน็ นามธรรม แต่เมื่อบุคคลรู้สกึ เครียดจะมปี ฏกิ ริ ิยาตอบสนองต่อความเครียด ทำใหม้ ีอาการแสดงทางร่างกาย อาการแสดงทางด้านจิตใจ อาการแสดงทางด้านอารมณ์ อาการแสดงทางพฤตกิ รรม 2.6 ระดบั ความเครียด ระดบั ของความเครยี ด Lazarus ( 1984 อ้างถงึ ใน นายณรงค์ ใจเทีย่ ง, 2559) 1. ความเครียดระดับต่ำและระยะสั้น ความเครียดไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย ถ้ามีเล็กน้อยก็เป็นตัว ผลักดันหรือเป็นตัวกระตุ้นให้ บุคคลกระทำสิ่งนั้นๆ อย่างกระตือรือร้นและมีความคิดสร้างสรรค์ ความเครยี ดระดบั ตำ่ จงึ เปน็ เหมือนน้ำมันที่ช่วยใหร้ ถขบั ไปไดด้ ว้ ยดี 2. ความเครียดระดบั สูงและสะสมนาน ความเครียดระดับสูง เม่อื เกดิ ขน้ึ เปน็ ระยะเวลานานจะ กอ่ ให้เกดิ ผลเสียต่อรา่ งกาย และจติ ใจของตนเอง รวมทง้ั ส่งผลกระทบตอ่ ครอบครัวและหน้าทีก่ ารงานและ ส่งผลกระทบหลายอย่าง ความเครียดที่สะสมก็เหมือนรถยนต์ที่ติดและเร่งเครื่องทิ้งไว้นานรถก็จะเสีย ร่างกายของคนเราก็เหมือนกัน ถ้าเครียดสะสมนาน ๆ ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายเสียไป เป็นโรคต่าง ๆ ตามมารวมท้ังความเครียดรุนแรงกเ็ หมือนรถทีต่ ิดเครื่องและเร่งออกไปเตม็ ทโ่ี ดยเรว็ รถกจ็ ะพุ่งชนกีดขวาง ข้างหน้า เราซ่งึ เป็นคนขบั กจ็ ะได้รบั อบุ ตั ิเหตุ คนที่เครียดรนุ แรงจึงสามารถทำรา้ ยตนเองและผู้อนื่ ไดง้ ่าย
22 กรมสุขภาพจิต (2541: 12 อ้างถึงใน อนุรัตน์ อนันทนาธร, 2559, น.14) แบ่งความเครียด ออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้ 1. ความเครียดในระดับต่ำ (Mild Stress) หมายถึง ความเครียดขนาดน้อย ๆ และหายไปใน ระยะเวลาอันสั้นเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ความเครียดนี้ไม่คุกคามต่อการดำเนินชีวิต บุคคลมกี ารปรับตวั อยา่ งอัตโนมัติ เป็นการปรับตัวด้วยความเคยชินและการปรับตวั ตอ้ งการพลังงานเพียง เลก็ น้อยเปน็ ภาวะทรี่ ่างกายผ่อนคลาย 2. ความเครียดในระดับปานกลาง (Moderate Stress) หมายถึง ความเครียดที่เกิดขึ้นใน ชีวิตประจำวันเนื่องจากมีสิ่งคุกคาม หรือพบเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในสังคม บุคคลจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ออกมาในลักษณะความวิตกกังวล ความกลัว เป็นต้น ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไปไม่รุนแรงจนก่อให้เกิด อนั ตรายแกร่ ่างกาย เป็นระดบั ความเครียดทำให้บุคคล เกิดความกระตือรือร้น 3. ความเครียดในระดับสูง (Height Stress) เป็นระดับที่บุคคลได้รับเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิด ความเครียดสูง ไมส่ ามารถปรับตัวให้ลดความเครียดลงได้ในเวลาอันส้ันถือว่าอยู่ในเขตอันตราย หากไม่ได้ รับการบรรเทาจะนำไปสูค่ วามเครียดเรอ้ื รัง และก่อใหเ้ กดิ โรคต่าง ๆ ในภายหลงั ได้ 4. ความเครียดในระดับรุนแรง (Severe Stress) เป็นความเครียดระดับสูงที่ดำเนินติดต่อกัน มาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้บุคคลมีความล้มเหลวในการปรับตัวจนเกิดความเบื่อหน่าย ท้อแท้ หมดแรง ควบคมุ ตัวเองไมไ่ ด้ เปน็ ผลที่กอ่ ให้เกิดอาการทางกายหรอื อาการทางจิตได้ ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้แบ่งระดับความเครียดออกเป็น 4 ระดับ คือ ความเครียดในระดับ ต่ำ ความเครยี ดในระดบั ปานกลาง ความเครยี ดในระดบั สูง และความเครยี ดในระดับรนุ แรง 3. สาเหตแุ ละปัจจัยทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั ความเครยี ด การศกึ ษาสาเหตุและปจั จยั ท่ีกอ่ ใหเ้ กดิ ความเครยี ดนน้ั มผี ้ทู ีศ่ ึกษาและไดส้ รุปสาเหตุและ ปจั จัยไว้ อย่างหลากหลาย ดงั น้ี Lazarus (2000: 615 อ้างถึงใน นายสมพร เปาอินทร์, 2553) ได้กล่าวไว้ว่าความเครียดเกิดจาก สาเหตุใหญ่ ๆ 2 ประการ คือ ปัจจัยภายนอกบุคคล (Environmental Demands) ได้แก่ สิ่งแวดล้อมใน สังคมในการทำงาน ในธรรมชาติและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต และ ปัจจัยภายในบุคคล (Internal Demands) ได้แก่ ทัศนคติ ลักษณะประจำตัว อารมณ์ ประสบการณ์ในชีวิต ตลอดจนความต้องการของ บคุ คลนัน้
23 ชูทิตย์ ปานปรีชา (2529 อ้างถึงใน กรมสุขภาพจิต, 2546) ชูทิตย์ ปานปรีชา (2529) กล่าวถึง ปจั จัยท่ีเปน็ สาเหตขุ องการกอ่ ใหเ้ กดิ ความเครยี ดว่าประกอบด้วยสาเหตุ ดงั ต่อไปน้ี คอื 1. สาเหตุภายใน หมายถงึ ความเครียดทเ่ี กิดจากสาเหตุหรือปัจจัยตา่ ง ๆ ทมี่ าจากตวั คน 2. สาเหตภุ ายนอก หมายถึง ปัจจัยตา่ ง ๆ นอกตวั คนท่เี ป็นสาเหตุทำให้เกิดความเครยี ด 3.1 ปัจจยั ภายในบคุ คล ชาญวุฒิธิติ รัตนโชติ และคณะ (2557) ได้ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะ นักศึกษากับสุขภาพจิตและความเครียดของนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พบว่าเพศหญิงมี ความเครียดมากกว่าเพศชาย และนักศึกษาในชั้นปีที่สูงขึ้นมีแนวโน้มท่ีจะมีปัญหาสุขภาพจิตและ ความเครียดค่อนข้างสูง โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ขึ้นไป นักศึกษาปีที่ 4 มีภาวะสุขภาพจิตและความเครียด เกิดขึ้นได้มากกว่านักศึกษาในชั้นปีต้นๆ พบว่าปัจจัยส่วนบุคคลด้าน เพศ กลุ่มคณะที่ศึกษา ชั้นปีที่ศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความเพียงพอของรายได้ มีความสัมพันธ์กับ ระดับสุขภาพจิตและ ความเครียด อย่างมีนัยสําคญั ทางสถติ ิ (p < 0.05) วิลาวัลย์ วีระอาชากุล และคณะ (2561) ได้ศึกษาเกี่ยวกับ ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความเครียดใน นักศึกษา ทันตแพทย์ชั้นปีที่ 4-6 คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พบว่าปัจจัยเพศ ชั้นปี รายไดต้ ่อเดือนโรคประจำตัว และสถานภาพครอบครัว มคี วามสัมพันธ์กับความเครียดอย่างไม่มีนัยสำคัญ ทางสถติ ิที่ระดบั (p < 0.05) นงลักษณ์ วิชัยรัมย์ และวิมลพรรณ สิริกาญจนาทัศน์ (2560) ได้ศึกษาเกี่ยวกับ ภาวะ ความเครยี ดของนักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เฉลิมกาญจนา พบว่า อายุ 17-20 ปี ค่าเฉล่ีย เทา่ กับ 3.25 มีความเครยี ดในระดบั ปานกลาง อายุ 20-22 ปี ค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.26 มีความเครียดในระดับ ปานกลาง อายุ 22-24 ปี คา่ เฉลีย่ เท่ากบั 3.19 มี ความเครียดในระดับปานกลาง อายุ 25 ปีขน้ึ ไป คา่ เฉลี่ย เท่ากับ 2.70 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สถาบันวิจัยและบริการวิชาการ (2560) ได้ศึกษาดัชนีความเครียดของ คนไทย กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่ จำนวนทั้งสิ้น 2,022 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1-31 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา พบว่า เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบ ความเครียดแต่ละเรื่องในกลุ่มประชาชนแต่ละวัย (Generation) พบว่า ประชาชนในกลุ่ม Gen Y (อายุ 25-35 ปี) มีความเครียดมากที่สุด รองลงมา คือ Gen M (อายุ 19-24 ปี) (คะแนนความเครียดเฉลี่ย เท่ากับ 2.34 และ 2.23 คะแนนตามลำดับ) สว่ นกลมุ่ ท่ีมคี วามเครียดน้อยที่สุด คอื ประชาชนในกลมุ่ Gen Z (อายุ 15-18 ปี) (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 1.96 คะแนน) และเมื่อพิจารณารายละเอียด ความเครียดในแตล่ ะเรอื่ งของกลุม่ ประชาชนแต่ละวยั พบว่า
24 Gen Z (อายุ 15-18 ปี) มีความเครียดในเรื่องการเรียนมากที่สุด รองลงมาเครียดเรื่อง ความรัก และเครียดเร่ืองครอบครัว ตามลำดับ (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.99, 2.47 และ 2.46 คะแนน ตามลำดบั ) Gen M (อายุ 19-24 ปี) มีความเครียดในเรือ่ งเรียนมากที่สุด รองลงมาเครียดเรื่องการ งาน และเครียดเร่ืองเศรษฐกิจ/การเงิน ตามลำดับ (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 3.15, 2.96 และ 2.80 คะแนน ตามลำดับ) Gen Y (อายุ 25-35 ปี) มีความเครียดในเรื่องเศรษฐกิจ/การเงินมากที่สุด รองลงมา เครียดเรื่องการงาน และเรื่องสิ่งแวดล้อม ตามลำดับ (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.98, 2.97 และ 2.63 คะแนน ตามลำดับ) Gen X (อายุ 36-50 ปี) มีความเครียดในเรื่องเศรษฐกิจ/การเงินมากที่สุด รองลงมา เครียดเรื่องการงาน และเรื่องสิ่งแวดล้อม ตามลำดับ (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.88, 2.86 และ 2.67 คะแนน ตามลำดบั ) Gen B (อายุ 51-69 ปี) มีความเครียดในเรื่องเศรษฐกิจ/การเงินและเรื่องสิ่งแวดล้อม มากที่สุด รองลงมาเครียดเรื่องสุขภาพ และเครียดเรื่องครอบครัว ตามลำดับ (คะแนนความเครียดเฉล่ีย เท่ากบั 2.80, 2.72, และ 2.56 คะแนน ตามลำดับ) 3.2 ปัจจยั ภายนอกบคุ คล 3.2.1 สง่ิ แวดลอ้ มในการเรียนออนไลน์ พรณรงค์ พงษ์กลาง (2553, บทคัดย่อ) ได้ศึกษา การเปิดรับความรู้การใช้ประโยชน์ และ ความพึงพอใจของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ต่อการเรียนออนไลน์ (E-learning) กลุ่ม ตวั อย่างทใ่ี ชใ้ นการศึกษาครัง้ น้ีคือนกั ศกึ ษาระดับปริญญาตรที ี่กำลังศึกษาอยใู่ นมหาวิทยาลยั ท้ังของรัฐและ เอกชนในเขตจังหวัดเชียงใหม่รวมทั้งสิ้น 7 สถาบันจำนวน 400 ราย ผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถามเป็น เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล โดยใช้วิธีการกำหนดกลุ่มตัวอย่างใหม้ ีสัดส่วนเท่ากัน (Quata Sampling) จากทั้งหมด 7 สถาบันอุดมศึกษา ดังนั้นจะได้กลุ่มตัวอย่างโดยเฉลี่ยสถาบันละ 57 ราย และใช้วิธีการสุ่ม ตวั อยา่ งแบบบังเอญิ (Accidental Sampling) จากแต่ละสถาบันอุดมศกึ ษา สำหรบั การศกึ ษาครง้ั น้ีสถิติที่ ใช้ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ค่าร้อยละค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานโดยใช้โปรแกรม SPSS for Window และทดสอบความสัมพันธ์ของลักษณะการเปิดรับความรู้ลักษณะการใช้ประโยชน์และระดับ ความพึงพอใจต่อการเรียนแบบออนไลน์ (e-Learning) ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้สถิติ Chi-Square ผลวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีระดับปัญหา และอุปสรรคต่อการ เรียนแบบออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยในแต่ระดับกลุ่มตัวอย่างมีปัญหาและอุปสรรค คือ
25 ปัจจัยที่พบว่ามีปัญหาอยู่ในระดับมาก คือ ผู้เรียนไม่เข้าใจบทเรียนและไม่สามารถได้รับคำตอบทันที เหมือนกับการเรียนในห้องเรียน การเรียนผ่านทางเว็บไซต์ค่อนข้างจะยากกว่าการเรียนในห้องเรียน ผู้สอนไม่สามารถทราบได้ว่าผู้เรียนมีความเข้าใจกับเนื้อหาในทางเดียวกันหรอื ไม่ ผู้เรียนมีความโดดเดี่ยว ขาดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่สมบูรณ์ ซึ่งการเรียนในห้องเรียนซึ่งมีการแลกเปลี่ยนความคิดเ ห็นได้ มากกว่า และด้านคุณภาพของการเรียนที่ได้รับไม่เท่ากับการนั่งเรียนในห้องเรียน ปัจจัยที่พบว่ามีปัญหา อยู่ในระดับปานกลาง คือ ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับการเรียนการสอนแบบออนไลน์ล่าช้า และผู้เรียนไม่ สามารถนำแนวคิดที่ได้มาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์จริง ปัจจัยที่พบว่ามีปัญหาอยู่ในระดับน้อย คือ ใน รูปแบบ ตำแหน่งการจัดวางของหน้าจอและเมนูต่างๆ ไม่เหมาะสมและอุปกรณ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ สามารถรองรับการใช้งานด้านมัลติมีเดียได้ดี และบางปัจจัย พบว่า มีปัญหาอยู่ในระดับน้อยที่สุดในเรื่อง คา่ ใช้จ่ายคา่ อินเทอรเ์ น็ตเพ่มิ ข้ึนเมอื่ เรียนผ่านระบบออนไลน์ มาลีวัล เลิศสาครศริ ิ (2557, บทคัดยอ่ ) ไดศ้ กึ ษาความสัมพันธ์ระหว่างปจั จัยส่วนบุคคล และปัจจัยสิ่งแวดล้อมกับความเครียดและการจัดการความเครียดขณะฝึกปฏิบัติงานห้องคลอดของ นักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยเซนต์หลุยส์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยเซนต์หลุยส์ ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาฝึกปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารก และการผดุงครรภ์ ปี การศึกษา 2555 ซึ่งได้จากการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 133 คน ผลการวิจัย พบว่า นักศึกษาพยาบาลช้นั ปที ี่ 3 และชั้นปีที่ 4 มีความเครียดขณะฝึกปฏิบัติงานห้องคลอดอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยด้านสถานที่ฝึก ปฏบิ ตั งิ าน/สภาพแวดลอ้ มมีความสมั พันธท์ างลบระดับต่ำกับความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 (r=-.24) 3.2.2 การสนบั สนนุ ทางสังคม การสนับสนุนทางสังคม คือ การที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในรูปแบบต่าง ๆ กับ แหลง่ เอ้อื อำนวยทางสงั คมของตนเอง เชน่ ครอบครัว เพื่อน ครูอาจารย์ หรือหน่วยทางสงั คมอ่ืน ๆ ในช่วง เวลาหนึ่งและสามารถตัดสินคุณค่าในเชิงปฏิสัมพันธ์ ความช่วยเหลือ การดูแลเอาใจใส่ เคารพให้เกียรติ รวมถึงข่าวสารข้อมูลทั้งหมดที่บุคคลได้รับเหล่านั้นได้ ( ไพศาล แย้มวงษ์, 2555 อ้างถึงใน Murphy & Kupshik. 1992: 51-53; citing Cassel. 1974) ประกอบไปดว้ ย 1) การสนับสนุนทางสังคมจากอาจารย์ หมายถึง การรับรู้ต่อการได้รับความช่วยเหลือ และการส่งเสริมที่ได้รับจากอาจารย์ ได้แก่ การได้รับความไว้วางใจจากอาจารย์การได้รับการยอมรับจาก อาจารย์การช่วยแก้ปัญหาการเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นการได้รับคำปรึกษารับฟังปัญหาการได้รับ การกระตนุ้ สรา้ งแรงบันดาลใจและการชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจเปา้ หมายของการใช้ชีวติ
26 2) การสนบั สนนุ ทางสังคมจากครอบครวั หมายถึง การรบั รตู้ ่อการได้รบั ความช่วยเหลือ และการส่งเสริมที่ได้รับจากพ่อแม่หรือครอบครัว ได้แก่ การได้รับการยอมรับความใส่ใจสนใจให้ ความสำคัญจากพ่อแม่การให้คำปรึกษารับฟังปัญหาการให้เวลาและทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันการให้ คุณค่าและการให้ความรักของพ่อแม่ 3) การสนบั สนุนทางสังคมจากเพื่อน หมายถงึ การรับรู้ตอ่ การได้รับความช่วยเหลือและ การส่งเสริมท่ีได้รับจากเพื่อนในมหาวิทยาลัย ได้แก่ การได้รับการข้อมูลคำแนะนำและแนวคิดการใช้ชีวติ การได้รับการยอมรับความเป็นมิตรหรือมิตรภาพการได้รับการช่วยเ หลือแก้ปัญหาการให้ความใส่ใจให้ ความสำคัญการให้คำปรึกษาเรื่องครอบครัว เป็นสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดรองลงมาจากเรื่อง การเรียน ตัวอย่างข้อความเพิ่มเติมที่เขียนสะท้อนได้แก่ “พ่ออยู่ ICU” “ทะเลาะกับพี่ชาย” “ยายป่วย หนักไม่สบายและเสียชีวิต” “มีปัญหากับญาติ” บริบทที่นักศึกษาที่เกี่ยวข้องมากที่สุดคือบ้านและ สถานศกึ ษา ผลการศึกษานี้ใกล้เคียงกับ Walker (1985) ทำการสำรวจความเครยี ดของวัยรุ่นพบว่าแหล่ง ความเครียดเกิดจากสัมพนั ธภาพระหวา่ งเพื่อนและครอบครัวมากที่สุด รองลงมา คอื ความรสู้ ึกกดดันจาก ความคาดหวังของตนเองและผู้อื่น ความกดดันในสถานกาณ์ศึกษา เรื่องครู เกรด การบ้าน การเงิน และ เรือ่ งเศรา้ ของสมาชกิ ในครอบครัว เช่น การตาย และหย่าร้าง เบญจวรรณ วงศ์ปราชญ์ (2561) ได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับ แรงสนับสนุนทางสังคม (n=236) พบว่า ตัวแปรด้านแรงสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์กับ ความเครยี ดของนกั เรียนพยาบาลอยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถิติ (r = -0.132, p – value = 0.04) ตัวแปรดา้ น แรงสนับสนุนทางสังคมด้านอาจารย์ความสัมพันธ์ทางลบกับความเครียดของนักเรียนพยาบาลอย่างมี นัยสำคญั ทางสถิติ (r = -0.164, p – value = 0.01) ตัวแปรดา้ นแรงสนับสนุนทางสังคมด้านผ้ปู กครองไม่ มีความสัมพันธ์ทางลบกับความเครียดของนักเรียนพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = -0.054, p – value = 0.41) ตัวแปรด้านแรงสนบั สนุนทางสังคมด้านพื่อนไม่มีความสัมพนั ธ์ทางลบกบั ความเครียดของ นกั เรยี นพยาบาลอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = -0.046, p – value = 0.48) ซึ่งในการเรียนออนไลน์ของนิสิตพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มีการ เปลี่ยนแปลงการเรียนในสิ่งแวดล้อมใหม่ เปลี่ยนจากการเรียนในห้องเรียนเป็นเรียนตามอัธยาศัย โดยมี กฎระเบียบของการเรียนออนไลน์อยู่ภายใต้การเรียนที่อยู่ในครอบครัว เช่น ขณะเรียนอยู่แม่เรียกให้ไป ทำงานบ้าน เสียงสุนัขเห่า เสียงรบกวนจากเครื่องจักรต่าง ๆ เป็นต้น อีกทั้งในการเรียนวิชาเรียนซับซ้อน เนื้อที่เข้าใจยาก จำนวนงานที่เพิ่มข้ึนจากเดิม และมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรสั COVID-19 ที่ทำให้มีการจัดการเรียนการสอนจากในห้องเรียนเป็นเรียนออนไลน์ ทำให้ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับ สิง่ แวดลอ้ มใหม่และอาจสง่ ผลทำใหเ้ กิดความเครยี ดได้
27 กล่าวโดยสรุป ปัจจัยท่ีเป็นกรอบแนวคิดในการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ ความเครียดในการเรียนออนไลน์ครั้งนี้ ประกอบด้วย เพศ อายุ ชั้นปี สิ่งแวดล้อมในการเรียนออนไลน์ และการสนับสนนุ ทางสงั คม 4. การเรยี นออนไลน์ 4.1 ความหมายการเรยี นออนไลน์ อีเลินร์นิง หมายถึง เครื่องมือของกระบวนการเรียนรู้ที่ผสมผสานของการถ่ายทอดเนื้อหาแบบ ดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยี ที่สร้างสรรค์ในการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร และความรู้ ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตที่เป็นเคร่ืองมือเชื่อต่อการสื่อสาร ทำให้สะดวกและรวดเร็วระหว่างผู้เรียนและผู้สอนโดยไม่ จำกัดสถานที่และเวลา เป็นการยกระดับความสามารถในการเรียนการสอน โดยมีการพัฒนาตาม ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี (เนาวนิตย์ สงคราม, 2559) การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-learning หมายถึง การเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สื่ออิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ ระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ เครือข่าย อินเทอร์เน็ต เครือข่ายอินทราเน็ต เครือข่ายเอ็กซทราเน็ต สัญญาณโทรทัศน์ สัญญาณดาวเทียม เข้ามา ช่วยในการถ่ายทอดขอ้ มูลผ่านสื่ออเิ ล็กทรอนิกส์หรือผ่านเครือข่ายเทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างเป็นระบบ มี รูปแบบ มีการจัดการที่เหมาะสมในการสื่อความรู้ให้แก่ผู้เรียนที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อการ เรียนการสอนมีประสิทธิภาพและบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ที่ตอ้ งการ (พัชรา คงเหมาะ, 2560) รูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์ หมายถึง โครงสร้างที่แสดงความสัมพันธ์และส่งเสริมซึ่งกัน และกนั ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ในการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ หลกั การวัตถปุ ระสงค์เนื้อหา ข้ันตอนการ สอนการประเมินผล รวมท้งั กจิ กรรมสนับสนุนอ่ืน ๆ โดยผ่านขน้ั ตอนตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพที่ อยู่ในเครือขา่ ยอนิ เตอร์เน็ต (ณฐภทั ร ติณเวส, 2558) การเรียนการสอนออนไลน์ (e-Learning) การเรียนการสอนออนไลน์ หมายถึง การเรียนผ่าน เครือข่ายอินเทอร์เนต็ ดว้ ยตนเองผเู้ รียนสามารถเลือกเรียนตามความชอบของตนเอง มีการนำเสนอเนื้อหา ในรูปแบบข้อความ รูปภาพ เสียง VDO และ Multimedia ฯลฯ ส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser ทั้ง ผู้เรียน ผู้สอน และเพื่อนร่วมชั้นทุกคน สามารถติดต่อ สื่อสาร ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นแบบ เดียวกับการเรียนในชั้นเรียนทั่วไป โดยใช้ช่องทาง E-mail Chat Social Network (พรพิมล แก้วฟุ้งรังษี, 2562) Carlson (1998 อ้างถึงใน กีรติ เพขราเวช, 2557) ได้สรุปว่าการเรียนการสอนทางเครือข่าย อินเทอร์เน็ตเป็นภาพที่ชดั เจนของการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีปจั จุบันกับกระบวนการออกแบบการ
28 เรียนการสอนซ่ึงก่อให้เกิดโอกาสท่ีชัดเจนในการนำการศึกษาไปสู่คนที่ตอ้ ยโอกาสเป็นการจัดหาเคร่ืองมือ ใหม่ ๆ สำหรบั ส่งเสริมการเรียนรแู้ ละเพิ่มเครื่องมืออำนวยความสะดวกทช่ี ่วยขจดั ปัญหาเร่ืองสถานที่และ เวลา ไพฑูรย์ ศรีฟ้า (2544 อ้างถึงใน สันทนา สงครินทร์, 2554 ) ได้ให้ความหมายของการเรียนแบบ ออนไลน์คือการเรียนการสอนทางไกลท่ีใชส้ ื่ออเิ ล็กทรอนิกสผ์ ่านทาง World Wide Web ซ่ึงผู้เรียนผู้สอน ใช้เปน็ ช่องทางในการติดตอ่ สอื่ สารระหว่างกันผูเ้ รยี นสามารถเขา้ ถึงแหลง่ ขอ้ มลู มากมายที่มีอยทู่ ่วั โลกอย่าง ไร้ขอบเขต จำกัด ผู้เรียนสามารถทำกิจกรรมหรือแบบฝึกหัดต่าง ๆ แบบออนไลน์โดยใช้เครื่องมือที่ช่วย อำนวยความสะดวกอย่ใู น เปน็ การเรียนการสอนออนไลน์ที่ได้รบั ความนิยมอย่างมากในปจั จุบัน เพราะไม่ มีขีดจำกัดเร่ืองระยะทางเวลาและสถานท่ีอีกท้ังยังสนองตอบตอ่ ศักยภาพและความสามารถของผูเ้ รียนได้ เป็นอย่างดี ฐาปนีย์ ธรรมเมธา (2557) อีเลิร์นนิง หมายถึง การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางการสื่อสารการ เรียนการสอน โดยมีการกำหนดกิจกรรมการเรียน และการสอนที่ออกแบบด้วยวิธีการสอนที่หลากหลาย มีการนำเสนอเนื้อหาสื่อแบบดิจิตอล การสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์ และการวัดประเมินผลผ่านระบบ เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ ซง่ึ การเรียนการสอนแบบอเี ลริ น์ นิง่ ใชก้ ารสื่อสารผ่านอินเทอร์เนต็ ลักษณะออนไลน์ ทั้งแบบผ่านสาย (Local Area Network) และไร้สาย (Wireless) มีลักษณะที่ทั้งเหมือนและแตกต่างจาก การเรียนผ่านเว็บ (Web Base Intruction : WBI) กล่าวโดยสรุปได้ว่าความเหมือนคือ ทั้งอีเลิร์นนิงและ การเรียนผ่านเว็บใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง ส่วนความแตกต่าง คือ การเรียนแบบอีเลิร์นนิงได้ถูก ออกแบบให้เป็นเสมือนหรือใกล้เคียงกับการเรียนการสอนในห้องเรียนปกติ โดยใช้โปรแกรมระบบจัดการ เรียนการสอน (Learning Management System : LMS) เป็นซอฟท์แวร์สำคัญ เพื่อจำลอง วิธีการ สื่อสารการสอนจากการสอนปกติในห้องเรียนมาใช้เครื่องมือต่างๆ ของระบบจัดการเรียนการสอน ซ่ึง องค์ประกอบของระบบบริหารจัดการเรียนการสอน ประกอบด้วย การเก็บข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียน สถิติ การเข้าเรียน การร่วมกิจกรรมการเรียน การสื่อสารปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และผู้เรียนกับ ผูเ้ รียนดว้ ยกัน รวมถงึ การวัดและประเมินผล เป็นต้น สรุปได้ว่า การเรียนออนไลน์ หมายถึง การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางการสื่อสารการเรียนการ สอน โดยมีการกำหนดกิจกรรมการเรียน และการสอนที่ออกแบบด้วยวิธีการสอนที่หลากหลาย มีการ นำเสนอเนื้อหาสื่อแบบดิจิตอล การสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์ และการวัดประเมินผลผ่านระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ กล่าวโดยสรุปได้ว่าความเหมือนคือ ทั้งอีเลิร์นนิงและการเรียนผ่านเว็บใช้อินเทอร์เน็ตเป็น ส่ือกลาง สว่ นความแตกต่าง คอื การเรียนแบบอีเลริ น์ นิงได้ถูกออกแบบให้เปน็ เสมือนหรือใกล้เคียงกับการ เรียนการสอนในห้องเรียนปกติ โดยใช้โปรแกรมระบบจัดการเรียนการสอน (Learning Management
29 System : LMS) เป็นซอฟทแ์ วรส์ ำคญั เพ่อื จำลองวิธีการส่อื สารการสอน จากการสอนปกติในห้องเรียนมา ใช้เครื่องมือต่างๆ ของระบบจัดการเรียนการสอน ซึ่งองค์ประกอบของระบบบริหารจัดการเรียนการสอน ประกอบด้วย การเก็บข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียน สถิติการเข้าเรียน การร่วมกิจกรรมการเรียน การสื่อสาร ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ งผเู้ รยี นกับผูส้ อน และผ้เู รยี นกบั ผเู้ รียนดว้ ยกนั รวมถงึ การวัดและประเมนิ ผล เปน็ ต้น 4.2 องคป์ ระกอบหลักของระบบ e-Learning อาณัติ รัตนถิรกุล (2558) ระบบ e-Learning ประกอบด้วยองค์ประกอบกลัก 4 ส่วนด้วยกัน คือ 1. เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์แม่ขา่ ยหรือเซริ ์ฟเวอร์ (Server) สำหรับซอฟตแ์ วร์ดา้ นเครอื ข่าย ประกอบดว้ ย 1.1 ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย (Network Operating System- NOS) เ ช ่ น Windows Server, CentOS Linux, Ubuntu Linux, Debian Linux, Mac OSX ห รื อ FreeBSD 1.2 โปรแกรมเว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) สำหรับให้บริการเว็บไซต์ผ่านทาง โปรแกรมเว็บเบราเซอร์ เช่น Apache HTTP, IIS, Nginx, Lightpd หรือชุดเว็บเซิร์ฟเวอร์สำเร็จรูปอย่าง XAMPP, AppServ, WinLAMP เปน็ ตน้ 1.3 ภาษาในการเขียนโปรแกรม (Programming Language) เช่น PHP, JAVA, PYTHON, ASP.NET เป็นต้น 1.4 โปรแกรมฐานข้อมูล (Database) สำหรับใช้จัดเก็บข้อมูลลงฐานข้อมูลเชน่ MySQL, MariaDB, PostgreSQL, MS SQL Server, Oracle เป็นตน้ 2. ระบบในการบริหารจดั การการเรียนการสอน หรอื LMS (Learning Management System) ติดตั้งอยู่ภายใต้เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย โดยความสามารถของระบบ LMS แต่ละค่ายจะมี ความสามารถที่แตกตา่ งกนั พอสรุปคุณสมบตั คิ รา่ ว ๆ ทีร่ ะบบ LMS ต้องมีดังนี้ 2.1 ระบบจัดการหลักสูตรการเรียนการสอน (Course Management) ใช้ สำหรับสร้างหมวดรายวชิ าการสร้างและกำหนดข้อมูลรายวชิ า การกำหนดแหล่งข้อมูล (Resource) การ สร้างกิจกรรมการเรียนการสอน (Activities) เป็นตน้ 2. 2 ระบบจัดการไซต์ e-Learning (Site Management) ใช ้สำหรับ กำหนดเวลาทอ้ งถน่ิ การกำหนดภาษาใชง้ าน การจัดการเมนูใชง้ าน การเพม่ิ เตมิ ขา่ วสารหนา้ เว็บไซต์ การ สรา้ งแทก็ รายวชิ า การเพม่ิ เตมิ โปรแกรมอิสระ (Modules) การจดั การฉากหลัง (Themes) การกำหนดค่า ด้านความปลอดภัย (Security) และการสำรองและกคู้ ืนข้อมูล (Backup and Restore) เป็นต้น
30 2.3 ระบบจัดการบัญชีผู้ใช้งาน (Account Management) ใช้สำหรับจัดการ ผู้ใช้งานในระบบไมว่ ่าจะเป็น การจัดกลุ่มผ้เู รียน การเพ่มิ ลบ แก้ไข และคน้ หาสมาชิก รวมทั้งการกำหนด สิทธ์แิ ละบทบาทของสมาชิกว่าตอ้ งการให้สมาชิกเขา้ ถึงสว่ นใดไดบ้ ้าง 2.4 ระบบจัดการไฟล์เอกสาร (File Management) ใช้สำหรับจัดการไฟล์ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน ไม่วา่ จะเป็นไฟลเ์ อกสาร ไฟลร์ ูปภาพ ไฟล์เสียง และไฟล์วดิ ีโอ 2.5 ระบบจดั การงานมอบหมายและการประเมนิ ผลการเรียน (Assessment Management) ใช้สำหรับมอบหมายงานให้ผูเ้ รยี น และประเมนิ ผลการเรียน 2.6 ระบบติดตามและรายงานผลการเรียน (Tracking and Report) การ ตดิ ตามการเข้าใช้งานของผู้เรียนและการตรวจสอบรายงานผลการเรยี นในแตล่ ะบทเรยี น 3. ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ องค์กรมีการติดตั้งระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์เช่ือมโยง กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) หรือเครือข่ายอินทราเน็ต (Intranet) ในกรณีต้องการติดตั้งระบบ เรยี นร้แู บบปิดในหน่วยงาน 4. เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ลกู ขา่ ย (Clients) สำหรบั เขา้ ใชง้ านบทเรียนต่าง ๆ ในระบบ e- Learning โดยสามารถเข้าใช้งานผ่านทางอุปกรณ์ DLMT คือเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Computer-D) เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก (Laptop Computer-L) โทรศัพท์มือถือ (Mobile-M) และ อปุ กรณ์พกพาหน้าจอสมั ผัส (Tablets-T) หรืออปุ กรณไ์ อทสี ำหรบั ใชง้ านในอนาคต (Wearable Devices) 4.3 ผูใ้ ช้งานระบบ LMS 1. กลุ่มผู้บริหารระบบ (Administrator) ทำหน้าที่ในการติดตั้งระบบ LMS การ กำหนดค่าเริ่มต้นของระบบ การปรับแต่งระบบ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบฉากหลังเว็ บ การเพิ่มเติม โปรแกรมอิสระ การกำหนดความปลอดภัยข้อมูล การสำรองและกู้คืนข้อมูล การกำหนดสิทธิ์การเป็น ผู้สอน 2. กลุ่มอาจารย์หรือผู้ร้างเนื้อหาการเรียน (Teacher) ทำหน้าที่ในการจัดการเนื้อหา บทเรยี นต่าง ๆ เข้าระบุ อาทิ ขอ้ มลู รายวิชาใบเน้ือหา เอกสารประกอบการสอน การประเมินผเู้ รยี นโดยใช้ ขอ้ สอบปรนยั อัตนัย การใหค้ ะแนน ตรวจสอบกิจกรรมผู้เรยี น ตอบคำถาม และสนทนากับนักเรียน 3. กลุ่มผู้เรียน (Student) หมายถึง นักเรียน นักศึกษา หรือพนักงานที่สมัครเข้าเรียน ตามหัวข้อต่าง ๆ รวมทั้งการทำแบบฝึกหัด ตามที่ได้รับมอบหมายจกผู้สอน โดยอาจารย์สามารถทำการ แบง่ กลุ่มผูเ้ รยี นได้ และสามารถตง้ั รหสั ผ่านในการเขา้ เรยี นแต่ละวชิ าได้
31 4.4 การเรียนออนไลน์แบบสมบูรณ์ ฐาปนีย์ ธรรมเมธา (2557) อธิบายรูปแบบการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงที่จำแนกตาม วตั ถปุ ระสงค์ของการจดั การเรยี นการสอนผา่ นบทเรียนออนไลน์มี 3 รูปแบบ คอื 1. อีเลิร์นนิงเพื่อเสริมการเรียน (Supplement) เป็นการใช้อีเลิร์นนิงเพื่อเสริมจากการ เรียนในชั้นเรียนปกติ โดยยังคงใช้วธิ ีการสอนแบบเดิมในช้ันเรียนเป็นหลักและใช้อีเลินร์นนิงเป็นการเสริม การเรียน เช่น เป็นบทเรียนทบทวน เป็นเว็บความรู้เพิ่มเติม หรือเป็นแบบทดสอบความรู้ที่มีเฉลยและ ข้อมูลปอ้ นกลับ (feed back) เป็นต้น 2. อีเลิร์นนิงเพื่อการสอนแบบผสมผสาน (blended / hybrid learning) เป็นการ จัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิง และแบบเดิมในชั้นเรียนร่วมกัน โดยมีสัดส่วนการแบ่งจำนวนครั้ง หรือ หน่วยการเรียนที่จะเรยี นดว้ ยวธิ ีใด ใช้อเี ลริ น์ นิงลดสัดสว่ นเวลาในการสอนแบบเดิมในชัน้ เรียน 3. อีเลิร์นนิงที่เป็นทั้งระบบการเรียนการสอน (Comprehensive replacement) เทียบเคียงได้กับการเรียนการสอนแบบออนไลน์ (Online Learning) การใช้อีเลิร์นนิงรูปแบบนี้สามารถ จำแนกตามวธิ กี ารจัดการเรียนการสอนได้ 2 วิธีการ คอื 3.1 ผู้เรยี นเรียนรูด้ ้วยตนเอง (Self-Paced Learning) เปน็ การเรียนอีเลริ น์ นิงท่ี ทดแทนการสอนปกติโดยเรียนเน้ือหาจาก สอื่ การเรยี น เครื่องมือสือ่ สารทางอินเทอรเ์ นต็ และประเมินผล การเรยี นของตนเอง วิธีน้ผี ู้เรยี นสามารถเลอื กเน้ือหา และเวลาเรียนตามที่ตนพร้อมและสะดวก ในบทบาท ของการกำหนดใหผ้ ู้เรียนเรียนดว้ ยตนเองจากส่ือ การเรียนด้วยวธิ นี ้ีผูส้ อนมีหน้าท่ีออกแบบการเรียนรู้ด้วย วิธีอีเลิร์นนิง จัดเตรียมสื่อและกิจกรรมการเรียนไว้เท่านั้น ผู้สอนไม่ต้องมีบทบาทในขณะที่ผู้เรียนกำ ลัง เรยี น 3.2 ผู้เรียน เรียนจากผู้สอนออนไลน์ เป็นการเรียนอีเลิรน์ นงิ ที่ทดแทนการสอน ในระบบชัน้ เรียนโดยเรียนผ่านเนื้อหา สื่อการเรยี น เครอื่ งมอื ส่ือสารทางอินเทอรเ์ นต็ และประเมินผลการ เรียนในระบบออนไลน์ โดยผู้สอนเป็นผู้กำหนดกิจกรรมตามระยะเวลา เหมือนการสอนในระบบชั้นเรียน ต่างกันตรงที่ผู้สอนและผู้เรียนไม่ได้เผชิญหน้ากัน (face to face) การเรียนด้วยวิธีนี้ผู้สอนรับหน้าที่การ ออกแบบการเรียนรู้ด้วยอีเลิร์นนิง จัดเตรียมสื่อ และกิจกรรมการเรียน ร่วมกิจกรรมการเรียนผ่าน เคร่อื งมอื ส่ือสารการเรียนการสอนตามระยะเวลาทีก่ ำหนดไว้ ผสู้ อนมบี ทบาทสำคัญในสอนออนไลน์ เนื่องจากนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ได้เผชญิ กับสถานการณ์การ แพร่ระบาดของเช้ือไวรสั COVID-19 ในครั้งนี้ ส่งผลทำใหไ้ ม่สามารถเรียนในห้องเรียนไดต้ ามปกติ จึงต้อง มีการเปลี่ยนการเรียนการสอนจากในห้องเรียนเป็นการเรียนออนไลน์แบบสมบูรณ์แทน ซึ่งผู้เรียนเรียนรู้
32 ด้วยตนเอง เป็นการเรียนอีเลิร์นนิงที่ทดแทนการสอนปกติ และเป็นการเรียนจากผู้สอน โดยเรียนผ่าน เนื้อหา สื่อการเรียน เครื่องมือสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต และประเมินผลการเรียนในระบบออนไลน์ โดย ผู้สอนเป็นผู้กำหนดกิจกรรมตามระยะเวลา เหมือนการสอนในระบบชั้นเรียน ต่างกันตรงที่ผู้สอนและ ผู้เรียนไม่ได้เผชิญหน้ากัน ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดในการ เรยี นออนไลน์ของนิสิตพยาบาลในครง้ั นี้ 5. งานวิจยั ท่ีเกีย่ วขอ้ ง 5.1 งานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั ระดบั ความเครียดจากการเรยี นของนกั ศกึ ษา นิธิพันธ์ บุญเพิ่ม (2553) ได้ศึกษาความเครียดและการจัดการความเครียดของนักศึกษา วิทยาลัยการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบรุ พี บว่าสาขาวิชาทีก่ ลุ่มตัวอย่างศึกษา อยู่เป็นปัจจยั ที่มีความสัมพันธก์ ับวิธีการจัดการความเครยี ดของนักศึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนไทยดา้ น การปรับความคิดโดยการยอมรับความจริงเป็นการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นและพยา ยามมองหาเหตุผลมา อธิบายในเชิงบวกจึงน่าจะช่วยบรรเทาหรือลดความเครียดที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากเป็นการพยายามมองหา สิ่งที่เกิดข้ึนในแง่บวกและมีการทำใจยอมรับความจริง โดยพบว่ากกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาอยู่ในสาขา การแพทย์แผนไทยประยุกตจ์ ะมวี ิธีการจัดการความเครยี ดดว้ ยการปรับความคิดโดยการยอมรับความจริง สงู กว่ากลมุ่ ตัวอย่างท่ศี กึ ษาในสาขาสขุ ภาพความงามและสปาไทย โดยกลุ่มตัวอยา่ งจะปฏิบัตบิ ่อยคร้ังหรือ ทุครั้งที่เกิดความเรียดซึ่ง สอดคล้องกับกฤตินี ตรงสิทธิรักษ์ (2546) ซึ่งศึกษาการปรับตัวของนิสิตระดับ ปริญญาตรี มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ปีการศึกษา 2545 พบว่านิสิตที่มีกลุม่ สาขาวิชา ที่แตกต่างกัน มีการปรับตัวแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และการศึกษาของกริซ สืบ สนธิ์ (2546) ซึ่งพบว่านักศึกษามีการจัดการความเครียดของ มานพ ชูนิล และคณะ (2550) ซ่ึง เปรียบเทียบความเครียดของนักศึกษาจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ เพศ ชั้นปี คณะ ระดับ เกรดเฉลี่ย ภูมิลำเนา การทำงานพร้อมกับการเรียนและสถานภาพสมรส พบว่า นักศึกษาที่มีปัจจัยส่วน บุคคลดังกล่าวแตกต่างกนั มคี วามเครียดไมแ่ ตกต่างกัน เอกพจน์ สบื ญาติ (2558, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาความสัมพนั ธร์ ะหว่างความเครียดและการปรับตัว ของนกั ศกึ ษาพยาบาลช้ันปที ่ี 1 วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี กลมุ่ ตวั อย่าง คือ นักศกึ ษาพยาบาล ชั้นปีที่ 1 ของวิทยาลัย จำนวน 120 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามเรื่อง “ความเครียด” และ “การปรับตัว” ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น .82 และ.91 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ การแจกแจงความถี่ การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธ์ิ สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
33 ชลบุรมี คี วามเครียดอยู่ในระดบั ปานกลาง มีการปรับตวั โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก และเมือ่ พจิ ารณาราย ด้าน พบว่า นักศึกษาพยาบาลมีการปรับตัวด้านการเรียน ด้านผู้สอน ด้านกลุ่มเพื่อน ด้านกิจกรรมอยู่ใน ระดับมาก ส่วนด้านสภาพแวดล้อมมีการปรับตัวอยู่ในระดับปานกลางความสัมพันธ์ระหว่างความเครียด และการปรับตวั ของนักศึกษาพยาบาลชั้นปที ่ี 1 วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี พบว่า ความเครียด มีความสัมพนั ธท์ างบวกกบั การปรบั ตวั อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุ ยิ า ยอดทอง, นันทยา เสนีย์ และจิรานุวฒั น์ ชาญสงู เนิน (2560) ไดศ้ กึ ษาความเครยี ดตอ่ การ เผชิญความเครียดของนักศึกษาพยาบาล ในการขึ้นฝึกปฏิบัติงานบนหอผู้ปว่ ย รายวชิ าปฏิบตั หิ ลักการและ เทคนิคการพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ตรัง โดยศึกษาในกลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 82 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น แบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น 0.83 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ระดับความเครียดของนักศึกษา พยาบาล ชั้นปีท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 ในการขึ้นฝึกปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วย รายวิชาปฏิบัติหลักการและ เทคนิคการพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ตรัง มีระดับความเครียดโดยรวมอยู่ในระดับปาน กลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 66.32 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 14.746 (Mean = 66.32, SD= 14.746) ในส่วนของการเผชิญความเครียด พบว่า ระดับพฤติกรรมการเผชิญความเครียดของนักศึกษา พยาบาล ในภาพรวมอยใู่ นระดบั มากมคี า่ เฉล่ยี เทา่ กบั 3.38 มีสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั .55 (Mean= 3.38, SD = .55) และในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างระดับความเครียดกับวิธีการเผชิญความเครียด พบว่า ระดับความเครียดโดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเผชิญความเครียดโดยรวม อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ (r= .640, p < .01) ระดับความเครียดโดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเผชิญ ความเครียดด้านมุง่ เน้นแก้ปัญหาและการเผชญิ ความเครียดด้านมุ่งเน้นอารมณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิ (r= .250, p < .05 และ r= .791, p < .01 ตามลำดบั ) 5.2 งานวิจัยท่เี กยี่ วขอ้ งกับปัจจยั ท่ที ำใหเ้ กิดความเครียดจากการเรยี น นพมาส เครือสุวรรณ, วัชรินทร สว่างศรี และธนพล พรหมเมือง (2559) ได้ศึกษาปัจจัยที่มีผล ต่อระดับความเครียดของนักศึกษาหลักสูตร สาธารณสุขศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาเวชระเบียน วิทยาลัย เทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก อำเภอไทร จังหวัดนนทบุรี ประชากรที่ใช้ใน การศึกษา ได้แก่ นักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา เวชระเบียน ชั้นปีที่ 1 – ชั้นปี ที่ 4 วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก จำนวน 145 คน เครื่องมือที่ใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูลแบ่งออกเป็น 3 ตอน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม แบบประเมิน ความเครียด ของกรมสุขภาพจติ และแบบสอบถามปัจจัยสิ่งแวดล้อม มคี ่าความเช่ือมน่ั ของแบบสอบถาม
34 ทั้งฉบับ เท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การ ถดถอยพหุคูณ Multiple Regression Analysis เพื่อหาปัจจัยที่มคี วามสัมพันธ์กับระดับความเครียดของ นักศึกษา ผลการวิจัยพบว่า 1.) ระดับความเครียดของนักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเวช ระเบียน นักศึกษาส่วนใหญ่มีความเครียดอยู่ในระดับสูง จำนวน 76 คน คิดเป็นร้อย ล ะ 52. 41 รองลงมา มีคว ามเครี ยด อยู่ในระดั บรุ นแ รง จ ำนว น 41 คน คิดเป็น ร ้ อ ย ละ 28.28 ตามลำดับ 2.) ปัจจัยส่วนบุคคลที่มผี ลต่อระดบั ความเครียด ของนักศึกษาหลักสูตรสาธารณสขุ ศาสตร์บณั ฑติ สาขาวชิ าเวชระเบียน อย่างมีนยั สาํ คญั ทางสถิติท่รี ะดับ 0.05 ไดแ้ ก่ ปัญหาสุขภาพ และช้ัน ปีที่ศึกษา สามารถอธิบายความแปรผันของระดับความเครียดของนักศึกษาหลักสูตร สาธารณสุขศาสตร์ บณั ฑติ สาขาวชิ าเวชระเบียนไดร้ ้อยละ 16.20 ทัศนา ทวีคูณ, พัชรินทร์ นินทจันทร์ และโสภิณ แสงอ่อน (2562, บทคัดย่อ) การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายความเครียดของนักศึกษา พยาบาล ศาสตร์มหาบัณฑิต กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในหลักสูตรพยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จำนวน 161 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม ข้อมูลส่วนบคุ คล แบบสอบถามความแข็งแกร่งในชวี ิต แบบสอบถามเหตกุ ารณ์ท่สี ร้างความ ยุ่งยากใจ และแบบวัด ความเครียดสำหรับคนไทย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย สัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ความแข็งแกร่งในชีวิตมี ความสมั พนั ธ์ทางลบกับความเครียด (r=-0.33) สิริทรัพย์ สีหะวงษ์ และคณะ (2561) ได้ศึกษา ปัจจัยที่มีผลต่อความเครียดของนักศึกษาคณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ผลการศึกษาปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียดในนักศึกษา พยาบาล พบวา่ ปจั จยั ท่ีทำให้เกดิ ความเครยี ดในนักศกึ ษา คอื ปัจจยั ดา้ นลกั ษณะส่วนบุคคล ค่า r =-0.39 (เป็นผู้ที่มีอุปนิสัยหงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย ไม่ชอบให้ใครขัดใจ มีปัญหาเรื่องของการปรับตัวกับสถานที่ ใหม่ ๆ และการสร้างสัมพันธภาพกับคนใหม่ ๆ มีความสามารถในการเผชิญปัญหาน้อย มักจะเก็บปัญหา ไว้กับตัวเองคนเดยี วไม่ชอบปรึกษาใคร มีโรคประจำตัวทีเ่ ป็นอุปสรรคต่อการเรียน) ปัจจัยด้านการเรียน r =-0.26 (เรียนไม่เขา้ ใจ ไม่ทันเพื่อน มีความท้อแท้รู้สึกหมดกำลังใจในการเรียน และวิตกกังวลเกี่ยวกบั ผล การเรียน ไม่ได้รับเอกสารการสอน/ตำรา/คู่มือ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเรียน ห้องเรียน/ ห้องปฏิบัติการ ไม่มีความพร้อมและไม่เพียงพอต่อการเรียน ขาดการเตรียมความพร้อมก่อนการขึ้นฝึก ปฏิบัติงานทางการพยาบาล และรู้สึกวติ กกังวล ในการขึ้นฝึกปฏิบัตงิ านทางการพยาบาล) ปัจจัยด้านการ ทำกิจกรรม ค่า r = -0.22 (คณะและมหาวิทยาลัยมีตารางการทำกิจกรรม ที่มากเกิน ทำให้ไม่มีเวลา
35 ส่วนตัวและเป็นอุปสรรคต่อการเรียนและการฝึกปฏิบัติงาน) ปัจจัยด้านสัมพันธภาพ ค่า r =-0.17 (มี สัมพันธภาพที่ไม่ราบรื่นและเกิดความรู้สกึ ในทางลบ ต่อเพื่อน/รุ่นพี่/อาจารย์ทำให้รู้สกึ ไม่ไว้วางใจ และมี สมั พันธภาพในครอบครวั ไม่ดีขาดการส่ือสารท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพในครอบครัวและขาดการทำกิจกรรมร่วมกัน ในครอบครัว) ปัจจัยด้านความคาดหวัง ค่า r =-0.34 (ครอบครัวมีความคาดหวังให้เรียนพยาบาล และ คาดหวังผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูง อาจารย์มีความคาดหวังต่อตัวนักศึกษาในการเรียนมากเกิน ทำให้ รู้สกึ กดดนั ) ธิดารัตน์ พานชูวงศ์ (2553) ได้ศึกษาเกี่ยวกับ การรับรู้ความเหนื่อยล้า การประเมินความ เหนื่อยล้า และการตอบสนองต่อความเหนื่อยล้าของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2550 วิทยาลัยพยาบาลกาชาดไทย ที่ขึ้นฝึกปฏิบัติการพยาบาลพื้นฐาน จากการผลการศึกษาพบว่า สาเหตุของ ความเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ในส่วนของปัจจัยภายในตัวนักศึกษา สามารถอธิบายได้ว่า เนอ่ื งจากการฝึกปฏิบัติการพยาบาลพื้นฐาน นอกจากนักศกึ ษาจะต้องเรียนรู้วธิ ีการปฏิบตั ิการพยาบาลแก่ ผู้รับบริการแล้วนักศึกษาพยาบาลยังต้องเรียนรู้ความเป็นวิชาชีพการพยาบาลที่ต้องปฏิบัติโดยตรงต่อ ผู้รบั บรกิ าร การให้บรกิ ารนั้นจำเป็นต้องวางแผนการพยาบาลอยา่ งเปน็ ระบบและปฏิบัติการพยาบาลด้วย ความรอบคอบ ต้องทำงานที่เร่งรีบแข่งกับเวลาเป็นงานที่จะต้องอาศัยความจำสติปัญญา ความ กระตือรือรน้ และความต่นื ตวั ในการทำงานทีค่ ่อนข้างสงู ซึง่ เป็นงานทีก่ ่อให้เกิดความเครียดสูง นภัสกร ขันธควร (2558) ได้ศึกษาเกี่ยวกับ ความเครียดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเครียด ของนิสิตชั้นปีที่ 1 ระดับปริญญาตรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากการตอบแบบสอบถามเรื่องแหล่ง ความเครียดของนิสิตชั้นปีที่ 1 จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย พบว่าการไม่มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ (ร้อยละ 50), การที่ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้อย่างชัดเจน (ร้อยละ 30.6) เป็นแหล่งความเครียดที่สำคัญ ของนิสิตช้ันปที ่ี 1 พัชรา สิริวัฒนเกตุ, ธนรัช สุขกาย และ ประวิทย์ ทองไชย (2559) ได้ศึกษาเกี่ยวกับ ปัจจัยท่ี ส่งผลต่อพฤติกรรมการกินตามอารมณ์ของเด็กวัยรุ่น จากการศึกษาพบวา่ ปัจจัยทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับพฤติกรรม การกินตามอารมณ์ ได้แก่ ปัจจัยด้านอารมณ์ทางลบ เช่น กลัว เศร้า เครียด โกรธ เป็นต้น โดยวัยรุ่นจะ ระบายอารมณ์ด้วยการกิน นอกจากนั้นยังมีพฤติกรรมเสี่ยง คือ ดื่มน้ำอัดลม ขนมหวาน และอาหารจาน ด่วน ซึ่งสอดคล้องกับหลายผลการ พบว่า ความเครียดมีผลต่อพฤติกรรมการกิน เช่น การศึกษาของ Laitinen, EEK and Sovio ท่ีศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดต่อพฤติกรรมการดื่ม และการ คาดการณ์ดัชนีมวลกาย ในภาคเหนือของประเทศฟนิ แลนด์ กลุ่มตัวอย่างมักควบคุมความเครียดด้วยการ ดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้หญิง ควบคุมความเครียดโดยการกินไส้กรอก แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ช็อกโกแลต และมีการควบคุมความเครียดโดยการใช้แอลกอฮอล์มากขึ้น และการศึกษาการกินของผู้ที่มี
36 น้ำหนักปกติ น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ และน้ำหนักเกิน โดยคิดว่า อารมณ์และสถานการณ์ จะมีผลต่อการ บริโภคอาหารบุคคลท่ีน้ำหนักน้อยจะกินน้อยลง และบุคคลที่มีน้ำหนักเกินจะกินมากขึ้น ในช่วงที่อารมณ์ เป็นลบ อาซาน ตนย่าหมัด (2556) ศึกษาเกี่ยวกับ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดและวิธีการจัดการ ความเครียดของนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่กำลัง ศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่อยู่หอพักประจำในโรงเรียนจำนวน 397 คน พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อ ความเครียดด้านความวิตกกังวลโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (µ=3.23) โดยสรุปได้ว่า นักเรียนมี ความกังวลเมื่อครูถามในเวลาเรียน เมื่อเกิดปัญหา ขาดความมั่นใจในการทำข้อสอ และพบว่าปัจจัยท่ี สง่ ผลต่อความเครียดด้านความคบั ขอ้ งใจอย่ใู นระดบั สูง (µ=3.56) หงส์ศิริ ภิยโยดิลกชัย, อรุณวรรณ กัมภูสิริพงษ์, มยุรี สวัสดิ์เมือง และทัศนี จันทรภาส (2558) ไดศ้ กึ ษาเก่ียวกบั ความเครียด และการแก้ปัญหาความเครียดของนักศึกษาสาขาวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศ ทางธรุ กิจ มหาวทิ ยาเทคโนโลยรี าชมงคลรัตนโกสินทร์ บพติ รพิมขุ พบว่า ด้านบคุ ลิกภาพสว่ นตัว สาเหตุท่ี ทำให้เกิดความเครียดของนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลรตั นโกสินทร์ พื้นทบี่ พิตรพมิ ุขจักรวรรดิ โดยรวมอยใู่ นระดับนอ้ ย (������̅ = 2.00) เม่อื พจิ ารณาเปน็ ราย ข้อ พบว่า สาเหตุที่ก่อให้เกิดความเครียดของนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ อยู่ใน ระดบั นอ้ ย คือ ขาดความมน่ั ใจในตนเอง (������̅ = 2.40) ธิดา ครูแก้ว, ดาราภร โชติพณิช, พรรณปพร ดิษบรรจง, ภิญญ์นารี วงศ์อนันต์ และอนุชา บู ราณ (2560) โดยศึกษาเกี่ยวกบั ความสัมพันธ์ระหวา่ งการออกกำลังกายแบบแอโรบิค โรคประจำตัวและ รายได้ต่อเดือนกับความเครียดระดับรุนแรง จากงานวิจัยพบว่ากลุ่มนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 4 และ 5 มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ที่เป็นกลมุ่ ตัวอยา่ งตอบแบบสอบถามทั้งส้นิ 150 คน มคี วามชุกของกลุ่มที่ มีความเครียดระดับรุนแรงร้อยละ 10.7 และการมีโรคประจำตัวสัมพันธ์กับความเครียดระดับรุนแรงท่ี เพิ่มขึ้น พบว่า ส่วนใหญ่มีโรคประจำตวั เปน็ โรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ทำให้รบกวนการดำเนินชวี ิต ลดประสทิ ธภิ าพการทำงาน และทำให้เกิดความเครียดการมโี รคประจำตวั ส่งผลระยะยาวต่อร่างกายและ จิตใจ
6. กรอบแนวคิด 37 ตัวแปรตาม ตวั แปรต้น ความเครยี ด - เพศ - อายุ - ชัน้ ปี - สิง่ แวดล้อมในการเรียนออนไลน์ - การสนบั สนุนทางสงั คม ภาพ 1 กรอบแนวคิด
38 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนนิ งานวิจยั การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยสหสัมพันธ์ (Correlation Research) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดในการเรียนออนไลน์ของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึง่ มวี ิธกี ารดำเนนิ การวจิ ยั ดงั น้ี ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง ประชากร ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นิสิตพยาบาลชั้นปีที่ 3 และ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัย นเรศวร ชัน้ ปที ่ี 3 จำนวน 117 คน ชั้นปีที่ 4 จำนวน 125 คน ทั้งหมดจำนวน 242 คน กล่มุ ตัวอย่าง คือ นสิ ติ พยาบาลชน้ั ปที ี่ 3 และ ชนั้ ปที ี่ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร จำนวน 181 คน กำหนดกฎเกณฑ์คดั เขา้ และคัดออก ดังน้ี เกณฑค์ ัดเข้า 1. มีอายุ 20 ปบี ริบูรณข์ ้นึ ไป 2. เป็นนิสิตชน้ั ปีท่ี 3 และชนั้ ปีท่ี 4 ปกี ารศกึ ษา 2563 ที่มีประสบการในการเรียนออนไลน์แบบ สมบูรณ์ ในภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562 3. เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ไม่มีความบกพร่องทางการได้ยิน สามารถอ่านเขียน ภาษาไทยได้ 4. ยินดใี หค้ วามร่วมมอื ในการทำวจิ ยั ครั้งนี้ เกณฑค์ ดั ออก 1. ต้องการยกเลิกการเข้าร่วมวิจยั ระหวา่ งดำเนินการ 2. มภี าวะเจ็บป่วยกะทนั หนั ไมส่ ามารถให้ขอ้ มลู ได้ 3. ลาออกหรือมกี ารย้ายออกจากพ้นื ที่การวิจัยในระหวา่ งดำเนินการวิจัย
39 การกำหนดขนาดของกลุ่มตวั อยา่ ง ผู้วิจัยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอยา่ งในการวิจัย โดยใช้สตู รของทาโร่ ยามาเน่ (Yamane, 1973 อ้างถึงใน บุญใจ ศรีสถิตนรากูร, 2553) กำหนดระดับความคาดเคลื่อนเท่ากับ .05 มีวิธีการคำนวณกลุ่ม ตัวอยา่ ง ดังน้ี n = ������ 1+������������2 เม่ือ n = จำนวนกลมุ่ ตัวอย่าง e = ความคลาดเคลอื่ นของการสุ่มตวั อยา่ ง N = ขนาดของประชากร (242) ไดข้ นาดกลุ่มตวั อย่างทัง้ หมด n = 242 1+242(0.05)2 = 150.78 ดังนั้น ในการศึกษาครั้งนี้จะได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างของนิสิตพยาบาล มหาวิทยาลัยนเรศวร จำนวน 151 คน และเพื่อป้องกันการสูญหายของกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยจึงคำนวณจำนวนกลุ่มตัวอย่าง เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 (พรรณี ปิติสุทธิธรรม และ ชยันต์ พิเชียรสุนทร, 2554) ได้กลุ่มตัวอย่างเพิ่มขึ้นมา 30 คน ไดข้ นาดกลมุ่ ตัวอยา่ งท้ังสน้ิ 181 คน การได้มาซง่ึ กลมุ่ ตวั อย่าง 1. คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสัดส่วนประชากรในแต่ละชั้นปี โดยใช้วิธีการกำหนดขนาด กลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) โดยคำนวณขนาดตัวอย่างตามสัดส่วน ประชากรของแตล่ ะชน้ั (บุญใจ ศรีสถิตนรากรู , 2553 หน้า 193) ขนาดตัวอยา่ ง = n1 = ขนาดตวั อย่างของแตล่ ะชัน้ n = ขนาดตวั อยา่ งของงานวจิ ยั N = ขนาดประชากร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128