๙๓ ๘.๓ หลกั การพัฒนาจิตและเจริญปัญญาแบบสตปิ ฏั ฐาน ๔ ในหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา การพัฒนาจิตและเจริญปัญญามีหลายลักษณะ แต่หลักสติปัฏฐาน ๔ หรืออานาปานสติ เปน็ หลักที่สำคัญอยา่ งย่ิง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงเจริญอานาปานสติแลว้ บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูเสมอ แม้เมื่อทรงบรรลุแล้ว ก็เจริญกรรมฐานวิธีนี้จนวาระปรินพิ พาน กรรมฐานนเี้ จริญง่ายกวา่ วิธีอ่ืนใดในบรรดาสมถ กรรมฐาน ๔๐ อย่าง พระ พุทธองค์ทรงสรรเสริญกรรมฐานน้ีว่าดีเลิศกว่าสมถกรมฐานอ่ืน ทั้งพระอรรถกถาจารย์ก็เรียนกรรมน้ีว่า มหาปุริสภูมิ (ทีต่ ัง้ ของมหาบุรษุ )๖ ๘.๓.๑ ประโยชน์ของอาปานะ(สติปฏั ฐาน) หาบุคคลเจริญอานาปานสิกรรมฐานเป็นเวลานานจนกระทั่งประสบผลสำเร็จ การเจรญิ สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ และวชิ ชาพร้อมท้ังวมิ ุตติเป็นอันสำเรจ็ เชน่ ดังพระบาลวี า่ : “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเจริญสติในลมหายใจเข้าออก กระทำให้มาก ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ เมื่อ บุคคลเจริญสติปัฏฐาน ๔ กระทำให้มาก ย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ เม่ือบุคคลบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ กระทำให้ มาก ย่อมบำเพ็ญวชิ ชา (มรรคญาณ) และวมิ ุตติ (ผลญาณ)”๗ ๘.๓.๒ การเรมิ่ ปฏบิ ตั ิ การน่ังขัดสมาธิคู้บัลลังก์เป็นอิริยาบถท่ีเหาะสมกับการกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นพิเศษ แม้ใน อิรยิ าบถอ่นื ก็พงึ กำหนมดดว้ ยเช่นกนั ดงั คำว่า: “ภิ กษุ ใน ศ าสน าน้ี เข้าไป สู่ป่ า โคน ไม้ เรือ น ว่าง แล้วนั่ งคู้ บั ล ลังก์ ต้ังก ายตรง ดำรง สตไิ วเ้ ฉพาะ หนา้ ต่อลมหายใจเข้าออก”๘ ๘.๓.๓ หลกั การปฏบิ ตั ิขั้นพ้นื ฐาน ๑.นัยจากพระบาลี วิธเี จริญอานาปานะตามปรากฏตามนัยจากพระบาลี ในอุปรมิ ปัณณาสก์ อานา ปาสติสตู ร มี ๔ แบบคือ การปฏบิ ัตขิ ้นั พื้นฐาน การบรรลุฌานตามลำดบั การเขา้ ฌานและการเจริญวิปสั สนา ในท่นี จี้ ะ กล่าวเฉพาะการปฏบิ ตั ขิ ัน้ พืน้ ฐาน มี ๔ ลักษณะคอื (๑) โส สโตว อสฺสสติ. สโตว ปสฺสสต.ิ ๖ พระญาณธชะ(เลดี สยาดอ) ,อานาปานสติทีปนี,(สานกั เรียนวดั ท่ามะโอ ลาปาง,๒๕๔๙) หนา้ ๘. ๗ ม.อุ.(ไทย) ๑๔/๑๔๗/๑๓๒. ๘ ม.อุ.(บาล)ี ๑๔/๑๔๘/๑๓๒.
๙๔ (มสี ติอยู่ ยอ่ มหายใจเข้า มีสตอิ ยู่ ยอ่ มหายใจออก) (๒) ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต ทีฆํ ปสสฺ สามีติ ปชานาติ. ( เม่ือหายใจเขา้ ยาว ยอ่ มรวู้ า่ หายใจเขา้ ยาว ) ทฆี ํ วา ปสฺสสนฺโต ทีฆํ อสสฺ สามีติ ปชานาต.ิ (เมื่อหายใจออกยาว ย่อมรูว้ า่ หายใจออกยาว) รสฺสํ วา อสฺสสนโฺ ต รสฺสํ อสสฺ สามตี ิ ปชานาติ. (เมอ่ื หายใจเข้าส้นั ย่อมรวู้ า่ หายใจเข้าสน้ั ) รสฺสํ วา อสสฺ สนโฺ ต รสสฺ ํ อสสฺ สามตี ิ ปชานาติ. (เม่อื หายใจออกส้นั ย่อมร้วู า่ หายใจออกสัน้ ) (๓) สพพฺ กายปฏสิ เํ วที อสฺสสสิ ฺสามตี ิ สิกขฺ ต.ิ (เธอย่อมสำเหนยี กว่า จักรชู้ ัดกองลมท้ังปวง ขณะหายใจเข้า) สพฺพกายปฏิสํเวที ปสสฺ สิสสฺ ามีติ สกิ ฺขติ. (เธอยอ่ มสำเหนียก ว่าจกั รู้ชดั กองลมทัง้ ปวง ขณะหายใจออก) (๔) ปสสฺ มภฺ ยํ กายสงขฺ ารํ อสสฺ สสิ ฺสามีติ สกิ ฺขต.ิ (เธอ ยอ่ มสำเหนียกวา่ จักระงับลมหายใจ ขณะหายใจเข้า) ปสสฺ มภฺ ยํ กายสงฺขารํ ปสสฺ สสิ สฺ ามตี ิ สกิ ขฺ ติ. (เธอยอ่ มสำเหนียกวา่ จักระงับลมหายใจ ขณะหายใจออก) ข้อความขา้ งต้นหมายความว่า และท่สี ดุ (๑) ระยะแรก พงึ เจริญสตกิ ำหนดร้ลู มหายใจเข้าออก (๒) ระยะท่ี ๒ พึงพยายามรับรคู้ วามยาวสั้นของลมหายใจ (๓) ระยะท่ี ๓ พึงกำหนดรู้ลมหายใจเขา้ ออกใหช้ ดั เจนท้ังสามระยะคือ เบื้องต้น ท่ามกลาง (๔) ระยะท่ี ๔ พงึ ผ่อนลมหายใจหยาบ แลว้ กำหนดไปจนลมหายใจละเอยี ดมากขึน้ ๙ ๒.นัยจากคัมภีร์อรรถกถา วิธีเจริญอานาปานะตามปรากฏตามนัยจากพระบาลี มี ๓ ลักษณะ คือ๑๐ (๑) คณนานัย การนับลมหายใจอย่างชา้ และเรว็ ไปตามลำดบั การนับช้ามี ๖ วาระเช่น การนับ ๑ ถงึ ๕ (เช่น หายใจเขา้ นับ ๑ หายใจออกนับ ๒ เปน็ ต้น จนถงึ หายใจเขา้ นับ ๕) (๒) อนุพันธนานัย การต้ังจิตจดจอ่ ในที่ลมกระทบ แลว้ ติดตามรู้ลมหายใจเข้าอออย่างต่อเน่ือง โดย ไม่ตอ้ งนับเหมอื นคณนานัย ๙ พระญาณธชเถระ,อานาปานทีปนี, ( วดั ทา่ มะโอ ลาปาง,๒๕๔๒ ) หนา้ ๑๒. ๑๐ พระญาณธชเถระ,อานาปานทีปน,ี ( วดั ทา่ มะโอ ลาปาง,๒๕๔๒ ) หนา้ ๑๓-๑๖.
๙๕ (๓) ฐปนานัย มีความหมายว่า ปฏิภาคนิมิตน้ันเป็นบัญญัติพิเศษท่ีปรากฏขึ้นเหมือนอารมณ์ใหม่ มิใช่สภาวธรรมที่มีอยู่จริง จึงดับไปง่าย เมื่อดับแล้วก็เกิดใหม่ยาก นัปฏิบัติจึงควรตั้งจิตไว้มั่นในลมหายใจ ที่เป็น ปฏิภาคนิมิตไมใ่ หด้ ับไป และทำให้ปรากฏชดั เจนย่ิงข้นตามลดบั ๘.๔ ตัวอย่างการสอนตามหลกั การพัฒนาจิตและเจริญปญั ญา ๘.๔.๑ วิธีสมาทานกรรมฐาน ผจู้ ะเข้าปฏบิ ัตวิ ปิ ัสสนากัมมัฏฐานควรทราบกิจเบอ้ื งต้นให้เขา้ ใจก่อน คอื (๑) ควรตัดปลิโพธ คือตดั ความหว่ งใย ความกงั วลกับภารกจิ ตา่ ง ๆ ใหห้ มดไป (๒) ในวันที่จะเข้าปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ให้จัดเตรียมดอกไม้ธูปเทียนไป ถวายสักการะ ตอ่ พระอาจารย์ผใู้ ห้พระกัมมัฏฐาน (๓) จุดเทยี น ธูป บชู าพระรัตนตรัย (๔) ถ้าหากว่าผู้ท่ีจะสมาทานเป็นพระภิกขุ ให้แสดงอาบัติก่อน ถ้าหากว่าเป็นอุบาสก อบุ าสกิ า ให้สมาทานศีล (๕) มอบกายถวายชวี ติ ตอ่ พระรตั นตรัย โดยการกล่าว ดงั น้ี อมิ าหํ ภควา อตตฺ ภาวํ ตมุ หฺ ากํ ปรจิ ฺจชามิฯ แปล : ข้าแต่สมเด็จพระผู้มิพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ ขอมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (๖) มอบกายถวายตนต่อพระอาจารย์ โดยการกลา่ ว ดังนี้ อมิ าหํ อาจรยิ อตตฺ ภาวํ ตมุ หฺ ากํ ปรจิ ฺจชามิ ฯ แปล: ข้าแต่พระอาจารย์ผู้เจริญ ข้าพระเจ้า ขอมอบกายถวายตนต่อครูบาอาจารย์ เพื่อเจริญ วปิ ัสสนากัมมัฏฐาน (๗) ขอพระกมั มฏั ฐาน โดยการกลา่ ว ดงั นี้ นพิ พฺ านสฺส เม ภนเฺ ต สจฺฉกิ รณตฺถาย กมฺมฏฺฐานํ เทหิ ฯ (๘) คำแผเ่ มตตา อ หํ สุ ขิ โต โห มิ , นิ ทฺ ทุ กฺ โข โห มิ , อ เว โร โห มิ , อ พฺ ย าป ชฺ โฌ โห มิ , อนีโฆ โหมิ, สขุ ี อตตฺ านํ ปริหรามิ ฯ แปล: ขอให้ข้าเจา้ ถึงความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มเี วร ไมม่ ภี ยั ไม่มีความ เบยี ดเบียนซึ่งกนั และกัน ไม่มคี วามลำบาก ไมม่ ีความเดือนร้อน ขอให้มคี วามสขุ รักษาตนอยู่เถดิ สพเฺ พ สตฺตา สขุ ติ า โหนฺต,ุ นทิ ฺทุกฺขา โหนฺตุ, อเวรา โหนฺตุ, อพยฺ าปชฌฺ า โหนฺต,ุ อนีฆา โหนฺตุ ฯ แปล: ขอให้สัตว์ทัง้ หลายทุกตัวตน ตลอดจนเทพบุตรเทพธดิ าทกุ องค์ พระภกิ ขุสามเณรและผู้ปฏิบัติ พระกัมมฏั ฐานทุก ๆ ท่าน จงเป็นผู้มคี วามสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไมม่ ีภัย ไมม่ ีความเบียดเบียนซ่ึงกนั และกัน ไมม่ ีความลำบาก ไมม่ คี วามเดอื ดรอ้ น ขอใหม้ คี วามสุข รักษาตนอยเู่ ถดิ ฯ
๙๖ อทธฺ ุวํ เม ชวี ิตํ, ธุวัง มรณ,ํ อวสฺสํ มยา มริตพพฺ ,ํ มรณปริโยสานํ เม ชีวิต,ํ ชวี ิตเมว อนยิ ตํ, มรณํ นยิ ตํ ฯ แปล: ชีวิตเราเป็นของไม่ย่ังยืน ความตายเป็นของย่ังยืน เราจะต้องตายแน่ เพราะว่าชีวิตเรามีความ ตายเปน็ ทสี่ ุด ชีวติ เปน็ ของไม่แน่นอน ความตายเป็นของแนน่ อน เป็นโชคอันดีทีเ่ ราได้เข้ามาปฏิบัตวิ ิปัสสนากมั มัฏฐาน ในโอกาสบดั นี้ไมเ่ สียทที ไี่ ด้เกดิ มาพบพระบวรพระพุทธศาสนาฯ (๙) ตง้ั สัจจะอธษิ ฐานต่อพระรตั นตรยั และปฏญิ าณตอ่ ครบู าอาจารย์โดยกล่าวดงั นี้ เยเนว ยนตฺ ิ นิพพฺ านํ พุทธฺ า เตสญจฺ สาวกา เอกายเนน มคฺเคน สตปิ ฏฐฺ านสญญฺ ินา ฯ แปล: พระพุทธเจ้าและเหลา่ พระอรยิ สาวก ได้ดำเนนิ ไปสู่พระนพิ พานด้วยหนทางนี้ อนั เป็นทางสาย เอก ซึ่งนักปราชญ์บัณฑิตทั้งหลายรู้ทั่วกันแล้ว ว่าได้แก่สติปัฏฐาน ๔ ข้าพเจ้า ขอต้ังสัจจะอธิษฐานต่อพระรัตนตรัย และปฏิญาณตนต่อครูบาอาจารย์ว่า ต้ังแต่นี้ต่อไป ข้าพเจ้าจะตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ จริง ๆ เท่าท่ีตนสามารถ เทา่ ทีต่ นจะมีโอกาสปฏบิ ตั ไิ ด้ เพอ่ื ใหไ้ ด้บรรลมุ รรค ผล นิพพาน เจรญิ รอยตามพระพุทธองคท์ ่าน อิมาย ธมฺมานุธมมฺ ปฏปิ ตฺตยิ า รตนตตฺ ยํ ปเู ชมิ ฯ แปล: ข้าพเจ้าขอบูชาพระรัตนตรัย ด้วยการปฏิบัติธรรมให้สมควรแกมรรค ผล นิพพานนี้ ด้วย สัจจะวาจาท่ีกลา่ วอา้ งมานี้ ขอให้ขา้ พเจ้าได้บรรลุ มรรค ผลนพิ พาน ดว้ ยเทอญฯ (๑๐) สวดพุทธคุณ ธรรมคณุ สงั ฆคณุ (๑๑) ถา้ อยใู่ นปา่ อยใู่ นถ้ำ ใหส้ วดมนต์ บทกรณเี มตตสตู ร ขันธปรติ ร อาฏานาฏยิ สูตร ๘.๓.๒ ขนั้ ปฏิบัตกิ รรมฐาน ๑) ขั้นตอนฝึกหัดที่ ๑ (๑) เวลาน่งั ให้กำหนดท่ีทอ้ ง ซ่งึ พองข้ึนในเวลาหายใจเข้าและยุบลงในเวลาหายใจออก นึกอยู่ในใจว่า พองหนอ ยุบหนอ ตามจังหวะท่ที อ้ งพองและยุบ (๒) เวลานอน ใหก้ ำหนดที่ทอ้ งวา่ พองหนอ ยุบหนอ เช่นเดยี วกนั (๓) เวลายืน ให้กำหนดว่า ยืนหนอ ยืนหนอ ยนื หนอ (๔) เวลาเดินจงกรม ให้กำหนดเป็นระยะ คือ ขณะก้าวเท้าซ้ายให้กำหนดว่า ซ้ายย่างหนอ ตาเพ่งดู ปลายเท้า เมื่อเดินไปจนสุดท่ีจงกรมจะกลับ ให้ยืนกำหนดว่า ยืนหนอ ยืนหนอ ยืนหนอ ต่อจากน้ันให้กลับตัว ในขณะ กลับตัว ให้กำหนดว่า กลับหนอ กลับหนอ เม่ือกลับแล้วยืนอยู่ให้กำหนดว่า ยืนหนอ ยืนหนอ ยืนหนอ เม่ือเดิน จงกรมต่อไปให้กำหนดเหมอื นเดมิ อีก เดนิ ไปจนสดุ ท่ีกำหนดไว้ ๒) ข้ันตอนฝึกหัดท่ี ๒ (๑) เวลานงั่ ใหก้ ำหนดเปน็ ๓ ระยะคอื พองหนอ ยุบหนอ น่งั หนอ (๒) เวลานอน ให้กำหนดเปน็ ๓ ระยะ คอื พองหนอ ยบุ หนอ นอนหนอ (๓) เวลายนื ให้กำหนดวา่ ยนื หนอ ยืนหนอ จนกว่าจะเดนิ หรอื นัง่
๙๗ (๔) เวลาเดิน ใหท้ ำตามแบบฝึกหัดที่ ๑ ประมาณ ๓๐ นาที ก่อนแลว้ ใหเ้ ปล่ยี นวิธีกำหนดใหม่ คอื ขณะ ก้าวเทา้ ขวาหรอื ซ้ายไปใหก้ ำหนดเปน็ ๒ ระยะว่า ยกหนอ เหยียบหนอ ประมาณ ๑ ช่วั โมง ๓) ขัน้ ตอนฝึกหัดท่ี ๓ (๑) เวลาน่ัง ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะ คือ พองหนอ ยุบหนอ ถูกหนอ เพ่งใจจดตรงท่ีถูกน้ันเป็นรูป กลมประมาณเท่าเหรยี ญ ๑ บาทใหจ้ ติ จดจ่ออยตู่ รงนั้น (๒) เวลานอน ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะ คอื พองหนอ ยุบหนอ นอนหนอ ถูกหนอ (๓) เวลาเดิน ให้กำหนดตามแบบฝึกหัดที่ ๑ – ๒ – ๓ ก่อนประมาณแบบละ ๒๐ นาที แล้วให้เปลี่ยน วิธีกำหนดใหม่ คือขณะก้าวขวาหรอื ซา้ ยไป ใหก้ ำหนดเปน็ ๔ ระยะว่า ยกสน้ หนอ ยกหนอ เหยียบหนอ ประมาณ ๓๐ นาที (๔) ให้กำหนดว่า ขวายา่ งหนอ ซา้ ยยา่ งหนอ ประมาณ ๒๐ นาที (๕) ใหก้ ำหนดว่า ยกหนอ เหยยี บหนอ ประมาณ ๒๐ นาที (๖) ให้กำหนดว่า ยกหนอ ย่างหนอ เหยยี บหนอ ประมาณ ๒๐ นาที ๔) ขัน้ ตอนฝึกหดั ที่ ๔ (๑) เวลาน่ัง ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะ คือ พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ เหมือนแบบท่ี ๓ แต่มี พเิ ศษออกไปอีกเฉพาะบทที่ว่าถูกหนอ คือ กำหนดให้กำหนดซำ้ หลาย ๆ เท่ยี ว เช่น พองหนอ นงั่ หนอ ถูกหนอ ๆ (๒) เวลานอน ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะ คอื พองหนอ นอนหนอ ถูกหนอ (๓) เวลายนื ใหก้ ำหนดว่า ยนื หนอ ยนื หนอ ยนื หนอ (๔) เวลาเดิน ให้กำหนดตามแบบฝึกหัดที่ ๑-๒-๓ ก่อน ประมาณแบบละ ๒๐ นาทีแล้วให้เปล่ียนวิธี กำหนดใหม่ คือ ขณะก้าวขวาหรือซ้ายไป ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะว่า ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหน อ ประมาณ ๓๐ นาที - ใหก้ ำหนดว่า ขวายา่ งหนอ ซา้ ยยา่ งหนอ ประมาณ ๒๐ นาที - ให้กำหนดว่า ยกหนอ เหยียบหนอ ประมาณ ๒๐ นาที - ให้กำหนดว่า ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ประมาณ ๒๐ นาที - ให้กำหนดว่า ยกสน้ หนอ ยกหนอ ยา่ งหนอ เหยียบหนอ ประมาณ ๓๐ นาที ๕) ขนั้ ตอนฝึกหัดที่ ๕ (๑) เวลานัง่ ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะ คือ พองหนอ ยุบหนอ นงั่ หนอ ถูกหนอ กายถกู ทีไ่ หนให้กำหนดท่ี จดุ นั้น เช่น (๒) พองหนอ ยบุ หนอ นง่ั หนอ ถูกหนอ หมายถึง กน้ กบซ้ายถูกหรือสัมผัสกับพื้น (๓) พองหนอ ยุบหนอ นงั่ หนอ ถูกหนอ หมายถงึ กน้ กบขวาถูกหรือสัมผสั กับพ้ืน (๔) พองหนอ ยุบหนอ น่งั หนอ ถกู หนอ หมายถึง เข่าขวาถกู หรือสมั ผสั กบั พื้น (๕) พองหนอ ยุบหนอ นัง่ หนอ ถกู หนอ หมายถึง เข่าซา้ ยถูกหรือสมั ผัสกบั พื้น (๖) พองหนอ ยบุ หนอ น่ังหนอ ถกู หนอ หมายถึง ตาต่มุ ขวาถกู หรือสมั ผัสกับพ้นื (๗) พองหนอ ยบุ หนอ น่งั หนอ ถกู หนอ หมายถงึ ตาตุม่ ซ้ายถูกหรอื สัมผัสกบั พื้น
๙๘ (๘) เวลานอน ให้กำหนดเปน็ ๔ ระยะ เช่นเดยี วกนั (๙) เวลายืน ให้กำหนดว่า ยืนหนอ ยืนหนอ เวลาเดิน ให้กำหนดแบบฝึกหัดท่ี ๑-๒-๓-๔ แบบละ ๒๐ นาที แล้วให้เปลี่ยนวิธีกำหนดใหม่ คือขณะก้าวเท้าขวาหรือซ้ายไป ให้กำหนด เป็น ๕ ระยะว่า ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ ประมาณ ๒๐ นาที ดังตัวอยา่ งน้ี คอื - ใหก้ ำหนดว่า ขวายา่ งหนอ ซา้ ยย่างหนอ ประมาณ ๒๐ นาที - ใหก้ ำหนดว่า ยกหนอ เหยยี บหนอ ประมาณ ๒๐ นาที - ใหก้ ำหนดว่า ยกหนอ ย่างหนอ เหยยี บหนอ ประมาณ ๒๐ นาที - ให้กำหนดว่า ยกสน้ หนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยยี บหนอ ประมาณ ๒๐ นาที - ใหก้ ำหนดวา่ ยกสน้ หนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถกู หนอ ประมาณ ๒๐ นาที ๖) ข้นั ตอนฝึกหดั ท่ี ๖ (๑) เวลานั่ง ใหก้ ำหนดดงั นี้ คอื (๒) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ หมายถงึ กน้ กบขวาถูกหรือสัมผัสกับพ้นื (๓) พองหนอ ยบุ หนอ น่ังหนอ ถกู หนอ หมายถงึ ก้นกบซา้ ยถกู หรอื สัมผสั กบั พนื้ (๔) พองหนอ ยบุ หนอ น่ังหนอ ถูกหนอ หมายถงึ เขา่ ขวาถูกหรือสัมผัสกับพน้ื (๕) พองหนอ ยบุ หนอ นง่ั หนอ ถูกหนอ หมายถึงเข่าซา้ ยถูกหรือสมั ผสั กบั พืน้ (๖) พองหนอ ยบุ หนอ นง่ั หนอ ถกู หนอ หมายถึง ตาต่มุ ซา้ ยถกู หรอื สัมผสั กับพืน้ (๗) พองหนอ ยบุ หนอ นง่ั หนอ ถกู หนอ หมายถงึ ตาตุ่มขวาถูกหรือสมั ผสั กับพ้นื (๘) พองหนอ ยบุ หนอ นั่งหนอ ถูกหนอ หมายถงึ จีไ้ ปตามตัว เปน็ แหง่ ๆ ไป (๙) เวลานอน ให้กำหนดดังนี้คอื พองหนอ ยบุ หนอ นอนหนอ ถูกหนอ (๑๐) เวลายนื ใหก้ ำหนดว่า ยนื หนอ ยืนหนอ ยนื หนอ (๑๑) เวลาเดิน ใหก้ ำหนดวา่ ดงั นค้ี ือ - ให้กำหนดว่า ขวายา่ งหนอ ซ้ายย่างหนอ ประมาณ ๕ นาที - ให้กำหนดวา่ ยกหนอ เหยียบหนอ ประมาณ ๕ นาที - ใหก้ ำหนดว่า ยกหนอ ย่างหนอ เหยยี บหนอ ประมาณ ๑๐ นาที - ใหก้ ำหนดว่า ยกส้นหนอ ยกหนอ ยา่ งหนอ เหยียบหนอ ประมาณ ๑๐ นาที - ให้กำหนดว่า ยกส้นหนอ ยกหนอ ยา่ งหนอ ลงหนอ ถกู หนอ ประมาณ ๑๐ นาที - ให้กำหนดเพิ่มใหม่เป็น ๖ ระยะ ว่า ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ กดหนอ ประมาณ ๒๐ นาที ๗) ข้นั ตอนฝกึ หดั ที่ ๗ (๑) เม่ือเดินจงกรมไปสุดทางแล้ว หยุดยืนจะหันกลับ เวลาหยุดให้กำหนดว่า อยากหยดุ หนอหยุดหนอ เวลากลับให้กำหนดว่า อยากจะกลับหนอ อยากจะกลับหนอ เม่ือกลับให้กำหนดว่า กลับหนอ กลับหนอ เวลายืนอยู่ ให้กำหนดวา่ ยืนหนอ ยนื หนอ แลว้ จงึ เดินและกำหนดเหมอื นตวั อยา่ งดังนี้ คือ
๙๙ (๒) เวลาจะเหลียวซ้ายหรือขวาเป็นต้น ให้กำหนดว่า อยากเหลียวหนอ ขณะเหลียวให้กำหนดว่า เหลยี วหนอ (๓) เวลาจะคู้ จะเหยยี ด ใหก้ ำหนดวา่ อยากคูห้ นอ อยากเหยียดหนอ ขณะคู้หรือเหยยี ด ใหก้ ำหนดว่า คูห้ นอ ๆ เหยยี ดหนอ ๆ (๔) เวลาจะจับสิ่งของต่าง ๆ เช่น ผ้านุ่ง ผ้าห่ม บาตร ถ้วย เป็นต้น ให้กำหนดวา่ เห็นหนอ อยากจับ หนอ ขณะยื่นมือไปให้กำหนดว่า ถูกหนอ ขณะจับให้กำหนดว่า จับหนอ จับหนอ ขณะจับของแล้วหยิบยกมา ให้ กำหนดว่า มาหนอ มาหนอ เปน็ ต้น (๕) เวลาจะบรโิ ภคอาหาร ดื่ม เค้ยี ว ใหก้ ำหนดทำนองเดยี วกนั ตวั อย่าง เช่น - ขณะเห็นอาหาร ให้กำหนดวา่ เห็นหนอ ๆ - ขณะอยาก ให้กำหนดว่า อยากหนอ ๆ - ขณะยนื่ มอื ไปให้กำหนดว่า ไปหนอ ๆ - ขณะมอื ถกู ใหก้ ำหนดว่าถกู หนอ ๆ - ขณะจบั ใหก้ ำหนดวา่ จบั หนอ ๆ - ขณะยกขึน้ ใหก้ ำหนดวา่ ยกหนอ ๆ - ขณะอา้ ปาก ใหก้ ำหนดว่า อา้ หนอ ๆ - ขณะถูกปาก ใหก้ ำหนดว่า ถกู หนอ ๆ - ขณะเคย้ี ว ให้กำหนดว่า เคี้ยวหนอ ๆ - ขณะกลนื ใหก้ ำหนดว่า กลืนหนอ ๆ - ขณะหมด ใหก้ ำหนดว่า หมดหนอ ๆ (๖) เวลาถา่ ยอุจจาระ ปัสสาวะ ให้กำหนดว่า อยากถา่ ยหนอ กำลังถ่ายใหก้ ำหนดว่า ถา่ ยหนอ ๆ (๗) เวลาจะเดนิ ยนื จะหลับ ตน่ื เปน็ ตน้ ให้กำหนดว่า อยากเดิน....เปน็ ต้น ๘) ข้นั ตอนฝกึ หัดท่ี ๘ (๑) ขณะเห็น ให้กำหนดวา่ เห็นหนอ ๆ (๒) ขณะไดย้ ิน ใหก้ ำหนดว่า ได้ยินหนอ ๆ (๓) ขณะไดก้ ลิ่น ใหก้ ำหนดวา่ ไดก้ ลนิ่ หนอ ๆ (๔) ขณะไดล้ ม้ิ รส ใหก้ ำหนดวา่ รสหนอ ๆ (๕) ขณะกายถูกตอ้ ง ใหก้ ำหนดว่า ถูกหนอ ๆ (๖) ขณะคิด ให้กำหนดวา่ คิดหนอ ๆ ๙) ขั้นตอนฝึกหดั ท่ี ๙ (๑) ขณะท่ีน่ังกำหนดว่า พองหนอ ยุบหนอ ถ้าทุกขเวทนาอย่างใดอย่างหน่ึงเกิดขึ้น ให้หยุดกำหนดว่า พองหนอ ยุบหนอ น้ันไว้ก่อน แล้วไปกำหนดทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นน้ัน เช่น เจ็บปวด เม่ือย เป็นต้น ให้กำหนดว่า ปวด หนอ ๆ เมอื่ ยหนอ ๆ เจบ็ หนอ ๆ ถ้าเวทนากลา้ ทนไม่ได้ ให้หยุดกำหนดเวทนานนั้ เสยี กลับไปกำหนดว่า พองหนอ ยุบ หนอ ต่อ ถา้ เวทนาไม่หายจึงพลิกหรือเปลย่ี นอิรยิ าบถ
๑๐๐ (๒) ถ้าความสบายเกดิ ขึน้ ใหก้ ำหนดวา่ สบายหนอ ๆ (๓) เวลานอน เวลายืน ถ้าความสบาย หรือความไม่สบาย หรือเฉย ๆ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดข้ึน ให้ กำหนดไปตามอย่างน้ันว่า สบายหนอ ไม่สบายหนอ เฉย ๆ หนอ ๑๐) ขั้นตอนฝกึ หดั ที่ ๑๐ (๑) ถ้าเกิดอยากได้อะไรขึน้ ให้กำหนดวา่ อยากได้หนอๆ หรอื วา่ โลภหนอ ๆ (๒) ถ้านั่งนอนไม่ชอบ อยากจะลุกข้ึนหรือเห็นสิ่งใดส่ิงหน่ึงคิดส่ิงใดส่ิงหน่ึงแล้วไม่ชอบใจให้กำหนดว่า ไม่ชอบหนอ ๆ หรือ (๓) ถา้ ง่วงนอน ให้กำหนดวา่ งว่ งหนอ ๆ (๔) ถา้ จิตฟุ้งซ่าน ให้กำหนดว่า ฟ้งุ ซา่ นหนอ ๆ (๕) ถ้าสงสัย ให้กำหนดวา่ สงสยั หนอ ๆ (๖) ถา้ ความโลภ ความโกรธ ความฟ้งุ ซา่ น ความสงสัยเปน็ ตน้ ปราศจากไปให้กำหนดรเู้ ชน่ กนั (๗) เวลาเดินจงกรม ถ้าจติ เกิดฟุ้งซ่านมาให้หยุดเดินแล้วกำหนดว่า ฟุ้งหนอ ๆ เมื่อความฟุ้ง นน้ั หายไปแลว้ จงึ กลบั มากำหนดตอ่ ไป ๑๑) ข้นั ตอนฝกึ หดั ที่ ๑๑ (๑) ถ้าจิตยินดีต่อรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ พึงรู้ว่า เป็นความยินดีต่อกามคุณทั้ง ๕ ให้ กำหนดว่า ยินดหี นอ ๆ (๒) เมอ่ื จติ คิดเบยี ดเบยี นเกิดข้นึ พึงรู้ว่า เปน็ โผฏฐัพพะ หรือ พยาบาท ใหก้ ำหนดโทสะหนอ ๆ หรือพยาบาทหนอ ๆ (๓) เมือ่ จติ ฟุง้ ซา่ น รำคาญ เสียใจ พึงรวู้ ่าเป็นอทุ ธจั จกจุ จะ ให้กำหนดว่า ฟุ้งซ่านหนอ ๆ (๔) เมื่อความสงสัยในรูปนาม ปรมัตถ์ บัญญัติ เกิดขึ้น พึงรู้ว่า เป็นวิจิกิจฉา ให้กำหนดว่า สงสัยหนอ ๆ ๑๒) ขน้ั ตอนฝึกหัดที่ ๑๒ (๑) เวลาน่ัง ให้กำหนดว่า อยากน่ังหนอ ๆ แล้วจึงค่อย ๆ ย่อตัวลงเป็นระยะ ๆ พร้อมกับ กำหนดวา่ นั่งหนอ ๆ จนกวา่ จะถึงพ้นื กำหนด ใหป้ ระมาณ ๘-๙ – ๑๐ ระยะ (๒) เมื่อกำหนด พองหนอ ยบุ หนอ น่งั หนอ ถูกหนอ อยเู่ กิดคันขน้ึ ให้กำหนดว่า คันหนอ ๆ เมื่อกำหนดแล้วยังไม่หายคัน อยากจะเกาให้กำหนดว่า อยากเกาหนอ ๆ ขณะเกา ให้กำหนดว่า เกาหนอ ๆ เม่ือ อาการคนั หายไปแลว้ ให้กำหนดหายหนอ ๆ ยบุ หนอนงั่ หนอ ถูกหนอตอ่ ไป ๑๓) ข้ันตอนฝึกหดั ที่ ๑๓ วันที่ ๑ (๑)ให้ตั้งอธิษฐานว่า ถ้าธรรมวิเศษได้เกิดขึ้นในธันธสันดานแล้ว ขออย่าให้เกิดอีกถ้าธรรม วิเศษยังไม่เกิดข้ึนขอให้เกิดข้ึน คือให้ได้เห็นธรรมวิเศษภายใน ๒๔ ช่ัวโมงนี้จะเร่ิมตั้งใจ อธิษฐานเวลาใดก็ได้แต่ต้อง ได้ถงึ ๒๔ ช่วั โมง
๑๐๑ (๒) เม่ือต้ังใจอธษิ ฐานแล้วให้เดินจงกรมก่อนแล้วกำหนดนั่งว่า พองหนอ ยุบหนอ ถูกหนอ เหมือนทีอ่ ธิษฐานมาแล้วทำสลับกันไปจนถงึ ๒๔ ช่ัวโมง วันที่ ๒ เดินจงกรมแล้ว อธิษฐานว่า ภายใน ๒๔ ชั่วโมงขอให้ความเกิดดับให้มาก แล้วกำหนดพองยุบต่อไปตามที่ เคยทำ ๑๔) ขน้ั ตอนฝึกหัดที่ ๑๔ (๑) เดินจงกรมก่อน แลว้ ปฏิบตั ิต่อไป (๒) ให้อธิษฐานคราวละ ๑ ชั่วโมงว่า ขอให้อาการเกิดดับจนปรากฏข้ึนหลาย ๆ คร้ัง อย่าง ต่ำที่สุดหน่ึงชัว่ โมงต่อ ๕ ครงั้ (๓) ถ้าภายใน ๑ ช่ัวโมง อาการเกิดดับน้ันยังปรากฏชัดแจ้งและถี่ข้ึน อย่างต่ำ ๑ ช่ัวโมง ๕ คร้งั อย่างสูง ๑ ชวั่ โมงต่อ ๖๕ ครง้ั เมอ่ื เป็นเชน่ นี้ ให้ลดเวลาอธิษฐานลงเพียง ๓๐ นาที (๔) ให้อธิษฐานโดยทำนองน้ัน แล้วลดไปจนถึง ๑๕- ๑๐- ๕ นาที ภายใน ๕ นาที อาการ เกดิ ดบั อาจจะปรากฏข้ึนถงึ ๖ ครั้ง หรือ ๑ ครงั้ เป็นอย่างตำ่ (๕) นัง่ ให้ได้ ๑ ชัว่ โมง จงึ เปลีย่ นอริ ิยาบถโดยมิใหล้ กุ จากที่ (๖) ให้ทำสลบั กันไปอย่างน้ี จนครบ ๒๔ ช่ัวโมง ๘.๓.๓ วิธเี ดินจงกรม ในคัมภีรว์ ทิ สุทธิมัคค์ ประสงค์แบง่ สว่ นกา้ วเทา้ ออกไว้ ๖ สว่ น หรอื ๖ ระยะดังน้ี ๑) อทุ ฺทรณํ นามปาทสฺส ภูมโิ ต อุกขฺ ปิ นํ (ยกเท้าขึน้ จากพนื้ เรียกว่า อทุ รณะ (ยก) ๒) อตหิ รณํ นาม ปุรโต หรณํ (ยื่นเทา้ ไปขา้ งหน้า เรยี กว่า อตหิ รณะ (ย่าง) ๓) วีตหิ รณํ นาม ขาณุ กณฺฏกทฆี ชาตอิ าทีสุ กิญฺจเิ ทว ทิสฺวา อิโต จิโต จ ปาทสญฺจรณํ (เม่ือเห็นตอเหน็ หนามหรือเห็นทีฆชาติเป็นต้น อยา่ งใดอย่างหนงึ่ แลว้ กา้ วเทา้ ไปข้างโนน้ ข้างนี้ เรียกวา่ วีตหิ รณะ (ยา้ ย หรอื ยงั้ ) ๔) ไวสสฺ ชชฺ นํ นาม ปาทสสฺ โอโรปนํ (หยอ่ นเทา้ ลงตำ่ เรยี กว่า ไวสสัชชนะ(ลง) ๕) สนฺตกิ เฺ ขปนํ นาม ปฐวีตเล ฐปนํ (วางเท้าลงพืน้ ดิน เรยี กวา่ สันนกิ เขปนะ (เหยียบ) ๖) นริ ุมภฺ นํ นาม ปาททุ ฺธรณกาเล ปาทสฺส ปฐวิยา สทฺธึ อภนิ ิปฺปฬี นํ (กดเทา้ ข้างหนง่ึ ลงกบั พ้นื ในเวลาจะยกเทา้ อกี ข้างหนึ่งข้ึน เรียกว่า สนั นริ มุ ภนะ (กด)
๑๐๒ ๘.๓.๔ วธิ ีเดินจงกรมเปน็ ระยะ การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐานโดยกำหนดให้เดินเป็นระยะ หรือการสร้างจังหวะ เร่ิมตั้งแต่เดิน จงกรม ๑ ระยะ แลว้ จงึ จงกรม ๒ ระยะ ๓ ระยะ ๔ ระยะ ๕ ระยะ และ ๖ ระยะ โดยมีวิธีปฏบิ ตั ิดงั นี้ ๘.๓.๕ ยืนกำหนด กอ่ นเดินให้ยืนตัวตรง วางเท้าซ้ายและเท้าขวาตั้งชิดปลายเท้าเสมอกัน มือทั้งสองไขว้หลัง หรอื กุมไว้ ข้างหน้า หรือกอดอก ศีรษะตั้งตรง ทอดสายตาไปข้างหน้าระยะประมาณ ๑ วา หรือ ๔ ศอก โดยกำหนดในใจว่า ยืน หนอ ๆ ๆ หมายรูว้ า่ ขณะนีเ้ รากำกลังยนื สรปุ ท้ายบท เม่ือผู้ศึกษาได้ศึกษาเรื่องการพฒั นาจติ และเจริญปัญญา จะพบธรรมชาติของจิตแรกเดิมมธี รรมชาติผดุ ผ่องใส เปน็ จิตขาวสะอาดลว้ น ๆ ต่อเม่อื จิตน้ันได้รับการเช่ือมต่อจากสัมผัสภายนอก จติ นัน้ กด็ ิ้นรน กวัดแกรง ไปตามกระแส ของอารมณท์ ้งั อารมณ์ทน่ี า่ พอใจเรียกว่า อิฏฐารมณแ์ ละอารมณ์ทีไ่ ม่น่าพอใจเรียกวา่ อนิฏฐารมณ์ การที่จะทำให้จิตพัฒนาได้นั้นต้องอาศัยการฝึกจิตให้สงบเป็นสมาธทิ ี่เรยี กว่าสมถภาวนา และการอบรมจิตให้ สูงข้นึ ไปเรยี กวา่ วิปัสสนาภาวนา ตามข้นั ตอนทไ่ี ด้ศึกษามาในเบือ้ งตน้ น้นั
๑๐๓ เอกสารอ้างอิงประจำบท มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . มหาจุฬาเตปิฎกํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย,๒๕๔๒. มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ,๒๕๔๒. พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลยั ,๒๕๒๘. พระราชวรมนุ ี (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) และคณะ, วิมตุ ตวิ รรค. กรุงเทพมหานคร : สำนกั พิมพ์ศยาม บริษัทเคลด็ ไทย จำกดั ,๒๕๔๑. สำราญ อ่ิมจิตต์ และคณะ, พระอภิธรรมปฎิ ก ฉบับโครงการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื การเรียนรู้ พระพทุ ธศาสนา.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ,๒๕๕๑. พระญาณธชะ (เลดี สยาดอ), พระคันธสาราภิวงศ์ แปล. อานาปานทีปน.ี (สำนักเรียนวดั ท่ามะโอ ลำปาง), ๒๕๔๙. (อัดสำเนา pdf) พระสทั ธมั มโชตกิ ะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชติกะ ปริจเฉที่ ๑,๒,๓, จิต เจตสิก รปู นิพพาน, กรุงเทพมหานคร : ยนู ติ ิ้ พับลิเคช้นั , ๒๕๒๖.
บรรณานุกรม ก.พระไตรปฎิ ก มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปฎิ กภาษาบาลี ฉบบั มหาจฬุ าเตปฏิ กํ ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๕. . พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. ข.ภาษาไทย กษมา ศรีสวุ รรณ. ปัญหาและแนวโนม้ การจัดการศกึ ษาไทยในอนาคต. นักศึกษาดุษฎีบณั ฑติ การบริหารการศึกษา, มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครศรีธรรมราช. การด์ เนอร์ (Gardner) . อ้างในทิศนาแขมมณี, ศาสตร์การสอน : องคค์ วามร้เู พื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ ทม่ี ี ประสิทธภิ าพ, พิมพ์คร้ังท่ี ๕, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ๒๕๔๕ เบญจพร ปัญญายง. ค่มู ือช่วยเหลือเด็กบกพรอ่ งดา้ นการเรยี นรู้, กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย ,๒๕๔๓. ปราชญา กลา้ ผจญ และสมศักดิ์ คงเทีย่ ง. หลกั และทฤษฎีการบรหิ ารการศกึ ษา, พมิ พ์คร้ังท่ี ๒, กรงุ เทพมหานคร : สำนักพิมพม์ หาวทิ ยาลัยรามคำแหง,๒๕๔๕. กติ มิ า ปรดี ีดิลก. ปรชั ญาการศึกษา เลม่ ๑, กรุงเทพ ฯ : มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ, ๒๕๒๐. ชยั อนนั ต์ สมทุ วณิช. Good Governance กับการปฏิรปู การศกึ ษา – การปฏิรปู การเมือง. ม.ป.พ. หน้า ๑๑๐. ๒๕๔๒. ทองจนั ทร์ หงศ์ลดารมภ์. ม.ป.ป. การเรยี นร้โู ดยพ่ึงตนเอง(Self – directed learning). (อดั สาเนา). ทศิ นา แขมมณ.ี ศาสตร์การสอน : องคค์ วามรเู้ พอ่ื การจัดกระบวนการเรยี นรทู้ ม่ี ีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งท่ี ๕, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย,๒๕๔๕. ,ศาสตรก์ ารสอน : องค์ความรู้เพ่ือการจดั กระบวนการเรยี นรทู้ ีม่ ีประสิทธิภาพ,พิมพ์ครง้ั ที่ ๑๖, กรงุ เทพมหานคร : ดา่ นสุทธาการพิพม์, ๒๕๕๔. ธงชัย สมบรู ณ์. “มดั หม่ีไหม…ไทยอสี าน”ขา่ วบณั ฑิตศกึ ษามหาวิทยาลยั รามคำแหง.๔ (๓, สงิ หาคม, ๒๕๔๓) : ๙. ธำรง บวั ศรี. ทฤษฎีหลักสูตร : การออกแบบหลกั สูตรและพฒั นา. กรงุ เทพฯ : ธนรัช.๒๕๔๒. บรรจง จนั ทรสา. ปรัชญากบั การศกึ ษา, กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๗.
ศาสตรก์ ารสอน ๒๓๘ ปทปี เมธาคุณวฒุ ิ. หลกั สตู รอุดมศึกษา: การประเมินและการพฒั นา.พิมพ์ครง้ั ที่ ๑, กรุงเทพฯ : นิชิน แอด เวอร์ไทชงิ่ กร๊ฟุ .๒๕๔๓. ปรยี าพร วงศอ์ นุตรโรจน์. จิตวทิ ยาการศกึ ษา, กรงุ เทพฯ: ศนู ยส์ ่ือเสริมกรุงเทพ, ๒๕๕๑. ผดงุ อารยะวญิ ญู. การศกึ ษาสำหรบั เด็กท่มี คี วามต้องการพิเศษ, กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พ์แว่นแกว้ ,๒๕๔๒. พงษ์ศกั ด์ิ แปน้ แก้ว, “พหุปัญญา (Multiple Intelligence)”. ศึกษาศาสตร์สาร, มกราคม– มถิ ุนายน ,๒๕๔๖. รุจริ ์ ภูส่ าระ และจันทรานี สงวนนาม.การบรหิ ารหลักสูตรในสถานศกึ ษา,กรุงเทพฯ: บ๊คุ พอยท์. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) . ธรรมกับการพัฒนาชวี ิต, กรุงเทพ ฯ : สหธรรมมกิ ,๒๕๓๙. ไพฑูรย์ สนิ ลารตั น์. ปรัชญาการศึกษาเบ้ืองตน้ , กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๒๓. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕. ฉบบั พมิ พ์ คร้ังท่ี ๕ กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัท อักษรเจรญิ ทัศน์ อจท. จำกัด. ๒๕๒๕. วัลลภา เทพหัสดนิ ณ อยธุ ยา. การพฒั นาการเรยี นการสอนทางอดุ มศึกษา, กรุงเทพมหานคร : ภาควิชา อดุ มศึกษา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๓. สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ. ๒๐ วิธีจดั การเรยี นรู้, กรุงเทพมหานคร : ภาพพิมพ์, ๒๕๔๕. สพุ ศิ บุญชวู งศ.์ หลักการสอน, กรงุ เทพมหานคร : ภาควิชาหลกั สตู รและการสอน คณะวิชาครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏ เพชรบุรวี ทิ ยาลงกรณ์ ในพระบรมราชุปถมั ภ์, ๒๕๓๖. สุมติ ร คณุ านกุ ร. หลักสตู รและการสอน, กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชวนพิมพ์, ๒๕๒๘. สุมาลี จนั ทร์ชลอ. การวดั ผลและประเมินผล, กรุงเทพมหานคร : ศูนย์สื่อเสรมิ กรงุ เทพ, ๒๕๔๒. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน. แนวทางการจัดการเรยี นรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ัน พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑, พิมพ์ครงั้ ที่ ๒, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพช์ ุมนมุ สหกรณ์ การเกษตร แหง่ ประเทศไทย จำกดั . ศนั สนีย์ ฉัตรคุปต์. การเรยี นรู้อยา่ งมคี วามสขุ : สารเคมีในสมองกับความสขุ และการเรียนรู้, ปทุมธานี : สกาย บ๊คุ ส์ ,๒๕๔๔. วไิ ล ตัง้ จิตสมคดิ . ปรัชญาและหลกั การศึกษานอกระบบ, อ้างใน สุวิน ทองปนั้ ,ปรชั ญาการศึกษา, . ศกั ดา ปรางค์ประทานพร,ปรัชญาการศึกษาฉบับพนื้ ฐาน, กรุงเทพ ฯ : โอเดยี นสโตร์,๒๕๒๖. สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ. รายงานการปฏิรูปการศกึ ษาของสาธารณรฐั ประชาชนจนี . กรุงเทพมหานคร: บริษัทธรรมสาร จำกดั . ๒๕๔๑. สริ ิ เปรมจิตต,์ ประวัตศิ าสตรโ์ ลก. พระนคร, โรงพิพม์ ส.ธรรมภคั ดี,๒๔๙๙ , หน้า ๕๒๔-๕๒๕. สุรชัย สิกขาบัณฑติ . เทคโนโลยีการศกึ ษา,กรุงเทพฯ: สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ พระนครเหนอื , ๒๕๔๒. สวุ นิ ทองปัน้ ,ดร. ปรชั ญาการศึกษา, ขอนแกน่ : มหาวิทยาลัยภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ, ๒๕๔๕.
ศาสตรก์ ารสอน ๒๓๙ อบรม สินภิบาล. ระบบการศกึ ษานานาชาติ, กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส พริ้นติง้ เฮาส์, ๒๕๓๗. อรสา สุขเปรม. “การศกึ ษาในประเทศสาธาณรฐั ประชาชนจีน”, วิทยาจารย์. ๙ (๒ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๐) : ๑๑๘ – ๑๒๑. ค.ภาษาอังกฤษ Adam Smith. The Wealth of Nations. London :David Campbell. 1991. Allen, R. and J. W. Santrock. Psychology:The Contexts of Behavior. USA.: Wm. C. Brown Communication. 1993. Altbach, P.G., Arnove, R.F. and Kelly, G.P. Comparative Education. U.S.A: Macmillan Pulishing Co., Inc., 1982. Anderson, Carvia B. Encyclopedia of Educational Evaluation. Sanfrancisco : JosseyBass. 1975. Bloom, Benjamins. Human Characteristics and School Learning. New York : McGraw- Hill Book Company. 1976. Borich,Gary D. Effective Tgaching Methods. Columbus : Macmillan Publish Company. 1988. Cookson, P.W., Sadounik, A.R. and Semel, S.F., (ed.) International Handbook of Educational Reform. U.S.A.: Greenwood Publishing Group, Inc. 1992. Publishes, Inc. 1993.UNESCO. World Education Report 1998 : Framce: Darantiere, 1998. Erickson, Christopher; and Daniel J.B. Mitchell (2000). \"Labor Standards and International Trade: Background and Analysis.\" The Multilateral Trading System in a Globalizing World.Edited by Lee-Jay Cho and Yoon Hyung Kim.Seoul: KoreaDevelopment Institute. Gordon, R. “Balancing real-world problems with real-world results,” Phi DeltaKappan. 1998. Guzdial, M., Technological support for project-based learning. Yearbook (ASCD). 1998. Hilgard, E. R. and G. H. Bower. Theories of Learning. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall. 1975. Karlin, M.S. & Berger, R. Individualizing instruction: A Complete guide for diagnosis, planning, teaching and evaluation. New York: Parker. 1974. Khan, B.H. Web-based instruction. New Jersey: Educational TechnologyPublications. 1997.
ศาสตรก์ ารสอน ๒๔๐ Semprevivo, Philop C. System Analysis. Definition, Process, and Design. Chicago:Science Research Association. 1976. Smith, P.L., and Ragan, T.J. Instructional design. Upper Saddle River, New Jersey : Merrill Prentice Hall,. 1999. Taylor J, Gaucher M. Medication selection errors made by pharmacy technicians filling unit dose orders. Am j Hosp pharm. 1986. Wong, D. L. Whaley & Wong’s. nursing Care of Infant and Children (6thed.). St. Louis:Mosby. 1999. ค.ออนไลน์ นายพิรยิ ะ ตระกลู สวา่ ง และคณะ. มโนทัศน์สำคัญเกยี่ วกับการจัดการเรียนการสอน.ออนไลน์ เข้าถึงได้จาก http://www.seal2thai.org/sara/sara๐14.htm สืบค้นเมอ่ื ๔ ธันวาคม ๒๕๕๘. ปรัชญาการศึกษา, สบื ค้นจากhttp://index.php?option=com.สบื ค้นเมอื่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๕. วชิ ากระวดั และประเมนิ ผล.สถาบนั การพลศกึ ษา.ออนไลน์ เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/webpili/unit๑/level๑-๑.html สบื คน้ เมือ่ ๑๕ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๙. สำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร.ออนไลน์ เขา้ ถึงไดจ้ าก. http://www.sc.mahidol.ac.th/scpn/webscpn/index.php/2-uncategorised/47-21 สบื ต้นเมอ่ื ๗ มนี าคม ๒๕๕๙. วทิ ย์ วิศทเวทย์. ลักษณะของปรัชญา, ค้นจากhttp://mediacenter.mcu.ac.th/budphilosophy. สบื ค้นเมอ่ื ๒๖ สงิ หาคม๒๕๕๕. สุนทร ณ รังสี. การเกิดขนึ้ ของปรัชญา, ค้นจาก http://purik.truelife.com/blog. สบื คน้ เมื่อ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๕. อารยธรรมโรมัน.ออนไลน์ เขา้ ถงึ ได้จากhttps://panupong๐๘๘.wordpress.com. สบื คน้ เมอ่ื ๔ ธนั วาคม ๒๕๕๘. .
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115