Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปทานกุรมความตาย

ปทานกุรมความตาย

Description: ปทานกุรมความตาย

Keywords: ความตาย

Search

Read the Text Version

คาํ สงั่ เสีย คาำ ขอสดุ ทา้ ยของผใู้ กลต้ าย เชน่ การขอใหล้ กู หลานรกั ใครป่ รองดองชว่ ย เหลอื กนั หรอื ดแู ลกจิ การตอ่ ไป การขอใหญ้ าตมิ ติ รทขี่ ดั แยง้ กนั คนื ดกี นั หรอื การ บอกเลา่ บทเรยี นและประสบการณช์ วี ติ ของตนเองเพอื่ เปน็ อทุ าหรณแ์ กล่ กู หลาน ฯลฯ ผูใ้ กล้ตายบางรายอาจไม่คนุ้ เคยกบั การเปดิ เผยความร้สู ึก ลกู หลานและ ผู้ใกล้ชิดจึงควรหมั่นสังเกตหรือสอบถามความต้องการด้วยความรักความใส่ใจ เมื่อผู้ใกล้ตายบอกเล่าหรือแสดงความต้องการส่ิงใด ลูกหลานควรรับฟังอย่าง ใสใ่ จ และขวนขวายทำาตามคำาสงั่ เสีย ซึ่งจะสะทอ้ นใหผ้ ใู้ กลต้ ายรบั ร้ถู งึ ความรกั ความหว่ งใย การชว่ ยสะสางสง่ิ คา้ งคาใจ เปน็ การปลดเปล้ืองใหผ้ ูใ้ กลต้ ายหมด กังวล จนสามารถนอ้ มรับความตายที่จะมาถงึ และจากไปอย่างสงบได้ 50

ความเจ็บปวด ความเจบ็ ปวด เปน็ สง่ิ ทเี่ กดิ ขน้ึ เปน็ ธรรมดา เมอ่ื อวยั วะของเราเกดิ ความ เสยี หาย ทง้ั จากการบาดเจบ็ หรอื ความป่วยไข้ ความเจบ็ ปวดทางกายมกั จะนำา มาซ่งึ ความรสู้ กึ ทกุ ขท์ รมานทางใจ เราทกุ คนลว้ นเคยเจบ็ ปวดและทกุ ขม์ ากอ่ น และเกรงกลวั วา่ จะเผชญิ อกี ครงั้ ในชว่ งเวลาใกลต้ าย เพราะชว่ งเวลานน้ั คอื ชว่ งทเ่ี ราเปราะบาง ชว่ ยเหลอื ตวั เองไมไ่ ด้ ความเจบ็ ปวดจงึ ดนู า่ กรงิ่ เกรงขนึ้ อกี มาก ความกลวั ความเจบ็ ปวดเปน็ เหตผุ ลหลักประการหนง่ึ ทท่ี าำ ให้คนกลวั ตาย ปัจจบุ ัน เทคโนโลยีทางการแพทยส์ ามารถควบคุมความปวดทางกายใน ระดับต่างๆ ได้เกือบทั้งหมด แม้ในผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มักจะมีความเจ็บปวด ทางกายอยา่ งรนุ แรงตอ่ เนอ่ื ง หรอื กระทงั่ ผปู้ ว่ ยทไ่ี มต่ อ้ งการอยใู่ นภาวะหมดสติ เพราะต้องการใช้ความเจ็บปวดเป็นเคร่ืองพิจารณาเวทนา แพทย์สามารถปรับ ขนาดยาแกป้ วดไดต้ ามความเหมาะสม 51

นอกจากการใชย้ าแลว้ การบาำ บดั ความเจบ็ ปวดยงั ทาำ ไดอ้ กี หลายวธิ ี เชน่ การนวด การชว่ ยให้ผอ่ นคลายด้วยศิลปะ การสวดมนต์ และการทาำ สมาธิ โดย ผฝู้ กึ สมาธจิ นชาำ นาญสามารถใชส้ มาธริ ะงบั ความเจบ็ ปวดทางกายทร่ี นุ แรงไดโ้ ดย อาจไมจ่ าำ เป็นตอ้ งใช้ยาแต่อยา่ งใด สว่ นความเจบ็ ปวดทรมานทางใจท่เี กิดจากสาเหตตุ า่ งๆ เช่น ความกลัว ตาย ความขดั แยง้ ความทุกข์ใจ ติดขัด คบั แคน้ ใจ หรอื ไมย่ อมรับความเจ็บปวด ต้องขจัดสาเหตขุ องความเจบ็ ปวดด้วยการคลค่ี ลายปมขดั แยง้ การให้อภยั และ การปลอ่ ยวาง การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายให้ตายอย่างสงบ ต้องให้ความสำาคัญกับ การดูแลความเจบ็ ปวดท้ังสองมิติ จะละเลยมติ ิใดมติ หิ นง่ึ ไปไม่ได้ 52

ไมอ่ ยากอาหาร ในช่วงท้ายของชวี ิต ระบบต่างๆ ของร่างกายจะ เรม่ิ เรรวน กลา้ มเนอ้ื ทใ่ี ชก้ ลนื และกลา้ มเนอื้ ระบบทางเดนิ อาหารจะทาำ งานลดลงหรือหยดุ ทำางาน ทาำ ใหไ้ ม่สามารถ กลืน ย่อย และดูดซึมอาหารได้ตามปกติ ความหิวและ ความอยากอาหารลดลง จงึ อาจทาำ ใหล้ กู หลานญาตมิ ติ ร กระวนกระวายใจเมอ่ื เหน็ วา่ ผปู้ ว่ ยกนิ ไดน้ อ้ ยลง กลวั ผปู้ ว่ ย จะผอมแห้งและตายเร็วขึ้น แต่ส่วนใหญ่การไม่อยาก อาหารเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการตาย ไม่ใช่เพราะ ผู้ป่วยดื้อหรือญาติดูแลไม่ดี การพยายามให้อาหารทาง ทอ่ หรอื สายยางควรพจิ ารณาเป็นรายๆ ไป เพราะไมพ่ บ ว่าทำาให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีข้ึน แต่กลับเพิ่มความ ทรมานจากความเจบ็ ปวด การสาำ ลกั แนน่ ทอ้ ง หากจาำ เปน็ ต้องให้อาหาร ควรให้ในปริมาณเท่าทผ่ี ู้ปว่ ยต้องการได้ 53

การดูแลผูป้ ว่ ยแบบประคบั ประคอง (Palliative care) การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายให้มีคุณภาพชีวิตท่ีดี โดยป้องกันและ บรรเทาความเจบ็ ปวดทกุ ขท์ รมานทางกาย และชว่ ยคลคี่ ลายปญั หาตา่ งๆ แก่ผู้ป่วย เป็นการดูแลท่ีครบท้ังทางร่างกาย จิต สังคม และปัญญา (จิตวญิ ญาณ) การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองให้ความสำาคัญต่อความรู้สึก ต่อโรค ต่อการรักษา และตอ่ ความตายของผปู้ ว่ ยและครอบครัว โดยหา โอกาสใหผ้ ปู้ ว่ ยและครอบครวั ไดแ้ สดงความรสู้ กึ ปมขดั แยง้ การใหค้ ณุ คา่ 54

ต่อสิ่งต่างๆ หรือความเชื่อทางศาสนา ซึ่งอาจแตกต่างจากผู้ให้การรักษา เช่น การปฏิเสธการรักษาโดยเคร่ืองช่วยชีวิต ความต้องการเสียชีวิตอย่าง เปน็ ธรรมชาตทิ บี่ า้ นของตนเอง เปน็ ตน้ ควรระลกึ วา่ มมุ มองทางการแพทย์ เปน็ เพยี งสว่ นหนง่ึ ของการดแู ล ซง่ึ ไมส่ ามารถอธบิ ายหรอื แกป้ ญั หาทงั้ หมด ได้ตามลาำ พังฝ่ายเดยี ว การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองเป็นการทำาหน้าท่ีร่วมกันของ แพทย์ พยาบาล นกั สังคมสงเคราะห์ ผนู้ ำาศาสนา จิตอาสา และที่สำาคัญ อยา่ งยง่ิ คอื ผใู้ กลช้ ดิ ในครอบครวั และเพอ่ื นฝงู ซง่ึ ควรรบั ทราบอาการ วธิ กี าร ดูแลรักษาอาการสำาคัญๆ ของผู้ป่วย และใส่ใจความต้องการของผู้ป่วย มากกว่ายดึ ถือความตอ้ งการของตนเองเปน็ หลัก 55

สถานดูแลผปู้ ่วยระยะสุดทา้ ย (Hospice) สถานที่พักพิงและดูแลผู้ป่วยโดยเชื่อมประสานการรักษาดูแลกับโรง พยาบาล มรี ากศพั ท์มาจากภาษาละตินวา่ “Hospes” และ “Hospitium” หมาย ถงึ “เจา้ ของบ้าน” “แขก” หรือ “ท่ีพกั แรม” ตัง้ ขนึ้ โดยสาำ นกั สงฆแ์ ละกองกาำ ลัง ของสาำ นักต่างๆ ในคริสตศ์ าสนา ระหว่างสงครามครูเสด เพ่ือดแู ลผเู้ ดนิ ทางไป แสวงบญุ ยงั ดนิ แดนศกั ดิ์สิทธ์ิ (นครเยรซู าเลม็ ) ผู้ปว่ ยจากโรคภัยต่างๆ และคน ยากคนจน กลา่ วโดยรวมคือ เป็นท้งั โรงแรม โรงพยาบาล และวัดไปพรอ้ มๆ กนั ฮอสพซิ แห่งแรกกอ่ ต้งั ขึ้นในนครเยรูซาเล็ม โดยคณะอศั วิน Knights Hospitaller ในปี พ.ศ. 1623 (ค.ศ. 1080) ถือกนั ว่าเป็นต้นแบบของโรงพยาบาลในสมัยตอ่ มาด้วย ตอ่ มาในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 19 ไดเ้ กดิ ฮอสพซิ อกี ลกั ษณะหนง่ึ ขน้ึ ในฝรงั่ เศส ไอรแ์ ลนด์ และสหรฐั อเมรกิ า ซงึ่ เนน้ การดแู ลผปู้ ว่ ยใกลต้ าย แตย่ งั คงดาำ เนนิ การ โดยบคุ ลากรในครสิ ตศ์ าสนา สว่ นสถานดแู ลผปู้ ว่ ยระยะสดุ ทา้ ยอยา่ งทเี่ ขา้ ใจกนั ในปจั จุบนั เพง่ิ จะเกดิ ขึ้นเมื่อไม่ก่สี ิบปมี านีเ้ อง สถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเป็นสถานท่ีเอ้ืออำานวยให้การดูแลผู้ป่วย เป็นไปอย่างผ่อนคลาย สงบ รนื่ รมย์ เหมาะแกก่ ารดูแลจิตใจทงั้ ของผปู้ ว่ ยและ 56

คนรอบขา้ ง มุง่ เน้นให้ผู้ปว่ ยมีคุณภาพชวี ิตท่ดี ี ควบคุมอาการทางกายใหผ้ ปู้ ว่ ย ทุกข์ทรมานน้อยท่ีสุด ไม่เน้นการรักษาแบบกา้ วร้าวมงุ่ หวังให้หายขาด แต่อาจ ประสานการดแู ลหรอื สง่ ตอ่ กบั สถานพยาบาลตามความจาำ เปน็ สามารถทาำ การ ดูแลด้านจิต สังคม และปัญญา (จิตวิญญาณ) ได้อย่างเต็มท่ี เพื่อให้การตาย เป็นไปอย่างสงบ สันติ และปราศจากความทกุ ข์ทรมาน แนวคิดเรื่องสถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเริ่มแพร่หลายเข้ามาใน ประเทศไทย และมีการประยุกต์ให้เหมาะกับสภาพของสังคมไทยบ้างแล้ว ดังเช่น อโรคยศาล วดั คำาประมง หรอื บา้ นปันรกั เป็นตน้ 57

การนวดหวั ใจผายปอดกชู้ พี / (ปฏบิ ตั )ิ การกชู้ พี : Cardiopulmonary Resuscitation (CPR) การกู้ชีพ กู้ชีวิต หรือการช่วยให้ฟื้นคืนชีวิต เป็นปฏิบัติการฉุกเฉินของ ทีมแพทย์และพยาบาลเพ่ือช่วยให้การทำางานของหัวใจและระบบหายใจของ ผู้ป่วยท่ีหยุดทำางานไปให้กลับคืนมา ด้วยการปั๊มหัวใจ การให้ยากระตุ้นหัวใจ การใช้เคร่ืองกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า การใส่ท่อช่วยหายใจ เป็นต้น โดยจะให้ ความช่วยเหลอื ประมาณ 30 นาที หากผปู้ ่วยไม่มีสัญญาณชพี กลบั มา จะถอื วา่ เสียชวี ิต ณ เวลาที่หยดุ ปฏิบัติการ เน่ืองจากการตดั สินใจทำา CPR เปน็ การรักษาท่รี ุนแรง ใช้ทรัพยากรมาก ผเู้ กย่ี วขอ้ งจงึ ควรตดั สนิ ใจอยา่ งรอบคอบ วา่ ทาำ แลว้ ผปู้ ว่ ยไดร้ บั ประโยชนท์ ค่ี มุ้ คา่ เช่น มีโอกาสหาย หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีหลังจากการกู้ชีพ ไม่ใช่เพียงแค่ยืด ความตายออกไป เพราะกระบวนการนอ้ี าจทาำ ใหผ้ ปู้ ว่ ยและญาตไิ ดร้ บั ความทกุ ข์ ทรมาน และสญู เสยี โอกาสในการเผชญิ ความตายอยา่ งสงบ 58

การกชู้ พี เปน็ ขนั้ ตอนปกตทิ บี่ คุ ลากรทาง การแพทย์จะให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยทุกราย หากผปู้ ว่ ยไมไ่ ดแ้ สดงเจตจาำ นงปฏเิ สธดว้ ยวาจา หรือเอกสารไว้ก่อนล่วงหน้า (ดูคำาว่า “หนังสือ แสดงเจตนาเกยี่ วกบั การรกั ษาฯ”) 59

การไมก่ ู้ชีพ (No Resuscitation / NR) คาำ สั่งการรกั ษาลว่ งหน้าของแพทย์ ท่ีจะไมด่ าำ เนนิ ปฏิบตั กิ ารกชู้ ีพ (CPR) เมื่อผู้ป่วยมีภาวะหัวใจและระบบหายใจหยุดทำางาน โดยเฉพาะในผู้ป่วยระยะ สดุ ทา้ ย เชน่ มะเรง็ ระยะสดุ ทา้ ย หรอื อวยั วะลม้ เหลวระยะสดุ ทา้ ย ซง่ึ จะพจิ ารณา จากความตอ้ งการของผปู้ ว่ ยเอง เชน่ ไดแ้ สดงเจตจาำ นงปฏเิ สธปฏบิ ตั กิ ารดงั กลา่ ว ไวล้ ่วงหน้า (ดูคำาวา่ “หนงั สือแสดงเจตนาเก่ยี วกบั การรักษาฯ”) หรือจากความ เห็นชอบของญาติผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย โดยผู้ป่วยจะยังคงได้รับการรักษาดูแลตาม อาการ เพ่อื บรรเทาความทกุ ข์ทรมานต่างๆ อย่างเหมาะสม ในผู้ป่วยระยะสุดท้าย โอกาสท่ีปฏิบัติการดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ป่วยมี คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้น้อยมาก และในขณะปฏิบัติการซ่ึงเป็นภาวะฉุกเฉิน จะมี ทีมผู้ดูแลจาำ นวนมากอย่หู อ้ มล้อมผู้ปว่ ย บรรยากาศจงึ เตม็ ไปดว้ ยความวนุ่ วาย โกลาหล และญาติผู้ป่วยจะต้องถูกกันออกไป ไม่สามารถอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยซ่ึง กาำ ลงั จะเสยี ชวี ติ ได้ และหากผปู้ ว่ ยไมต่ อ้ งการใหก้ ชู้ พี ดว้ ยแลว้ ปฏบิ ตั กิ ารดงั กลา่ ว จะเป็นการสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วยโดยไม่เกิดประโยชน์ ญาติใกล้ชิด ผู้ปว่ ยจึงควรพจิ ารณาความตอ้ งการของผ้ปู ่วยเปน็ สำาคัญ การแจง้ ปฏเิ สธปฏบิ ตั กิ ารกชู้ วี ติ ในผปู้ ว่ ยระยะสดุ ทา้ ยใหท้ มี ดแู ลรบั ทราบ และปฏบิ ตั ติ าม จงึ ไมใ่ ชค่ วามอกตญั ญู ถา้ สงิ่ ทผี่ ปู้ ว่ ยตอ้ งการ คอื การไดต้ ายตาม ธรรมชาติ ท่ามกลางญาติมิตรที่ร่วมกันสร้างบรรยากาศที่สงบสุขและเป็นกุศล เพื่อให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ 60



ระยะสดุ ทา้ ยของชีวติ (End of life) สภาวะทรี่ า่ งกายไมส่ ามารถดขี น้ึ ไดอ้ กี มแี ตท่ รงกบั ทรดุ ระยะสดุ ทา้ ยของ ชีวิตของแต่ละคนไม่แน่นอน แต่ในทางการแพทย์มีความจำาเป็นต้องระบุระยะ เวลา เพื่อประโยชนใ์ นการวินิจฉยั และให้การรกั ษา นิยามช่วงเวลาระยะสุดท้ายของชีวิตขึ้นอยู่กับการตกลงของสมาคม แพทยใ์ นแตล่ ะประเทศ โดยทั่วไปคือไมเ่ กนิ 6 เดือนก่อนเสยี ชวี ิต ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยจะเกิดความ เปลยี่ นแปลงหลายอยา่ ง ญาติควรมีความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงดังกลา่ ว เพื่อ รว่ มมอื กบั ทมี ดแู ลผปู้ ว่ ยแบบประคบั ประคอง (Palliative care) ดแู ลผปู้ ว่ ยไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม เพอื่ ใหผ้ ปู้ ว่ ยไดใ้ ชช้ วี ติ รว่ มกบั ครอบครวั และญาตมิ ติ รอยา่ งมคี ณุ ภาพ เปน็ ประโยชนท์ ั้งต่อผู้ป่วย ญาติ และทีมผรู้ กั ษาเอง คว�มเปลย่ี นแปลงท�งด้�นร�่ งก�ย เชน่ 1. ความอ่อนเพลยี ไม่จำาเปน็ ต้องใหก้ ารรกั ษาใดๆ ควรปลอ่ ยใหผ้ ้ปู ว่ ย ได้พักผอ่ นอยา่ งเตม็ ที่ 2. เบื่ออาหารและกินอาหารน้อยลง จากการศึกษาพบว่า เป็นผลดี มากกว่าผลเสยี เพราะชว่ ยเพมิ่ สารคโี ตน (Ketone) ในรา่ งกาย ทาำ ให้ ผปู้ ว่ ยรสู้ ึกสบายข้ึนและบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ 62

3. ดื่มน้าำ นอ้ ยลงหรอื ไมด่ ื่มเลย ภาวะขาดน้ำาเมื่อใกลต้ าย ไมไ่ ด้ทาำ ให้ ผู้ป่วยทรมาน กลับเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายหล่ังสารเอ็นดอร์ฟิน ซ่ึงจะทำาให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายข้ึน หากริมฝีปากแห้ง อาจใช้สำาลีหรือ ผ้าสะอาดชุบนำ้าแตะที่ริมฝีปาก หรือใช้ลิปมันทา หากตาแห้งให้ หยอดน้ำาตาเทียม 4. ไมร่ ู้สกึ ตัว ถงึ แม้ผ้ใู กล้ตายไม่รสู้ กึ ตวั แตอ่ าจยังรบั รูห้ รอื ไดย้ ินเสยี ง คนรอบขา้ ง เพยี งแตไ่ มส่ ามารถสอ่ื สารได้ จงึ ไมค่ วรพดู สงิ่ ทจ่ี ะทาำ ให้ ผู้ใกลต้ ายไมส่ บายใจ 5. การรอ้ งครวญครางหรอื หนา้ ตาบดิ เบย้ี ว อาจไมไ่ ดเ้ กดิ ความเจบ็ ปวด เสมอไป แตเ่ กดิ จากการเปลยี่ นแปลงทางสมอง ซ่งึ แพทยอ์ าจใหย้ าเพือ่ ระงับอาการได้ 6. มีเสมหะมาก ควรให้ยาลดเสมหะแทนการดดู เสมหะ ซ่ึงนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังทำาให้ ผู้ปว่ ยทรมานเพิม่ ข้นึ ดว้ ย 63

คว�มเปลย่ี นแปลงท�งด�้ นจติ ใจ สาำ หรบั คนท่วั ไป เมื่อกายป่วย จิตใจมักจะป่วยตาม ผปู้ ว่ ยใกลต้ าย จงึ ตอ้ งการการดแู ลทางใจอยา่ งมาก แมว้ า่ แตล่ ะคนจะมคี วามรสู้ กึ และความ ต้องการแตกต่างกันไป แต่สิ่งท่ีผู้ใกล้ตายกลัวมากท่ีสุดคือ การถูกทอดท้ิง ความรู้สึกโดดเดย่ี ว จงึ ตอ้ งการคนทีเ่ ขา้ ใจและคอยอยู่เคียงข้าง ผอู้ ยใู่ กลช้ ดิ ควรใหโ้ อกาสผใู้ กลต้ ายไดแ้ สดงความรสู้ กึ และความตอ้ งการ โดยการพูดคุย เป็นผู้ฟังที่ดี ใส่ใจว่าผู้ใกล้ตายยังมีความปรารถนาหรือส่ิง ค้างคาใจประการใดอยู่ แล้วเร่งรีบช่วยเหลือเพื่อคลี่คลายสิ่งเหล่าน้ัน และ ปฏิบัติตามความต้องการของผู้ใกล้ตายเท่าท่ีจะทำาได้ จะช่วยให้ผู้ใกล้ตาย หมดหว่ งกังวล 64

กระบวนการบอกขา่ วรา้ ย การบอกข่าวร้ายเปน็ กระบวนการที่จำาเปน็ เพือ่ ให้ผู้ปว่ ยและญาติ รับรู้ความจริงเก่ียวกับโรค จนสามารถตัดสินใจเลือกวิธีการดูแลสุขภาพ และบริหารจัดการชวี ติ ทีน่ ำาไปสูก่ ารตายดี กระบวนการบอกข่าวร้ายไม่ใช่เพียงแค่การแจ้งชื่อโรคแก่ผู้ป่วย หรือญาติเท่าน้ัน แต่มีขั้นตอนปฏิบัติหลายประการ เช่น การประเมิน ความพร้อมของผู้ป่วยและญาติ การจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการ แจง้ ขา่ ว การแจง้ เตอื นวา่ กาำ ลงั จะมขี า่ วรา้ ย การแจง้ ขา่ วรา้ ย การสนบั สนนุ ให้กาำ ลงั ใจ และการประเมนิ ผลการบอกขา่ วรา้ ย เปน็ ตน้ ผู้บอกข่าวร้ายควรเป็นแพทย์ผู้รักษา เพราะทราบรายละเอียด เกย่ี วกบั โรค แนวทางการรกั ษา และการพยากรณโ์ รคดที ส่ี ดุ โดยมญี าตอิ ยู่ ให้กาำ ลังใจผู้ปว่ ยอยา่ งใกลช้ ิด และทมี ดแู ลคอยสนับสนุน ญาตมิ กั กงั วลวา่ ถา้ ผปู้ ว่ ยทราบขา่ วรา้ ย อาจเสยี กาำ ลงั ใจจนตายเรว็ กว่าท่ีควร แต่โดยท่ัวไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักต้องการจะทราบอาการและ 65

ข้อมูลเก่ียวกับโรคของตน เพ่ือจะได้ตัดสินใจเลือกวิธีการดูแลสุขภาพ ดว้ ยตนเอง แพทยจ์ งึ ควรประเมนิ ความพรอ้ มและความตอ้ งการของผปู้ ว่ ย เสียก่อน หากผู้ป่วยต้องการรู้ ควรบอกตามความจริง เปิดโอกาสให้ ผู้ป่วยได้ซักถามจนเข้าใจ แล้วจึงสอบถามความรู้สึก ความคาดหวัง ความกังวลของผูป้ ว่ ย และใหก้ ารชว่ ยเหลือดา้ นจิตใจตอ่ ไป 66

เทคนคิ การบอกข่าวร้ายท่ีสามารถนำาไปปรับใช้ได้ เช่น 1. ผู้ทำาหน้าท่ีบอกขา่ วร้าย ควรมคี วามสัมพนั ธท์ ีด่ ีกับผ้ปู ่วย หรอื ดแู ล รักษาผ้ปู ่วยมานานพอสมควร ต้องมีเวลา และตอ้ งประเมนิ ความพร้อมของ ผปู้ ว่ ยกอ่ น 2. สถานท่ีและบรรยากาศต้องเหมาะสมต่อการพูดคุย มีความเป็น ส่วนตวั ไมม่ เี สียงรบกวนจากบุคคลอนื่ โทรศพั ท์ หรอื อปุ กรณต์ า่ งๆ 3. ใชค้ าำ พดู ทเ่ี ขา้ ใจงา่ ย นาำ้ เสยี งนมุ่ นวล จรงิ ใจ แววตาออ่ นโยน เปน็ มติ ร 4. บอกความจริงและให้ความหวังอย่างซื่อตรง ควรให้กำาลังใจและ แนะนาำ ทางเลอื กในการรกั ษาแกผ่ ปู้ ว่ ยดว้ ย เพอื่ ใหม้ นั่ ใจวา่ ญาตแิ ละทมี ดแู ล พร้อมจะอยเู่ คยี งข้าง ให้คำาปรึกษา และเลือกแผนการรักษาที่ดีทสี่ ดุ 5. สงั เกตอาการของผปู้ ว่ ยอยา่ งใสใ่ จ ไมบ่ อกอยา่ งรบี เรง่ และผละจาก ผู้ป่วยไปในทันที เพราะผู้ป่วยอาจมีคำาถาม หรือต้องการการปลอบโยน อาจเตรยี มเรอื่ งการปฐมพยาบาลเบ้ืองตน้ ดว้ ย เพราะผู้ป่วยอาจเปน็ ลม 6. ผปู้ ว่ ยและญาตคิ วรพดู คยุ แลกเปลย่ี น วางแผนการรกั ษารว่ มกบั ทมี ดแู ลอย่างสมำ่าเสมอ เพ่ือลดความขัดแย้ง และความสับสนในการรักษา 67

การวางแผนดูแลรักษาตนเองล่วงหน้า (Advance care plan) กระบวนการปรกึ ษาหารอื รว่ มกนั ระหวา่ งผปู้ ว่ ย ญาตทิ ผ่ี ปู้ ว่ ยตอ้ งการให้ เกี่ยวขอ้ ง และทีมดแู ล หลังจากผู้ปว่ ยรบั รูแ้ ลว้ วา่ ตนเองเปน็ โรคอะไร อาการถึง ข้ันไหน ผลการรักษาเป็นอยา่ งไร โดยใหค้ วามสาำ คญั ใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1. ส่งิ ทีผ่ ปู้ ่วยตอ้ งการหรอื ให้ความสำาคัญ เชน่ การบริจาคอวัยวะหรือ รา่ งกาย กจิ สุดทา้ ยทอ่ี ยากทาำ บคุ คลที่ตอ้ งการพบ รวมถึงความเห็นและความ เขา้ ใจถงึ เป้าหมายการดูแลรกั ษา 2. การแสดงเจตจาำ นงลว่ งหนา้ วา่ จะรบั หรอื ไมร่ บั การดแู ลรกั ษาประเภทใด (Advance directive) เม่ือโรคเข้าสู่ระยะสุดท้าย หรือผ้ปู ่วยอาจอยู่ในภาวะท่ีไม่ สามารถตดั สนิ ใจไดด้ ว้ ยตนเอง เชน่ การใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจ การปมั๊ หวั ใจ การรกั ษา ในห้องไอซยี ู เปน็ ตน้ 3. การมอบหมายใหบ้ คุ คล เชน่ ญาติ เพอื่ นสนทิ ทาำ หนา้ ทตี่ ดั สนิ ใจแทน ในกรณที ่ีตนเองไมส่ ามารถสือ่ สารกับผู้อ่ืนได้แลว้ เช่น ไม่มสี ตสิ ัมปชัญญะ การวางแผนดูแลรักษาตนเองล่วงหน้า ควรทำาต้ังแต่ตอนที่ผู้ป่วยยังมี สตสิ มั ปชัญญะสมบูรณ์ สามารถตดั สินใจไดด้ ว้ ยตนเอง หวั ใจสาำ คัญคอื ผปู้ ่วย ญาติ และทมี ดแู ลรกั ษา มกี ารสอื่ สารและปรกึ ษาหารอื กนั จนไดแ้ นวทางการดแู ล รักษารว่ มกัน และบนั ทึกเอกสารไวเ้ ปน็ หลักฐาน 68



ส่วนท่ี 4 ความตายกบั อปุ สรรค แม้คว�มต�ยจะเปน็ เส้นชยั ท่เี ร�ทกุ คนต้องไปถึง คงจะดไี มน่ ้อยห�กเร�ไดส้ ำ�รวจเสน้ ท�งล่วงหน้� และกลบั ม�เตรียมตวั ณ ก�้ วปจั จบุ นั 70



ยื้อชวี ิต-ยืดการตาย การยื้อชีวิตออกไปหรือประวิงเวลาให้ผู้ป่วยมีลมหายใจ นานทส่ี ดุ โดยใชเ้ ทคโนโลยที างการแพทย์สมัยใหม่ชว่ ย มักเกิดจาก ความเชื่อว่า ชีวิตที่ดีคือชีวิตท่ียืนยาว ความตายเป็นส่ิงที่น่ากลัว และตอ้ งหลกี เลย่ี ง การยือ้ ชวี ติ ผปู้ ่วยทเ่ี ป็นบพุ การใี ห้ยาวนานท่ีสุด เปน็ ความกตญั ญู (ดคู าำ ว่า “กตัญญูเฉยี บพลัน”) แต่ก่อนจะตัดสินใจย้ือชีวิตผู้ป่วยออกไป ควรพิจารณาให้ รอบคอบว่า เวลาที่เพิ่มขน้ึ ชว่ ยใหผ้ ปู้ ่วยมคี ุณภาพชวี ิตทด่ี ีหรือไม่ เชน่ ได้ใชเ้ วลาอยู่กบั ครอบครัวญาติมิตร ทำาความดี ทาำ กิจกรรมท่ี เปน็ ความสขุ ตลอดจนมเี วลาสะสางเรอ่ื งราวทยี่ งั คา้ งคาใจใหส้ าำ เรจ็ หรอื ตอ้ งแลกกบั คา่ ใชจ้ า่ ยมหาศาล อยอู่ ยา่ งไมม่ ศี กั ดศ์ิ รี ไมส่ ามารถ ตดั สนิ ชะตากรรมของตนเองได้ และไมม่ โี อกาสไดอ้ ย่อู ยา่ งสงบ 72

ท่ีสำาคัญยังอาจต้องแลกมาด้วยความทุกข์ทรมานจากการรักษา ทางการแพทยท์ ร่ี นุ แรง เชน่ การปม๊ั หวั ใจ เจาะคอใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจ ผา่ ทอ้ ง ใส่สายอาหาร ฯลฯ บอ่ ยคร้ัง นอกจากจะไมส่ ามารถรกั ษาผูป้ ่วยให้หาย เปน็ ปกติแลว้ ยังต้องนอนเปน็ ผัก ไมร่ สู้ กึ ตัว และกลายเปน็ ภาระในการ รักษาสภาพดงั กล่าวให้ยืดเยื้อออกไปโดยไมม่ กี ำาหนด 73

ป๊มั หวั ใจ ปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉนิ เพอ่ื ชว่ ยเหลอื ผปู้ ว่ ยในภาวะหวั ใจหยดุ เตน้ เปน็ ขน้ั ตอน หน่ึงของ(ปฏบิ ัต)ิ การก้ชู พี (CPR) การปม๊ั หัวใจนอกจากจะทาำ เพื่อให้หวั ใจกลับมาเตน้ แล้ว ในกรณที ผ่ี ู้ป่วย ยังไม่ฟ้ืน ยังช่วยพยุงให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงสมองตลอดเวลา ไม่ให้สมองขาด ออกซิเจนในระหว่างรอคอยความช่วยเหลอื อื่นๆ หรอื นาำ สง่ สถานพยาบาล หลกั การสาำ คญั คอื จะตอ้ งเรมิ่ ปมั๊ หวั ใจใหเ้ รว็ ทส่ี ดุ เนอ่ื งจากสมองจะสญู เสยี การทาำ งานอยา่ งถาวรเมอื่ ขาดออกซเิ จนภายในเวลาเพยี งไมก่ น่ี าที คาำ แนะนาำ สำาหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่เคยผ่านการฝึกอบรมปฏิบัติการกู้ชีพมาก่อนคือ ให้ป๊ัม หวั ใจโดยการประสานมอื บรเิ วณทรวงอกของผปู้ ว่ ยและกดเปน็ จงั หวะไปเรอื่ ยๆ โดยไมต่ ้องผายปอด การป๊ัมหัวใจ เป็นวิธีการที่รุนแรงต่อร่างกายอย่างยิ่ง จึงควรใช้ในกรณี ฉกุ เฉนิ จากอบุ ัติเหตุ หรอื กรณีทีอ่ าจทาำ ใหผ้ ู้ปว่ ยฟ้ืนตัวหรือกลบั มาเป็นปกติได้ ในกรณีผู้ป่วยระยะสุดท้าย การป๊ัมหัวใจมักเป็นเหตุสร้างความทุกข์ ทรมานแก่ผู้ป่วย เพราะทำาได้เพียงการยืดความตายออกไป และมีโอกาสที่จะ ทาำ ให้ผูป้ ว่ ยไมส่ ามารถตายอย่างสงบได้ 74

ตามปกติ โรงพยาบาลจะทำาการกู้ชีพผปู้ ่วยที่กำาลังจะเสียชวี ติ กอ่ นเสมอ หากผปู้ ว่ ยไมไดแ้ สดงเจตนาปฏเิ สธการรกั ษาดงั กลา่ วเอาไว้ หากผปู้ ว่ ยไมต่ อ้ งการ ใหท้ าำ จะตอ้ งเขยี นหนงั สอื แสดงเจตนาฯ และสอื่ สารกบั ผทู้ เี่ กยี่ วขอ้ งใหร้ บั ทราบ ก่อน (ดคู ำาวา่ “หนงั สอื แสดงเจตนาฯ”) 75

การใส่ท่อชว่ ยหายใจ ทำาในกรณที ผี่ ปู้ ่วยมที อ่ หายใจตีบตนั มเี สมหะจาำ นวนมาก หอบเหนือ่ ย หายใจลาำ บาก หรือในกรณที ่ผี ปู้ ่วยไมส่ ามารถหายใจดว้ ยตนเองได้ เพราะฤทธิ์ ยาสลบ หรอื เหตุใดๆ การใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจสามารถทาำ ได้ 2 ลักษณะ คือ 1. ใส่ทอ่ พลาสติกหรอื ท่อยางทางปากหรือจมูก ผา่ นกลอ่ งเสียงลงไปยัง หลอดลม โดยไม่ตอ้ งผ่าตดั 2. เจาะคอหรือการผ่าตัดเปดิ ช่องบรเิ วณลำาคอดา้ นหนา้ แล้วใสท่ อ่ ผ่าน ผิวหนังลงไปในหลอดลมโดยตรง วิธีนี้จะทำาในกรณีที่คาดว่า ผู้ป่วย จำาเปน็ จะต้องใส่ทอ่ ช่วยหายใจเป็นเวลานาน การใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจ มักจะมีภาวะแทรกซอ้ นตง้ั แตเ่ ลก็ นอ้ ย เชน่ ฟนั หกั หรือทางเดินหายใจส่วนบนบาดเจ็บ ไปจนถึงภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจมี อนั ตรายถงึ ชวี ติ เชน่ การใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจผดิ พลาดเขา้ ไปในหลอดอาหารแทนที่ จะเป็นหลอดลม ทำาให้ร่างกายขาดออกซิเจนหรือสำาลักอาหารจากกระเพาะ เข้าไปในหลอดลมและปอด 76

ดังนั้น ก่อนใส่ท่อช่วยหายใจให้ผู้ป่วยโดยเฉพาะในผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วย ญาตผิ ใู้ กล้ชิด และทีมดูแลรกั ษาจะต้องปรกึ ษาหารือร่วมกันให้ดี อาจใช้ วธิ กี ารวางแผนดแู ลรกั ษาตวั เองลว่ งหนา้ (ดคู าำ วา่ “การวางแผนดแู ลรกั ษาตนเอง ล่วงหน้า”) หรือเขียนพินยั กรรมชวี ิต (ดคู ำาวา่ “พินยั กรรมชีวิต”) ญาติควรทราบข้อมลู วา่ การใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจเปน็ ไปเพ่อื อะไร เสย่ี งตอ่ ภาวะแทรกซอ้ นอะไรบา้ ง ถา้ ไมใ่ สแ่ ลว้ เปน็ อยา่ งไร มที างเลอื กอน่ื หรอื ไม่ มโี อกาส ถอดท่อหรือหายจากภาวะวิกฤตดังกล่าวไหม เป็นต้น เนื่องจากการตัดสินใจ ถอดออกภายหลงั จะเปน็ เรอ่ื งยากมาก และอาจสรา้ งความรสู้ กึ ผดิ แกผ่ ถู้ อดหรอื ตัดสนิ ใจถอดได้ 77

แล้วแต่หมอ การมอบหมายใหก้ ารดแู ลรกั ษาและจดั การความตายอยใู่ นมอื ของแพทย์ แต่ผ้เู ดยี ว เน่ืองจากสังคมไทยมีความศรทั ธาตอ่ แพทยส์ งู มาก วา่ เป็นผ้มู คี วามรู้ และความเมตตาในการเยียวยารักษาเพื่อนมนุษย์ผู้เจ็บป่วยให้หายเป็นปกติได้ ดที ่สี ดุ และมคี วามเชื่อมัน่ ในเทคโนโลยที างการแพทย์ทีม่ ีความกา้ วหน้าในการ รักษาโรคตา่ งๆ มากขึน้ ประกอบกับทัศนะต่อความตายของผู้คนเปล่ียนไป มองความตายเป็น ส่ิงแปลกแยกและมีเพียงมิติทางด้านกายภาพเพียงมิติเดียว ผู้คนสูญเสีย ภูมิปัญญาและสนใจการดูแลสุขภาพดว้ ยตนเองนอ้ ยลง ท่สี ำาคญั คือ ครอบครวั มขี นาดเล็กลงและแยกกนั อยู่จนขาดการช่วยเหลือกนั และกนั โรงพยาบาลจึงเป็นสถานท่ีดูแลรักษาผู้ป่วยและสถานท่ีที่คนมาตายกัน มากขน้ึ แพทยจ์ งึ ถกู ลกู หลานและญาตมิ ติ รของผปู้ ว่ ยคาดหวงั มอบหมาย กระทงั่ ผลกั ภาระในการรกั ษาและจดั การความตายให้ เพราะเชอ่ื วา่ จะทาำ ใหผ้ ปู้ ว่ ยไดร้ บั การดูแลรักษาอยา่ งดีทีส่ ุดเทา่ ท่ีตนเองจะมอบให้ได้ 78

แตค่ วามเช่อื วา่ “แล้วแต่หมอ” อาจไมใ่ ชส่ ่งิ ท่ดี ีที่สุดสาำ หรับผู้ปว่ ย เสมอไป เพราะเปน็ ทย่ี อมรบั กนั ในวงการสขุ ภาพปจั จบุ นั แลว้ วา่ การดแู ล รักษาที่ดีและครอบคลุมทุกมิติ ไมว่ า่ จะเป็นการดูแลกาย ใจ สงั คม และ ปัญญา ตอ้ งอาศยั ความรว่ มมอื จากคนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะครอบครัว ของผู้ป่วย เพ่ือร่วมกันดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด ในชว่ งเวลาทเ่ี หลืออยู่ 79

กตัญญเู ฉียบพลนั ผ้ปู ว่ ยโรคเร้อื รังหรือโรคมะเร็งท่ีอยใู่ นช่วงสุดท้ายของชีวิต การดูแล รกั ษาจะเปน็ แบบประคบั ประคอง (Palliative care) เพอ่ื ทาำ ใหผ้ ปู้ ว่ ยรสู้ กึ สบาย สามารถใช้ชวี ติ อย่างมคี ุณภาพจนกวา่ จะจากไปอย่างสงบ หลายครอบครัว เลอื กทจ่ี ะไมป่ ม๊ั หวั ใจ ไมใ่ สท่ อ่ ชว่ ยหายใจ เพราะไมต่ อ้ งการใหผ้ ปู้ ว่ ยทรมาน จากภาวะแทรกซอ้ นของการรกั ษาดังกลา่ ว และพรอ้ มจะใหค้ นที่ตนเองรัก จากไปอยา่ งสงบเมื่อถงึ เวลาที่สมควร 80

ในกรณีดังกล่าว อาจมีบุตรหลานท่ีห่างไกลผู้ป่วย เดนิ ทาง มาเยย่ี มในชว่ งทผ่ี ปู้ ว่ ยถงึ ชว่ งทา้ ยของชวี ติ บตุ รหลานคนดงั กลา่ ว อาจเกิดความรู้สึกผิดท่ีตนเองทำาหน้าท่ีไม่ครบถ้วน จึงเร่งเร้าให้ แพทย์หรือญาติยื้อชีวิตผู้ป่วยหรือรักษาให้ถึงที่สุด พฤติกรรมดัง กลา่ วอาจเรียกว่า “กตัญญเู ฉียบพลัน” ทมี ดแู ลอาจแกป้ ญั หาเฉพาะหนา้ ดว้ ยการเขา้ ไปรบั ฟงั ความ วติ กกงั วล เปดิ โอกาสใหบ้ ตุ รหลานคนนนั้ แสดงความหว่ งใย พรอ้ ม ทงั้ หาโอกาสชแ้ี จงสภาพความเจบ็ ปว่ ยและความตอ้ งการของคนไข้ หากเป็นไปได้อาจเชิญชวนให้ญาติคนดังกล่าวมีส่วนร่วมในการ ดูแล เพอื่ เยียวยาความรู้สกึ ผิด ทง้ั นส่้ี ง่ิ ทด่ี ที ส่ี ดุ ในการปอ้ งกนั ความรสู้ กึ ผดิ ตดิ คา้ ง อนั นาำ มา สพู่ ฤตกิ รรมกตญั ญเู ฉยี บพลนั คอื การทบ่ี ตุ รหลานใหเ้ วลา ทาำ ความ ดี ดแู ลบพุ การเี สยี ตง้ั แตต่ น้ การทาำ หนา้ ทอ่ี ยา่ งถงึ พรอ้ มของทง้ั สอง ฝา่ ยยอ่ มเออ้ื ใหเ้ กดิ การปลอ่ ยวางไดง้ า่ ยขน้ึ เมอ่ื วาระสดุ ทา้ ยมาถงึ 81

ความเศรา้ โศกและความสญู เสยี ความเศรา้ โศกเปน็ ภาวะอารมณท์ อ่ี าจประกอบไปดว้ ยความมนึ ชา โกรธ เจ็บปวด อ้างว้าง สะเทือนใจ ผิดหวัง เป็นต้น การสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รัก ย่อมนำาความรู้สึกเศร้าโศกมาสู่ผู้สูญเสียเป็นธรรมดา แต่โดยปกติ ผู้ประสบ ความสญู เสียจะมปี ฏิกิรยิ าทางจิตใจตอ่ การสูญเสยี เป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1. ระยะมนึ ชา จะมคี วามรสู้ กึ ตกใจ ไมเ่ ชอ่ื ปฏเิ สธสง่ิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ เกดิ ความ รู้สกึ มนึ ชา ระยะดังกลา่ วกนิ เวลา 2-3 ชัว่ โมงถึง 2-3 สัปดาห์ 82

2. ระยะซมึ เศร้า จะมอี ารมณ์เศรา้ โศก รอ้ งไห้ ครำ่าครวญ ยา้ำ นึกถึง บุคคลท่เี สยี ชวี ติ ความอยากอาหารลดลง นอนไม่หลบั อาจทำากจิ วตั รได้ ลดลงจากเดิมบ้าง ระยะดังกล่าวกินเวลา 2-3 สัปดาห์แล้วจะ ดีข้ึนเองในเวลา 2-4 เดือน โดยส่วนใหญ่มักจะไมเ่ กิน 6 เดอื น 3. ระยะกลับคืนสู่ปกติ กลับเข้าสู่กิจวัตรประจำาวันตามปกติของ บุคคลน้ันๆ ในทางจิตเวช อารมณ์เศร้าโศกจากการสูญเสียไม่จัดว่าเป็นความ ผิดปกติ สามารถดีข้ึนได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่ควรกลับคืนสู่ภาวะปกติ ภายในเวลา 6 เดอื นถงึ 1 ปี หากนานกว่าน้อี าจต้องเขา้ รับการบำาบัด หรือ ปรึกษาผู้เช่ียวชาญทางจิตวทิ ยา ผู้ประสบความสูญเสียสามารถผ่านพ้นความเศร้าโศกได้หลายวิธี เช่น การยอมรับว่าตนเองกำาลงั สูญเสยี และเจบ็ ปวด การระบายความร้สู ึก ให้บุคคลรอบข้างรับฟัง การมีแหล่งสนับสนุนทางสังคมท่ีดี หรือการมี สัมพันธภาพท่ดี ีกับคนรอบข้าง จะช่วยลดความเส่ยี งของการเกิดอารมณ์ เศร้าโศกทผี่ ิดปกติ และโรคซมึ เศรา้ จากการสญู เสยี ลงได้ 83

ส่ิงคา้ งคาใจ สงิ่ ทท่ี าำ ใหเ้ กดิ ความทกุ ขใ์ นจติ ใจ กอ่ ใหเ้ กดิ ความตดิ ขดั คบั ขอ้ ง และทาำ ให้ ไมอ่ าจตายอยา่ งสงบหรอื ตายตาหลบั ได้ อาจไดแ้ ก่ การงานทย่ี งั คง่ั คา้ ง ทรพั ยส์ นิ ที่ยังแบ่งสรรไม่แล้วเสร็จ ความน้อยใจคนใกล้ชิด ความโกรธแค้นใครบางคน ความรสู้ กึ ผดิ ความปรารถนาตอ้ งการทาำ บางสง่ิ หรอื พบใครบางคนเปน็ ครง้ั สดุ ทา้ ย โดยเฉพาะคนที่รกั หรือคนทอี่ ยากขออโหสกิ รรม ผู้ป่วยมักไม่พูดสิ่งค้างคาใจตรงๆ ลูกหลานญาติมิตรจึงควรใส่ใจต่อ เรอื่ งดงั กลา่ ว คอยหมนั่ สงั เกต สอบถาม หากเปน็ ภารกจิ ทย่ี งั คง่ั คา้ ง ควรหาทาง ชว่ ยเหลอื ใหส้ าำ เรจ็ หากรสู้ กึ คา้ งคาใจตอ่ ความผดิ ในอดตี ควรชว่ ยใหป้ ลดเปลอ้ื ง ความรู้สกึ ผิดออกไป เช่น ชว่ ยให้เปิดใจ กลา่ วขอโทษหรอื ขออโหสิกรรม และ ขอให้อีกฝา่ ยใหอ้ ภยั ผู้ปว่ ยเชน่ เดยี วกัน 84

ความขัดแย้ง ในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยกับญาติ ผู้ป่วยกับแพทย์ผู้ให้ การรกั ษา หรอื ญาตกิ บั แพทย์ อาจมคี วามตอ้ งการไมต่ รงกนั หรอื แมก้ ระทัง่ ตัวผู้ป่วยอาจมีความขัดแย้งในใจตนเอง ความรู้สึกดังกล่าวเป็นอุปสรรคที่ ขดั ขวางการตายดี เพราะทาำ ใหบ้ รรยากาศรอบขา้ งเตยี งผปู้ ว่ ยไมส่ งบ ขาดความ สนั ตสิ มานฉันท์ จนอาจกลายเปน็ สงิ่ คา้ งคาใจผ้ปู ่วยได้ เราสามารถลดความรนุ แรงจากความขดั แยง้ ทาำ ใหเ้ กดิ บรรยากาศทด่ี ี ในการตายอยา่ งสงบได้ ดว้ ยการพดู คยุ อยา่ งมสี ติ เหน็ อกเหน็ ใจ การขออภยั และอโหสกิ รรมต่อกัน โดยคาำ นึงถึงประโยชน์ของผูใ้ กลต้ ายเปน็ สำาคญั 85

การยดึ ติดในความสขุ ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ปรารถนา แต่หากไม่เท่าทันความสุข ยึดติดใน ความสขุ ของรัก และคนรกั จะทำาใหเ้ กิดความเสียดาย อาลัย จนไมอ่ าจยอมรับ ความพลดั พราก และอาจทาำ ใหต้ ายอยา่ งไมส่ งบ ทางออกไมใ่ ชก่ ารปฏเิ สธคนรกั ของรกั แตเ่ ปน็ การดาำ เนนิ ชวี ติ ทา่ มกลางความสขุ มคี นรกั ของรกั อยา่ งรเู้ ทา่ ทนั ธรรมชาตขิ องสง่ิ นน้ั เชน่ มคี วามไมเ่ ท่ียง เปล่ียนแปลงเปน็ ธรรมดา เราสามารถฝกึ คลายความยดึ มน่ั ในสงิ่ ตา่ งๆ ดงั กลา่ วไดห้ ลายวธิ ี วธิ หี นงึ่ คือการให้ทานหรือสละทรัพย์สมบัติให้แก่ผู้อ่ืนหรือส่วนรวม เม่ือความยึดมั่น ลดลง ความกลัวการสูญเสยี จะลดลงตามไปด้วย การหม่นั พจิ ารณาจนเหน็ ใจท่ี ยดึ มน่ั ของตนเองเปน็ ประจาำ จะชว่ ยทาำ ใหเ้ ปน็ อสิ ระเหนอื ทรพั ยส์ นิ ของรกั ตา่ งๆ รวมทั้งความหวงแหนในตัวตน จนจิตเป็นอิสระจากความสุขและความทุกข์ จากการได้และเสียโดยส้ินเชงิ 86

กลัวภพภมู ิหนา้ / กลัวชาตหิ นา้ ความตายเป็นเรื่องน่ากลัวสำาหรับคนจำานวนมาก ส่วนหน่ึงเป็นเพราะความไม่มั่นใจหรือความไม่รู้เรื่องชีวิต หลงั ความตาย ในทางพุทธศาสนา ภพหนา้ ของผูต้ ายจะดหี รือร้ายนั้น ข้นึ อยู่วา่ ผู้ตาย ใชช้ วี ติ ในอดตี อยา่ งไร ผทู้ หี่ มน่ั ทาำ ความดมี าตลอดชวี ติ เมอ่ื ตายแลว้ ยอ่ มมโี อกาส ไปสู่สุคติภูมิ จึงไม่กลัวภพหน้าเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง ดังพุทธศาสน- สภุ าษติ ทว่ี า่ “ผดู้ าำ รงธรรม ไมต่ อ้ งกลวั ปรโลก” หรอื “บญุ ยอ่ มนาำ สขุ มาใหใ้ นเวลา สนิ้ ชีวิต” ในทางตรงข้าม ผู้ท่ีไม่เคยทำาความดี ทำาน้อย หรือสร้างแต่อกุศลกรรม เม่ือใกล้ตายย่อมเกิดความกังวลหรือความกลัวว่าตนจะไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี กลายเปน็ ความกระวนกระวายและทกุ ข์ทรมานจนอาจตายอย่างไมส่ งบได้ นอกจากการหม่ันทำาความดีเสียแต่เนิ่นๆ แล้ว เรายังช่วยให้ผู้ป่วย ระยะทา้ ยมน่ั ใจในภพหนา้ มากขน้ึ ได้ ดว้ ยการใชเ้ วลาทเ่ี หลอื อยทู่ าำ ความดี ทาำ จติ ให้เป็นกุศลเพิ่มเติม เช่น นิมนต์พระมารับบาตรถึงเตียงคนไข้ ตั้งใจรักษาศีล ให้บริสุทธ์ิ หมั่นน้อมระลึกถึงความดีที่ตนเคยทำา ระลึกถึงพระรัตนตรัยและ สง่ิ ศักดส์ิ ทิ ธท์ิ ตี่ นเคารพนบั ถอื เจรญิ สติ-ทำาสมาธิภาวนาเทา่ ที่พอจะทำาได้ 87

ความรูส้ ึกผิด ความรู้สึกผิดเน่ืองจากทำาในส่ิงท่ีไม่สมควร ความรู้สึกเสียดาย เสียใจ ท่ีไม่มีโอกาสแก้ตัวและแก้ไขความผิดพลาดที่เคยทำาไว้ การช่วยให้ผู้ใกล้ตาย ปลดเปลอ้ื งความรสู้ กึ ผดิ ออกไป เชน่ การชว่ ยใหเ้ ปดิ ใจ ขอโทษ หรอื ขออโหสกิ รรม ใครบางคน และอกี ฝา่ ยยอมรบั คาำ ขอโทษและใหอ้ ภยั ผปู้ ว่ ย จะชว่ ยใหผ้ ใู้ กลต้ าย จากไปอย่างสงบได้ บางกรณี การขอโทษหรอื ขออภยั ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งงา่ ย โดยเฉพาะกบั ผนู้ อ้ ยหรอื ผู้ท่ีอยู่ในสถานะต่ำากว่า การแนะนำาให้ผู้ป่วยเขียนคำาขอโทษหรือความในใจ ลงบนกระดาษ แล้วให้ญาติมิตรนำาไปให้แก่บุคคลน้ันหรือเก็บไว้กับตัวเอง เป็นการปลดเปลื้องความรู้สึกได้ในระดับหนึ่ง หากผู้ป่วยมีความพร้อมมากข้ึน อาจตดั สินใจพดู กบั บุคคลผู้นนั้ โดยตรงในโอกาสทเ่ี ออื้ อาำ นวย 88

กลัวตัวตนดบั สูญ ธรรมชาติของมนษุ ย์มคี วามสำานึกในตัวตน หวงแหนตวั ตน ไมต่ ้องการ ให้ตวั ตนกระทบกระเทือน แตกสลาย เปน็ สาเหตหุ น่งึ ของความกลัวตาย แต่ละ สังคมจงึ มีวิธีการตา่ งๆ ในการเยยี วยาความกลัวดงั กลา่ ว โดยอธิบายวา่ แมต้ าย ไปแล้ว แต่เส้ียวส่วนแห่งตัวตนของเราจะยังสืบเน่ืองอยู่ต่อไป เช่น การสร้าง อนุสาวรยี ์ การจารึกชื่อในถาวรวตั ถุ การสรา้ งประเพณรี ำาลกึ เปน็ ตน้ ในทางพทุ ธศาสนาอธบิ ายวา่ ตัวตนเป็นสิ่งมายา ไม่มอี ยูจ่ รงิ เป็นเพยี ง การปรงุ แตง่ ทางจติ ทเี่ กดิ จากความไมร่ ู้ เราสามารถฝกึ ฝนจนรคู้ วามจรงิ ดงั กลา่ ว ไดด้ ว้ ยการหมน่ั เจรญิ ภาวนาใหเ้ กดิ ปญั ญา ตระหนกั ถงึ ความจรงิ แทท้ ว่ี า่ สรรพสง่ิ วา่ งจากความเปน็ สตั ว์ ตวั ตน บคุ คล เรา เขา เมอ่ื ไมม่ ผี ตู้ าย จงึ ไมม่ คี วามกลวั ตาย ไปโดยปริยาย 89

ส่วนที่ 5 พุทธศาสนา กบั การตาย แม้คว�มต�ยจะเป็นวกิ ฤตของชวี ติ แต่พระพทุ ธศ�สน�ไดช้ ใ้ี หเ้ ห็นเป็นโอก�ส ในก�รพฒั น�จติ ใจและปญั ญ� ผ�่ นก�รท�ำ คว�มร้จู กั ค�ำ ดังตอ่ ไปน้ี 90



เวียนวา่ ยตายเกดิ - สงั สารวฏั ในทางพทุ ธศาสนา คอื การหมุนวนอยใู่ นภพชาติตา่ งๆ ของสตั วโ์ ลก ในลกั ษณะขา้ มภพขา้ มชาติ ตามอาำ นาจบญุ -บาปทช่ี กั นาำ ใหไ้ ปเกดิ เชน่ เกดิ เปน็ มนษุ ยป์ จั จบุ นั แตด่ ว้ ยอาำ นาจบาปทเ่ี คยทาำ เมอ่ื ตายจงึ ไปเกดิ เปน็ สตั วเ์ ดรจั ฉาน หรือไปเกดิ เปน็ เทวดาด้วยอาำ นาจบุญ เปน็ ตน้ ตัณหาหรือความอยาก อยากเสพ อยากมีอยากเป็นบางสิ่งบางอย่าง ไมอ่ ยากมไี มอ่ ยากเปน็ บางอยา่ ง จะผลกั ดนั วงจรแหง่ การตายแลว้ เกดิ หมนุ วน ไปเรอ่ื ยๆ ตราบเทา่ ทว่ี งจรแหง่ กเิ ลส กรรม วบิ ากยงั ดาำ รงสบื เนอ่ื งอยู่ ความตาย จงึ ไมใ่ ชก่ ารยตุ ชิ วี ติ แต่เป็นจดุ เปลีย่ นผา่ นของภพชาติ การหลุดพ้นออกจากสังสารวัฏ ต้องอาศัยการทำาความดี ละเว้นจาก ความชว่ั ฝกึ ฝนอบรมจติ ใจและปญั ญา จนเกดิ ความรแู้ จง้ ตอ่ ธรรมชาตทิ แ่ี ทจ้ รงิ ของชวี ติ และสรรพส่ิงอันเปน็ เหตใุ ห้หลดุ พน้ จากการยดึ ติดในส่ิงท้งั ปวง 92

อาสันนกรรม-จิตสุดทา้ ย เมอ่ื เวลาใกลต้ าย จติ ใจจะมกี ระบวนการแตกดบั กอ่ นไปเกดิ ใน ภพภูมิใหม่ ประกอบดว้ ย 1. การระลึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ จะเห็นการฉายภาพยนตร์ ฉากชวี ิตทงั้ หมดในพริบตา (กรรมอารมณ์) 2. เห็นภาพ ได้ยินเสียง หรือได้กล่ินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำา ในอดีต ท้งั ดแี ละไม่ดี (กรรมนมิ ติ ) 3. เหน็ สญั ญาณท่ีบอกว่าจะไปเกิดอยูใ่ นภพภูมิใด เช่น ถา้ำ เมฆ ปราสาท (คตินมิ ิต) 4. อาสนั นกรรมหรอื จติ สดุ ทา้ ย คอื กรรมทท่ี าำ เมอ่ื ใกลต้ าย มกั เปน็ กรรมทางใจหรอื มโนกรรม ทจี่ ะทาำ ใหจ้ ติ เศรา้ หมองหรอื เกดิ ปตี ิ สขุ สงบ สำาหรับคนทั่วไป อาสันนกรรมคือตัวกำาหนดภพภมู ิที่จะไป เพราะเป็น กรรมท่สี ง่ ผลกอ่ นกรรมชนิดอ่นื (เวน้ แตม่ ีกรรมหนักมาขวาง) บางครัง้ เรยี กวา่ จติ สดุ ท้าย หากเป็นกุศลจะไปสูส่ ุคติ ถ้าเปน็ อกศุ ลจะไปสูท่ คุ ติ 93

คนทเ่ี คยชนิ กบั สภาวะจติ ทเ่ี ปน็ กศุ ล เชน่ หมนั่ ทาำ ความดี เปน็ จติ อาสา เจรญิ สมาธภิ าวนา ฟังธรรม จิตสดุ ท้ายมกั จะเปน็ กุศลได้งา่ ย มแี นวโน้มท่ีจะ ไปสู่สุคติภูมิ ในทางตรงข้าม คนที่ทำาความชั่วจนคุ้นชิน จิตสุดท้ายย่อมมี แนวโน้มเปน็ อกศุ ล แม้มกี ารชว่ ยนาำ ทาง บอกทาง หรือนาำ จติ ให้สงบ กอ็ าจ ชว่ ยไดไ้ มม่ ากนกั เมื่อตายย่อมไปสู่ทคุ ติภูมิ คนไทยในสมยั กอ่ นจะมแี นวทางการบรกิ รรมใหจ้ ติ สดุ ทา้ ยเชอ่ื มโยงกบั กุศลกรรม เช่น การขออโหสิกรรม การระลกึ ถึงพระรัตนตรยั หรือสิง่ ศักดสิ์ ิทธิ์ การบริกรรมสมั มาอะระหงั และการละวางความยึดตดิ ทงั้ ปวง เป็นตน้ 94

สังขาร ผคู้ นโดยทวั่ ไปมกั เขา้ ใจวา่ สงั ขารหมายถงึ รา่ งกาย แตแ่ ทจ้ รงิ แลว้ สงั ขาร ในพทุ ธศาสนาหมายถงึ สง่ิ ทง้ั ปวงทป่ี ระกอบหรอื ถกู ปรงุ แตง่ ขน้ึ จากเหตแุ ละปจั จยั ต่างๆ เช่น คนเราประกอบข้นึ จากรูป (กาย) และนาม (ความคิด ความจำาได้ หมายรู้ ความรู้สกึ การรับร)ู้ ขนึ้ มาเป็นชวี ิต ส่งิ เดียวทีไ่ มจ่ ัดว่าเปน็ สังขาร คือ นิพพาน สังขารมีลักษณะสำาคัญคือ ไม่เที่ยงแท้ถาวร ถูกบีบคั้นจากเหตุปัจจัยที่ เปลย่ี นแปลง และหาตวั ตนทแ่ี ทจ้ รงิ ไมไ่ ด้ พทุ ธศาสนามองวา่ สงั ขารเปน็ ของหนกั การละความยดึ ม่ันถือม่ันในสงั ขารไดถ้ ือเป็นความสุข พทุ ธศาสนาถอื วา่ ในชว่ งสดุ ทา้ ยของชวี ติ หากผปู้ ว่ ยสามารถรกั ษาสตไิ วไ้ ด้ จะมีโอกาสทองในการพจิ ารณาความเปลี่ยนแปลง ความบีบคน้ั ความทกุ ข์จาก การยดึ มั่นในสังขาร จนประจกั ษ์แจ้งในสัจธรรม กระทั่งสามารถปล่อยวางชวี ิต และจากไปไดอ้ ย่างสะอาด สวา่ ง สงบได้ 95

ตายกอ่ นตาย ท่านพทุ ธทาสภกิ ขุพูดเสมอว่า ใหต้ ายก่อนตาย หมายถงึ ปลอ่ ยวางจาก ความยึดมนั่ ถือมน่ั วา่ เปน็ ตัวกูของกู คอื ทำาใหต้ วั กูดบั เป็นการตายจากตัวตน กอ่ นการตายจากการหมดลม ถ้ามีสติระลึกรู้กายและใจเป็นประจำา จนเห็นธรรมชาติของกายและใจ ตามท่ีเป็นจริงว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ปล่อยวางความยึดม่ันในตัวกูของกู จะเปน็ อสิ ระจากความตายได้ เมื่อไม่มีตวั กขู องกู จงึ มแี ต่ความตาย เพราะไม่มี ผตู้ าย ไมม่ ตี วั กทู จี่ ะทาำ ใหส้ าำ คญั มนั่ หมายวา่ กตู าย ไมม่ ตี วั กทู ต่ี อ้ งรกั ตอ้ งหวงแหน หรอื ตอ้ งหวาดกลัวตอ่ ความตายอีกต่อไป นคี่ ือวิธเี อาชนะความตายโดยไม่มผี ู้ตาย เปน็ หนทางไปส่กู ารหลดุ พน้ 96

นาทที อง ทา่ นพทุ ธทาสภกิ ขกุ ลา่ วไวว้ า่ ในภาวะจติ สดุ ทา้ ยซง่ึ เปน็ ชว่ งรอยตอ่ ระหวา่ ง ความเปน็ และความตาย หากเปน็ ผมู้ ปี ญั ญา สามารถใชค้ วามทกุ ข์ ความบบี คน้ั จติ ใจทห่ี วน่ั ไหวในชว่ งเวลาใกลต้ าย พจิ ารณาใหเ้ หน็ ถงึ ความจรงิ วา่ สงั ขารเปน็ ทกุ ข์ อยา่ งยงิ่ ทาำ ใหป้ ลอ่ ยวางสงั ขารไดอ้ ยา่ งสนิ้ เชงิ หลดุ พน้ จากความยดึ มนั่ ในตวั ตน เป็นสภาวะทสี่ ามารถบรรลุธรรมได้ ช่วงเวลาดังกล่าวยังเป็นโอกาสทอง ในการดับความยึดม่ันถือม่ันใน ตัวตนอีกด้วย ดังทท่ี า่ นเรยี กวา่ ตกกระไดพลอยโจน คือ “ไหนๆ ก็เมอ่ื ร่างกาย นี้มนั อยตู่ อ่ ไปไมไ่ ด้อกี แล้ว จติ หรือเจา้ ของบา้ นกพ็ ลอยกระโจนตามไปเสยี ดว้ ย ก็แล้วกัน ให้ปัญญามันกระจ่างข้ึนมาในขณะน้ันว่า ไม่มีอะไรท่ีน่าจะกลับมา เกิดใหม่ เพ่อื เอา เพื่อเป็น เพือ่ หวงั อะไร อย่างใด ต่อไปอีก” 97

โพวา ตามแนวทางความเชอ่ื ดง้ั เดมิ ของพทุ ธศาสนาสายวชั รยาน โพวาคอื การ เคล่ือนย้ายจิตของผู้ใกล้ตายไปสู่สภาวะจิตเดิมแท้ เป็นการปฏิบัติโยคะและ สมาธิภาวนาที่ใช้ในการช่วยเหลือผู้ใกล้ตายและเพ่ือเตรียมตัวตาย แต่เรายัง สามารถประยกุ ต์โพวามาใชใ้ นการเยยี วยา และส่งเสริมพลังฝา่ ยบวกในใจแกผ่ ู้ ป่วยท่ัวไปหรอื ตัวผปู้ ฏิบัติเองไดอ้ ีกด้วย วิธีการทำาโพวา เร่ิมจากการทำาตัวให้สบาย นั่งในท่าที่รู้สึกสบาย หรือ นอนก็ได้ จากน้ัน ให้สำารวจจิต ปล่อยวาง ผ่อนคลาย น้อมใจนึก อัญเชิญ พระพุทธองค์หรือสิ่งศักด์ิสิทธิ์ท่ีเคารพสักการะผูกพันแนบแน่น มาปรากฏอยู่ เหนือศีรษะของผู้ป่วยหรือผู้ใกล้ตาย จินตนาการว่าพระองค์ทรงแย้มย้ิมด้วย ความกรณุ า และแผอ่ อกมาเปน็ ลาำ แสงไปยงั ผใู้ กลต้ าย เพอื่ ชาำ ระลา้ งกายใจและ จิตวิญญาณ จนกระท่งั ผใู้ กลต้ ายสลายกลายเปน็ แสง ลอยสู่ทอ้ งฟ้า และรวม กบั พระพทุ ธองค์หรอื ส่งิ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิท่อี ัญเชญิ มา 98

99


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook