Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศรีธนญชัย

ศรีธนญชัย

Published by pannarin2407, 2022-02-07 07:01:58

Description: ศรีธนญชัย

Search

Read the Text Version

ศรีธนญชัย ยอดคนเจ้าปัญญา ผู้ลิขิตชีวิตด้วยตนเอง

แนะนำตัวละคร ศรีธนญชัยวัยเด็ก ศรีธนญชัยวัยหนุ่ม หลานสาวหลวงพ่อ

แนะนำตัวละคร นายนันทา-นางเหรา พระเจ้าเจษฎา ผู้พิพากษาหนุ่ม

พระเจ้าเจษฎาทรงปกครองกรุงศรีอยุธยา ที่ท้ายหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีสามีภรรยา ชื่อนายนันทาและนางเหรา ทั้งสองอยากมีลูก จึงทำพิธีขอลูกจากพระอินทร์

ในที่สุดนางเหราก็ตั้งครรภ์ มีเณรน้อยทำนายว่าเด็กในท้องจะเป็นชายเจ้าปัญญา แต่เจ้าเล่ห์ฉลาดแกมโกงและจะได้ดีเป็นถึงขุนนาง และก็เป็นจริงดังคำทำนายเพราะนางคลอดลูกชาย นางตั้งชื่อให้ว่าศรีธนญชัย เวลาต่อมานางก็ตั้งครรภ์ คลอดลูกชายอีกคนหนึ่ง

ศรีธนญชัยรู้สึกอิจฉาน้อง ที่คนทั่วไปเอ็นดูน้องมากกว่าตน โดยเฉพาะยายแม่ค้าขายขนม ที่มักแถมขนมให้น้องมากกว่าเขา ศรีธนญชัยจึงกลายเป็นเด็กเกเร ไม่ช่วยดูแลน้องเหมือนอย่างเคย มักจะปล่อยให้เล่นดินเล่นโคลนมอมแมม ส่วนตัวเองหนีไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนจนค่ำ

วันหนึ่งก่อนพ่อกับแม่ออกไปทำนา จึงสั่งว่าให้อยู่บ้านดูแลน้อง อาบน้ำให้สะอาดทั้งตัว บ้านเรือนก็เก็บกวาดให้เกลี้ยง ศรีธนญชัยจึงทำตามคำพูดทุกอย่าง โดยเอาข้าวของเครื่องเรือนในบ้าน ไปโยนทิ้งน้ำจนเกลี้ยง แล้วก็มาจับน้องผ่าท้อง ล้างทุกชิ้นส่วนจนสะอาดเอาขมิ้นทา แล้วจับนอนเปล เมื่อพ่อกับแม่กลับมาเห็น ก็ตกใจจนแทบเป็นลมทั้งดุทั้งด่าทั้งตี จนศรีธนญชัยเจ็บไปทั้งตัวแล้วก็ไล่ออกจากบ้าน ไป

ศรีธนญชัยถูกชาวบ้านดุด่าสาปแช่ง ว่าเป็นเด็กใจยักษ์ทำร้ายน้องตัวเอง สักวันข้างหน้ากรรมจะสนอง เขาก้มหน้าร้องไห้ไปตลอดทาง และได้ไปขออาศัยในวัดห่างไกลแห่งหนึ่ง เขาโกหกหลวงตาเจ้าอาวาส ว่าเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่ตายหมด

หลวงตาก็สงสารให้อาศัยเรื่อยมา จนอายุสิบสามปีจึงได้โกนจุก และบวชเป็นสามเณร ศรีธนญชัยมีสติปัญญาเป็นเลิศ เรียนวิชาต่างๆได้ดี หลวงพ่อจึงเอ็นดู ให้ช่วยเป็นครูสอนหลานสาวหลวงพ่อ แต่ศรีธนญชัยเจ้าเล่ห์ พอลูกศิษย์เผลอก็เจ้าชู้ลวนลามหญิงสาว หลวงพ่อรู้เข้าก็โกรธมากไล่ตีจนต้องหนีออกจากวัด

ศรีธนญชัยไม่มีที่ไปจึงกลับมาบ้าน พ่อกับแม่เห็นลูกชายบวชมา ก็คิดว่าลูกกลับใจเป็นคนดีแล้ว จึงให้อภัยทุกอย่าง แต่ตอนนี้ทั้งสองยากจนมาก ศรีธนญชัยจึงออกอุบายให้ขายตน เอาเงินมาทำทุนต่อไป ทั้งสองจึงพาศรีธนญชัยไปขายยายแม่ค้าขนมหวาน โดยไม่รู้ว่าเป็นแผนการของลูกชายตัวดี

ศรีธนญชัยแกล้งทำดีกับยายแม่ค้าหาบขนมไปขาย แต่เอาไปแจกเพื่อนฝูงจนหมด แล้วบอกว่าลูกค้าขอจ่ายเงินวันอื่น ยายแม่ค้าก็เชื่อ วันต่อมาก็อวยพรให้ขายดี“ เป็นเทน้ำเทท่า\" ศรีธนญชัยเจ้าเล่ห์จึงไปที่ท่าน้ำ เทขนมทิ้งทั้งหมดยายแม่ค้ารู้เข้าก็ไล่ตี แต่ศรีธนญชัยดีใจที่ได้แก้แค้นยายแม่ค้า และวิ่งหนีโดยหัวเราะไปตลอดทาง

ยายแม่ค้าขนมกลัวว่าเลี้ยงเด็กเจ้าเล่ห์ไว้ จะหมดตัวเปล่า ๆ จึงเอาไปฝากหลวงนายศรีลูกชายของนาง ที่เป็นข้าราชการในวังหลวง นายศรีเห็นศรีธนญชัยท่าทางฉลาด จึงให้เป็นบ่าวคนสนิทถือตะกร้าหมากคอยตามเข้าวัง แต่ศรีธนญชัยทําหมากหกเรี่ยราด หลวงนายศรีไม่มีหมากกิน ก็พูดว่าคราวหลังถ้าอะไรตกหล่นที่พื้นให้เก็บให้หมด

วันต่อมาศรีธนญชัยจึงเดินตามหลัง และเที่ยวเก็บก้อนหินก้อนดินขยะกิ่งไม้ เปลือกผลไม้จนเต็มตะกร้าหมาก เพื่อน ๆ ในวังเห็นเข้าก็หัวเราะเยาะ ทำให้หลวงนายศรีอับอายมาก แต่ศรีธนญชัยแก้ตัวว่าท่านสั่งไว้ ว่าให้เก็บทุกอย่างที่ตกพื้น หลวงนายศรีเอาผิดไม่ได้ จึงให้อยู่บ้านเป็นเด็กรับใช้ภรรยาของเขา

วันหนึ่งภรรยาหลวงนายศรี ทำขนมข้าวเหนียวเปียก แล้วให้ศรีธนญชัยไปบอกสามี ว่าให้รีบกลับบ้านมากินขนมของโปรด ศรีธนญชัยรีบวิ่งไปท้องพระโรงตะโกนลั่นว่า “ นายท่านเข้าเฝ้าเสร็จแล้ว รีบกลับบ้านด่วนคุณนายทำข้าวเหนียวเปียก หม้อเบ้อเร่อเลยขอรับ” ทุกคนก็หัวเราะ หลวงนายศรีโกรธมากเฆี่ยนตีศรีธนญชัย และสั่งว่าคราวหลังมีอะไรให้พูดเบา ๆ ศรีธนญชัยแค้นใจที่ถูกตีวันต่อมา จึงจุดไฟเผาบ้านคุณนายรีบให้ไปแจ้งสามี เขาก็รีบวิ่งออกไป

พอถึงท้องพระโรงก็แกล้งกระซิบ ให้หลวงนายศรีไม่ได้ยินจนไฟไหม้บ้านวอดวาย หลวงนายศรีเห็นก็ตกใจว่าทำไมไม่พูดดัง ๆ จึงถูกย้อนว่านายท่านเป็นคนสั่งให้พูดเบา ๆ เอง พอหลวงนายศรีสั่งให้ไปหาต้นเพลิง ศรีธนญชัยก็ไปอุ้มเตาหุงข้าวมาบอกว่า นี่แหละต้นเพลิงหลวงนายศรีโกรธมาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงนำตัวไปถวายพระเจ้าเจษฎา

ศรีธนญชัยเข้าวังก็คิดกลับตัว ทำหน้าที่อย่างดีใช้สติปัญญา จนได้รับพระราชทานตำแหน่งคุณพระ เป็นคุณพระที่อายุน้อยที่สุดในสมัยนั้น แต่วันหนึ่งก็กลับใช้ปัญญาในทางผิดอีก โดยทูลขอที่ดินเท่าแมวดิ้นตายจาก พระเจ้าเจษฎาพระองค์แปลกพระทัยมาก ว่าจะขอที่ดินเล็กน้อยไปทำไม แต่ก็ประทานให้

เย็นวันนั้นศรีธนญชัยจับแมวมาตัวหนึ่ง ผูกเชือกแล้ววิ่งไล่ตีผ่าน แต่ที่ดินสวย ๆ ของชาวบ้าน ปากก็ร้องว่าตรงนี้เป็นที่ดินพระราชทาน แล้วกว่าแมวจะดิ้นจนตายก็ได้ไปหลายแปลง ชาวบ้านที่เดือดร้อนมาร้องเรียนกับพระเจ้าเจษฎา พระองค์ก็แสนลำบากพระทัย เพราะตรัสไปแล้วจึงประทานที่ดิน ของหลวงแปลงอื่นให้ชาวบ้านแทน ส่วนที่เท่าแมวดิ้นตายก็จําต้องประทานให้ศรีธนญชัยไป

ศรีธนญชัยมีที่ดินแล้วแต่ก็ไม่ลงแรงทำไร่นา กลับให้บ่าวเอาแกลบกับมาเทจนทั่ว แล้วให้บ่าวนั่งเฝ้าหากใครเดินเหยียบ ก็ปรับเงินสิบเบี้ยฐานบุกรุกจนได้เงินไปมากมาย ชาวบ้านก็ไม่กล้าร้องเรียนเพราะกลัวอิทธิพล

วันหนึ่งพายุพัดแกลบปลิวหายไปหมด ศรีธนญชัยคิดหาคนมารับผิดชอบ จึงเดินไปทางเหนือพบยายแก่หูตึง กำลังนั่งหาวก็ฉุดไปหาผู้พิพากษาบอกว่า ยายแก่นั่งหาวเป็นต้นเหตุของลมพายุ ยายแก่ได้ยินไม่ชัดก็บอกว่ายายหาวเป็นลมจริงๆ ผู้พิพากษาจึงต้องจำใจปรับเงินยายแก่ ตามที่ศรีธนญชัยเรียกร้องค่าเสียหาย

ต่อมาศรีธนญชัยแอบชอบศรีนวลลูกสาวเศรษฐี จึงส่งยายเหม็นเป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอ ท่านเศรษฐีไม่อยากยกลูกสาวให้คนเจ้าเล่ห์ จึงเรียกสินสอดแพง ๆ เป็นเงินร้อยหาบ กับทองพันชั่งยายเหม็นตกใจจนตาเหลือก รีบมาบอกศรีธนญชัย แต่ศรีธนญชัยแก้ปัญหา ด้วยการนำเงินสตางค์รูมาร้อยเชือกใส่หาบ กับสาแหรกแล้วเด็ดใบต้นทองพันชั่ง มาใส่ขันหมากให้ยายเหม็นหาบไปสู่ขอศรีนวล

ท่านเศรษฐีโกรธมากไล่ยายเหม็นกระเจิง ศรีธนญชัยจึงไปฟ้องผู้พิพากษาว่า ท่านเศรษฐีผิดสัญญา ้เมื่อไต่สวนแล้วปรากฏว่า ท่านเศรษฐีไม่ได้พูดให้ชัดว่า ต้องเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และทองคำแท่งหนึ่งพันชั่งผลสุดท้าย ท่านเศรษฐีจึงต้องยกลูกสาว ให้จอมเจ้าเล่ห์ศรีธนญชัย

วันหนึ่งพระเจ้าเจษฎาเสด็จประพาสอุทยานหลวง และทรงต้องการทดสอบปัญญาของศรีธนญชัย จึงตรัสว่าหากเก่งจริงก็จงหลอกให้พระองค์ ลงไปแช่ในน้ำให้ได้ศรีธนญชัยตีหน้าเศร้าบอกว่า ข้อนั้นยากเกินไปขอเปลี่ยนเป็น ให้หลอกพระองค์ขึ้นจากน้ำดีกว่า พระเจ้าเจษฎาจึงยอมลงน้ำ แล้วตรัสให้หลอกพระองค์ขึ้นจากน้ำให้ได้

ศรีธนญชัยจึงบอกว่า หม่อมฉันหลอกพระองค์ลงน้ำสำเร็จแล้ว และหากพระองค์ไม่ยอมขึ้นจากน้ำ ก็สุดแล้วแต่พระทัยเถิดพระเจ้าเจษฎาถูกช้อนกล ก็หัวเราะลั่นเพราะถูกใจความฉลาดของศรีธนญชัย

กรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้นมีชาวต่างชาติ เข้ามาค้าขายอยู่เสมอ วันหนึ่งมีชาวฝรั่งเศสชื่อปีลังก์ เข้ามาพร้อมอวดว่าตนมีผ้าวิเศษ เมื่อขึ้นจะมีควันออกมาแล้วโอ้อวดว่า ไม่มีผ้าผืนไหนวิเศษกว่าผืนนี้แน่

ศรีธนญชัยรู้เข้าจึงมาท้าประลอง โดยทำทีล้วงผ้าจากหีบขึ้นมาสะบัด แล้วบอกว่านี่คือผ้าล่องหนแม้แต่ด้ายสักเส้น ก็ไม่มีใครเห็นปีลังก์ทั้งโกรธทั้งเสียหน้า จึงหนีกลับประเทศไป

หลายเดือนต่อมาปีลังกลับมา โดยนํานกแขกเต้าพูดได้มาเที่ยวท้าทายว่า หากใครมีนกที่วิเศษกว่าให้นำมาแข่งกัน ศรีธนญชัยเข้าจึงให้บ่าวจับนกตะกรุมตัวใหญ่ มาขังให้อดอยากแล้วป้อนนกน้อยเป็นอาหาร จนนกตะกรุมกลายเป็นนกดุร้าย

พอถึงวันประลองนกแขกเต้าช่างพูดเจื้อยแจ้ว ถูกใจผู้คนมาก แต่พอศรีธนญชัยเปิดกรงออกมา เจ้านกโหดก็บินมาจับนกแขกเต้ากลืนลงคอทันที ศรีธนญชัยบอกว่านกของเจ้าพูดจาหยาบคาย นกเราเลยจับกินเสียเลยปีลังโมโหมาก ลงเรือกลับประเทศและไม่กลับมากรุงศรีอยุธยาอีกเลย

วันหนึ่งพระเจ้าเจษฎาตรัสว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมา ล้วนต้องตายแม้แต่เราก็ไม่เว้น ข้าหลวงคนอื่นเห็นด้วย แต่ศรีธนญชัยแย้งว่า ไม่จริงเสมอไปหากคนเราไม่ถึงที่ตาย ทำอย่างไรก็ไม่ตายพระเจ้าเจษฎาโกรธมาก สั่งให้ทหารจับศรีธนญชัยขังกรงแช่ในทะเลรอให้น้ำขึ้น ท่วมจนตายศรีธนญชัยตกใจที่ถูกลงโทษ แต่ใช้ปัญญาทูลขอเครื่องทรงชุดกษัตริย์สักชุด ไว้ดูต่างหน้าก่อนตายพระองค์ก็ยอมให้เป็นครั้งสุดท้าย

ศรีธนญชัยถูกขังจนน้ำขึ้นมาท่วมครึ่งตัว ก็มีเรือสําเภาจีนผ่านมาเขาตะโกนว่า ข้าไม่อยากเป็น ๆ พ่อค้าจีนเห็นก็แปลกใจ ลงจากสําเภามาถามศรีธนญชัยหลอกว่า เขาถูกบังคับให้เป็นเจ้าเมือง แต่เขาไม่อยากเป็นจึงถูกจับขังกรงไว้ เย็นนี้จะมีคนมารับไปครองเมือง

พ่อค้าเห็นชุดกษัตริย์ก็หลงเชื่อ อยากเป็นเจ้าเมืองเอง จึงสั่งให้บ่าวพังกรงขังช่วยศรีธนญชัยออกมา แล้วยกเรือสำเภาสินค้าให้ ส่วนตัวเองเข้าไปอยู่ในกรงแทน เมื่อน้ำขึ้นท่วมกรุงพ่อค้าจีนก็จมน้ำตาย เพราะความโลภของตัวเอง ฝ่ายศรีธนญชัยรีบมาเข้าเฝ้าพระเจ้าเจษฎา ถวายหยกผ้าไหมและสินค้าหายากจากเรือ พระองค์แปลกพระทัยที่เขารอดตายมาได้ จึงไต่ถามจนทราบเรื่องก็ชื่นชม ที่ใช้ไหวพริบทำให้รอดตายทรงเลื่อนยศ ให้เป็นพระยา

เมื่อมีเรือสำเภาศรีธนญชัยจึงออกเรือ ไปค้าขายถึงเมืองจีนเมื่อสินค้าหมด เกิดอยากท่องเที่ยวในเมืองนายด่านบอกว่า ชาวต่างชาติทุกคนต้องเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงจีน ก่อนเข้าเมือง แต่ขณะเข้าเฝ้ามีกฏว่า ห้ามมองพระพักตร์เด็ดขาดศรีธนญชัยตกลง หมอบคลานไปเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงจีน เล่าเรื่องกรุงศรีอยุธยาทั้งเรื่องการเมือง การค้าจนถึงเรื่องการกินก็อวด ว่าอาหารขึ้นชื่อที่สุดคือผักบุ้งไต่ราว พระเจ้ากรุงจีนอยากเห็นมากสั่งให้แสดงให้ดู ศรีธนญชัยจึงขึงเชือกเป็นราวเอาผักบุ้งห้อยเรียงกันไป เวลากินก็เงยหน้างับผักบุ้งและแอบชำเลืองดู จนเห็นพระพักตร์ว่าเหมือนสุนัข พระเจ้ากรุงจีนจับได้พิโรธมากสั่งให้จับ ศรีธนญชัยไปยังที่ตึกมด

ศรีธนญชัยถามผู้คุมจนรู้ว่า ที่ตึกมดมีมดหิวโซเป็นล้าน ๆ ตัว ไม่มีนักโทษคนไหนรอดตายมาได้ ศรีธนญชัยแกล้งทำท่าหวาดกลัว แล้วบอกว่าตนชอบกินอ้อยมาก ก่อนตายขอกินอ้อยสักมัดเถอะ ผู้คุมสงสารจึงนำอ้อยมาให้ แล้วใส่กุญแจขังอย่างแน่นหนา เขาก็เหยียบอ้อยจนแตก แล้วโยนไว้ที่มุมห้องสามด้าน ส่วนตนเองนั่งอยู่มุมหนึ่ง ฝูงมดได้กลิ่นน้ำหวานก็เข้ามารุมกินอ้อย โดยไม่สนใจนักโทษเลย

รุ่งเช้าผู้คุมเห็นศรีธนญชัยยังมีชีวิตอยู่ ก็นำตัวไปเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงจีน พระองค์จึงให้นำไปขังที่ตึกเย็น ซึ่งนักโทษจะหนาวจนตาย ศรีธนญชัยไปหาเรื่องชวนนักโทษถูกขังอยู่ก่อน ทะเลาะจนนักโทษจีนโมโหลุกขึ้นต่อสู้กัน จนเหงื่อท่วมตัวตลอดทั้งคืน จนรุ่งเช้าผู้คุมจึงนำตัวมาเข้าเฝ้า พระองค์ทรงสอบถามจนทราบว่า ศรีธนญชัยใช้สติปัญญาเอาตัวรอดมาได้ ก็ชื่นชมพระเจ้ากรุงจีนและประทานรางวัลให้มากมาย

เมื่อกลับมากรุงศรีอยุธยา ศรีธนญชัยมีฐานะร่ำรวยขึ้นมาก รีบนำของแปลกมากมายจากจีน ถวายพระเจ้าเจษฎาแล้วก็ทำบุญ สร้างกุศลโดยการบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดเก่าแก่ทรุดโทรมแห่งหนึ่ง จนงดงามเป็นครั้งแรกที่ชาวเมืองนึก นิยมชมชอบศรีธนญชัย ชื่อเสียงความฉลาดเลื่องลือไปไกลถึงต่างแดน ทําให้มีชาวต่างชาติมาท้าพนันเสมอ คราวหนึ่งมีนักมวยชาวอินเดียตัวใหญ่ หน้าตาดุร้ายมาท้าชกกับนักมวยชาวอยุธยา ฝ่ายใดแพ้จะต้องเป็นเมืองขึ้นของผู้ชนะ

ทุกคนต่างเกรงกลัวยกเว้นศรีธนญชัย ที่อาสาจัดการเอง โดยให้บ่าวไปตามหานักมวยร่างใหญ่มา แล้วบอกให้เขารับใช้ชาติโดยการเสียสละ โกนผมและถอนฟันทุกนักมวยผู้นั้น ก็ยินยอมก่อนถึงวันชกนักมวยแขกไปเดินตลาด ก็พบทารกตัวโตร้องไห้อยู่หน้าบ้าน ชาวบ้านให้ดูว่านี่คือลูกชายที่เพิ่งคลอดได้เจ็ดวัน ของนักมวยไทยที่จะชกพรุ่งนี้ นักมวยแขกตกใจว่าขนาดลูกยังตัวขนาดนี้ แล้วพ่อจะตัวขนาดไหนเกิดกลัวตาย จึงลงเรือหนีกลับอินเดียทันที

วันหนึ่งพระเจ้าเจษฎาคิดแกล้งศรีธนญชัย จึงทรงวางแผนกับเหล่าอำมาตย์ ให้ทุกคนนำไข่ไก่ไปซ่อนไว้ในสระกลางอุทยาน พอว่าราชการเสร็จก็ให้ทุกคนลงไปที่สวน แล้วบอกว่าในสระนี้เป็นสระวิเศษใครลงไป จะออกไข่เหมือนแม่ไก่ได้ ถ้าใครออกไข่ไม่ได้จะถูกประหาร แล้วขุนนางทุกคนกระโดดลงน้ำ ลงไปหาไข่ไก่ที่ซ่อนไว้ชูขึ้นแล้วร้องกระต๊าก ๆ

ศรีธนญชัยยืนงงครู่หนึ่งแล้วก็กระโดดลงไปบ้าง แต่ไม่มีไข่เหลืออยู่เลยก็ใช้ไหวพริบ กระโดดขึ้นมาไล่กอดขุนนางคนอื่น พลางร้องกระโต๊ก ๆ แล้วบอกว่า เราเป็นไก่ตัวผู้ออกไปไม่ได้ ต้องไล่ปล้ำไก่ตัวเมียอย่างนี้แหละ พระเจ้าเจษฎาทรงพระสรวล ชอบใจท่าทางเจ้าไก่แจ้และ ชื่นชมสติปัญญาของศรีธนญชัยเป็นอย่างมาก

คราวหนึ่งพระเจ้าเจษฎาทรงหลอกให้ศรีธนญชัย กินแกงเนื้ออีแร้งศรีธนญชัยก็แก้แค้น ด้วยการทำดินสอจากอีแร้ง แล้วหลอกให้พระเจ้าเจษฎาอม พระองค์โกรธมากเนรเทศศรีธนญชัย ไปอยู่เกาะร้างแสนไกลต้องหากล้วยป่ากินกันตาย

วันหนึ่งมีสำเภาจีนมาจอดใกล้ ๆ ศรีธนญชัยจึงแอบขึ้นไปบนเรือ เห็นพ่อค้าจีนผ่าฟักทองสองลูก แกะเมล็ดออกจนเหลือเมล็ดเดียว อีกลูกเหลือสองเมล็ด แล้วประกบให้สนิทเหมือนเดิม ก่อนนำไปท้าพนันกับพระเจ้าเจษฎา ขอทรัพย์สินในท้องพระคลังทั้งหมด หากตนแพ้ก็จะยกเรือสำเภาให้ และยอมเป็นทาส ศรีธนญชัยแอบตามเข้าไปหลบหลังพระที่นั่ง เห็นว่าคนในวังไม่มีใครทายถูกเลย จึงโผล่ออกมาแกล้งทำท่าทำนายแบบโหรหลวง แล้วทายได้อย่างถูกต้องช่วยให้ ไม่ต้องเสียเงินทองแม้แต่นิดเดียว พระเจ้าเจษฎาทรงเห็นคุณงามความดี จึงทรงอภัยโทษให้

วันหนึ่งแม่ทัพชาวพม่าท้าแข่งกับฝ่ายกรุงศรีอยุธยา ว่าฝ่ายใดสร้างเจดีย์ขนาดใหญ่ได้เสร็จก่อน ภายในหนึ่งวันจะได้ครอบครองบ้านเมืองของอีกฝ่าย ศรีธนญชัยอาสาแข่งโดยปล่อยให้พม่าสร้างไปก่อน จนเกือบหมดเวลาก็ให้บ่าวไปตัดไม้ไผ่ มาต่อ ๆ กันจนสูงแล้วเอาผ้าขาวผืนใหญ่ขึง จนเหมือนเจดีย์สีขาว

ฝ่ายพม่าที่สร้างเจดีย์อยู่คนละฝั่งแม่น้ำ เห็นเข้าก็ตกใจเพราะยังฉาบปูนขาวไม่เสร็จเลย คิดว่าพวกตนแพ้แน่ ๆ จึงรีบหนีกลับพม่าไป

กรุงศรีอยุธยามีจิตรกรฝีมือดีอยู่มากมาย วันหนึ่งจิตรกรชาวอินเดียมาท้าพนันแข่งวาดรูปเร็ว จิตรกรผู้นี้วาดรูปสัตว์ได้รวดเร็วมาก เพียงกระโดดขึ้นกลางอากาศก็ตวัดพู่กัน วาดภาพสัตว์เสร็จก่อนเท้าลงแตะพื้นเสียอีก

พระเจ้าเจษฎาไม่รู้จะหาคนมีฝีมือดีกว่านั้นได้ที่ไหน ศรีธนญชัยจึงอาสาแข่งขันเองเมื่อถึงเวลาแข่ง จิตรกรแขกกระโดดขึ้นวาดรูปสิงโต ได้อย่างสวยงามส่วนศรีธนญชัยเอาปลายนิ้วชุบสี กระโดดขึ้นลากเส้นคดโค้งเป็นรูปไส้เดือนห้าตัว แล้วบอกว่าตนเองเป็นฝ่ายชนะเพราะจิตรกรแขก วาดสิงโตตัวเดียว แต่เราวาดไส้เดือนถึงห้าตัว จิตรกรแขกโกรธมากลงเรือกลับอินเดียทันที

ต่อมามีชายหัวล้านชาวอินเดียมาท้าพนัน ชนหัวล้านชายหัวล้านชาวกรุงศรี ต่างหวาดกลัวกันหมดเพราะแขกคนนี้ หัวล้านโตเท่าบาตรพระแข็งเหมือนหิน หากไปชนด้วยหัวต้องแตกตายแน่

ศรีธนญชัยไม่กลัวสักนิดรับอาสาหาคนมาแข่งขันเอง โดยให้บ่าวไปหาชายหัวล้านตัวใหญ่ เอาเชือกมาผูกทาสีเชือกให้เหมือนโซ่ตรวน ผูกข้อเท้าเขาไว้แล้วทำท่าอาละวาดเหมือนสัตว์ร้าย ส่วนพวกบ่าวสิบคนก็แกล้งตึงโซ่แล้วทําเป็นหลุดมือ ล้มระเนระนาดชาวบ้านวิ่งหนีตายอลหม่าน ชายหัวล้านชาวอินเดียออกมาเดินตลาดเห็นเข้า ก็หวาดกลัวรีบหนีกลับประเทศไป

วันหนึ่งศรีธนญชัยคิดทบทวนเรื่องไม่ดีต่างๆ ที่ตนเคยทำมาก็สำนึกได้ขอทูลลาบวช เพื่อละกิเลสอุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวร แต่พระศรีธนญชัยอยู่ในศีลในธรรมได้พักหนึ่ง ก็เริ่มออกลายคืนหนึ่งหลวงพ่อจุ่นสั่งให้พระศรีปลุก แต่เช้ามืดเพราะมีชาวบ้านนิมนต์ไว้ พระศรีรอจนดึกสงัดก็น่าตะเกียงไปแขวนบนยอดไม้ รีบไปบอกว่าดาวกัลปพฤกษ์ขึ้นแล้ว

หลวงพ่อจุ่นเห็นแสงก็คิดว่าดาวรุ่งจริงๆ รีบสะพายย่ามบอกให้พระศรีเฝ้ากุฏิดีๆ หากมีใครขึ้นมาให้ตีได้เลย เมื่อไปถึงบ้านงานก็แปลกใจว่า ทําไมชาวบ้านยังไม่หุงหาอาหารเตรียมงานอีก พอดีคนในบ้านเห็นเงาตะคุ่มๆก็ร้องว่าขโมย ๆ และวิ่งไล่ตามมาหลวงพ่อวิ่งหนีจีวรปลิวกลับกุฏิ พระศรีธนญชัยก็ดีไม่ยั้ง จนหลวงพ่อร้องโอดโอย บอกว่านี่หลวงพ่อเองจึงหยุดตี พระศรีแก้ตัวว่าหลวงพ่อสั่งว่า ใครขึ้นเรือนมาให้ตีได้เลย

ต่อมาพระลูกวัดต้องช่วยกันมุงหลังคาศาลาใหม่ พระศรีก็เอาแต่นอนไม่ยอมช่วยงาน พอมุงหลังคาเสร็จแล้วจึงตื่นพระศรีกลัวความผิด รีบปีนขึ้นไปบิดตอกจากขวาเป็นซ้ายทุกตับจาก พอหลวงพ่อกลับมาพระรูปอื่นฟ้องว่า พระศรีไม่ยอมช่วยงานเลยพระศรีก็แก้ตัวว่า ตนเองต่างหากที่ทำงานคนเดียวหากไม่เชื่อ ให้หลวงพ่อพิสูจน์โดยการดูตับจาก เพราะตนบิดไปทางซ้ายพระรูปอื่นแย้งว่า ตอกบิดไปทางขวาต่างหาก

เมื่อไปถึงศาลาหลวงพ่อก็เห็นว่า ตับจากทั้งหมดบิดไปทางซ้ายจริงๆ จึงสั่งสอนพระรูปอื่น ๆ แล้วชื่นชมพระศรีรูปเดียว

พระศรีก่อเรื่องจนปั่นป่วนทั้งวัดแล้ว ก็เริ่มเบื่อขอลาสึกกลับไปรับราชการตามเดิม ระหว่างทางพบเณรน้อยรูปหนึ่ง พายเรือผ่านมาก็ร้องว่า “ ขอข้ามเรือด้วย” เณรน้อยก็ลุกขึ้นเดิน ข้ามไปมาระหว่างกราบเรือ ศรีธนญชัยรู้ทันทีว่าพบคนเจ้าปัญญาเข้าแล้ว จึงพูดใหม่ว่า “ ช่วยมารับกระผมเพื่อข้ามไปฝั่งโน้นด้วย” เณรน้อยจึงพายเรือมารับ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook