15. ขก.อ้ ใดคคณุ อื จค ะวรา1ับม5.ป ห ขกร.้อม ใะดคทาคุณอืยจาคะขวนราบั มออปหรงมะะคทาไยารา�ขนออวงะคไ่าร�า ว่า“ Y“Yoouu a r ea wrhea t ywouh eaatt” you eat” ข. อะไร ท่ีคุณ คขจ.. ะอรรับะับไปรรทปะค่ีทณุรานจะอะทรยบัา่ างปไรนระ ทไดานอ้ ยา่ งนั้น ค. รับป ระท16า. นขง.้อ อใดคยไุณม่าจถ่ ะงกู รตไบั อ้ ปรงร ะทไาดนอ้อะไยร า่กร็งบั นปรัน้ะทานส่งิ นนั้ ง. คณุ จะรบั ประทานอะไร ก็รับประทานส่ิงนัน้ ก. การรบั ประทานอยา่ งท้ิงๆ ขวา้ งๆ ถอื เปน็ การเลือกบรโิ ภคอาหารท่ถี กู ตอ้ ง ข. การบริโภคอย่างฉลาดถือเป็นพฤตกิ รรมการบริโภคอาหารที่ถูกต้องวธิ หี น่ึง 16. กข.อ้ ใดกไามร่ถร ับูกปต17รอ้ . ะ งองคท.า. หาาอพราฤนเหตชากิอ้ารมรตรยีคามวมก่าาธามงรรจบรท�ามรเโิชปภง้ิ าน็คตๆตอนิ ่อา ับหรขเา่าปงรวน็กเปาอา้น็ยาปอหงจัยาๆจา่รยังท สไีม่รา�ถคีควญัือาอมเยสปา่ มงดหน็ ลุนขกง่ึ ทอามง่ี สผีราลรเตอลอ่ าสหือขุ าภรกาอพยบเา่ ปงรน็เหอโิ มยภา่างะคมสามอก าหารท่ถี ูกต้อง ข. การบ รโิ ภ คกขอ.. ยชชว่่ว่ายยใใงหหฉ้รเ้ ก่าดิงลกคาาวยาดไมมรถห่สู้ ิวกึืองท่าเด่ียปี ็นพฤต กิ รรมการบริโภคอาหารทถี่ ูกตอ้ งวธิ หี น่ึง ค. อาห ารตา มงค..ธ รสชรว่รา้ยงมใสหัมร้ชา่พงาันกธาตภยามนิ พีคทบัวาี่ดมเีในพปครร็นอ้ อมบอตค่อารกวั หา รดาา� รเนทนิ ชีม่ ีวติ ีความสมดลุ ของสารอาหารอยา่ งเหมาะสม 17. งอ.า หาพรฤเตช กิ้ามรร1คี 8ม.ว กเขกาพ..า มร ารเเะพพจบเรรห�าาาตระะเใุแแโิดปตตภจ่่ลลงึน็ะะตควว้อตยัยัองมเมลอ่าคีีกือวหากรารบม่าการช�าโิงรหอภกบนเคปอดไามารน็หา่ถยยากู ปกรอตทา้อจัรยี่แงอตจา่ากหยัตงา่ารสไงใกรหา� นัเ้ หคมญัาะสอมยกับา่ วงัยหนงึ่ ทม่ี ผี ลตอ่ สขุ ภาพเปน็ อยา่ งมาก ก. ช่วย ให้ร่าง งคก.. า พเยพรราไาะะมแแตตห่่ล่ละะววิ วยั ยังเลม่าอืคี กวยาบม รตโิ ภ้อคงอกาาหรอาารหไมาเ่รหทม่ีแอืตนก กตันา่ งกัน ข. ช่วย ให้เ1ก9.ดิ วกคัย. ใ วด วทาัย่ีครมวุ่นร ร“กู้สินกึใหท้พอด่ีดี”ี และ “กินให้ครบข” . วัยทารก ผฉสู บอับน ค. สร้าง สัม20พ. นัอคา. ธห าวภรยั ปผารู้ใหะพเญภทท่ ใดีด่ ทีใช่ี นว่ ยบค�ารรุงอสาบยตคา แรลวั ะช ง่ว. ยใวนัยเกร่ือ่องนขเรอียงนการขบั ถ่ายแก่ผสู้ งู อายุ 18. งเพ. ร า ชะ่วเหย ใตหุใดร้ า่จ งงึ ขกคกต... าอ้อออยาาางหหหมมาาารรรคีพพพีกววววกกากาเไผรนขักมื้อมกแสันลพตัา� ะวผหต์รล่าไอ้นงมๆ ้มดตรา่อยกกาารรดอา� าเนหินารชใีวหติ เ้ หมาะสมกับวยั ก. เพรา ะแต ล่ งะ. วอยัาหเาลรพือวกกขบา้ ว รแิโปภง้ นค้า� ตไามล ถ่ กู ต้อง 15. ตอบ ค .ข“.Y o uเพaรreาะwแhตatล่ ะyoวuยั มeaีคt”วาหมมาชยถอึงบอรับาปหราะทราทนอ่แี ยตา่ งกไรต่าไงดกอ้ ยนั า่ งนนั้ ซงึ่ การมีพฤติกรรมการรบั ประทานอาหาร 16. ตอบ ก .งค.ทเส. น ่ไีูป่ ่ือมญั ง่ถพเหจพกู ราาตกสรา้อกขุางะภาะแราแพไรตมตับต่ว่ล่าปา่่ลงะจรๆะะะวดทวใัยนว้าัยยนเอสลมนอายอืาีคเค่าหกงวตตทาบไทุ ้ิงดมม่ี รๆ้ าติโจภขาอ้วกค้างคงอวกๆาาามไเหรมคอ่ถยาือชารินเหปไ็มนาหกเ่รราหทอืรคมเ่ีแลวืออืาตกมนกมบีอกรติสิโัน่าภระคงใอกนากนัหาารรเทล่ีถอื ูกกตรบั้องประทแาตน่ถอือาเหปา็นรกกาต็ รารมับปอราะจทนา�านไปท่ี 17. ตอ1บ9.ง . วยัสกาิ้นใรดเบปทรลโิอื่ีคภงควออยราา่ หง“าไกรมมร่ินอ้ืูจ้ เใกัชหา้คณุ้พเปคอน็ า่ มพดาฤี”กต กกิแวรา่ลรมะก า“รกบินรโิ ใภหคอค้ าหราบรท”ด่ี ี โดยอาหารมอ้ื เชา้ เปน็ มอ้ื ทส่ี า� คญั ทสี่ ดุ โดยมผี ลทา� ใหร้ า่ งกาย 18. ตอบ ง. คกมม.เ.พ คีคี ร ววา ววาาะมมใัยัยคพนผรรรแบ้อุน่ตู้ใมถ่ลห ตว้ะญนอ่วัยกม ่าซคีรงึ่ ดวชาา�่วมเยนตใินอ้หงชก้ กีวาติารรไเจดอรา้เปหญิ ็นาเรตอทิบยีแ่า่โงตตดกเปีตน็ ่าไงปกอันยา่ งมกีปขงารร..ะ ก ส�าิทหววธนัยยัภิ ดากทรพาอ่ายรกนากเรรอยีาหนารจะช่วยให้ได้สารอาหารทเ่ี หมาะสมและ 19. ตอ2บ0.ก . อาวแยัลหระมนุ่าคีเรปวปน็ามวรหยั ะลทเาร่ี ภกา่ งหทกลาใายยดมใทกี นาี่ชปรเรว่จมิ รยาญิณบเทตา� เ่ีบิ พรโยีุงตงเสพกาดิอตขยน้ึอ่ ตคอายวาา่ มงแตรวอ้ลดงะเกรชาว็ ร่วขรอยา่งงใรกนา่ างเยกรจาือ่งึยจใงน�าขเแปตอน็ ล่ ตงะอ้วกงนั าไดรหร้ ขรบั อืบัสทาถเี่รรอา่ยี ากยหกาแนัรกทวา่ค่ีผ่ ร้สู“บกงูถนิ ว้อในหาทพ้ ยง้ัอุด5ี หมู่ และ 20. ตอบ ข. กขกอเ..พ าินมิ่ห ใคาออหรวค้าาพามรหหวตบกาาา้”ผนกรรั ทนแพพลาั่นนววะเผอโกกลรงคไไผมขกั้ ทมเแปา� ในัน็ลหอ ร้ะาา่ผหงากลราทไยใ่ีมใหช ้ว้ป้ ติ ราะมโยนิ ชแนลจ์ะเากกลออืาแหรา่รอซน่ืง่ึ มไชีดว่เ้ ตยบม็ ทา� ร่ี งุ แสลขุ ะภยางั พมเี สทน้า� ใใหยผ้ชวิว่ พยใรนรกณาเรปขลบั ง่ ถปา่ลยง่ั ทบา� ใา�หรผ้งุ สู้สงูาอยาตยาุ คท. อ้ งอไมา่ผหกู อากี รดพว้ ยวกเนอ้ื สัตวต์ ่างๆ ง. อาหารพวกขา้ ว แปง้ นา้� ตาล 90 90
6Ëน‹Çยทีè âáÃŤеâÃÔ´¤µäÍ‹Á‹µ´Ô µ‹Í การเจ็บป่วยและการตายของคนไทยอาจเกดิ ขึน้ ได้จากหลายสาเหตุ ซึง่ ล้วน ผฉสู บอับน แต่น�าไปสู่การเกดิ โรคต่างๆ ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคติดต่อหรือโรคไม่ติดต่อกต็ าม โดยถือเป็นสาเหตุส�าคัญท่ีต้องเร่งหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไข การมีความรู้ ความเขา้ ใจตอ่ โรคทเ่ี ปน็ สาเหตสุ า� คญั ของการเจบ็ ปว่ ยและการตายของคนไทย รวมถงึ มีส่วนร่วมในการเสนอแนะแนวทางป้องกันโรคท่ีเหมาะสม นอกจากจะสามารถช่วย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้แล้ว ยังมีส่วนช่วยสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับ ผู้อน่ื ด้วย µÇั ªéีÇั´ªนัé »‚ KEY QUESTION •มาตเรสฐนาอนแนพว4ท.า1งป(มอ.ง3ก/2นั )โรคท่เี ปน สาเหตสุ าํ คญั ของการเจ็บปวยและการตายของ 1. โรคทเ่ี ปน สาเหตสุ าํ คญั ของการเจบ็ ปว ย และการตายของคนไทยมอี ะไรบาง คนไทย 2. แนวทางใดบา งทสี่ ามารถปอ งกนั โรค ท่ีเปนสาเหตุสําคัญของการเจ็บปวย และการตายของคนไทย •สารโระคกทาเี่ รปเนรสียานเหรตแู้ สุกาํ นคกญั ลขาองงการเจ็บปวยและการตายของคนไทย โรคติดตอ เชน - โรคท่เี กดิ จากการมเี พศสมั พันธ - โรคเอดส - โรคไขหวัดนก ฯลฯ โรคไมต ดิ ตอ เชน - โรคหวั ใจ - โรคความดนั โลหติ สงู - เบาหวาน - มะเรง็ ฯลฯ Teacher’s Guide ประเดน็ ที่จะศึกษาในหนว ยน้ี ไดแ ก 1. สถานการณก ารเจบ็ ปวยและการตายของคนไทยในปจ จุบัน 2. โรคตดิ ตอท่เี ปน สาเหตขุ องการเจ็บปวยและการตายของคนไทย 3. โรคไมติดตอ ทเี่ ปนสาเหตขุ องการเจ็บปวยและการตายของคนไทย ทักษะการคิดทีส่ ัมพนั ธกับตวั ชีว้ ัดในหนว ยน้ี ไดแก 91● ทักษะการสรา งความรู
มฐ. พ 4.1 Teacher’s Guide ตัวช้วี ัด ม. 3/2 ครูนําเขา สบู ทเรียนโดยตง้ั คําถามวา รจู กั โรคตดิ ตอ อะไรบา งและโรคไมติดตอ อะไรบา ง และใหน กั เรยี นอธิบายวามคี วามแตกตา งกันอยา งไร เด็กควรรู 1. สถานการณก์ ารเจบ็ ปว่ ยและการตายของ พฤติกรรมการ คนไทยในปจ จบุ นั ดํารงชีวิตของคนไทย ในแตละภูมิภาค ข้ึนอยู ในอดีตสำเหตุของกำรเจ็บป่วยหรือกำรตำยของคนไทย กับปจจัยตางๆ เชน ส่วนใหญ่เกิดจำกโรคติดต่อ แต่เน่ืองด้วยสภำพแวดล้อมและ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ พฤติกรรมกำรด�ำรงชีวิตท่ีเปล่ียนไปในปัจจุบัน ผู้คนละเลยและ อาหารการกิน ประเพณี ขำดกำรใส่ใจดแู ลสขุ ภำพมำกขนึ้ จงึ เปน็ ตน้ เหตทุ น่ี ำ� ไปสโู่ รคอน่ื ๆ ก า ร ป ร ะ ก อ บ อ า ชี พ อกี มำกมำย โดยเฉพำะกลมุ่ โรคไมต่ ดิ ตอ่ ซง่ึ เปน็ อกี สำเหตสุ ำ� คญั เทคโนโลยตี า งๆ เปน ตน ของกำรเจ็บป่วยและกำรตำยของคนไทยในปัจจุบันท่ีสำมำรถ ซ่ึงเปนสาเหตุใหเกิดโรค สรปุ ได้ ดงั นี้ ทีแ่ ตกตางกัน ปจ จบุ นั มผี เู จบ็ ปว ยดว ยโรคตา งๆ มากมาย 1.1 สถานการณ์การเจ็บปว่ ยของคนไทย ซึ่งบุคคลควรใสใจดูแลตนเองมากข้ึน ผฉูส บอับน เพ่ือปองกันไมใหเกิดโรคติดตอและ กระทรวงสำธำรณสขุ มกี ำรจดั ระบบรำยงำนขอ้ มลู สำเหตุ โรคไมตดิ ตอ ข้ึนได เด็กควรรู กำรปว่ ยของผปู้ ว่ ยนอกและผปู้ ว่ ยในของสถำนบรกิ ำรสำธำรณสขุ ผูปวยใน (IPD) ทุกระดับในส่วนภูมิภำค สังกัดกระทรวงสำธำรณสุขทั่วประเทศ หมายถึง ผูปวยที่ตอง โดยได้จัดกลุ่มของสำเหตุกำรป่วยตำมบัญชีจ�ำแนกโรคระหว่ำง รักษาตัวในโรงพยาบาล ประเทศ ดงั น้ี ตัง้ แต 6 ชั่วโมงข้นึ ไป 1) รายงานผู้ป่วยนอก จำกรำยงำนซ่ึงวัดจำกจ�ำนวนคร้ัง ผปู วยนอก (OPD) ในกำรเข้ำรับบริกำรของผู้ป่วยนอกของสถำนบริกำรกระทรวง หมายถึง ผูปวยท่ีเขารับ สำธำรณสุข พบสำเหตุส�ำคัญของกำรป่วยของผู้ป่วยนอกในปี การรักษาที่คลินิกหรือ พ.ศ. 2552 ป่วยด้วยโรคตำ่ งๆ ดังนี้ โรงพยาบาล โดยท่ีไม ตองนอนพักรักษาตัวใน โรค อัตราเจบ็ ปว่ ยตอ่ ประชากร 100,000 คน โรงพยาบาล 1. โรคระบบหายใจ 498 2. อาการแสดงและส่ิงผดิ ปกติทีไ่ มส่ ามารถจา� แนกได้ 307 3. โรคระบบไหลเวียนเลือด 306 4. โรคระบบกลา้ มเนอื้ รวมโครงร่างและเน้ือยดึ เสรมิ 290 5. โรคระบบยอ่ ยอาหาร รวมโรคในช่องปาก 288 จำกข้อมูลต้ังแต่ปี พ.ศ. 2526 ถึง พ.ศ. 2552 พบว่ำ โรคระบบหำยใจเป็นสำเหตุ กำรเจบ็ ป่วยในอันดบั หน่งึ มำโดยตลอด และทุกโรคมีแนวโน้มของผ้ปู ่วยที่สงู ขึน้ 92 เดก็ ควรรู เปน หนว ยงานทมี่ อี าํ นาจหนา ทเ่ี กยี่ วกบั การสรา งเสรมิ สขุ ภาพ 92 อนามัย การปอ งกัน ควบคมุ และรกั ษาโรคภัย การฟน ฟูสมรรถภาพ ของประชาชน
เปน ปฏิกิริยาเคมที ่เี กิดข้นึ ในสงิ่ มีชีวิตโดยมีเอนไซมเปน ตวั เรง ปฏกิ ริ ยิ า แบง ออกเปน 2 ประเภท คือ แอนาบอลิซมึ (Anabolism) เปน กระบวนการสรางสารโมเลกลุ ใหญจ ากสารโมเลกุลเลก็ โดยใชพ ลังงานจาก เซลล เชน การสรางโปรตีน ไขมนั คารโบไฮเดรต เปนตน และคาแทบอลิซึม (Catabolism) เปนกระบวนการ สลายสารโมเลกุลใหญใหเ ปน โมเลกลุ เล็ก เชน การยอยอาหาร การหายใจ เปนตน 2) รายงานผู้ป่วยใน ส�ำหรับผู้ป่วยในหรือกลุ่มผู้ป่วยซ่ึง รับไว้รักษำในโรงพยำบำลพบสำเหตขุ องกำรปว่ ย ดังตอ่ ไปนี้ โรค อตั ราเจ็บป่วยต่อประชากร 100,000 คน เดก็ ควรรู คือ ภาวะและ 1. ความผิดปกติเกย่ี วกับต่อมไรท้ ่อ โภชนาการ 1,612 อาการตางๆ ที่ไดพบ และเมแทบอลซิ ึมอื่นๆ รว มกับการตง้ั ครรภ เชน การคล่ืนไสอ าเจยี น แทง 2. อาการแสดงและสง่ิ ผิดปกติทีพ่ บไดจ้ าก 983 การต้ังครรภนอกมดลูก การตรวจทางคลินิกและหอ้ งปฏิบัติการ รกเกาะตํ่า รกลอกตัว กอนกําหนด ครรภเกิน 3. โรคความดันโลหติ สงู 981 กําหนด เปนตน 4. ภาวะแทรกซอ้ นของการต้งั ครรภ์และ 946 ผฉูสบอบั น การคลอด 845 5. โรคเลอื ดและอวัยวะสรา้ งเลอื ดและความ ผดิ ปกตบิ างชนิดทเ่ี กี่ยวกับระบบภมู ิคุ้มกัน นอกจำกน้ี ยังพบวำ่ อตั รำกำรเจ็บป่วยของผปู้ ่วยในยงั มี IT สำเหตุภำยนอกอ่ืน ซง่ึ จำกรำยงำนพบอตั รำกำรป่วย ดังนี้ โรค อัตราเจ็บป่วยต่อประชากร 100,000 คน 1. เหตุการณภ์ ายนอกอน่ื ๆ ของการบาดเจบ็ โดย 423 อบุ ัติเหตแุ ละผลที่ตามมา ยกเว้นการเปน็ พษิ 2. อบุ ัตเิ หตุจากรถจักรยานยนต ์ (คนขบั ) 291 เด็กควรรู 3. การเปน็ พษิ และผลพษิ จากอุบัตเิ หตุ 71 ประกอบไปดวย การทา� รา้ ยตนเอง ของเหลว เรยี กวา พลาสมา (Plasma) ซ่ึงจะมีอยู 4. การถูกทา� รา้ ย 67 ประมาณรอยละ 55 5. อุบัตเิ หตุจากการขนส่งอืน่ ๆ และผลที่ตามมา ของอบุ ัตเิ หตุจากการขนสง่ ทั้งหมด 42 ของปรมิ าณเลอื ดทงั้ หมด และสวนที่เปนของแข็ง ทีม่ ำ : ส�ำนกั นโยบำยและยุทธศำสตร์ กระทรวงสำธำรณสขุ ซึ่งเปนเซลลเม็ดเลือด (Cellular components) จำกรำยงำนผู้ป่วยในพบว่ำ ควำมผิดปกติเก่ียวกับระบบต่อมไร้ท่อ โภชนำกำร และ ซึ่งมีอยูประมาณรอยละ เมแทบอลซิ มึ อน่ื ๆ เปน็ สำเหตอุ นั ดบั หนงึ่ ของกำรเจบ็ ปว่ ย นอกจำกนย้ี งั พบไดว้ ำ่ อตั รำกำรเจบ็ ปว่ ย 45 ของปริมาณเลือด ของผู้ปว่ ยในที่มีสำเหตุมำจำกภำยนอกอ่นื ๆ อนั ดบั หน่ึง ได้แก่ เหตุกำรณ์ภำยนอกอืน่ ๆ ของกำร ทัง้ หมด บำดเจ็บโดยอุบตั ิเหตุและผลที่ตำมมำ ยกเว้นกำรเปน็ พษิ 93 IT 93
Teacher’s Guide ครูควรแสดงใหน กั เรยี นเห็นถงึ ความสําคัญของการตระหนักถงึ สาเหตกุ ารตายของ คนไทย เพ่ือเตรยี มพรอมและปอ งกันไมใ หเ กิดโรครา ย อนั จะไดศกึ ษาถงึ โรคตางๆ ตอ ไป เด็กควรรู 1.2 สถานการณก์ ารตายของคนไทย เน้ืองอก เปนสวน กอนเนื้อท่ีงอกขึ้นภายใน ผลจำกกำรศึกษำของส�ำนักนโยบำยและยุทธศำสตร์ อวัยวะตางๆ ซึ่งอาจทําให กระทรวงสำธำรณสขุ พบวำ่ สำเหตกุ ำรตำยยงั ไมส่ มบรู ณเ์ นอื่ งจำก เกดิ ปญ หาการกดทบั ได แต มีกำรตำยในกลุ่ม “ไม่ทรำบสำเหตุ” มำกกว่ำร้อยละ 30 เม่ือ ไมสามารถลุกลามเขาไป เทียบกับกำรตำยทั้งหมด โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งกำรให้ข้อมูลสำเหตุ ในเน้ือเยื่ออ่ืนๆ ได รักษา กำรตำยไม่ได้มำจำกแพทย์ ซึ่งอำจจะเป็นข้อมูลท่ีผิดพลำดได้ ไดโดยผาออก สวนมะเร็ง อยำ่ งไรกต็ ำมสำเหตกุ ำรตำยทพ่ี บนน้ั สำมำรถแสดงไดด้ งั แผนภมู ิ หรอื เนอ้ื รายเปนเนือ้ งอกท่ี ลุกลามเขาไปโตในเน้ือเยื่อ แผนภมู ิแสดงอัตราการตาย จําแนกตามสาเหตุที่สําคัญต่อประชากร 100,000 คน ชนิดอน่ื ๆ ได เพราะมะเร็ง จะท้ิงเซลลเล็กๆ ไวใน อัตร9ำ0(รอ้ ยละ) รางกาย ดังนั้นการรักษา 80 78.9 81.3 81.4 83.1 84.9 มะเร็งจึงตองทําลายเซลล เลก็ ๆ เหลา นนั้ ดว ยวธิ ตี า งๆ 70 เชน การใชคีโม รังสรี ักษา เปนตน 60 56.9 58.9 57.6 59.8 56.7 50 ผฉูส บอับน 40 37.8 34.5 30 27.7 26.8 26.3 29.2 28.2 28.2 27.4 29.3 20 23.9 22.4 22 24.3 25.5 10 0 2546 2547 2548 2549 2550 (พ.ศ.)ปี มะเรง็ เเละเนอ้ื งอกทุกชนดิ โรคหัวใจ อบุ ัติเหตเุ เละกำรเป็นพิษ ปอดอกั เสบเเละโรคอนื่ ๆ ทำงปอด ควำมดันโลหิตสงู เเละโรคหลอดเลือดในสมอง การเจบ็ ป่วยและการตายเป็น ตัวชว้ี ัดถึงสภาวะสุขภาพทสี่ า� คญั จำกสถิติกำรเจ็บป่วยและกำรตำยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546- ของประชาชนในประเทศ ดงั นน้ั พ.ศ. 2550 พบวำ่ โรคมะเร็งและโรคเนื้องอกทุกชนดิ เป็นสำเหตุ บุคคลจึงควรใส่ใจดแู ลตนเอง กำรตำยอนั ดบั หนง่ึ มำโดยตลอด รวมถงึ สำเหตจุ ำกอบุ ตั เิ หตแุ ละ กำรเป็นพิษซ่งึ เป็นสำเหตุกำรตำยอันดบั สอง ใหม้ ากขน้ึ เพอ่ื ป้องกันไมใ่ ห้ เกดิ โรคตา่ งๆ ขนึ้ ไดน้ ะครับ จะเห็นได้ว่ำสถิติกำรเจ็บป่วยและกำรตำยของคนไทย ส่วนใหญ่เกิดจำกโรคท่ีมีสำเหตุจำกพฤติกรรม ซึ่งโรคเหล่ำนี้ สำมำรถป้องกันได้ หำกบคุ คลปฏิบัตติ นได้อย่ำงถกู ต้องเก่ียวกับ กำรดำ� รงชีวิต 94 IT คน หาขอ มลู เพม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั สถติ กิ ารเจบ็ ปว ยและการตายของคนไทย 94 ไดท ่ี สาํ นกั นโยบายและยทุ ธศาสตร สาํ นกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ http://bps.ops.moph.go.th
เดก็ ควรรู ใหน ักเรียนแบง กลมุ กลุม ละ 2 คน ศกึ ษาและแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ เกยี่ วกับโรคตดิ ตอ ท่ีเปนสาเหตุของการเจ็บปวยและการตายของคนไทย โดยมุงเนนประเด็นมาท่ีโรคที่เกิดจากการมี เพศสมั พันธ 2. กโราครตตดิายตข่ออทง่เี ปค็นนสไทาเยหตุของการเจบ็ ป่วยและ ลับสมอง เดก็ ควรรู เชน โรคซิฟลิส โรคติดต่อนับเป็นสำเหตุของกำรเจ็บป่วยและกำรตำย โ ร ค ติ ด ต ่ อ ท่ี เ ป ็ น ส า เ ห ตุ ข อ ง แผลริมออน หนองใน ของคนไทยมำตงั้ แตอ่ ดตี และยงั คงเปน็ ปญั หำทส่ี ำ� คญั ของสงั คม การเจ็บป่วยและการตายของคนไทย พยาธิในชองคลอด เริม โดยสำเหตุหนึ่งมำจำกพฤติกรรมท่ีไม่เหมำะสมเน่ืองจำกสภำพ ไดแ้ กโ่ รคอะไรบา้ ง โดยจะติดเช้ือผานทาง สังคมที่เส่ือมโทรม เช่น โรคติดต่อทำงเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ เยื่อบุผิวหนังอวัยวะเพศ เป็นต้น อีกทั้งยังมีโรคติดต่อชนิดใหม่ๆ ซึ่งยำกต่อกำรควบคุม IT หรือผิวหนังในระหวาง เพิม่ มำกขน้ึ ด้วย มี เ พ ศ สั ม พั น ธ ม า เ ป น สวนใหญ เกิดจากเช้ือ 2.1 โรคที่เกิดจากการมีเพศสัมพนั ธ์ ไ ว รั ส ห รื อ แ บ ค ที เ รี ย แตกามโรคบางชนิดก็ โรคที่เกิดจำกกำรมีเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmit- อาจติดเช้ือผานทางอ่ืน ted Disease : STD) ซ่ึงอำจเรียกว่ำ “กำมโรค” (Venereal น อ ก เ ห นื อ จ า ก ก า ร มี Disease) เป็นโรคที่ติดต่อโดยกำรมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรค เพศสัมพันธได ดังนั้น ผำ่ นทำงกำรแลกเปลย่ี นสำรคดั หลงั่ ของรำ่ งกำย เชน่ ของเหลวจำก ทกุ วนั นโ้ี รคนจี้ งึ มชี อ่ื เรยี ก ช่องคลอด น�้ำอสจุ ิ เลอื ด เปน็ ต้น ซึ่งสำมำรถท่ีจะสง่ ผลกระทบ อีกอยางวา โรคติดตอ ท่ีร้ำยแรงต่ออวัยวะอ่ืนๆได้ โดยโรคที่เกิดจำกกำรมีเพศสัมพันธ์ ทางเพศสัมพนั ธ เป็นโรคทสี่ ำมำรถเปน็ ไดท้ กุ เพศ ทุกวยั ซึง่ อำจจำ� แนกตำมชนิด ของเชอ้ื ที่เปน็ สำเหตุของโรคได้ ดังน้ี ผฉูสบอับน ชนดิ ของเชอ้ื โรคตดิ ต่อทางเพศสัมพนั ธ์ เดก็ ควรรู ห รื อ โ ร ค หู ด 1. เชอ้ื แบคทีเรยี โรคหนองใน โรคซฟิ ลิ สิ แผลริมอ่อน 2. เช้ือไวรสั โรคติดเชื้อคลามิเดยี (Chlamydia) ที่อวัยวะเพศ เปนโรค โรคเอดส ์ โรคเริม ตับอกั เสบบ ี โรคหงอนไก่ โรคหูดข้าวสกุ ทางผิวหนังท่ตี ิดตอ ทาง เพศสมั พนั ธ โดยมลี กั ษณะ ตา งกันไป เชน สชี มพสู ด เหมอื นหงอนไก หรอื ดอก กระหลํ่าปลี เปน ตน 3. เช้อื รา การอกั เสบของชอ่ งคลอดและปากมดลูกทเ่ี กิดจากเชอ้ื รา 4. ปรสติ การอกั เสบจากเช้อื Trichomonas vaginalis การอกั เสบจากโลน หิด เด็กควรรู เกิดจากตัวเชื้อที่ ผเู้ ปน็ โรคตดิ ตอ่ จำกกำรมเี พศสมั พนั ธม์ กั อำยทจ่ี ะทำ� กำร IT เรยี กวา Phthirus pubis รักษำหรืออำยที่จะพบแพทย์ซึ่งเป็นผลเสียอย่ำงมำกเน่ืองจำก มักจะอาศัยอยูตามขน หำกปลอ่ ยไวจ้ นลกุ ลำมอำจยำกตอ่ กำรรกั ษำ ดงั นน้ั จงึ ควรมกี ำร ชอบดูดกินเลือดคนเปน ป้องกนั ดงั นี้ อาหาร หากอดอาหาร ภายใน 24 ชวั่ โมงตัวเชือ้ จะตาย สามารถติดตอ 9ท5างเพศสัมพนั ธ 95
เด็กควรรู มีการรายงานเปนครงั้ แรกในป พ.ศ. 2524 ในประเทศสหรัฐอเมรกิ า AIDS ยอ มาจากคาํ วา Acquired = เกดิ ขึ้นภายหลัง ไมใ ชเปน แตก ําเนิด, Immune = ภมู คิ มุ กนั , Deficiency = บกพรองหรือเสียไป, Syndrome = กลมุ อาการหรือมีอาการไดหลายๆ อยา ง ดงั นั้นโรคเอดส จึงเปนกลมุ อาการทเ่ี กดิ จากภูมิคุมกันของรา งกาย 1. ละเวน้ กำรมีเพศสมั พันธ์ ลบั สมอง 2. หลีกเลยี่ งกำรมีเพศสมั พนั ธ์กอ่ นวยั อันควร 3. มเี พศสมั พนั ธอ์ ยำ่ งปลอดภยั ดว้ ยกำรใชถ้ งุ ยำงอนำมยั โรคเอดส์มีความร้ายแรงกว่าโรค 4. หลกี เลย่ี งสถำนทห่ี รอื สงิ่ กระตนุ้ ทำงเพศอนั จะนำ� ไปสู่ ติดต่อทางเพศสมั พนั ธ์อ่นื ๆ อย่างไร กำรมีเพศสัมพนั ธ์กอ่ นวัยอนั ควร 5. ไม่มีพฤตกิ รรมส�ำส่อนทำงเพศ 6. หยดุ ควำมเชอ่ื ท่ีไมถ่ กู ตอ้ งวำ่ “กำรมเี พศสมั พนั ธเ์ พยี ง คร้งั เดยี วไม่ทำ� ใหเ้ กิดโรคตดิ ตอ่ ทำงเพศสมั พันธ”์ 2.2 เอดส์ โรคเอดส์ (AIDS - Acquired immune deficiency syndrome) เปน็ กลุม่ อำกำรของโรคทเี่ กิดจำกเช้ือไวรสั เอชไอวี (HIV - Human immunodeficiency virus) ซง่ึ เป็นไวรสั ที่ท�ำให้ โบสแี ดง สญั ลกั ษณว นั เอดสโลก ซงึ่ สอื่ ระบบภมู คิ มุ้ กนั รำ่ งกำยบกพรอ่ ง ไมส่ ำมำรถปอ้ งกนั อนั ตรำยจำก ใหเห็นถึงความหวังในการหาวัคซีนเพ่ือ รักษาโรค และเพื่อใหผูติดเชื้อเอดสมี โรคติดเชื้ออ่ืนๆ หรือโรคมะเร็งบำงชนิดได้ โดยเฉพำะอย่ำงย่ิง คณุ ภาพชีวิตท่ดี ขี ้นึ โรคติดเชื้อหรือโรคมะเร็งประเภทฉวยโอกำส (Opportunistic ผฉูสบอบั น infection) หลังจำกได้รับเชื้อแล้วอำจใช้เวลำหลำยปีจึงปรำกฏ อำกำรสดุ ท้ำยซ่งึ มีควำมรุนแรงและท�ำใหเ้ สยี ชวี ิตลง เดก็ ควรรู มกั จะเกิดข้นึ กับ สาเหตุ ผปู ว ยโรคเอดส เนอ่ื งจาก 1. กำรมีเพศสมั พันธ์ท่ขี ำดกำรป้องกันอย่ำงถกู ตอ้ ง เช้ือไวรัสเอดสไดเขาไป 2. กำรใชเ้ ขม็ ฉดี ยำทไี่ มส่ ะอำด (พบในกลมุ่ ผใู้ ชส้ ำรเสพตดิ ) ทําลายระบบภูมิคุมกัน 3. ทำงเลือดและผลติ ภณั ฑ์ทำงเลอื ด ของผปู ว ย จงึ ทาํ ใหผ ปู ว ย 4. กำรตดิ เชือ้ จำกแมส่ ู่ลูก มอี าการถงึ ขน้ั รนุ แรงและ 5. วธิ ีกำรอืน่ ๆ ทีค่ วรระวัง เชน่ กำรใช้มดี โกนรว่ มกนั กำรเจำะหู กำรสกั เป็นตน้ เสยี ชวี ติ อยา งรวดเรว็ อาการ เมื่อเช้ือเอชไอวีเข้ำสู่ร่ำงกำย จะท�ำให้เซลล์เม็ดเลือดขำวลดน้อยลง ร่ำงกำยก็จะไม่ สำมำรถต่อสู้หรือป้องกันเชื้อโรคได้ ท�ำให้เกิดกำรเจ็บป่วย และเม่ือภูมิคุ้มกันลดต่�ำลงมำกๆ ก็จะมีโอกำสติดเช้ือโรคแทรกซ้อนข้ึน เช่น เช้ือรำขึ้นสมอง ไวรัสเข้ำจอประสำทตำ เป็นต้น ซึง่ จะเรยี กกล่มุ อำกำรของกำรเจบ็ ปว่ ยที่รนุ แรงตำ่ งๆ ในระยะนวี้ ำ่ โรคเอดส์ 96 96
IT คน หาขอ มลู เพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั วธิ กี ารใชถ งุ ยางอนามยั ไดท ่ี http://multimedia.anamai. moph.go.th/help-Knowledgs/how-to-put-on-a-condom/ แนวทางการปอ้ งกัน ผฉูสบอับน กำรป้องกนั กำรตดิ เช้อื เอชไอวีแบง่ ออกเป็น 2 กล่มุ ใหญ่ ๆ ได้ ดังนี้ เดก็ ควรรู การปอ้ งกันดา้ นกายภาพ มีจดุ ประสงคเพือ่ ลดความเส่ียงในการติด กำรป้องกันด้ำนกำยภำพ เป็นกำรป้องกันที่เกิดจำกตัวบุคคลเองที่สำมำรถกระท�ำได้ เชื้อเอชไอวี ทั้งกอนและ มีดงั น้ี หลังการสัมผัสเชอ้ื 1. การใช้ถุงยางอนามัย เป็นวธิ ที ีง่ ่ำยและปลอดภัยทีส่ ุด สำมำรถปอ้ งกนั ได้หลำยโรค แต่ก็ยังมีคนบำงกลุ่มที่ไม่ได้ใช้ทุกคร้ัง หรือไม่ได้ใช้ตลอดระหว่ำงกำรมีเพศสัมพันธ์ จึงท�ำให้ ประสิทธิภำพกำรปอ้ งกนั ลดลง 2. การขลิบหนังหมุ้ ปลายอวัยวะเพศชาย คอื กำรนำ� หนงั ห้มุ ปลำยออกไปเพอ่ื ให้เซลล์ ดำ้ นในทเ่ี หลอื อยหู่ นำตวั ขนึ้ ทำ� ใหเ้ ชอื้ เอชไอวเี ขำ้ ไปไดย้ ำกขนึ้ รวมทงั้ กำรขลบิ จะชว่ ยทำ� ใหเ้ ปน็ โรคตดิ ตอ่ ทำงเพศสมั พนั ธช์ นดิ ทเ่ี ปน็ แผลนอ้ ยลง เชอ้ื เอชไอวกี จ็ ะเข้ำไปไดน้ อ้ ยลง ซง่ึ ประสทิ ธผิ ล ของกำรปอ้ งกนั เชือ้ เอชไอวีจำกกำรขลบิ คอื ลดโอกำสท่ผี ้ชู ำยจะตดิ เชื้อเอชไอวีจำกผูอ้ ่ืนได้ 3. การคดั กรองโรคตดิ ตอ่ ทางเพศสมั พนั ธ์ โรคตดิ ตอ่ ทำงเพศสมั พนั ธส์ ำมำรถเพม่ิ ควำม เสยี่ งของกำรตดิ เชอ้ื เอชไอวดี ว้ ยหลำยปจั จยั ซง่ึ โรคตดิ ตอ่ ทำงเพศสมั พนั ธท์ ก่ี อ่ ใหเ้ กดิ กำรอกั เสบ ของอวัยวะเพศ เช่น โรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคพยำธิช่องคลอด เป็นต้น จะเพ่มิ โอกำส กำรตดิ เชอื้ เอชไอวสี งู ขนึ้ นอกจำกนี้ โรคตดิ ตอ่ ทำงเพศสมั พนั ธท์ ก่ี อ่ ใหเ้ กดิ แผลทอี่ วยั วะเพศ เชน่ โรคเรมิ โรคซิฟิลิส แผลริมอ่อน เป็นต้น จะเพม่ิ โอกำสกำรตดิ เชือ้ เอชไอวสี ูงขน้ึ และยงั ท�ำให้ เพม่ิ กำรแพรก่ ระจำยโรคดว้ ย การใชย้ าตา้ นไวรสั กำรใช้ยำต้ำนไวรัสเพ่ือป้องกันเช้ือเอชไอวี เป็นกำรป้องกันโดยกำรให้ยำแก่ผู้ที่มีควำม เสี่ยงต่อกำรติดเชื้อ มีดังน้ี 1. การใหย้ าเพอื่ ป้องกนั กอ่ นสมั ผสั เช้อื หรือ Pre - Exposure Prophylaxis (PrEP) ซ่ึง เป็นกำรใหย้ ำในผทู้ ่มี คี วำมเสยี่ งก่อนจะมีกำรสมั ผัสเชื้อ หรือกอ่ นจะมคี วำมเสยี่ ง เพื่อใหร้ ่ำงกำย มรี ะดบั ยำทเ่ี พยี งพอในกำรปอ้ งกนั กำรตดิ เชอื้ เอชไอวี โดยยำจะเขำ้ ไปปกปอ้ งเซลลเ์ มด็ เลอื ดขำว จำกกำรท�ำลำยโดยเช้ือเอชไอวีได้เกือบ 100% แต่ไม่ได้ช่วยป้องกันโรคติดต่อทำงเพศสัมพันธ์ อน่ื ๆ IT 97 97
Teacher’s Guide ใหน กั เรียนทาํ แผนพับเรือ่ งการติดเชื้อเอชไอวี เพ่อื เผยแพรค วามรูแกนกั เรียนในโรงเรียน 2. การให้ยาเพ่ือป้องกนั หลังสัมผสั เชื้อ หรือ Post - Exposure Prophylaxis (PEP) เปน็ กำรใหย้ ำหลงั จำกทสี่ มั ผสั เชอ้ื แลว้ ซงึ่ อำจเกดิ จำกกำรปฏบิ ตั งิ ำนของเจำ้ หนำ้ ทท่ี ำงกำรแพทย์ เชน่ พยำบำลถูกเขม็ ต�ำขณะท่ีกำ� ลังเจำะเลอื ดผูท้ ่มี ีเชอ้ื เอชไอวี หรอื ควำมเสย่ี งอื่นๆ สำมำรถใช้ ยำ PEP เพ่อื ป้องกนั กำรติดเช้ือเอชไอวีได้ อยำ่ งไรกต็ ำมสำรคดั หลง่ั ท่เี รำสัมผัสทกุ อยำ่ งไมไ่ ด้ ท�ำใหต้ ิดเช้อื เสมอไป โดยสำรคัดหล่ังทอี่ ำจทำ� ใหเ้ กิดกำรตดิ เช้ือ คอื เลอื ด นำ้� ปนเลอื ด น้ำ� อสุจิ น�ำ้ คดั หล่ังจำกชอ่ งคลอด นำ�้ ไขสันหลัง นำ�้ ในขอ้ น้�ำในช่องเย่อื หุ้มปอด น้ำ� ในชอ่ งทอ้ ง น�ำ้ ใน เยือ่ หุ้มหวั ใจ น�ำ้ ครำ�่ สว่ นท่ีไมท่ �ำใหเ้ กิดกำรติดเช้ือเอชไอวี คือ อจุ จำระ ปสั สำวะ น้�ำลำย น้�ำมกู เหง่ือ น�้ำตำ อำเจยี น (ยกเว้นเลือดปน) 3. การรักษาเสมอื นการป้องกนั (Treatment as Prevention หรอื TasP) คือ กำรใหย้ ำ ตำ้ นไวรสั ผตู้ ดิ เชอ้ื เพอ่ื ใหก้ ดปรมิ ำณไวรสั จนไมส่ ำมำรถทจี่ ะสง่ ตอ่ หรอื ถำ่ ยทอดเชอื้ ไปใหค้ นู่ อนได้ ถ้ำได้รบั ประทำนยำอย่ำงสมำ�่ เสมอภำยใน 6 เดอื น หลังจำกเริ่มยำต้ำนไวรสั จะสำมำรถกดไวรสั ลงเหลือนอ้ ยมำก จนไม่สำมำรถตรวจเจอเชื้อเอชไอวีไดใ้ นเลือดและไม่สำมำรถถำ่ ยทอดเช้อื ให้ ผอู้ น่ื ได้ จงึ เรยี กวำ่ “ไมเ่ จอเทำ่ กับไมแ่ พร่ หรือ U = U (Undetectable equals Untransmitable)” อยำ่ งไรก็ตำม ประโยชน์ในกำรป้องกันกำรถ่ำยทอดเชอื้ เอชไอวีโดยแนวทำง TasP จะมีผลมำก ผฉูสบอับน น้อยเพียงใดนั้นข้ึนอยู่กับว่ำผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับทรำบสถำนกำรณ์ติดเช้ือของตนเอง และ สำมำรถเร่มิ ต้นกำรรักษำดว้ ยยำตำ้ นเอชไอวเี ร็วเพียงใด การขอคาํ ปรกึ ษาจากแพทยก อ นแตง งาน หรอื กอ นตงั้ ครรภ จะทาํ ใหท ราบถงึ สภาวะสขุ ภาพเบอื้ งตน รวมทงั้ ชว ยลดภาวะเสยี่ ง ตอ การตดิ เชอื้ เอชไอวไี ดเ ปน อยา งดี 98 98
โรคไขหวัดนกมี IT คนหาขอมูลเพิ่มเติมเก่ียวกับ สาเหตุมาจากสิง่ ใด ไขห วดั นก ไดท ่ี http://beid.ddc.moph. go.th สาํ นกั โรคตดิ ตออบุ ตั ิใหม กรม- ควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ 2.3 โรคไข้หวัดนก โรคไข้หวัดนกหรือโรคไข้หวัดสัตว์ปีก ซ่ึงต่อมำเรียกว่ำ “ไข้หวัดใหญ่ชนิดสำยพนั ธ์ุ H5N1” เปน็ โรคติดต่อทเ่ี ริ่มระบำดใน ประเทศไทยเมอื่ พ.ศ.2540 อกี ทงั้ ยงั ระบำดในประเทศตำ่ งๆ ทวั่ โลก มักเกิดได้ง่ำยกับกลุ่มเด็กและผู้สูงอำยุที่มีภูมิคุ้มกันต�่ำ ซ่ึงเป็น อนั ตรำยตอ่ รำ่ งกำยอยำ่ งมำกจนถงึ ขน้ั เสยี ชวี ติ โดยสง่ ผลตอ่ ระบบ ทำงเดินหำยใจและกำรติดเช้ือในบริเวณอ่ืนๆ ไกส ามารถนาํ โรคไขห วดั นกมาสคู นไดง า ย เดก็ ควรรู สาเหตุ หากไกป ว ยหรอื ตาย ไมค วรไปสมั ผสั หรอื หรอื Influenza A นาํ เนอื้ ไกน น้ั ไปรบั ประทาน ซ่ึงเปนไวรัสท่ีมีลักษณะ กอ ใหเ กดิ โรครนุ แรงชนดิ ปัจจยั ที่มผี ลต่อกำรเกดิ โรคเชอ้ื ไข้หวดั นกมำกท่สี ุด คอื กำรสัมผัสกบั ไกท่ ่ีปว่ ยหรอื ตำย Highly pathogenic AI โดยสตั วป์ กี ทปี่ ว่ ยจะมเี ชอ้ื ไวรสั H5N1 อยู่ในนำ้� มกู นำ้� ลำย นำ้� ตำ มลู สตั ว์ ซงึ่ จะปนเปอ นอยตู่ ำม (HPAI) ซงึ่ ตดิ ตอ สคู นเปน ตัวของสัตว์ปีกและสิ่งแวดล้อม อำจติดเชื้อโดยกำรสัมผัสโดยตรงหรือกำรสัมผัสส่ิงแวดล้อมท่ี ครงั้ แรกในป พ.ศ.2540 ปนเปอนเชื้อในบริเวณท่ีเกิดโรคระบำดของสัตว์ปีก ขณะที่กำรติดเช้ือจำกคนสู่คนน้ันเป็นสิ่งที่ เปน ผลใหเ ดก็ วยั 3 ขวบ เกิดขนึ้ ได้ยำก ชาวฮอ งกงเสยี ชวี ติ อาการ ผฉูส บอับน อำกำรของโรคไขห้ วัดนกท่ีเหน็ ชัดเจน มดี งั น้ี 1. มีอำกำรคลำ้ ยไข้หวัดใหญ่ มีไข้ มีน�้ำมกู IT 2. ปวดกล้ำมเน้อื เจบ็ คอ ไอมีเสมหะ อุจจำระร่วง 3. ปอดอักเสบ เยอ่ื บตุ ำอกั เสบ แนวทางการป้องกัน เพอื่ ลดควำมเสย่ี งในกำรเกดิ โรคไข้หวัดนก ควรปฏบิ ัติ ดังต่อไปน้ี 1. หลกี เลย่ี งกำรสมั ผสั สตั วป์ กี ทม่ี อี ำกำรปว่ ยหรอื ตำย และไมน่ ำ� สตั วป์ กี เหลำ่ นนั้ มำเปน็ อำหำร หำกจำ� เปน็ ต้องสมั ผสั สตั วป์ ีกในช่วงที่มีโรคระบำด ควรสวมหนำ้ กำกอนำมยั และถงุ มอื 2. ล้ำงมือดว้ ยน�ำ้ กับสบ่ทู ุกคร้ังหลังกำรสมั ผัสสตั ว์ปีก น�ำ้ ลำย น้ำ� มกู และมูลของสัตว์ 3. รบั ประทำนเน้ือสัตวป์ ีกหรือไข่ทีป่ รุงสุกแล้ว 4. หำกสงสัยว่ำอำจเป็นไข้หวัดนก ให้รีบพำผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยเร็ว และผู้ที่สัมผัส ผู้ปว่ ยอย่ำงใกล้ชิดควรปรกึ ษำแพทย์ 99 99
Teacher’s Guide ใหน ักเรยี นแบงกลมุ กลมุ ละ 5-6 คน เพอื่ ศกึ ษาเก่ยี วกบั โรคไมติดตอ ทงั้ 3 ชนิด คือโรคความดนั โลหติ สงู โรคเบาหวาน และโรคมะเรง็ ในประเดน็ ของสาเหตุ อาการ และแนวทางในการปองกันโรคแตละชนดิ โรคใดบางเปน 3. โแรลคะไกมา่ตรติดาตย่อขทอ่ีเงปค็นนสไาทเหย ตุของการเจ็บป่วย โรคไมติดตอ ปจั จบุ นั โรคไมต่ ดิ ตอ่ เปน็ ปญั หำทำงดำ้ นสขุ ภำพทสี่ ำ� คญั เดก็ ควรรู ของประเทศ เนอื่ งจำกอตั รำของผปู้ ว่ ย ผเู้ สยี ชวี ติ และผทู้ ม่ี คี วำม มีความหนาและ เสีย่ งต่อโรคเพิ่มจำ� นวนขนึ้ อันเปน็ สำเหตุมำจำกพฤติกรรมของ แ ข็ ง แ ร ง ก ว า ผ นั ง ข อ ง บุคคลที่ไม่ถูกต้องในกำรรับประทำนอำหำร กำรออกก�ำลังกำย หลอดเลือดดาํ เน่อื งจาก ที่ไมส่ ม�่ำเสมอ พักผอ่ นนอ้ ย เกิดควำมเครยี ด หรอื ใชส้ ำรเสพตดิ โรคความดนั โลหติ สงู เปน โรคทจ่ี ะไมแ สดง ตอ งรองรบั แรงดนั จากการ โรคไม่ติดต่อที่เป็นสำเหตุของกำรเจ็บป่วยและกำรตำยของ อาการใดๆ ออกมา แตจ ะตรวจพบไดจ าก บีบตัวของหัวใจที่สูบฉีด คนไทยในปจั จบุ นั ไดแ้ ก่ การวัดความดันโลหิต ซ่ึงคาปกติอยูท่ี เลอื ดแดงไปยงั สว นตา งๆ ประมาณ 140/90 mmHg ของรางกาย 3.1 โรคความดนั โลหติ สงู ผฉสู บอบั น โรคควำมดันโลหิตสูง เป็นผลของแรงดันหรือควำมดัน ของเลือดต่อผนังของหลอดเลือดแดงสูงกว่ำปกติ ซึ่งในกำรวัด ควำมดนั โลหติ จะถกู บนั ทกึ ในหน่วย “มลิ ลเิ มตรปรอท (mmHg)” โดยตวั เลขจะบอกควำมดนั ขณะหวั ใจบบี ตวั และคลำยตวั ตำมลำ� ดบั ซ่ึงโดยท่ัวไปควำมดนั โลหติ ของคนปกติจะอยทู่ ป่ี ระมำณ 140/90 mmHg เด็กควรรู สาเหตุ หัวใจจะบีบและ สำเหตุของโรคควำมดันโลหิตมีทั้งที่ไม่ทรำบสำเหตุ ซ่ึงอำจเกิดมำจำกพันธุกรรมหรือ คลายตัวสลับกันตลอด เวลา เม่ือหัวใจบีบตัว ก็ ผู้มีพฤติกรรมเส่ียงทำงด้ำนสุขภำพ เช่น ควำมเครียด ขำดกำรออกก�ำลังกำย โรคเบำหวำน จะดันเลือดใหออกจาก หรือกลุ่มที่ทรำบสำเหตทุ ่ีแน่นอนซ่ึงมีปัจจยั ทก่ี อ่ ให้เกิดโรค ดังต่อไปน้ี หวั ใจเพอื่ ไปเลยี้ งสว นตา งๆ ของรางกายใหเพียงพอ 1. กำรรบั ประทำนยำบำงประเภท เช่น ยำแกป้ วดไขขอ้ ยำเมด็ คมุ กำ� เนิด เปน็ ตน้ เมื่อหัวใจมีการคลายตัว 2. ภำวะหลอดเลอื ดใหญแ่ ขง็ ตวั ในผู้สงู อำยุ ซ่ึงยังอำจนำ� ไปสู่ภำวะหลอดเลอื ดแตกได้ ภายในหลอดเลือดก็ยัง 3. กำรต้งั ครรภ์ โรคไต โรคเนอ้ื งอกในสมอง หรือโรคที่เก่ียวขอ้ งกับตอ่ มหมวกไต คงมคี วามดนั เลอื ดคา หนง่ึ 4. ภำวะท่ที �ำใหห้ วั ใจมีกำรท�ำงำนอย่ำงหนัก เชน่ มไี ขส้ ูง กำรออกกำ� ลังกำยอยำ่ งหนกั เพื่อที่จะใหรางกายไดรับ ควำมเครยี ด เป็นต้น เลือดในระหวางหัวใจ คลายตวั 100 100
อาการ เด็กควรรู โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยท่ีเป็นโรคควำมดันโลหิตสูงจะไม่แสดงอำกำรใดๆ ออกมำ แต่จะ หมายถงึ ภาวะซงึ่ หวั ใจไมส ามารถสบู ฉดี ไป ตรวจพบโดยบังเอิญหำกมีกำรตรวจร่ำงกำย รวมทั้งกำรวัดควำมดันโลหิต เน่ืองจำกระยะแรก เล้ียงรางกายไดพอเพียง ไม่มีอำกำร โรคน้ีจึงถูกเรียกว่ำ “มัจจุรำชเงียบ” ซ่ึงเมื่อเป็นโรคนี้ระยะเวลำนำนจึงจะมีอำกำร ทําใหเนื้อเยื่อตางๆ นั้น แทรกซอ้ นซึ่งเปน็ อนั ตรำยอยำ่ งมำก เช่น หัวใจวำย อมั พำต และอำจอนั ตรำยถงึ ชีวิตได้ ขาดออกซเิ จน ซง่ึ อาการ หัวใจวายอาจจะเกิดข้ึน อยา งเฉยี บพลนั เชน เกดิ ภายหลังจากหลอดเลือด หวั ใจตบี หรอื อาจคอ ยๆเกดิ เชน โรคของลน้ิ หวั ใจหรอื กลา มเนอื้ หวั ใจ เปน ตน แนวทางการปอ้ งกัน ผฉูสบอับน เพอ่ื ปอ้ งกนั ควำมเสีย่ งในกำรเกิดโรคควำมดันโลหติ สูงควรปฏิบัติ ดIงั นT้ี Teacher’s Guide ใหน กั เรยี นกาํ หนด 1. ตรวจสุขภำพประจำ� ปที กุ ปี หรอื ทุกๆ 6 เดอื น รายการอาหารเปนเวลา 2. ควบคมุ และรกั ษำน้ำ� หนกั ตวั ให้เหมำะสม คอยดูแลเร่อื งอำหำรกำรกนิ ใหส้ มดุลและ 2 สปั ดาห เพอ่ื ปรบั เปลย่ี น ออกกำ� ลงั กำยอยำ่ งสมำ่� เสมอ ถกู ตอ้ ง พฤตกิ รรมการรบั ประทาน 3. ปรับเปล่ียนพฤติกรรมเส่ียงที่ท�ำให้เกิดโรค เช่น เลี่ยงกำรรับประทำนอำหำรรสจัด อาหาร ที่ไมไดนําไปสู หรอื อำหำรประเภทไขมนั ภาวะความเส่ียงตอการ 4. พกั ผอ่ นใหเ้ พยี งพอ ร้จู กั จดั กำรกับควำมเครยี ด เกิดโรคเบาหวาน 3.2 โรคเบาหวาน โดยปกติเมื่อรับประทำนอำหำรจ�ำพวกแป้งเข้ำไปจะถูก แปรสภำพใหอ้ ย่ใู นรปู ของนำ�้ ตำล แลว้ ถกู ดดู ซมึ เขำ้ สกู่ ระแสเลอื ด โดยมีฮอร์โมน “อินซูลิน” ซ่ึงผลิตจำกตับอ่อนท�ำหน้ำท่ีควบคุม ระดับน้�ำตำลในเส้นเลือดไม่ให้มีมำกเกินไป หำกร่ำงกำยขำด อนิ ซลู ินหรืออินซูลนิ ทผ่ี ลิตทำ� งำนไดไ้ ม่มปี ระสิทธิภำพ จะท�ำให้ ปรมิ ำณนำ�้ ตำลในเลอื ดสงู ขนึ้ และถกู ขบั ออกมำทำงปสั สำวะ เรยี ก ผูปวยโรคเบาหวานสามารถตรวจระดับ อำกำรน้วี ำ่ “โรคเบำหวำน” นาํ้ ตาลในเลอื ดจากปลายนว้ิ ไดด ว ยตนเอง เพอื่ ควบคมุ ระดบั นาํ้ ตาลใหเ ปน ปกติ สาเหตุ ควำมผดิ ปกตขิ องฮอร์โมนอนิ ซลู นิ มปี จั จยั เสย่ี งทหี่ ลำกหลำย เชน่ กรรมพนั ธ์ุ ภำวะอว้ น ขำดกำรออกก�ำลังกำย หรือกำรท�ำงำนของตับอ่อนที่ผิดปกติ ท�ำให้ไม่สำมำรถสร้ำงฮอร์โมน อินซูลินได้เพียงพอ ซ่ึงไม่เพียงคนอ้วนเท่ำนั้นท่ีมีโอกำสเกิดโรคเบำหวำน คนที่น�้ำหนักปกติ กอ็ ำจเกิดโรคไดเ้ ช่นกนั 101 101 IT คน หาขอ มลู เพมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั สมนุ ไพรซง่ึ มสี ว นชว ยในการรกั ษาโรค เบาหวาน ไดท ่ี www.alternativecomplete.com
เด็กควรรู อาการ นับวาเปน อาการ อำกำรของโรคเบำหวำนที่พบไดบ้ ่อยและเห็นชดั เจน มดี ังนี้ ท่ีอนั ตรายมากๆ สาํ หรบั 1. ปัสสำวะบ่อยและปสั สำวะจ�ำนวนมำก กระหำยนำ้� ต้องด่มื น้�ำบอ่ ยๆ ผูปวยดวยโรคเบาหวาน 2. กนิ จุ หวิ บอ่ ยกว่ำปกติ อ่อนเพลีย เนื่องจากแผลที่เกิดขึ้น 3. นำ�้ หนักลดลงอย่ำงรวดเรว็ (สำ� หรับผปู้ ่วยเป็นโรคเบำหวำนชนดิ ไมต่ อ้ งพงึ่ อนิ ซลู นิ ) ยากแกการรักษาและนํา 4. เปน็ แผลเรือ้ รัง ซ่ึงรักษำให้หำยยำก มีอำกำรคันตำมผิวหนัง ไปสูการติดเช้ือไดงาย 5. ตำพรำ่ มวั ตอ้ งเปลยี่ นแวน่ ตำบอ่ ยๆ มอี ำกำรชำหรอื ปวดแสบปวดรอ้ นตำมปลำยนวิ้ และอาจกอใหเกิดอาการ แทรกซอ นอ่นื ๆ ตามมา ผฉูสบอับน แนวทางการป้องกนั โรคเบำหวำนสำมำรถปอ้ งกนั ไดโ้ ดยดแู ลเรอื่ งกำรรบั ประทำนอำหำร กำรออกกำ� ลงั กำย เด็กควรรู คือ ชอ่ื เรยี กของ และสร้ำงควำมสมดลุ ของนำ้� หนกั ตัวโดยกำรรักษำน้ำ� หนักให้เหมำะสม ซึ่งมีขอ้ ควรปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี กลุมฮอรโมนที่ถูกสราง 1. ลดอำหำรจ�ำพวกแปง้ น้ำ� ตำล และไขมัน จากตอมหมวกไตภายใน 2. รบั ประทำนผักและผลไม้ และหลกี เล่ยี งผลไม้ทม่ี ีรสหวำน รางกาย มี 2 ชนิด คือ 3. รบั ประทำนอำหำรแต่พอเหมำะ ไม่มำกเกนิ ไป โคติซอลและอัลโดสเตีย- 4. ออกกำ� ลงั กำยอยำ่ งสมำ�่ เสมอ และพกั ผอ่ นให้เพยี งพอ รอยด ยาแผนปจจบุ ันใน 5. รกั ษำน้ำ� หนกั ตวั ให้เหมำะสมดว้ ยกำรดแู ลพฤตกิ รรมกำรบริโภค กลมุ นี้ เชน ยารกั ษาโรค 6. หลกี เลี่ยงพฤตกิ รรมเสย่ี ง เชน่ กำรด่ืมสุรำ กำรใช้ยำพวกสเตียรอยด์ ภูมิแพ ยารักษาหอบหืด 7. ไมซ่ อื้ ยำรบั ประทำนเอง แบบชนดิ พน ทางปาก ยา หยอดตา ยารักษาขอ อักเสบ ยาแกแ พ เปนตน ผปู ว ยโรคเบาหวานควรลดอาหารจาํ พวกแปง นา้ํ ตาล และไขมนั เพอ่ื ควบคมุ ระดบั นา้ํ ตาลในเลอื ดใหอ ยใู นภาวะปกติ 102 102
เสรÔมสาระ เด็กควรรู สามารถลดความ ไกลมะเรง็ งายๆ แคใสใจอาหาร เสียหายท่ีเกิดจากอนุมูล อิสระได 2 ทาง คือ เม่ือกล่าวถึงโรคร้ายอย่าง \"มะเร็ง\" เพยี งแค่ โรคมะเรง็ อาจเกดิ จากผลของสารอนมุ ลู อสิ ระ การลดการสรางอนุมูล ได้ยินก็นึกถึงความทุกข์ทรมานจากโรค รวมถึง ซ่ึงเกิดจากปฏิกิริยาในการเผาผลาญของอาหาร อสิ ระในรา งกายและการลด ขั้นตอนในการรักษา ยังอีกท้ังค่ายา ค่ารักษาท่ี ถ้ามีอนุมูลอิสระนี้มากเกินไป เซลล์ปกติก็อาจ อันตรายท่ีเกิดจากอนุมูล ค่อนข้างสูง และในระยะหลังๆ เม่ือกระแสการ กลายเป็นเซลล์มะเรง็ ได้ ส่วนสารต้านอนมุ ูลอสิ ระ อิสระ ซ่ึงแหลงอาหารที่ ดูแลสุขภาพมีมากข้ึน ท�าให้มีผู้เช่ียวชาญจาก ที่เรียกว่า Antioxidant น้ัน พบมากในผักและผล สาํ คญั ของสารตา นอนมุ ลู แขนงต่างๆ ออกมาแนะน�าวิธีการดูแลสุขภาพ ไม้บางชนิด เช่น ผลไม้ท่ีมีรสเปรี้ยว เป็นต้น โดย อิสระ ไดแก วิตามินซี รวมถึงอาหารสุขภาพอันหลากหลาย และแนะน�า จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซ่ึงอาจช่วยลดโอกาสใน วติ ามนิ อี ซลี เี นยี ม วติ ามนิ วิตามินส�าเร็จรูปท่ีมีมากมายในท้องตลาด เพ่ือ การเปน็ มะเรง็ ไดร้ ะดบั หนงึ่ หรอื แมก้ ระทง่ั การหนั มา เอ และแคโรทนี อยด รกั ษาสขุ ภาพใหห้ า่ งไกลจากมะเรง็ แตแ่ ทท้ จ่ี รงิ แลว้ รบั ประทานเนอื้ สตั ว์ประเภทเนอ้ื แดงทมี่ ไี ขมนั เพยี ง วิธีห่างไกลจากโรคมะเร็งสามารถปฏิบัติได้ง่ายๆ เล็กน้อย และหันมารับประทานปลามากขึ้น เน้น ผฉูสบอบั น เพียงแค่เราใส่ใจดแู ลตนเองก็เพียงพอ ผักผลไม้ให้มากขึน้ ก็อาจช่วยIลดTโอกาสในการเปน็ ปัจจุบันมีข้อมูลการศึกษาเก่ียวกับผลของ มะเรง็ ได้เช่นกัน เดก็ ควรรู การรับประทานอาหารกับโรคมะเร็งอยู่พอสมควร อาหารตา้ นมะเรง็ ทคี่ วรรบั ประทานคอื อาหาร เ กิ ด จ า ก ก า ร ซ่ึงจากการศึกษาพบว่า อาหารบางชนิดสัมพันธ์ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและเพียงพอต่อ กับการเกิดโรคมะเร็งได้ เช่น อาหารที่มีสาร ความต้องการของร่างกาย ท้ังนี้ควรรับประทาน เปลย่ี นแปลงทางเคมขี อง ไฮโดรคาร์บอนท่ีเกิดจากการเผาไหม้ปงย่าง อาหารใหห้ ลากหลาย เพราะการรบั ประทานอาหาร สารพวกคารโบไฮเดรต จนเกรยี ม อาหารหมกั ดอง อาหารทมี่ คี วามชน้ื และ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ อยเู่ ปน็ ประจา� จะทา� ใหร้ า่ งกายได้ ในอาหารใหกลายเปน มีเช้ือราปนเปอน เป็นต้น ซ่ึงมีผลท�าให้มีโอกาส รับแต่สารอาหารชนิดนั้น ซ่ึงท�าให้ขาดสารอาหาร สารประกอบอ่ืน เชน เกิดโรคมะเรง็ ได้มากกว่าอาหารอ่ืนๆ จ�าเปน็ ทร่ี ่างกายต้องการชนดิ อืน่ ได้ แอลกอฮอล คารบอนได- ออกไซด กรดนา้ํ สม กรด แล็กติก เปนตน โดยมี จลุ นิ ทรยี เ ปน ตวั การทาํ ให เกดิ ปฏกิ ริ ิยา IT 103
IT คน หาขอ มลู เพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั โรคมะเรง็ ไดท ี่ เวบ็ ไซตข องสถาบนั มะเรง็ www.nci.go.th 3.3 โรคมะเรง็ ปัจจุบันตรวจพบว่ำคนไทยเป็นโรคมะเร็งจ�ำนวนมำก ซ่ึงเป็นผลจำกควำมเจริญก้ำวหน้ำของวิทยำกำรทำงกำรแพทย์ ที่ช่วยให้กำรวินิจฉัยโรคสำมำรถท�ำได้ดีและรวดเร็ว แม้อำยุขัย ของผูเ้ ป็นมะเรง็ จะสูงขึ้น แตอ่ ัตรำกำรเสยี ชีวติ หรอื จ�ำนวนผู้ปว่ ย ผักอุดมไปดวยสารตานอนุมูลอิสระและ โรคมะเรง็ กม็ สี งู ขน้ึ เชน่ กนั อนั มสี ำเหตทุ ห่ี ลำกหลำย โดยเฉพำะ สารตา นมะเรง็ ยง่ิ ผกั มสี เี ขม มากเทา ไหร อยำ่ งยง่ิ พฤตกิ รรมดำ้ นสขุ ภำพและควำมเปน็ อยทู่ เ่ี ปลย่ี นแปลงไป นนั่ หมายถงึ วา มสี ารทมี่ ปี ระโยชนส ามารถ ชว ยตา นมะเรง็ ไดม ากขนึ้ เทา นนั้ ของคนในปจั จุบนั สาเหตุ ปัจจุบันยังไม่สำมำรถระบุได้อย่ำงแน่นอนถึงสำเหตุของกำรเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจำก เปน็ กระบวนกำรท่ซี บั ซ้อนและอำศยั ปัจจัยรว่ มในหลำยๆ ด้ำน ซ่งึ สรุปได้ ดงั นี้ 1. ปัจจัยภำยในร่ำงกำย เช่น กรรมพนั ธุ์ เชอ้ื ชำติ เพศ อำยุ ระดบั ฮอร์โมน หรอื ระบบ ภมู ิคุม้ กนั ของร่ำงกำย เป็นตน้ 2. ปัจจยั ภำยนอกร่ำงกำย เชน่ สำรเคมที เี่ ขำ้ มำสู่ภำยในรำ่ งกำย กำรตดิ เช้ือ สำรพิษ ผฉสู บอบั น พยำธิบำงชนิด ภำวะขำดสำรอำหำร หรือกำรรบั ประทำนอำหำรทีม่ ีควำมเสี่ยง เป็นตน้ เด็กควรรู อาการ ส า ม า ร ถ ที่ จ ะ โรคมะเร็งส่งผลให้ร่ำงกำยและเมแทบอลิซึมของร่ำงกำยผิดปกติในแทบทุกระบบ โดย ตรวจเตานมดวยตนเอง ไดโดยการนวดจับเพื่อ พิษของมะเร็งจะแผ่ไปทั่วร่ำงกำย ท�ำให้ร่ำงกำยอ่อนเพลีย เป็นไข้เรื้อรัง ร่ำงกำยซูบผอมลง ห า ค ว า ม ผิ ด ป ก ติ ห รื อ โดยมะเรง็ ทเี่ กดิ ในอวัยวะต่ำงๆ จะมอี ำกำรท่แี ตกต่ำงกันออกไป ซึ่งอำกำรทีช่ ดั เจนจนสังเกตได้ กอนเน้ือที่อาจเกิดขึ้น มดี ังนี้ บรเิ วณเตา นม 1. มะเร็งผวิ หนัง ส่วนใหญม่ กี ำรเปลย่ี นแปลงของไฝ ปำน หรอื จุดตกกระในผสู้ ูงอำยุ เกิดอำกำรคัน เกิดบำดแผลบริเวณผิวหนงั 2. มะเร็งเต้ำนมในเพศหญิง เริ่มมีก้อนเนื้อที่เต้ำนมหรือมีเลือด มีน�้ำเหลืองออกจำก หัวนมในระยะแรก 3. มะเรง็ ในระบบทำงเดนิ หำยใจ มอี ำกำรไอแหบแหง้ เจบ็ แนน่ บรเิ วณหนำ้ อก มเี สมหะ ปนเลือด หน้ำและคอบวม 104 104
เด็กควรรู หมายถึง อาหารท่ีเมื่อบรโิ ภคเขา ไปแลว อาหารนน้ั จะถกู ยอยและได สารอาหาร ที่จําเปนแกรางกายดูดซึมผานเขาไปหลอเล้ียงรางกายสวนตางๆ ซึ่งกําลังเจริญเติบโต เชน สวนสูงเพิ่มขึน้ น้ําหนักตวั เพม่ิ ขน้ึ พรอมท้งั บาํ รงุ กายใหส มบรู ณแ ข็งแรงอยูเสมอ แนวทางการป้องกัน แมส้ ำเหตขุ องโรคมะเรง็ จะไมส่ ำมำรถสรปุ ไดอ้ ยำ่ งแนน่ อน แตเ่ รำสำมำรถลดควำมเสยี่ ง ดว้ ยกำรลดปจั จยั ทอี่ ำจสง่ ผลตอ่ กำรเกดิ โรคมะเรง็ ได้ และกำรปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมกำรดำ� รงชวี ติ ให้เหมำะสม ซึง่ มขี ้อควรปฏิบัติ ดงั น้ี 1. รบั ประทำนอำหำรท่ีมีประโยชน์ และหลกี เลี่ยงสิ่งที่บ่ันทอนสุขภำพ เช่น บุหรี่ สรุ ำ พกั ผอ่ นให้เพยี งพอและออกกำ� ลังกำยอย่ำงสม�่ำเสมอ 2. ตรวจสุขภำพประจำ� ปอี ย่ำงสม่ำ� เสมอ 3. ตรวจสอบสญั ญำณเตอื นอำกำรของโรคมะเร็ง เช่น เปน็ แผลที่ไม่หำย มีต่มุ ไต หรือ กอ้ นแขง็ ใต้ผิวหนงั โดยเฉพำะบริเวณเต้ำนม ชอ่ งทอ้ ง บรเิ วณตอ่ มนำ้� เหลือง มอี ำกำรไอเร้ือรงั หรือควำมผิดปกตอิ ่ืนๆ การเจ็บป่วยและการตายด้วยโรคติดต่อหรือไม่ติดต่อก็ตาม ถึงแม้จะเป็น ผฉสู บอับน เรื่องท่ีสามารถหลีกเล่ียงได้ยาก แต่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ หากมีการใส่ใจ เดก็ ควรรู ดูแลตนเองอย่างสมา่� เสมอ โดยการควบคุมและปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรมการดา� รงชวี ติ ให้ถูกต้องเหมาะสม ทัง้ การรบั ประทานอาหาร การออกกา� ลงั กาย ตลอดจนการไป ตั้งแตป 2531 ตรวจสุขภาพประจ�าปีทุกปี ท้ังน้เี พอื่ ให้ทราบถงึ ข้อบกพร่องของร่างกายหรือหากเกิด อ ง ค ก า ร อ น า มั ย โ ล ก ความผิดปกตใิ ดๆ ก็จะสามารถรกั ษาได้ต้งั แต่เร่ิมต้น ไดกําหนดใหวันท่ี 31 พฤษภาคม ของทกุ ป เปน วันงดสูบบุหร่ีโลก หรือ World No Tobacco Day ทั้งนี้เพ่ือกระตุน ใหทุกประเทศตระหนัก ถึงอันตราย และความ ฝึกคิด ฝึกท�ำ สูญเสียทั้งทางสุขภาพ เศรษฐกจิ และสงั คมทเ่ี กดิ จากการสูบบุหรี่ โดยได 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม ร่วมกันค้นคว้าหาวิธีการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศท่ีอาจก่อให้เกิดปัญหา ประกาศใหมีการรณรงค โรคตดิ ต่อทางเพศสมั พนั ธ์ โดยยกตัวอย่างสถานการณ์ แล้วส่งตัวแทนมานา� เสนอหน้าชนั้ เรยี น เพ่ือการไมสูบบุหร่ี โดย ใชช อ่ื วา World Spidemic 2. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม ร่วมกันศึกษาโรคที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและการตายของคนไทย รโดายยรงาะนบสุ พาเรห้อตมุ อทาั้งกอาอรกแแบนบวทแผาง่นกพาบั รรปณ้องรกงันคแ์กลาระปวิธ้อีกงากรันปตฏนบิ เอตั งติ จนาตก่อโรโรคคทนีไ่ ดั้น้ทม�าากกาลIรุ่มTศลกึ ะษ๑าสโ่งรคครูผทู้ส�าอเปน็น 105 105
แบบฝึกทักษะพัฒนาการเรียนรู้ ตอนท่ี 1 ใหน้ กั เรยี นจดั กลมุ่ ร�ยชอื่ โรคทกี่ �ำ หนดใหอ้ อกเปน็ โรคตดิ ตอ่ และโรคไมต่ ดิ ตอ่ มฐ./ตวั ชี้วัด โรคเอดส์ โรคอีสกุ อีใส พ 4.1 (ม.3/2) โรคเบำหวำน โรคไทรอยด์ โรคควำมดนั โลหติ สงู โรควัณโรค โรคไข้หวดั ใหญ่ โรคไขเ้ ลอื ดออก โรคไข้หวัดนก โรคหัดเยอรมนั โรคท่ีเกดิ จำกกำรมีเพศสมั พันธ์ โรคซำร์ส โรคหัวใจ โรคมะเรง็ ปำกมดลกู โรคมะเรง็ เตำ้ นม โรคหอบหดื โรคไขมันในเลอื ดสูง โรคไมเกรน โรคตำแดง โรคไต ผฉูสบอับน โรคติดตอ่ โรคไม่ติดต่อ โรคซารส์ .................................................................................................... โรคไต.................................................................................................... โรคเอดส ์..................................................................................................... โรคไมเกรน..................................................................................................... โรตตาแดง .................................................................................................... โรคหัวใจ.................................................................................................... โรควัณโรค .................................................................................................... โรคเบาหวาน.................................................................................................... . ..โ..ร...ค....อ..สี....ุก...อ...ใี..ส.... ...................................................................... โรคไทรอยด์.................................................................................................... . ..โ..ร...ค....ไ..ข..้ห...ว...ัด...น....ก... .................................................................... โรคหอบหดื.................................................................................................... . ..โ..ร...ค....ห...ดั ...เ..ย...อ...ร..ม...นั.... ................................................................. ...โ..ร...ค...ม...ะ..เ..ร...็ง..เ..ต...้า...น...ม.................................................................. . ..โ..ร...ค....ไ..ข..เ้..ล...ือ...ด...อ...อ...ก.... ................................................................ ...โ..ร...ค...ไ..ข...ม...ัน....ใ..น....เ.ล....อื ..ด....ส...งู.......................................................... . ..โ..ร...ค....ไ..ข..ห้...ว...ัด...ใ..ห....ญ.... ่ ................................................................. ...โ..ร...ค...ม...ะ..เ..ร...ง็ ..ป....า..ก...ม...ด....ล...ูก.......................................................... . ..โ..ร...ค....ท...เ่ี.ก....ดิ ...จ...า..ก....ก...า..ร...ม...เี..พ...ศ....ส...มั...พ....นั ...ธ...์ .. .. ............................ ...โ..ร...ค...ค....ว..า..ม...ด....นั ...โ..ล....ห...ติ...ส....ูง....................................................... 106 106
ตอนที่ 2 ให้นกั เรยี นเขยี นส�เหตุ อ�ก�ร และแนวท�งปอ้ งกนั โรคทกี่ �ำ หนดให้ ผฉสู บอบั น โรคไขห้ วัดนก สาเหต ุ ต....ิด...เ.ช...อ้ื...จ...า..ก....ส...ตั...ว...์ป...ีก....ท...ป่ี...ว่...ย...โ..ด..ย...ก....า..ร...ส....มั ..ผ...ัส....ก...บั....เ.ช...อื้...ไ..ว..ร...ัส.... ..H..5...N....1.. ..ซ...งึ่...ม...ีอ...ย..่ใู...น...น....�า้...ม..ูก.... ..น...า�้...ล...า..ย... ..น...�้า...ต...า.. ........... ม...ูล...ส....ัต...ว... ์ ..ห...ร...อื ...ก...า..ร...ส....มั ...ผ...สั ...ก....บั ...ส...ิ่ง...แ..ว...ด...ล...อ้...ม...ท....่ีป...น....เ.ป...้ือ...น....เ..ช..้อื...ใ..น....บ....ร..ิเ..ว..ณ.....ท...เี่..ก...ิด...โ..ร...ค....ร...ะ..บ...า...ด...ข..อ...ง...ส....ตั ...ว..ป์....กี .......... อาการ .ม..ีอ...า...ก...า..ร...ค....ล...้า..ย...ไ..ข...้ห...ว...ัด...ใ..ห...ญ.....่ .โ..ด...ย...จ...ะ..ม...ีไ...ข..้ ..ม...ีน....�้า..ม...ูก... ..ป...ว...ด...ก....ล...้า..ม...เ..น...อื้... ..เ..จ...็บ...ค....อ... .ไ...อ...ม..ีเ..ส....ม..ห....ะ.. ..อ...ุจ...จ...า..ร...ะ..ร...ว่...ง....... .ป...อ...ด...อ...ัก...เ.ส....บ... ..เ.ย...่ือ...บ....ตุ ...า..อ...ัก...เ..ส...บ....................................................................................................................................... แนวทางการป้องกัน 1..... ..ห....ล...ีก...เ..ล...ยี่...ง...ก...า...ร...ส...ัม...ผ...สั....ส...ัต...ว..ป์....ีก...ท...่ีม...อี...า...ก...า..ร...ป....ว่ ..ย...ห...ร...อื...ต...า...ย.. ..แ...ล...ะ..ไ..ม...น่....า�..ส....ัต...ว...์ป...ีก...เ..ห...ล...า่...น....ัน้ ...ม...า..เ..ป...น็ ....อ...า..ห...า...ร... ......ห....า..ก...จ...า�...เ.ป...น็....ต...อ้...ง...ส...มั...ผ...สั....ใ..ห...ส้ ...ว..ม...ห....น...า้...ก...า..ก...อ....น...า..ม...ยั...แ...ล...ะ..ถ...งุ...ม...อื... ..ห...ล...งั...จ...า..ก...น....นั้....ใ..ห...ล้....า้ ..ง...ม..อื...ด....ว้ ..ย...น....า้� ..แ..ล....ะ..ส...บ....่ ู ทุกครงั้ หลงั การสมั ผัส................................................................................................................................................................................................. 2..... ..ร...บั....ป...ร...ะ..ท....า..น....เ.น....ื้อ...ส...ตั....ว..์ป...ีก...ห....ร..อื...ไ...ข..ท่...ีป่....ร...งุ ..ส....ุก...แ...ล...ว้.................................................................................................... 3..... ..ห....า..ก...ส....ง...ส...ัย...ว...า่ ..อ...า..จ...เ..ป...น็....ไ..ข..ห้...ว...ัด...น....ก... ..ใ..ห...้ร...บี....พ...า...ผ...ู้ป...ว่..ย...ไ..ป....พ...บ...แ...พ...ท....ย...์โ..ด...ย...เ..ร..ว็... ..แ..ล....ะ..ผ...ูท้ ...ีส่....ัม..ผ...ัส....ผ...ปู้ ...่ว..ย...อ...ย...่า..ง.... ......ใ...ก...ล...้ช...ิด...ค....ว..ร...ป...ร...ึก...ษ....า..แ...พ...ท...ย...์แ...ล...ะ..ส....ัง..เ..ก...ต....อ..า...ก. ..า..ร....................................................................................................... โรคเบาหวาน สาเหต ุ ค....ว..า..ม...ผ...ิด....ป...ก...ต....ขิ ..อ...ง...ฮ...อ...ร...โ์ ..ม...น...อ...ิน....ซ...ลู ...ิน....ซ...ง่ึ ...ม...ีป...จั ...จ...ยั ...เ.ส....ย่ี ...ง..ท....หี่...ล...า..ก....ห...ล...า...ย... .เ..ช...่น... ..ก....ร..ร...ม...พ....ัน....ธ.. ุ์ ..ภ...า..ว...ะ..อ...้ว..น.... .......... ข...า..ด...ก....า..ร...อ...อ...ก...ก...า�...ล...ัง...ก...า..ย... .. ..ห...ร...อื ...ก...า..ร...ท....า� ..ง...า..น....ข..อ...ง...ต...บั....อ..อ่...น....ท....ผ่ี ..ิด....ป...ก...ต.... ิ .. ................................................................. อาการ .ป...ัส....ส....า..ว..ะ...บ...่อ...ย...แ...ล...ะ...ป...ัส....ส...า..ว...ะ..จ...�า..น....ว..น....ม...า...ก... ....ก...ร...ะ..ห....า..ย...น....�้า.. ....ต...้อ...ง...ด...ื่.ม...น...�้า...บ...่อ...ย...ๆ... ....ก...ิน....จ...ุ ....ห...ิว...บ...่อ...ย...ก....ว..่า..ป....ก...ต... ิ .อ...่อ...น...เ..พ...ล...ยี... ..น....�้า..ห...น....กั ...ล...ด...ล....ง..อ...ย...่า..ง...ร...ว..ด...เ..ร...็ว.. ..เ.ป...น็....แ...ผ..ล....เ.ร...้อื ...ร..ัง... ..ม...ีอ...า..ก...า..ร...ค...ัน....ต...า...ม..ผ...วิ...ห...น...งั...ต...า...พ...ร...่า..ม...ัว.. ............. แนวทางการป้องกนั 1..... ..ล....ด...อ...า..ห....า..ร...จ...�า..พ....ว..ก...แ...ป...้ง... ..น.. .�า้...ต...า..ล.... .แ...ล...ะ...ไ..ข..ม...ัน........................ ...................................................... ............................... 2..... ..ร...บั....ป...ร...ะ..ท....า..น....ผ...ัก...แ...ล...ะ..ผ...ล...ไ..ม...้ ..แ..ล....ะ..ห...ล...กี....เ.ล....ี่ย..ง...ผ...ล...ไ..ม...้ท....ีม่ ...ีร...ส...ห...ว...า..น........................................................................... 3..... ..ร...บั....ป...ร...ะ..ท....า..น....อ...า..ห...า...ร...แ..ต....พ่ ...อ...เ.ห...ม...า...ะ.. ..ไ..ม...ม่ ...า..ก...เ..ก...ิน....ไ..ป.................................................................................................. 4..... ..อ...อ...ก....ก...�า..ล....งั ..ก....า..ย...อ...ย...่า..ง...ส...ม...�า่..เ..ส...ม...อ... ..พ...กั....ผ..อ่...น....ใ..ห....้เ.พ...ีย...ง...พ....อ......................................................................................... 5..... ..ร...กั....ษ...า...น...้�า...ห...น....กั ...ต...ัว...ใ..ห...เ้..ห...ม...า..ะ..ส....ม...ด...้ว..ย...ก....า..ร...ด...ูแ...ล...พ....ฤ...ต...กิ....ร..ร...ม...ก...า...ร..บ....ร...โิ..ภ...ค............................................................ 6...... .ห....ล...ีก...เ..ล...ย่ี...ง...พ...ฤ...ต....กิ ...ร...ร...ม...เ.ส....ี่ย..ง... ..เ.ช...่น.... ..ก...า..ร...ด...ม่ื....ส...รุ ...า.. ..ก...า..ร...ใ..ช...้ย...า..พ....ว..ก...ส....เ.ต....ีย...ร...อ..ย...ด.... ์ ..เ.ป...็น....ต...้น................................. 107 107
66แบบท´สอบËน‹Çยทèี 1 คำ�ชแéี จง ใหน้ กั เรáยีºนºเ·ล´ือÊกÍคº�ำ ตËอ¹º‹ÇÂท·่ี¶èÕÙก1ต้องทส่ี ดุ เ¾ียงคำ�ตอºเดียว 1. สกำ. เหอ¤ตุบÒí ใุªัตÕéáด¨เิเ§1หป.ãËตน็สก¹Œา.ุสเÑ¡หàอำÃตบุÕÂเใุ ¹ตัดหิเàเÅหปตÍ×ตน¡สุุส¤าำ� íÒเหµคÍตญัºสุ ·าํ ทคè¶Õ ัญÙ¡่ีสµทŒÍุดีส่ §ุด·ททÕÊè ี่ท่ีท´Ø าํàำ�¾ใหÕÂใค§ห¤นÒíค้ไµทนÍยºปไàว´ทยÕÂหÇยรปือเส่วียยชหวี ติ รือเสยี ชวี ิต ข. สโรุขคภตำิดพตขงคร.อ่..่ำแงสโขรุขอลกคภตะำกาดิ .โพยตรแรอลาคแงะลกเคระาโ.ยื้อรถครูกเรัง้ือตรังำ่ ตางงๆๆ ค. ง. ขอ้ ก2.. แสจาาลกเหระตายขุ งคอางน.กผาถปูรเวูกจย็บนปอว กยขขอองงสคถนาไนทบยรมกิ าากรทส่สีาธุดาครือณโรสคุขใดในป พ.ศ. 2552 โรคทีเ่ ปน 2. จำกรำยงำนกผ.ูป้ โว่รคยระนบบอหกายขใจองสถำนบริกำรสำธำรณสุข ในปี พ.ศ. 2552 โรคทีเ่ ป็น สำเหตุของกคขำ.. รโโเรรจคครรบ็ ะะบบปบบว่ยกอลยยาขมอาเอนห้ือางรคนไทยมำกทส่ี ดุ คอื โรคใด ก. โโรรคครระะ3.บบงขกบบ..อกหใโดรโลรคไำคมเ้ำยรรใิมชะมใบโจรเบคนไทหอื้่เีลกเดิวจียานกเลกือารดมเี พศสมั พนั ธข . โรคหนองใน ข. โโรรคครระะ4บ.บคกโบบร..คยไโเรอหHอ่คดIหลยVสดัเเอปเวยน ำอยีกหรลมนุมำนั เอรลากอื ารดของโรคทเี่ กดิ จากขงเ.ช. อ้ื โHไรว5ครNหสั 1ชดู นขดิาวใดสกุ ค. ง. 3. ขก.อ้ ใโดรคไมเร่ใมิช5.่โรกคข..อคใดทโHบเป่เี1สนกNแี ส1ดดิ ญังจลักำษกณกวันำเรอดมสีเโลพกศสัมพขงนั.. ธดGข์อ-.6ก-ปPอ -โปDรปค หนองใน ผฉูสบอบั น ค. โรคหดั 6เ.ยคเมอ.ื่อรเโชมบ้ือสันเีขอาชวไอวีเขาสูรางกายจนภูมิคุมกันงล.ดตดงํ่าอล.กงทมาาโนกรตๆคะวผหันูปูดวยขจะำ้ มวีโอสกากุ สติดเช้ือโรค 4. โรคเอดสเ์ ปน็แทกรลกซมุ่ อนอใำดกำรของโรคทเ่ี กดิ จำกเชือ้ ไวรสั ชนิดใด ข. ก. HIV ก. ไตวาย ง. เคขบวาา.หมวดาันHนโล5หNิตส1งู ค. เช้ือราขนึ้ สมอง 5. คข.้อใดHเป1น็N7ส1.ญั ขกข.อ.ลใดเักเหกไมษิดงื่อใเชชณอื้อออราก์วากมทันาารี่เกลเขเอ็บอมงดื่อมผเฝีูปสจาอว์โขยแลาโดรวดกคทแเี่ลอริ้นงดจสดั ง. G-6-P-D 1. ต อบ6 .ง . เกค ม1เส..น0่ือขุ ่อื8ภเงโโาชจพบบา ้ือกสส รปเีขีแวอัจมดำจถชบุวงึงคงไนัค..อวคาวไนนมอ้าํีเปไเหขทรลน้ือยอ้ำรักมดังสลสี ภดหูภ่รยั าาร่ใำยพนูปงใแรจตกาวหนงดอำผเลอบอยอ้งจมมมจาแกแาหนกวลงัณขะภพนึ้ไโรมูมฤ ค มตจปิคแีกิงึอรุ้เมรดงปรหน็กมรสกือันาปาขงเลรอห..ดดตด�าอใุรตกัหดดงเน้่�สำชออบา�วีลไิตกกปงทสปทม่เี ปโู่ อำรำลคนปีย่กตนตปๆดิ แตะปี อ่วลผแงนั ลไู้ปะปโ่ว ร ยสคเ่งจรผอื้ะลรมใงั ห ีโผ้ ปอูค้ รนกะขกำาอสดบกตกาบัิดรใมเสอี ช่ใบุ จื้อตั ดเิโหูแรลตค ุ 2 . ต อบ ก . แ จเทกาิดกรขรกึ้นาซยมงาอ้ ากนนมผาใยูป้ ดทว่ ย�าในหอเ้ กกิด กพา.ศรเ.จ 2บ็ 5ป5ว่2ย แขลอะงกสาถราตนายบขรอกิ งาครนสไาทธยารณสขุ พบว่าโรคระบบทางเดินหายใจถือเป็นสาเหตุของการ กเ.จบ็ ปไว่ตยวมาำเปย็นอันดับหน่งึ โดยตลอด และมีแนวโนม้ วา่ จะสขงู .ขึ้นเรเื่อบยำๆ หวำน 3 . ตอบ ค . ค ทเ.กุกดิ ขอเอ้ าชลก้วอ้ืานรรเคปำือ็นข โมรึน้ ไีคขสท ้ มเ่ี กผอดิ ่นื จง าแกลกะตาร่อมมีเนพ�้าศเสหลมั พอื งันโธต ์ ยกเว้นโรคงห.ดั เยคอรวมำันม ดเนนั ่ืองโจลาหกเปติ ็นสโูงรคตดิ ตอ่ ท่เี กดิ จากเชื้อไวรัสทา� ให้ 4 . ต อบ7 .ก . ข โไอ้ มรใ่สคดเาอมไดามรสถ์เ่ใปปช็น้อ่องกกำลันุ่กมออำนัารกตขารราอขยอจงงาผโกรู้ปโคร่วคที่ตเยกดิ โิดเรชจื้อคาอกเืน่เอชๆ้ือด ไหวสรรอื์ัสโ รคเอมชะไเอร็งวี บาซง่ึงชเปน็นิดไไดวร้ ัสที่ท�าให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง 5. ตอบ ก. ก โ.บสเีแกดงดิ เสชัญือ้ ลรักำษทณเี่์วลัน็บเอดมส์โีฝลก้ำ ขซำ่ึงวสท่ือใ่ลี หน้ิ้เห็นถึงความหวังในการหาวัคซีนเพ่ือรักษาโรค และเพื่อให้ผู้ติดเชื้อเอดส์ 6. ตอบ ค . ข มม.โีคี อณุ กเภหาสางพตอื่ชดิ ีวเอิตช้ือทอโ่ีดรกีขคนึ้มแทำรกกเซมอ้ นือ่ เเชจน่ อ เแชือ้ ดราดข้นึแสรมงอจงดั ไวรสั เข้าจอประสาทตา 7. ต อบ ข . ค อซ.า่งึ กผา้ปูนร่วเ้�ำยกจหดิ ะเมนชีออ้ื ัการกาลาทรดเี่ ลมาบ็ รก มปูนฝี อ้ รา้ ยขำ่ ขาง้นึวทผกลี่ับอนิ้ ภมเูมปิคแน็ ุ้มอหกาัน้งกขาอรไงขมอรงา่่มงผกปู้ีแาว่ รยยผงโรู้ปคว่ ยเอเอดงสใ์ นระยะท ี่ 3 เดมิ เรยี กระยะทม่ี อี าการสมั พนั ธก์ บั เอดส ์ 108 ง. ไอเร้ือรงั หำยใจหอบจำกวัณโรคปอดหรอื ปอดอกั เสบ 108
8. กำรคมุ กำ� เนิดด้วยวิธีใดท่ีช่วยปอ้ งกันโรคตดิ ตอ่ ทำงเพศสมั พันธ์ได้ ก. ใส่ห่วงอ8น. ำกกา.มรคัยใสุมหกวาํ งเนอิดนดามวยยั วธิ ีใดท่ชี วยปองกนั โรคตดิ ตอ ทางเพศสัมพันธได ข. นับวันปลอข.ดภนับัยวันปลอดภยั ค. กินยำคุมกคงำ�.. เนกใสนิ ถิดยงุ ายคาุมงกอาํนเานมดิ ยั 9. งข.้อใดใสเป่ถน็ ุงยคำว9งำ.อมขกขน..อเสใำดสเที่ยเมําปี่ยสงนยัวอ ตคสนวถท่อาาามนกงเเเสรพำิงี่ยศรรงมตเยอกกดิารโเกริดคโรเคอเอดดสส ์ ก. สเท�ำี่ยสวอ่ สนถ1ท0ำ.ำนโคงงร..เคเรใพใใดิงชชเศขหปรอนอมงงโรรนยควํ้ามต์สกิดาบัธตาอผรทูปณีม่ว ะยีกราวรมรกะบับาผดปู ไว ปยท่วั โลก ข. ค. ใชข้ องรว่ มคก..กบัโโรรคคผเไรขูป้ มิ ห ว่วดัยนก ข. โรคซิฟล ิส ง. โรคหดั เยอรมัน 10. งโร.คใใดชเห้ป็นอ้ งโร1น1ค.้ำ� ตสกปค..จดิำจธตสสัยัตตัใำ่อดววรทปเทลี่มณกื้อผีีม่ ยละคีกตลรอำา่วกนรามรรเกกะดิบับโรำผคดไู้ปขไห่วปวยัดทนกัว่ มโาขงลก..ทกี่สสสดุตััตววบคกรง่ึ น้าํ ครึ่งบก ก. โโรรคคเไรขิม้ห12ว.ัดกกฟนพ็.า งบกาเวนมา ือ้รมงูส กี อึกอ กวนาเตนนอ้ื เทอ่เีงตมาเี นลือมดจาแกลอะานกา้ํ าเรหดลงั อื กงลไงขาห.ว.ลเอปอน โกโอรรมากาคคจาซราหขกิฟหอัดงัวเโลินรยมคิสอใดเรมือ่มลนัองคลําเตานม ค. ผฉสู บอับน 11. ปัจจยั ใดท่มี ผี ลคขต.. อ่ เโตรกคา ำนมมะรเครเัดง็กเตดิ านโมรคไขห้ วัดนกมำกท่ีสุด ก. สสตัตั ววป์เ์ ลกี ือ้13ย. คคชง.อาลยบำมเวปกันมนมอจอี าาากกกาอารารกกไออานรแดหมังบปี กแรละหาจงวาํ เเปเดจนอื็บอนแานกนาบรขรอิเวงณโขงรหค..นใดาอสสกัตตั มวเีวส์บ์คมหกระงึ่ปนนเล�้ำือคดรใบง่ึ หบนกาและ ค. 12. กฟพ็้ำงบำวมำ่ รมู้สกี กึ อ้ 1ว4น่ำ. เตคกหน..นนอ้ืว วเเยนทัณอว้อื ดัโีเ่งงรคอตคมวกาำ้ เีมนลดนัือมโลดหจติ ำเแรกยี ลกอวะาำนอกะ้ำ�ไำรเรหดลงั ขงอื ก..งลโไมรำ่หะคเวหรล็งัวเรใอปะจบอน็ บกทอามำงเกำดินจำหรำาขกยใหอจ งวั โนรมคใดเม่อื ลองคลำ� เต้ำนม ก. เนือ้ งอก ก. เดซเิ บล ข. แคลอรี ค. มลิ ลิเมตรปรอท ง. มลิ ลกิ รมั 8 . ตอบ ง . คข ทก..าารงเปเโพอ้ตรศงคำ้สกนมัมนั พโมะรันเคคธรต์ไดั็งดดิ เ้อตตยอ่ ่าทำ้ งานมงปี เมพรศะสสทิ มั ธพิภนั าธพเ์ คปนอื็ ก การาปรใอ้ สง่ถกุงนั ยกาางรอรนบั าสมาัยรคดั หลงั่ เขา้ สรู่ า่ งกาย ซง่ึ วธิ ที ส่ี าม1าร0ถ9ปอ้ งกนั โรคตดิ ตอ่ 9. ต อบ ก . ง .โจรงึ คเปเเอ็นปดสสน็ า์เเกหอิตดำสุจกา�ากำคกัญรากอรยต่อา่ ิดงนหเชมน้ือึ่งแปี ทลรเ่ีะปกะ็นาจรค�ำแวพเาดมรเ่กสือร่ียนะงจตา่อยกเชาื้อรขเกองิดโโรรคคเเออดดสส์ซม์ ่ึงากอทยู่ใส่ี นดุ ส าเรพครัดาะหสลาั่งมขาอรงถผตู้ปิด่วตย่อ เชก้อื าไรดสโ้ �าดสย่อตนรงท า งเพศ 1110.. ตต ออ1บบ3 .ค ก.. ชค ปเโอำมรจั ือ่ยคบจ ไยัม วขพทห้ กัม.มี่วศผีมดั.2ลนจอี5ตกำ4่อำห7กกกราออืำรไำเรขกห้กไิดวอำโดั รรแใคหดหเญชงั ือ้บช่ กไนขแดิล้หหสว่ำัดาง้วยนพเกปเนั มจธ็นา็บ ์ุก อHทแ5ำ่ีสนNดุก1่น ำ ค บเรอืปข น็ร กอโิเรวางครณโสตรดิมั หคผตัสนอ่ใทกด้ำเ่ีับกอสดิ กัตกวา์ปรมีกระเีทบสี่ปาม่วดยไหหปรทะอื ว่ัปตโลานยก เ ลซหืองึ่รเอืรดกม่ิ ารใระบสบามั หดผทสันปี่สำ้ รงิ่ แะแเวทลดศะลไทอ้ มย 12. ต อบ ค . ก เท.นป่ี อ่ื นงวเจปณัา้ือกนเโปรเชน็ คื้ออไาวกราัสรดของั กงโลรา่ ควมะเรง็ เตา้ นมในเพศหญงิ โดยจขะเ.รมิ่ มโกี รอ้ คนเหนอวั้ื ทใเี่จตา้ นม หรอื มเี ลอื ด มนี า�้ เหลอื งออกจากหวั นม 1 143.. ตต ออ1บบ4 .งค .. คห กเใ.นปนา็นรร่วอวะเยดัยานกะควแอ้ืาวัดรรางกขมคออดวงันกมำโะลมเรหดง็ ิตรนัจะะบโถบลกู ทหบาันงิตเทดเึกนิรใยีหนาหกยนวใจ่ว่ำซยอ ง่ึ “จมะะลิไมลรอี เิามกตารรปทรช่ี องัดทเ.จ”น โจดมนยะตสเัวงั รเเลก็งขตรจเะหะบ็นบอไกบดคช้ ทดัวาดำมงังดทเนั ่กีดขลณินา่ วะหมหาวัำใยจบใจีบตวั และคลายตวั กต.ามลเดา� ดซับิเบล ข. แคลอรี ค. มิลลเิ มตรปรอท ง. มลิ ลกิ รัม 109 109
15. โรคใดถกู เรียกวำ่ “โรคมัจจุรำชเงยี บ” ก1.5. โโรรคคใดเถอกู ดเรสยี ก์ วา “โรคมจั จรุ าชเงยี บ” ข. โโขคกรร... คคโโโเมรรรบคคคะเเมำอบเะดรหาเรหส็งว็งวำานน ค. 16. ขง1.้อ6.ใดโงกขร.ค.อคใือดโไครคมอควือแคำำอสวกาดมากมงำดาอดรราันนัขขกโอาโลองรลหผใงดิตหูปผๆสวติงููป้ยอสทอว่ ี่เงูกยปมนทาโรี่เคปเบ็นาโหรวคานเบำหวำน ก. ไกคขง.ม..ิน่แปนกจินสวาํุ้ หดจหดกุนหงิวลักิวาอลบบมดำอ่อเนกยรยอ้ืปูกำกรวรเาาจวงใปบ็ ผด่ำกคอปตๆอมิ กอแไอออหตมนงอิ เีเสพอไกมมลอ่มมหยี นแีำะรเงพลยี ข. ค1.7. ปบุควคดลคกวลรมำ้ คี มวาเมนดื้อันโลเหจติ ็บปคกตอิอยไทู อีป่ มระีเมสาณมกหม่ี ะิลลเิ มตรปรอท ง. นคก..ำ�้ 1ห840น0/9/9ัก00ลด รปู ร่ำงผอมแห้ง ไงขม.. ม่ 1175แี 00ร//81ง000 17. บ1คุ8.คขลอ คใดวกรลมา วีคถึงวโำรคมเบดาันหวโาลนหไมิตถกูปตกอตง ิอย่ทู ปี่ ระมำณกม่ี ิลลเิ มตรปรอท ก. 18ขกค4...00/เมเ9กป/ปี9ดิ0น ร0จแมิ าผากลณคเวรนาอื้ ํ้ามรตังผาลดิ รใปักนกษเตลาหิขอื อดายงสฮยูงอาขกรนึ้ โแมมลนีอะาอถกินูกาซขรลูับคนิอันอตกามมผาทวิงขหา..งนปังส11ส75าว00ะ//81000 ผฉูส บอับน ค. 18. ขก1.อ้ 9.ใดเกงหก.ก.ากดิ ลเตตปจ่ำรอ น วำงวผจกกถลาAจครงึ nาทโวtกรiรbำคาoควบมdาวเyมผาบดตTดิ ำeันดิ sปหเขชtอกว้ืองเำตเอลนชิขอื ไดไออตมวงอีหถ่ฮผรนูกอืองัไตรมข์อโอ้ สมงงาหมนลาออรดถินเทลซรือาดลู บแินไดดงจสาูงกกสวิ่งา ใปดกติ ข. เขป. ็นตแรวผจลToเuรrื้อniรquังetรTักesษt ำหำยยำก มีอำกำรคนั ตำมผิวหนัง ค. มงค..ีปตตรรริมววจจำณUFarisนntein้�ำgตPBำreloลgonใdaนnSเcuลygaือTrดesสt งู ขึ้นและถูกขับออกมำทำงปสั สำวะ ง2.0. เโปรค็นติดผเลช้ือจคำลกามคิเดวียำมเปดนโนั รคขทอี่เกงดิ เจลากือเชดอ้ื ตชอ่นดิผใดนังของหลอดเลอื ดแดงสงู กว่ำปกติ 19. หก.ำกตตคขก...ร้อวงเเเชชชจกอ้ือื้้ือำรไแAวาบรรnคทสั ทtรiีเbรำียoบdวy่ำตTeดิ sเชt อื้ เอชไอวหี รือไม่ สำมำรถทรำบได้จำกส่ิงใด ข. ตง.รวเชจ้อื ปTรoสติurniquet Test 15.1 ต1อ0บ ง. ค .เน่ืองตจรากวจจะไFม่แaสsดtงinอาgกาBรใlดoๆo dออSกมuาg aแตr่จะตรวจพบโดยบังเอิญหากมีการตรวจร่างกายรวมท้ังการวัดความดันโลหิต 1 6. ต อ2บ0 .ข . โง ร.อโกครานิ คกตจนตา ุดิรี้จหรขงึเวิวอชถบงจกูอ่้อืโยเรรคกUคียวเลกาr่บปiวำnากา่ หม eต“ว มิเิาัจดอนอP่จทยี นุรr่ีพาเeพชบเลเgปไงยีดnียน็ ้บบaนโ่”อnา�้ รย หcแคนลyทกั ะลเีเ่หดกT็นอeิดยชา่ัดsจงเtรจำวนกด เเรคชว็ ือื้อเ ปชปน็ ัสนแผสดิลาเวใระดอื้ บร่องั ยรแกัลษะปาหัสาสยายวาะกเ ปม็นอี จาก�านารวคนนั มตาากม ผกวิ หรนะหงั ายตนาพ้�ารบา่ ่อมยวั 17. ต อบ ค . ก .โตดอ้ ยงไเเปปชทลอ้ื ่ยีั่วครนวำแาวมน่ ดตนั าโบลอ่ หยติ ๆจ ชะาอหยร่ทู ือป่ี ปรวะดมแาณสบ 1ป4ว0ด/ร9้อ0นบริเวณตามปลายน้วิ 1 189.. ตต ออบบ ง ก.. คข ..ทหหลากุ กงัขเเตอ้จชชล้อากง้วื้อือ้ นกไไแดาเปว้รรบ็นับทรคเรสัสชาาทอื้ บเแหวเีลต่าร้วตแุ ียอิดลาเะจชอใื้อาชเก้เอวาชลรไาขอหอวลงีหโารรยือคปไเมจี บ่ งึ าสปหราวมาากานรฏทถอ้ังทาสกริ้นาาบร สไยดดุกจ้ ทเาว้ากน้ ยกขซ้อางึ่ ร มงตีค.ร ว วาเจปมแ็นรอุนสนแาตรเหบิงตแอลขุ ดอะีตงท่อก�าเใาชหร้อื เ้เ สก ดิียหชโรรีวอืิตค ลคAงวnาtมibดoนั dโyล หTeติ sสt ูงโดย 20. ตอบ ค. ง .โรคตเชิดเ้อื ชื้อปครลสามติ เิ ดยี (Chlamydia) เปน็ โรคทีเ่ กิดจากเชอื้ แบคทีเรีย ซง่ึ ถือเปน็ โรคติดต่อที่เกดิ จากการมีเพศสัมพันธ์ 110 110
7˹Nj ·Õè ÊØ¢ÀҾ㹪ØÁª¹ ชมุ ชนแตละชมุ ชน ไมวาจะเปนชุมชนเมือง ชมุ ชนชานเมือง หรือชุมชนชนบท ผฉูสบอบั น ลวนมีลักษณะเฉพาะของปญหาที่แตกตางกันไป โดยเฉพาะปญหาสุขภาพ ซ่ึงนบั วนั ก็จะยง่ิ มีความซบั ซอนมากย่งิ ขึ้น การแกปญหาจึงมคี วามแตกตางกันในรายละเอยี ด แตส ง่ิ สาํ คญั ทจ่ี ะชว ยใหก ารแกป ญ หาสขุ ภาพชมุ ชนประสบความสาํ เรจ็ ได นน่ั คอื การ ดงึ ชมุ ชนใหเขามามีสวนรวมในการดูแลสขุ ภาพ เพราะจะกอใหเกดิ ความรูสกึ ผกู พนั และมคี วามกระตอื รอื รนในการชวยแกไ ขปญ หาเพอ่ื สรา งเสรมิ สขุ ภาพในชมุ ชนไดเ ปน อยางดี µÇÑ ªéÕÇÑ´ªé¹Ñ »‚ KEY QUESTION •มาตรรวฐบารนวมพขอ4ม.1ูลแ(มล.ะ3เ/ส3น) อแนวทางแกไ ขปญหาสขุ ภาพในชมุ ชน 1. ปญ หาสขุ ภาพภายในชมุ ชนสว นใหญ Ê••ÒÃปแÐนญ ¡วหÒทาÃาสàงÃขุแภÂÕกา¹ไ ขพÃปใÙŒáนญ¡ชห¹ุมาช¡สนขุÅภÒา§พในชุมชน เกดิ จากสาเหตใุ ด และมกั จะมปี ญ หา สุขภาพในเรือ่ งใด 2. การเก็บรวบรวมขอมูลดานสุขภาพ มคี วามจาํ เปน ตอ การแกป ญ หาสขุ ภาพ ในชุมชนอยางไร Teacher’s Guide ประเดน็ ทจ่ี ะศกึ ษาในหนวยน้ี ไดแ ก 1. แนวคดิ เกี่ยวกับสุขภาพชมุ ชน 2. ปญ หาสขุ ภาพในชมุ ชน 3. แนวทางแกไ ขปญ หาสขุ ภาพในชมุ ชน ทกั ษะการคดิ ทส่ี มั พนั ธก บั ตวั ชวี้ ดั ในหนว ยน้ี ไดแ ก 111● ทกั ษะกระบวนการคิดตดั สนิ ใจ
มฐ. พ 4.1 Teacher’s Guide ตวั ช้วี ดั ม. 3/3 ใหน ักเรยี นรว มกันอภปิ รายแนวคิดเก่ยี วกบั สุขภาพในชุมชน จากนน้ั ครูอธิบายเพ่มิ เตมิ เพ่ือนาํ ไปสูข อ สรปุ ท่ีถกู ตอ ง แลวใหน กั เรียนเขยี นสรปุ ผลการอภิปรายลงในกระดาษรายงาน 1. แนวคดิ เกย่ี วกบั สขุ ภาพชมุ ชน Teacher’s Guide สขุ ภาพชมุ ชน อาจเรียกอีกอยา่ งหนึ่งวา่ อนามัยชมุ ชน ครอู าจหารปู แบบ หมายถงึ ภาวะแหง่ การรวมเอาสขุ ภาพของบคุ คลตา่ งๆ ในชมุ ชน และขอมลู ตา งๆ เกย่ี วกบั เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั ซงึ่ สขุ ภาพอนามยั ของแตล่ ะบคุ คลจะดไี ดน้ น้ั ขนึ้ อยู่ การบริการทางสุขภาพ กบั สภาพแวดลอ้ มเปน็ หลกั โดยปจั จยั ทสี่ า� คญั ในการชว่ ยสง่ เสรมิ ในชุมชน เพ่ือใชเปนส่ือ ภาวะสุขภาพบุคคลในชุมชนให้ดี ได้แก่ การป้องกันโรคระบาด ในการเรียนรู ทอ่ี าจเกดิ ขึน้ ในชมุ ชน และการสขุ าภบิ าลที่ดีของชุมชน แตท่ ั้งนี้ การปอ้ งกนั โรคทอี่ าจเกดิ ขน้ึ ในชมุ ชนนน้ั ทง้ั นน้ั กต็ อ้ งอาศยั ความรว่ มมอื ของประชาชนในชมุ ชน จงึ จะทา� ให้ ถือเป็นปัจจัยส�าคัญในการช่วยส่งเสริม ผฉูสบอับน การชว่ ยสง่ เสรมิ ภาวะสขุ ภาพของบคุ คลในชมุ ชนประสบผลสา� เรจ็ ภาวะสขุ ภาพของบคุ คลในชมุ ชนใหด้ ขี น้ึ จากแนวคดิ ดงั กลา่ ว จะเหน็ ไดว้ า่ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ ในชมุ ชนนนั้ จา� เปน็ จะตอ้ งมคี วามร ู้ ความเขา้ ใจเบอ้ื งตน้ เกย่ี วกบั ชมุ ชนของตนเสยี กอ่ น เพราะชมุ ชนทม่ี ีความแตกตา่ งกัน กจ็ ะมี สภาพและความเหมาะสมในการจัดการสุขภาพชุมชนที่แตกต่าง กันออกไป โดยในการจัดการสร้างเสริมสุขภาพของชุมชนนั้น จะต้องด�าเนินการในลักษณะของการจัดการสุขภาพในชุมชน ท้ังระบบ ใน 3 ลกั ษณะ ดังแผนผงั เด็กควรรู ด�ำเนนิ งำน กำรจดั กำร ด�ำเนนิ งำน ในป พ.ศ. 2440 เปน็ ระบบ โดย พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ สขุสชรภุมำ้ งำชเสพนรมิของ จุลจอมเกลาเจาอยูหัว ออกแบบการจัดการสุขภาพ ชุมชนเอง ร.5 ทรงมีพระราชดําริ ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์แก่ เนน้ สรางสรรคความเจริญ ประชาชนทกุ “เรอื น” ทุก “บ้าน” ไม่ใช่ กำรจดั กำรท่ี การเปิดโอกาสให้ประชาชนในชมุ ชน ใหแกทองถ่ินในรูปแบบ สขุ ภำพโดยรวม มสี ว่ นรว่ ม และเปน็ ผกู้ ระทา� สว่ นใหญ่ หรอื ของการปกครองทาง เ กิ ด ผ ล ต ่ อ สุ ข ภ า พ ข อ ง บุ ค ค ล ใ ด มีบทบาทหน้าทใ่ี นการจดั การแก้ปัญหา ดานสุขาภิบาลข้ึน และ บุคคลหนงึ่ เพียงลา� พงั วันท่ี 18 มีนาคม พ.ศ. สขุ ภาพของชมุ ชนดว้ ยตนเอง 2448 ประเทศไทยจงึ มี สุขาภิบาลหัวเมืองขึ้น การรวมเอาสขุ ภาวะ เปนครั้งแรกท่ีจังหวัด ทางกาย จิตใจ สงั คม และสติปญั ญา สมุทรสาคร ในช่ือวา “สุขาภิบาลทาฉลอม” ตลอดจนส่ิงแวดล้อม เขา้ ด้วยกัน 112 112
Teacher’s Guide ครูอาจนําตัวอยางปญหาสขุ ภาพในชุมชน เพือ่ ใชเ ปนตัวนําไปยังข้ันตอน การศกึ ษาตอๆ ไป เชน ปญหาโภชนาการในชุมชน ซง่ึ อาจมผี ลจากเศรษฐกิจ การศึกษา เปน ตน 2. ปญั หาสุขภาพในชมุ ชน ชุมชนแต่ละชุมชนมักมีปัญหา เด็กควรรู สขุ ภาพท่แี ตกตา่ งกันออกไป คือ ประเทศท่ี ในชุมชนแต่ละชุมชนไม่ว่าจะเป็นชุมชนเมือง ชุมชน การสร้างเสรมิ สขุ ภาพในชุมชน ธรรมดาท่ัวไปที่ยังไมมี ชานเมือง หรือชุมชนชนบทก็ตาม ล้วนแต่มีปัญหาที่แตกต่าง จึงเป็นสง่ิ จ�าเปน็ ต่อการมภี าวะ อัตราของกิจกรรมดาน กนั ออกไป บางชมุ ชนอาจมปี ญั หาเรอื่ งของเศรษฐกจิ เปน็ สา� คญั สุขภาพทด่ี ีของคนในชุมชนนะครบั อุตสาหกรรมในระดับ ที่มากพอเมื่อเทียบกับ ในขณะท่ีบางชุมชนอาจมีปัญหาในเร่ืองของสุขภาพเป็นส�าคัญ ประชากร และยังเปน แตโ่ ดยทว่ั ไปแลว้ พบวา่ ในประเทศทก่ี า� ลงั พฒั นา มกั จะมรี ากฐาน ประเทศท่ีมีมาตรฐาน ปญั หาของชุมชนดว้ ยกัน 3 ประการ ซ่งึ มีความสัมพันธ์กันโดย การดํารงชีวิตต่ํา โดย ปญั หาหนงึ่ เปน็ รากฐานของอกี ปัญหาหนงึ่ ดงั แผนผงั จ ะ มี ค ว า ม สั ม พั น ธ ท่ี สอดคลองกันระหวาง การท่ีประชากรมีรายได ตา่ํ และมอี ตั ราการเพมิ่ ขนึ้ ของประชากรสงู ปัญหำ ปญั หำ IปญัTหำ ดำ้ นสขุ ภำพ สุขภำพในชมุ ชน ดำ้ นกำรศกึ ษำ ประชาชนทมี่ กั เจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรคตดิ เชอื้ ปัญหำ ประชาชนมกี ารศึกษาน้อย อัตราการรู้ ผฉสู บอับน และโรคไรเ้ ชอ้ื นนั้ สาเหตหุ นงึ่ อาจจะมา ด้ำนเศรษฐกิจ หนงั สือค่อนข้างต�า่ เนอื่ งจากอาจขาด จากความขาดแคลน หรอื ไมส่ ามารถ เด็กควรรู โอกาสในการศึกษาตอ่ ในระดบั สูง เปน ปญ หาสขุ ภาพ เขา้ ถงึ บรกิ ารสขุ ภาพทจ่ี า� เปน็ ได้ ที่บางคร้ังอาจไมไดเกิด จากภาวะความเจ็บปวย ประชาชนมฐี านะค่อนขา้ งยากจน ทางกายเพียงอยางเดียว ในขณะท่ีมอี ัตราคา่ ครองชีพในปัจจบุ นั แตอาจมีภาวะทางจิตใจ ค่อนขา้ งสูง ทา� ใหม้ รี ายได้ไมเ่ พียงพอ รวมดวย ซึ่งอาจมีผลมา จากปจจัยดานเศรษฐกิจ ตอ่ การด�ารงชีวิต สังคม และส่ิงแวดลอม ที่ทําใหแกปญหาสุขภาพ 2.1 วิธกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ด้านสุขภาพในชุมชน ไดยากขึ้น ท้ังน้ี ในการ รวบรวมขอมูลที่ดีจึงตอง การจะดา� เนนิ การแกไ้ ขปญั หาของชมุ ชนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม มคี วามระมดั ระวงั ในบาง โดยเฉพาะในสว่ นของปญั หาทางดา้ นสขุ ภาพทมี่ คี วามซบั ซอ้ นน้ัน รายละเอียดที่อาจสงผล จ�าเป็นที่จะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพของชุมชน กระทบตอจติ ใจได กอ่ นในเบือ้ งตน้ เพ่อื ท่จี ะได้สามารถระบุปญั หาสุขภาพไดอ้ ยา่ ง ถูกต้อง ซ่งึ วิธีการท่ีใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มูลโดยทัว่ ไปนั้น มีดงั นี้ IT 113 113
Teacher’s Guide ใหนักเรียนศึกษาวิธีการเก็บรวบรวมขอมูลดานสุขภาพในชุมชน จากน้ันใหนักเรียนแบง กลมุ กลมุ ละ 8-10 คน โดยสมมตแิ ตละกลมุ เปน 1 ชุมชน ใหตัวแทนกลมุ กลุมละ 4-5 คน ออกไปเกบ็ รวบรวมขอ มลู ดา นสขุ ภาพในชมุ ชนจากเพอ่ื นตา งกลมุ ซงึ่ แสดงเปน ชมุ ชนสมมติ โดยใชก าร สังเกต การสมั ภาษณ การทําแบบสอบถาม (รว มกนั ออกแบบสอบถามในกลุม) 1) การสังเกต เป็นวธิ กี ารเกบ็ รวบรวมข้อมลู เกยี่ วกับบุคคล หรือสถานการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนเป็นปกติวิสัย หรือเกิดขึ้นทันที ทันใดเป็นพิเศษ ซึ่งวิธีน้ีต้องอาศัยประสาทสัมผัสของผู้สังเกต เปน็ หลกั จงึ ตอ้ งมขี อ้ กา� หนดหรอื เงอื่ นไขสา� หรบั ใชใ้ นการสงั เกต เดก็ ควรรู และผู้สังเกตก็จะต้องมีความต้ังใจ มีประสาทสัมผัสท่ีดี และมี มขี อ ดี คอื สามารถ ความสามารถในการรับรู้หรือส่ือความหมายได ้ ท้ังนี้ผู้สังเกตจะ ทราบขอมูลไดโดยไม ต้องกระท�าอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ให้ผู้ถูกสังเกตทราบได้ว่า ผู้สังเกตจะต้องใช้ทักษะในการสังเกต ตองอานสัญลักษณจาก ก�าลงั ถูกเกบ็ ข้อมูลอย ู่ เพราะอาจทา� ใหไ้ ด้คา� ตอบซึ่งเปน็ ขอ้ มลู ที่ โดยไม่ให้ผู้ถูกสังเกตทราบ เพ่ือให้ได้ การกระทาํ หรอื พฤตกิ รรม ผดิ เพยี้ นไปจากความเป็นจริง ข้อมลู ที่ตรงตามความเป็นจริง แตผูสัมภาษณก็ตองมี ทักษะการสังเกตควบคู 2) การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วย กันไป เพื่อใหแนใจวา การสนทนาอยา่ งมจี ดุ มงุ่ หมาย โดยกา� หนดวตั ถปุ ระสงค์ไวล้ ว่ งหนา้ ขอมูลมาจากความรูสึก ซงึ่ เป็นวิธีท่ีช่วยให้ได้รายละเอียดของข้อมูลอย่างตรงเป้าหมาย ที่แทจริง โดยไมมีการ ทั้งน้ตี ้องอาศยั เวลาและความสามารถของผ้สู มั ภาษณ์เปน็ ส�าคญั ปดบังซอนเรน ขอ มลู โดยในการสมั ภาษณน์ นั้ จะตอ้ งมเี ครอ่ื งมอื ประกอบการบนั ทกึ ขอ้ มลู ซ่ึงอาจเป็นแบบสอบถาม หรือแบบส�ารวจ หรือแบบสัมภาษณ์ ผฉูส บอบั น ทต่ี งั้ คา� ถามทตี่ อ้ งการไว ้ และใหผ้ สู้ มั ภาษณบ์ นั ทกึ ขอ้ มลู ทไ่ี ดร้ บั ลงไป โดยกอ่ นการสมั ภาษณ ์ ผสู้ มั ภาษณจ์ ะตอ้ งศกึ ษาเครอื่ งมอื ใหเ้ ขา้ ใจ เดก็ ควรรู และแปลความหมายของคา� บางคา� ใหต้ รงกนั ซง่ึ บางครงั้ อาจตอ้ ง ในการออกแบบ มีคูม่ อื อธบิ ายการใชป้ ระกอบการสมั ภาษณ์ไว้ด้วย แบบสอบถามควรคํานึง 3) แบบสอบถาม เป็นเครือ่ งมอื รวบรวมขอ้ มูลทน่ี ยิ มใชก้ ัน ถึงวิธีนําไปใช เนื่องจาก มากที่สุด โดยเฉพาะในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับความ แบบสอบถามนั้นถือเปน คดิ เหน็ ความสนใจ หรอื ทศั นคต ิ ซงึ่ การใชแ้ บบสอบถามอาจจะใช้ เครอ่ื งมอื ในการสมั ภาษณ โดยการนา� ไปซกั ถามหรือสัมภาษณ ์ หรอื ให้ผทู้ ี่ท�าแบบสอบถาม และใชสํารวจดวยตนเอง กรอกขอ้ มลู ลงในแบบสอบถามเอง ดังน้ัน จึงควรเลือกใช 4) แบบทดสอบ เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการใช้ ใหเหมาะกับสถานการณ เครื่องมืออย่างใดอย่างหน่ึงมาทดสอบกับผู้ท่ีต้องการให้ข้อมูล และบุคคล วัตถุประสงค ซ่ึงส่วนใหญ่เครื่องมือดังกล่าวน้ันจะเป็นชุดค�าถามที่สร้างข้ึนมา ทีก่ ําหนดไว โดยเฉพาะ มักใช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทางพฤติกรรมในดา้ น การใช้แบบสอบถามหรือแบบทดสอบ ความร ู้ ความจา� ความถนดั สตปิ ญั ญา รวมทงั้ การวดั สภาพจติ ใจ ผู้สัมภาษณ์จะต้องศึกษาเคร่ืองมือให้ ของบคุ คล เข้าใจ เพ่ือที่จะได้น�ามาทดสอบให้ได้ รายละเอยี ดของขอ้ มลู อย่างถกู ตอ้ ง 114 114
2.2 การวิเคราะหป์ ญั หาสุขภาพชุมชน ลับสมอง เด็กควรรู เม่ือเก็บรวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพของชุมชนได้แล้ว การวิเคราะห์ปัญหาสขุ ภาพชุมชน องคการอนามัย ขั้นตอนต่อไปคือ การวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพชุมชน โดยเน้นท่ี มคี วามสา� คญั อย่างไร โลกใช 4 องคประกอบ ปัญหาที่มีความส�าคัญ หรือมีความเร่งด่วนท่ีจะต้องด�าเนินการ สาํ หรับพิจารณา ไดแก แกไ้ ขใหล้ ลุ ว่ งกอ่ นมาเปน็ อนั ดบั แรก ซง่ึ กระบวนการในขน้ั ตอนนี้ 1. เทคโนโลยีที่ใช เรยี กวา่ “การจดั ลา� ดบั ความสา� คญั ของปญั หาสขุ ภาพชมุ ชน” โดย ในการแกปญหา ไดแก มีวิธกี ารทแี่ ตกตา่ งกนั ออกไป ตวั อย่างเช่น มีวิธีการที่ไดผลในการ 1) วิธีท ่ี 1 การใช้สมาชิกในกลุ่มหรอื ทีมตัดสนิ ซึ่งมีวิธีการ IT ลดปญ หา บคุ คล และเงนิ คอื เม่ือไดป้ ัญหาต่างๆ มาแลว้ ใหส้ มาชกิ ทุกคนมาอภปิ รายถงึ พรอ มทจ่ี ะนาํ ไปใชห รอื ไม ปญั หาเหล่าน้นั โดยละเอียดว่า มคี วามส�าคัญตอ่ ชุมชนมากน้อย สามารถแกปญหาได เพยี งใด มผี ลดผี ลเสยี ในการดา� เนนิ การแกป้ ญั หาเหลา่ นน้ั อยา่ งไร หลายดานหรือไม ตลอดจนความสามารถหรอื ความเปน็ ไปไดท้ จี่ ะแกป้ ญั หานน้ั ๆ ให้ 2. ขนาดของปญ หา เป็นไปตามระยะเวลาทกี่ า� หนด จากนน้ั ด�าเนินการ ดังนี้ ไดแก ความชุกของ 1. แจกบัตรออกเสียงแก่สมาชกิ ท่ีมีสิทธอิ อกเสยี ง การปว ยตาย ความรนุ แรง 2. กา� หนดเลขประจ�าปญั หาแตล่ ะปัญหา ของโรค การแพรก ระจาย 3. ให้สมาชิกเลือกปัญหาท่ีมีความส�าคัญมากที่สุด การขาดแคลนผบู รกิ าร โดยเรยี งลา� ดบั จากมากไปนอ้ ย แลว้ สง่ ใหป้ ระธานกลมุ่ รวมคะแนน 3. การยอมรับของ สงั คม ไดแ ก ความสาํ คญั ตอพื้นท่ีและการยอมรับ ของชมุ ชน ผลกระทบตอ กลุมคน ปญหาของกลุม และพ้นื ท่ี 4. ความเปนไปได ในการสนับสนุน และ ความสนใจของหวั หนา ผฉสู บอับน จากนนั้ ใหป้ ระธานกลมุ่ นา� คะแนนรวมมาแสดงใหแ้ กส่ มาชกิ ทราบ เม่ือเก็บรวบรวมข้อมูลทางด้านสุขภาพของชุมชนได้แล้ว การวิเคราะห์ปัญหาจึงเป็นขั้นตอนส�าคัญที่จะช่วยให้ทราบว่า ควรดา� เนินการแกไ้ ขปัญหาใดให้ลุล่วงก่อนเป็นอนั ดับแรก 115 115
เด็กควรรู เด็กควรรู นอกจากหมายถงึ หมายถึง อันตรายหรือผลเสียตอสุขภาพในเร่ืองของอัตราการตายหรือ จํานวนของปญหาแลว ความทุพพลภาพของปญ หาที่เกิดข้นึ เหลา นน้ั ยงั รวมถงึ การแพรก ระจาย ของปญ หาตา งๆ อีกดวย 2) วิธีท่ี 2 การก�าหนดคะแนนตามองค์ประกอบ โดยมี องคป์ ระกอบ 4 องคป์ ระกอบ ซึง่ ในแตล่ ะองค์ประกอบให้คะแนน จาก 0 - 4 หรอื 1 - 5 ก็ได้ จากนัน้ รวมคะแนนที่ได้ทัง้ หมด แล้ว น�ามาเรยี งล�าดับจากคะแนนที่ไดส้ งู สดุ ลงมา โดยองค์ประกอบท่ี น�ามาพจิ ารณานนั้ ไดแ้ ก่ IT ขนำด ควำมรนุ แรง ของปญั หำ ของปัญหำ ผฉสู บอบั น พจิ ารณาถงึ ปญั หาหรอื โรคทเี่ กดิ พจิ ารณาถงึ ปญั หาวา่ เดก็ ควรรู ในชมุ ชนนนั้ ๆ วา่ เมอื่ เกดิ ขน้ึ จะมผี ปู้ ว่ ย ถา้ เกดิ ขน้ึ แลว้ จะทา� ใหม้ อี ตั ราการตาย หมายถึง การ หรอื ผปู้ ระสบปญั หาเทา่ ไร (ถา้ เปน็ หรอื ความทพุ พลภาพมากนอ้ ยเพยี งไร สูญเสียอวัยวะ สูญเสีย ทา� ใหเ้ กดิ ผลเสยี แกค่ รอบครวั ชมุ ชน สมรรถภาพของอวัยวะ โรคตดิ ตอ่ สามารถตดิ ตอ่ หรอื และประเทศชาตใิ นดา้ นเศรษฐกจิ หรือของรางกาย หรือ แพรก่ ระจายงา่ ยหรอื ไม่ มแี นวโนม้ สูญเสียสภาวะปกติของ อยา่ งไรบา้ ง จติ ใจ จนไมสามารถทีจ่ ะ ของโรคเปน็ อยา่ งไร) ทาํ งานไดตามปกติ ควำมยำกงำ่ ย องคป์ ระกอบ ในกำรแกป้ ญั หำ กำรวขเิ อคงรำะห์ ควำมสนใจ พจิ ารณาวา่ มคี วามรดู้ า้ นวชิ าการ ควำมร่วมมือ ในการนา� มาใชแ้ กป้ ญั หาไดห้ รอื ไม่ บคุ ลากร หรอื ควำมวติ กกังวล งบประมาณ วสั ดอุ ปุ กรณ์ วธิ กี ารดา� เนนิ การ ตอ่ ปัญหำ นโยบายของผบู้ รหิ ารมสี ว่ นสนบั สนนุ หรอื ไม่ ของชมุ ชน รวมทงั้ มรี ะยะเวลาเพยี งพอทจ่ี ะแกไ้ ข พจิ ารณาวา่ ประชาชนภายในชมุ ชน ปญั หานน้ั หรอื ไม่ เหน็ วา่ ปญั หาตา่ งๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ มคี วามสา� คญั หรอื ไม่ มคี วามวติ กกงั วล หรอื สนใจ หรอื ตอ้ งการทจี่ ะแกไ้ ขปญั หา ทเ่ี กดิ ขนึ้ หรอื ไม่ 116 116
เดก็ ควรรู เปนอกี หน่ึงโรคทีไ่ มต ดิ ตอแตร ายแรง ซึ่งเปนสาเหตุของ การเจบ็ ปว ยและการเสยี ชวี ติ ของคนไทยในปจ จบุ นั นบั เปน ปญ หา ทต่ี อ งไดรบั การแกไ ขอยา งเรง ดวน เมอ่ื ไดค้ ะแนนขององคป์ ระกอบทง้ั สมี่ าแลว้ ใหน้ า� คะแนน การวิเคราะห์ปัญหา เป็นการ มารวมกัน ซึ่งอาจจะท�าได้โดยการบวกหรือการคูณในแต่ละ วเิ คราะหข์ อ้ มูลตามสภาพจรงิ องค์ประกอบก็ได้ จากนั้นให้เรียงล�าดับความส�าคัญของปัญหา ในชมุ ชน โดยเน้นปัญหาที่มีความ โดยพิจารณาจากคะแนนรวม ซ่ึงปัญหาใดที่มีคะแนนรวมมาก สา� คญั ทีจ่ ะตอ้ งด�าเนินการแก้ไข เด็กควรรู ให้ลลุ ่วงกอ่ นเปน็ อนั ดบั แรกนะครบั มกั จะไมม อี าการ แสดงใหเห็น เปนสาเหตุ คือ ปัญหาที่มีความส�าคัญมากที่สุด จ�าเป็นท่ีจะต้องด�าเนินการ ทาํ ใหห ลอดเลอื ดแดงแขง็ แกไ้ ขโดยเร่งด่วน และตบี และตอ มาจะทาํ ให ตวั อยา่ ง การจดั ลา� ดบั ความสา� คญั ของปญั หาโดยวธิ กี าร เกิดโรคหัวใจขาดเลือด ก�าหนดคะแนนตามองคป์ ระกอบ หรือเกิดโรคสมองขาด จากการส�ารวจข้อมูลของชุมชนสวยใส พบว่ามีปัญหา เลือด ด้านสุขภาพท่ีส�ารวจพบ 5 ปัญหา คือ ปัญหาโรคเบาหวานใน ผู้สูงอายุ ปัญหาโรคความดันโลหิตสูง และปัญหาโรคไขมันใน เลือดสูง ปัญหาแหล่งน้�าเสื่อมโทรม ปัญหาอุบัติเหตุในชุมชน ชาวบา้ นจงึ ไดด้ า� เนนิ การประชมุ รว่ มกนั และจดั ลา� ดบั ความสา� คญั ของปญั หาสขุ ภาพของชุมชนสวยใสได้ ดงั ตาราง ITขนำด ควำมรนุ แรง ควำมยำกงำ่ ย ของปญั หำ ของปญั หำ ในกำรแกป้ ญั หำ ปัญหำ ควำมสนใจ รวมคะแนน ลำ� ดบั ผฉูส บอบั น ของชมุ ชน 2 1. โรคเบาหวาน 3 3 2 3 11 2. แหล่งน้า� 2 2 3 2 94 เสอ่ื มโทรม 3. อุบัติเหตุ 3 4 4 4 15 1 Teacher’s Guide 4. โรคความดนั 1 3 2 4 10 3 ใหนักเรียนสรุป โลหติ สงู หลกั การวเิ คราะหป ญ หา สขุ ภาพภายในของชมุ ชน โดยใชรูปแบบท่ีสามารถ 5. โรคไขมนั 2 2 2 2 8 5 เขา ใจงา ย เพอ่ื เผยแพร ในเลอื ดสงู ความรแู กบคุ คลทว่ั ไป จากตารางวิเคราะห์ข้างต้นน้ัน พบว่าชุมชนสวยใส มีปัญหาเร่งด่วนที่ต้องด�าเนินการแก้ไขก่อนเป็นอันดับแรก คือ ปัญหาอุบัติเหตุในชุมชน รองลงมาคือ ปัญหาโรคเบาหวานใน ผู้สูงอายุ และปัญหาแหล่งน้�าเส่ือมโทรม ตามล�าดับ ซึ่งเมื่อได้ ทราบปญั หาส�าคญั ของชุมชนแล้ว จึงดา� เนินการวางแผนในการ แก้ปญั หาสขุ ภาพชุมชนตอ่ ไป 117 117
Teacher’s Guide ครูแบง นักเรียนออกเปน 2 ทมี เพอ่ื ใหแตละทีมนั้นสงตัวแทนออกมาทมี ละ 3 คน โตวาที ในญตั ติ “ปญหาสุขภาพชุมชนเมืองรายแรงกวาชุมชนชนบท” โดยใหท ง้ั สองทีมมาจับสลากเพื่อ เลอื กหัวขอ 2.3 ลักษณะของปัญหาสขุ ภาพชุมชน ปัญหาสุขภาพของชุมชนในแต่ละชุมชนน้ัน ล้วนแต่ เด็กควรรู มคี วามแตกต่างกนั ออกไป ดังนี้ ชมุ ชนเมอื งมกี าร 1) ปัญหาสุขภาพของชุมชนเมือง จะมีลักษณะที่เป็น ปลอ ยแกส พษิ ในปรมิ าณ เอกลกั ษณ์เฉพาะตวั ทแ่ี ตกตา่ งจากชมุ ชนอื่นๆ ดังนี้ มาก สงผลใหเกิดมลพิษ 1.1) ปัญหาสิ่งแวดล้อม ท้ังในส่วนท่ีเป็นมลพิษทาง ทางอากาศ ทั้งยังทําให อากาศ มลพษิ ทางน้า� รวมถึงมลพษิ ทางเสยี ง ฝนทตี่ กลงมามคี วามเปน 1.2) ปญั หาทอ่ี ยอู่ าศยั ซง่ึ มสี าเหตมุ าจากการมปี ระชาชน ปัจจุบันปัญหาแหล่งน�้าเน่าเสียยังคง พษิ อีกดวย เป็นปัญหาส�าคัญของคนในชุมชนเมือง ทยี่ งั แกไ้ มห่ าย ซง่ึ นบั วา่ เปน็ บอ่ เกดิ ของ ผฉูสบอับน อยู่เป็นจ�านวนมาก พื้นที่ในการต้ังบ้านเรือนไม่เพียงพอเกิด ปัญหาต่างๆ มากมาย ความแออัดของประชากร มีการต้ังบ้านเรือนไม่เป็นระเบียบ เดก็ ควรรู แบบแผน ก่อให้เกิดปัญหาในเร่ืองผังเมือง และการให้บริการ เปนบอเกิดของ สาธารณปู โภคท่จี �าเปน็ ไม่เพียงพอ เกิดปัญหาชมุ ชนแออัด ปญ หาในดา นสงิ่ แวดลอ ม 1.3) ปญั หาดา้ นอาชญากรรม เนอื่ งจากชมุ ชนเมอื งเปน็ หลากหลายดาน เชน ศนู ยร์ วมของคนจ�านวนมากทม่ี พี นื้ ฐานดา้ นเศรษฐกจิ และสงั คมท่ี ความสกปรกภายในชมุ ชน แตกต่างกัน ซึ่งมีการแข่งขันด้านวัตถุสูง มีสภาพทางสังคมท่ี มลภาวะเปนพิษอันเน่ือง ครอบครวั จา� นวนมากขาดความอบอุ่น สภาพความสลับซับซอ้ น มาจากยานพาหนะตา งๆ ของสงั คม การสอดสอ่ งดแู ลจากเจา้ หนา้ ทท่ี า� ไดใ้ นขดี จา� กดั ทา� ให้ มลภาวะทางนา้ํ เนอื่ งจาก ปัญหาอาชญากรรมทวีจ�านวนและความรุนแรงเพิ่มขึ้นเร่ือยๆ ไมมีท่ีบําบัดนํ้าเสียและ 1.4) ปัญหาด้านสุขภาพ พบว่าประชาชนท่ีอยู่ในเขต การทง้ิ ขยะในแมน าํ้ ภาวะ ชมุ ชนเมอื ง มปี ญั หาสขุ ภาพทสี่ า� คญั คอื โรคทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ระบบ ขยะลน เมอื ง เปนตน ทางเดินหายใจ โรคไร้เช้ือต่างๆ เช่น โรคหวั ใจและหลอดเลือด โรคความดนั โลหติ สงู โรคเบาหวาน โรคมะเรง็ ปญั หาจากโรคตดิ เชอื้ ที่สา� คัญ เช่น โรคเอดส์ วัณโรค รวมถงึ การมีพฤตกิ รรมเส่ยี งต่อ สขุ ภาพ เช่น ภาวะทุพโภชนาการ การไม่มเี วลาออกก�าลงั กาย การพักผ่อนไมเ่ พยี งพอ การดมื่ สรุ า การใชส้ ารเสพติด เป็นตน้ 1.5) ปญั หาดา้ นสงั คม เชน่ ความรนุ แรงในครอบครัว การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ การท�าแท้ง การติดสารเสพติด การหยา่ ร้าง การว่างงาน ภาวะการมีหน้สี นิ มาก เป็นตน้ จากการด�าเนินชีวิตท่ีเร่งรีบของคนใน 1.6) ปญั หาดา้ นอน่ื ๆ เชน่ สาธารณปู โภคไม่เพียงพอ ชมุ ชนเมอื ง ประกอบกบั การมพี ฤตกิ รรม การจราจรตดิ ขดั เป็นต้น สขุ ภาพที่ไมถ่ กู ตอ้ ง สง่ ผลใหเ้ กดิ ปญั หา สขุ ภาพตา่ งๆ ขน้ึ ได้ 118 เดก็ ควรรู 118 ที่พบมากท่สี ุดในประเทศไทย เรยี งตามลาํ ดบั ไดแก มะเร็งตบั มะเรง็ ปากมดลกู มะเร็งเตานม มะเรง็ ปอด และมะเรง็ ลําไสใ หญ
เด็กควรรู เปน พน้ื ทท่ี อี่ ยรู อบๆ เมอื ง มปี ระชากรอาศยั อยรู ว มกนั หนาแนน นอ ยกวา เมอื งแตม ากกวา ชนบท ประชากร ในเขตชานเมอื งสามารถมาทาํ งานทเี่ มอื งแบบไปกลบั ได ถงึ แมว า เขตชานเมอื งจะแยกการปกครองจากเขตเมอื ง แตกย็ ังพง่ึ พาอาศัยระบบเศรษฐกิจจากเมอื งอยบู าง 2) ปัญหาสุขภาพของชุมชนชานเมือง โดยส่วนใหญ่จะ ลบั สมอง มีความใกล้เคียงกับชุมชนเมือง เนื่องจากการคมนาคมและ การขนสง่ ทมี่ คี วามสะดวกสบายมากขนึ้ ทา� ใหเ้ กดิ การเคลอื่ นยา้ ย ชมุ ชนในลกั ษณะใดทนี่ ่าจะมปี ญั หา ของประชาชนจากในเขตเมืองสู่เขตชานเมือง ซ่ึงลักษณะของ สุขภาพชุมชนมากท่สี ดุ เพราะเหตุใด ปัญหาสุขภาพส่วนใหญ่จะมีความคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็น ปญั หาเรอ่ื งอาชญากรรม ปญั หาเรอื่ งสารเสพตดิ ปญั หาสขุ ภาพ Teacher’s Guide และปัญหามลพิษต่างๆ ที่เพ่ิมขึ้น เนื่องจากมีการขยายตัวของ ใหน กั เรยี นรว มกนั อตุ สาหกรรม อภปิ รายวา ภายในชมุ ชน บรเิ วณโรงเรยี น มปี ญ หา 3) ปัญหาสุขภาพของชุมชนชนบท ปัญหาสุขภาพของ สุขภาพชุมชนดานใดบาง ชมุ ชนชนบทจะมลี กั ษณะเฉพาะทแี่ ตกตา่ งกนั ออกไป โดยปญั หา และมีวิธีการแกไขปญหา สว่ นใหญ่ท่พี บ มดี ังนี้ ไดอยางไร 3.1) ปญั หาดา้ นเศรษฐกจิ เนอ่ื งมาจากชมุ ชนชนบท ผฉูสบอับน ส่วนใหญ่ยังคงเป็นสังคมเกษตรกรรม ปัญหาการเสื่อมคุณภาพ ของดิน การขาดเคร่ืองมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ เดก็ ควรรู ขาดแหล่งนา้� เพอื่ เพาะปลูก ขาดท่ที �ากิน ขาดเงนิ ทุนและสนิ เชือ่ ในชุมชนชนบท ตลอดจนขาดความรู้ทางด้านการตลาด และระบบการจัดการที่ มักจะมีปญหาสุขภาพ เหมาะสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานของปัญหาท่ีก่อให้เกิด ที่สวนใหญเกิดมาจาก ความยากจนในชุมชนชนบท และความยากจนก็ส่งผลกระทบ ก า ร ข า ด ก า ร รั ก ษ า ท่ี ให้เกดิ ปญั หาสุขภาพตามมา เหมาะสม หรอื การละเลย ในการไปพบแพทยเมื่อ เจ็บปวย อีกท้ังยังมีผล เนื่องจากปญหาชุมชน ดา นอน่ื เชน เศรษฐกิจ สังคม เปนตน เนอ่ื งจากชมุ ชนชนบทสว่ นใหญเ่ ปน็ สงั คมเกษตรกรรม ดงั นน้ั ปญั หาในชมุ ชนทเ่ี กดิ ขน้ึ จงึ มกั เปน็ ปญั หาIทาTงดา้ นเศรษฐกจิ ซง่ึ กอ่ ให้ เกดิ ความยากจน โดยอาจสง่ ผลกระทบใหเ้ กดิ ปญั หาสขุ ภาพตามมา 119 119
3.2) ปญั หาทางดา้ นสงั คม จากภาวะความยากจนทา� ให้ ประชาชนในชมุ ชนชนบทตอ้ งกเู้ งนิ ทง้ั ในระบบและนอกระบบ จน ทา� ใหเ้ กิดปญั หาหนีส้ นิ ขน้ึ ซึง่ ความยากจนก่อใหเ้ กิดปญั หาทาง เดก็ ควรรู สงั คมอน่ื ๆ ตามมา เชน่ ปญั หาดา้ นการศกึ ษา ปญั หาดา้ นสขุ ภาพ หนวยงานท่ีมี รวมถงึ ปัญหาอาชญากรรมต่างๆ บทบาทในการจดั บรกิ าร 3.3) ปัญหาด้านสุขภาพ พบว่าประชาชนในชนบท สุ ข ภ า พ ข อ ง รั ฐ คื อ มีปัญหาสุขภาพที่ส�าคัญคือ โรคติดเช้ือต่างๆ เช่น โรคระบบ กระทรวงสาธารณสขุ ซงึ่ ทางเดนิ อาหาร โรคระบบทางเดนิ หายใจ รวมถงึ โรคไรเ้ ชอ้ื ตา่ งๆ ปญั หาสขุ ภาพอยา่ งหนงึ่ ของคนในชมุ ชน จาํ แนกเปน 2 สว น ไดแ ก ชนบท คอื การจดั บรกิ ารสขุ ภาพทไี่ มท่ ว่ั ถงึ การจัดบรกิ ารสุขภาพใน เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง เบาหวาน สง่ ผลใหป้ ระชาชนไมไ่ ดร้ บั บรกิ ารเทา่ ทคี่ วร สวนกลาง และการจัด มะเรง็ อบุ ตั เิ หต ุ และความเครยี ดทเี่ พม่ิ สงู ขน้ึ เปน็ ตน้ นอกจากน้ี บริการสุขภาพในสวน แล้วยังพบว่าประชาชนในชนบทนั้นมีพฤติกรรมเส่ียงต่อสุขภาพ ภูมิภาค มีหนวยงาน เชน่ ภาวะทพุ โภชนาการ การไมอ่ อกก�าลงั กาย การดมื่ สรุ า และ ยอ ยทค่ี อยทาํ หนาท่ี เชน การใชส้ ารเสพติดทีเ่ พ่มิ มากข้ึนด้วยเช่นกนั กรมอนามยั ศนู ยอ นามยั 3.4) ปัญหาการจัดบริการสุขภาพของรัฐ การบริการ ศูนยบริการสาธารณสุข สุขภาพของรัฐที่มีต่อประชาชนในชุมชนชนบท ในบางพ้ืนท่ียัง เปนตน ไม่ทั่วถึง ท้ังในด้านบุคลากรและงบประมาณ ท�าให้ประชาชน บางพ้ืนท่ีไมไ่ ด้รับบริการทางสขุ ภาพอย่างท่วั ถงึ เท่าท่ีควร ผฉูส บอับน 3. แนวทางแก้ไขปัญหาสขุ ภาพในชุมชน นักเรียนคิดวา การแก้ปัญหาสุขภาพชุมชนนั้น ไม่อาจจะด�าเนินการ การแกป้ ัญหาสขุ ภาพของชมุ ชน การแกป ญ หาดา นสขุ ภาพ ส�าเร็จได้ด้วยการจัดให้บริการสุขภาพจากหน่วยงานของภาครัฐ ต้องอาศยั ความร่วมมือของ ในชุมชนเปนหนาท่ีของ เพยี งอยา่ งเดยี ว หากแตจ่ ะตอ้ งอาศยั ความรว่ มมอื ของประชาชน ประชาชนในชมุ ชนเป็นหลัก ใคร ในชุมชนนัน้ ๆ ใหม้ ามีสว่ นร่วมในการแก้ปญั หาสุขภาพในชุมชน ของตนเองด้วย เนื่องจากคงไม่มีใครที่จะเข้าใจปัญหาสุขภาพ จงึ จะทา� ใหก้ ารดา� เนนิ การแกป้ ญั หา ของคนในชุมชนได้ดีกว่าคนในชุมชนเอง ดังนั้นหากประชาชน ประสบความสา� เร็จได้นะครบั ได้มีส่วนร่วมด้วยการสร้างพลังประชาสังคมให้เกิดข้ึน ก็จะช่วย ท�าให้ชุมชนสามารถก�าหนดแนวทางและเกิดกระบวนการเรียนรู้ ร่วมกันในการแก้ไขปัญหา ซ่ึงแนวทางในการป้องกันและแก้ไข เพ่ือขจัดปัญหาหรือลดความรุนแรงของปัญหาสุขภาพในชุมชน มแี นวทางทอ่ี าจนา� ไปปรบั ใชไ้ ด้ ดังนี้ 120 120
เดก็ ควรรู เปนการเขา ไปแกไ ขปญ หาสภาพแวดลอ มที่แออดั ไมเหมาะสม ซ่ึงมกั เกิด ในชุมชนเมอื ง การปรับปรุงแกไขนจี้ ะชวยนําคณุ ภาพชีวิตท่ีดกี ลบั คนื มาได 1. ควบคุมอัตราการเพ่ิมขึ้นของจ�านวนประชากร โดย เดก็ ควรรู การคุมกา� เนดิ เพอ่ื ใหล้ ดลงเหลอื ร้อยละไม่เกนิ 1.00 ซง่ึ จะท�าให้ ถือเปนนโยบาย ประเทศไทยมีจ�านวนประชากรไม่มากจนเกนิ ไป การบรกิ ารดา้ น ของรฐั บาลในการพฒั นา สุขภาพทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนก็จะสามารถตอบสนอง ระบบหลกั ประกนั สขุ ภาพ ความตอ้ งการไดเ้ พียงพอและทั่วถึงมากย่งิ ข้ึน ใหเกิดประสิทธิภาพมี 2. การปรับปรุงสภาพแวดล้อม โดยจัดส่ิงแวดล้อมที่ คณุ ภาพ มาตรฐาน และ เอ้ือต่อสุขภาพ และจัดการสุขาภิบาลส่ิงแวดล้อมเพ่ือลดปัญหา ใหป ระชาชนเขา ถงึ บรกิ าร มลพิษตา่ งๆ เชน่ อากาศเสีย น้�าเสีย ขยะมูลฝอย เปน็ ตน้ ไดเพ่ิมข้ึน ปจจุบันจะใช 3. เนน้ กจิ กรรมการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพใหม้ ากยงิ่ ขน้ึ เชน่ บัตรประจําตัวประชาชน การส่งเสริมให้ประชาชนออกก�าลังกายเป็นประจ�า ส่งเสริมให้ ประชาชนควรมีส่วนร่วมในการเข้าร่วม แทน ซง่ึ ไดค รอบคลมุ พนื้ ท่ี เลือกบริโภคอาหาร และควบคุมเรอื่ งอาหารทเี่ ปน็ พิษเป็นภัยตอ่ กจิ กรรมตา่ งๆ ทจ่ี ดั ขนึ้ เพอื่ รว่ มมอื กนั ทว่ั ประเทศแลว สุขภาพ เพราะยดึ หลักทวี่ ่า การป้องกนั น้ันดีกวา่ การแกไ้ ข สรา้ งเสรมิ และปอ้ งกนั โรคในชมุ ชน ผฉสู บอับน 4. จัดสวัสดิการในการรักษาพยาบาลให้แก่ผู้ที่ยากจน IT เดก็ ควรรู หรอื ผดู้ อ้ ยโอกาส ซง่ึ ปจั จบุ นั รฐั บาลไดด้ า� เนนิ โครงการหลกั ประกนั เปน สถานบริการ สขุ ภาพถว้ นหน้า เพอื่ เปน็ การเปิดโอกาสใหป้ ระชาชนทุกคนได้มี สาธารณสขุ ระดบั ตน ของ โอกาสเข้ารับการรักษาพยาบาลได้โดยไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่าย กระทรวงสาธารณสขุ ซง่ึ ด้านการรกั ษาพยาบาลมากเกินไป มีวิวัฒนาการมาตั้งแต 5. ใหม้ กี ารกระจายของบคุ ลากรทางดา้ นการแพทยแ์ ละ พ.ศ. 2456 เร่มิ ดวยการ สถานบริการสุขภาพอย่างท่ัวถึง ซ่ึงในปัจจุบันได้มีการพัฒนา จัดต้ัง “โอสถสภา” ซึ่ง สถานอี นามยั และศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ ชมุ ชน มาเปน็ โรงพยาบาล เปนทั้งสถานท่ีบําบัดโรค สง่ เสรมิ สขุ ภาพตา� บล เพอื่ เพมิ่ การบรกิ ารสขุ ภาพใหแ้ กป่ ระชาชน และสาํ นกั งานของแพทย มากขนึ้ สาธารณสุข ภายหลังได 6. สง่ เสรมิ แนวทางในการจดั การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพชมุ ชน เปลยี่ นชอ่ื เปน “สขุ ศาลา” ดว้ ยกระบวนการสาธารณสขุ มลู ฐาน ซงึ่ กจิ กรรมสาธารณสขุ มลู ฐาน พ.ศ. 2475 และเปน เป็นวิธีท่ีส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการท�างาน “สถานีอนามัย”ต้ังแต ด้วยกัน โดยมุ่งเน้นการอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจ�า พ.ศ. 2515 มาถงึ ปจ จบุ นั หมบู่ า้ น (อสม.) ใหม้ คี วามร ู้ ความเขา้ ใจเบอ้ื งตน้ ในการใหบ้ รกิ าร สาธารณสุขขั้นพน้ื ฐานแก่ประชาชนในชุมชน 7. การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพของประชาชน โดย ใหก้ ารศึกษาแกป่ ระชาชนและสง่ เสริมให้ประชาชนลดพฤติกรรม ดกนาแูบั รลเจปเดรั น็ อื่ใหกงปอจ้ิ การหะรชIราามรTชกสนารรรา้ กจู้งกนัิเสเขลรออืมิ งกสตบขุนรภเโิอภางพคมอใานากหกขาาน้ึรร ที่เสีย่ งต่อสุขภาพ มีสุขนสิ ัยและสขุ ปฏบิ ัติทดี่ ี 121 121
เดก็ ควรรู เสริมสาระ หมายความถึง ความสัมพันธระหวาง หลกั 6 อ. สรา้ งเสริมสขุ ภาพคนไทย อนามัยกับสิ่งแวดลอมที่ อยูรอบตัว งานอนามัย “สขุ ภาพดี ไมม่ ขี าย ถา้ อยากไดต้ อ้ งทา� เอง” 3. อารมณ์ ถือเป็นสิ่งส�าคัญที่สุดต่อการ สิ่งแวดลอมจึงเปนงานที่ เป็นค�ากล่าวที่ใช้ได้ดีมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเคล็ดลับ ด�าเนินชีวิต ถ้าอารมณ์ห่อเห่ียวหรือหงุดหงิด มงุ เนน การรกั ษาคณุ ภาพ ในการเสริมสร้างสุขภาพท่ีดี ที่ทุกคนพึงปฏิบัตินั้น จะทา� ใหร้ ะบบการทา� งานในรา่ งกายเสยี ความปกติ ส่ิงแวดลอมใหมีคุณภาพ ควรยดึ หลกั 6 อ. ดังน้ี ไปหมด โดยเร่มิ ต้นตัง้ แต่ระบบหายใจ การทา� งาน ท่ีเหมาะสมตอการดํารง ของหวั ใจ ความดนั โลหติ ตลอดจนการทา� งานของ ชีวิตของมนุษย โดย 1. อาหาร ควรรับประทานอาหารต่างๆ ให้ กระเพาะอาหาร ก็จะมีความผิดปกติด้วย ส่งผล ปองกันมิใหสิ่งแวดลอม เหมาะสมตามทร่ี า่ งกายตอ้ งการ ซง่ึ อยา่ งนอ้ ยทสี่ ดุ ให้เกิดการเจ็บป่วยขนึ้ ได้ เปนพิษ และมุงเนนการ ใน 1 สปั ดาห์ ควรรับประทานอาหารทีม่ ีประโยชน์ แกปญหาท่ีมีผลกระทบ ให้หลากหลายและครบท้ัง 5 หมู่ หลีกเลี่ยง 4. อนามยั สง่ิ แวดลอ้ ม การรว่ มมอื กนั สรา้ ง ตอสุขภาพอนามัยของ “การกนิ ดี อยู่ด”ี แต่ให้ยึดหลกั “กนิ แต่พอดี” แทน สง่ิ แวดลอ้ มทด่ี ใี นชมุ ชน เชน่ การกา� จดั ขยะมลู ฝอย มนุษย การก�าจดั น�้าเน่าเสยี เปน็ ต้น จะช่วยเออื้ ต่อการมี 2. ออกกา� ลงั กาย รา่ งกายจะเกดิ ความสบาย สขุ ภาพดีของคนในชุมชน ผฉสู บอบั น และสดชื่นแจ่มใสได้ ก็ต่อเม่ือมีการเคลื่อนไหว รา่ งกาย ซงึ่ อยา่ งนอ้ ยควรใหม้ เี หงอื่ ออกวนั ละ 1 ครง้ั 5. อโรคยา คือ การหลีกเล่ียงปัจจัยเส่ียง เด็กควรรู เพราะจะท�าให้เราสามารถรับประทานอาหารและ ทจ่ี ะทา� ใหเ้ กดิ โรคตา่ งๆ เชน่ หลกี เลย่ี งการรบั ประทาน นับวาเปนการ นอนหลับพักผ่อนได้ดี ส�าหรับผู้ท่ีท�างานอยู่กับที่ อาหารทม่ี ไี ขมนั สงู การจดั การกบั ความเครยี ดโดยทา� ออกกําลังกายทางหนึ่ง ท่ีใช้พลังงานน้อย ควรจะหาทางออกก�าลังกาย จติ ใจให้ร่าเรงิ แจ่มใสอยู่เสมอ เปน็ ต้น ทําใหสุขภาพแข็งแรง ในชีวิตประจ�าวัน เช่น วิ่ง เดิน เป็นต้น เพื่อท�าให้ โดยมีหลักคือ ในการ เหงื่อออก โดยจะช่วยท�าให้ร่างกายสดช่ืน มี 6. อบายมุข งดเว้นบุหรี่ สุรา สารเสพติด เดินทุกๆ 30 วินาที ให อารมณ์แจ่มใส ปราศจากโรคภยั ไข้เจ็บ การพนัน และการส�าส่อนทางเพศ ซึ่งล้วนก่อให้ เพิ่มความเร็วข้ึนเร่ือยๆ เกิดผลเสียต่อท้ังสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิต จนถึงระดับความเร็วที่ คิดวาพอในการเดินเร็ว เ มื่ อ เ ดิ น เ ร็ ว จ น ถึ ง จุ ด สูงสุด ใหรักษาระดับน้ี ไปประมาณ 30 นาที แลวคอยๆ เพ่ิมเวลาให นานขึ้นทุกๆ สัปดาห 122
ปัญหาสุขภาพของชุมชน จะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ลักษณะของ ชุมชน แต่โดยทั่วไปแล้วปัญหาของชุมชนไม่ได้เกิดเฉพาะปัญหาด้านสุขภาพเท่าน้ัน หากแต่มีความเกี่ยวพันกับปัญหาอื่นๆ ด้วย เช่น ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาด้าน การศกึ ษา เปน็ ต้น ซง่ึ การสร้างเสรมิ สขุ ภาพในชมุ ชนนน้ั ถอื เปน็ ยทุ ธศาสตร์ทสี่ า� คญั ในการแก้ปัญหาสุขภาพของประชาชนในชุมชน แต่การท่ีจะด�าเนินการแก้ไขปัญหา ได้นั้น จ�าเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในชุมชนเป็นหลัก รวมถึงการมี ส่วนร่วมจากผู้ทีเ่ กย่ี วข้องหลายฝ่าย จึงจะท�าให้การแก้ปัญหาสุขภาพของประชาชน ในชุมชนประสบผลส�าเร็จ และเกิดประโยชน์สูงสดุ ผฉสู บอับน ฝกึ คิด ฝกึ ทำ� 1. ให้นกั เรียนร่วมกันอภปิ รายว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชน จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปญั หา สุขภาพของชุมชนได้อย่างไร 2. ให้นกั เรยี นแบ่งกลุ่มท�าโครงงาน คัดเลอื กชมุ ชนที่นกั เรียนอาศัยอยู่มา 1 ชุมชน แล้วทา� การสา� รวจ ปญั หาสขุ ภาพชมุ ชนดงั กลา่ ว และเมอ่ื กา� หนดปญั หาสขุ ภาพไดแ้ ลว้ ใหด้ า� เนนิ การจดั ลา� ดบั ความสา� คญั ของปัญหาด้วยวิธีการทน่ี �าเสนอ วิธกี ารใดวธิ กี ารหนึ่ง จากนนั้ จงึ ช่วยกนั กา� หนดแนวทางในการแก้ไข ปัญหาสุขภาพของชุมชนดังกล่าว โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนเป็นหลัก แล้วน�าส่ง ครูผู้สอนพร้อมกับนา� เสนอหน้าชั้นเรียน 123 123
แบบฝึกทกั ษะพัฒนาการเรยี นรู้ ตอนท่ี 1 ใหน้ ักเรยี นเขยี นลกั ษณะปญั ห�สขุ ภ�พชมุ ชนลงในแผนผังทีก่ ำ�หนดให้ โดยแยกประเภท ระหว�่ งชุมชนเมอื งและชมุ ชนชนบท มฐ./ตัวชี้วัด ชมุ ชนเมอื ง ชมุ ชนชนบท พ 4.1 (ม.3/3) .......ป...ญั....ห....า..ท...่ีอ...ย...ู่อ...า..ศ....ัย.....ซ...ึง่ ..ม...สี....า..เ..ห...ต...ุม...า...จ...า..ก........................ .......ป....ญั ....ห...า..ด....้า..น....เ.ศ....ร...ษ...ฐ...ก...จิ......เ..น....ือ่ ...ง..จ...า...ก...ย...งั ...เ.ป...น็....ส....งั ...ค...ม... .ก...า..ร...ม...ปี....ร..ะ...ช..า...ช..น....อ...ย...ู่เ..ป...น็ ....จ...า� ..น....ว..น....ม...า..ก.................................. .เ..ก...ษ....ต...ร...ก...ร...ร...ม.......ซ...งึ่ ...เ.ป...็น....ร...า..ก....ฐ...า..น....ข..อ...ง...ป...ญั.....ห...า..ท....ีก่ ...อ่...ใ..ห....้ .เ..ก...ิด...ค....ว..า..ม...ย...า...ก...จ...น.................................................................... .................................................................................................... ผฉูสบอบั น .......ป....ัญ....ห...า..ด....้า..น....อ...า..ช...ญ....า..ก...ร...ร...ม.....เ..ช..่น......ก...า..ร...ล....กั ...ข...โ..ม...ย......... .......ป...ัญ....ห....า..ท...า...ง...ด...้า..น....ส....ัง..ค....ม.......จ...า..ก...ภ....า..ว..ะ...ค...ว..า...ม...ย...า..ก...จ...น.... .ก...า...ร...ฉ...ก...ช...ิง...ว..ง่ิ...ร...า..ว.....ก...า..ร...ท....า� ..ร...้า..ย...ร...่า..ง...ก....า..ย.....ก...า..ร...ล....อ่ ...ล...ว..ง... .ท...า�..ใ..ห....ป้ ...ร...ะ..ช...า..ช...น....ต...้อ...ง...ก...ูเ้..ง..ิน......จ...น....ท...า�...ใ..ห...เ้..ก...ดิ...ป....ญั ....ห...า.......... เป็นต้น.................................................................................................... หนีส้ ินขึน้.................................................................................................... .......ป...ัญ....ห...า...ด...า้ ..น....ส....ุข..ภ...า...พ.....เ.ช...น่ ......โ..ร...ค...เ..ร...้ือ..ร...งั...ต...า่...ง...ๆ.............. .......ป....ัญ....ห...า...ด...้า..น....ส....ุข..ภ....า..พ.......เ..ช..่.น.......โ..ร...ค....ร...ะ..บ....บ...ท....า..ง...เ.ด....ิน.... ก....า..ร...ม...ีพ...ฤ....ต...ิก...ร...ร...ม...เ..ส...่ยี...ง...ต...่อ...ส....ขุ ..ภ....า..พ.....เ..ป...็น....ต...น้..................... .อ...า..ห....า..ร.......โ..ร...ค...ร...ะ..บ....บ....ท...า...ง..เ..ด...ิน....ห....า..ย...ใ..จ.......ค...ว...า..ม...เ..ค...ร...ีย...ด.... เปน็ ต้น.................................................................................................... .................................................................................................... .......ป...ญั....ห....า..ด...า้...น....ส...งั...ค...ม.....เ..ช..่น......ค...ว...า..ม...ร...ุน....แ..ร...ง...ใ..น.................. .......ป...ัญ....ห....า..ก....า..ร...จ...ั.ด...บ....ร...ิก...า...ร...ส...ุ.ข..ภ....า..พ....ข..อ...ง...ร...ัฐ...ไ...ม...่ท...ั่ว...ถ...ึง... .ค...ร...อ...บ....ค...ร...วั ....ก....า..ร...ต...งั้...ค....ร...ร..ภ....์ไ..ม...่พ...ึง...ป...ร...ะ...ส...ง...ค...์.................... ท....้งั ...ใ..น...ด....า้ ..น....บ....ุค...ล...า...ก...ร...แ...ล...ะ..ง...บ....ป...ร...ะ..ม...า..ณ................................ .ก...า..ร...ท....�า..แ...ท...้ง.....เ.ป....น็ ...ต....้น.............................................................. .................................................................................................... .......ป...ญั ....ห...า..ด...า้..น...อ...น่ื....ๆ....เ.ช..น่.....ป...ญ.ั ...ห...า...ม..ล...พ....ษิ ...ท...า..ง...ส...งิ่...แ..ว..ด....ล..อ.้ ..ม.. ก....า..ร...จ..ร...า..จ...ร...ต...ดิ...ข...ดั .....ส...า..ธ...า..ร...ณ....ปู...โ..ภ...ค...ไ..ม...เ่.พ....ยี...ง..พ...อ.....เ.ป...น็....ต...น้... .................................................................................................... 124 124
ตอนท่ี 2 ใหน้ กั เรยี นวิเคร�ะหข์ อ้ มูลทีก่ ำ�หนดให้ แล้วตอบค�ำ ถ�มต่อไปน้ี จากการสา� รวจขอ้ มลู ของชมุ ชนสชี มพ ู พบวา่ มปี ญั หาดา้ นสขุ ภาพทสี่ า� รวจพบ 3 ปญั หา คือ ปัญหาโรคเบาหวานในผู้สูงอายุ ปัญหาโรคความดันโลหิตสูง ปัญหาแหล่งน�้าเสื่อมโทรม ชาวบา้ นจงึ ไดด้ า� เนนิ การประชมุ รว่ มกนั และจดั ลา� ดบั ความสา� คญั ของปญั หาสขุ ภาพของชมุ ชน สชี มพูได ้ ดงั ตาราง ปัญหำ ขนำด ควำมรนุ แรง ควำมยำกงำ่ ย ควำมสนใจ รวมคะแนน ลำ� ดบั ของปญั หำ ของปัญหำ ในกำรแกป้ ญั หำ ของชมุ ชน 1. โรคเบาหวาน 4 4 3 5 16 1 2. โรคความดนั 3 4 4 4 15 2 โลหิตสูง ผฉูสบอับน 3. แหลง่ น�้า 2 2 1 2 7 3 เสอื่ มโทรม 1. จากตารางวเิ คราะหข์ ้างตน้ นักเรยี นสามารถสรุปไดอ้ ย่างไร .......จ...า..ก...ต...า...ร...า..ง...ว..ิเ.ค....ร...า..ะ..ห...ข์...้า..ง...ต...น้...........พ...บ....ว..า่..ช...ุม...ช...น...ส....ีช..ม...พ....ู .......ม...ปี ...ญั....ห...า...เ.ร...่ง...ด...่ว..น....ท...ี่ต....อ้ ...ง..ด....�า..เ.น....นิ....ก...า..ร...แ...ก...้ไ..ข...ก...่อ...น....เ.ป...็น... อ...นั....ด...บั....แ..ร...ก.....ค....อื .....ป...ญั ....ห...า..โ..ร...ค....เ.บ....า..ห...ว...า..น....ใ..น...ผ...สู้....งู ..อ...า...ย...ุ .ร...อ...ง...ล...ง...ม...า....ค...อื.......ป...ญั....ห...า...โ..ร...ค...ค...ว...า..ม...ด...นั....โ..ล...ห...ติ....ส...งู.....แ..ล....ะ..ป...ญั....ห...า.. แ...ห...ล....่ง..น....้า�..เ..ส...ือ่...ม...โ..ท....ร...ม......ต....า..ม...ล...�า..ด....ับ.................................................................................................................................................. 2. นกั เรยี นมแี นวทางในการแกไ้ ขปัญหาทต่ี อ้ งดา� เนนิ การแกไ้ ขกอ่ นเป็นอนั ดบั แรกอย่างไร จงยกตัวอย่าง 1........จ...ดั ...โ..ค...ร...ง...ก...า..ร...พ....ิช..ติ....โ..ร..ค....เ.บ....า..ห...ว...า..น......ใ..ห...้ค...ว...า..ม...ร...ูเ้ .ก....ีย่ ..ว...ก...ับ....ก...า..ร...ด...ูแ...ล...ต...น....เ..อ...ง..แ...ก...ผ่...้ปู...่ว...ย...โ..ร...ค...เ.ร...้ือ...ร...งั................................ 2........จ...ัด...ร...า..ย...ก...า...ร...เ.ส....ีย..ง...ต...า...ม...ส...า...ย..ใ...ห...้ค...ว...า..ม...ร...้เู .ร...่ือ...ง...โ..ร...ค...เ..บ...า..ห....ว..า..น....แ...ล...ะ..แ...น....ว..ท...า...ง...ก...า..ร...ป...้อ...ง...ก...นั....โ..ร...ค...เ..บ...า...ห...ว..า...น.................... ทกุ วันอาทติ ย์................................................................................................................................................................................................................ 3........จ...ัด...โ..ค...ร...ง...ก...า...ร...อ..า...ห...า..ร...ส....า� ..ห...ร...ับ....ผ...้ปู ...ว่..ย...เ..บ...า...ห...ว..า...น.......โ..ด...ย...ใ..ห....ค้ ...ว...า..ม...ร...้เู .ก....่ยี ..ว...ก...ับ....อ...า..ห...า...ร..แ...ล...ก....เ.ป...ล....ีย่ ...น................................. .......แ..ล....ะ..ก...า..ร...ร...บั....ป...ร...ะ..ท...า...น...อ...า...ห...า..ร...ท....ีเ่ .ห...ม...า...ะ..ส...ม...ก....ับ...ค....ว..า..ม...ต...อ้...ง...ก...า...ร...ใ..น....แ..ต...่ล....ะ..ว..ัน...................................................................... ...พจิ ารณาจากค�าตอบของนกั เรยี น โดยอย่ใู นดลุ ยพนิ ิจของครูผู้สอน... 125 125
77แบบทดสอบหน่วยที่ 1 คำ�ชีแ้ จง ให้นักแเรบียบนทเลดือสกอคบำ�หตนอว่บยทท่ีถีู่ก1ต้องทีส่ ุดเพียงคำ�ตอบเดยี ว 1. สขุ ภาพชุมชนหมายถึงอะไรคำ� ชแ้ี จง ให้นกั เรยี นเลือกค�ำตอบทถ่ี กู ตอ้ งที่สุดเพยี งค�ำตอบเดยี ว ก. ลสกัิง่ แษ1วณ. ดสขกะลขุ.. ต ้อภลสา่ามักิง่พงแษภชๆวณุมดา ชะลภยตนอ้ ่าใหามงนมยภๆาชา ใยภยนุมถใานงึยชชอชใมุนะมุนไชชชรุมนนชน ข. ภภาาวว2ะะ. แแคงขหห..้อ ใ่งง่ ดภภกกเาาปาาววน็ ะะรรปแแรรัจหหววจง่่งัยกกมมสาาเเรร�าออรรคววญัาามมใสสเเนออุขุขกาาาสสภภรขุุขชาาภภ่วาาพพยพพสขขขข่งออเออสงงรงงแบมิ ตแบุคภ่ลคตคุาะลวช่ลตคะุม่าสะลชงขุชๆนตภ เุมาใา่ขนพ้าชงชขไๆวุมนอ้ดช งเว้บนใขยนุคเกข้าคันช้าไลไวใมุวน้ด้ดชช้วมุว้ยนชกยเนนั กขใหันา้ ้ดไขี วนึ้ ด้ ว้ ยกัน ค. ง. 2. ขก.้อ ใ ดตเัวปแน็ ทป นขกคัจ...ท จีด่ตงกยั บาัว�าสรปแเสทา�รนขุะนคมาินทภัญาี่ดณบิง�าาใาสเลนนนนทินบักี่ดงสาขีานนอรุนงชจชาุมว่ กชยรนฐั ส ่งเสรมิ ภาวะสขุ ภาพของบุคคลในชมุ ชนใหด้ ีขนึ้ ข. การส ขุ งา. ภขบิ อ้ า ขล. ทแลด่ี ะ ีขคอ. ถงูกชมุ ชน ค. งบป3ร. ะกขม.้อ ใาดดณไา� มเสน่ใชนินล่ งกัาบั ษนสเณปนะ็นขุนรอะงจบกบาากรจรดั ฐัการสขุ ภาพชมุ ชน ง. ขอ้ ข . ขแ. ลดะ�าเ นคนิ .ง าถนโกูดยชมุ ชนเอง 3. ขอ้ ใ ดไมใ่ ช ่ลคง.. กั ษเเนนณน้น้ กกะาารรขจสอัดนกบังาสกรนทานุ สี่ รงุขบจภปัดารพะกโมดาายรณรสวมขุ ภาพชมุ ชน ก. ดา� เน4.นิ กงาารเน้นเปกา็นรจรดั ะกบารบทสี่ ขุ ภาพโดยรวมหมายถงึ อะไร ผฉสู บอับน ข. ดเน�า้นเนกิน ากขครง... สานกกกนาาาโับรรรดอเชปสอว่ยดิยกนชโสแอนุง่บุมกเบสางชสรกบมิใานหรปภ้ปจเารอดัรวะกะะงชสามารขุ ชสาภนขุ าณภใพนาขชพอมุ ใงหชบ้เนคุกมคดิ ีสลป่วใรนนะรชโย่วมุ ชมชนอนแ์ยใกา่หง่ปด้ ใรกีขะลึน้ ช้ชาิดช น ทกุ ครัวเรือน ค. 4. งก.า ร เ เนนน้ ้นก5ก.า ารปขงร.้อจก จใตดัดดักิวเกาิสปกรัย็นาราววรริธมทีกทเอาี่ส่สีราเสุขกขุ ุขบ็ภภภราาวาวบพะพรทโวโาดมงดขกยยอ้ารยมร วูลวใเจมกม ีย่สห วัง มกคับมาบ ยสคุ ตคถปิ ลงึัญหอรญอืะาสไ ถแราลนะสกิ่งาแรณวดต์ ลา่ อ้งมๆ เขท้าเ่ี กดดิ้วยขก้ึนันเป็น ก. กกาารรเช6ป. ่ว ิดเกคยค..โ รส อ่อื กก่งงกาามเรรสาอืทสรสงัร�าวเแิมใกบบหตรภบว ป้สมาอขรวบ้อะะถมชสาูลมาใุขน ชภขน้อาใใดพนทข่นีชิยอุมมงใชชบนก้ขงคุ ัน.. ม มค กีสกาลกาา่วรรทใสทนนีส่ มั�าุดรชแภ ว่บ าุมษบมชณทอดน ์ ยสใอา่หบงด้ ใกขี ลึ้น้ชิด ข. กกาารรอรว อกคมก.. เแ อแแบบบาบบบสสฝุขกอกึ บภาทถกัราาษจวมะดั ะ ทกาารงสกุขายภ าใพจ ใหสัง้เงขกค.. ิด ม แแป บบสรบบปทะตรดโิปะยสเอมญัชบินนญผล์แากกา รแ่ปเรลรียะะนชรสู้ ง่ิาแชวนดทลุก้อคมรเัวขเรา้ ือดนว้ ยกนั ค. ง. 1. ตอบ5.ง . ขปดปส้อก้วัจขุ ใตยภจดกาัยวิ พนัเทิสปชี่สมุยั �าซ็นชค่งึนวัญสธิอขุในภาีกจากาพเรารอรยี นชเกก่วาอยมกีบ็สยั อข่งรยอเวา่สงงรบแหติมนรภล่ งึ่วาะววบมา่ะคุสขอคุขนลภอ้ าาจมมพะยั ดขูลชอไี มุ เดงชกบน้ นุค่ียนั้ หคขวนึ้มลกาใอยนับยถ่กูชบงึ ุมบั ชภุคสนาภควใาะหลพแ้ดหแหีขวง่ ึ้นดกรลาอื รไ้อดสรมว้แเถปมกเ็นา่อหนากสลากขุรักภปาา้อรพงณขกอันงต์ โบ่ารคุ คงครๆละบต ทา่างด่เีๆทกี่อในิดาจชขเมุ กชนึ้ ิดนขเเึ้นปขา้ใไน็นว้ 2. ตอบ ข . 3. ตอบ ค . กชก. มุาชรนจกัดาแกลราะสรกสังารรเสก้าุขงตาเสภ ิบริมาลสทุข่ดีภขีาอพงขชอุมงชชนุมชนนั้น จะต้องด�าเขน.ิน ก ากราในรลสักมั ษภณาะขษอณงก์ าร จัดการสุขภาพชุมชนท้ังระบบใน 4. ตอบ6.ง. คเคห3ส. รม่ิงล แาือ่ กักยวงษดถามลณึงรอ้ ะือทมกคเราขา� อืรวา้ แดรบวดว้บมยรา� บเกเวอนันาสมนิ สองขุขาภบนอ้ าเถวมปะาน็ทลู มารใงะน กบาบขย้อเนสใุขน้ดภกทาาวรน่ีะจทยิัดางกมจาใิรตชทใจ่สีก้ งุขัน.ภส าุขม พภ กาโาดวกาะยทรทราวทสี่งมสา�ดุ ังแแคลบมะดบ�าสเทนุขภนิดางสวาะนอทโาบดงยสชตุมิปชัญนเญอาง และสุขภาวะทาง 5. ตอบ ก. กกท. านั รใสแดงั บเกซบ่ึงตจสะเอตปอ้น็บงวทถธิ า�กีาอามยรา่เ กงเบ็ ปรน็ วธบรรรวมมชขาอ้ ตมิโลู ดเยกไยี่ มวใ่ กหบั ผ้ บถู้ คุูกคสลงั เหกขรตอื .ทส ร ถา าแบนบกาบรทณต์ดา่ สง อๆ บทเ่ี กดิ ขนึ้ เปน็ ปกตวิ สิ ยั หรอื เกดิ ขนึ้ ทนั ที 6. ตอบ ก .คคแ. บว าบมแสคบอิดบเบหถ็นฝามกึควทเาปมกั ็นสษเนคใะรจ ื่องหมรืออื รทวศั บนรควตมิข้อมูลที่นิยมใช้กันมงา.ก ท ี่สแุดบบโดปยเรฉะพเามะใินนกผาลรเกกา็บรรวเบรรยี วนมขร้อ ู้ มูลที่เกี่ยวข้องกับ 126 126
7. ขอ้ ใดไมถ่ กู ตอ้ ง ก. ขกานร านด�าขแ7อ.บ งขกขบป.อ.้ ใสัญดขกไอานมหราบถ่นดาูก�าขถแตจอบาอ้งะงบปมพสัญมอหจิ บาาาถจใาระมชพณมจิเ้ าาพาใรชณถ่ือเ้ พางึ ปถือ่ ปงึปรปรญััญะะเเหมหมาินทาสินีเ่ตทกสิปิดีเ่ญัใตกนญชิปดิ าุมขญัใชอนนงญวผช่าู้ปเามุมว่ ขอื่ยชเกอนดิ งขวผ้นึ า่ มู้ปเผี ม้ปู่ว่ว่ือยยเเทกา่ ไิดรข้นึ มผี ู้ป่วยเท่าไร ข. ค. ควา มสนใ จคง..ต อ่ คคววปาามมญั รสนุนหแใรจางตขจอ่ อปะงญัปพญัหจหิาจาาโะดพรยจิณพาจิราาณรวาณวา่าา่ วปปา่ รประญั ชะหาชาชนนาน้ัเชหเกน็นดิ ปขเญันึ้ หจหะาน็มทอีปเ่ี ตกั รดญิั าขกน้ึหารมตาคี าวทยามมเี่ ากสกา�นดิคอ้ ญัยขเหพนึ้ รยีอืมงไใมดคี ่ วามสา� คญั หรอื ไม่ งก.า รวคเิ วคา รมาระนุ ห8แ.์ป รคกกญังา.. ขร วหกกอิเาาคางรรรจอปสาัดนะญุขัลหา�ามป์ ภดหัยญั บัชาาหคมุ พโาวชดสานชุขมย ภสมุพ�าาคพชจิญัชานุมขรชอเณนงรปเียราญั ียวกหกา่าออ ปกี ขงกีอญั.. ย อา่ หกกงยหาาารร่านนรสึ่งงณขุวน้ัหา่ารภองเนกคิบะไ์แาดิง่ึรกลวขช้ไขมุ่าน้ึปชอญัจนะห ะ าไมชรอีมุ ชตั นราการตายมากนอ้ ยเพยี งใด 8. กค.. กกาารร จอัดนลา9.�าม ดคขกัย..อ้ บั ชใ ดปปคมุไญัญั มวชหหใ่ าชาาน่รดดมาา้า้ กนสนฐเส�าาศุขนรคภษปาญััญฐพกห จิขา ขอองงชปมุ ชญั นหา ขง.. ขง .ปป. ญัญั หหกกาาดดาาา้า้ รรนนสรกส่ิงาณุขแรศวารกึดภษลง้อาคิบ ม ์แากลชไ้ ขมุ ปชญั นห าชุมชน 9. ข้อใดไม ใ่ ชร่10า. กเมมฐา่อืกาพทนจิสี่ าุดปรหณัญมาาจยหาคกาวคาขะมแวอน่านงอระชวไมรมุ ในชกนารจัดลา� ดบั ความสา� คัญของปัญหา ปญั หาท่ีมคี ะแนน ก. ปญั หาด้า นก. สปุขญั ภหาาทพ่เี ก ดิ ข้นึ มากที่สุดในชุมชน ข. ปัญหาดา้ นการศึกษา ค. ปญั หาด้า นขค..เ ศปปรญััญษหหาาฐททกป่ีม่ี รีคจิ ะวชา ามชสนา� ใคนญั ชมุมาชกน ตแา่ตงย่ ปงั รไะมส่จบา� พเงปบ.็นเ ตจ อ้องปรีบญั แกห้ไขากด็ไดา้ ้ นสิง่ แวดล้อม 10. มเมาื่อกพทจิ่สี า ดุ รหณม1า1า.จ ยขงกา..้อค กใดวปปคเญััญาปะ็นมหหแปาาวชทญันุม่มีา่หนชคีอานวทราะแามวอไงสดอมรา�า้ดั คนใ ญันสังมกคามกาททรี่เี่สกจดุ ดิ ัดขจน้ึ�าลเกปา�ับ ็นดคทนบัจ่ี ใะนตคช้อมุวงชดาน�ามเเนมสนิือกง�าาครแัญกไ้ ขขโอดยงเรป่งดญั ่วนหา ปญั หาท่ีมคี ะแนน ผฉสู บอับน ก. ปัญ หาทเี่ กขค..ิด ขกกาา้นึ รรจตมัด้งั คบารรกริกภาท์รไมสส่ี ขุ่พภดุึงปาใพรนะทสี่ไชงมคุม่ท ์ ั่วชถึงน ข. ปญั หาที่ป งร. ะชกาารขชาดนเคใรนื่องชมมุือใชนกนารตปรา่ ะงกอปบรอาะชสีพบ พบเจอ ค. ปญั หา1ท2.ี่ม กกคี า. รวแรากัฐม้ปบัญาสลห �าาสคุขญัภาพมชาุมกชน ใแห้สตา� เย่ ร็จังไไดน้มน้ั ข่จจ. �า�าเปปเปร็นะตธ็นอ้างนตไชดอ้ ุม้รบัชงคนรว บี ามแร่วกมไ้มขือจกาก็ไใดคร้ ขง.้อ ใดปเัญป น็หปา1ทญั 3.่มี หเคกคีมา.. อ่ืวทเกเกาจาา็บ้ามรหรงสวนสงัดบเ้าก�ารา้ทตวคข่ีนม อญัขสง้อรังมมฐั ลูคาทมกางททด้าีเ่่ีสนกสุดุขิด ภขจาพนึ้า� ขเกอปขงง.ับ.ช ็น ุมคกทชทาุกนนรค่ีจไสในดัมะนแ้รภตว่ลชามว้ ้อษม ุมณขืองน้ั ก์ชดตนั นอา� นเเตนมอ่ ินไือปกงคอื าขรอ้ ใแดกไ้ ขโดยเรง่ ด่วน 11. ก. ปญั หาชุม คช. นกแารอวิเอครัดาะ ห์ปญั หาสขุ ภาพชุมชน ค. การหาแนวทางแกไ้ ขปญั หาสขุ ภาพในชมุ ชน 7. ตอบ ก . ขแ.บ บกทดาสรอตบั้งเปค็นรกรารภใช์ไ้เมพื่อพ่ ปรงึ ะปเมรินะสสตงิปัญคญ ์ าของบุคคล ส�าหรับแบบสอบถามนั้นใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เก่ียวกับ 8. ตอบ ค . คคเ.ป ว็นามกกคาารดิ จรเหัดจ็นลดั า� คดบวบั ารคมิกสวาานมรใสจสา� คหขุ ัญรภอืขทอางัศพปนัญทคหตี่ไาิ มต่า่ทงๆั่วทถาึงงส ุข ภาพ เพือ่ ความสะดวกตอ่ การแกไ้ ขปญั หา 9. ตอบ ง . งก.ทเปาน ัญารอ่ืงหแงเกสาจกสียาากง่ิง้ปรคแขัญวนดาใหลนด้อชาเมมุ คสชนรสุขก่วอ่ื ภนา� งลาใมหงัพปญอื รช่จใะะมุสนเปบชก็นกนาปบั ัญรปใหปญัหาหรส้ สาะ�า�านกหเนั้ รรออับจ็ ยบชเู่ไปุมอดชน็ าน้นจชเา�มนั้นือีพวจงน �าม เเนาปก่ือ็นงจจงึตาสกอ้มมคงีมวไลรดพไดิษร้ ร้ทบั บั ากคงอาวราากแกามศไ้ ขรปว่มญั ลมหพมาิษหทอืราอืจงกนาากร้�ารชใวว่ คมยถเรหึงลมอืลเพปน็ิษ 10. ตอ1บ2.ง . 11. ตอบ ข . กพล. า�บดมบัรากแฐั รใบนกกาลลมุ่ วยั รนุ่ ซง่ึ กา� ลงั เปน็ วยั คกึ คะนอง อยากรอู้ ยขาก.ล องปแรละะยธงั าไมนม่ ชคี วมุ ามชรนใู้ น ก ารปอ้ งกนั การตง้ั ครรภเ์ ทา่ ทคี่ วร 12. ตอบ ง . คเมแเเ.ปพก ่อื น็ร้ไาขเกเะปกจาถัญร็บ้าา้ วหทเิหรคาุกสวรนคขุาบนะภ้าหใราทนพป์วช่ีขัญใมุมนหอชชขานุมงส้อรชรขุ น่วมภัฐมขาม อูลพืองชทกตมุ ันนาชนเงอกดงโ็จไา้ดดะยชน้ ่วเนสยใน้ ุขหป้ชภญั ุมาชหนพาทสขม่ีาคีมอาวงราง.มถช สก มุา��าคทหชญันุกนหดครแไนือนดมว้แรีคท่ววาลางมม้วแเลม ระ่งขเือดกนั้ ว่กิดนตกันทรอ่จีะบะนตวต้อนงอ่กดาไา�รเปเนรคินียนกอื ารขรู้รแ่วอ้ กมใ้ไกขดันใหใน้ลกลุ ว่ารง 13. ตอ1บ3.ค . กก. อ่ นกเปา็นรอสนั ดังับเกแรตก ข. การสมั ภาษณ์ ค. การวเิ คราะหป์ ญั หาสขุ ภาพชุมชน ค. การหาแนวทางแกไ้ ขปญั หาสขุ ภาพในชมุ ชน 127 127
14. ขวตั้อถใดุปเรปะ็นส วงิธค1กี ์ไ4า.ว รขวล้ ตัอ้เ่วถใกดุปงเบ็รปหะ็นสรวนงวธิคกี์า้ไบาวรล้ รเว่กงว็บหรมนว้าบขรว้อมมข้อลูมูลดดว้ว้ ยยกากรสานรทนสานอยทา่ งมนีจาุดมอ่งุ หยมา่ ายง ม โดจี ยกุด�าหมนงุ่ด หมาย โดยก�าหนด ก. การส งั เกต กค.. การสังเกต ข. ขกกาา.รร ทสัมา� แภกบาาษบทณรด์ ส สอัมบภาษณ ์ การทา� แบบสอบถาม ง. 15. คข.อ้ ใดกกาลรท่า วา� ไแม1บ5.ถ่ บขกขูก..้อส ใต ดอกปก้อาญั บลรหจง่าดัถวาใไลดมาา� ท่ถดมี่มูกับคีตค ะอ้วแางนมนสา�มคาัญก ขคออื ง ปปัญัญหหาาคทือ่มี กคี างวราว.มิเ คสร�าาคกะญัหาม์ปาัญรกหททาี่ส�าุดแ บบทดสอบ ก. การจ ดั ลา� ด คงบั .. ค คปวญวั าหามายมทาอก่ี สยงา่อู่ า�ยาใศคนยั กมัญาสีราแขเกหป้อตญั มุ งหาจาปาเปกญัน็กการาหทรพป่ีาจิรคาะชรณาือชานกวา่แมาขคีง่รขวาวนั มกเิรนัใคู้ นสกรรา้างารทใชะอี่ แ้ยหกอู่ ป้าป์ ญศั ยัหัญมาาไกหดเห้ การนิอื ไไปม่ ข. ปญั ห าใด16ท. กข่ีม.้อ คีใ ดคเะวปาแ็นมปเนคัญรนหยี าดมส ังาคมกใน ชคมุ ือชน เมปือญัง หขา. ท คม่ี วาีคมรวนุ าแรมงในสค�ารอคบัญครัวมากที่สุด คง.. คปวญั าหม ายทา1อก่ี 7ยง. า่อ่กเคู พย..า ร ใาศขกะนาาเยัรดหกไงตมมบาุใม่ดปสีรีเใรวนาแะลชมเากุมาหอณชอป้ นตกแญัชกลมุน�าะบลบหางัคุทกจาลจาาาึงเยกปป กรร นะ็กสกบากราบั ทรปงข.พญั.ป ่ี หจิกขราาากาะรดาชเรกรกาจณดิารดัมจชบาลัดรนภกวิกาาาา่แวรรทะมสขทด่ีขุ าคีีง่ภงาขวเสพาียนัขงมอกงรรนั ฐัใู้ นส กรา้างรทใชอี่ แ้ ยกอู่ ป้าญศั ยั หมาาไกดเห้ กรนิ อื ไไปม่ 16. ขอ้ ใดเปน็ ปัญ18ห. าขค.้อส ใดขงั ไามคด่ใคชมว่แาในมนวรท้คู ชาวงามุแมกสช้ไาขมนปาญัรเถหม าสือุขงภาพในงช. มุ ชขนาดแคลนเร่ืองสาธารณปู โภค คก.. คกวาราไม มเคม่ รีเวีย ลดขกค...า อปเเนนรอน้้นบั กกปกาจิรรกงุกสรสนรภา� มับาลสสพรนแังา้ ุนวงกดงเสบลารป้อมิยมรสะ ุขมโดภายณาจพใดัหใหส้มง่ิม้าแากวกดขล้นึ ้อขง ม .ท. ่ีเอ ้ือกคตอ่ วาสราุขภเมากพรดิ นุ มแลรภงใานวคะทรอางบเคสรยี ัวง ผฉูส บอับน 17. เพราะเหต ุใด1ใ9น. ชงช.ุม ุมชคนวชใบนนคลุมักชษอตัณนระาใบกดาททร่นีเพจา่ จิม่ งึะขมปึ้นีปขญัรอหงะจาส�าสนขุบวภนกาปพรบัมะาชปกาทกญั ส่ีร ดุ โหดยากากรคาุมรกจา� เดันิดบรกิ ารสุขภาพของรัฐ ก. ขาดง บปร ะกคม.. า ชชณมุุมชชนนแเแมลอืออะงดั บ คุ ลากร ข. ขชชุมุม.ชช นนชชขานนบาเทมดอื กง ารจดั การทด่ี ี ง. 18. ขค.้อ ใดขไามดใ่ ค ชวแ่ า2นม0.ว ร ปกขท้คู ..จั จาวบุรกงะานัาบรแรมปบฐั กบรปสะารก้ไละานักไขดมสนั จ้ปขุสดัาภงั สญัคารวพมสัถภหดากิ คาาเรสอในกุขกชานภรรกัาษพาพใยนาบงชา.ล มุอะชไรขในหาแ้ ดกผ่ แยู้ าคกจลนหนรอืเผรดู้ อ่ื อ้ ยงโอสกาาสธ ารณปู โภค ก. เน้นก ารสน คงบั.. สสโควนรัสงดุนกิกาางรรหบรลักักปษปารรพะยะกานัมบสาขุาลภขณาอพงใถขห้วา้ นราม้หชนกา้าา กร ข. เน้นกิจกรรมสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพให้มากขึ้น 14. ตอบ ขค..งค..รปเ ป าญั ็นยหลปควาิธะวรทเกี อบอี่ับายี รยดคปเอู่ กขามุรอบ็ศงุงรอยั ขวสอ้ตับมมภรีสรลู วาาาอมเพยหกขา่้อตาแงมุมตรูลวารเจดดงพา้วเกลยป่มิกก้า้อาหาขรรมมมน้ึสา ปียนขโรททดะอนช้งั ยางนาชอจจ้ตีนยดัอ้า�อา่ งงนยสอม่เู ปาวิง่จี ศน็แดุนัยจมวเป�าวุ่งนดลหราวมละแนาลชอ้ยมะาามคกโกวดทารยจมเี่กงึ สอทา�โาห้ือด�ามในาตหยรด้พถ่อกวนื้ขัตสาอทถรงุขุป่ีใผคนรภสู้ กะมุ ัมสาาภรกงพาตคษา� ัง้ไ์ ณเวบนล้ ้าเ์ ป่วนิดง็นเหรหนอื ลน้ากั ไมซเ่งึ่พเปียงน็ พวอธิ ที จ่ีชึง่วยเกใหิด้ 15. ตอบ 16. ตอ1บ9. ข. ชมุคเนวชอื่ามงนจแอาใกอนดัปลจัขอจักงบุ ษปนั รณมะีสชะาอ่ื กใตรด่างทๆน่ีทเี่า่ปจน็ ะสมง่ิ ยปี่วั ยัญุใหห้เกาดิ สควขุ ามภรานุ พแรมงใานกครทอ่ีสบคดุ รัว เชน่ ละคร เกม เป็นต้น 17. ตอบ กก..กค..บเก น าร ื่อริก ชชงสาจรนมุุมาทับกชชากสงนนานสรุขุนเแใภมหงอาบ้บือพอรปเงทิกดัร า่าะ ทรมสาค่ี ณุขวภรนาั้นพขอสง่วรนัฐใใหนญบ่แางลพ้วจื้นะทนย่ี �างั มไามใท่ ชวั่้ใขงถน.ึง.ก ทาัง้รชชใสนนุมมุ ดับ้าชชนสนนนบคุชชุนลใานนานกบเรรเท่ือแมงลขือะองงงบกปารระจมัดาณกิจทก�ารใรหมป้ หรระือชโาคชนรงไมก่ไาดรร้ในับ 18. ตอบ 19. ตอ2บ0. ก .ปจัชเนุมจอื่ชบุงนจมนั าากรกมกฐั ปี วบร่าะาชลากไรดอจ้าศดั ยั สอยวกู่ สั นั ดอยกิ า่ างหรนในาแกนน่ารเปรน็กั สษาเาหพตใุ ยหาเ้ กบดิ แาหลลอง่ เะพไาระพในัหธแ้ ข์ุ อกงผ่เชยู้อื้ โารกคจแนลหะกรารอื กผระดู้ จอ้ายยขอโองเชกอ้ื าโรสค 20. ตอบ ง.ขก..เกเปข อ่า้น็ รใรกสหับะเ้วากกสับารดิ ดรปปบกิรัญัการปรหษะทราากรี่ทพะฐัันายกงบาสสันบาลขุาุขสภจลภาดังัไพดใคาหต้โดพมแ้ากมยภไมป่ มาราเ่ ะสคชียาเคชอน่าใกทชยี่้จชา่ากนยจดน้านหกราอื รผรดู้ กั อ้ ษยโาอพกยาาสบาเลพมอ่ื าเปกน็เกกินาไรปเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนทกุ คนไดม้ โี อกาส ค. สวัสดกิ ารรักษาพยาบาลของข้าราชการ ง. โครงการหลักประกนั สุขภาพถ้วนหน้า 128 128
8หนว่ ยที่ การพฒั นาสมรรถภาพ ทางกายเพอ่ื สขุ ภาพ บคุ คลโดยทว่ั ไปทราบดอี ยแู่ ลว้ วา่ การออกกา� ลงั กาย การพกั ผอ่ นอยา่ งเพยี งพอ ผฉสู บอับน มีความส�าคัญและมีประโยชน์ต่อการสร้างเสริมให้ร่างกายมีความแข็งแรงสมบูรณ์ การรู้จักการวางแผนและจัดเวลาจึงมีความจ�าเป็น เพราะจะช่วยให้บุคคลสามารถ ออกก�าลังกาย พักผ่อน รวมทั้งสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายได้ตามที่ได้ตั้งใจไว้ นอกจากน้ีการรู้จักทดสอบสมรรถภาพทางกายก็จะช่วยให้มีข้อมูลอย่างเพียงพอ เพื่อจะได้วางแผนการฝึกให้เหมาะสมกับขีดความสามารถของตนเอง รวมถึงน�าไป แก้ไขส่วนที่ยงั บกพร่อง เพือ่ ให้การออกกา� ลงั กายของตนเกดิ ประโยชน์สูงสุด ตัวช้ีวดั ชน้ั ปี KEY QUESTION •ม าตวราฐงาแนผนพแ4ล.ะ1จัด(มก.า3ร/4เว,ลมา.ใ3น/5ก)ารออกก�าลังกาย การพักผ่อน และการสร้างเสริม สมรรถภาพทางกาย 1. เพราะเหตุใดจึงต้องมีการวางแผน • ทดสอบสมรรถภาพทางกายและพฒั นาไดต้ ามความแตกต่างระหว่างบุคคล และจดั เวลาในการพฒั นาสมรรถภาพ ทางกายเพื่อสขุ ภาพ 2. นกั เรยี นมแี นวทางอยา่ งไรในการพฒั นา สมรรถภาพทางกายเพอ่ื สขุ ภาพ ส• ารกะากรวาารงเแรผยี นนแรล้แูะจกดั นกกาลรเาวลงาในการออกกา� ลงั กาย การพกั ผอ่ น และการสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพทางกาย • การทดสอบสมรรถภาพทางกายแบบตา่ งๆ และการพฒั นาสมรรถภาพเพอื่ สขุ ภาพ Teacher’s Guide ประเดน็ ทจี่ ะศึกษาในหนวยนี้ ไดแ ก 1. การวางแผนและจัดเวลาในการออกกาํ ลังกาย 2. การวางแผนและจดั เวลาในการพกั ผอน 3. การวางแผนและจัดเวลาในการสรางเสรมิ สมรรถภาพ ทางกาย 4. การทดสอบสมรรถภาพทางกายแบบตางๆ 5. แนวทางการพัฒนาสมรรถภาพเพอ่ื สขุ ภาพ ทกั ษะการคดิ ทสี่ มั พนั ธก บั ตวั ชวี้ ดั ในหนว ยนี้ ไดแ ก ● ทกั ษะการนาํ ไปใช ● ทักษะการประเมนิ 129
มฐ. พ 4.1 Teacher’s Guide ตัวช้วี ัด ม. 3/4,5 ใหน ักเรียนแบงกลุม กลมุ ละ 5-6 คน วางแผนและจดั เวลาในการออกกาํ ลังกายของ นกั เรียนวา ในการออกกาํ ลังกายเพ่ือสุขภาพควรมีหลักปฏบิ ตั อิ ยางไร 1. การวางแผนและจดั เวลาในการออกกา� ลงั กาย ลบั สมอง การวางแผนและจัดเวลามีความ เด็กควรรู การวางแผนและจัดเวลาในการออกก�าลังกาย นับเป็น ส�าคัญและประโยชน์อย่างไรในการ เปนส่ิงที่ไมควร ส่ิงส�าคัญท่ีมีประโยชน์อย่างย่ิง ท�าให้สามารถตรวจสอบได้ว่า ออกกา� ลังกาย ท่ีจะมองขา ม เพราะกฬี า สอนใหคนรูจักแพ รูจัก สามารถปฏิบัติได้ตามเป้าหมายท่ีวางไว้หรือไม่ อีกท้ังยังช่วย ชนะ และรูจักอภัย มีวิธี หลกี เลย่ี งการบาดเจบ็ และปญั หาทอี่ าจจะเกดิ ขนึ้ ซงึ่ การวางแผน เชน ปฏบิ ตั ติ ามกฎกตกิ า ทด่ี จี ะเปน็ เครอื่ งมอื ทสี่ า� คญั ในการสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพทางกาย การแขง ขนั และเลน อยา ง ดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนและต้องมีการเตรียมตัวทุกครั้งก่อน ขาวสะอาด ปฏิบัติตาม การออกกา� ลงั กายและการเล่นกีฬา เพ่ือประโยชน์ ดังน้ี คําส่ังสอนของผูฝกสอน เคารพความสามารถ ชว่ ยใหเ้ กิด ชว่ ยใหส้ มอง ของทีมคูแขง ยอมรับ ปลอดโปรง่ มสี มาธิ คําตัดสินของกรรมการ การเรียนรรู้ ่วมกนั เปน ตน เกดิ การเข้าใจผอู้ ื่น รู้จกั ตอ่ การเรยี นรู้ การเสยี สละ และการ ส่ิงต่างๆ ได้ มนี า้� ใจนักกีฬา ผฉูส บอับน ชว่ ยใหจ้ ติ ใจ ร่าเริงแจ่มใส เดก็ ควรรู คลายความเครียด และ อายุที่มากขึ้นจะ ความวติ กกังวลตา่ งๆ ทําใหระบบภูมิตานทาน ชว่ ยสร้างสมาธิ และวินัย สามารถทาํ งานไดน อ ยลง ขณะเดียวกันปจจัยอื่นๆ ให้ตนเอง ก็มีสวนในการบั่นทอน ช่วยให้ ระบบภมู คิ มุ กนั ดว ย ไดแ ก การขาดอาหาร การ ระบบอวยั วะตา่ งๆ พักผอนไมเพียงพอ การ ในรา่ งกายสามารถทา� งาน ไมอ อกกาํ ลังกาย การลด นา้ํ หนกั โรคมะเรง็ การ รว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งมี ผาตัด และการบาดเจ็บ ประสทิ ธิภาพ และชว่ ยสร้าง รนุ แรง ภูมคิ มุ้ กนั ทด่ี ีใหแ้ กร่ ่างกาย 130
จากการศึกษาการวางแผนและจัดเวลาในการออกกําลังกาย หาก Teacher’s Guide นักเรียนบางคนไมคอยมีเวลาในการออกกําลังกาย นักเรียนจะชวยแนะนํา ครอู าจชว ยแนะนาํ อยางไร นักเรียน เก่ียวกับเรื่อง การออกกาํ ลงั กายทเี่ หมาะ 1.1 ขนั้ ตอนการวางแผนและจัดเวลาออกกา� ลังกาย กับวัยและสมรรถภาพ ทางกายของนกั เรยี น วา การวางแผนและจัดเวลาในการออกก�าลังกายมีผล กอนออกกําลังกายหรือ ต่อการพัฒนาสุขภาพท้ังทางร่างกายและจิตใจ โดยมีขั้นตอน เลนกีฬาควรจะสํารวจ การดา� เนินการ ดังต่อไปนี้ สภาพรา งกายของตนเอง วามีความพรอมแคไหน 1) การเตรียมตนเอง เป็นสิ่งส�าคัญที่สุดในการวางแผน และไมควรจะเลนกีฬา และจัดเวลา โดยถือเป็นการเตรียมร่างกายให้พร้อม และสร้าง ท่ีหนักมากเกินไปกวา แรงจูงใจในการออกก�าลังกายท่ีดีให้กับตนเอง ซ่ึงมีหลักในการ ความสามารถของตนเอง เตรยี มตนเอง ดงั นี้ ผฉสู บอับน การสร้างพลังแกต่ นเอง การประเมนิ ตนเอง นบั เปน็ การสรา้ งพลังและแรงจงู ใจใหแ้ กต่ นเอง เป็นการวิเคราะห์เก่ียวกับศักยภาพของตนเอง ในการออกก�าลังกาย โดยการส�ารวจกิจกรรม ต่อกจิ กรรมที่ตอ้ งการปฏบิ ัติ โดยทา� การสา� รวจ ในชวี ติ ประจา� วนั ของตนวา่ มกี จิ กรรมใดบา้ งเปน็ ความพรอ้ มของรา่ งกายและสมรรถนะตา่ งๆ ของ กจิ กรรมทที่ �าใหก้ ารออกกา� ลงั กายเปน็ กจิ กรรม ตนเอง ซ่ึงรวมไปถึงประเภทของกิจกรรมและ ที่ตนเองสนใจ ชนื่ ชอบ และสามารถน�ามาสร้าง ทักษะต่างๆ ที่ล้วนมีความจ�าเป็นต้องใช้ในการ เปน็ แรงจงู ใจให้แก่ตนเองได้ เพราะการท�าอะไร ออกก�าลังกาย ว่ามีความเหมาะสมกันหรือไม่ ก็ตามถ้ามแี รงจงู ใจเป็นพลงั ขับเคลอื่ น จะทา� ให้ โดยควรเลือกให้เหมาะสมกับเพศ และวัยของ กิจกรรมนั้นประสบผลส�าเร็จและผ่านพ้นไปได้ ตนเอง รวมถงึ ความถนดั และความพอใจของแตล่ ะ ด้วยดี บคุ คลด้วย เด็กควรรู หรือสมรรถภาพ ทางกายเพ่ือสุขภาพ คือ ความสามารถในการ ปฏิบัติภารกิจประจําวัน อยางตอเน่ืองดวยความ กระฉับกระเฉงและต่ืนตัว ปราศจากความเหนอ่ื ยลา แ ล ะ ยั ง มี พ ลั ง ม า ก พ อ ที่จะปฏิบัติกิจกรรมใน เวลาวางตอไป รวมถึง สามารถเผชิญหนากับ ภาวะฉุกเฉินท่ีคาดไมถึง ไดดว ย การเตรียมตนเองให้พร้อมก่อนการออกก�าลังกายท้ังทางร่างกายและจิตใจ จะช่วยให้สามารถออกก�าลังกายได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ IT 131
Teacher’s Guide ใหนักเรยี นแบง กลุม กลุมละ 5-6 คน วางแผนและจดั การเวลาในการออกกําลังกายของ นกั เรียนตามขัน้ ตอน แลว ทาํ เปนรายงานสงครูผสู อน 2) การเตรยี มกิจกรรม เปน็ การเตรียมงานส�าหรบั การวางแผนและจัดเวลาในการออกกา� ลังกาย ดงั นี้ ผฉูสบอบั น 1 กา� หนดเปา้ หมายหรอื วตั ถปุ ระสงค์ เดก็ ควรรู ในการออกกา� ลงั กายวา่ มเี ปา้ หมายอยา่ งไร เชน่ เพอ่ื สขุ ภาพ (warm up) เปน ทแี่ ข็งแรง เพื่อการแขง่ ขัน เพือ่ ความสนุกสนาน เป็นต้น การเพิ่มอัตราการเตน ของหัวใจ อุณหภูมิของ 2 วเิ คราะหแ์ ละศกึ ษากิจกรรม รางกาย และการเพ่ิม การหายใจอยางชาๆ โดยการวเิ คราะหถ์ งึ ผลดผี ลเสยี ทจ่ี ะไดร้ บั จาก เพ่ือลดอาการบาดเจ็บ การออกกา� ลงั กาย ศึกษารปู แบบของกจิ กรรมตา่ งๆ เหน่ือยลา ซ่ึงประกอบ รวมทง้ั กฎกติกา และทกั ษะท่ีใช้ในการทา� กิจกรรม ไปดวยการยืดกลามเน้ือ และเอน็ กลา มเนอื้ มดั ใหญ 3 การเขยี นแผนการด�าเนินการ ประมาณ 5-10 นาที เปน็ การวางแผนการทา� กิจกรรมเป็นลายลกั ษณอ์ ักษร เพื่อใหเ้ กดิ การเตรียมตวั อยา่ งจริงจงั เสมอื นเป็นการสญั ญา เด็กควรรู ว่าจะต้องด�าเนินการตามแผนหรือกิจกรรมท่ีได้วางไว้ โดยมี (cool down) คือ การปรับสภาพรางกาย การกา� หนดแผนการฝกึ และตวั ชวี้ ดั เพอ่ื ใชใ้ นการประเมนิ ตอ่ ไป กลา มเน้อื การเตน ของหวั ใจ ใหเขาสภู าวะปกติอยา ง คอยเปนคอยไป กอนที่จะหยุดพักหรือเลิก ทั้งนี้เพื่อ 4 การดา� เนนิ การตามแผน ใหกลามเน้อื และหัวใจ ไดคอยๆ ทํางานนอยลงเรื่อยๆ จนกระทง่ั กลบั สูร ะดับปกติ มีขั้นตอนในการฝึกปฏิบตั ิ ดงั น้ี ● การฝึกปฏบิ ตั ิ ยดึ หลักการปฏบิ ัติ 3 ระยะ คอื การอบอนุ่ ร่างกาย การฝึกปฏบิ ตั ิ และการผ่อนคลาย ซ่งึ จะตอ้ งมกี ารปฏิบตั ิตามกฎกติกาอยา่ งเคร่งครดั ● เลอื กกจิ กรรมตามความถนดั โดยศึกษากฎกติกา การเลน่ รวมท้ังอปุ กรณ์ท่ใี ช้เพอื่ ให้บรรลเุ ปา้ หมาย และลดความเสีย่ งเน่ืองจากการฝกึ ● ฝึกปฏิบตั ิอย่างเคร่งครัด โดยการปฏบิ ตั ิอยา่ งเตม็ ความสามารถ และรกั ษาเวลาให้ไดต้ ามทีว่ างแผนไว้ 5 การประเมนิ ผล เปน็ สิ่งทส่ี �าคัญและมคี วามจา� เป็นอย่างยงิ่ เนื่องจากผล ของการประเมินจะทา� ใหเ้ ราทราบความกา้ วหนา้ และ สามารถพฒั นาการเสรมิ สรา้ งสมรรถภาพทางกายให้มี ความเป็นไปได้มากขน้ึ ซง่ึ ในการประเมนิ อาจจะประเมนิ ไดด้ ว้ ยตนเอง หรือสามารถเลอื กใช้แบบทดสอบท่ีเหมาะสมกบั กิจกรรมการฝึกก็ได้ 6 การตดิ ตามผลและการปรบั ปรุงแกไ้ ข เพือ่ สังเกตการพัฒนาหรือความกา้ วหนา้ อนั เปน็ ผลจาก การฝกึ ในชว่ งเวลาหนึง่ แลว้ นา� ผลทีไ่ ด้มาปรบั ปรุงแก้ไขปญั หา หรอื อปุ สรรคต่างๆ เพ่อื ให้การฝกึ มีประสทิ ธิภาพและเปน็ ไปได้ อย่างตอ่ เนื่องจนเป็นนสิ ัย 132
IT คน หาขอ มลู เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั การเตรยี มการปอ งกนั ความเสย่ี งและอนั ตรายทอ่ี าจ เกิดข้ึนขณะออกกําลงั กายไดที่ http://dopah.anamai.moph.go.th 3) การเตรียมการป้องกัน เป็นการเตรียมการป้องกัน กอ่ นการออกกา� ลังกายควรสา� รวจ ความเส่ียงและอันตรายท่ีอาจเกิดขึ้นขณะออกก�าลังกาย ความพรอ้ มของสภาพร่างกายให้ดี เสยี กอ่ น และเม่ือเกดิ อาการ ซง่ึ กอ่ นการออกก�าลังกายควรสา� รวจอปุ กรณท์ ี่ใช ้ สา� รวจสถานที ่ ผิดปกติควรหยุดออกก�าลังกาย ส�ารวจสภาพดินฟ้าอากาศ และที่ส�าคัญควรส�ารวจความพร้อม ทนั ที เพ่ือป้องกนั อันตรายทอี่ าจ ของสภาพร่างกายให้ดีเสียก่อน เพ่ือป้องกันอันตรายที่อาจจะ เกิดข้ึนนะครบั เคยออกขอสอบ เกดิ ขนึ้ โดยขอ้ ควรระวงั และอาการแสดงทคี่ วรหยดุ ออกกา� ลงั กาย O-NET ป 2553 โดย หรือเล่นกีฬานนั้ มดี ังน้ี โจทยถามวา ขอใดไมใช 1. เมอื่ มอี าการผดิ ปกต ิ เชน่ เปน็ ไข ้ เวยี นศรี ษะ คลน่ื ไส ้ สัญญาณอันตรายจาก อาเจยี น หายใจไม่ออก เหน่ือย ออ่ นเพลยี มากกว่าปกต ิ ใจสัน่ การออกกําลังกาย หัวใจเต้นผิดปกติ ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายไม่ได้ มอี าการบาดเจบ็ หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหน่ึงภายในรา่ งกายเกิด ผฉสู บอับน การอักเสบ เปน็ ต้น 2. ภายหลังจากการฟื้นฟูสมรรถภาพ เช่น ภายหลัง เดก็ ควรรู จากการฟื้นไข้ใหม่ๆ ภายหลังจากการผ่าตัด หรือภายหลังจาก กอนที่จะทําการ การเจบ็ ปว่ ย เปน็ ตน้ เนอ่ื งจากรา่ งกายกา� ลงั อย่ใู นสภาพทอ่ี อ่ นแอ ออกกําลังกายหรือเลน และต้องการการพกั ผอ่ น กฬี าอยางนอย 3 ชัว่ โมง 3. ภายหลงั จากการรบั ประทานอาหารใหมๆ่ เพราะอาจ ควรงดอาหารหนักเพื่อ ท�าให้เกิดอาการจุกเสียดได้ ป อ ง กั น ก า ร จุ ก เ สี ย ด โดยเฉพาะกีฬาท่ีมีการ กระทบกระแทก เชน กฬี า ฟตุ บอล บาสเกตบอล วิ่ง จกั รยานทางไกล เปน ตน ในขณะท่ีออกก�าลังกายหรือเล่นกีฬา หากรู้สึกว่าร่างกายมีอาการผิดปกติ ควรหยุดการออกก�าลังกายหรือเล่นกีฬาน้ันทันที เพือ่ ป้องกันอนั ตรายทอ่ี าจเกดิ ข้นึ IT 133
Teacher’s Guide ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน แลว รว มกนั เลา ประสบการณก ารทอ งเทย่ี ว พกั ผอ นตามสถานทตี่ า งๆ จากนนั้ ใหน กั เรยี นชว ยกนั สรุปสาระสําคญั 2. การวางแผนและจดั เวลาในการพักผอ่ น การพักผ่อน หมายถึง การหยุดพัก หรือละเว้นจาก ภารกิจการท�างานหรือกิจกรรมต่างๆ เพ่ือให้ร่างกายมีโอกาสได้ ลดความความเหน็ดเหนื่อยและเม่ือยล้าจากการปฏิบัติกิจกรรม ประจา� วนั ดว้ ยการใชก้ จิ กรรมนนั ทนาการผอ่ นคลายความตงึ เครยี ด ทางร่างกายและจิตใจ รวมท้ังการพักผ่อนด้วยการนอนหลับ ซึ่งเป็นการพักผ่อนที่ดีท่ีสุด โดยในขณะที่เรานอนหลับสมอง และหัวใจจะท�างานน้อยลง ถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะท�าให้ รา่ งกายอ่อนลา้ ไมม่ ีสมาธิในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตา่ งๆ ปกติแลว้ คนเราควรนอนหลับวันละประมาณ 8-10 ช่ัวโมง ติดต่อกันใน ช่วงกลางคนื ซ่ึงการพกั ผ่อนกอ่ ให้เกดิ ประโยชนแ์ ก่รา่ งกาย ดงั น้ี ผฉูสบอบั น ช่วยผอ่ นคลาย ชว่ ยให้มี เดก็ ควรรู ความตึงเครียดทางจิตใจ ประสทิ ธิภาพในการทา� งาน หมายถงึ กจิ กรรม โดยการทา� กิจกรรมท่ีไม่หนกั มาก ท่ดี ียง่ิ ขึ้น เนือ่ งจากร่างกายท�างาน ท่ีทําตามความสมัครใจ เหน็ดเหนื่อยจนเกดิ ความออ่ นล้า ในยามวาง เพื่อใหเกดิ สร้างความสนุกสนานและคลายความ สมรรถภาพทางกายเรม่ิ ลดลง การพกั ผอ่ น ความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ วิตกกงั วล วา้ วุน่ หรือหมน่ หมองภายใน และผอนคลายจากความ จิตใจ รวมทงั้ กจิ กรรมทีป่ ฏบิ ตั ิรว่ มกับ จะช่วยให้รา่ งกายสดชืน่ ข้ึน พร้อมท่จี ะ ตงึ เครยี ด ซง่ึ ลกั ษณะของ ท�ากจิ กรรม ประจ�าวนั ตอ่ ไปได้ กิจกรรมนันทนาการ จงึ ผอู้ ื่น ยังช่วยให้เกิดความสัมพนั ธ์ อย่างมี ประสิทธิภาพ เปนการกระทําท่ีทําดวย อนั ดตี อ่ กนั และทา� ให้ การเคล่ือนไหวอวัยวะ ชว่ ยผอ่ นคลาย ความเครยี ดลดลง รา งกายหรอื เปลย่ี นแปลง อิริยาบถท่ีมีปฏิกิริยาตอ ความเมอ่ื ยลา้ สิ่งแวดลอ ม เชน การวงิ่ การเดินออกกําลังกาย ใหแ้ กร่ า่ งกาย การเลน กฬี าการดโู ทรทศั น เนอื่ งจากกิจกรรมทีป่ ฏิบตั มิ าตลอด ฟง วิทยุ ฯลฯ ทั้งวันหรือปฏิบัติอย่างต่อเน่ืองจะสร้าง ชว่ ยลดปัจจยั ความเมอื่ ยล้าให้แก่ร่างกาย ซึ่งเป็น เส่ียงของอบุ ตั เิ หตุ อนั เนอื่ ง สญั ญาณเตือนของร่างกาย ที่ต้องการพักผอ่ น มาจากการใช้ร่างกายเป็นเวลา นานจนเกิดความอ่อนเพลียสะสม เกดิ ความเม่อื ยลา้ ซงึ่ อาจเป็น ปัจจยั เสี่ยงต่อการเกดิ อุบตั ิเหตุ ตา่ งๆ ไดง้ ่าย 134
2.1 ขั้นตอนการวางแผนและจดั เวลาในการพกั ผอน ÅºÑ ÊÁͧ เด็กควรรู หมายถงึ กจิ กรรม การพกั ผอนเปน การชวยฟนฟสู มรรถภาพใหแกร างกาย เพราะเหตุใดการทํางานหนักจน ที่พาผูเรียนออกไปหา เพือ่ ใหการพักผอ นสามารถทําไดอ ยา งเต็มประสทิ ธภิ าพ จึงตอ ง พักผอนไมเพียงพอ จึงเปนโทษตอ ประสบการณภายนอก มกี ารวางแผนและจัดเวลาในการพักผอ น รางกาย หองเรียน เพ่ือใหเกิด การเรียนที่สอดคลองกับ ● การกาํ หนดเวลา ควรกาํ หนดตารางเวลาเชน เดยี วกบั IT เนื้อหาและวัตถุประสงค ตารางการออกกําลงั กาย และปฏิบัติตามอยา งสมํา่ เสมอ ท่ีกําหนดไว โดยเนน การเรียนรูเพื่อเพ่ิมพูน ● เลอื กประเภทการพกั ผอ นทเ่ี หมาะสม เชน ดูโทรทศั น ประสบการณน้ันใหแก ทอ งเทยี่ ว ทศั นศึกษา อา นหนงั สือ นอนหลบั เปนตน ผูเรียน ซ่ึงจะตองอาศัย การวางแผนดําเนินการ 1) การเตรียมการ โดยการเลือกกิจกรรมที่เหมาะสม ซึ่ง อยา งมีขัน้ ตอน ควรคํานงึ ถึงหลกั เกณฑ ดังน้ี ผฉสู บอับน 1. เลือกตามความชอบและความสนใจ เปนกิจกรรมท่ี สามารถทําไดต ามความสามารถของตนเอง 2. ไมควรเลือกกิจกรรมที่หักโหม หรือกิจกรรมที่สราง ความเครยี ดจนไมเ กิดการพกั ผอนที่แทจ ริง 3. เลือกกิจกรรมกลุม ซึ่งสามารถชวยเสริมสรางความ สมั พนั ธท ี่ดีรวมกบั ผูอ ื่นได 2) การประเมินผล เปนการวิเคราะหผลท่ีไดจากกิจกรรม บางประเภทที่สามารถวัดผลหรือประเมินผลได เพ่ือนําผลท่ีได ไปพฒั นาใหเ กดิ ความกา วหนา ในการปฏบิ ตั ิ การเลอื กกจิ กรรมเพอื่ นาํ มาใชพ กั ผอ นหยอ นใจนน้ั ควรเลอื กตามความชอบ ความสนใจ และความเหมาะสม เพอื่ ใหก ารพกั ผอ น สามารถทาํ ไดอ ยางเต็มประสิทธภิ าพ 135 135
เดก็ ควรรู (Physical Fitness) 3. สกมารรวราถงภแาผพนทแาลงะกจาัดยเวลาในการสร้างเสริม หมายถงึ ความสามารถ ขอ งร างกายที่ใ ชใ น การสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายมีความส�าคัญต่อ การประกอบการงาน หรอื สขุ ภาพของบคุ คล เพราะชว่ ยใหบ้ คุ คลมสี ขุ ภาพรา่ งกายสมบรู ณ์ ปฏิบัติกิจกรรมทางกาย แข็งแรง ลดความเส่ียงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บ และเพื่อให้ อยา งใดอยา งหนงึ่ ไดเ ปน การสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพทางกายเปน็ ไปไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ อยางดีโดยไมเหน่ือยเร็ว จงึ ตอ้ งมกี ารวางแผนและจัดการเวลาท่ีเหมาะสม สมรรถภาพทางกายของ บุคคลท่ัวไปจะเกิดขึ้น ไดจากการเคลื่อนไหว สวนตางๆ ของรางกาย หรอื ออกกําลงั กายอยา ง สม่าํ เสมอ 3.1 ประโยชนข์ องการสรา้ งเสริมสมรรถภาพทางกาย การสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายช่วยให้เกิดประโยชน์ นั ก เ รี ย น คิ ด ว า ในด้านต่างๆ ดังน้ี การสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายเป็น การสรา งเสรมิ สมรรถภาพ 1. รา่ งกายเจรญิ เตบิ โตอยา่ งแขง็ แรงสมบรู ณ ์ กลา้ มเนอ้ื มี ประจา� จะชว่ ยใหบ้ ุคคลมบี คุ ลิกภาพทีด่ ี ท า ง ก า ย มี ป ร ะ โ ย ช น ความแขง็ แรง ความยดื หยนุ่ และทา� งานประสานรว่ มกนั ไดอ้ ยา่ ง สงา่ งาม คล่องแคลว่ และสามารถรกั ษา อยางไร สมดุลของรา่ งกายได้ มปี ระสทิ ธภิ าพ 2. ปราศจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ มสี ขุ ภาพทด่ี ี และมภี มู คิ มุ้ กนั ผฉสู บอบั น ต่อโรคท่ดี ี 3. สรา้ งเสรมิ คณุ ภาพชวี ิต มแี ผนการในการดา� เนนิ ชีวิต ช่วยใหอ้ ารมณ์แจม่ ใส ลดภาวะความเครียดท่เี กิดข้ึนได้ 4. มีบคุ ลิกภาพทด่ี ี สงา่ งาม คล่องแคลว่ และสามารถ รกั ษาสมดุลของรา่ งกายได้ 5. สร้างความปลอดภัยในชีวิต ให้มีการตอบสนองที่ด ี การสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพทางกาย ช่วยลดอุบัติเหตุท่ีเกิดข้ึนหรือลดความรุนแรงจากการบาดเจ็บท่ี นกั เรยี นควรสร้างจติ ส�านึก อาจจะเกดิ ขน้ึ ตอ่ ตนเองให้เห็นถงึ ความสา� คญั และความรับผดิ ชอบ ตลอดจน 3.2 ขั้นตอนการวางแผนและจัดเวลาในการสร้างเสริม เปน็ การควบคุมพฤติกรรมทีด่ ี สมรรถภาพทางกาย เพ่ือน�าไปสู่สุขภาพกายที่แข็งแรง การสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพทางกายเปน็ สงิ่ สา� คญั ทนี่ กั เรยี น สมบูรณ์ ควรปฏบิ ตั เิ ชน่ เดยี วกบั การออกกา� ลงั กายและการพกั ผอ่ น เพอ่ื ให้ เกิดความสมดุลของรา่ งกายโดยมีข้ันตอนตา่ งๆ ดังนี้ 1. การสรา้ งจติ สา� นกึ ตอ่ ตนเอง เพอื่ ใหเ้ หน็ ถงึ ความสา� คญั และเกดิ ความตระหนกั ความรบั ผดิ ชอบ ตลอดจนเปน็ การควบคมุ พฤติกรรมท่ดี ี เพื่อน�าไปส่สู ขุ ภาพกายทแ่ี ขง็ แรงสมบรู ณ์ 136
IT คนหาขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปฐมพยาบาล อาการบาดเจ็บจากการเลนกีฬา ไดจากเว็บไซต http://advisor.anamai.moph.go.th 2. กา� หนดแผนการจดั กจิ กรรม เพอื่ สรา้ งเสรมิ สมรรถภาพ เคยออกขอสอบ ทางกาย โดยค�านึงถงึ พฤติกรรมสขุ ภาพทีเ่ หมาะสม ทง้ั นี้ควรท�า O-NET ป 2552 โดย ควบคู่ไปกบั การออกก�าลังกายและการพักผอ่ นด้วย โจทยถ ามวา ในการสรา ง 3. การสรา้ งพฤตกิ รรมสขุ ภาพทดี่ แี กต่ นเอง ในการดแู ล สมรรถภาพทางกายที่ดี ควบคมุ เรอ่ื งของอาหารการกนิ การออกกา� ลงั กายอยา่ งสมา�่ เสมอ นกั เรยี นจะตอ งปฏบิ ตั ติ น การดูแลความปลอดภัยในชีวิต การตรวจร่างกายประจ�าปี และ อยา งไร การบรหิ ารจัดการอารมณ์ท่ดี ี ส่ิงแวดลอ้ มเปน็ สงิ่ หนงึ่ ทช่ี ว่ ยเออ้ื ตอ่ การ 4. การสรา้ งสภาพแวดลอ้ มทพี่ งึ ประสงค ์ มอี ากาศถา่ ยเท สรา้ งเสรมิ สมรรถภาพทางกาย ซงึ่ นอกจาก สะดวก มจี ิตส�านึกท่ดี ตี อ่ สิ่งแวดล้อมเพอ่ื ช่วยให้มสี ขุ ภาพที่ดี จะเปน็ แรงจงู ใจในการออกกา� ลงั กายแลว้ 5. ค�านึงถึงความปลอดภัย โดยการปฏิบัติตามกฎ ยงั สง่ ผลใหม้ สี ขุ ภาพจติ ทดี่ ดี ว้ ย ระเบียบ กติกาอย่างเคร่งครัด และควรมีความรู้เก่ียวกับ การปฐมพยาบาลเบอ้ื งต้น 4. การทดสอบสมรรถภาพทางกายแบบตา่ งๆ การทดสอบสมรรถภาพทางกาย หมายถงึ การทดสอบ ผฉสู บอับน เพ่ือประเมินความสามารถและประสิทธิภาพในการท�างานของ อวยั วะส่วนต่างๆ ของร่างกายอยา่ งเฉพาะเจาะจง เพราะเหตุใดเรา ถึ ง ต อ ง มี ก า ร ท ด ส อ บ 4.1 ประโยชน์ของการทดสอบสมรรถภาพทางกาย สมรรถภาพทางกายอยู เสมอ การทดสอบสมรรถภาพทางกายชว่ ยใหเ้ ราทราบถงึ ระดบั ความสามารถเพอื่ นา� ไปสกู่ ารพฒั นาตนเองอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง อนั เปน็ ลับสมอง ที่มาของสุขภาพกายที่ดี โดยการทดสอบสมรรถภาพทางกายมี ประโยชน ์ ดงั นี้ องค์ประกอบของสมรรถภาพ ทางกายและการทดสอบมีอะไรบ้าง 1. ใชใ้ นการประเมนิ ระดบั ความสามารถของสมรรถภาพ จงอธบิ าย ทางกายในด้านตา่ งๆ เพื่อประเมินขดี ความสามารถของตนเอง 2. เปน็ แนวทางในการพฒั นาความสามารถทางรา่ งกาย หรือแก้ไขข้อบกพรอ่ งให้มีความสมบรู ณ์และมีประสทิ ธภิ าพ 3. เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาขีดความสามารถของ ตนเองและรกั ษาความสมบรู ณข์ องรา่ งกายใหค้ งอยอู่ ยา่ งสมา�่ เสมอ 4. ใช้ในการปรับปรุงแผนการฝกึ ให้เหมาะสมกับตนเอง 137
องคประกอบของสมรรถภาพทางกายและ การทดสอบมีอะไรบา ง เด็กควรรู 4.2 การทดสอบสมรรถภาพทางกายแบบตา่ งๆ โดยปกติผูใหญ เมื่อพักแลวชีพจรจะเตน ในการทดสอบสมรรถภาพจะต้องอาศัยเคร่ืองมือและ ประมาณ 60-80 ครั้ง แบบทดสอบต่างๆ โดยต้องรู้จักเลือกแบบทดสอบท่ีเหมาะสม ตอนาที เฉลี่ย 72 ครั้ง กบั การวดั ทงั้ นเ้ี พอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ซง่ึ มอี งคป์ ระกอบของ ตอนาที สวนในทารก สมรรถภาพทางกายและการทดสอบในดา้ นตา่ งๆ ทส่ี ามารถเลอื ก และเด็กเล็ก ประมาณ ไดต้ ามความเหมาะสมในแตล่ ะระดบั 90-140 คร้ังตอนาที หรือมากกวานั้น เรา ตารางแสดงองคป์ ระกอบของสมรรถภาพทางกายและการทดสอบ สามารถจบั ชพี จรไดต าม สวนตางๆ ของรางกาย องคป์ ระกอบ การทดสอบ ไดแก ท่ีขอมือทางดาน น้ิวหัวแมมือ ท่ีขมับ มุม ทางการแพทยโ์ ดยการตรวจสุขภาพทว่ั ไป การวัดชีพจร วัดความดันโลหิต วัดคล่ืนหัวใจ กระดูกขากรรไกรลาง ตรวจเลอื ด ตรวจปสั สาวะ เอกซเรย์ ขางลําคอ ขอพับตรง รปู รา่ ง สว่ นสงู นา้� หนกั วดั รอบอก ความหนาของไขมนั แขน ขาหนีบ บริเวณ ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ แรงบีบของมือ กล้ามเนื้อหลัง กล้ามเน้ือขา ขาพับ และหลังเทา กลา้ มเน้อื แขน บริเวณนว้ิ หวั แมเ ทา พลงั ของกลา้ มเน้อื ยนื กระโดดสงู ยืนกระโดดไกล ว่ิงกระโดดไกล ขวา้ งลกู บอล ผฉสู บอบั น ความทนทานของกลา้ มเน้ือ ดึงข้อ งอแขนห้อยตัว ดนั พื้น ลกุ น่ัง 30 วนิ าที ความทนทานของหวั ใจและระบบไหลเวยี นโลหติ กา้ วข้นึ ม้าสงู วัดความจุของปอด ว่งิ ทางไกล ความเรว็ ว่งิ ระยะทาง 50 เมตร ความคลอ่ งตวั วง่ิ กลับตวั วง่ิ เกบ็ ของ ถอื บอลวง่ิ ออ้ มหลัก เล้ียงลกู บอลซิกแซ็ก การทรงตวั หลบั ตายืนดว้ ยปลายเทา้ ลุกน่งั เท้าเดยี ว เดินบนสะพานไม้ จับปลายเทา้ ลกุ น่งั ความอ่อนตัว ยนื กม้ ตวั ลงขา้ งหนา้ นง่ั กม้ ตวั นอนควา่� แอน่ หลงั ยืนแยกเทา้ กม้ ตวั ขา้ งหน้า ยืนแอน่ หลงั ความสัมพันธร์ ะหวา่ งมอื -ตา กบั เทา้ -ตา นงั่ ยกแขนไปข้างหลัง อืน่ ๆ การส่งลกู บอลกระทบผนงั การมองเห็น การได้ยิน 138
Teacher’s Guide ครูควรแนะนาํ แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายที่เหมาะสมกับ นักเรยี น เพอื่ ไมใ หน กั เรยี นเกดิ ความสับสนวา ควรยึดหลกั เกณฑตาม แบบทดสอบใด 1) วิธีการทดสอบสมรรถภาพทางกาย ควรเลือกวิธีการที่ ลบั สมอง เหมาะสมโดยมีหลักการ ดงั น้ี 1. ศกึ ษารปู แบบและวธิ กี ารในการทดสอบ เพราะเหตุใดจึงต้องมีการทดสอบ 2. เตรียมตนเองส�าหรับการทดสอบ โดยการจัดเตรียม สมรรถภาพทางกาย สถานท่แี ละความพรอ้ มของผูท้ ดสอบใหเ้ หมาะสม 3. การบนั ทกึ ผลการทดสอบ เพอื่ ใชใ้ นการปรบั ปรงุ แกไ้ ข เดก็ ควรรู คา BMI เปน คา ดชั นมี วลกาย โดยมสี ตู รการคาํ นวณดงั น้ี 2) แบบทดสอบสมรรถภาพทางกาย ทนี่ า� มาใชใ้ นประเทศไทย BMI = นา้ํ หนักตวั (กิโลกรมั ) ได้มีการปรบั เปลย่ี นและพฒั นาเพอ่ื ใหเ้ หมาะสมกบั คนไทย ดงั น้ี สว นสูง2 (เมตร) แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายทีส่ มั พันธ์กับสขุ ภาพสา� หรับเดก็ ไทยอายุ 7-18 ปี ล�าดบั ท่ี รายการทดสอบ วิธกี ารประเมิน 1 ดชั นีมวลกาย ชงั่ น้า� หนกั วัดส่วนสงู ค�านวณค่า BMI 2 วัดความหนาแนน่ ของไขมนั ใตผ้ วิ หนงั ใช้เครื่องวัดความหนาของไขมนั ใตผ้ ิวหนงั 3 ลกุ -น่ัง 60 วนิ าที นบั จ�านวนครัง้ 4 ดันพื้น 30 วินาที IT นับจา� นวนคร้งั ผฉสู บอบั น 5 นง่ั งอตวั ไปขา้ งหนา้ วัดระยะทาง เด็กควรรู เ ป น เ ค ร่ื อ ง มื อ 6 วิง่ อ้อมหลัก วดั ระยะทาง ท่ีตองอาศัยบุคคลท่ีมี ความชํานาญในการวัด 7 วง่ิ ระยะไกล วดั ระยะทาง โดยเปนการวัดไขมันที่ -อายรุ ะหวา่ ง 7-12 ปี ทอ งแขน ตน แขน สะบกั วงิ่ ระยะ 1,200 เมตร สะโพกแลว นาํ คา มาคาํ นวณ -อายรุ ะหวา่ ง 12-18 ปี จากสตู รหาคา เปอรเ ซนต วงิ่ ระยะ 1,200 เมตร ของไขมัน ซงึ่ วธิ นี อี้ าจจะ คลาดเคลอ่ื นได ถาหาก ขอ้ แนะนา� สา� หรับผู้เข้ารับการทดสอบ ดึงไขมันใตผิวหนัง นอย ส่วนใหญ่นิยมใช้ในโรงเรียน ซ่ึงผู้ดูแลการทดสอบควรจะ เกินไปหรือดึงเอาสวน เตรียมความพร้อมในเรื่องอุปกรณ์และสถานท่ี โดยการวางแผน กลา มเนอื้ ตดิ มาดว ย การด�าเนินงานในแต่ละรายการทดสอบ และควรอธบิ ายขัน้ ตอน วิธีการรวมถึงการประเมินให้ผู้เข้ารับการทดสอบเข้าใจ โดยใน IT ระหวา่ งการทดสอบไมอ่ นญุ าตใหน้ กั เรยี นไปทา� กจิ กรรมอยา่ งอนื่ เพราะจะมผี ลตอ่ การทดสอบ 139
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201