Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้

Description: ทฤษฏี รูปแบบ และกระบวนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย สถิติเบื้องต้นเพื่อการวิจัย การนำเสนอผลการวิจัย จรรยาบรรณนักวิจัย

Keywords: การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

การวจิ ัยเพ่ือพฒั นาการเรยี นรู้ ๔๔ ๓. การกำหนดตัวแปร ว่าอะไรเป็นตัวแปรอิสระ อะไรเป็นตัวแปรตามและตัวแปรมี ความสัมพนั ธก์ นั หรือไม่อยา่ งไร ๔. การกำหนดแผนการวิจัย และวิธีการดำเนินการวจิ ัยนนั้ จะต้องอาศยั หลกั เกณฑ์ ทางสถิติ คณิตศาสตร์ หรือทฤษฏีแนวความคิดใด มีความคลาดเคลื่อนเกิดข้ึนบ้างหรือไม่ เช่น ความคลาด เคลือ่ นที่เกิดจากการวัด ความคลาดเคล่อื นของการรวบรวม หรอื ความคลาดเคลื่อน จากการวิเคราะห์ เป็นต้น ๕. การสรปุ ผลการวิจัยเน้นถึงจุดสำคญั ครบถว้ นหรือไม่ การแปลความหมายหรือ การตีความ ขอ้ มลู นนั้ สมบรู ณห์ รอื ไม่ ๖. การเสนอแนะ บางครั้งการเสนอแนะอาจไม่สามารถปฏิบัติได้ หรือเป็นข้อเสนอแนะ ท่ีปราศจากเหตผุ ลสนบั สนนุ สรปุ ทา้ ยบท กระบวนการวิจัยท่ีสำคัญและที่ต้องนักวิจัยต้องตระหนัก และให้ความสนใจ นอกเหนือจาก การศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง บุคคลที่สัมพันธ์แล้ว ในการวิจัยนั้นต้องกำหนดประเด็นหาในการหา คำตอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบ การกำหนดปัญหาของการวิจัย การวางแผนออกแบบ การวิจัย การกำหนดกลุ่ม การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การสรุปและรายงานผล การตีความหมาย และการเขียนรายงานวิจัย เพื่อแสดงสิ่งที่ได้ค้นพบอาจเป็นความรู้เดิมท่ีมีอยู่แล้ว หรือเปน็ ความรู้ใหมท่ ่ีไดค้ น้ พบการทำวจิ ัย

การวิจยั เพ่อื พฒั นาการเรียนรู้ ๔๕ คำถามท้ายบท ๑.การกำหนดปญั หาของการวจิ ัยเพื่อวตั ถุประสงค์อะไรฯ ๒.การวางแผนออกแบบการวิจยั มีกีป่ ระเภทแต่ละประเภทมีวธิ กี ารศกึ ษาอย่างไรฯ ๓.การกำหนดกล่มุ เหมาะสำหรบั การวจิ ยั ประเภทใดฯ ๔.การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผูว้ จิ ยั สามารถเกบ็ ขอ้ มลู ได้ก่ีทาง อะไรบ้างฯ ๕.การวเิ คราะหข์ ้อมูล เริ่มต้นจากจุดไหนและมวี ธิ กี ารอย่างไรฯ ๖.การสรุปมีในบทไหนบ้าง และมหี ลกั การประสรปุ อยา่ งไรฯ ๗.รายงานผล มวี ธิ ีการอยา่ งไรฯ ๘.การตคี วามหมาย มีความสำคัญอย่างไร ต่อผลงานวจิ ยั ฯ ๙.การเขยี นรายงานวิจยั ผู้วจิ ัยตอ้ งเขยี นรายงานต้งั แตบ่ ทไหนและอย่างไรฯ ๑๐.กลุ่มตัวอยา่ งใช้ในกรณไี หน กลุม่ ประชากรใช้ในกรณีไหนฯ

บทท่ี ๔ การใชส้ ถติ เิ พอื่ การวิเคราะหข์ ้อมูล วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรปู้ ระจำบท เมือ่ ไดศ้ กึ ษาเนื้อหาในบทนแี้ ล้ว ผู้เรียนสามารถ ๑. อธบิ ายความหมายและสถิติการวิจัยได้ ๒. บอกแนวคิดพ้นื ฐานทางสถิติได้ ๓. จำแนกเลอื กใช้สถิติทางวจิ ัยได้ ๔. อธบิ ายการทดสอบ ประมวลและสรา้ งรหัสตวั แปรได้ ขอบขา่ ยเน้อื หา • ความหมายและสถติ ิการวิจัย • แนวคดิ พน้ื ฐานทางสถิติ • เลือกใชส้ ถิตทิ างวิจัย • การทดสอบ ประมวลและสร้างรหัสตวั แปร

การวจิ ัยเพือ่ พฒั นาการเรียนรู้ ๔๗ ๔.๑ ความนำ หลงั จากที่ได้เก็บหรือรวบรวมข้อมูลและดำเนินการจัดระเบียบข้อมูลให้อยใู่ นสภาพท่ีเรยี บรอ้ ยพร้อมที่ จะนำไปวิเคราะห์ได้แล้ว งานในข้ันต่อไปของผู้วิจัยคือการตัดสินใจว่าจะนำสถิติอะไรมาใช้ ซึ่งในการนี้ผู้วิจัย จะต้องทราบตั้งแต่แรกว่าขอ้ มลู ที่มีอยู่ในลักษณะใดและต้องการเสนอผลการวิเคราะห์อะไร ข้อมูลที่เก็บ รวบรวมมาได้บางคร้ังยังมีรูปแบบท่ีกระจัดกระจายเป็นรายบุคคล ไม่เป็นระบบ จำเป็นต้องมีกระบวนการจัด กระทำข้อมูลเหล่าน้ันให้เป็นระบบหรือเป็นหมวดหมู่เกิดเป็นสารสนเทศท่ีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อสรุป อ้างอิงไปยังประชากรต่อไป ศาสตร์ท่ีถูกนำเข้ามาช่วยในข้ันตอนของการตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือไป จนถึงการอา้ งองิ เหลา่ น้ี เรียกวา่ สถติ ิ ๔.๒ ความหมายของสถติ ิ คำว่าสถิติ (Statistics) มาจากภาษาเยอรมันว่า Statistics มีรากศัพท์มาจาก Stat หมายถึง ข้อมูล หรือสารสนเทศ ซึ่งจะอำนวยประโยชน์ต่อการบริหารประเทศในด้านต่างๆ เช่น การทำสำมะโนครัว เพ่ือจะทราบจำนวนพลเมอื งในประเทศทั้งหมด ในสมยั ต่อมา คำวา่ สถิติ ไดห้ มายถึง ตัวเลขหรือขอ้ มูลที่ได้จาก การเก็บรวบรวม เช่น จำนวนผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน อัตราการเกิดของเด็กทารก ปริมาณน้ำฝน ในแต่ละปี เปน็ ตน้ สถิติในความหมายทก่ี ลา่ วมานเ้ี รียกอกี อย่างหนง่ึ วา่ ข้อมูลทางสถิติ (Statistical data) อีกความหมายหน่ึง สถิติ หมายถึง วิธีการท่ีว่าด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล การนำเสนอข้อมูล การ วิเคราะห์ข้อมูล และการตีความหมายข้อมูล สถิติในความหมายนี้เป็นท้ังวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ เรยี กว่า สถติ ศิ าสตร์ ๔.๓ ประเภทของสถิติ สถิติแบง่ เป็น ๒ ประเภท คือ ๑. สถิตพิ รรณนา (Descriptive Statistics) เป็นสถิติที่ใช้อธิบายคุณลักษณะของสิ่งท่ีต้องการศึกษากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่สามารถอ้างอิงไปยัง กลุ่มอ่ืนๆ ได้ สถิติท่ีอยู่ในประเภทน้ี เช่น ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ค่าฐานนิยม ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ค่าพิสัย ฯลฯ ๒. สถิติอ้างองิ (Inferential statistics) เป็นสถิติท่ีใช้อธิบายคุณลักษณะของสิ่งท่ีต้องการศึกษากลุ่มใดกลุ่มหน่ึงหรือหลายกลุ่ม แล้ว สามารถอ้างอิงไปยังกลุ่มประชากรได้ โดยกลุ่มท่ีนำมาศึกษาจะต้องเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร ตัวแทนที่ดี ของประชากรได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่าง และตัวแทนท่ีดีของประชากรเรียกว่า กลุ่มตัวอย่าง สถิติอ้างอิง แบ่งไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คอื

การวิจยั เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ ๔๘ ๒.๑ สถิตพิ ารามเิ ตอร์ (Parametric Statistics ) เป็นวธิ ีการทางสถิติท่จี ะต้องเป็นไปตาม ข้อตกลงเบอ้ื งตน้ ๓ ประการ ดังน้ี ๑.ขอ้ มลู ท่เี ก็บรวบรวมได้จะต้องอยู่ในระดบั ช่วงขึ้นไป (Interval Scale) ๒.ข้อมูลที่เก็บรวบรวมไดจ้ ากกลมุ่ ตัวอย่างจะต้องมีการแจกแจงเปน็ โค้งปกติ ๓.กลุ่มประชากรแต่ละกลมุ่ ท่ีนำมาศกึ ษาจะตอ้ งมคี วามแปรปรวนเท่ากัน สถติ ทิ ีอ่ ยู่ในประเภทน้ี เชน่ t-test, Z-test, ANOVA, Regression ฯลฯ ๒.๒ สถิตไร้พารามเิ ตอร์ (Nonparametric Statistics) เปน็ วธิ ีการทางสถติ ทิ ่สี ามารถนำมาใช้ ได้โดยปราศจากข้อตกลงเบ้ืองต้นท้ัง ๓ ประการข้างตน้ สถติ ิทีอ่ ย่ใู นประเภทนี้ เชน่ ไคสแควร์, Median Test, Sign test ฯลฯ ๔.๔ แนวความคดิ พื้นฐานทางสถิตอิ ้างอิง ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยส่ิงแรกท่ีนักวิจัยจะต้องกำหนดคือ ประชากรท่ีต้องการศึกษา จากนั้นนักวิจัยต้องพิจารณาต่อไปว่าสามารถรวบรวมข้อมูลจากประชากรท้ังหมดหรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้อง ทำการศึกษาเพยี งบางส่วนของประชากรเท่าน้ัน การท่ีประชากรทน่ี ักวจิ ัยสนใจมีขนาดใหญ่คือมีจำนวนมากไม่ สามารถศึกษาทุกหน่วยของประชากรได้และจะต้องเป็นเหตุให้ต้องเลือกกลุ่มตัวแทนของประชากรมาใช้ใน การศึกษา ซึ่งเราเรียกกันโดยท่ัวไปว่า กลุ่มตัวอย่าง โดยท่ีค่าต่างๆ ที่คำนวณได้จึงมีช่ือเรียกตามกลุ่มตัวอย่าง และประชากรท่ีใชใ้ นการศึกษา แบง่ ออกเป็น ๒ ชนิด คือ ๑. พารามิเตอร์ (Parameter) คือ ค่าต่างๆ ที่รวบรวมมาจากประชากรหรือคำนวณได้จากประชากร ใช้อักษรกรกี เปน็ สัญลกั ษณ์ ไดแ้ ก่  แทนคา่ ค่าเฉล่ยี เลขคณติ  แทนค่า ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน 2 แทนค่า ความแปรปรวน  แทนคา่ สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ ๒. ค่าสถิติ (Statistic) คือค่าต่างๆ ที่รวบรวมมาจากกลุ่มตัวอย่างหรือคำนวณได้จากกลุ่มตัวอย่าง ใช้ ตัวภาษาอังกฤษเปน็ สญั ลักษณ์ ได้แก่ x แทนค่า คา่ เฉล่ียเลขคณติ s แทนค่า ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน s2 แทนคา่ ความแปรปรวน r แทนคา่ สมั ประสิทธิส์ หสัมพนั ธ์

การวจิ ัยเพื่อพฒั นาการเรยี นรู้ ๔๙ แนวคดิ พน้ื ฐานของการวิเคราะห์ขอ้ มลู ทางสถิติ ประชากร การส่มุ ตวั อย่าง กลมุ่ ตวั อยา่ ง (population) (sample) ขนาด n ขนาด N อ้างอิง คา่ พารามิเตอร์ คา่ สถติ ิ (parameter) (statistic) ๔.๕ สิง่ ทต่ี อ้ งพิจารณาในการเลือกใชช้ นิดทางสถิติ ในการพิจารณาในการเลือกใช้ชนิดทางสถิตินั้น จะต้องมีการคำนึงถึงจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ ของการวิจยั ซ่ึงโดยทัว่ ไปแบ่งจดุ มุง่ หมายหรือวัตถปุ ระสงค์ของการวิจัยได้ดงั ต่อไปน้ี ๑.เพื่อบรรยายลักษณะตัวแปรในกลุ่มตัวอย่างหรือประชากร เป็นการใช้สถิติบรรยาย มา บรรยายภาพรวมของกลมุ่ ตวั อยา่ ง ประกอบดว้ ย - การแจกแจงความถ่ีและค่าร้อยละ และนำผลจากการแจกแจงความถ่ีหรือค่า ร้อยละเพื่อแสดงภาพรวมของข้อมูลท่ีได้ ในการนำเสนอนิยมใช้ตารางและ แผนภูมมิ ากกว่าคำบรรยายเพียงอยา่ งเดยี ว - การวดั แนวโน้มเขา้ สูส่ ว่ นกลาง ได้แก่ ค่าเฉลยี่ เลขคณิต มัธยฐาน ฐานนยิ ม - การวดั การกระจาย ได้แก่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ๒. เพ่ือเปรียบเทียบหาความแตกต่าง และสรุปอ้างอิงหาความแตกต่างจากกลุ่มตัวอย่าง กลับไปยงั ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ - การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของกลุ่มตัวอย่าง ๒ กลุ่มท่ีเป็นอิสระกันด้วย Independent t-test - การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง ๒ กลุ่มท่ีไม่เป็นอิสระต่อกันด้วย pair t-test - การเปรยี บเทียบค่าเฉลย่ี ของกล่มุ ตวั อย่างต้ังแต่ ๒ กล่มุ ดว้ ย Anova - การเปรียบเทียบความถี่และสัดส่วนด้วยไคสแควร์ ๓.เพื่อบรรยายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ได้แก่ การใช้สหสัมพันธ์อย่างง่าย ในการบรรยายความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ ตัวแปร เช่น การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s product moment coefficient of correlation) และสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน (Spearman’s Correlation) และการใชส้ หสัมพนั ธ์พหุคณู ในการบรรยายความสัมพันธร์ ะหวา่ งตวั แปรตง้ั แต่ ๒ ตวั ข้นึ ไป

การวจิ ยั เพือ่ พฒั นาการเรยี นรู้ ๕๐ ๔.๖ การทดสอบสมมตฐิ าน (Hypothesis testing) สมมติฐาน ( Hypothesis ) มี ๒ ชนิด คือ สมมติฐานทางการวิจัย (Research hypothesis) กับสมมติฐานทางสถิติ (Statistical hypothesis) การวิจัยบางเร่ืองอาจไม่มีสมมติฐานการวิจัยก็ได้ ส่วนท่ี มีสมมติฐานมักเป็นการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร เช่น ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความถนัดทางการ เรียนกับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เป็นต้น หรือเป็นการวิจัยที่อยู่ในลักษณะท่ีเป็นการเปรียบเทียบ เช่น ความ มีวินยั ในตนเองระหวา่ งนกั เรยี นทไี่ ดร้ ับการอบรมเล้ยี งดดู ว้ ยวิธตี ่างกัน กระบวนการทดสอบสมมติฐาน จะช่วยผู้วิจัยในการตัดสินใจสรุปผลว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างตัว แปรจริงหรือไม่ หรือช่วยใจการตัดสินใจเพ่ือสรุปผลว่าส่ิงที่นำมาเปรียบเทียบกันน้ันแตกต่างกันจริงหรือไม่ สำหรับหัวข้อสำคัญท่ีจะกล่าวถึงคือ ความหมายของสมมติฐาน ประเภทของสมมติฐาน ขั้นตอนการทดสอบ สมมุติฐาน ชนิดของความคลาดเคล่ือน ระดับนยั สำคัญ และการทดสอบสมมุติฐานแบบมีทิศทางและแบบไม่มี ทิศทาง ๔.๖.๑ ความหมายของสมมุติฐาน สมมุตฐิ าน คือ คำตอบท่ีผ้วู ิจยั คาดคะเนไวล้ ่วงหน้าอยา่ งมีเหตุผล หรอื สมมุติฐานคือข้อความท่ีอยูใ่ น รปู ของการคาดคะเนความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปร ๒ ตวั หรือมากกวา่ ๒ ตัวเพื่อใชต้ อบปัญหาท่ตี อ้ งการศกึ ษา สมมตุ ิติฐานทด่ี มี หี ลักเกณฑ์ท่ีสำคัญ ๒ ประการคอื ๑. เปน็ ขอ้ ความท่ีกล่าวถงึ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งตวั แปร ๒.เปน็ สมมุติฐานท่ีสามารถทดสอบได้โดยวิธีการทางสถิติ ๔.๖.๒ ประเภทของสมมตุ ิฐาน สมมตุ ิฐานมี ๒ ประเภท คือ ๑. สมมุติฐานทางการวจิ ัย (Research hypothesis) เป็นคำตอบที่ผ้วู ิจัยคาดคะเนไวล้ ่วงหนา้ และ เป็นข้อความทีแ่ สดงความเกยี่ วขอ้ งระหว่างตวั แปร ตัวอย่างเช่น ตัวอยา่ งท่ี ๑ นกั เรยี นในกรงุ เทพฯจะมที ัศนะคติทางวิทยาศาสตร์ดีกวา่ นกั เรียนในชนบท ตัวอยา่ งที่ ๒ ผลการเรียนรู้ก่อนเข้าค่ายของนักศกึ ษาน้อยกว่าผลการเรียนร้หู ลงั เข้าคา่ ยของนักศึกษา ตัวอย่างท่ี ๓ นักเรยี นทไ่ี ดร้ ับการอบรมเลย้ี งดดู ว้ ยวิธีการต่างกันจะมวี ินยั ในตนเองต่างกัน ตัวอยา่ งที่ ๔ ความถนดั ทางการเรียนมีความสมั พันธ์ทางบวกกับผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น สมมตุ ิฐานดังกลา่ วเปน็ เพียงการคาดคะเน ยงั ไมเ่ ปน็ ความรู้ทเ่ี ชอ่ื ถือได้ จนกว่าจะ ได้รับการทดสอบโดยใชว้ ิธกี ารทางสถิติ ตวั อยา่ งที่ ๑ มีตวั แปรที่เกย่ี วขอ้ ง ๒ ตวั คือ ๑) ภูมลิ ำเนาของนักเรยี น ๒) ทัศนะคติทางวทิ ยาศาสตร์ ตวั อย่างท่ี ๒ มีตวั แปรทีเ่ ก่ียวข้อง ๒ ตัวคอื ๑) ผลการเรียนรกู้ อ่ นเข้าค่าย ๒) ผลการเรียนรู้หลงั เข้า คา่ ย ตัวอย่างที่ ๓ มีตวั แปรท่เี กีย่ วขอ้ ง ๒ ตัว คือ ๑) วธิ กี ารอบรมเล้ียงดู ๒) วนิ ัยในตนเอง ตวั อย่างที่ ๔ มีตวั แปรท่ีเก่ียวข้อง ๒ ตัว คอื ๑) ความถนัดทางการเรยี น และ ๒) ผลสมั ฤทธิท์ างการ เรยี น

การวิจยั เพือ่ พฒั นาการเรยี นรู้ ๕๑ สมมตุ ิฐานทางการวิจัย มี ๒ ชนดิ คือ ๑. สมมตุ ิฐานทางการวจิ ยั มีแบบมที ศิ ทาง (Directional hypothesis) เปน็ สมมตุ ิฐานท่ีเขียน ระบอุ ย่างชดั เจนถึงทิศทางของความแตกต่างถึงทิศทางของความแตกต่างระหวา่ งกลมุ่ โดยมคี ำว่า “ ดีกว่า ” หรอื “ สงู กว่า ” หรือ “ ต่ำกวา่ ” หรือ “ น้อยกวา่ ” ในสมมุติฐานน้นั ๆ ดงั ตวั อย่างที่ ๑ และท่ี ๒ ขา้ งตน้ หรือระบุทิศทางของความสัมพนั ธ์ โดยมีคำวา่ “ ทางบวก ” หรอื “ทางลบ ” ดงั ตัวอยา่ งท่ี ๔ ขา้ งตน้ ยกตัวอยา่ งเชน่ - ผบู้ ริหารเพศชายมีประสิทธิภาพในการบริหารงานมากกว่าผบู้ ริหารเพศหญิง - ผู้บรหิ ารชายมกี ารใชอ้ ำนาจในตำแหน่งมากกวา่ ผู้บรหิ ารหญิง - ครูอาจารย์เพศชายมีความวิตกกังวลในการทำงานน้อยกว่าครอู าจารย์เพศหญิง - เจตคติต่อวิชาวิจยั ทางการศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกกบั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวชิ า วิจัยทางการศึกษา ๒ . สมมุติฐานท างการวิจัยไม่มีแบ บ ไม่มีทิ ศท าง (Non-directional hypothesis ) เป็นสมมุติฐานท่ีไม่กำหนดทิศทางของความแตกต่างดังตัวอย่างที่ ๓ หรือไม่กำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ ดังตัวอยา่ ง - นักเรียนทีม่ เี พศตา่ งกนั มีเจตคติตอ่ วชิ าคณติ ศาสตร์แตกตา่ งกนั - ผบู้ ริหารทม่ี ีเพศต่างกันมีปัญหาในการบรหิ ารงานวชิ าการแตกตา่ งกัน - ภาวะผูข้ องผบู้ ริหารมคี วามสัมพันธ์กบั บรรยากาศองค์การ ๒. สมมุติฐานทางสถิติ (Statistical hypothesis) เป็นสมมุติฐานที่ต้ังข้ึนเพื่อใช้ทดสอบว่า สมมุติฐานทางการวิจัยที่ผู้วิจัยตั้งไว้เป็นจริงหรือไม่ เป็นสมมุติฐานที่เขียนอยู่ในรูปแบบของโครงสร้างทาง คณิตศาสตร์ เพ่อื ใหอ้ ยูใ่ นรูปท่สี ามารถทดสอบไดด้ ว้ ยวิธีการทางสถติ ิ สัญลกั ษณท์ ่ีใชเ้ ขยี นในสมมุตฐิ านทางสถิติ จะเปน็ พารามเิ ตอร์เสมอ ท่ีพบบ่อยๆไดแ้ ก่  (อ่านวา่ มวิ ) แทนตวั กลางเลขคณติ หรือคา่ เฉลี่ยของกล่มุ ประชากร  ( อา่ นว่า โร ) แทนสหสัมพันธร์ ะหวา่ งตัวแปร  ( อา่ นวา่ ซกิ มา ) แทนความเบย่ี งเบนมาตรฐานของกล่มุ ประชากร สมมตุ ิฐานทางสถิติ มี ๒ ชนดิ คือ ๒.๑ สมมตุ ฐิ านทีเ่ ป็นกลางหรือสมมุตฐิ านท่ีไร้นัยสำคัญ (Null hypothesis) สัญลักษณ์ท่ใี ช้ คือ H0 ๒.๒ สมมุตฐิ านทางเลอื ก (Alternative hypothesis) สัญลกั ษณ์ท่ใี ช้ คือ H1 ในการวิจัยหลังจากท่ีต้ังความมุ่งหมายของการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยมักจะต้ังสมมุติฐานทางการวิจัย เพ่ือคาดคะเนคำตอบไว้ล่วงหน้า แล้วจึงเก็บรวบรวม ข้อมูลเพ่ือทำการทดสอบสมมุติฐานทางการวิจัยท่ีตั้งไว้ โดยจะต้องแปลงสมมุติฐานทางการวิจัยให้เป็นสมมุติฐานทางสถิติก่อน จึงจะทดสอบได้ด้วยวิธีการทางสถิติ เวลาต้งั สมมุติฐานทางสถติ ิจะตอ้ งตงั้ ท้ัง Null hypothesis และ Alternative hypothesis

การวิจยั เพือ่ พฒั นาการเรยี นรู้ ๕๒ สมมตุ ิฐานไรน้ ยั สำคัญ แทนด้วย H0 เปน็ สมมุตฐิ านทีแ่ สดงให้เห็นวา่ ไมม่ คี วามแตกต่างระหว่างกลุ่ม หรอื ไม่มคี วามสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั แปร เชน่ H0 : 1 = 2 หมายความว่าคา่ เฉลย่ี ของกลุ่มประชากรกลุม่ ท่ี ๑ และกลมุ่ ที่ ๒ เท่ากันหรือไม่มีความแตกต่างกัน หรอื H0 : ก่อน = หลงั หมายความว่าคา่ เฉล่ยี ของกลุ่มประชากรก่อนและหลงั การทดลองเท่ากันหรือไม่มีความแตกต่างกนั หรือ H0 : 1 = 2 = 3 หมายความวา่ ค่าเฉลี่ยของกลุ่มประชากรกลมุ่ ที่ ๑ และกลุ่มที่ ๒ และกลมุ่ ท่ี ๓ เท่ากันหรอื ไม่มีความ แตกตา่ งกนั หรือ H0 :  = ๐ หมายความวา่ ไม่มคี วามสมั พันธ์ระหวา่ งตัวแปร X กับตัวแปร Y สมมุติฐานทางเลือก แทนด้วย H1 เป็นสมมตุ ฐิ านทีแ่ สดงใหเ้ หน็ ว่ามคี วามแตกต่างระหว่างกลุ่ม หรือมีความสมั พันธร์ ะหวา่ งตัวแปร เชน่ H1 : 1  2 หมายความว่าคา่ เฉลีย่ ของกลุ่มประชากร กลุ่มท่ี ๑ และกลุ่มที่ ๒ ไมเ่ ท่ากนั หรือมีความแตกตา่ งกนั หรือ H1 : ก่อน  หลงั หมายความว่าคา่ เฉลี่ยของกลุ่มประชากรกอ่ นและหลังการทดลองไมเ่ ทา่ กนั หรอื มคี วามแตกต่างกนั หรือ H1 : 1  2  3 หรือ มคี ่า  อยา่ งน้อย ๑ คู่ท่ไี มเ่ ทา่ กนั หมายความว่าค่าเฉลยี่ ของกลุ่มประชากรกลุ่มท่ี ๑ และกลุ่มท่ี ๒ และกลุม่ ท่ี ๓ ไม่เทา่ กันหรือมคี วาม แตกตา่ งกัน หรอื H1 :   ๐ หมายความว่ามีความสมั พันธ์ระหว่างตวั แปร

การวจิ ัยเพ่อื พัฒนาการเรียนรู้ ๕๓ การตงั้ สมมุตฐิ าน กรณีทเี่ ป็นงานวจิ ยั ในลกั ษณะเปรยี บเทยี บ จะมีได้ ๓ ลักษณะ ดังน้ี H0 : 1 = 2 (เทา่ กันหรือไม่แตกตา่ งกนั ) H1 : 1  2 (ไมเ่ ทา่ กนั หรอื ต่างกนั ) H0 : 1 = 2 (เทา่ กันหรือไมแ่ ตกตา่ งกัน) H1 : 1  2 (มากกวา่ ) H0 : 1 = 2 (เท่ากนั หรือไม่แตกตา่ งกัน) H1 : 1 < 2 (น้อยกวา่ ) ในกรณีทเี่ ปน็ งานวจิ ัยทศ่ี ึกษาความสัมพันธร์ ะหวา่ งตัวแปร H1 มีได้ ๓ ลักษณะดงั นี้ H0 :  = ๐ (ไม่มคี วามสมั พนั ธก์ ัน) H1 :   0 (มีความสัมพนั ธก์ ัน) H0 :  = ๐ (ไม่มีความสมั พนั ธ์กัน) H1 :   0 (มีควาสัมพันธเ์ ชงิ บวก) H0 :  = ๐ (ไม่มีความสัมพันธ์กัน) H1 :   0 (มคี วาสัมพนั ธ์เชิงลบ) ข้อสังเกต รูปแบบในการเขียนสมมุติฐานทางสถิติแต่ละครั้งจะต้องเขียนให้สอดคล้องกับสมมุติฐาน ทางการวิจัยซ่ึงอาจเขียนได้แตกต่างกัน และเพ่ือท่ีจะสามารถเลือกใช้สถิติที่จะทำการทดสอบได้อย่างถูกต้อง ตรงตามสมมตุ ิฐานที่ตั้งไว้ ยกตัวอยา่ ง เช่น ตัวอย่างที่ ๑ นกั เรียนในกรุงเทพฯจะมที ัศนะคติทางวทิ ยาศาสตร์ดกี ว่านกั เรียนในชนบท จากตวั อย่างที่ ๑ มีตวั แปรท่เี ก่ยี วข้อง ๒ ตวั คอื ๑) ภมู ลิ ำเนาของนักเรียน (กรุงเทพฯ และชนบท) ๒) ทัศนะคติทางวทิ ยาศาสตร์ (วัดออกมาเป็นตวั เลข) การตัง้ สมมตุ ิฐาน H0 : 1 = 2

การวจิ ยั เพือ่ พฒั นาการเรียนรู้ ๕๔ H1 : 1  2 โดยที่ 1 คือ คา่ เฉลี่ยของทศั นะคติทางวิทยาศาสตร์ของนกั เรยี นในกรุงเทพ 2 คือ ค่าเฉลีย่ ของทศั นะคตทิ างวิทยาศาสตรข์ องนกั เรียนในชนบท สถิตทิ จ่ี ะใช้ในการทดสอบ คือ Independent t-test ตัวอยา่ งที่ ๒ ผลการเรียนรู้ก่อนเขา้ ค่ายของนกั ศกึ ษานอ้ ยกว่าผลการเรยี นรหู้ ลังเขา้ ค่ายของนักศึกษา จากตวั อย่างท่ี ๒ มตี วั แปรทีเ่ ก่ียวขอ้ ง ๒ ตัวคือ ๑) ผลการเรยี นรู้ก่อนเข้าคา่ ย (วดั ออกมาเป็นตวั เลข) ๒) ผลการเรยี นรู้หลังเข้าค่าย (วดั ออกมาเปน็ ตวั เลข) การตั้งสมมตุ ฐิ าน H0 : ก่อน = หลงั H1 : ก่อน < หลงั โดยที่ ก่อนคือ ค่าเฉลย่ี ของผลการเรยี นรู้ก่อนเขา้ ค่ายของนักศึกษา หลงั คือ ค่าเฉล่ียของผลการเรียนรู้หลังเขา้ คา่ ยของนักศึกษา สถติ ทิ ่จี ะใชใ้ นการทดสอบ คือ Pair t-test ตัวอย่างท่ี ๓ นกั เรยี นท่ีได้รบั การอบรมเลย้ี งดดู ว้ ยวิธีการต่างกนั จะมีวินัยในตนเองตา่ งกัน จากตวั อยา่ งที่ ๓ มตี วั แปรท่เี ก่ียวข้อง ๒ ตัว คือ ๑) วธิ ีการอบรมเลย้ี งดู (มหี ลายวธิ ี) ๒) วินัยในตนเอง (วดั ออกมาเป็นตวั เลข) การตัง้ สมมตุ ฐิ าน H0 : 1 = 2 = 3 H1 : 1  2  3 หรือ มคี ่า  อยา่ งน้อย ๑ คู่ทไ่ี ม่เทา่ กนั โดยท่ี 1 คอื ค่าเฉล่ยี ของวนิ ยั ในตนเองของนักเรยี นที่ได้รับการอบรมเล้ยี งดูด้วยวิธที ี่ ๑ 2 คือ คา่ เฉล่ยี ของวินยั ในตนเองของนักเรียนท่ีได้รับการอบรมเลีย้ งดดู ว้ ยวธิ ที ่ี ๒ 3คอื คา่ เฉลีย่ ของวนิ ัยในตนเองของนักเรียนที่ได้รบั การอบรมเลีย้ งดูด้วยวิธีท่ี ๓ สถติ ิท่ีจะใช้ในการทดสอบ คือ ANOVA

การวจิ ยั เพ่อื พฒั นาการเรียนรู้ ๕๕ ตัวอยา่ งท่ี ๔ ความถนดั ทางการเรยี นมีความสัมพนั ธ์ทางบวกกับผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน จากตัวอยา่ งที่ ๔ มีตัวแปรทเ่ี กีย่ วข้อง ๒ ตัว คือ ๑) ความถนดั ทางการเรียน (วดั ออกมาเปน็ ตัวเลข) และ ๒) ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น (วดั ออกมาเปน็ ตัวเลข) การตง้ั สมมุตฐิ าน H0 :  = ๐ H1 :  > ๐ โดยท่ี  คอื ความสัมพันธ์ระหวา่ งความถนดั ทางการเรยี นกับผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น สถิตทิ ี่จะใชใ้ นการทดสอบ คือ ค่าสหสมั พนั ธแ์ บบเพยี รส์ ัน ๔.๖.๓ ขั้นตอนการทดสอบสมมุติฐาน ๑. การทดสอบสมมตุ ฐิ านมีขั้นตอนดงั น้ี (คำนวณด้วยมือ) ขน้ั ที่ ๑ ตั้งสมมตุ ฐิ านทางสถิติ ขั้นที่ ๒ กำหนดระดับนยั สำคัญทางสถติ ิ(กำหนด  ) และหาอาณาเขตวิกฤตหรือ อาณาเขตที่จะปฎเิ สธ H0 (ได้จากตารางสถติ ิ) ๒.๑ การทดสอบแบบมีทิศทาง หรอื บางทีเรยี กว่า การทดสอบแบบหางเดยี ว ( One- tailed test ) มี ๒ กรณี คอื กรณีหางเดยี วทางขวา H1 : 1 > 2 ยอมรับ Ho ปฎเิ สธ Ho 

การวิจยั เพอ่ื พัฒนาการเรียนรู้ ๕๖ กรณหี างเดียวทางซ้าย H1 : 1 < 2 ปฎิเสธ Ho ยอมรับ Ho  ๒.๒ แบบไม่มที ศิ ทาง หรอื การทดสอบแบบสองหาง ( Two - tailed test ) ซึง่ เปน็ การทดสอบ เม่ือ H1 : 1  2 ยอมรบั Ho ปฎเิ สธ Ho ปฎิเสธ Ho  22 ขน้ั ที่ ๓ คำนวณคา่ สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐาน ขนั้ ที่ ๔ นำค่าสถติ ิที่ได้ไปเปรียบเทยี บกบั ค่าวิกฤตทไ่ี ดจ้ ากตารางสถติ ิ ข้นั ที่ ๕ การตดั สินใจ มี ๒ กรณี ยอมรับ (accept) H1 ๑. ถ้าค่าท่คี ำนวณได้ตกอยใู่ นอาณาเขตวิกฤตจะปฏิเสธ (reject) H0 ๒. ถ้าค่าสถิติทค่ี ำนวณได้อยนู่ อกอาณาเขตวิกฤตยอมรบั H0 ๒. การทดสอบสมมุตฐิ านด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ข้ันที่ ๑ ตั้งสมมตุ ิฐานทางสถิติ

การวิจยั เพือ่ พฒั นาการเรยี นรู้ ๕๗ ขน้ั ที่ ๒ กำหนดระดบั นยั สำคัญทางสถติ ิ (กำหนด  ) และหาอาณาเขตวกิ ฤต (อาณาเขตที่จะปฎเิ ศษ H0 ) ๒.๑ การทดสอบแบบมีทศิ ทาง หรอื บางทีเรยี กวา่ การทดสอบแบบหาง เดยี ว ( One- tailed test ) มี ๒ กรณี คอื กรณีหางเดยี วทางขวา H1 : 1 > 2 ยอมรับ Ho ปฎเิ สธ Ho  กรณีหางเดยี วทางซา้ ย H1 : 1 < 2 ปฎิเสธ Ho ยอมรับ Ho  ซ่ึงเป็นการทดสอบเมื่อ H1 ๒.๒ แบบไม่มีทิศทาง หรือการทดสอบแบบสองหาง ( Two - tailed test ) ปฎิเสธ Ho : 1  2 ยอมรบั Ho ปฎิเสธ Ho  22

การวิจยั เพื่อพัฒนาการเรยี นรู้ ๕๘ ขั้นที่ ๓ คำนวณค่าสถิติท่ีใชท้ ดสอบสมมตุ ิฐานทางคอมพวิ เตอร์ ข้ันท่ี ๔ นำค่าสถติ ิท่ีได้จากคอมพวิ เตอร์ (Sig.)ไปเปรยี บเทียบกับคา่ วกิ ฤต ข้ันท่ี ๕ การตดั สนิ ใจ มี ๒ กรณี กรณีท่ี ๑ กรณสี องหาง สรุปผลดังนี้ ๑. ถ้าคา่ Sig. <  จะปฏเิ สธ (reject) H0 ยอมรับ (accept) H1 ๒. ถา้ คา่ Sig. >  จะยอมรับ H0 กรณีท่ี ๒ กรณหี างเดยี วทางขวาและกรณีหางเดียวทางซ้าย สรปุ ผลดังนี้ ๑. ถ้าคา่ Sig./2 <  จะปฏเิ สธ (reject) H0 ยอมรบั (accept) H1 ๒. ถา้ ค่า Sig./2 >  จะยอมรับ H0 ๔.๗ การประมวลผลขอ้ มลู ดว้ ยคอมพวิ เตอร์ : โปรแกรม SPSS for Windows การประมวลผลข้อมูลเป็นการจัดการกับข้อมูลอย่างมีระบบเพ่ือให้ขอมูลท่ีได้รับการประมวลผลแล้ว อย่ใู นรูปทสี่ ามารถนำไปใชง้ านไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ ซ่ึงมขี ัน้ ตอน ดังนี้ ๑ การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีได้จากรูปแบบต่างๆ เช่นแบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบสมั ภาษณ์ ท้ังทีเ่ ป็นขอ้ มลู ปฐมภมู ิและทุตยิ ภมู ิ ๒. การเปลี่ยนสภาพข้อมูล เป็นการเปลี่ยนสภาพของข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมมาได้ให้อยู่ในรูปแบบ ท่ีสะดวกหรือเหมาะสมตอ่ การนำไปประมวลผล ซง่ึ ประกอบดว้ ย ๒.๑ การลงรหัส (Coding) เป็นการเปล่ียนรูปแบบข้อมูลโดยให้รหัสแทนข้อมูลเพื่อทำให้ สามารถจำแนกลักษณะข้อมูล รหัสที่ใช้แทนข้อมูลอาจจะอยู่ในรูปตัวเลข ตัวอักษร หรือข้อความ ซ่ึงโดยปกติ นยิ มกำหนดรหสั ข้อมลู ให้เป็นตัวเลข (ยกเว้นโปรแกรมที่ใช้ประมวลผลข้อมูลในการวิจยั เชิงคุณภาพโดยเฉพาะ) ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ แต่การนำไปวิเคราะห์หรือประมวลผล และการตีความจะ แตกตา่ งกนั ไป ๒.๒ การแก้ไข (Editing) เป็นการตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อมูลรวมทงั้ ขอ้ มูลท่ีได้แปลงให้ อยู่ในรปู รหสั แลว้ รวมทั้งการตรวจสอบความสมบูรณข์ องขอ้ มลู และแก้ไขปรบั ปรุงให้ถกู ตอ้ ง ๓. การประมวลผล (Data processing) เป็นการนำข้อมูลท่ีได้จากการเปล่ียนสภาพแล้ว มาทำการ วิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งในปัจจุบันจะใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติช่วยในการวิเคราะห์ ซึ่งการวิเคราะห์ อาจจะ

การวจิ ยั เพ่อื พัฒนาการเรียนรู้ ๕๙ เป็นการวิเคราะห์ข้ันต้น เช่น การเรียงลำดับ (Sorting) การรวบรวมข้อมูล (Merging) หรือการวิเคราะห์ใน ระดับที่สงู ขนึ้ มาอกี เช่น การประมาณค่า (Estimate) การทดสอบสมมตฐิ าน (Hypothesis testing) หรือการ วิเคราะห์โดยใชส้ ถติ ิชั้นสูงอน่ื ๆ ๔. การแสดงผลลัพธ์ (Output) เป็นการนำเสนอผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ข้อมูลให้อยู่ในรูปท่ีเข้าใจ ง่าย ซ่งึ อาจเป็นรายงาน ตาราง กราฟ หรือแผนภูมิอ่ืนๆ ๔.๘ การสร้างรหสั สำหรับตัวแปร โดยปกติในการวิจัย ผู้วิจัยจะออกแบบการวิจัยโดยกำหนดตัวแปรไว้ตั้งแต่ก่อนการเก็บรวบรวมข้อมูล แต่ถ้าเป็นข้อมูลท่ีมีการรวบรวมเพื่อประมวลผลเพื่อวัตถุประสงค์ใดประสงค์หน่ึงอาจไม่ได้กำหนดตัวแปรไว้ ล่วงหน้าก็ได้ ดังน้ันเม่ือมีการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว จะต้องกำหนดตัวแปรหรือค่ารหัสของตัวแปร การ กำหนดช่ือตัวแปรน้ันจะต้องกำหนดท้ังข้อมูลท่ีเป็นเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ส่วนการให้ค่ารหัสน้ันมักจะใช้ กับตัวแปรเชิงคุณภาพ เช่น เพศ อาชีพ ศาสนา วุฒิการศึกษา เป็นต้น ส่วนตัวแปรเชิงปริมาณก็ใช้ค่าที่ได้จาก การเก็บรวบข้อมูลจริง เช่น อายุ ก็จะใส่ค่ารหัส ตามอายุจริงที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลมา ยกเว้น แต่มี การกำหนดช่วงอายุหรือจัดกลุ่มอายุไว้ตั้งแต่ก่อนการเก็บข้อมูล ในลักษณะอย่างน้ีจำเป็นต้องกำหนดค่ารหัส เช่นกนั ในบางครั้งการกำหนดตัวแปรหรือกำหนดรหัสจะทำควบคู่กับเครื่องมือการวิจัย ซึ่งคำถาม ๑ คำถาม จะสามารถสร้างตัวแปรได้อย่างน้อย ๑ ตัวแปร และค่าของตัวแปรท่ีได้ก็คือข้อมูลน่ันเอง สามารถแสดง ตวั อย่างการกำหนดตวั แปรและการให้ค่ารหัสตัวแปรจากแบบสอบถาม ดังน้ี แบบสอบถามเพื่อการวิจัย หมายเลข........... สำหรบั เจา้ หน้าท่ี ตอนที่ ๑ สถานภาพส่วนบุคคล SEX  คำชี้แจง กรณุ ากาเครอื่ งหมาย  ลงในช่อง  ท่ีตรงกบั ความเปน็ AGE  จรงิ ของทา่ น EXP  EDU  1. เพศ  ๑.ชาย  ๒. หญงิ SIZE  2. อายุ.........................ปี 3. ประสบการณ์ในการทำงาน........................ ปี 4. ระดับการศกึ ษา  ๑. ต่ำกวา่ ปริญญาตรี  ๒. ปริญญาตรี  ๓.ปรญิ ญาโทขึ้นไป 5. ขนาดโรงเรียนทท่ี ำงานอย่ปู จั จบุ นั  ๑. ขนาดเลก็  ๒. ขนาดกลาง  ๓. ขนาดใหญ่

การวิจยั เพ่ือพฒั นาการเรยี นรู้ ๖๐ จากตัวอย่างแบบสอบถาม จะเห็นว่า ทางด้านขวามีชื่อตัวแปรกำหนดไว้ โดยการตงั้ ชื่อตัวแปรจะเป็น ภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้ การกำหนดช่ือตัวแปรที่จะใช้ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์นั้นควรกำหนดชื่อให้ สอดคล้องกับตัวตัวแปรในการวิจัยในเรื่องนั้นๆ ซ่ึงจะทำให้สะดวกต่อการจำและทำความเข้าใจ ในกรณีท่ีใช้ โปรแกรม SPSS for Window จะมีความยาวไม่เกิน ๘ ตวั อกั ษรซึ่งจะกล่าวถึงในรายละเอยี ดตอ่ ไป นอกจากนี้ จะมีชองสี่เหล่ียมสำหรับใส่ค่ารหัสของตัวแปร ซ่ึงได้มาจากการตอบแบบสอบถาม ผู้วิจัยควรทำสมุดคู่มือการ กำหนดรหัสให้ตัวแปร โดยกำหนดชอ่ื ตวั แปร ชนิดของตัวแปร ขนาดของตวั แปร และการให้ค่ารหัสตัวแปร ตัวอย่างการจดั ทำคู่มือการลงรหัส คำถาม ชอ่ื รายการข้อมลู ขนาดตวั แปร ค่ารหัส ข้อสงั เกต ที่ ตัวแปร (จำนวนหลัก) ๑ SEX ชื่อ ๑ ๑ →ชาย เลอื กได้ ๒→หญิง คำตอบเดียว ๙→ไมต่ อบ/ตอบสองข้อ ๒ AGE อายุ ๒ ตามจรงิ อายจุ รงิ ๙๙ →ไมต่ อบ ๓ EXP ประสบการณ์ ๒ ๐๑ – ๔๐→ ตามจริง ประสบการณ์ ๙๙ → ไมต่ อบ จริง ๔ EDU การศึกษา ๑ ๑→ ต่ำกวา่ ปรญิ ญาตรี เลอื กได้ ๒→ ปรญิ ญาตรี คำตอบเดยี ว ๓→ ปริญญาโทขน้ึ ไป ๙→ไมต่ อบ ๕ SIZE ขนาดโรงเรยี น ๑ ๑→ ขนาดเลก็ เลือกได้ ๒→ขนาดกลาง คำตอบเดยี ว ๓→ขนาดใหญ่ ๙→ไมต่ อบ

การวจิ ยั เพอื่ พัฒนาการเรียนรู้ ๖๑ การจดั ทำคู่มอื ลงรหสั จะทำให้การลงข้อมลู ได้ไมผ่ ดิ พลาดโดยเฉพาะเมื่อตัวแปรมีจำนวนมาก อย่างไร กต็ ามในบางคร้ังจะนำข้อมูลท่ีไดจ้ ากเครอื่ งมอื การวิจยั ไปเขียนลงในกระดาษลงรหสั (Paper code) แล้วค่อย นำข้อมูลที่ลงรหสั ในการกระดาษลงรหัสไปลงในโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ ในกรณีอาจจะเป็นการทำข้อมลู ซ้ำซอ้ น แตจ่ ะสะดวกตอ่ การลงรหสั ในโปรแกรม SPSS มากขึ้น และยังสะดวกตอ่ การตรวจสอบในกรณลี งรหัสใน โปรแกรมผดิ เปน็ ประโยชน์ก็ได้ ซ่ึงในกระดาษลงรหสั นีจ้ ะมีลกั ษณะคลา้ ยกับหน้าต่าง Data editor ของ SPSS for window ซึ่งจะประกอบด้วย หมายเลขแบบสอบถาม ตวั แปร และคา่ รหสั ของตัวแปร ดงั ตวั อย่าง หมายเลข ตัวแปร (เท่ากบั จำนวนข้อคำถามในเครอื่ งมือการวจิ ยั ) แบบสอบถาม SEX AGE EXP EDU SIZE …. ๑ ๑ …. ๒ ๑ ๔๒ ๕ ๑ ๑ …. ๓ ๒ …. ๔ ๑ ๓๕ ๗ ๑ ๑ …. ๕ ๒ …. . . ๓๙ ๙ ๒ ๒ . . . . . . ๔๘ ๑๐ ๓ ๓ . ๕๐ ๗ ๒ ๓ .... .... ....

การวจิ ัยเพอ่ื พฒั นาการเรยี นรู้ ๖๒ คำถามทา้ ยบท ๑. สถิตพิ รรณนา (Descriptive Statistics) หมายความอยา่ งไร จงอธิบายฯ ๒. สถติ อิ า้ งอิง (Inferential statistics) หมายความอยา่ งไร จงอธบิ ายฯ ๓. ข้อสมมตุ ฐาน มคี วามหมายอย่างไร จงอธบิ ายฯ ๔. การใช้สถิติเพอื่ การวเิ คราะหข์ อ้ มูล หมายความอย่างไรฯ ๕. สถติ อิ ้างอิงแบง่ ไดก้ ี่ประเภท อะไรบา้ งฯ ๖. ในการกำหนดบอกกลุ่มประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง ใช้สัญลักษณ์อะไรฯ ๗. สมมตุ ฐิ านทางการวิจยั (Research hypothesis) หมายความวา่ อย่างไรฯ ๘. กำหนดตัวแปรหรือคา่ รหสั ของตัวแปร หมายความว่าอย่างไรฯ ๙. ถ้าคา่ Sig. <  จะปฏเิ สธ (reject) H0 ยอมรับ (accept) H1 หมายความวา่ อย่างไรฯ ๑๐. คา่ สหสมั พนั ธแ์ บบเพยี ร์สนั ใช้สำหรบั ขอ้ มูลประเภทไหนฯ

บทท่ี ๕ การใชโ้ ปรแกรม SPSS for Windows วตั ถุประสงค์การเรียนรู้ประจำบท เม่ือได้ศึกษาเนื้อหาในบทนีแ้ ลว้ ผ้เู รยี นสามารถ ๑. อธบิ ายการเปดิ File ได้ ๒. บอกการกำหนดชือ่ และค่าตวั แปรได้ ๓. จำแนกการวิเคราะหข์ ้อมูลได้ ๔. อธิบายการหาค่าเฉลยี่ และค่าเบีย่ งเบนมาตรฐานได้ ขอบขา่ ยเนือ้ หา • การเปดิ File • การกำหนดชื่อและค่าตวั แปร • การวิเคราะห์ขอ้ มูล • การหาคา่ เฉลยี่ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน

การวจิ ยั เพอ่ื พัฒนาการเรยี นรู้ ๖๔ ๕.๑ ความนำ โปรแกรม SPSS เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปท่ีใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ พัฒนาโดยบริษัท SPSS Inc. ประเทศสหรฐั อเมริกา โดยในระยะเร่ิมต้นเรยี ก โปรแกรม SPSSX สำหรับใช้กับเครือ่ งคอมพิวเตอร์ ชนิดมินิ หรือเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ต่อมาเม่ือไมโครคอมพิวเตอร์ได้มีการใช้กันอยา่ งแพร่หลายมากขึ้น จึงได้มี การพัฒนาโปรแกรม SPSS เป็น SPSS/PC+ ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการที่เรียกว่า DOS (Disk Operating System) ซ่ึงใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ หรือท่ีเรียกว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ต่อมาเมื่อมีการพัฒนา ระบบปฏิบัติการบนไมโครคอมพิวเตอร์ ให้สามารถติดต่อกับผู้ใช้ในระบบกราฟฟิกได้ ซึ่งเรียกระบบนี้ว่า Microsoft Windows จึงได้มีการพัฒนาโปรแกรม SPSS สำหรับใช้งานบน Windows ข้ึน และเรียกว่า SPSS for Windows โดยในเวอร์ชนั ๖.๐ ได้ออกแบบมาใช้กับระบบปฏิบัติการ Windows ๓.๑๑ ต่อมาเม่ือมีการใช้ ระบบปฏิบัติการ Windows ๙๕, ๙๘ Windows NT Windows ๒๐๐๐ และ Windows XP จึงได้มีการ ปรับปรุงโปรแกรม SPSS for Windows เป็นเวอร์ชัน ๗… ๘… ๙… ๑๐... เรื่อยมา ซ่ึงในการปรับปรุง เปล่ียนแปลงเวอร์ชันแต่ละครั้ง ได้มีการปรับปรุงรูปแบบการใช้งานเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้สะดวกยิ่งข้ึน กว่าเดิม มีการเพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ความสามารถในการจัดทำรายงานการ วิเคราะห์ข้อมูล การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของกราฟ และยังปรับปรุงความสามารถในการจัดการกับข้อมูล ในลักษณะต่าง ๆ เช่น การสร้างแฟ้มข้อมูล การกำหนดและการสร้างตัวแปร การปรับปรุงแก้ไขข้อมูล ให้ผู้ใช้ ทำงานได้ง่ายข้ึน ในการใช้โปรแกรม SPSS ผู้ใช้สามารถทำการเลือกใช้งานจากระบบเมนู ในรปู แบบมาตรฐาน ของโปรแกรมภายใต้ Microsoft Windows หรือเลือกใช้งานในลักษณะการเขียนโปรแกรม คำส่ังเช่นเดียวกับ การใช้งาน SPSS/PC+ ใน DOS ก็ได้ นอกจากน้ีโปรแกรม SPSS for Windows ยังอนุญาตให้ผู้ใช้ทำการ บันทึกข้ันตอนการทำงานต่าง ๆ เป็นรูปแบบคำสั่งสำหรับการใช้งานคร้ังต่อไป เพ่ือให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว ในการทำงานได้อกี ด้วย โปรแกรม SPSS เปน็ โปรแกรมทใ่ี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิตทิ ี่ไดร้ บั ความนิยมอย่างแพรห่ ลายมา นานต้ังแต่ ยังใช้ เวอร์ชัน DOS จนกระท่ัง เวอร์ชันท่ีใช้ใน Windows ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงอยู่ตลอด โปรแกรม SPSS มีความสามารถมากมายแต่สำหรับการใช้โปรแกรม SPSS ในเนื้อหาน้ีจะพูดถึงส่วนที่จำเป็น และเก่ยี วขอ้ งกับการเรยี นการสอนเท่านัน้

การวจิ ัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ ๖๕ ๕.๒ การเปิด File หรอื การสรา้ ง File ใหม่ Start > Program > Spss ได้ดังภาพท่ี ๑ ผลการเปิดโปรแกรมครัง้ แรก สามารถเปดิ file เดมิ ท่ีมยี ่แู ลว้ (เคยใช้งาน) หรอื click ที่ cancel เพื่อเปิดหรอื สร้าง file ใหม่ ภาพที่ ๑ ในกรณที ีเ่ รา กดปุ่ม Cancel เราจะได้ หนา้ ตา่ ง SPSS Data Editor ซ่งึ เป็นหน้าตา่ งสำหรบั กรอกและ แกไ้ ขข้อมลู รวมทั้งการประมวลผลอื่นๆ ภาพท่ี ๒

การวจิ ยั เพื่อพัฒนาการเรยี นรู้ ๖๖ ในกรณีท่ีตอ้ งการเปิด File ที่มีอย่แู ลว้ ให้ Click ท่ี File > Open > Data หรือ Click ท่ี บน Tool Bar จะไดห้ น้าจอ ดงั ภาพท่ี ๓ หลงั จากนน้ั ใหเ้ ลือก File ทีเราต้องการ และ Click ท่ี Open ในภาพเป็น การเปดิ File ช่ือ Car ๑ เปิด File ใหม่ : เลือก file ที่ตอ้ งการเปดิ แล้ว click ที่ open ๒ ภาพที่ ๓ ผลการเปิด File จะได้ดังภาพท่ี ๔ ภาพที่ ๔

การวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรยี นรู้ ๖๗ ๕.๓ การกำหนดช่ือและคา่ ตวั แปร (Name) อย่างไรก็ตาม ในกรณีทีเ่ ปน็ File ยงั ไมก่ รอกข้อมลู หรือ ยงั ไม่กำหนดช่อื และค่าตวั แปร สงิ่ ทเ่ี ราต้อง ทำก่อนวเิ คราะห์ข้อมลู ก็คือ การกำหนดชือ่ และคา่ ต่างๆให้ตวั แปร โดยการ Double Click ที่ Var จะได้ผลดงั ภาพที่ ๕ ภาพที่ ๕ ในการกำหนดชื่อตัวแปรในโปรแกรม SPSS นั้นสามารถกำหนดได้ท้ังทเ่ี ป็น ภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ แต่จะกำหนดได้เพยี ง ๘ ตัวอกั ษร และการกำหนดช่อื ตวั แปรนั้นควรกำหนดให้สอดคล้องกับ สภาพจรงิ ของตัวแปร เช่น ตัวแปร เพศ ก็ควรกำ เพศ หรือ SEX เป็นต้น การกำหนดชื่อตัวแปรใน SPSS จะ กำหนดได้ไม่เกนิ ๘ ตัวอกั ษร Click แลว้ พมิ พช์ ่ือตวั แปรซึ่งในทนี่ กี้ ำหนดเปน็ sex ภาพที่ ๖

การวจิ ัยเพื่อพัฒนาการเรยี นรู้ ๖๘ จากคมู่ ือลงรหสั จะพบว่าเพศได้กำหนดใหเ้ ป็น Sex และยงั พบอีกว่ากำหนดให้ ๑ แทนชาย และ ๒ แทนหญิง ดงั นั้นในโปรแกรมจะตอ้ งทำการแทนเลขดงั ดังกลา่ วด้วย โดยคลิกที่ จะได้ดงั ภาพ ท่ี ๗ ภาพที่ ๗ กรอกคา่ ที่กำหนดให้กับตวั แปร ในทีนต้ี ัวแปรเพศ กำหนดให้ เพศชาย เป็น ๑ และ เพศหญิงเปน็ ๒ ข้ันตอนในกำหนดคา่ ฉลาก ๑. พมิ พ์ เลข ๑ ลงในช่อง Value ๒. พิมพ์ male ลงในช่อง Value Label (สามารถกรอกเป็นภาษาไทยได้) ๓. กดปมุ่ Add ในกรณีกำหนดค่าให้เพศหญิง ทำเชน่ เดียวกบั เพศชาย เพียงเปลีย่ นจาก ๑ เป็น ๒ และ เปลี่ยนจาก mail เปน็ female สว่ น ปมุ่ Change มีไว้สำหรบั แก้ไข และถ้าต้องการลบออก ให้กด Remove สว่ นตวั แปรตวั อื่นๆ ก็ทำเช่นเดยี วกบั ตวั แปร sex เมื่อกรอกช่ือตวั แปรครบทกุ ตัวแลว้ กจ็ ะได้ดังภาพท่ี ๘ ภาพที่ ๘

การวิจัยเพ่อื พัฒนาการเรยี นรู้ ๖๙ โดยปกติ ตวั แปรทต่ี ้องกำหนดคา่ นี้ จะเปน็ ตัวแปรที่มรี ะดับการวัด เปน็ Nominal หรอื Ordinal สว่ นตัวแปรที่มรี ะดบั การวดั ต้งั แต่ Interval ข้ึนไปมักไมน่ ิยมกำหนดค่า จากนนั้ ก็ทำการใส่ขอ้ มลู ทเ่ี ราเตรยี มไว้สำหรับการวิเคราะห์ กจ็ ะได้ดงั ภาพท่ี ๙ ภาพท่ี ๙

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรยี นรู้ ๗๐ ๕.๔ การวเิ คราะหข์ ้อมลู (สถติ พิ รรณนา) การหาคา่ ความถ่ีและร้อยละ (ข้อมูลเชิงคุณภาพ) เปิดโปรแกรม Spss > เปดิ ไฟล์ท่ีตอ้ งการวิเคราะห์ (สมมุติข้อมูลขา้ งตน้ ) จะได้ภาพท่ี ๑๐ ภาพท่ี ๑๐ จากน้นั คลกิ Analyze > Descriptive Statistics > Frequencies ดงั ภาพท่ี ๑๑ ภาพที่ ๑๑

จากภาพท่ี ๑๑ จะได้ภาพที่ ๑๒ ดงั น้ี การวจิ ยั เพ่อื พัฒนาการเรยี นรู้ ๗๑ ๑. เลือกตวั แปรท่ีต้องการหา ค่าความถ่ีและร้อยละ ซ่งึ ในท่ีน้ี ตอ้ งการหาความถขี่ อง sex ๒ กด OK ภาพท่ี ๑๒ จะได้ผลลัพธ์ดงั ภาพท่ี ๑๓ ภาพท่ี ๑๓

การวิจยั เพื่อพัฒนาการเรยี นรู้ ๗๒ ตวั อย่างการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลและการแปลผล ตารางท่ี ๑ แสดงจำนวนและร้อยละของขอ้ มลู ส่วนบคุ คลของกลุ่มตัวอย่าง ขอ้ มูลส่วนบุคคล (n=๑๐๐) จำนวน ร้อยละ เพศ ๗๕.๐ ๒๕.๐ ชาย ๗๕ ๖๐.๐ หญิง ๒๕ ๓๐.๐ ๑๐.๐ ศาสนา พุทธ ๖๐ ครสิ ต์ ๓๐ อิสลาม ๑๐ จากตารางที่ ๑ พบว่า กลุ่มตัวอยา่ งจำนวน ๑๐๐ คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากทีส่ ดุ ร้อยละ ๗๕.๐ ส่วนศาสนากลุ่มตวั อยา่ งนับถือศาสนาพทุ ธมากท่ีสุด ร้อยละ ๖๐.๐ รองลงมานบั ถือศาสนาคริสต์ รอ้ ยละ ๓๐.๐ ๕.๕ การหาคา่ เฉลยี่ และค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน (ข้อมลู เชงิ ปรมิ าณ) เปดิ โปรแกรม Spss > เปดิ ไฟล์ทต่ี อ้ งการวเิ คราะห์ (สมมตุ ิข้อมลู ขา้ งต้น) จะได้ภาพที่ ๑๔ ภาพท่ี ๑๔

การวจิ ัยเพ่อื พัฒนาการเรยี นรู้ ๗๓ จากนนั้ คลกิ Analyze > Descriptive Statistics > Descriptive ดงั ภาพที่ ๑๕ จากภาพที่ ๑๕ จะไดภ้ าพที่ ๑๖ ดังน้ี ภาพที่ ๑๕ ๑. เลอื กตวั แปรทีต่ ้องการหา คา่ เฉล่ยี และคา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน ซ่ึงในทีน่ ตี้ ้องการหาคา่ ของ age ๒ กด OK ภาพท่ี ๑๖

การวิจัยเพอ่ื พัฒนาการเรยี นรู้ ๗๔ จะได้ผลลพั ธ์ดงั ภาพที่ ๑๗ ภาพท่ี ๑๗ ตวั อย่างการนำเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู และการแปลผล ตาราง ๒ แสดง อายุ รายได้ต่อเดือนของกลุ่มตัวอยา่ ง ตัวแปร ค่าเฉล่ยี ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน ๑๒.๐ อายุ ๓๕.๕ ๓๘.๗๕ รายได้ ๖๗๕๐.๕๗ จากตาราง ๒ พบวา่ กลมุ่ ตัวอย่างมอี ายเุ ฉลีย่ ๓๕.๕ ปี มีรายได้เฉล่ียเดอื นละ ๖๗๕๐.๕๗ บาท ๕.๖ การวิเคราะห์ข้อมลู (สถิติอนมุ าน ) ๕.๖.๑ การทดสอบ t-test กระบวนการทางสถิติ t-test เป็นการแจกแจกแบบ Student’s สำหรับเปรยี บเทยี บค่าเฉล่ยี ๒ คา่ นอกจากนนั้ ยังแสดงคา่ เฉลีย่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานและความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในแต่ละตัวแปรด้วย ซึ่ง สถติ ิ t-test สามารถแบ่งการวิเคราะห์ไดเ้ ป็น ๒ กรณี กรณีที่ ๑ กลุ่มตวั อย่างท้ัง ๒ ไมส่ มั พันธก์ นั (อสิ ระต่อกัน) เรยี กวา่ Independent t-test ถา้ กลุม่ ตัวอยา่ งทงั้ ๒ ไมส่ ัมพันธก์ นั (อสิ ระต่อกัน) ในการทดสอบสมมุตฐิ านทีต่ ้องการหาความ แตกต่างของค่าเฉล่ยี ของกลุ่มตัวอยา่ งกลุม่ หน่ึงวา่ แตกต่างจากอีกกล่มุ หนึง่ หรือไม่ เช่น ต้องการทดสอบ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของกล่มุ ที่ได้รบั การสอนแบบปกติกับกล่มุ ท่ีได้รับการสอนแบบพิเศษวา่ จะมีคะแนน เฉลีย่ แตกตา่ งจากกันหรอื ไม่ ในกรณีน้กี ลุ่มตวั อยา่ งสองกล่มุ เปน็ อิสระจากกนั เราสามารถต้ังสมมตุ ิฐานได้ดังน้ี

การวจิ ัยเพ่อื พัฒนาการเรียนรู้ ๗๕ สมมุติฐาน ๑ H0 :1 = 2 H1 :1  2 หรอื สมมุตฐิ าน ๒ H0 :1 = 2 H1 :1  2 หรอื สมมตุ ิฐาน ๓ H0 :1 = 2 H1 :1  2 สูตรคำนวณ ข้นั แรก คำนวณหาวา่ กลุม่ ตวั อยา่ งทัง้ สองกลมุ่ มีความแปรปรวนแตกต่างกนั หรือไม่ ด้วยสตู ร F-test มสี มมุติฐานดงั น้ี H0 :12 = 22 H1 :12  22 คำนวณดว้ ยสตู ร F = S12 ; df1 = n1 −1; df2 = n2 −1 S22 พจิ ารณาค่า F-test ถา้ F-test ทีค่ ำนวณไดไ้ ม่มนี ัยสำคัญทางสถิติ (Sig >  ) น่นั คือยอมรับ H๐ แสดงวา่ ความแปรปรวนของทง้ั สองกล่มุ เท่ากนั จะใช้สูตรท่ี ๑ (Pooled Variance) ถา้ ค่า F-test ท่ี คำนวณได้มีนัยสำคัญทางสถิติ (Sig <  ) น่นั คอื ปฏเิ สธ H๐ ยอมรับ H๑ แสดงว่าความแปรปรวนของทงั้ สอง กล่มุ ไม่เทา่ กัน จะใช้สูตรที่ ๒ แทน (Separate Variance) ขน้ั ที่สอง เลือกใช้สูตรคำนวณคา่ t-test สตู รท่ี ๑ เม่ือ 12 = 22 t= X1 − X2 −1)S12 + (n2 − 1)S22 (n1  1 + 1  n1 + n2 − 2  n1 n2  df = n1 + n2 − 2

การวิจยั เพื่อพัฒนาการเรยี นรู้ ๗๖ สตู รที่ ๒ เม่ือ 12  22 t= X1 − X2 S12 S22 n1 + n2  S12 + S22 2 n1 n2 df = 2 2 S12 S22  n1 +  n2 n1 −1 n2 −1 การพจิ ารณาหากคา่ สถติ ิ t ทค่ี ำนวณได้ไมม่ ีนัยสำคญั ทางสถติ ิ (Sig >  ) นั่นคอื ยอมรบั H๐ แสดงวา่ ค่าเฉลีย่ ของ ๒ กลุม่ ไมม่ ีความแตกตา่ งกนั ถ้าค่า t ทีค่ ำนวณได้มีนัยสำคัญทางสถิติ (Sig <  ) นัน่ คือ ปฏิเสธ H๐ ยอมรบั H๑ แสดงว่ามคี ่าเฉล่ียของ ๒ กลุม่ แตกตา่ งกนั (มากกวา่ หรือนอ้ ยกวา่ ) ๕.๖.๒ ข้ันตอนการทดสอบ t-test แบบกลุ่มตัวอยา่ งเป็นอสิ ระจากกนั เปิดโปรแกรม SPSS Analyze > Compare Means > Independent-Sample T Test ดงั ภาพที่ ๑๘    ๑ ภาพท่ี ๑๘

การวิจยั เพ่ือพัฒนาการเรยี นรู้ ๗๗ ผลจะได้ หนา้ ต่าง Independent Sample T test หลังจากน้ันใหท้ ำตามขัน้ ที่ ๑ ถึง ขัน้ ตอนที่ ๘ ดงั ภาพท่ี ๑๙ ๑.เลือกตัวแปรทตี่ ้องการ ๓. ช่องสำหรบั ตัวแปรตามท่ีต้องการทดสอบ ทดสอบ (ขอ้ มูลเชงิ ปริมาณ) สามารถใส่ได้มากกว่า หนึง่ ตวั แปร ๒. click ภาพประกอบ ๑๖ ๕. Click ๔.ช่องสำหรบั ตัวแปรอสิ ระ (ข้อมลู ๗.ใสค่ า่ ของตัวแปรลงไป ในท่ีน้ี ๑ เชิงคุณภาพ: ๒ กลุ่ม) ซง่ึ ตอ้ งเลอื กมา หมายถงึ เพศชาย ๒ หมายถงึ เพศหญิง จากชอ่ งตวั แปรด้านซ้าย เมื่อเลอื ก หลังจากน้ัน click ป่มุ Continue แลว้ ใหก้ ดปมุ่ ๕ ๖.กำหนดกุล่ม เพื่อเปน็ ระบุกลุม่ ที่ตอ้ งการเปรียบ ๘. Click ปุ่ม OK ภาพท่ี๑๙

การวิจยั เพ่ือพัฒนาการเรยี นรู้ ๗๘ ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลจะได้ หน้าต่างทีเ่ รยี กวา่ SPSS Viewer ดงั ภาพที่ ๒๐ ภาพท่ี ๒๐ ตัวแปรตาม ตวั แปรอสิ ระ จากตารางเป็นการแสดงสถิติพรรณนา (คา่ เฉล่ยี และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน) โดยที่ตวั แปร EANIETY ของเพศชายมีค่าเฉลีย่ ๒.๘๒ และของเพศหญิงมคี ่าเฉลยี่ ๓.๗๒ เปน็ ต้น

การวิจัยเพอ่ื พัฒนาการเรยี นรู้ ๗๙  การทดสอบความเท่ากันของความแปรปรวน โดยใช้ F –test การพิจารณาวา่ ความแปรปรวนเท่ากนั หรอื ไม่ให้ดูได้จากช่อง Sig (หมายถงึ ระดับนยั สำคญั ทางสถิต)ิ ถ้าค่า Sig > ๐.๐๕ แสดงวา่ ความแปรปรวน เท่ากนั แต่ถา้ Sig < ๐.๐๕ แสดงว่า ความแปรปรวนแตกต่างกันอย่างมีนยั สำคัญทางสถิติ ผลการทดสอบสมมติฐานดว้ ย t-test จะเห็นว่า ค่า t มี ๒ ค่า จะใช้ค่าใดข้นึ อยู่กบั ผลการทดสอบ ความเทา่ กนั ของความแปรปรวน ถ้า F-test ไมม่ ีนัยสำคัญทางสถิติ (Sig > ๐.๐๕) ใหใ้ ชค้ ่าบน แต่ถ้ามี นยั สำคญั ทางสถิติ (Sig < ๐.๐๕) ให้ใชค้ ่าลา่ ง จากตาราง ในกรณตี ัวแปร EANXIETY พบว่า ค่า F ไม่มี นัยสำคญั ทางสถิติ (Sig > ๐.๐๕) แสดงว่าความแปรปรวนเทา่ กัน คา่ t ทีใ่ ช้ คือ -๕.๓๙๓ ,df=๘๘ และ sig = . ๐๐๐ (sig < ๐.๐๕) ซงึ่ หมายความวา่ ครูอาจารย์ทีม่ เี พศต่างกันมีความวติ กกังวลในเหตุการณแ์ ตกต่างกันอย่าง มนี ัยสำคญั ทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ สว่ นตวั แปร PERFOM ก็อา่ นคา่ ในลกั ษณะเดยี วกนั ตัวอย่างที่ ๑ นักเรยี นในกรุงเทพฯจะมีทัศนะคติทางวิทยาศาสตร์ดกี ว่านกั เรียนในชนบท จากตัวอยา่ งที่ ๑ มตี ัวแปรที่เก่ียวขอ้ ง ๒ ตัว คือ ๑) ภูมลิ ำเนาของนักเรยี น (กรุงเทพฯ และชนบท) ๒) ทศั นะคติทางวทิ ยาศาสตร์ (วัดออกมาเป็นตัวเลข) คนท่ี ภูมลิ ำเนาของนกั เรยี น ทศั นะคติทางวิทยาศาสตร์ ๑ กรงุ เทพ ๔ ๒ กรุงเทพ ๒ ๓ ชนบท ๑

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรยี นรู้ ๘๐ ๔ กรงุ เทพ ๕ ๕ ชนบท ๓ ๖ กรุงเทพ ๒ ๗ ชนบท ๔ ๘ ชนบท ๒ ๙ ชนบท ๑ ๑๐ กรงุ เทพ ๓ ๑๑ กรงุ เทพ ๕ ๑๒ ชนบท ๔ ๑๓ กรงุ เทพ ๒ ๑๔ ชนบท ๓ ๑๕ กรงุ เทพ ๕ ๑๖ ชนบท ๕ ๑๗ ชนบท ๒ ๑๘ กรุงเทพ ๒ ๑๙ กรงุ เทพ ๑ ๒๐ ชนบท ๓ การตัง้ สมมุตฐิ าน H0 : 1 = 2 H1 : 1  2 โดยท่ี 1 คือ ค่าเฉลี่ยของทัศนะคติทางวิทยาศาสตรข์ องนักเรียนในกรุงเทพ 2 คือ ค่าเฉล่ยี ของทัศนะคติทางวทิ ยาศาสตรข์ องนักเรียนในชนบท สถติ ทิ จี่ ะใชใ้ นการทดสอบ คือ Independent t-test

การวจิ ัยเพือ่ พัฒนาการเรยี นรู้ ๘๑ ๕.๗ ขั้นตอนการวิเคราะห์ เปดิ โปรแกรม Spss จะได้ภาพท่ี ๒๑ ภาพที่ ๒๑ ทำการกำหนดช่ือตวั แปรและลงรหสั ขอ้ มูล (ตามขั้นตอนข้างตน้ ) ดงั ภาพท่ี ๒๒ ภาพที่ ๒๒

การวิจัยเพอื่ พัฒนาการเรียนรู้ ๘๒ คลิก Analyze > Compare Means > Independent-Sample T Test ดังภาพท่ี ๒๓ ภาพท่ี ๒๓ เพ่อื กำหนดกลมุ่ จะไดห้ นา้ จอดงั ภาพท่ี ๒๔ ทำการใส่ตัวแปรที่ต้องการวเิ คราะห์ ในช่อง Test Variable เลือกตัวแปร att ในช่อง Grouping Variable เลือกตัวแปร add แลว้ คลิก โดยท่ี Group ๑ ให้ใสเ่ ลข ๑ หมายถงึ กล่มุ กรงุ เทพ Group ๒ ให้ใส่เลข ๒ หมายถึงกล่มุ ชนบท

การวิจัยเพือ่ พัฒนาการเรียนรู้ ๘๓ คลกิ Continue แล้วคลิก OK ภาพท่ี ๒๔ ผลการวิเคราะห์จะไดด้ ังภาพที่ Group Statistics add N Mean Std. Std. Error ATT bankok 10 3.1000 Deviation Mean 10 2.8000 .4819 countryside 1.5239 .4163 1.3166 ตารางนแ้ี สดงค่าสถติ ิพื้นฐาน (ค่าเฉลี่ยและคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน) พบว่า ค่าเฉลี่ยทศั นคตทิ าง วทิ ยาศาสตรข์ องนักเรยี นกรงุ เทพมีค่า ๓.๑๐ ส่วนของนักเรียนชนบนมีค่า ๒.๘๐ Independent Samples Test Levene's Test for t-test for Equality of Means Equality of Variances 95% Confidence Interval of the Sig. Mean Std. Error Difference (2-tailed) Difference Difference F Sig. t df Lower Upper .854 .368 .471 18 .643 .3000 .6368 ATT Equal variances -1.0379 1.6379 assumed .471 17.628 .643 .3000 .6368 -1.0400 1.6400 Equal variances not assumed

การวิจัยเพอื่ พัฒนาการเรียนรู้ ๘๔ จากตารางจะแบง่ การทดสอบเปน็ ๒ กรณี กรณีที่ ๑ เป็นการทดสอบความแปรปรวนโดยใช้สถติ ิ F-test ซ่งึ มีสมมุตฐิ านดังน้ี H0 :12 = 22 H1 :12  22 พบวา่ คา่ สถติ ิ F-test = ๐.๘๔๕ และคา่ Sig = ๐.๓๖๘ ซง่ึ มากกว่า ๐.๐๕ ดังนน้ั จงึ สรปุ วา่ ยอมรับ สมมุตฐิ าน H๐ ดังน้นั สรปุ ว่า ความแปรปรวนของท้ังสองกลมุ่ เทา่ กันกัน กรณีที่ ๒ เป็นการทดสอบค่าเฉลย่ี โดยใชส้ ถติ ิ t-test ซึ่งมีสมมติฐาน ดงั นี้ H0 :1 = 2 H1 :1  2 พบวา่ คา่ สถิติ t-test = ๐.๔๗๑ และค่า Sig = ๐.๖๔๓ (๒-tailed) แต่เราตอ้ งการทดสอบทางเดียว ดังนั้นค่า Sig = ๐.๖๔๓/๒ = ๐.๓๒๑๕ (๑-tailed) ซงึ่ มากกวา่ ๐.๐๕ ดงั น้ันจงึ สรปุ ว่ายอมรับสมมุตฐิ าน H๐ ดังนัน้ สรุปว่า H0 :1 = 2 หมายความวา่ นักเรยี นในกรุงเทพฯจะมีทศั นะคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ท่ีเทา่ กับ (ไม่ แตกต่าง) กบั นกั เรยี นในชนบท การนำเสนอผลการวิเคราะห์ดว้ ย Independent t-test ตารางที่ ๓ แสดงการเปรียบเทียบทัศนคติทางวทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นในกรงุ เทพและชนบท เพศ จำนวน คา่ เฉลยี่ ค่าเบยี่ งเบน คา่ t Sig. มาตรฐาน กรุงเทพ ๑๐ ๓.๑๐ ๑.๕๒ ๐.๔๗๑ ๐.๓๒๒ ชนบท ๑๐ ๒.๘๐ ๑.๓๑ * P<๐.๐๕ จากการทดสอบ พบวา่ นกั เรยี นในกรงุ เทพฯ และในชนบทจะมที ัศนะคติทางวทิ ยาศาสตร์ที่ไม่ แตกตา่ งกันอยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถิติท่ี ๐.๐๕ กรณีท่ี ๒ กลมุ่ ตัวอยา่ งทั้ง ๒ สัมพนั ธก์ ัน เรยี กวา่ Pair t-test ถา้ กลุ่มตัวอย่างทง้ั ๒ สัมพนั ธ์กัน ในการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยสองคา่ ว่าแตกต่างกนั หรือไม่ โดยค่าเฉล่ีย ท้งั สองคา่ นว้ี ัดมาจากกลุ่มตัวอย่าง ๒ กล่มุ ท่สี มั พันธ์กัน โดยอาจจะวัดมาจากกลมุ่ ตัวอยา่ งกลมุ่ เดยี วกนั ๒ ครง้ั

การวจิ ยั เพอ่ื พัฒนาการเรียนรู้ ๘๕ หรอื วดั มากจากกลุม่ ตวั อยา่ ง ๒ กลุ่มท่ีได้มาจากการจบั คู่คณุ ลกั ษณะทเ่ี ท่าเทยี มกนั มีวธิ ีการคำนวณหาความ แตกตา่ งของค่าเฉล่ีย ดงั น้ี ลกั ษณะการต้ังสมมุตฐิ าน H0 : ก่อน = หลงั H1 : ก่อน  หลงั หรือ H0 : ก่อน = หลงั H1 : ก่อน > หลงั หรอื H0 : ก่อน = หลงั H1 : ก่อน < หลงั สูตรคำนวณ t= d โดยที่ d =  d และ Sd = (d − d) Sd n n −1 n df = n −1 การพจิ ารณาหากคา่ สถิติ t ที่คำนวณได้ไม่มีนัยสำคญั ทางสถติ ิ (Sig >  ) น่ันคือยอมรับ H๐ แสดงวา่ คา่ เฉล่ยี ก่อนและหลังไม่มีความแตกต่างกนั ถา้ คา่ t ที่คำนวณไดม้ ีนยั สำคัญทางสถติ ิ (Sig <  ) นั่นคอื ปฏเิ สธ H๐ ยอมรับ H๑ แสดงว่ามคี ่าเฉลี่ยกอ่ นและหลงั แตกต่างกนั (ก่อนมากกว่าหลัง หรอื ก่อนน้อยกว่าหลงั )

การวจิ ัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ๘๖ ขนั้ ตอนการทดสอบ t-test แบบกลุ่มตัวอยา่ งที่สมั พันธก์ ัน เปิดโปรแกรม SPSS Analyze > Compare Means > Paired-Sample T Test ดังภาพที่ ๒๕   ๑ ภาพที่ ๒๕ ผลจะได้ หน้าตา่ ง Paired Sample T test ดงั ภาพที่ ๒๖ ๑ เลอื กตวั แปร before ๒ เลอื กตัวแปร after ภาพท่ี ๒๖ ๓ ตวั แปร before และ after จะปรากฏในช่องน้ี

ต่อมาคลกิ จะไดภ้ าพท่ี ๒๗ แลว้ คลิก OK การวิจยั เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ๘๗ Click ปุม่ OK ภาพที่ ๒๗ ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู จะได้ดังภาพที่ ๒๘ ภาพท่ี ๒๘

การวจิ ยั เพอ่ื พัฒนาการเรยี นรู้ ๘๘ T-Test Paired Samples Statistics Mean N Std. Std. Error 50 Deviation Mean Pair BEFORE 6.1600 50 .2274 1.6081 1 AFTER 5.8600 .2741 1.9379 จากตารางเปน็ การแสดงสถิติพรรณนา (คา่ เฉล่ยี และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน) โดยท่ีตัวแปร BEFORE มี คา่ เฉลี่ย ๖.๑๐ และ AFTER มีคา่ เฉล่ีย ๕.๘๖ Paired Samples Correlations Pair 1 BEFORE & AFTER N Correlation Sig. 50 .197 .170 จากตารางแสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตัวแปร BEFORE และ AFTER ซึง่ มีความสมั พนั ธ์ ๐.๑๙๗ แตว่ ่า ไมม่ ีความสัมพนั ธ์กัน (Sig > ๐.๐๕) Paired Samples Test Paired Differences 95% Confidence Interval of the Std. Std. Error Difference Sig. Mean Deviation Mean Lower Upper t df (2-tailed) Pair 1 BEFORE - AFTER .3000 2.2610 .3198 -.3426 .9426 .938 49 .353 ผลการทดสอบสมมตฐิ านดว้ ย t-test จะเห็นวา่ คา่ t คอื ๐.๙๓๘ ,df=๔๙ และ sig = .๓๕๓ (sig > ๐.๐๕) ซงึ่ หมายความว่า ก่อนและหลังการทดสอบไมม่ ีความแตกตา่ งกันอยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิติท่ี ๐.๐๕ ตัวอยา่ งท่ี ๒ ผลการเรียนร้กู ่อนเข้าค่ายของนกั ศกึ ษาน้อยกวา่ ผลการเรียนรูห้ ลังเข้าค่ายของนักศึกษา จากตัวอย่างท่ี ๒ มีตัวแปรทีเ่ กย่ี วขอ้ ง ๒ ตัวคือ ๑) ผลการเรยี นรู้ก่อนเข้าคา่ ย (วัดออกมาเป็นตวั เลข) ๒) ผลการเรยี นร้หู ลงั เขา้ คา่ ย (วัดออกมาเป็นตัวเลข) คนที่ ผลการเรียนร้กู ่อนเขา้ คา่ ย ผลการเรียนรู้หลงั เขา้ คา่ ย ๑ ๔.๐๐ ๔.๐๐ ๒ ๘.๐๐ ๘.๐๐

๓ ๕.๐๐ การวจิ ัยเพ่อื พัฒนาการเรยี นรู้ ๘๙ ๔ ๔.๐๐ ๕ ๓.๐๐ ๗.๐๐ ๖ ๕.๐๐ ๕.๐๐ ๗ ๕.๐๐ ๖.๐๐ ๘ ๔.๐๐ ๓.๐๐ ๙ ๘.๐๐ ๒.๐๐ ๑๐ ๔.๐๐ ๕.๐๐ ๑๑ ๗.๐๐ ๘.๐๐ ๑๒ ๕.๐๐ ๗.๐๐ ๑๓ ๔.๐๐ ๙.๐๐ ๑๔ ๓.๐๐ ๖.๐๐ ๑๕ ๒.๐๐ ๕.๐๐ ๑๖ ๖.๐๐ ๘.๐๐ ๑๗ ๒.๐๐ ๔.๐๐ ๑๘ ๕.๐๐ ๕.๐๐ ๑๙ ๘.๐๐ ๗.๐๐ ๒๐ ๔.๐๐ ๘.๐๐ ๕.๐๐ ๖.๐๐ การตัง้ สมมตุ ิฐาน H0 : ก่อน = หลงั H1 : ก่อน < หลงั โดยท่ี ก่อนคือ คา่ เฉล่ยี ของผลการเรยี นรู้กอ่ นเข้าคา่ ยของนักศึกษา หลงั คือ ค่าเฉลย่ี ของผลการเรยี นรู้หลงั เข้าคา่ ยของนักศึกษา สถิติท่จี ะใชใ้ นการทดสอบ คือ Pair t-test

การวจิ ัยเพอื่ พัฒนาการเรยี นรู้ ๙๐ คำถามทา้ ยบท ๑.การจะจำแนกการวิเคราะห์ขอ้ มลู จำแนกได้กปี่ ระเภทอะไรบา้ งฯ ๒.กระบวนการทางสถติ ิ T-Test สามารถแบ่งการวเิ คราะห์ไดก้ ีก่ รณี อะไรบา้ งฯ ๓.การกำหนดค่าตัวแปรต้นและตัวแปรตามมีความสำคัญอย่างไรฯ ๔.การวเิ คราะห์ข้อมูลเชงิ อนุมานคืออะไร มปี ระโยชนอ์ ย่างไรฯ ๕.กรณเี ปรียบเทียบกลุ่มตวั อย่างสองกลุ่ม จะใชส้ ถิติการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไรฯ Paired Samples Correlations Pair 1 BEFORE & AFTER N Correlation Sig. 50 .197 .170 ๖.จากภาพด้านบนมีความหมายวา่ อย่างไรฯ Paired Samples Test Paired Differences 95% Confidence Interval of the Std. Std. Error Difference Sig. Deviation Mean (2-tailed) Mean Lower Upper t df .3000 .938 49 .353 Pair 1 BEFORE - AFTER 2.2610 .3198 -.3426 .9426 ๗.จากภาพด้านบนมีความหมายว่าอยา่ งไรฯ

บทท่ี ๖ การวเิ คราะหด์ ้วย Paired T-Test วตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ประจำบท เมือ่ ได้ศกึ ษาเน้ือหาในบทนแี้ ล้ว ผเู้ รยี นสามารถ ๑. อธบิ ายการเปิดโปรแกรม SPSS ได้ ๒. บอกทำการกำหนดชื่อตวั แปรและลงรหัสข้อมลู ได้ ๓. อธบิ ายการวิเคราะหข์ ้อมลู ได้ ๔. อธบิ ายการนำเสนอผลการวิเคราะหไ์ ด้ ขอบข่ายเนือ้ หา • การเปิดโปรแกรม SPSS • การกำหนดช่ือตวั แปรและลงรหัสขอ้ มลู • การวิเคราะห์ข้อมูล • การนำเสนอผลการวิเคราะห์

การวจิ ยั เพ่ือพัฒนาการเรยี นรู้ ๙๒ ๖.๑ เปิดโปรแกรม Spss จะได้ภาพที่ ๒๙ ภาพท่ี ๒๙ ๖.๒ ทำการกำหนดชือ่ ตวั แปรและลงรหสั ขอ้ มลู (ตามขน้ั ตอนข้างต้น) ดงั ภาพที่ ๓๐ ภาพที่ ๓๐

การวิจัยเพื่อพฒั นาการเรยี นรู้ ๙๓ ๖.๓ วิเคราะหข์ อ้ มลู คลิก Analyze > Compare Means > Paired-Sample T Test ดังภาพที่ ๓๑ ภาพท่ี ๓๑ จะไดห้ นา้ จอดังภาพท่ี ๓๒ ทำการเลอื กตัวแปรทตี่ ้องการวเิ คราะห์ ในที่นเี้ ลือก before และ after แล้วคลดิ OK ภาพที่ ๓๒