อาการและอาการแสดง (ต่อ)2. อาการเร่มิ แรก2.1 บวม (edema) มีลักษณะบวมท้ังตวั และชัดเจนบรเิ วณหนังตา แต่อาการบวมไม่มากเท่ากับกลุม่ อาการโรคไต และเป็นการบวมชนดิ บวมตึง (non-pitting edema)ซ่ึงแสดงถึงการมนี า้ และเกลอื ในหลอดเลอื ด จะบวมนาน 2-3 วนั2.2 มีปสั สาวะนอ้ ยกวา่ 100 มล./วนั หรอื ไมม่ ี (oliguria or anuria) ปรมิ าณปสั สาวะที่นอ้ ยลงพบได้ 1 ใน 4 ของผู้ป่วย2.3 ปสั สาวะเปน็ เลอื ด (hematuria) พบไดใ้ นผปู้ ่วยเกอื บทัง้ หมดเปน็ ได้ทัง้ ชนดิ ท่ีมีปัสสาวะเป็นเลือดชัดเจนและชนิดทสี่ ่องดูด้วยกลอ้ งจลุ ทรรศน์ การถ่ายปสั สาวะเปน็เลอื ดอย่างมากพบได้ ร้อยละ 70
อาการและอาการแสดง (ต่อ)3. ระยะรุนแรง3.1 ความดันโลหติ สูง มีการขยายตวั ของหลอดเลือดในสมอง (cerebralvasodilatation) blood brain barrier ถูกทาลายจนเกิดสมองบวม อาการที่พบได้แก่ ปวดศรี ษะ อาเจียน ซึมลง สับสน การมองเหน็ ผดิ ปกติ พดู ไม่ได้ จาอะไรไมไ่ ด้ชัด และโคมา่ ในทสี่ ุด3.2 มภี าวะเลอื ดคง่ั (circulatory congestion) จะมีอาการหายใจลาบาก(dyspnea) นอนราบไม่ได้ (orthopnea)
การตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัติการ• ปัสสาวะส่วนมากมีปรมิ าตรลดลง ขุ่น สีน้าตาลแดง ความถว่ งจาเพาะมักเกนิ 1.020• โปรตนี ในปสั สาวะจะออกมาเปน็ สดั สว่ นกับปริมาณของเมด็ เลือดแดง ท่อี อกมาใน ปัสสาวะสว่ นมากมรี ะดบั trace ถงึ 2+• ระดับอัลบูมนิ จะตา่ เพราะมกี ารเจือจางและร่วั ออกทางปัสสาวะ• BUN และ creatinine ข้ึนแต่ไมไ่ ด้สัดสว่ นกัน มีน้อยรายท่ขี ้นึ เกนิ 100 มก./ดล.
การรักษา• ควบคมุ อาการบวม และป้องกันไม่ให้เกดิ ภาวะเลอื ดคั่ง โดยการจากัดเกลอื• ควบคุมสมดุลของนา้ ในรา่ งกาย• การพกั ผ่อน ในระยะทบ่ี วมและความดันโลหิตสงู ควรจากัดกจิ กรรม• อาหาร จากดั เกลอื ทุกรายที่มอี าการบวมเล็กนอ้ ย บวกกบั ความดันโลหติ สงู แตถ่ ้าบวมมาก ร่วมกับมีภาวะเลอื ดคัง่ ใหโ้ ซเดียม 200-300 มก./วัน สาหรบั โปรตีนไม่จาเป็นตอ้ งจากัด นอกจากรายทีม่ ภี าวะปสั สาวะนอ้ ยเป็นเวลานานและ BUN มากกวา่ 100 มก. ควรใหโ้ ปรตนี เพียง 0.5 ก./กก./วัน• ความดนั โลหติ สูง ภาวะความดันโลหติ สูงปานกลาง ควรจากดั เกลือ และอาจพจิ ารณาใชย้ า ขบั ปสั สาวะอยา่ งเดียวกเ็ พียงพอ ให้ยาควบคมุ ความดนั
การพยาบาลผปู้ ว่ ยทีม่ กี ารอุดก้นั ทางเดนิ ปัสสาวะ คอลดิ ครนุ นั ท์
โรคนวิ่ ทางเดนิ ปัสสาวะ• ประเทศไทยอย่ใู นแหลง่ ทโี่ รคนวิ่ ในทางเดินปัสสาวะชกุ ชุมแหง่ หนงึ่ ของโลก โดยเฉพาะทางภาค ตะวันออกเฉยี งเหนือและภาคเหนือของประเทศ และการเกดิ นวิ่ ในเพศหญงิ และเพศชายมคี วาม ใกล้เคยี งกนั พบในช่วงอายุ 40 – 59 ปี (ชวนะ, 2537 อา้ งตาม เนตรนภา, 2542)• นวิ่ เกดิ ขน้ึ ได้จากปจั จยั หลายๆ อยา่ ง มหี ลายทฤษฎีท่ีอธบิ ายเกี่ยวกับการเกดิ น่ิวไว้ แต่ทฤษฎีที่ ได้รับความสนใจ คือ ทฤษฎที ่ีเกยี่ วขอ้ งกับสารที่ทาให้เกดิ นว่ิ ถูกขบั ออกมากเกินไป (hyperexcretion – crystallization) ซึ่งพบว่ามสี ารหลายชนิดในปสั สาวะสามารถยับย้ังการตดิ แกนของผลึก รวมทัง้ ยับย้ังไม่ใหเ้ กดิ การเจริญเตบิ โตและการรวมตวั ของผลึก ได้แก่ ไพโรฟอสเฟต (pyrophosphate) ซเิ ตรท (citrate) แมกนเี ซยี ม (magnesium) เปน็ ตน้ เมือ่ รา่ งกายขาด สารยบั ยั้งการตกตะกอน กจ็ ะทาใหเ้ กดิ การตกผลกึ ของสารทีท่ าใหเ้ กดิ น่วิ ขนึ้ ได้
สาเหตขุ องการเกิดน่วิปจั จยั ภายในร่างกาย• อายุ เพศ และเช้อื ชาติ เด็กชายอายตุ า่ กวา่ 10 ปี เป็นนว่ิ ในกระเพาะปสั สาวะมากกวา่ ในไต และผู้ใหญเ่ ปน็ นิ่วในทางเดนิ ปสั สาวะสว่ นบนมากกวา่ เดก็• อายมุ ากข้นึ มีโอกาสเกดิ น่ิวได้มากข้ึน ในต่างประเทศพบเพศชายเกิดโรคนว่ิ ไดม้ ากกวา่ เพศ หญงิ เพราะมีโอกาสเกดิ การอุดก้นั ที่ส่วนคอของกระเพาะปสั สาวะหรอื ท่อปสั สาวะมากกว่า (บุญสบื , 2538) ชาวยโุ รปและเอเซียเป็นกลุ่มคนทพ่ี บนิว่ ในทางเดนิ ปสั สาวะได้มากทส่ี ดุ (ชวนะ, 2537 อา้ งตาม เนตรนภา, 2542)• ภาวะขาดน้าเร้อื รงั (chronic dehydration)
สาเหตุของการเกดิ นวิ่ • การขังของนา้ ปสั สาวะ (urinary stasis) เกิดจากการถา่ ยเทไมส่ ะดวกจากภาวะอดุ กั้น การนอนอยู่กบั ทน่ี านๆ ทาใหส้ ารประกอบในปสั สาวะตกตะกอน รวมตวั กนั เป็นก้อน ผลกึ • ความผดิ ปกติในระบบเมตาบอลซิ ึม (metabolism) มีสว่ นเกีย่ วขอ้ งกับการดดู ซมึ ใน ทางเดินอาหารทม่ี ากกวา่ ปกติ เช่น มกี ารดูดซึมแคลเซียมจากลาไส้มากหรอื ในภาวะ ตอ่ มพาราไทรอยด์โต (hyperparathyroidism) ทาใหม้ ีแคลเซยี่ มในปัสสาวะมาก เกนิ ไป น่ิวทเี่ กดิ จากการมแี คลเซียมในปัสสาวะมากเกินไป สว่ นมากอยใู่ นกล่มุ ทไี่ ม่มี สาเหตชุ ดั เจน (idiopathic hypercalciuria) • พนั ธุกรรม
สาเหตขุ องการเกิดนิว่ปัจจัยภายนอกร่างกาย• ภูมิประเทศ ภมู อิ ากาศและสิง่ แวดล้อม พบวา่ อากาศร้อนเป็นปจั จัยอันหนงึ่ เพราะจะทาใหเ้ กดิ ภาวะขาดนา้ มีความเขม้ ข้นของปสั สาวะสูง• การรับประทานอาหารบางอย่างมากเกนิ ไป ด้านโภชนาการพบว่า โปรตีนกบั วิตามิน น่าจะมบี ทบาทสาคญั อย่างมากในการทาใหเ้ กดิ นว่ิ ในกระเพาะปสั สาวะ การรับประทาน โปรตีนมาก ๆ อาจมีอตั ราเสีย่ งต่อการเกิดนิ่วในไต เพราะทาให้เกิดกรดยรู กิ สงู และ ปสั สาวะมีฤทธเิ์ ป็นกรด
สาเหตุของการเกดิ นิ่ว • ลกั ษณะอาชีพและลักษณะการดารงชีวติ (lifestyle) พบว่าอาชพี ทีม่ ีการออกกาลัง กายนอ้ ย • ความเปน็ กรดดา่ งเปลีย่ นแปลง และมแี นวโนม้ ที่จะเกดิ การตกผลึก สดุ ทา้ ยทาให้เกดิ นิว่ • การตดิ เชอ้ื ในทางเดินปสั สาวะอาจเป็นอาการแทรกซ้อนที่เกดิ จากก้อนนิว่ หรือเป็น สาเหตุแรกเริ่มที่ก่อให้เกดิ นว่ิ ได้ โดยเฉพาะการตดิ เชอ้ื โปรเตียส (proteus) ทีม่ สี ว่ น ทาใหเ้ กดิ นว่ิ ชนดิ แมกนีเซยี มแอมโมเนียมฟอสเฟต (magnesium ammonium phosphate) หรือนวิ่ เขาสตั ว์ (struvite stone)
ชนิดของนิ่วนว่ิ ทางเดนิ ปัสสาวะท่ีพบไดบ้ อ่ ยในประเทศไทย พบว่า• สว่ นใหญ่เป็นนว่ิ แคลเซียมออกซาเลท (calcium oxalate)• นว่ิ พวกแมกนีเซียมแอมโมเนียมฟอสเฟต พบได้รองลงมา• พบนอ้ ยคือ ยูเรทและซีสทนี (urate & cystine)• แคลเซียมออกซาเลท (calcium oxalate) พบไดใ้ นผู้ป่วยที่รบั ประทานผกั ใบเขียว นม เนย โยเกริ ต์ กุง้ หอยนางรม หนอ่ ไม้ไผต่ า่ งๆ ผักขม ชะพลู ใบมันสาปะหลัง ชา กาแฟ โกโก้ ชอ็ คโกแลต เบยี ร์ นอกจากนน้ั ยังพบไดจ้ ากการขาดสารอาหารประเภท โปรตีน ซึง่ มักพบในคนชนบท
ชนดิ ของนิว่ (ตอ่ )• แคลเซยี มฟอสเฟต (calcium phosphate) พบในผูป้ ว่ ยท่ีรับประทานอาหารจาพวก แคลเซยี มมากเกินไป หรือรา่ งกายมีการดูดซมึ แคลเซียมมากกว่าปกติ พบว่านิ่วทีม่ ี แคลเซียมจะเปน็ นว่ิ ประเภทตา่ งๆ• แมกนเี ซยี ม แอมโมเนยี มฟอสเฟต (magnesium ammonium phosphate) มักเกดิ จาก การตดิ เชอื้ แบคทเี รยี โปรเตียสไมราบลิ ิส (proteus mirabilis) ซง่ึ มีคุณสมบตั ิแยก แอมโมเนยี• ยูรคิ แอซิค (uric acid) พบได้นอ้ ย ส่วนมากเปน็ ในผปู้ ่วยที่ระดบั กรดยูริคในซรี ่ัมและ ปสั สาวะสูง อาจเกดิ จากภาวะท่ีมกี ารสลายโปรตีนอยา่ งมากและรวดเรว็ เชน่ ในโรคเกาท์ มะเร็งเมด็ เลอื ดขาว อาหารทีท่ าให้เกดิ กรดยูริคมาก เชน่ เน้อื สตั ว์ เครอ่ื งในสัตว์ ของหมัก ดองทใี่ ช้ยีสต์ กรดยูริคตกตะกอนงา่ ยในปัสสาวะทเ่ี ป็นกรด
ชนดิ ของน่ิว (ต่อ)• ซิสตีน (cystine) พบได้นอ้ ย เกดิ จากความผดิ ปกติในเมตาโบลิซึ่มของโปรตีน ทาใหซ้ ิ สตนี ถกู ขับออกมาในปัสสาวะเปน็ จานวนมาก• แซนทีน (xanthine) เกิดจากความผดิ ปกติของเมตาบอลิซ่ึมของพวิ เรีน (purine) ทาให้ มแี ซนทนี เพมิ่ มากขึน้ ในปสั สาวะ
พยาธิสรีรภาพของนิ่วในทางเดินปัสสาวะ• นิ่วทเ่ี กดิ การอดุ ตันขึ้นในแตล่ ะตาแหนง่ ทาใหเ้ กดิ การขัดของปัสสาวะเหนอื ตาแหนง่ ทอ่ี ุด ตนั ทาให้มแี รงดันเพ่มิ ขนึ้ เหนอื ไตและกรวยไต โดยกลา้ มเนอื้ ไตและกล้ามเน้อื กรวยไตจะมี การบบี ตัวแรงขน้ึ เพ่อื ผลักดันนา้ ปัสสาวะใหผ้ า่ นลงมายงั ทอ่ ไตไดต้ ามปกติ กล้ามเนอื้ ไต และกล้ามเนอื้ กรวยไตจะโตและหนาขึน้ ซึง่ เรยี กระยะนว้ี า่ ระยะชดเชย (compensatory) ซง่ึ ไตยงั คงทางานได้ตามปกติ• กลา้ มเนื้อไตและกล้ามเนือ้ กรวยไตจะอ่อนแรง บางลงและพองออก เรม่ิ จากผนงั กรวยไต ยืดขยาย บางลง พองออกและมนี า้ ขงั อยู่ และสิน้ สดุ ลงดว้ ยผนังของเนื้อไตถูกเบียดจนบาง ลงและพองออกเต็มไปดว้ ยนา้ เรียกระยะนีว้ า่ ระยะชดเชยไม่ได้ (decompensatory)• เนือ้ ไตถูกเบียดทาใหบ้ างลง มเี ลือดมาเลย้ี งไตน้อยลง เมื่อมีอาการรุนแรงมากขึน้ ไตเสีย หนา้ ท่ี เกดิ ภาวะไตวาย ภาวะยูรีเมีย (uremia) และเสียชีวิตในท่สี ดุ
อาการและอาการแสดงของน่ิวในทางเดนิ ปัสสาวะแบง่ ไดต้ ามตาแหน่งที่เกดิ การอดุ กั้น ได้ดงั น้ี1. นิ่วในไต (renal calculi, RC)2. นว่ิ ในหลอดไต (ureteric calculi, UC)3. น่ิวในกระเพาะปสั สาวะ (vesical calculi, VC)
1. น่วิ ในไต (renal calculi, RC)• มกั พบในผใู้ หญ่ บรเิ วณไตเปน็ ตาแหนง่ ที่มักพบไดม้ ากทสี่ ดุ• ขนาดเลก็ ประมาณ 4 – 5 มม. จะเคลื่อนทต่ี ามแรงบีบตัวไล่ปสั สาวะจากไตผ่านทอ่ ไต และ ลงสกู่ ระเพาะปสั สาวะได้ ถา้ นวิ่ ก้อนใหญห่ รอื เป็นแบบชนดิ กง่ิ (staghorn calculus) จะไม่มี การเคลอ่ื นท่ี• ถา้ มกี ารอุดกั้นเพม่ิ ข้ึนเรอ่ื ยๆ ผ้ปู ว่ ยจะมีอาการปวดมากจนดนิ้ (colicky pain) ปวดทสี่ ีข้างหรือ ดา้ นหลังและอาจปวดรา้ วลงมาทอ่ี วัยวะสืบพันธห์ุ รือหน้าขา การตรวจรา่ งกายมักจะกดเจบ็ บริเวณไตข้างน้ัน ในรายที่เป็นเรือ้ รัง• มักมไี ตบวมนา้ (hydronephrosis) ก็อาจคลาพบกอ้ นได้ เมื่อการอดุ กัน้ ยังไม่ได้รบั การแก้ไข เนอื้ ไตและเนอื้ กรวยไตถกู กดจึงขาดเลอื ดเฉพาะท่ี ไตและกรวยไตจงึ เกิดการอักเสบ ตดิ เชื้อได้ง่าย
2. นิ่วในหลอดไต (ureteric calculi, UC)กอ้ นน่ิวมกั หลดุ มาจากไต ส่วนใหญม่ ักเกดิ การอุดกนั้ เพียงบางสว่ น ตาแหน่งทเ่ี กิดการอดุ กั้นท่ีสาคัญ 3 ตาแหน่งคือ• ตรงรอยตอ่ ของกรวยไตกบั ท่อไต (ureteropelvic junction)• บริเวณท่ที อ่ ไตพาดผา่ นเสน้ เลือดไอลิแอค (pelvic brim)• รเู ปิดของทอ่ ไตเข้าสู่กระเพาะปสั สาวะ (ureterovesical junction)ถ้าการอดุ กัน้ เพม่ิ ขน้ึ และเป็นอยู่นานๆ จะทาใหท้ อ่ ไตโป่งพองและไตกจ็ ะโปง่ พองเกดิ ภาวะไตบวมน้า นาไปสู่ภาวะไตเสยี หน้าท่ี
3. นิ่วในกระเพาะปสั สาวะ (vesical calculi, VC)• ส่วนมากเกดิ การอดุ กั้นทค่ี อปัสสาวะ (bladder neck)• มกั เกดิ การคง่ั ค้างของปัสสาวะรว่ มกบั การตดิ เช้ือ
การประเมนิ สภาพการซักประวัติ • ซักถามเกย่ี วกับประวตั ิการเป็นนว่ิ เชน่ โรคเกาท์ หรอื ต่อมพาราไทรอยด์โต (hyperparathyroidism) เปน็ ตน้ • ประวตั สิ มาชิกในครอบครัวท่ีเป็นนวิ่ • อาการปวด ตาแหน่งท่ีปวด ลักษณะการปวด เช่น ปวดตอื้ ปวดเสยี ว ปวดดิ้น (colic) อาการแสดงท่ีเก่ยี วขอ้ งกับการอกั เสบตดิ เชื้อ เชน่ มไี ข้สงู หนาวส่นั มีส่งิ แปลกปลอมในปัสสาวะหรอื ไม่ เช่น เม็ดกรวด เลือด หนอง • อาหารและน้าทด่ี มื่ เปน็ ประจา นา้ ทด่ี มื่ ขนุ่ • แหลง่ ทอ่ี ยู่อาศัย ผู้ทีอ่ ยู่ในเขตหน้าแลง้ • อาชพี ลักษณะงานท่ที า มกี ารออกกาลังกายเพียงพอหรอื ไม่
การตรวจร่างกาย • การสงั เกต การแสดงความเจ็บปวดทางสีหนา้ • คลา โดยใชส้ องมอื ถ้ามกี ารอุดตันอยู่นานจนมกี ารพองโต คลาไดใ้ ตช้ ายโครง ด้านหนา้ กดเจ็บบรเิ วณบั้นเอว ถ้ามีปสั สาวะคั่งในกระเพาะปสั สาวะมาก จะคลาได้ กระเพาะปสั สาวะ โปง่ ตงึ เหนอื หัวเหน่า • เคาะ เหนือหวั เหน่ามีเสยี งทึบของกระเพาะปสั สาวะทม่ี ีนา้ เต็ม เคาะเจ็บบรเิ วณเหนือ เอวใตช้ ายโครง (costovertebral angle) เมือ่ เกิดการอุดตันและอักเสบ
การตรวจทางหอ้ งปฏิบัตกิ าร • ตรวจเลือด พบว่า เม็ดเลือดขาว บียูเอน็ ครเี อตนิ นิ แคลเซียม กรดยรู คิ อลั คาไลนฟ์ อสเฟต (alkaline phosphate) สงู กวา่ ปกติ • ตรวจปัสสาวะ พบเม็ดเลอื ดแดง เม็ดเลือดขาว แบคทีเรียสูงกว่าปกติ
การตรวจทางรังสี • การถา่ ยเอ็กซ์เรยร์ ะบบทางเดินปสั สาวะ (plain K.U.B.) • การฉีดสารทึบแสงเข้าทางหลอดเลอื ดดา (intravenous pyelography, IVP) เปน็ การตรวจดูหนา้ ทข่ี องไต โดยการฉีดสารทบึ แสงเข้าทางหลอดเลอื ดดาเพ่อื ใหไ้ ตขบั ออก การตรวจน้จี ะบอกตาแหน่งท่มี ีการอดุ กัน้ และสภาพการเปลยี่ นแปลงทางดา้ น รูปร่างของทางเดนิ ปัสสาวะกอ่ นทาต้องแนใ่ จวา่ ผูร้ ับบรกิ ารไมแ่ พ้สารไอโอดีน ซง่ึ เป็น สว่ นประกอบของสารทบึ แสง คา่ บียเู อ็นและครีเอตนิ นิ ไม่สงู เกินไป ถ้าค่าครเี อตนิ นิ มา กกว่า 1.5 มิลลกิ รมั เปอรเ์ ซนต์ และบียเู อน็ สูงกว่า 40 มลิ ลกิ รัม / เปอร์เซ็นต์ แสดงวา่ ไตไมม่ ปี ระสทิ ธิภาพดพี อท่ีจะขับสารทึบแสงออกมา • การสอ่ งกล้องดูกระเพาะปัสสาวะ (retrograde pyelography, RP) • การเอก็ ซเรยไ์ ต (renogram)
การตรวจดว้ ยเครื่องมอื• ทาได้โดยการสอ่ งกลอ้ งผา่ นทางท่อปสั สาวะเขาสูก่ ระเพาะปสั สาวะ (cystoscope) เพื่อดกู ารเปลยี่ นแปลงและความผดิ ปกตใิ นกระเพาะปัสสาวะ
การรกั ษานิ่วการผา่ ตดั มกั เป็นวธิ แี รกทใ่ี ช้รักษาในรายทม่ี ี • การผา่ ตัดกรวยไตเอานิ่วในไตออก (pyelolithotomy) โดยผ่าเปิดบรเิ วณสขี า้ งเข้าไป ทกี่ รวยไต (renal pelvis) • การผ่าตัดเข้าไปท่ีไตโดยเปิดเข้าทางสขี า้ งเข้าไปทีไ่ ต ผ่าไตตามยาวเปน็ 2 ซีก เทา่ กนั และคบี นว่ิ ออก (nephrolithotomy) • การผ่าตัดไตออกเมือ่ มกี ารอุดตนั อยู่นานจนไตข้างน้นั ใชก้ ารไมไ่ ด้แล้ว อาจเปน็ แบบตัด ไตออกบางสว่ น หรอื ตดั ไตขา้ งหนง่ึ ออกทั้งหมด (nephrectomy) • การผา่ ตัดเปดิ เขา้ ไปทางสีขา้ งหรือหนา้ ทอ้ งส่วนล่างไปถงึ หลอดไตเปิดหลอดไตเอานวิ่ ในหลอดไตออก (ureterolithotomy)
การรักษานิ่วการผ่าตดั มักเปน็ วิธแี รกทใี่ ช้รักษาในรายที่มี • การผ่าเหนือหัวเหน่าเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะแลว้ เอานิว่ ออก (suprapubic cystolithotomy) • การผ่าเข้าไปทีท่ อ่ ปสั สาวะ แลว้ เอาน่ิวออก (urethrolithotomy) • ใชก้ ลอ้ งส่องผ่านกระเพาะปัสสาวะ (endoscopic basker) • การเจาะผา่ นผวิ หนังเขา้ สไู่ ตเปดิ แผลเลก็ ๆ บรเิ วณสีข้าง ใสท่ ่อเลก็ ๆ ที่ตดิ กลอ้ งสอ่ ง ผา่ นเข้าไปเพ่ือขบนว่ิ ให้แตก หรือถ้ากอ้ นนิ่วโตมากอาจใช้ คลนื่ เสยี ง หรือเลเซอร์ กระทบให้นวิ่ แตก แลว้ ลา้ งออก (percutaneous nephrolithotripsy, PCNL) • การสลายน่ิว อาศยั คล่นื เสียงความถี่สูง (extracorporeal shock wave lithotripsy, ESWL)
การรักษาด้านอายรุ ศาสตร์เปน็ วิธที ใี่ ช้ในระยะเฝ้ารอเพ่ือใหก้ อ้ นน่วิ หลุดออกมาเองในกรณีที่กอ้ นนวิ่ มขี นาดเลก็นอกจากนก้ี ารรักษาทางดา้ นอายุรศาสตร์จะใหผ้ ลดีในระยะหลงั ผ่าตดั เพอื่ ป้องกันการกลับมาเป็นซ้า ซ่ึงเปน็ ภาวะแทรกซอ้ นที่พบไดบ้ ่อยจากการรกั ษาทางศลั ยศาสตร์ในระยะเฝ้ารอมีหลักการดูแลที่สาคัญ ดงั นี้ • บรรเทาอาการปวด ประคับประคองโดยใหย้ าแกป้ วด ในรายทปี่ วดมาก • กระต้นุ ให้ดื่มน้าให้เพยี งพอประมาณ 3,000 ซซี ีต่อวนั ในกรณีท่ีไมม่ ขี อ้ ห้าม • งดอาหารท่สี ่งเสรมิ ใหเ้ กดิ น่ิว ซ่ึงข้นึ กบั ชนิดของนิว่ พรอ้ มทงั้ แนะนาให้ • ให้ยาละลายน่ิวตามชนดิ ของนิ่ว เชน่ ให้อลั โลพวิ รนิ อล (allopurinol) • ในกรณที เี่ ปน็ กรดยูรกิ หรอื ยาโซเดยี มไปคารบ์ อเนต (sodium bicarbonate) ปรับภาวะปัสสาวะให้เปน็ ด่าง ป้องกนั การเกดิ นิ่วกรดยูริก
การผา่ ตัดทไ่ี ตในรายทีเ่ ป็นนิ่วในไต จะผา่ ตดั เนื้อไตตรงตาแหน่งทก่ี อ้ นนว่ิ อยู่ ทาได้หลายวิธีคือ• ผา่ ตดั เนื้อไตเพอ่ื เอาน่วิ ออก (Nephro- lithotomy)• ผ่าตัดกรวยไตเพ่ือเอานวิ่ ออก (Pyelo-lithotomy)• ผ่าตดั ทอ่ ไตเพอื่ เอาน่ิวออก (Uretero – lithotomy)• ตัดเนือ้ ไตออกบางสว่ น (Partial – nephrectomy)• การตดั ไตออกมาถงึ คร่งึ หนึ่ง (Heminephrectomy) ทาในรายทก่ี อ้ นนว่ิ อยทู่ ่ขี ้วั ไตดา้ นบน หรือ ด้านลา่ ง• ผ่าเนอ้ื ไตและใส่สายยางคา้ งไว้ (Nephrostomy) ทาให้รายทไี่ ตบวมน้าหรอื ท่อไตบวมนา้ บวมน้า มากทง้ั 2 ข้าง และหน้าที่ของไตเสยี เปน็ สว่ นมาก• ผา่ ตดั ไตออก (Nephrectomy) ทาในรายท่ีไตขา้ งที่เปน็ นว่ิ เสียไปมากและไตขา้ งหนึง่ ยงั เป็นปกตอิ ยู่ ทัง้ รูปรา่ งและหนา้ ที่
การสลายน่วิ (Extracorporeal shock wave lithotripsy –ESWL)เป็นวิธีการทาให้นิว่ แตกโดยใชพ้ ลงั งานจากภายนอกร่างกาย ซ่งึ จะไมม่ ีแผลหรอื ไมม่ กี ารสอดใส่เครื่องมอื เขา้ไปในร่างกายเลยนิว่ ทีแ่ ตกออกเป็นเม็ดเล็กๆ หรือเป็นผงจะถูกขับออกมาเอง
ขอ้ บง่ ช้ีในรายทท่ี าการรกั ษาดว้ ยการสลายนิ่ว1. ขนาดของนวิ่ ขนาดเสน้ ผ่าศูนยก์ ลางประมาณตงั้ แต่ 0.5 – 3.5 ซ.ม.2. ตาแหน่งของน่ิว ตาแหน่งท่ีสามารถทาการสลายแล้วได้ผลดี คือ น่ิวที่ไต กรวยไต ท่อไตสว่ นบน และทอ่ ไตบริเวณใกล้ทางออกข้อห้ามในการสลายนว่ิ หา้ มทาในราย1. นวิ่ ทม่ี กี ารอักเสบรว่ มดว้ ย เช่น มไี ข้ปัสสาวะเปน็ หนอง ฯลฯ เพราะเมอ่ื นิ่วกระจาย จะทาให้มีการตดิ เชอื้ ในกระแสเลือดได้2. นวิ่ ในทอ่ ไตสว่ นกลาง หรอื สว่ นท่ีกระดกู บงั3. นว่ิ ที่กรวยไตที่ตดิ แน่นกบั ผนัง4. นิ่วทม่ี กี ารอุดตนั ของทอ่ ไตรว่ มด้วย5. นิ่วเขากวาง (staghorn) เพราะน่ิวชนดิ นีใ้ หญ่มาก ตอ้ งทาการสลายหลายครั้งซึ่งจะทาให้ไตชา้ ได้6. ผ้ปู ่วยทมี่ รี ูปรา่ งใหญ่ น้าหนักมากและอ้วน
ข้อดี1. คลื่นชอ็ คจะไมเ่ ป็นอันตรายตอ่ ไตและเน้อื เยื่อรอบๆ รวมทง้ั กระดกู ดว้ ยถ้าไมถ่ ูกโดยตรง2. สามารถใช้กับน่วิ ได้เกือบทั้งหมด ไมว่ า่ จะเป็นนิ่วที่ส่วนใดของไตหรือท่อไต3. ผปู้ ่วยไม่มีบาดแผลทง้ั ภายนอก และภายใน บางครั้งไมจ่ าเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลขอ้ เสยี1. ค่าใช้จ่ายสูง2. อาจมเี ลือดออกรอบๆ ไตไดบ้ า้ ง
ขอบคณุ ครบั คอลิด ครุนนั ท์ วิทยาลยั พยาลบรมราชชนนยี ะลา
Search