๔๓ ๔.๑ ความนำ มนุษยเ์ กิดมาคนเดียวและตายไปคนเดียว แตร่ ะหว่างทีม่ ชี ีวิตอยู่ ไม่สามารถอย่ไู ด้คนเดียว เพียงเพื่อเอา ชวี ติ ให้รอดใหไ้ ด้มาซงึ่ เครื่องอุปโภคบริโภคทจ่ี ำเปน็ และเพ่ือรกั ษาเคร่ืองอปุ โภคบริโภคน้ันไวเ้ ป็นกรรมสทิ ธิข์ องตน ก็ จำเปน็ ต้องสมั พันธ์ และปฏิบัตติ ่อชวี ิตและสิ่งรอบตัวที่ชวี ติ เข้าไปเก่ียวข้องได้อยา่ งถกู ต้องให้ผา่ นลุล่วงไปได้ และ ยิ่งไปกวา่ นน้ั มนุษยย์ งั ต้องการชวี ิตทีด่ ีงามอีกด้วย ๔.๒ ความรู้เบ้อื งต้นเกย่ี วกบั วัตถปุ ระสงคก์ ารสอน เมือ่ แรกตรสั รู้ พระพทุ ธเจา้ ประทับอยู่ ณ ควงตน้ อชปาลนโิ ครธน้นั ขณะเมื่อทรงหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ทรง เกิดความดำริขน้ึ ในพระทยั วา่ : “ธรรมทเี่ ราได้บรรลุแล้วนี้ ลึกซ้ึง เห็นได้ยาก รตู้ ามไดย้ าก สงบ ประณีต ไม่เป็นวิสัยแห่ง ตรรกะ ละเอียด บัณฑติ จงึ จะรไู้ ด้ สำหรับหมู่ประชาผู้ รน่ื รมยด์ ้วยอาลยั ยินในอาลยั เพลิดเพลนิ ในอาลัย ฐานะอันนี้ย่อม เป็นสง่ิ ทเ่ี ห็นไดย้ าก”๑ เม่อื พระองค์ทรงพจิ ารณาดังน้ี พระทัยกน็ อ้ มไปเพื่อการขวนขวายน้อย มไิ ด้น้อมไปเพ่ือแสดงธรรมต่อมา เม่ือ ทรงตรวจดโู ลกดว้ ยพทุ ธจกั ษุ ได้เหน็ วา่ : “สตั ว์ทั้งหลายผมู้ ธี ุลใี นตาน้อย มธี ุลใี นตามาก มีอนิ ทรยี ์แก่กลา้ มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มอี าการทราม สอน ใหร้ ไู้ ดง้ า่ ย สอนให้รูไ้ ด้ยาก บางพวกมักเหน็ ปรโลกและโทษว่าน่ากลวั กม็ ี บางพวกมักไมเ่ ห็นปรโลกและโทษว่า น่ากลัวกม็ ี มอี ุปมาเหมอื นในกออุบล ในกอปทุม หรอื ในกอบุณฑริก บางดอกทเ่ี กิดในน้ำ เจริญในน้ำ ยงั ไม่ พน้ น้ำ จมอยูใ่ นน้ำ, บางดอกที่เกดิ ในนำ้ เจริญในน้ำอยู่เสมอน้ำ, บางดอกที่เกิดในนำ้ เจริญในน้ำ ขึ้นพน้ นำ้ ไมแ่ ตะนำ้ ” ครั้นทรงเห็นแลว้ ได้ตรสั คาถาตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า: “สัตว์ท้งั หลายเหล่าใดจะฟัง จงปล่อยศรัทธามาเถิด เราไดเ้ ปิดประตูอมตธรรม แก่สตั วท์ ้ังหลายเหล่าน้ันแลว้ ท่านพรหม เพราะเราสำคญั ว่าจะลำบาก จึงมิได้แสดงธรรมที่ประณีตคลอ่ งแคลว่ ในหมู่มนษุ ย์๒ ครัง้ นน้ั พระผ้มู ีพระภาคได้ทรงดำริว่า “เราจะพึงแสดงธรรมแกใ่ ครก่อน หนอ ใครจักรู้ธรรมนไี้ ดฉ้ บั พลัน” แล้วทรงดำริถึงอาฬารดาบส และอุททกดาบส ผู้เป็นบัณฑิตฉลาดเฉยี บแหลม มีปญั ญา มธี ุลีในตาน้อย สามารถบรรลุ ธรรมไดง้ ่ายและทรงทราบว่าทา่ นทง้ั สองสิ้นชีพแลว้ พระองค์ทรงดำรถิ ึงภิกษุปัญจวัคคยี ์ทไ่ี ด้เฝ้าปรนนิบตั ิพระองค์ ก็ได้ทรงเหน็ และไดเ้ สด็จจารกิ ไปหาภกิ ษปุ ัญจ วัคคยี อ์ ย่ทู ่ีป่าอิสิปตนมฤคทายวนั เขตกรงุ พาราณสี แคว้นกาสี และทรงแสดงธัมมจักกปั ปวตั ตนสูตรและอนัตต ๑ วินย. (ไทย) ๔/๗/๗. ๒ วนิ ย. (ไทย) ๔/๗/๘.
๔๔ ลกั ขณสูตร ภิกษปุ ัญจวัคคยี ์กม็ ใี จยนิ ดีชน่ื ชมภาษติ มจี ิตหลดุ พน้ จากอาสวะท้งั หลาย ต่อมาท่านยสกุลบตุ รพรอ้ มกับ สหายไดเ้ ขา้ มาบวชและสำเร็จเปน็ พระอรหนั ต์ท้ังหมด เม่อื ออกพรรษาแล้วพระองค์ไดส้ ่งพระอรหันต์ ๖๐ รูป ไปประกาศศาสนา วา่ : “ภกิ ษทุ ั้งหลาย พวกเธอจงจาริกไป เพ่ือประโยชน์สุขแก่ชนจำนวนมาก เพอ่ื อนเุ คราะห์ ชาวโลก เพ่ือ ประโยชนเ์ กือ้ กูลและความสขุ แกท่ วยเทพและมนุษย์ อยา่ ไปโดยทางเดยี วกันสองรปู จงแสดงธรรมมีความงาม ในเบอื้ งต้น มคี วามงามในท่ามกลาง และมีความงามในท่สี ดุ จงประกาศพรหมจรรย์ พรอ้ มทง้ั อรรถและ พยญั ชนะบริสุทธ์บิ รบิ รู ณ์ครบถว้ น สัตว์ทั้งหลายทม่ี ีธุลีในตานอ้ ย มีอยู่ ย่อมเสื่อมเพราะไมไ่ ด้ฟงั ธรรม จกั มผี รู้ ู้ ธรรม ภกิ ษุ ทั้งหลาย แม้เราก็จกั ไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพ่ือแสดงธรรม”๓ ตลอดเวลา ๔๕ พรรษา พระพุทธเจา้ ไดเ้ สด็จจารกึ ไปสคู่ ามนิคมน้อยใหญ่ ประกาศพระสทั ธรรมโปรดเวไนย สตั ว์ ประทบั จำพรรษาแรกที่ปา่ อสิ ิปตนมฤคทายวัน แขวงเมอื งพาราณสี แคว้นกาสี และเสด็จไปแควน้ มคธ ประทับ จำพรรษาที่ ๒,๓,๔ ท่ีเวฬุวนาราม แล้วทรงกลับมาประทับจำพรรษาอีกครงั้ ในพรรษาท่ี, ๑๗, ๒๐ รวมเวลาเพยี ง ๕ พรรษา พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ไปแคว้นโกศล ประทับจำพรรษาท่ปี ุผารามท่นี างวิสาขาสร้างถวาย ๖ พรรษา และจำพรรษาท่ี พระเชตวนั มหาวหิ ารท่ีอนาถบิณฑกิ เศรษฐีสรา้ งถวาย ๑๙ พรรษา รวมเวลา ๒๕ ปีคือพรรษาที่ ๓ และพรรษาที่ ๒๑- ๔๔ สว่ นแคว้นอื่นๆ เสด็จประทบั จำพรรษาแห่งละหน่งึ คือเมืองเวสาลีเมืองโกสมั พี และเมอื งเวรญั ชา ๔ ๔.๓ วัตถุประสงค์การสอนตามแนวพทุ ธ พระพุทธศาสนาพฒั นาคนและสังคมควบคกู่ ันไปและเปน็ ปัจจยั ต่อกนั โดยคำนึงถึงธรรม ชาตแิ วดลอ้ มไปดว้ ย ตามหลักการทวี่ างไว้เปน็ ระบบอย่างครบถว้ นชัดเจน ๔.๓.๑ จุดประสงค์การสอนทวั่ ไป ธรรมชาตขิ องมนุษย์ท่ีทำใหต้ ้องมีการศึกษา กล่าวคือ มนษุ ยม์ ีอายตนะเป็นทางรบั รู้ประสบการณ์ หรือเป็นทางรบั รู้ข้อมลู และรับรคู้ วามรู้สึก ผู้ที่มีปญั ญาและฉันทะ หรอื มีการศึกษาพัฒนาอย่างถูกต้อง ใช้อายตนะ (อนิ ทรีย์)เรียนร้เู ป็นเคร่ืองมือหาความรู้ จะเป็นพฤติกรรมสลายทุกข์ แก้ปัญหาการดำเนนิ ชีวติ แตส่ ำหรบั ผู้มีอวชิ ชา และตณั หา ไม่มีการศึกษา หรอื ขาดการพัฒนาท่ีถูกต้อง ใช้อายตนะหรืออินทรยี เ์ พ่อื การเสพรสหรือแสเ่ สพหาสิ่ง บำเรอ จะเป็นพฤติกรรมสร้างทกุ ข์ ก่อปญั หาการดำเนนิ ชีวิต มนุษยไ์ ม่รวู้ ่าตวั เองเกดิ มาเพ่ืออะไร ชวี ิตมใิ ชส่ ง่ิ ท่เี กิดข้ึนโดยมีจดุ หมายหรอื วตั ถปุ ระสงค์ และจุดหมายก็มิใช่ ส่งิ ทม่ี ตี ดิ มากับชีวิต แต่เปน็ สง่ิ ทคี่ วรกำเนิดให้แก่ชวี ิต การศกึ ษาคือความพยายามแสวงหาจดุ หมายให้แกช่ ีวิต การศกึ ษาเป็นเนื้อตวั ของพระพุทธศาสนา และพระพุทธศาสนาได้ประกาศจุดหมายชวี ิต เปน็ อดุ มการณ์เบ้ืองต้นแลว้ วา่ : ภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอจงจารกิ ไป (๑) เพือ่ ประโยชน์แกช่ นจำนวนมาก ๓ วินย. (ไทย) ๔/๓๒/๒๖. ๔ มธุรัตถวิลาสินี, (บาลี) ๒๕๓๒, หนา้ ๑.
๔๕ (๒) เพื่อสุขแก่ชนจำนวนมาก (๓) เพ่อื อนุเคราะห์(เกอ้ื กูล)แกช่ าวโลก (๔) เพอ่ื ประโยชน์ เกอื้ กูล และความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ สงิ่ เหล่านเ้ี ปน็ จุดสำคัญที่ต้งั เป็นเป้าหมายอันดำลบั แรกในการสอนเผยแผห่ ลกั ธรรมคำสอน เปน็ จุดเริ่มต้นท่ี ฐาน ถอื การพัฒนาความเป็นมนษุ ยเ์ ปน็ แกนกลาง โดยกำหนดตัว “คุณภาพ-สมั ฤทธผิ ล” (ประโยชน์ เกื้อกูล และ ความสขุ ) เป็นเปา้ หมายหรือสาระสว่ นแกน่ แท้ ๔.๓.๒ จดุ ประสงค์การสอนเฉพาะ มนษุ ย์มศี ักยภาพสงู มีธรรมชาติท่เี อื้อต่อการพฒั นา พระพทุ ธศาสนามองว่า มนุษย์เป็นสตั วท์ ่ฝี ึกได้ หรือตอ้ งฝึก มนุษยถ์ ้าไม่ฝึกกจ็ ะไมป่ ระเสริฐ แต่ถ้าฝกึ ดีแล้วจะมขี ีดความสามารถสงู สุด มพี ระพุทธพจน์มากมายท่ี เน้นเกีย่ วกับธรรมชาตขิ องมนุษยใ์ นจุดท่วี ่ามนุษยเ์ ปน็ สตั วท์ ี่ฝกึ ได้ จดุ ประสงค์ในการสอนทเ่ี น้นย้ำหลักการฝกึ ฝนพฒั นาตนเองของมนษุ ย์ และเรา้ เตือนพร้อมทั้งสง่ เสรมิ กำลังใจใหท้ ุกคนมงุ่ มน่ั ในการฝึกอบรมตนเองจนถงึ ที่สดุ แบง่ ย่อยเปน็ ๓ ด้านคือ ดา้ นหลักธรรม ด้านธรรมชาติมนุษย์ และดา้ นการพัฒนา ๔.๓.๒.๑ จุดประสงค์การสอนด้านหลกั ธรรม พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงหลกั ธรรม และหัวข้อธรรมแยกย่อยออกไปมากมายเปน็ หมวดๆ หรือ เป็นชดุ ๆ มี ๓ ขอ้ บ้าง ๔ ข้อบา้ ง ๕ ขอ้ บ้าง ฯลฯ หลกั ธรรมแต่ละหมวดแตล่ ะชุดเหล่านนั้ ก็คือขอ้ ปฏิบัติเพื่อพัฒนา ชวี ิตในขัน้ ตอนหรือในส่วนปลกี ยอ่ ยต่างต่างๆ เพื่อให้บรรลจุ ดุ ประสงค์อย่างใดอยา่ งหน่ึง เช่น ๑.ฆราวาสธรรม ๔ ๕ ธรรมสำหรบั ฆราวาส ธรรมสำหรบั การครองเรอื น หลักการครองชวี ติ ของคฤหัสถ์ ๔ ประการคือ๖ (๑) สัจจะ ความจรงิ , ซอ่ื ตรง, ซื่อสตั ย์, จรงิ ใจ, พดจริง, ทำจริง (๒) ทมะ การฝกึ ฝน, การขม่ ใจ ฝึกนิสยั ปรับตัว, รจู้ ักควบคมุ จิตใจ ฝกึ หดั ดัดนสิ ยั แก้ไข ข้อบกพร่อง ปรบั ปรุงตนใหเ้ จรญิ กา้ วหน้าดว้ ยสตปิ ัญญา (๓) ขันติ ความอดทน ตั้งหน้าทำหนา้ ท่ีการงานด้วยความขยันหมนั่ เพียร เขม้ แขง็ อดทน ไม่ หว่ันไหว มนั่ ใจในจุดมาย ไม่ทอ้ ถอย (๔) จาคะ ความเสยี สละ สละกิเลส สละความสขุ สบายและประโยชนส์ ่วนตนได้ ใจกว้าง พร้อมทจ่ี ะรบั ฟังความทุกข์ ความคดิ เห็น และความต้องการของผู้อืน่ พร้อมที่จะรว่ มมือ ช่วยเหลอื เออ้ื เฟื้อเผื่อแผ่ ไมค่ บั แคบเหน็ แก่ตวั หรอื อาแต่ใจตวั เอง. ๒.จักร ๔ ธรรมนำชีวิตไปสู่ความเจรญิ รงุ่ เรอื ง ดุจล้อนำรถไปสทู่ ีห่ มาย ๕ ส.ํ ส.(บาลี) ๑๕/๘๔๕/๓๑๖. ๖ พระราชวรมุนี (ประยทุ ธ์ ปยตุ โต) ,พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพ. : ด่าน สุทธาการพิมพ,์ ๒๕๒๘),หนา้ ๑๓๕.
๔๖ (๑) ปฏิรูเทสวาสะ อย่ใู นถิ่นทีด่ ี มสี ่งิ แวดลอ้ มเหมาะสม (๒) สปั ปรุ สิ ปู ัสสยะ สมาคมกบั สัตบุรุษ (๓) อตั ตสมั มาปนธิ ิ ต้ังตนไวช้ อบ ตงั้ จิตคดิ ม่งุ หมาย นำตนไปส่ทู าง (๔) ปพุ เพกตปุญญตา ความเปน็ ผูไ้ ด้ทำดีไว้ก่อนแล้ว มีพน้ื เพดี ไดส้ รา้ งสมคุณดีเตรยี มพร้อม ไวแ้ ต่ตน้ หลกั ธรรมแต่ละหมวดๆ เหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงองิ บคุ คล สถานท่ี และเหตุการณ์ต่างๆ (บุคคลาธิ ฐาน) จะแสดงจดุ ประสงค์การสอนของหมวดธรรมชดุ นน้ั ๆ และจดุ ประสงค์เฉพาะบุคคลอกี ดว้ ย ๔.๓.๒.๒ จุดประสงคก์ ารสอนดา้ นธรรมชาตมิ นุษย์ พระพทุ ธศาสนาเรียกมนุษย์ทงั้ หลายวา่ “เวไนยสัตว”์ ผู้มีคณุ สมบตั ิ “โพธิ” (ปัญญาเคร่ืองรู้) เปน็ พน้ื ฐานอยู่ในตัวเองท่ีสามารถฝึกฝนและพัฒนาปญั ญา พฤติกรรมและจิตใจทถ่ี ูกตอ้ งได้ในทุกๆ และมสี ว่ นอืน่ ๆ ที่ เรยี กว่า “ปปัญจธรรม” อยใู่ นตัวดว้ ย ปปญั จธรรม๗ คือตัณหา ทิฏฐิ และมานะ เป็นกเิ ลสเครื่องเนินช้า เปน็ ตวั การทำให้คดิ ปรุงแตง่ ยดึ เยื้อพิสดาร ทำให้เขวหา่ งออกไปจากความเป็นจรงิ ก่อใหเ้ กิดปัญหาต่างๆ และขัดขวางไม่ให้เขา้ ถงึ ความจริง หรือทำใหไ้ ม่อาจ แกป้ ญั หาอยา่ งถูกทางตรงไปตรงมา มนุษยม์ ีพุทธภาวะเหมือนกัน และมีปปญั จธรรมหนาแน่นหรอื เบาบางแตกต่างกันไป ธรรมชาตขิ องมนุษย์จงึ แตกตา่ งกันไปด้วย หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาได้แบง่ ประเภทบคุ ลตามลักษณ์(ทัพพะ) คณุ พฤติกรรม(กิริยา) ไว้ มากมาย เช่น ๑. ธรรมชาติด้านสตปิ ญั ญา แบ่งยอ่ ย ๔ จำพวก๘ คือ (๑) อคุ ฆฏติ ญั ญู ผู้รู้เขา้ ใจได้ฉับพลนั (๒) วิปจิตญั ญู ผู้รูเ้ ขใ้ จได้ (๓) เนยยะ ผพู้ อแนะนำได้ (๔) ปทปรมะ ผู้อปั ปัญญา ๒. ธรรมชาติด้านอปุ นิสยั เปน็ พน้ื เพของจิต หรือพฤตกิ รรม ซึ่งหนักไปทางใดทางหน่งึ ทางหน่งึ เปน็ ปกติ ประจำ เรียกวา่ จริตหรือจริยามี ๖ อยา่ ง คือ๙ (๑) ราคจริต ผมู้ ีราคะเป็นความประพฤตปิ กติ (๒) โทสจรติ ผ้มู ีโทสะเป็นความประพฤติปกติ (๓) โมหจรติ ผมู้ โี มหะเป็นความประพฤติปกติ (๔) สทั ธาจริต ผู้มศี รทั ธาเป็นความประพฤติปกติ (๕) พทุ ธิจริต ผู้มีความรู้เปน็ ความประพฤติปกติ (๖) วติ กจริต ผู้มวี ติ กเปน็ ความประพฤติปกติ ๗ ข.ุ ม.(บาลี), ๒๙/๕๐๕/๓๓๗. ๘ อง.จตุกก.๒๑/๑๓๓/๒๐๘. ๙ ข.ุ ม. ๒๙/๗๒๗/๔๓๕ ; ๘๘๙/๕๕๕.
๔๗ ความรู้เข้าใจเกย่ี วกบั ธรรมชาติมนษุ ย์ เปน็ เครื่องมือกำหนดวธิ ีการสอนหรอื กระบวนการฝกึ มนษุ ย์ใหม้ ีชีวิตท่ีดี ให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ได้ง่าย เช่น ผู้มรี าคจรติ พึงแกด้ ้วยอสภุ กรรมฐาน, โมหจรติ พึงแก้ดว้ ยอานาปานสติ, พุทธจิ ริตพงึ แกด้ ้วยเจรญิ ไตรลักษณ์ เปน็ ต้น ๔.๓.๒.๓ จุดประสงคก์ ารสอนดา้ นพัฒนา การฝึกฝนและพฒั นาน้ัน ทางพระพทุ ธศาสนาจัดวางไว้เป็นหลักเรียกวา่ ไตรสกิ ขา คือศลี สมาธิ ปญั ญา ซึง่ ถือว่าเปน็ ระบบการศึกษาท่ีทำใหบ้ ุคคลพัฒนาการอย่างมบี ูรณาการ และให้มนุษยเ์ ปน็ องคร์ วมท่ีพฒั นา อยา่ งมดี ลุ ยภาพ ๑. ศลี การฝึกอบรมกาย คือการมีความสัมพนั ธ์ท่เี ก้ือกูลกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ และเพื่อน มนุษยใ์ นสงั คม ๒.สมาธิการฝึกอบรมจติ ใหเ้ ข้มแขง็ ม่ันคง เจริญงอกงามด้วยคุณธรรมทง้ั หลาย เชน่ มีเมตตากรุณา ขยันม่ันเพยี ร อดทน มสี มาธิ และสดช่นื เบิกบาน เป็นสขุ ผอ่ งใส เป็นตน้ ๓.ปัญญา การฝกึ อบรมปัญญาปัญญา ใหร้ ู้เขา้ ใจสิ่งทงั้ หลายตามเปน็ จรงิ รเู้ ทา่ ทนั เห็นแจง้ โลกและ ชวี ิตตามสภาวะ สามารถทำจิตใจใหเ้ ปน็ อสิ ระ ทำตนใหบ้ ริสุทธิจ์ ากกเิ ลส และปลอดจากความทุกข์ แก้ไขปัญหาท่เี กิด ได้ด้วยปัญญา หลักทงั้ ๓ ประการนีเ้ ปน็ สว่ นประกอบของชวี ติ ที่ดีงาม จึงควรฝกึ คนใหเ้ จรญิ งอกงามในองคป์ ระกอบเหลา่ นี้ และใหอ้ งค์ประกอบเหลา่ นนี้ ำคนสกู่ ารเข้าถึงอิสรภาพและสันติสุขอยา่ งแทจ้ ริง ๔.๔ การประยกุ ตว์ ัตถุประสงคก์ ารสอนตามแนวพทุ ธ ๑. วตั ถปุ ระสงคก์ ารสอนทั่วไป : การศึกษาระบบพัฒนาคน พระพุทธศาสนาจะเน้นเกี่ยวกับธรรมชาตขิ องมนุษยเ์ ปน็ สัตวท์ ีฝกึ ได้ มีพฤติกรรมท่ีเป็นกุศลมีปัญญาและ ฉันทะเป็นต้นแล้วนำไปสกู่ ารแก้ปัญหาหรือไร้ทุกข์ เปน็ การเปล่ียนจากกระบวน การแหง่ อกุศลกรรมท่ีมีอวชิ ชาและ ตัณหาเป็นมูลเหตนุ ำไปสูป่ ัญหาคือทุกข์ การศกึ ษาปัจจบุ ันถือว่าบุคคลแต่คนเป็นพลเมอื งของรฐั รัฐจะต้องจัดการศึกษาให้สามารถเล้ียงชวี ติ อยู่ ร่วมกับบคุ คลอน่ื ๆ และไมต่ ง้ั ตัวเป็นปฏปิ กั ษก์ ับรัฐ และถือวา่ การจัดการศกึ ษาเปน็ การลงทนุ อยา่ งหนึ่ง มเี ร่ืองความ ค้มุ คา่ เขา้ มาเกยี่ วข้อง ซ่งึ สะทอ้ นอยใู่ นแผนการศึกษาแห่งชาติ จดุ มงุ่ หมายในแผนเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ และ จดุ มงุ่ หมายการศกึ ษาในระดับหลกั สูตรและสาขาวชิ าต่างๆ ในฐานะเป็นพลเมอื งวตั ถุประสงคใ์ นการสอนเพื่อใหแ้ ตล่ ะคนมีงานทำ มีอาชพี เล้ียงตวั และอยูร่ ว่ มกับผู้อืน่ ได้ เปน็ เพียงการพฒั นาและตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน เพยี งเพ่ือใหม้ ีชีวติ อยรู่ อดเท่าน้ัน และในฐานะเป็นมนษุ ย์ผู้ มปี ัญญาเครื่องรู้ (โพธ)ิ ) เปน็ คุณสมบตั ิพเิ ศษทตี่ ดิ ตัวมาแต่เกดิ จงึ ไม่ควรหยุดแคน่ นั้ แต่ตอ้ งฝกึ ฝนและพัฒนาปัญญา พฤติกรรมและจิตใจใหล้ ว่ งพ้นปปัญจธรรมทีก่ างกน้ั อยู่ เข้าสู่ความสขุ อสิ ระและสนั ติ ตามศกั ยภาพของตนๆ
๔๘ ๒. จุดประสงคส์ อนเฉพาะดา้ น ในจดุ ประสงค์การสอนจะแบ่งมนุษยเ์ ป็น ๓ ดา้ นคอื ด้านศีล (กายวาจา) สมาธิ (จิตใจ) และปัญญา เรยี กวา่ “ไตรสิกขา” ซึง่ เป็นขอ้ ปฏบิ ตั หิ ลกั สำหรับการศึกษาคือฝกึ อบรม และปัญญา ใหย้ ิง่ ข้ึนไปจนบรรลุจุดหมาย สูงสดุ คือพระนิพพาน นกั จิตวิทยามองมนษุ ย์ว่าเป็นอนิ ทรยี ์ (Organism) อนิ ทรยี ์ท้งั หลายย่อมสามารถแสดงออกทาง กล้ามเนอ้ื ความคดิ และความรูส้ ึกเพ่ือตอบสนองสิ่งเร้าได้ เรียกว่า พฤติกรรม(Behavior)๑๐ และศาสตรท์ ีศ่ ึกษา เกยี่ วกับพฤตกิ รรมและกระบวนการทางจติ ของมนษุ ย์และสตั ว์ ดว้ ยระเบยี บวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ทเี่ รยี กว่า จิตวิทยา (Psychology)๑๑ ในการศกึ ษาทำความเข้าใจธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษยเ์ พยี งอย่างเดยี ววทิ ยาศาสตร์จะใชศ้ าสตร์ ๒ แขนงใหญๆ่ คือวทิ ยาศาสตรธรรมธาติ (Natural Sciences) เชน่ ชวี วิทยา (Biology) สรีรวิทยา (Physiology) และ แขนงพฤตกิ รรมศาสตร์(BehavioralSciences)ได้แก่จิตวิทยา(Psychology) มานุษยวทิ ยา (Anthropology) สงั คม วิทยา (Sociology) โดยหลักทวั่ ไปถือว่า จิตวิทยาจดั เปน็ ตวั เช่ือมระหว่างวิทยาศาสตรธรรมธาติ และพฤตกิ รรมศาสตร์ และมี ความสัมพันธ์กับศาสตร์แขนงที่เก่ียวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ กำหนดด้านหรือแดน(Domain) ๓ ด้านโดยเรียงจาก ระดบั ต่ำสดุ ถึง ระดบั สูงสุด คือ (๑) พุทธพิ ิสัย (Cognitive Domain) เป็นการกระทำ ทีเ่ ก่ยี วกบั กระบวนการทางสมองเชน่ สติปญั ญา (Intellectual) การเรียนรู้ (Learning) และ การแกป้ ัญหา (Problem solving) ได้แบ่งย่อยไว้ ๖ ระดบั ๑๒ เช่นความรู้ - ความจำ (Knowledge) ความเข้าใจ (Comprehension) การนำไปใช้ (Application) เปน็ ต้น (๒) จิตพิสัย (Affective Domain) เป็นระดับอารมณ์และความรู้สกึ ของการกระทำท่ีเป็นกระบวนการภายใน ของมนษุ ย์ตอบสนองตอ่ ส่งิ กระตนุ้ ภายนอกท่ีสำคัญไดแ้ ก่ ความสนใจ (Interests) ความซาบซึง้ (Appreciations ) ค่านยิ มและความเชื่อ (Values & Beliefs) และ เจตคติ (Attitudes ) แบง่ ยอ่ ยไว้ ๕ ระดับ๑๓เช่น การรับรู้ (Receiving or attending) การตอบสนอง (Responding) การสร้างคณุ คา่ (Valuing) เป็นต้น (๓) ทกั ษะพสิ ยั (Psychomotor Domain) เปน็ พฤติกรรมทางการดา้ นการเคลื่อนไหว (Movement) เชน่ การวิง่ การกระโดด การเดนิ การขับรถ การเต้นรำ การเปดิ ประตู เป็นต้นแบง่ ย่อยไว้ ๖ ระดบั ๑๔ เช่น การ เคลอ่ื นไหวเชิงกิริยาสะท้อนกลบั (Reflex movements) การเคลอ่ื นไหวข้ันพื้นฐาน (Basic - fundamental Movements) ความสามารถในการรบั รู้ (Perceptual abilities) เป็นต้น หลกั ไตรสกิ ขาเปน็ กระบวนการพัฒนามนุษย์แบบบรู ณาการ คอื มีความสัมพันธ์เช่อื มโยงกนั ตลอดการกำหนด ขอบเขตเปน็ ศลี สมาธิ ปัญญา เพ่อื ให้รู้เข้าใจไดง้ า่ ยหรือเพ่ือประโยชน์ตอ่ การศึกษาเทา่ นั้น สว่ นหลักจติ วทิ ยาจะเนน้ ท่ี กระบวนพัฒนาพฤตกิ รรมมนุษย์เทา่ นั้น โดยไมก่ ลา่ วสาระการพฒั นา หรือการแก้ปัญหาหรือไร้ทุกข์ ซง่ึ เป็นการเปลยี่ น จากกระบวนการแหง่ อกุศลกรรมทมี่ อี วชิ ชาและตัณหาเปน็ มูลเหตุนำไปส่ปู ัญหาคือทกุ ข์ ๑๙๗๕. ๑๐ Morgan.C.T. Introduction to Psychology.(New York : McGraw-Hill Book ๑๙๗๑) p. ๔. 1972. ๑๑ Matlin. M.W. Psychology.(U.S.A: Halt, Rinchart and Winston,Inc, ๑๙๙๙๒) p. ๒. ๑๒ BenJamin S. Bloom. Taxonomy of Educational objectives. Handbook I : Cognition Domain.(New York : Scott,Foresman and Company), ๑๓ Krathwohl, D. R. et al. The Classification of Educational objectives in the Psychomotor domain. (New York: David Mckay Company) ๑๔ Simpson, E. J. The Classification of Educational objectives in the Psychomotor domain. (New York: David Mckay Company), 1972.
๔๙ สรปุ ท้ายบท ชีวิตมนุษย์นับเปน็ หน่วยที่ทำใหห้ นว่ ยย่อยท้งั หลายเขา้ รว่ มเปน็ องค์ประกอบขน้ึ ทำหนา้ ทีป่ ระสานซง่ึ กันและ กันกลมกลืน่ เข้าเป็นองคร์ วมเดียวกนั อนั ทำให้เกดิ ความสมดลุ ยที่องค์รวมขึน้ สามารถดำรงอย่แู ละดำเนนิ การไปไดใ้ น ภาวะที่ครบถ้วนสมบูรณ์ มนุษย์จะมศี ักยภาพ และจำเปน็ ต้องพฒั นาจึงจะสามารถอยู่รอด อยู่อยา่ งมสี ุข อสิ ระและสนั ติ การแบ่งย่อย มนุษยเ์ ป็นระดบั ๆเพ่อื ใหเ้ รยี นรู้งา่ ย และกำหนดจุดประสงค์ในการฝกึ ฝนพฒั นาให้สอดคล้องกบั ศักยภาพของแตล่ ะคน
๕๐ เอกสารอ้างองิ ประจำบท มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ,๒๕๔๒. พระพุทธทตั ตเถระ. มธรุ ตถฺ วิลาสนิ ี พุทฺธวสํ วณณฺ นา, ขุททฺ กนิกายฏฐฺ กถา. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๒. พระราชวรมนุ ี (ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต). พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. กรงุ เทพฯ : ดา่ นสุทธาการพิมพ์ , ๒๕๒๘. Bloom, B. S. (editor) et al. Taxonomy of Educational objectives, the Classification of Educational goals, handbook 1 : Cognitive Domain. New York: David Mckay Company,1972. Krathwohl, D. R. et al. Taxonomy of Educational objectives, the Classification of Educational goals. handbook 11: affectiveDomain. New York: David Mckay Company, 1972 Morgan.C.T. Introduction to Psychology.New York : McGraw-Hill Book 1971. Simpson, E. J. The Classification of Educational objectives in the Psychomotor domain. New York: David Mckay Company, 1972
บทที่ ๕ การสอนตามหลกั ไตรสกิ ขา อรยิ สัจ และอนุปุพพกิ ถา วัตถปุ ระสงค์การเรียนประจำบท เมอื่ ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทนี้แล้ว ผู้ศกึ ษาสามารถ ๑. อธบิ ายการสอนตามหลักไตรสิกขาได้ ๒. อธิบายการสอนตามหลักอริยสจั ได้ ๓. อธบิ ายการตามหลกั อนุปุพพกิ ถาได้ ขอบข่ายเนือ้ หา • การสอนตามหลกั ไตรสิกขา • การสอนตามหลักอริยสัจ • การสอนตามหลักอนุปุพพกิ ถา
๕๒ ๕.๑ ความนำ พระพทุ ธพจน์หรือหลกั คำสอนที่ทรงแสดงไวม้ ี ๒ สว่ น คือสัจธรรม และจรยิ ธรรม; สจั ธรรมคอื ส่วนทว่ี า่ ดว้ ย ความจรงิ ของโลก และชวี ติ ซึ่งพระพุทธเจ้าจะบงั เกิดหรือไมบ่ งั เกิดกต็ าม จะเปน็ พระพุทธ เจ้าในอดีต ปจั จุบนั หรอื ใน อนาคตกต็ าม จะถูกเปดิ เผยหรอื ปกปดิ อย่กู ็ตาม ความจรงิ ท่วี า่ นน้ั กค็ งดำเนินไปอยู่อย่างนนั้ คอื คำสอนท่วี า่ ดว้ ยหลักไตร ลักษณ์ และหลักปฏจิ จสมปุ บาท สว่ นจรยิ ธรรม คือหลกั คำสอนว่าดว้ ยการดำเนนิ ชีวิต เป็นธรรมะท่ปี รับได้คือเลอื กท่จี ะดำเนนิ ใหเ้ หมาะสมและ สอดคล้องกบั ชวี ิต สังคม และธรรมชาตแิ วดล้อม หลกั คำสอนนจ้ี ึงขึน้ อยู่กับเงื่อนไข ไม่ไดเ้ ป็นอสิ ระ หรือพูดถึงความจริง แทเ้ หมือนสัจธรรม หลกั ไตรสกิ ขา อริยสจั และอนปุ ุพพกิ ถา จดั อยใู่ นกลุม่ จรยิ ธรรมแต่ไม่ได้มเี ฉพาะบคุ คล แตม่ ลี ักษณะทัว่ ไปหรือ ทางสังคม เปน็ หลักการโดยภาพรวม ๕.๒ การสอนตามหลักไตรสิกขา การศึกษาเป็นสาระของการปฏิบตั ทิ ้งั หมดในพระพุทธศาสนาและการปฏบิ ตั นิ ั้นท่านเรียกวา่ สกิ ขา อนั ไดแ้ ก่ ไตรสกิ ขา คือ ศลี สมาธิ และปัญญา เปน็ ระบบการปฏิบัติธรรมทค่ี รบถว้ นสมบูรณ์ มขี อบเขตครอบคลุมมรรคทัง้ หมด และเป็นการนำเอาเนื้อหาของมรรคไปใช้อยา่ งหมดส้นิ จบบริบูรณ์ จงึ เปน็ หมวดธรรมมาตรฐานสำหรบั แสดงหลกั การ ปฏบิ ัติธรรมและมักใช้เป็นแม่บทในการบรรยายวิธีปฏิบัติธรรม๑ ๕.๒.๑ ความรเู้ บอ้ื งต้นเกี่ยวกบั ไตรสกิ ขา คำว่าไตรสกิ ขา หรอื สกิ ขา ๓ แปลวา่ ข้อทจ่ี ะต้องศึกษา ขอ้ ปฏบิ ตั ิทีเ่ ปน็ หลกั สำหรบั ศึกษา คือฝกึ หัด อบรมกาย วาจา จิตใจและปญั ญาใหย้ ่ิงข้นึ ไปจนบรรลจุ ดุ มหมายสูงสดุ คือพระนพิ พาน๒ และมีความหมายคล้าย คำวา่ \"ภาวนา\" ซง่ึ แปลวา่ การทำให้เกดิ มี การทำให้มีให้เป็นการทำใหเ้ จริญ การเพ่ิมพูนการอบรม หรอื ฝึกอบรม๓ โดยทวั่ ไปการเรยี กสิกขา ๓ นยิ มเรียกกนั งา่ ย ๆ อย่างไม่เป็นทางการว่า ศลี สมาธิ ปัญญา และเม่ือใชค้ ำวา่ “อธิ” นำหนา้ จะเปล่ยี นเปน็ อธิสีลสกิ ขา อธิจิตสิกขา และอธิปญั ญาสิกขา๔ ไตรสิกขาเปน็ กระบวนการศึกษา (สิกขา) หรอื พัฒนาชวี ติ (ภาวนา) ในทางปฏบิ ตั หิ รือการใชง้ านจริง ๑ พระราชวรมนุ ี (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต), พุทธวธิ ีการสอน, (กรุงเทพฯ: มลู นิธิพทุ ธธรรม, ๒๕๒๙), หนา้ ๒๓๑. ๒ พระราชวรมุนี (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต). พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. (กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ,์ ๒๕๒๘), หนา้ ๑๒๗. ๓ ท.ี ปา.(ไทย),๑๑/๒๒๘/๒๓๑. ๔ อภิ.วิ.อ.(บาล)ี . ๑๕๘ ; ข.ุ ป.อ.(บาลี). ๒๓๗.
๕๓ ๕.๒.๑.๑ หลักไตรสิกขา การนำระบบไตรสิกขามาเป็นกระบวนการศึกษา (teaching method) สำหรับเป็นเครื่องมือจัด กิจกรรมการเรยี นการสอนจึงถือวา่ เปน็ สาระสำคัญของไตรสิกขาอย่างแทจ้ ริง ๑. ศีล (training in higher morality) เป็นการฝกึ ฝนพฒั นาด้านพฤติกรรม หมายถงึ การพฒั นา พฤติกรรมทางกาย และ วาจา ให้มีความสมั พนั ธ์กับส่ิงแวดล้อมอย่างถูกต้อง มีผลดี ในลกั ษณะต่างๆ คือ (๑) การดำรงตนด้วยดใี นสังคม (๒) การรกั ษาระเบียบวนิ ัย (๓) การปฏบิ ตั หิ น้าท่ี และความรบั ผดิ ชอบทางสังคมไดถ้ ูกตอ้ ง (๔) การมีความสัมพันธท์ างสงั คมท่ีดงี ามเก้ือกลู ประโยชน์ (๕) การรักษาและสง่ เสริมสภาพแวดลอ้ มทางสงั คม ใหอ้ ยู่ในภาวะเออ้ื อำนวยแก่การที่ทุกๆ คน จะสามารถดำรงชวี ติ ทด่ี งี าม หรือปฏิบัติตามกันไดด้ ว้ ยดี ๒.สมาธิ (training in higher mentality) การฝึกปรอื ในดา้ นคุณธรรมและมสี มรรถภาพของจิต หมายถงึ การฝึกจิต ให้มีคุณสมบัติดงั ต่อไปนี้ (๑) มจี ติ ใจเข้มแข็ง มนั่ คง แน่วแน่ (๒) ควบคมุ ตนไดด้ ว้ ยดี (๓) มีกำลังใจสงู (๔) มีสภาพสมองผอ่ งใส เป็นสุข ปราศจากส่งิ รบกวนหรอื ให้เศร้าหมอง (๕) อยู่ในสภาพเหมาะแก่การใช้งานทางปญั ญาทีล่ กึ ซ้ึงและตรงตามความเปน็ จรงิ ๓. ปัญญา (training in wisdom) การฝกึ ปรือปัญญาใหเ้ กดิ ความร้คู วามเข้าใจส่งิ ท้ังหลายตามความ เป็นจรงิ ในลกั ษณะคือ (๑) รู้แจง้ ชดั ตรงตามสภาพความเป็นจรงิ (๒) ไม่มีความรู้ ความคิด ความเข้าใจที่ถูกปดิ เบือน หรือพร่ามัว ๕.๒.๑.๒ สาระสำคัญของไตรสิกขา ไตรสิกขาเป็นกระบวนการทีจ่ ะนำมาจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ดังนนั้ การเขียน จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ จะต้องใหส้ อดคลอ้ งกับจุดมงุ่ หมายของไตรสกิ ขา ส่วนข้ันตอนของกระบวนการจะต้องสอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการสอนกเ็ พื่อใหผ้ ้เู รยี นไปให้ถึงจุดประสงค์ จนกระทงั้ บรรลุจดุ มงุ่ หมายของไตรสิกขา คือ๕ ๑. ศีล ไดแ้ ก่ การพฒั นาพฤติกรรมทางกาย วาจา ใหส้ ัมพันธก์ ันกบั ส่ิงตา่ งๆ คอื (๑) สิ่งแวดล้อมทางสังคม ได้แก่ เพื่อนมนุษย์ (๒) ส่ิงแวดลอ้ มทางวตั ถุ ได้แก่ปจั จัย ๔ เคร่ืองใชว้ สั ดุ อปุ กรณต์ า่ งๆ ๕ พระธรรมปิ ฏก (ประยทุ ธ์ ปยตุ โต),พระพุทธศาสนาพัฒนาคนและสังคม, (กรุงเทพฯ : โรงพมิ พส์ ่วนทอ้ งถน่ิ กรมการปกครอง, ๒๕๔๐), หนา้ ๒๘.
๕๔ (๓) สงิ่ แวดล้อมทั้งทม่ี ีในธรรมชาติ ๒. สมาธิ ได้แก่ การฝกึ ฝนพัฒนาจติ ใจให้มีคณุ สมบัติ คือ (๑) มีคณุ ธรรม (๒) มปี ระสทิ ธภิ าพ (๓) มีความสขุ ๓. ปญั ญา ไดแ้ ก่ การพัฒนาความรูค้ วามเขา้ ใจเรื่องต่างๆ คือ (๑) การเขา้ ถงึ ความหมาย เนื้อหา เหตปุ ัจจัยของเร่ืองราวต่าง ๆ (๒) เข้าใจระบบความสัมพนั ธ์ของสง่ิ ทงั้ หลายท่ีอิงอาศยั สืบเนื่องสง่ ผลตอ่ กนั ตามเหตุปจั จัย ๕.๒.๒ การออกแบบการสอนตามหลักไตรสกิ ขา การสอนตามหลักไตรสิกขาเป็นหลกั การท่วั ไป ในฐานะเครื่องมือพัฒนามนุษย์ให้สมบรู ณ์ยงิ่ ขนึ้ การ ออกแบบการสอนตามหลกั ไตรสกิ ขาประกอบด้วยจุดประสงค์การเรยี นรู้ กิจกรรมการเรยี นการสอนและการวัดและ ประเมนิ ผล ๕.๒.๒.๑ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ในการเขยี นจุดประสงค์การเรียนรู้ จำเป็นต้องแปลความไตรสิกขาใหส้ อดคล้องกบั จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ตามหลกั จติ วิทยา ๑.ศลี โดยท่วั ไปคือ “ระเบยี บ, กฎ, วินัย, ขอ้ ปฏิบัติ”สำหรบั บคุ คล หรือ สงั คมหนึง่ ๆที่กำหนดขนึ้ เพ่ือ ความสุขสงบเรียบรอ้ ยและดีงาม แปลความถึง “รูปรา่ ง ลักษณะ สว่ นประกอบ บทบาท, หน้าท่ี หรอื ระบบการทำงาน ของสงิ่ ต่างๆ” สรุปให้สั้นคือ (๑) เหตุ ไดแ้ ก่ มนุษย์ สงั คม สง่ิ แวดลอ้ ม และธรรมชาติอันหมายถึง\"ขอบเขตของเน้ือหา\" จะ นำมาจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ว่าเร่ิมต้นและสน้ิ สุดอย่างไร (๒) ปจั จัย ไดแ้ ก่ ระบบความสมั พันธ์ บทบาทหน้าท่ีของสงิ่ ตา่ งๆในข้อ ๑ หมายความถงึ การอิง อาศัยเชือ่ มโยงกันของสิ่งเหลา่ น้ัน ๒.สมาธิ เปน็ การฝึกฝนดา้ นคุณภาพและสมรรถภาพของจิตเป็นพฒั นาในแงค่ ณุ ค่าความหมายและ ความสำคญั ของสงิ่ นนั่ ๆ ทงั้ ในส่วนของเหตแุ ละปจั จยั ทอี่ ิงอาศยั เช่ือมโยงกนั และกนั แปลความ ๒ อยา่ ง คือ (๑) ในแงบ่ วก เปน็ เป้าหมายจำเพาะและจดุ หมายรวมในคุณค่าของสงิ่ น้นั ๆ เป็นส่วนๆ ตามกรณี เชน่ ประโยชนท์ พี่ ึงเกดิ ขนึ้ เพ่ือสงิ่ น้ันๆ มีอย่,ู คุณลักษณะที่พึงประสงค์เพื่อสิง่ นนั้ , วิธอี อกเป็นจากภาวะที่ไมพ่ ึงประสงค์ สรปุ ให้สัน้ ๆ ได้แก่คุณ คุณคา่ ขอ้ ดี ข้อทนี่ ่าพงึ พอใจ ประโยชน์ ส่วนดี ทางออก ความสุข ความเจริญ เป็นต้นของสง่ิ นั้นๆ (๒) ในแงล่ บ ให้พจิ ารณาเปา้ หมายจำเพาะและจดุ หมายรวมในลักษณะที่ตรงกนั จากข้อตน้ คอื ในแง่ ท่ีสนองความต้องการของชวี ติ , ในแง่ทไ่ี ม่สามารถนำมาใช้แก้ปญั หาของตน, ในแง่ท่ีไม่เปน็ ประโยชนส์ ขุ ท้ังต่อตนเองและ สังคม สรปุ ให้สัน้ กค็ ือ ข้อเสยี ข้อบกพร่อง โทษ จดุ อ่อน , ความเดือดร้อน ความไมส่ มบูรณ์ เปน็ ต้น
๕๕ ๓.ปญั ญา ไดแ้ ก่ การฝกึ ฝนพฒั นาให้เกิดความรู้ความเขา้ ใจท้งั หลายตามเปน็ จริงจนสามารถดำเนินชีวติ มคี วามสมั พันธ์กับส่ิงทง้ั หลายอยา่ งถูกต้อง ๓ ลกั ษณะ๖ คือปญั ญาที่ชว่ ยใหด้ ำเนินเข้าสู่วิถีชีวิตท่ถี ูกต้องดงี าม ปญั ญาที่ช่วย ให้ดำเนินชีวติ อย่างมีประสทิ ธิภาพประสบความสำเร็จ และปญั ญาที่ช่วยให้บรรลุจุดมงุ่ หมายสงู สดุ ของชวี ิตทด่ี ีงาม การกำหนดจุดประสงค์การเรียนร้ไู ว้ ๓ ดา้ นดังกลา่ วน้ีม่งุ ประโยชนใ์ นแง่ของการใช้เปน็ ขอบ เขตเปน็ ด้านเป็นแดน สำหรับการสงั เกตตรวจสอบวัดผลประเมินผลในการศึกษาเปน็ สำคัญ๗ซงึ่ สอดคล้องแนวคดิ ของนัก จติ วิทยาตะวนั ตก Benjamin S. Bloom ทีก่ ำหนดไว้เปน็ ๓ ดา้ น๘ คือพุทธพสิ ัย (cognitive domain)เจตพิสัย (affective domain) และ ทักษะพิสัย (Psychomotor domain)๙ ในการเขยี นจุดประสงค์การเรียนรู้ตามหลักไตรสิกขาแตล่ ะข้อ มวี ธิ ีเขยี นหรือจัดตำแหนง่ คำ คำ คอื คำกริยา(บอก,อธบิ าย,ช้ีแจง..), เนอ้ื (ข้อปฏบิ ตั ิ บทบาท..) และคำ ได้ เหมอื นวธิ เี ขยี นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ตวั อยา่ งเรอื่ ง “วันสำคญั ทางพระพุทธศาสนา ๒ คาบ) (๑) อธิบาย การประกอบวธิ ใี นวนั สำคัญทางพระพุทธศาสนา ได้ (ศลี ) (๒) สรุป คุณค่า/ประโยชนท์ ่ีบคุ คลและสังคมได้รับในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ได้ (สมาธิ) (๓) อภิปราย/สรุป ประเด็นสำคัญปัญหาและเสนอแนะแนวทางแก้ไขประกอบวิธีในวันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา ได้ (ปญั ญา) ๕.๒.๒.๒ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ การเขยี นกจิ กรรมการเรียนรจู้ ะต้องเขียนกรอบและจดั กิจกรรมใหบ้ รรลุ“จุดประสงคก์ ารเรียนรู”้ แต่ละ ข้อโดยกำหนด ใคร (บคุ คล กลมุ่ ), ทำอะไร(ภาระงาน), ท่ีไหน(ใน-นอกชน้ั เรยี น), อยา่ งไร(ขัน้ ตอน/วิธกี าร) และใช้ เครอื่ งมืออะไร(แหล่ง/ส่ือ) เหมอื นกับเขยี นกจิ กรรมแบบกระบวนการ ๖ พระธรรมปิ ฏก (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต), พระพุทธศาสนาพฒั นาคนและสังคม, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพส์ ่วนทอ้ งถ่ิน กรมการปกครอง, ๒๕๔๐), หนา้ ๑๗-๑๙. ๗ พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยตุ โต), ทางสายอสิ รภาพของการศึกษาไทย, (กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พธ์ รรมสภา, ๒๕๓๔), หนา้ ๑๔๘. ๘ Bloom et : Taxonomy of Educational objectives, the Classification of Educational goals.p 197 . ๙ Simpson, E J. 1927 : p 43-56.
๕๖ ตวั อย่าง เรื่อง “วนั สำคัญทางพระพทุ ธศาสนา ๒ คาบ) จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ (๑) อธบิ ายการประกอบวธิ ใี นวันสำคญั (๑) แบง่ กลมุ่ นักเรยี นออกเป็น ๓ กลมุ่ แล้วใหเ้ ลอื กหวั ข้อท่ี ทางพระพุทธศาสนา ได้ (ศีล) กำหนดให้ โดยวธิ จี ับฉลาก(เช่น) -การจัดสภาพแวดลอ้ มของวัด/สถานท่ี -การเจรญิ พระพุทธมนต์/แสดงธรรม -วธิ ีเวยี นเทียน (๒)ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลุ่มศึกษาค้นควา้ โดยวธิ ี (เชน่ ) -เอกสารและงานวจิ ัย -เขียนงานโครง -ออกแบบสอบถาม/สำรวจ (๓)ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกล่มุ นำเสนอผลการศึกษาคน้ คว้า รายงานแบบ เอกสาร หน้าช้ันเรียน สาธติ และสรุป เป็น ตน้ (๒) สรุป คุณค่า/ประโยชนท์ ่บี ุคคล จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือบรรลุจดุ ประสงคข์ ้อ ๒ และสงั คมไดร้ บั ในวันสำคัญทาง พระพทุ ธศาสนาได้ (สมาธิ) (๓) อภปิ ราย/สรุป ประเดน็ สำคญั ปัญหา จัดกจิ กรรมการเรียนรู้เพื่อบรรลุจดุ ประสงค์ข้อ ๓ และเสนอแนะแนวทางแก้ไขประกอบวิธี ในวนั สำคญั ทางพระพทุ ธศาสนาได้ (ปญั ญา) ๕.๒.๒.๓ การวดั และประเมินผล ประเมินผล จากรายงาน การนำเสนอหนา้ ชั้นและการอภิปรายอย่างกว้างขวางถกู ต้อง เป็นไปตาม วัตถปุ ระสงค์ท่ีตง้ั ไวห้ รือไม่เพียงใด โดยมีตัวช้ีวัดดังนี้ พระพุทธศาสนา ๑.ดา้ นความรู้ นสิ ิตสามารถ (๑) รู้เขา้ ใจองค์ประกอบต่างๆ คุณคา่ และลักษณะที่พงึ ประสงค์ทเ่ี กยี่ วกับวันสำคญั ทาง (๒) สืบคน้ ข้อมลู สาระสนเทศได้ (๓) นำเสนอผลการศึกษาได้
๕๗ (๔) ออกแบบทดสอบ เขยี นโครงงานได้ ๒. ดา้ นสงั คม (๕) ตดิ ต่อประสานงานได้ (๖) ทำงานร่วมกบั คนอน่ื ได้ ๓. ด้านคณุ ธรรม-จริยธรรม (๗) พัฒนาบุคลิกภาพและจริยธรรมตามสถานภาพได้ (๘) อดทน ขยนั ส่ือสัตย์ รับผิดชอบและตรงเวลา ๕.๓ การสอนตามหลักอริยสจั อรยิ สจั เป็นความจรงิ อนั ประเสริฐ ความจรงิ ของพระอรยิ ะ หรอื ความจริงที่ทำให้บคุ คลเปน็ พระอรยิ ะเจา้ และ คำนเี้ ปน็ ชอื่ บญั ญัตธิ รรมมี ๔ หวั ข้อ ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบและนำมาเผยแผ่ ใครก็ตามทเ่ี มอื่ ศกึ ษาหลกั คำสอนทาง พระพทุ ธแล้วจะต้องศึกษาหัวข้อนด้ี ว้ ย ๕.๓.๑ ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกี่ยวกบั อริยสัจ อรยิ สจั ๔ เป็นหมวดธรรมสำคัญท่คี รอบคลมุ คำสอนทั้งหมดในทางพระพุทธศาสนา ส่ิงหนึ่งท่ถี อื วา่ เปน็ ลักษณะสำคัญของคำสอนในพระพุทธศาสนา คือสอนความจริงทีเ่ ปน็ ประโยชน์ สามารถนำไปใชใ้ นชีวติ ประวันได้ อรยิ สจั เป็นหลักความจริงในรปู แบบท่เี สนอตวั ต่อปญั ญามนุษย์ ในการที่จะสืบสาวคน้ คว้าและทำใหเ้ กิดผลในทาง ปฏบิ ัติ หรอื เป็นหลกั ธรรมท่ียกขนึ้ มาใช้ในการส่ังสอน เพ่ือให้ผรู้ บั คำสอนทำความเข้าใจอยา่ งมรี ะบบ มุง่ ให้เกดิ ผลสำเร็จ ทั้งการสอนของผู้สอนและผลสำเร็จของผ้ผู รู้ บั คำสอน ความจริงอนั ประเสรฐิ ๔ ประการนี้ มีช่อื เรยี กอีกอยา่ งหนง่ึ ว่า สามุกกังสิกาเทศนา๑๐ แปลวา่ พระธรรมเทศนาท่ี พระพทุ ธเจ้าทรงยกขนึ้ แสดงเองโดยไม่ต้องปรารภคำถาม หรอื การทลู ขอร้องของผู้ฟัง อย่างการแสดงธรรมเร่ืองอื่นๆ ไดแ้ ก่ ๑. ทุกข์ (suffering) ความทุกข์ สภาพท่ีทนได้ยาก สภาพทีบ่ บี ค้นั ขดั แย้ง บกพร่อง ขาดแก่นสาร และความ เท่ียวแทไ้ มไ่ ด้ความพอใจแท้จรงิ (๑) รวู้ ่าปัญหาคืออะไร ตวั ปญั หาอยู่ที่ไหน (สจั ญาณ) (๒) รูว้ ่าปัญหานีต้ ้องเขา้ ใจสภาพ และขอบเขตเปน็ ต้นของมัน (กิจญาณ) (๓) รู้ว่าไดเ้ ข้าใจสภาพและขอบเขตของปญั หาแลว้ (กตญาณ) ๑๐ องฺ.อฏฺฐก.(บาลี). ๒๓/๑๐๒/๑๙๐.
๕๘ ๒. สมุทัย (the cause of suffering) เหตุเกดิ แห่งปัญหา สาเหตแุ ห่งทุกข์ (๑) รู้ว่าสาเหตขุ องปญั หาคืออะไร (สจั ญาณ) (๒) ร้วู ่าจะตอ้ งแก้ไขท่สี าเหตุน้ัน (กจิ ญาณ) (๓) รู้ว่าสาเหตนุ ัน้ ไดแ้ ก้ไขกำจดั แลว้ (กตญาณ) ๓. นโิ รธ (the cessation of suffering) สภาวะทส่ี าเหตแุ ห่งปัญหาสนิ้ ไป,ภาวะท่ีเปน็ อิสระ (๑) รูภ้ าวะหมดปัญหาที่ตอ้ งการคอื อะไร (สจั ญาณ) (๒) รวู้ า่ ภาวะนน้ั เปน็ จดุ มายท่ีจะต้องไปให้ถึง (กิจญาณ) (๓) รู้ว่าได้บรรลุจดุ หมายแลว้ (กตญาณ) ๔. มรรค (the path leading to the cessation of suffering) ข้อปฏิบตั ิ,หลกั การ, แนวทางท่ีจะช่วยให้ สามารถดำเนนิ ไปให้ถึงจดุ หมายน้นั ๆ (๑) รู้ว่าวิธีแก้ปัญหาเปน็ อย่างไร (สจั ญาณ) (๒) รวู้ า่ วธิ กี ารนัน้ มขี ั้นตอนในการดำเนินการอยา่ งไร (กิจญาณ) (๓) รู้วา่ ไดป้ ฏบิ ัติตามขัน้ ตอนแห่งวิธีการน้นั ๆ แล้ว (กตญาณ) หลักอริยสจั มีลกั ษณะคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ดังนี้ หลักอริยสจั หลักวทิ ยาศาสตร์ ๑. ทกุ ข์ ๑. กำหนดปัญหา (Problematic Situation) ๒. สมุทยั ๒. ต้ังสมมตฐิ าน (Formulation Hypothesis) ๓. นโิ รธ ๔. สรุป (Conclusion) ๔. มรรค ๓. ทดลองและวิเคราะห์ (Analysis of data and Experimentation) ๕.๓.๒ การออกแบบการสอนตามหลักอริยสจั ในการเขียนจดุ ประสงค์ต้องการแปลความอรยิ สจั ให้เป็น “ขน้ั ตอนของกระวนการ” โดยกำหนดเปน็ “ชุดคำถาม” ตามลำดบั หวั ข้อธรรมน้นั ๆ เพื่อสรา้ งจุดประสงค์ ตัวอย่างการต้งั ชดุ คำถาม-คำตอบแลว้ แปลความหมาย คอื ๑.ทุกข์ คอื อะไร คือปญั หาทเ่ี กดิ , สภาพทเ่ี ป็นอยู่ แปลความว่า “กำหนดปัญหา,สถานการณห์ รือ เรอื่ งราวท่กี ำลงั ศึกษาอยู่ได้” ๒.สมุทัย คืออะไร คือสาเหตุ, เหตุปัจจยั ทเ่ี กดิ ข้ึน แปลความวา่ “กำหนดสาเหตุได้, ลำดับความสำคัญได้ และบอกขอบเขตของรายละเอียดของปญั หาได้”
๕๙ ๓. นิโรธ คืออะไร คือ ความดบั สิ้นสดุ แห่งปญั หา, จุดมงุ่ หมายปลายทจ่ี ะตอ้ งไปให้ถงึ แปลความว่า “กำหนดจดุ มุ่งหมายได้, อธบิ ายความสำคัญได้ และ บอกขอบเขตของจุดมุ่งหมายได้” ๔.มรรค คืออะไร คือแนวทาง วิธีการแก้ปัญหา แปลความว่า “กำหนดวิธีการได้, บอกแนวทางได้อธิบาย ขัน้ ตอนได้, ชีค้ วามสำคัญและรายละเอยี ดของวิธีการนั้นๆ ได้ ตวั อยา่ ง เรอ่ื ง “มารยาทชาวพุทธ ประเพณีและพธิ กี รรม” เวลาสอน ๔ ชั่วโมง จะตอ้ งเขียนจดุ ประสงค์การ เรียนรู้เพ่ือทจี่ ะตอบคำถามวา่ “ทำอย่างไรจงึ จะทำใหช้ าวพุทธมีมารยาท พฤติกรรม ตามกรอบประเพณแี ละพิธีกรรมท่ี ถูกต้อง? ๑. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๑. อธิบายลักษณะมารยาท ประเพณีและพธิ กี รรมได้ (ทุกข์สัจ) ๒.สรุปสาเหตุมารยาทประเพณแี ละพธิ กี รรมได้ (สมทุ ัยสัจ) ๓.ระบมุ ารยาท ประเพณีและพธิ กี รรมที่พงึ ประสงค์ได้(นโิ รธสจั ) ๔.ชี้แนวทางมารยาท ประเพณแี ละพธิ กี รรมได้ (มรรคสัจ) ๒. กจิ กรรมการเรียนรู้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมการเรยี นรู้ ๑. ทุกขส์ จั (สภาพ) ๑.ใหน้ ักเรียนรายบคุ คล-รายกล่มุ ชมวดี ทิ ัศน์ ระดมความคดิ สำรวจหรือ เขียนโครงงานเก่ียวกบั พฤติกรรมบคุ คลหรืองสังคมว่าประพฤติปฏบิ ัตติ น อย่างไรมาก-น้อยเพียงใด (๑) ดา้ นมารยาท (๒) ด้านประเพณี (๓) ด้านพธิ ีกรรม ๒. สมุทยสัจ (สาเหต)ุ ๒.ค้นควา้ ข้อมลู ระดมความคิด แลว้ รว่ มกนั อภิปรายมารยาทประเพณี และพิธีกรรมในด้าน (๑) แนวคดิ ท่ีอยู่เบื้องหลงั พฤติกรมน้ันๆ (๒) มแี รงจงู ใจ ดา้ นบวกและลบอย่างไร ๓. นิโรธสจั (เป้าหมาย) (๓) อภิปรายและสรุปลกั ษณะท่ีพ่ึงของมารยาทประเพณีและพธิ กี รรมใน ดา้ น (๑) มีเอกลักษณ์ทางวฒั นธรรมไทยอยา่ งไร (๒) ชุมชนสังคมมีระเบียบแบบแผนอยา่ งไร (๓) สอดคล้องกบั วถิ ีชีวติ กับสงั คมไทย
๖๐ ๔. มรรคสัจ (วธิ กี าร) (๔) นำเสนอแนวคดิ ทางออก และวธิ กี ารเก่ียวมารยาท ประเพณแี ละ พธิ กี รรมในด้าน (๑) สร้างจิตสำนกึ และจุดมงุ่ หมาย (๒) ให้องค์ความรทู้ ี่ถกู ต้อง (๓) เสนอตวั อยา่ ง ทางเลอื กทีเ่ หมาะสมกบั เพศ วัยและสถานการณ์ ๓. การวดั และประและการเมนิ ผล ประเมินผล จากรายงาน การนำเสนอหน้าเรียน และการอภปิ รายขอ้ ความถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตาม วตั ถุประสงค์ทตี่ ้ังไว้หรือไม่เพียงใด ๕.๔ การสอนตามหลกั อนุปุพพกิ ถา มพี ระพุทธคุณบทหนงึ่ วา่ “สัตถา เทวมนสุ สานัง แปลวา่ เปน็ ครขู องเทวดาและมนุษย์ท้ังหลาย\" ซงึ่ มคี วามหมาย ชดั เจนอยู่แล้ววา่ พระพุทธองค์เป็นพรมครูสามารถแนะนำพรำ่ สอนไดต้ ้งั แต่คนฉลาดๆ (เทวดา) จนถงึ คนธรรมดา (มนุษย์) เปน็ ทีส่ ุด เม่ือเราศึกษาพระไตรปิฎกอนั เปน็ ประมวลคำสอนของพระองค์ ก็มุ่งเพ่ือให้มคี วามรู้ความเขา้ ใจเนื้อหาสาระของ หลักธรรม โดยใช้ความสำคญั กับพุทธวิธกี ารสอนและบทบาทความเปน็ “บรมครู” นอ้ ยมากกว่าทค่ี วรจะเปน็ ๕.๔.๑ ความร้เู บ้ืองตน้ เก่ียวกับอนุปพุ พิกถา หลังจากตรสั รู้ พระพทุ ธองคไ์ ด้เสดจ็ ไปยังปา่ อิสปิ ตนมฤคทายวนั (ปา่ ที่ฤาษเี ข้าไปแล้วหายตวั ไปและให้ อภัยแกส่ ตั วป์ ่า) เพ่ือโปรดเบญจวรรคคยี ์ ได้แสดงหลกั คำสอน ๒ เรื่องคือธัมมจักกัปปวัตตนสตู ร และอนัตตลักขณสูตรท่ี ประกาศหลักการแหง่ พระพุทธศาสนาไว้อย่างชดั แจ้ง จนปญั จวัคคีย์เปน็ พระอริยบุคคลในเวลาไม่นานนัก ณ ทนี่ ้ีเองมลี กู ชายเศรษฐคี นหนึง่ ช่ือวา่ ยศ มีปัญหาเกย่ี วกับครอบครวั หนีออกจากบา้ นเดินเล่ือนลอยและละเมอ ออกมาดังๆ ว่า \" ท่นี ี้วนุ่ ว่ายหนอ ทน่ี ้ีขดั ข้องหนอ\" พระพุทธไดส้ ดับอยา่ งนัน้ แลว้ จึงตรัสสอนไปในทันทีทนั ใดว่า \"ท่นี ีไ้ ม่วนุ่ ว่าย ทนี่ ี่ไม่ขดั ข้องจงมาเถดิ เราจักแสดง ธรรมให้ฟงั \"๑๑ เมอ่ื ยสกุลบตุ รเข้าเฝา้ แลว้ พระพุทธองค์ทรงเลง็ เหน็ ว่ายสะเป็นคนครองเรือนมีครอบครัว (ฆราวาส) มิใชน่ กั บวช ท่มี งุ่ แสดงสจั ธรรมอยา่ งปญั จวคั คยี ์ จึงโปรดแสดงหลักธรรมชือ่ ว่า\"อนุปพุ พิกถา\" ก่อน เพอ่ื ปลูกฝงั ความเล่ือมใสและปรับ พน้ื ฐานองคค์ วามรู้ ถดั จากนั้นทรงแสดงหลกั ธรรมชือ่ ว่า \"อริยสจั สี่\" จนท่านยสะไดด้ วงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันพระ ๑๑ วิ.ม.(ไทย). ๔/๒๗/๓๒.
๖๑ อรยิ บุคคลข้ันต้น เศรษฐผี ้เู ปน็ บิดาออกตามพบพระพทุ ธองคไ์ ด้ฟังธรรมอนปุ ุพพิกถา และอรยิ สัจสไ่ี ด้ดวงตาเห็นธรรม ประกาศตนเปน็ อุบาสกถึงพระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ ว่าเปน็ สรณะตลอดชีวติ นับเป็นอุบาสกคนแรกในพระพุทธ ศาสนา ในขณะนั้น ยสะนง่ั อยู่เบอื้ งหลังของพระพุทธองค์ ได้ฟงั พระธรรมเทศนาเรื่องเดิมทีแ่ สดงแกเ่ ศรษฐผี ู้เปน็ บิดา กไ็ ด้ บรรลธุ รรมชน้ั อรหัตตผล และไดข้ อบวชเปน็ ภกิ ษุในพระพทุ ธศาสนา ๕.๔.๑.๑ หลกั การของอนุปุพพกิ ถา อนุปุพพิกถาแปลว่าเร่อื งท่ีกลา่ วตามลำดบั หรือธรรมเทศนาทแ่ี สดงเน้อื หาความลุ่มลกึ ลงไปตามลำดบั (Progressive sermon graduated sermon) เปน็ หลักธรรมที่พระพุทธเจา้ เพ่ือจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่คฤหสั ถ์ จะทรงแสดงอนุปพพิกถาน้ีก่อน เพอ่ื ขัดเกลาอัธยาศยั ของผู้ฟงั ให้ประณตี ขึ้นเชน่ ชั้น จนพรอ้ มที่จะทำความเข้าใจในธรรม ส่วนลกึ ซ้ึง (ปรมัตถ์) ตอ่ ไป อนปุ พุ พกิ ถา มี ๕ ข้อ๑๒ ซ่ึงพระราชวรมนุ ี (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต) ไดอ้ ธบิ ายความแต่ละหวั ข้อไว้๑๓ คือ (๑) ทานกถา : เรอ่ื งทาน, กล่าวถงึ การให้ การเสยี สละเผ่อื แผ่ แบง่ เป็นชว่ ยเหลือกนั (๒) สลี กถา: เรอ่ื งศีล, กล่าวถึงความประพฤติทถ่ี ูกต้องดีงาม (๓) สัคคกถา: เรือ่ งสวรรค์, กล่าวถึงความสขุ ความเจริญและผลทน่ี า่ ปรารถนาอนั เป็นสว่ นดีงามตาม หลักธรรมสองข้อขา้ งต้น (๔) กามาทีนวกถา: เรอ่ื งโทษแหง่ กาม, กลา่ วถึงข้อเสียขอ้ บกพร่องลาของกาม พร้อม ทัง้ ผลภยั ทีส่ บื เนื่องมาแต่กาม (๕)เนกขัมมานิสงั สกถา : เรอื่ งอานิสงส์แหง่ การออกจากกาม กล่าวถึงผลดขี องการไมห่ มกมนุ่ เพลิดเพลนิ อย่ใู นการและให้มีฉันทะท่จี ะแสวงหาความดงี ามและความสขุ อนั สงบที่ประณตี ยง่ิ ขึ้นไปกว่าน้นั ๕.๔.๑.๒ สาระสำคัญของอนุปุพพิกถา จดุ ม่งุ หมายทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงหลกั ธรรมชดุ นี้ คือการปรบั พ้นื ฐานองค์ความรูไ้ ด้แก่ ความเข้าใจ อนั ถูกต้องเก่ยี วกบั โลกและชีวิตและผู้มีพนื้ ฐานอย่างนเ้ี ท่าน้ันจงึ จะสามารถศึกษาค้น คว้าหลักธรรมที่ละเอียดลกึ ซึ้งและ นำไปสคู่ วามดบั ทกุ ขส์ ิ้นกเิ ลสตันหาอนั เปน็ เป้าหมายสดุ ทา้ ยของพระพุทธศาสนา กรณีศึกษาตามท่ีปรากฏในคัมภรี ์ ก็คอื นายยศผูบ้ ตุ รฟังครั้งแรกได้บรรลุโสดาบนั ตผิ ลครงั้ ท่สี องได้บรรลุอรหัตผล อนั เป็นจุดมงุ่ หมายและอุดมการณ์ และออกบวชเป็นพระภกิ ษใุ นท่ีสดุ สว่ นเศรษฐผี ้บู ดิ าร่วมทั้งมารดาและภรรยาต่างได้ฟงั พระธรรมเทศนาชุดนแ้ี ล้วไดด้ วงตาเหน็ ธรรมคอื บรรลโุ สดาปนั ตผิ ลเป็นอรยิ บคุ คลข้ันตน้ และดำเนินชวี ิตครองเรอื นเหมอื น คนทั่วไป ๑๒ ท.ี สี. (ไทย). ๙/๒๓๗/๑๘๙. ๑๓ พระราชวรมนุ ี (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพฯ : ดา่ นสุทธาการพมิ พ,์ ๒๕๒๘),หนา้ ๒๐๙.
๖๒ ดังนนั้ การจะอย่คู รองเรือนหรือการออกบวชจงึ มิใชส่ าระสำคัญของพระธรรมเทศนาชดุ นี้แต่เป็นความรูค้ วาม เข้าใจ การรูจ้ ักโลกและชวี ติ ตามความเปน็ จริง ส่วนจะเลือกดำเนนิ ชีวิตตามความเป็นจริง และจะเลอื กดำเนนิ ชวี ิต อย่างไรเปน็ เรอ่ื งของปัจเจกบุคคลจะตัดสินใจ ๑. ทานกถา มีความหมายตามตวั อกั ษรวา่ \"ให้ , สละ, เผื่อแผ่, แบ่งปนั \" คำถามที่ตามมากค็ ือใครเป็นผู้ให้ ให้ อะไร และให้แก่ใคร? คำตอบต่อปัญหานี้อยู่ท่ีการจัด\"ระบบความสัมพนั ธ์เชิงหนา้ ท่ี\" ระหวา่ งมนุษย์กบั มนุษย์ มนุษย์ กบั ส่ิงแวดล้อม และมนุษย์กับธรรมชาติ การปฏิบตั ติ ่อสิ่งนัน้ ๆ อยา่ งถูกต้องเรียกว่า \"ทาน-การให้\" ซึ่งเริ่มต้นตงั้ แต่การใหว้ ตั ถุสิง่ ของ การช่วยเหลือ ให้ เวลา ใหโ้ อกาส เป็นตน้ ความสัมพันธ์เชิงหนา้ ท่บี างอยา่ งเช่น มนุษย์กับมนุษย์ เป็นตน้ วา่ พระมหากษตั ริย์กบั ราษฎร บดิ ามารดากับบุตร อาจารยก์ ับศษิ ย์ มแี นวปฏบิ ัตทิ เ่ี ปน็ หลักศาสนา กฎหมาย จรยิ ธรรม ตามแต่จะเรยี ก สว่ นความสมั พนั ธ์ด้านส่ิงแวดล้อม ด้านธรรมชาติ มนุษย์มีความร้คู วามเข้าใจน้อยมาก การปฏิบตั ิต่อส่ิงนั้น ๆ เปน็ ลกั ษณะถูกกรกะทำ หรอื เข้าไปจดั การตอ่ ส่งิ แวดลอ้ มและธรรมชาติ ๒. สลี กถา สลี ะหรือศลี แปลตามตวั อกั ษรวา่ กฎระเบยี บ กติกามคี วามหมายวา่ ความประพฤติท่ีถูกต้องดีงาม ซง่ึ หมายถึง \"ระบบความสัมพันธเ์ ชงิ โครงสรา้ ง\" โครงสร้างทางสังคมคอื มนุษยก์ ับมนษุ ย์ สว่ นหนึ่งเป็นระบบธรรมชาติ ตวั อยา่ งก็คือระบบเครอื ญาติ แตอ่ ีกส่วน หนงึ่ เปน็ ระบบทสี่ ร้างขน้ึ เอง เชน่ ระบบการปกครอง สมาคม หรอื สถาบันต่าง ๆ สว่ นระบบส่งิ แวดล้อมอนื่ ๆ ซง่ึ บางทีเรยี กว่า \"วัฎจกั ร\" เชน่ พืช สตั ว์ และระบบท่ใี หญท่ ่ีสุดคือ \"ระบบ ธรรมชาติ\" ซึง่ เกิดขน้ึ คือ ตั้งอยู่ ดบั ไป เป็นอยา่ งนั้นเอง มนษุ ย์มคี วามรู้ความเข้าใจน้อยมากราวกับทารกเพงิ่ ดืม่ นม ๓. สัคคกถา สัคคะหรือสวรรค์ แปลวา่ นา่ ชวนใจ น่าพอใจ ร่ืนรมย์ มคี วามหมายโดยนัยวา่ ความสุข ความเจริญ และผลทนี่ ่าปรารถนา ผลทม่ี นุษยพ์ ึงให้เกิดขนึ้ อนั ได้แก่ความจรงิ ความดี ความงาม การมชี วี ติ รอด มีชวี ติ อย่างมี ความสขุ รวมทั้งมชี วี ิตอยู่อย่างมคี วามหมาย มิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่อาศัยสติปัญญาของมนุษยม์ าจดั ระบบ ความสัมพันธเ์ ชิงหนา้ ที่ (ทาน) และเชิงโครงสร้าง (สลี ) เปน็ เหตุปัจจัยเกอื้ กูลกนั และกัน เพื่ออำนวยประโยชน์สขุ แก่มนุษย์ ๔. กามาทนี วกถา กามาทีนวะ แปลวา่ โทษของตน ขอ้ เสียขอ้ บกพรอ่ งของความตอ้ งการของมนษุ ย์ มนุษยม์ ี ความต้องการความปรารถนาในดา้ นตา่ งๆ ไมม่ ีขอบเขตจำกัด (นัตติ ตัณหา สมานที) หากฝกึ ความต้องการ (กาม) เปน็ หลกั แลว้ แพง่ ความสนใจ (สัคคะ) เปน็ ที่ตัง้ แลว้ แนวโน้มของการจดั ระบบ ความสมั พนั ธเ์ ชงิ หนา้ ท่ีและโครงสรา้ ง ยอ่ มเปน็ ไปเพื่อสนองผลประโยชน์ทีต่ ัวเองต้องการโดยไม่คำนึงถึงนา้ ท่ีอันถกู ตอ้ ง (จริยธรรม) และระบบโครงสรา้ งตามท่เี ป็นจริง (สจั ธรรม) ระบบความสมั พนั ธท์ ่เี รียงรายกันอยู่อยา่ งซับซ้อน ย่อมขาดความสมดลุ กลา่ วคือไดผ้ ล ประโยชน์อยา่ งหน่งึ แต่ กอ่ ความเสียหายขาดสมดุลกับสิ่งอย่างอน่ื ๆ
๖๓ ๕. เนกขัมมานสิ งั สกถา เนกขมั มานสิ งั สะ แปลวา่ ผลดีท่ีจะพึงเกดิ ข้ึนจากการออกจากกามมคี วามหมายมี ประโยชน์เก้อื กูลท่จี ะเกดิ ตามมาอีกจำนวนมากหากไม่ถูกครอบงำ หรอื ยดึ เพียงความตอ้ ง การของตนของมนุษย์เพยี งอย่าง เดยี วได้แก่ ทางออก ทางรอด หรือภาวะท่พี ลาดจากปญั หามีความสมบรู ณ์ในตัว ๕.๔.๒ การออกแบบการสอนตามหลักอนุปุพพิกถา อนุปุพพิกถาทั้งห้าประการน้ี ไมไ่ ด้เป็นเพียงเครือ่ งมือสำหรบั การดำเนินชวี ิตและสงั คมใหง้ อกงาม บรรลปุ ระโยชนส์ ุขเท่านัน้ แต่เป็นธรรมฐานเป็น \"หลักศาสนา\" ท่พี ระพุทธเจ้าทรงต้งั ไวเ้ ปน็ แบบแผนหลกั ๕.๔.๒.๑ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เนื้อหาของหลกั ธรรมชุดน้ี จงึ มวี ัตถุประสงค์เพ่ือขัดเกลาอัธยาศยั ทำจิตใจให้พร้อมที่จะรับธรรม ชั้นสูงดจุ ผา้ ขาวทีซ่ ักฟอกสะอาดแลว้ ควรรับน้ำย้อมสีตา่ งๆ แต่ในการนำหลักอนปุ ุพพิกถามาใชเ้ ปน็ วธิ ีสอนนี้ โดยแปล ความ (๑) ทาน(การให)้ ได้แก่ บทบาท, หน้าทีข่ องสงิ่ นั้น ๆ (๒) ศีล(ระเบียบ) ได้แก่ สว่ นประกอบ, โครงสรา้ ง, ลกั ษณะของสง่ิ นนั้ (๓) สัคคะ(ผล,ขอ้ ดี) ไดแ้ ก่ วตั ถุประสงค์, จุดม่งุ หมาย, ประโยชนข์ องสงิ่ น้ัน (๔) กามาทนี วะ(โทษ}ขอ้ เสยี ) ไดแ้ ก่ โทษ, ขอ้ เสยี ,ขอ้ บกพร่องของสิง่ นน้ั (๕) เนกขัมมาทสิ ังสะ(ผลตามมา) ได้แก่ ทางออก, ประโยชน์ในระยะยาวหรืออนาคต ตัวอยา่ งเร่ือง “วนั สำคญั ทางพระพทุ ธศาสนา ๒ คาบ” (๑) อธิบายบทบาทและความสัมพันธ์ของวนั สำคัญทางพระพทุ ธศาสนากับสภาพทางเศรษฐกิจสงั คมและ วฒั นธรรมได้ (ทานกถา) (๒)อธบิ ายลักษณะ โครงสรา้ งความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งวนั สำคัญทางพระพุทธศาสนากบั สภาพทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมได้ (สีลกถา) (๓) อธบิ ายข้อดี ประโยชน์วันสำคญั ทางพระพุทธศาสนา ที่เก้อื กลู ตอ่ เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมได้ (สัคคกถา) (๔)อธบิ ายข้อด้อยหรือข้อจำกัดวันสำคญั ทางพระพุทธศาสนาทมี่ ีต่อตอ่ เศรษฐกจิ สงั คมและวัฒนธรรมได้ (กามาทีนวกถา) (๕)นำเสนอทางออก หรือประโยชนย์ งั่ ยืนวนั สำคญั ทางพระพุทธศาสนาท่เี ก้อื กูลต่อเศรษฐกิจ สงั คมและ วัฒนธรรมได้ (เนกขัมมาสคั คกถา)
๖๔ ๕.๔.๒.๒ กจิ กรรมการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ใหบ้ รรลุจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ทุกข้อ และกิจกรรมมีจำนวนข้อเทา่ กบั หรอื มากกวา่ จดุ ประสงค์การเรยี นร้กู ไ็ ด้ ตัวอย่างเรื่อง วนั สำคัญทางพระพุทธศาสนา ๒ คาบ จดุ ประสงค์ กจิ กรรมผู้เรียน (๑) อธบิ ายบทบาทและความสมั พันธ์ (๑) ระดมความคิด สบื ค้นบทบาทและความสมั พนั ธ์ของวัน ของวันสำคญั ทางพระพุทธศาสนากับ สำคัญทางพระพุทธศาสนากบั สภาพทาง สภาพทางเศรษฐกจิ สงั คมและ -เศรษฐกิจ วฒั นธรรมได้ (ทานกถา) -สังคม -วฒั นธรรม (๒) อธิบายลักษณะ โครงสรา้ งความ (๒) ค้นคว้าข้อมูล ระดมความคดิ แลว้ รว่ มกนั อภิปราย หรอื สมั พันธ์ระหวา่ งวนั สำคญั ทางระพุทธ สรุป ศาสนากบั สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม ความสัมพันธร์ ะหว่างวันสำคัญทางระพทุ ธศาสนากบั และวัฒนธรรมได้ (สลี กถา) -โครงสร้างเศรษฐกิจ -โครงสรา้ งสังคม -โครงสรา้ งวัฒนธรรม (๓) อธบิ ายข้อดี ประโยชนว์ ันสำคัญ (๓) ระดมความคดิ แล้วร่วมกันอภิปรายวนั สำคัญทางระพุทธ ทางพระพุทธศาสนา ทเ่ี ก้ือกลู ต่อ ศาสนาท่ีมีสว่ นสนบั สนนุ ตอ่ สภาพ เศรษฐกิจ สังคมและวฒั นธรรมได้ -เศรษฐกิจ (สคั คกถา) -สงั คม -วฒั นธรรม (๔) อธบิ ายข้อด้อยหรอื ข้อจำกดั วัน (๔) อภิปรายและสรปุ ข้อด้อยท่มี สี าเหตุจากวันสำคัญทาง สำคัญทางพระพทุ ธศาสนาท่มี ีตอ่ ตอ่ พระพุทธศาสนา เศรษฐกิจสงั คมและวัฒนธรรมได้ -ผลกระทบดา้ นตอ่ เศรษฐกจิ (กามาทนี วกถา) -ผลกระทบดา้ นสังคม -ผลกระทบดา้ นวัฒนธรรม (๕) นำเสนอทางออก หรือประโยชน์ (๕) ร่วมกัน อภิปรายบทบาท โครงสรา้ ง วธิ กี ำจัดขอ้ เสยี และ ยงั่ ยืนวนั สำคัญทางพระพทุ ธศาสนาที่ เสนอขอ้ ดีระหว่าง เก้อื กูลตอ่ เศรษฐกิจสงั คมและ -วนั สำคญั ทางพระพุทธศาสนากับเศรษฐกจิ วฒั นธรรมได้ (เนกขัมมาสคั คกถา) -วนั สำคัญทางพระพุทธศาสนากบั สงั คม -วนั สำคัญทางพระพุทธศาสนากับวัฒนธรรม
๖๕ ๕.๔.๒.๓ การวดั และประเมินผล (๑) ด้านพฤตกิ รรม คือการมสี ่วนร่วม รบั ผิดชอบ ตรงต่อเวลา มนษุ ย์สมั พันธ์ (๒)ด้านสติปัญญา การตอบข้อซกั ถาม วเิ คราะห์ แสดงความคดิ เห็น และอภปิ รายในห้องเรยี น (๓) ดา้ นสามารถ ออกแบบสำรวจ เขยี นโครงงาน สรุปท้ายบท ไตรสกิ ขาและอริยสจั มใิ ชเ่ พียงการแสวงหาความรู้ แตเ่ ป็นระบบการปฏบิ ตั ิธรรมท่ีครบถว้ นสมบรู ณ์ มขี อบเขต ครอบคลุมมรรคทงั้ หมด และเป็นการนำเอาเนื้อหาของมรรคไปใช้อย่างหมาดสนิ้ จบบริบรู ณ์ และสามารถเติมเนื้อหาอะไร ลงไปก็ได้แล้ว จดั กิจกรรมการเรยี นการสอนเพอ่ื พฒั นาชีวิตและสังคมในขน้ั ตอนปลกี ย่อยตา่ งๆ อยา่ งไม่รู้จบ หลักอนปุ ุพพิกถาห้า ครอบคลมุ พฤติกรรมทัง้ ๔ ด้าน คอื ด้านสตปิ ญั ญา อารมณ์ สงั คม และความประพฤติ เราจงึ สามารถทีจ่ ะนำกระบวนการน้ี ไปจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน โดยเฉพาะรายวชิ าในกล่มุ มนษุ ย์ศาสตร์และสงั คมศาสตร์ ถอื เปน็ วิธีตามลำดบั ความยากง่ายล่มุ ลึก มีเหตผุ ลสมั พันธ์ต่อเนอื่ งกันไปโดยลำดับ หลักคำสอนทางพระพทุ ธศาสนาท่ีปรากฏอยู่เปน็ หมวดๆ มีจุดมงุ่ หมายเดิมเพื่อบรรเทาและสำรอกกเิ ลสทง้ั ปวง ธรรมแต่ละหมวดเปน็ ปจั จยั เชื่อมโยงกนั จึงจะสำเร็จประโยชนแ์ กผ่ ปู้ ฏบิ ตั ิ สว่ นการจดั กิจกรรมการเรียนเปน็ เพียงอาศยั ขน้ั ตอนกระบวนการของ “หลกั คำสอน” มาปรับใช้ โดยสอดแทรกเนือ้ หาใหม่เท่าน้นั
๖๖ เอกสารอ้างอิงประจำบท มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . มหาจฬุ าเตปฎิ กํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย,๒๕๐๐. มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๐๐ พระราชวรมนุ ี (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรงุ เทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์, ๒๕๒๘. . (ประยทุ ธ์ ปยุตฺโต). พุทธวธิ ีการสอน. พิมพ์ครงั้ ท่ี ๕. กรงุ เทพฯ: มูลนิธิพุทธธรรม ๒๕๒๙. พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยตุ ฺโต). ทางสายอสิ รภาพของการศกึ ษาไทย. กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพธ์ รรมสภา,๒๕๓๔. พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต). เพ่อื อนาคตของการศกึ ษาไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพธ์ รรมสภา,๒๕๓๖. . พระพุทธศาสนาพฒั นาคนและสงั คม. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพส์ ่วนท้องถนิ่ กรมการปกครอง,๒๕๔๐. Bloom, B. S. (editor) et al. Taxonomy of Educational objectives, the Classification of Educational goals, handbook 1 : Cognitive Domain. New York: David Mckay Company. 1972. Krathwohl, D. R. et al. Taxonomy of Educational objectives, the Classification of Educational goals. handbook 11: affectiveDomain. New York: David Mckay Company . 1972. Simpson, E. J. The Classification of Educational objectives in the Psychomotor domain. New York: David Mckay Company.1972.
บทท่ี ๖ การสอนตามหลักนวังคสตั ถุสาสน์ วตั ถุประสงคก์ ารเรียนประจำบท เมือ่ ได้ศึกษาเน้ือหาในบทนีแ้ ล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑. อธิบายความรู้เบอื้ งตน้ เกี่ยวกับนวงั คสตั ถุสาสน์ได้ ๒.อธิบายการออกแบบการตามหลักนวงั คสตั ถสุ าสนไ์ ด้ ๓. ยกตัวอยา่ งการออกแบบการสอนตามหลักนวงั คสัตถสุ าสนไ์ ด้ ขอบขา่ ยเน้ือหา • ความรู้เบอ้ื งต้นเกีย่ วกบั นวังคสัตถุสาสน์ • การออกแบบการตามหลักนวังคสตั ถุสาสน์ • ตัวอย่างการออกแบบการสอนตามหลกั นวังคสตั ถสุ าสน์
๖๘ ๖.๑ ความนำ พระไตรปิฎกเปน็ หวั ใจของพระพุทธศาสนา เปน็ ท่ีรวมหลกั คำสอนของพระพุทธเจา้ เอาไว้ดว้ ย คำสอนคือพระ ธรรม คำสัง่ คือพระวนิ ัย รวมเรียกวา่ พระธรรมวนิ ัย ซงึ่ เปน็ เนือ้ แท้หรือสาระของพระพุทธศาสนา นอกจากน้ี พระไตรปิฎกยังมีเนื้อหาเกย่ี วประวัตศิ าสตร์ ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ สงั คมและวฒั นธรรมด้านต่างๆของสงั คมอนิ เดยี โบราณ ซง่ึ เปน็ สภาพแวดล้อมและบ่อเกดิ พระธรรมวนิ ัย ๖.๒ ความรู้เบือ้ งตน้ เกี่ยวกบั นวังคสตั ถสุ าสน์ คำว่า “นวังคสัตถุศาสน์” น้ี เป็นคำรุ่นคมั ภีร์อปทาน พุทธวงศ์ และอรรถกถาทัง้ หลาย บางที่เรยี กว่า ชิน สาสน์บ้าง พทุ ธวจนะบา้ ง สว่ นในพระบาลี ไตรปิฎก นยิ มเรยี กว่า ธรรมบ้าง สุตะบา้ ง๑ นวงั คสัตถสุ าสน์ ประกอบรูปศพั ท์จาก นว+องั ค+สัตถุ+ศาสน แปลว่าคำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ กลา่ วคือเปน็ รูปแบบ หรอื วิธีการแสดงหลกั คำตลอดเวลา ๔๕ พรรษา โดยพระพุทธเจา้ ได้ตรัสกบั ภกิ ษุท้ังหลายวา่ : พหุ โข ภิกฺขเว มยา ธมฺมา เทสติ า : สุตฺตํ เคยฺยํ เวยฺยากรณํ คาถา อุทานํ อิติวุตตฺ กํ ชาตกํ อพฺภูตธมฺมํ วทลฺลนตฺ ิ.๒ แปล: ภิกษทุ ั้งหลาย เราได้แสดงธรรมไวจ้ ำนวนมาก คือสุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิตวิ ุตตกะ อัพภูตธรรม เวทัลละ. ในแต่ละประเภทอธิบายได้ดังนี้ ๑. สตุ ตะ ร้อยแกว้ ไดแ้ ก่ พระวินยั ปฎิ ก พระสตู รท่ีไม่มคี าถา และนิเทส ๒ เคยยะ ร้อยแกว้ ผสมรอ้ ยกรอง ได้แกพ่ ระสตู รท่มี ีคาถาทัง้ หมด โดยเฉพาะใน สคาถาวรรค สัง ยุตนกิ าย ๓. เวยยากรณะ รอ้ ยแกว้ แบบแจกแจง ได้แก่พระอภธิ รรมท้งั หมด พระสูตรท่ไี ม่มีคาถา และ พระพทุ ธวจนะอ่นื ใดท่ีไมจ่ ัดเข้าในองค์ ๘ ขอ้ ทเ่ี หลือ ๔.คาถา ร้อยกรอง ได้แก่ธรรมบท เถรคาถา เถรคี าถา และคาถาล้วนในสตุ ตนิบาตท่ีไมม่ ชี ือ่ วา่ เปน็ สูตร ๕.อุทาน รอ้ ยกรองทีท่ รงเปลง่ ด้วยพระหฤทยั ที่ประกอบด้วยโสมนสั และญาณพร้อมทั้งข้อความท่ี ประกอบอยู่ดว้ ย รวมเป็นพระสูตร ๘๒ สูตร ๖.อิติวตุ ตกะ รอ้ ยแกว้ เป็นพระพทุ ธวจนะท่บี รรดาพระอริยสาวก หรอื บุคคลท้ังหลาย นำมาเป็น หลักฐานอา้ งองิ หรอื สนับสนุนคำพดู ของตน พระสตู ร ๑๑๐ สูตร ท่ีตรัสโดยนยั ว่า วตุ ฺตํ เหตํ ภควตา, ๗.ชาตกะ ร้อยกรอง เป็นเรือ่ งการบำเพ็ญบารมีหรือเสวยพระชาตขิ องพระโพธสิ ัตว์ มี ๕๕๐ (๕๔๗) เรอื่ ง มีปัณณกชาดก เปน็ ต้น ๑ วนิ ย. อ.(บาล)ี ๑/๒๕๓๔ : ๒๖. ๒ องฺ.จตุตฺก.(บาล)ี ๒๑/๖/๗-๘.
๖๙ ๘.อพั ภตู ธรรม รอ้ ยแกว้ เป็นเน้ือหาว่าดว้ ยข้ออศั จรรย์ ไมเ่ คยมี เช่นที่ตรัสว่า “ภกิ ษุท้งั หลาย ขอ้ อศั จรรยไ์ ม่เคยมี ๔ อยา่ งนี้ หาได้ในพระอานนท์” ดงั น้เี ป็นต้น ๙.เวทลั ละ ร้อยแก้วเป็นพระพุทธวจนะแบบถาม-ตอบซ่ึงผู้ถามได้ ทัง้ ความรูแ้ ละความพอใจ เชน่ จฬู เวทลั ลสูตร มหาเวทลั ลสูตร สักกปัญหสตู ร สงั ขารภาชนียสูตรและมหาปุณณสูตร เป็นต้น คาถา อุทาน และชาดก มีรูปเป็นปชั ชะ(ร้อยกรอง) เหมอื นกนั เรียกชอ่ื ต่างกนั ตามแหลง่ ทม่ี าและลักษณะ เนอ้ื หา, สตุ ตะ เวยยากรณะ อิติวุตตกะ อพั ภตู ธรรม และเวทัลละ เป็นร้อยแกว้ (คัชชะ) คือสุตตะเปน็ ร้อยแกว้ แบบ จุณณิยบท(อธบิ ายรายละเอยี ด), เวยยากรณะเป็นความเรียงแบบวภิ ชั วาท (แยกย่อยๆ) อิติวุตตกะเป็นแหล่งอา้ งอิง อพั ภตู มีเน้ือหาพิเศษ สว่ นเวทัลละเปน็ ปุจฉา-วสิ ัชนา, ส่วน เคยยะ เป็นแบบผสม(วมิ สิ สะ) ๖.๓ การออกแบบการสอนตามหลกั นวงั คสตั ถุสาสน์ นวงั คสตั ถสุ าสน์ทัง้ ๙ รูปแบบ สรปุ ลงเป็น ๓ รปู แบบคอื ปัชชะ คชั ชะและวิมิสสะ ดงั กล่าว แลว้ ขา้ งตน้ การออกแบบการสอนจะแสดงตัวอย่างตามแบบร้อยแกว้ (คัชชะ) ในสว่ นท่ีเป็น”สตุ ตะ” แบบพระวนิ ัยปิฎกและแบบพระสตุ ตนั ตปิฎก ๖.๓.๑ การออกแบบการสอนตามหลักสุตตะพระวนิ ัย พระวินยั คือข้อบัญญัติทว่ี างไว้เป็นหลักกำกบั ความประพฤติ ใหเ้ ป็นระเบยี บเรียบร้อยเสมอกันเพ่ือให้ แต่ละคนสามารถดำรงตนอยู่ดว้ ยดี มชี ีวติ ทเี่ ก้ือกูลตามสภาพ แวดล้อมท่ตี นมสี ่วนชว่ ยสรา้ งสรรค์รักษา ให้เอื้ออำนวย แกก่ ารมชี วี ิตท่ีดงี ามร่วมกนั เปน็ พ้นื ฐานที่ดสี ำหรับการพฒั นาคณุ ภาพจิต และการเจริญปัญญา คัมภรี ์พระวนิ ัยปฎิ ก มีการระบบเนอื้ หา ๒ ลกั ษณะเป็นระบบการแบบโบราณมี ๕ เร่ืองคอื อาทิกมั ม์ ปาจติ ตีย์ มหาวรรค จลุ วรรคและปริวาร และระบบสมาคมบาลีปกรณ์มี ๔ เรอ่ื ง คอื ภกิ ขุวภิ ังค์ ภิกขนุ วี ิภังค์ ขันธกะ (มหาวรรคและจุลลวรรค) และบริวาร ๑.รูปแบบพระวินัย รูปแบบพระวินยั เปน็ ขอ้ ปฏบิ ัติท่ีพระพุทธองค์ทรงกำหนดแสดงไว้มี ๓๐ ระบบ๓ เชน่ สกิ ขาบท ปวารณา ปริวาส อุปสัมปทา อปโลกนกรรม สติวนิ ยั เป็นต้น โดยสกิ ขาบทแบ่งย่อยเป็น ๓ ระบบคือ (๑) พระปาติโมกข์ วา่ ด้วยพทุ ธบญั ญตั ิอนั ทรงตง้ั ขึ้นเป็นพุทธอาณา สิกขาบท ๒๒๗ ข้อ มอี าทิพรหมจริยกา สิกขา ท่ีใชส้ วดในท่ีประชมุ สงฆ์ทุกกง่ึ เดือน (๒) ปาติโมกขุทเทส วา่ ด้วยหัวข้อแห่งสกิ ขาบททีย่ กขนึ้ แสดงมี ๕ หวั ขอ้ มนี ทิ านุทเทส แสดงนิทาน เป็นต้น ๓ วนิ ย. (ไทย) ๘/๔๔๙-๕๐๐/๔๕๔-๔๕๕.
๗๐ (๓) ปาตโิ มกขัฏฐปนะ วา่ ดว้ ยเกิดเหตุฉุกเฉินขดั ขอ้ งอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ให้ยตุ ิการสวดพระปาตโิ มกข์ได้ เรียกว่า อันตราย ๑๐ อย่าง ๒.รูปแบบสกิ ขาบท(พระปาติโมกข)์ พระปาติโมกข์เป็นสิกขาบทที่ทรงบญั ญัติไวแ้ ก่ภิกษุสงฆแ์ ละภกิ ษุสงฆ์พระสาวกทัง้ หลายเพือ่ ความสนิ้ ทกุ ข์ โดยชอบโดยประการทั้งปวง๔ มีรปู แบบย่อย ๗ สว่ นคอื (๑) วัตถุ เรอื่ งราวหรือเหตุการณ์ต่างอนั เปน็ เหตุปจั จัยหรือเคา้ มูลให้ทรงบัญญัตสิ ิกขาบทนน้ั แบง่ เป็น ๒ ตอนคือ ปฐมนทิ าน เรื่องราวแรก หรือเหตุแรกเกดิ และอนุนิทาน เร่อื งราวต่อมาๆ หรอื เหตกุ ารณ์คร้ังหลงั (๒) สงั ฆสันนิบาต การประชมุ สงฆ์ เม่ือพระผ้มู ีพระภาคทรงทราบเน้ือความนัน้ แล้ว มีรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลน้ันในเพราะเหตุแรกเกิดขึ้นโดยมีระเบียบการประชมุ ๕ ขัน้ ตอน คอื ตรวจสอบขอ้ เท็จจรงิ ทรงติเตียนอาการกิริยาน้ัน ทรงแสดงโทษแห่งอาการน้ัน ตรัสแสดงคุณแห่งอาการน้นั และทรงแสดงอำนาจ ประโยชน์ในการบญั ญตั ิสิกขาบท (๓) บัญญตั ิหรอื พุทธบัญญัติ บญั ญัติขอ้ หนง่ึ ๆ โดยระบุอาการวา่ ประพฤตเิ ชน่ ไรจึงถือวา่ ลว่ งละเมดิ สิกขาบทหรือต้องอาบัติเช่นนนั้ แบง่ เปน็ ๒ ประเภท คือ (๑)ปฐมบัญญัติหรือมลู บญั ญัติ บญั ญัติคร้งั แรกหรอื บทบัญญตั ิเดิมท่ีทรงตั้งไว้ ในคราวทำ ความผิดครัง้ แรก (๒) อนุบัญญตั ิ เป็นบัญญัติเพม่ิ เติม แก้ไขเพ่ิมเติมที่พระพุทธเจา้ ทรงบัญญตั ิเสริมหรือผ่อนพระ บญั ญตั ิทว่ี างไว้เดิม (๔) สิกขาบทวิภงั ค์ คำจำแนกความแหง่ สกิ ขาบท เพ่ืออธิบายแสดงความใหช้ ดั ขึน้ คำใดท่เี ป็นเง่อื นงำคือ ขัดขอดทช่ี วนใหส้ งสัย ท่านก็ยกคำนั้น ๆ จากพทุ ธบัญญัติเลอื กมาอธิบายใหช้ ดั เจนยง่ิ ข้นึ ในลักษณะต่างๆ คืออธิบาย ความหมาย นยิ ามหรือใหค้ ำจำกดั ความ และบอกลักษณะอาการหรอื ระบุจำนวน (๕) ปทภาชนีย์ บทที่ควรแจกแจงรายละเอียด การอธิบายแจกแจงเนื้อหาแหง่ สิกขาบท โดยแยกเป็นส่วนๆ ถึงลักษณะแห่งการลว่ งละเมิดสิกขาบทนน้ั ๆ (๖) อนาปัตติวาระ วาระที่ไม่ต้องอาบตั ิ ข้อยกเว้นที่เมือ่ ล่วงละเมิดบญั ญตั ิน้ันๆ แลว้ กไ็ มถ่ ือ ว่าเปน็ อาบัติ (๗) วินีตวตั ถุ เรื่องที่ทา่ นตัดสนิ แลว้ วา่ ปรบั อาบตั ิหรือไม่ปรับอาบตั ิ ทา่ นแสดงไว้ เป็นตัวอยา่ งสำหรบั เทยี บเคยี งตัดสินในการปรับอาบัติ ทำนองคำพพิ ากษาของศาลสงู สดุ ที่นำมาศกึ ษากัน ๔ อง.จตตุ ฺตก (บาล)ี .๒๑/๒๔๕/๓๒๗.
๗๑ ๖.๓.๒ การออกแบบการสอนตามหลกั สตุ ตะแบบพระสตู ร คำวา่ “สุตตนั ตะ”๕ เป็นแหลง่ ประมวลคำสอนทางพระพุทธศาสนา มีทัง้ สว่ นทีเ่ ปน็ พระพุทธพจน์ และสาวกภาษติ เป็นตน้ มีรูปแบบทง้ั เป็นร้อยแก้ว ร้อยกรองและผสม เป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่ให้เหมาะ บคุ คล สถานการณ์ เรอื่ งราวและในเวลาโอกาสแตกต่างกันไป ๑. หลกั การของพระสตู ร พระสตุ ตนั ตปิฎกมี ๑๗,๕๐๐ สตู ร มี ๒๕วรรค มี ๑๑ นบิ าตและ ๑๕ เรื่องย่อยรวมเป็น ๕ นิกายคอื (๑) ทฆี นิกาย เป็นประมวลพระสูตรขนาดยาว แบง่ เปน็ ๓ วรรค มี ๓๔ สตู ร (๒) มชั ฌิมนิกาย เปน็ ประมวลพระสตู รที่มีความยาวปานกลาง แบง่ เป็น ๓ ปณั ณาสก์ แบ่งเปน็ ๑๕ วรรค มี ๑๕๒ สตู ร (๓) สงั ยุตตนิกาย เปน็ การประมวลเอาพระสูตรทีเ่ กี่ยวข้องกบั บคุ คลสถานท่ี หรือธรรมะเรื่องเดยี วกนั เขา้ ไวด้ ว้ ยกันเปน็ หมวดๆ เรียกวา่ สงั ยุตตห์ นงึ่ ๆ มี ๕ วรรค แบ่งเปน็ ๕๖ สงั ยตุ ต์ มี ๗,๗๖๒ สูตร (๔) อังคุตตรนิกาย ว่าดว้ ยธรรมที่เป็นหวั ข้อแสดงเปน็ หมวด ๆ จดั ตามลำดับหมวดท่ีมีหวั ขอ้ ธรรม นอ้ ยไปหามากตามลำดับ เรียกว่า นบิ าต มรี วม ๑๑ นิบาต มี ๙,๕๕๗ สตู ร (๕) ขทุ ทกนิกาย เป็นประมวลแห่งคมั ภรี เ์ บด็ เตลด็ ต่างๆหลายประเภท รวม ๑๕ รายการ คือขทุ ทก ปาฐะ ธรรมบท อติ วิ ตุ ตกะ สุตตนบิ าต วมิ านวตั ถุ เปตวตั ถุ เถรคาถา เถรีคาถา ชาดก นทิ เทส ปฏิสัมภทิ ามัคค์ อป ทาน พทุ ธวงศ์ และจริยาปฎิ ก ๒. รปู แบบพระสูตร ส่วน“สตุ ตะ”เป็นรปู แบบวธิ เี ขยี น(ร้อย)พระพุทธวจนะทที่ รงแสดงในรปู รอ้ ยแก้วหรือความเรยี ง ใน พระสูตรท้ังหลายทไ่ี ม่มคี าถา มี ๕ ขั้นตอนคือ (๑) สารมั ภกถา คำเริม่ แรก “ขา้ พเจา้ ได้สดับมาแลว้ อยา่ งน้ี” เปน็ คำบอกเลา่ ของพระอานนท์ เถระ ในฐานะผู้เลา่ วสิ ชั นาพระสตู ร (๒) กาลเทศะ เวลาและสถานที่ เปน็ คำรายงาน ในขณะท่ีทรงแสดงพระสตู รนนั้ ๆ พระผมู้ ีพระ ภาคเจ้าประทบั อยู่ที่ไหน พร้อมกบั ใครบา้ ง (๓) นทิ าน เร่อื งราวหรือเหตุการณ์ตา่ งๆ ส่วนหนึ่งเปน็ เหตเุ กิด ต้นเรอ่ื งหรือเค้าเงื่อนให้เกิดเรอ่ื งราว (นิทานวจนะ)๖ และเป็นเรื่องราวเนื่องกนั ต้ังแต่ต้นจนจบ (นิทานวัตถ)ุ โดยมีรายละเอียดว่า เหตุการณเ์ กิดข้นึ ท่ี ไหน เกิดข้ึนอยา่ งไร มีใครบ้างอยใู่ นเหตุการณ์ ตลอดจนอยู่ในสภาพแวดล้อมอยา่ งไร ๕ สุตตนั ต ประกอบรูปศพั ทจ์ าก สุตต และ อนั ต; อนั ตะ หรือ อนฺต แปลวา่ ”ท่ีสุด” ค่กู บั คาวา่ อนนั ตะ (ไมม่ ีท่ีสุด) นบั เป็นศพั ทส์ กดั ลงทา้ ยศพั ทเ์ พ่ือให้ ไพเราะและมคี วามหมายกวา้ งกวา่ “สุตต”(เร่ืองเล่าหน่ึงๆ) . ๖ ในคมั ภรี ์มงั คลตั ถทีปนี ภาค ๑/๒๕๑๗ อธิบายวา่ มี ๔ ประการ ๑.อตั ตชั ฌาสยา(อธั ยาศยั ของพระองค)์ ๒. ปรัชฌาสยา (อธั ยาศยั ผูอ้ น่ื ) ๓. อตั ถุปปัตตกิ า (เกิดเร่ืองข้นึ ) ๔. ปุจฉาวสิกา (คาถาม).
๗๒ (๔) สารัตถะ แก่นเรื่อง คำสอน หวั ข้อธรรม บญั ญตั ธิ รรมทที รงแสดงในเรอ่ื งอนั เป็นหัวใจ หรอื สารตั ถะแห่งพระสูตร (๕) สโมธาน๗ การสรุปเรอ่ื งซึ่งจัดเข้าในลกั ษณะการประเมินผล ว่ามเี หตกุ ารณอ์ ะไรเกดิ ขนึ้ บา้ ง หลงั จบเทศนาเรอ่ื ง ในคัมภีร์ทีฆนิกายและมัชฌิมนกิ าย สว่ นในสงั ยตุ ตนิกายมีความยาว-สั้นไม่เทา่ กนั ; พระสตู รขนาดยาวจะ มี ๕ ส่วน เชน่ สมทิ ธสิ ูตรเปน็ ต้น, พระสตู รขนาดกลาง จะมี ๓ ส่วนคือ กาลเทศะ นทิ าน และสารัตถะเชน่ วภิ งั คสตู ร เปน็ ตน้ และพระสตู รขนาดส้ัน จะมีเพยี ง ๑ สว่ นคอื สารัตถะเทา่ น้นั เชน่ สนั นสูตร เปน็ ตน้ ๖.๔ ตัวอยา่ งการออกแบบการสอนตามหลักนวงั คสตั ถศุ าสน์ ๖.๔.๑. ตวั อย่างการออกแบบการสอนหลักสตุ ตะแบบพระวนิ ยั การออกแบบการสอนหลกั พระวินัยปิฎกเปน็ การนำรูปแบบสิกขาบทมาเปน็ กรอบแนวในการ ออก แบบกิจกรรมการเรยี นรู้เปน็ ๓ ขัน้ คอื กำหนดจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ให้มเี ป้าหมายสอดคลองกบั กรอบสิกขาบท (๗ ขอ้ ) และเหมาะสมกับสาระการเรยี นรู้(เรื่องท่ีสอน) กำหนดกิจกรรม และวธิ ีวดั ประเมินผลใหร้ องรับจุดประสงคท์ ่ีตั้ง ไว้ในเบอ้ื งต้น ตัวอยา่ ง เรื่อง “วันสำคญั ทางพระพุทธศาสนา” เวลา ๓ ชั่วโมง ๑.จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ (๑) อธบิ ายการประกอบพิธีมาฆบูชา วิสาขบูชาและอาสาฬหบูชาได(้ วัตถ)ุ (๒) บอกประวัตแิ ละความเป็นมาวนั สำคัญทางพระพุทธศาสนาแต่ละวนั ได้ (สงั ฆสันนบิ าต) (๓) สรปุ สาระสำคญั วนั สำคญั ทางพระพุทธศาสนาได้ (พุทธบญั ญตั ิ) (๔) วเิ คราะห์สาระสำคญั วนั สำคัญทางพระพุทธศาสนาได้ (สกิ ขาบทวิภังค)์ (๕) จำแนกส่วนท่คี วรปฏบิ ตั ใิ นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาได้ (ปทภาชนยี ์) (๖) เสนอแนะข้อยกเว้นที่ไม่ต้องปฏบิ ัติในวันสำคญั ทางพระพทุ ธศาสนาได้ (อนาปัตตวิ าระ) (๗) ยกตัวอย่างหรอื การประกอบพธิ ีวนั สำคัญทางพระพุทธศาสนาได้ (วินีตวตั ถุ) ๗ สโมธาน ในชาดก เป็นการประชุมชาดกคอื บุคคลในชาดก กลบั ชาติมาเป็นใครในสมยั ปัจจบุ นั .
๗๓ ๒. กจิ กรรมการเรียนร้แู บบพระสตู ร จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ กิจกรรมการเรยี นรู้ ๑.วัตถ(ุ เรื่อง) ๑.ใหน้ ักเรียนระดมความคดิ เลา่ ประสบการณ์ หรอื วิเคราะห์ เกี่ยวกับวันสำคญั ทางพระพุทธศาสนาในประเด็น (๑) การประกอบพธิ ีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา (๒) สภาพ-สถานการณ์ในวันสำคัญทางพระพทุ ธศาสนา ๒.สงั ฆสันนิบาต (สบื สวน) ๒. สืบค้นหนงั สือและเอกสาร แลว้ เขียนงานในประเดน็ (๑) เหตุการณ์สำคัญในสมัยพุทธกาล (๒) ประวตั กิ ารประกอบพิธีในวนั สำคัญทางพระพุทธศาสนา ในประเทศไทยสมัยสุโขทยั อยุธยาและรัตนโกสนิ ทร์ ๓.พุทธบัญญัติ (สาระ) ๓. สรปุ สาระสำคญั วนั สำคัญทางพระพุทธศาสนาในด้าน (๑) ขน้ั ตอนการประกอบพธิ ี (๒) ภาพรวมของวนั สำคัญทางพระพทุ ธศาสนา (๓) ประวตั วิ นั สำคญั ทางพระพทุ ธศาสนาในไทย ๔.สกิ ขาบทวิภงั ค(์ จำแนก) ๔.กำหนดประเด็น-เน้อื หา-เร่อื งราวตา่ งๆทเี่ กย่ี วกับวนั สำคัญทาง พระพุทธศาสนา เช่น... (๑) สภาพสังคม-สถานท่ี และเวลา (๒) การประกอบพิธี (๓) ผมู้ สี ว่ นเกี่ยวข้อง ๕ ปทภาชนยี ์ ๕.แจงรายละเอียดวนั สำคญั ทางพระพทุ ธศาสนา (๑) สถานที่ และเวลา (๒) การประกอบพธิ ี (๓) ผู้มสี ่วนเกีย่ วขอ้ ง ๖.อนาปัตตวิ าระ (ขอ้ ยกเว้น) ๖.เสนอแนะสิ่งท่ีควรปรับปรงุ แก้ไขวนั สำคญั ทางพระพุทธศาสนา เช่น (๑)ขัน้ ตอนการประกอบพิธี, (๒) เวลา (๓) กจิ กรรมเสริมคุณธรรมจรยิ ธรรมต่างๆ ๗.วินตี วัตถ(ุ ตัวอย่าง) ยกตวั อยา่ งความสำเรจ็ -ล้มเหลวในวันสำคญั ทางพระพุทธศาสนา เชน่ (๑) แผนงาน โครงการ-กจิ กรรม (๒) การมสี ว่ นรว่ ม-ระยะเวลา-การเดินทาง เปน็ ต้น
๗๔ (๓) พฒั นาการดา้ นศีล สมาธิ และปัญญา ของชาวพุทธ ๓. การวัดและประและการเมนิ ผล ประเมินผล จากรายงาน การนำเสนอหน้าเรียน และการอภิปรายข้อความถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตาม วตั ถุประสงคท์ ี่ตัง้ ไวห้ รอื ไมเ่ พยี งใด(ให้ครบความ) โดยมตี วั ชวี้ ัดดังนี้ (๑) ดา้ นความรู้ -รู้เข้าใจคุณคา่ แท้-คุณคา่ เทยี มของวันสำคญั ทางพระพุทธศาสนา -จัดทำโครงงาน แบบสำรวจ ฯลฯ ได้ (๒) ด้านสงั คม -ตดิ ตอ่ ประสาน และทำงานรว่ มกับคนอื่นได้ (๓) ดา้ นคณุ ธรรมจริยธรรม -รับผิดชอบ ตรงต่อเวลา อดทน ขยันและซ่ือสตั ย์ ๖.๔.๒ การออกแบบการสอนตามหลักสุตตะแบบพระสตู ร รปู แบบและเคา้ โครงเรือ่ งของพระสูตรจากหลกั การของพระสูตร เห็นได้ว่าการสอนแบบสุตตะน้นั เปน็ การสอนแบบ “กระบวนการเลา่ เรือ่ ง” (Descriptive Process) เป็นการดำเนนิ เรอื่ งราว เร่ืองใดเรอื่ งหน่ึง อยา่ งมีลำดับขัน้ ตอนทต่ี ่อเนื่อง องิ อาศัย เชื่อมโยงถงึ กันและกัน โดยแต่ละขนั้ กำกับด้วย “ปญั ญา” อันเปน็ หลกั การ ท่ัวไปของการศกึ ษาตามแนวทางพระพุทธศาสนา ตัวอย่าง เรื่อง “วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา” ๓ ชวั่ โมง ๑. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ (๑) บอกความสำคัญของวันสำคญั ทางพระพุทธศาสนาได้ (สารัมภะ) (๒) อธิบายสภาพแวดล้อมในการพธิ ีเนื่องในวนั สำคัญทางพระพุทธศาสนาได้ (กาลเทสะ) (๓) อธบิ ายเรื่องราวเก่ยี วกบั วันสำคญั ทางพระพุทธศาสนาได(้ นิทาน) (๔) บอกสาระสำคัญของวนั สำคญั ทางพระพุทธศาสนาได้ (สารตั ถะ) (๕) ประมวลคุณคา่ เก่ยี วกบั วันสำคญั ทางพระพุทธศาสนาได้ (สโมธาน)
๗๕ ๒. กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบพระสูตร จดุ ประสงค์การเรียนรู้ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๑. สารมั ภะ ๑.สนทนา, สบื คน้ ข้อมลู เป็นตน้ แลว้ ตอบคำถามต่อไปน้ี (๑) ความสำคญั ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ (๒) ความสำคญั ด้านเศรษฐกิจ สงั คมและวัฒนธรรม (๓) ความสำคญั ด้านภมู ิธรรม ภมู ิปัญญา ๒. กาลเทศะ ๒.สงั เกต,ระดมความคดิ หรอื สำรวจสภาพการจดั งานวันสำคัญทาง พระพทุ ธศาสนา เช่น (๑) สถานทปี่ ระกอบพธิ ี (๒) การจราจร (๓) รายได้ ๓. นิทาน ๓.สำรวจ, สอบถาม หรอื โครงงานเกย่ี วกบั เนื้อหา เรอ่ื งราวที่ เกดิ ข้ึน เช่น (๑) รูปแบบกิจกรรมตา่ งๆ ทีเ่ กดิ ข้นึ (๒) เน้อื หา เรอื่ งราวท่กี ลา่ วถงึ (๓) การมีสว่ นรว่ มของประชาชน ชุมชนและสงั คม ๔. สารตั ถะ ๔.สังเกต, สำรวจ สอบถามผลที่คาดหวังว่าจะได้รับ เชน่ (๑) จิตสำนึกจุดมุ่งหมายท่ีถูกต้องในพระรตั นตรยั (๒) ความรู้เขา้ ใจในพระพุทธศาสนา ๕. สโมธาน ๕.สรปุ อภิปราย และรายงาน (๑) ประโยชน์ท่ีบุคคลและสงั คมไดร้ บั (๒)ข้อที่ควรปรบั ปรุงแก้ไข ๓. การวดั และประและการเมินผล ประเมินผล จากรายงาน การนำเสนอหน้าเรียน และการอภิปรายข้อความถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตาม วัตถปุ ระสงคท์ ่ีตั้งไว้หรอื ไม่เพียงใด(ให้ครบความ) โดยมีตัวชีว้ ัดดังนี้ (๑) ดา้ นความรู้ -รเู้ ข้าใจคณุ ค่าแท้-คุณค่าเทยี มของวันสำคญั ทางพระพทุ ธศาสนา -จดั ทำโครงงาน แบบสำรวจ ฯลฯ ได้ (๒) ด้านสังคม -ติดต่อประสาน และทำงานรว่ มกบั คนอน่ื ได้ (๓) ดา้ นคุณธรรมจรยิ ธรรม -รับผิดชอบ ตรงตอ่ เวลา อดทน ขยนั และซ่ือสตั ย์
๗๖ สรปุ ท้ายบท นวังคสตั ถุสาสนเ์ ปน็ วธิ ีการสอน ๙ รูปแบบที่พระพุทธเจา้ ทรงใช้เปน็ เครอ่ื งในการสง่ั สอนพุทธบริษัท ตลอดเวลา ๔๕ มีผลสัมฤทธิด์ ังปรากฏในบทพุทธคณุ วา่ ทรงเปน็ ครูของเทวดาและมนุษยท์ ้ังหลาย และสามารถฝึก บริษัทไม่มีผอู้ ่ืนยิ่งกวา่ สว่ นการนำหลกั นวังคสัตถสุ าสนม์ าออกแบบการสอน เป็นเพียงแนวทางหนงึ่ สำหรบั การจัด กจิ กรรมการเรียนรู้ตามหลักการสอนปจั จุบนั และนวงั คสตั ถสุ าสนม์ รี ูปแบบและเน้อื หาครอบคลุมพุทธวจนะทั้งหมด จงึ แสดงพอเป็นตัวอย่างเท่าน้ัน
๗๗ เอกสารอ้างองิ ประจำบท มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . มหาจุฬาเตปิฎกํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพม์ หา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๔๒. มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ,๒๕๔๒.
บทที่ ๗ การสอนตามหลกั โยนิโสมนสิการ วตั ถุประสงคก์ ารเรยี นประจำบท เม่ือไดศ้ ึกษาเนื้อหาในบทน้แี ล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑. อธบิ ายความรู้เบอ้ื งต้นเกยี่ วกบั โยนิโสมนสิการได้ ๒. อธบิ ายการออกแบบการสอนตามหลักโยนโิ สมนสกิ ารได้ ๓. ยกตัวอย่างการออกแบบการสอนตามหลักโยนิโสมนสกิ ารได้ ขอบข่ายเนอื้ หา • ความรเู้ บื้องต้นเก่ียวกบั โยนิโสมนสิการ • การออกแบบการสอนตามหลกั โยนโิ สมนสิการ • ตวั อย่างการออกแบบการสอนตามหลักโยนิโสมนสิการ
๗๙ ๗.๑ ความนำ โยนโิ สมนสกิ ารเปน็ วธิ กี ารแห่งปญั ญาหรอื การใชค้ วามคดิ อยา่ งถกู วธิ ี ในกระบวนการ พฒั นาปัญญาอยู่ใน ระดับเหนอื ศรทั ธาเปน็ ขน้ั ตอนทเี่ รมิ่ ใชค้ วามของคนเองเป็นอิสระ และในระบบการ ศึกษา อบรมเปน็ การฝึกการใช้ ความคดิ ให้รู้จักคิดอยา่ งถกู วิธี คดิ อย่างมรี ะเบียบ รจู้ ักคิดวเิ คราะห์ ไม่มองเห็นส่งิ ต่างๆอย่างตนื้ ๆ ผวิ เผิน เปน็ ขัน้ สำคัญในการสร้างปญั ญาทบ่ี ริสุทธเิ์ ป็นอิสระ ทำให้ทุกชว่ ยตนเองได้และนำไปสจู่ ุดมุง่ หมายของพทุ ธธรรมอยา่ งแท้จริง๑ ๗.๒ ความรเู้ บอ้ื งต้นเก่ียวกับโยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการ ประกอบรูปศัพท์ว่า “โยนิ+โส”(เหตุ,ต้นเค้า, แหล่งเกิด,ปัญญา, อุบาย,วิธี,ทาง) กับคำ “มน+ส+ิ การ” (การทำในใจ,การคดิ ,คำนงึ ,นึกถงึ ,ใสใ่ จ,พิจารณา) เมื่อรวมกันเขา้ เป็น “โยนิโสมนสกิ าร” ทา่ นแปลสืบๆ กันมาว่า การทำไวใ้ นใจโดยแยบคาย๒ คำไวพจน์ของมนสิการ คือ อาวัชชนา อาโภค สันนาหาร ปัจจเวกขณ์ ใน บาลียังพบคำจำพวกไวพจน์ของมนสิการ อีกหลายคำ เช่น อุปปริกขา ปฏิสังขา ปฏิสัญจิกขณา ปริวีมังสา และคำ วา่ สัมมามนสกิ าร ก็มคี วามหมายใกลเ้ คยี งกับโยนโิ สมนสกิ าร แตม่ ที ีใ่ ช้น้อยไม่ถอื เปน็ ศพั ทเ์ ฉพาะ ๗.๒.๑ ลกั ษณะโยนโิ สมนสิการ คัมภีร์ชั้นอรรถกถาและฎีกาได้ไขความไว้ โดยวิธีแสดง ไวพจน์ ให้เห็นความหมายแยกเป็นแง่ ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี๓ ๑. อุบายมนสิการ แปลว่า คดิ หรือพิจารณาโดยอุบายคอื คิดอย่างมวี ิธี หรอื คิดถูกวธิ ี หมายถึงคิดถกู วิธีท่ีจะ ใหเ้ ข้าถึงความจรงิ สอดคลอ้ งเข้าแนวกับสจั จะ ทำให้หย่ังรู้สภาวลกั ษณะและสามัญลักษณะของส่งิ ท้งั หลาย ๒. ปถมนสกิ าร แปลว่า คิดเป็นทาง หรือคิดถูกทางคือคิดได้ต่อเนอ่ื งเป็นลำดับ จัดลำดับได้หรือมีลำดับ มี ข้ันตอน แล่นไปเป็นแถวเป็นแนว หมายถึง ความคิดเป็นระเบียบตามแนวเหตุผลเป็นต้น ไม่ยุ่งเหยิงสับสน ไม่ใช่ ประเดี๋ยววกเวียนติดพันเร่ืองนี้ ทีน้ีเด๋ียวเตลิดออกไปเรื่องนั้นท่ีโน้น หรือกระโดดไปกระโดดมา ต่อเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ได้ ท้งั น้รี วมทงั้ ความสามารถทจี่ ะชักความนึกคดิ เขา้ สแู่ นวทางท่ถี ูกตอ้ ง ๓. การณมนสกิ าร แปลว่า คดิ ตามเหตุ คดิ ค้นเหตุ คิดตามเหตผุ ล หรอื คดิ อยา่ งมีเหตุผล หมายถึงการคิดสืบค้นตามแนวความสัมพันธ์สืบทอดกันแห่งเหตุปัจจัย พิจารณาสืบสาวหาสาเหตุให้เข้าใจถึงต้น เค้า หรอื แหล่งท่มี าซ่งึ สง่ ผลต่อเนือ่ งตามลำดับ ๔. อุปปาทกยมนสิการ แปลว่า คิดให้เกิดผล คือใช้ความคิดให้เกิดผลท่ีพึงประสงค์ เล็งถึงการคิดอย่างมี เป้าหมาย ท่านหมายถึง การคิดการพิจารณาท่ีทำให้เกิดกุศลธรรม เช่น ปลุกเร้าให้เกิดความเพียร การรู้จักคิด ในทางทีท่ ำใหห้ ายหวาดกลวั ให้หายโกรธ การพจิ ารณาท่ีทำให้มีสติ หรือทำให้จติ ใจเขม้ แข็งมนั่ คง เป็นตน้ ๑ พระราชวรมุนี(ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต). พุทธธรรม.(กรุงเทพฯ: มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ,๒๕๒๙), หนา้ ๖๖๗. ๒ เร่ืองเดียวกนั . หนา้ ๖๖๙-๖๗๐. ๓ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ โต), พจนานุกรม ฉบับประมวลศัพท์. ๒๕๔๒, หนา้ ๑-๒.
๘๐ ไขความท้ัง ๔ ข้อน้ี เป็นเพียงการแสดงลกั ษณะดา้ นต่าง ๆ ของความคิดที่เรียกวา่ โยนิโสมนสิการ โยนิโส มนสกิ ารทเี่ กิดข้นึ คร้ังหนง่ึ ๆ อาจมีลกั ษณะครบทเี ดียวทงั้ ๔ ขอ้ หรือเกอื บครบทั้งหมดนัน้ หากจะเขยี นลกั ษณะทั้ง ๔ ข้อนัน้ สน้ั ๆ คงได้ความว่า คิดถูกวิธี คิดมีระเบียบ คิดมเี หตุผล และคดิ เรา้ กศุ ล ๗.๒.๒ ความสำคญั ของโยนโิ สมนสกิ าร ความสำคญั ของโยนิโสมนสิการ ท่ีปรากฏในพระไตรปฎิ ก ตวั อย่าง “ผู้รู้เห็นโยนิโสมนสิการและอโยนิโสมนสิการ ดูกรภิกษุท้ังหลาย เมื่อภิกษุรู้เห็นมนสิการโดยไม่แยบ คายอาสวะท้ังหลายที่ยังไม่เกิดข้ึน ย่อมเกิดข้ึน และที่เกิดข้ึนแล้วย่อมเจริญขึ้น เม่ือภิกษุมนสิการโดยแยบคาย อา สวะท้ังหลายทย่ี ังไม่เกดิ ขน้ึ ย่อมไมเ่ กดิ ขึ้น และท่เี กดิ ขึน้ แล้ว ยอ่ มเส่อื มส้ินไป ดูกรภิกษุท้ังหลาย อาสวะที่จะพึงละได้เพราะการเห็นมีอยู่ ที่จะพึงละได้เพราะการสังวรก็มี ท่ีจะพึงละได้ เพราะเสพเฉพาะก็มี ที่จะพึงละได้เพราะความอดกล้ันก็มี ท่ีจะพงึ ละได้เพราะเว้นรอบก็ มีที่จะพึงละได้เพราะบรรเทาก็มี ทีจ่ ะพึงละไดเ้ พราะอบรมกม็ ี”๔ “แต่โยนิโสมนสิการ ๙ คือ เมื่อกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ปราโมทย์ย่อมเกิด ปีติย่อมเกิดแก่ผู้ปราโมทย์ กายของผู้มีใจกอปรด้วยปีติย่อมสงบ ผู้มีกายสงบย่อมเสวยสุข จิตของผู้มีสุขย่อมตั้งม่ัน ผู้มีจิตตั้งมั่นย่อมรู้เห็นตาม เปน็ จริง ผู้รเู้ ห็นตามเปน็ จริง ตนเองยอ่ มหน่าย เมือ่ หน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น ธรรม ๙ อยา่ งเหล่านมี้ อี ปุ การะมาก”๕ “ธรรมอย่างอื่นอันมีอุปการะมาก เพ่ือบรรลุประโยชน์อันสูงสุด แห่งภิกษุผู้เป็นพระเสขะ เหมือนโยนิโส มนสิการไม่มีเลย ภิกษุเริ่มต้ังไว้ซ่ึงมนสิการโดยแยบคาย พึงบรรลุนิพพาน อันเป็นที่ส้ินไปแห่ง ทกุ ข์ได้”๖ “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เม่ือพระอาทิตย์จะขึ้น ส่ิงท่ีข้ึนก่อน ส่ิงท่ีเป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง สิ่งท่ีเป็น เบอื้ งต้น เป็นนิมติ มาก่อนเพ่ือความเกิดแห่งอรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ ของภกิ ษุ คอื ความถึงพร้อมแห่งการกระทำ ไว้ในใจโดยแยบคาย ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรภิกษุท้ังหลาย อันภิกษุผู้ถึงพร้อมแห่งการกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย พึง หวังขอ้ น้ไี ด้ว่า จกั เจรญิ อรยิ มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ จกั กระทำให้มากซง่ึ อรยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์แปด”๗ ๗.๒.๓ วธิ ีคิดแบบโยนิโสมนสิการ วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ ว่าโดยหลักการมี ๒ แบบคือที่มุ่งสกัดหรือกำจัดอวิชชาโดยตรงและท่ีมุ่ง สกัดหรือบรรเทาตัณหา พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต) ได้สังเคราะห์หลักคำสอนในพระไตรปิฎกและประมวลไว้ ละเอยี ดแล้ว ในหนงั สอื พทุ ธธรรมบทที่ ๑๘ (ตอนท่ี ๕ เรอ่ื งชวี ติ ควรเปน็ อยอู่ ย่างไร) มี ๑๐ วธิ ี๘ สรุปความไดค้ อื ๔ ม.ม.ู (บาล)ี ๑๒/๑๑. ๕ ท.ี ปา.(บาลี) ๑๑/๔๕๕. ๖ ข.ุ ข. (บาล)ี ๒๕/๑๙๔. ๗ ส.ํ มหา. (บาลี) ๑๙/๑๑. ๘ พระธรรมปิ ฎก, พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ,๒๕๔๖), หนา้ ๖๗๕-๒๗.
๘๑ ๑. คิดแบบสบื สาวหาเหตุปจั จัย วธิ ีคิดแบบสืบสาวหาเหตุปจั จัย คือการคิดแบบสบื สาวหาเหตุปัจจยั คอื พิจารณาผลลัพธท์ ปี่ รากฏ แล้ว คิดคน้ หาเหตุท่สี ง่ ผลสืบทอดกนั มา จะเรยี กว่าวิธีคิดแบบอทิ ัปปัจจยตา หรือ วธิ ีคิด แบบปฏิจจสมุปบาทก็ได้ ในทางปฏบิ ัตแิ ล้ว สามารถแยกวธิ ีนี้ออกได้ ๒ ทางคือ (๑) คิดแบบปัจจัยสมั พันธ์ คือ เมื่อพบปรากฏการณ์ หรือเรื่องที่พจิ ารณาอยา่ งหนึ่งอยา่ งใดก็มองหย่ังยอ้ นและ สืบสาวชักโยงออกไปถึงปัจจัยต่างๆ ท้ังหลายที่เข้ามาสัมพันธ์น้ัน ก่อให้เกิดผลหรือปรากฏการณ์น้ันๆ ข้ึนเช่น ที่ พระพุทธเจ้าตรัสสอนบอ่ ยๆใหพ้ ระสาวกพจิ ารณาว่า “เม่ือส่ิงน้นั มี สิง่ นี้จงึ มี เพราะส่งิ น้นั เกดิ ขนึ้ สิง่ น้ีจงึ เกดิ ขนึ้ ฯลฯ” (๒) คิดแบบสอบสวน คือ เมื่อประสบพบเห็นสิ่งใดๆท่ีควรพิจารณาก็ควรต้ังถามแก่ตนว่า ทำไม เพราะอะไร เช่น พระพุทธเจ้าทรงตั้งปัญหาถามพระองค์เองก่อนตรัสว่า“ตัณหาเกิดข้ึน เพราะอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา” เป็น ตน้ ๒. คดิ แบบแยกแยะส่วนประกอบ (วเิ คราะห์) วธิ ีคดิ แบบแยกแยะส่วนประกอบ คือพิจารณาผลลัพธ์สิ่งน้ัน แล้วคิดแยกแยะเป็นส่วนยอ่ ยๆ คิดกระจาย เน้ือหา โดยมีหลักธรรมที่ว่า ส่ิงทั้งหลายย่อมเกิดจากองค์ประกอบย่อยๆ หลายอย่างมาประชุมกัน เช่น พิจารณาให้ เห็นความไม่มีแก่นสาร หรือความไม่มีตัวตนที่แท้จริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย อย่างในกรณีเห็นสัตว์บุคคลเป็นเพียงการ ประชุมกันเข้าขององค์ประกอบต่างๆของขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พร้อมทั้งธาตุ ๔ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ วิธีการคิดแบบน้ีจะชว่ ยทำให้เห็นความเป็นอนัตตา ทำให้เห็นการเกดิ ข้ึน ต้ังอยู่ และดับไป ของสรรสงิ่ ทง้ั หลาย ๓. คิดแบบรูเ้ ทา่ ทันธรรมดา (สามัญลักษณ์) วธิ ีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา คอื พิจารณาผลลพั ธส์ ิ่งน้นั แบบรเู้ ทา่ ทนั ตามกฎไตรลกั ษณ์ ซง่ึ มีอนิจจงั ทุกขัง อนัตตา ว่าเป็นของธรรมชาติที่มีเกิดขึ้น ต้ังอยู่ และดับไป ไม่ต้องปรุงแต่งใจให้ทุกข์ไปด้วย และคิดแก้ปัญหาตามเหตุ ปัจจัย วธิ ีการคดิ แบบน้ีเหมาะสำหรับปัญหางานท่ีเก่ียวกับความเสอ่ื มไปของวสั ดุอุปกรณ์เคร่ืองมือเครื่องจักร ความไม่ แน่นอนของข้อมลู ของเครอื่ งมือวัด แลว้ คน้ หาเหตุปัจจัยแหง่ ความเสอื่ มไปหรือไมแ่ นน่ อนนัน้ ๆ (๑) รู้เท่าทันและยอมรับความจริง : คือวางใจวางท่าให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เป็นอิสระไม่ผูกมัด แม้ว่าจะพบส่ิงทไ่ี ม่พอใจ มองตามความจริง ไม่เอาใจไปทกุ ข์ด้วยปัญหาเปน็ ของธรรมดา (๒) แก้ไขและทำการไปตามเหตุปัจจัย : คือปฏิบัติต่อสิ่งท้ังหลายให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของ ธรรมชาตริ เู้ ท่าทัน เปน็ อสิ ระ ไมผ่ กู มัด ศึกษาใหเ้ ข้าใจเหตปุ จั จยั แล้วแก้ไข ทำการ จัดการที่ตัวเหตุปัจจัยน้ัน ซึ่งต้องใช้วิธีการคิดแบบท่ี ๔ (คิดแก้ปัญหา)มารับช่วงต่อไปตัวอย่างในการปฏิบัติเจริญ วปิ สั สนา ไดน้ ยิ มการคิดเป็นชดุ ซึ่งไมต่ รงกบั ลำดับท่กี ลา่ วมา แลว้ คือ ลำดับท่ี ๑ คดิ แยกแยะวเิ คราะห์องค์ประกอบ นามกบั รูป ลำดบั ท่ี ๒ คิดสืบสาวเหตุปจั จัย ตามแนวปฏจิ จสมปุ บาท ลำดับท่ี ๓ คดิ แบบรู้เทา่ ทนั ธรรมดา คอื เอานามรูปมาพิจารณาในแนวไตรลักษณ์ (อนจิ จัง ทกุ ขงั และ อนัตตา)
๘๒ ๔. คิดแบบแกป้ ญั หาเชงิ อรยิ สัจ วิธีคิดแบบแก้ปัญหาแบบอริยสัจ คือพิจารณาแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นวิธีการแห่งความดับทุกข์โดยการศึกษาค้นหาปัญหา พิจารณาหาสาเหตุ กำหนดเป้าหมายการแก้ปัญหา และ แสวงหาวธิ ีการแก้ปญั หาทห่ี ลากหลาย วธิ คี ดิ เพอ่ื ความดับทุกข์ เป็นลกั ษณะการคิดแบบอริยสจั มี ๒ ประการคอื (๑) คิดตามเหตุและผล : เป็นการคิดสืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไขท่ีต้นเหตุ มี ๒ คู่ คือ คู่ที่ ๑ ทุกข์เป็น ผล สมุทัยเปน็ เหตุ และคู่ที่ ๒ นโิ รธเป็นผล มรรคเป็นเหตุ (๒) คิดที่ตรงจุดตรง : มุ่งตรงต่อส่ิงท่ีจะต้องทำต้องปฏิบัติเกี่ยวกับชีวิตใช้แก้ปัญหาไม่ฟุ้งซ่านออกไป และไม่ คดิ เพ่ือตอบสนองตณั หา ตัวอย่าง การปฏบิ ัตคิ ดิ แกป้ ัญหาแบบอรยิ สจั ดงั นี้ ข้ันท่ี ๑ ทุกข์คือสภาพปัญหา เราต้องกำหนดรู้ ทำความเข้าใจปัญหา กำหนดขอบเขตปัญหาว่าเป็น อะไร อยทู่ ไ่ี หน ขน้ั ท่ี ๒ สมุทัยคือเหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุแห่งปัญหา ได้แก่เหตุปจั จัยต่างๆที่เข้าสัมพันธ์ขดั แย้ง สง่ ผลสืบทอดกันมาจนปรากฏเป็นสภาพบีบคัน้ กดดัน คับขอ้ งติดขัด อึดอัด บกพร่องในรูปแบบต่าง ๆ แปลกๆ กนั ไป ตอ้ งหาเหตใุ ห้พบแลว้ ทำหนา้ ทต่ี อ่ มันใหถ้ กู ต้อง โดยกำจดั มันเสยี (ปหาน) ข้ันที่ ๓ นโิ รธคือความดบั ทุกข์ ความพ้นทุกข์ ภาวะไรท้ กุ ข์ ปราศจากปัญหาเปน็ จุดหมายทต่ี ้องการ เป็นสง่ิ ทต่ี อ้ งทำให้ประจกั ษ์แจ้ง (สจั ฉิกิริยา) ทำใหส้ ำเร็จหรือบรรลถุ งึ ข้ันน้ตี ้องกำหนดจุดหมายท่ตี ้องการ หรือจะ ปฏบิ ัตเิ พื่ออะไร มีหลกั การในการเข้าถงึ อย่างไรมจี ุด หมายรอง หรอื จุดหมายลดหล่นั แบง่ เป็นข้ันตอนในระหว่างนน้ั ไดอ้ ย่างไรบา้ ง ขน้ั ที่ ๔ มรรค คือทางดับทุกข์ ข้อปฏิบตั ิให้ถึงความดับทุกข์ หรือวิธีการแก้ปัญหา รายละเอียดที่ต้อง ปฏบิ ัติ เพ่อื กำจัดเหตปุ ัจจัยของปญั หาใหเ้ ข้าถึงจดุ หมายท่ีตอ้ งการ ซ่ึงเราตอ้ งมีหนา้ ทปี่ ฏบิ ัต(ิ ภาวนา) ๕. คิดแบบหลักการและจุดมุ่งหมาย (อรรถธรรมสมั พันธ์) วธิ ีคิดแบบหลักการและจดุ มงุ่ หมาย คอื พจิ ารณาผลลพั ธ์ในเชิงหลักธรรมหรอื หลักการ กับความมุ่งหมาย ใหม้ คี วามสอดคล้องกัน ซง่ึ อาจตอ้ งมีเป้าหมายรวมหรอื เปา้ หมายสุดท้าย และเป้าหมายท่ามกลางเป็นระยะๆ หรือหลัก กโิ ลเมตร ท่ีบอกความสำเร็จเปน็ ระยะๆ ก่อนจะไดเ้ ป้าหมายสดุ ท้าย ตัวอยา่ งเชน่ การวางวิสยั ทศั น์ ซึง่ จะต้องพิจารณา ว่าทำไปเพอ่ื อะไร แลว้ แตกออกเปน็ งานท่จี ะต้องทำมอี ะไรบ้าง หรอื การบริหารนโยบาย ที่จะต้องกำหนดวตั ถุประสงค์ และเป้าหมายย่อยๆ ในแต่ละปี หรือแต่ละเดือน แล้วหากกลยุทธ์หรือสิ่งที่จะทำที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ ในการทำงานให้ บรรลุผลสำเร็จ ก็มีการกำหนดงานย่อยๆ ท่ีสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ วิธีคิดแบบนี้เหมาะสำหรับงาน โครงการและมักเป็นภารกิจของนกั บริหาร เร่ืองหลักการและความมุ่งหมายน้ีจะนำไปสู่การปฏิบัติถูกต้องที่เรียกว่า ธรรมานุธรรมปฏิบัติ หมายถึงการ ปฏิบัติธรรมถูกหลัก เพ่ือจุดหมายท่ีต้องการบำเพ็ญอรรถ (ประโยชน์) ในแง่ปรมัตถ์นั้น ศีล สมาธิและปัญญาต่างก็มี จดุ หมาย สุดทา้ ยคือนิพพาน จึงมีหลักว่า ศีลเพื่อสมาธิสมาธิเพื่อปัญญา ปัญญาเพอื่ วมิ ุตติ ถ้าปฏิบัติศีลขาดเป้าหมายก็ จะกลายเป็นสีลัพพตปรามาส (รักษาศีล โดยมีวัตถุประสงค์ผิด) ถ้าบำเพ็ญสมาธิโดยไม่คำนึงถึงอรรถ ก็อาจติดหลงอยู่ ในฤทธป์ิ าฏหิ ารยิ ์ (ส่งเสริมให้เกดิ ดิรจั ฉานวิชา)ถา้ เจรญิ ปัญญาที่ไมม่ ุง่ ไปสวู่ ิมตุ ติก็จะคลาดไปจากการเดินสายกลาง
๘๓ ๖. คดิ แบบเหน็ ขอ้ ดีขอ้ เสยี และทางออก คิดแบบเห็นข้อดีข้อเสียและทางออกคือ การพิจารณาผลลัพธ์หรือปัญหา หรือจุดหมายนั้นมีจริงหรือไม่ ตลอดจนเป็นไปได้อย่างไร จากการคิดถึงข้อดี ข้อเสีย และทางออก โดยที่ยอมรับความจริงท่ีว่า ทุกส่ิงทุกอย่างมีทั้ง ข้อดี ข้อเสีย หรือทั้งคุณและโทษ อยู่ในตัวเอง ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้ (รู้เขารู้เรา ย่อมมองเห็น ทางชนะ) หลังจากมองตามความเปน็ จริงแล้ว กห็ าทางออกทางเลือกท่ีจะหลุดพน้ จากทัง้ ขอ้ ดี ข้อเสยี สิ่งทคี่ วรคำนึงถึง คือ ข้อดที ่เี ราละไปจะทำอย่างไร และขอ้ เสยี บางอย่างทีเ่ ราเลือกเขา้ มา จะนำมาพัฒนาปรับปรุงแกไ้ ขให้ดีขนึ้ อย่างไร ๗. คิดแบบรคู้ ุณค่าแท้-คุณค่าเทียม วิธีคิดแบบรู้คุณค่าแท้-คุณค่าเทียม คือการพิจารณาผลลัพธ์ว่าเป็นคุณค่าแท้ ซึ่งมีความจำเป็นต่อการ อุปโภค บริโภค ขาดเสียมิได้ (Necessary) เน่ืองจากเป็นเคร่ืองยังชีพ หรือเครื่องค้ำจุนการตั้งอยู่ หรือคุณค่าเทียม ซ่ึง เปน็ การตอบสนองความอยาก ฟุ่มเฟือยไมจ่ ำเปน็ ทม่ี ักจำเปน็ ไปตามศกั ดิ์ศรีโกเ้ ก๋ หรือต้องการความเพลิดเพลินทางรูป รส กล่นิ เสยี งสมั ผสั ธมั มารมณ์ ตวั อยา่ งเช่น - กินเพือ่ ยงั ชีพ (คณุ คา่ แท)้ กนิ เพอื่ ความอร่อย (คณุ ค่าเทยี ม) - ใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์งาน (คุณค่าแท้) ใช้คอมพิวเตอร์ไว้เล่น หรือใช้ซอร์ฟแวร์เร็วๆ ดี ที่ไม่จำเป็น (คุณคา่ เทยี ม) ๘. คดิ แบบเปน็ บวกกศุ ล (เร้าคณุ ธรรม) วิธีคิดแบบเป็นบวกกุศลคือ พิจารณาผลลัพธ์ แล้วคิดในเชิงบวกเชิงกุศล ท่ีมุ่งบรรเทาปัญหาท่ีเกิดจาก ความอยากทะยานตัวอยา่ งการคดิ แบบน้ี เช่น การพลกิ วิกฤตให้เป็นโอกาส มองบทเรียนรู้ ผิดเป็นครู ถูกก็เป็นครู เพ่ือ นำบทเรียนมาพัฒนาปรับปรุงสำหรับการดำเนินการคร้ังต่อไป การเรียนรู้จากปัญหา (ทุกข์) เพื่อนำไปสู่มรรคที่จะมุ่ง ไปสู่การพ้นทุกข์ดับปัญหาได้สนิท การมองการชำรุด แล้ววิเคราะห์เหตุแห่งการชำรุด เพ่ือหาทางป้องกัน ก็เป็น แนวทางในเชงิ บวก ไม่ควรเอาแตเ่ สียใจทุกข์ใจกับการชำรดุ เฉยๆวิธกี ารคดิ แบบนเี้ หมาะสำหรับปัญหาทีเ่ กิดความเสอื่ ม การชำรดุ การดบั ไป และการพา่ ยแพจ้ ากการแข่งขัน วธิ คี ิดแบบอบุ ายปลุกเร้าคณุ ธรรมตัวอยา่ งเช่นการคดิ ถึงความตายแลว้ คิดไมถ่ ูกวิธี ก็จะเกิดอกุศลธรรมขึน้ เกิด สลดหดหเู่ ศร้าเหยี่ วแหง้ ใจ หวนั่ ไหวหวาดกลัว เสยี ใจและอาจดใี จเม่อื เป็นความตายของคนทเี่ กลียดชัง แตถ่ า้ คดิ ให้ถกู วธิ ี จะเกิดกศุ ลธรรมเกิดความรสู้ ึกตื่นตัว เรา้ ใจ ไม่ประมาทเร่งขวนขวายปฏบิ ตั ิหนา้ ทนี่ ำสิ่งดีงามเปน็ ประโยชน์ ประพฤติปฏบิ ัตธิ รรมรูเ้ ทา่ ทันความจรงิ เป็นคติธรรมดาของสงั ขาร ๙. คดิ แบบสติตามทนั ธรรม (คิดแบบอยู่ปัจจบุ ัน) วิธีคิดแบบสติตามทันธรรม คือพิจารณาปัญหาด้วยสติปัฎฐาน ๔ ขณะทำงานน้ันๆ ซ่ึงอาจเป็นเรื่องอดีต ปัจจุบนั อนาคตกไ็ ด้ แต่ตอ้ งเปน็ เร่อื งที่เกี่ยวข้องกบั งานตอนขณะนัน้ ทำใหเ้ กิดความไม่ประมาท ไม่พลั้งเผลอผิดพลาด ตัวอย่างลักษณะงาน เช่นการสังเกตปัญหา (Observation) ท่ีต้องเฝ้าดูและพิจารณาหาเหตุและผลจากเหตุท่ีเป็น ปัญหา วิธีคิดแบบนเี้ หมาะสำหรบั งานประจำวนั ท่ีต้องปรับปรุงแก้ไขงานอยตู่ ลอดเวลา ๑๐. คิดแบบวภิ ัชชวาท (แยกแยะทกุ ดา้ น) วิธีคิดแบบแยกแยะทุกด้าน คือพิจารณาปัญหา โดยการมองให้เห็นความจริงโดยแยกแยะออกให้เห็นแต่ ละแงแ่ ต่ละดา้ น ครบทุกแง่ ทกุ ด้าน ไม่ใช่จบั เอาแง่หน่ึง แง่เดียว หยิบขึ้นมาวินิจฉยั ตคี ลุมลงไปอยา่ งนนั้ ท้ังหมด คำว่า “วิภัชชะ” แปลว่า “แยกแยะ แบ่งออก จำแนก หรือวิเคราะห์” ส่วนคำว่า “วาท” แปลว่า “การกล่าว การพูด การ
๘๔ แสดงคำสอน” ดังน้ันเมื่อนำมารวมกัน “วิภัชชวาท” จึงหมายถึง การพูดแยกแยะ พูดจำแนก หรือการแสดงคำสอน แบบวเิ คราะห์” ลกั ษณะการคิดและพูดแบบนี้ คือการมองและแสดงความจริงโดยแยกแยะออกให้เหน็ แต่ละแง่ละดา้ น ครบทกุ แง่ทกุ ดา้ น การจำแนกปัญหาโดย (๑) จำแนกในแง่ความจริง ทุกด้าน ทุกแง่ ทั้งหมด เช่นการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการต้องดูทั้ง ดา้ นเทคนคิ การเงนิ เศรษฐศาสตร์ สิ่งแวดลอ้ ม สังคม ตลาดดว้ ย (๒) จำแนกในแง่โดยส่วนประกอบ องค์ประกอบย่อยๆ ต่างๆ ที่มารวมกัน ประชุมกัน ไม่ถูกลวงโดยมองจาก ภาพรวมๆ เช่น ยอดขายดขี นึ้ กด็ ีใจ อาจมีบางภาคขายดมี าก แต่บางภาคอาจถกู โจมตจี ากคแู่ ข่งขันจนแทบล้มพัง (๓)จำแนกในแง่ลำดับขณะ หรือตามเหตุปัจจัยที่สืบทอดต่อๆมา เช่น ชาวบ้านร้องเรียนโรงงาน เร่ืองฝุ่น โรงงานพยายามแก้ไขปัญหาทางเทคนิคต่างๆ ก็ไร้ผล ตอนหลังจึงสืบทราบมาว่า ชาวบ้านคนหนึ่งโกรธที่โรงงานไป วางยาเบ่ือหมาของเขาตาย เขาจึงโกรธ นำพวกชาวบ้านมารอ้ งเรยี น โดยอ้างวา่ เป็นปญั หาสงิ่ แวดล้อม (๔) จำแนกในแงค่ วามสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย เช่นผลที่เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย การดับก็ต้องดับท่ีเหตุปัจจัย ต้องรู้เหตุใดให้ผล เหตุใดไม่ให้ผล ไม่เข้าใจผิดว่าคนทำดีแล้วไม่ได้ดี นอกจากนี้ผลท่ีออกมาเหมือนกันอาจมีเหตุปัจจัย ต่างกันก็ได้ และเหตุปัจจัยอย่างเดียวกันอาจส่งผลให้ไม่เหมือนกันได้ และอาจมีเหตุปัจจัยนอกเหนือส่ิงท่ีเราคิด เช่น สวยสองคนแต่กจ็ ำเป็นต้องเลือกนางสาวไทยเพียงคนเดียวเท่านั้น (๖) จำแนกในแงโ่ ดยเงือ่ นไข เช่น ถา้ เหตุการณ์อยา่ งหนง่ึ เป็นจรงิ เราก็คงทำอย่างนด้ี ้วย เชน่ ถา้ ลูกคา้ ยกเลิก คำสั่งซอ้ื เราก็คงหยุดการผลิต (๗). จำแนกในแงท่ างเลอื กหรอื ความเป็นไปไดท้ างอ่ืน เช่นมีหลายวิธีการท่ีจะให้ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน เช่น ไป เชยี งใหม่ได้ทงั้ ทางรถ เครอ่ื งบนิ จกั รยาน มอเตอรไ์ ซด์ กถ็ ึงเชียงใหมเ่ หมอื นกัน (๘) จำแนกในแง่การตอบปัญหา มี ๔ อย่าง คือ มีคำตอบเดียว แง่เดียว เช่น ใช่หรือไม่ จริงหรือเท็จ,) มี คำตอบแบบแยกแยะ เช่น ไม่เพียงแต่ส่ิงนี้เป็นจริง ส่ิงนั้นก็เป็นจริงด้วย, มีคำตอบแบบย้อนถาม และไม่มีคำตอบ พับ ปัญหาไมต่ อบเสีย ๗.๓ การออกแบบการสอนตามหลกั โยนโิ สมนสิการ การออกแบบการสอน เป็นการนำหลักโยนิโสมนสิการมาใช้เป็นกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน บางเรื่องมีในบทอน่ื แล้ว จึงจะแสดงไว้เป็นตัวอย่าง ๒ แบบ คือ การคิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม, และการคิดแบบ คุณ-โทษและทางออก ๑. การคดิ แบบคณุ ค่าแท้-คณุ ค่าเทยี ม คุณค่าแท้-คุณค่าเทียม เป็นวิธีคิดเกี่ยวคุณค่า หรือประโยชน์ของเร่ืองราว ส่ิงใดส่ิงหนึ่ง ในข้องกับ “ความต้องการ” และการประเมินคุณค่า” คือ ถ้าเพียงสนองตัณหาของตนไม่ลักษณะเป็นประโยชน์โดยตรงและโดย ออ้ มหรือแฝงไปพรอ้ มๆ กัน ๒. การคดิ แบบคุณ โทษและทางออก แม่น้ำ ต้นไม้ ภูเขา แผ่นดิน และธรรมชาติต่างๆ จะปรับสมดุลให้ตนเองสามารถดำรงอยู่ได้ บคุ คล สังคม และวัฒนธรรมด้านต่างๆ ท่ีสืบสรา้ งและสง่ ผ่านกันมากต็ กอยใู่ นภาวะ เดยี วกัน ข้อดี ข้อเสยี และวธิ ีปฏิบตั ทิ ีถ่ กู ต้องต่อสิ่งน้นั ๆ จงึ จำเป็นตอ่ สุข ดี งามสำหรับชวี ิตหนงึ่ ๆ ซ่ึงเป็นที่ย่งิ ใหญท่ ี่สุด เป็นตวั ท่ีไม่สามารถปฏิเสธได้
๘๕ ๗.๔ ตวั อยา่ งการออกแบบการสอนแบบโยนโิ สมนสิการ ๗.๔.๑ การออกแบบการสอนคุณคา่ แท้-คุณคา่ เทียม ตวั อย่างเรอ่ื ง “วันสำคญั ทางพระพทุ ธศาสนา” เวลา ๒ ชั่วโมง ๑. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (๑) อธบิ ายคุณค่าแทว้ นั สำคัญทางพระพุทธศาสนาได้ (๒) อธบิ ายคณุ คา่ เทียมของวนั สำคญั ทางพระพุทธศาสนาได้ ๒.กจิ กรรมการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้ ๑. คุณค่าแท้ ๑. ให้นักเรยี นดูรูปภาพวดี โี อเทปทัศนห์ รือระดมความคิด สืบค้นขอ้ มลู จากแหล่งตา่ งๆ หรือแบง่ กลุม่ จัดทำโครงงานเก่ยี วกบั “คณุ ค่าแท้ของการ จดั งานวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา” ในประเดน็ ตา่ งๆ เช่นเรือ่ ง (๑) พทุ ธประวัตติ อนประสูติ ตรสั รู้ และปรนิ ิพพาน (๒) การปฏิบัตเิ จรญิ ภาวนา ศึกษากรณวี ดั ....... (๓) บทสวด บทพุทธมนตท์ เี่ กีย่ วข้อง (๔) ไทยทาน(ของทำบญุ )ในวนั สำคัญ ๒. คณุ ค่าเทยี ม ๒. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มระดมความ โครงงานสำรวจ หรือศึกษากรณี คุณค่าเทียมของการจัดงานวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา” ในประเด็น ตา่ งๆ เช่นเร่ือง (๑) รายไดข้ องวัด (๒) รายไดข้ องห้างรา้ น บุคคล (๓) วดั ประชานิยมในวนั หยดุ (๔) สถานท่องเที่ยวยอดนยิ มวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา (๕) ปลา และตน้ ไม้นิยมปลูก ๓. การวัดและประและการเมินผล ประเมินผล จากรายงาน การนำเสนอหน้าเรียน และการอภิปรายข้อความถูกต้องครบถ้วน เปน็ ไปตามวัตถปุ ระสงคท์ ีต่ ง้ั ไวห้ รอื ไมเ่ พยี งใด(ใหค้ รบความ) โดยมตี ัวชว้ี ดั ดงั นี้ (๑) ดา้ นความรู้ -รูเ้ ข้าใจคุณคา่ แท้-คณุ คา่ เทยี มของวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา -จัดทำโครงงาน แบบสำรวจ ฯลฯ ได้
๘๖ (๒) ด้านสังคม -ตดิ ต่อประสาน และทำงานร่วมกบั คนอืน่ ได้ (๓) ดา้ นคุณธรรมจริยธรรม -รับผดิ ชอบ ตรงต่อเวลา อดทน ขยันและซ่อื สตั ย์ ๗.๔.๒ การออกแบบคุณ โทษและทางออก ตัวอย่างเร่อื ง “วนั สำคัญทางพระพุทธศาสนา” เวลา ๒ ช่วั โมง ๑. จุดประสงค์การเรยี นรู้ (๑) อธบิ ายขอ้ ดี-ประโยชน์-ด้านต่างๆ จากวนั สำคัญทางพระพทุ ธศาสนาได้ (๒) อธิบายข้อดอ้ ย-ผลกระทบของวนั สำคัญทางพระพุทธศาสนาได้ (๓) เสนอแนะแนวทาง ขอ้ ปฏบิ ัตทิ ถี่ กู ตอ้ งได้ ๒.กิจกรรมการเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ กิจกรรมการเรยี นรู้ ๑. คุณค่า-ประโยชน์ ๑. จดั กจิ กรรมกลุ่มแบบตา่ งๆ ระดมความคดิ สำรวจ สัมภาษณ์ โครงงาน สืบคน้ แหลง่ ขอ้ มูลเอกสารเป็นตน้ เก่ยี วกับผลประโยชนท์ คี่ าดวา่ เกดิ จาก วันสำคญั ทางศาสนา เช่น (๑) ด้านความรเู้ ขา้ ใจเกีย่ วพุทธศาสนา (๒) ดา้ นการปฏบิ ตั เิ จริญภาวนา (๓) ดา้ นเศรษฐกิจชมุ ชน บคุ คล หรืออาชพี (๔) ดา้ นสังคมเชน่ ความสามคั คีในชุมชน ๒. โทษ-ปญั หา ๒. ให้นักเรียนจัดกิจกรรมลักษณะเด่ียวกับข้อหน่ึง ในประเด็นที่เป็น ปัญหาอุปสรรค ผลกระทบ หรอื สิ่งไม่พึงประสงค์ท่ีเกิดตามมาจากการจัด งานวนั สำคัญทางพระพทุ ธศาสนา เช่น (๑) ด้านความสะอาดของสถานทจี่ ดั งาน (๒) ด้านการคมนาคม (๓) ดา้ นเศรษฐกิจชุมชน บคุ คล หรืออาชพี (๔) ด้านสงั คม ๓. ทางออก-แนวทาง ๑. จดั กิจกรรมกลุ่มแบบตา่ งๆ ระดมความคิด สำรวจ สมั ภาษณ์ โครงงาน ปรบั ปรงุ แก้ สืบค้นแหล่งข้อมูลเอกสารเป็นต้น นำเสนอเพื่อลดปัญหาหรือกระทบท่ี เกดิ ตามกรณวี ่าควรเปน็ ไปอยา่ งไร เชน่ (๑) มาตรการเรื่องความสะอาดสะดวก (๒) แผนงานด้านการจราจร
๘๗ (๓) โครงการลดผลกระทบเศรษฐกิจชุมชน บุคคล หรืออาชพี (๔) ข้อปฏบิ ัตชิ าวพุทธท่พี ึงประสงค์ ๓. การวดั และประและการเมินผล ประเมนิ ผล จากการ (๑) มีส่วนรว่ มในกิจกรรม (๒) คุณลักษณะด้านคุณธรรมจรยิ ธรรม และ (๓) รายงาน การนำเสนอหน้าเรียน และการอภปิ รายขอ้ ความถูกต้องครบถว้ น เปน็ ไปตามวัตถุประสงคท์ ตี่ ั้งไว้หรอื ไม่เพียงใด(ให้ครบความ) สรุปทา้ ยบท การสร้างทกั ษะความคิด ตามแนวพทุ ธธรรมด้วยกระบวนทศั น์แบบโยนโิ สมนสกิ าร ต้ังอย่บู นฐานของความ จรงิ ท่วี ่าสภาวะจิตใจของมนุษย์ มีสว่ นสมั พนั ธ์ต่อการแสดงออกดา้ นพฤติกรรมมนุษย์ทง้ั ในด้านกายกรรม วจกี รรมและ มโนกรรม หมายความวา่ หากจติ ใจมีการอบรม ฝกึ ฝนและสรา้ งทักษะให้เกดิ วธิ ีคิดอย่างถกู ต้อง แลว้ จะเปน็ ปัจจัย สำคัญทจี่ ะทำใหเ้ กดิ ดุลยภาพของพฤติกรรม นน้ั ได้ ตามนยั พุทธธรรมเรยี กวา่ กระบวนการนีว้ า่ วธิ คี ิดแบบโยนโิ ส มนสกิ าร คือการคิดไตร่ตรองอยา่ งแยบคาย การคดิ เชงิ วเิ คราะห์ วิพากษ์วจิ ารณ์ มี ๑๐ ขั้น ผฝู้ ึกฝนอบรมความคิดด้วยวธิ ีนอ้ี ยา่ งครบถ้วน สามารถพฒั นาตนไปส่คู วามเป็นคนเก่ง คนดี และมีความสขุ ได้ จดั เป็นกระบวนการขัดเกลาทางพุทธศาสนาเรยี กวา่ ไตรสิกขา คอื สีลสิกขา ศกึ ษาให้เป็นคนดี สมาธิสิกขา ศึกษาให้มี ความสุข จติ ใจม่ันคง เบกิ บานและปัญญาสิกขา ศึกษาให้เปน็ คนเก่ง มีความเชี่ยวชาญ มสี ตปิ ัญญา มีความคิดถกู ต้องดี งาม หากพจิ ารณาตามหลักสัมพนั ธภาพแลว้ วิธีคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร มีความสมั พันธ์กบั กระบวนการท่ีเรยี กวา่ ไตรสิกขา และอริย มรรคมีองค์ ๘ ประการ ซงึ่ อำนวยผลคอื จะทำใหเ้ ป็นคนคิดกวา้ ง มองไกล ใฝ่สูง (หมายถึงใฝค่ ุณธรรม) เปน็ กระบวนการท่ีสอดคล้อง เก่ียวเนอื่ ง ถักทอ และเชื่อมต่อกันตลอดสาย
๘๘ เอกสารอ้างอิงประจำบท มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . มหาจฬุ าเตปิฎกํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั ,๒๕๐๐. . พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หา จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒. พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโต), พจนานกุ รม ฉบับประมวลศัพท์,กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๔๒, . พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั ,๒๕๔๖, . พุทธธรรม. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๔๖. พระราชวรมนุ ี (ประยทุ ธ์ ปยุตฺโต), ปรัชญาการศกึ ษาไทย. พิมพ์คร้ังท่ี ๓,กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๒๘.
บทที่ ๘ การพัฒนาจติ และเจรญิ ปัญญา วตั ถปุ ระสงค์การเรียนประจำบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้แี ล้ว ผศู้ ึกษาสามารถ ๑. อธิบายความรเู้ บอ้ื งต้นเก่ยี วกับการพฒั นาจิตและเจริญปัญญา ๒. อธิบายหลักการพฒั นาจติ และเจริญปญั ญาแบบสติปฏั ฐาน ๔ ๓. อธิบายตัวอย่างการสอนตามหลกั การพฒั นาจิตและเจริญปญั ญา ขอบข่ายเนอื้ หา • ความรู้เบอื้ งตน้ เกี่ยวกบั การพฒั นาจิตและเจริญปญั ญา • หลักการพัฒนาจิตและเจริญปญั ญาแบบสตปิ ัฏฐาน ๔ • ตัวอยา่ งการสอนตามหลักการพฒั นาจติ และเจรญิ ปัญญา
๙๐ ๘.๑ ความนำ การพัฒนาจิตและเจรญิ ปัญญามีหลายระดับ คนปกติที่มิได้วิกลจริตกอ็ บรมจติ ในระดบั ทีท่ ำหนา้ ที่การงานได้ สำหรับในพระศาสนาน้ี การสำรวมอินทรีย(์ อนิ ทรียส์ ังวร) เปน็ การอบรมจติ อยา่ งหนง่ึ แต่ยังไม่มนั่ คง ในบทนี้จะได้กลา่ วถึงการพัฒนาจิตและเจริญปญั ญา เพ่ือใหน้ สิ ติ ได้เรียนรู้เกยี่ วกับความหมายสภาวะจติ ผลกระทบจากอายตนะที่ทำให้สภาวะจิตเปล่ยี นจากสภาวะเดมิ ซ่ึงกเ็ ปน็ ไปตามโลกธรรม ผู้ศกึ ษาจะได้ถึงเร่ืองจติ เดิม กับจติ ที่ได้พัฒนาแลว้ อะไรเป็นอุปสรรคที่ทำใหจ้ ติ เลอื่ มจากภาพเดมิ และอะไรจะเปน็ อปุ กรณ์ที่ทำให้นำจติ ทเ่ี ป็นไป ตามอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ให้อยใู่ นสภาวะทพ่ี ฒั นาให้สูงขึ้น ประเดน็ ท่สี องจะได้กล่าวถึงการเจรญิ ปัญญาซงึ่ เป็น การตอ่ ยอดจากการพัฒนาจิตไปสูป่ ัญญา ๘.๒ ความรู้เบอ้ื งตน้ เก่ยี วกับการพฒั นาจติ และเจริญปัญญา คำว่า การพัฒนาในทางพุทธศาสนา มาจากคำภาษาบาลีว่า วัฒนะ แปลว่า เจรญิ แบ่งออกได้เป็น ๒ ส่วน คือ การพัฒนาคน หมายถึง การพัฒนาคนให้มีความสขุ มสี ภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเรียกว่า ภาวนา กับการพัฒนาส่ิง อืน่ ๆ ท่ไี มใ่ ช่คน ๘.๒.๑ การพัฒนาจติ เม่ือกล่าวถึงคำว่า “ภาวนา” หมายถึง ความมี ความเป็น การทำให้มี ทำให้เป็นเรยี กว่า “จิตภาวนา” หมายถึง การเจริญจิต, พัฒนาจิต, การฝึกอบรมจิตใจ ให้เข้มแข็งม่ันคงเจริญงอกงามด้วยคุณธรรม ทง้ั หลาย เช่น มเี มตตากรุณา ขยนั หมั่นเพยี ร อดทนมีสมาธิ และสดช่นื เบกิ บาน เป็นสขุ ผ่องใส๑ เมื่อกลา่ วโดยลักษณะแล้ว จิตจะรับร้อู ารมณอ์ ยา่ งเดียว แมจ้ ะเรียกชอื่ ต่างๆกนั เชน่ อารมมฺ ณํ จติ เตตีติ จติ ฺตํ. ชอ่ื วา่ จิต เพราะรู้(คดิ )อารมณ์. วิชานาตตี ิ วิญฺญ.ํ ชอื่ วา่ วญิ ญาณ เราะรแู้ จ้ง(อารมณ์). มนติ ชานาตีติ มโน. ช่อื วา่ มโน เพราะรู้คือทราบอารมณ์. ๘.๒.๑.๑ คำไวพจนข์ องจิต นอกจากน้นั คำทเี่ ป็นไวพจน์ของ จติ ทีม่ ปี รากฏในพระอภธิ รรมปิฎก๒ วา่ ๑ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ), หนา้ ๑๑๕. ๒ สาราญ อิ่มจิตต์ และคณะ, พระอภิธรรมปิ ฎก ฉบับโครงการผลติ และพฒั นาเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ การเรียนรู้พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ), หนา้ ๓๕.
๙๑ (๑) มโน แปลวา่ คดิ มคี วามหมายวา่ ความคิดเป็นตวั ร้หู รอื สภาพทค่ี ดิ หรือมโน แปลว่า ใจ นำมาใช้กบั วญิ ญาณ เป็นมโนวิญญาณ ซึง่ แสดงถึงสภาวะของการรับรู้ทางอารมณโ์ ดยตรงคือ รับรู้อารมณ์ทางใจหรือรู้ ถงึ ความนึกคดิ (๒) มานัสหรอื มนัส แปลวา่ ใจ (๓) หทยั คือ ธรรมชาติท่ีรวบรวมอารมณ์ไวใ้ นภายในทน่ี ้ีหมายถึงจิต (๔) ปณั ฑระ คือ ธรรมชาติทผี่ ่องใส หมายถงึ จิต เพื่อแสดงให้เหน็ วา่ จิตน้ีสามารถทำให้ผอ่ งใสได้ ดงั พระพทุ ธพจน์วา่ “จิตน้ผี ุดผ่อง แตจ่ ิตนัน้ แลเศรา้ หมองเพราะอุปกิเลสที่เกิดข้ึนภายหลัง” อุปกิเลส หมายถึง อวิชชา ตณั หา อุปาทาน ซ่งึ หมกั หมุนอยใู่ นจติ เป็นตน้ เหตุทำใหจ้ ติ ไปเกาะอยกู่ บั อารมณต์ ่าง ๆ ท่ีดแี ละไม่ดนี า่ ปรารถนาและไม่ นา่ ปรารถนา พอใจหรอื ไม่พอใจ ทำใหจ้ ติ ตอ้ งเศร้าหมองไป ไม่แจ่มใส (๕) มนายตนะ คือ ธรรมชาตใิ ดที่ต้องอาศยั อายตนะเป็นเคร่อื งคิดต่ออารมณ์ท่ีมากระทบธรรมชาติ น้ัน (๖) มนินทรยี ์ คอื ธรรมชาตใิ ดท่ตี อ้ งอาศัยอายตนะเป็นอนิ ทรีย์ท่ีครองความเปน็ ใหญ่ในกจิ กรรมทั้ง ปวง ๘.๒.๑.๒ ลักษณะของจิต จิตมีธรรมชาติ ๙ ลกั ษณะ ดังบาลวี ่า : ผนฺทนํ จปลํ จิตตฺ ํ ทุรกฺขํ ทนุ นฺ วิ ารยํ. ทนุ ฺนคิ คฺ หสสฺ ลหโุ น ยตฺถ กามนปิ าตโิ น สุทุทฺทสํ สุนิปณุ ํ ยตถฺ กามนิปาตนิ ํ.๓ แปล: จิตดิน้ รน กลบั กลอกรักษาไดโ้ ดยยาก ห้ามไดโ้ ดยยาก จิตทีข่ ่มได้ยาก อันเรว็ มีปรกตติ กไปในอารมณ์อันบคุ คลพึงใครอ่ ย่างไร จติ เหน็ ได้แสนยาก ละเอยี ดออ่ น มีปกติตกไปตามความใคร่. ในแต่ละข้ออธิบายไดว้ า่ : ๑. จติ ดิน้ รน (ผนทน)ํ คือด้ินรนไปรบั อารมณท์ ่ีมากระทบตามทวารต่าง ๆ เปรียบเหมอื นปลาท่ถี ูกเหว่ียงขนึ้ บกแลว้ จะดนิ้ ลงน้ำ ๒. จติ กลับกลอก (จปลํ) คอื ขาดความมน่ั คงแม้บางคราวจะมองดสู งบนง่ิ เมือมีอารมณ์มากระทบเขา้ กจ็ ะ หวน่ั ไหวไปตามอารมณ์นั้น ๓. จิตรกั ษาไดย้ าก (ทรุ กฺขํ) คือการท่ีจะรักษาจติ ให้ม่ันคงให้ คืออยู่แตส่ ่ิงดตี ลอดเวลานน้ั เปน็ ส่งิ ที่ทำได้ยาก ๔. จิตหา้ มได้ยาก(ทุนฺนวิ ารยํ) คือหา้ มจิตไม่ให้ไหลไปในอารมณ์ตา่ งๆ ๕. จติ ข่มได้ยาก (ทนุ ฺนิคฺคหํ) คือ การทจ่ี ิตเกลือกกล้ัวอยกู่ ับความชวั่ จะบีบบังคับให้จิตใจออกหา่ งออกจาก ความม่ันกเ็ ป็นสิ่งทที่ ำไดย้ าก ๖. จติ ตกไปในกามารมณ์พึงใคร่ (กามนปิ าติ) ๓ ข.ุ ธ.(บาลี) ๒๐/๒๓/๒๔.
๙๒ ๗. จติ เหน็ ได้ยาก (สทุ ุทฺทสํ) ๘. จิตละเอียดอ่อน (สณุ ปิ ุน)ํ ๙. จติ เกดิ ดับเร็ว (ลห)ุ ๘.๒.๒ การเจรญิ ปัญญา ปัญญาภาวนา หมายถึง การเจริญปัญญา, พัฒนาปัญญา, การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้เข้าใจส่ิง ทั้งหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทำจิตใจให้เป็นอิสระ ทำตนให้บริสุทธิ์จากกิเลส และปลอดพน้ จากความทุกข์ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยปญั ญา ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ หมายถึง ญาณ การวจิ ัยธรรม การจำแนก การกำหนดหมาย การ วจิ ยั ทีเ่ ปน็ การศึกษาอนั ชำนาญและชาญฉลาด ในการพิจารณาเป็นการเหน็ ชัดเจนและได้ความรู้ ปัญญาคือความ ฉลาด ปญั ญนิ ทรีย์ ปัญญาพละ ปัญญาเหมอื นศาสตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ปัญญาคอื ประทปี ปัญญาคอื รัตนะ ความไมห่ ลง ธรรมวิจัย สัมมาทิฏฐิ เรยี กว่า ปญั ญา๔ ดงั น้ันปญั ญาจะเกดิ ข้ึนไดย้ อ่ มมีลักษณะ ๓ ประการ คือ ๑.สตุ มยปัญญา คือ ปัญญาทเี่ กิดจากฟัง การอา่ น การศกึ ษาเลา่ เรยี น ๒.จินตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดพจิ ารณาหาเหตผุ ล ๓.ภาวนามยปญั ญา คอื ปัญญาทีเ่ กิดจากการปฏิบตั ิอบรมหรอื ลงมือกระทำ สรปุ ว่าการพฒั นาจิตและเจริญปัญญา ในทางพระพทุ ธศาสนาตรงกับคำวา่ ภาวนา หมายถึง การทำใหม้ ี การ ทำใหเ้ กดิ ขึ้น การอบรมและการบำเพ็ญ การเจรญิ อบรมจิตให้สงบ เป็นสมาธิ จติ ตง้ั มั่นในอารมณ์เดียว การอบรมจติ ก็ คือการพัฒนาจิต เรียกว่า จิตตภาวนา การอบรมปญั ญา เรียกวา่ ปญั ญาภาวนาโดยการเจรญิ หรอื ภาวนาดังกลา่ วนจี้ ะ พฒั นาพฤตกิ รรมทั้งหมดของมนุษย์ คือ ๑.กายภาวนา: การอบรมกาย การเจรญิ กาย การฝึกอบรมกาย ให้รู้จักจติ ต่อเกยี่ วข้องกบั สิง่ ทงั้ หลาย ภายนอกทางอินทรียท์ งั้ ห้าด้วยดี และปฏิบัตติ ่อสง่ิ เหล่านั้นในทางทเี่ ปน็ คุณ มิใหเ้ กิดโทษ ใหก้ ศุ ลธรรมงอกงาม ให้ อกุศลธรรมเส่ือมสญู การพัฒนาความสัมพันธ์กบั สิ่งแวดลอ้ มทางกายภาพ ๒. สลี ภาวนา: การเจริญศีล พัฒนาความประพฤติ การฝึกอบรมศลี ใหต้ ั้งอยใู่ นระเบียบวนิ ัย ไม่ เบียดเบียนหรอื ก่อความเดือนรอ้ นเสียหาย อย่รู ่วมกบั ผู้อื่นได้ดว้ ยดี เกื้อกลู แก่กัน ๓.จิตภาวนา: การอบรมจติ การเจรญิ จติ พัฒนาจติ การฝกึ อบรมจิตใจ ใหเ้ ขม้ แขง็ มน่ั คง เจรญิ งอกงามดว้ ยคุณธรรมท้งั หลาย เชน่ มเี มตตากรณุ า ขยนั หม่ันเพียร อดทน มีสมาธิ และสดชน่ื เบกิ บาน เป็นสขุ ผอ่ งใส ๔.ปัญญาภาวนา: การอบรมปัญญา การเจริญปัญญา พัฒนาปัญญา การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้ เข้าใจสิ่งท้ังหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นแจ้งโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทำจิตใจให้เป็นอิสระ ทำตนให้ บริสุทธ์ิจากกิเลสและปลอดพน้ จากความทุกข์ แกไ้ ขปัญหาที่เกิดขน้ึ ไดด้ ว้ ยปญั ญา๕ ๔ พระราชวรมุนี (ประยรู ธมฺมจิตฺโต) และคณะ, วมิ ุตตวิ รรค, (กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พศ์ ยาม บริษทั เคลด็ ไทย จากดั ), หนา้ ๒๑๐. ๕ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ), หนา้ ๘๑-๘๒.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115