Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา

หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา

Description: วิเคราะห์หลักสูตร การจัดการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ และการประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาสถานศึกษา

Keywords: หลักสูตร สาระการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

หลักสูตรและสาระ การเรียนรู้พระพุทธศาสนา Buddhist Curriculum and Content โ ด ย ทิ พ ย์ ขั น แ ก้ ว

หลกั สตู รและสาระการเรยี นรูพ้ ระพุทธศาสนา (Buddhist Curriculum and Content) ทิพย์ ขันแก้ว วทิ ยาลยั สงฆ์บรุ ีรมั ย์ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ๒๕๕๗

คำนำ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๒๐๐ ๒๒๖ (Buddhist Curriculum and Content) หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต คณะครุศาสตร์ สาขาวิชา การสอนพระพุทธศาสนา ผูส้ อนไดร้ วบรวมขน้ึ เพอ่ื ให้นิสติ นักศึกษาและผู้ที่สนใจได้ศึกษาประกอบ การเรียนการสอนในรายวิชาที่เรียน โดยได้นำแนวสังเขปรายวิชา ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตร การ จัดการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ข้ันตอนการจัดการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ บทบาทของครูในการ จัดการเรยี นรู้ การออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ตามหลกั สตู รการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน กราบขอบพระคุณพระครูปริยัติภัทรคุณ ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ ที่ให้โอกาสใน การจัดทำเอกสารประกอบการเรียนรายวชิ านี้ หวังเป็นอย่างยิ่ง เอกสารประกอบการเรียนการสอนเล่มน้ีจะอำนวยประโยชน์แก่นิสิต นักศึกษา ผู้ที่สนใจ และคณาจารย์ ที่สนใจในการศึกษา หากท่านผู้อ่านพบข้อบกพร่องหรือมีคำ ช้แี นะเพ่ือการปรับปรุงให้สมบูรณ์มากยิ่งขน้ึ ผู้จัดทำยนิ ดีรับฟังความคิดเห็น และจะนำไปปรับปรุง แก้ไขพฒั นาเอกสารใหม้ ีความสมบูรณ์และมคี ุณค่าทางการศึกษาตอ่ ไป ทิพย์ ขนั แกว้ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗

บท สารบญั หนา้ คำนำ ก สารบญั ข บทที่ ๑ การวิเคราะห์ลกั สูตร ๑ ๑.๑ ความนำ ๒ ๑.๒ ความหมาย ๒ ๑.๓ การวิเคราะหแ์ บบอิงกลุ่ม ๓ ๑.๔ การวิเคราะห์แบบอิงเกณฑ์ ๖ ๑.๕ ประโยชนข์ องการวเิ คราะหห์ ลกั สตู ร ๗ สรุปท้ายบท ๗ เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๘ บทท่ี ๒ การจดั สาระการเรียนรพู้ ระพทุ ธศาสนา ๑๐ ๒.๑ ความนำ ๑๑ ๒.๒ ทฤษฎีเก่ียวกบั การจัดการศกึ ษา ๑๑ ๒.๓ แนวคิดเก่ียวกับการจัดการศกึ ษา ๑๗ ๒.๔ เหตผุ ลท่คี นไทยต้องเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๒๖ สรุปทา้ ยบท ๒๗ เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๒๙ บทที่ ๓ ขนั้ ตอนการจัดการเรียนรู้ ๓๐ ๓.๑ ความนำ ๓๑ ๓.๒ ความหมาย ๓๑ ๓.๓ ลักษณะการเรียนรู้ ๓๒ ๓.๔ ขั้นตอนการจดั การเรยี นรู้ ๓๕ ๓.๕ การจดั การเรียนรู้ส่ปู ระชาคมอาเซียน ๔๒ สรุปทา้ ยบท ๔๔ เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๔๕ บทที่ ๔ การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ๔๖ ๔.๑ ความนำ ๔๗ ๔.๒ ความหมาย ๔๗ ๔.๓ จดุ มุ่งหมายของการวัดผลการศกึ ษา ๔๘ ๔.๔ หลักการวัดผลการศึกษา ๔๙

บท สารบญั หนา้ ๔.๖ การประเมินผลจากสภาพจริง ๕๐ ๔.๗ แบบทดสอบ ๕๑ ๔.๘ การสรา้ งแบบทดสอบชนิดตา่ ง ๆ ๕๒ ๔.๙ ประโยชน์ของการวดั และประเมนิ ผลการเรยี น ๕๓ สรุปท้ายบท ๕๔ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๕๕ บทที่ ๕ การวจิ ัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ ๕๖ ๕.๑ ความนำ ๕๗ ๕.๒ ความหมาย ๕๗ ๕.๓ ลกั ษณะสำคญั ของการวิจยั ปฏิบัติการในชัน้ เรียน ๕๘ ๕.๔ ความสอดคล้องของวงจรเชงิ ปฏบิ ัติการในช้นั เรยี นกบั วงจรพฒั นาคุณภาพ ๕๙ สรปุ ท้ายบท ๖๖ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๖๗ บทท่ี ๖ บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้ ๖๘ ๖.๑ ความนำ ๖๙ ๖.๒ ความหมาย ๖๙ ๖.๓ บทบาทของครู ๗๔ ๖.๔ รูปแบบการจดั ชน้ั เรียน ๗๗ สรุปทา้ ยบท ๗๘ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๗๙ บทท่ี ๗ การจัดการศึกษาตามปรชั ญาและบรบิ ทของสงั คมไทย ๘๐ ๗.๑ ความนำ ๘๑ ๗.๒ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน ๘๒ ๗.๓ การจัดกจิ กรรมการเรียนร้แู บบบรู ณาการ ๘๒ ๗.๔ นวตั กรรมการพัฒนาคุณลกั ษณ์ที่ดี ๘๕ ๗.๕ ลกั ษณะการจดั การเรียนรู้แบบบูรณาการ ๘๕ ๗.๖ หลกั การออกแบบกิจกรรมการเรยี นการสอนแบบบูรณาการ ๘๖ ๗.๗ ลำดบั การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๘๗ สรุปท้ายบท ๘๘ เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๘๙ บรรณานกุ รม ๙๐

หลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๑ บทท่ี ๑ การวิเคราะหล์ กั สูตร วัตถปุ ระสงค์ประจำบท เม่อื ไดศ้ กึ ษาเน้ือหาในบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑.บอกความหมายของการวเิ คราะหห์ ลกั สตู รได้ ๒.อธบิ ายวตั ถุประสงคใ์ นการวเิ คราะหห์ ลกั สตู รได้ ๓.บอกโครงสร้างของตารางวิเคราะหห์ ลกั สตู รได้ ๔.วิเคราะหห์ ลักสูตรแบบอิงกลมุ่ และองิ เกณฑ์ได้ ๕.บอกประโยชนใ์ นการวิเคราะหห์ ลกั สตู รได้ ขอบขา่ ยเนือ้ หา • การวเิ คราะหห์ ลักสตู ร • วัตถปุ ระสงคใ์ นการวเิ คราะห์หลกั สตู ร • โครงสรา้ งของตารางวิเคราะห์หลักสูตร • หลักสตู รแบบอิงกลมุ่ และอิงเกณฑ์ • ประโยชนใ์ นการวเิ คราะห์หลกั สตู ร

หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๒ ๑.๑ ความนำ จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ได้ระบุไว้ในหมวด 4 แนวการจดั การศึกษา ที่ยึดหลกั ว่าผู้เรยี นทุกคนมีความสามารถเรยี นรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้อง ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตาม ธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ สำหรับการจัดการศึกษาต้องให้ความสำคัญทั้งด้านความรู้และคุณธรรม กระบวนการเรียนรู้น้ันต้องบูรณาการตามความเหมาะสม ในเร่ืองของความรู้เร่ืองเก่ียวกับตนเองและ ความสัมพันธ์กับสังคม ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการจัดการ ความรู้ด้านศาสนา ศิลปวฒั นธรรม การกีฬา ด้านทักษะคณิตศาสตร์ ภาษา และการประกอบอาชีพ การดำรงชีวิตอย่างมีความสุข การจัดการศึกษาให้มีหลกั สูตรแกนกลางโดยเฉพาะการศึกษาข้ันพ้นื ฐานเพ่ือความเปน็ ไทย เป็นพลเมืองท่ีดขี อง ชาติ ท้ังน้ีกำหนดให้มีสาระของหลักสูตรในส่วนท่ีเก่ียวกับสภาพปัญหาในชุมชน สังคม ภูมิปัญญาท้องถ่ิน คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพ่ือเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ สำหรับหลักสูตร การศึกษาน้ันต้องมีลักษณะหลากหลายและจัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ สาระของหลักสูตรต้องมุ่ง พัฒนาคนให้มีความสมดุล ทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งนี้จึงได้มีหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ของกระทรวงศึกษาธิการ เพ่ือกำหนดเป็นหลักสูตร แกนกลาง และเป็นมาตรฐานการศึกษาที่สถานศึกษาปฐมวัยได้ใช้เป็นหลักในการเทียบเคียงด้านคุณลักษณะ คุณภาพที่พึงประสงค์ และมาตรฐานท่ีต้องการให้เกิดข้ึนในสถานศึกษาทุกแห่ง หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 จึงเป็นหลักสูตรแกนกลางท่ีเป็นหลักในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาของสถานศึกษา ปฐมวยั ทุกประเภทใช้เป็นมาตรฐานของหลกั สูตรในการพัฒนาผเู้ รียน และเพิ่มเติมในส่วนที่สถานศึกษาตอ้ งการ พฒั นาผ้เู รียนให้สอดคล้องกบั สภาพบรบิ ททางสังคม วัฒนธรรมของชุมชน หลักสูตร ถือเป็นหัวใจของการจัดการศึกษา เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดแนวทางการจัด การศึกษา เพือ่ ท่จี ะพัฒนาผู้เรยี นใหม้ ีทักษะพื้นฐานในการดำรงชีวิต สามารถพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของตนเองและ สงั คมได้ การจัดการศกึ ษาท่ีดีจึงควรมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพชีวติ และสังคมของผู้เรยี น หลักสูตรจึง จำเป็นต้องปรับปรุงหรือพัฒนาให้มีความเหมาะสม ทันต่อการเปล่ียนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคมอยู่ เสมอ กระบวนการในการวัดผลและประเมินผลทางการศกึ ษา จะต้องมกี ารจดั เตรยี มและวางแผนเพื่อให้การ วัดและประเมินผลมีความเท่ียงตรงสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ดังนั้นก่อนมีการสอนและวัดผล จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์หลักสูตรว่าจะสอนและวัดผลเน้ือหา และพฤติกรรมใด บ้างที่ต้องการให้เกิดข้ึนแก่ ผเู้ รียน๑ การที่ผู้สอนจะสอนหรือทดสอบ จำเป็นท่ีจะต้องศึกษารายละเอียดของวิชาน้ันว่ามี โครงสร้างหรือ กรอบให้แก่ผเู้ รยี นอย่างไร ซ่งึ มักจะประกอบด้วยจดุ มุ่งหมายกับเน้ือหา โดยเรียกว่า การวิเคราะห์หลกั สูตรหรือ การกำหนดรายละเอียดของวิชา เพื่อประโยชน์ในการวางแผนการสอนว่าควรจะสอนเนื้อหาอะไร ให้ผู้เรียน บรรลุพฤติกรรมอะไร มากน้อยเท่าไร และสะดวกแก่การเขียนข้อสอบ ให้ได้ตรงกับเนื้อหาและพฤติกรรมที่ได้ วางแผนไว้ ผสู้ อนควรแสดงตารางกำหนดรายละเอียดทจ่ี ะสอนทุกครั้งเพือ่ หาความสัมพันธ์ของจุดมงุ่ หมายและ เนื้อหา ซึ่งในการสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรมี ๒ วิธี คือ แบบอิงกลุ่ม และแบบอิงเกณฑ์ ซึ่งจะได้อธิบาย และทำความเขา้ ใจในตอนต่อไป ๑ วิชาการวัดและประเมนิ ผลทางการศึกษา, [ออนไลน์] เขา้ ถงึ ไดจ้ าก bhttp://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi- binn/webpili/unit๔/level๔- ๔.html. สบื ค้นเมอื่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗.

หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๓ ๑.๒ ความหมาย การวเิ คราะห์๒ เปน็ การแยกแยะส่งิ ท่จี ะพิจารณาออกเปน็ ส่วนยอ่ ยท่มี ีความสมั พนั ธก์ นั เพ่ือทำความ เขา้ ใจแตล่ ะส่วนให้แจม่ แจง้ รวมท้ังการสบื ค้นความสัมพันธข์ องส่วนต่าง ๆ เพอื่ ดูว่าสว่ นประกอบปลกี ย่อยน้ัน สามารถเข้ากันได้หรือไม่ สมั พันธ์เก่ียวเนือ่ งกนั อยา่ งไร ซึง่ จะช่วยใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจต่อสงิ่ หน่ึงสงิ่ ใดอย่างแท้จรงิ โดยพน้ื ฐานแล้ว การวเิ คราะห์ถือเป็นทักษะท่ีมนษุ ยฝ์ กึ ได้การวิเคราะหห์ ลกั สูตร เป็นการพจิ ารณารายละเอียด ของจดุ มงุ่ หมายและเนื้อหา แลว้ พจิ ารณาความสัมพันธท์ งั้ จุดมุ่งหมายและเนอ้ื หาเพ่ือนำมาวางแผนในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนและการสอบ การศึกษาหลักสูตร หมายถึงการทำความเข้าใจองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตร เพ่ือให้เกิดเป็น พ้ืนฐานความคิดในเรื่องน้ัน ๆ ที่ชัดเจน ถูกต้อง สามารถนำไปใช้สู่การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ของหลกั สตู ร ทัง้ นไ้ี ด้แก่การศึกษาและวเิ คราะหห์ ลักสตู รแกนกลางและหลกั สูตรทส่ี ถานศึกษาพฒั นาขึ้น การวิเคราะห์หลักสูตร หมายถึงการจำแนกแยกแยะรายละเอียดขององค์ประกอบของหลักสูตรกลาง เพ่ือนำมาสู่การกำหนดเป็นรายละเอียดของหลักสูตรสถานศึกษา สำหรับการนำไปสู่การนำหลักสูตรไปใช้ใน ระดับช้ันเรียน โดยมคี วามตรงตามหลักสตู รกลาง และสอดคลอ้ งกับบริบททางสังคม วัฒนธรรม โดยมีความเป็น มาตรฐานตามหลกั สูตรกลางทก่ี ำหนดไว้ ๑.๒.๑ วัตถุประสงคข์ องการสร้างตารางวเิ คราะหห์ ลักสตู ร ๑. เพอ่ื ใช้ในการวางแผน กำหนดขอบเขตและควบคุมการบรหิ ารการสอนและการสอบ ให้ได้ สัดส่วนสมั พนั ธก์ ันอยา่ งสมดุลและสมบรู ณต์ ามความคาดหมาย ๒.เพอ่ื ให้การดำเนนิ การสอนและการสอบใหเ้ ปน็ ไปตามสดั สว่ น ของระยะเวลาตามความ สำคัญของเนื้อเรื่องและของพฤติกรรมทพ่ี งึ ประสงค์ ๓.เพือ่ แสดงสัดส่วนของความสำคญั เป็นปรมิ าณตวั เลขของแตล่ ะเน้อื หาวิชาและแตล่ ะ พฤติกรรมที่สัมพันธ์กันตามความมุ่งหมายและตามทีห่ ลกั สูตรต้องการ ๔.เพ่อื เปน็ แนวทางในการพจิ ารณาความเทยี่ งตรงของข้อสอบทง้ั ในด้านเน้ือหาวชิ า และโครง สร้างทเี่ ปน็ อยู่ ๑.๒.๒ ลกั ษณะของตารางวเิ คราะห์หลกั สูตร ตารางวิเคราะห์หลักสตู รประกอบด้วย ๓ สว่ น คอื สว่ นท่ี ๑ ส่วนตามแนวตั้ง เปน็ เรื่องของเนื้อวิชา ไดแ้ กเ่ ร่ืองราวต่าง ๆ ทก่ี ำหนดวา่ จะสอน ตามหลักสูตรมากน้อยเพยี งใด ในส่วนนีจ้ ะเป็นการกำหนดส่ิงทผี่ ้เู รียนจะได้เรียนร้ใู นเรื่องอะไรบา้ ง เปน็ สดั สว่ นเทา่ ใด ส่วนที่ ๒ สว่ นตามแนวนอน เป็นโครงสร้างพฤติกรรมทางสมอง หรือที่เรียกวา่ จุดประสงค์ คอื ในสว่ นนจี้ ะเป็นการกำหนดสงิ่ ทผ่ี ู้เรยี นจะไดเ้ รยี นรู้ โดยเกิดความสามารถทางสมองในดา้ นใดบา้ ง มากนอ้ ย เพยี งใด เป็นสัดสว่ นเท่าใด ๒ การวเิ คราะห.์ [ออนไลน์] http://th.wikipedia.org/wiki. สบื ค้นเมอ่ื ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗.

หลักสตู รและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๔ สว่ นท่ี ๓ ส่วนทเ่ี ปน็ ตัวเลข ได้แก่ตัวเลขตา่ ง ๆ ในแต่ละชอ่ ง ซ่ึงแสดงให้ทราบถึงน้ำหนัก ความสำคญั หรือสดั ส่วน ความสมั พันธร์ ะหว่างเน้ือหาวิชาที่สอนกับพฤติกรรมที่มงุ่ จะปลูกฝงั และเสรมิ สรา้ ง ให้กบั ผเู้ รยี น ๑.๓ การวิเคราะหแ์ บบองิ กลุม่ การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรแบบอิงกลุ่มของแต่ละวิชาควรทำเป็นรูปของคณะกรรมการ ซ่ึงใน ท่ีนี้เป็นตัวอย่างการวิเคราะห์หลักสูตรแบบกำหนดน้ำหนักรวม เป็น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มีขั้นตอนการวิเคราะห์ ดงั นี้ ขั้นท่ี ๑ พิจารณาจดุ มุ่งหมายของหลักสตู รแต่ละข้อวา่ กล่าวถงึ พฤตกิ รรมใด ข้นั ที่ ๒ นำจดุ มุง่ หมายทพี่ ิจารณาไดม้ ายบุ สง่ิ ทซี่ ับซอ้ น ขัน้ ที่ ๓ นำเอาพฤติกรรมดงั กลา่ ว มาตีความหมายตามลักษณะของแตล่ ะวิชา ขน้ั ที่ ๔ พจิ ารณาแยกแยะเน้ือหาเพ่ือใชใ้ นการสอนและการสอบ ข้นั ท่ี ๕ นำเอาพฤติกรรมในข้นั ท่ี ๓ และเน้ือหาในข้ันท่ี ๔ มากำหนดน้ำหนกั ความสำคญั ทจ่ี ะวัด ขน้ั ท่ี ๖ นำเอาพฤติกรรมในขน้ั ที่ ๓ และเนื้อหาขั้นท่ี ๔ มาเขียนลงในตาราง ให้สัมพนั ธก์ ัน พร้อมทั้งเขียนน้ำหนกั ความสำคัญท่ีกำหนดไว้ในขนั้ ที่ ๕ ลงในตาราง ขนั้ ท่ี ๗ ทำเปน็ ตารางเฉลย่ี โดยเอาตารางของผู้สอนแต่ละคน นำนำ้ หนกั ความสำคญั ของแต่ละช่อง เฉลยี่ ลงในตารางใหม่ ซงึ่ จะเป็นตาราง ๑๐๐ ตามต้องการ

หลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๕ ตวั อย่าง การวเิ คราะห์หลกั สตู รวชิ าสขุ ศกึ ษา หลักสูตรวิชาสขุ ศกึ ษา ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๑ คำอธบิ ายรายวิชา การศึกษาเรื่องสายตา การได้ยนิ และโรคท่เี กยี่ วข้องกบั นยั นต์ า หู และจมูก อาหาร ปญั หาและความ ต้องการทางดา้ นโภชนาการ สวสั ดิภาพของตนเองและสว่ นรวม ความปลอดภยั ในการโดยสารรถยนต์ รถไฟ และเรือ สวสั ดิภาพของคนเดินเทา้ จดุ มุ่งหมายรายวชิ า ๑. ให้ร้จู ักและปฏิบตั ติ นไดอ้ ย่างถกู ต้องในเร่ืองสขุ ภาพส่วนบุคคล ๒. ปลกู ฝงั ใหม้ ีนิสยั การบริโภคอาหารทดี่ ี และรู้จักเลือกรบั ประทานอาหารทม่ี ปี ระโยชน์ต่อร่างกาย ๓. ใหส้ ามารถรกั ษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อนื่ ขน้ั ท่ี ๑ พิจารณาจุดมุง่ หมายของหลักสูตรแตล่ ะขอ้ ว่ากล่าวถึงพฤติกรรมใด ขอ้ ๑ ใหร้ ู้จกั และปฏิบัติตนไดอ้ ย่างถูกตอ้ งในเร่ืองสขุ ภาพสว่ นบุคคล -พฤติกรรมทแ่ี ยกได้ ความจำ และการนำไปใช้ ขอ้ ๒ ปลกู ฝังให้มีนิสัยการบรโิ ภคอาหารท่ีดีและรู้จกั เลือกรบั ประทานอาหารท่มี ีประโยชน์ ต่อร่างกาย - พฤติกรรมท่ีแยกได้ เจตคติ การประเมินค่า การวเิ คราะห์ ข้อ ๓ ให้สามารถรกั ษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อนื่ -พฤตกิ รรมทแ่ี ยกได้ การนำไปใช้ ขั้นที่ ๒ นำจุดมงุ่ หมายที่พจิ ารณาไดย้ ุบสงิ่ ที่ซับซอ้ น จากขั้นที่ ๑ ยบุ รวมแลว้ ได้ดังน้ี ๑. ความจำ ๒. การนำไปใช้ ๓. การวเิ คราะห์ ๔. การประเมินค่า ๕. เจตคติ แตเ่ นื่องจากตารางนี้ จะเนน้ ให้ใชใ้ นการสอนและการสอบ พฤติกรรมทางดา้ นสติปญั ญา คือ ความจำ การนำไปใช้การวิเคราะห์ และการประเมนิ ค่าใช้สรา้ งตารางวเิ คราะห์หลกั สตู ร ส่วนเจตคตนิ ้ันเป็นพฤติกรรม ดา้ นความรู้สกึ จงึ ใชป้ ระกอบในการเรียนการสอนโดย ปลกู ฝังใหผ้ ู้เรยี นเกิดเจตคตทิ ่ีดีในการบริโภคอาหาร ข้นั ที่ ๓ นำพฤติกรรมดังกลา่ วมาตคี วามหมายตามลกั ษณะของแต่ละวชิ า ได้ดงั น้ี ๑.ความจำ หมายถึง ความสามารถในการระลึกได้ในเร่อื งสุขภาพส่วนบคุ คล - การแสดงออก นักเรียนบอกสาระต่าง ๆ ท่เี กยี่ วข้องกับสุขภาพได้ ๒.การนำไปใช้ แบง่ ตามความสามารถนำความรู้ที่เรยี นมาใช้ในการแก้ปัญหา - การแสดงออก นกั เรยี นสามารถนำความรูม้ าใชก้ บั ตวั เอง และคนอน่ื ในสถานการณ์ใหม่ได้ ๓. การวเิ คราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจำแนก แยกแยะ เลือกสิง่ ที่กำหนดไว้ได้จาก สถานการณ์ใหม่ - การแสดงออก นกั เรียนสามารถเลือกอาหารทม่ี ีประโยชน์ตอ่ รา่ งกายจากอาหารท่กี ำหนด

หลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๖ ไว้ได้ ๔. การประเมินคา่ หมายถงึ ความสามารถในการวจิ ารณ์ ตัดสินสงิ่ ท่ีกำหนด ไว้เกี่ยวกบั อาหารและสุขภาพ - การแสดงออก นักเรียนสามารถวจิ ารณ์ เกย่ี วกับอาหาร และสุขภาพ ได้ ข้ันที่ ๔ พจิ ารณาแยกแยะเน้ือหาเพ่อื ใช้ในการสอนและการสอบ ซึ่งแยกแยะเน้ือหาได้ ดังน้ี ๑. ตา หู ๒. โรคเกี่ยวกับนัยน์ตา หู จมูก ๓. อาหาร ๔. ปัญหาและความต้องการทางด้านโภชนาการ ๕. สวัสดภิ าพของตนเองและส่วนรวม ๖. ความปลอดภยั ในการโดยสารรถยนต์ รถไฟ และเรือ ๗. สวสั ดภิ าพของคนเดนิ เท้า ขนั้ ท่ี ๕ นำเอาพฤตกิ รรมในข้ันท่ี ๓ และเนอ้ื หาในข้นั ที่ ๔ มากำหนดนำ้ หนกั ความสำคญั ท่จี ะ วัด ซ่งึ ได้กำหนด ดังน้ี ก. พฤตกิ รรมทีต่ อ้ งการวดั ๑. ความรู้ นำ้ หนักความสำคญั ๑๕ % ๒. การนำไปใช้ นำ้ หนักความสำคัญ ๔๐ % ๓. การวเิ คราะห์ นำ้ หนกั ความสำคัญ ๒๕ % ๔. การประเมินค่า นำ้ หนกั ความสำคัญ ๒๐ % รวม ๑๐๐ % ข. เนอื้ หาทจ่ี ะวัด ๑. ตา หู น้ำหนกั ๑๐ % ๒. โรคเกีย่ วกับนยั นต์ า หู จมูก น้ำหนัก ๑๕ % ๓. อาหาร นำ้ หนกั ๒๐ % ๔. ปัญหาและความต้องการทางโภชนาการ นำ้ หนกั ๑๐ % ๕. สวัสดีภาของตนเองและส่วนรวม นำ้ หนัก ๑๒ % ๖. ความปลอดภยั ในการโดยสารรถยนต์ รถไฟ และเรือ น้ำหนกั ๑๘ % ๗. สวสั ดภิ าพการเดนิ ทางเท้า นำ้ หนกั ๑๕ % รวม ๑๐๐ % ขนั้ ท่ี ๖ นำเอาพฤตกิ รรมในขนั้ ที่ ๓ และเนอ้ื หาในข้ันท่ี ๔ มาเขียนลงในตาราง ใหส้ มั พันธ์กนั พร้อมทง้ั เขียนนำ้ หนกั ความสำคญั ทกี่ ำหนดไวใ้ นขนั้ ท่ี ๕ ลงในตาราง

หลักสตู รและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๗ ตารางวิเคราะห์หลกั สูตร ตารางน้ี ทำไดโ้ ดยผู้สอนแตล่ ะคนกำหนดนำ้ หนกั ลงในแตล่ ะเนื้อหา และพฤตกิ รรม พร้อมทงั้ คำนวณหาจำนวนข้อสอบโดยใช้วิธีการเทยี บบัญญตั ไิ ตรยางค์ ขน้ั ท่ี ๗ ทำเปน็ ตารางเฉล่ยี โดยเอาตารางของผู้สอนแต่ละคนนำน้ำหนกั ความสำคัญของแต่ละ ช่องเฉลี่ยลงในตารางใหมซ่ ่ึงจะเปน็ ตาราง ๑๐๐ ตามต้องการ จากตารางขา้ งต้นน้แี สดงว่าเป็นตารางท่ีใช้ในการออกขอ้ สอบทง้ั หมด ๖๐ ข้อ โดยมีรายละเอยี ด ของการออก ขอ้ สอบในแต่ละเน้ือหา และพฤติกรรมดงั ในตาราง เช่น ในเนื้อหาเร่ืองที่ ๓ เรื่องอาหาร จะต้อง ออกพฤตกิ รรมความจำ ๒ % เป็นจำนวน ๑ ข้อ การนำไปใช้ ๗% เปน็ จำนวนข้อ ๔ ขอ้ การวิเคราะห์ ๕% เป็นจำนวนข้อ ๓ ข้อ การประเมนิ คา่ ๖% เปน็ จำนวนขอ้ ๔ ข้อ ๑.๔ การวิเคราะหแ์ บบอิงเกณฑ์ การวเิ คราะห์หลกั สูตรแบบอิงเกณฑ์คล้ายกับการทำตารางวเิ คราะห์แบบอิงกลุ่มแต่ไม่จำเป็นต้องให้ น้ำหนักคะแนนตามช่องสัมพันธ์กับเนื้อหาและพฤติกรรม เพียงแตแ่ สดงให้เห็น โดยการทำเคร่ืองหมายว่าช่องน้ี ต้องการปลกู ฝงั ใหเ้ ด็กมพี ฤติกรรม และเขียนจุดม่งุ หมายเชงิ พฤตกิ รรมใหก้ ระจา่ ง เพื่อใช้ในการสอนและการ สอบ ซ่ึงควรแยกเน้ือหาเป็นตอน ๆ ที่คาดว่าจะสอบย่อยครั้งหน่ึง ๆ แล้วพิจารณาว่าเนื้อหาน้ันควรมีการ ปลูกฝงั ใหน้ ักเรยี นเกิดพฤติกรรมใดแลว้ ขีดเครอื่ งหมายกากบาท (X) ดังตัวอยา่ งในตาราง

หลกั สูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๘ ตวั อยา่ ง ตารางวเิ คราะห์หลักสตู รแบบอิงเกณฑ์๓ พฤตกิ รรม ความจำ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การประเมนิ คา่ เนอื้ หา X X X ๑. ส่วนประกอบของตา X XX ๒. หน้าท่ีของตา X ๓. ประโยชนข์ องตา ๔. การดูแลรักษาตา ตารางวเิ คราะหห์ ลักสูตรแบบนเ้ี ปน็ เครื่องชว่ ยใหผ้ ้สู อนและผสู้ อบเขา้ ใจตรงกนั ตามความต้องการของ หลักสูตร จำนวนข้อสอบขนึ้ อยู่กับผสู้ อนเป็นประการสำคัญ ควรมขี ้อสอบไมเ่ กิน ๒๕ ขอ้ (๒๐ – ๒๕ ข้อ) และใช้เวลาสอบประมาณ ๒๐ – ๒๕ นาที จากการวเิ คราะหห์ ลกั สตู รแบบอิงเกณฑ์น้ี อาจนำมาเขียนจุดม่งุ หมายเชงิ พฤตกิ รรมแตล่ ะข้อ ดังตัวอยา่ ง ๑. พฤติกรรมทจี่ ะวดั : ความจำเกีย่ วกับสว่ นประกอบของตา จดุ ม่งุ หมายเชงิ พฤติกรรม : เม่ือนกั เรียนเรยี นสว่ นประกอบของตาแลว้ ๑.นกั เรยี นสามารถบอกสว่ นประกอบของตาได้ ๒.นกั เรยี นสามารถช้ี สว่ นประกอบของตาได้ ๒. พฤติกรรมทจี่ ะวัด : ความจำเกี่ยวกบั หน้าท่ีและประโยชนข์ องตา จดุ มุง่ หมายเชงิ พฤติกรรม : เมอื่ นักเรยี นเรยี นหน้าท่ีและประโยชน์ของตา ๑.นกั เรียนสามารถบอกหน้าท่ีและประโยชน์ของตาได้ ๒.นกั เรยี นสามารถบอกหนา้ ทแ่ี ละประโยชน์ของ ส่วนประกอบ ของตาแต่ละส่วนได้ ๓. พฤตกิ รรมทจี่ ะวดั : ความจำเก่ยี วกับการดูแลรักษาตา จดุ มุง่ หมายเชงิ พฤติกรรม : เม่ือนกั เรยี นเรียนการดแู ลรักษาตา ๑.นกั เรียนสามารถบอกขนั้ ตอนในการดูแลรกั ษาตาได้ ๒.นกั เรียนสามารถเปรยี บเทยี บผลเสียของการใชต้ า ในสถานการณต์ ่าง ๆ ได้ การเขียนจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม หรอื พฤติกรรมหลกั ท่ีต้องการใหน้ ักเรียนเกิดพฤติกรรมน้ัน การ เขียนจุดมงุ่ หมายเชิงพฤตกิ รรม ตอ้ งเขยี นใหผ้ สู้ อนและผสู้ อบสามารถปฏบิ ัติและสังเกตได้จรงิ ๓ ตวั อยา่ งการสังเคราะห์. โปรดดู วริ ัช วิรชั นภิ าวรรณ, ibid., หน้า ๖๖-๖๙.

หลักสตู รและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๙ ๑.๕ ประโยชนข์ องการวิเคราะหห์ ลักสตู ร การวิเคราะห์หลกั สูตร มปี ระโยชนใ์ นการเรยี นการสอน และการบรหิ ารดังน้ี ๑.สำหรับครูผู้สอน ตารางวิเคราะหห์ ลักสตู รเปน็ กรอบหรือโครงสรา้ งที่จะสอน และสอบได้ ครอบคลมุ ตามหลกั สตู รซ่งึ มีประโยชนด์ ังน้ี ๑.๑ เกย่ี วกบั การสอน ชว่ ยให้ครูรู้รายละเอียดของเน้ือหาและพฤตกิ รรมท่ีควรปลกู ฝงั ผูเ้ รยี น รวู้ ่า เนือ้ หาหนึ่ง ๆ ควรปลกู ฝังพฤติกรรมใดบา้ ง และปลกู ฝังมากนอ้ ยเพียงใด การกำหนด ชั่วโมงการสอนทำได้เป็น สัดส่วนเหมาะสมในแต่ละเนอ้ื หาน้นั ๆ ๑.๒ เกย่ี วกับการสอบ ช่วยใหค้ รูได้ออกข้อสอบครอบคลุมเนือ้ หาและพฤติกรรมตามท่ตี ้องการ เปน็ เครือ่ ง ช่วยบังคบั ทิศทางการออกข้อสอบวา่ จะออกเนื้อหาใดตามพฤติกรรมใด จำนวนกข่ี ้อ และสามารถใช้ ตรวจสอบความบกพร่องของเดก็ เมื่อทำผดิ ได้ ๒. สำหรบั ผู้บริหาร ช่วยในการประเมินผลการสอนของครู ตดิ ตามผลการเรยี นรู้ของเด็กว่าเดก็ บกพร่องเรอื่ งใด ชว่ ยในการชี้จุดบกพร่องในเรื่องที่สอน และสอบ ซงึ่ ผบู้ รหิ ารสามารถทำไดส้ ะดวก รวดเร็วขึ้น สรุปท้ายบท การวิเคราะห์ (analysis) เป็นการหาเหตุผลไมว่ า่ จะเปน็ เหตผุ ลท่ีเป็น “ข้อเทจ็ จรงิ ” หรอื “ความ คิดเหน็ ” มาสนับสนนุ ความคิดและการกระทำ โดยควรนำ “หลักวิชาการ” มาประกอบการวิเคราะห์ด้วย เพื่อ ชว่ ยให้การหาเหตผุ ลนั้นสมบรู ณ์ มีคุณค่า และเปน็ ท่ียอมรบั เพม่ิ มากข้ึน นอกจากนี้ การวิเคราะหท์ ี่เจาะลึกลง ไปอีกพร้อมกบั นำแนวคิดอย่างน้อย ๒ แนวคดิ มารวมกัน(combination) หรือผสมผสานกัน (integration) อาจเรียกว่า การสงั เคราะห์ (synthesis) สำหรับในที่นี้ ไดใ้ หค้ วามสำคัญกับการวเิ คราะห์ท่ีอยูใ่ นบทสรปุ ส่วนท้ายของรายงาน

หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๑๐ เอกสารอ้างอิงประจำบท การวิเคราะห์. [ออนไลน์] เขา้ ถึงไดจ้ าก: http://th.wikipedia.org/wiki. สบื ค้นเมอ่ื ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗. วิชาการวัดและประเมนิ ผลทางการศกึ ษา.[ออนไลน์] เข้าถงึ ไดจ้ าก : bhttp://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/webpili/unit๔/level๔-๔.html. สืบค้นเมอ่ื ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗. ตัวอยา่ งการสังเคราะห์ โปรดดู วริ ชั วิรัชนิภาวรรณ, ibid., หน้า ๖๖-๖๙.

หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๑๑ บทที่ ๒ การจดั สาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา วตั ถุประสงคป์ ระจำบท เมื่อได้ศกึ ษาเนอื้ หาในบทนแ้ี ลว้ ผศู้ กึ ษาสามารถ ๑.ทฤษฎีเก่ยี วกับการจัดการศกึ ษาได้ ทฤษฎกี ารเรียนรู้ ทฤษฎกี ารสอน ๒. แนวคดิ เก่ยี วกบั การจัดการศกึ ษาได้ ด้านกระบวนการเรียนรู้ ดา้ นส่อื การเรียนรู้ ดา้ นกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ขอบข่ายเนอื้ หา • ทฤษฎเี กย่ี วกบั การจัดการศึกษา ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีการสอน • แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษา ดา้ นกระบวนการเรียนรู้ ด้านสอื่ การเรยี นรู้ ด้านกจิ กรรมการเรยี นรู้ ด้านการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้

หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๑๒ ๒.๑ ความนำ การศกึ ษาเปน็ เครือ่ งมอื ในการพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์เปน็ พ้นื ฐานสำคญั ของการพฒั นาและเป็นเคร่ือง ชน้ี ำสงั คม ดงั ท่ีแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ฉบับที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ระบุไวว้ า่ คนเปน็ ศูนย์กลาง หรือจดุ มงุ่ หมายหลักของการพฒั นา โดยมงุ่ เนน้ ใหค้ นไทยมีทรพั ยากรมนุษย์ท่มี ีลกั ษณะเปน็ คนดี มคี ุณธรรม มี จติ ใจสำนึกรบั ผิดชอบ มีค่านิยมอนั ดงี าม มีสตปิ ัญญา มีสขุ ภาพอนามยั ที่ดี และมีทักษะในการประกอบอาชีพ๑ เพอื่ ให้สอดคล้องกบั แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงคมแห่งชาตฉิ บบั ท่ี ๘ ท่ตี ้องการให้คนไทยมีคุณลกั ษณะที่พึง ประสงค์ โดยเนน้ ให้คนไทยเปน็ คนท่สี มบรู ณ์ ท้ังดา้ นร่างกาย จิตใจ ความรูส้ ตปิ ัญญา คุณธรรมจริยธรรม และ วฒั นธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยรู่ ่วมกับผ้อู ่ืนได้อยา่ งมีความสุข ๒ ในหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๔ ซ่ึงดำเนนิ การตามพระบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒ จงึ ส่งเสรมิ ให้ผ้เู รยี น ได้พฒั นาตามศักยภาพ โดยเนน้ ให้ผเู้ รียนเป็นคนดี มปี ัญญา มีความสุขพน้ื ฐานของความเปน็ ไทยและปลกู ฝงั คณุ ลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ คือ มคี ุณธรรม จริยธรรมค่านยิ มท่ดี ีงามในการดำเนินชีวติ ให้กับผูเ้ รยี น ๒.๒ ทฤษฎเี กย่ี วกับการจัดการศกึ ษา ๒.๒.๑ ทฤษฎกี ารเรียนรู้ ๑.ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ (learning theory) การเรียนรู้คือกระบวนการ ที่ทำให้คนเปลยี่ นแปลง พฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการไดย้ นิ การสัมผสั การอา่ น การใช้เทคโนโลยี การเรยี นรู้ของเด็ก และผูใ้ หญ่จะต่างกนั เด็กจะเรียนร้ดู ว้ ยการเรยี นในหอ้ ง การซักถามผู้ใหญ่มักเรยี นรดู้ ้วยประสบการณ์ที่มีอยู่ แต่ การเรียนร้จู ะเกดิ ขึน้ จากประสบการณ์ ทีผ่ ูส้ อนนำเสนอโดยการปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างผู้สอนและผเู้ รยี น ผู้สอนจะ เปน็ ผ้ทู ่ีสรา้ งบรรยากาศทางจิตวทิ ยาท่ีเอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ท่จี ะใหเ้ กิดขึ้นเป็นรปู แบบใดกไ็ ด้เชน่ ความเปน็ กันเอง ความเข้ม งวดกวดขนั หรือความไม่มรี ะเบียบวินยั ส่งิ เหล่าน้ีผู้สอนจะเป็นผ้สู รา้ งเง่ือนไข และ สถานการณ์เรียนรู้ใหก้ บั ผู้เรียน ดงั นั้น ผสู้ อนจะตอ้ งพิจารณาเลอื กรปู แบบการสอน รวมทงั้ การสร้างปฏสิ ัมพนั ธ์ กับผเู้ รียน เพ่อื ทผี่ ้สู อนจะสามารถพัฒนาผ้เู รียนได้ตรงกับความสามารถ และได้เต็มศักยภาพของผ้เู รียนทฤษฎี การเรยี นรูเ้ หล่าน้ี เป็นเครื่องมือสำคญั อีกสว่ นหน่ึง ทค่ี รูสอนจะนำ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการพัฒนาเด็ก ซึ่งผูว้ จิ ัยจะ ได้นำเสนอ ดังต่อไปน้ี ๒. การเรียนรู้ตามทฤษฎีของ Bloom (Bloom's Taxonomy)๔ Bloom ได้แบ่งการเรยี นรเู้ ป็น ๖ ระดบั ดงั น้ี ๑) ความร้ทู ีเ่ กิดจากความจำ (knowledge) ซึ่งเปน็ ระดบั ลา่ งสุด ๒) ความเขา้ ใจ (Comprehend) ๓) การประยุกต์ (Application) ๔) การวิเคราะห์ (Analysis) สามารถแก้ปญั หา ตรวจสอบได้ ๕) การสังเคราะห์ (Synthesis) สามารถนำส่วนต่าง ๆ มาประกอบเปน็ รูปแบบ ใหมไ่ ด้ให้แตกต่างจากรปู เดิม เนน้ โครงสร้างใหม่ ๖) การประเมนิ คา่ (Evaluation) วัดไดแ้ ละตัดสนิ ได้ว่าอะไรถกู หรือผิด ประกอบการตัดสนิ ใจบนพืน้ ฐาน ของเหตุผลและเกณฑท์ ี่แน่ชัด ๔ Arkansas Tech University. (2004). \"Bloom's Taxonomy - The Cognitive Process Dimension,\" (Online) Available : http://education.atu.edu/people/sadams/Lessons/bloom2.htm. Retrieved September, 2004.

หลักสตู รและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๑๓ ๓. การเรยี นรู้ตามทฤษฎีของเมเยอร์ (Mayor)๕ ในการออกแบบส่อื การเรยี นการสอน การวเิ คราะหค์ วามจำเป็นเปน็ สิง่ สำคญั และ ตามดว้ ยจดุ ประสงค์ของการเรียน โดยแบง่ ออกเปน็ ย่อย ๆ ๓ ส่วนดว้ ยกัน คือ ๑) พฤติกรรมควรชชี้ ดั และสังเกตได้ ๒) เง่ือนไข พฤติกรรมสำเรจ็ ได้ควรมีเง่ือนไขในการช่วยเหลอื ๓) มาตรฐาน พฤติกรรมที่ได้นน้ั สามารถอยู่ในเกณฑ์ท่ีกำหนด ๔. การเรยี นรตู้ ามทฤษฎีของบรูเนอร์ (Bruner)๖ ๑) ความรู้ถกู สร้างหรือหลอ่ หลอมโดยประสบการณ์ ๒) ผเู้ รยี นมีบทบาทรบั ผดิ ชอบในการเรียน ๓) ผเู้ รียนเป็นผู้สรา้ งความหมายขึ้นมาจากแง่มุมต่างๆ ๔) ผ้เู รียนอยู่ในสภาพแวดลอ้ มท่เี ป็นจรงิ ๕) ผ้เู รียนเลอื กเนอ้ื หาและกจิ กรรมเอง ๖) เนือ้ หาควรถูกสรา้ งในภาพรวม ๕. การเรียนร้ตู ามทฤษฎีของไทเลอร์ (Tylor)๗ ๑) ความต่อเน่ือง (continuity) หมายถึง ในวิชาทักษะ ต้องเปิดโอกาสให้มกี ารฝึก ทกั ษะในกิจกรรม และประสบการณ์บ่อย ๆ และต่อเนื่องกัน ๒) การจดั ชว่ งลำดับ (sequence) หมายถึง หรือการจัดสิ่งทีม่ ีความง่าย ไปสู่สงิ่ ที่มี ความยาก ดังนัน้ การจดั กิจกรรมและประสบการณ์ ให้มีการเรียงลำดับกอ่ นหลงั เพ่อื ใหไ้ ดเ้ รยี นเนื้อหาที่ลึกซง้ึ ยง่ิ ขึ้น ๓) บูรณาการ (integration) หมายถึง การจัดประสบการณ์จงึ ควรเปน็ ในลักษณะที่ ชว่ ยให้ผ้เู รยี น ได้เพิ่มพูนความคดิ เหน็ และไดแ้ สดงพฤติกรรมทสี่ อดคล้องกนั เนอ้ื หาที่เรยี น เป็นการเพิม่ ความสามารถทั้งหมดของผู้เรียนทจี่ ะไดใ้ ชป้ ระสบการณ์ได้ ในสถานการณ์ต่าง ๆกัน ประสบการณก์ ารเรียนรู้ จึงเป็นแบบแผนของปฏสิ มั พันธ์ (interaction) ระหวา่ งผเู้ รยี นกับสถานการณท์ แี่ วดล้อม ๖. ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ ๘ ขน้ั ของกาเย่ (Gagne)๘ คอื ๑) การจงู ใจ (Motivation Phase) การคาดหวังของผู้เรยี นเปน็ แรงจูงใจในการ เรียนรู้ ๒) การรับรตู้ ามเปา้ หมายท่ตี ้งั ไว้ (Apprehending Phase) ผูเ้ รียนจะรบั ร้สู ิ่งท่ี สอดคล้อง กบั ความตงั้ ใจ ๓) การปรุงแต่งส่ิงท่รี บั รูไ้ ว้เป็นความจำ (Acquisition Phase) เพื่อใหเ้ กิดความจำ ระยะสั้น และระยะยาว ๔) ความสามารถในการจำ (Retention Phase) ๕ ณฐั พนธ์ อนสุ รณท์ รางกูร. ปจั จยั ทสี่ ่งผลต่อการเรียนรู้พน้ื ฐานการใชค้ อมพวิ เตอร์เพอ่ื สร้างงานออกแบบ ของผเู้ รยี นท่มี ีพน้ื ฐานด้านการเรยี นทแี่ ตกต่างกนั . [ออนไลน]์ เข้าถึงไดจ้ าก : http://www.ssru.ac.th. สบื ค้นเมื่อ ๒๘ กรกฏาคม ๒๕๕๗.หนา้ ๙. ๖ ณัฐพนธ์ อนสุ รณ์ทรางกูร. อ้างแล้ว. เร่ืองเดียวกนั .หนา้ ๙. ๗ ณฐั พนธ์ อนสุ รณท์ รางกรู .อา้ งแลว้ . เรือ่ งเดียวกนั .หน้า ๙.

หลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๑๔ ๕) ความสามารถในการระลึกถงึ ส่งิ ทีไ่ ดเ้ รียนรไู้ ปแล้ว (Recall Phase) ๖) การนำไปประยกุ ต์ใช้กบั ส่งิ ทเ่ี รียนรู้ไปแลว้ (Generalization Phase) ๗) การแสดงออกพฤติกรรมท่ีเรียนรู้ (Performance Phase) ๘) การแสดงผลการเรียนรู้กลับไปยังผู้เรยี น (Feedback Phase) ผูเ้ รยี นได้รับทราบ ผลเร็วจะทำใหม้ ีผลดี และประสทิ ธิภาพสูงองค์ประกอบทีส่ ำคัญที่ก่อให้เกดิ การเรยี นรู้จากแนวคดิ นักการศึกษา ของกาเย่ (Gagne)๙ ประกอบด้วย ๑) ผ้เู รียน (learner) มีระบบสัมผสั และระบบประสาทในการรบั รู้ ๒) สงิ่ เร้า (stimulus) คือ สถานการณต์ ่าง ๆ ท่ีเป็นสงิ่ เร้าใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ ๓) การตอบสนอง (response) คือ พฤตกิ รรมท่เี กิดข้นึ จากการเรียนรู้ ๔) การสอนดว้ ยส่ือตามแนวคิดของกาเย่ (Gagne) ๕) เรา้ ความสนใจ มโี ปรแกรมท่กี ระตนุ้ ความสนใจของผู้เรียน เช่นใชก้ าร์ตูนหรอื กราฟิกที่ดงึ ดูดสายตา ๖) ความอยากร้อู ยากเห็นจะเปน็ แรงจูงใจใหผ้ เู้ รยี นสนใจในบทเรยี นการตั้งคำถามกเ็ ป็นอีกสิง่ หนงึ่ ๗) บอกวตั ถุประสงค์ ผเู้ รยี นควรทราบถงึ วตั ถปุ ระสงคใ์ หผ้ ูเ้ รียนสนใจในบทเรยี น เพื่อให้ทราบวา่ บทเรียน เกี่ยวกบั อะไร ๘) กระต้นุ ความจำผู้เรียน สร้างความสัมพันธ์ในการโยงขอ้ มูลกับความรทู้ มี่ ีอยู่กอ่ น เพราะสิง่ นี้สามารถ ทำให้เกดิ ความทรงจำในระยะยาวได้ เม่ือได้โยงถึงประสบการณ์ผู้เรียนโดยการต้ังคำถาม เก่ียวกับแนวคิด หรือ เนื้อหาน้ัน ๆ ๙) เสนอเน้ือหาข้ันตอนน้ี จะเปน็ การอธบิ ายเนือ้ หาใหก้ ับผู้เรยี นโดยใช้สื่อชนดิ ต่าง ๆ ในรปู กราฟกิ หรอื เสียง วดิ ีโอ ๑๐) การยกตัวอยา่ ง การยกตัวอย่างสามารถทำได้โดยยกกรณศี ึกษาการเปรียบเทียบ เพ่ือให้เข้าใจได้ ซาบซึ้ง ๑๑) การฝึกปฏบิ ตั ิ เพื่อให้เกิดทกั ษะหรือพฤติกรรม เป็นการวัดความเขา้ ใจว่าผเู้ รียนไดเ้ รียนถูกต้อง เพ่อื ให้เกดิ การอธบิ ายซ้ำเม่ือรับสง่ิ ทผ่ี ิด ๑๒) การให้คำแนะนำเพิ่มเติม เช่น การทำแบบฝกึ หดั โดยมีคำแนะนำ ๑๓) การสอบเพือ่ วัดระดบั ความเขา้ ใจ ๑๔) การนำไปใช้กบั งานที่ทำในการทำส่อื ควรมี เน้ือหาเพิ่มเตมิ หรอื หวั ข้อต่าง ๆ ทคี่ วรจะรเู้ พ่ิมเติม สรุปได้ว่า ทฤษฎนี ี้สามารถนำมาใชก้ บั งานวิจัยน้ีได้ เพราะวา่ ทฤษฎีการเรียนรู้ดงั กล่าวขา้ งตน้ ได้ กลา่ วถงึ กระบวนการของการเรียนรู้ ทีจ่ ะทำใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเปล่ยี นแปลง ท้ังด้านพฤติกรรม ความคิด ได้ตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการ ซ่งึ วตั ถุประสงค์ดังกลา่ วสามารถจะเกดิ ขนึ้ ได้ โดยผา่ นกระบวนการจัดการเรยี นรขู้ องครู ท่เี ขา้ ใจกระบวนการของการเรยี นรวู้ ่า ประกอบด้วยขน้ั ต่าง ๆ ของการเรียนรู้ เชน่ การเรียนรโู้ ดยผา่ นการจำ การเรยี นรู้ด้วยความเข้าใจ การเรียนร้แู บบกากรประยุกต์ และการเรียนรู้แบบวเิ คราะห์ สงั เคราะห์เป็นตน้ แลว้ จดั การเรียนรู้ให้สอดคลอ้ ง กับความต้องการ และความสามารถของผเู้ รียนโดยการสร้างรปู แบบ การเรยี นร้ทู ี่ กอ่ ให้เกดิ แรงจูงใจต่อผู้เรียน การสอนด้วยรปู แบบใหม่ ๆ ทีน่ ่าสนใจ และการสร้างบรรยากาศการเรียนการสอน ทีเ่ อ้ือต่อการเรียนรขู้ องผเู้ รียน ซงึ่ ท้งั หมดจะนำไปสูเ่ ป้าหมายของการจัดการศกึ ษาได้อย่างแทจ้ ริง ๙ อ้างแล้ว. เรือ่ งเดียวกนั .หน้า ๑๐.

หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๑๕ ๒.๒.๒ ทฤษฎีการสอน ในการเรียนการสอนน้ัน มักจะเน้นความสามารถของสมอง ในด้านของการใช้ภาษา การใช้ ทักษะทางคณิตศาสตร์ และการคิดเชิงเหตุผล ซึ่งทำให้นักเรียนไม่สามารถพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควร ยกตัวอย่างนักเรียนบางคน มีความสามารถหลายด้าน เช่น ศิลปะ ดนตรีหรืออ่ืน ๆ แต่กลับต้องเรียน วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ท่ีไม่ชอบ เม่ือผลการเรียนไม่ดี ผู้ปกครอง ครูเข้าใจว่า “เด็กโง่” แต่ความจริงถ้า พัฒนาให้ถูกด้าน นักเรียนคนน้ันอาจจะมีความสามารถมากกว่าที่เห็นทั่วไป เพ่ือเป็นการตอบโจทย์นี้ “ทฤษฎี การสอนแบบพหุปัญญา” (Multiple Intelligence) จึงถือกำเนิดขึ้นมาในวงการศึกษา การ์ดเนอร์ (Gardner)๑๐ ได้ให้ความหมายของเชาวน์ปัญญาใหม่ว่า “ความสามารถในการแกป้ ัญหาในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ หรือการสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ซ่ึงจะมีความสัมพันธ์กับบริบททางวัฒนธรรมในแต่ละแห่ ง รวมทั้ง ความสามารถในการตั้งปัญหา เพื่อจะหาคำตอบ และเพ่ิมพูนความรู้” การ์ดเนอร์น้ัน มีความเชื่อพ้ืนฐาน เกี่ยวกบั สตปิ ัญญาท่สี ำคญั ๒ ประการ คือ ๑. เชาวน์ปัญญาของบุคคลมิได้มีเพียงความสามารถทางภาษา และทางคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่มีอยู่ อย่างหลากหลายถงึ ๘ ประเภทด้วยกัน แต่การด์ เนอร์เอง กก็ ล่าวว่าอาจจะมีมากกว่า ๘ ประเภท โดยคนแต่ละ คนจะมีความสามารถเฉพาะด้านแตกต่างกันไป ซ่ึงสอดคล้องกับเร่ืองของความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสามารถท่ีแตกตา่ งกันออกไปน้ีเมื่อผสมผสานออกมา แล้วจะก่อให้เกิดเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั บุคคล ๒. เชาวนป์ ัญญาไมใ่ ช่สิง่ ทมี่ นั่ คงถาวรตั้งแต่เกิดจนกระท่ังตาย หากแต่สามารถเปลีย่ น แปลงได้ตาม สภาพแวดล้อม และการส่งเสริมทเี่ หมาะสมการ์ดเนอรย์ งั ไดไ้ ดอ้ ธิบายถึงเชาวนป์ ัญญาไวว้ ่า ประกอบดว้ ย ความสามารถ ๓ ประการ ได้แก่ ๑. ความสามารถในการแกป้ ัญหาในสภาพการณต์ า่ ง ๆ ท่เี ป็นไปตามธรรมชาตแิ ละตามบรบิ ท ทางวฒั นธรรมของแต่ละบุคคล ๒. ความสามารถในการสร้างสรรคผ์ ลงานที่มปี ระสิทธิภาพ และสมั พันธ์กับบริบททาง วฒั นธรรม ๓. ความสามารถในการแสวงหาหรือต้งั ปญั หาเพื่อหาคำตอบ และเพิ่มพูนความรู้ พงษศ์ กั ดิ์ แป้นแก้ว๑๑ ได้อธบิ ายเชาวน์ปญั ญาซงึ่ การด์ เนอร์ไดเ้ สนอไว้ ๘ ด้าน อย่างละเอียด ดงั นี้ ๑. สติปญั ญาดา้ นภาษา (Linguistic Intelligence) ๒.สติปัญญาในการใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical Mathematical Intelligence) ๓. สตปิ ัญญาดา้ นการเคล่ือนไหวร่างกายและกลา้ มเน้ือ (Bodily Kinesthetic Intelligence) ๔. สตปิ ัญญาดา้ นการมองเหน็ และมิติสมั พนั ธ์ (Visual/Spatial Intelligence) ๕. สติปญั ญาด้านดนตรี (Musical Intelligence) ๖. สติปญั ญาดา้ นการเขา้ กบั ผู้อ่ืน (Interpersonal Intelligence) ๗. สตปิ ญั ญาดา้ นการรู้จกั และเขา้ ใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) ๘. สตปิ ญั ญาด้านการเป็นนกั ธรรมชาตวิ ทิ ยา (Nationalism Intelligence) ทศิ นา แขมมณี๑๒ กลา่ วว่า การมองและเข้าใจเชาวป์ ญั ญาในความหมายทต่ี ่างกนั ย่อมกอ่ ใหเ้ กิดการ กระทำทแี่ ตกต่างกนั ทฤษฎีพหุปัญญา ได้ขยายขอบเขตของความหมายของคำว่าปัญญาออกไปอยา่ งกว้างขวาง ๑๐ การด์ เนอร์ (Gardner ). อ้างในทิศนาแขมมณี, ศาสตรก์ ารสอน : องคค์ วามรูเ้ พอ่ื การจดั กระบวนการเรยี นรทู้ ่ีมปี ระสิทธภิ าพ, พมิ พค์ ร้ังท่ี ๕, กรุงเทพมหานคร : สำนกั พิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ๒๕๔๕. ๑๑ พงษ์ศกั ด์ิ แปน้ แกว้ , “พหุปัญญา (Multiple Intelligence)”. ศกึ ษาศาสตรส์ าร, มกราคม– มิถนุ ายน.๒๕๔๖.

หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๑๖ มากข้ึนจากเดิม สง่ ผลให้การจัดการเรียนการสอนขยายขอบเขตไปอยา่ งกวา้ งขวางเช่นกัน แนวทางการนำ ทฤษฎีพหุปัญญามาใช้ในการเรยี นการสอนมหี ลากหลายดังนี้ ๑. เนื่องจากผู้เรยี นแต่ละคนมีเชาวนป์ ญั ญาแต่ละด้านไม่เหมอื นกัน ดังนนั้ ในการจัดการเรยี น การสอนควรมีกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทีส่ ามารถสง่ เสรมิ เชาวน์ปญั ญาหลาย ๆ ดา้ นมิใช่ม่งุ พัฒนาแต่ เพียงเชาวน์ปญั ญาดา้ นใดดา้ นหนงึ่ เท่าน้นั ดงั เชน่ ในอดีตเรามกั จะมีการเน้นการพฒั นาด้านภาษาและด้าน คณิตศาสตร์ หรือดา้ นการใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะอันเปน็ การพัฒนาสมองซีกซา้ ยเป็นหลกั ทำให้ผู้เรยี นไม่มโี อกาส พฒั นาเชาวนป์ ญั ญาดา้ นอนื่ ๆ เทา่ ทค่ี วรโดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ผเู้ รียนทม่ี ีเชาวน์ปญั ญาดา้ นอื่นสงู จะขาดโอกาสที่ จะเรียนรแู้ ละพฒั นาในดา้ นที่ตนมคี วามสามารถหรือถนัดเป็นพิเศษ การจดั กิจกรรมท่ีส่งเสริมพฒั นาการของ สติปัญญาหลาย ๆ ด้านจะชว่ ยให้ผู้เรยี นทุกคนมโี อกาส ทจี่ ะพฒั นาตนเองอยา่ งรอบดา้ น พรอ้ มท้ังช่วยส่งเสรมิ อัจฉริยภาพ หรอื ความสามารถเฉพาะตนของผ้เู รียนไปในตัว ๒. เนือ่ งจากผู้เรยี นมรี ะดับพัฒนาการในเชาวนป์ ญั ญาแต่ละดา้ นไมเ่ ท่ากันดงั นน้ั จงึ จำเป็นท่ี จะตอ้ งจัดการเรียนการสอนใหเ้ หมาะสมกับขัน้ พฒั นาการในแตล่ ะด้านของผเู้ รยี นตวั อย่างเชน่ เดก็ ท่มี เี ชาวน์ ปัญญาด้านดนตรสี งู จะพัฒนาปญั ญาด้านดนตรีของตนไปอย่างรวดเร็วต่างจากเดก็ คนอน่ื ๆ ดังน้ัน การจัด กิจกรรมการเรียนการสอนเด็ก ทม่ี ีขั้นพัฒนาการด้านใดด้านหน่งึ สงู ควรต้องแตกตา่ งไป จากเดก็ ทม่ี ขี นั้ พัฒนาการในด้านน้นั ตำ่ กว่า ๓.เน่อื งจากผู้เรียนแตล่ ะคนมเี ชาวนป์ ญั ญาแต่ละด้านไม่เหมือนกนั การผสมผสานของความ สามารถด้านตา่ ง ๆ ท่ีมอี ยู่ไมเ่ ทา่ กันน้ี ทำใหเ้ กิดเปน็ เอกลกั ษณ์ (Uniqueness)หรือลักษณะเฉพาะของแตล่ ะคน ซ่งึ ไมเ่ หมอื นกัน หรืออีกนยั หนงึ่ เอกลักษณ์ของ แต่ละบุคคลทำให้แต่ละคนแตกตา่ งกัน และความแตกตา่ งท่ี หลากหลาย (Diversity) นสี้ ามารถนำมาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์แกส่ ่วนรวม ดงั นนั้ กระบวนการคดิ ทว่ี า่ คนนีโ้ ง่ หรอื เกง่ กวา่ คนนน้ั คนนีจ้ ึงควรจะเปลยี่ นไป การสอนควรเนน้ การส่งเสรมิ ความเปน็ เอกลักษณ์ของผู้เรียน ครูควร สอน โดยเน้นให้ผเู้ รียนคน้ หาเอกลักษณ์ของตนภาคภูมใิ จในเอกลกั ษณ์ของตนเอง และเคารพในเอกลักษณข์ อง ผอู้ นื่ รวมท้ังเหน็ คุณค่า และเรยี นรูท้ ่ีจะใชค้ วามแตกต่างของแตล่ ะบุคคลใหเ้ ปน็ ประโยชนต์ อ่ ส่วนรวมเช่นนี้ ผเู้ รยี นก็จะเรียนรอู้ ย่างมีความสขุ มีทศั นคติท่ีดีต่อตนเองเห็นคณุ ค่าในตนเอง ในขณะเดยี วกันกม็ คี วามเคารพใน ผ้อู ่ืน และอยรู่ ว่ มกนั อย่างเก้ือกลู กัน ๔. ระบบการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ควรจะตอ้ งมีการปรบั เปลีย่ นไป จากแนวคิดเดมิ ท่ี ใช้การทดสอบ เพอื่ วัดความสามารถทางเชาวนป์ ญั ญาเพียงดา้ นใดด้านหนงึ่ เท่าน้ันและท่ีสำคญั คือไมส่ มั พนั ธ์ กบั บริบทท่ีแท้จริงท่ีใชค้ วามสามารถนนั้ ๆ ตามปกติ วธิ ีการประเมนิ ผลการเรยี นการสอนทีด่ ี ควรมีการประเมนิ หลาย ๆ ดา้ น และในแต่ละดา้ นควรเป็นการประเมินในสภาพการณ์ของปญั หาทส่ี ามารถแกป้ ัญหาไดด้ ว้ ย อปุ กรณ์ท่สี ัมพนั ธ์กับเชาวนป์ ญั ญาดา้ นนัน้ ๆ การประเมินจะต้องครอบคลุมความสามารถในการแกป้ ัญหา หรือ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานโดยใช้อุปกรณ์ ท่ีสมั พันธก์ ับเชาวนป์ ญั ญาด้านนั้นอกี วิธีหนง่ึ คอื การให้เรียนอยใู่ น สภาพการณ์ ทซี่ บั ซอ้ นซ่ึงตอ้ งใช้สตปิ ญั ญาหลายดา้ น หรือการให้อุปกรณ์ซึง่ สมั พันธก์ บั เชาวนป์ ญั ญาหลาย ๆ ดา้ นและสังเกตดูวา่ ผูเ้ รียนเลอื กใช้เชาวนป์ ญั ญาด้านใด หรือศึกษาและใช้อปุ กรณ์ซง่ึ สัมพนั ธ์กับเชาวน์ปญั ญา ด้านใดมากเพียงไร สรุปได้ว่า ทฤษฎีนี้สามารถนำมาใช้กับงานวิจัยนี้ได้ เพราะว่า ทฤษฎีการสอนแบบพหุปัญญาข้างต้น เช่ือความบุคคลมีความสามารถในการเรียนรู้ไม่เท่ากัน และมีความสามารถแต่งต่างกันไป ซึ่งการจัดการศึกษา แผนกบาลี ก็ควรคำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียนท้ังในด้านความสามารถทางสมอง ความสามารถในการคิด วเิ คราะห์ เป็นต้นแล้ว จัดการเรียนการสอนให้หลากหลาย ท้ังด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยให้ครอบคลุม ความสามารถของผู้เรียน การจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการในแต่ละด้านของผู้เรียน การ ๑๒ ทิศนา แขมมณี. ศาสตร์การสอน : องค์ความรเู้ พื่อการจัดกระบวนการเรียนรทู้ มี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ. พมิ พค์ รั้งท่ี ๕, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์ แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ๒๕๔๕.

หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๑๗ สอนที่เน้นการส่งเสริมความเป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียน และท่ีสำคัญ คือการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ควร วัดความสามารถของผู้เรียนในหลาย ๆ ด้าน นอกจากการวัดด้านความจำแต่เพียงอย่างเดียว ซ่ึงจะเป็น ประโยชน์ต่อตัวผู้เรียนได้อย่างสูงสุดระบบการสอนแบบ ๔ MAT เกิดขึ้นจากแนวคิดนักการศึกษาคนสำคัญ ชาวอเมริกา ชื่อ ซูซานมอร์ริส (Susan Moris) และเบอร์นิส แม็คคาร์ธี (Bemice Mc Carthy) เม่ือปี ๑๙๘๐ จึงถือว่ามิใช่เป็นรูปแบบการสอน ท่ีแปลกใหม่หรือเกิดขึ้นใหม่แต่อย่างใด แต่ที่เพิ่งได้รับความสนใจ และเป็นท่ี รู้จักกันอย่างกว้างขวางในประเทศไทยเม่ือไม่นานมานี้ เน่ืองมาจากได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีพหุปัญญา (Muktiple Intelligences) ของโฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner)ที่เข้ามา และได้รับความสนใจกัน อย่างกว้างขวางในหมู่นักการศึกษาไทยในปัจจุบัน เม่ือวิเคราะห์แนวคิดทฤษฎีการสอนแบบ ๔ MAT จะได้ ประเดน็ หลกั ของแนวคิดซ่ึงสรุปได้เป็น ๓ ประเดน็ ดังน้ี ๑. แบบฉบบั หรอื ลลี าการเรียนรขู้ องผเู้ รียนมีความแตกต่างกนั ตามความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลมี ๔ แบบ ได้แก่ ๑) ผเู้ รียนแบบท่ี ๑ (WHY) เปน็ คนช่างคิดชา่ งสงสัย อยากรูอ้ ยากเหน็ ชอบเรียนรดู้ ว้ ยการ สงั เกต และสมั ผสั ชอบเรียนรู้จากการฟัง การเฝา้ ดู การแลกเปลยี่ นความคิดเห็นชอบงานทำรว่ มกับผอู้ ่ืน จึงมกั ชอบตง้ั คำถามวา่ ทำไม ๒) ผเู้ รียนแบบที่ ๒ (WHAT) เป็นผูส้ นใจข้อเทจ็ จริง ชอบเรียนรู้จักการรบั ข้อมูลและส่ิงต่าง ๆ จากครหู รือจากคนอื่น ๆ เปน็ คนชา่ งวิเคราะห์ ชอบเรียนรู้ด้วยวธิ ีการคิดไตร่ตรอง ๓) ผู้เรียนแบบที่ ๓ (HOW) เป็นผ้สู นใจในวธิ กี ารต่าง ๆ อยากรู้วา่ สิง่ ต่าง ๆ นนั้ ทำงานอย่างไร ชอบทจ่ี ะไดล้ งมือปฏบิ ตั จิ ริงเป็นการเรียนรู้จากสามัญสำนึก ที่สัมผสั ได้เชน่ จับตอ้ ง ลบู คลำ ทดลอง ทำของจริง ฝึกปฏิบตั ิ ๔) ผู้เรยี นแบบท่ี ๔ (IF) ชอบค้นหาว่าเป็นไปได้หรือไม่ ถา้ ไม่เปน็ อย่างนี้ จะเป็นอย่างอน่ื ได้ หรอื ไม่ จงึ สนใจในการคน้ หาสงิ่ ใหม่ดว้ ยตนเองด้วยการทดลองพิสจู น์เรยี นรู้ จากความรู้สึกของตนเอง เรยี นรู้ ดว้ ยการลองผดิ ลองถูก ชอบที่จะลองทำดู และค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ดว้ ยตนเอง ๒. ลีลาการสอนหรือวิธีการสอนของครจู งึ ต้องมี ๔ แบบเพื่อตอบสนองความแตกต่างระหวา่ งบุคคล เชน่ กนั บทบาทท่ี ๑ ครู คือ ผู้กระตุ้นสรา้ งแรงจูงใจ ครูจะต้องเป็นผยู้ ่ัวยุ / กระตุ้น การเรยี นรู้ และ สรา้ ง แรงจูงใจให้กับนกั เรียนโดยการใหเ้ ขาไดส้ ังเกต คิดไตร่ตรองสัมผสั ครนู ำประสบการณจ์ ริงไปสู่การคดิ กระตนุ้ ให้เขาได้ฟงั ได้เห็น และอยากคิดอยากตง้ั ถามซึ่งคำถามท่ีเกดิ ขน้ึ มหี ลากหลายมากมาย แตส่ งิ่ ที่ควรเกดิ ขนึ้ กบั ผู้เรยี นมากทส่ี ดุ คอื คำวา่ ทำไมวธิ ีการสอน อาจใชส้ ถานการณจ์ ำลองการอภิปราย การใหส้ งั เกตสิ่งตา่ ง ๆ การตัง้ คำถามบทบาทน้จี ะทำใหผ้ ู้เรยี น แบบท่ี ๑ (WHY) มีความสขุ ความสบายใจในการเรียนมากท่ีสดุ เจตนารมณ์ของ ๔ MAT ใน ขน้ั WHY จะเปน็ การกระตุ้นยว่ั ยโุ ดยการใหน้ ักเรียนได้สังเกตได้ฟังแล้ว ทิ้งปริศนาใหน้ ักเรยี นขบคดิ จนเกิดการ ตั้งคำถามถามใหไ้ ด้ว่า ทำไมกับครหู รือกับตนเองหรอื กับใคร ๆ เพ่ือเขาจะได้มี ความกระตือรือรน้ และมี แรงจงู ใจในการแสวงหาคำตอบหรือความร้ใู นขั้น What หรือ ขั้น How ได้ ตอ่ ไป บทบาทที่ ๒ ครู คอื ผ้สู อนผบู้ อกความรู้ บทบาทของครูเป็นผู้ป้อนความรู้ป้อนความจรงิ ใหก้ ับ นกั เรียน เพอ่ื ใหเ้ กิดความเข้าใจใหล้ กึ ซึ้งย่งิ ขนึ้ ครจู ะต้องให้ความรู้เนือ้ หาท่ลี ึกซึง้ ให้แกน่ ักเรียน ครเู ป็นผสู้ อนผู้ แจง้ ใหท้ ราบ บทบาทที่ ๒ นจี้ ะทำ ใหผ้ ูเ้ รียนแบบท่ี ๒ (WHAT) มีความสขุ ความสบายใจในการเรียนมาก ทสี่ ุด บทบาทที่ ๓ ครู คือโคช้ หรอื ผฝู้ ึกสอนครจู ะปล่อยใหน้ กั เรียนลงมือทำจากของจรงิ และฝึก ปฏิบัติจากของจริงด้วยตนเองครเู พยี งแตท่ ำหนา้ ทีอ่ ำนวยความสะดวก และจัดเตรียมส่ืออปุ กรณใ์ หน้ ักเรยี น

หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๑๘ เปน็ เพียงผ้ชู ้ีแนะแนะนำ เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นลงมือปฏิบตั งิ านให้สำเรจ็ ครจู งึ เปรียบเสมือนโค้ชหรอื ผู้ฝึกสอน ครู จำเปน็ จะต้องออกแบบกิจกรรมใหไ้ ด้เพื่อให้นักเรยี นกระหายอยากลงมอื ปฏบิ ตั ิ บทบาทที่ ๓ นี้ ผเู้ รียนแบบที่ ๓ (HOW) จะมีความสขุ ความสบายใจมากทส่ี ดุ บทบาทที่ ๔ ครู คือ ผปู้ ระเมนิ ผลผ้รู ่วมเรียนรูผ้ ูแ้ ก้ไขครจู ัดสถานการณ์ให้นกั เรยี นได้คน้ หา คดิ ค้น และทดลองทำส่ิงใหม่ ๆ ด้วยตัวของเขาเองโดยการกระตุ้นและกำหนดสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เขาได้ คิดคน้ หรือคน้ พบสิ่งใหม่ ๆ เช่นถ้าไมเ่ ปน็ อยา่ งน้แี ล้วจะเปน็ อย่างไร ได้อกี มันจะเปน็ แบบอ่ืนได้หรือไม่ ถ้าไม่ เป็นอยา่ งนี้ มนั จะเกิดอะไรขึ้นหรอื ถา้ เป็นอย่างนแ้ี ล้วจะเกิดอะไรขึน้ หรอื ถ้ามนั เป็นอย่างนนั้ แลว้ จะทำอย่างไร ตัวอยา่ งเชน่ ครูสอนการเพาะถัว่ งอกดว้ ยกระดาษ ทิชชู่ เมื่อถึงขน้ั IF อาจตั้งคำถามวา่ จากเมด็ ถ่ัวเขียวมนั จะงอก ออกมาภายในกีว่ นั จะมีใบก่ใี บหรอื ถ้าไมใ่ ช้กระดาษทชิ ชจู่ ะใช้วัสดุอืน่ ได้หรือไม่ หรือถา้ มันไม่งอกเพราะอะไรจะ เกิดอะไรขึน้ ถา้ เพาะในห้องกับเพาะกลางแจ้งถ้าเพาะในหอ้ งไมม่ ีแสงเปน็ อย่างไร ถ้าเพาะกลางแจง้ ถว่ั งอกจะ เปน็ อยา่ งไรครจู ะกระตุ้นให้นักเรยี นลองผิดลองถูกและเรยี นรู้เองสอนกันเองค้นพบความรู้ด้วยตนเองครูเพียงแต่ เป็นผรู้ ่วมเรยี นรไู้ ปพร้อมกบั นักเรยี น และทำหน้าทีเ่ ปน็ ผูป้ ระเมนิ ความรู้และผลงานนักเรียนว่าเปน็ อย่างไร และ คอยแก้ไขแนะนำผลงานของนกั เรยี นเท่าน้ันในข้นั IF นน้ี กั เรียนจะสามารถประมวลความรู้ที่ไดร้ ับใหเ้ กดิ เปน็ ความรู้ใหม่ หรือนำเอาความรู้ท่ีได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกดิ ประโยชน์ได้ ๓. รูปแบบการสอนทัง้ ๔ แบบจะมี ๘ เทคนิคเพื่อพัฒนาสมองทั้ง ๒ ซีก คือ เรม่ิ จากเทคนคิ ขวา-ซ้าย ขวา-ซ้าย ซา้ ย-ขวา ซ้าย-ขวา ตามลำดบั ตอ่ เนือ่ งกนั ไป ๘ ข้ันตอน สรุปความได้ว่าทฤษฎีนี้ สามารถนำมาใช้กับงานวิจัยนี้ได้ เพราะว่า ทฤษฎีการสอนแบบ ๔ MAT เข้า กันได้กับการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ซึ่งเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการจัดการเรียนการ สอนควรคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยใช้กระบวนการสอนท่ีเน้นการพัฒนาสมองท้ังสองซีก ซึ่งจะ ช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ครบทุกด้าน และบรรลุถึงความสำเร็จในการเรียนรู้ตาม วธิ ีทตี่ นเองมคี วามถนัด ซ่ึงหากครูสอนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีสามารถนำไปใช้ ในการเรียนการสอนได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสมกจ็ ะสามารถพัฒนานักเรียนให้เป็นคน เก่ง ดี และมีความสุขเต็มตามศักยภาพของแต่ละคนได้ อย่างเต็มท่ี ๒.๓ แนวคดิ เก่ียวกบั การจัดการศึกษา พระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ ระบุไว้ว่า การจัดการศึกษา ต้องเปน็ ไปเพ่ือ พัฒนาคนไทย ให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมในการ ดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข นอกจากน้ีในมาตรา ๙ ยังได้กล่าวถึง การจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา ให้ยึดหลักการมีส่วนร่วมของบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เอกชนองค์กร เอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และ สถาบันสงั คมอ่นื ๆ ในหมวด ๔ ต้งั แต่ มาตราท่ี ๒๒ ถึง มาตรา ๓๐ กล่าวถงึ การจัดการศึกษาไว้ ดงั นี้ ๑. การจดั การศึกษาต้องเนน้ ผู้เรยี นเป็นศูนย์กลาง การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนประสบการณก์ าร เรียนรูใ้ หย้ ดึ หลัก ดงั นี้ ๑.๑ ผ้เู รียนทุกคนมคี วามสามารถเรียนรแู้ ละพฒั นาตนเองได้ ดังน้นั ต้องจัดสภาวะแวดลอ้ ม บรรยากาศรวมทั้งแหล่งเรียนรู้ตา่ ง ๆ ให้หลากหลาย เพื่อเอ้ือต่อความสามารถของแต่ละบุคคล เพื่อใหผ้ ้เู รยี น สามารถพัฒนาตามธรรมชาติ ทส่ี อดคลอ้ งกับความถนดั และความสนใจเหมาะสมแกว่ ัย และศักยภาพของ ผู้เรียน เพื่อให้การเรียนรู้เกิดข้นึ ได้ทกุ ท่ีทกุ เวลาและเป็นการเรียนรกู้ นั และกัน อันกอ่ ให้เกดิ การแลกเปลย่ี น ประสบการณ์ เพื่อการมสี ่วนร่วมในการพฒั นาตนเองชมุ ชน สังคม และประเทศชาติ โดยการประสานความ รว่ มมือระหวา่ งสถานศึกษากับผูป้ กครอง บุคคล ชมุ ชน และทกุ ส่วนของสงั คม

หลักสตู รและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๑๙ ๑.๒ ผู้เรยี นมคี วามสำคัญท่ีสุด การเรยี นการสอนมุ่งเน้นประโยชน์ของผู้เรียนเปน็ สำคัญ จึง ต้องจดั ให้ผ้เู รียนได้เรยี นรู้จากประสบการณ์จริง ฝกึ ปฏบิ ัติใหท้ ำได้ คิดเป็น ทำเปน็ มีนสิ ยั รกั การเรียนรู้ และเกิด การใฝ่รู้ใฝ่เรยี นอย่างต่อเนื่องตลอดชวี ิต ๒. มุ่งปลูกฝังและสร้างลักษณะที่พึงประสงค์ให้กับผู้เรียนโดยเน้นความรู้คุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและ บูรณาการความรู้ในเร่ืองต่าง ๆ อย่างสมดุล รวมท้ังการฝึกทักษะและกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ สถานการณ์ และการประยุกต์ใชค้ วามรู้ โดยให้ผู้เรยี นมคี วามรู้ และประสบการณใ์ นเร่อื งตา่ ง ๆ ดงั นี้ ๒.๑ ความรเู้ รื่องเกย่ี วกบั ตนเองและความสมั พนั ธ์ของตนเองกับสังคม ไดแ้ ก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ และสังคมโลก รวมถงึ ความรเู้ กยี่ วกับประวัตศิ าสตร์ ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการ ปกครองในระบบประชาธิปไตย อันมพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมุข ๒.๒ ความรู้ และทกั ษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทง้ั ความรู้ ความเขา้ ใจและ ประสบการณ์ เรื่องการจดั การ การบำรุงรกั ษา การใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ มอยา่ ง สมดลุ ยง่ั ยืน ๒.๓ ความรู้เกีย่ วกบั ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปญั ญาไทยและการรจู้ กั ประยุกตใ์ ชภ้ มู ปิ ัญญา ๒.๔ ความรู้และทกั ษะด้านคณิตศาสตร์ และด้านภาษาเน้นการใช้ภาษาไทยอยา่ งถูกตอ้ ง ๒.๕ ความรแู้ ละทักษะในการประกอบอาชีพและการดำรงชวี ิตอย่างมีความสุข ๓.กระบวนการเรียนรู้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ได้กำหนดแนวทางในการจัดการ กระบวนการเรียนรู้ ของสถานศกึ ษาและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ดังน้ี ๓.๑ จัดเนื้อหาสาระและกจิ กรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผู้เรยี น โดย คำนึกถึงความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล ๓.๒ ให้มีการฝึกทกั ษะกระบวนการคดิ การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ ความร้มู าใช้ เพ่ือป้องกนั และแกไ้ ขปัญหา ๓.๓ จัดกิจกรรมให้ผูเ้ รยี นไดเ้ รยี นรูจ้ ากประสบการณจ์ รงิ ฝึกการปฏบิ ัตใิ ห้ทำได้ คิดเป็น รกั การอา่ น และเกิดการใฝร่ ู้ อย่างตอ่ เน่ือง ๓.๔ จดั การเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรดู้ ้านตา่ ง ๆ อย่างไดส้ ดั ส่วนสมดลุ กัน รวมทั้งปลกู ฝงั คุณธรรม ค่านิยมทด่ี งี าม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงคไ์ ว้ในทุกวิชา ๓.๕ สง่ เสริมสนับสนนุ ใหผ้ ูส้ อนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดลอ้ มสื่อการเรียนและอำนวย ความสะดวก เพื่อใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรยี นรแู้ ละมีความรอบรู้ รวมทงั้ สามารถใช้การวิจยั เป็นสว่ นหน่ึงของ กระบวนการเรียนรู้ ๓.๖ ผู้เรียนและผู้สอนเรียนรู้ไปพร้อมกันจากส่ือการเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการ ประเภทตา่ ง ๆ ๓.๗ การเรียนรู้เกิดข้ึนได้ทุกเวลา ทุกสถาน ที่มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผปู้ กครอง และบคุ คลในชุมชนทุกฝา่ ย เพอื่ ร่วมกนั พฒั นาผเู้ รยี น ตามศักยภาพ ๔. การสง่ เสรมิ การจดั กระบวนการเรยี นร้ใู นพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ ไดก้ ำหนดบทบาท ใน การส่งเสริมการเรยี นรู้ของรัฐและสถานศึกษาต่าง ๆ ดังนี้ ๔.๑ รฐั ต้องส่งเสริมการดำเนินงานและการจดั ตง้ั แหลง่ การเรียนรูต้ ลอดชวี ติ ทกุ รปู แบบ ไดแ้ ก่ หอ้ งสมุดประชาชน พพิ ิธภัณฑ์ หอศลิ ป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวทิ ยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี ศนู ยก์ ารกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้ อยา่ งพอเพียงและมีประสิทธภิ าพ ๔.๒ ให้คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กำหนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เพือ่ ความเป็นไทย ความเปน็ พลเมืองดีของชาติ การดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อการศกึ ษา

หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๒๐ ๔.๓ ให้สถานศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน มหี นา้ ทจ่ี ัดทำสาระหลักสตู รในสว่ นท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั สภาพปญั หา ในชุมชนและสังคม ภูมิปญั ญาทอ้ งถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อเปน็ สมาชกิ ที่ดีของครอบครวั ชุมชน สังคมและประเทศชาติ ๔.๔ หลกั สูตรการศึกษาระดับตา่ ง ๆ ตอ้ งมีลักษณะหลากหลายเหมาะสมกบั แตล่ ะระดับ โดย มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคล สาระของหลักสูตร ทง้ั ท่ีเป็นวิชาการ วชิ าชพี ต้องมุ่งพัฒนาคนใหม้ ีความสมดลุ ท้ังดา้ นความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดงี าม และความรับผิดชอบต่อสงั คม ๔.๕ ให้สถานศกึ ษาร่วมกบั บุคคล ครอบครัว ชุมชน และองค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องคก์ รวิชาชพี สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบนั สังคมอนื่ สง่ เสรมิ ความเข้มแขง็ ของชุมชน โดยจัดกระบวนการเรยี นรภู้ ายในชุมชน เพ่ือให้ชมุ ชนมีการจดั การศึกษาอบรม มีการ แสวงหาความรู้ ข้อมลู ข่าวสาร และรจู้ ักเลือกสรรภมู ปิ ัญญาและวิทยาการต่าง ๆ เพ่อื พัฒนาชมุ ชนให้ สอดคลอ้ งกบั สภาพปัญหา และความต้องการ รวมทัง้ หาวิธกี ารสนบั สนนุ ใหม้ ีการเปล่ียนแปลงประสบการณ์ การพฒั นาระหว่างชมุ ชน ๔.๖ ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอน ท่ีมีประสิทธิภาพรวมท้ังการส่งเสริมให้ ผูส้ อนสามารถวจิ ยั เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรูท้ เ่ี หมาะสมกบั ผู้เรยี นในแตล่ ะระดับการศกึ ษา ๕. การประเมินผลการเรียนรใู้ นพระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ ได้ระบุถึง วิธกี ารประเมินผลการจัด กระบวนการเรียนรู้ไว้ว่า ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียน โดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความ ประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบ ควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการ สอนตามความเหมาะสม ของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา นอกจากนั้นการประเมินผลผู้เรียนยังต้อง เกี่ยวขอ้ งกับหลกั การสำคญั คือ ๕.๑ ใช้วธิ ีการทห่ี ลากหลายในการประเมินผูเ้ รียน ๕.๒ ใชว้ ธิ กี ารท่ีหลากหลายในการจัดสรรโอกาสเข้าศกึ ษาตอ่ ๕.๓ ใช้วธิ ีการวิจัยเพือ่ พัฒนากระบวนการเรยี นการสอนทเี่ หมาะสมกบั ผู้เรียน ๕.๔ ม่งุ การประกนั คณุ ภาพโดยสถานศกึ ษาทำการประเมินผลภายในทกุ ปี และรายงานการ ประเมนิ ต่อต้นสังกัด และสาธารณชน ๕.๕ สถานศกึ ษาได้รบั การประเมินภายนอกอยา่ งน้อย ๑ ครงั้ ทกุ ๕ ปี ๒.๓.๑ ด้านกระบวนการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้เป็นเครอ่ื งมือสำคัญท่ีจะพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อีกทั้ง กระบวนการเรียนรู้ยังจำเป็นสำหรับผู้เรียนในการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบันและอนาคต ซึ่งมีผู้กล่าวถึง กระบวนการเรยี นรใู้ นมมุ มองต่างๆ ดงั น้ี ๑. ความหมายของกระบวนการเรยี นรู้ ทิศนา แขมมณี๑๓ ได้กล่าวว่า กระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การดำเนินการอย่างเป็นข้ันตอน หรือการใช้วธิ กี ารตา่ งๆ ทช่ี ่วยใหบ้ ุคคลเกดิ การเรียนรู้ สุมิตร คุณานุกร๑๔ ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์ ให้กบั ผเู้ รียนเพอ่ื ให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรตู้ ามความมุ่งหมายของหลักสูตรที่ได้กำหนดไวด้ ว้ ยวิธกี ารตา่ งๆ ๑๓ ทศิ นา แขมมณี.อ้างแลว้ .เร่อื งเดยี วกนั . ๒๕๔๕. ๑๔ สมุ ติ ร คณุ านกุ ร. หลักสตู รและการสอน, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพช์ วนพิมพ.์ ๒๕๒๘.

หลกั สตู รและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๒๑ สพุ ศิ บญุ ชุวงศ์๑๕ ไดก้ ลา่ วว่า การจดั การเรียนรู้ หมายถงึ กระบวนการนำหลักสตู รไปสกู่ าร สอน ซึ่งมรี ะบบกระบวนการเรียนการสอน กิจกรรมและมกี ารกำหนดแผนงานส่งเสริมการเรยี นการสอนโดย ผสู้ อนและผเู้ รยี น สุมาลี จันทร์ชะลอ๑๖ กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า การจัดการเรียนรู้ (Learning)เป็นการ ดำเนินการหรือการจดั ประสบการณ์ โดยใช้กิจกรรมในรูปแบบตา่ งๆ เพอ่ื ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และบรรลุตาม วัตถุประสงค์ที่กำหนด การเรียนการสอนจะมีประสิทธิภาพผู้สอนจะต้องจัดทำแผนการสอนเป็นอย่างดี และ ดำเนินการสอนตามแผนการสอนท่เี ตรยี มไว้ วัลลภา เทพหัสดิน ณ อยุธยา๑๗ ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการ ดำเนินงานด้านการเรียนการสอนในสถานศึกษาเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมายท่ีกำหนดซึ่ง องค์ประกอบการเรยี นการสอนจะประกอบไปดว้ ย หลักสตู ร วิธีการเรียนการสอนและการประเมนิ สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ๑๘ กล่าวว่า กระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การท่ีสถานศึกษา จดั มวลประสบการณ์ใหก้ ับผูเ้ รียน เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นไดร้ บั ความรู้และประสบการณต์ ่างๆตามความคาดหวัง สรปุ ได้ว่า กระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การดำเนินการหรือการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนอยา่ งเปน็ ขั้นตอน หรือการใชว้ ธิ กี ารจดั การเรียนการสอนต่างๆ ที่ช่วยใหบ้ คุ คลเกิดการเรียนรู้ ๒.๓.๒ ปญั หากระบวนการเรยี นรู้ วิทยากร เชียงกลู ๑๙ ได้กล่าวถงึ ปญั หาทีส่ ่งผลต่อกระบวนการเรยี นรู้ของผเู้ รยี นในมมุ มองของ นักจติ วทิ ยาการศกึ ษาโดยสรุปดังน้ี ๑) ครู อาจารย์ใช้วิธีการเรียนการสอนที่ไม่เหมาะสม จึงทำให้ผู้เรียนขาดความต้ังใจ ความมุมานะ สง่ ผลในกระบวนการเรียนรไู้ ม่พัฒนา ๒) ปัญหาส่วนตัวของผู้เรียน ปัญหาทางกายภาพ เช่นเด็กฟังหรือมองเห็นได้ไม่ดี ทำให้ส่งผลต่อ กระบวนการเรยี นรู้ ๓) ปัญหาปัจจัยสภาพแวดล้อมด้านสังคมและอารมณ์ของผู้เรียนสภาพแวดล้อมของครอบครัวเป็น ปัจจัยทม่ี ีผลต่อการเรยี นมาก เด็กที่มาจากครอบครัวทีพ่ ่อแม่เข้มงวดมากไป หรือปล่อยปะละเลย ไม่ฝึกใหเ้ ด็กมี วนิ ัยในตวั เอง ครอบครัวท่ีหยา่ ร้าง พ่อแม่แยกกันอยู่หรือพ่อแม่ไปทำงานแดนไกล ไม่มคี วามสัมพันธ์ท่ีดีกับลูกๆ มีปัญหาทางเศรษฐกิจมาก มักจะทำให้เด็กเครียดกังวลและเรียนไม่ได้ดี เมื่อเทียบกับเด็กที่มาจากครอบครัวท่ี พ่อแม่ให้ความสนับสนุนให้กำลังใจ โดยไม่ตัดสินลูกมากเกินไป เด็กกลุ่มหลังจะมีความมั่นใจ มีทัศนคติใน ทางบวกและมีพฒั นาการกระบวนการเรียนรูท้ ีด่ ีกวา่ ๔) ปัญหาสภาพแวดลอ้ มด้านทศั นคติของชมุ ชนและสงั คม ทัศนคติของครูผสู้ อน ชมุ ชนและสังคมต่อ โรงเรียน หากเป็นทัศนคติทางลบก็จะมีอิทธิพลต่อการเรียนร้ขู องผเู้ รยี นในทางลบ ผดุง อารยะวิญญู๒๐ กลา่ วไวว้ ่า ความบกพร่องทางการเรียนรู้ก่อให้เกิดปญั หาในการเรียนเนอ่ื งจาก เด็กไมส่ ามารถเรียนได้ดีเท่ากับเดก็ ปกติทว่ั ไป การค้นหาความบกพร่องของเด็กสว่ นมากเป็นหนา้ ท่ขี องบคุ ลากร ทางสาธารณสขุ บคุ ลากรทางการศึกษาอาจจำแนกการรบั รไู้ ว้ เพือ่ จะไดห้ าทางจัดการศึกษาให้สอดคลอ้ งกับ ปญั หาของเด็กต่อไป สาเหตขุ องความบกพร่องนี้อาจจำแนกได้ ดงั นี้ ๑๕ สุพศิ บญุ ชวู งศ์. หลกั การสอน, กรุงเทพมหานคร : ภาควชิ าหลกั สตู รและการสอน คณะวิชาครศุ าสตร์ สถาบันราชภฏั เพชรบุรวี ทิ ยาลงกรณ์ ใน พระบรมราชปุ ถัมภ์. ๒๕๓๖. ๑๖ สมุ าลี จนั ทรช์ ะลอ. การวดั ผลและประเมนิ ผล, กรงุ เทพมหานคร : ศูนยส์ อ่ื เสรมิ กรงุ เทพ.๒๕๔๒. ๑๗ วัลลภา เทพหัสดนิ ณ อยธุ ยา. การพัฒนาการเรียนการสอนทางอดุ มศึกษา, กรุงเทพมหานคร : ภาควิชาอดุ มศกึ ษา จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , , ๒๕๔๓. ๑๘ สุวิทย์ มลู คำ และอรทยั มูลคำ.๒๐ วธิ จี ดั การเรียนร,ู้ กรงุ เทพมหานคร : ภาพพิมพ.์ , ๒๕๔๕. ๑๙ วทิ ยากร เชียงกูล. 2527. การพัฒนาเศรษฐกจิ สังคมไทย : บทวเิ คราะห์.กรุงเทพมหานคร : ฉับแกระ. ๒๐ ผดุง อารยะวิญญ.ู การศกึ ษาสำหรบั เด็กท่ีมีความตอ้ งการพเิ ศษ, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พมิ พแ์ วน่ แกว้ . ๒๕๔๒.

หลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๒๒ ๑) การไดร้ บั บาดเจ็บทางสมอง จากการศึกษาทางการแพทย์พบวา่ สาเหตุสำคญั ท่ีทำให้เด็กเหลา่ นีไ้ ม่ สามารถเรยี นรไู้ ด้ดีน้ัน เนอ่ื งมาจากการได้รับบาดเจบ็ ทางสมอง (brain damage) อาจจะเปน็ การได้รบั บาดเจบ็ ก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอดก็ได้ การบาดเจ็บนีท้ ำให้ระบบประสาทสว่ นกลางไม่สามารถทำงานได้ เต็มที่ ๒) กรรมพันธุ์ งานวิจัยเป็นจำนวนมากระบุตรงกนั วา่ ความบกพร่องทางการเรยี นรบู้ างอย่างสามารถ ถ่ายทอดทางกรรมพนั ธุไ์ ด้ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการศกึ ษาเปน็ รายกรณีพบวา่ เดก็ ทม่ี ีปัญหาทางการเรยี นรบู้ างคน อาจมีพี่นอ้ งทเี่ กดิ จากท้องเดียวกันมีปัญหาทางการเรยี นรเู้ ช่นกนั หรืออาจมีพอ่ แม่ พี่ น้อง หรอื ญาติใกล้ชดิ มี ปัญหาทางการเรยี นรเู้ ชน่ กัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงปัญหาในการอา่ น การเขยี นและความเข้าใจ ๓) สิ่งแวดล้อม ในท่ีนี้ หมายถึง สาเหตุอ่ืนๆ ท่ีไม่ใชก่ ารได้รับบาดเจ็บทางสมองและกรรมพันธ์ุ เป็นสิ่ง ที่เกิดขึ้นกับเด็กภายหลังคลอด เมื่อเด็กเติบโตข้ึนมาในสภาพแวดล้อมท่ีก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น การที่เด็กมี พัฒนาการทางร่างกายล่าช้าด้วยสาเหตุบางประการ หรือร่างกายได้รับสารบางประการอันเนื่องจากสภาพ มลพิษในสิ่งแวดล้อม การขาดสารอาหารในวัยทารกและในวัยเด็ก การสอนที่ไม่มีประสิทธิภาพของครู ตลอดจนการขาดโอกาสในการศึกษา เป็นต้น แม้ว่าองค์ประกอบทางสภาพแวดล้อมเหล่าน้ีจะไม่ใช่สาเหตุที่ กอ่ ให้เกิดความบกพรอ่ งทางการเรยี นรโู้ ดยตรงแตอ่ งค์ประกอบเหลา่ นี้อาจทำให้สภาพการเรียนรูข้ องเด็กมีความ บกพรอ่ งมากยง่ิ ขน้ึ เบญจพร ปญั ญายง๒๑ ได้กลา่ วถงึ เด็กทม่ี ปี ญั หาทางการเรยี นรูว้ า่ อาจมีสาเหตมุ าจากสมองทำงานผิด ปกติเน่อื งจากสาเหตุดังนี้ ๑) พยาธสิ ภาพของสมอง การศึกษาเดก็ ท่ีมีบาดแผลทางสมอง เช่น คลอดก่อนกำหนด ตัว เหลืองหลังคลอด ฯลฯ แตม่ ีสติปัญญาปกติ พบวา่ มีปญั หาการอ่านร่วมดว้ ย ๒) ความผดิ ปกติของสมองซกี ซ้าย โดยปกติสมองซกี ซ้ายจะควบคุมการแสดงออกทางด้าน ภาษา และสมองซกี ซ้ายจะมีขนาดโตกว่าซกี ขวา แต่เดก็ LD (learning disability) สมองซีกซา้ ยและซกี ขวามี ขนาดเท่ากัน และมีความผดิ ปกติอืน่ ๆ ท่สี มองซกี ซ้ายดว้ ย ๓) ความผดิ ปกติของคล่นื สมอง เดก็ LD (learning disability) จะมคี ล่ืนแอลฟาทสี่ มองซีก ซ้ายมากกวา่ เดก็ ปกติ ๔) กรรมพันธ์ุ เด็กที่มีปัญหาการอ่าน บางรายมีความผิดปกติของโครโมโซมคู่ ที่ ๑๕ และ สมาชิกของครอบครัวเคยเป็น LD (learning disability) โดยท่ีพ่อแม่มักเล่าว่าเมื่อตอนเด็กๆ ตนเคยมีลักษณะ คลา้ ยกัน ๕) พัฒนาการลา่ ช้า เดิมเช่ือวา่ เด็ก LD (learning disability) มีผลจากพัฒนาการลา่ ช้า แต่ ปัจจบุ นั ไมเ่ ชอ่ื เชน่ นน้ั เพราะเมอ่ื โตขนึ้ เด็กไมไ่ ด้หายจากโรคนี้ ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์๒๒ ได้กล่าวว่านักวิจัยได้พยายามหาสาเหตุที่ชัดเจนโดยหวังว่าในอนาคตอาจจะ ป้องกนั และอาจจะช่วยใหว้ ินิจฉัยความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้อยา่ งแม่นยำปัจจุบันทฤษฎีท่ไี ด้รบั การยอมรับ โดยส่วนใหญ่คือ ความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ มีรากฐานมาจากความผดิ ปกติของโครงสรา้ งและการทำงานของ สมองหรือหลายๆ กรณีความผิดปกตินั้นเกิดข้ึนตั้งแต่ก่อนคลอด และมีงานวิจัยทางพันธุกรรมได้ให้หลักฐานท่ี สรุปได้ว่า ความบกพร่องทางการเรียนรูโ้ ดยเฉพาะความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่านและความบกพร่อง ทางด้านคณิตศาสตร์นั้น อาจมสี ่วนเกย่ี วข้องกบั ปจั จยั ทางพนั ธุกรรมและสิง่ แวดลอ้ ม ปัญหากระบวนการเรยี นร้นู นั้ ประมวลได้ดงั น้ี ครูใช้วิธกี ารเรียนการสอนที่ไมเ่ หมาะสมกบั ผเู้ รยี น ปัญหาทางกายภาพของผู้เรยี น เช่น เด็กฟงั หรือมองเหน็ ได้ไมด่ อี าจเปน็ มาแต่กำเนิดหรือภายหลงั กไ็ ด้ ทำให้ ๒๑ เบญจพร ปญั ญายง. คู่มือชว่ ยเหลือเดก็ บกพร่องดา้ นการเรยี นรู้, กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ๒๕๔๓. ๒๒ ศันสนยี ์ ฉตั รคุปต์, การเรยี นร้อู ยา่ งมีความสุข : สารเคมใี นสมองกบั ความสุขและการเรยี นรู้, ปทมุ ธานี : สกาย บ๊คุ ส์. ๒๕๔๔.

หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๒๓ ส่งผลตอ่ กระบวนการเรียนรู้ การได้รับบาดเจบ็ ทางสมองปัญหาทางกายภาพทเี่ กดิ จากพันธกุ รรม ปัญหาปัจจยั สภาพแวดลอ้ มด้านสังคมและอารมณ์ของผู้เรียน สภาพแวดล้อมของครอบครัวเป็นปจั จยั ทมี่ ีผลต่อการเรยี นเป็น อย่างมาก และปญั หาสภาพแวดลอ้ มด้านทัศนคติของชมุ ชนและสงั คม หากเป็นทศั นคติทางลบก็จะมอี ิทธิพลต่อ การเรยี นรู้ของผู้เรยี นในทางลบไปดว้ ย ส่วนสภาพปัญหากระบวนการเรยี นรู้ของการศกึ ษาพระปรยิ ตั ิธรรม แผนกสามัญศึกษานน้ั พบวา่ ครูและบคุ ลากรทางการศึกษา ขาดประสทิ ธภิ าพในการจัดกระบวนการเรยี นรู้ท่ี เนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคัญ การพัฒนาครูและบุคลากรไมต่ ่อเน่ืองท่วั ถงึ ระบบการบริหารจดั การท่ยี งั ไม่เข้มแข็ง และ บุคลากรขาดความชำนาญในวชิ าทส่ี อน ๒.๓.๓ แนวทางการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ รจุ ริ ์ ภสู่ าระ และจนั ทรานี สงวนนาม๒๓ ได้กล่าววา่ การพฒั นากระบวนการเรียนรู้หรอื ท่ี เรยี กวา่ การปฏิรปู การเรยี นรทู้ ้ังในสว่ นทเี่ ก่ียวกับวิธกี ารเรยี นของผเู้ รียนและวิธกี ารสอนของครู ซ่งึ ครจู ะต้อง สอนโดยยึดผู้เรยี นเปน็ สำคญั เปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นไดฝ้ ึกคดิ วิเคราะห์และศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองโดยมีครูเป็นผู้ ควบคมุ ดแู ล เปน็ การฝกึ ปฏบิ ัตใิ หผ้ ู้เรยี นมปี ระสบการณก์ ารเรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จกั วธิ คี ดิ วิธีการดำเนนิ ชีวติ และ มที ักษะในการเผชิญกบั ปัญหาต่างๆ ได้ การจดั การเรียนการสอนตามแนวของหลักสตู รใหม่ จึงน่าจะมีหลักการ และแนวปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ ๑) เน้นการเรียนการสอนตามสภาพจริง ๒) เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนได้คน้ ควา้ หาความรู้ได้แสดงความคิดอยา่ งอสิ ระสามารถสรุปและสรา้ ง องค์ความรู้ใหม่ขึ้นได้จากข้อมูลท่ีมี ๓) นักเรยี นเปน็ ผปู้ ฏิบตั ิ ครูเป็นเพยี งแหลง่ ข้อมูลหนึง่ จากหลายๆ แหลง่ และเป็นผอู้ ำนวย ความสะดวกให้แกผ่ ูเ้ รียน ๔) เนน้ การปฏบิ ตั ิท่ีควบคู่ไปกับหลักการและทฤษฎี ๕) เน้นวิธีการสอนจากการเรียนร้หู ลาย ๆ รปู แบบ ๖) สง่ เสริมให้ผ้เู รยี นใชก้ ระบวนการคิดมากกว่าการคน้ หาคำตอบทตี่ ายตวั เพยี งคำตอบเดียว ๗) ถอื วา่ กระบวนการเรยี นรมู้ ีความสำคญั มากกวา่ เน้ือหาเพ่ือให้ผ้เู รียนมีข้อมูลเพียงพอที่จะ สร้างองค์ความร้ใู หม่ได้ และ ๘) ใช้กระบวนการกลมุ่ ในการเรยี นรรู้ ่วมกันและเรียนร้ดู ้วยตนเอง การจัดการเรียนรตู้ ามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ นน้ั จะต้องใชก้ ระบวนการ เรียนรทู้ ีห่ ลากหลาย เพ่ือเป็นเคร่ืองมอื พฒั นาผู้เรียนไปส่เู ป้าหมายของหลกั สตู ร ซึง่ ครูผู้สอนจะต้องร้แู ละเขา้ ใจ แนวคดิ การจดั การเรยี นร้แู ละผลท่เี กดิ กับผูเ้ รยี น แล้วนำมาจัดการเรยี นร้ใู ห้เอ้ือตอ่ การพฒั นาของผ้เู รยี นตาม หลักสตู ร กระบวน การดังกล่าว ได้แก่ ๑) กระบวนการเรยี นรู้แบบบูรณาการ ๒) กระบวนการสร้างความรู้ ๓) กระบวนการคิด ๔) กระบวนการทางสังคม ๕) กระบวนการเผชิญสถานการณ์ และแก้ปญั หา ๖) กระบวนการเรยี นรจู้ ากประสบการณจ์ ริง ๗) กระบวนการปฏิบตั ิ ๘) กระบวนการจัดการ ๒๓ รจุ ิร์ ภสู่ าระ และจนั ทรานี สงวนนาม.การบริหารหลกั สตู รในสถานศึกษา.กรงุ เทพฯ: บุ๊คพอยท.์

หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๒๔ ๙) กระบวนการวจิ ยั ๑๐) กระบวนการเรียนรู้การเรียนรขู้ องตนเอง ๑๑) กระบวนการพฒั นาลักษณะนสิ ยั กระบวนการเรียนรู้ข้างต้นเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ท่ีจะทำให้ผู้เรียนได้รับการฝึกฝน พัฒนา อย่างเต็มตามศกั ยภาพ ช่วยให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรู้ตามเป้าหมายของหลกั สตู รครผู สู้ อนจงึ ควรตอ้ งคัดสรรเลอื ก นำมาใช้ในการจดั การเรียนร้ใู หเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพสูงสุด ดังน้ี ๑) กระบวนการเรยี นรูแ้ บบบูรณาการ (๑) แนวคิด กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ คือ การจัดการเรยี นรูโ้ ดยการนำเนื้อหาสาระการ เรียนรู้ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน นำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในลักษณะท่ี เป็นองค์รวมและสามารถนำความรู้ ความเขา้ ใจไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำวันได้ การจัดการเรียนรู้แบบบูรณา การ มีหลายรูปแบบ ข้ึนอยู่กับความเหมาะสมวัตถุประสงค์และความเหมาะสมของตัวผู้เรียนและสาระการ เรยี นรู้ (๒) แนวทางการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ สามารถทำได้หลายลักษณะ ในท่ีน้ีจะขอเสนอ แนวคดิ การจดั การเรยี นรูแ้ บบบรู ณาการ โดยใช้กลุม่ สาระการเรียนร้เู ปน็ หลัก ซึง่ แบง่ ได้เปน็ ๒ ประเภท คอื ก. การบรู ณาการภายในกลุ่มสาระการเรยี นรู้ เปน็ การจัดการเรียนรทู้ ีเ่ ชอ่ื มโยงเนอื้ หา ดา้ นความรู้ ทักษะ/กระบวนการ หรือคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้น้ันๆเข้าดว้ ยกัน เพ่ือมุ่ง ศึกษาเกี่ยวกับเร่ืองราว ประเด็น ปัญหา หัวเรื่องหรือประสบการณ์เรื่องใดเร่ืองหนึ่ง การบูรณาการภายในกลุ่ม สาระการเรียนรู้เดียวกันน้ัน สามารถจัดการเรียนรู้โดยผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้นั้นๆ ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม สาระการเรยี นรอู้ ่นื ๆ ข. การบรู ณาการระหวา่ งกล่มุ สาระการเรยี นรู้ เปน็ การจัดการเรยี นร้ทู ่เี ชอื่ มโยง เนื้อหา ทักษะ/กระบวนการ หรอื คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ต้ังแตส่ องกลุ่มสาระการเรยี นรูข้ ้นึ ไปเข้าด้วยกัน เพอ่ื ม่งุ ศึกษาเกีย่ วกบั เรื่องราว ประเด็น ปญั หา หัวเร่ืองหรือประสบการณ์เรื่องใดเรื่องหนง่ึ ซึง่ ชว่ ยให้ผ้เู รยี นได้ เรียนรใู้ นเร่อื งน้ันๆ อย่างเขา้ ใจลกึ ซึง้ และชดั เจนใกล้เคียงกบั ความเปน็ จริงในชวี ติ การบูรณาการระหว่างกลุ่ม สาระการเรยี นร้ใู นระดบั ประถมศึกษา มักเปน็ การจัดการเรียนร้โู ดยครผู ู้สอนคนเดยี ว แตใ่ นระดบั มธั ยมศึกษา ขนึ้ ไป จะเปน็ การสอนเปน็ ทีมตงั้ แต่สองคนขึ้นไป หรือทำความตกลงกนั แล้วแยกกันสอนตามวชิ าท่รี ับผดิ ชอบ การจัดการเรยี นรู้แบบบรู ณาการทงั้ สองประเภทน้ี จะทำใหก้ ระบวนการจัดการเรียนรมู้ ปี ระสิทธิภาพต่อเมื่อ ผู้สอนเลอื กใช้รปู แบบการจดั การเรยี นรู้ วธิ ีการจัดการเรยี นรหู้ รอื เทคนคิ การจดั การเรยี นรู้ทห่ี ลากหลาย เหมาะสมกับบทเรียน และศักยภาพของผู้เรยี น ด้วยเหตนุ ้ีการจัดการเรียนรูแ้ บบบูรณาการจงึ ต้องคำนงึ ถึงส่ิง ต่อไปน้ี ก) เน้นความสำคัญ ข) จัดประสบการณ์ตรงทส่ี อดคลอ้ งกับผู้เรยี น โดยคำนงึ ถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคล ค) เน้นการปลกู ฝังจติ สำนึก ค่านิยม และจรยิ ธรรมทถี่ ูกต้อง ดีงาม ง) จดั บรรยากาศทส่ี ง่ เสรมิ ให้ผ้เู รียนกล้าคดิ กลา้ ทำ จ) ให้ผู้เรียนไดร้ ว่ มทำงานเป็นกลมุ่ มีปฏสิ มั พนั ธ์ และมกี ารแลกเปลยี่ นเรยี นร้ซู ง่ึ กันและกัน

หลักสตู รและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๒๕ ๒) กระบวนการสร้างความรู้ (๑) แนวคิด กระบวนการสร้างความรู้เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้และ ประสบการณ์ต่างๆ ท่มี ีความหมายต่อตนเองจากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยใช้กระบวนการคิดและการ แสวงหาความรู้ควบคู่ไปกับการปฏิบตั ิจรงิ ให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ และประสบการณด์ ้วยตนเอง โดยมีครูผู้สอน เป็นผู้จดั โอกาส บรรยากาศ สงิ่ แวดล้อม และแหล่งเรียนร้ทู ี่เอือ้ ให้ผ้เู รียนเกดิ การเรียนรู้ (๒) แนวทางการจดั การเรยี นรู้ การจดั การเรียนร้ดู ว้ ยกระบวนการสรา้ งความรู้ มีขน้ั ตอน/กระบวนการ ดงั น้ี ก. ขั้นทบทวนความรู้เดิม เป็นข้ันท่ีผู้เรียนได้แสดงออกถึงความรู้ ความเข้าใจเดิมที่มี อยใู่ นเรือ่ งท่กี ำลังจะเรยี นรู้ ข. ขั้นปรบั เปล่ยี นความคิด เป็นขัน้ ท่ีสำคัญของการจดั การเรียนร้ตู าม กระบวนการสร้างความรทู้ ปี่ ระกอบด้วยขนั้ ตอนยอ่ ยๆ ดังน้ี ก) สร้างความกระจา่ งและการแลกเปล่ียนเรียนรรู้ ะหวา่ งกันและกัน ข) สร้างความคิดใหมจ่ ากการอภปิ รายรว่ มกนั และสาธิตแสดงใหเ้ หน็ จนทำให้ผเู้ รยี นสามารถกำหนดความคดิ หรือความรใู้ หมข่ ้นึ ได้ ค) การประเมนิ ความคดิ ใหม่ โดยการทดลอง หรอื ใช้กระบวนการคิด คดิ อย่างไตร่ตรองลกึ ซึ้ง และประเมนิ คุณคา่ ง) การนำความคดิ ไปใช้ ผเู้ รียนมโี อกาสได้ใชค้ วามคดิ หรอื ความรคู้ วาม เขา้ ใจในการพฒั นาการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ค. ขนั้ ทบทวน เป็นขนั้ ตอนสดุ ท้ายทีผ่ ูเ้ รยี นจะไดท้ บทวนความคดิ ความเข้าใจ โดยการเปรียบเทียบระหว่างความคิดเดิมกับความคิดใหม่ ๓) กระบวนการคดิ (๑) แนวคิด กระบวนการคดิ เป็นกระบวนการทางสมองในการจดั กระทำข้อมูลหรือสิง่ เร้าทรี่ ับเขา้ มาเปน็ กระบวนการทางสติปัญญา มีลักษณะเป็นกระบวนการหรือวิธกี าร ในการพฒั นาใหเ้ กดิ กระบวนการคิด จึงตอ้ ง มีบคุ คล มีเน้ือหาหรอื ขอ้ มูลท่ีใช้ในการคิด คุณสมบตั ิทีเ่ อ้ืออำนวยตอ่ การคิด กระบวนการท่ใี ช้ในการคิด วธิ กี าร พฒั นาการคดิ และการวดั และประเมินการคิด (๒) แนวทางการจดั การเรียนรู้ การจัดการเรยี นรดู้ ว้ ยกระบวนการคดิ มีแนวทาง ดังน้ี ก. การจัดสภาพแวดล้อมและสร้างบรรยากาศท่ีเอ้ืออำนวยต่อการคิด โดยส่งเสริม สนบั สนนุ ใหผ้ ู้เรียนคิด ไมป่ ดิ ก้ันความคดิ ใหก้ ำลังใจ เสริมแรงเม่ือผเู้ รียนคดิ ได้ดว้ ยตนเอง ข. ใช้รูปแบบ วิธีการสอน หรือเทคนิคการสอนต่างๆ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการคิด เช่ือมโยงจากความคิดเดิม ในลักษณะใด ลักษณะหนึ่ง ได้แก่ การคิดคล่อง การคิดหลากหลายการคิดละเอียด การคิดชัดเจน การคดิ อย่างมีเหตผุ ล การคิดถูกทาง การคิดกว้าง การคิดลกึ ซ้ึง และการคดิ ไกล ค. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการคิด และกระบวนการคิดต่างๆ ตามความ เหมาะสมกับพื้นฐานของผเู้ รยี น ได้แก่

หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๒๖ ก) ทักษะการคิดหรือทักษะการคิดพื้นฐาน มีข้ันตอนการคิดไม่ซับซ้อนเป็น ทกั ษะพืน้ ฐานของการคิดขัน้ สูง แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คอื (ก) ทักษะการคดิ พื้นฐาน ซึ่งประกอบดว้ ย ก.๑ ทักษะการส่ือความหมาย หมายถึง ทักษะการรับสาร รับความคิดของผู้อ่ืนเข้ามาเพ่ือรับรู้ ตีความ แล้วจดจำเมื่อต้องการท่ีจะระลึกถึง เพ่ือนำมาเรียบเรียงและ ถ่ายทอดความคิดของตนให้แก่ผู้อื่น โดยแปลความคิดในรูปของภาษาต่างๆ เช่น ทักษะการฟังทักษะการพูด เปน็ ตน้ ท้ังทีเ่ ปน็ ขอ้ ความ คำพูด ก.๒ ทักษะการคิดที่เป็นแกนหรือทักษะการคิดทั่วไป หมายถึงทักษะการคิดที่จำเป็นต้องใช้อยู่เสมอในการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น ทักษะการสังเกต ทักษะการ สำรวจ ทักษะการตั้งคำถาม ทักษะการเก็บรวบรวมข้อมูล ทักษะการจำแนก และทักษะการเปรียบเทียบ เป็น ตน้ (ข) ทักษะการคดิ ขั้นสงู หมายถงึ ทกั ษะการคดิ ท่ีมีขนั้ ตอนหลายขั้น และต้องอาศัยทักษะการสื่อความหมายและทักษะการคิดท่ัวไปหลาย ๆ ทักษะในแต่ละข้ัน เช่นทักษะการสรุป ความ ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะการจัดระบบความคิด ทักษะการสร้างองค์ความรู้ใหม่ และทักษะการ ตง้ั สมมติฐาน เปน็ ตน้ ข) ลักษณะการคิดหรือการคิดระดับกลาง มีขั้นตอนในการคิดซับซ้อน มากกวา่ การคิดในกลุ่มที่ ๑ เป็นพื้นฐานของการคิดระดับสูง ลักษณะการคิดแต่ละลกั ษณะต้องอาศัยการคิดขั้น พน้ื ฐานมากบ้างน้อยบา้ ง ซง่ึ แบ่งได้เปน็ ๒ กลุ่ม คอื (ก) ลักษณะการคิดท่ัวไปท่ีจำเป็น ได้แก่ การคิดคล่อง การคิด ละเอยี ด การคิดหลากหลาย และการคดิ ชดั เจน เปน็ ตน้ (ข) ลักษณะการคิดท่ีเป็นแกนสำคัญ ได้แก่ การคิดถูกทาง การคิด ไกลการคิดกวา้ ง และการคิดอยา่ งมีเหตผุ ล เปน็ ตน้ ค) กระบวนการคิดหรือการคิดระดับสงู มีขั้นตอนในการคดิ ซบั ซ้อนและ ตอ้ งอาศัยทักษะการคิด และลักษณะการคิดเป็นพื้นฐานในการคิด ซึง่ มีหลายกระบวนการ เช่น กระบวนการคิด วเิ คราะห์ กระบวนการคิดแกป้ ัญหา กระบวนการคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณกระบวนการคดิ สรา้ งสรรค์ เป็นตน้ ง. ใหเ้ วลาแก่ผเู้ รยี นในการใชค้ วามคดิ และแสดงความคิด อภิปรายแลกเปลยี่ น กระบวนการคิดทเ่ี กดิ ข้ึนในกระบวนการเรยี นรู้ จ. ร่วมกนั สรปุ ประเดน็ ท่ีไดจ้ ากกระบวนการคดิ ท่ีเกิดขน้ึ จากการเรยี นรู้ ฉ. การวดั และประเมินผลการเรียน ทัง้ ทางดา้ นเน้ือหา สาระการเรียนรู้ และ ทกั ษะ กระบวนการคดิ ๔) กระบวนการทางสงั คม (๑) แนวคิด กระบวนการทางสงั คม เป็นกระบวนการท่ีมุ่งสร้างปฏสิ ัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกันในสังคม ความ เปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ทกี่ อ่ ใหเ้ กิดบรรยากาศในการเรยี นร้ทู ี่ดรี ว่ มกนั (๒) แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ก. ใหโ้ อกาสผู้เรยี นไดท้ ำกิจกรรมกลมุ่ และกระบวนการกลุ่ม มกี ารกำหนด บทบาทหน้าที่ในการทำกจิ กรรมร่วมกนั ข. มงุ่ จัดกิจกรรมเพอ่ื สรา้ งความสัมพันธร์ ะหวา่ งบุคคล ความเป็นอนั หน่งึ อันเด่ียวกัน

หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๒๗ ค. ให้ผู้เรียนตระหนักถึงความสำคัญของการใฝ่รู้ พร้อมท่ีจะเรียนรู้ในทุกเวลาทุก สถานท่แี ละทุกสภาพแวดล้อม เพ่อื ให้ผ้เู รยี นเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดา้ นอารมณ์ สงั คมและสติปัญญา ง. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษาสภาพของชุมชน ผลกระทบของส่ิงแวดล้อมและ เทคโนโลยีใหม่ๆ ท่สี ง่ ผลต่อการเปลยี่ นแปลงของสงั คม ๒.๔ เหตุผลท่คี นไทยต้องเรยี นรูพ้ ระพุทธศาสนา ๑. พระพุทธศาสนาเปน็ จรยิ ศกึ ษา เพือ่ รับมือกับปญั หาของยุคพัฒนา ให้คนไทยรจู้ ักเก็บรวบรวมศึกษา และเลือกใช้ประโยชน์จากข้อมูลท้ังหลายเกี่ยวกับการสร้างเสริมความเจริญอย่างเพียงพอยิ่งกว่านั้น สภาพ ความเจริญท่ีรออยู่ข้างหน้าในวิถีทางของการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างท่ีทากันอยู่ทุกวันน้ีก็ยิ่งทาให้มีความ ต้องการจริยธรรม ๒. พระพุทธศาสนาเป็นระบบจริยธรรมท่ีต่อติดกับพื้นฐานเดิมของสังคมไทย แม้ว่าปัจจุบันในระดับ พื้นผิว จะมองเห็นว่า ผู้คนห่างเหินจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนา แต่ระบบ ศีลธรรมตามหลักธรรมของ พระพุทธศาสนาก็ยังสืบต่ออยู่อย่างแน่นหนาในรากฐานทางวัฒนธรรมของไทย การสอนจริยธรรมตามหลัก พระพุทธศาสนา หรือการนาพระพุทธศาสนามาใช้ในการสอนจริยศึกษา เป็นการปฏิบัติท่ีสอดคล้องกลมกลืน กบั รากฐานทางวัฒนธรรม และพ้นื เพทางจติ ใจของคนไทย เป็นจรยิ ธรรมท่กี ลมกลืนบนพน้ื ฐานที่ต่อเน่อื ง อีกทั้ง เป็นการรู้จักใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์ ซ่ึงทาให้พร้อมท่ีจะทางานได้ง่าย ฉับไว และเบาแรงกว่า การกระทาดว้ ยวธิ อี ยา่ งอ่ืน จงึ ไมม่ ีเหตผุ ลทจ่ี ะปฏเิ สธการสอนพระพทุ ธศาสนาเพอ่ื ประโยชนใ์ นทางจริยธรรม ๓.ชาวพุทธควรมีสทิ ธิเรียนจรยิ ศึกษาแบบพุทธ การปลูกฝังจริยธรรมต้องดาเนินไปอย่างมีกระบวนการ และเป็นระบบ โดยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์แห่งสัจธรรมท่ีรองรับเป็นพื้นฐาน การท่ีสังคมไทยยอมรับ พระพุทธศาสนา และนับถือสืบต่อกันมา ก็เพราะมคี วามเช่ือในพระปรีชาญาณของพระพุทธเจา้ ว่าได้ทรงค้นพบ สจั ธรรม และทรงส่ังสอนระบบจรยิ ธรรมที่ถูกต้องจริงแท้ตรงตามสัจธรรมนั้น จึงเห็นชอบและพอใจท่ีจะนาเอา หลักเกณฑ์ทางศีลธรรม หรือระบบการปลูกฝัง จริยธรรมของพระพุทธศาสนามาใช้เป็นระบบชีวิตทางศีลธรรม ของตนพูดอีกนัยหนึ่งว่า ชาวพุทธนับถือพระพุทธศาสนาก็คือเช่ือในระบบจริยศึกษาแบบพุทธ ชาวพุทธจึงควร และมีสิทธิที่จะเรียนจริยธรรม ด้วยจริยศึกษาแบบพุทธ การปฏิบัติท่ีถูกต้องในเรื่องนี้คือช่วยกันค้นหาให้พบ และจัดจรยิ ศึกษาแบบพทุ ธให้แก่ผู้เรยี นที่เปน็ พุทธ ศาสนกิ ชน ๔.สังคมไทยมีข้อได้เปรียบในการจัดจริยศึกษาที่มีเอกภาพ สังคมไทยมีประชากรส่วนใหญ่เป็น พุทธศาสนิกชน แม้จะมีความแตกต่างหลากหลาย ก็เป็นความแตกต่างในระดับของพัฒนาการทางจิตปัญญา ส่วนหลักความเช่ือและหลักคาสอนท่ัวไปคงเป็นตัวแบบเดียวกัน จึงน่าจะใช้ความได้เปรียบคือความมีเอกภาพ ทางศาสนานใ้ี ห้เปน็ ประโยชน์ ๕. สงั คมไทยไม่มเี หตผุ ลที่จะไม่สอนจริยศึกษาตามหลกั พระพทุ ธศาสนา เนื่องจากพทุ ธศาสนาใน ประเทศไทยมีเอกภาพมาก ถึงขัน้ ท่ีอาจพดู ไดว้ ่ามากท่สี ดุ แห่งหนึ่งในโลก ๖.การเรยี นพระพุทธศาสนาเพอ่ื มารว่ มอย่แู ละร่วมพัฒนาสงั คมไทย การศึกษาพระพุทธศาสนาก็คือ การเรยี นรู้สง่ิ ท่คี นท่ีอยู่ในสังคมไทยควรจะตอ้ งรู้ ในฐานะทเ่ี ปน็ การรูจ้ ักเรื่องราวของประเทศของตนเปน็ ความ รบั ผดิ ชอบของการศึกษาท่จี ะตอ้ งจัดให้คนไทยไดเ้ รียนรู้พระพุทธศาสนา ถ้าคนไทยไม่รจู้ ักพระพุทธศาสนาท้งั ใน ดา้ นเนื้อหาและสถาบนั กค็ งต้องถือวา่ เปน็ ความบกพร่องของการศึกษาของชาติ ๗.การศึกษาเพ่ือสร้างชนช้นั สำหรบั มาพฒั นาสังคมไทย ความลม้ เหลวดา้ นหนง่ึ ของการศึกษาใน สังคมไทย คือ การท่ีไมส่ ามารถสรา้ งผู้นำและชนชน้ั ในด้านวชิ าการและระบบแบบแผนสมัยใหม่ ทเี่ ปน็ ความ

หลกั สตู รและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๒๘ เจรญิ อย่างตะวันตกน้นั เป็นทแ่ี น่นอนชัดเจนว่า การศกึ ษาของชาติไดผ้ ลิตคนที่มีความรู้ความสามารถ เกง่ กว่า ชาวบ้านหรือประชาชนไปอย่างมากมาย ทำใหเ้ รามคี วามพร้อมในดา้ นหน่ึงท่จี ะพัฒนาสังคม แต่นัน่ เป็นเพียงด้านหน่ึง ซ่ึงหาเพียงพอไม่ เพราะในขณะเดยี วกันน้ันเองก็เป็นทแี่ น่นอน ชัดเจน เช่นเดียวกนั วา่ การศกึ ษาของเราได้ผลติ คนท่หี า่ งเหินแปลกแยกจากสังคมไทย ไม่รู้จักสังคมไทย ไม่รเู้ รื่องราว ของคนไทย ไม่เข้าใจความคิดจติ ใจของชาวบา้ นท่ีเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของไทย คนท่ีเป็นผลผลิตของการศึกษาอยา่ งน้ัน เมอ่ื สำเร็จการศกึ ษาแลว้ มาดำเนินชีวิตร่วมใน ชมุ ชนไทยและ ทำงานให้แกส่ ังคมไทยท่ามกลางคนไทย เขาต้องการรเู้ ร่ืองของไทย เชน่ วัฒนธรรมไทยและพระพุทธศาสนา ตามคติไทยต่อจากชาวบา้ น การศึกษาจะต้องกล้าเผชิญหน้าความจริง ถ้าพระพุทธศาสนาเป็นองค์ประกอบสำคัญอยู่ใน กระบวนการสืบทอดต่อเน่ืองของสงั คมไทย ไมว่ ่าโดยฐานะทเ่ี ป็นสถาบันสงั คมอันกว้างใหญก่ ็ดี โดยเป็นรากฐาน ของวัฒนธรรมไทยก็ดี โดยเป็นสภาพแวดล้อมที่ครอบคลุมสังคมไทยก็ดี โดยเป็นมรดกและเป็นเอกลักษณ์ของ ชาติไทยก็ดี โดยเป็นระบบจริยธรรมท่ีสังคมไทยได้ยอมรับนับถือปฏิบัติเป็นมาตรฐานกันมาก็ดี การศึกษา จะต้องจัดดำเนินการให้คนไทยได้ศึกษาพระพุทธศาสนาทั้งในแง่ท่ีเป็นองค์ความรู้และในแง่ท่ีเป็นเครื่องมือ พฒั นาชีวิตและสังคม ๘. การศึกษาพระพทุ ธศาสนา เพอื่ รกั ษาผลประโยชนข์ องสังคมไทย พระพุทธศาสนาน้นั มีลักษณะ สำคัญอยา่ งหนึ่งต่างจากศาสนาท่ัวไป จนบางทีผทู้ ่ีมองความหมายในแง่ของศาสนาอนื่ ๆ ถอื วา่ พระพุทธศาสนา ไมเ่ ป็นศาสนาหรอื มิฉะนนั้ ก็เป็นศาสนาแห่งปัญญา เพราะไม่บงั คบั ศรัทธา แต่ถือปัญญาเป็นสำคญั กลา่ วคือ ให้ เสรภี าพทางความคิด ไม่เรยี กรอ้ งและไมบ่ งั คับความเช่ือ ไม่กำหนดขอ้ ปฏิบัติทบ่ี ังคับแก่ศาสนิกชนแต่ให้ พจิ ารณาเลือกตัดสินใจด้วยตนเอง การปฏบิ ตั ิตามหลักธรรมในพระพทุ ธศาสนา จึงต้องอาศัยการศกึ ษา เพราะในเมื่อไม่กำหนดขอ้ บงั คับ ให้มสี ่งิ ทตี่ ้องเชอื่ และตอ้ งปฏิบัติอยา่ งตายตวั แลว้ ถ้าไมศ่ ึกษาให้รเู้ ข้าใจอยา่ งถูกต้อง แท้จริงกม็ โี อกาสอย่างมาก ท่ีจะเกิดความเคลอ่ื นคลาดผิดเพี้ยนในความเชือ่ และการปฏิบตั ิ เม่อื เช่ือผิดพลาดและปฏิบตั คิ ลาดเคลือ่ นไป นอกจากจะเป็นผลเสียหายในทางศาสนาแลว้ ก็ทาให้เกิดโทษแกช่ วี ิตและสังคมไทยไปด้วย ด้วยเหตนุ ี้ การศึกษาหรอื สิกขาจงึ เป็นเนื้อตวั ของชวี ิตในทางพระพทุ ธศาสนาทีจ่ ะทาให้ระบบจริยธรรม ดาเนนิ ไปได้ ผู้นาหรือผู้บรหิ ารกิจการพระพทุ ธศาสนาจึงต้องเอาใจใส่ ถือเป็นหน้าท่ีหลักสำคญั ทีส่ ุดท่จี ะต้อง เอื้ออานวยจัดใหม้ ีการศึกษาแก่พุทธบริษัทท้ังปวง ด้วยเหตุที่พระพุทธศาสนา เปน็ ศาสนาแห่งปัญญาและความเช่ือถอื ปฏิบัติท่ีถูกต้องขึ้นตอ่ การศึกษา เชน่ น้ี ไมว่ า่ สถาบนั พุทธศาสนาจะเอาใจใส่จดั การศึกษาให้แกศ่ าสนิกชนของตนหรอื ไมก่ ็ตาม ในกรณที ่ีพลเมือง ส่วนใหญเ่ ปน็ ผู้นับถือพระพุทธศาสนา รัฐทเี่ ปน็ ประชาธปิ ไตย และมีความรับผดิ ชอบต่อประโยชนส์ ขุ ของ ประชาชน และต่อความเสือ่ มความเจรญิ ของสังคม จะต้องเอาใจใส่ขวนขวายเอื้ออานวยให้ประชาชนส่วนใหญ่ ทีเ่ ปน็ พุทธศาสนิกชนให้ดีท่ีสุด ทงั้ นเี้ พราะวา่ ความเปน็ พทุ ธศาสนกิ ชนของประชากรส่วนใหญ่เหลา่ น้ันอย่ใู นตวั บคุ คลผเู้ ดียวกันกบั ที่เปน็ พลเมืองของประเทศไทยอย่างแยกจากกันไม่ออก สรุปทา้ ยบท ธอร์นไดค์ (Edward L Thorndike) เป็นนักจิตวทิ ยาและนักการศึกษาชาวอเมรกิ ัน เปน็ เจ้าของทฤษฎี การเรยี นรทู้ ่ีเนน้ ความสัมพนั ธ์เชอื่ มโยงระหว่างสิง่ เรา้ (S) กับการตอบสนอง (R) เขาเช่ือว่าการเรียนรู้เกิดข้ึนได้ ต้องสรา้ งสิ่งเชือ่ มโยงหรอื พันธ ์(Bond) ระหวา่ งสง่ิ เรา้ กับการตอบสนอง จึงเรียกทฤษฎีนวี้ ่าทฤษฎีพนั ธะระหว่าง สิ่งเร้ากับการตอบสนอง (Connectionism Theory) หรือ ทฤษฎีสมั พันธเ์ ช่อื มโยง หลักการเรยี นรู้ ทฤษฎี

หลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๒๙ สมั พันธเ์ ชื่อมโยง กลา่ วถงึ การเช่อื มโยงระหวา่ งส่ิงเรา้ กบั การตอบสนอง โดยมหี ลักพ้ืนฐานวา่ การเรยี นรู้เกดิ จากการเชอื่ มโยงระหวา่ งสิ่งเร้ากบั การตอบสนองทม่ี ักจะออกมาในรูปแบบต่างๆ หลายรูปแบบ โดยการลองถกู ลองผิด จนกว่าจะพบรูปแบบทด่ี แี ละเหมาะสมทีส่ ดุ ในการทดลอง ธอรน์ ไดค์ได้นำแมวไปขังไวใ้ นกรงทีส่ รา้ งข้ึน แลว้ นำปลาไปวางลอ่ ไวนอกกรงให้ห่าง พอประมาณ โดยให้แมวไมส่ ามารถย่ืนเทา้ ไปเขย่ี ได้ จากการสังเกต พบว่าแมวพยายามใช้วธิ กี ารต่าง ๆ เพ่ือจะ ออกไปจากกรง จนกระทง่ั เท้าของมันไปเหยียบถกู คานไมโ้ ดยบงั เอญิ ทำให้ประตเู ปิดออก หลงั จากนั้นแมวกใ็ ช้ เวลาในการเปดิ กรงได้เร็วขึน้ กฎการเรยี นรู้ จากการทดลองสรุปเปน็ กฎการเรียนรู้ไดด้ ังน้ี ๑. กฎแหง่ ความพร้อม (Law of Readiness) หมายถงึ สภาพความพร้อมหรอื วุฒิภาวะของ ผูเ้ รยี นท้งั ทางร่างกาย อวัยวะตา่ งๆ ในการเรียนรู้และจติ ใจ รวมทง้ั พน้ื ฐานและประสบการณเ์ ดมิ สภาพความ พร้อมของหู ตา ประสาทสมองกล้ามเน้ือ ประสบการณเ์ ดิมท่จี ะเชื่อมโยงกบั ความรู้ใหมห่ รือสง่ิ ใหม่ ตลอดจน ความสนใจ ความเข้าใจต่อสง่ิ ทเี่ หน็ ถ้าผเู้ รยี นมคี วามพร้อมตามองคป์ ระกอบต่างๆ ดงั กล่าว กจ็ ะทำใหผ้ ูเ้ รยี น เกดิ การเรียนรู้ได้ ๒. กฎแหง่ การฝกึ หดั (Law of Exercise) หมายถึงการท่ีผเู้ รยี นได้ฝกึ หดั หรอื กระทำซำ้ ๆบ่อยๆ ย่อมจะทำใหเ้ กิดความสมบูรณ์ถูกต้อง ซึง่ กฎน้ีเปน็ การเน้นความมน่ั คงระหว่างการเชอื่ มโยงและการตอบสนอง ท่ีถูกต้องย่อมนำมาซ่งึ ความสมบูรณ์ ๓. กฎแหง่ ความพอใจ(Law of Effect) กฎนี้เป็นผลทำใหเ้ กดิ ความพอใจ กล่าวคือ เมอ่ื อินทรีย์ไดร้ ับความพอใจ จะทำใหห้ รือส่งิ เชื่อมโยงแข็งม่ันคง ในทางกลบั กนั หากอนิ ทรียไ์ ดร้ ับความไม่พอใจ จะ ทำใหพ้ ันธะหรือสิง่ เช่ือมโยงระหวา่ งสิ่งเรา้ กับการตอบสนองอ่อนกำลงั ลง หรืออาจกล่าวไดว้ า่ หากอินทรยี ์ไดร้ ับ ความพอใจจากผลการทำกจิ กรรม กจ็ ะเกดิ ผลดีกบั การเรียนรู้ทำให้อินทรีย์อยากเรียนรู้เพิ่มมากข้นึ อีก ในทาง ตรงขา้ มหากอนิ ทรีย์ไดร้ บั ผลทไ่ี ม่พอใจก็จะทำให้ไม่อยากเรียนรูห้ รือเบอ่ื หนา่ ยและเปน็ ผลเสียตอ่ การเรียนรู้

หลักสตู รและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๓๐ เอกสารอ้างอิงประจำบท การด์ เนอร์ (Gardner) อ้างในทศิ นาแขมมณี, ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ทมี่ ี ประสิทธภิ าพ, พิมพ์ครั้งที่ ๕, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒๕๔๕ ทศิ นา แขมมณ.ี (๒๕๔๕),ศาสตร์การสอน : องคค์ วามรเู้ พ่อื การจดั กระบวนการเรียนรู้ท่มี ปี ระสิทธภิ าพ. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๕, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. . (๒๕๔๕).ศาสตรก์ ารสอน องค์ความรูเ้ พื่อการจัดกระบวนการเรยี นรู้ที่มีประสิทธภิ าพ ,(กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. เบญจพร ปญั ญายง, (๒๕๔๓).คมู่ ือช่วยเหลือเด็กบกพร่องด้านการเรียนรู้, กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . ปราชญา กลา้ ผจญ และสมศักดิ์ คงเที่ยง, (๒๕๔๕).หลกั และทฤษฎีการบรหิ ารการศึกษา, พมิ พ์ครง้ั ที่ ๒, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง, ผดงุ อารยะวิญญู, (๒๕๔๒). การศกึ ษาสำหรับเดก็ ทีม่ คี วามตอ้ งการพิเศษ, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แว่นแก้ว. พงษ์ศักดิ์ แป้นแก้ว, (๒๕๔๖). “พหปุ ญั ญา (Multiple Intelligence)”. ศกึ ษาศาสตรส์ าร, มกราคม– มิถุนายน. รุจิร์ ภู่สาระ และจนั ทรานี สงวนนาม.การบริหารหลกั สูตรในสถานศกึ ษา.กรงุ เทพฯ: บุ๊คพอยท์. วัลลภา เทพหสั ดิน ณ อยุธยา, (๒๕๔๓).การพัฒนาการเรยี นการสอนทางอุดมศกึ ษา, กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าอดุ มศึกษา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สุวิทย์ มลู คำ และอรทัย มูลคำ, (๒๕๔๕).๒๐ วธิ จี ัดการเรยี นรู้, กรงุ เทพมหานคร : ภาพพิมพ์. สพุ ิศ บญุ ชวู งศ,์ (๒๕๓๖).หลักการสอน, กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าหลกั สตู รและการสอน คณะวิชาครุศาสตร์ สถาบนั ราชภฏั เพชรบุรวี ิทยาลงกรณ์ ในพระบรมราชปุ ถมั ภ์. สุมิตร คณุ านกุ ร, (๒๕๒๘). หลกั สตู รและการสอน, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพช์ วนพมิ พ์. สุมาลี จันทร์ชลอ, (๒๕๔๒). การวัดผลและประเมินผล, กรงุ เทพมหานคร : ศูนย์สอ่ื เสริมกรงุ เทพ. สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน, แนวทางการจัดการเรียนรตู้ ามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษา ขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑, พิมพ์ครงั้ ท่ี ๒, กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตร แหง่ ประเทศไทย จำกัด. ศันสนีย์ ฉตั รคุปต์, (๒๕๔๔).การเรยี นร้อู ย่างมีความสขุ : สารเคมใี นสมองกับความสุขและการเรียนรู้, ปทุมธานี : สกาย บ๊คุ ส์.

หลักสตู รและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๓๑ บทที่ ๓ ขัน้ ตอนการจัดการเรียนรู้ วัตถปุ ระสงค์ประจำบท เมอื่ ได้ศกึ ษาเน้ือหาในบทนีแ้ ล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑.บอกความหมายของการจัดการเรียนรู้ได้ ๒.อธิบายลกั ษณะการเรียนรู้และขนั้ ตอนการเรียนร้ไู ด้ ๓.อธบิ ายการจัดการเรยี นรู้สปู่ ระชาคมอาเซยี นได้ ขอบขา่ ยเนอ้ื หา • ความหมายของการจดั การเรยี นรู้ • ลักษณะการเรียนรแู้ ละข้นั ตอนการเรียนรู้ • การจัดการเรียนร้สู ู่ประชาคมอาเซียน

หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๓๒ ๓.๑ ความนำ การศึกษาเป็นกลไกท่ีใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกในสังคม เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมี ความสุขดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่ีวา่ “ประเทศชาติของเราจะเจรญิ หรือเส่ือมลงน้ัน ย่อมขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชนแต่ละคนเป็นสำคัญ ผลการศึกษาอบรมในวันน้ี จะเป็นเครื่องกำหนด อนาคตของชาติในวันข้างหน้า” ดังน้ันจึงอาจกล่าวได้ว่า สภาพความเป็นอยู่ของสังคมใดๆ เป็นภาพสะท้อนให้ เหน็ ความมปี ระสิทธิภาพของการจัดการศึกษาของสงั คมน้นั ๆ ด้วย สงั คมไทยในอดีตถึงปัจจบุ นั มีปัญหาหลายประการ เช่น ความยากจน ความไมเ่ ทา่ เทยี มกันในการได้รบั ส่ิงท่ีมีประโยชน์ การเอารัดเอาเปรยี บ การทจุ ริต การเช่ือถือโชคลางหรือวัตถตุ า่ งๆ อย่างไรเ้ หตผุ ล ประชาธิปไตยที่ไม่สมบรู ณ์ เหล่านม้ี กั กลา่ วโทษว่าระบบการศึกษาเป็นต้นเหตุ ถึงขั้นกลา่ วว่าการศึกษาไทยมี สภาพถึงข้ันวิกฤตติ ้องเรง่ รบี แกไ้ ขโดยดว่ น รงุ่ แกว้ แดง๒๔ (๒๕๔๓) ได้กลา่ วถึงภาวะวิกฤติของการศึกษาไทยว่า การจดั การศึกษาของไทยใน ปจั จุบันยังไมส่ อดคล้องกบั ความต้องการของบุคคล สงั คมและประเทศ เม่ือต้องเผชิญกับกระแสความคาดหวงั ของสงั คมทจ่ี ะให้การศกึ ษามีบทบาทในการเตรียมคนใหพ้ ร้อมสำหรับการแข่งขนั ในสังคมโลกด้วยแล้ว ก็ยิง่ เหน็ สภาพความสับสน ความลม้ เหลว และความล้าหลังทีเ่ ป็นปัญหาของการศึกษามากขึ้น และวกิ ฤติทส่ี ำคัญของ การศึกษานอกจากน้ีอาจกล่าวถงึ ได้อีกคือ วิกฤติของผู้เรียน กล่าวคอื ผู้เรยี นมีความทุกขเ์ น่ืองจากเนอ้ื หาท่เี รียน ไมส่ อดคล้องกบั ความเป็นจรงิ ในชวี ติ ประจำวนั ตอ้ งจำใจเรียนส่ิงท่ีไกลตัว ต้องสร้างจินตนาการด้วยความ ยากลำบาก และต้องท่องจำตลอดเวลา ขาดการเชอ่ื มโยงความรู้ท่ีได้จากการเรยี นมาใช้ปฏิบัตใิ นชวี ิตประจำวัน ทำให้เกิดความสบั สน ผลทีเ่ กิดขึน้ คือ มเี จตคตทิ างลบตอ่ การเรยี น และเปน็ ปญั หาของสังคม เช่น ฆา่ ตวั ตาย เปน็ คนเกเรหนโี รงเรียน สร้างปมเดน่ ในทางทีผ่ ิด และติดยาเสพย์ติด ประเด็นที่กล่าวถึงขา้ งตน้ สอดคล้องกบั ท่ีพระธรรมปิฎก (อ้างถึงใน รงุ่ : แกว้ แดง ๒๕๔๓) กลา่ วถงึ วกิ ฤติของการศกึ ษาไวว้ า่ นับตั้งแต่ประเทศไทยนำรปู แบบการศกึ ษาแผนใหมจ่ ากประเทศตะวนั ตกเข้ามาในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ได้จดั การศกึ ษาแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางมาโดยตลอด การ กำหนดหลกั สตู ร ตำรา และภาษาที่ใช้ในการสอนล้วนกำหนดโดยส่วนกลางท้ังสิ้น ก่อใหเ้ กิดปญั หาสะสมมา จนถึงปัจจุบนั เม่ือพิจารณาความสมั พันธ์ของสาระในข้อมูลที่อา้ งถึง สรปุ ไดว้ ่า ความผดิ พลาดทีส่ ำคัญประการหนึง่ ของการจัดการศกึ ษาท่ีแล้วมาคือ ละเลยทจี่ ะพจิ ารณาความต้องการท่ีแตกตา่ งกนั ของผู้เรยี น และการเช่ือมโยง สง่ิ ที่เรยี นรกู้ ับการนำมาใชใ้ นชวี ิตจริง ๓.๒ ความหมาย การเรียนรู้ (Learning) หมายถงึ กระบวนการทบ่ี ุคคลเกดิ การเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมการพฒั นา ความคิดและความสามารถ โดยอาศยั ประสบการณแ์ ละปฏสิ มั พันธ์ระหว่างผู้เรยี นและส่ิงแวดลอ้ ม บลมู (Bloom, 1956)๒๕ ไดจ้ ำแนกการเรยี นร้ไู วเ้ ปน็ ๓ ด้าน คือ ๑. ด้านพทุ ธิพิสัย (Cognitive Domain) หมายถึง พฒั นาการดา้ นสตปิ ัญญาและความคดิ ๒๔ รุง่ แก้วแดง. ปฏวิ ตั ิการศกึ ษาไทย. กรุงเทพมหานคร สำนักพมิ พ์มตชิ น. ๒๕๔๓. ๒๕ Bloom, Benjamin. Taxonomy of Educational Objectives Handbook I : Cognitive Domain.New York : David McKay Company, Inc. 1956.

หลกั สตู รและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๓๓ ๒. ดา้ นจิตพสิ ยั (Affective Domain) หมายถงึ พัฒนาการทางดา้ นคามรู้สกึ นึกคิด ความ สนใจ ค่านยิ ม ความซาบซงึ้ การปรับตวั และเจตคตติ ่างๆ ๓. ด้านทักษะพสิ ยั (Psychomotor Domain) หมายถึง การพัฒนาทักษะในทางปฏบิ ัติ ได้แก่ทกั ษะในการใช้อวยั วะต่างๆ เชน่ การเคลื่อนไหว การลงมือทำงาน การทำการทดลอง กาจ์เย (Gagne, 1970)๒๖ ไดเ้ สนอเง่ือนไขของการเรยี นรู้ ไว้ ๘ ประการคือ ๑. การเรยี นรู้เม่ือไดร้ ับสญั ญาณ (Signal Learning) ๒. การเรยี นรใู้ นลกั ษณะของการกระตนุ้ -ตอบสนอง(Stimulus-Response Learning) ๓. การเรียนรูโ้ ดยการเชอ่ื มโยงการกระต้นุ -ตอบสนอง (Chaining) ๔. การเรยี นร้โู ดยสร้างความสัมพันธก์ ระตนุ้ -ตอบสนองดว้ ยภาษา (Verbal Association) ๕. การเรยี นรแู้ บบแยกแยะ (Discrimination Learning) ๖. การเรียนรู้ในแนวความคิดหลกั (Concept Learning) ๗. การเรยี นรู้ในกฎเกณฑ์ (Rule Learning) ๘. การเรียนรู้เชงิ แกป้ ญั หา (Problem Solving) ๓.๓ ลักษณะของการเรยี นรู้ การจัดการเรยี นรู้ของผู้สอนจะได้ผลดีน้ันผู้สอนต้องมีทักษะในการจดั การเรียนรู้มีความเข้าใจในระบบ การจัดการเรียนรู้ มีความเข้าใจในเน้ือหาวิชาท่ีเก่ียวข้อง และมีความเข้าใจเก่ียวกับการใช้จิตวิทยาการจัดการ เรียนรู้ด้วย การเรียนรู้ในทัศนะของนักจิตวิทยาโดยท่ัวไปนั้นเป็นกระบวนการท่ีเป็นผลของการเปล่ียนแปลง อย่างถาวรของพฤติกรรม เป็นกระบวนการที่จิตใจมีปฏิกิริยาต่อส่ิงเร้าภายนอก ซ่ึงพิจารณาได้จากการที่แต่ละ บุคคลแสดงปฏิกิริยาต่อส่ิงเร้าอย่างไร การเรียนรู้เป็นกระบวนการท่ีเกิดขึ้นเฉพาะของแต่ละบุคคลและเฉพาะ เร่ืองโดยที่ผู้เรียนต้องกระทำต่อวัตถุและปรากฏการณ์ในสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้อาจอยู่ในรูปของเจตคติ ความ เช่ือ ข้อเท็จจริง มโนมติ หลักการ กฎ การแก้ปัญหา และทักษะปฏิบัติการการเรียนรู้ในบางเรื่อง ผู้เรียนอาจ เรียนรู้ไดเ้ ร็ว บางเร่ืองอาจเรียนรู้ได้ช้า ต้องใช้เวลาและมีประสบการณ์ การเรียนรูบ้ างเรอื่ งจะไม่ลมื งา่ ย แต่บาง เร่ืองจะลมื ได้งา่ ยถา้ ไม่มีการใช้บา้ ง แครอล (Caroll, 1963)๒๗ ไดก้ ล่าวถงึ ความสำเร็จในการเรยี นรู้ของผเู้ รยี นวา่ ขน้ึ อยู่กบั องคป์ ระกอบ ๕ ประการ คือ ๑. ความถนดั ทางการเรยี นของผู้เรยี น ๒. ความสามารถส่วนตวั ของผูเ้ รยี นทีจ่ ะเข้าใจการจัดการเรียนร้ขู องผสู้ อน ๓. ความพยายามในการเรยี นของผู้เรยี น ๔. เวลาทีใ่ ชใ้ นการเรียนของผู้เรียน ๕. คุณภาพการจัดการเรียนรู้ของผสู้ อน ผู้สอนจะต้องทำหน้าที่ในการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้เกิดการเปล่ียนแปลงทางสติปัญญา เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ผู้สอนต้องสอนให้ผู้เรียนมีความรู้ เป็นผู้สืบ เสาะหาความรู้ เป็นผู้ค้นพบ เป็นผู้คิดอย่างพินิจพิเคราะห์และสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้โดยประยุกต์ใช้ความรู้ ที่ได้เรียนไปแล้ว ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ท่ีจะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมอยา่ งถาวรที่จะเป็นผู้มคี วามรูค้ วามสามารถ เชน่ ๒๖ Gagne,R.M. (1970) . The Conditions of Learning . 2nd ed. New York : Holt Rinebart and Winston , Inc. ๒๗ Carroll, J.B. (1963). The Carroll Model : A 25-year Retrospective and Prospective View.Educational Researcher. 18 : 26- 31.

หลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๓๔ ๓.๓.๑ การเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Learning by Doing) ของดิวอี้ (Dewey, 1922)๒๘ การเรียนรู้ ทา่ มกลางการปฏิบัติ คอื ในขณะทปี่ ฏิบตั ิแล้วเกิดแนวความคดิ ใหม่ประสบการณ์เกิดการเรียนรใู้ นช่วงการปฏิบัติ กจิ กรรม วิธีการสร้างองค์ความรดู้ ้วยตนเองได้ แบง่ เป็น ๔ ข้ันตอน หลักๆ คอื ๑. Explore explore หมายถึง สำรวจ คน้ ควา้ ในขัน้ ตอนนเ้ี ป็นปฐมบททผ่ี เู้ รยี นจะเรมิ่ สำรวจตรวจตราพยายามเขา้ ใจกับสิ่งใหมห่ รือความร้ใู หมท่ ่ีพวกเขาได้รบั (assimilation) ซึง่ ความรใู้ หม่น้ีมนั จะ เขา้ ไปผสานกบั ความรูเ้ ดิมในสมอง ๒. Experiment คือ การทดลอง พอเราเร่มิ ค้นคว้าแลว้ ทีน้กี ม็ าถงึ ข้ันเดินหน้าอกี ก้าวหนึง่ คือ ทดลองทจ่ี ะทำเปน็ การปรบั ความแตกตา่ ง เม่ือได้พบหรอื ปฏิสมั พันธ์กบั สงิ่ แวดลอ้ มใหมๆ่ ที่สมั พนั ธก์ บั ความคดิ เดิมท่ีมีอย่ใู นสมอง น่ันหมายความว่าเริ่มจะปรบั ความแตกต่างระหว่างของใหม่กับของเดิมจนเกิดความ เขา้ ใจว่าควรจะทาอย่างไรกบั สิง่ ใหมน่ ้ี เชน่ การออกแบบอาคาร หลงั จากทีส่ ำรวจช้นิ สว่ นต่างๆและเก็บเป็น ความร้ไู วใ้ นสมองแล้ว ตอ่ ไปอาจจะเปน็ การทดลองสร้างโดยอาจจะสร้างตามตวั อยา่ งในค่มู อื หรืออาจจะ ทดลองต่อเปน็ ช้นิ งานทตี่ นเองอยากจะทา หรอื อาจจะทดลองต่อตามอาจารย์ก็ได้ แต่บางครง้ั กส็ ามารถทจ่ี ะ ปรบั โดยการสอบถามอาจารยห์ รอื เพื่อนท่ีสามารถทาได้ ในขั้นตอนน้ีอาจจะมีลองผดิ ลองถูกบา้ งเพอื่ จะเกบ็ เกย่ี วเป็นประสบการณแ์ ละสร้างเปน็ องคค์ วามรู้เก็บไว้ในสมองของตนเอง ๓. Learning by doing คือ การเรียนรจู้ ากการกระทำ ขั้นน้เี ปน็ การลงมือปฏิบตั ิกจิ กรรม อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ หรือการได้ปฏสิ มั พนั ธก์ บั สง่ิ แวดลอ้ มทีม่ ีความหมายต่อตนเอง แลว้ สรา้ งเป็นองค์ความรขู้ อง ตนเองขนึ้ มา ซ่งึ จะคาบเก่ียวกับข้ันตอนที่ผ่านมา ขั้นนจ้ี ะเกดิ ทัง้ การดูดซึม (assimilation) และ การปรับความ แตกตา่ ง(accommodation)ผสมผสานกันไปเช่นเดียวกัน ๔. Doing by learning คือ การทำเพื่อท่จี ะทำใหเ้ กดิ การเรียนรู้ ข้ันตอนน้จี ะต้องผ่านขนั้ ตอน ทง้ั ๓ จนประจกั ษ์แก่ใจของผู้เรียนวา่ การลงมือปฏบิ ัติกิจกรรมอยา่ งใดอย่างหน่งึ หรือการได้ปฏสิ มั พนั ธ์กับ สิ่งแวดลอ้ ม ท่ีมคี วามหมายน้นั สามารถทำใหเ้ กิดการเรียนรูไ้ ดแ้ ละเมอ่ื เขา้ ใจแล้วกจ็ ะเกดิ พฤติกรรมในการ เรียนรทู้ ดี่ ี รจู้ กั คดิ แกป้ ญั หา รจู้ ักการแสวงหาความรู้ การปรบั ตนเองใหเ้ ขา้ กับส่งิ แวดล้อมใหม่ๆ ฯลฯ นั่นกค็ ือ เกดิ ภาวะที่เรียกว่า \"Powerfull learning\" ซึง่ ก็คอื เกิดการเรียนรู้ท่จี ะดดู ซึม (assimilation) และ การปรับ ความแตกต่าง(accommodation) อยตู่ ลอดเวลาอันจะนาไปสคู่ ากลา่ วทีว่ ่า\"คิดเปน็ ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น\" นัน่ เอง ๓.๓.๒ การเรยี นรู้เก่ียวกบั ทฤษฎีพฒั นาการทางสติปญั ญาของผู้เรียน (Theory of Cognitive Development) ของเปยี เจต์ (Piaget, 1958)๒๙ พัฒนาการทางสตปิ ัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เปน็ ลำดบั ขน้ั ดงั น้ี ๑. ข้ันประสาทรับรแู้ ละการเคลอ่ื นไหว (Sensori-Motor Stage) เร่ิมตัง้ แตแ่ รกเกิดจนถงึ ๒ ปี พฤตกิ รรมของเด็กในวยั นี้ข้ึนอย่กู ับการเคลื่อนไหวเปน็ ส่วนใหญ่ ๒. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) เริ่มตั้งแต่อายุ ๒-๗ ปี แบ่งออกเป็นขั้น ย่อยอีก ๒ ข้ัน คือ - ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นข้ันพัฒนาการของเด็กอายุ ๒- ๔ ปี เป็นช่วงท่ีเด็กเร่ิมมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ ๒ เหตุการณ์ หรือ มากกว่ามาเป็นเหตผุ ล เก่ียวโยงซง่ึ กนั และกัน แตเ่ หตุผลของเด็กวยั น้ยี ังมขี อบเขตจำกดั อยู่ ๒๘ Dewey, J. (1922). Human nature and conduct. New York: Henry Holt & Co. ๒๙ Piaget, 1958. อ้างใน .สุรางค์ โคว้ตระกลู . (2553). จิตวิทยาการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.

หลักสตู รและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๓๕ - ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็น ขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ ๔-๗ ปี ข้ันนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเก่ียวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยก ประเภทและแยกชิ้นสว่ นของ ๓. ข้ันปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) เริ่มจากอายุ ๗-๑๑ ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยน้ีสามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่ง ส่ิงแวดลอ้ มออกเปน็ หมวดหมู่ได้ ๔. ข้นั ปฏบิ ัตกิ ารคดิ ดว้ ยนามธรรม (Formal Operational Stage) เร่ิมจากอายุ ๑๑-๑๕ ปี ในข้ันน้พี ฒั นาการทางสตปิ ญั ญาและความคดิ ของเด็กวัยนเี้ ป็นข้นั สดุ ยอด คือเดก็ ในวัยนจี้ ะเร่มิ คิดแบบผใู้ หญ่ ความคิดแบบเดก็ จะสน้ิ สุดลง เดก็ จะสามารถทจี่ ะคิดหาเหตุผลนอกเหนอื ไปจากขอ้ มูลทมี่ ีอยู่ พฒั นาการทางการร้คู ดิ ของเด็กในชว่ งอายุ ๖ปีแรกของชีวิต ซง่ึ เพยี เจต์ได้ศึกษาไวเ้ ป็นประสบการณ์ สำคญั ทีเ่ ด็กควรไดร้ บั การส่งเสริม มี ๖ ข้นั ไดแ้ ก่ ๑. ขัน้ ความร้แู ตกต่าง (Absolute Differences) เด็กเร่มิ รับรู้ในความแตกต่างของสง่ิ ของที่มองเห็น ๒. ข้นั รู้สิ่งตรงกันขา้ ม (Opposition) ขน้ั นี้เดก็ รวู้ า่ ของต่างๆ มลี ักษณะตรงกนั ขา้ มเป็น ๒ ดา้ น เช่น มี- ไมม่ ี หรือ เล็ก-ใหญ่ ๓. ขั้นร้หู ลายระดบั (Discrete Degree) เด็กเริม่ ร้จู ักคิดส่ิงท่เี กีย่ วกับลกั ษณะที่อยตู่ รงกลางระหว่าง ปลายสุดสอง ปลาย เช่น ปานกลาง นอ้ ย ๔. ขน้ั ความเปลีย่ นแปลงต่อเน่อื ง (Variation) เด็กสามารถเขา้ ใจเก่ยี วกับการเปล่ียนแปลงของสงิ่ ต่างๆ เชน่ บอกถงึ ความเจริญเติบโตของต้นไม้ ๕. ข้ันรูผ้ ลของการกระทำ (Function) ในขนั้ น้เี ด็กจะเขา้ ใจถงึ ความสัมพันธข์ องการเปลี่ยนแปลง ๖. ขน้ั การทดแทนอย่างลงตัว (Exact Compensation) เด็กจะร้วู า่ การกระทำใหข้ องสงิ่ หน่ึง เปล่ยี นแปลงย่อมมผี ลตอ่ อกี ส่ิงหนง่ึ อยา่ งทัดเทยี มกัน ๓.๓.๓ ทฤษฎีเกย่ี วกับการเรียนรู้ด้วยการค้นพบ (Discovery Learning) ของบรุเนอร์ (Bruner, 1961)๓๐ บรนุ เนอร์เชอื่ ว่ามนุษยเ์ ลอื กที่จะรับรู้สิง่ ทีต่ นเองสนใจ และการเรยี นร้เู กดิ จากกระบวนการ ค้นพบดว้ ยตัวเอง (discovery learning) แนวคดิ ทีส่ ำคญั ของ บรนุ เนอร์มีดังนี้ ทฤษฎกี ารเรียนรู้ ๑. การจัดโครงสร้างของความรู้ใหม้ ีความสมั พันธ์และสอดคล้องกับพฒั นาการทาง สตปิ ัญญาของเดก็ มีผลต่อการเรยี นรู้ของเด็ก ๒. การจัดหลกั สตู รและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดบั ความพร้อมของ ผูเ้ รียน และสอดคล้องกบั พัฒนาการทางสติปัญญาของผเู้ รียนจะช่วยใหก้ ารเรยี นรู้เกิดประสิทธภิ าพ ๓. การคดิ แบบหยงั่ รู้ (intuition) เปน็ การคิดหาเหตุผลอย่างอสิ ระทีส่ ามารถพฒั นา ความคดิ รเิ ริ่มสร้างสรรค์ได้ ๔. แรงจูงใจภายในเป็นปัจจยั สำคญั ท่ีจะช่วยใหผ้ ู้เรียนประสบผลสำเรจ็ ในการเรียนรู้ ๕. ทฤษฎีพัฒนาการทางสตปิ ัญญาของมนษุ ย์ แบ่งได้เปน็ ๓ ข้นั ใหญๆ่ คือ ๕.๑ ขนั้ การเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive Stage) คือ ขั้นของการเรียนรู้ จากการใช้ประสาทสมั ผัสรบั รู้ส่ิงต่างๆ การลงมือกระทำชว่ ยใหเ้ ดก็ เกิดการเรียนรู้ได้ดี การเรยี นรู้เกดิ จากการ กระทำ ๓๐ Bruner Lerome S. 1969. The Process of Education. Massachusette Haward University Process Cambridge.

หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๓๖ ๕.๒ ข้นั การเรยี นร้จู ากความคิด (Iconic Stage) เปน็ ขั้นที่เด็กสามารถสรา้ ง มโนภาพในใจได้ และสามารถเรยี นรจู้ ากภาพ แทนของจรงิ ได้ ๕.๓ ข้ันการเรียนร้สู ัญลกั ษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เปน็ ข้นั การ เรียนรู้ส่ิงท่ซี ับซอ้ นและเป็นนามธรรมได้ ๖. การเรียนร้เู กดิ ไดจ้ ากการที่คนเราสามารถสร้างความคิดรวบยอด หรอื สามารถ สร้างหรือสามารถจัดประเภทของส่ิงตา่ งๆ ได้อยา่ งเหมาะสม ๘. การเรยี นรูท้ ไ่ี ดผ้ ลดที ส่ี ุดคือการใหผ้ ูเ้ รยี นคน้ พบการเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง (discovery learning) ๓.๓.๔ ทฤษฎเี ก่ยี วกับการเรียนรอู้ ย่างมคี วามหมายของออซเู บล (Ausubel, 1969)๓๑ ออซเู บลใหค้ วามหมายการเรียนรอู้ ยา่ งมีความหมาย ( Mearningful learning) วา่ เป็นการ เรยี นที่ผเู้ รียนได้รับมาจากการทีผ่ สู้ อนอธิบายสิง่ ท่ีจะต้องเรียนรู้ให้ทราบและผู้เรียนรับฟังด้วยความเขา้ ใจโดยผู้ เรยี นเห็นความสัมพันธ์ของสิง่ ท่เี รียนรู้กบั โครงสร้างพทุ ธิปญั ญาที่ได้เก็บไวใ้ นความทรงจำ และจะสามารถ นำมาใชใ้ นอนาคต ออซเู บลได้ชี้ใหเ้ ห็นวา่ ทฤษฎีนี้มีวัตถปุ ระสงคเ์ พ่อื ที่จะอธบิ ายเก่ยี วกบั พุทธิปัญญา ประเภท ของการเรียนรู้โดยการรับอย่างมีความหมาย ๑. Subordinate learning ๑.๑ Deriveration Subsumption เป็นการเชอ่ื มโยงสง่ิ ท่ีจะต้องเรียนรใู้ หม่กับหลกั การหรือ กฎเกณฑท์ เี่ คยเรยี นมาแลว้ โดยการได้รบั ขอ้ มลู มาเพิม่ เช่น มีคนบอก ๑.๒ Correlative Subsumption เป็นการเรยี นรทู้ มี่ ีความหมายเกิดจากการขยายความ หรือปรับโครงสรา้ งทางสติปัญญาทมี่ ีมาก่อนใหส้ มั พันธก์ บั สิ่งท่จี ะเรยี นรู้ใหม่ ๒. Superordinate learning เป็นการเรียนรู้โดยการอนมุ าน โดยการจดั กลมุ่ ส่งิ ทเ่ี รียนใหม่เขา้ กบั ความคิดรวบยอดทกี่ ว้างและครอบคลุมความคดิ ยอดของสงิ่ ทเ่ี รียนใหม่ ๓. Combinatorial learning เป็นการเรยี นรู้หลักการ กฎเกณฑ์ตา่ งๆเชงิ ผสม ในวชิ าคณิตศาสตร์ หรอื วิทยาศาสตร์ โดยการใชเ้ หตุผล หรอื การสงั เกตซง่ึ จะช่วยทำใหผ้ สู้ อนสามารถจัดกระบวนการเรยี นร้แู ละ สภาพการณต์ ่างๆ สำหรบั ผเู้ รียน เพ่ือใหผ้ ูเ้ รียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อันเป็นพฤติกรรมท่ตี ้องการให้ เกดิ ในตัวผเู้ รียนได้อยา่ งถาวร ๓.๔ ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นรู้ การพฒั นากระบวนการคิดดว้ ยการใชค้ ำถาม หมวกความคิด ๖ ใบ การจัดการเรยี นรดู้ ้วยการใช้ คำถามหมวกความคิด ๖ ใบ มีขน้ั ตอน ดังน้ี ๑. การเตรียมการจัดการเรียนรู้ ๑.๑ ศึกษาหลกั สูตร จัดทำตารางการวเิ คราะห์หลกั สูตร เพ่อื ตรวจสอบความสอดคล้อง สมั พันธ์กับหลกั การ จดุ หมาย มาตรฐานการเรียนรู้ และคำอธิบายรายวิชา เพ่ือจัดทำหนว่ ยการเรียนรู้ และ ออกแบบการจัดการเรียนรู้ ๓๑ Ausubel, David P. “Emotional Development.” Encyclopedia of Educational Research. 3rd ed. Edited by Chester W.Harris (1960) : 445 – 494.

หลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๓๗ ๑.๒ กำหนดเทคนคิ วิธีสอนและกจิ กรรมการสอนท่ีสอดคลอ้ งกับข้อ ๑.๑ โดยเลอื กใชเ้ ทคนคิ วธิ ีสอนท่ีหลากหลาย ๑.๓ สำรวจองคป์ ระกอบท่ใี ชใ้ นการจดั การเรียนรู้ ๑.๓.๑ จดั เตรียมส่อื และแหลง่ การเรยี นรู้ ๑.๓.๒ จัดเตรียมเคร่ืองมือวดั ผลประเมนิ ผลทห่ี ลากหลายครอบคลมุ ท้งั ด้านพุทธิ พิสยั ทักษะพิสัย จติ พสิ ัยและเนน้ การประเมนิ ตามสภาพจริง ๒. แนวทางการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ๒.๑ ข้นั นำเข้าสบู่ ทเรยี น เปน็ การจัดกิจกรรมทเี่ นน้ กระตุน้ ให้ผู้เรยี นเกดิ ความสนใจ มีความพร้อมทจี่ ะเรยี นรู้ โดยใช้ วธิ ีการและสือ่ ท่ีหลากหลายประกอบการใช้คำถาม กระตนุ้ ซักถาม ทบทวนหรอื แสดงความคดิ เห็นให้ผู้เรียนนำ ประสบการณเ์ ดิมมาเชอ่ื มโยงกบั ประสบการณ์ใหม่ ๒.๒ ขนั้ ดำเนนิ การสอน ลักษณะกิจกรรมมุ่งให้ผู้เรียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้มากที่สุด ให้ ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ร่วมแสดงออกด้วยการต้ังคำถาม ตอบคำถาม โดยออกแบบ กรอบของ ความคิด ด้วยการใช้คำถามตามสีของหมวก (หมวกแต่ละสีใช้แทนวิธีคิดแต่ละแบบ ) ซึ่งจะใช้หมวกสีใด ก่อนหลังก็ได้ และผู้เรยี นสามารถใช้คำถามของหมวกแต่ละสีได้ไม่จำกัดจำนวนคร้ัง จนกระทั่งได้คำตอบหรือ องค์ความรู้ในเร่ืองท่ีเรียนอย่างชัดเจน ในข้ันตอนนี้จึงจำเป็นต้องมีการร่วมกันวิเคราะห์ เพ่ือให้ได้ความจริง ขอ้ เทจ็ จริง หรือคำตอบท่ีตอ้ งการ ลักษณะ คำถามทนี่ ำมาใช้ในขั้นตอนน้ี หมวกสีขาว ใช้คำถามท่กี ระตุ้นให้เสนอข้อมูลท่ีเป็น ข้อเทจ็ จริง จากการอา่ น การสงั เกต หรอื เหตุการณ์ เปน็ ต้น หมวกสีแดง ใช้คำถามกระตุ้นเพ่ืออธิบายความรู้สึกต่อข้อมลู เร่ืองราว หรือเหตกุ ารณ์ เปน็ ต้น หมวกสีเหลอื ง ใชค้ ำถามใหค้ น้ หาข้อดี หรอื จุดเด่นของขอ้ มูล เรื่องราว หรือเหตุการณ์ เปน็ ตน้ หมวกสีดำ ใชค้ ำถามใหร้ ะบุสาเหตุของปัญหาความไม่สมบูรณ์ ความล้มเหลว เปน็ ตน้ หมวกสีเขียว ใช้คำถามเสนอวธิ แี ก้ไข การเปลย่ี นไปสสู่ ิง่ ที่ดีกวา่ ทางเลือกใหม่ เป็นต้น หมวกสีฟ้า ใช้คำถามเพื่อตัดสินใจ หรอื สรุปขอ้ มูล เช่น ขอ้ คิด ความรู้ที่ได้รบั ทางเลือกท่ีจะ นำไปปฏบิ ัติ เปน็ ต้น ๒.๓ ขั้นสรปุ เปน็ การสรุปผลการเรยี นร้ตู ามวัตถปุ ระสงค์ท่ีตงั้ ไว้ ผสู้ อนเดโอกาสให้ผเู้ รยี นมีส่วนรว่ ม โดย รว่ มกันสรุปความรู้ ภาพรวมของเรื่องทเ่ี รียนหรือสรปุ สาระสำคญั ของบทเรยี น โดยนำความร้ทู ไี่ ดม้ าท้ังหมดมา นำเสนอแลกเปลยี่ นเรยี นรรู้ ่วมกนั สรุปข้อคน้ พบ หรือสงั เคราะหเ์ ป็นองคค์ วามรู้ใหม่ ๒.๔ ขน้ั ประเมินประเมินผล ควรใชว้ ิธกี ารที่หลากหลาย ประเมนิ สิ่งทีผ่ ้เู รียนได้เรียนรูจ้ ากการจดั กิจกรรม ซงึ่ ได้จากการ สรุป การทดสอบ การบันทกึ การตรวจผลงาน การประเมินผล อาจเปดิ โอกาส ให้ ผ้เู รยี น เพื่อน ผูป้ กครอง หรือชุมชนร่วมประเมินผลได้

หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๓๘ ๓.๒ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ การจัดการเรียนร้สู ปู่ ระชาคมอาเซยี น ผบู้ ริหารสถานศึกษา เปน็ บคุ คลสำคัญในการสง่ เสรมิ สนบั สนนุ และชว่ ยเหลือครู โดยเนน้ ใหค้ รูเร่ิมจากการวิเคราะห์หลกั สูตรสถานศกึ ษา จัดทาหน่วยการเรยี นร้แู ละ เขยี นแผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ีพฒั นาผ้เู รยี นให้มีความตระหนัก ความรู้ ความเข้าใจ และเจตคติท่ีดี พรอ้ มที่จะ ปรบั เปล่ียน และเตรียมตวั รบั ความเปลีย่ นแปลงเกีย่ วกบั อาเซียนที่จะต้องเผชิญในอนาคตแนวทางการจดั การ เรยี นรู้สปู่ ระชาคมอาเซียน มีขั้นตอนดาเนินการดงั นี้ ขน้ั ที่ ๑ วเิ คราะห์หลกั สตู รแกนกลางเพ่ือจดั ทาสตู รสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนร้ตู า่ ง ๆ ในสว่ นที่เก่ยี วข้องกบั เรื่องอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรมจะมี เน้อื หาที่เกยี่ วข้องกบั อาเซียนโดยตรง ตวั อยา่ งการวเิ คราะห์ ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้ สาระท่เี ก่ยี วขอ้ งกับ มาตรฐานการเรยี นรู้/ อาเซยี น ตวั ชวี้ ัด ช้ัน ๑. อธิบายประวัติศาสดาของ ประวตั ิศาสดา ประวัตศิ าสดาของ ประถมศึกษาปที ี่ ๔ ศาสนาอน่ื ๆ โดยสังเขป -พระพทุ ธเจ้า ศาสนาในกลุ่ม มาตรฐาน ส ๑.๑ -นบมี ฮุ มั มัด ประชาคมอาเซียน ส ๑.๒ -พระเยซู ส ๒.๑ ๒. มมี ารยาทของความเป็นศา มารยาทท่ดี ีของศาสนิก การยอมรบั ความ สนกิ ชนทีด่ ีตามที่กำหนด ชน แตกต่าง -การปฏบิ ตั ิตนที่ -การปฏิบัติตนต่อ เหมาะสมต่อพระภิกษุ ศาสดาของศาสนา ที่ -การยืน การเดิน และ ตนเองนับถือในกลุ่ม การนั่งที่เหมาะสม ประชาคมอาเซียน ในโอกาสต่าง ๆ ๑. ปฏบิ ัติตนเปน็ พลเมอื งดตี าม - การเขา้ ร่วมกิจกรรม -ความสำคญั ของ วิถีประชาธิปไตย ในฐานะ ประชาธปิ ไตย สง่ิ แวดลอ้ มในกลุ่ม สมาชิกท่ดี ขี องชมุ ชน ของชมุ ชน เชน่ การ ประชาคม ๒. วิเคราะหส์ ิทธพิ ื้นฐาน ทเ่ี ด็ก รณรงค์ -การยอมรับความเทา่ ทกุ คนพึงได้รบั ตามกฎหมาย การเลอื กต้งั เทียมกันของความเปน็ ๔. อธิบายความแตกตา่ งทาง - แนวทางการปฏบิ ัติ มนุษย์บนความ วฒั นธรรมของกลมุ่ คนใน ตนเปน็ สมาชิก แตกต่างอาเซยี น ท้องถนิ่ ท่ีดีของชุมชน เช่น การ -วัฒนธรรมท่ีแตกตา่ ง ๕. เสนอวธิ ีการที่จะอยูร่ ว่ มกัน อนุรกั ษ์ อย่างหลากหลายของ อย่างสันติสุขในชีวิตประจาวัน ส่งิ แวดลอ้ ม สาธารณ ประเทศในกลุ่ม สมบัติ ประชาคมอาเซียน โบราณวัตถแุ ละ -การอยรู่ ว่ มกันใน โบราณสถาน ประชาคมอาเซียน การพฒั นาชุมชน

หลกั สตู รและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๓๙ -สิทธิพนื้ ฐานของเดก็ เชน่ สทิ ธิที่จะไดร้ ับการ ปกปอ้ ง สิทธทิ ่จี ะได้รับ การพฒั นา สิทธิท่จี ะมี สว่ นรว่ ม -วฒั นธรรมในภาคตา่ ง ๆ ของไทยที่แตกต่าง กนั เชน่ การแตง่ กาย ภาษา อาหาร -ปัญหา สาเหตุของการ เกิด ความขัดแย้งในชีวติ ประจาวนั -แนวทางการแก้ปญั หา ความขัดแย้ง ด้วยสันตวิ ิธี ส ๒.๒ ๑. อธบิ ายอำนาจอธปิ ไตยและ - อำนาจอธปิ ไตย -ระบอบการปกครอง ความสำคัญ - ความสำคัญของการ ของประเทศในกลุ่ม ของระบอบประชาธิปไตย ปกครองตามระบอบ ประชาคมอาเซยี น ประชาธปิ ไตย ส ๓.๑ ๑. ระบุปัจจัยท่มี ีผลตอ่ การ -สินค้าและบริการทม่ี ี -สินค้านาเขา้ จาก เลอื กซื้อสินคา้ และบริการ อย่หู ลากหลายในตลาด ประเทศในกลมุ่ ที่มคี วามแตกต่างดา้ น ประชาคมอาเซียน ราคาและคณุ ภาพ ส ๓.๒ ๑. อธิบายความสัมพนั ธ์ทาง -อาชีพสินคา้ และ - อาชพี สินค้าและ เศรษฐกจิ ของคนในชุมชน บริการตา่ ง ๆ บรกิ ารตา่ ง ๆ ทีผ่ ลิตในกลุ่มประชาคม ทผี่ ลติ ในอาเซียน อาเซียน -การพงึ่ พาอาศัยกันใน -การพ่ึงพาอาศยั กันใน ชุมชน ชมุ ชน ทางด้านเศรษฐกจิ ของ ประเทศในกลุ่ม ทางดา้ นเศรษฐกิจของ ประชาคม ประเทศ อาเซียน ในกลุ่มประชาคม อาเซียน ส ๔.๓ ๒. บอกประวัตแิ ละผลงานของ -ประวัตแิ ละผลงานของ -ประวตั บิ คุ คลสำคัญ บคุ คลสำคญั สมัยสโุ ขทยั บคุ คลสำคญั สมยั ของ สโุ ขทยั ประเทศในกลุม่ ประชาคม อาเซียน

หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๔๐ ข้นั ท่ี ๒ จดั ทาหน่วยการเรียนรบู้ ูรณาการประชาคมอาเซียน โดยทาตารางระบชุ อ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้วี ัด สาระสำคญั เวลา และนา้ หนกั คะแนน ตัวอยา่ งโครงสรา้ งรายวิชา สาระการเรียนรู้ประชาคม มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนกั คะแนน อาเซยี น ชน้ั ประถมศึกษาปี ตวั ชี้วดั ท่ี ๔ ชื่อหน่วย อาเซยี นกับวฒั นธรรมอัน ส ๑.๑ ป. ๔/๘ อธิบาย การเรียนรปู้ ระวตั ิ ๓ ๔๐ รุ่งเรือง ประวตั ิศาสดาของ ศาสดาของศาสนา ศาสนาอ่ืน ๆโดยสังเขป อื่น ๆการมีมารยาท ส ๑.๒ ป. ๔/๒ มี ของความเปน็ มารยาทของความ ศาสนิกชนทด่ี ี การ เป็นศาสนิกชนทด่ี ีตามที่ เรียนรู้ ความ กำหนด แตกตา่ ง ของ ส ๒.๑ ป. ๔/๔ อธิบาย วัฒนธรรม ประวตั ิ ความแตกต่างทาง และผลงานของ วัฒนธรรมของกล่มุ คน บคุ คลสำคญั ในทอ้ งถ่นิ ตลอดจน ส ๔.๓ ป. ๔/๒ บอก การมสี ่วนรว่ มใน ประวัตแิ ละผลงาน ของ การอนรุ ักษ์ บคุ คลสำคัญสมัยสโุ ขทยั สง่ิ แวดลอ้ มเป็นส่งิ ส ๕.๒ ป. ๔/๓ มีสว่ น จาเปน็ ในการอยู่ รว่ มในการอนรุ ักษ์ รว่ มกันคือ ความ สิ่งแวดล้อมในจงั หวดั สงบสขุ การเมืองมัน่ คง ส ๒.๑ ป. ๔/๑ การ การเรียนรูเ้ ร่อื ง ๓ ๔๐ ปฏิบตั ติ นเปน็ พลเมืองดี อานำจอธิปไตย ตามวถิ ีประชาธปิ ไตย ใน การปฏิบัตติ นเป็น ฐานะสมาชิกที่ดีของ พลเมอื งดตี ามวิถี ชมุ ชน ประชาธปิ ไตย รจู้ กั ส ๒.๑ ป. ๔/๒ ปฏิบตั ิ การเป็นผูน้ า ผู้ ตนเป็นผ้นู า ตามทีด่ ี ให้ และผูต้ ามที่ดี ความสำคัญของ ส ๒.๑ ป. ๔/๓ สทิ ธเิ ดก็ ทาให้นา วิเคราะห์สิทธพิ นื้ ฐานที่ ไปใชป้ ฏบิ ตั ติ นเพ่ือ เด็ก ทกุ คนพงึ ได้รบั ตาม การอย่รู ว่ มกันใน กฎหมาย สงั คมได้อย่างมี ส ๒.๒ ป. ๔/๒ อธบิ าย ความสขุ อำนาจอธปิ ไตย และ ความสำคญั ของระบอบ ประชาธิปไตย

หลกั สตู รและสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ๔๑ เศรษฐกจิ มัง่ คั่ง ส ๓.๑ ป. ๔/๑ ระบุ การระบปุ ัจจยั ที่มี ๒ ๒๐ ปัจจัยทีม่ ผี ลต่อการ ผลต่อการเลอื กซื้อ เลอื กซ้ือสินค้าและ สนิ คา้ และบรกิ าร บริการ การเรยี นรถู้ ึง ส ๓.๒ ป. ๔/๑ อธิบาย ความสมั พันธ์ของ ความสมั พันธ์ทาง ระบบเศรษฐกิจใน เศรษฐกจิ ของคนใน ชมุ ชน และเสนอ ชุมชน วธิ กี ารอยรู่ ว่ มกัน ส ๒.๑ ป. ๔/๕ เสนอ อยา่ งสันตสิ ขุ เปน็ วธิ กี ารทจ่ี ะอยูร่ ่วมกนั ความรว่ มมอื ทาง อย่างสนั ติสุขในชีวิตประ เศรษฐกจิ ซ่ึงกัน จาวัน และกัน ข้นั ที่ ๓ จดั ทาแผนผงั ความคิดหน่วยการเรียนรู้ ขั้นตอนน้ีเป็นการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ บูรณาการกับสาระการเรียนรู้และตัวช้ีวัดเพ่ือให้ เห็นความสัมพันธ์ร่วมกัน ซึ่งการวางแผนการจัดกิจกรรมนี้ จะกำหนดหัวข้อเร่ืองไว้ตรงกลาง แยกเป็นหน่วย ย่อย เพ่อื แสดงความสมั พันธข์ องการจัดทาหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ ตัวอยา่ งผงั ความคิดหนว่ ยการเรียนรู้

หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๔๒ ขัน้ ท่ี ๔ ออกแบบการจดั การเรยี นรู้ แบบย้อนกลบั (Backword Design) โดยทาตาราง ๔ ชอ่ ง ชอ่ งแรกเป็นเปา้ หมาย ได้แก่ การกำหนด สาระสำคัญ จากมาตรฐาน/ตัวชว้ี ดั ชอ่ งที่ ๒ การวดั และ ประเมนิ ผล กำหนดชิ้นงาน/ภาระงานของผูเ้ รียน ตามสาระสำคัญ ชอ่ งที่ ๓ กำหนดกิจกรรมการเรยี นรู้ ทีเ่ น้น ผ้เู รยี นเป็นสำคญั และช่องที่ ๔ คาถามสำคัญ เป็นคาถามท้าทาย จากการนาความรทู้ ่ีเรียนไปประยุกต์ใช้ ตัวอย่าง การออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้อาเซยี นกบั ชิน้ งาน/ภาระงาน วฒั นธรรมอนั รุ่งเรืองสาระสำคญั -การนาเสนอหน้าชน้ั เรียน -หนงั สือเลม่ เล็ก ประเทศในกลมุ่ อาเซยี นมที ้ังความเหมือน ความแตกต่างด้าน -แผนผงั ความคดิ ศาสนา วัฒนธรรม และการปฏบิ ัติ ซง่ึ ช่วยให้เกดิ การเรยี นรู้ และอยู่รว่ มกันอย่างสันตสิ ขุ กิจกรรมการเรยี นรู้ คาถามสำคัญ ๑. ร้องเพลง และร่วมสนทนาเก่ียวกับสาระของเนือ้ เพลง นกั เรยี นคิดวา่ ถ้าจะทาให้ศาสนาอยใู่ นจิตใจ ๒. แบง่ กลุม่ ศึกษา ค้นควา้ เกีย่ วกับศาสนา ศาสดา มารยาทศา และยึดถือปฏบิ ตั ิของทุกคนควรทาอย่างไร สนกิ ชน วฒั นธรรม บุคคลสำคัญและ การอนุรักษส์ งิ่ แวดล้อม ของประเทศในอาเซียน ๓. แต่ละกลุ่มจัดทาหนงั สือเล่มเลก็ ๔. นาเสนอ อภิปราย และรายงานผลการศึกษาค้นคว้า ๕. สรปุ ผลและเขียนเป็นแผนผงั ความคิด ขัน้ ท่ี ๕ เขียนแผนการจดั การเรียนรู้ เป็นการนาสงิ่ ที่ออกแบบการเรยี นร้ไู วม้ าเขียนแผนการ จัดการเรียนรู้ ตวั อยา่ งแผนการจดั การเรียนรู้ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๔ หน่วยที่ ๑ อาเซียนกบั วัฒนธรรมอันรงุ่ เรอื งเวลา ๓ ชัว่ โมง หนว่ ยยอ่ ยที่ ๑ วัฒนธรรมหลากหลายเวลา ๑ ชวั่ โมง .................................................................................................................................... ...................... ๑.สาระสำคญั ประเทศในกลมุ่ อาเซียนมที ัง้ ความเหมอื นและความแตกตา่ งในด้านศาสนา วฒั นธรรม และ การประพฤตปิ ฏิบตั ิ ซง่ึ ช่วยให้เกดิ การเรียนรู้รว่ มกันอย่างสันติสุข ๒.มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวชว้ี ัด มาตรฐาน ส ๑.๑ รูแ้ ละเขา้ ใจประวัติ ความสำคญั ศาสดา หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรือ ศาสนาที่ตนนบั ถือและศาสนาอน่ื มศี รัทธาที่ถูกต้อง ยดึ มน่ั และปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมเพอื่ อยู่รว่ มกนั อย่างสันติสุข ตัวชี้วัดที่ ๘ อธบิ ายประวัตศิ าสดาของศาสนาอน่ื ๆ โดยสังเขป ๓.จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๑. บอกชอ่ื ศาสดาของศาสนาตา่ ง ๆ ในกลุ่มอาเซยี น ๒. ปฏบิ ัติตนได้ถูกต้องกบั สถานที่ บุคคลในการนบั ถือศาสนาอ่นื ๆ ๓. ทำงานและอยู่ร่วมกับผอู้ ื่นได้ ๔.สาระการเรียนรู้ ๑. ศาสดาของศาสนาในประเทศในประชาคมอาเซยี น ๒. การปฏบิ ตั ิตนในการนบั ถือศาสนาอ่ืน ๆ ๕.กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นที่ ๑ นาเขา้ สู่บทเรียน

หลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา ๔๓ ๑. นกั เรยี นรอ้ งเพลง “ศาสนาพาดี” โดยครูร้องเพลงนำก่อน ๑ ครั้ง และใหร้ อ้ งตามพรอ้ ม ปรบมือให้จงั หวะ ๒. ร่วมแสดงความคดิ เห็นวา่ เพลงนีม้ สี าระอะไรบา้ ง ข้นั ที่ ๒ กจิ กรรมการเรียนรู้ ๑. แบง่ กลมุ่ นกั เรียน รับใบความร้เู รอ่ื ง “ศาสนาของประเทศในกลุ่มอาเซยี น” และใบงานที่ ๑ ๒. ศกึ ษาใบความรเู้ ร่อื ง “ศาสนาต่าง ๆ ของประเทศในกล่มุ ประชาคมอาเซียน” แล้วตอบ คำถาม ๓. แตล่ ะกลมุ่ นำเสนอผลงาน ๔. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันสรุปเน้ือหา การปฏิบัติของแต่ละกลุ่มและการนำไปใชอ้ ยา่ งถูกต้อง ๕. นกั เรยี นสรุปความรเู้ ป็นแผนผงั ความคดิ ขน้ั ที่ ๓ สรุป ครูต้ังประเด็นคำถามเช่ือมโยงส่ชู ีวิตจริง ดงั นี้ ๑. ศาสนาของแตล่ ะประเทศเหมอื นและแตกต่างกนั อยา่ งไร ๒. นักเรยี นคิดว่าการปฏบิ ตั ิตนตามศาสนาท่ีตนนบั ถือเกิดประโยชนต์ ่อตนเอง ครอบครัวและ สังคมอย่างไร ๖.สอ่ื / แหลง่ เรยี นรู้ ๑. เพลง “ศาสนาพาดี” ๒. ใบความรูเ้ ร่อื ง “ศาสนาตา่ ง ๆ ของประเทศในกลุ่มประชาคมอาเซยี น” ๓. หอ้ งสมุด ๔. มุมอาเซียน ๗.การวัดและการประเมินผล ๑. การสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรว่ มกัน ๒. ตรวจผลงานแผนผังความคดิ ๓.๕ การจดั การเรียนรู้ส่ปู ระชาคมอาเซยี น การจดั การเรยี นรสู้ ู่ประชาคมอาเซียนสามารถจัดทำได้หลากหลายรูปแบบตามความพรอ้ ม ของสถานศึกษา ดังนี้ ๑. การจดั การเรียนรใู้ นกลุ่มสาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในเน้อื หาท่ี เกยี่ วกับเรอ่ื งอาเซียนโดยตรง ๒. การจัดการเรียนรบู้ รู ณาการกับกลมุ่ สาระการเรยี นรู้อ่ืน ๆ โดยใช้กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เปน็ แกน ๓. การจดั ทำรายวิชาเพิม่ เตมิ โดยการกำหนดผลการเรียนรู้ แล้วนำมาเขียนคำอธบิ ายรายวิชา และนำไปจดั ทำหน่วยการเรยี นรู้ ออกแบบการเรยี นรู้ และเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เพ่ือนำไปใช้จัดการเรยี น รู้ต่อไป ๔. การจดั กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี นเปน็ กิจกรรมทม่ี ุ่งเนน้ การเตมิ เต็มความรู้ ความชำนาญ และ ประสบการณ์ของผู้เรยี นเกีย่ วกับเรื่องอาเซยี น เช่น กิจกรรมชมุ นมุ ชมรมอาเซยี น ลกู เสือ– ยุวกาชาด อาเซยี น เปน็ ต้น

หลักสูตรและสาระการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ๔๔ ๕. การจดั กิจกรรมเสริม เพ่อื เสริมความรู้ ความเข้าใจ ความตระหนักเกี่ยวกบั เร่ือง อาเซียน เชน่ จดั ค่ายประชาคมอาเซยี น จัดงานสปั ดาหอ์ าเซียนกจิ กรรมภาษาอาเซยี นนา่ รู้ ชุมชนคนรัก อาเซียน ASEAN Song เปิดโลกอาเซยี น เปน็ ต้น ๓.๕.๑ สือ่ การเรยี นรู้ ๑.ความสำคญั ของส่ือการเรียนรู้ สอื่ เป็นเคร่ืองมือของการเรยี นรู้ การพฒั นาส่ือทท่ี ำ ใหผ้ เู้ รียนสามารถเรยี นรดู้ ้วยตนเองเป็น สิ่งสำคัญ เนื่องจากในยุคปัจจุบันข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ การใช้เทคโนโลยแี ละการส่ือสารได้ทำ ให้ผู้คนจำ เป็น ต้องพัฒนาตนเองให้สามารถรับรู้เร่ืองราวใหม่ ๆ ด้วยตนเอง และพัฒนาศักยภาพทางการคิดซึ่งได้แก่ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดอย่างมีเหตุผล การคิดให้หลากหลาย ดังน้ันส่ือท่ีดีจึงควร เป็นสงิ่ ทชี่ ว่ ยกระตุ้นใหผ้ ้เู รยี นรจู้ ักการแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเองอกี ดว้ ย ๒.ลักษณะของส่ือการเรยี นรู้ สงิ่ ท่อี ยรู่ อบตัวถือเป็นสื่อการเรยี นรู้ไดท้ ้งั สิน้ ไมว่ ่าส่ิงนั้นจะเป็นคน สตั ว์ พืช สง่ิ ของ สถานท่ี เหตุการณ์ หรอื กิจกรรม ส่ือการเรยี นรใู้ นกลุ่มวชิ าคณติ ศาสตรอ์ าจจำแนกเปน็ ประเภทต่าง ๆ ตามลกั ษณะของ ส่อื ดังนี้ ๓.วสั ดุ ๑) วัสดสุ ิ่งพมิ พ์ ไดแก่ หนังสือเรยี น ค่มู ือครู วารสาร หนังสืออ่านเพิม่ เตมิ หนงั สอื อา่ นประกอบ ใบโฆษณา หนงั สอื พิมพ์ ปฏทิ นิ และเอกสารประกอบการเรยี น (ใบกิจกรรม ใบงาน บทเรียน การ์ตนู บทเรยี นสำเร็จรูป บทเรียนโปรแกรม) ฯลฯ ๒) วัสดปุ ระดษิ ฐ์ ไดแ้ ก่ ชดุ การเรียน คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน กระเป๋าผนัง แผนภูมิ บตั รคำ บทเรยี นวดี ิทศั น์ บัตรตวั เลข กระดานตะปู แผน่ โปร่งใส นาฬกิ าจำ ลอง ตรายาง บัตรรูปสตั ว์ แบบจำลอง (ทรงกระบอก ทรงกลม กรวย ปรซิ มึ พรี ะมิด) ฯลฯ ๓) วสั ดุถาวร ไดแ้ ก่ วงเวยี น ไมโ้ พรแทรกเตอร์ ไม้ฉาก เครื่องช่ัง เคร่ืองตวง เครื่องวดั ลูกคิด กระดมุ แม่เหล็ก กระดานแม่เหล็ก ปา้ ยนิเทศ กระดานดำ ฯลฯ ๔) วัสดุส้นิ เปลือง ไดแ้ ก่ ชอล์ก กระดาษสี ปากกาเมจิก ดนิ สอสี ฯลฯ ๔.อุปกรณ์ ไดแ้ ก่ เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ เคร่ืองคดิ เลข เคร่อื งคิดเลข กราฟิก คอมพิวเตอร์ แถบบนั ทึกเสียง สไลด์ ฯลฯ ๕.กิจกรรม ไดแ้ ก่ การแสดง การทดลอง การสาธิต นิทรรศการ โครงงาน นันทนาการ (เพลง เกม คำ ประพนั ธ์ ของเล่นตา่ ง ๆ ทางคณิตศาสตร์ ) ฯลฯ ๖.สิ่งแวดล้อม เปน็ ส่ือที่อยลู่ อ้ มรอบตัวเรา ๑) สอื่ ธรรมชาติ ไดแ้ ก่ เปลือกหอย ใบไม้ ผลไม้ ก่ิงไม้ ก้อนหิน ดวงจนั ทร์ ดวง อาทติ ย์ ทุ่งนา ปา่ ไม้ ทะเล ภูเขา แมน่ ำ้ ฯลฯ ๒) สอ่ื สถานท่ี ได้แก่ ห้องเรยี น ห้องสมุด ระเบียง หน้าจว่ั บา้ น สนาม ทอี่ า่ น หนงั สือพมิ พป์ ระจำ หมู่บ้าน ศูนย์ขอ้ มลู ของทางราชการ รั้ว ฯลฯ ๓) สื่อบุคคล ไดแ้ ก่ ผู้สอน ผู้เรียน บคุ คลอนื่ ๆ ๓.๕.๒ การเลอื กใชส้ ่อื การเรยี นรู้ ส่ือการเรยี นรู้แต่ละประเภทมีลักษณะแตกต่างกนั ไป ส่ือการเรียนรปู้ ระเภทหนึง่ ๆ อาจจะ เหมาะกบั เน้อื หาสาระเฉพาะเรือ่ ง หรอื อาจใชใ้ นการเรยี นการสอนทว่ั ไป สอื่ บางอยา่ งอาจจดั ทำ ขน้ึ ใชเ้ ฉพาะ ตามความต้องการของผู้สอนในทอ้ งถนิ่ ดงั น้ันผูส้ อนจะตอ้ งร้จู ักเลือกใชส้ ่ือการเรยี นรู้ใหเ้ หมาะสมกบั เน้ือหา สาระและการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ อีกท้ังเปน็ ประโยชนส์ งู สุดตอ่ ผูเ้ รียน โดยมีแนวการดำ เนนิ การเลือกใช้ส่ือ ดงั น้ี

หลักสูตรและสาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๔๕ • วิเคราะห์หลกั สตู ร โดยวเิ คราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นรชู้ ่วงชนั้ ผลการเรยี นรทู้ ่ี คาดหวงั รายปี/รายภาค และสาระการเรียนรู้ เพื่อกำหนดสื่อการเรียนให้เหมาะสมและมีประสิทธภิ าพ • สำรวจ รวบรวมสอ่ื การเรียนรู้จากแหลง่ การเรียนรู้ต่าง ๆ เพอ่ื ให้มีส่อื ท่ีหลากหลายและเพียงพอ • วิเคราะห์สือ่ การเรยี นรู้ ผู้สอนควรพิจารณาส่ือการเรยี นรูท้ ี่ได้รวบรวมมาจากแหลง่ ตา่ ง ๆ วา่ สามารถ นำ มาใช้ในการเรยี นรู้ไดห้ รอื ไม่ โดยพจิ ารณาในประเด็นต่าง ๆ ต่อไปน้ี - การเรียนรตู้ ามสาระการเรยี นรูแ้ ละมาตรฐานการเรียนรู้ - การพัฒนาเจตคตแิ ละคา่ นยิ ม - การนำ ไปใชใ้ นชีวติ ประจำ วนั - ความถูกต้องเหมาะสมตามหลักวิชา เวลาเรียน และวุฒิภาวะของผเู้ รียน - ความเหมาะสมในการเสนอเน้ือหา มีการเรียงลำ ดบั ตามขั้นตอน การเรียนรู้ชัดเจน เช่น มีตัวอยา่ ง ภาพประกอบ ตาราง แผนภมู ิ - การใชภ้ าษาถูกต้องตามหลักภาษา ส่ือความหมายชดั เจน - กิจกรรมส่งเสริมการฝึกปฏิบัติหรือการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น คำถามหรือ สถานการณ์สมมติที่ทำ ให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์วิจารณ์ หรือบูรณาการความรู้ต่างๆ มาใช้แก้ปัญหา วิธีการ เลือกใช้สื่อการเรียนรู้ ไม่มีสูตรสำเร็จและไม่มีเงื่อนไขว่าผู้สอนจะต้องมีความรู้ในการผลิตสื่อด้วยตนเอง แต่ ผสู้ อนควรมีความสามารถในการเลอื กใชส้ ่อื จดั เตรยี มส่ือ และรู้จกั นำมาใช้เพือ่ เพ่มิ พนู ประสิทธผิ ลของการเรยี น การสอนโดยตระหนักว่าสื่อการเรียนรู้ท่ีนำ มาใช้อำนวยประโยชน์ต่อผู้เรียนได้มากท่ีสดุ และอยู่ในวิสัยท่ีผู้สอน จะสามารถนำ มาใช้ไดด้ ีทีส่ ดุ ๓.๕.๓ การพัฒนาสือ่ การเรียนรู้ สื่อการเรียนรเู้ ป็นปจั จยั สำคัญอยา่ งหนึ่งที่จะช่วยใหส้ ถานศึกษาจัดการเรยี นรู้ ให้บรรลตุ ามจดุ มุ่ง หมายของหลกั สูตร ผู้สอนมีบทบาทสำคัญในการสร้าง/เลือกสื่อการเรียนรูใ้ ห้สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้และ กิจกรรมการเรียนรู้ในการดำเนินการสอน ผู้สอนจะต้องจัดทำแผนการสอนซ่ึงจะต้องใช้ส่ือประกอบการจัด กิจกรรมโดยเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อหา วุฒิภาวะ และความสนใจของผู้เรียน หลังจากที่นำ ไปใช้แล้วต้อง ประเมินประสิทธิภาพของส่ือและมีการพฒั นาปรับปรุงใหด้ ีขนึ้ เพื่อใช้ในการสอนครงั้ ตอ่ ไป สรุปทา้ ยบท “สกิ ฺขา วิรุฬหิ สมฺปตฺตา” พุทธภาษิตบทนี้แปลความได้ว่า การศึกษาเล่าเรียนเป็นความเจริญงอกงาม หรอื การศึกษาเล่าเรียนช่วยเสริมสร้างความเจริญในทุกด้านของมนุษย์ การจัดการเรยี นการสอน ถึงจะดียังไง ก็ตามที การเรียนให้ดีท่ีสุดหรือให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดนั้นเป็นเรื่องท่ีมีการอภิปรายกันอย่าง กว้างขวาง บางคนเห็นว่าการทจี่ ะเรียนได้ดีนั้น ผู้เรียนต้องมสี ติปัญญาดี แตบ่ างคนกแ็ ย้งว่า การเรียนได้ดหี รือเรียนได้อย่าง มปี ระสิทธิภาพนั้น ต้องมีวิธีการและกลวิธีในการเรยี นเป็นสำคัญ สติปัญญาน้ันสำคัญก็จริงแตเ่ ป็นเรอ่ื งรองลงมา ต่อให้มีสตปิ ญั ญาดเี ลิศอยา่ งไรแตถ่ า้ ขาดวธิ กี ารเรยี นท่ีถูกต้องประสทิ ธภิ าพก็ย่อมเกิดไม่ได้ ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้รู้มากมายพยายามเสนอแนะด้วยความหวังดีเพื่อให้นักเรียนเรียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ตวั อยา่ ง เช่น การใชห้ ลกั สุ. จ.ิ ปุ. ลิ.