ระบบการทางาน ของพชื นางสาววริศรา วิฉายา แผนกสามัญสัมพนั ธ์ วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยเี ชียงใหม่
ระบบการทางานของพชื สาระการเรยี นรู้ ระบบการ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ทางานของพืช 1. เนอ้ื เยือ่ และการเจริญเติบโตของพืช 1. อธบิ ายการทา งานของเน้ือเยอ่ื ชนิดตา่ งๆ ของพืชได้ 2. โครงสร้างและการเจริญเตบิ โตของราก 2. บอกลักษณะโครงสร้างและหน้าทขี่ องรากพชื ได้ 3. โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องลาต้น 3. บอกลักษณะโครงสรา้ งและความแตกต่างของลาต้น 4. โครงสร้างและหนา้ ท่ขี องใบ พืชชนิดต่างๆ ได้ 5. การลาเลยี งนา้ ของพชื 4. บอกลักษณะโครงสร้างและประเภทของใบพืชได้ 6. การลาเลียงสารอาหารของพชื 5. อธิบายกระบวนการลา เลยี งนา้ ของพชื ได้ 6. อธิบายกระบวนการลา เลียงสารอาหารของพชื ได้ สมรรถนะประจาหน่วย แสดงความรเู้ ก่ียวกับระบบการทา งานตา่ งๆของพืช Date Your Footer Here 2
เน้อื เยอ่ื และการเจรญิ เติบโตของพชื เนื้อเยือ่ พชื เป็นกลุม่ เซลล์ที่มลี กั ษณะคลา้ ย ๆ กันมาอย่รู วมกันแล้วร่วมกันทางาน ส่วนใหญ่ใช้ ความสามารถในการแบง่ ตวั ของเน้ือเยือ่ เป็นเกณฑ์ แบง่ เปน็ 2 ชนดิ ❖ เนอ้ื เย่ือเจรญิ ❖ เนื้อเยอ่ื ถาวร Date 3
เนอื้ เยื่อเจรญิ (Meristem) ➢ เปน็ เนอื้ เย่ือทปี่ ระกอบดว้ ยกล่มุ เซลล์ที่มีการแบ่งตวั ตลอดเวลา ➢ แบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสี เพอ่ื เพิม่ จานวนเซลล์ ➢ ลักษณะสาคญั - เปน็ เซลล์ทย่ี งั มชี วี ิตอยู่ - มีผนงั เซลลบ์ าง ประกอบดว้ ยเซลลโู ลส แบ่งเป็น ⚫ เน้ือเยอ่ื เจรญิ ส่วนปลาย (Apical Meristem) ⚫ เนอ้ื เยอื่ เจรญิ ดา้ นข้าง (Lateral Meristem) ⚫ เน้ือเยอื่ เจรญิ เหนอื ข้อปล้อง (Intercalary Meristem) Date Your Footer Here 4
เน้อื เย่ือเจริญสว่ นปลาย (Apical Meristem) ➢ เป็นเนอ้ื เยือ่ เจริญท่ปี ลายยอดและ ปลายราก ➢ ชว่ ยเพิม่ ความสงู ของพืช ➢ จัดเป็นการเจริญข้นั แรก (Primary Growth) Date Your Footer Here 5
เน้อื เยอื่ เจรญิ ด้านขา้ ง (Lateral Meristem) ➢ เป็นเนอ้ื เยอื่ ทีช่ ่วยเพิม่ ความกว้างหรือเส้นผ่าน ศูนยก์ ลางของรากและลาต้น ➢ เป็นการเจริญขน้ั ที่ 2 ➢ เน้อื เยอื่ เจรญิ ชนดิ นี้ เรยี กว่า แคมเบียม (Cambium) ➢ ถ้าพบบริเวณกลมุ่ ท่อลาเลียง เรียกว่า วาสควิ ลารแ์ คมเบียม (Vascular Cambium) ➢ เนือ้ ไมท้ ่ีเกิดในแต่ละปี เรยี กว่า วงปี Date Your Footer Here 6
Date Your Footer Here 7
เนอื้ เยอื่ เจริญเหนอื ขอ้ ปลอ้ ง (Intercalary Meristem) ➢ พบบริเวณเหนอื ข้อของลาต้นหรือโคนของปล้อง หรอื ตามขอ้ และกาบใบของพชื ใบเลยี้ งเดย่ี ว ➢ ชว่ ยใหป้ ลอ้ งยืดยาว Date Your Footer Here 8
เนื้อเย่ือถาวร (Permanent Tissue) ➢ เปน็ เน้อื เยื่อทปี่ ระกอบด้วยเซลล์ทีเ่ ปลี่ยนแปลงมาจาก เน้อื เยื่อเจรญิ ➢ ไมม่ ีการแบ่งเซลล์ ➢ รูปรา่ งของเซลลค์ งที่ ➢ มกี ารสะสมสารบนผนงั เซลลม์ าก ➢ จาแนกตามชนดิ เซลล์ทีเ่ ปน็ องค์ประกอบ 1. เน้อื เยอ่ื ถาวรเชงิ เดย่ี ว (Simple Permanent Tissue) 2. เนอื้ เย่อื ถาวรเชิงซอ้ น (Complex Permanent Tissue) Date Your Footer Here 9
เน้อื เยอ่ื ถาวรเชงิ เดีย่ ว ประกอบด้วยเซลลช์ นดิ เดยี วกนั มาทางานรว่ มกนั 1. เนื้อเยือ่ ปอ้ งกัน (Protective Tissue) 1.1 เอพเิ ดอรม์ ิส (Epidermis) ทาหน้าที่ป้องกนั อันตราย / การสญู เสียนา้ มกั - ชน้ั นอกสดุ อยนู่ อกสุดของราก ลาต้น และใบ - เซลล์เรียงตวั เพียงชนั้ เดยี ว - ผนังเซลล์บาง ไม่มีคลอโรพลาสต์ 1.2 เพอริเดริ ม์ (Periderm) - พชื บางชนิด เอพเิ ดอร์มิสของลาต้น เปล่ียนเป็นขนหรือต่อม ส่วนบริเวณใกลร้ ากมี - พบในพืชที่มีอายุมาก ผนงั เซลล์ยน่ื ออกมา เรียก ขนราก - เกิดจากการแบ่งตัวของคอร์กแคมเบียม - ทาใหล้ าตน้ และรากขยายขนาดข้ึน Date Your Footer Here 10
เน้อื เยอ่ื ปอ้ งกัน (Protective Tissue) Date Your Footer Here 11
เนื้อเยื่อถาวรเชงิ เดยี่ ว ประกอบดว้ ยเซลล์ชนดิ เดยี วกนั มาทางานรว่ มกนั 2. เน้อื เยอื่ พื้น (Ground Tissue) 1.1 พาเรงคิมา (Parenchyma) ✓ เป็นองคป์ ระกอบในราก ลาตน้ ใบ ดอก - พบทั้งในราก ใบ และลาต้น ✓ เปน็ ตัวกลางให้เนอ้ื เยอื่ อื่นเจรญิ แทรกตัวอยู่ - ประกอบด้วยเซลล์ทย่ี งั มีชวี ติ อยู่ - รปู รา่ งทรงกระบอกกลมหรือเหลยี่ ม - ผนังเซลลบ์ าง - ในลาตน้ ท่มี สี เี ขยี วจะมีคลอโรพลาสตอ์ ยใู่ น เนื้อเยือ่ ชนิดน้แี ละสังเคราะห์ดว้ ยแสงได้ เรยี ก คลอเรงคิมา (Chlorenchyma) Date Your Footer Here 12
เนื้อเยือ่ ถาวรเชิงเดีย่ ว ประกอบด้วยเซลลช์ นดิ เดยี วกันมาทางานรว่ มกัน 2. เนือ้ เยือ่ พ้นื (Ground Tissue) 1.2 คอลเลงคิมา (Collenchyma) ✓ เปน็ องค์ประกอบในราก ลาต้น ใบ ดอก - อยู่แนวรอบนอกของคอร์เทกซ์ในลาต้นที่ยงั ออ่ น ✓ เป็นตัวกลางให้เนือ้ เยอ่ื อื่นเจริญแทรกตัวอยู่ - มีผนังเซลลห์ นาตามมมุ ของเซลล์ - เปน็ เซลลท์ ี่มนี ิวเคลยี สและมีชวี ติ ตลอด - ช่วยเพิ่มความแขง็ แรงและป้องกนั - เพ่ิมความยืดหยุน่ Date Your Footer Here 13
เน้ือเย่ือถาวรเชงิ เด่ยี ว ประกอบดว้ ยเซลลช์ นดิ เดยี วกันมาทางานร่วมกัน 2. เนอื้ เย่อื พ้นื (Ground Tissue) 1.3 สเคลอเรงคิมา (Sclerenchyma) ✓ เป็นองคป์ ระกอบในราก ลาตน้ ใบ ดอก - เป็นเนอ้ื เย่อื ทต่ี ายแลว้ ✓ไฟเบเปอร็น์ (ตFวัibกeลr)างให้เนอ้ื เย่อื อืน่ เจริญแทรกตัวอยู่ - มีผนงั เซลลห์ นามาก ประกอบด้วย เซลลโู ลส และลกิ นิน - จาแนกตามความหนาของผนังเซลล์และชนดิ ของช่องที่ผนังเซลล์ - แบง่ เป็น 1. ไฟเบอร์ (Fiber) 2. สเคลอรีด (Sclereid) สเคลอรีด (Sclereid) Your Footer Here 14 Date
เน้อื เยอ่ื ถาวรเชงิ เด่ยี ว ประกอบดว้ ยเซลลช์ นิดเดยี วกนั มาทางานร่วมกัน 2. เนอ้ื เยอ่ื พืน้ (Ground Tissue) 1.4 เอนโดเดอรม์ สิ (Endodermis) ✓ เป็นองคป์ ระกอบในราก ลาตน้ ใบ ดอก - สว่ นใหญพ่ บในราก โดยเฉพาะพืชใบเลี้ยงเด่ียว ✓ เป็นตวั กลางใหเ้ นอื้ เย่ืออื่นเจริญแทรกตวั อยู่ - เซลล์เรียงตัวเปน็ แถวเดยี ว - มีสารพวกซเู บอริน คิวทิน หรอื ลิกนนิ มาสะสม - กดี ขวางนา้ และอาหารไม่ให้ผ่านไดส้ ะดวก Date Your Footer Here 15
เน้อื เยอื่ ถาวรเชิงซ้อน ประกอบด้วยเซลล์หลายชนดิ มาทางานร่วมกนั ไดแ้ ก่ เน้ือเยอ่ื ลาเลียง 1. เนื้อเย่ือลาเลียงอาหาร 1.1 ซฟี ทวิ บ์เมมเบอร์ (Sieve Tube Member) หรอื โฟลเอม็ (Phloem) - เปน็ เซลลท์ ี่ยงั มีชวี ติ อยู่ ✓ ทาหน้าที่ ลาเลยี งสารอาหาร - รปู ร่างคล้ายทอ่ สน้ั ๆ หวั ท้ายแหลม ท่พี ืชสร้างจากกระบวนการ - เมอ่ื อายุน้อยมีนวิ เคลยี ส เมื่อเจริญเตม็ ทีจ่ ะสลายไป สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง ไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของพืช 1.2 คอมพาเนยี นเซลล์ (Companion Cell) 16 Date - เป็นเซลล์ขนาดเลก็ มนี ิวเคลียสตลอดชวี ติ - เปลี่ยนแปลงมาจากพาเรงคิมา - ทาหนา้ ทเี่ ป็นเซลล์พเี่ ลย้ี งและชว่ ยลาเลียงอาหาร Your Footer Here
เน้ือเยื่อถาวรเชงิ ซอ้ น ประกอบดว้ ยเซลล์หลายชนดิ มาทางานร่วมกนั ไดแ้ ก่ เนื้อเยือ่ ลาเลยี ง 1. เน้ือเย่อื ลาเลียงอาหาร 1.3 โฟลเอมพาเรงคมิ า (Phloem Parenchyma) หรือ โฟลเอม (Phloem) - ทาหน้าสะสมอาหารพวกอินทรยี สารท่ีสรา้ งข้นึ จากใบ ✓ ทาหนา้ ที่ ลาเลยี งสารอาหาร ทพี่ ชื สรา้ งจากกระบวนการ 1.4 โฟลเอมไฟเบอร์ (Phloem Fiber) สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง ไปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของพชื - สร้างความแข็งแรงให้กบั กลมุ่ ทอ่ ลาเลยี งอาหาร Date Your Footer Here 17
Date Your Footer Here 18
เนอื้ เยื่อถาวรเชงิ ซอ้ น ประกอบด้วยเซลล์หลายชนดิ มาทางานรว่ มกนั ได้แก่ เน้ือเย่อื ลาเลยี ง 2. เน้อื เย่ือลาเลยี งนา้ 1.1 เทรคีด (Tracheid) หรอื ไซเลม็ (Xylem) - รูปรา่ งยาว หัวท้ายแหลม มผี นังหนา และไม่มีชีวติ ✓ ทาหนา้ ท่ี ลาเลยี งน้าและ ธาตอุ าหารจากดินไปสูส่ ่วน 1.2 เวสเซล (Vessel) ตา่ ง ๆ ของพชื - รปู ร่างคลา้ ยเทรคดี แตจ่ ะเปน็ ทอ่ นท่ีสน้ั และอ้วนกวา่ Date 1.3 ไซเล็มพาเลงคิมา (Xylem Parenchyma) - ผนังบาง ทาหนา้ ท่ี สะสมอาหารพวกแป้ง น้ามัน 1.4 ไซเลม็ ไฟเบอร์ (Xylem Fiber) - รูปรา่ งยาวเปน็ เสน้ ปลายแหลม ไม่มีชวี ติ - ผนงั หนาชว่ ยสร้างความแข็งแรงให้กบั พืช Your Footer Here 19
Date Your Footer Here 20
Date Your Footer Here 21
การเจริญเตบิ โตของพืช ✓ เปน็ การเติบโตขนั้ แรก เกดิ จากการแบ่งเซลล์ของ เนื้อเย่อื เจริญสว่ นปลายและเนือ้ เยอ่ื เจรญิ เหนอื ข้อ 1. การเตบิ โตปฐมภูมิ 2. การเตบิ โตทตุ ยิ ภมู ิ ✓ เปน็ การเตบิ โตขั้นท่ี 2 เกิดจาการแบง่ เซลลข์ อง เนื้อเย่อื เจริญดา้ นขา้ ง Date Your Footer Here 22
Date Your Footer Here 23
โครงสร้างและ การเจริญเตบิ โต ของราก นางสาววริศรา วฉิ ายา แผนกสามัญสมั พนั ธ์ วทิ ยาลัยเกษตรและเทคโนโลยเี ชยี งใหม่
โครงสร้างและการเจริญเติบโตของราก รากสะสมอาหาร ราก (Root) เปน็ ส่วนของพืชที่ไม่มีขอ้ ปล้อง ตา และใบ เจริญลงสู่ดนิ ตามแรงโน้มถ่วงของโลก ✓ประกอบดว้ ยเซลล์ทไ่ี มม่ คี ลอโรพลาสต์ ✓รากแรกเกิด (Radicle) เปน็ รากทงี่ อกมาจาก เมลด็ เป็นครั้งแรกและเตบิ โตเป็นรากแกว้ รากสงั เคราะห์ดว้ ยแสง Date รากค้าจุน 25
การแบง่ บรเิ วณของราก 1. บริเวณหมวกราก (Root cap) ✓ประกอบดว้ ยเซลล์พาเรงคมิ าหมุ้ เน้อื เยือ่ เจริญท่ี ปลายรากไว้ ✓เซลลบ์ ริเวณน้ีมอี ายุสั้น ✓หมวกรากจะหล่งั เมอื กออกมา เพ่ือชว่ ยปอ้ งกนั อันตรายแกร่ ากและทาให้งา่ ยตอ่ การไชลงดนิ Date 26
การแบง่ บริเวณของราก 2. บริเวณเซลล์แบง่ ตวั (Region of Cell Division) ✓ประกอบดว้ ยเซลล์ของเนอื้ เย่ือเจริญปลายราก ✓มีการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสี ✓บางเซลล์ท่ีแบง่ ไดจ้ ะทาหน้าทแ่ี ทนเซลล์หมวกรากที่ ตายไปก่อน ✓บางสว่ นยดื ตวั ยาว Date 27
การแบง่ บริเวณของราก 3. บริเวณเซลล์ยืดตวั ตามยาว (Region of Cell Elongation) ✓ประกอบด้วยเซลลท์ ่ีมีรูปร่างยาว ✓เกดิ มาจากเน้ือเยือ่ เจริญท่แี บ่งตัวแลว้ Date 28
การแบง่ บริเวณของราก 4. บริเวณเซลล์เจรญิ เตบิ โตเตม็ ที่ (Region of Maturation) ✓เซลลม์ กี ารเปล่ียนแปลงไปเป็นเนื้อเยื่อถาวร ✓มเี ซลลข์ นราก (Root Hair Cell) ทช่ี ว่ ยเพิ่มพน้ื ท่ี ผวิ ในการดูดซมึ นา้ และแร่ธาตุ Date 29
โครงสร้างภายในของราก พชื ใบเล้ียงคู่ พชื ใบเล้ียงเดี่ยว Date 30
โครงสรา้ งภายในของราก 31 1. เอพเิ ดอร์มิส (Epidermis) ✓เป็นเนือ้ เย่ือทอ่ี ยู่ช้ันนอกสุด ✓เซลล์เรียงตวั ชน้ั เดยี ว แต่เรียงชิดตดิ กัน ✓ทาหนา้ ทป่ี ้องกนั อนั ตรายให้แตเ่ นอ้ื เย่อื ทอ่ี ยภู่ ายใน ✓ขนรากของเอพิเดอรม์ ิส ชว่ ยดูดน้าและแร่ธาตุ รวมถงึ ป้องกันไมใ่ หน้ ้าเข้ารากมากเกินไป Date
โครงสร้างภายในของราก 32 2. คอร์เทกซ์ (Cortex) ✓อยรู่ ะหวา่ งช้นั เอพิเดอรม์ ิสและสตลี ✓เนอื้ เย่อื สว่ นใหญป่ ระกอบด้วยเซลลพ์ าเรงคิมา ✓ผนังบางออ่ นนมุ่ อมนา้ ได้ดี ✓ทาหนา้ ทส่ี ะสมน้าและอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรต ✓ช้ันในสดุ คือ เอนโดเดอร์มสิ Date
โครงสรา้ งภายในของราก 33 3. เอนโดเดอร์มิส (Endodermis) ✓เป็นเซลล์แถวเดยี ว ✓เห็นชัดในรากของพืชใบเล้ียงเดีย่ ว ✓เม่ืออายมุ าก มีสารซเู บอลินหรือลกิ นินมาเคลอื บ ทาให้เปน็ แถบหนาขนึ้ ✓อย่บู รเิ วณทม่ี ีขนราก Date
โครงสร้างภายในของราก 34 4. สตลี (Stele) ❑ เพรไิ ซเคิล - ประกอบด้วยเซลลพ์ าเรงคิมา - พบเฉพาะในรากเทา่ น้นั - ใหก้ าเนดิ รากแขนง ❑ มดั ทอ่ ลาเลยี ง - ไดแ้ ก่ ทอ่ ลาเลียงนา้ และอาหาร - พชื ใบเลีย้ งคู่ ท่อลาเลียงน้าอย่ใู จ กลางรากเป็นแฉกชดั เจนและมที ่อลาเลียงอาหารอยู่ ระหวา่ งแฉก - พชื ใบเลี้ยงเดีย่ ว ทอ่ ลาเลยี งนา้ เรียง ตัวเป็นแฉกและมที อ่ ลาเลยี งอาหารอย่รู ะหว่างแฉก ❑ พิธ เปน็ ใจกลางของราก พชื ใบเลย้ี งเดย่ี วเหน็ ชดั เจน Date
หนา้ ทขี่ องราก 35 ➢ ดดู นา้ และแรธ่ าตุทล่ี ะลายนา้ จากดิน เขา้ ไปในลาตน้ ➢ ลาเลยี งนา้ และแร่ธาตรุ วมทัง้ อาหาร ซง่ึ พืชสะสมไว้ในรากขึน้ สสู่ ่วนตา่ ง ๆ ของลาตน้ ➢ ยึดลาตน้ ให้ติดกบั พ้นื ดิน ➢ แหลง่ สรา้ งฮอรโ์ มน Date
ชนิดของราก รากแกว้ รากแขนง 1. รากแก้ว (Tap Root) 36 เปน็ รากท่เี จริญมาจากรากแรกเกดิ (Radicle) ของเอ็มบรโิ อแล้วพงุ่ ลงสดู่ ิน 2. รากแขนง (Lateral Root) เปน็ รากทเ่ี จรญิ มาจากเพริไซเคิลของ รากแก้ว สามารถแตกแขนงได้เรอ่ื ย ๆ Date
ชนิดของราก รากฝอย 3. รากพเิ ศษ (Adventitious Root) รากคา้ จนุ 1) รากฝอย (Fibrous Root) เปน็ 37 รากที่งอกออกจากโคนลาต้น เพื่อแทนรากแก้ว ทฝ่ี อ่ ไป พบมากในพชื ใบเล้ยี งเดย่ี ว 2) รากคาจุน (Prop Root) เปน็ รากที่งอกจากโคนต้นหรือกง่ิ บนดนิ แล้วหยั่งลง ดินเพ่ือพยุงลาตน้ เช่น รากข้าวโพด ไทรย้อย Date
ชนิดของราก รากเกาะ 3. รากพเิ ศษ (Adventitious Root) รากหายใจ 3) รากเกาะ (Climbing Root) 38 เป็นรากทแ่ี ตกออกจากขอ้ ของลาตน้ มา เกาะตามหลกั เพ่ือชูลาต้นข้นึ สงู เช่น รากพลู 4) รากหายใจ (Aerating Root) เป็นรากที่ยน่ื ขน้ึ มาจากดินหรือนา้ เพ่อื รบั ออกซิเจน เช่น โกงกาง ผกั กระเฉด Date
ชนิดของราก รากปรสิต รากสงั เคราะห์ดว้ ยแสง 3. รากพิเศษ (Adventitious Root) 39 5) รากปรสิต (Parasitic Root) เป็นรากของพืชพวกปรสติ ที่สร้างแทงเข้า ไปในลาตน้ ของพืชทเี่ ปน็ โฮสตเ์ พื่อแยง่ นา้ และ อาหารจากโฮสต์ เชน่ รากกาฝาก ฝอยทอง 6) รากสงั เคราะหด์ ้วยแสง (Photosynthetic Root) เป็นรากทแี่ ตกจากขอ้ ของลาตน้ หรอื กิ่ง และอยใู่ นอากาศ จะมีสีเขยี วของคลอโรฟลิ ลจ์ งึ ชว่ ยสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงได้ เช่น รากกลว้ ยไม้ Date
ชนิดของราก รากสะสมอาหาร 3. รากพิเศษ (Adventitious Root) รากหนาม 40 7) รากสะสมอาหาร (Food Storage Root) เป็นรากท่สี ะสมอาหารพวกแปง้ โปรตนี หรือ น้าตาลไว้ จนรากเปลย่ี นแปลงรปู ร่างมีขนาดใหญซ่ งึ่ เรียกกันวา่ หวั เช่น แครอท บีทรูท หวั ไชเทา้ 8) รากหนาม (Thorn Root) เป็นรากท่มี ีลกั ษณะเป็นหนามงอกมาจาก บริเวณโคนต้นตอนงอกใหม่ๆ เปน็ รากปกติแต่ตอ่ มา เกดิ เปลอื กแขง็ ทาใหม้ ลี กั ษณะคลา้ ยหนามแขง็ ช่วย ปอ้ งกนั โคนตน้ เชน่ โกงกาง ปาล์มบางชนิด Date
ให้นกั เรียนทาแบบทดสอบความเข้าใจเกย่ี วกบั ชนิดของราก Date 41
โครงสร้างและ หน้าที่ของลาตน้ นางสาววริศรา วิฉายา แผนกสามญั สัมพันธ์ วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยเี ชยี งใหม่
โครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของลาต้น ลาต้น (Stem) สว่ นใหญ่จะเจริญขนึ้ มาเหนือดนิ บางชนดิ ลาตน้ อยู่ใตด้ ิน ✓ประกอบด้วยส่วนสาคัญ 2 ส่วน ไดแ้ ก่ - ส่วนขอ้ (Node) เปน็ ส่วนของลาตน้ ทีม่ ตี า จะเจรญิ ไปเปน็ กิง่ ดอก และใบ - สว่ นปลอ้ ง (Internode) เป็นสว่ นของลาตน้ ท่ีอย่รู ะหวา่ งขอ้ พืชใบเล้ียงเดี่ยวเห็นไดช้ ดั เจน ตลอดชีวติ Date Your Footer Here 43
ส่วนปลอ้ ง (Internode) สว่ นข้อ (Node) Your Footer Here 44 Date
หนา้ ท่ขี องลาต้น 45 ➢ เป็นแกนสาหรับช่วยพยงุ กิ่งกา้ นสาขา ใบ และดอก ➢ ชว่ ยใหใ้ บกางออกรบั แสงแดดมากที่สุด ➢ เป็นตวั กลางสาหรบั การลาเลยี งน้า เกลอื แร่ และอาหาร ➢ หน้าท่ีพิเศษอื่น ๆ เชน่ สะสมอาหาร แพรพ่ ันธ์ุ สงั เคราะห์ด้วยแสง เป็นต้น Date Your Footer Here
เน้อื เยอื่ บริเวณปลายยอด 1. เนือเยอ่ื เจริญปลายยอด ✓ บริเวณปลายสดุ ของลาตน้ ✓ เซลลแ์ บ่งตวั ตลอดเวลา 2. ใบเร่มิ เกดิ (Leaf Primordium) ✓อยู่ด้านข้างของปลายยอด ✓ พฒั นาเปน็ ใบอ่อน ✓ ตรงโคนเห็นเป็นเซลลข์ นาดเลก็ รปู รา่ งยาวเรยี งตัวเป็นแนว Date Your Footer Here 46
เน้อื เยอ่ื บรเิ วณปลายยอด 3. ใบอ่อน (Young Leaf) ✓ เปน็ ใบทย่ี งั เจรญิ เติบโตไม่เตม็ ที่ ✓ เซลลย์ งั มกี ารแบง่ ตวั อยู่ 4. ลาต้นอ่อน (Young Stem) ✓ อยถู่ ดั จากใบแรกเกิดลงมา ✓ ลาตน้ ส่วนน้ียังพฒั นาเจริญไมเ่ ตม็ ท่ี Date Your Footer Here 47
โครงสร้างภายในลาตน้ ลาต้นพืชใบเลยี งคู่ ➢ เอพเิ ดอร์มิส (Epidermis) ✓ อยชู่ ้ันนอกสดุ ✓ เปน็ เซลล์เรียงตัวช้นั เดียว ไม่มี คลอโรฟลิ ล์ ✓ อาจเปลย่ี นแปลงไปเปน็ ขน หนาม หรือ เซลลค์ ุม ✓ ผวิ นอกมักมสี ารพวกคิวทนิ เคลือบอยู่ Date Your Footer Here 48
โครงสรา้ งภายในลาต้น ลาตน้ พชื ใบเลียงคู่ ➢ คอร์เทกซ์ (Cortex) ✓ แคบกวา่ ในราก ✓ สว่ นใหญเ่ ปน็ เซลล์พาเรงคมิ าเรียงตวั หลายช้นั ✓ มักมีสเี ขียวและสังเคราะหด์ ้วยแสงได้ ✓ ช่วยสะสมน้าและอาหาร Date Your Footer Here 49
โครงสร้างภายในลาต้น ลาต้นพืชใบเลียงคู่ ➢ สตลี (Stele) 1. มดั ท่อลาเลียง (Vascular bundle) ✓ อยูเ่ ป็นกลุ่ม ๆ ✓ ดา้ นในเปน็ ไซเล็ม ✓ ดา้ นนอกเป็นโฟลเอม เรียงตวั ในแนว รศั มเี ดยี วกนั Date Your Footer Here 50
Search