Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวทางการช่วยเหลืองานตำรวจของประชาชน

แนวทางการช่วยเหลืองานตำรวจของประชาชน

Published by tach125689, 2022-05-12 06:08:22

Description: งานวิจัย ของ ร.ต.ต.ธัชพงศ์ เรียนสุด.docx

Keywords: แนวทางการช่วยเหลืองานตำรวจของประชาชน

Search

Read the Text Version

1 บทท่ี 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เป็นหน้าท่ีของภาครัฐท่ีจะต้องสร้างความ มั่นใจให้กับประชาชน เช่น อาชญากรรม อุบัติเหตุทางด้านจราจร การรักษาความปลอดภัย การ อำนวยความสะดวก ความยุติธรรมทางอาญา สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่โดยตรงท่ีจะต้องดูแล ปัญหาต่าง ๆเหล่าน้ี โดยให้ประชาชนเช่ือมั่น รู้สึกถึงความปลอดภัยในการดำรงชีวิต แต่สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติยงั ขาดกำลังพลในการปฏิบัติหน้าท่ีซ่ึงไม่เพียงพอกับจำนวนของประชาชนทั้งหมดของ ประเทศ และปัญหาต่าง ๆจึงเกิดขึ้นมากตามจำนวนคน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้มีนโยบายให้ ประชาชนในชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วม เข้ามามีส่วนช่วยส่วนเหลือ ในการป้องกันอาชญากรรม และ ส่วนอื่น ๆ ตามหน้าที่งานของตำรวจ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งเสริมให้ท้องถิ่นและชุมชน มี ส่วนร่วม ช่วยเหลือในกิจการตำรวจเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา รักษา ความสงบเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยของประชาชนตามความเหมาะสม และความต้องการ ของแต่ละพ้ื นที่ ท้ังนี้การดำเนินการมีส่วนร่วมให้ เป็นไปตามหลักเกณ ฑ์ และวิธีการท่ี คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) กำหนด (มาตรา 7 พระราชบัญญัติ ตำรวจแห่งชาติ มาตรา 7 มีบทบัญญัติดังน้ี ใหสำนักงานตำรวจแหงชาติสงเสริมให ท้องถ่ินและชุมชน มีสวนร่วมใน กิจการตำรวจเพ่ือปองกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา รักษาความสงบเรียบร้อย และรักษาความปลอดภัยของประชาชนตามความเหมาะสม และความต้องการของแตละพื้นท่ี ท้ังนี้ การดำเนินการมสี วนร่วมใหเป็นไปตามหลกั เกณฑ์และวธิ ีการที่ คณะกรรมการนโยบายตำรวจแหง่ ชาติ (ก.ต.ช.) กำหนด สถานีตำรวจภูธรสวี เป็นหน่วยงานหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซ่ึงตามอัตรากำลังท่ีจะมี ไว้เพื่อปฏิบัติหน้าท่ีทั้งหมด 116 นาย แต่ปัจจุบันมีผู้ปฏิบัติหน้าท่ีในตำแหน่งเพียง 85 นาย ยังขาด กำลังพล 31 นาย (จากข้อมูลอัตรากำลังของ สภ.สวี ปี 2563 ) ซึ่งประกอบด้วย ผู้กำกับการ รองผู้ กำกับการ สารวัตร รองสารวัตร และข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ซ่ึงกำลังพลที่ขาดทั้งหมดน้ียากที่ จะหาหรือรอการแต่งต้ังจากภาครัฐ จึงทำให้การจัดกำลังของเจ้าหน้าท่ีตำรวจ จะต้องออกไปปฏิบัติ หน้าท่ีไม่เพียงพอ จึงได้มีโครงการจัดอบรมประชาชนท่ีมีจิตอาสาที่จะเข้ามาช่วยเหลืองานตำรวจข้ึน โดยให้แต่ละตำบลจัดหาประชาชนที่จิตอาสาเพ่ือมาช่วยเหลืองานตำรวจ ตำบลละ 10 นาย เพื่อนำ พวกเขาเหล่านั้นเข้ามารับการอบรม ให้มีความรู้ด้านต่าง ๆ ทุกด้าน เพื่อออกปฏิบัติหน้าที่ควบคู่กับ เจา้ หน้าท่ตี ำรวจ หรอื หากในกรณีทสี่ ามารถดำเนินการช่วยเหลืองานตำรวจได้ โดยลำพงั โดยไม่ขัดต่อ ข้อกฎหมาย ผู้ท่ีได้รับการอบรมเหล่านั้นก็สามารถทำได้โดยลำพัง สถานีตำรวจภูธรสวี มีพ้ืนที่ รับผิดชอบท้ังหมด 8 ตำบล ฉะนั้น จึงได้ประชาชนอาสามาท้ังหมด 60 นาย (เรียกว่าตำรวจชุมชน) เพื่อท่ีจะเข้าอบรม ช่วยเหลืองานของตำรวจ ซึ่งหากคิดจากจำนวนตัวเลขท่ีสถานีตำรวจภูธรสวีขาด กำลังพลแล้วก็น่าจะเพียงพอ แต่ด้วยข้อจำกัดของกฎหมาย งบประมาณ และความรู้ความเข้าใจของ ประชาชนที่เข้ามาอบรมก็ยังขาดความสามารถและประสิทธิภาพในการทำงาน บางครั้งการทำงาน

2 ของภ าคป ระชาชนที่ เข้าม าช่วยเห ลืองานต ำรวจจึงมี การกระทบ กระท่ั งกับ ป ระชาชน ใน พ้ื น ท่ี ประชาชนที่กระทำความผิดกฎหมายไม่พอใจ หากตำรวจชุมชนเข้าไปร่วมจับกุมด้วย โดยประชาชน จะไม่คิดว่าพวกเขาเหล่านี้เข้ามาเพื่อที่จะช่วยงานตำรวจ เพื่อความปลอดภยั ในชีวิตและทรัพย์สนิ ของ ประชาชน ปัจจุบนั ปัญหาเหลา่ น้ีก็ยังเป็นปัญหากับประชาชนที่อาสาเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ งานของตำรวจ เพราะประชาชนในพื้นที่ไม่ยอมรับ อาจจะเป็นเพราะบุคลิก ความรู้ ความสามารถ หรือการประพฤติปฏบิ ตั ิของประชาชนทอ่ี าสามาช่วยงานตำรวจ ในส่วนของเจ้าหน้าที่กู้ภัย สถานีตำรวจภูธรสวี จะมีหน่วยกู้ภัยของเอกชน จะเข้ามาช่วยเหลือ งานตำรวจเกือบทุกครั้ง ท้ังที่เกี่ยวเรื่อง ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้านอำนวยความ สะดวกด้านงานจราจร ดา้ นงานยาเสพตดิ และด้านอำนวยความยตุ ิธรรมนทางอาญา อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดปัญหา อุปสรรคต่าง ๆมากมาย แต่สถานีตำรวจภูธรสวี ก็ยังมีความ ต้องการประชาชนที่มีจิตอาสาท่ีจะเข้ามาชว่ ยเหลืองานของตำรวจทั้งในด้านการจราจร การช่วยเหลือ ประชาชนในช่วงเทศกาลต่าง ๆ เช่นเทศกาลปีใหม่ เทศกาลสงกรานต์ การอำนวยการด้านงานจราจร ในงานบวช งานมงคลสมรส หรือในงานพระราชพิธีต่าง ๆ เพ่ือไม่ให้เกิดปัญหาด้านจราจร และงาน ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินตลอดจนงานต่าง ๆ ในหน้าท่ีของตำรวจ จากการประชุม ประจำเดือนของ สถานีตำรวจภูธรสวี ผู้บังคับบัญชา ผู้กำกับการสถานีตำรวจ ได้ให้ฝ่ายอำนวยการ ด้านงานป้องกันปราบปราม ให้จัดโครงการฝึกอบรมประชาชนที่จะมาช่วยเหลืองานตำรวจ(จาก รายงานการประชมุ ประจำเดือน มกราคม 2563 ) โดยความช่วยเหลือของภาคเอกชนในการชว่ ยเหลือ ดา้ นงบประมาณในการจดั ฝกึ อบรม อาจกล่าวได้ว่า การมีส่วนร่วมในการช่วยเหลืองานตำรวจของประชาชนท่ีมีจิตอาสาท่ีจะเข้ามา ช่วยเหลืองานตำรวจ อาจจะมีปัญหามากมาย เนื่องจากประชาชนท่ีเขามามีส่วนร่วมและช่วยเหลือ งานตำรวจ จะต้องทำงานประกอบอาชีพของตัวเองเพื่อค่าใช้จ่ายในครอบครัว และยังต้องสละงาน ของตนมาช่วยงานส่วนรวม อันนี้ถือว่าน่าท่ีจะได้รับการยกย่องจากสังคม และนอกจากประชาชนท่ี กล่าวมาข้างต้นแล้ว ประชาชนท่ัวไปก็สามารถที่จะช่วยเหลืองานของตำรวจได้ โดยวิธีการต่าง ๆ อีก มากมาย การทำงานจงึ จะบรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์ ดงั นนั้ จากความเปน็ มาและสภาพปัญหาดังท่ีกลา่ วมาแล้วข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาวิจัย ถึง เร่ือง “แนวทางการช่วยเหลืองานตำรวจของประชาชน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร” เพ่ือเป็น องค์ความรู้เก่ียวกับความต้องการของประชาชน และวิธีการท่ีประชาชนจะมาช่วยเหลืองานตำรวจได้ รวมท้ังเป็นข้อมูลสำหรับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หรือหน่วยงานที่เก่ียวข้อง ในการกำหนด นโยบาย และตอบสนองความต้องการของประชาชน เพ่ือท่ีจะนำไปสู่การปฏิบัติท่ีดีและเป็น ประโยชนส์ งู สดุ กบั ประชาชน คำถามการวิจัย 1. สภาพปญั หาการช่วยเหลอื งานตำรวจของประชาชน อำเภอสวี จังหวดั ชมุ พร เป็นอย่างไร 2. แนวทางการช่วยเหลืองานตำรวจของประชาชน อำเภอสวี จังหวัดชมุ พร ควรเป็นอยา่ งไร วตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจัย 1. เพอ่ื ศกึ ษาสภาพปญั หาการช่วยเหลืองานตำรวจของประชาชน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร

3 2. เพ่อื นำเสนอแนวทางการช่วยเหลอื งานตำรวจของประชาชน อำเภอสวี จงั หวัดชุมพร ขอบเขตของการวจิ ยั 1. ขอบเขตเนื้อหา แนวทางการช่วยเหลืองานตำรวจของประชาชน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร มีขอบเขตเน้ือหา 3 ด้าน คอื 1.1 ด้านป้องกันปราบปราม 1.2 ดา้ นสบื สวน 1.3 ดา้ นสอบสวน 2. ขอบเขตด้านประชากร ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ(Key Informants) โดยเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก(In-depth Interview) จำนวน 17 คน ไดแ้ ก่ 2.1 ข้าราชการตำรวจของสถานตี ำรวจภูธรสวี จังหวัดชุมพร จำนวน 5 คน 2.2 ผูน้ ำชมุ ชนในเขตอำเภอสวี จงั หวดั ชมุ พร จำนวน 4 คน 2.3 ประชาชนท่ีมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตอำเภอสวี จังหวัดชุมพร ต้ังแต่อายุ 20 ปี บรบิ ูรณข์ น้ึ ไป จำนวน 4 คน 2.4 อาสาสมัครตำรวจ สถานตี ำรวจภูธรสวี จงั หวัดชมุ พร จำนวน 2 คน 2.5 กู้ภัยสวี อำเภอสวี จงั หวัดชุมพร จำนวน 2 คน 3. ขอบเขตสถานท่ี การวิจัยคร้ังน้ีมีขอบเขตด้านสถานที่ คือ พ้ืนที่ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานี ตำรวจภูธรสวี อำเภอสวี จงั หวัดชุมพร ซึ่งประกอบด้วย 8 ตำบล 75 หมู่บ้าน ตามประกาศสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ เรือ่ ง การกำหนดหน่วยงานและเขตอำนาจรับผิดชอบ หรือเขตพื้นท่ีการปกครองของ ส่วนราชการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาค 1 ถึง 9 : รายช่ือสถานี ตำรวจภูธรและเขตอำนาจความรับผิดชอบหรือเขตพื้นท่ีการปกครอง ในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัด ระนอง ตำรวจภูธรภาค 8 (ราชกิจจานุเบกษา. ลง 26 ก.ย. 2550 เล่มท่ี 124 ตอนพิเศษ 139 ง หน้า 1, 201 ) อันได้แก่ 1. ตำบลสวี 2. ตำบลด่านสวี 3. ตำบลทุ่งระยะ 4. ตำบลครน 5.ตำบลท่าหิน 6. ตำบลวสิ ยั ใต้ 7. ตำบลปากแพรก 8. ตำบลนาโพธ์ิ 4. ขอบเขตดา้ นเวลา ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการทำวิจยั ต้ังแตเ่ ดอื น มถิ นุ ายน ถึง เดอื นสงิ หาคม รวมระยะเวลา 3 เดือน ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะได้รบั 1. ทำใหท้ ราบถงึ สภาพปัญหาการช่วยเหลอื งานตำรวจของประชาชน อำเภอสวี จงั หวัดชุมพร 2. ทำให้ทราบถึงการนำเสนอไปแกไ้ ขแนวทางการช่วยเหลืองานตำรวจของประชาชน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร

4 3. เพ่ือนำผลการวิจัยไปปรับปรุงแก้ไข ออกนโยบาย โครงการต่างๆ ให้สอดคล้องกับผลวิจัย เพื่อให้แนวทางการช่วยเหลืองานตำรวจของประชาชน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร และหน่วยอื่น ที่มี ภารกิจหนา้ ท่แี ละสภาพทัว่ ๆไปใกลเ้ คียงกัน นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ สถานีตำรวจภูธรสวี จังหวัดชุมพร หมายถึง ส่วนราชการระดับพื้นท่ีของสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ การปกครองบังคับบัญชาถัดลงไปจากตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร และตำรวจภูธรภาค 8 มี ความรับผิดชอบด้านการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความมั่นคงภายใน บริการทาง สังคม ชุมชน มวลชนสัมพันธ์ การพัฒนางานบริหารและงานจเรตำรวจ การป้องกันปราบปราม อาชญากรรม และการรักษาความสงบเรยี บร้อย ซึ่งมีงานในความรับผิดชอบแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านป้องกันปราบปราม ด้านงานสืบสวน ด้านงานสอบสวน เพื่อสะดวกในการขับเคลื่อนยังแบ่งงาน ออกเป็น 5 งาน ด้วยกัน คือ 1) งานการบริการทั่วไป 2) งานการอำนวยความยุติธรรม 3) งานการ รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 4) งานการควบคุมและจัดการจราจร 5) งานการบริการ และพัฒนาบคุ ลากร แนวทางการช่วยเหลืองานตำรวจ หมายถึง งานตำรวจเป็นงานท่ีต้องปฏิบัติตามกฎหมาย การ ชว่ ยงานตำรวจ ตอ้ งมรี ูปแบบในการช่วยเหลือ ต้องดูด้วยว่า ผ้ชู ่วยเหลอื มอี ำนาจกระทำไดห้ รือไม่ เม่ือ ช่วยเหลือแล้วไม่ขัดต่อข้อกฎหมายและต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่อตัวผู้ช่วยเหลือด้วย เพราะงาน ส่วนใหญ่ของตำรวจส่วนมากจะมีคู่กรณี การช่วยเหลืองานตำรวจต่างๆให้กับการปฏิบัติหน้าท่ีงาน ตำรวจให้มปี ระสทิ ธิภาพ สามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุด ซ่ึงแบ่งแนวทางการชว่ ยเหลือออกเป็น 3 ดา้ น ตามคำส่ังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่ี 537/2555 เร่ือง กำหนดอำนาจหน้าท่ีของตำแหน่งในสถานี ตำรวจ ลง วนั ที่ 27 กนั ยายน 2555) ดังนี้ คือ 1. ดา้ นการป้องกันปราบปรามหมายถึง ป้องกันและรักษาความปลอดภยั ในชีวิตและทรัพยส์ ิน ของประชาชน สถานท่ีสำคัญ และสืบสวนจบั กมุ ผู้ตอ้ งหา รับผิดชอบ 3 งาน คอื 1.1 งานอำนวยการ 1.2 งานปอ้ งกันปราบปราม 1.3 งานจราจร 2. ด้านงานสืบสวนหมายถึง การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลงั เกดิ เหตุ เพือ่ ทราบรายละเอียดและป้องกันมิให้มีการกระทำผดิ เกิดขนึ้ หรือจับกมุ ผูก้ ระทำผิด 3. ด้านงานสอบสวนหมายถึง การรวบรวมพยานหลักฐาน ในหน้าท่ีของตำรวจ เพ่ือให้การ สอบสวนเป็นไปตามกฎหมาย รวดเร็ว เป็นธรรม สามารถตรวจสอบได้

5 บทที่ 2 วรรณกรรมท่เี ก่ยี วขอ้ ง การศึกษาวิจยั เรอื่ ง “แนวทางการช่วยเหลืองานตำรวจของประชาชน อำเภอสวี จังหวัด ชุมพร” ผวู้ ิจยั ได้ศึกษาค้นคว้า และงานวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ งดังนี้ 1. อำนาจหนา้ ทีต่ ำรวจ 2. แนวคดิ เก่ียวกบั การชว่ ยเหลืองานตำรวจ 2.1 ดา้ นการปอ้ งกันปราบปราม 2.2 ดา้ นงานสบื สวน 2.3 ด้านงานสอบสวน 3. แนวคดิ ทฤษฎีเกีย่ วกับความพงึ พอใจ 4. แนวคิดและทฤษฎีที่เก่ียวกับการมีสว่ นร่วม 5. บริบทของพน้ื ท่ีที่ศกึ ษา 6. งานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ้ ง 7. กรอบแนวคดิ ของการวจิ ยั 1. อำนาจและหน้าท่ตี ำรวจ ในความหมายกว้างๆ ตำรวจนาจะหมายถึง เจาพนักงานผูที่กฎหมายใหมีอำนาจหนาที่รักษา ความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตำรวจจะตองคอยตรวจตราดูแลมิใหมีส่ิงหน่ึงส่ิงใดที่จะทำลาย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หากมีพฤติการณใด ซึ่งจะทำใหเกดิ ความกระทบกระเทือนถึงความ เปนปกติสุขของประชาชนแลว แม้ส่ิงน้ันจะเปนการผิดกฎหมายหรือไมก็ตาม ตำรวจจะตองเขาปอง กันเขาแกไขชวยเหลือขจัดส่ิงนั้นใหหมดไปหรือบรรเทาความเดือดรอนลง สิ่งที่กระทบกระเทือน ตอความสงบเรียบรอยท่ีเปนการผิดกฎหมายน้ัน ไดแก การกระทำใดที่ฝ่าฝนตอประมวลกฎหมาย อาญาหรือพระราชบัญญัติทมีโทษทางอาญาสำหรับส่ิงที่ไมผิดกฎหมายแตกระทบกระเทือนถึงความ สงบเรียบรอยของประชาชนนั้นไดแก ภยั พิบัติตางๆ ไมวาจะเปนวาตภยั อทุ กภัย หรืออัคคีภัยที่เกดิ ข้ึน เอง ตำรวจจะตองเขาชวยเหลือแกไขเหตกุ ารณ์ ใหเขาสูความเรียบรอยโดยเร็ว พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน (2530,น.343) ไดใหความหมายของ ตำรวจไววา เปนเจาหนาท่ีของรัฐมีหนาท่ีตรวจตรารักษาความสงบ จับกุมและปราบปรามผูกระทำผิด กฎหมาย เรียกชื่อตามหนาท่ีท่ีรับผิดชอบ เชน ตำรวจสันติบาล ตำรวจกองปราบ ตำรวจดับเพลิง ตำรวจน้ำ ตำรวจรถไฟ ตำรวจปาไม โดยตำรวจภูธรหมายถงึ ตำรวจผูมีหนาทร่ี ะงับเหตกุ ารณทาอาญา ภายนอกกรงุ เทพมหานคร นอกจากน้ีในประมวลระเบียบการตำรวจเก่ียวกับคดีไดใหความหมายวา ตำรวจ คือเจา พนักงานซ่ึงกฎหมายใหมีอำนาจและหนาท่ีตรวจตรารักษาความสงบเรียบรอยของประชาชน จึงอาจ กลาวไดวา ตำรวจ คือ เจาหนาที่ของรัฐซึ่งกฎหมายใหมีอำนาจและหนาท่ีรักษาความสงบเรียบรอย ของประชาชนนั่นเอง ค่มู ือการปฏบิ ตั งิ านของตำรวจสายตรวจ (2553, น. 1-7) ตำรวจ คือ เจ้าพนักงานซ่ึงกฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของ ประชาชน

6 อำนาจ คือ ความชอบท่จี ะทำได้ ทมี่ าของอำนาจ ได้แก่ บทบัญญตั ิของกฎหมาย จารีตประเพณี เป็นตน้ หนา้ ที่ คือ ภาระท่จี ะต้องกระทำ หนา้ ทม่ี าจากบทบัญญัติของกฎหมายและจารตี ประเพณี กจิ กรรมในการรักษาคามเรียบร้อย ได้แกก่ ารสืบสวน การสอบสวน การป้องกนั การปราบปราม และการให้บริการประชาชน ระดับของความเรียบร้อยน้ันก็คือ การไม่ละเมิดต่อบทบัญญัติของ กฎหมาย ประชาชนมีเสรีภาพในการกระทำได้ทุกอย่าง เว้นแต่ว่าจะมีกฎหมายบัญญัติไว้ห้ามทำ สำหรับ ตำรวจน้ัน การปฏิบัติหน้าท่ีในการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือการบังคับใช้กฎหมาย โดยหลักการ ตำรวจจะกระทำการใดอันเป็นการละเมิดต่อประสิทธิภาพของประชาชนไม่ได้ เว้นแต่ว่าจะมี บทบัญญัติของกฎหมายไว้และตำรวจจะต้องกระทำการไปตามเง่ือนไขของกฎหมายที่บัญญัติไว้ หลักฐานของการกระทำจะต้องเก็บบันทึกไว้เป็นข้อเท็จจริงและพัฒนาไปสู่การเป็นพยานหลักฐาน ต่อไป สายตรวจกับการสืบสวน ตำรวจสายตรวจมีอำนาจในการสืบสวนท่ัวราชอาณาจักร สายตรวจ ของสถานีตำรวจแห่งหน่ึงจะไม่ไปทำการสืบสวนคดีอาญาในอีกท้องที่หน่ึงก็ได้ โดยท่ีจะไม่เป็น ความผิดฐานเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าท่ีมิชอบ เพราะเป็นเรื่องของการมีอำนาจแต่ไม่มีหน้าที่ แต่สาย ตรวจท่ีกำลงั ตรวจอยใู่ นท้องท่ีสถานีตำรวจของคนปฏิบัติหน้าท่ีสถานตี ำรวจของตนกำลังปฏิบตั ิหน้าที่ ในการรักษาความสงบเรยี บร้อย จึงมหี นา้ ทใี่ นการสืบสวนคดอี าญาในท้องท่ขี องตนด้วย วิธีการสืบสวนแบ่งได้ 2 กรณี การสืบสวนท่ีเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน ซึ่งจะต้อง พิจารณาว่ามีบทบัญญัติกฎหมายให้กระทำได้หรือไม่ หากไม่มีบัญญัติกฎหมายไว้ก็กระทำไม่ได้ การ สืบสวนอีกประเภทหน่ึง คือการสืบสวนที่ไม่ได้ไปละเมิดสิทธ์ิเสรีภาพของผู้ใด กรณีเช่นนี้สายตรวจ สามารถทำได้ เชน่ การจอดรถสงั เกตการณ์ การเข้าไปพดู คุยกบั บุคคลตา่ งๆ การสืบสวนคือ การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน ซ่ึงตำรวจได้ปฏิบัติไปตามอำนาจและ หน้าท่ีเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ในส่วนนี้เรียกว่าการสืบสวนก่อนเกิดเหตุ และเพ่ือ ทราบรายละเอยี ดแห่งความผิดในสว่ นท่ีเปน็ การสืบสวนหลังเกดิ เหตุ ข้อเท็จจริงและหลักฐานที่ได้จากการสืบสวนก่อนเกิดเหตุให้นำส่งพนักงานสอบสวนทำการ สอบสวนข้อเท็จจริงและหลักฐานเหล่านี้จะเป็นพยานหลกั ฐานในสำเนาการสอบสวนทำการสอบสวน ของพนักงานสอบสวนต่อไปตำรวจสายตรวจในขณะทำหน้าที่สืบสวนจะต้องมีการทำบันทึกไว้เป็น หลกั ฐานดว้ ย สายตรวจกับการสอบสวน การสอบสวนคือ การรวบรวมพยานหลกั ฐานและการดำเนินการของ พนกั งานสอบสวน ซึง่ ทำไปเก่ียวกบั ความผดิ ท่ีกล่าวหา เพื่อท่ีทราบข้อเทจ็ จริงหรือพิสจู น์ความผดิ และ เพ่ือจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ ดังน้ันสายตรวจจึงไม่ใช่พนักงานสอบสวนแต่เป็นเจ้าหน้าที่ ผ้ทู ำการสืบสวนและอยใู่ นฐานะผู้ช่วยเหลอื พนักงานสอบสวน สายตรวจกับการป้องกนั อาชญากรรม หลักการปอ้ งกนั คือ 1. ป้องกันมใิ หอ้ าชญากรรมเกิดข้ึนในเขตพื้นที่รับผิดชอบ 2. หากมีเหตุเกิดข้ึนจะต้องไม่ก่อให้เกิดความรุนแรง ความรุนแรงเกิดได้จากการสูญเสียชีวิต บาดเจ็บ ความเสียต่อทรัพย์สิน กระทบกระเทือนต่อจิตใจของประชาชน กล่าวคือ จะต้องยับยั้งไม่ให้

7 เกิดความรุนแรงอันได้แก่ มาถึงที่เกิดเหตุในเวลาอันสัน้ มีความรู้ มียุทธวิธีในการยับยังไม่ให้เกิดความ รุนแรง 3. กระทำการมใิ ห้เกิดการลกุ ลามขยายวงของความเสียหายออกไป 4. สามารถแกไ้ ขสถานการณ์ได้ ควบคุมสถานการณ์ใหส้ ูค่ วามปกติได้ 5. สามารถเยยี วยาแกไ้ ขใหก้ ลบั มาสูส่ ภาพเดิม หรือใกลเ้ คียงกบั สภาพเดมิ หลักและและเทคนิคของการปอ้ งกนั ปราบปรามอาชญากรรม ได้แก่การแสดงตัว ปรากฏตวั การ ค้น การแสวงหาความร่วมมือของประชาชน การสร้างแหล่งข้อมูล การนำข้อมูลมาใช้ การวางแผน เปน็ ต้น สายตรวจกับการปราบปราม ในความหมายนี้ หมายถึง มีอาชญากรรมหรือมีเหตุเกิดข้ึนสาย ตรวจจะตอ้ งเปน็ ผู้ใช้อำนาจและหน้าท่ใี นการรักษาความสงบเรยี บร้อย อนั ได้แก่ การถามชื่อ (ป.อาญา ม.367) การออกคำสงั่ (ป.อาญา ม.368) ต่อสู้หรือขดั ขวางเจ้าพนักงานเปน็ ความผดิ (ป.อาญา ม.138) ข่มข่ืนใจเจ้าพนักงานเป็นความผิด (ป.อาญา ม.139) นอกจากนี้ยังมีอำนาจตรวจค้นตัวบุคคล ยานพาหนะ จับกุม การควบคุม การควบคุมตัวไปส่งยังท่ีทำการของพนักงานสอบสวน การยึดไว้เพ่ือ ตรวจสอบซึ่งทรัพย์ที่มีไว้ ได้มา ได้ใช้ เพ่ือใช้ในการกระทำความผิด การรับแจ้งเหตุและการรับคำร้อง ทกุ ข์ สายตรวจกับการให้บริการ การให้บริการกับประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาความสงบ เรียบร้อย สายตรวจจะต้องคำนึงเสมอว่าการให้บริการแก่ประชาชนนั้นจะต้องไม่กระทบต่อการกิจ หลกั คอื ปฏบิ ัตหิ น้าทสี่ ายตรวจเพือ่ การรกั ษาความสงบเรียบร้อยแก่ประชาชน ภารกจิ อำนาจหนา้ ทขี่ องสายตรวจ 1. การปฏิบัติตามคำสงั่ ของผู้บงั คบั บญั ชา การปฏบิ ัตติ ามแผนการตรวจ 2. การรับแจ้งเหตุ จากปากคำของประชาชนโดยตรง หรือจากโทรศัพท์มือถือ เคร่ืองมือ ส่อื สารวิทยุกระจายเสียง โทรทศั น์ โดยจะต้องไปยังที่เกดิ เหตโุ ดยเร็ว 3. การจัดการกับคำร้องทุกข์ หากผู้เสียหายจะร้องทุกข์กับตำรวจสายตรวจก็ได้ หากผู้ร้อง ทุกข์มีหนังสือร้องทุกข์ สายตรวจจะต้องจัดการนำส่งพนักงานสอบสวน หากผู้เสียหายร้องทุกข์ด้วย ปากเปล่าให้สายตรวจรีบจัดการให้ผู้เสียหายไปพบพนักงานสอบสวนหรือสายตรวจอาจจะจดบันทึก แลว้ รบี ส่งให้พนักงานสอบสวน 4. อำนาจในการจับ 4.1 สายตรวจมีอำนาจจบั ได้ ดงั นี้ 4.1.1 จับบุคคลตามหมายจับ นอกจากหมายจับต้นฉบับแล้ว เอกสารหรือหลักฐาน ดังต่อไปน้ีก็สามารถดำเนนิ การจบั ได้ - สำเนาหมายจบั ทไี่ ดร้ ับรองว่าถูกตอ้ งแล้ว - โทรเลขเจง้ วา่ ไดอ้ อกหมายจับแลว้ - สำเนาหมาจับท่ีส่งหาโทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อเทคโนโลยี สารสนเทศ ประเภทอนื่

8 4.1.2 จับบุคคลที่ ไดก้ ระทำผิดซึ่งหน้าตำรวจ (เหน็ กำลังกระทำหรือพบในอาการใด ซ่ึง แทบจะไมม่ ีความสงสัยเลยวา่ เขาได้กระทำผิดมาแลว้ สดๆ) 4.1.3 จับบุคคลเม่ือสายตรวจพบบุลคลนั้นมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าจะก่อเหตุร้ายให้ เกิดภัยอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อ่ืน โดยมีเครื่องมือ อาวุธ หรือ วัตถุอย่างอื่นอันสามารถ ใช้ในการกระทำผดิ 4.1.4 จับบุคคลทมี่ ีพยานหลักฐานตามสมควรว่าบคุ คลนั้นนา่ จะไดก้ ระทำผดิ อาญาและมี เหตุอันเช่ือได้ว่าจะหลบหนีหรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุอันตรายประการอื่นอัน เป็นเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นได้แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนท่ีไม่อาจขอศาลออกหมายจับบุคคล น้ันได้ 4.1.5 จับผู้ต้องหา (บุคคลผู้ถูกหาว่าได้กระทำผิด แต่ยังมิได้ฟ้องต่อศาล หรือจำเลย (บุคคลซ่ึงถูกฟ้องต่อศาลแล้ว โดยข้อหาว่าได้กระทำผิด) ท่ีสายตรวจพบว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นหนี หรือจะหลบหนใี นระหวา่ งถกู ปล่อยตัวชั่วคราว 4.1.6 จับผู้ต้องหา (บุคคลผู้ถูกหาว่าได้กระทำผิด แต่ยังมิได้ฟ้องต่อศาล) หรือจำเลย (บุคคลซึ่งถูกฟ้องต่อศาลแล้ว โดยข้อหาว่าได้กระทำผิด ที่บุคคลซ่ึงทำสัญญาประกันหรือหลักประกัน ในการปล่อยตัวชั่วคราวพบว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นหนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อย ตัว ช่ัวคราวขอให้สายตรวจจับผู้ต้องหาหรอื จำเลยนน้ั 4.1.7 จับบุคคลเมื่อสายตรวจเห็นหรือพบบุคคลน้ันถูกไล่จับดังผู้กระทำโดยมีเสียงร้อง เอะอะ (ต้องเป็นความผิดอาญาตามท่ีระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เช่น ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ ประทุษร้ายแก่ชีวิต ร่างกาย ข่มขืน กระทำชำเรา) 1.1.8 จบั บุคคล เมอื่ สายตรวจพบบคุ คลนั้นแทบจะทันทีทันใดหลงั จากการกระทำผิด ใน ถ่ินแถวใกล้เคียงกับท่ีเกิดเหตุน้ันและมีสิ่งของที่ได้มาจากกระทำผิด หรือมีเครื่องมือ อาวุธ หรือวัตถุ อย่างอืน่ อนั สันนิษฐานได้วา่ ได้ใช้ในการกระทำผดิ หรอื มีร่องรอยพิรุธเห็นประจักษ์ท่เี ส้อื ผ้าเนื้อตัวของ ผ้นู น้ั 1.1.9 การจับตามข้อ 4.1. - 4.1.8 นั้น หากจะจับในท่ีรโหฐานจะต้องปฏิบัติตามในเร่ือง การคน้ ในทีร่ โหฐานดว้ ย 4.2 วธิ กี ารจบั สายตรวจต้องดำเนนิ การดังน้ี 4.2.1 แจ้งผู้ที่จะถูกจับว่าเขาต้องถูกจับ ถ้าเป็นการจับตามหมายจับผู้จับจะขอความ ช่วยเหลือจากบุคคลใกล้เคียงเพื่อทำการจับก็ได้แต่จะบังคับให้บุคคลน้ันช่วยโดยอาจเกิดอันตรายแก่ เขาไมไ่ ด้ 4.2.2 แจ้งขอ้ กล่าวหาให้ผู้ถูกจบั ทราบ หากมีหมายจบั ใหแ้ สดงต่อผถู้ ูกจบั 4.2.3 แจง้ สิทธ์ิให้ผถู้ ูกจับทราบวา่ 1) ผู้ถูกจับมีสิทธิ์ที่จะไม่ให้การหรือให้การก็ได้และถ้อยคำของผู้ถูกจับนั้นอาจใช้เป็น พยานหลักฐานในการพิจารณาคดไี ด้ 2) ผถู้ ูกจบั มสี ิทธทิ ่ีจะพบและปรกึ ษาทนายความหรือผูซ้ งึ่ จะเปน็ ทนายความ

9 3) ถ้าผู้ถูกจับประสงค์จะแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจทราบถึงการจับกุม หาก สามารถดำเนินการให้ได้สะดวกและไม่เป็นการขัดวางการจับหรือการควบคุม หรือทำให้เกิดความไม่ ปลอดภัยแก่บุคคลหน่งึ บคุ คลใด สายตรวจผู้จับสามารถอนุญาตให้ผูถ้ ูกจับดำเนนิ การไดต้ ามสมควร 4.2.4 บันทึกการจับ (ต้นฉบับ 1 ฉบับ สำเนาอย่างน้อย 2 ฉบับ) สำหรับถ้อยคำท่ีผู้ถูกจับ ให้กับผู้จับน้ันหากเป็นถ้อยคำรับสารภาพว่าเป็นผู้กระทำผิด กฎหมายห้ามมิให้รับฟังเป็น พยานหลักฐาน แต่ถ้าเป็นถ้อยคำอื่น จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสจู น์ความผิดของผถู้ ูกจับได้ ตอ่ เม่อื ได้มีการแจ้งสทิ ธติ ามขอ้ 4.2.3 แก่ผู้ถูกจับแล้ว 4.2.5 สง่ั ใหผ้ ถู้ ูกจับไปขังที่ทำการของพนักงานสอบสวนพรอ้ มดว้ ยผู้จับดังน้ี 1) ไปยังทที่ ำการของพนกั งานสอบสวนผูร้ บั ผิดชอบ 2) หากไม่สามารถนำไปขังที่ทำการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบได้ในขณะท่ีจับ นน้ั ใหไ้ ปยังทีท่ ำการของพนกั งานสอบสวนแห่งท้องท่ีท่ีถูกจับ 4.2.6 ถ้าจำเปน็ ให้จับตัวผู้ถกู จับไป 4.2.7 ถ้าบุคคลซึ่งจะถูกจับขัดขวางหรือจะขัดขวางการจับ หรือหลบหนีหรือพยายามจะ หลบหนตี ำรวจผจู้ ับมีอำนาจใช้วธิ ีหรอื การปอ้ งกันเทา่ ทีเ่ หมาะแกพ่ ฤติการณแ์ หง่ เร่ืองจบั ผู้ถูกจับนัน้ 4.2.8 สายตรวจผู้จับมีอำนาจค้นตัวผู้ต้องหาและยึดสิ่งของต่างๆ ท่ีอาจใช้เป็น พยานหลักฐานได้ การค้นต้องทำโดยสุภาพ ค้นผูห้ ญิงต้องใหผ้ ูห้ ญิงคนอ่ืนเปน็ ผูค้ ้น 4.2.9 สายตรวจผู้จับมีอำนาจในการใช้วิธีควบคุมผู้ถูกจับเท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันมิให้เขา หลบหนีเท่านน้ั 4.2.10 ตำรวจผู้จับต้องนำตัวผู้ถูกจับไปยังท่ีทำการพนักงานสอบสวนตามข้อ 4.2.5 โดย ทันที และส่งตัวผู้ถูกจับให้กับตำรวจของท่ีทำการดังกล่าว (พร้อมบันทึกการจับต้นฉบับ และส่ิงของที่ ยดึ ไว้) ในกรณจี ำเปน็ ผู้จับจะจัดการพยาบาลผูถ้ กู จบั เสียกอ่ นทจ่ี ะนำตวั ไปสง่ ก็ได้ 4.2.11 ณ ท่ีทำการของพนักงานสอบสวนท่ีนำผู้ถูกจับไปส่ง ให้สายตรวจรีบแจ้งข้อ กล่าวหาและรายละเอียดเก่ียวกับเหตุแห่งการถูกจับให้ผู้ถูกจับทราบ ถ้ามีหมายจับให้แจ้งให้ผู้ถูกจับ ทราบและอา่ นให้ผู้ถูกจบั ฟงั และมอบสำเนาบนั ทกึ การจับแก่ผู้ถูกจบั 5. อำนาจในการค้นบคุ คลในทส่ี าธารณะ 5.1 กฎหมายกำหนดเป็นหลักว่า หา้ มมิให้ทำการคน้ บคุ คลใดในที่สาธารณะสถาน แต่กำหนด เป็นข้อยกเว้นไว้ว่า เว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้นในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า บคุ คลที่จะถูกค้นน้ันมีส่งิ ของในความครอบครองเพ่ือจะใช้ในการกระทำความผดิ หรือซึ่งได้มาโดยการ กระทำความผิดหรือซึ่งมีไว้นั้นเป็นความผิด ดังน้ัน สายตรวจจึงมีอำนาจท่ีจะค้นบุคคลในที่สาธารณะ ได้ โดยบุคคลที่จะถูกค้นน้ันตอ้ งมีเหตุอนั ควรสงสัยว่ามีส่ิงของในความครอบครอง 1) เพ่ือจะใช้ในการ กระทำความผิดหรือ 2) ซ่ึงได้มาโดยการกระทำความผิดหรือ 3) ซ่ึงมีไว้เป็นความผิด (สายตรวจผู้ค้น ต้องสามารถตอบได้ว่าที่ค้นตัวบุคคลนั้นเพื่ออะไร มิใช่ค้นบุคคลใดก็ได้โดยไม่มีเหตุอันเป็นการไม่ ปฏิบัติตามกฎหมาย) 5 2 กอ่ นลงมอื ค้น สายตรวจตอ้ งแสดงตัวและความบริสุทธติ์ ่อผูถ้ ูกค้นเสยี กอ่ น 5.3 การค้นต้องทำโดยสุภาพ การค้นผู้หญิงต้องให้หญิงอ่ืนเป็นผู้ค้น และถ้าเป็นไปได้ควรมี ประจักษ์พยานในการค้นดว้ ย

10 5.4 หากมีส่ิงของทีย่ ดึ จากการค้น ใหบ้ รรจหุ บี หอ่ ตีตรา ไว้หรอื ทำเคร่ืองหมายไว้เปน็ สำคัญ 5.5 เม่ือเสร็จสิ้นการค้น หากต้องยึดสิ่งของท่ีได้จากการค้นต้องทำบันทึกการค้นและบัญชี สงิ่ ของไว้ อ่านให้ผู้ถูกค้นฟังและใหผ้ ถู้ ูกค้นลงลายมอื ช่ือรับรองไว้รวมท้ังพยาน (ถ้ามี) และรีบนำบันทึก บัญชแี ละสิง่ ของ สง่ หนักงานสอบสวน หากตอ้ งจับผู้ถูกค้นให้ดำเนินการตามวิธกี ารจับในข้อ 4 5.6 ถ้าเป็นไปได้ควรทำบันทึกการค้นไว้ทุกครั้งและให้ผู้ถูกค้นลงลายมือชื่อไว้ด้วยแม้ว่าค้น แล้วไม่พบส่ิงของตามที่สงสัยก็ตาม เพื่อเป็นหลักฐานในการปฏิบัติหน้าท่ีของสายตรวจหากมีการ ร้องเรียนหรือกล่าวหา 6. อำนาจในการค้นยานพาหนะ 6.1 ยานพาหนะที่ผู้ครอบครองมีเจตนาใช้เป็นท่ีพักอาศัย เป็นที่รโหฐาน หากจะค้นต้อง ดำเนนิ การตามหลักการคน้ ในที่รโหฐาน 6.2 ยานพาหนะท่ีผู้ครอบครองใช้ตามปกติและใช้ในท่ีสาธารณะ หากสายตรวจจะค้น ต้องมี เหตุท่ีสามารถค้นบุคคลท่ีครอบครองในขณะน้ันได้ตามท่ีกฎหมายกำหนดในเร่ืองการค้นบุคคลในท่ี สาธารณะและสามารถค้นภายในยานพาหนะไดเ้ สมือนว่าเปน็ สิ่งของติดตัวของผู้ถูกค้นนั้น และปฏิบัติ เช่นเดยี วกับการค้นบลุ คลในทีส่ าธารณะโดยอนโุ ลม 7. อำนาจในการคน้ ท่ีรโหฐาน 7.1 เหตุ ขอบเขต และเวลาในการค้น 7.1.1 โดยปกติการค้นท่ีรโหฐานต้องมีหมายค้นหรือคำสั่งศาล จะต้องมีเจ้าพนักงานผู้มีช่ือ ในหมายค้นหรือผู้รักษาการแทนซ่ึงหากเป็นตำรวจต้องมียศตั้งแต่ร้อยตำรวจตรีข้ึนไปเป็นหัวหน้าใน การจดั การตามหมาย สายตรวจจงึ จะเขา้ รว่ มการค้นไดโ้ ดยชอบ 7.1.2 สายตรวจสามารถค้นท่ีรโหฐานได้โดยไม่มีหมายค้นหรือคำส่ังศาลได้ในกรณี ดงั ต่อไปนี้ 1) เมื่อมีเสียงร้องให้ช่วยมาจากข้างในท่ีรโหฐาน หรือมีเสียงหรือพฤติการณ์อื่นใดอัน แสดงได้ว่ามเี หตรุ ้ายเกดิ ขึน้ ในที่รโหฐานน้ัน 2) เมือ่ ปรากฎความผิดซงึ่ หนา้ กำลงั กระทำในท่ีรโหฐาน 3) เมื่อบุคคลท่ีได้กระทำความผิดซึ่งหน้าขณะท่ีถกู ไล่จับหนีเข้าไปหรือมีเหตุอันแน่นควร สงสัยวา่ ไดเ้ ขา้ ไปซุกช่อนตัวอย่ใู นทรี่ โหฐานนั้น 4) เม่ือมีพยานหลกั ฐานตามสมควรว่าสิ่งของท่ีมไี ว้เป็นความผิดหรือ ได้มาโดยการกระทำ ความผิดหรือได้ใช้หรือมีไว้เพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด หรืออาจเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์การ กระทำความผิดได้ซ่อนหรืออยู่ในนั้น ประกอบทั้งต้องมีเหตุอันควรเช่ือว่าเน่ืองจากการเนิ่นช้ากว่าจะ เอาหมายค้นมาได้สิง่ ของน้ันจะถูกโยกยา้ ยหรือทำลายเสยี ก่อนในกรมีนสี้ ายตรวจผู้ค้นจะต้องทำบันทึก การตรวจค้น บัญชีทรัพย์ท่ีได้จากการตรวจค้น และบันทึกแสดงเหตุผลท่ีทำให้สายตรวจเข้าค้นได้ และส่งมอบสำเนาไปไว้แก่ผู้ครอบครองสถานท่ีท่ีถูกตรวจค้น ถ้าไม่มีผู้ครอบครองอยู่ ณ ท่ีนั้น ให้ส่ง มอบหนังสือดังกล่าวแก่บุคคลเช่นว่านั้นในทันทีท่กี ระทำได้และรีบรายงานเหตุผลและผลการตรวจค้น เป็นหนังสือต่อผบู้ ังคับบัญชาเหนอื ขึ้นไป 7.1.3 โดยปกติการค้นในท่ีรโหฐานน้ัน จะค้นได้แต่เฉพาะเพื่อหาตัวคนหรือส่ิงของที่ต้องการ คน้ เท่านัน้ ยกเว้นกรณีตอ่ ไปน้ี

11 1) ในกรณีท่ีค้นหาสิ่งของโดยไม่จำกัดสิ่ง ผู้ค้นมีอำนาจยึดสิ่งของใดๆ ซึ่งน่าจะให้เป็น พยานหลักฐาน เพ่อื เป็นประโยชนห์ รือยันผูต้ อ้ งหาหรือจำเลย 2) เม่ือมีหมายจับบุคคลอ่ืนท่ีอยู่ในท่ีค้นนั้น หรือมีการกระทำผิดซึ่งหน้าในท่ีค้นนั้น ผู้ค้นมี อำนาจจบั บุคคลนั้นให้ 7.1.4 การค้นในที่รโหฐานต้องกระทำระหวา่ งพระอาทิตยข์ ้ึนและตก(เวลากลางวนั )เวน้ แตเ่ ม่ือ ลงมือค้นแต่ในเวลากลางวัน ยังไม่เสร็จจะกันต่อไปในเวลากลางคืนก็ได้ หรือในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง หรอื ซ่ึงมกี ฎหมายอ่นื บญั ญตั ิให้คน้ ได้เป็นพเิ ศษ จะทำการค้นในเวลากลางคนื ก็ได้ หรอื การค้นเพอ่ื จบั ผู้ มีพฤติการณ์โหดร้ายหรือผู้ร้ายสำคัญจะทำในเวลากลางคืนก็ได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตพิเศษจากศาล ตามหลักเกณฑแ์ ละวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา 7.2 วธิ ีการคน้ ในทร่ี โหฐาน 7.2.1 กรณีมีหมายค้นหรือคำสั่งศาลให้แสดงหมายหรือคำส่ังน้ัน ต่อเจ้าของหรือคนอยู่ในนั้น หรือผู้รักษาสถานท่ีซึ่งจะค้น กรณีเป็นการค้นได้โดยไม่มีหมายให้แสดงนามและตำแหน่งของผู้น้ันต่อ เจ้าของหรือคนอยใู่ นนนั้ หรือผรู้ ักษาสถานที่ซ่ึงจะคน้ 7.2.2 ตำรวจผู้ค้นมีอำนาจสั่งเจ้าของหรือคนอยู่ในน้ันหรือผู้รักษาสถานที่ซ่ึงจะค้นให้ยอมให้ เข้าไปโดยมิหวงห้าม อีกทั้งให้ความสะดวกตามสมควรทุกประการ ในการค้น หากมิยอมให้เข้าไป ตำรวจผู้ค้นมีอำนาจใช้กำลังเพื่อเข้าไปในท่ีจะค้นได้ ในกรมีจำเป็นจะเปิดหรือทำลายประตูบ้านประตู เรือน หน้าต่าง ร้ัวหรือสิ่งขีดขวางอย่างอ่ืนทำนองเดียวกันน้ันก็ได้ (เปิดหรือทำลายได้เฉพาะเท่าที่ จำเป็นเพ่ือให้สามารถเขา้ ไปในสถานที่น้นั ไดเ้ ทา่ นั้น) 7.2.3 ในกรณีค้นหาสิ่งของที่หาย ถ้าพอทำได้จะให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองส่ิงของนั้นหรือ ผู้แทนของเขาไปกบั เจ้าพนกั งานในการค้นนัน้ ดว้ ยก็ได้ 7.2.4 ถ้ามีเหตุอนั ควรสงสัยว่าบคุ คลซ่ึงอยู่ในที่ซง่ึ คน้ หรอื จะถูกค้น จะขดั ขวางถงึ กับทำให้การ ค้นไร้ผล ตำรวจผู้ค้นมีอำนาจเอาตัวผู้น้ันควบคุมไว้หรือให้อยู่ในความดูแล ในขณะท่ีทำการค้นเท่าที่ จำเป็น เพื่อมใิ ห้ขัดขวางถงึ กบั ทำใหก้ ารค้นน้ันไร้ผล 7.2.5 ถ้ามีเหตุอนั ควรสงสัยว่าบคุ คลซึ่งอยูใ่ นที่ซ่ึงคน้ หรอื จะถูกค้น ไดเ้ อาส่งิ ของที่ตอ้ งการพบ ซุกซ่อนในร่างกายตำรวจผู้น้ันมีอำนาจค้นตัวผู้นั้นได้ โดยการค้นต้องทำโดยสุภาพ การค้นผู้หญิงต้อง ใหห้ ญิงอน่ื เป็นผู้ค้น 7.2.6 ก่อนลงมือค้นให้ตำรวจผู้ค้นแสดงความบริสุทธ์ิเสียก่อน และเท่าท่ีสามารถจะทำได้ให้ ค้นต่อหน้าผูค้ รอบครองสถานที่หรือบุคคลในครอบครัวของผู้นั้นหรือถ้าหากบุคคลเช่นว่านั้นไม่ได้ก็ให้ ค้นตอ่ หน้าบคุ คลอื่นอยา่ งน้อยสองคนซึง่ ผู้ค้นได้ขอร้องมาเปน็ พยาน 7.2.7 ในการค้นนั้น ตำรวจผู้ค้นต้องพยายามมิให้มีเกิดการเสียหายและกระจัดกระจายเท่าท่ี จะทำได้ 7.2.8 สิ่งของซึ่งยึดได้ในการค้นให้ห่อหรือบรรจุหีบห่อตีตราไว้หรือให้ทำเคร่ืองหมายไว้เป็น สำคัญ และต้องให้ผูค้ รอบครองสถานที่ บุคคลในครอบครวั ผู้ตอ้ งหา จำเลย ผู้แทนหรือพยานดูเพื่อให้ รบั รองว่าถูกตอ้ งถา้ บุคคลเช่นกล่าวน้นั รบั รองหรอื ไมย่ อมรบั รองก็ให้บันทึกไว้

12 7.2.9 เมื่อเสร็จส้ินการค้น ให้ทำบันทึกการค้น และบัญชีส่ิงของที่ค้นได้ และให้อ่านให้ผู้ ครอบครองสถานที่ บุคคลในครอบครัว ผู้ต้องหา จำเลย ผู้แทนหรือพยานฟัง แล้วแต่กรณี แล้วให้ผู้ นน้ั ลงลายมอื ชอ่ื รับรองไว้ 7.2.10 กรณีค้นโดยมีหมาย ให้รีบส่งบันทึกกรค้น และบัญชีสิ่งของที่ค้นได้พร้อมทั้งส่ิงของท่ี ยึดมา ไปยังผู้ออกหมายหรือเจ้าพนักงานตามที่กำหนดในหมายนั้น กรณีเป็นการค้นโดยไม่มีหมายให้ ส่งบันทกึ การค้น และบัญชสี ่งิ ของที่ค้นไดพ้ ร้อมท้ังส่งิ ของทีย่ ึดมา ไปยังพนักงานสอบสาน 8. อำนาจอน่ื ๆ ในขณะปฏิบัตหิ น้าท่ี สายตรวจมสี ถานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ซึ่งในเรอ่ื งการจบั และ การค้นกฎหมายได้ให้อำนาจไว้ในการปฏิบัติไว้ส่วนหน่ึงแล้ว นอกจากน้ันกฎหมายอาญายังให้อำนาจ เพ่ือการปฏิบัติงานแก่สายตรวจอีก คือ ถามช่ือที่อยู่ของบุคคล เพื่อปฏิบัติการตามกฎหมายได้ โดย หากบุคคลนนั้ ไมย่ อมบอกหรอื แกลง้ บอกช่ือที่อยู่อันเปน็ เทจ็ มโี ทษปรับไมเ่ กินหน่งึ ร้อยบาท กล่าวโดยสรุป อำนาจและหน้าที่ตำรวจ หมายถึง ตำรวจมีอำนาจและหน้าท่ีจะตรวจค้น จับกุม แม้ว่าจะต้องทำให้ผู้ท่ีตำรวจตรวจค้น หรือจับกุมต้องเสียสิทธิบางอย่างไป แต่การกระทำของ เจ้าหน้าทีต่ ำรวจท้งั หมดจะตอ้ งอยใู่ นกรอบของกฎหมายที่กำหนดไว้ 2. แนวคดิ เกีย่ วกบั การช่วยเหลอื งานตำรวจ 2.1 ดา้ นการปอ้ งกนั ปราบปราม ความหมายของอาชญากรรม นักวิชาการถือว่า อาชญากรรมคือปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างหน่ึง ซ่ึงเกิด และวิวัฒนาการ ควบคู่มากับสังคม โดยธรรมชาติแล้วทุกสังคมจะต้องมีกฎเกณฑ์หรือธรรมเนียมปฏิบัติ ว่าการกระทำ ใดเหมาะสม การกระทำใดไม่เหมาะสม กฎเกณฑ์ดังกล่าวนี้อาจเรียกได้ว่าบรรทัดฐาน ของสังคม (Social Norms) ซึ่งทุกคนในสังคมจะต้องปฏิบัติตาม ท้ังน้ีเพื่อประโยชน์ในการควบคุม และปกครอง สมาชิกในสังคมให้ประพฤติตนอยู่ในกรอบไม่ล่วงละเมิดหรือฝ่าฝืน อันเป็นการสร้างความเดือดร้อน ใหก้ ับผอู้ น่ื อาชญากรรมมีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับเบาไปจนถงึ ระดับรุนแรง แต่ละสังคมมีคำจำกัดความ แตกต่างกันออกไป พฤติกรรมท่ีถือว่าเป็นอาชญากรรมในสังคมหน่ึง อาจไม่ถือว่าเป็นอาชญากรรมใน สังคมหนงึ่ อกี ก็ได้ การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม (นโยบายการบริหารราชการสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ น. 2-3) 1. ให้ความสำคัญในการควบคุมและลดความรุนแรงของอาชญากรรมที่ประชาชนรู้สึกว่า เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตและทรัพย์สิน โดยเน้นคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินในที่สาธารณะที่กระทบกับความ หวาดกลัวภัยอาชญากรรมของประชาชน เชน่ ร้านสะดวกซอื้ ร้านทอง เป็นต้น 2. มุ้งเน้นการป้องกันอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม โดยการจัดระเบียบพ้ืนท่ีเส่ียงตาม อำนาจหนา้ ที่และแหลง่ ม่วั สมุ เพื่อตดั ช่องโอกาสและไม่เปน็ แหล่งบม่ เพาะอาชญากรรม 3. พัฒนาสายตรวจให้มีความพร้อม และมีประสิทธิภาพในการระงับเหตุและบริการ ประชาชนด้วยความรวดเร็ว

13 4. พัฒนาศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 เพ่ือเฝ้าระวงั ในการรับแจ้งเหตุและบริหารสถาน์การสำคัญ ระดับจังหวัดและสถานีตำรวจ เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงประชาชน และศูนย์ประสานงานกกลาง ระหวา่ งหน่วยงานตา่ งๆ 5. นำเทคโนโลยีมาใช้ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและการสืบสวน เช่นระบบ โทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ระบบบอกตำแหน่งพิกัด (GPS) สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) การ ประยกุ ต์ใช้โปรแกรมใชง้ านในโทรศพั ท์ 6. พัฒนาการเก็บบันทึกข้อมูลที่เกิดเหตุให้เป็นข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ อาชญากรรม 7. ดำเนนิ การวิเคราะห์อาชญากรรมในทุกระดบั เพอื่ ให้ทราบถึงสถานการณ์ แนวโนม้ แผน ประทุษกรรม และนำมาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรม รวมท้ังการประชาสัมพันธ์ เพือ่ สรา้ งความร่วมมือจากประชาชนในเว็บไซตแ์ ละส่อื ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ 8. จัดระเบยี บสงั คมตามอำนาจหน้าที่และเข้มงวดกวดขันในการปราบปรามอบายมุขอย่าง จรงิ จงั 9. การปฏิบัตงิ านของตำรวจให้ยึดประชาชนเปน็ ศูนย์กลางและเสริมสร้างการมีส่วนรว่ มใน การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมและสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนทุกคนมีส่วนรับผิดชอบตาม หลกั การทีว่ า่ ประชาชน คอื ตำรวจคนแรก 10. ผลักดันให้มีมาตรการทางกฎหมาย ระเบียบ คำส่ัง ข้อบังคับ ที่เอ้ืออำนวยต่อการ ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในชุมชน สถานประกอบการทุกประเภทส่วนราชการและ รัฐวสิ าหกจิ เขตชมุ ชน และเขตท่ีอยอู่ าศัยหนาแนน่ ชัยสิทธิ กาญจนกิจ (2538 : อ้างถึงใน พนารัตน์ นรสีห์, 2549 น.3-4) ได้ให้คำจำกัด ความ ของอาชญากรรม โดยแบง่ ออกเปน็ 3 นัย คือ 1. อาชญากรรมในความหมายของนักกฎหมาย นักกฎหมายเห็นวา่ อาชญากรรมเป็นความประพฤติท่ีกฎหมายอาญาห้ามและมีบทกำหนด โทษไว้ ดงั นั้น อาชญากรรมในความหมายทางกฎหมายก็คือ การกระทำหรืองดเว้นการกระทำใด ๆ ที่ กฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ชัด เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตาย,ฐานลักทรัพย์, วงิ่ ราวทรัพย์, ชงิ ทรัพย์ เปน็ ตน้ อาชญากรรมตามความหมายน้ยี งั จำแนกได้ 2 อย่างคือ อาชญากรรมที่มีความชั่วร้ายในตัวเอง เป็นอาชญากรรมท่ีสะเทือนขวัญและ เป็นภัยต่อ สังคมน้ัน ๆ เป็นอย่างมาก เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตาย ความผิดฐานปล้นทรัพย์ ความผิด ฐานชิง ทรัพย์ เป็นต้น อาชญากรรมประเภทน้ีมีลักษณะเป็นอาชญากรรมโดยแท้และมีความผิดในตัวของมัน เอง ซ่งึ ผอู้ ย่ใู นกรอบของศลี ธรรมและบรรทดั ฐานของสังคมจะไม่กระทำ อาชญากรรมประเภทฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือกระทำความผิด ขั้น ลหุโทษที่ไม่รุนแรง เช่น ความผิดเก่ียวกับฝ่าฝืนกฎจราจรหรือผิดตาม พระราชบัญญัติจราจร ความผดิ เกย่ี วกบั การพนัน เป็นตน้ การกระทำความผดิ ดงั กล่าวนี้ แม้ผู้มศี ีลธรรมอนั ดีก็สามารถกระทำ ความผิดได้ โดยทัว่ ไปแลว้ ไม่ถือว่าเป็นอาชญากรรม แต่ถือเป็นการฝา่ ฝืนกฎหมายและบรรทัดฐานของ สงั คมเท่านนั้

14 2. อาชญากรรมในความหมายของนักอาชญาวิทยา นักอาชญาวิทยาเห็นว่า การมองผู้กระทำความผิดกฎหมายเป็นอาชญากรไปหมดดูจะเป็นการไม่ ยุติธรรม คำว่าอาชญากรรมในทรรศนะของนักอาชญาวิทยาน้ันจะมองกันในแง่ของ ความรา้ ยแรงของ การกระทำและความชั่วที่อยู่ในตัวของผู้กระทำมากกว่า กล่าวคือ จะมองความหมาย ของ อาชญากรรมตามความหมายอย่างแคบ ซึง่ หมายถงึ การกระทำผิดที่มลี ักษณะชว่ั ร้ายและเป็นอันตราย ตอ่ สงั คมอย่างมาก 3. อาชญากรรมในความหมายของนกั สงั คมวิทยา นักสังคมวิทยาเห็นว่า ความประพฤติท่ีขัดแย้งหรือละเมิดต่อระเบียบสังคมนั้นมิได้ หมายความว่าการขัดแย้งนั้นจะเป็นอาชญากรรมเสมอไป แต่มีความหมายเพียงว่าผู้นั้นประพฤติและ ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบที่สังคมกำหนดไว้เท่าน้ันจึงจะเรียกว่าเป็นการกระทำความผิดกฎหมาย หรอื เปน็ การก่ออาชญากรรม ยกเว้นการกระทำผดิ ลหโุ ทษไมถ่ อื ว่าเปน็ การก่ออาชญากรรม จากความหมายของอาชญากรรมในแง่ต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ ต่างก็มีลักษณะแตกต่างกัน โดย เน้ือหาเท่าน้ัน แต่แท้จริงแล้วอาจกล่าวได้ว่าอาชญากรรมทั้งในความหมายของนักกฎหมาย นักอาชญาวิทยา นักสังคมวิทยาต่างก็มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ทั้งน้ีจากการที่กฎหมายกำหนด บทลงโทษไว้น้ันต่างก็มีวัตถุประสงค์ท่ีต้องการควบคุมพฤติกรรมของผู้ที่กระท ำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อ สงั คมเพื่อให้สมาชกิ ของสงั คมได้อย่รู ่วมกันอย่างปกติสุขให้ผู้นั้นกลับตัวกลับใจเป็นคนดีเข้ามา ร่วมกัน ในสังคมเดิมต่อไปไดด้ ้วยดี ซ่ึงการกำหนดบทลงโทษดงั กลา่ วนี้ย่อมขึน้ อยู่กับอิทธิพลของ ความเชื่อถือ ของคนในสังคมนั้น ๆ เป็นหลักเกณฑ์สำคัญ นโยบายอาชญากรรมจะผันแปรไปใน รูปใดน้ัน ย่อมถูก จำกดั โดยอทิ ธิพลทางวัฒนธรรม คา่ นยิ มปจั จัยแวดล้อมทางเศรษฐกจิ สังคม การเมอื ง เปน็ พืน้ ฐาน อาจกล่าวได้ว่า ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นักอาชญาวิทยาได้ทำการศึกษาค้นคว้าหาสาเหตุ ของอาชญากรรมข้ึนมากมาย สามารถแบ่งออกเป็นได้หลายทฤษฎี แม้ว่าแต่ละทฤษฎีจะสามารถ อธิบายสาเหตุการเกดิ อาชญากรรมบางประเภทและบางกรณีได้ในระดบั หน่ึง อาชญากรรมและทฤษฎีการปอ้ งกนั อาชญากรรม กองบัญชาการตำรวจนครบาล (2532, น. 12-13) เห็นว่า การป้องกันปราบปราม อาชญากรรม หมายถึง การใช้มาตรการและวิธีการต่าง ๆ ที่จะ ไม่ให้เกิดอาชญากรรมข้ึนโดยอาจ จำแนกได้ดังนี้ คือการกำจัดต้นเหตุการณ์ ขจัดความปรารถนาท่ีจะกระทำผิด และการขจัดช่วงโอกาส ทจี่ ะกระทำผิด ซ่ึงท้ังหมดนี้ถือเป็นหนา้ ท่ขี องเจ้าหน้าทีร่ ัฐบาล เอกชนและประชาชนในการร่วมมอื กัน ซึ่งถือว่าเปน็ งานในหนา้ ทีข่ องตำรวจท่ีสำคัญที่สดุ ตลอดจนถึง การใช้มาตรการต่าง ๆ ระงับเหตุการณ์ การกระทำความผิด การจับกุมควบคุมอาชญากร เพ่ือป้องกันอาชญากรรมย้อนกลับมากระทำ ความผิดอีกและการลงโทษอาชญากรเพื่อทำให้เกิดความเข็ดหลาบ ท้ังยังเป็นเคร่ืองเตือนใจแก่ผู้ที่คิด จะประกอบอาชญากรรมอีกประการหน่ึงด้วย โดยอาจจะเป็นการป้องกันและระงับเหตุในการเกิด อาชญากรรม และหรือเป็นการสืบสวน ปราบปรามติดตามจับกุมภายหลังจากการเกิดเหตุแล้วการ ป้องกนั ปราบปรามอาชญากรรมดว้ ย การแสวงหาความรว่ มมอื จากประชาชน อาชญากรรมเป็นภัยร้ายแรงของทุกสังคม ซ่ึงก่อให้เกิดความเสียหายท้ังในสวัสดิภาพและ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและในด้านความสงบเรียบร้อยของสังคม โดย ส่วนรวม ความเสียหายและสูญเสียอันเกิดจากอาชญากรรมในด้านเศรษฐกิจและสังคมมีมูลค่า

15 มากมายมหาศาลในแตล่ ะปีมผี ้บู าดเจ็บล้มตายเน่ืองจากอาชญากรรมเปน็ จำนวนมาก ทงั้ ผู้เคราะห์รา้ ย ท่ีตกเป็นเหยื่อถูกทำร้ายบาดเจ็บ ถูกฆ่าตาย เจ้าหน้าท่ีตำรวจผู้ปราบปรามและตัวอาชญากรผู้กระทำ ความผิดเอง นอกจากน้ีทรัพย์สินท่ีสูญหายไปก็มีจำนวนมากและมีมูลค่ามหาศาล รัฐบาลของทุก ประเทศได้ทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากในการที่จะป้องกันและปราบปรามหรือระงับยับย้ังการก่อ อาชญากรรมทุกรูปแบบเพือ่ ความสงบสุขของประชาชนพลเมืองในประเทศ สาเหตขุ องอาชญากรรม 1. สาเหตุทางสังคมและส่ิงแวดล้อม ตราบใดท่ีสังคมยังมีคนดีอยู่คู่กับคนชั่ว ตราบนั้น อาชญากรรมเกิดข้ึนแน่นอน สังคมและส่ิงแวดล้อมเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งท่ีมีอิทธิพลผลักดันให้ คนกระทำความผิด อิทธิพลของ ส่ิงแวดล้อมบางอย่างมีอำนาจเหนือมนุษย์เรา โดยจะค่อย ๆ ซึมซับ เข้าไปในตัวบุคคลทีละน้อย เมื่อนานเข้าก็จะเปล่ียนจิตใจ อารมณ์และทัศนคติไปได้เหมือนกัน เรา เรียกรวมว่า บุคลิกภาพ (Personality) หากโอกาสและสถานการณ์อำนวยบุคคลน้ันจะประกอบ อาชญากรรมทันที ปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อมท่ีมีผลต่อการเกิดอาชญากรรมก็มี อาทิเช่น ลัทธิวัตถุนิยม ความหนาแน่นของประชากรอันเน่ืองมาจากการหล่ังไหลของชาวชนบทเข้ามาท ำงานในเมืองใหญ่ แหล่งอบายมุข ยาเสพติด ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ศาสนา อุดมการณ์และ การ กระจายรายได้ 2. สาเหตจุ ากตวั อาชญากรรม จากประวัติศาสตร์มนุษย์อันยาวนาน มนุษย์ได้สังเกตความแตกต่างในรูปร่างของมนุษย์ ด้วยกัน บ่งชล้ี ักษณะดี ลักษณะชั่วได้อกี ทางหนึ่งพรอ้ มกันได้เขียนเปน็ ตำราสืบต่อเนื่องและเชือ่ ถือ กัน มานาน ตำรานี้ชาวจีนเรียกว่า “ตำราโหงวเฮ้ง”ฝ่ายไทยเรียกว่า “ตำรานรลักษณ์ศาสตร์” พระมหา มณเฑียรเป็นผู้แปลข้ึนทูลเกล้าถวายรัชกาลท่ี 1 เพ่ือใช้เป็นคู่มือเลือกคนเข้ารับราชการใน สมัยของ พระองค์ ทฤษฎีนี้พยายามจะอธิบายการเกิดอาชญากรรม ด้านปัจจัยทางชีววิทยาของอาชญากร (Biological Approach) โดยสันนิษฐานว่าพฤติกรรมของบุคคลขึ้นอยู่กับลักษณะทางสรีระผู้ที่เป็น อาชญากรโดยกำเนิดและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดชีวิต ลอมโบรโซ (Lombroso) นายแพทย์ ชาวอิตาลี สมัย ค.ศ. ที่ 19 เชื่อว่าบุคคลที่เป็นอาชญากรจะมีลักษณะทางชีววิทยาโดยเฉพาะ เช่น ความต่ำ จมูกบ้ีแบน กะโหลกศีรษะผิดสว่ น เคราหรอมแหรม ขากรรไกรกว้างใหญ่ เค้าหน้าเหมือนลิง และไม่ค่อยมีความรู้สึกถึงความเจ็บปวด ต่อมาทฤษฎีได้ถูกคัดค้านและพิสูจน์ว่าไม่เป็นความจริง ใน ภายหลัง อย่างไรก็ตาม ทั้งสาเหตุจากความบกพร่องทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงสาเหตุจากทาง สังคมและสิ่งแวดล้อมต่างก็มีอิทธิพลต่อการก่อให้เกิดอาชญากรรมด้วยกันท้ังสองสาเหตุ หรือใน บางครั้งอาจจะเป็นท้ังสองสาเหตุร่วมกันก็มี เน่ืองจากอาชญากรรมกับสังคมมีความสัมพันธ์กัน โดยตรง กลา่ วคอื อาชญากรรมเปน็ ปรากฏการณ์ทางสังคม โดยเราพบวา่ สังคมขนาดใหญ่เท่าใด มกั มี อาชญากรรมเกดิ ขน้ึ มากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ท้ังสาเหตุจากความบกพร่องทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงสาเหตุจากทาง สังคมและส่ิงแวดล้อมต่างก็มีอิทธิพลต่อการก่อให้เกิดอาชญากรรมด้วยกันท้ังสองสาเหตุ หรือใน

16 บางคร้ังอาจจะเป็นทั้งสองสาเหตุร่วมกันก็มี เน่ืองจากอาชญากรรมกับสังคมมีความสัมพันธ์กัน โดยตรง กลา่ วคือ อาชญากรรมเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม โดยเราพบวา่ สังคมขนาดใหญ่เท่าใด มักมี อาชญากรรมเกิดข้ึนมากเท่าน้นั ปรุ ะชัย เปี่ยมสมบูรณ์ (2531, น. 187-188) ไดใ้ หค้ วามหมายหรือคำจำกัดความของ คำว่า “การป้องกันอาชญากรรมพื้นฐาน”โดยท่วั ไปแลว้ การป้องกัน หมายถึง การดำเนินการใดเพื่อมใิ ห้ส่งิ ที่ จะป้องกันเกิดขึ้น แต่ในเร่ืองของการป้องกันอาชญากรรมพื้นฐาน มีผู้ถกเถียงกันมากใน เรื่องของ ความหมายเพื่อท่ีจะหลีกเล่ียงความสับสนดังกล่าว จึงหันไปพิจารณาถึงระดับหรือขอบเขต ของการ ป้องกัน ระดบั ของการป้องกนั อาชญากรรมได้ประยุกต์มาจากระดับการป้องกันของ สาธารณสุข เพื่อ นำมาใช้กับการปอ้ งกันอาชญากรรม โดยได้แบง่ ระดบั ของการปอ้ งกนั ออกเปน็ 3 ระดับ คือ การป้องกันระดับแรกในทางสาธารณสุข หมายถึง การป้องกันโรคติดต่อโดยเน้นสุขภาพ อนามัย การปลูกฝีฉีดยา การระวังเรื่องน้ำด่ืมน้ำใช้ สำหรับในทางของอาชญาวิทยา หมายถึง การ ปรับปรงุ สภาพแวดลอ้ มทางเศรษฐกิจและสงั คม โดยเฉพาะของกลมุ่ คนที่มปี ัญหา การปอ้ งกัน การป้องกันระดับสองเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกผู้เริ่มมีอาการป่วยออกจากผู้อื่นในทา ง อาชญาวิทยาเน้นท่ีการแยกเด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีแนวโน้มท่ีจะกระทำผิดหรือพฤติกรรมเบี่ยงเบนท่ี ไม่ รา้ ยแรงเพื่อใหก้ ารเอาใจใสโ่ ดยเฉพาะ การป้องกันระดับสาม งานสาธารณสุขเน้นในเรื่องการบำบัดรักษาผู้ป่วยในทางอาชญา วิทยาเน้นในเร่ืองการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด เพ่ือมิให้กระทำผิดซ้ำอีก นอกจากนี้ได้แบ่งการป้องกัน อาชญากรรมพ้ืนฐานในแง่ของการป้องกันท่ีสภาพแวดล้อมหรือที่ตัวอาชญากร หรือในแง่ของ การ ป้องกันก่อนท่ีจะเกิดอาชญากรรมและหลังจากเกิดอาชญากรรมแล้ว โดยแบ่งเป็นการป้องกัน ท้ัง ทางตรงและทางอ้อม อดีตถึงปัจจุบันตำรวจไทยใช้แนวทางการทำงาน มุ่งเน้นการบังคับใช้ กฎหมาย เป็นหลัก พยายามจับกุมผู้กระทำผิดให้ได้จำนวนมาก แต่วิธีดังกล่าวไม่สามารถลดอาชญากรรมได้ ต่อมาตำรวจเร่ิมมองเห็นความจริงว่าการทำงานเพียงลำพังโดยปราศจากความร่วมมือจากประชาชน ไม่อาจทำให้งานตำรวจประสบความสำเรจ็ ได้ ตอ่ มาในปี 2531 ตำรวจไทยจึงใช้ แนวทางการบังคบั ใช้ กฎหมาย ควบคู่กับตำรวจชุมชนสัมพันธ์แต่ยังไม่สามารถทำให้อาชญากรรมลดลงได้ ตรงกันข้าม อาชญากรรมในประเทศไทยยังคงสูงอย่างต่อเน่ือง ภาพลักษณ์ของตำรวจในสายตาประชาชนยังไม่ดี ตำรวจยังคงมตี ้นทุนทางสังคมต่ำอยู่เชน่ เดิม สะทอ้ นใหเ้ ห็นว่าทิศทาง การทำงานของตำรวจไทยกำลัง เดนิ ไปในทางที่ไมถ่ ูกตอ้ ง ตำรวจไทยไม่ใช่เป็นตำรวจประเทศเดียวที่ประสบปัญหาแต่ตำรวจในประเทศท่ีใช้แนว ทางการทำงาน มุ่งเน้นการบังคับใช้กฎหมายเป็นหลักจะประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ปัญหาน้ี เกิด ข้ึนกับตำรวจในสหรัฐอเมริกา เมื่อศตวรรษท่ี 19 ที่ใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จับกุมผู้กระทำผิด ใน พน้ื ท่ีต่าง ๆ ได้จำนวนมากแต่อาชญากรรมไม่ลดลง ต่อมามีการศึกษาวิจัยหาแนวทางการทำงาน ใหม่ ที่มีประสิทธภิ าพ กระทั่งคน้ พบ Community Policing หรอื ทฤษฎีตำรวจผู้รับใช้ชมุ ชน เป็น ทฤษฎีท่ี พลิกโฉมหน้าวงการตำรวจของสหรฐั อเมริกาและวงการตำรวจโลกให้ตำรวจเปล่ียนทิศทาง การทำงาน จากการเป็นผู้ใช้อำนาจบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนเป็นการหันหน้าเข้าหาประชาชน ทำหน้าท่ี ปกป้องและให้บริการ สร้างความคุ้นเคยให้ความจริงใจ จนได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เมื่อ ประชาชนไว้วางใจ ก็จะให้ข้อมูลให้ข่าวบอกปัญหาและความตอ้ งการให้ตำรวจทราบจากน้ันตำรวจกับ

17 ประชาชน ก็จะร่วมมือกันแก้ปัญหาให้ตรงตามความต้องการ การทำงานโดยใช้ทฤษฎีตำรวจผู้รับใช้ ชุมชน ทำใหส้ ถานการณ์ของตำรวจสหรฐั อเมรกิ าค่อย ๆ ดขี นึ้ เปน็ ลำดบั แนวทางการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่ถูกต้องและได้รับการยอมรับวา่ มีประสิทธิผลดี คือ การมุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการปราบปรามอาชญากรรม การป้องกันไม่ให้มีเหตุเกิดขึ้นจะมี ผลดี มากกวา่ การมงุ่ สบื สวนจบั กมุ คนร้ายมาลงโทษหลงั จากท่ีเกิดเหตุแล้ว แนวความคิดและการปฏิบัติงานในการป้องกนั อาชญากรรมมุ่งเนน้ ท่ีการบังคับใช้กฎหมาย การตรวจท้องท่ี การจัดสายตรวจ การจัดเขตตรวจ เน้นการปรากฏตัวของเจ้าหน้าท่ีตำรวจสายตรวจ ลดช่องโอกาสในการกระทำผิดของคนร้าย มุ่งการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือเคร่ืองใช้พัฒนา เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการตรวจท้องท่ีซึ่งถือเป็นการดำเนินการป้องกันอาชญากรรมโดยเจ้าหน้าที่ ตำรวจเท่าน้ันไม่มีความร่วมมือจากหน่วยงานอ่ืนท้ังภาครัฐภาคเอกชนหรือแม้กระทั่งคนในชุมชนเอง ทำให้การป้องกันอาชญากรรมไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ต่อมาเมื่อมีแรงกดดันต่อการเปล่ียนแปลง ต่าง ๆ ทำให้แนวทางการป้องกันอาชญากรรม มุ่งเน้นที่ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม มิใช่ ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่าน้ัน มีแนวคิดมุ่งเน้นท่ีชุมชนมากข้ึน เน้นการมี ส่วนร่วมของประชาชน มีการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เป็นแนวคิดท่ีเรียกว่า “ตำรวจชุมชนสัมพันธ์” ซ่ึง แนวทางการดำเนนิ งานนเี้ ป็นแนวทางที่ถือเป็น “งานตำรวจเชิงรกุ ” (Proactive Policing) ต่อมาดว้ ย ความพยายามของนักวิชาการจึงนำทฤษฎีบังคับใช้กฎหมายและทฤษฎีตำรวจชุมชนสัมพันธ์มา ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยสาระสำคัญของทฤษฎีนี้อยู่ท่ีการลดช่องโอกาสสำหรับการประกอบ อาชญากรรม ท้ัง 3 ทฤษฎีน้ีจึงนำมากำหนดเป็นแนวทางป้องกันอาชญากรรมของกองบังคับ การ ปราบปรามในศตวรรษท่ี 2 ทฤษฎีการป้องกันอาชญากรรมมี 3 แนวทาง คือ (ณรงค์ บำรุงรัตน์, 2535, น. 22-25) ทฤษฎบี ังคบั ใช้กฎหมายทฤษฎตี ำรวจชุมชนสมั พนั ธ์และการควบคมุ อาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม 1. ทฤษฎบี งั คับใชก้ ฎหมาย โดยไม่จำเป็นต้องร้องขอความช่วยเหลือจากประชาชนโดยตรง โดยให้ความม่ันใจได้ว่า ตำรวจสามารถปฏิบัติงานด้านป้องกันอาชญากรรมได้โดยเอกเทศทฤษฎีน้ีเกิดขึ้นกลางศตวรรษที่ 19 โดยมีความเชื่อว่า การปรากฏตัวของตำรวจบ่อย ๆ ย่อมมีผลในการยับยั้งผู้ที่มีแนวโน้มจะประกอบ อาชญากรรมมิให้กระทำผิดเพราะเกรงกลัวต่อการจับกุมจึงมุ่งกระจายกำลังเจ้าหน้าท่ีตำรวจให้ ครอบคลุมทั่วพื้นที่มีสายตรวจแต่งเครื่องแบบให้เห็นเด่นชัดได้ง่ายและปฏิบัติงานตรวจทันที โดย สม่ำเสมอเพ่ือเป็นการลดช่องโอกาสของผู้ที่จะกระทำผิดและตามแนวความคิดนี้จึงให้ความสำคัญ กับ ตำรวจสายตรวจเป็นอันมากและกำหนดอัตราส่วนของตำรวจตอ่ ประชาชนในจำนวนทเ่ี ชื่อวา่ พอเพียง กบั การรบั ผิดชอบปัญหาอาชญากรรม วิลสัน และแม็คลาเร็น (Wilson & McLaren, 1973 อ้างถึงใน ปุระชัย เป่ียมสมบูรณ์,2531, น. 191) ศกึ ษาการป้องกันอาชญากรรมของตำรวจตามทฤษฎีบงั คบั ใช้กฎหมาย โดยไดก้ ำหนดยุทธวิธี ตำรวจขึ้นภายในแนวทฤษฎีน้ี เป็นการปรากฏตัวของเจ้าหน้าท่ีตำรวจย่อมมีผลในการยับยั้ง ผู้มี แนวโน้มที่จะประกอบอาชญากรรมเพราะความเกรงกลัวการจับกุมจึงเป็นหลักการในเรื่องของ การ ตรวจท้องที่ การต้ังตู้ยาม การตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ รวมท้ังการจัดยามเฝ้าสถานทสี่ ำคญั การปรากฏ ตัวของเจ้าหน้าที่ก็ควรจะต้องแต่งเครื่องแบบที่เรียบร้อยทะมัดทะแมงสมบูรณ์แบบ ยานพาหนะ

18 ลักษณะที่เห็นได้เด่นชัด เพ่ือเป็นการข่มขวัญอาชญากร การออกตรวจอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง อัน สร้างความม่ันใจให้ชุมชนว่ามีตำรวจอยู่ทั่วไปและตลอดเวลา สำหรับเคร่ืองมือท่ีจะใช้ใน การส่ือสาร กับประชาชนน้ันจงึ มีลักษณะเป็นการสื่อสารทางเดียวท่ีเรียกว่า “การประชาสัมพันธ์” ซ่ึงมุ่งหมายใน การเสรมิ สร้างความเขา้ ใจและกอ่ ให้สาธารณชนมุ่งสนบั สนุนตอ่ งานตำรวจ 2. ทฤษฎตี ำรวจชุมชนสัมพันธ์ ในราวทศวรรษที่ 1920 แนวทางปฏิบตั ิเก่ียวกับ “ตำรวจชุมชนสัมพันธ์”ไดร้ บั การพัฒนาข้ึน เกิดเป็นทฤษฎชี ุมชนสัมพันธ์ โดยมีรากฐานแนวความคิดและผลการวิจัยของนักอาชญาวิทยา กลุ่ม ชิคาโก หรือสำนักนิเวศวิทยาอาชญากรรมภายใต้การนำของ พาร์ค (Park, 1925 อ้างถึงใน สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์, 2532, น. 12-13) ซ่ึงทฤษฎีน้ีได้พยายามจูงใจให้นักอาชญาวิทยาท้ังหลายเห็น ความสำคัญของปัจจัยต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมของเมืองที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมของอาชญากร ต่อมาความคิดเหล่านี้ได้แพร่หลายได้รับความสนใจและรวมตัวกันทำวิจัยในเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย จากการศึกษาวิจัยสรุปได้ว่า อาชญากรรมเป็นปรากฏการณ์ถาวรตามลักษณะพื้นที่ บริเวณใดท่ีขาด ระเบียบในสังคมหรือเกิดมลภาวะแตกแยกของกลไกทางสังคมท่ีมีหน้าที่ค้ำจุนความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล หรือขาดความร่วมแรงร่วมใจตลอดจนกำลังใจของสมาชิกในสังคมก็จะก่อให้เกิดอาชญากรรม ได้ง่ายและมีสถิติสูงกว่าพ้ืนท่ีอ่ืนจากแนวความคิดน้ีเอง ต่อมาได้เกิดแนวความคิดท่ีเรียกว่า “หมู่บ้าน ในเมือง” (Urban Village) เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในสังคม โดยจัดสภาพพ้ืนที่ในชุมชนให้มีลักษณะ เอ้ืออำนวยต่อการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของคนในชุมชนต่าง ๆ เพ่ือลดปัญหาและป้องกัน อาชญากรรมได้มากข้ึน ทฤษฎชี ุมชนสมั พันธ์เปน็ การจัดสภาพทั่วไปไม่วา่ จะในระดบั เมือง ชุมชน หรือละแวกบ้านใหม้ ี ลักษณะเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลให้ง่ายต่อการควบคุมและสังเกตตรวจตรา ไม่ล่วงล้ำ สทิ ธิเสรีภาพสว่ นบุคคล มุ่งสนับสนุนสง่ เสริมให้สมาชิกในชุมชนมีส่วนร่วมในการปอ้ งกัน ชวี ิต รา่ งกาย และทรัพย์สินทั้งของตนเองและผ้อู ื่นให้ปลอดภัยจากอาชญากรรมและให้ปรับบทบาท ตำรวจเสยี ใหม่ โดยทำหน้าทีเ่ ป็นผูว้ างแผน สนับสนุนและใหค้ ำปรกึ ษาแกช่ ุมชน หลักใหญ่ใจความของแนวคิดชุมชนสัมพันธ์เพ่ือป้องกันอาชญากรรมก็คือการจัดสภาพ ทวั่ ไป ไม่ว่าในระดับเมือง ชุมชน หรือละแวกบ้านในลกั ษณะเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างงาน บุคคลง่าย ต่อการควบคุม สังเกตตรวจตราโดยไม่ล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล รวมท้ังมุ่งสนับสนุนส่งเสริมให้ สมาชิกในชุมชนมีส่วนร่วมในการป้องกันชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินทั้งของตนและบุคคล อ่ืนให้ ปลอดภัยจากอาชญากรรม ทั้งนี้ควรได้รับความร่วมมือจากประชาชนด้วยซ่ึงสามารถดำเนินการ ได้ 3 แนวทาง ประกอบกัน คอื (สวสั ด์ิ อมรวิวัฒน์, 2532, น. 12-13) 1. การประชาสัมพันธ์เพ่ือให้ภาพพจน์ของตำรวจท่ีแสดงต่อประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ต่าง ๆ ท้ังหน่วยงานราชการและกลุ่มบุคคล เช่น ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา พ่อค้า ประชาชน ท่ัวไป ปรากฏออกมาดีโดยตำรวจจะตอ้ งสร้างความเข้าใจให้กับกลุ่มเป้าหมายเก่ยี วกับวัตถุประสงค์ นโยบาย และระเบียบวิธีการดำเนินงานของตำรวจ ในการท่ีจะให้บริการประชาชน บังคับการใช้ กฎหมายให้ เป็นไปตามหน้าท่ีของตำรวจและสร้างความมั่นใจว่าตำรวจจะรักษากฎหมายอย่างมีสมรรถภาพด้วย ความเท่ียงธรรมเสมอภาค

19 2. การให้บริการแก่ชุมชน สามารถดำเนินในรูปแบบการให้ความรู้แก่ประชาชนหรือ การจัด กิจกรรมเพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตในชุมชนน้ัน ๆ ได้แก่ โครงการอบรมเด็กและเยาวชนเก่ียวกับ การ ปอ้ งกันอาชญากรรมต่าง ๆ โครงการอาสาสมคั รแจง้ ขา่ วอาชญากรรม โครงการตรวจเยยี่ ม ประชาชน สอบถามปญั หาทุกขส์ ุขท่ตี ำรวจพอจะชว่ ยได้ 3. การเข้ามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ โดยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในการท ำงานร่วมกับ ประชาชน สโมสร สมาคม หรือองค์กรสาธารณกุศลต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนหันมาให้ความสนใจต่อ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของชุมชน หรือช่วยแก้ไขปัญหาอาชญากรรมท่ีเกิดขึ้นในชุมชนใด ชุมชน หนึ่ง นอกจากน้ียังมีแนวทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อม ซ่ึงเป็น แนวความคิดรวม ระหว่าง ทฤษฎีบังคับใช้กฎหมาย และทฤษฎีชุมชนสัมพันธ์โดยมีหลักมุ่งลดช่วง โอกาสสำหรับการ ประกอบอาชญากรรม อย่างไรก็ดีแนวคิดนี้ไม่ได้มองข้ามบทบาทของตำรวจท้องที่ท้ังหมด ตามแนวคิดน้ีตำรวจ จะมี บทบาทเป็นฝ่ายวางแผน สนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่ชุมชนในการป้องกันอาชญากรรม กล่าวคือ ตำรวจตามแนวความคิดนี้จะไม่มีสภาพเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการป้องกันอาชญากรรม นอกจากนี้ ข้อเสนอที่ตามมาคือ การยกเลิกตำรวจสายตรวจที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน โดยปริยาย ดังน้ัน ถ้ามีการประยกุ ตใ์ ช้มาตรการและแนวคิดชุมชนสัมพนั ธ์ได้พยายามแสวงหา คำตอบสำหรบั การ ป้องกันอาชญากรรมย่อมได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างมาก เนื่องจากต้อง ศึกษาเพ่ือปรับใช้และ กำหนดบทบาทใหม่หมด ซ่ึงอาจก่อให้เกิดแรงต้านทางอย่างหนักจากตำรวจ ระดับปฏิบัตกิ าร แนวคิด ชมุ ชนสมั พนั ธ์ไดพ้ ยายามแสวงหาคำตอบสำคัญการปอ้ งกันอาชญากรรม ในปัจจุบัน โดยมุ่งลดช่องว่าง และโอกาสของการประกอบอาชญากรรมที่เกดิ ในชุมชน ซ่งึ นับวา่ ได้ มีคุณค่ายิง่ 3. ทฤษฎีควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดลอ้ ม เกิดขึ้นจากเหตุผลจากสภาพของความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจสังคมและการเพ่ิมขึ้น ของประชากรในสังคมท่ีเปล่ียนมาเป็นสังคมอุตสาหกรรม สภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคมแบบ ต่างคนต่างอยู่ การแยกตัวของชุมชนของบุคคล ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกว่าไม่มีความมั่นคงในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน ทำให้เกิดความรู้สึกอ้างว้างโดดเด่ียว ลักษณะดังกล่าวนำไปสู่การทำให้เกิดผล ร้ายต่อสังคมโดยรวม เป็นการกร่อนทำลายโครงสร้างของความสัมพันธ์ภายในชุมชน สมาชิกภายใน ชมุ ชนตา่ งปลอ่ ยปละละเลยต่างคนต่างเอาตัวรอดไมส่ นใจตอ่ การป้องกันปัญหาอาชญากรรม ทำให้ ใน ที่สุดปัญหาอาชญากรรมจึงกลายเป็นความรับผิดชอบของตำรวจแต่เพียงฝ่ายเดียว ความปลอดภัย ของสมาชิกชุมชนจึงอยู่ในภาวะท่ีเส่ียงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม (ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ , 2526, น. 17) ทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดลอ้ มเปน็ ความพยายามของนกั วิชาการท่ีจะ นำ แนวความคิดทฤษฎีบังคับใช้กฎหมายและทฤษฎีตำรวจชุมชนสัมพันธ์มาประยุกต์ใช้ให้เกิด ประโยชน์ โดยสาระสำคัญของทฤษฎีนี้อยู่ท่ีการลดช่องโอกาสสำหรับการประกอบอาชญากรรม ภายใต้เงื่อนไข สภาพแวดลอ้ มทัง้ ที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม รวมทั้งความสัมพันธข์ องสมาชกิ ใน สังคมภายใต้กรอบ กฎหมายซง่ึ ตราขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนสว่ นรวมดว้ ย

20 สำหรับแนวทางหลักของการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดลอ้ มมี 2 แนวทาง คือ แนวทางแรก การกล่อมเกลาและปลูกฝังจิตสำนึกสำหรับบุคคลจัดเป็นแผนระยะยาว ซ่ึง เกี่ยวข้องกับหลายสถาบันทางครอบครัว เริ่มจากครอบครัว สถาบันการศึกษา ศาสนาและการเมือง และจำเปน็ ตอ้ งกระทำอย่างตอ่ เน่ืองและยาวนาน แนวทางท่ีสอง การจัดการสภาพแวดล้อมเพ่ือขัดขวางการละเมิดกฎหมาย คือ เป็นแผน เรง่ ด่วนและต่อเนือ่ ง ซ่งึ สามารถแยกพจิ ารณาได้ 2 มิติและมีมาตรการรองรับกล่าวคือ มิติที่ 1 สภาพแวดลอ้ มรปู ธรรม 1. ระดับชุมชนเป็นมาตรการการวางผังเมืองและชุมชนการติดต้ังไฟฟ้าส่องสว่าง การ ออกแบบอาคารและการสลกั หมายเลขบนทรัพยส์ ิน 2. ระดับบ้านเรือน เป็นมาตรการความมั่นคงของประตูหน้าต่าง การใช้สัญญาณเตือนภัย การใชอ้ ปุ กรณเ์ ปดิ ปดิ เครอื่ งใช้ไฟฟา้ และอืน่ ๆ มติ ทิ ่ี 2 สภาพแวดล้อมนามธรรม 1. มาตรการเพ่อื นบ้านเตอื นภยั 2. มาตรการสายตรวจประชาชน 3. มาตรการตรวจตราบ้านเมอื ง จากการศึกษาของอัลแมน (Altman, 1968 : อ้างถึงใน ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์, 2526, น.43) เก่ียวกับอิทธิพลของสภาพแวดล้อมรูปธรรมมีผลต่อพฤติกรรมทางสังคมได้อธิบายว่า ไม่ว่ามนุษย์หรือ สัตว์ต่าง ๆเครื่องหมายในสภาพแวดล้อมเพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงสิทธิในความเป็น เจ้าของและต่อสู้ เพ่ือป้องกันตนเองจากผู้รุกราน สำหรับในสังคมมนุษย์ดังกล่าวแบ่งตามลักษณะ การครอบครองของ บุคคล หรือกลุ่มบุคคลได้ 3 ประเภท คือ พ้ืนท่ีปฐมภูมิได้แก่พื้นที่ครอบครอง โดยสังคมท่ีบุคคลท่ัวไป สามารถเข้าไปได้โดยชอบธรรม ภายใต้ขอบเขตที่กำหนดไว้ได้แก่ สวนสาธารณะ โรงพยาบาล โรง มหรสพ พื้นที่ทุติยภูมิ ได้แก่พ้ืนท่ีเชื่อมต่อระหว่างพื้นท่ีปฐมภูมิและพ้ืนที่สาธารณะได้แก่ ตรอกซอย ยา่ นที่อยอู่ าศัย เปน็ ต้น การจัดสภาพแวดล้อมในชุมชนเพ่ือป้องกันอาชญากรรมในปัจจุบันไม่ได้รับความสนใจจาก หน่วยงานรัฐบาลอย่างเพียงพอจึงมักจะเกิดปัญหาอาชญากรรมในบริเวณพ้ืนที่ต่าง ๆ ท้ังนี้เนื่องจาก ผังเมืองและชุมชนอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต และพฤติกรรมของพลเมืองทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกอาชญากรรมมักอาศยั ช่วงโอกาสในสภาพแวดล้อมประกอบอาชญากรรมจึงทำให้ประชาชน ผู้ใช้ ประโยชน์พื้นท่ีในชุมชนต้องพ่ึงพาเมตตาธรรมของผู้ออกแบบผังเมืองอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้และ ลกั ษณะการจดั สภาพชมุ ชนก็มผี ลตอ่ การเพม่ิ หรือลดอาชญากรรมด้วย สภาพแวดล้อมระดับบ้านเรือน การจัดสภาพแวดล้อมระดับบ้านเรือนให้ปลอดภัยจาก อาชญากรรม ได้แก่ประตูหน้าต่างควรเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์สำหรับรักษาความปลอดภัยโดยเฉพาะ กุญแจที่มีคุณภาพเพราะจะทำให้การทำลายหรือสะเดาะกระทำได้ยากยิ่งขึ้นและคนร้ายต้องใช้ เวลานานเส่ียงต่อบุคคลอื่นจะพบเห็นและหน้าต่างควรปิดเสมอในเวลากลางคืน หน้าต่างบานเกล็ด ควรติดไว้สำหรับหน้าต่างช้ันบนและอยู่ในทิศทางไม่ลับตาคนควรติดต้ังสัญญากันขโมยและติด เหล็กดดั เพอ่ื ความแขง็ แกร่งให้แก่ประตหู นา้ ต่าง

21 การจัดสภาพแวดล้อมตามนามธรรม ถือได้ว่าเป็นหัวใจของการป้องกันอาชญากรรม วิธีหน่ึง เพราะเป็นบทบาทและความรับผิดชอบร่วมกันของชุมชนในการสอดส่องดูแลความปลอดภัย ภายใน ชุมชนท่ีอยู่อาศัยของตน ตลอดจน แจ้งเหตุด่วน เหตุร้ายแก่เจ้าหน้าท่ีตำรวจมาตรการในการป้องกัน อาชญากรรม ได้แก่ 1. เพ่ือนบ้านเตือนภัย เป็นการรวมตัวของประชาชนชาวเมืองประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วง ทศวรรษที่ 1960 โดยมีหลกั ดำเนินการ สมาชกิ อาสาสมคั รในโครงการเพื่อนบ้านเตอื นภยั จนแบง่ กลุ่ม พ้ืนท่ีรับผิดชอบและเลือกต้ังบุคคลข้ึนทำหน้าท่ีหัวหน้ากลุ่มเพ่ือประโยชน์ในการติดต่อ ประสานงาน สมาชิกอาสาสมัครจะช่วยกันสังเกตสอดส่องและแจ้งพฤติกรรมบุคคลยานพาหนะ หรือสภาวการณ์ท่ี น่าสงสัยไปยังตำรวจท้องที่และเพื่อนบ้านโดยอาศัยการติดต่อทางโทรศัพท์เป็นหลัก สำหรับตำรวจ ท้องถ่ิน นอกจากจะช่วยวางแผนดำเนินการแล้ว ยังมีบทบาท สำคัญในการให้ความรู้เกี่ยวกับกลวิธี ของคนร้ายและแนะนำสมาชิกถึงวิธีท่ีเหมาะสม ในการให้ความคุ้มครอง ครอบครัวและทรัพย์สินจาก โจรภัย มีการจัดทำจุลสารเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะอาชญากรรม ประเภทและลักษณะพ้ืนที่ เป้าหมายของอาชญากรรม แผนประทุษร้ายของคนร้ายตำหนิ รปู พรรณ และภาพถ่ายอาชญากรรมท่ี หลบหนรี วมทั้งคำแนะนำท่เี ปน็ ประโยชน์อนื่ ๆ 2. สายตรวจประชาชน เป็นโครงการท่ีนำมาใช้กับที่พักอาศัย แฟลต หรือสถานที่ที่เช่นน้ี มี บริเวณทางหน้าห้องพัก ทางขึ้นบันได ภายในลิฟท์หรือแม้แต่บริเวณลานจอดรถซึ่งปราศจาก ผู้รับผิดชอบโดยตรง จึงเป็นโอกาสที่อาชญากรแต่ละประเภทจะฉวยโอกาสประกอบอาชญากรรมได้ ง่าย ดังน้ัน การเคหะของมหานครนิวยอร์ค ได้คัดเลือกอาสาสมัคร 11,000 คน ซึ่งพักอาศัยในอาคาร เคหะแบ่งพื้นท่ีเขตการรับผิดชอบจากบริเวณทั้งหมดของอาคาร 650 หลัง โดยมีหลักดำเนินการ คือ อาสาสมัครหน้าที่หมุนเวียนกันรับผิดชอบตรวจตราในเขตพ้ืนที่ของตน สังเกตบุคคลยานพาหนะและ อาคารสถานท่ีท่ีผิดจากสภาวะปกติดูแลความเรียบร้อยภายนอกให้แก่สมาชิก ในชุมชน และในขณะ ปฏิบัติหน้าท่ีก็ยังสามารถทำความคุ้นเคยกับเพ่ือนบ้านของตน ในย่านน้ัน ๆ ได้อีกด้วยเป้าหมาย ร่วมกันของอาสาสมัครเหล่าน้ีก็คือ ช่วยกันสร้างชุมชนของตนให้ปลอดภัยจากอาชญากรรมให้มาก ท่ีสุดส่งเสริมความสัมพันธ์และความอบอุ่นในชุมชน รวมท้ังเก้ือกูลซึ่งกันและกันในด้านต่าง ๆ เม่ือ อาสาสมัครตรวจพบสถานการณ์ท่ีน่าสงสยั เกิดข้ึนในบริเวณใด หน้าที่ของสายงานตรวจ อาสาสมคั รก็ คือการโทรศัพท์แจ้งเหตุกับตำรวจท้องท่ีหรือสายตรวจรถวิทยุโดยเร็วจากน้ันก็รอรับตำรวจเม่ือมาถึง สถานที่เกิดเหตุพร้อมทั้งให้ข้อมูลข้ันต้นให้แก่เจ้าหน้าท่ีตำรวจหากมีความจำเป็นเพ่ือความปลอดภัย ภัยของเพื่อนบ้าน อาสาสมัครอาจพิจารณาดำเนินงานกระจายข่ายพร้อมท้ังแจ้ง แนวทางทค่ี วรปฏิบตั ิ สำหรับสมาชิกในละแวกบ้านท่ีตนรับผิดชอบ ตลอดจนประสานงานกับสายตรวจอาสาสมัครของ ชมุ ชนใกลเ้ คียงอื่นด้วย 3. ตรวจตราบ้านเรือน เป็นโครงการประชาชนช่วยจำกัดอาชญากรรมในเมือง Lima รัฐ Ohio และเมือง Kalamazoo รัฐ Michigan ซึ่งเป็นชุมชนที่ยังไม่มีการประยุกต์ใช้มาตรการ เพื่อน บ้านเตือนภัยและมาตรการสายตรวจประชาชน โดยมีหลักดำเนินการคือเพื่อนบ้านในละแวก บ้าน ใกล้เคียงจะช่วยเป็นหูเป็นตาแทนกันในระหว่างท่ีเพื่อนบ้านใกล้เคียงเดินทางไปประกอบธุรกิจ หรือ พกั ผ่อนตา่ งจังหวัด โดยเฉพาะไม่มีคนดูแลบ้าน ซึ่งนอกจากเพื่อนบ้านจะเป็นหลักในการช่วยเอาใจ ใส่

22 ในการดูแลเคหะสถานแล้วยังสามารถร้องขอให้ตำรวจช่วยตรวจตราเพ่ือส่งเสริมการดูแลของ เพื่อน บา้ นได้ดว้ ย การป้องกันอาชญากรรมโดยจัดการสภาพแวดล้อมจึงมิได้หมายถึงการป้องกันตนเอง แบบ โดดเดี่ยว โดยอาศัยเคร่ืองมืออุปกรณ์เท่าน้ัน แต่ยังหมายความรวมถึงการป้องกันอาชญากรรม พ้ืนฐานของชุมชนด้วย ประชาชนต้องเป็นฝ่ายจัดตั้งโครงการต่าง ๆ ขึ้นเองรวมทั้งรวมตัวกันเอง รวมทั้งโครงการท่ีอยู่อาศัย การออกแบบและจัดระเบียบผังเมืองหรือชุมชนที่อยู่อาศัยในลักษณะที่ เป็นการเสรมิ สร้างความสมั พนั ธใ์ นชมุ ชนอกี ด้วย การจัดสภาพทั่วไปไม่ว่าระดับเมือง ชุมชน หรือในก ลุ่มบ้านในลักษณะเสริมสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลให้ง่ายต่อการควบคุมสังเกตตรวจตราโดยไม่ล่วงล้ำสิทธิ เสรีภาพ ส่วน บุคคล มุ่งสนับสนุนส่งเสริมให้สมาชิกในชุมชนมีส่วนร่วมในการป้องกันชีวิต ร่างกายและ ทรัพย์สิน ของตนเองและของบุคคลอื่นให้ปลอดภัยจากอาชญากรรมเป็นวิธีการที่ใช้ประชาชนเป็น แกนนำใน การป้องกันปัญหาอาชญากรรมในส่วนของตำรวจก็มีบทบาทเป็นฝ่ายวางแผนสนับสนุน และให้ คำปรึกษาแก่ชุมชนในการป้องกันอาชญากรรมตามหลักชุมชนสัมพันธ์ (Community Relations Approach) งานป้องกันอาชญากรรมถือว่าเป็นงานหลักของตำรวจและมีความสำคัญยิ่งกว่า การ สอบสวนโดยใหค้ วามสำคัญกบั ยทุ ธวธิ ีของตำรวจในการปอ้ งกันอาชญากรรมที่มุง่ ไปที่การตรวจ ทอ้ งท่ี หรอื การลดตระเวนจนได้รับการขนานนามวา่ เปน็ กระดกู สันหลังของงานตำรวจ นอกจากนี้ ยังมีการใช้หลักการปรากฏตัวของตำรวจและการกระจายกำลังตำรวจให้ ครอบคลุมทั้งชุมชน โดยมีตำรวจสายตรวจเพื่อตรวจท้องที่ในชุมชนน้ัน ๆ การปรากฏตัวของตำรวจ ย่อมมีผลต่อการยับยั้งผู้ท่ีมีแนวโน้มจะประกอบอาชญากรรมและช่วยป้องกันอาชญากรรมเพราะ ผู้ที่ จะกระทำความผิดมีความเกรงกลัวต่อการจังกุม การตรวจท้องท่ีสม่ำเสมอและต่อเนื่องจะทำให้ สมาชกิ ในชุมชนเกิดความร้สู กึ ม่นั คงและอบอนุ่ คดิ วา่ ตัวเองได้รับการคุ้มครองและมีความปลอดภยั ใน ชีวิตและทรัพย์สินงานตรวจท้องที่หรือสายตรวจท้องที่มีลักษณะทั้งงานประจำและงานเฉพาะกิจ โดย ในงานประจำตำรวจสายตรวจมักได้รับการมอบหมายให้มีพื้นที่รับผิดชอบในการป้องกันและ ระงับ เหตรุ ้ายภายในระยะเวลาที่กำหนดให้แต่ละผลัดที่ปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ี ส่วนลกั ษณะงานเฉพาะกิจก็คอื ตำรวจ สายตรวจในเขตทุกพ้ืนท่ี คือ กำลังหลักพร้อมท่ีจะปรากฏตัว รวมตัวในทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง จากศูนย์ บัญชาการ เพือ่ การปฏบิ ัติงานเฉพาะกิจเร่งดว่ น โดยสรุปจะเห็นได้ว่า ทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรมจากสภาพแวดล้อมเป็นการน ำ กฎหมายและชุมชนสัมพันธ์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการป้องกันอาชญากรรมเพ่ือลดช่อง โอกาสสำหรับการประกอบอาชญากรรม ปัญหาของอาชญากรรมท่ีเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสภาพแวดล้อม เพ่ือก่อให้เกิด พฤติกรรมตา่ ง ๆ พอสรุปได้ คือ 1. มงุ่ ลดชอ่ งโอกาสสำหรบั ประกอบอาชญากรรมในสภาพแวดล้อมแต่มิไดล้ ะเลย ความสำคัญ ของตัวบุคคลซ่ึงมีแนวโนม้ หรอื สำนกึ ทจี่ ะละเมดิ หรือไมล่ ะเมิดกฎหมาย 2. มีความเพียงพอในการควบคุมอาชญากรรมประเภทประทุษร้ายต่อทรัพย์ให้อยูใ่ น ขอบเขต ทเี่ หมาะสม 3. มคี ณุ คา่ ทางปฏิบัตอิ ย่ใู นระดับสงู รวมท้ังสง่ เสรมิ หลกั ของศลี ธรรมและมนุษยธรรม

23 4. มุ่งสนับสนุนการรวมตัวและสัมพันธภาพระหว่างสุจริตชนในสังคมเพื่อให้เกิดแรงต้าน ทุจรติ ชน ซ่งึ เป็นคนกลมุ่ น้อยโดยอาศัยวิธีการท่ีอยภู่ ายใตก้ รอบของกฎหมาย 5. กำหนดนิยามของกฎหมายไว้เฉพาะกฎหมายที่ตราขึ้นเพ่ือผลประโยชน์ของ ประชาชน จำนวนมากทส่ี ุดไดร้ ับผลประโยชนส์ ูงสุดจากการบญั ญัติกฎหมายข้นึ แนวคดิ การมีส่วนรว่ มของประชาชนในการป้องกนั อาชญากรรม ชัยพ ร พานิชอัตรา (2533, น. 24 – 25)การมีส่วนร่วมของประชาชน (People’s Participation) ในการป้องกันอาชญากรรม คอื การให้ประชาชนมีบทบาทในการให้ความรว่ มมอื รักษา ความสงบเรียบร้อยภายในท้องที่ร่วมกับเจ้าหน้าท่ีตำรวจ แท้จริงแล้วเป็นสิ่งท่ีเกิดขึ้นพร้อมกับความ จําเป็นที่จะต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังเช่นการก่อรูปของหน่วยงานตำรวจในประเทศอังกฤษหรือ สหรัฐอเมริกาล้วนแต่เป็นผลมาจากความเรียกร้องของประชาชนที่จะให้มีผู้พิทักษ์คุ้มครองความ ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นสำคัญ แต่ถึงกระนั้นก็ตามบทบาทของประชาชนในการป้องกัน ปราบปรามอาชญากรรมจะประสบผลสำเร็จมิไดถ้ ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนเจา้ หน้าที่ตำรวจ ท้องท่ี ซ่ึงเป็นผู้รับผิดชอบอย่างใกล้ชิดกับการรักษาความเรียบร้อยแก่ประชาชน ท้ังเจ้าหน้าที่ตำรวจ พงึ ระลึกเสมอว่า การท่ีประชาชนให้ความรว่ มมือกบั ตำรวจในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมนั้น เป็นไปในรูปอาสาสมัครด้วยความเต็มใจของประชาชน ดงั น้ัน เพ่ือเป็นหลักประกันในความสำเร็จแห่งภารกิจระหวา่ งตำรวจกับประชาชนในการรณรงค์ ต่ออาชญากรรม นับเป็นความจําเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานต ำรวจ จะต้องให้มีหน่วยป้องกัน อาชญากรรมประจสถานีตำรวจท้องท่ี ประสานกิจกรรมปฏิบัติแนะนําประชาชนในการป้องกัน อาชญากรรมบทบาทของชุมชนในการป้องกันอาชญากรรมถือได้ว่าสำคัญมาก และเป็นหัวใจของการ ป้องกันอาชญากรรม เพราะเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของประชาชนทุกคนในการสอดส่อง ดูแล ความปลอดภัยในชุมชน ที่อยู่อาศัยของตน ตลอดจนแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายแก่เจ้าหน้าท่ีตำรวจ ซ่ึงการ ร่วมมือหรือความรับผิดชอบร่วมกันมีแนวทางปฏิบัติดังน้ีคือ การจัดโครงการเพื่อนบ้านเตือนภัยสาย ตรวจประชาชน และการตรวจตราบ้านเมอื ง เปน็ ตน้ กล่าวโดยสรุป จากแนวคิดข้างต้น การป้องกันอาชญากรรมหมายถึง การใช้มาตรการและ วธิ ีการตา่ ง ๆ ท่ีจะ ไมใ่ หเ้ กดิ อาชญากรรมขน้ึ โดยอาจจำแนกได้ ดงั นี้ การกำจัดต้นเหตกุ ารณ์ขจัดความ ปรารถนาที่จะกระทำผิด และการขจัดช่วงโอกาสที่จะกระทำผิด ซ่ึงท้ังหมดน้ีถือเป็นหน้าท่ีของ เจ้าหน้าท่ีรัฐบาล เอกชนและประชาชนในการร่วมมือกัน ซึ่งถือว่าเป็นงานในหน้าท่ีของตำรวจที่ สามารถร่วมมือกับภาคประชาชน ให้ความรู้กับประชาชน และสร้างเครือข่ายในการร่วมมือกันเพ่ือ ไม่ใหอ้ าชญากรรมเกดิ ขึ้น ความปลอดภัยในชีวิตและทรพั ย์สนิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีโครงการต่างๆ เพ่ือให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและ ทรัพย์สิน และประชาชนสามารถช่วยเหลืองานตำรวจได้ โดยสามารถแจ้งเหตุผ่านโทรศพั ท์ เจา้ หน้าที่ ตำรวจสามารถรพู้ ิกดั ทีแ่ น่นอน รวดเร็ว Police i lert u แอปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายผ่านสมาร์ทโฟน ขอความช่วยเหลือจากตำรวจได้ ตลอดเวลา 24 ชวั่ โมง

24 Police i lert u แอปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายผ่านสมาร์ทโฟน สำหรับประชาชนท่ัวไปที่อยู่ในประเทศไทย สามารถกดขอความช่วยเหลือจากตำรวจได้โดยการส่งข้อมูลส่วนตัว ภาพถ่าย เวลาเกิดเหตุ และ ตำแหน่งทเ่ี กิดเหตุ ไปยัง War Room ซ่ึงจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยรับเร่ืองตลอดเวลา 24 ชว่ั โมง และ จะประสานงานส่งเจา้ หน้าทีต่ ำรวจเขา้ ชว่ ยเหลือและใหบ้ รกิ ารได้ทนั ที แอป Police i lert u มวี ธิ ใี ชง้ านงา่ ย ๆ ดงั นี้ 1. เขา้ แอป Police i lert u (กดอนุญาติใหร้ ะบบเขา้ ถงึ ตำแหน่งและท่ีตงั้ ) 2. ระบบจะคน้ หาตำแหนง่ ที่ต้ังของคุณใหโ้ ดยอัตโนมตั ิ 3. กดปุ่มถ่ายรูปหรืออัปโหลดรูป –> พิมพ์ข้อความ –> เลือกประเภทการแจ้งเหตุ –> กดปุ่ม “แจ้งเหตุ” 4. เจ้าหนา้ ที่จะติดต่อกลับมาหาคุณโดยเรว็ ทีส่ ุด (ภายในเวลาไมเ่ กนิ 1 นาที) ถอื วา่ เปน็ วิธีท่ีง่าย สะดวก และรวดเร็วทสี่ ุดอีกหน่งึ วธิ ี สำหรับประชาชนในยุคที่มีมือถือเป็นปจั จยั ที่ 5 สามารถแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายได้ทันท่วงที มีสถานท่ีต้ังและรปู ถ่ายชัดเจน แถมไม่ต้องรอสายจาก 191 ทีบ่ างทีกโ็ ทรติดยากเหลือเกนิ อกี ด้วยซ่ึงประชาชนสามารถตดิ ตงั้ ลงในสมาร์ทโฟนไดฟ้ ร!ี ทั้งระบบ iOS และ Android ไมม่ คี า่ บริการใด ๆ

25 คณุ สมบัติแอป Police i lert u 1. วิธีใช้งานง่าย บรกิ ารฟรตี ลอด 24 ชว่ั โมง 2. สามารถพมิ พ์ข้อความหรือถ่ายภาพทีเ่ กิดเหตุ เพ่ือ “แจง้ เหต”ุ ได้อย่างงา่ ยรวดเร็ว 3. ไมจ่ ำเป็นตอ้ งบอกสถานที่เกดิ เหตุให้ย่งุ ยากซบั ซอ้ น เพราะระบบจะคน้ หาตำแหน่งทต่ี ้งั ของ คณุ ใหโ้ ดยอตั โนมัติ 4. เจา้ หนา้ ที่ติดตอ่ กลับมาหาคณุ ได้อยา่ งรวดเร็ว (ภายในเวลาไมเ่ กนิ 1 นาที) 5. มีระบบ Add Friend เพม่ิ เพ่ือนและสามารถแชทพดู คุยสอบถามผ่านแอปได้ 6. มรี ะบบ Response บนั ทึกประวตั ิการแจ้งเหตุของคุณโดยอตั โนมัติ 7. สามารถโทรหาตำรวจผา่ นแอปได้ 8. เข้าสูร่ ะบบผ่าน Facebook หรือกรอกขอ้ มลู เพื่อลงทะเบียนได้ นโยบายความปลอดภัยในชวี ติ และทรัพย์สินของ สถานีตำรวจภูธรสวี 1. ตดิ ต้ังกล้องโทรทัศน์วงจรปิดใหค้ รบทกุ พ้ืนที่ 2. ติดตง้ั หอกระจ่ายขา่ วแบบไร้สายเพ่ือกระจายข่าวครอบคลุมทุกพ้ืนท่ี 3. จดั รถพยาบาลฉกุ เฉินเพ่ือรบั สง่ ผู้ปว่ ยหรือผปู้ ระสบอุบัติเหตุไปสถานพยาบาลโดยเรว็ 4. เพ่มิ ประสทิ ธิภาพงานป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย ท้ังใหค้ วามรู้ เพ่ิมพนู ประสบการณ์ พรอ้ มจัดหาอปุ กรณ์ในการป้องกันภัยและกภู้ ัยทีท่ ันสมยั มีประสิทธิภาพ 5. จัดอบรม สัมมนา ฝกึ ทบทวนอาสาสมัครป้องกนั ภัยฝา่ ยพลเรอื น (อปพร.) ให้สามารถ ปฏบิ ัติงานช่วยเหลอื ประชาชนร่วมกับเจา้ หน้าที่อยา่ งเต็มศักยภาพ 6. ประสานความรว่ มมือกบั ทุกภาคส่วน ทง้ั หน่วยงานของรฐั เอกชน และประชาชน เพื่อเป็น เครอื ข่ายในการรว่ มกันดูแลป้องกนั และรักษาความปลอดภยั ใหก้ บั บา้ นเมือง งานป้องกันและปราบปราม สถานีตำรวจภธู รสวี นบั ว่าเปน็ งานท่ีสำคัญและเปน็ หัวใจหลกั ของ สถานตี ำรวจภธู รสวี มหี น้าที่โดยตรงในการป้องกนั และปราบปราม จบั กมุ ผกู้ ระทำผดิ กฎหมาย และมี

26 หนา้ ทด่ี แู ลทกุ ข์สุขของประชาชน เปรียบแสมอื นวา่ เปน็ การบำบดั ทกุ ข์ บำรงุ สุขใหแ้ กป่ ระชาชน โดย แบ่งระบบการปอ้ งกนั ปราบปรามความปลอดภยั มนชีวติ และทรัพยส์ นิ ตามโครงการพฒั นาสถานี ตำรวจเพื่อประชาชน ดังนี้ 1. ปรบั ปรงุ พฒั นาระบบสายตรวจให้เหมาะสมกบั สภาพอาชญากรรมและสถานการณ์ในพ้ืนที่ 2. ให้เจ้าหนา้ ทสี่ ายตรวจพบปะ เยยี่ มเยียนประชาชนอยา่ งสม่ำเสมอ 3. ปรับปรงุ ตู้ยาม และระบบที่พักสายตรวจให้มคี วามพรอ้ มทีจ่ ะสกดั จบั คนรา้ ย 4. ตัง้ จุดตรวจค้นบุคคลและยานพาหนะ 5. ระดมปอ้ งกันกวาดลา้ งอาชญากรรมทุกเดือน 6. ขยายงานตำรวจชุมชนสัมพันธ์ให้ครอบคลุมท้ังพื้นท่ี เพื่อแสวงหาความร่วมมือ และการมี สว่ นร่วมของประชาชน 7. พัฒนาตำรวจชมุ ชนโดยการกระจายกำลังตำรวจไปสกู่ ารปฏิบัติในพื้นทแี่ ละใหป้ ระชาชนมี ส่วนรว่ มในรปู แบบตา่ งๆในการป้องกนั ปราบปรามอาชญากรรม 8. เรง่ รัดการสบื สวนจบั กมุ คนร้ายคดที มี่ ผี ลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชน 9. ควบคมุ และปราบปรามแหลง่ อบายมุขอยา่ งตอ่ เน่ือง 10.ปราบปรามยาเสพตดิ ทกุ ชนิดและรณรงคใ์ นการป้องกนั ยาเสพตดิ 11.ปรบั ปรงุ ระบบการจัดทำและเก็บรวบรวมขอ้ มูลพ้ืนฐานของสถานตี ำรวจให้ถกู ต้อง 12.เพม่ิ ประสิทธิภาพในการป้องกนั ปราบปรามอาชญากรรม 13.จดั ทำและซกั ซ้อมแผนเผชญิ เหตุอยเู่ สมอ กล่าวโดยสรุป ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินหมายถึง ความปลอดภัยท่ีเจ้าหน้าท่ีตำรวจ จะต้องดูแลให้ประชาชนมีความปลอดภัยท้ังทางด้านชีวิตและทรัพย์ โดยภาครัฐได้ออกนโยบายต่างๆ มาเพื่อให้ประชาชนปลอดภัย โดยในภาคประชาชนก็ต้องให้ความร่วมในการแจ้งแบะแสร้ให้ภาครัฐ ทราบโดยทนั ถ่วงที เพื่อความรวดเรว็ หากมเี หตุ จะได้ไปถงึ ท่เี กิดเหตใุ ห้เรว็ ที่สดุ 2.2 ด้านสืบสวน พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 (พ.ศ. 2528, น. 36) อธิบายไววาการสืบสวน หมายถึงการเสาะหาทบทวนไปมา งานสืบสวน ( ตามกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา มาตรา 10(2) ) ได้ให้ความหมายของการ สืบสวนไว้โดยได้บัญญัติไว้ว่า การสืบสวนหมายถึง การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน ซึ่งพนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้ปฏิบัติไปตามอำนาจและหน้าท่ี เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของ ประชาชนและเพอื่ ทจ่ี ะทราบรายละเอียดแห่งความผดิ จากบทนยิ ามดังกลา่ ว สามารถแยกประเภทการสบื สวนออกเปน 2 ประเภท ไดแก 1. การสืบสวนท่ีไมเกี่ยวกับคดี ไดแก่ การสืบสวนทั่วไปเพ่ือรักษาความสงบเรียบรอยของ ประชาชน 2. การสืบสวนเกี่ยวกับคดี เปนกรณีที่ความผิดไดเกิดขึ้นแลว เจาหนาท่ีท่ีมีอำนาจจะทําการ แสวงหาขอเทจ็ จริงและพยานหลักฐาน เพื่อทจ่ี ะทราบรายละเอยี ดแหงการกระทำความผดิ ประเสริฐ เมฆมณี (2525, น. 21) กลาวถงึ อินบัว (Inbau) โมเอนสเสนส ( Moenssens ) และวทิ ัลโล (Vitullo) ผูเช่ียวชาญดานกจิ การสบื สวน และเปนผูรวมเขยี นศาสตรแหงการสบื สวนของ

27 ตำรวจ (Scientific Police Investigation) ไดกล่าวสนับสนุนยืนยันวาการไปปรากฏตัวในที่เกิดเหตุ ของเจาหนาที่ตำรวจ เพื่อสบื สวนแสวงหาขอเทจ็ จรงิ แหงคดี จงึ จำเปนอยางยง่ิ ทจ่ี ะตองใชความรูทาง วิทยาการตำรวจ และอุปกรณเคร่ืองมือทางวิทยาศาสตรตรวจสอบประจักษพยานหลักฐานรองรอย แห่งการกระทำความผิด เชน ภาพถ่าย ลายพิมพนิ้วมือ อาวุธหรืออุปกรณเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใน การกระทำ ความผิด ทศิ ทางเขาออกของคนราย คราบโลหติ สารเคมี เอกสารหรอื วตั ถพุ ยานที่เกย่ี วเน่ืองตาง ๆ กล่าวโดยสรุป การสืบสวนหมายถึง การที่เจ้าพนักงานตำรวจหรือฝ่ายปกครอง ได้แสวงหา ขอ้ เท็จจริงท่ีเปน็ ประโยชน์เกี่ยวกับคดี เพื่อท่ีจะใหร้ ู้ถึงสาเหตุของการกระทำความผดิ และเพ่ือนำไปสู่ บุคคลท่กี ระทำผดิ ในคดี ลักษณะของการสบื สวน ประเสริฐ เมฆมณี (2519, น. 235-236 ) 1. การสบื สวนกอนเกิดเหตุ (preventive investigation) การสบื สวนกอนเกดิ เหตเุ ปนการแสวงหาขอเท็จจริงเบ้ืองตนแหงเหตกุ ารณท่ัวไปเพ่ือใหไดมา ซ่ึงสาระขอมูลอันเปนประโยชนในการรักษาความสงบเรียบรอยของประชาชน และเพ่ือเปนการปอง กันเหตุรายโดยทั่วไป ลักษณะการสืบสวนกอนเกิดเหตุเปนการสืบสวนเพ่ือหาขาวติดตามการ เคลื่อนไหว เบาะแส และพฤตกิ ารณตางๆ ของคนรายกอนท่ีจะลงมือกระทําความผิดเกดิ ข้นึ 2. การสืบสวนหลังเกดิ เหตุ (primary investigation) การสืบสวนหลังเกิดเหตุ เปนการแสวงหาขอเท็จจริงและหลักฐานเพื่อที่จะทราบรายละเอียด แหงความผิด ลักษณะการสืบสวนหลังเกิดเหตุจะเปนการสืบสวนท่ีมีการกระทำความผิดเกิดข้ึนแลว โดยมวี ัตถุประสงคในการสบื สวน 3 ประการ 2.1 ในกรณีท่ีจับตัวผูกระทำความผิดได การสืบสวนในลักษณะน้ีเจาหนาที่ตำรวจจะตอง สบื สวนหาพยานหลักฐาน ขอเท็จจริง พยานบุคคล พยานเอกสาร และวัตถุพยานเพี่อท่ีจะนาํ มาพิสจู น ความผิดของผูตองหาในชั้นสอบสวน ตลอดจนในช้ันพิจารณาคดีของศาลเพ่ือท่ีจะสามารถลงโทษผู กระทำความผดิ ไดตอไป 2.2 ในกรณีท่ีรูตัวผูกระทำความผิด แตยังจับตัวไมได การสืบสวนในลักษณะนี้นอกจาก จะเปนการสบื สวนเพื่อเสาะแสวงหาขอเท็จจริงเก่ียวกับรายละเอียดแลว ยังจะตองทำการสืบสวนตวั ผู กระทำความผิดตอไปอีกดวย 2.3 ในกรณีที่ไมรตู ัวผูกระทำความผดิ และยงั มีทราบรายละเอียดแหงความผิดการสืบสวน ในลักษณะนี้จะตองทำการสืบสวนหาขอเท็จจริงและหลักฐาน เพ่ือใหไดรายละเอียดวาใครเปนผู กระทำความผิด กระทำความผิดเมื่อไร ที่ไหน อย่างไรและสาเหตุที่กระทำความผดิ นั้นเกิดจากสาเหตุ ใด กล่าวโดยสรุป ลักษณะของการสืบสวนหมายถึง การแสวงหาข้อเท็จจริงก่อนเกิดเหตุและหลัง เกิดเหตุแห่งการกระทำผิด ซึ่งก่อนเกิดเหตุน้ันเป็นการสืบหาข้อมูลเบ้ืองต้นเพื่อให้เกิดความสงบสุข ของประชาชนและชุมชน ส่วนหลังเกิดเหตุนั้นเพื่อท่ีจะทราบถึงรายละเอียดของการกระทำความผิด และเพอื่ ทเี่ ชื่อมโยงไปถึงผูก้ ระทำผดิ วธิ กี ารและหลกั การจัดการหน่วยงานสืบสวน อาชวันต โชติกเสถียร และคณะ (2546, น 8-10) วิธีการและหลักการจัดการหน่วยงานสืบสวน เป็นหน้าทข่ี องผู้บังคับบัญชาที่จะมีวิธีการและสรรหาบุคคลที่จะเขา้ มาทำหน้าท่ีสืบสวน ควรมีลักษณะ

28 อย่างไร และจะต้องอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับความรู้ใหม่ๆให้กับเจ้าหน้าท่ีท่ีทำงานด้านสืบสวน ซึ่ง สามารถแยกเป็นข้อๆได้ ดังนี้ 1. การคัดเลอื กเจาหนาที่ผู้มีความสามารถเหมาะสม โดยเหตุที่การสืบสวนน้ันตองอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของเจาหนาท่ีแตละคนเปนหลัก ดงั น้ันในฐานะของผูบังคับบัญชาผูท่ีมีหนาท่ีในการอํานวยการหรือจัดหนวยงานสืบสวนประการแรกก็ คือ ตองพิจารณาเลือกสรรเจาหนาท่ีผูใตบังคับบัญชา ทั้งนี้ โดยไมจํากัดชั้นยศซ่ึงมีความสามารถ เฉพาะตัวดี มีสถานภาพรางกายดี มีความสามารถในการสังเกตจดจํา กระตือรือรน คลองตัวสามารถ ใชถอยคํา-โตตอบ-ซักถามไดดี นอกจากท่ีกลาวแลวบุคคลเลือกสรรดังกลาว ยังตองเปนผูมี ความสามารถในการปรับตัวเขากับคนอื่นไดงาย มีมนุษย์สัมพันธดี มีความกวางขวางในทุกวงการ ตลอดทง้ั จะตองเปนผูมีความสามารถรกั ษาความลับ และมคี วามรับผิดชอบตอหนาทส่ี ูงเปนพเิ ศษ 2. การจดั กาํ ลงั พลใหเพยี งพอ ในการจัดหนวยงานเพ่ือทําการสืบสวนสอบสวนนั้น มีลักษณะเปนการปฏิบัติซ่ึงตองอาศัย ความรูความสามารถ ความชํานาญเปนพิเศษ จึงจำเปนจะตองมีการแบงสรรกำหนดหนาท่ีและความ รับผิดชอบของเจ้าหน้าที่สืบสวนอยางละเอียด ชัดแจง เปนสัดสวน เหมาะสมกับลักษณะการจัด กําลังคนใหพอดีกับภารกิจปฏิบัติ ดังนั้น จึงเปนหนาที่ของผูบังคับบัญชา ท่ีจะตองดำเนินการ พจิ ารณาวา ในการจัดรูปแบบของหนวยสืบสวนน้นั ๆ ควรมกี ําลังคนเทาใด ในการปฏบิ ัติหนาที่แตละ ครั้ง เจาหนาที่ผูออกปฏิบัติควรจะดำเนินการในลักษณะเดียว หรือออกในลักษณะเปนคูตรวจดังน้ี เปนตน ทั้งน้ีก็เพ่ือประโยชนตอการประสานงานในการปองกันและปราบปรามอาชญากรรม และแบงเบาภาระหนาที่ความรบั ผดิ ชอบ ระหวางหนวยงานและเจาหนาทตี่ ามความจำเปน 3. การสงเสริมสมรรถภาพการปฏิบตั งิ านสืบสวนสอบสวน นอกเหนือจากการคัดเลือกเจาหนาท่ีผูรวมงาน การจัดกําลังคนใหมีเพียงพอในการปฏิบัติ หน้าที่แลว สวนหนึ่งที่ผูบังคับบัญชา ผูมีหนาที่รับผิดชอบ จะดําเนินการนอกเหนือจากท่ีกลาวก็คือ การส่งเสริมสมรรถภาพการปฏิบัติงานสืบสวนสอบสวนของเจาหนาท่ีผูใตบังคับบัญชา เชน การฝกอบรมเจ้าหนาทสี่ ืบสวนสอบสวนใหมีความรูประสบการณเพิ่มขึ้น และพัฒนาแนวปฏิบตั ิในการ สืบสวนสอบสวนเพื่อใหมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน นอกจากน้ันการสงเสริมในดานขวัญ กําลังใจ การใหสิ่ง ตอบแทน การใหรางวลั การขึ้นขนึ้ เงินเดือนเปนกรณีพิเศษ นอกเหนือจากปกตกิ ็ถือไดวาเปนสวนหน่ึง ของการสงเสรมิ สมรรถภาพการปฏบิ ตั ิหนาทข่ี องเจาหนาท่ีผูทาํ การสืบสวนอีกสวนหนึ่งดวยเชนกัน 4. การจัดสรรปจจยั ในการสบื สวนสอบสวน “ทุนทรัพย” ถือไดวาเปนปจจัยท่ีสําคัญอีกประการหน่ึง ของการสืบสวนสอบสวนจะทําให งานสามารถสําเร็จลุลวงไปดวยดี นอกจากการจัดสรรเงินแบงใหแตละหนวยของชุดสืบสวนไป ดำเนินการในการหาขาว การติดตามพยาน ฯลฯ แลวปจจัยอ่ืน ๆ ที่ผูบังคบั บัญชาผูมหี นาทีร่ ับผิดชอบ จะตองจัดสรรดำเนินการก็คือ การจัดเจาหนาท่ีชุดชวยเหลือ การจัดอุปกรณเคร่ืองมือ เคร่ืองใช การ จัดอุปกรณเครื่องบันทึกเสียง กลองถายภาพ เคร่ืองถายเอกสาร เปนตน ท้ังนี้เพราะในการดำเนินการ ของชุดสบื สวนนั้น แมจะมีประสิทธิภาพมากเทาใดก็ตาม แตหากขาดเสียซ่ึงปจจัยหรืออุปกรณในการ ใหความสนบั สนนุ ชวยเหลือแลวบางครั้งงานกไ็ มสามารถสําเร็จลลุ วงไปดวยดี

29 5. เครือ่ งมอื เคร่อื งใช้ต่างๆทชี่ ่วยในการสืบสวน หมายความถึง วิทยาการตำรวจซึ่งไดกาวหนาไปมาก และความสัมพันธกันระหวางผูชํานาญ การกับพนักงานสอบสวนตองมีอยางใกลชิด เชน การถายภาพ การวิเคราะหทางแสงฯลฯ วิทยาการ ดังกลาว สามารถจะทราบเหตุแหงการตายในคดีฆาตกรรม หรือทราบคุณลักษณะของยาเสพติด ใหโทษ สิ่งเหลาน้ีอาจใชเปนเคร่ืองเชื่อมโยงผูตองสงสัยกับสถานท่ีเกิดเหตุ โดยแสดงถึงรองรอยวัตถุ พยานในที่เกิดเหตุวามีสวนลักษณะเดียวกันกับที่พบในผูตองหาอยางไรบาง อยางไรก็ตามเคร่ืองมือ เคร่ืองใชท่ีชวยในการสืบสวน ไมไดหมายความถึงวิธีการทางเทคนิคและวิธีการอื่น ๆท่ีสามารถใชแกะ รอยและตรวจสอบ เคร่ืองเอก็ ซเรยเคร่ืองตรวจโลหะ รวมทั้งเคร่ืองมือในการสบื สวนอื่น ๆ กร็ วมอยูใน ขอบเขตความหมายอันนีด้ วย กล่าวโดยสรุป วิธีการและหลักการจัดการหน่วยงานสืบสวนหมายถึง วิธีการต่างๆ เพื่อท่ีจะให้ งานด้านสืบสวนมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีส่วนประกอบ ดังน้ี กำลังพล งบประมาณ ความรู้ ความสามารถ เคร่อื งมือ อุปกรณ์ และค่าตอบแทน หลกั การสืบสวน (ศรกฤษณ์ แก้วผลกึ . “หลกั การสบื สวน”. (ออนไลน)์ . เขา้ ถึงได้จาก : http://ipad.edupolice. org/knowledge/ KMinvest/InvesPrincipal.doc, 2559) ความจริงการสืบสวนเปน็ ธรรมชาตอิ ยา่ ง หน่ึงของมนุษย์ น้ันคือธรรมชาติของความอยากรู้อยากเห็นคงไม่มีมนุษย์คนใดทไี มเ่ คยมีความอยากรู้ อยากเหน็ จะตา่ งกนั ก็เพยี งพฤตกิ ารณข์ องความอยากรู้อยากเห็นเท่าน้ันท่ีไม่เหมอื นกนั ใครมคี วาม อยากรู้อยากเหน็ มากและจรงิ จงั กจ็ ะพยายามใหไ้ ด้รูใ้ นส่ิงที่อยากจะรูน้ ั้นจนได้ แมไ้ มเ่ คยมวี ิชาความรู้ ในการสืบสวนมาก่อนโดยเขาเหลา่ น้ันจะใช้สามญั สาํ นึกและ วิจารณญาณของตวั เอง ตามทีวิญญชู น ทว่ั ไปพึงมคี น้ คว้า สืบเสาะฯลฯ จนสามารถรใู้ นส่ิงที่อยากจรู้น้ันได้ เชน่ ภรรยาสามารถจับผดิ สามีที่ นอกใจไปมีภรรยาน้อยไดโ้ ดยไม่ต้องไปเรียนวิชา สบื สวนจากทีไหนมาก่อนน้ันเป็นเพราะภรรยาหลวง มคี วามอยากรู้อยากเหน็ อย่างจริงจงั ว่าสามไี ปมีภรรยานอ้ ยจรงิ ๆหรอื ไม่ และสิ่งหนึ่งที่พวกเขา เหล่านั้นต้องทำ ก็คือการรวบรวมข้อมลู วิเคราะหข์ ้อมลู แล้วนํามาคาดเดาด้วยการสร้างจินตนาการ ตามสามญั สํานึกแหง่ ดังนั้นการสบื สวนจึงมีหลกั ในการปฏบิ ัติคือการรวบรวมข้อมลู ที่เกี่ยวข้องกบั คดีให้มากทีสุดเท่าที่ จะมากได้แล้วนําข้อมูลน้ันมาวิเคราะห์ และคาดเดา ด้วยการสร้างจินตนาการตามสามัญสํานึกแห่ง บคุ คลบนพื้นฐานของเหตุและผลโดยตั้งเป็นสมมุติฐานแลว้ พิสูจนส์ มมุติฐานนั้นเพราะฉะนั้นข้อมูลของ คดีจึงเป็นปัจจัยอันสำคัญที่สุดในการสืบสวนโดยทั่วไปแล้ว“ข้อมูล” จะแบ่งออกเป็นชนิด คือ ขอ้ เท็จจริง คือข้อมลู ท่ีเป็นความจรงิ ได้รบั การพิสูจน์วา่ เป็นความจริงแล้วข้ออนุมาน คือ ข้อมลู ทีคาด เดาเอาเองยังไม่ได้รบั การพสิ ูจน์ว่าเป็นความจริง หรืออาจกล่าวได้ส้ัน ๆว่า การสืบสวนคอื การแสวงหา ข้อเท็จจริงและหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดและเพ่ือท่ีจะทราบรายละเอียดแห่งคดีเพราะฉะน้ันหัวใจ ของการสืบสวนก็คือการรวบรวมข้อมูล เพื่อหาข้อเท็จจริงนั้นคือการนําข้อมูลมาแยกแยะ ว่าข้อมูลใด เปน็ ข้อเท็จจรงิ ข้อมลู ใดเป็นขอ้ อนุมาน ดังนั้น จงึ นยิ ามได้วา่ วธิ ีการสืบสวนคือ กระบวนการรวบรวมข้อมูลทั้งหลายท้ังปวงท่ีเกี่ยวข้องกับ คดีแล้วนําข้อมูลน้ันมาแยกแยะ ให้เป็นข้อเท็จจริง และข้ออนุมานเพ่ือนํามาวิเคราะห์คดีทีเกิดขึ้นว่า นา่ จะเป็นเชน่ ใด ด้วยการสร้างจนิ ตนาการ ตามสามญั สํานึกแห่งบุคคลบนพ้ืนฐานของเหตุและผล โดย

30 ต้ังสมมุติฐานด้วยการแยกเป็นประเด็นปัญหา และจัดลำดับความสำคัญ และเร่งด่วนของประเด็น ปัญหานั้น แล้วรีบดำเนินการสืบสวนเพ่ือพิสูจน์สมมุติฐานไปตามลำดับความสำคัญและเร่งด่วนอย่าง ม่งุ มัน อดทน และต่อเนื่อง โดยมิชักช้า เพ่ือพิสูจน์ความผิดและจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดโี ดยยึด หลกั ความจริงตามแนวทางของตรรกวทิ ยา จิตวิทยาและปรชั ญา ตรรกวิทยาคือ วิชาท่ีว่าด้วยเร่ืองเหตุและผลซึ่งการสืบสวนต้องใช้หลักของเหตุและผลเป็น สำคญั ในการพจิ ารณาขอ้ มลู ใหเ้ ป็นข้อเทจ็ จริง จิตวิทยาคือ วิชาท่ีว่าด้วยเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์การสืบสวนเป็นเร่ืองทีเกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมของคนรา้ ย พยาน และผู้เสียหายโดยตรงเช่น การใช้หลักของพฤติกรรมมนุษย์ที่แสดงออก ต่อส่ิงเร้าไปสรา้ งเปน็ เคร่ืองมอื ทางวทิ ยาศาสตร์ใช้ในการจับเท็จหรอื การพจิ ารณาพฤติกรรมของผูท้ ่ีเรา กําลังสอบปากคํา ดังนันการสืบสวนจึงต้องพิจารณาพฤติกรรมของคนร้ายผู้เสียหาย และประจักษ์ พยานเพอื่ นาํ ไปสกู่ ารพจิ ารณาขอ้ มลู เป็นสำคัญ ปรัชญา คือ วิชาท่ีมีผู้ให้ความหมายไว้มากมาย แต่โดยสรุปแล้วปรัชญา คือวิชาท่ีว่าด้วยการ แสวงหาความรู้ที่เป็นจริงแท้แน่นอน ที่ไม่มีสิ่งใดจะจริงแท้ไปกว่านีอีกแล้วนั้นคือ ความรู้อันประเสริฐ คือไม่มีความรู้ใดที่ประเสริฐไปกว่านั้นอีกแล้ว ปรัชญาท่ีเอามาใช้เป็นแนวทางในการสืบสวนน้ันคือ วธิ กี ารวเิ คราะห์ข้อมลู ท่ีต้องวิเคราะห์อย่างปรัชญาว่า ข้อมูลนั้น ๆ เป็นจรงิ อย่างนั้นหรือไม่ มีความจริง เหนือขึ้นไปกว่าน้ันอีกหรือไม่ เช่นเราถามคนว่าบ่อน้ำอุ่นหรือเย็น ถ้ามีคนตอบว่าน้ำเย็น เราก็ต้องคิด ตอ่ ไปอกี ว่าคนท่ีตอบว่าน้ำในบ่อที่เยน็ น้ัน สภาพแวดล้อมหรอื บริบทของเขาขณะน้ันเป็นอย่างไรถ้าเขา มาจากท่ีร้อน เขาย่อมตอบว่าน้ำนั้นเย็น แต่ถ้าเขามาจากท่ีเย็น เขาย่อมตอบว่าน้ำน้ันอุ่นฉะน้ันการที่ คนตอบว่าน้ำเย็น ยังเป็นคําตอบที่ต้องค้นหาความจริงต่อไปว่าท่ีเขาว่าเย็นนั้นเป็นเพราะเหตุใด เป็น จรงิ เชน่ น้ันหรือไมก่ ารสืบสวนจงึ ตอ้ งพิจารณาขอ้ มลู โดยใช้แนวทาง ของปรชั ญา ตรรกวิทยา จิตวทิ ยา และปรัชญา จึงเป็นแนวทางท่ีนําไปสู่การพิจารณาแยกแยะข้อมูลให้เป็นข้อเท็จจริงหรือข้อ อนุมาน หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือในกระบวนการรวบรวมข้อมูลเพื่อนํามาวิเคราะห์น้ัน ผู้สืบสวนต้องคิดอย่าง ตรรกวิทยา จิตวิทยา และคิดอย่างปรัชญาและถ้าเรานําทฤษฎีระบบมาอธิบายเร่ืองการสืบสวนก็จะ เขียนเป็นระบบของการสืบสวนได้ ดงั น้ี 1. คดที เ่ี กิดขึ้น (Input) 2. กระบวนการรวบรวมขอ้ มลู โดยวธิ กี ารสบื สวน (Process) 3. จบั กุมผตู้ ้องหาไดพ้ ร้อมหลักฐานนาํ ฟ้องศาล (Output) ฉะนั้น ถ้าใครรวบรวมข้อมูลได้มากแยกแยะข้อมูลเป็น วิเคราะห์เก่ง ก็จะนําไปสู่ความสำเร็จได้ น้ันคือการพยายามหาข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุดเท่าท่ีจะทำได้ อะไรเป็นขอ้ เท็จจริงให้ตั้งไว้เป็นหลกั ยึด ข้อมูลใดเข้ากับข้อเท็จจริงท่ีนํามาตั้งไว้เป็นหลักยึดไม่ได้ข้อมูลนั้นไม่ถูกต้องให้ตัดท้ิงอย่างส้ินเชิงข้อ เท็จจริงจึงเป็นข้อมูลหลักท่ีจะเป็นแบบหรือแนวทางให้ข้อมูลอื่นมาสวมต่อได้อย่างสนิทสนมและ เจือสมเหมือนกับการต่อภาพจิกซอ ท่ีมีการต่อภาพไปเร่ือย ๆจนภาพสุดท้ายประกอบกนั กลายเปน็ รูป ท่ีสมบูรณ์ ดังน้ัน ข้อมูลใดที่เป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้วไม่ต้องพิสูจน์แล้ว จึงเป็นข้อมูลท่ีมีค่าท่ีผู้ทำงาน สืบสวนทั่วไปปรารถนากลา่ วโดยสรุปแลว้ เมื่อเกิดคดขี นึ้ จะมีบุคคลเข้าไปเก่ียวขอ้ งอยู่ในกลมุ่ คือ กลุ่มแรก ผู้เสียหายที่ถูกประทุษร้ายถ้าตายก็พูดให้ข้อมูลไม่ได้ นอกจากสภาพศพท่ีเกิดขึ้นถ้า ไมต่ ายก็จะมสี ภาพเป็นพยานบุคคลผู้หนึ่ง ซ่ึงส่วนมากก็ให้ขอ้ มลู ไดไ้ มท่ งั้ หมด

31 กลุ่มทส่ี องคนรา้ ย ซึ่งหนไี ปแล้ว กลุม่ ทสี่ าม พยานซ่ึงส่วนมากก็จะใหข้ ้อมลู ไดไ้ ม่หมดเช่นเดยี วกับกลุ่มแรก กลมุ่ ทสี่ ่ี ตำรวจผสู้ ืบสวน จะเป็นผทู้ ี่ไมร่ ูอ้ ะไรเลยก็จะเริ่มสืบสวนด้วยการรวบรวม ข้อมลู ด้วยวธิ ีการตา่ ง ๆ ตามวธิ ีการสบื สวนที่กล่าวมาแล้วขอ้ มลู ท่ีเปน็ จรงิ จงึ เป็นปัจจัยสำคญั ที่สุด ทต่ี อ้ งใช้ในการสบื สวน กล่าวโดยสรุป หลักการสืบสวนหมายถึง ความจริงท่ีเป็นเร่ืองธรรมชาติของมนุษย์ท่ีมีความ อยากรู้ อยากเห็น เพ่ือที่จะให้ทราบถึงพฤติกรรมของเหตุการณ์การท่ีเกิดขึ้น แล้วนำมาวิเคราะห์ถึง ความเป็นไปไดแ้ ห่งเหตุ 2.3 ด้านงานสอบสวน การสอบสวนหมายถึง (ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(11) )ใหค้ วามหมาย ไว้ว่าการสอบสวน หมายถึง \"การรวบรวมพยาน หลักฐาน และการดำเนินการทั้งหลายอ่ืนตาม บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ซ่ึงพนักงานสอบสวนทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา เพ่ือท่ีจะ ทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อท่ีจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ\" การสอบสวนนั้น มุง่ ท่จี ะปราบปรามการกระทำผดิ โดยการหาทางเอาผูก้ ระทำผิดมาลงโทษให้ได้ การสอบสวนหมายถึง สิบตำรวจโทชัชชัย วรรณสุทธิ์ (2563,น.33) การสอบสวนเป็น กระบวนการทางกฎหมายเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เก่ียวกับความผิดท่ีกล่าวหา หรือ พิสูจน์ความผิดและเอาตัวผกู้ ระทำผิดมาฟ้องลงโทษ ซ่ึงอาจจะไม่มีผู้กระทำผิดตามทกี่ ลา่ วหาก็ได้ โดย สิ่งที่ต้องการ คือ พยานหลักฐานซ่ึงแบ่งได้เป็นพยานบุคคล พยานวัตถุและพยานเอกสารโดยจะได้ อธิบายถึง ความหมายของการสอบสวน ข้อปฏิบัติของพนักงานสอบสวนเบ้ืองต้น รวมถึงเทคนิคและ วิธีการสบื สวน การสอบสวนหมายถึง สำนักงานพัฒนาและสนับสนุนคดีพิเศษกรมสอบสวนพิเศษกระทรวง ยุติธรรม (2558,น.11) การนำหลักค้นหาความจริงและหลักเหตุผลมาใช้เป็นหลักแนวคิดในการ สอบสวนรวบพยานหลักฐาน เพื่อให้ไดพ้ ยานหลกั ฐานท่ีเป็นความจรงิ และถกู ต้องอันจะทำให้เกิดความ ยุตธิ รรมตามความเป็นจริงได้อย่างแน่แท้ กล่าวโดยสรุป การสอบสวนหมายถึง กระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อจะได้ ทราบข้อเท็จจริง เพือ่ ท่ีจะนำผู้กระทำความผิดมาฟ้องใหไ้ ด้รับโทษตามทก่ี ฎหมายกำหนดไว้ แนวความคิดเกี่ยวกับการบรหิ ารงานของระบบงานสอบสวน แนวความคิดเกี่ยวกับการบริหารงาน การบริหาร ชุบ กาญจนประกร (2556,น.10-12) หมายถึง การดําเนินงานเพื่อให้บรรลุ จุดมุ่งหมาย หรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยอาศัยองค์ประกอบหรือปัจจัยต่าง ๆ ท่ีจําเป็นต่อการ บริหาร และวิธีการปฏิบัติงาน ตลอดจนหมายถึงการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปโดยอาศัยบุคคลอ่ืน ๆ องค์ประกอบหรือปัจจัยที่จําเป็นต่อการบริหารนั้น ในขั้นแรกมีอยู่ 3 ประการด้วยกัน คือ คน(Man) เงิน (Money) วัตถุส่ิงของ (Material) และวิธีการปฏิบัติงาน (Method) ท่ีเรียกว่า M แต่ต่อมาได้มี การ เพม่ิ องค์ประกอบเข้ามาอีกหลายประการ เชน่ อำนาจ หน้าท่ี เวลา ความต้ังใจในการทำงาน และ ส่ิงอาํ นวยความสะดวกต่าง ๆ ดังน้ัน ในปัจจุบันองค์ประกอบหรือปัจจัยที่จาํ เป็นต่อการบริหารจึงมีอยู่

32 ประการด้วยกัน คือ คน เงิน วัตถสุ ่ิงของ อำนาจหน้าที่ เวลา ความตั้งใจในการทำงาน และส่ิงอํานวย ความสะดวกตา่ ง ๆ ซ่ึงอาจถอื ว่าเปน็ ปัจจัยเหตุหรือสิ่งทใี่ ชไ้ ป (Input) ในการบรหิ ารงานแตล่ ะอย่าง จากความหมายของดังกล่าว จะเห็นว่าการบริหารมีลักษณะที่สำคัญ 3 ประการ คือ สุธี สุทธิ สมบูรณ์ (2523,น.1-5) 1. การบรหิ ารงานจะต้องมวี ตั ถุประสงค์ 2. การบริหารงานจะต้องมีองค์ประกอบหรือปัจจัยต่าง ๆ เช่น คน เงิน วัตถุสิ่งของ เป็นต้น เป็นเครื่องมอื ในการดาํ เนินงาน 3. การบริหารมลี กั ษณะเปน็ การดําเนินงาน ที่เปน็ กระบวนการตอ่ เน่ือง การบริหารมีลักษณะเป็นการดําเนินงาน ที่เป็นกระบวนการต่อเน่ือง สมพงษ์ เกษมสิน (2514,น.20-25) 1. นโยบาย (Policy) 2. อำนาจหน้าที่ (Authority) 3. การวางแผน (Planning) 4. การจัด รูปงาน (Organizing) 5. การดำเนนิ การเกี่ยวกับบุคลากร (Staffing) 6. การอํานวยการ (Directing) 7. การประสานงาน (Co-ordination) 8. การรายงาน (Reporting) 9. การงบประมาณ (Budgeting) นโยบาย (Policy) อมร รักษาสตั ย์ (2522,น.1) ได้ใหค้ วามหมายของนโยบายไวว้ า่ นโยบาย หมายถึง อุบายหรือกลเม็ดท่ีผู้มีอำนาจหน้าที่ได้พิจารณาเห็นว่าเป็นทางท่ีจะนำไปสู่ เป้าหมาย สว่ นรวมในเร่ืองใดเรือ่ งหนงึ่ อย่างเหมาะสมที่สดุ ประชุม รอดประเสริฐ (2544,น.13) กล่าวว่านโยบายเป็นข้อความหรือความเข้าใจร่วมกัน อย่างกว้าง ๆ ที่ใช้เป็นแนวทางการตัดสินใจเพ่ือการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ของผู้บริหารและของ หนว่ ยงาน วิจิตร ศรีสะอ้าน (2549,น.8) ได้เปรียบเทียบว่านโยบายเปรียบเสมือนเข็มทิศและหางเสือ ในการเดินเรอื ทจี่ ะพาเรือไปในทิศทางท่ีกำหนดไวไ้ ด้ ดังน้ันรัฐบาลจึงจำเป็นที่จะต้องกำหนดนโยบาย การศึกษาให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และการเปล่ียนแปลงของโลกปัจจุบัน เพื่อจะพา ประเทศใหพ้ ฒั นาไปในทิศทางที่ต้องการ กล่าวโดยสรุป นโยบายหมายถึง แนวทางหรือกรอบที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้ในการดำเนินงาน หรือปฏิบตั ิให้บรรลเุ ป้าหมายตามตอ้ งการ อำนาจหน้าที่(Authority) ราชบัณฑิตสถาน (2555,น.43) หมายถึงความสามารถในการ กำหนดกฎเกณฑ์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจในการบังคับใช้กฎเกณฑ์เหล่าน้ัน หรือความสามารถใน การอนุญาตให้บางส่ิงบางอยา่ งเกิดขึ้นได้ ผคู้ นยอมทำตามอำนาจหนา้ ที่เนื่องจากความเคารพ ในขณะ ที่ยอมตามอำนาจด้วยความกลัว ตัวอย่างเช่น \"สภามีอำนาจหน้าท่ีในการออกกฎหมาย\" เมื่อเทียบกับ \"ตำรวจมีอำนาจในการจับผู้กระทำความผิด\" อำนาจหน้าท่ีน้ันไม่จำเป็นต้องมีลักษณะที่คงเส้นคงวา

33 หรือว่าสมเหตุสมผล เพียงแต่ต้องเป็นสิ่งท่ีถูกยอมรับว่าเป็นแหล่งที่สามารถให้คำอนุญาตได้หรือเป็น สิง่ ที่จริงแท้ ความหมายของคําว่า อำนาจ รังสรรค์ ประเสริฐศรี (2548,น.247)(Power) หมายถึง ความสามารถซ่ึงบุคคล ทีมงาน หรือองค์การ มีอิทธิพลต่อพฤตกิ รรมของบุคคลอ่ืนให้บุคคลนั้นกระทำ หรือไม่กระทำตาม หรือหมายถึงความสามารถซ่ึงบุคคลหนึ่งมอี ิทธิพลในการส่ังการให้บคุ คลอื่นกระทำ ในส่ิงทต่ี นเองตอ้ งการ ความหมายของอำนาจ วิเชียร วิทยอุดม (2547,น.361) หมายถึง(Power) คือ ความสามารถ ของบุคคลหนึ่งบคุ คลใดในการใชอ้ ำนาจบงั คับผู้อื่นใหท้ ำส่ิงใดส่ิงหนึ่งตามทตี่ นต้องการ กล่าวโดยสรุป อำนาจหมายถงึ ความสามารถของบคุ คลหนึ่งบุคคลใด ที่มอี ิทธิพลตอ่ บุคคล อื่น ใหก้ ระทำหรือไมก่ ระทำตาม สง่ิ ทต่ี นเองต้องการได้ การวางแผน (Planning) อุทัย บุญประเสริฐ (2538,น.19) ได้ให้ความหมายว่า การ วางแผนว่า เป็นกิจกรรมที่คาดหวังว่าจะต้องปฏิบัติ ซ่ึงเป็นผลจากการค้นหาและกำหนดวิธีทำงานใน อนาคต เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานและหน่วยงานมากท่ีสุด แสดงให้เห็นว่าจะมีการทำอะไร ทำที่ไหน เมื่อใด ให้ใครทำ ทำอย่างไร และให้รายละเอียดอื่นๆ ท่ีจำเป็นช่วยให้การปฏิบัติงานลุล่วงไปอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ วิโรจน์ สารรัตนะ (2539,น.35-36) ได้ให้ความหมายว่า การวางแผนเป็นกระบวนการ ตัดสินใจเพ่ือกำหนดวัตถุประสงค์และแนวทางการกระทำไว้ล่วงหน้า เพ่ือให้บุคคลในองค์การปฏิบัติ ตามใหบ้ รรลุตามวัตถุประสงค์ท่กี ำหนดไว้ อนันต์ เกตุวงศ์ (2541,น.3-4) ได้ให้ความหมายว่า การวางแผนก็คือการตัดสินใจล่วงหน้า ในการเลือกทางเลือกเกี่ยวกับส่ิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์หรือวิธีการกระทำ โดยท่ัวไปจะเป็น การตอบคำถามต่อไปนี้ คือ จะทำอะไร (What) ทำไมจึงต้องทำ (Why) ใครบ้าง ท่ีจะเป็นผู้กระทำ (Who) จะกระทำเมอ่ื ใด (When) จะกระทำกนั ที่ไหนบา้ ง (Where) และจะกระทำกนั อย่างไร (How) กล่าวโดยสรุป การวางแผนหมายถึง การกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์และแนวทางใน การปฏบิ ตั ไิ วล้ ่วงหน้าว่า จะให้ใคร ทำอะไร ท่ีไหน อย่างไร การจัดรปู งาน (Organizing) หมายถงึ การจดั รูปงานของระบบงานต่าง ๆ ในการจดั รูปงาน น้ีส่ิงท่ีควรนํามาพิจารณาประกอบด้วยก็คือ วิธีการปฏิบัติงาน ทั้งน้ี เพื่อให้การจัดรูปงานและวิธีการ ปฏิบตั ิงานมีความสอดคล้องตอ้ งการ ในการจดั รูปงานดังกลา่ วนี้อาจมีการพิจารณาในดา้ นการควบคุม การปฏิบัติงานหรือในด้านของการแบ่งงาน เช่น หน่วยงานหลัก (Line) หน่วยงานที่ปรึกษา (Staff) และหน่วยงานสนบั สนุน (Auxiliary) การดำเนินการเกี่ยวกับบุคลากร (Staffing) สุนันทา เลาหนันท์ ( 2542,น.5 ) หมายถึง กระบวนการตัดสินใจ และการปฏิบัติการท่ีเก่ียวข้องกับบุคลากรทุกระดับในหน่วยงาน เพื่อให้เป็น ทรัพยากรบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพสูงสุดที่จะส่งผลสำเร็จต่อเป้าหมายขององค์การ กระบวนการท่ี เก่ียวข้อง ได้แก่ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การวิเคราะห์งาน การสรรหา การคักเลือก การ ฝึกอบรม และการพัฒนา การประเมินผลการปฏิบัติงาน การจ่ายค่าตอบแทน สวัสดิการ และ

34 ผลประโยชน์เก้ือกูล สุขภาพ และความปลอดภัย พนักงานและแรงงานสัมพันธ์ การพัฒนาองค์การ ตลอดจนการวจิ ยั ดา้ นทรพั ยากรมนุษย์ พยอม วงศ์สารศรี (2544,น.5 ) อธิบายการดำเนินการเก่ียวกับบุคลากร หมายถึง กระบวนการท่ีผู้บริหารใช้ศิลปะและกลยุทธ์ดำเนินการสรรหา คัดเลือก และบรรจุบุคคลที่มีความ สมบัติเหมาะสมให้ปฏิบัติงานในองค์การ พร้อมทั้งสนใจการพัฒนา ธำรงรักษาให้สมาชิกที่ปฏิบัติงาน ในองค์การเพิม่ พูนความรู้ความสมารถ มสี ุขภาพกายและสุขภาพจิตท่ีดีในการทำงาน และยังรวมไปถึง การแสวงหาวิธีการ ท่ีทำให้สมาชิกในองค์การท่ีต้องการพ้นจากการทำงานด้วยเหตุทุพพลภาพ เกษยี ณอายหุ รือเหตุอื่นใดในงาน ใหส้ ามารถดำรงชีวิตอยใู่ นสังคมอย่างมีความสขุ เชาว์ โรจนแสง ( 2544,น.8 ) อธิบายว่า การบริหารทรัพยากรมนุษย์เป็นคำท่ีใช้ในการบอก ถึงกิจกรรม ท้ังหลายท่ีเกี่ยวข้องกับการดึงดูด ( Attracting ) การพัฒนา ( Devaloping ) และการ ธำรงรักษา ( Maintaing ) ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นกำลังสำคัญขององค์การความเกี่ยวข้อง ดังกล่าวไม่เพียงแต่การจัดทรัพยากรมนุษย์หรือบุคคลท่ีมีความรู้ความสามารถลงในต ำแหน่งเท่าน้ัน ยงั รวมถึงผลงานท่คี าดว่าจะได้รบั ในอนาคตอีกด้วย ท้ังน้ีก็เพ่ือที่จะใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เหมาะสมกับ งานตามวัตถุประสงค์ขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ความพึงพอใจและมีความสุขกับการ ปฏิบัตงิ าน กล่าวโดยสรุป การดำเนินการเก่ียวกับบุคลากรหมายถึง กระบวนการทางการบริหารท่ีจะ สรรหาและคัดเลือกบุคลากรมาปฏิบัติงาน โดยให้บุคลากรได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถด้วย ความเตม็ ใจ การประสานงาน (Co-ordination) สมพงษ์ เกษมสิน (2526,น.154) หมายถึง การ ประสานงานเป็นเรื่องความร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติจัดระเบียบงานให้เรียบร้อยและสอดคล้อง กลมกลืนเพอ่ื ให้งานสำเรจ็ ตามเปา้ หมายในเวลาทก่ี ำหนด การประสานงาน (Co-ordination) ภิญโญ สาธร (2526,น.155) ให้ความหมายว่า เป็นการ จัดให้ผู้แทนของหน่วยงานย่อยทุกหน่วยงานพบปะหารือกันเพื่อให้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นหรือ ทราบเร่ืองเก่ียวกับการปฏิบัติงานของผู้อ่ืน และเพ่ือให้งานสัมพันธ์กัน โดยยึดเป้าหมายขององค์การ เป็นหลกั การประสานงานจะช่วยให้รูซ้ ่ึงกันและกันวา่ ใครกำลงั ทำกจิ กรรมอะไรอยู่ การประสานงาน (Co-ordination) เอกชัย กี่สุขพันธ์ (2527,น.12) ให้ความหมายว่า การ สร้างสื่อสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพไม่มีการปฏิบัติงานซ้ำซ้อน เป็นการสร้างความสัมพันธ์หน่วยงานหรือตำแหนง่ ตา่ งๆ ในองค์การเพื่อให้การดำเนนิ งานเป็นไปอย่าง มีประสิทธิภาพ กล่าวโดยสรุป การประสานงาน (Co-ordination) หมายถึง การประสานเพื่อให้งานดำเนิน ไปโดยสะดวกและเรียบรอ้ ย และเพื่อที่จะให้การประสานงานดีข้ึน ตลอดจนแกไ้ ขปัญหาข้อขัดข้องต่าง ๆ นักบริหารจำเป็นต้องศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการประสานงานแบบต่าง ๆ นอกจากน้ียังจะต้องจัด ให้มีระบบการประสานงานท่ีดีในหน่วยงานของตนและกับหน่วยงานอื่น ๆ ด้วย ส่ิงที่จะช่วยให้การ ประสานงานดำเนินไปดว้ ยดกี ค็ อื การตดิ ต่อสื่อสารทดี่ ี การรายงาน (Reporting) ปีเตอร์ เอฟ. ดรัคเกอร์ (Peter F. Drucker อ้างใน สมพงษ์เกษม สิน 2523,น.6) หมายถึง ศิลปะในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกับผู้อ่ืน การทำงานต่าง ๆ ให้

35 ลุล่วงไปโดยอาศัยคนอื่นเป็นผู้ทำภายในสภาพองค์การที่กล่าวน้ัน ทรัพยากรด้านบุคคลจะเป็น ทรัพยากรหลักขององค์การท่ีเข้ามาร่วมกันทำงานในองค์การ ซึ่งคนเหล่าน้ีจะเป็นผู้ใช้ทรัพยากรด้าน วัตถุอ่ืน ๆ เคร่ืองจักรอุปกรณ์ วัตถุดิบ เงินทุน รวมทั้งข้อมูลสนเทศต่าง ๆ เพื่อผลิตสินค้าหรือบริการ ออกจำหน่ายและตอบสนองความพอใจใหก้ ับสงั คม การรายงาน (Reporting) ธงชัย สันติวงษ (2543,น.21-22) กล่าวถึงลักษณะของงานบริหาร จดั การไว้ 3 ดา้ น คือ 1. ในดา้ นท่ีเป็นผูน้ ำหรือหัวหน้างาน งานบริหารจัดการ หมายถงึ ภาระหนา้ ที่ของบุคคลใด บุคคลหนงึ่ ท่ปี ฏบิ ตั ิตนเป็นผนู้ ำภายในองค์การ 2. ในด้านของภารกิจหรือสิ่งท่ีต้องทำงานบริหารจัดการ หมายถึง การจัดระเบียบ ทรัพยากรต่าง ๆ ในองค์การ และการประสานกจิ กรรมต่าง ๆ เข้าดว้ ยกนั 3. ในด้านของความรับผิดชอบ งานบริหารจัดการ หมายถึง การต้องทำให้งานต่าง ๆ สำเรจ็ ลลุ ่วงไปด้วยดดี ้วยการอาศัยบุคคลต่าง ๆ เขา้ ด้วยกัน การรายงาน (Reporting) วิรัช วิรัช นิ ภ าวรรณ (2543,น.5) การบ ริห ารจัดการ (management administration)ก า ร บ ริ ห า ร ก า ร พั ฒ น า (development administration) แม้กระทั่งการบริหารการบริการ (service administration) แต่ละคำมีความหมายคล้ายคลึงหรือ ใกล้เคยี งกันท่เี ห็นได้อยา่ งชัดเจนมีอย่างน้อย 3 ส่วน คอื หน่ึง ลว้ นเป็นแนวทางหรอื วิธีการบริหารงาน ภาครัฐท่ีหน่วยงานของรัฐ และ/หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ นำมาใช้ในการปฏิบัติราชการเพ่ือช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการบริหารราชการ สอง มกี ระบวนการบริหารงานที่ประกอบดว้ ย 3 ขั้นตอน คือ การ คิด (thinking) หรือการวางแผน(planning) การดำเนินงาน (acting) และการประเมินผล (evaluating) และ สาม มีจุดหมายปลายทาง คือ การพัฒนาประเทศไปในทิศทางที่ทำให้ประชาชนมี คณุ ภาพชีวิตท่ีดีขึ้น รวมท้ังประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้าและม่ันคงเพ่ิมข้ึนสำหรับส่วนท่ีแตกต่าง กัน คือ แต่ละคำมีจุดเน้นต่างกัน กล่าวคือ การบริหารจัดการเน้นเรื่องการนำแนวคิดการจัดการของ ภาคเอกชนเข้ามาใช้ในการบริหารราชการ เช่น การมุ่งหวังผลกำไร การแข่งขัน ความรวดเร็ว การตลาด การประชาสัมพันธ์การจูงใจด้วยค่าตอบแทน การลดข้ันตอน และการลดพิธีการ เป็นต้น ในขณะท่ีการบริหารการพัฒนาให้ความสำคัญเร่ืองการบริหารรวมท้ังการพัฒนานโยบาย แผน แผนงาน โครงการ (policy, plan, program, project) หรือกิจกรรมของหน่วยงานของรัฐ ส่วนการ บริหารการบริการเนน้ เรื่องการอำนวยความสะดวกและการใหบ้ ริการแกป่ ระชาชน กล่าวโดยสรุป การรายงาน (Reporting) หมายถึง การรายงานผลการปฏิบัติงานของ หน่วยงาน เพ่ือให้ผู้บริหารและสมาชิกของหน่วยงานได้ทราบความเคลื่อนไหวและความคืบหน้าของ กจิ การ อยา่ งสมำ่ เสมอ การงบประมาณ (Budgeting) หมายถึง การงบประมาณและการจัดงบประมาณ ซ่ึงเป็น กระบวนการสุดท้ายของการบริหารงานที่สำคัญอีกประการหน่ึง นักบริหารจะต้องมีความรู้และความ เขา้ ใจระบบงบประมาณกระบวนการในการจัดงบประมาณและการเงิน และการใช้วิธงี บประมาณเป็น เครอื่ งมือในการวางแผนและควบคมุ งานด้วย จะเห็นได้ว่า การบริหารราชการจะต้องอาศัยองค์ประกอบหรือปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งน่าจะเรียกว่า ปัจจัยเหตุ (Input) หรือส่ิงที่จะใช้ไปในการบริหารงานและจะต้องมีกระบวนการบริหาร(Process)

36 เพื่อใช้ปัจจัยเหตุ และเมื่อกระบวนการต่าง ๆ ดำเนินการไปแล้ว ก็จะได้ผลผลิตหรือส่ิงท่ีได้ออกมา (Output) การบริหารงานยุติธรรมซ่ึงเป็นการบริหารงานราชการอย่างหนึ่ง ก็ย่อมจะต้องใช้ องค์ประกอบหรือปัจจัย ตลอดจนกระบวนการในการบริหารดังกล่าวด้วย ทั้งนี้เพ่ือให้ได้ผลผลิตหรือ สิ่งทจี่ ะได้ออกมาคือ การค้มุ ครองป้องกันสังคมดว้ ยการลดอาชญากรรม อย่างไรก็ดี ระบบงานยุติธรรมเป็นระบบงานที่ประกอบด้วยระบบงานย่อยหลายระบบ ซ่ึงมี ลกั ษณะแตกต่างจากระบบงานอ่ืน ๆ และแตกต่างกนั ในหนา้ ที่และความรับผิดชอบระหว่างระบบงาน ยุติธรรมย่อย ๆ ด้วยกันด้วย การบริหารงานยุติธรรมจึงมีกระบวนการพิเศษอีกมากหมายหลาย ประการ กล่าวโดยสรุป การบริหารงานสอบสวนหมายถึง การบริหารเรื่องพนักงานสอบ เพ่ือให้งาน สอบสวนมีประสิทธิภาพท่ีดีที่สุด โดยประกอบด้วยจำนวนพนักงานสอบ งบประมาณ เวลา อำนาจ หน้าท่ี ความรู้ ความสามารถ เพ่อื ใหเ้ กดิ กระบวนการยตุ ธิ รรมกอ่ นนำผู้กระทำความผิดสัง่ ฟ้อง การปฏบิ ัตติ ัวของพนกั งานสอบสวน บทบาทและหนาทข่ี องพนักงานสอบสวนกรมตำรวจไดแ้ บง่ หนาทขี่ องพนักงานสอบสวน ดงั นี้ (กรมตำรวจ 774/2537) 1. หัวหนาสถานีตำรวจ 1.1 ทำหนาที่หัวหนาพนักงานสอบสวน เว้นแตหัวหนาสถานีเปนระดับรองสารวัตรโดย ปฏบิ ัตติ ามทก่ี ฎหมาย ระเบียบ คำสง่ั และขอบังคับกำหนด 1.2 งานท่ีกฎหมายระเบียบ คำสั่งและขอบังคับกำหนดใหเปนอํานาจหนาที่หัวหน้าสถานี ตำรวจโดยเฉพาะโดยปฏบิ ตั ติ ามท่ีกฎหมายระเบียบ คำสง่ั และขอบังคับกำหนด 1.3 งานอ่นื ๆ ท่ีเกยี่ วของ 1.4 งานอ่นื ๆ ทผ่ี ูบังคับบญั ชามอบหมาย 2. หัวหนาพนักงานสอบสวน 2.1 ทำหนาที่หวั หนาผูรบั ผิดชอบงานสอบสวน 2.1.1 ปฏิบตั งิ านท่เี ปนหนาที่รบั ผิดชอบงานสอบสวนตามความเหมาะสม 2.1.2 วางแผนการปฏิบัติงาน 2.1.3 พิจารณาคัดเลือกและมอบหมายใหเจาหนาทป่ี ฏบิ ัตงิ านตามความเหมาะสม 2.1.4 พจิ ารณาวินิจฉัยสั่งการในงานที่เปน็ ปัญหา 2.1.5 ควบคมุ ตรวจสอบการปฏบิ ัตงิ านของเจาหนาท่ี 2.1.6 ใหคาํ ปรึกษาแนะนํา ตลอดจนปรบั ปรงุ แกไขการปฏิบัตงิ านของเจาหนาที่ 2.1.7 ติดตามประเมนิ ผลการปฏิบัตงิ านของเจาหนาท่ี 2.1.8 ตดิ ตอประสานงานกบั หนวยงานอนื่ 2.1.9 ฝกอบรมใหเจาหนาท่ีมีความรูความสามารถความประพฤติระเบียบวินัย เหมาะสมกับการปฏบิ ัตหิ นาท่ี 2.1.10 เขารวมประชมุ คณะกรรมการตาง ๆ ตามท่ีไดรบั การแตงตงั้ 2.1.11 เขารวมประชุมกบั หนวยงานอนื่ ๆ ในงานทเี่ กี่ยวขอ้ งทไี่ ดรบั มอบหมาย 2.1.12 แกไขขอขัดของในการปฏบิ ตั หิ น้าที่

37 2.1.13 ตอบปญหาและช้ีแจงเรื่องตาง ๆ เก่ียวกับงานในหนาท่ี 2.2 การศึกษาเก็บรวบรวมสถิติขอมูลท่ีเก่ียวกับงานสอบสวน และการดําเนินคดีการนํา วิทยาการต่างๆ มาใชในการสอบสวน 2.2.1 รวบรวมสถิติขอมูลท่ีเก่ียวของจัดทำเป็นแฟมขอมลตู่าง ๆ โดยอยางนอยจะตอง มขี อมลู ดังตอไปนี้ 2.2.2 หมายจับ 2.2.3 บัญชีทรัพยสินท่ีถกู ประทษุ รา้ ยและยังไมไดคืน พรอมตําหนิรปู พรรณ 2.2.4 คดีที่งดการสอบสวน เน่ืองจากยังไม่รู้ตัวผูกระทําผิด หรือรูแลวแตยังจับกุมไมได และยังไมขาดอายุความ 2.2.5 แนวทางและวิธีการสอบสวนที่เคยปฏิบัติรวมตลอดท้ังผลและปญหาอุปสรรค ขดั ของ 2.3 สอบสวนคดอี าญาทุกประเภท 2.3.1 ดำเนินการสอบสวนคดีอุกฉกรรจหรือคดีสำคัญดวยตนเอง ตามระเบียบคําส่ัง ท่ี สำนักงานตำรวจแหงชาตไิ ด้กำหนดใหเปนหน้าทค่ี วามรบั ผิดชอบแตละระดับตําแหนงโดยเฉพาะ 2.3.2 เขารวมทาํ การสอบสวนกับพนกงานสอบสวนในคดีท่ีพิจารณาเห็นสมควร 2.4 จัดใหสารวัตรสอบสวนและหรือรองสารวัตรสอบสวน ทําหนาที่โดยระหวางเขาเวร ปฏิบัติหนา้ ที่ใหเรียกวารอยเวรสอบสวน โดยมีหลักการสำคญั ในการจัดดงั น้ี 2.4.1 ใหมีสารวัตรสอบสวนและหรือรองสารวัตรสอบสวนเขาเวรรับผิดชอบงานดานรับ แจ้งความ รับคํารองทุกขหรอื กลาวโทษ และดำเนนิ การสอบสวนเบ้ืองต้นหรือทําการเปรยี บเทียบปรับ ในจำนวนที่เหมาะสมที่จะใหบริการแกประชาชนไดโดยสะดวกและรวดเร็ว 2.4.2 ใหสารวัตรสอบสวนและหรือรองสารวัตรสอบสวนดำเนินการและรับผิดชอบเกยี่ วกับ การดำเนินการผัดฟองหรือฝากขงั 2.4.3 ใหสารวัตรสอบสวนและหรือรองสารวัตรสอบสวนทําการสอบสวนในเวลาอื่ น นอกเหนอื จากเวลาทป่ี ฏบิ ตั งิ านตามเหมาะสม 2.4.4 ใหสารวัตรสอบสวนและหรือรองสารวัตรสอบสวนมีเวลาปฏิบัติงานและเวลาพักผอน ตามมาตรฐานการทำงานเทาทสี่ ามารถจะทำได 2.5 พิจารณามอบหมายคดีให้สารวัตรสอบสวนและหรือรองสารวัตรสอบสวนรับผิดชอบ ดำเนินการตามความเหมาะสม เชน ความรูความสามารถ ปริมาณงาน โดยถาคดีใดสมควรทำการ สอบสวนเปนหมูหรือคณะกใ็ หสง่ั การตามสมควร 2.6 ปกปดใหความคมุ ครองแกพยานใหกระทำและกํากบั ดูแลใหมกี ารปฏิบัตโิ ดยเครงครัด 2.7 เปรียบเทยี บการกระทำผดิ ตามกฎหมาย 2.8 รวมกับกําลังปองกนั และปราบปรามการทำการตรวจคน จับกมุ 2.9 ประสานงานการปฏบิ ตั หิ นวยงานอน่ื ทเ่ี กย่ี วของอย่างใกลชดิ และจรงิ จังเพ่ือผลใน การปองกนั ระงบั ปราบปราม 2.10 การใหความรูและการฝกอบรมขาราชการตำรวจ

38 2.10.1 จัดให้มีและเก็บรวบรวมกฎหมายระเบียบ คําส่ังขอบังคับ และเอกสารท่ีเป็น ประโยชน์ตอ่ งานสอบสวน 2.10.2 ดำเนินการใหผูทำหนาท่ีสอบสวนมีความรูทางการสอบสวนเทคนิคการสอบสวน กฎหมายระเบยี บ ขอบังคบั คําสง่ั ทเี่ ปนประโยชนตอการสอบสวน 2.10.3 ฝกอบรมใหผูใตบังคับบัญชามีความรูความสามารถความประพฤติระเบียบวินัย เหมาะสมกับการปฏบิ ัติหนาทโี่ ดยการจัดฝกอบรมเอง หรือขอสนับสนนุ จากบุคคลหรือหน่วยงานอน่ื 2.11 งานอนื่ ทเี่ กย่ี วของกับงานสอบสวน 2.12 ในชวงเวลาทป่ี ฏบิ ตั หิ นาทห่ี ากมคี วามจำเปนเรงดว่ นให้มีอำนาจมอบหมายให ผูใตบังคับบัญชาปฏบิ ตั ิหนาทอี่ น่ื ไดตามความเหมาะสม แตทัง้ นี้ตองไมเสียหายตอหนาทก่ี ารงาน ประจำ กล่าวโดยสรุป การปฏิบัติตัวของพนักงานสอบสวนหมายถึง การดำเนินการเกี่ยวกับงาน สอบสวนโดยอาศัยความรู้ความสามารถของพนักงานสอบ และจะต้องมีสายงานการบังคับบัญชาเป็น ผู้ดแู ลตรวจสอบการทำงานของพนักงานสอบสวน ปัญหาในกระบวนการสอบสวน พันตำรวจโท บุญเลิศ ทวีวทิ ย์ อาจารย์ (สบ. ๓) กลุม่ งานอาจารย์ ศฝร.ภ.9 กล่าวว่าปัญหาใน กระบวนการสอบสวน อาจแบง่ ออกเปน็ ข้อๆ หลายอย่างซ่ึงสามารถแบ่งแยกเป็นข้อๆ ดงั น้ี 1. ปัญหาเกี่ยวกับพนักงานสอบสวนที่เกิดข้ึนในกระบวนการยุติธรรมคือจำนวนพนักงาน สอบสวนไม่เพียงพอต่อปริมาณงานที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าการปฏิบัติหน้าที่สอบสวนในปัจจุบันจะมีท้ังเงิน ประจำตำแหน่งและเงินค่าตอบแทน แต่ปรากฏว่าข้าราชการตำรวจส่วนใหญ่กลับมีค่านิยมหรือ หลีกเล่ียงงานสอบสวนโดยเลือกท่ีจะไปปฏิบัติหน้าท่ีในสายงานอื่น ทำให้พนักงานสอบสวนที่มีหน้าท่ี รบั แจ้งความและดำเนินคดีอาญาในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไม่เพียงพอต่อการปฏิบัตหิ น้าที่มา โดยตลอด และสำหรับพนกั งานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยทั่วไปจะมคี ุณวุฒินิติศาสตร์ บัณฑิตหรือจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ในปัจจุบันน้ีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญา น้ัน เกี่ยวขอ้ งกับเรื่องต่างๆ หลายเรื่องมิใช่เพียงข้อกฎหมายเท่าน้ัน จึงทำให้บุคคลท่ีมีความรู้ทางด้าน กฎหมายท่ีเก่ียวข้องอาจไม่เพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่ในปัจจุบัน นอกจากน้ีแล้วพนักงานสอบสวน จะต้องมีทักษะสำหรับในงานสอบสวน ยังต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้ที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้มี สมรรถภาพทางร่างกายทีพ่ รอ้ ม และมแี รงจงู ใจในการทำงานอีกด้วย 2. การถูกแทรกแซงการสอบสวน จากฝ่ายบริหาร ผ่านการบังคับบัญชา ควบคุมและกำกับ ดแู ล การเล่นพรรคเลน่ พวก การวิ่งเต้นคดี ส่งผลให้การทำงานและการสง่ั คดีของพนกั งานสอบสวนไม่ เปน็ อสิ ระ ทำให้ไมไ่ ด้รับความเป็นธรรม อาจถกู แทรกแซงจากฝา่ ยการเมืองดว้ ยวิธที ่ีนักการเมอื งหรอื ผู้ มีอำนาจเหนือกว่าสามารถเลือกลด เลือกรบั คดีจนไปถึงการย้าย เลื่อนเงนิ เดือนหรอื มอบตำแหน่งที่มี สิทธิประโยชน์ในลักษณะเกื้อหนุนหรืออุปถัมภ์กันได้อย่างไมม่ ีขอบเขต จึงทำให้การบังคบั ใช้กฎหมาย ใหม้ ปี ระสิทธิภาพเป็นไปได้ยาก 3. เขตอำนาจการสอบสวน กรณีที่เหตุเกิดต่อเน่ืองและเก่ียวพันกันในหลายพ้ืนที่ก็เป็นปัญหา ที่สำคัญท่ีกระทบต่อการบริการประชาชนและการอำนวยความยุติธรรมเนื่องจากพนักงานสอบสวน ผรู้ ับแจ้งเหตุอาจอ้างว่าเหตุมิได้เกิดภายในทอ้ งที่ของตนเองรวมถึงข้อโต้แย้ง ระหวา่ งพนักงาสอบสวน

39 ดว้ ยกันเองเกี่ยวกับสถานท่ีเกิดเหตุ นอกจากนี้แลว้ อาจเกิดจากการแบ่งเขตอำนาจการสอบสวนน้ันไม่ สอดคล้องกับการแบ่งเขตในการปกครอง ทำให้เกิดปัญหาความรู้ความเข้าใจของผู้ที่ประสงค์จะแจ้ง ความคลาดเคลือ่ น 4. งบประมาณงานสอบสวน ประสบปัญหาเน่ืองจากการมีภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของ ตำรวจจำนวนมาก แตก่ ลับไมเ่ พียงพอกับคา่ ใชจ้ ่ายตา่ งๆ ท้ังเงนิ เดอื นและสวัสดิการ คา่ วัสดุอปุ กรณใ์ น การปฏิบัติงาน พนักงานสอบสวนต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวในการปฏิบัติหน้าท่ี เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ ตามเปา้ หมายของหน่วยงาน 5. กระบวนการในการรวบรวมพยานหลักฐาน เป็นปัญหาเกี่ยวกับไม่มีประจักษ์พยาน ซ่ึงต้อง อาศัยการรวบรวมพยานแวดล้อม แต่ทำให้ยากแก่การรวบรวมพยานหลักฐานและในบางกรณีต้อง อาศัยการกันผู้ต้องหาเป็นพยาน ซ่ึงจะทำให้ในทางปฏิบัติพนักงานสอบสวนส่วนใหญ่จะอ้างว่าไม่มี ประจกั ษ์พยาน เพราะพยานแวดล้อมหรือพยานรบั ฟังนั้นสว่ นใหญจ่ ะมนี ้ำหนักในการรบั ฟังนอ้ ยและมี ขอบเขตในการใช้ทค่ี ่อนขา้ งจำกัด นอกจากนี้แลว้ ในกระบวนการสอบสวน พนักงานสอบสวนนอกจาก มีหน้าท่ีในการทำสำนวนการสอบสวนแล้ว ยังมีหน้าท่ีในการเก็บรักษาของกลางท่ีอาจถูกฟ้องร้องได้ โดยง่าย เช่น กรณรี ถจักรยานยนตข์ องกลางถูกจอดไวใ้ นทีโ่ ล่งแจง้ บริเวณสถานีตำรวจ โดยไมม่ รี ั้วล้อม ขอบชิด ทำให้สีรถซีดและยางรถแฟบ เนื่องจากจอดตากแดดตากฝน และอุปกรณ์ในรถซ่ึงเป็ น แบตเตอร์ร่ีที่อยู่ใต้เบาะรถมีร่องรอยของการงัดแงะสูญหายไปบางส่วน เป็นผลอันเกิดจากการท่ี พนักงาสอบสวนและหัวหน้าสถานีตำรวจไม่ดูแลรักษาทรัพย์ของกลางเหมือนเช่นวิญญูชนพึงดูแล รักษาทรัพย์สินของตนเอง การที่พนักงานสอบสวนมีคำสั่งให้ยดึ รถจักรยายนต์ไปเก็บไว้ที่สถานีตำรวจ เน่ืองจากรถท่ีสั่งยึดเกิดอุบัติเหตุ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น พนักงานสอบสวนและหัวหน้าสถานี ตำรวจ จึงมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาทรัพย์สินของกลางเหมือนเช่นวิญญูชนพึงรักษาทรัพย์สินของตนเอง การท่ีอ้างวา่ ทางสถานีตำรวจไม่มีโรงจอดรถ อีกท้ังรถของทางราชการหรือรถของกลางในคดีอ่ืนก็เก็บ รักษาไว้ในสภาพเดียวกันไม่เป็นเหตุผลที่จะยกขึ้นให้พ้นความรับผิดฐานละเมิด ซึ่งเป็นเหตุให้รถจัก ยานยนต์ของกลางนัน้ เสียหายได้ จงึ ตอ้ งชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนใหแ้ ก่เจ้าของรถของกลาง 6. การสืบสวนตดิ ตามคนร้าย กล่าวกันว่าการสืบสวนไมส่ ามารถแยกออกจากงานสอบสวนได้ เน่ืองจากเป็นเนื้องานท่ีมีลักษณะเกย่ี วขอ้ งและสัมพันธ์กัน แตก่ ารมองในลักษณะวพิ ากษ์ในหลายกรณี กลายเป็นการมองว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติหวงอำนาจกันแน่ เพราะนอกจากจะไม่ได้พัฒนางาน สอบสวนอย่างจริงจังแล้ว บุคลากร ท่ีทำงานด้านการสอบสวนมักไม่ค่อยได้รับการแต่งต้ังแมก้ ฎหมาย จะบัญญัติให้มีการเล่ือนไหลตามตำแหน่ง แต่ดูเหมือนว่าการบริหารงานจะไม่เป็นไปตามกฎหมาย เนื่องจากมีการอ้างเร่ืองตำแหน่งการบริหารท่ีจะทำให้ตำแหน่งทับซ้อนกันกับตำแหน่งบริหาร ทำให้ เจ้าพนักงานสอบสวนไม่ได้เลื่อนไหลไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างแท้จริง การที่เจ้าพนักงาน คนใดจะเป็นพนักงานสอบสวน กฎหมายได้บัญญัติถึงตัวบุคคลไว้โดยเฉพาะโดยจะมีบัญญัติไว้ใน กฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญามาตรา 18, 19 และ 20 เมื่อกฎหมายบัญญัตไิ ว้โดยเฉพาะแล้วบคุ คล หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยทั่วไปจะเป็นพนักงานสอบสวน หากไม่มีกฎหมายบัญญัติให้มีอำนาจ สอบสวนแลว้ จะทำการสอบสวนไมไ่ ด้ กรณที ่ีเจ้าพนักงานคนใดจะเปน็ พนกั งานสอบสวนไดจ้ ะต้องเป็น เรื่องที่ได้รับการแต่งต้ังโดยเฉพาะเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะแต่งตั้งจากบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งท่ีจะเป็น พนักงานสอบสวนได้ พนักงานสอบสวนอาจจะเป็นพนักงานฝา่ ยปกครองหรอื ตำรวจก็ได้ จึงสรุปได้ว่า

40 พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจมิได้เปน็ พนักงานสอบสวนทุกคน จะเป็นพนักงานสอบสวนได้จะต้อง มตี ำแหนง่ ตามท่กี ฎหมายบญั ญตั ใิ หเ้ ปน็ พนกั งานสอบสวนได้ ๗. การจับกุมและการค้น ถือว่าเป็นอำนาจที่สำคัญที่สุดประการหน่ึงในการนำตัวผู้กระทำ ความผดิ มาลงโทษ แต่ในขณะเดยี วกันก็เป็นการกระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากที่สุด ดังน้ัน จึงกำหนดให้พนักงานสอบสวน จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้มั่นคง พอเชื่อได้ว่าผู้ต้องหา กระทำความผิดเสียก่อน และควรเลือกตั้งข้อหาหลักอันเป็นข้อหาสำคัญในการกระทำความผิดนั้น เสียก่อน ส่วนข้อหาปลีกย่อย เม่ือพยานหลักฐานยังไม่แน่ชัด ก็ยังไม่ควรต้องข้อหา ควรรอการตั้ง ข้อหาไว้ก่อน เม่ือการสอบสวนได้พยานหลักฐานเพิ่มเติมรับฟังได้ว่าทางคดีมีพยานหลักฐานพนักงาน สอบสวนก็ชอบที่จะแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง หาได้มีกฎหมายระเบียบใดบังคับว่าจะไม่สามารถต้ัง ข้อหาเพม่ิ เติมอีกไมไ่ ด้ 8. การสอบปากคำ การสอบสวนอาชญากรรมทางเพศอาจจะเป็นอาชญากรรมเพียงไม่ก่ี ประเภทที่เหย่ืออาจกลายเป็นเหยื่อซ้ำได้อีก ถ้าหากดำเนินการสอบสวนดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง แม้ว่ากระบวนการสอบสวนจะทำให้เหยือ่ จำเปน็ ต้องเปิดเผยความลบั ในลักษณะท่ีเหมือนถกู ขม่ ขู่ การ ฝึกฝนให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเศร้าโศกของเหยื่อได้ ความเข้าใจในทางจิตวิทยาเกี่ยวกับความโศกเศร้าและความเจ็บปวดทางร่างกายของเหย่ือซึ่ง ประสบการณท์ ี่เลวรา้ ยจะอยกู่ บั เหยื่อไปอีกนาน ดงั นั้น กระบวนการสอบสวนจะช่วยเหยอ่ื ในเร่อื งนไ้ี ด้ พนักงานสอบสวนต้องมคี วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั สภาพปัญหาดังกลา่ วท่ีเหย่ือ มักจะซ่อนรายละเอยี ดของ คดเี อาไว้เน่ืองจากความอาย ซ่ึงเป็นการสอบปากคำที่ให้สอดคลอ้ งกับหลักจิตวทิ ยาทีน่ ำมาใชก้ บั เหยื่อ และพยาน ซ่ึงสามารถพฒั นาการนำมาใชก้ บั ผตู้ อ้ งสงสัยหรือผตู้ ้องหาท่ใี ห้ความรว่ มมอื ดว้ ยพัฒนาการ ของการสอบปากคำในรูปแบบน้ี เป็นการพัฒนาทักษะของผู้สอบสวนปากคำ มิใช่เป็นการฝ่าฝืน กฎหมาย แต่ยังสามารถไดร้ บั ขอ้ มูลและรายละเอยี ดที่เป็นประโยชน์ ตอ่ รูปคดี สภาพปัญหาที่เกดิ ขึน้ ยงั รวมถงึ การให้การท่ีผตู้ อ้ งหาให้การรับสารภาพโดยมีการจ้างวานหรอื ถกู ล่อลวงให้รบั สารภาพรวมถึง ปัญหาการรับสารภาพในกรณีท่ีไม่ต้องการต่อสู้คดีอย่างยาวนานหรือเสียค่าใช้จ่ายสูงและปัญหาคือ การสอบสวนดำเนนิ การโดยคนคนเดียวคือพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบท่ตี ้องแก้ไขปญั หากันเองการ สอบปากคำพยานเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในแง่ของการสอบสวนคดีอาญา ในทางอุดมคติแล้วการ สอบถามปากคำสมควรท่ีจะเปน็ สถานท่เี งยี บและปราศจากการรบกวนและควรจะมีการบนั ทึกเทปไว้ การถามปากคำพยานนน้ั อาจส่งผลกระทบต่อประสทิ ธภิ าพของการสอบสวนได้ 9. การควบคุม มักเปน็ ปัญหาในทางปฏิบัติคือกฎหมายกำหนดให้ควบคุมไดไ้ มเ่ กนิ 48 ชัว่ โมง นับแต่เวลาท่ีผู้ถูกจับถูกนำตัวไปถึงท่ีทำการพนักงานสอบสวน ซ่ึงในคดีสำคัญๆ แล้วไม่สามารถ ดำเนินการสอบสวนได้ทันหรือในกรณีท่ีจับกุมคืนวันศุกร์ หรือเช้าวันเสาร์แล้วมีระยะเวลาในการ สอบสวนน้อยมากเน่ืองจากศาลมิได้เปิดทำการตลอดเวลา และการควบคุมในคดีสำคัญ ๆ เช่น การก่อการร้ายหรือคดีเก่ียวกับความม่ันคง ยาเสพติดจำนวนมาก ระยะเวลาดังกล่าวมีน้อยเกินไป สำหรับการขยายผลหรอื การดำเนินการในกระบวนการสอบสวนใหท้ ันตามระยะเวลาดังกลา่ วและทาง ในการปฏิบัติมีทางเลือกน้อยเกินไปสำหรับการควบคุมซ่ึงอาจเกิดอันตรายท้ังตัวผู้ถูกควบคุม คู่กรณี หรอื เหย่อื เปน็ ตน้ .

41 10. การประสานงานหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ในทางปฏิบัติของพนักงานสอบสวนแลว้ การตดิ ต่อ ประสานงานที่เกย่ี วข้องมหี ลายหน่วยงาน เชน่ การขอผลยาเสพตดิ การขอรบั รายงานสถานพินิจ หรือ การขอรับประวัติลายพิมพ์น้ิวมือผู้ต้องหา ซ่ึงทำให้เกิดปัญหากระทบต่อสิทธิผู้ต้องหาหรือการเร่งรัด ติดตามดำเนินคดี 11. การสรุปสำนวนการสอบสวนและส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 140 – 143 นั้น กรณีน้ีไม่ค่อยมีปัญหาในทางปฏิบัติแต่อาจจะมี ระยะเวลาที่เหลือให้พนักงานอัยการพิจารณาส่งสำนวนน้อย ซึ่งเป็นปัญหาในทางปฏิบัติระหว่าง พนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการมาโดยตลอด รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับการสอบสวนเพ่ิมเติมที่อาจ ต้องใชร้ ะยะเวลามาก 12. การเดินทางไปเป็นพยานศาล ในบางกรณีที่มีการแต่งต้ังโยกย้าย ทำให้การเดินทางไป เป็นพยานศาลด้วยความยากลำบาก ประกอบกับปัญหาในการติดตามพยานศาล ซึ่งมีพยานส่วนหนึ่ง ไม่ยอมเป็นพยานศาล โดยเฉพาะในกรณีท่ีผู้เสียหายหรือผู้ร้องทุกข์หลบหนีไม่ยอมมาเป็นพยานศาล น้นั ส่วนใหญ่แลว้ ศาลจะมีคำพพิ ากษายกฟ้อง ปัญหาการทำหน้าท่ีของการสอบสวน แนวทางการปฏิบัติงาน ทิศทางและแผนการโดยต้องมีการส่ือสารท่ีมีประสิทธิภาพและความ ร่วมมือกันเป็นองค์ประกอบท่ีสำคัญในการทำหน้าท่ีของการสอบสวนทั้งในหน้าท่ีของสายตรวจและ ผดู้ ำเนนิ การสอบสวน ซ่ึงในปจั จุบันท่ปี ระสบปัญหาเกย่ี วกบั งานสอบสวนดงั นี้ ไพรัตน์ รอดทอง (254,น. 3-4) พนักงานสอบสวนเป็นหัวใจสำคัญและเป็นบันไดข้ันแรกของ กระบวนการยุติธรรมที่มีบทบาทสำคัญในการที่จะเสรมิ สร้างความถกู ตอ้ งชอบธรรมใหก้ ับสังคม แม้จะ มีการปรับปรุงแก้ไขในระยะหลังแต่ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอ และสอดคล้องสภาพความเป็นจริงและ สภาวการณ์ปัจจุบันท้ังทางเศรษฐกิจและสังคม ท่ีเปลี่ยนแปลงไปอยางรวดเร็ว ภาระของพนักงาน สอบสวนจึงมีมากขึ้น แม้ทุกวันนี้จะมีกาลังของเจ้าหน้าท่ีตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจจำนวน มาก แต่ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีหน้าที่ในการสอบสวนคดีอาญา ยิ่งในปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามี หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมบางหน่วยงาน ได้พยายามที่จะเข้ามาควบคุมงานสอบสวนของ ตำรวจโดยตรงโดยได้เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายที่เก่ียวข้อง ใหม่ และวิพากษ์วิจารณ์ในการปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวนว่าไม่เข้าใจในตัวบทกฎหมายอย่าง ถ่องแท้ ทำให้เกิดการบิดเบือนข้อเท็จจริงแห่งคดี ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณีลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ของประชาชน โดยเฉพาะสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ทำให้พนักงานสอบสวนต้องมีความละเอียดรอบคอบ ขยันและอดทน ต้องเป็นผู้ที่มีความ เสียสละ ต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจดำเนินการ ปฏิบัติงานมากกว่างานในหน้าที่อ่ืน เช่น งาน จราจร หรืองานป้องกนและปราบปราม เนื่องจากงานเหล่าน้ี มีระยะเวลาในการปฏิบัติงานที่แน่นอน เป็นงานที่ทำแล้วเสร็จสิ้นลงหลังจากเลิกงาน (ออกเวร)แต่พนักงานสอบสวนบางครั้งไม่สามารถจะทํา การสอบสวนให้เสร็จส้ินภายในระยะเวลาอันส้ันได้ เน่ืองจากจะต้องเป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐานท่ี เก่ยี วขอ้ งในคดี เพอ่ื พิสูจน์ความผิด และนําเอาผู้กระทำผิดมาส่งฟ้อง ลงโทษตามกฎหมาย แต่การเป็น พนักงานสอบสวนมักประสบปัญหาถูกร้องเรียน ถูกฟ้องร้อง ถูกลงโทษทัณฑ์ทางวินัยอยู่ตลอดเวลา การปฏิบัติงานก็เกิดปัญหาอุปสรรค มีข้อบกพร่องและความเสียหายต่อรูปคดีอาญาบ่อยคร้ัง และถูก

42 มองภาพพจน์งานสอบสวนว่าเป็นงานที่แสวงหาผลประโยชน์ ท้ังที่งานสอบสวนมีปัญหาอุปสรรคใน ด้านกฎหมาย กฎระเบียบข้อบังคับ คําสัง วัสดุ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ไม่เพียงพอ และเป็นงานท่ี ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากในการเดินทางติดต่อกับหน่วยงานอื่นและการติดตามสอบสวนพยานบุคคล ถึงแม้วางานสอบสวนจะมีค่าตอบแทนการทำสํานวนการสอบสวนให้กับพนักงานสอบสวนตาม ระเบียบกระทรวงการคลังแล้วกตาม แต่ในความเป็นจริงน้ันยังไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานของ พนักงานสอบสวน แต่ด้วยจิตสํานึกและภาระหนา้ ที่พนักงานสอบสวนจะต้องตระหนักในเรื่องของการ ดำเนินคดีอาญาท่ีจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมเพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ถึงแม้วาจะลําบากตรากตรำเหน็ดเหน่ือยและเป็นงานท่ีไม่มีโอกาสจะได้รับการพิจารณาความดี ความชอบหรือได้รับการเล่ือนตำแหน่งท่ีสูงข้ึนหรือได้รับความก้าวหน้าในหน้าท่ีการงาน ดังเช่น ผู้ปฏิบัติงานในสายงานอ่ืนก็ตาม แต่ถ้าหากพนักงานสอบสวนเกิดความย่อท้อ เกิดความท้อแท้ในการ ปฏิบตั ิงานความเสียหายทั้งหลายก็จะไปบังเกิดแกป่ ระชาชนผบู้ ริสุทธ์ิ โดยเฉพาะปจั จบุ ันแนวโน้มของ เรื่องการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และการคุ้มครองเสรีภาพของประชาชนมีมากขึ้นเท่าใด ระบบการ ตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานอ่ืน ๆ ท่ีมีต่อเจ้าหน้าท่ีตำรวจหรือต่อพนักงานสอบสวนกจะต้องมี มากขึ้น ฉะนั้นหากต้องการให้การปฏิบัติงานในหน้าท่ีของพนักงานสอบสวนมีประสิทธิภาพและเกิด ประสิทธิผล จําเป็นอย่างยิ่งต้องอาศัยปัจจัยเกื้อหนุนหลาย ๆ ประการ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความสามารถ เทคนิค และวธิ กี ารในการปฏบิ ัตงิ านตลอดจนสภาพแวดลอ้ มอน่ื ๆ 1. การวางแผนกำลังคนจากคำกล่าวท่ีว่า “เราสามารถลดสถิติของอาชญากรรมได้แต่ไม่เคย ทำให้มันเป็นศูนย์ได้” ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอาชญากรรมนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับ เง่ือนไขทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สภาพสังคมและส่ิงแวดล้อมอื่นๆ ในกรณีของประเทศไทยเห็นได้อย่าง ชัดเจนว่า ในปัจจุบันพนักงานสอบสวนไม่เพียงพอ ต่อการปฏิบัติหน้าท่ีและมี คนย้ายออกอยู่ ตลอดเวลา แม้ว่าจะมเี งินประจำตำแหนง่ หรอื มีคา่ ตอบแทนของพนกั งานสอบสวนแล้วก็ตาม ถึงแม้ จะมีการแต่งต้งั พนกั งานสอบสวนจนพอเพยี งตอ่ การปฏบิ ัติหน้าที่ ก็มกั จะมีคำส่งั ให้ไปชว่ ยราชการที่ อ่ืนโดยไม่กลับมาทำงานสอบสวนอกี หรอื ขอยา้ ยสายงาน เม่อื ขอย้ายทำให้การทำสำนวนทีพ่ นกั งาน สอบสวนทา่ นอ่ืนมาทำต่อน้นั เปน็ ไปดว้ ยความยากลำบากเน่ืองจากไม่ทราบข้อเทจ็ จริงแต่แรกไม่ สามารถตดิ ตามพยานและการทำสำนวนทท่ี ้ิงค้างไว้นั้นอาจไม่ครบถว้ นทำใหเ้ กดิ ปัญหาติดตามมาอยา่ ง มากและทำให้เกดิ ปญั หาสำนวนค้างข้ามปี บางสถานีตำรวจมีพนักงานสอบสวนเพียงคนเดยี วทำให้ เกิดความเครยี ด ในการปฏิบัตงิ านและไม่มเี วลาพกั ผ่อนรวมทั้งส่งผลตอ่ การให้บรกิ ารตอ่ ประชาชน 2. การกำหนดค่าตอบแทน ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันเกี่ยวกับการกำหนดค่าตอบแทนของ พนักงานสอบสวนทำให้เกิดปัญหาในเชิงเปรียบเทียบกับสายงานอื่น ปัญหาค่าตอบแทนสำนวนการ สอบสวนในบางคดีทส่ี ำคัญๆ ไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานรวมทงั้ มกี ารเบกิ จ่ายล่าช้า ถูกหักค่าสำนวน จากผู้บังคับบัญชาอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ส่งผลต่อการให้บริการประชาชนและประสิทธิภาพในการ ทำงาน จนทำให้เกดิ การฟอ้ งร้องต่อศาลปกครองและยงั มีกรณีพพิ าทอยู่ในปัจจบุ นั 3. การสรรหาและคัดเลือกการกำหนดตำแหน่ง แต่งตั้งเป็นพนักงานสอบสวนต้องจบจาก โรงเรียนนายร้อยตำรวจหรือคุณวุฒินิติศาสตรบัณฑิต ทั้งท่ีในปัจจุบันอาจไม่เพียงพอ แต่ขอบเขตของ การปฏิบัติหน้าท่ีของพนักงานสอบสวน ควรคัดเลือกมาจากผู้ปฏิบัติงานท้ังทางด้านตำรวจและด้าน อื่นๆ ที่ประสงค์เขา้ มาทำงานสอบสวนและคดั เลือกผูท้ ม่ี ีจิตใจทสี่ ามารถใหบ้ ริการประชาชนได้รวมถงึ ผู้

43 ที่เคยสร้างประโยชน์กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่ีมีความรู้ความสามารถในด้านอ่ืนๆ มาประกอบ เข้าเป็นทีมงานการสอบสวนเพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น แทนที่จะต้องใช้อาศัยการสอบสวน พยานผู้เชี่ยวชาญแต่เพียงอย่างเดียว เช่น การสอบสวนท่ีมีความสลับซับซ้อน การสอบสวนคดี อบุ ัติเหตุเก่ียวกบั อากาศยาน เปน็ ต้น 4. การโอนย้ายการขอย้ายหรือการไปดำรงตำแหน่งอื่น ยังอยู่ในระบบตำรวจซ่ึงทำให้ต้องมี การว่ิงเต้น หรือใช้อำนาจทางการเมืองหรืออิทธิพลภายนอก ซึ่งในที่สุดแล้วส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ จนในบางคร้งั ไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมในการดำเนนิ คดไี ด้ และทส่ี ำคัญท่ีสุดผู้บังคบั บัญชามกั จะ ใช้เหตุผลในการโยกย้ายมาเป็นเง่ือนไขในการแทรกแซงเข้าไปมีความเหน็ ในสำนวนการสอบสวนทั้งที่ เปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ 5. ขวัญและกำลังใจ ปัจจุบันในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนค่อนข้างต่ำจากสภาพ ปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้ปัญหาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่สามารถแก้ไขได้คือ ปัญหาเจ้าหน้าที่ ตำรวจหนีงานสอบสวนย้ายไปอยู่สายงานอื่นที่ความรับผิดชอบน้อยกว่า จนกระท่ังมีพนักงาน สอบสวนส่วนหนึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จนเลือกทางฆ่าตัวตาย ให้เห็นอยู่เป็นประจำ การ ดำเนินการทางวินยั ขาดความโปร่งใส ไมไ่ ดร้ ับความนา่ เช่ือถือและขาดบรรทดั ฐานในการดำเนินการ แนวทางการพัฒนางานสอบสวนให้มปี ระสิทธิภาพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถือเป็นหน่วยงานต้นทางของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยเฉพาะตำรวจสอบสวนในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการ รวบรวมพยานหลักฐาน สรุป และลงความเห็นในสำนวนการสอบสวน เพอื่ อำนวยความยุติธรรมให้แก่ ประชาชน ดังน้ันตำรวจจึงต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ความเป็นมืออาชีพ อีกท้ังมีความเป็น อสิ ระในการปฏิบตั งิ าน ปราศจากการถูกแทรกแซงจากระบบสายบังคบั บัญชาและผู้มีอิทธิพล คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนากฎหมายด้านกระบวนการยุติธรรม คณะกรรมการ ปฏิรูปกฎหมาย (2557,น.7 –22) ต้ังแต่ พ.ศ. 2556 เป็นต้นมา ประเด็นการปฏิรูปงานตำรวจได้รับ ความสนใจจากหลายภาคส่วนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบงานสอบสวนของตำรวจทพี่ บว่า ยังคงประสบปัญหาสำคญั 5 ประการ ไดแ้ ก่ 1 โครงสร้างงานสอบสวน ยังรวมงานสอบสวนไว้ทพ่ี นกั งานสอบสวนท้ังหมด ทำใหต้ อ้ งรับ ภาระหนักในการปฏิบัติหน้าท่ี ขาดการบูรณาการและความร่วมมือในการปฏิบัติงานกับหน่วยงาน ภายในและภายนอกอื่นๆ อีกท้ังขาดความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าท่ี แม้พระราชบัญญัติตำรวจ แห่งชาติพ.ศ.2547 มาตรา 47 กำ หนดให้แยกงานสอบสวนเป็นอิสระจากงานอื่นๆ รวมท้ังกำหนด ตำแหน่งเฉพาะในการสอบสวน หากแต่การออกระเบียบคณะกรรมการข้าราชการตำรวจว่าด้วยการ กำหนดจำนวนในการแต่งต้ังและอำนาจหน้าท่ีในการบังคับบัญชาพนักงานสอบสวน พ.ศ. 2555 กลับ ทำให้เกิดช่องทางในการแทรกแซงการสอบสวนจากฝ่ายบริหารผ่านการบังคับบัญชา ควบคุมและ กำกับดูแล การเล่นพรรคเล่นพวก การว่ิงเต้นคดีส่งผลให้การทำงานและการส่ังคดีของพนักงาน สอบสวนไมเ่ ปน็ อิสระ ทำให้ประชาชนไมไ่ ด้รบั ความเปน็ ธรรม 2 งบประมาณงานสอบสวน ประสบปญั หาเนือ่ งจากการมีภารกจิ ท่ไี ม่ใช่ภารกจิ หลักของตำรวจ จำนวนมาก แม้ในปีงบประมาณ 2557 มีสัดส่วนงบประมาณสูงถึง 86,768 ล้านบาท แต่กลับไม่ เพียงพอกับค่าใช้จา่ ยตา่ งๆ ท้ังเงนิ เดือนและสวัสดิการ ค่าวัสดุ อปุ กรณ์ในการปฏบิ ัติงาน ส่งผลให้งาน

44 สอบสวนไม่ไดร้ ับงบประมาณทเ่ี พียงพอต่อการปฏิบตั ิงาน พนักงานสอบสวนต้องออกคา่ ใชจ้ ่ายส่วนตัว ในการปฏบิ ัตหิ นา้ ทเี่ พ่อื ใหผ้ ลการปฏิบตั ิงานประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายของหน่วยงาน 3 บคุ ลากรงานสอบสวน พบว่าพนักงานสอบสวนบางนาย ไม่ปฏบิ ัติตามหนา้ ทขี่ องงานสอบสวน ท่ีเหมาะสม หรือแม้กระท่ังทำการสอบสวนโดยมิชอบ บิดเบือน ทำลายเท็จเพ่ือช่วยให้ผู้กระทำผิดไม่ ตอ้ งรับโทษตามกฎหมาย หรือแม้กระท่ังสร้างพยานหลักฐานเท็จเพ่ือนำตัวผู้บริสุทธิ์มารับผิดแทน ซึ่ง การกระทำดังกลา่ วยอ่ มสง่ ผลต่อรปู คดีอย่างมาก 4 ระบบการตรวจสอบ และสรา้ งความเชือ่ มน่ั ใหแ้ ก่ประชาชนต่องานสอบสวน ท่มี อี ยู่ เช่น การ ตรวจสอบของจเรตำรวจ ยังคงอ่อนแอ ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงส่งผลต่อการ สร้างความเชอ่ื มนั่ ในความเปน็ กลางและประสทิ ธภิ าพในการอำนวยความยุตธิ รรมแก่ประชาชน 5 ความก้าวหน้าในงานสอบสวน พบว่าระบบอุปถัมภ์ การซ้ือขายตำแหน่งยังคงมีอยู่อย่าง กว้างขวาง แม้ในช่วงที่ผ่านมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แก้ไขหลักเกณฑ์เรื่องการ แต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับสูง ตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับท่ี 87/2557 เร่ืองการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยตำรวจแห่งชาติ แต่ยังคงไม่สามารถป้องกันการ แทรกแซง ข้าราชการตำรวจต้องวิ่งเข้าหาผู้มีอำนาจและอิทธิพลเพ่ือแสวงหาผลประโยชน์ท้ังทางตรง และทางอ้อม ละเลยผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ กลายเป็นท่ีมาของการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ทำให้ตำรวจที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าท่ีไม่ได้รับความเป็นธรรม ขาดขวญั และกำลังใจในการ ปฏิบตั งิ าน กล่าวโดยสรุป แนวทางการพัฒนางานสอบสวนให้มีประสิทธิภาพ หมายถึง ปัญหาที่เกิดข้ึน เก่ียวกับประสิทธิภาพในงานสอบสวน ได้แก่ ปัญหาในกระบวนการสอบสวนและปัญหาการทำหน้าท่ี ของการสอบสวน ทำให้งานสอบสวนต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการและมีงานที่เก่ียวข้องอยู่มากทำให้ เกิดความล่าช้า หากมีการปรับปรุงงานสอบสวนให้เป็นงานท่ีเป็นวิชาชีพอย่างแท้จริง มีการเช่ือม ระบบฐานข้อมูลต่างๆ ท่ีเป็นประโยชน์ในการทำสำนวนการสอบสวนเข้าด้วยกันเพื่อป้องกัน อาชญากรรมและลดความผิดพลาดในการละเมิดสิทธิผู้ต้องหา รวมท้ังพัฒนาความร่วมมือหรือการ บัญญัติกฎหมายใดเพ่ิมเติมที่มีขั้นตอนการปฏิบัติเกี่ยวกับพนักงานสอบสวน ควรมีการทดลองปฏิบัติ ก่อนเพ่ือหาแนวทางการปฏิบัติให้ชัดเจนก่อนใช้จริง จะทำให้สามารถลดอุปสรรคในกระบวนการ สอบสวนและส่งผลต่อการอำนวยความยุติธรรมและการให้การบริการประชาชนเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพและประสทิ ธผิ ลมากย่ิงข้ึน ความสำคัญดา้ นงานสอบสวน ด้านงานสอบสวนที่มีความสำคัญอย่างมากคือ การเก็บพยานหลักฐาน การรวบรวม พยานหลกั ฐาน ซ่ึงเป็นหัวใจหลกั ของงานสอบสวนเพื่อทจี่ ำเอาตัวผู้กระทำความผดิ มาลงโทษ พยาน หมายถึง (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226) พยานหลักฐาน คือ พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคล ตลอดจนหลกั ฐาน ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องพิสูจน์การ กระทำผิดได้ จากความหมายต่างๆ พยานหลักฐานจึงหมายถึง ส่ิงที่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่มีการ กลา่ วอ้าง ในการดำเนนิ คดีไมว่ า่ จะในคดีแพ่งหรอื คดีอาญา ส่วนมากแล้วจะมีคู่ความสองฝ่าย คือโจทก์ และจำเลยท้งั สองฝ่ายกลา่ วอ้างขอ้ เท็จจริงตา่ งๆ เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวอ้างหรอื ขอ้ แกก้ ลา่ วหาของตน ขอ้ เท็จจรงิ เหล่านี้ย่อมตรงกันหรือขัดแย้งกนั ดังน้ัน คู่ความแต่ละฝ่ายจงึ มีความจำเป็นท่ีจะต้องหาทาง

45 พิสูจน์ข้อกลา่ วอ้างของตนให้ศาลเชือ่ โดยนำพยานหลักฐานมาแสดงยืนยันข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ต่างๆได้แก่ บุคคลผู้รู้เห็นพฤติกรรมในการกระทำผิด เอกสารต่างๆท่ีได้กระทำขึ้นโดยชอบหรือมิชอบ ด้วยกฎหมาย และวัตถุต่างๆที่คนร้ายได้ใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ซ่ึงผลการตรวจใน สถานท่ีเกิดเหตุ พยานหลกั ฐานในการสบื สวนคดีอาญาจึงเป็นเคร่ืองมือการพิสจู น์การกระทำความผิด ข อ ง ค น ร้ า ย เพ่ื อ ให้ ศ า ล พิ จ า ร ณ าตั ด สิ น ชี้ ข า ด ต า ม พ ย า น ห ลั ก ฐ า น ท่ี เจ้ าห น้ า ท่ี น ำ แ ส ด งต่ อ ศ า ล ความสำคัญของพยานหลักฐานจึงอยู่ที่การยอมรับของศาล หากศาลรับฟังไว้พิจารณาก็ถือว่าพยานมี นำ้ หนักรับฟังได้ ซง่ึ จะมอี ิทธพิ ลต่อการพิจารณาของศาลในการลงโทษผู้กระทำผดิ ประเภทของพยานหลกั ฐาน พยานหลักฐานอาจแบง่ เปน็ หลายลกั ษณะ ในทีน่ ี้ขอแบง่ เฉพาะท่ี สำคญั ได้แก่ พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวตั ถุ และพยานผ้เู ชีย่ วชาญ 1. พยานบคุ คล หมายถึง บคุ คลท่ีมาเบิกความต่อศาลถึงข้อเทจ็ จรงิ ทีต่ นได้ประสบพบมาหรือ เห็นหรือทราบมา 2. พยานเอกสาร หมายถงึ ข้อความใด ๆ ในเอกสารทม่ี ีการอ้างความหมายของข้อความเป็น พยาน 3. พยานวัตถุ หมายถึง วตั ถสุ งิ่ ของที่คู่ความอ้างเป็นพยาน การอา้ งสถานทีใ่ หศ้ าลตรวจก็อยู่ ในความหมายของพยานวตั ถุด้วย 4. พยานผเู้ ชย่ี วชาญ หมายถึง บคุ คลผู้มีความรู้ เชี่ยวชาญในวิชาการหรือกจิ การอย่างใดอยา่ หนงึ่ และมาเบิกความโดยการใหค้ วามเหน็ การค้มุ ครองพยานของพนกั งานสอบสวน อเนก อะนันทวรรณ, (2544,น.68) ในส่วนของสำนกั งานตำรวจแหง่ ชาติได้วางระเบียบ การ ปฏิบตั ิของพนักงานสอบสวนเก่ียวกับเร่อื งการคุ้มครองพยานและการป้องกนั พยานสำคัญในคดีอาญา ไว้ โดยแบ่งออกเปน็ 2 กรณี คอื 1. การคุ้มครองพยาน ไดก้ ำหนดแนวทางปฏบิ ัตใิ ห้ พนกั งานสอบสวนจดตำบลสถานท่ีอยูแ่ ละ ท่พี ักอาศยั ของ พยานไวใ้ หช้ ัดเจน และตอ้ งออกไปสอดส่องเยย่ี มเยียน พยานอยู่เสมอให้สามารถสง่ หมายและติดตามตัวไปเบิก ความต่อศาลได้ หากเห็นว่าพยานจะบิดพลิว้ ไมไ่ ปเบิกความ พนักงาน สอบสวนจะตอ้ งรายงานผู้บังคับบญั ชาเพือ่ พจิ ารณาสัง่ การและถา้ พยานคนใดยากจน ขดั สนกใ็ ห้แจ้ง พนักงานอยั การเพื่อขอเบกิ เงินค่าพาหนะและเบ้ยี เลี้ยง 2. การป้องกันพยาน กรณที เ่ี ป็นพยานสำคัญในคดี และไมม่ ีท่ีอยู่เปน็ หลักแหลง่ หรอื มเี หตนุ า่ เชือ่ ว่าจะเกิดอนั ตรายกอ่ นท่พี ยานจะไปเบิกความหรือมีการดำเนินการ จะให้พยานหลบหนี พนกั งาน สอบสวนจะตอ้ งรายงานชี้แจง เหตุผลขอเบ้ยี เลย้ี งเพื่อจัดหาสถานทีพ่ ักอาศยั ชัว่ คราวใหพ้ ยาน ถ้าเปน็ กรณฟี ้องคดีต่อศาลแลว้ กใ็ ห้แจง้ เหตใุ ห้พนักงานอัยการทราบเพ่ือขอสืบพยานปากนนั้ โดยเร็ว ขัน้ ตอนการปฏิบตั หิ น้าที่ และความรบั ผดิ ชอบของพนักงานสอบสวน ข้ันตอนและความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวน มีดังนี้ ธีรบูลย์ ม่ังมี (2548, น. 36) 1. การรับแจ้งความ เป็นกระบวนการเริ่มต้นของพนักงานสอบสวน เม่ือมีผู้เสียหาย ผู้ กล่าวโทษ หรือผู้หนึ่งผู้ใด มาแจ้งว่าไม่ว่ากรณีใด ๆ เพ่ือให้พนักงานสอบสวนรับเรื่องไว้ดำเนินการทุก เรื่อง และดำเนินการในทางรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมหากพบว่าเป็นการแจ้งความเก่ียวข้อง กับการกระทำผิดทมี่ โี ทษทางอาญา กใ็ หด้ ำเนนิ การตามอำนาจหนา้ ทข่ี องกฎหมายต่อไป

46 2. การสืบสวนจับกุม เป็นความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวน และเป็นส่วนหนึ่งใน กระบวนการรวมพยานหลักฐานท้ังหลาย เพื่อสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดและจับกุมตัวมาดำเนินการ ตามกระบวนการยุติธรรม เป็นไปตามข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วย ระเบยี บการสอบสวน คดีอาญา พ.ศ.2523 และตามกฎหมายซ่ึงได้กำหนดอำนาจและหน้าท่ีของพนักงานสอบสวนในการ ดำเนินการตามข้นั ตอนเพื่อติดตามผกู้ ระทำผิดมาดำเนนิ คดีตามกฎหมายไวแ้ ล้ว 3. การควบคุม เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของพนักงานสอบสวนในการควบคุมตัวผู้ต้องหา หลังจากมกี ารจับกุมตัวผู้ต้องหา โดยการควบคุมตัวผู้ตอ้ งหาในช้ันสอบสวนนี้จะมีกำหนดระยะเวลาไว้ ตามกฎหมาย ตามแต่โทษหรอื อายุของผตู้ ้องหาโดยเมื่อมีการควบคุมตัวผู้ต้องหาเมื่อใด กฎหมายก็ได้ กำหนดใหต้ ้องแจง้ สทิ ธิของผูต้ อ้ งหาตามกฎหมายให้ทราบเป็นอย่างแรก 4. การปล่อยชั่วคราว เมื่อผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวเมื่อใด เป็นสิทธิตามกฎหมายของผู้ต้องหาที่ จะได้รับการปล่อยตัวช่ัวคราวไปในชั้นสอบสวน หากมีการยื่นคำร้องขอประกัน โดยนายประกันซ่ึงได้ ประกันตัวผู้ต้องหาไป หรืออาจเป็นการประกันตัวผู้ต้องหาหาด้วยตนเอง ต้องปฏิบัติตามเง่ือนไขใน สัญญาประกันซ่ึงหากมีการปล่อยตัวช่ัวคราวไปแล้วพนักงานสอบสวนก็ยังมีอำนาจหน้าที่ในการ สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป โดยหากสำนวนการสอบสวนเสร็จส้ิน ก็จะแจ้งให้กับนาย ประกันสง่ ตัวผ้ตู อ้ งหา หรือตัวผ้ตู อ้ งหา(กรณีประกันตัวเอง) มาพบเพ่อื ส่งไปยังอยั การต่อไป 5. การสอบสวน การสอบสวนเป็นกระบวนการสำคญั ยิง่ ของพนักงานสอบสวนเพราะเป็นการ รวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเก่ียวกับ ความผิดท่ีถูกกล่าวหา โดยให้ความเป็นธรรมกับท้ังฝ่ายผู้เสียหาย และฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา ตามข้ันตอน ของกฎหมายท่ีได้ให้อำนาจไว้ ด้วยความละเอียดรอบคอบ รัดกุม รวดเร็ว และมีศีลธรรม มีใจเป็น กลาง ทรงไว้ซึ่งความยตุ ิธรรมไม่เอนเอียงไปฝา่ ยใดฝ่ายหนง่ึ 6. การปฏิบัติอย่างอื่นท่ีเก่ียวข้องกับการสอบสวน เป็นการดำเนินในส่วนท่ีเกี่ยวกับการ รวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน เช่น การตรวจค้นการออกหมายเรียก การชันสูตรพลิก ศพ การพิมพ์ลายน้ิวมือ การตรวจสอบประวัติผู้ต้องหา การเปรียบเทียบปรับคดีอาญา/จราจร การ ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทย การติดต่อประสานงานกับต่าง หน่วยงาน 7. การสรุปสำนวนและเสนอผู้บังคับบัญชา หลังจากท่ีพนักงานสอบสวนได้ใช้กระบวนการ ตา่ ง ๆ เพ่ือเสาะแสวงหาพยานหลักฐาน และการดำเนินการทัง้ หลายอื่นเกี่ยวกับความผดิ ทถี่ ูกกล่าวหา แล้ว พนักงานสอบสวนจะได้รวบรวมพยานหลักฐานท่ีเก่ียวขอ้ งท้ังหมด เพื่อสรุปสำนวนการสอบสวน มีความเห็นทางคดี เสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพ่ือพิจารณาดำเนินการต่อไป ก่อนเสนอสำนวน ไปยงั พนักงานอยั การ 8. การส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ เม่ือพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนการสอบสวนเสนอ ผู้บังคับบัญชาตามลำดับช้ันและมีความเห็นทางคดีเสร็จส้ินแล้วพนักงานสอบสวนจะได้ส่งสำนวนการ สอบสวนพร้อมตวั ผูต้ อ้ งหาไปยงั พนกั งานอยั การเว้นแต่ผตู้ ้องหานั้นถกู ควบคุมตัวอยู่แล้ว 9. การสอบสวนเพิ่มเติมตามคำสั่งของพนักงานอัยการ เป็นหน้าท่ีของพนักงานสอบสวนท่ี จะต้องดำเนินการตามคำส่ังของพนักงานอัยการโดยเร็ว และครบถ้วนตามประเด็นที่พนักงานอัยการ ไดส้ ่งั การมา

47 10. การติดตามพยานไปเบิกความในศาล ในการสืบพยานช้ันศาลน้ัน ยังคงเป็นหน้าที่ของ พนักงานสอบสวนซึ่งจะต้องคอยติดตามนำพยานขึ้นสืบต่อศาลให้ได้ และเป็นหน้าที่ท่ีพนักงาน สอบสวนจะต้องคอยติดตามพยานมาเบิกความต่อศาล เพราะหากไม่สามารถนำพยานมาเบกิ ความต่อ ศาลได้ อาจเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง และเกิดความเสียหายต่อคดี และพนักงานสอบสวนเองจะต้องมี ความผิดตามทีร่ ะบไุ วใ้ นระเบียบการตำรวจไม่เกยี่ วกบั คดี กล่าวโดยสรุป ขน้ั ตอนและความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวน หมายถึง ลำดับ ข้ันตอนการ ปฏิบัติงานของพนักงานสอบ เพื่อให้การปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดกับ ประชาชนทีเ่ ข้ามาเป็นคูค่ วามและเพ่อื ใหเ้ กดิ ความยุติธรรมใหม้ ากทส่ี ดุ จรรยาบรรณพนกั งานสอบสวน ตามประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะ 8 บทที่ 1 ข้อ 208 ได้ระบุไว้ว่าพนักงาน สอบสวนเป็นผู้ท่ีมีในหน้าที่ในการสอบสวนอำนาจความยุติธรรมทางอาญาให้กับคู่กรณีจึงต้องมี คุณธรรมและจรรยาบรรณสูงเป็นพิเศษ โดยต้องทำใจเป็นกลางทรงไว้ซ่ึงความยุติธรรมต้องการแต่ ความเป็นจริงโดยบริสุทธิ์เท่านั้น การซักถามจะต้องระวังอย่าเป็นคำถามที่ชี้นำ ผู้ให้ถ้อยคำคล้อยตาม หรอื ชี้ช่องทางอย่างใดอย่างหนึ่งในเวลาถามด้วยเหตุนี้พนักงานสอบสวนจึงพึงต้องมีจรรยาบรรณเป็น กรอบและแนวทางในการปฏบิ ตั ซิ ง่ึ ประกอบดว้ ย 1) พนักงานสอบสวน พึงยึดอุดมคติของตำรวจอย่างเคร่งครัด อุดมคติตำรวจก็คือเคารพ เอ้ือเฟ้ือตอ่ หน้าท่ี กรุณาปราณีตอ่ ประชาชน อดทนต่อความเจ็บใจไม่หว่ันไหวต่อความยากลำบาก ไม่ มักมากในลาภผล มุ่งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อปวงชน ดำรงตนยุติธรรม กระทำการด้วยปัญญา รักษาความไมป่ ระมาทเสมอชีวติ 2) พนักงานสอบสวน พึงระลึกถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซ่งึ ต้องศึกษาทำความเข้าใจกฎหมายและบทบัญญัติแห่งชาตริ ัฐธรรมนูญถงึ และเสรภี าพของประชาชน อย่างถ่องแท้ ต้องแจ้งสิทธิตามกฎหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ ปลูกจิตสำนึกของพนักงานสอบสวนให้ ตระหนักในหน้าที่ ต้องเคารพในสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญโดย ผู้บังคับบัญชาให้การอบรมเป็นประจำ ให้พนักงานสอบสวนมีบทบาทในการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ เรอื่ งสทิ ธติ ามบทบัญญัติแห่งรฐั ธรรมนญู 3) พนักงานสอบสวน พึงอำนวยความยุติธรรมแก่คู่กรณีอย่างเสมอภาคโดยถูกต้องตาม กฎหมายและศีลธรรม การปฏิบัติหน้าท่ีต้องอยู่บนพื้นฐานของความสุจริตตรงไปตรงมา ไม่มุ่งหวัง หรือแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้จากการปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะด้วยการเรียกร้อง แสดงท่าทีหรือกิรยิ า อาการอ่ืนใดและสามารถตรวจสอบได้ ไม่พยายามหลีกเหลี่ยงหรือแสวงหาช่องว่างของกฎหมายเพ่ือ กระทำสิ่งทไ่ี มถ่ กู ต้อง มจี ิตสำนกึ ในการปฏิบัติงานในกรอบศีลธรรมตามหลักศาสนา 4) พนักงานสอบสวน ต้องกล้ายืนหยัดกระทำในสิ่งที่ถูกต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดม่ันในความ ถูกต้อง ดีงาม และชอบธรรม ตอ้ งปฏบิ ัติหนา้ ท่ีโดยยึดหลกั วชิ าการและจรรยาวชิ าชีพต้องปฏิบัตหิ น้าท่ี โดยไม่เกรงกลวั ต่ออทิ ธิพลใด ๆ 5) พนกั งานสอบสวน พงึ วิเคราะห์ขอ้ เทจ็ จริง ใหไ้ ดผ้ ลอนั น่าเชอื่ ถือวา่ ผู้น้นั ไดก้ ระทำผิดก่อนมี การแจ้งขอ้ กลา่ วหาจบั กุมดำเนนิ คดี และใหค้ ำนึงถงึ สทิ ธิการปลอ่ ยชวั่ คราวด้วย

48 6) พนักงานสอบสวนพึงมีมนุษย์สัมพันธ์ท่ีดี ด้วยความสุภาพอ่อนโยนมีไมตรีจิต และเต็มใจ ให้บริการประชาชน พนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่และให้บริการประชาชนด้วยความเป็นธรรม เอ้ือเฟ้ือมีน้ำใจและใช้กิริยาวาจาท่ีสุภาพ อ่อนโยน โดยมีจิตสำนึกการให้บริการประชาชนเต็มใจ แนะนำชว่ ยเหลอื ในการบริการประชาชนเสมอื นญาติ 7) พนักงานสอบสวนพึงหมั่นศึกษาหาความรู้และพัฒนาตนเองตลอดเวลาพนักงานสอบสวน พึงรักษาความลับในการสอบสวน ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม พัฒนาตนให้มีความรู้ความชำนาญทันต่อ เหตุการณ์ขยันหมั่นเพียรทำความเข้าใจต่อกฎหมายและระเบียบปฏิบัติและนำไปยึดถือปฏิบัติโดย เครง่ ครัด มคี วามริเร่ิมสร้างสรรค์พฒั นาการปฏิบัตงิ านให้ทันสมยั อยตู่ ลอดเวลา 8) พนักงานสอบสวน พึงสำนึกและยึดมั่นในวชิ าชีพการสอบสวนและอุตสาหะพยายามในการ ปฏิบัติหน้าท่ีอยา่ งแข่งขันดำรงตนให้เหมาะสมกบั การเป็นข้าราชการในกระบวนการยุติธรรมด้วยการ ใช้ชีวิตท่ีเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ อย่างมีเกียรติ มีศักด์ิศรี มีหลักการ มีคุณธรรม เป็นท่ียอมรับนับถือของ ประชาชน ปฏิบัติหน้าท่ีในวิชาชีพการสอบสวนด้วยความม่ันคงและความภาคภูมิใจในเกียรติและ ศักด์ิศรีของความเป็นพนักงานสอบสวน ปฏิบัติงานด้วยจิตวิญญาณของพนักงานสอบสวนให้เป็นท เช่อื ถือและศรัทธาของประชาชน (hpp://www.phraecop.com/code_of_conduct.htm) กล่าวโดยสรปุ จรรยาบรรณพนักงานสอบสวน หมายถึง ความสำนึกในหน้าที่ทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย ให้ปฏิบัติงานสอบสวน โดยการศึกษาความรู้เพ่ือพัฒนางานสอบสวนให้มีประสิทธิภาพ โดยการดำรง ตนให้สมกับเป็นต้นธารแห่งความยุติธรรม ปฏิบัติตนอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีคุณธรรม ให้เป็นที่ ยอมรบั เชอื่ มั่น ศรัทธาของประชาชน 3. แนวคิดทฤษฎเี กีย่ วกบั ความพึงพอใจ ความหมายของความพึงพอใจ นักวิชาการ นักวิจัยได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้หลาย ความหมายดงั นี้ วิรุฬ พรรณเทวี (2542, น, 111) ได้ให้ความหมายความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกภายใน จติ ใจของมนษุ ย์ท่ีไม่เหมือนกนั ข้ึนอยู่กบั แตล่ ะบุคคลวา่ จะคาดหวังกบั สิ่งหนึง่ อย่างไร ถา้ คาดหวังหรือมี ความต้ังใจมากและได้รับการตอบสนองดว้ ยดจี ะมคี วามพงึ พอใจมาก แตใ่ นทางตรงกนั ข้ามอาจผิดหวัง หรือไม่พึงพอใจเป็นอย่างย่ิงเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามที่คาดหวังไว้ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับส่ิงที่ตนตั้งใจไว้ ว่ามีมากหรือนอ้ ย สุริยะ วิริยะสวัสดิ์ (2530, น. 42 อ้างถึงใน ปราการ กองแก้ว, 2546, น, 17) ได้ให้ ความหมาย ความพึงพอใจหลังการให้บริการของหน่วยงานของรัฐของเขาว่า ระดับผลท่ีได้จากการ พบปะ สอดคล้องกับปัญหาที่มีอยู่หรือไม่ ส่งผลดีและสร้างความภูมิใจเพียงใด และสร้างความภูมิใจ เพยี งใด สาโรช ไสยสมบัติ (2534, น, 18 อ้างถึงใน ปราการ กองแก้ว,2546, น,17) ความพึงพอใจ เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งท่ีช่วยทำให้งานประสบผลสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างย่ิงถ้าเป็นงานท่ี เกีย่ วกับการให้บรกิ าร นอกจากผู้บริหารจะดำเนนิ การให้ผทู้ ำงานเกิดความพึงพอใจในการทำงานแล้ว ยังจำเป็นต้องดำเนินการที่จะทำให้ผู้ใช้บริการเกิดความพึงพอใจด้วยเพราะความเจริญก้าวหน้าของ การบรกิ ารเปน็ ปจั จยั ท่ีสำคญั ประการหนึ่งทเ่ี ป็นตวั บง่ ชี้ถึงจำนวนผ้มู าใช้บริการ ดงั นน้ั ผบู้ ริหารท่ชี าญ

49 ฉลาดจึงควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาให้ลึกซ้ึงถึงปัจจัยและองค์ประกอบต่าง ๆที่จะทำให้เกิดความพึงพอใจ ทง้ั ผปู้ ฏิบตั ิงานและผูม้ าใช้บรกิ าร ราณี เชาวนปรีชาศ์ (2538, น,18 อา้ งถึงใน วฤทธ์ิ สารฤทธคิ าม, 2548, น.31) กล่าววา่ ความ พึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดส่ิงหน่ึงหรือปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ความรู้สึกพึงพอใจจะเกิดข้ึนเมื่อความต้องการของบุคคลได้รับการตอบสนองหรือบรรลุตาม จุดมุ่งหมายในระดบั หนึง่ ความรู้สกึ ดังกล่าวจะลดลงหรือไมเ่ กดิ ข้ึน หากความตอ้ งการหรือจดุ ม่งุ หมาย น้ันไม่ได้รับการตอบสนอง ความพึงพอใจต่อการใช้บริการจึงเป็นความรู้สึกของผู้ที่มารับบริการมีต่อ สถานบริการตามประสบการณท์ ่ีไดร้ บั จากการเขา้ ไปตดิ ต่อขอรับบริการในสถานบริการนั้น ๆ อรรถพร คำคม (2546, น.29) ได้สรุปวา่ ความพึงพอใจ หมายถึง ทัศนคติหรือระดับความพึง พอใจของบุคคลต่อกิจการรมต่าง ๆ ซ่ึงสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกิจกรรมน้ัน ๆโดยเกิดจาก พื้นฐานของการรับรู้ค่านิยมและประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลจะได้รับ ระดับของความพึงพอใจจะ เกิดขึน้ เมอ่ื กิจกรรมนนั้ ๆ สามารถตอบสนองความตอ้ งการแกบ่ คุ คลนัน้ ได้ วฤทธิ์ สารฤทธิคาม (2548,น.32 อ้างถึงใน รัตนศักด์ิ ยี่สารพัฒน์.2551,น.6) ได้ให้ความ หมายความพึงพอใจว่า เป็นปฏิกิริยาด้านความรู้สึกต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นที่แสดงผลออกมาใน ลักษณะของผลลัพธ์สุดท้ายของกระบวนการประเมิน โดยแบ่งออกถึงทิศทางของผลการประเมินว่า เป็นไปในลักษณะทิศทางบวกหรือทศิ ทางลบหรอื ไม่มปี ฏกิ ริ ิยา วลั ภา ชายหาด (2532 อา้ งถึงใน ประชากร พฒั นกุล และคณะ,2550,น.22) ได้ใหค้ วามหมาย ความพึงพอใจของประชากรที่มีต่อการบริการสาธารณะว่า หมายถึง ระดับของความพึงพอใจของ ประชาชนท่ีมตี อ่ การไดร้ ับบรกิ ารในลกั ษณะของ 1. การให้บริการอย่างเท่าเทยี มกนั 2. การให้บรกิ ารอย่างรวดเรว็ และทนั เวลา 3. การใหบ้ ริการอย่างตอ่ เน่อื ง 4. การใหบ้ ริการอย่างก้าวหน้า กล่าวโดยสรุป ความพึงพอใจ หมายถึง ทัศนคติ ความรู้สึก ปฏิกิริยาการแสดงออกมา โดยมี ทิศทางไปในทางบวก ไปในทางทีด่ ี ในทางทชี่ อบ ทฤษฎีความพงึ พอใจ เชลลี่ (Shelli, 1995, p. 9 อ้างถึงใน ปราการ กองแก้ว,2546,น.17) ได้ศึกษาแนวคิดเก่ียวกับ ความพึงพอใจ สรุปได้ว่าเป็นความรู้สึกสองแบบของมนุษย์ คือ ความรู้สึกในทางบวกและความรู้สึก ในทางลบ ความรูส้ ึกในทางบวกเป็นความรู้สึกท่ีเม่ือเกิดข้ึนแล้วทำใหค้ วามรู้สึกทม่ี ีระบบย้อนกลับและ ความสุขนี้สามารถทำให้เกิดความสุขหรือความรู้สึกทางบวกเพิ่มข้ึนได้อีก ดงั น้ัน จะเห็นได้วา่ ความสุข เป็นความรู้สึกที่สลับซับซ้อนและความสุขน้ีจะมีผลต่อบุคคลมากกว่าความรู้สึกในทางบวกอื่น ๆ ความรู้สึกทางลบ ความรู้สึกทางบวกและความสุขมีความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อนและระบบ ความสัมพันธ์ของความรู้สึกท้ังสามน้ีเรียกว่าระบบความพึงพอใจโดยความพึงพอใจจะเกิดข้ึนเมื่อ ระบบความพงึ พอใจมีความรู้สึกทางบวกมากกวา่ ความร้สู ึกทางลบ ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์ (Maslow, 1970 อ้างถึงใน รังสรรค์ฤทธ์ิผาด ,2550,น.23)

50 มาสโลว์ (Maslow) ได้เรียงลำดับสิ่งจูงใจ หรือความต้องการของมนุษย์ไว้ 5 ระดับโดย เรียงลำดบั ขั้นของความต้องการไว้ตามความสำคญั ดงั นี้ 1. ความต้องการพนื้ ฐานทางสรีระ 2. ความตอ้ งการความปลอดภัยรอดพน้ อนั ตรายและมน่ั คง 3. ความตอ้ งการความรัก ความเมตตา ความอบอุ่น การมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมต่าง ๆ 4. ความต้องการเกยี รติยศชอื่ เสียง การยกยอ่ ง และความเคารพตัวเอง 5. ความต้องการความสำเร็จด้วยตนเอง ความพอใจในข้ันต่าง ๆ ของความต้องการของมนุษย์น้ี ความต้องการข้ันสูงกว่าบางคร้ังได้ ปรากฏออกมาให้เห็นแล้วก่อนท่ีความต้องการ ข้ันแรกจะได้เห็นผลเป็นที่พอใจเสียด้วยซ้ำอย่างไรก็ ตามบุคคลแต่ละคนส่วนมากแสดงให้เห็นว่า ตนมีความพอใจอย่างสูงสุด ในลำดับขั้นความตอ้ งการข้ัน ต่าง ๆ มากกว่าข้ันสูงจากการสำรวจ พบว่า คนธรรมดาท่ัวไปจะมีความพอใจในลำดับข้ันตอนต่าง ๆ ดงั น้ี ความตอ้ งการทางดา้ นกายภาพ 85% ความต้องการความปลอดภยั 70% ความตอ้ งการทางดา้ นสงั คม 50% ความต้องการเด่นในสังคม 40% ความต้องการท่จี ะได้รบั ความสำเร็จในสิ่งทตี่ นปรารถนา 10% พาราสุรามาน เซทเฮมท และแบรร่ี (Parasuraman, Zaithamal & Berry, 1994 อ้างถึงใน ภษู ติ สายกม้ิ ซ้วน,2550,น.18 -20) กล่าวว่า หลกั การบริการที่ดี ตอ้ งประกอบด้วย 1. ความเชื่อมั่นไว้วางใจ บริการนั้นจะต้องมีความถูกต้องมีความถูกต้องแม่นยำ และ เหมาะสมต้งั แต่ครงั้ แรก รวมทงั้ ต้องมคี วามสม่ำเสมอ คือบรกิ ารทกุ คร้ังจะต้องไดผ้ ลเช่นเดิม ทำใหผ้มู า รบั บรกิ ารร้สู ึกว่า ผใู้ หบ้ รกิ ารเปน็ ท่พี ่ึงได้ เชน่ มคี วามถูกตอ้ งแม่นยำในการวินจิ ฉัย 2. สมรรถภาพในการให้บริการ ผู้ให้บริการต้องมีทักษะและความรู้ความสามารถในการ บริการท่ีจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้มารบั บริการได้ เช่น แพทย์มีความเช่ียวชาญในการ รักษาโรค เภสัชกรมีความเชี่ยวชาญในเรื่องเก่ียวกับยา ฯลฯ หรือบุคคลอื่น ๆ มีความรู้ความสามารถ ในสาขาของตนและสามารถนำมาใชใ้ นการบริการได้อย่างเตม็ ที่ 3. ความสามารถในการตอบสนองความตอ้ งการของผู้มารบั บรกิ าร ผู้ให้บริการจะต้องมีความ พร้อมและเต็มใจที่จะให้บริการสามารถตอบสนองความต้องการด้านต่าง ๆ ของผู้มารับบริการให้ ทนั ทว่ งที เชน่ โรงพยาบาลมคี วามพร้อมท่ีจะรบั ผปู้ ่วยจากเหตกุ ารณฉ์ ุกเฉนิ ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ 4. ความมอี ัธยาศัยไมตรี บคุ ลากรทุกคนในสถานบริการท่เี กี่ยวขอ้ งกบั การใหบ้ ริการจะต้อง มคี วามสภุ าพ มีการเอาใจใสแ่ ละเห็นใจผ้มู ารับบริการ รวมทั้งตอ้ งมกี ิริยามารยาทการแต่งกายและการ ใช้วาจาท่ีเหมาะสมด้วย 5. การเข้าถึงบริการ ผู้มารับบริการจะต้องเข้าถึงการบริการได้ง่าย และได้รับความสะดวก จากการบริการ รวมถึงการบริการน้ันจะต้องมีการกระจายไปอย่างทั่วถึง เช่น การคมนาคมที่สะดวก การบริการทเ่ี ปน็ ระเบยี บ รวดเรว็ ไมต่ อ้ งนัง่ รอนาน การใหบ้ ริการเปน็ ไปยา่ งเสมอภาค


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook