Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมแนวพุทธ

การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมแนวพุทธ

Description: ความหมายและความสำคัญของการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมแนวพุทธ หลักการ วัตถุประสงค์และกระบวนการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม เทคนิคการเรียนรู้เพื่อสร้างคุณธรรมจริยธรรมแนวพุทธ บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม

Keywords: การจัดการเรียนรู้,คุณธรรมจริยธรรม

Search

Read the Text Version

BUDDHISM LEARNING MANAGEMENT FOR ENHANCING ETHICAL AND MORALITY เจพกืร่ิาอยรพธจััรฒดรนกมาาแรคุนเณรวียธพุรนทรรู้ธม โ ด ย ทิ พ ย์ ขั น แ ก้ ว

มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั Mahachulalongkornrajavidyalaya University หลักสตู รครุศาสตรบัณฑิต เอกสารประกอบการสอนรายวิชา หมวดวชิ าเฉพาะสาขา รหัสวิชา ๒๐๙ ๒๐๒ การจดั การเรียนรเู้ พ่อื พฒั นาคุณธรรมจรยิ ธรรมแนวพุทธ (Buddhism Learning Management for Enhancing Ethical and Morality) ทพิ ย์ ขันแกว้ วิทยาลยั สงฆ์บรุ รี ัมย์ วัดพระพุทธบาทเขากระโดง ตาบลเสม็ด อาเภอเมอื ง จังหวัดบรุ รี ัมย์ ๒๕๖๒

บทที่ 1 ความรทู้ ว่ั ไปเกย่ี วกบั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม 1.1 ความนา พระราชดารัสองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการกาลที่ 9 ที่ยึดทางสายกลางบนพื้นฐาน ของความสมดุลพอดี รู้จักประมาณอย่างมีเหตุผล มีความรอบรู้เท่าทันโลก เป็นแนวทางในการดาเนิน ชีวิตเพื่อมุ่งให้เกิด“การพัฒนาท่ียั่งยืนและความอยู่ดีมีสุขของคนไทย” ยึด “คน” เป็นศูนย์กลาง การพัฒนา เพื่อให้คนไทยมีความสุข พ่ึงตนเองและก้าวทันโลก โดยยังรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทย ไว้ สามารถเลือกใช้ความรู้และเทคโนโลยีได้อย่างคุ้มค่า เหมาะสม มีภูมิคุ้มกันท่ีดีมีความยืดหยุ่นพร้อม รับการ เปล่ียนแปลง ควบคู่ไปกับการมีคุณธรรมและพฤติกรรม ความซ่ือสัตย์สุจริต ดังที่วัตถุประสงค์ ของแผนการศึกษาแห่งชาติได้กาหนดว่าจะต้องพัฒนาคนอย่างรอบด้านและสมดุล โดยมีนโยบายว่า ปลูกฝ๎งและเสริมสร้าง ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ทั้งด้านจิตใจ และพฤติกรรมทีแ่ สดงออก สามารถอยู่ร่วมกับผ้อู นื่ อย่างสันตสิ ขุ สังคมไทยกาลังประสบป๎ญหาความเส่ือมโทรมด้านคุณธรรมจริยธรรมอย่างรุนแรง และนับวัน จะทวีความรุนแรงข้ึน อาทิ การคอร์รัปช่ันในทุกกลุ่มอาชีพ ความก้าวร้าวทั้งในกลุ่มเด็กเยาวชนและ ผ้ใู หญ่ การตดิ ยาเสพตดิ ซง่ึ ระบาดเข้าไปในกลุ่มเด็กและเยาวชนเพ่ิมมากขน้ึ ป๎ญหายวุ อาชญากรรมท่ีมาก ข้ึนท้ังทางปริมาณระดับความรุนแรงและอายุของผู้กระทาผิดที่มีอายุน้อยลงเป็นลาดับ ป๎ญหาเด็กมี พฤติกรรมไม่เหมาะสม ติดเพ่ือน(มั่วสุม) ใช้อินเตอร์เน็ตไม่เหมาะสม เสพส่ือไม่สร้างสรรค์ไม่สนใจเรียน ไม่มีจิตสาธารณะ สะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องของระบบการศึกษาท่ีได้สูญเสียส่ิงที่เรียกว่า กระบวนการขดั เกลา “ความเป็นมนุษย์” ไปแล้วหรือมีอยู่อย่างน้อยเต็มทีดังข้อสรุปตามทัศนะของพุทธ ทาสภิกขุ, ว่า “การศึกษาของโลก…กลับมุ่งไปแต่ในทางวัตถุหรือทางเน้ือหนังแต่เพียงอย่างเดียว ซ่ึงเป็นที่ต้ัง แห่งความมัวเมา หน้ามืดตามัว ในท่ีสุดเห็นการฆ่ากันตายนี้เป็นของเล่นๆเห็นการฆ่าตนเองตาย กินยา ตายกระโดดตกึ ตายอย่างน้ีเปน็ ของว่าเลน่ ไม่หนั หนา้ เข้าหาธรรมะ ยอมตายด้วยอาการอย่างนั้น เพราะ ความหน้ามืดตามัว เพราะการศึกษาของบุคคลน้ัน ได้นาบุคคลนั้นไปผิดทาง บูชาความสุขทางเน้ือหนัง เป็นสรณะ…นี้ เรียกว่าการศึกษาซึ่งนาบุคคลไปสู่ความพินาศ…..การศึกษาต้องมุ่งไป เพื่อทา(คน)ให้หมด สิ้นไปซง่ึ สญั ชาตญาณอย่างสัตว์ เพ่ือใหม้ นุษยไ์ ดส้ ง่ิ ท่ดี ีท่ีสุดที่มนุษย์ควรได้โดยการประพฤติอย่างมนุษย์ที่ มใี จสูงโดยสมบรู ณ์” สิ่งท่ีน่าสนใจในอันดับต่อไปคือ จริยธรรมเกิดขึ้น ได้อย่างไร ต้นกาเนิดของจริยธรรมที่เป็น แหล่งทม่ี าทส่ี าคญั ของจริยธรรมด้วย เพราะวรรณคดีเปน็ ทรี่ วบรวมแนวคดิ ทางจริยธรรม ซึ่งอาจถือได้ว่า เปน็ ส่วนหนึ่งที่ก่อใหเ้ กิดจรยิ ธรรม ๑.๒ แหลง่ ทม่ี าของจรยิ ธรรม แหลง่ ท่เี ป็นบ่อเกิดของจริยธรรมทีเ่ ปน็ แหลง่ สาคัญ มีดังนี้

1. ปรัชญา วิชาปรัชญาคือวิชาที่ว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง สาระของปรัชญา จะกล่าวถึงลักษณะของชีวิตที่พึงปรารถนาควรเป็นอย่างไร ธรรมชาติของมนุษย์ สภาพสังคมที่ดี ความคิดเชิงปรัชญาจะแถลงออกมาเป็นความเชื่ออย่างมีเหตุผล จนคนต้องยอมรับว่าเป็นความคิด ที่ได้รับการพิจารณาไตร่ตรองรอบคอบแล้วปรัชญาจะกล่าวถึงเร่ืองเกี่ยวกับความดี ความงาม ค่านิยม เพ่ือจะไดย้ ดึ เป็นหลกั ปฏิบตั ปิ ระจาตวั ตอ่ ไป 2. ศาสนา คาสอนของศาสดาในศาสนาต่างๆ ตามที่ศาสดาเหล่านั้นท่านได้ปฏิบัติเองและส่ัง สอนให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม จนเกิดผลดีงามของการปฏิบัตินั้นเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว เช่น หลักคาสอนของ พระพทุ ธศาสนา คาสอนของศาสนาคริสต์ หรอื ขอ้ ปฏิบตั ิของศาสนาอิสลาม เป็นต้น 3. วรรณคดี หนังสือวรรณคดีเป็นหนังสือท่ีมีมาตรฐานท้ังด้านเนื้อหาสาระ คุณค่าและวิธีแต่ง จนเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ชาติที่เจริญด้วยวัฒนธรรมย่อมมีวรรณคดีเป็นของตนเองในหนังสือ วรรณคดีจะมีแนวคิด คาสอนท่ีเป็นแนวปฏิบัติได้ เช่น สุภาษิตพระร่วง โคลงโลกนิติ สุภาษิตสอนหญิง จงึ กลา่ วได้วา่ วรรณคดกี เ็ ปน็ แหลง่ กาเนิดหรอื เป็นที่รวบรวมแนวคดิ ทางจรยิ ธรรมดว้ ย 4. สังคม ส่ิงที่สงั คมกาหนดนับถือร่วมปฏิบัติด้วยกัน อนั ได้แก่ ขนบธรรมเนยี มประเพณี ซ่งึ เปน็ ข้อกาหนดที่ถือปฏบิ ตั ิกนั ในสังคมและยอมรบั สืบทอดกันมา 5. การเมืองการปกครอง ในระบอบการเมืองการปกครอง ได้กาหนดข้อบังคับระเบียบกฎหมาย ของบา้ นเมอื ง จรรยาบรรณต่างๆ ซ่งึ เป็นข้อบังคับหรือแนวปฏิบัติ เพ่อื การอยูร่ ว่ มกนั อยา่ งสันติสขุ และ เพ่ือความยตุ ธิ รรมโดยทั่วกัน การเกิดจรยิ ธรรมในมนษุ ยแ์ ต่ละคน อาจเกดิ ไดจ้ ากลกั ษณะตอ่ ไปนี้ 1.เกิดจากการเลยี นแบบ เปน็ กระบวนการท่ีเกิดจากการเรียนรู้ การยอมรับ การเลยี นแบบ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ท่ีแวดลอ้ มตนอย่แู ลว้ นามาปรบั เขา้ กับตนเอง กระบวนการนจ้ี ัดเป็นกระบวนการทีม่ ี ความสาคญั ต่อพัฒนาการของเดก็ สว่ นใหญ่จะเกิดในครอบครัว โรงเรยี น กลมุ่ เพ่อื นและชมุ ชน 2.การสร้างจริยธรรมในตนเอง โดยตัวเองเป็นผู้กาหนดขึ้น ซึ่งอาจเป็นเรื่องของมโนธรรม เหตุผลหรืออารมณ์ของมนุษย์ นักปรัชญาบางคนเช่นคานต์ (Kant) เช่ือว่า มนุษย์มีกฎจริยธรรมเกิดขึ้น ในตนเอง โดยรจู้ ักปรับตัวในสภาพธรรมธรรมชาติ (natural self) เข้าด้วยกัน แล้วเลือกเอาแนวทางที่ดี มาเป็นหลักในการดาเนินชีวิตเกิดจากการเรียนรู้ระบบสังคม จริยธรรม ค่านิยม ที่ได้จากการวิเคราะห์ คุณค่า ความถูกผิดช่ัวดีจนกลายเป็นหลักการ กฎเกณฑ์ ข้อกาหนด แนวศีลธรรม ให้ยึดถือปฏิบัติการ บาเพญ็ ประโยชนแ์ ละพันธสัญญาประชาคม (utility and social contract) เป็นการปฏบิ ัติตามระเบียบ ก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชาติมีความสัมพันธ์เป็นมิตรไมตรี ต่างปฏิบัติ ตามบทบาท ใช้สิทธหิ น้าทีท่ าใหเ้ กิดความสงบสขุ และสามคั คีการปฏิบัติตามหลักสากลธรรม (universal) หลักมโนธรรมสากลทีค่ รอบคลุมได้ทั้งโลก เป็นข้อยืนยันคุณความดีของทุกศาสนาว่าล้วนวางแนวทางให้ คนหรือศาสนิกชนของตนบาเพ็ญตนอยู่ในคุณงามความดีตามท่ีได้สร้างสรรค์หลักธรรมไว้ มีการกล่อม เกลาจิตใจให้ศรัทธาแน่วแน่ในการบาเพ็ญตนให้มีสาระ มุ่งถึงเปูาหมายของความเชื่อสูงสุดที่ยึดม่ัน ซ่ึงล้วนเป็นสุคติหรือหนทางดีงาม หลักจริยธรรมท่ีขยายขอบเขตจากจุดเล็กสุดคือเฉพาะตนไปจนถึง สากลโลก 1.3 ระดบั จรยิ ธรรม

เปูาหมายของคุณงามความดีทบี่ ุคคลได้ปฏิบัติอย่างถกู ตอ้ งแล้วนัน้ จะไดร้ บั ผลมากน้อยขน้ึ อยู่ กบั ระดับสตปิ ๎ญญาของบุคคลน้นั ๆ ในทางพระพทุ ธศาสนาแบง่ ระดบั จรยิ ธรรมไวเ้ ป็น 2 ระดบั คือ 1. ระดับโลกียธรรม ไดแ้ ก่ ธรรมอันเป็นวสิ ยั ของโลก สภาวะเนื่องในโลก เช่น ศีล 5 โลกียธรรม เปน็ ธรรมขน้ั ตน้ สาหรับผมู้ ีสติป๎ญญาไม่แก่กล้า การปฏิบัติตามโลกียธรรมมุ่งให้บุคคลในสังคมอยู่ร่วมกัน อย่างมีความสันติสุขไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ทาช่ัวสร้างแต่คุณงามความดีและทาจิตใจให้บริสุทธิ์ ผอ่ งใส เป็นการนอ้ มนาเอาพุทธโอวาทมาปฏิบตั ิในฐานะที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ จริยธรรมในระดับโลกียธรรม จะถูกกาหนดออกมาในรูปแบบต่าง ๆ นอกจากคาสอนของศาสนาแล้วก็ยังมีองค์กรทางสังคม เช่น ระเบียบ กติกา จารีต ประเพณี วัฒนธรรม ฯลฯ องค์กรทางการเมือง อันได้แก่ กฎหมาย พระราชบญั ญัติ พระราชกาหนด เป็นต้น 2. ระดบั โลกุตตรธรรม ไดแ้ ก่ ธรรมอันมใิ ช่โลก สภาวะพ้นโลก ไดแ้ ก่ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 ผ้บู รรลุจรยิ ธรรมระดบั น้ีจัดเป็นอรยิ บคุ คล คือผูพ้ ้นจากกิเลส ซ่ึงแบง่ ออกเป็น 4 ระดับ จากระดับต่าไปสู่ ระดับสงู ดงั น้ี 1.โสดาบันอรยิ บคุ คล 2.สกทาคามีอริยบคุ คล 3.อนาคามีอรยิ บคุ คล 4.อรหันตอรยิ บุคคล จริยธรรมท้ังสองระดับน้ี ความสาคัญอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ การปฏิบัติตามหลักโลกียธรรม โดยเฉพาะส่วนท่ีเป็นพุทธโอวาทอย่างสมบูรณ์โดยชอบ ก็สามารถยกข้ึนสู่โลกุตตรธรรมได้ อาจถือได้ว่า โลกียธรรมนั้นเป็นธรรมข้ันต้น หากค่อยปฏิบัติฝึกฝนไปตามลาดับก็จะบรรลุถึงโลกุตตรธรรม ดังท่ี๑ ได้ อธิบายว่า “คาว่า โลกียธรรมกับโลกุตตรธรรม มักจะยึดถือกันเป็นหลักตายตัวว่า โลกิยะอยู่ในโลกอีก ระบบหน่ึงต่างจากโลกุตตระอยู่นอกโลกอีกระบบหนึ่งต่างหากอย่างนี้ไม่ถูก โลกิยะ มันเป็นชั้นต้น เป็น ของมีอยู่แล้วของบุคคลท่ียังไม่รู้อะไร อยู่ในวิสัยของโลกอยู่แล้ว มีแต่จะเลื่อนไปหาโลกุตตระ ไม่ใช่หัน หลังให้กันแล้วเดินกันไปคนละทิศละทาง โลกิยะก็แปลว่า มันยังทาอะไรมากไม่ได้ มันยังอยู่บ้านมันยังมี ความรู้ต่า ยังมีตัวตน ยังมีของตน แต่แล้วมันค่อย ๆ ไปทางของโลกุตตะเพ่ือจะไม่มีตัวตน เพื่อจะอยู่ เหนือป๎ญหาทง้ั ปวงคอื เหนือโลก” 1.4 องค์ประกอบของจรยิ ธรรม กรมวิชาการ๒ ได้จัดทาเอกสารการประชุมเก่ียวกับจริยธรรมไทย สรุปว่า จริยธรรมของบุคคล มีองค์ประกอบ 3 ประการ คอื 1.ด้านความรู้ (moral reasoning) คือ ความเข้าใจในเหตุผลของความถูกต้องดีงาม สามารถ ตดั สินแยกความถูกต้องออกจากความไม่ถูกต้องได้ดว้ ยการคิด 2.ด้านอารมณ์ความรู้สึก (moral attitude and belief) คือ ความพึงพอใจ ความศรัทธา เลื่อมใส ความนยิ มยินดี ทจี่ ะรบั จริยธรรมมาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบตั ติ น ๑ พระพทุ ธทาสภกิ ขุ (2529 : 203-204) ๒ กรมวชิ าการ (2535 : 5

3.ด้านพฤติกรรม (moral conduct) คือ การกระทาหรือหารแสดงออกของบุคคลใน สถานการณ์ตา่ งๆ ซง่ึ เชือ่ ว่าเกดิ จากอิทธิพลของทงั้ สององค์ประกอบขา้ งตน้ เน่ืองจากองค์ประกอบของจริยธรรมประกอบด้วย 3 ส่วน ดังกล่าวข้างต้น การพัฒนาคน ในด้านจริยธรรมจึงต้องพัฒนา 3 ด้านไปด้วยกัน ในการดาเนินชีวิตของคนน้ัน องค์ประกอบทั้ง 3 ประการเกย่ี วข้องสมั พันธก์ ันอย่างใกล้ชิด กล่าวคือ พฤติกรรมของคนที่แสดงออกมาทั้งทางกายและทาง วาจาน้ัน จะมีความสัมพันธ์กับทางจิตใจและสติป๎ญญา คนท่ีมีอารมณ์โกรธจะแสดง พฤตกิ รรมออกมาทางการกา้ วรา้ วรนุ แรง และยิ่งเปน็ คนท่ีมปี ญ๎ ญาน้อยด้วยแล้ว พฤติกรรมท่ีแสดงออกก็ จะก้าวรา้ วรุนแรงยง่ิ กว่าบุคคล ที่มีสติป๎ญญาซ่ึงจะสามารถควบคุมจิตใจของตนได้โดยไม่แสดง พฤติกรรมไม่ดีให้ออกมาปรากฏ น่ันก็แสดงว่า ผู้มีสติป๎ญญาดีย่อมสามารถควบคุมอารมณ์และความ ประพฤติไดด้ กี ว่าผู้ด้อยปญ๎ ญาน่นั เอง แนวคิดในการพัฒนาจริยธรรมของบุคคลโดยพัฒนาองค์ประกอบของจริยธรรมท้ัง 3 ด้าน กล่าวคือ เริ่มจากการพัฒนาองค์ประกอบสาคัญอันดับแรก ได้แก่ ป๎ญญาหรือความรู้ ด้วยเห็นว่า “ป๎ญญา” เป็นองค์ประกอบสาคัญในการส่งเสริมให้บุคคลแสดงพฤติกรรมในทางที่ถูกต้องและเป็นตัว ควบคุมอารมณ์ และความรู้สึกให้เป็นอิสระ เป็นสุขจากแรงกระทบกระท่ังทั้งปวงนั้น นักปราชญ์ ทางการศกึ ษาไดเ้ ห็นพร้องกนั ดังนี้ พระธรรมปิฎก๓ กลา่ วไว้พอนามาสรุปความได้ว่า มนุษย์น้ันเม่ือรับรู้ประสบการณ์อย่างใดอย่าง หนึ่ง ก็จะมีความรู้สึกหรือเวทนาเกิดข้ึน ความรู้สึกนี้อาจเป็นได้ท้ังสุข เวทนา หรือทุกขเวทนา เม่ือมี เวทนาอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงแลว้ มนุษย์ท่ยี งั มีอวิชชาก็จะมีปฏกิ ิริยาแตกต่างจากผู้มีป๎ญญา คือถ้าผู้มีอวิชชาก็ จะมีความรู้สึกยินดียินร้ายต่ออารมณ์ท่ีเกิดขึ้น ซ่ึงเรียกว่า “ตัณหา” ตัณหาจะเป็นตัวกาหนดพฤติกรรม การใช้ตัณหา เป็นตัวกาหนดพฤติกรรม ก็เพราะมนุษย์ยังไม่พัฒนา ยังไม่มีความรู้ ยังไม่มี ปญ๎ ญา การใชต้ ณั หาเป็นตวั นาพฤตกิ รรมอาจทาให้เกิดโทษหลายประการ คือ เป็นอันตรายต่อตนเองท้ัง ด้านรา่ งกายและจิตใจ เป็นอนั ตรายต่อการอยู่ร่วมกันของมนุษย์หรือสังคม เป็นอันตายต่อธรรมชาติและ สิง่ แวดล้อม การเกิดป๎ญหาเช่นน้ี เน่อื งจากมนษุ ยป์ ลอ่ ยใหต้ ัณหาเป็นตัวนาพฤติกรรมการแก้ป๎ญหา ก็คือ เราจะปล่อยให้ตัณหาเปน็ ตวั กาหนดพฤติกรรมไม่ได้ มนุษย์จะต้องกาหนดรู้อะไรเป็นคุณค่าที่แท้จริงของ ชีวติ ของตนแล้วทาตามความร้นู ้นั คอื เอาความรู้ เป็นตวั กาหนดนาพฤตกิ รรม ดังนั้น ในการศึกษา จึงต้องฝึกคนให้พัฒนาป๎ญญา เมื่อมีป๎ญญาเกิดข้ึนแล้วพฤติกรรมก็จะ เปล่ียนไป เชน่ การบริโภคอาหาร ก็จะกาหนดรู้ด้วยป๎ญญาว่าเรากินเพ่ือบารุงร่างกายให้ดารงชีวิตอยู่ได้ ให้มีความสุขภาพดี เพื่อให้เรามีชีวิตท่ีผาสุก หรือเป็นเคร่ืองเก้ือหนุนชีวิตท่ีดีงาม เพื่อการบาเพ็ญกิจอัน ประเสริฐคือการทาหน้าท่ีและประโยชน์ต่างๆ น่ันก็คือใช้ป๎ญญาในการทาหน้าท่ีรู้คุณค่าของอาหาร รู้ ความประสงค์ในการกินการบริโภคและ “ป๎ญญา” นี้จะมาเป็นตัวนาพฤติกรรมตัวใหม่ “ป๎ญญา” จะมา กาหนดพฤติกรรมแทน “ตัณหา” นี่ก็คือจุดเร่ิมต้นของการศึกษาหรือการพัฒนาคน คือพัฒนาป๎ญญา หรือความรู้ก่อน นอกจากแนวคิดของพระธรรมปิฎกแล้ว ย่ิงมีแนวคิดของนักการศึกษาตะวันตกที่เห็น พร้องต้องกันกบั แนวคดิ นีค้ อื โคลเบิร์ก๔ ได้กล่าวไว้ว่า การพัฒนาทางสติป๎ญญาและอารมณ์เป็นรากฐานของการพัฒนา ทางจริยธรรม โคลเบิร์กเช่ือว่าจริยธรรมของมนุษย์มีพัฒนาการตามระดับวุฒิภาวะเพราะเกิดจาก ๓ พระธรรมปิฎก ( 2539 : 15-21) ๔ โคลเบริ ก์ (Kohlberg, 1964 : 385-390)

กระบวนการทางป๎ญญา ซึ่งมีการเรียนรู้มากขึ้น ทฤษฏีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กจะ สอดคล้องกบั ทฤษฏี ของเพยี เจต์ (Piaget) เชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการปรับตัวและการ สรา้ งสมดลุ ระหวา่ งสตปิ ๎ญญา กับสภาวะแวดลอ้ มทีจ่ ะทาใหม้ นษุ ย์ดารงชีวิตอยู่ พัฒนาการของมนุษย์ มีความต่อเน่ืองและเจริญข้ึนตามวุฒิภาวะ นักการศึกษาทั้งสองท่านเช่ือว่า จริยธรรมของมนุษย์มี พัฒนาการตามระดับวุฒิภาวะ เพราะเกิดจากกระบวนการทางป๎ญญา ซึ่งมีการเรียนรู้มากขึ้น และจาก การศึกษาและวิจัยของโคลเบิร์ก (Kohlberg) ยืนยันว่าจริยธรรมมีการพัฒนาการตามวุฒิภาวะและมี ความสัมพนั ธ์กบั ระดบั การศึกษา คุณธรรมถือว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมี เพราะคุณธรรมเป็นคุณสมบัติหรือคุณลักษณะที่ทาให้ มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ทั่วไป คุณธรรมตามแนวคิดของนักปราชญ์ทั้งหลายจึงจาแนกออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนความรูค้ วามเข้าใจ สว่ นอารมณค์ วามร้สู กึ และสว่ นท่เี ป็นพฤติกรรมต่างๆ ทแี่ สดงอกมา เช่น การ ปฏิบัติตามศาสนา การควบคุมตนเอง ความกล้าหาญ ความยุติธรรม ฯลฯ ผู้มีคุณธรรมจึงเป็นผู้ที่ถึง พร้อมด้วยความรู้ความเข้าใจ อารมณ์ ความรู้สึกและพฤติกรรมที่แสดงออกอย่างถูกต้องดีงาม การที่ ผู้บริหารจะพัฒนาตนเองทางด้านคุณธรรม หรือการท่ีผู้บริหารจะพัฒนาผู้อ่ืนที่แวดล้อมใกล้ชิดและ เก่ยี วขอ้ งอยใู่ นความดูแล เพ่อื ให้เป็นบุคคล ผู้มคี ุณธรรมจึงต้องเร่ิมจากการพัฒนาป๎ญญา พัฒนาจิตใจ อารมณ์ เพือ่ ใหท้ ัง้ สองสว่ นนี้เปน็ ตวั ควบคุมพฤตกิ รรมของบคุ คลผนู้ ้นั ต่อไป องค์ประกอบของจริยธรรมทง้ั 3 ส่วน คือ ป๎ญญา จิตใจ และพฤติกรรมน้ี คนส่วนใหญ่จะเข้าใจ กนั ว่า จิตใจเป็นสว่ นสาคญั ทีส่ ดุ เปน็ ตวั ที่ควบคุมพฤติกรรมของคนดังคากลา่ วทว่ี า่ “ใจเป็นนาย กายเป็น บ่าว” คากล่าวน้ีไม่ผิด เพราะมีหลักฐานให้พบเห็นเสมอว่า ความอุตสาหะ ความกล้าหาญ ความ รัก ความชัง ฯลฯ ล้วนเป็นความรู้สึกทางจิตใจท่ีมีผลให้คนแสดงพฤติกรรมออกมาในรูปแบบที่แตกต่าง กัน หากแต่ถ้าพิจารณา ให้ลึกลงไปแล้ว จิตใจของคนเราย่อมอ่อนไหวผันแปรได้ง่าย หากไม่มีป๎ญญา เปน็ ตัวกากับ อาจมีส่ิงจงู ใจให้จิตใจอ่อนไหวไปตามโลกธรรม คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ เมื่อจิตใจ ผันผวนปรวนแปรพฤตกิ รรมของคนกจ็ ะเปล่ียนแปลง เพราะเกิดตัณหาเป็นตัวนาจิตใจ แต่ถ้าหากบุคคล ผนู้ น้ั เปน็ ผมู้ ปี ญ๎ ญา รูแ้ จ้งในความเปน็ จริงของโลกและชวี ิต ป๎ญญาก็จะเป็นตัวชี้นาไม่ให้จิตใจอ่อนไหวไป ตามสิ่งที่มากระทบ จิตใจก็จะเข้มแข็งไม่อ่อนไหวปรวนแปร จนเกิดผลกระทบไปถึงการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมที่เคยประพฤติปฏิบัติ ท้ังนี้ เพราะมีป๎ญญาเป็นตัวควบคุมจิตใจไว้อีกระดับหน่ึง จึงสรุปได้ว่า ในองค์ประกอบของจริยธรรมท้ัง 3 ส่วนนี้ “ป๎ญญา” เป็นองค์ประกอบที่สาคัญท่ีสุด ที่จะชี้นาให้จิตใจ และพฤตกิ รรมของคนดาเนนิ ไปอยา่ งถูกต้องตามครรลองครองธรรม ดงั พทุ ธพจนท์ วี่ า่ “ สพฺเพ ธมฺมา ปํฺํุตตฺ า ” แปลวา่ “ธรรมทัง้ หลายมีปญ๎ ญาเปน็ เยยี่ มยอด” 1.5 ความหมายคณุ ธรรม “ ...เนื้อหาสาระและกฎเกณฑข์ องพระพุทธศาสนา เกิดจากการค้นหาความจริงของชีวิตด้วย ป๎ญญามนษุ ยพ์ ระพทุ ธศาสนาแสดงความจรงิ ของชวี ิตแสดงทางปฏบิ ตั ิท่จี ะใหบ้ รรลุความสูงสุดของชีวิตมี วิธีการสั่งสอนท่ียึดหลักเหตุผลว่าทุกสิ่งเกิดจากเหตุผู้ใดประกอบเหตุอย่างเพียงใดก็จะได้ผลอย่างน้ัน เพยี งน้นั ...”๕ ๕ พระบรมราโชวาท พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช

คาว่า”คุณธรรมจริยธรรม” นี้ เปน็ คาทีค่ นสว่ นใหญจ่ ะกลา่ วควบคู่กันเสมอ จนทาให้เข้าใจผิดได้ ว่า คาทั้งสองคามีความหมายอย่างเดียวกันหรือมีความหมายเหมือนกัน แท้ที่จริงแล้วคาว่า “คุณธรรม” กบั คาว่า”จริยธรรม” เป็นคาแยกออกได้ 2 คา และมีความหมายแตกต่างกันคาว่า “ คุณ” แปลวา่ ความดี เปน็ คาท่มี คี วามหมายเป็นทางนามธรรม สว่ นคาวา่ “จริย” แปลว่า ความประพฤติกิริยา ทค่ี วรประพฤตเิ ปน็ คาท่ีมีความหมายทางรปู ธรรม ดังนั้น จึงควรที่ผู้บริหารจะต้องทาความเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมายของคาสองคานี้ให้ถอ่ งแท้ก่อน พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525๖ ให้ความหมายว่า” คุณธรรม หมายถึงสภาพ คณุ งามความดี” พระธรรมปิฎก (ป.อ.ยุตโต )๗ ได้กล่าวว่าคุณธรรมเป็น ภาพของจิตใจกล่าวคือคุณสมบัติท่ี เสริมสร้างจติ ใจให้ดีงาม ใหเ้ ป็นจติ ใจท่สี งู ประณตี และประเสรฐิ เช่น เมตตา คือ ความรักปรารถนาดี เปน็ มิตร อยากใหผ้ ้อู ่ืนมคี วามสุข กรณุ า คอื ความสงสารอยากชว่ ยเหลอื ผู้อน่ื มคี วามสขุ มุทิตา คือ ความพลอยยินดีพร้อมท่ีจะส่งเสริมสนับสนุนผู้ท่ีประสบความสาเร็จให้มี ความสขุ หรือก้าวหน้าในการทาส่ิงที่ดีงาม อุเบกขา คือ การวางตัววางใจเปน็ กลาง เพ่ือรักษาธรรมเมื่อผู้อ่ืนควรจะต้องรบั ผิดชอบ ต่อการกระทาของเขาตามเหตุและผล จาคะ คือ ความมีน้าใจเสยี สละ เอื้อเฟื้อเผอ่ื แผ่ ไม่เห็นแก่ตัว วศนิ อินทสระ๘ กล่าวตามหลักจริยศาสตร์ว่า คุณธรรม คือ อุปนิสัยอันดีงามซ่ึงส่ังสมอยู่ในดวง จิต อุปนิสัยอันนี้ได้มาจากความพยายามและความประพฤติติดต่อกันมาเป็นเวลานาน... คุณธรรม สมั พนั ธก์ บั หน้าท่อี ย่างมาก เพราะการทาหน้าที่จนเป็นนิสัย จะกลายเป็นอุปนิสัยอันดีงามที่สั่งสมในดวง จติ เป็นบารมี มีลกั ษณะอยา่ งเดียวกนั น้ี ถ้าเป็นฝุายช่วั เรียกว่า “อาสวะ” คือ กิเลสที่หมักหมมในดวงจิต ยอ้ มจติ ให้เศร้าหมองเกรอะกรังด้วยความชวั่ นานาประการกลายเป็นสันดานชั่ว ทาให้แก้ไขยากสอนยาก กล่าวโดยสรุป คุณธรรมคือความล้าเลิศแห่งอุปนิสัยซ่ึงเป็นผลของการการะทาหน้าที่จนกลายเป็นนิสัย น่ันเอง พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมมจิตโต)๙ กล่าวว่า คุณธรรมคือคุณสมบัติท่ีดีของจิตใจ ถ้า ปลูกฝ๎งเรื่องคุณธรรมได้จะเป็นพื้นฐานจรรยาบรรณ... จรรยาบรรณน้ีเป็นเรื่องพฤติกรรมในการที่จะ พัฒนาต้องตีความออกไปว่า พฤติกรรมเหล่าน้ีมีพื้นฐานจากคุณธรรมข้อใด เช่น เบญจศีลเป็นจริยธรรม เบญจธรรมเป็นคุณธรรมคือ ความเมตตากรุณา ถ้ามีความเมตตากรุณาจะมีฐานของศีลข้อที่ 1 เป็นต้น ส่วนจริยธรรม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 (2538 : 216 ) ให้ความหมายว่า “จรยิ ธรรมหมายถงึ ธรรมทเ่ี ปน็ ขอ้ ประพฤติปฏิบัติ ศลี ธรรม กฎศลี ธรรม” ๖ พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 (2538 : 189) ๗ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ยุตโต ) (2540: 14) ๘ วศิน อินทสระ (2541: 106,113) ๙ พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยรู ธมมจติ โต) (2538: 15-16)

พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยรู ธมมจติ โต)๑๐ กลา่ ววา่ จริยธรรม คือ หลักแห่งความประพฤติ หรือ แนวทางการปฏิบัติ หมายถึง แนวทางของการปฏิบัติ หมายถึง แนวทางของการประพฤติปฏิบัติจนให้ เป็นคนดเี พอ่ื ประโยชน์สขุ ของตนเองและส่วนรวม นอกจากน้ีพระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมมจิตโต)๑๑ ยังให้แนวคิดว่าจริยธรรมคือหลักแห่ง ความประพฤติดีงามสาหรับทุกคนในสังคม ถ้าเป็นข้อปฏิบัติท่ัวไป เรียกว่าจริยธรรม ถ้าเป็นข้อควร ประพฤติทีม่ ีสาสนาเขา้ มาเกย่ี วขอ้ ง เราเรียกว่า ศีลธรรม แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า จริยาธรรมอิงอยู่กับ หลักคาสอนทางศาสนาเพียงอย่างเดียว แท้ท่ีจริงน้ันยังหยั่งรากอยู่บนขนบธรรมเนียมประเพณี แม้ นักปราชญ์คนสาคัญ เช่น อริสโตเติล คานท์ มหาตมะคานธี ก็มีส่วนสร้างจริยธรรมสาหรับเป็นแนวทาง ในการดารงชวี ิตของคนจานวนหนึง่ จากทัศนะของพระเมธีธรรมภรณ์ดังกล่าวข้างต้นน้ี จะเห็นได้ว่าจริยธรรมไม่แยกเด็ดขาดจาก ศีลธรรม แต่มีความหมายกว้างกว่าศีลธรรม ศีลธรรมเป็นหลักคาสอนที่ว่าด้วยความประพฤติชอบ ส่วน จริยธรรม หมายถงึ หลกั แหง่ ความประพฤติดีประพฤตชิ อบอนั วางรากฐานอยู่บนหลักคาสอนของศาสนา ปรัชญาและขนบธรรมเนียมประเพณี ท่านผู้นี้มองจริยธรรมในฐานะท่ีเป็นระบบ อันมีศีลธรรมเป็น ส่วนประกอบสาคัญ แต่ก็มีแนวคิดปรัชญา ค่านิยม ตลอดจนธรรมเนียมประเพณีเข้ามาเกียวข้องด้วย จากที่กล่าวมาทั้งหมดพอสรุปได้ว่า คาว่า คุณธรรม จริยธรรม สองคาน้ีเป็นคาท่ีมีความหมายเกี่ยวข้อง กันในดา้ นคุณงามความดี กล่าวคอื จรยิ ธรรมคอื ความประพฤติท่ีถูกต้องดีงามท้ังกายและวาจา สมควรที่ บคุ คลจะประพฤติปฏบิ ัติ เพ่อื ใหต้ นเองและคนในสังคมรอบข้างมีความสุข สงบ เยือกเย็น จริยธรรมเป็น เรื่องของการฝึกนิสัยที่ดี โดยกระทาอย่างต่อเน่ืองสม่าเสมอจนเป็นนิสัย ผู้มีความประพฤติดีงามอย่าง แท้จริงจะต้องเป็นผู้มีความรู้สึกในด้านดีอยู่ตลอดเวลา คือ มี “คุณธรรม “ อยู๋ในจิตใจหรืออาจกล่าวได้ ว่าจริยธรรมเป็นเรื่องของการประพฤติปฏิบัติเป็นพฤติกรรมภายนอก ส่วนคุณธรรมเป็นสภาพคุณงาม ความดภี ายในจติ ใจ ซง่ึ ทั้งสองสว่ นต้องเก่ียวข้องสัมพันธ์กัน พฤติกรรมของคนที่แสดงออกมาท้ังทางกาย และวาจานั้น ย่อมเกีย่ วเนอ่ื งสัมพนั ธแ์ ละเปน็ ไปตามความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจและสติป๎ญญา การพัฒนา คุณธรรมจริยธรรมของบุคคลจึงต้องพัฒนาท้ัง 3 ด้าน ควบคู่กันไป คือ การพัฒนาด้านสติป๎ญญา ด้าน จติ ใจและด้านพฤติกรรม โกสนิ ทร์ รงั สิยาพันธ์๑๒ กล่าววา่ คุณธรรมก่อให้เกิดคุณธรรมอื่น คือ เม่ือฝึกคุณธรรมคุณธรรม หน่งึ แล้วกพ็ ลอยไดค้ ณุ ธรรมอ่ืนๆ ไปดว้ ย แตถ่ า้ ปล่อยให้เกิดกิเลสอย่างหนึ่งเกาะกุม กิเลสอีกอย่างหนึ่งก็ จะตามมาด้วยเชน่ กัน สมผวิ ชน่ื ตระกลู ๑๓ ไดใ้ ห้ความหมายของคณุ ธรรมไว้วา่ คณุ ธรรม คือ การกระทาความดี เป็นส่ิง ท่ที าไปแลว้ ตนเองไม่เดือดร้อน ผู้อ่ืนไม่เดือดร้อนเป็นประโยชน์ทั้งสองฝุาย และสิ่งท่ีทาไปเป็นประโยชน์ เก้ือกลู ดว้ ยประการท้งั ปวง กีรติ บญุ เจอื ๑๔ ใหค้ วามหมาย คุณธรรม (virtue) หมายถึงความเคยชนิ ในการประพฤตดิ ีอยา่ ง ใดอย่างหน่ึง ๑๐ พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยรู ธมมจิตโต) (2535: 81-82) ๑๑ พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยรู ธมมจิตโต) (2538: 2) ๑๒ โกสินทร์ รังสยิ าพนั ธ์ (2531, หนา้ 20) ๑๓ สมผวิ ชื่นตระกลู (2536, หน้า 7) ๑๔ กรี ติ บุญเจือ (2542, หนา้ 79)

พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542๑๕ กล่าวว่าคุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงาม ความดี แสง จนั ทรง์ าม๑๖ ให้ความหมาย คุณธรรม หมายถงึ คุณภาพจติ ฝุายดีทค่ี วบคุมให้คนมีความ ประพฤติดี ปราชญา กล้าผจญ๑๗ ให้ความหมาย คุณธรรม หมายถึง สภาวะที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง และผู้อ่ืน ความดีงามท้ังหลาย อันเกิดจากการเป็นผู้มีธรรม มีศีลธรรมประจาใจ มีสภาวะจิตใจท่ีเหนี่ยว ร้งั ไว้ มใิ หท้ าชวั่ ศักดิ์ชัย นิรัญทวี๑๘ ให้ความหมาย คุณธรรม หมายถึง คุณภาพของจิตใจท่ีเข้าถึงความดีงามข้ัน สูง ซง่ึ เป็นขั้นทอี่ ยู่เหนือสภาพของสงั คมสิ่งแวดลอ้ ม เป็นคุณงามความดี ในตัวของมนั เอง สาโรช บัวศร๑ี ๙ ให้ความหมาย คณุ ธรรม หมายถึง ความเช่ือของบุคคลสว่ นใหญเ่ ป็นสง่ิ ทดี่ ีงามท่ี จะสง่ ผลใหเ้ กิดการกระทาที่เป็นประโยชนแ์ ละความดีท่ีแท้จรงิ ต่อสงั คม รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี๒๐ ไดใ้ ห้ความหมายไว้ว่า คุณธรรม หมายถึง คุณลักษณะ หรือสภาวะภายในจติ ใจของมนษุ ยท์ ี่เปน็ ไปในทางทถ่ี ูกต้อง ดงี าม ซ่งึ เป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจ ลิขิต ธีรเวคิน๒๑ ได้กล่าวไว้ว่า คุณธรรม คือ จิตวิญญาณของป๎จเจกบุคคล ศาสนาและ อุดมการณ์ เปน็ ดวงวญิ ญาณของป๎จเจกบุคคลและสังคมด้วยป๎จเจกบุคคลต้องมีวิญญาณ สังคมต้องมี จิตวิญญาณ คุณธรรมของป๎จเจกบุคคลอยู่ท่ีการกล่อมเกลาเรียนรู้โดยพ่อแม่ สถาบันการศึกษา ศาสนา พรรคการเมอื ง และองคก์ รของรัฐ วศนิ อนิ ทสระ๒๒ ได้กล่าวถงึ คุณธรรม หมายถึง อปุ นิสัยอันดีงามซงึ่ ส่งั สมอยใู่ นดวงจิตอุปนสิ ัยนี้ ไดม้ าจากความพยายาม และความประพฤติท่ีตดิ ต่อกันมาเป็นเวลานาน ประภาศรี สหี อาไพ๒๓ หลักธรรมจรยิ าทส่ี รา้ งความรู้สึกชองชั่วดใี นทางศีลธรรม มีคุณงามความ ดี ภายในจติ ใจอยใู่ นขน้ั สมบูรณจ์ นเปีย่ มไปด้วยความสขุ ความยนิ ดี การกระทาทด่ี ยี อ่ มได้รับผลของความ ดีคือความช่ืนชมยกย่องในขณะท่ีการกระทาชั่วย่อมได้รับผลของความช่ัวคือความเจ็บปวดหรือความ ทุกข์ตา่ ง ๆ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)๒๔ ได้ให้ความหมายของคาว่า“คุณธรรม” หมายถึง ธรรมท่ี เป็นคุณความดีงาม สภาพที่เก้ือหนุนจากความหมายดังกล่าวมาพอสรุปได้ว่า คุณธรรม หมายถึง ลักษณะของความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจ เป็นสภาพคุณงามความดีท่ีส่ังสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์เป็นเวลา ยาวนาน เป็นตัวกระตุ้นใหม้ กี ารประพฤติยู่ในกรอบท่ีดีงาม คุณธรรมเป็นส่ิงท่ีดีงามทางจิตใจ เป็นคุณค่า ของชีวติ ใหเ้ กิดความรกั สามคั คี ดังนนั้ คุณธรรมเปน็ บอ่ เกิดของจริยธรรม ๑๕ พจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 (2546, หน้า 253) ๑๖ แสง จนั ทรง์ าม (2542, หนา้ 218) ๑๗ ปราชญา กลา้ ผจญ (2544, หนา้ 312) ๑๘ ศกั ดช์ิ ัย นิรัญทวี (2544, หน้า 82) ๑๙ สาโรช บัวศรี (อ้างถึงใน วาสนา ประวาลพฤกษ,์ 2545, หน้า 2) ๒๐ รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี (2546, หน้า 4) ๒๑ ลิขติ ธรี เวคิน (2548, หนา้ 86) ๒๒ วศนิ อินทสระ (2549, หน้า 7) ๒๓ ประภาศรี สหี อาไพ (2550, หน้า 7) ๒๔ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) (2554, หนา้ 51)

1.6 ความหมายของจรยิ ธรรม พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตสถาน๒๕ ได้ให้ความหมายว่า จริยธรรม คือธรรมท่ีเป็นข้อพึง ปฏบิ ตั ิ ทีต่ ้งั อยใู่ นคณุ งามความดี ชยั พร วชิ ชาวุธ๒๖ ได้ให้ความหมายว่า จริยธรรม หมายถึง หลักเกณฑ์การตัดสินใจ ความถูกผิด ของพฤติกรรม หลักเกณฑ์การประเมินผลดี ผลเสียของพฤติกรรม และปฏิกิริยาต่อพฤติกรรมต่างๆ ไม่ วา่ จะเปน็ พฤติกรรมทางบวกหรือพฤติกรรมทางลบ พระธรรมญาณมุนี๒๗ ได้ใหค้ วามหมายของจริยธรรมไว้วา่ จริยธรรม หมายถึง พฤตกิ รรมท่เี ป็น รูปแบบของการปฏิบัตติ น การดาเนนิ ตนท่มี ีความเหมาะสมแก่ ภาวะฐานะ กาลเทศะ และเหตกุ ารณ์ใน ป๎จจบุ ัน ชัยพร วงศ์วรรณ๒๘ ได้ให้ความหมายของจริยธรรมไว้ว่า จริยธรรม หมายถึง แนวทางของการ ประพฤติตนให้เป็นคนดี เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และส่วนรวม สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดควร ละเว้น อะไรควรประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ บญุ มี แทน่ แก้ว๒๙ ไดใ้ ห้ความหมายของจริยธรรมไว้ว่าจรยิ ธรรม หมายถงึ หลักแห่งความ ประพฤตทิ เี่ หน็ ว่าดีงามและถูกตอ้ ง ประภาศรี สหี อาไพ๓๐ ให้ความหมายของจริยธรรมว่าจริยธรรม หมายถึง หลักความประพฤติที่ อบรมกริ ยิ าและปลูกฝง๎ ลกั ษณะนิสยั ให้อยใู่ นครรลองของคุณธรรมหรือศลี ธรรม แสง จันทร์งาม๓๑ ให้ความหมาย จริยธรรม หมายถึงคุณภาพจิตที่มีอิทธิพลต่อความประพฤติ ของคน คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ๓๒ ใหค้ วามหมายของคาวา่ จรยิ คือดีงาม สวย คือดูแลว้ ดี ดู แล้วงาม ธรรม คือส่งิ ที่ควรปฏบิ ตั ิ จริยธรรม หมายถงึ สิ่งท่ีปฏิบตั ิแล้วเกดิ (จรยิ ) ความดี ความงาม ความสวย พระเมธีธรรมาภรณ์๓๓ ให้ความหมายของคาว่า จริยธรรม หมายถึง หลักแห่งความประพฤติ ปฏิบตั ิชอบอนั วางรากฐานอยู่บนหลักคาสอนของศาสนา ปรัชญาและขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีมีระบบ ศีลธรรมเป็นสว่ นประกอบ ภิญโญ สาธร๓๔ กลา่ วว่า จรยิ ธรรม หมายถงึ คุณความดีทีค่ วรประพฤติ ๒๕ พจนานกุ รมไทยฉบับราชบณั ฑติ สถาน (2530, หน้า 51) ๒๖ ชยั พร วชิ ชาวุธ (2531, หน้า 6) ๒๗ พระธรรมญาณมนุ ี (2531, หน้า 103) ๒๘ ชัยพร วงศว์ รรณ (2538, หน้า 27) ๒๙ บุญมี แท่นแก้ว (2539, หนา้ 168) ๓๐ ประภาศรี สีหอาไพ (2540, หนา้ 17) ๓๑ แสง จนั ทรง์ าม (2542, หน้า 218) ๓๒ คณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ (2544, หนา้ 7) ๓๓ พระเมธีธรรมาภรณ์ (2544, หน้า 91) ๓๔ ภิญโญ สาธร (2544, หน้า 17)

ศกั ดิ์ชัย นริ ญั ทวี๓๕ ให้ความหมายจรยิ ธรรม หมายถงึ คณุ ภาพของจติ ใจ ถา้ เราเชือ่ วา่ ลักษณะ จติ ใจ อาจถูกกาหนดได้ดว้ ยสังคม จริยธรรมยอ่ มขนึ้ อยู่กบั สังคมดว้ ย สาโรช บวั ศร๓ี ๖ ให้ความหมาย จรยิ ธรรม หมายถงึ สิ่งทคี่ วรประพฤติปฏบิ ตั เิ พื่อใหเ้ กิดความดี และความถกู ต้องแก่สงั คมในระดบั ต่าง ๆ ราชบัณฑิตยสถาน๓๗ ให้ความหมายของ จริยธรรมหมายถึง ธรรมท่ีเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศลี ธรรม ดวงเดือน พันธุมนาวิน๓๘ ได้กล่าวถึง จริยธรรมของบุคคลเป็นจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ สังคม และโลกจะอยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขและมั่นคงหรือในทางตรงข้าม อยู่กันอย่างหวาดกลัวภัย เพราะมีการเอาเปรียบกัน เบียดเบียนกัน จนเกิดการท าลายล้างเผ่าพันธ์ุก็อยู่ที่จริยธรรมของมนุษย์ใน ป๎จจุบันและอนาคตน่ันเอง ดังน้ันจริยธรรมจึงเป็นเร่ืองที่ควรมีการปลูกฝ๎งและสร้างเสริมในคนรุ่นใหม่ โดยไมม่ ขี ้อยกเว้นใด เพิม่ ศักดิ์ วรรลยางกรู ๓๙ ได้กล่าวถึง จรยิ ธรรม หมายถงึ พฤตกิ รรม หรือการกระทาทางกาย ทาง วาจา ทางใจ อันดีงามท่คี วรประพฤตปิ ฏิบตั ิ พระธรรมกิตตวิ งศ์ (ทองดี สรุ เตโช)๔๐ ไดก้ ล่าววา่ จริยธรรม คอื ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏบิ ัติ ระเบยี บท่ีควรประพฤติปฏบิ ัติ แบบแผนท่ดี งี าม สาหรับจัดระเบยี บสงั คมใหเ้ รียบร้อยดีงาม วศิน อนิ ทสระ๔๑ ไดใ้ หค้ วามหมายว่า จริยธรรม แปลว่าธรรมที่ควรประพฤติ ตามคาแปลนี้ เล็ง ไปทางฝุายดีคือบุญหรือกุศลธรรม จริยธรรมตรงกับคาอังกฤษว่า Ethically คล้าย Ethicsที่หมายถึง จรยิ ศาสตร์นั่นเองมงคลในพระพุทธศาสนามีขอ้ หนึง่ เรยี กว่า ธรรมจรยิ า แปลว่า การประพฤติธรรม หรือ ประพฤติถูกต้อง สุชาติ ประสิทธิ์สินธ์ุ๔๒ ให้ความหมาย จริยธรรม หมายถึง ความถูกต้องท่ีดีงาม สังคมทุกสังคม จะกาหนดกฎเกณฑ์กติกา บรรทัดฐานของตนเองวา่ อะไรคอื สิง่ ท่ดี งี าม อะไรคือความถกู ตอ้ ง พระเทวิน เทวินฺโท๔๓ ได้กล่าวว่า จริยธรรม เป็นคาท่ีมีความหมายกว้างขวางครอบคลุมไปถึง ธรรมชาติ กฎระเบียบของสังคม กฎหมาย กฎ ศีลธรรมตามศาสนา และค่านิยมของคนในสังคม จริยธรรมจึงเป็นคาง่าย ๆ ที่ใช้อธิบายข้อประพฤติปฏิบัติร่วมกันของมนุษย์ในสังคมโดยมีส่ิงท่ีเกี่ยวข้อง กันอยู่ 4 ประการคือ 1) ธรรมชาติ 2) ตวั เราเอง 3) ผอู้ ืน่ 4) ความสมั พนั ธร์ ะหว่างธรรมชาติ ตวั เราเองและผู้อืน่ สุลกั ษณ์ ศวิ รกั ษ์๔๔ ได้กลา่ ววา่ จริยธรรม คอื หลกั หรอื หวั ข้อแหง่ ความประพฤติปฏบิ ตั ิเพื่อเกิด ปกติสขุ ในสงั คม ไมใ่ ห้มีการเอารัดเอาเปรยี บกนั หรอื มีได้ก็แตน่ ้อยให้เกิดความมัง่ คัง่ มน่ั คงท้งั ส่วนตน และสว่ นรวม ๓๕ ศกั ดช์ิ ยั นริ ญั ทวี (2544, หนา้ 82) ๓๖ สาโรช บัวศรี (อา้ งถึงใน วาสนา ประวาลพฤกษ,์ 2545, หน้า 1) ๓๗ ราชบณั ฑติ ยสถาน (2546, หนา้ 291) ๓๘ ดวงเดอื น พนั ธุมนาวิน (2547, หน้า 171) ๓๙ เพม่ิ ศักดิ์ วรรลยางกรู (2547, หน้า 48) ๔๐ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สรุ เตโช) (2548, หนา้ 149) ๔๑ วศิน อนิ ทสระ (2549, หนา้ 22) ๔๒ สุชาติ ประสิทธิส์ นิ ธุ์ (2549, หน้า 2) ๔๓ พระเทวิน เทวินฺโท (2550, หน้า 107) ๔๔ สลุ ักษณ์ ศวิ รักษ์ (2550, หนา้ 163)

แสง จนั ทร์งาม๔๕ ได้กล่าวว่า จรยิ ธรรม หมายถงึ คุณสมบตั ทิ างความประพฤติที่สังคมมุ่งหวังให้ คนในสังคมน้ันประพฤติ มีความถูกต้องในความประพฤติ มีเสรีภาพภายในขอบเขตของมโนธรรม (Conscience) เปน็ หน้าที่ที่สมาชิกในสังคมพึงประพฤติปฏิบัติต่อตนเองต่อผู้อ่ืน และต่อสังคม ท้ังนี้เพ่ือ ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นในสังคม การที่จะปฏิบัติให้เป็นไปเช่นนั้นได้ ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้ว่าส่ิงใดถูก สงิ่ ใดผดิ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)๔๖ ได้กล่าวว่า จริยธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาว่าคือ ผู้ ดาเนนิ ชวี ิตตามมรรค หรือปฏิบัติตามมัชฌิมาปฏิปทา ยึดหลักความประพฤติ หลักการดาเนินชีวิต หรือ หลักการครองชีวิตท่ีถูกต้องสมบูรณ์ของมนุษย์ ท่ีจะนาไปสู่จุดหมายคือความดับทุกข์หรือความส้ินสุด ปญ๎ หาอย่อู ยา่ งเปน็ อสิ ระไร้ทุกข์ พุทธทาสภิกขุ๔๗ ได้ให้ความหมายของคาว่า “จริยธรรม”แปลว่า เป็นสิ่งท่ีพึงประพฤติจะต้อง ประพฤติในส่วนศีลธรรมน้ันหมายถึง สิ่งที่กาลังประพฤติอยู่หรือประพฤติแล้วจริยธรรมหรือ Ethics อยู่ ในรูปของปรัชญาคือส่ิงที่ต้องคิดต้องนึกส่วนเรื่องศีลธรรม Morality น้ีต้องทาอยู่จริง ๆ เพราะเป็น ป๎ญหาเฉพาะหน้า จากการให้ความหมายดังกล่าวสรุปได้ว่า จริยธรรม หมายถึง แนวทางของการ ประพฤตหิ รอื ข้อปฏิบตั ติ นเปน็ คนดี ตามลักษณะทางขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมของ สังคมนัน้ ๆ เห็นว่าถูกตอ้ งและต้องการใหเ้ กดิ ข้นึ เพอ่ื ให้เกิดประโยชนส์ ขุ ตอ่ ตนเองและสว่ นรวม กล่าวโดยสรุปได้ว่า คุณธรรม หมายถึง คุณสมบัติภายในใจใด ๆ ก็ตามท่ีเป็นคุณสมบัติพึง ประสงค์ ไม่เป็นโทษ ส่วน จริยธรรมหมายถึง ส่ิงควรประพฤติอัน ได้แก่พฤติกรรมเป็นการกระทา ทางกาย วาจาใจ อันดีงามท่ีควรปฏิบัติ คุณงาม ความดีของบุคคลท่ีกระทาไปด้วยความสานึกใน จิตใจ โดยได้ยึดถือ จนเป็นความเคยชิน อันเป็นคุณลักษณะหรือพฤติกรรมท่ีดีงาม เป็นที่ ยอมรับว่าเปน็ สิ่งท่ีถกู ต้องของตนเอง ผูอ้ ื่นและสงั คม 1.7 ทฤษฎเี กย่ี วกับพฒั นาการทางจรยิ ธรรม จากการศึกษาวิวฒั นาการของจรยิ ธรรม จะเห็นไดว้ ่าพัฒนาการของการศึกษาเก่ยี วกับจริยธรรม โดยได้รวบรวมแนวคดิ ทฤษฎีทเี่ กี่ยวข้องกับจรยิ ธรรมท่สี าคัญดังน้ี ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลงั แผ่นดินเชิงคณุ ธรรม๔๘ ได้สรุปว่า สติป๎ญญา หรือ ความสามารถใน การรู้คิดเป็นพื้นฐานของการมีคุณธรรมจริยธรรมเน่ืองจากผู้มีคุณธรรมจริยธรรมสูง มักเป็นผู้ท่ีสามารถ คิดวิเคราะห์ มีวิจารณญาณ และสามารถคาดการณ์เกี่ยวกับสาเหตุและผลของการกระทา ได้ นักวิชาการทางจิตวิทยาที่ศึกษาเก่ียวกับพัฒนาการทางการรู้ การคิด คือ Jean Piaget ได้เสนอ พัฒนาการทางการรกู้ ารคดิ ไว้ 4 ขั้นตอน ไดแ้ ก่ 1. ข้ันระยะการเคล่ือนไหวสัมผัส (The sensor motor stage) เป็นช่วงของเด็กแรกเกิด ถึง อายุ 2 ขวบ จะมพี ฒั นาการทเ่ี กี่ยวข้องกับความคงท่ีของวัตถุ โดยจะเริ่มรับรู้ว่าวัตถุที่หายไปจากสายตา ของตนยงั คงเป็นวตั ถุเดมิ และไมไ่ ด้หายไปไหน เช่น เม่อื เอากระดาษมาคนั่ ของเล่นที่เด็กกาลังเล่นอยู่ เด็ก ๔๕ แสง จันทร์งาม (2550, หน้า 10) ๔๖ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต) (2552, หนา้ 591) ๔๗ พุทธทาสภิกขุ (2553, หน้า 95) ๔๘ ศูนย์สง่ เสรมิ และพัฒนาพลังแผน่ ดินเชิงคณุ ธรรม (2551, หน้า 15-18)

จะป๎ดกระดาษเพื่อหาของเล่น แสดงว่าเด็กมีความเข้าใจเก่ียวกับการคงอยู่ของวัตถุ ในช่วงนี้จะเกิด กระบวนการ 2 ประเภท คือ 1.1 การดูดซึม (Assimilation) เปน็ การรับรู้เข้าสโู่ ครงสร้างเดมิ และเข้าสรู่ ะบบเดิม เปน็ การปรบั สภาพแวดลอ้ มให้เข้ากับการรูค้ ิดของตน และปฏเิ สธสงิ่ ที่ไม่เข้ากบั การรู้คดิ ของตน 1.2 การปรับเปลี่ยน (Accommodation) เป็นการปรบั ความคิดหรอื ปรบั ตวั ใหเ้ ข้า กับสภาพแวดล้อมใหม่ เกิดการยอมรบั ประสบการณ์ใหม่ กระบวนการทั้งสองจะทาให้บุคคลเกิดความ สมดุล (equilibration) 2. ขัน้ ก่อนปฏิบัตกิ าร (the preoperational stage) เป็นช่วงของเด็กอายุ 2-7 ขวบโดย แบ่งเปน็ 2 สว่ น 2.1 ส่วนแรกปรากฏในเด็กอายุ 2-4 ขวบ เด็กจะมีพัฒนาการทางสรีระมากข้ึนและ สามารถสารวจสภาพแวดล้อมได้มากขึ้น เรียนรู้คาและพฤติกรรมใหม่ ๆ แต่มีความคิดและพฤติกรรมท่ี เด่น คือ ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (egocentric) เด็กเชื่อว่าส่ิงที่ตนเห็น ตนเข้าใจนั้น คนอ่ืน ๆ ก็ จะเหน็ และเขา้ ใจอยา่ งท่ีตนเหน็ และตนเข้าใจ ในชว่ งนเ้ี ดก็ จะมีการเลียนแบบผ้ปู กครองมาก ไม่ว่าจะเป็น คาพูด ทา่ ทาง กิริยามารยาท และพฤติกรรมในช่วงกระบวนการ assimilation เป็นกระบวนการที่ใช้ มาก โดยเม่ือเด็กเล่นเด็กจะเข้าใจส่ิง ต่าง ๆ ท่ีอยู่รอบข้างมากข้ึน รวมท้ังกระบวนการ accommodation เช่น การเลียนแบบจะชว่ ยพฒั นาสตปิ ๎ญญาของเด็กจากการเรยี นรู้ทางสงั คม 2.2 ส่วนท่ีสองปรากฏในเด็กอายุ 4-7 ขวบ เป็นขั้นความคิดแบบอัตสัมฤทธ์ิ (initiative thought) เด็กจะลดการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางลง จากการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อม เด็กอาจยัง แยกไมอ่ อกระหวา่ งความเพ้อฝ๎นหรอื นิทานกบั ความเปน็ จรงิ ชว่ งนี้พฒั นาการทางความคดิ เร่มิ มีมากข้นึ 3. ข้ันปฏิบัติการแบบรปู ธรรม (the stage of concrete operations) ปรากฏในเด็กอายุ 5- 10 ขวบ มีความคิดทีจ่ ัดเป็นระบบมากขน้ึ สามารถคดิ ทวนกลบั ในเชงิ ของมวลสาร ปริมาตร และ น้าหนัก 4. ข้นั ปฏบิ ัตกิ ารแบบระบบ (the stage of formal operations) เป็นความสามารถในการคิด แบบสมมติ และการคิดเป็นเหตเุ ป็นผล โดยมีลกั ษณะระบบคิดเปน็ 3 ประการคือ 4.1 การสรา้ งการทวนกลับความคิดเก่ียวกับความจริงกับความเป็นไปได้ (thinking in possibilities) ผู้มีความสามารถในการคิดข้ันน้ี จะสามารถคิดสลับไปมาระหว่างความจริงกับความ เปน็ ไปได้ ซงึ่ เป็นความคิดสมมติ ผทู้ ่มี ีพัฒนาการในขน้ั น้ีจะสามารถคิดในเชงิ นามธรรมได้ 4.2 ความคิดแบบตั้งสมมติฐานจากหลักที่กว้างกว่า (hypotheticaldeductive thinking) ผู้ท่ีคิดในเชิงนามธรรมได้จะสามารถตั้งสมมติฐานได้ แล้วตรวจสอบสมมติฐานด้วยการทา วจิ ัย 4.3 การคิดถึงการคิด (thinking about thinking) ผู้ท่ีคิดในข้ันนามธรรมแบบระบบ ข้ันนี้จะสามารถคิดถึงความหมายความสาคัญ คิดวิเคราะห์ และหาเหตุผลประกอบการคิดหรือการ จนิ ตนาการของตนเอง ซง่ึ เป็นการสารวจความคดิ และการวจิ ารณ์ตนเองได้ Lawrence Kohlberg๔๙ ได้ศกึ ษาวจิ ยั พฒั นาการทางจริยธรรมตามแนวทฤษฎีของพีอาเจต์ แต่ ได้ปรับปรุงวิธีวิจัย การวิเคราะห์ผลรวมและได้ทาการวิจัยอย่างกว้างขวางในประเทศอื่นท่ีมีวัฒนธรรม ต่างไปจากสหรัฐอเมริกา โคลเบิร์กได้คิดวิธีวิเคราะห์ข้อมูล โดยมีระบบการให้คะแนนอย่างมีระเบียบ แบบแผน ผู้ท่จี ะใชว้ ธิ กี ารให้คะแนนระดับพฒั นาการทางจริยธรรม จะตอ้ งได้รบั การอบรมเป็นพิเศษ โดย ๔๙ Lawrence Kohlberg (1964, pp. 197-198)

สร้างสถานการณส์ มมติปญ๎ หาทางจริยธรรมที่ผู้ตอบยากที่จะตัดสินใจได้ว่า “ถูก” “ผิด” “ควรทา” หรือ “ไม่ควรทา” อย่างเด็ดขาด เพราะข้ึนกับองค์ประกอบหลายอย่าง การตอบจะขึ้นกับวัยของผู้ตอบ เกย่ี วกับความเหน็ ใจในบทบาทของผู้พฤติกรรมในเร่ืองค่านิยม ความสานึกในหน้าท่ีในฐานะเป็นสมาชิก ของสังคม ความยุตธิ รรมหรือหลักการที่ตนยึด จากการวิเคราะห์คาตอบของผู้ตอบวัยต่างๆ โคลเบิร์กได้ แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมออกเป็น 3 ระดับ (Levels) แต่ละระดับแบ่งออกเป็น 2 ข้ัน (Stages) ดงั นน้ั พฒั นาการทางจริยธรรมของโคลเบิรก์ มที ัง้ หมด 2 ขน้ั ดงั น้ี ระดับท่ี ๑ กฎเกณฑ์และข้อกาหนดของพฤติกรรมท่ี “ดี” “ไม่ดี” จากผู้มีอานาจเหนือตน เช่น บิดามารดา ครูหรือเด็กโต และมักจะคิดถึงผลตามที่จะนารางวัลหรือการลงโทษ พฤติกรรม “ดี” คือ พฤติกรรมท่ีแสดงแล้วได้รางวัล พฤติกรรม “ไม่ดี” คือ พฤติกรรมที่แสดงแล้วได้รับโทษ โดยบุคคลจะ ตอบสนองต่อ กฎเกณฑซ์ ่งึ ผูม้ ีอานาจทางกายเหนือตนเองกาหนดขึ้น จะตัดสินใจเลือกแสดงพฤติกรรมที่ เป็นหลักต่อตนเอง โดยไม่คานึงถึงผู้อ่ืน จะพบในเด็ก 2-10 ปี โดยได้แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรม ระดับนีเ้ ป็น 2 ขน้ั คอื ขั้นที่ 1 การถูกลงโทษและการเชื่อฟ๎ง (Punishment andObedience Orientation) เด็ก จะยอมทาตามคาสั่งผู้มอี านาจเหนอื ตนโดยไมม่ ีเงื่อนไขเพ่ือไมใ่ หต้ นถูกลงโทษ ขั้นนี้แสดงพฤติกรรม เพ่ือหลบหลีกการถูกลงโทษ เพราะกลัวความเจ็บปวด ยอมท าตามผู้ใหญ่เพราะมีอานาจทางกายเหนือ ตน ในขน้ั นี้ เด็กจะใช้ผลตามของพฤตกิ รรมเป็นเคร่ืองช้ีว่า พฤติกรรมของตน “ถูก” หรือ “ผิด” เป็น ตน้ วา่ ถ้าเด็กถูกทาโทษก็จะคิดว่าส่ิงที่ตนทา “ผิด” และจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทาส่ิงนั้นอีก พฤติกรรม ใดทมี่ ผี ลตามดว้ ยรางวัลหรือ คาชม เด็กกจ็ ะคดิ วา่ สง่ิ ทต่ี นทา “ถกู ” และจะทาซา้ อกี เพอ่ื หวงั รางวลั ขั้นที่ 2 กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตน (InstrumentalRelativist Orientation) ใช้หลักการแสวงหารางวัลและการแลกเปลี่ยน บุคคลจะเลือกทาตามความพอใจตนของ ตนเอง โดยให้ความสาคัญของการได้รับรางวัลตอบแทน ทั้งรางวัลท่ีเป็นวัตถุหรือการตอบแทนทางกาย วาจา และ ใจ โดยไมค่ านงึ ถงึ ความถกู ต้องของสังคมข้ันนแี้ สดงพฤตกิ รรมเพื่อต้องการผลประโยชน์ส่ิง ตอบแทน รางวัล และส่ิงแลกเปล่ียน เป็นสิ่งตอบแทนในข้ันนี้เด็กจะสนใจทาตามกฎข้อบังคับ เพื่อ ประโยชนห์ รือความพอใจของตนเอง หรือทาดีเพราะอยากได้ของตอบแทน หรือรางวัล ไม่ได้คิดถึงความ ยตุ ิธรรมและความเหน็ อกเหน็ ใจผูอ้ นื่ หรอื ความเออื้ เฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น พฤติกรรมของเด็กในข้ันนี้ทาเพื่อ สนองความตอ้ งการของตนเองแต่มกั จะเปน็ การแลกเปล่ยี นกับคนอนื่ เช่น ประโยค “ถ้าเธอทาให้ฉัน ฉัน จะให้” ระดับที่ 2 ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคม (Conventional Level)พัฒนาการจริยธรรม ระดับน้ี ผู้ทาถือว่าการประพฤติตนตามความคาดหวังของผู้ปกครองบิดามารดา กลุ่มท่ีตนเป็นสมาชิก หรือของชาติ เป็นส่ิงที่ควรจะทาหรือทาความผิด เพราะกลัวว่าตนจะไม่เป็นท่ียอมรับของผู้อ่ืน ผู้ แสดงพฤติกรรมจะไม่คานึงถึงผลตามท่ีจะเกิดข้ึนแก่ตนเอง ถือว่าความซ่ือสัตย์ ความจงรักภักดีเป็นสิ่ง สาคัญ ทุกคนมีหน้าที่จะรักษามาตรฐานทางจริยธรรม โดยบุคคลจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมท่ี ตนเองอยู่ ตามความคาดหวังของครอบครัวและสังคม โดยไม่คานึงถึงผลท่ีจะเกิดข้ึนขณะน้ันหรือ ภายหลังก็ตามจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมโดยคานึงถึงจิตใจของผู้อื่น จะพบในวัยรุ่นอายุ10 -16 ปี โคลเบริ ก์ แบง่ พฒั นาการทางจรยิ ธรรม ระดบั น้ีเปน็ 2 ข้ัน คือ ขั้นที่ 3 ความคาดหวังและการยอมรับในสังคม สาหรับ “เด็กดี”(Interpersonal on or dance of “Good boy , nice girl” Orientation) บุคคลจะใช้หลักทาตามที่ผู้อ่ืนเห็นชอบ ใช้ เหตุผลเลือกทาในสิ่งท่ีกลุ่มยอมรับโดยเฉพาะเพื่อน เพ่ือเป็นที่ช่ืนชอบและยอมรับของเพื่อน ไม่เป็นตัว

ของตัวเอง คล้อยตามการชักจูงของผู้อ่ืน เพื่อต้องการรักษาสัมพันธภาพท่ีดี พบในวัยรุ่นอายุ10-15 ปี ขั้นน้ีแสดงพฤติกรรม เพอ่ื ต้องการเป็นทีย่ อมรบั ของหมูค่ ณะ การช่วยเหลือผู้อื่นเพ่ือทาให้เขาพอใจ และยกย่องชมเชย ทาให้บุคคล ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ชอบคล้อยตามการชักจูงของผู้อ่ืน โดยเฉพาะกลุ่มเพ่ือนพัฒนาการทางจริยธรรมข้ันนี้เป็นพฤติกรรมของ “คนดี” ตามมาตรฐานหรือความ คาดหวังของบิดา มารดาหรือเพ่ือนวัยเดียวกัน พฤติกรรม “ดี” หมายถึง พฤติกรรมท่ีจะทาให้ผู้อื่นชอบ และยอมรบั หรือไม่ประพฤติผดิ เพราะเกรงว่าพ่อแม่จะเสยี ใจ ข้ันท่ี 4 กฎและระเบียบ (“Law-and-order” Orientation) จะใช้หลักทาตามหน้าท่ี ของสังคม โดยปฏิบัติตามระเบียบของสังคมอย่างเคร่งครัด เรียนรู้การเป็นหน่วยหน่ึงของสังคม ปฏิบัติ ตามหน้าที่ของสังคมเพ่ือดารงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ในสังคม พบในอายุ13-16 ปี ขั้นนี้แสดงพฤติกรรมเพ่ือทา ตามหนา้ ท่ี ของสังคม โดยบุคคลรู้ถึงบทบาทและหนา้ ที่ของเขาในฐานะเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมนั้น จงึ มีหนา้ ทท่ี าตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่สังคมกาหนดให้ หรือคาดหมายไว้ เหตุผลทางจริยธรรมในขั้นน้ี ถือ วา่ สงั คมจะอย่ดู ้วย ความมีระเบียบเรียบร้อยต้องมีกฎหมายและข้อบังคับ คนดีหรือคนที่มีพฤติกรรม ถูกต้องคือ คนท่ปี ฏิบตั ิ ตามระเบียบบังคับหรือกฎหมาย ทุกคนควรเคารพกฎหมาย เพื่อรักษาความ สงบเรียบรอ้ ยและความเปน็ ระเบียบของสงั คม ระดับท่ี 3 ระดับจริยธรรมตามหลักการด้วยวิจารณญาณ หรือระดับเหนือกฎเกณฑ์สังคม (Post-Conventional Level) พัฒนาการทางจรยิ ธรรมระดับน้ี เปน็ หลักจริยธรรมของผู้มีอายุ20 ปี ขึ้น ไป ผู้แสดงพฤติกรรมได้พยายามที่จะตีความหมายของหลักการและมาตรฐานทางจริยธรรมด้วย วจิ ารณญาณ ก่อนท่ี จะยึดถือเปน็ หลกั ของความประพฤติที่จะปฏบิ ัติตาม การตัดสินใจ “ถูก” “ผิด” “ไม่ควร” มาจากวิจารณญาณของตนเอง ปราศจากอิทธิพลของผู้มีอานาจหรือกลุ่มท่ีตนเป็นสมาชิก กฎเกณฑ์-กฎหมายควรจะต้ังบนหลักความยุติธรรม และเป็นที่ยอมรับของสมาชิกของสังคมที่ตนเป็น สมาชกิ ทาให้บุคคลตัดสินข้อขัดแย้งของตนเองโดยใช้ความคิดไตร่ตรองอาศัยค่านิยมท่ีตนเช่ือและยึดถือ เป็นเคร่ืองช่วยในการตัดสินใจ จะปฏิบัติตามส่ิงที่สาคัญมากกว่าโดยมีกฎเกณฑ์ของตนเอง ซ่ึงพัฒนามา จากกฎเกณฑ์ของสงั คม เปน็ จรยิ ธรรมทเี่ ป็นท่ยี อมรบั ทัว่ ไป โคลเบิรก์ แบง่ พัฒนาการทางจริยธรรม ระดับ นีเ้ ปน็ 2 ขั้น คือ ขั้นท่ี 5 สญั ญาสังคมหรอื หลักการทาตามคามัน่ สญั ญา (SocialContract Orientation) บคุ คลจะมีเหตุผลในการเลอื กกระทาโดยคานึงถึงประโยชน์ของคนหมูม่ าก ไม่ละเมดิ สทิ ธิ ของผู้อืน่ สามารถควบคมุ ตนเองได้ เคารพการตัดสินใจทจ่ี ะกระทาด้วยตนเอง ไม่ถูกควบคมุ จากบุคคล อืน่ มีพฤตกิ รรมที่ถูกตอ้ งตามค่านยิ มของตนและมาตรฐานของสังคม ถือว่ากฎเกณฑ์ตา่ ง ๆ เปลย่ี นแปลง ได้ โดยพิจารณาประโยชน์ของ ส่วนรวมเปน็ หลัก พบไดใ้ นวยั รุ่นตอนปลายและวัยผู้ใหญ่ ข้ันนี้แสดงพฤติกรรมเพื่อทาตามมาตรฐานของ สังคม เหน็ แก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน โดยบุคคลเห็นความสาคัญของคนหมู่มากจึง ไม่ทาตนให้ขัดต่อสิทธิอันพึงมีได้ของผู้อื่น สามารถควบคุมบังคับใจตนเองได้ พฤติกรรมท่ีถูกต้องจะต้อง เปน็ ไปตามคา่ นิยมส่วนตัว ผสมผสานกับมาตรฐานซ่ึงไดร้ บั การตรวจสอบและยอมรบั จากสังคม ขั้นนี้เน้น ถึงความสาคัญ ของมาตรฐานทางจริยธรรมที่ทุกคนหรือคนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับว่าเป็นส่ิงท่ี ถูกสมควรที่จะปฏิบัติตาม โดยพิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของบุคคลก่อนท่ีจะใช้เป็นมาตรฐาน ทางจริยธรรม ได้ใช้ความคิดและเหตุผลเปรียบเทียบว่าส่ิงไหนผิดและสิ่งไหนถูก ในขั้นน้ีการ“ถูก” และ “ผิด” ข้นึ อยูก่ ับคา่ นยิ มและความคดิ เหน็ ของบคุ คลแตล่ ะบุคคล แม้วา่ จะเห็นความสาคัญของสัญญาหรือ ข้อตกลงระหว่างบคุ คล แต่เปดิ ให้มีการแกไ้ ข โดยคานงึ ถงึ ประโยชนแ์ ละสถานการณ์แวดลอ้ มในขณะนนั้

ขัน้ ที่ 6 หลักการคุณธรรมสากล (Universal Ethical PrincipleOrientation) เป็นข้ัน ทเี่ ลอื กตดั สนิ ใจทจี่ ะกระทาโดยยอมรับความคิดท่ีเป็นสากลของผู้เจริญแล้ว ขั้นนี้แสดงพฤติกรรมเพื่อทา ตามหลกั การคุณธรรมสากล โดยคานงึ ความถูกตอ้ งยุติธรรมยอมรับในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ มีอุดม คติและคุณธรรมประจาใจ มีความยืดหยุ่นและยึดหลักจริยธรรมของตนอย่างมีสติ ด้วยความยุติธรรม และคานึงถึงสิทธิมนุษยชน เคารพในความเป็นมนุษย์ของแต่ละบุคคล ละอายและเกรงกลัวต่อบาป พบ ในวัยผู้ใหญ่ที่มีความเจริญ ทางสติป๎ญญา ข้ันนี้เป็นหลักการมาตรฐานจริยธรรมสากล เป็น หลักการเพ่ือมนุษยธรรม เพ่ือความเสมอภาค ในสิทธิมนุษยชนและเพื่อความยุติธรรมของมนุษย์ทุก คน ในข้ันน้ีสิ่งที่ “ถูก” และ “ผิด” เป็นสิ่งท่ีขึ้นมโนธรรมของแต่ละบุคคลที่เลือกยึดถือท้ังโคลเบิร์ก และเพยี เจต์ ถอื ความสัมพันธ์ของความคิดต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ในแต่ละขั้นเป็นโครงสร้างและการ ก้าวจากขั้นหน่ึงไปสู่อีกขั้นหน่ึง เป็นการเปล่ียนแปลงโครงสร้างทางความคิดและเป็นผลของการคิด ไตร่ตรองซ่ึงเป็นกิจกรรมทางป๎ญญา ทฤษฏีของท้ังโคลเบิร์กและเพียเจต์ จึงเป็นท่ีเรียกกันในชื่อทฤษฏี พัฒนาการทางโครงสร้าง(Structural Development Theory) และในชื่อทฤษฏีพัฒนาการทางป๎ญญา (CognitiveDevelopment Theory) ชัยพร วิชชาวธุ และ ธรี ะพรอุวรรณโณ๕๐ ทฤษฏกี ารปลูกฝ๎งจริยธรรมดว้ ยเหตผุ ล (moral reasoning) ของโคลเบริ ์ก (Kohlberg) ใช้กิจกิจกรรมที่สาคัญในการพฒั นาจรยิ ธรรมคือ การอภิปราย และแลกเปล่ียนทศั นะความคิดเห็น โดยมขี ้ันตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ผูด้ าเนนิ การเสนอประเด็นป๎ญหาหรือเร่ืองราวทีม่ ีความยากแก่การ ตัดสินใจ ข้นั ตอนที่ 2 แยกผอู้ ภิปรายออกเป็นกลมุ่ ย่อยตามความคดิ เหน็ ท่แี ตกตา่ งกนั ขนั้ ตอนที่ 3 ให้กลุ่มย่อยอภปิ รายเหตผุ ล พรอ้ มหาขอ้ สรุปว่า เหตผุ ลท่ีถกู –ผดิ หรือ ควรทา ไม่ควรทา เพราะเหตุอะไร ขน้ั ตอนที่ 4 สรุปเหตุผลของฝุายทีค่ ดิ วา่ ควรทาและไม่ควรทา ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ๕๑ ได้สรุปทฤษฎีพัฒนาจริยธรรมไว้ 3 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีจิต วิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ทฤษฎี ทางสติป๎ญญา (Cognitive Theory) ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดังน้ี ทฤษฎจี ติ วเิ คราะห์ (Psychoanalytic Theory) องค์ประกอบทสี่ าคญั ในทฤษฎีจิตวิเคราะหข์ องฟรอยด์ (Freud) คือ อิด (id) อีโก้ (ego) และซุปเปอร์อีโก้ (superego) id เป็นแหล่งพลังงานทางจิต เบือ้ งตน้ และเป็นทต่ี ้ังแหง่ สญั ชาตญาณ เปน็ ความต้องการแสวงหาเพื่อตนเอง ต่อมาก็มี ego (อีโก้)เป็นผู้ ควบคุมพฤติกรรม id (อิด) ego อาศัยหลักแห่งความจริง คือ สิ่งท่ีปรากฏอยู่อย่างแท้จริงจากน้ันจะมี การเรียนรู้พัฒนาขึ้นมา การเรียนรู้ทาให้ฉลาด สามารถเป็นนอกเหนือความอยากอันเกิดแต่ id การ เรียนรู้อาศัยการรับรู้ ความจา ความคิด และส่งเสริมให้ ego เข้มแข็ง ซุปเปอร์อีโก้เป็นลักษณะท่ีสาม เปน็ หลกั แหง่ อุดมคติ และศีลธรรมจรรยา ซุปเปอร์อโี ก้แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื 1. Ego-ideal คอื อดุ มคติ เป็นแนวคิดของผ้ใู หญ่ สงั คมทีส่ อนไวว้ า่ อะไรเปน็ สง่ิ ทค่ี วร อะไรเป็นสิ่งไมค่ วร และเม่ือประพฤตติ ามแล้ว จะเป็นที่นยิ มชมชอบของผูใ้ หญ่ในสงั คม ๕๐ ชัยพร วชิ ชาวุธ และ ธรี ะพรอวุ รรณโณ (2534, หนา้ 96 ๕๑ ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ (2543, หนา้ 170-176)

2. Conscience คอื มโนธรรม ไดแ้ ก่ ความรู้สึกว่า อะไรดีควรทา อะไรช่ัว ควรละเว้น ในข้ันนี้เด็กจะพัฒนาจากการท่เี ด็กเคยกระทาผิดอยูใ่ นใจ เช่นผ้ใู หญ่สอนให้เกลยี ดชัง ความสกปรกถ้าเรา ไปนยิ ม กจ็ ะไดร้ ับโทษ เราจงึ เว้นเสยี บคุ คลในระดับนจ้ี ะเครง่ ต่อหลักศีลธรรมเป็นอันมากเป็นส่วน สาคัญทปี่ อู งกนั การกระทาความผิดทฤษฎกี ารเรยี นรู้ทางสงั คม (Social Learning Theory) ทฤษฎีน้ีมีความเชื่อว่า กฎเกณฑ์ของสังคมและวัฒนธรรมเป็นป๎จจัยสาคัญให้เกิดการ พัฒนาจริยธรรม ทฤษฎีน้ีพยายามอธิบายกระบวนการเรียนรู้ โดยหลักการเสริมแรงและหลักการ เชอื่ มโยงวามสัมพันธ์จากปรากฏการณข์ องสังคม ทฤษฎที างสตปิ ญ๎ ญา (Cognitive Theory) ทฤษฎีนีเ้ ชื่อเรื่องกิจกรรมทางสมองของแตล่ ะบคุ คลมคี วามสาคญั กว่าพฤติกรรมอันเกิดจาก อิทธพิ ลของสังคมภายนอก กิจกรรมทางสมองเปน็ กระบวนการทางสติป๎ญญาซึง่ รวมท้ังการรบั รู้ ความจา และการพจิ ารณาตัดสนิ ทฤษฎที างสติป๎ญญามีทฤษฎีพัฒนาการทางจรยิ ธรรมของ เพียเจต์ และทฤษฎี พฒั นาการทางจริยธรรมของโคลเบริ ก์ Thomas๕๒ ได้กล่าวถึง จริยธรรมว่า เป็นส่ิงที่ไม่ได้ติดมาแต่กาเนิด แต่จริยธรรมเกิดจาก สิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นสาคัญ ทั้งจากครอบครัว เพื่อน โรงเรียน สื่อ ล้วนมีอิทธิพลในการพัฒนา จรยิ ธรรมโดยองค์ประกอบท่ีมีปฏสิ มั พนั ธข์ องเด็กกับสิ่งแวดลอ้ มมี 4 อย่าง คือ 1. ความถ่ีของประสบการณเ์ ดก็ จากสง่ิ แวดล้อม 2. ชีวิตเดก็ ในจุดใดทสี่ ่ิงแวดล้อมให้ประสบการณ์ 3. ตน้ แบบของคนในสงั คมท่ีอาศัยอยู่ 4. ผลพวงของการแสดงออกทางจริยธรรมในสงั คมน้ัน 1.8 ความสาคญั ของคณุ ธรรมจรยิ ธรรม คุณธรรมจริยธรรมนับว่าเป็นพื้นฐานท่ีสาคัญของคนทุกคนและทุกวิชาชีพ หากบุคคลใดหรือ วิชาชพี ใดไม่มีคณุ ธรรมจรยิ ธรรมเป็นหลักยึดเบ้อื งต้นแลว้ ก็ยากที่จะก้าวไปสู่ความสาเร็จแห่งตนและแห่ง วิชาชีพน้ันๆ ที่ย่ิงกว่าน้ันก็คือการขาดคุณธรรมจริยธรรมทั้งในส่วนบุคคลและในวิชาชีพ อาจมี ผลร้ายต่อตนเอง สังคม และวงการวิชาชีพในอนาคตได้อีกด้วย ดังจะพบเห็นได้จากการเกิดวิกฤติ ศรัทธาในวิชาชพี หลายแขนง ในป๎จจุบัน ท้ังวงการวิชาชีพครู แพทย์ ตารวจ ทหาร นักการเมือง การปกครอง ฯลฯ จึงมีคากล่าวว่าเราไม่สามารถสร้างครูดีบนพ้ืนฐานของคนไม่ดี และไม่สามารถสร้าง แพทย์ ตารวจ ทหารและนักการเมืองท่ีดี ถ้าบุคคลเหล่าน้ันมีพื้นฐานทางนิสัยและความประพฤติ ที่ไม่ดี ดังพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ในพระราชพิธี บวงสรวงสมเด็จพระมหากษัตรยิ าธริ าช ณ ทอ้ งสนามหลวง เมอ่ื วันจนั ทร์ท่ี 5 เมษายน พ. ศ.2525 ไว้ ดงั นี้ “.....การจะทางานให้สัมฤทธ์ิผลที่พึงปรารถนา คือให้เป็นประโยชน์และเป็นธรรมด้วยน้ัน จะ อาศัยความรู้แตเ่ พียงอยา่ งเดยี วมิได้ จาเป็นต้องอาศัยความสุจริต ความบริสุทธ์ิใจ และความถูกต้องเป็น ธรรม ประกอบด้วย เพราะเหตุว่าความรู้น้ัน เสมือนเครื่องยนต์ที่ทาให้ยวดยานเคลื่อนที่ไปได้ประการ ๕๒ Thomas (อ้างใน ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543, หน้า 169- 170)

เดียว สว่ นคุณธรรมดังกลา่ วแลว้ เปน็ เสมือนหนง่ึ พวงมาลัยหรือหางเสือ ซึ่งเป็นป๎จจัยท่ีนาทางให้ ยวดยานดาเนนิ ไปถกู ทางด้วยความสวัสดี คอื ปลอดภัย บรรลุจดุ ประสงค.์ .” จริยธรรมจึงเป็นส่ิงสาคัญในสังคม ท่ีจะนาความสุขสงบและความและความเจริญก้าวหน้ามาสู่ สังคมน้ันๆ เพราะเมื่อคนในสังคมมีจริยธรรม จิตใจก็ย่อมสูงส่ง มีความสะอาด และสว่างในจิตใจ จะทา การงานใด ก็ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ไมก่อให้เกิดทุกข์แก่ตนเองและผู้อื่น เป็นบุคคลมีคุณค่ามี ประโยชน์ และสร้างสรรค์คณุ งามความดี อนั เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมอื งตอ่ ไป วศิน อินทสระ๕๓ ไดก้ ล่าวถึงความสาคัญและประโยชน์ของจริยธรรมดงั จะกลา่ วโดยย่อดงั น้ี 1. จริยธรรมเป็นรากฐานอันสาคัญแห่งความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคงและความสงบสุขของ ปจ๎ เจกชน สงั คมและประเทศชาติอย่างยิ่ง รัฐควรส่งเสริมประชาชนให้มีจริยธรรมเป็นอันดับแรก เพื่อให้ เป็นแกนกลาง ของการพัฒนาด้านอ่นื ๆ ทัง้ เศรษฐกจิ การศึกษา การเมืองการปกครอง ฯลฯ การพัฒนา ท่ีขาดจริยธรรม เป็นหลักยึดย่อมเกิดผลร้ายมากกว่าดี เพราะผู้มีความรู้แต่ขาดคุณธรรม ย่อม ก่อให้เกิดความเส่ือมเสียได้มากกว่าผู้ด้อยความรู้ โดยท่านกล่าวว่า “ ผู้มีความรู้แต่ไม่รู้วิธีท่ีจะประพฤติ ตน ย่อมก่อให้เกิดความเส่ือมเสียได้มากกว่าผู้มีความรู้น้อย ถ้าเปรียบความรู้เหมือนดิน จริยธรรมย่อม เป็นเหมือนน้า ดินที่ไม่มีน้ายึดเหน่ียวเกาะกุมย่อมเป็นฝุนละอองให้ความราคาญมากกว่าให้ประโยชน์ คนที่มคี วามรแู้ ต่ไม่มจี รยิ ธรรมจงึ มักเปน็ คนที่ก่อ ความราคาญหรือเดือดร้อนให้แกผ่ ู้อ่นื อยูเ่ นืองๆ” 2. การพัฒนาบ้านเมือง ต้องพัฒนาจิตใจคนก่อน หรืออย่างน้อยก็ให้พร้อมๆไปกับการพัฒนา เศรษฐกิจ สงั คม การศกึ ษาวิชาการอืน่ ๆ เพราะการพฒั นาทไี่ มม่ ีจรยิ ธรรมเปน็ แกนนาน้นั จะสูญเปล่าและ เกิดผลเสีย เป็นอันมากทาให้บุคคลลุ่มหลงในวัตถุและอบายมุข การที่เศรษฐกิจต้องเส่ือมโทรม ประชาชนทุกข์ยาก เพราะคนในสังคมละเลยจริยธรรม กอบโกยทรัพย์สินเป็นประโยชน์ส่วนตัวมาก เกนิ ไปขาดความเมตตาปราณี แล้งน้าใจในการดาเนินชีวิตซ่งึ กนั และกัน 3. จริยธรรม มิได้หมายถึง การถือศีล กินเพล เข้าวัดฟ๎งธรรม จาศีลภาวนา โดยไม่ช่วยเหลือ ทาประโยชน์ให้แก่สังคม แต่จริยธรรมหมายถึงความประพฤติ การกระทาและความคิดที่ถูกต้อง เหมาะสมการทาหน้าท่ีของตนอย่างถูกต้องสมบูรณ์ เว้นส่ิงควรเว้น ทาส่ิงควรทา ด้วยความฉลาด รอบคอบ รู้เหตุรู้ผลถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล ดังนั้นจะเห็นว่าจริยธรรมจึงจาเป็นและมีคุณค่า สาหรับทกุ คนในทุกวิชาชีพทุกสังคม สงั คมจะอยู่รอดดว้ ยจรยิ ธรรม 4.การทจุ ริต คดโกง การเบียดเบยี นกันในรูปแบบต่างๆอันเป็นเหตุให้สังคมเส่ือมโทรม มีสาเหตุ มาจากการขาดจรยิ ธรรมของคนในสังคม ทรพั ยากรธรรมชาติในโลกน้นี า่ จะพอเลย้ี งชาวโลกไปได้อีกนาน ถ้าชาวโลกช่วยกันละท้ิงความละโมบโลภมาก แล้วมามีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ช่วยกันสร้างสรรค์สังคม ยึดเอาจริยธรรมเป็นทางดาเนินชีวิต ไม่ใช่ยึดเอาลาภยศความมีหน้ามีตาในสังคมเป็นจุดหมาย ถ้าสิ่งน้ัน จะเกิดข้ึนก็ถือเป็นเพียงผลพลอยได้และนามาใช้เป็นเครื่องมือในการประพฤติธรรม เช่น อาศัยลาภผล เปน็ เครือ่ งมอื ในการบาเพ็ญสาธารณประโยชน์อาศัยยศและความมีหน้ามีเกียรติในสังคมเป็นเครื่องมือใน การจูงใจคนผู้เคารพนบั ถือ เข้าหาธรรม 5. จริยธรรมสอนให้เราเลิกดูหม่ินกดข่ีคนจน ให้เอาใจใส่ดูแลเอื้ออาทรต่อผู้สูงอายุ ซ่ึงเป็น บุพการี ของชาติ สอนให้เราถ่อมตัวเพ่ือเข้าหากันได้ดีกับคนทั้งหลาย และไม่วางโตโอหังอวดดีหรือ กา้ วรา้ วผู้อื่น สอนให้เราลดทิฏฐิมานะลงให้มากๆเพื่อจะได้มองเห็นส่ิงต่างๆตามความจริง ไม่หลงสาคัญ ตัวว่ารู้ดีกว่า มีความสามารถกว่าใคร ผู้นาท่ีมีจริยธรรมสูงย่อมเป็นที่เคารพกราบไหว้ของทั้งหลายได้ อย่างสนิทใจ เราควรเลอื กผูน้ าทีส่ ามารถนาความสงบสุขทางใจมาสู่มวลชนได้ด้วย เพ่ือสันติสุขจะเกิดขึ้น ๕๓ วศนิ อินทสระ (2541 : 6-9)

ทั้งภายในและภายนอก ความแข็งแกร่ง ทางกาลังกายกาลังทรัพย์และอาวุธน้ัน ถ้าปราศจากความ แขง็ แกร่งทางจริยธรรมเสียแล้ว บุคคล หรือประเทศชาติจะมั่นคงอยู่ได้ไม่นาน สังคมท่ีเจริญ มั่นคงต้องมีจริยธรรมเป็นเคร่ืองรับรอบหรือเป็นแกนกลาง เหมือนถนนที่ม่ันคงหรือตึกที่แข็งแรง เขาใช้ คอนกรตี เสริมเหลก็ แมเ้ หล็กจะไมป่ รากฏออกมาให้เหน็ ภายนอก แต่มีความสาคัญอยภู่ ายในนายช่างย่อม รู้ดี ทานองเดยี วกันกับบณั ฑิตยอ่ มมองเห็นอยา่ งแจ่มแจง้ ว่าจรยิ ธรรมมีความสาคญั ในสังคมเพียงใด จากข้อความท่ีกล่าวมาท้ังหมดน้ี พอสรุปได้ว่าคุณธรรมจริยธรรมเป็นรากฐานสาคัญในการ พฒั นาคน ปญ๎ หาของสังคมไทยท่ปี ระสบพบเหน็ อยู่ทุกวันน้ีเกิดจาก “คน” ป๎ญหาเร่ิมต้นท่ี “คน” และมี ผลกระทบ ถึง “คน “ การแก้ป๎ญหาสังคมไทยจึงต้องแก้ด้วย “การพัฒนาคน” เพื่อให้คนมีป๎ญญา มคี วามรมู้ ีคุณธรรม และมีทักษะในการแก้ป๎ญหาชีวิต ป๎ญหาจึงอยู่ที่ว่าเราจะพัฒนาคนอย่างไรเพื่อให้ คนมชี ีวติ ท่ีดีงามสามารถ ใช้ความรู้และแก้ป๎ญหาได้ สร้างสรรค์ได้ ปฏิบัติต่อเทคโนโลยีอย่างถูกต้อง อยู่ในระบบการแข่งขันทางเศรษฐกิจได้ บริโภคผลผลิตด้วยป๎ญญา รู้อะไรดี อะไรช่ัว มีทัศนคติทาง จริยธรรมที่เหมาะสม ฯลฯ ทั้งหมดนี้ เป็นคุณสมบัติของคนท่ีมีคุณธรรม การจัดการศึกษาคง ต้องยึดหลกั สาคญั คอื “ให้ความร้คู ู่คณุ ธรรม “ สงั คมไทยจงึ จะมสี มาชิกของสังคมท่ีเป็นท้ังคนเก่งและคน ดี ดงั คากลอนของอาไพ สุจริตกุล๕๔ กลา่ วไวด้ ังน้ี เมอ่ื ความรู้ยอดเยีย่ มสงู เทยี มเมฆ แตค่ ณุ ธรรมต่าเฉกยอดหญา้ นั่น อาจเสกสรา้ งมิจฉาสารพนั ด้วยจิตอนั ไร้อายในโลกา แม้คุณธรรมเยีย่ มถงึ เทียมเมฆ แตค่ วามรูต้ า่ เฉกเพยี งยอดหญ้า ยอ่ มเป็นเหยื่อทรชนจนระอา ดว้ ยปญ๎ ญาอ่อนด้อยน่านอ้ ยใจ หากความรสู้ งู ล้าคุณธรรมเลิศ แสนประเสรฐิ กอปริกิจวนิ จิ ฉัย จะพัฒนาประชาราษฎร์ท้ังชาติไทย ต้องฝกึ ให้ความรู้คู่คณุ ธรรม คุณธรรมพนื้ ฐานของผนู้ า “....ในฐานท่ีเป็นครอู าจารย์ หวั หน้างาน จาเปน็ ตอ้ งมีความสุจริต ยตุ ิธรรม ทาตัวให้เปน็ ตัวอย่าง เปน็ ทพ่ี ึ่ง ของผู้อยใู่ ต้บงั คับบญั ชา ไมย่ อมแพ้พ่ายต่อความโลภ ความลมื ตัว ความริษยา ความแตกร้าว ต้องมงุ่ มั่นในประโยชน์อนั รุ่งเรอื งไพศาล ของสว่ นรวมเปน็ เปูาหมาย จงึ จะได้ช่ือว่าประสบความสาเร็จ ๕๔ อาไพ สจุ ริตกลุ (2534 : 186)

และมีชอ่ื เสยี งเกียรติคุณทุกประการ ดังทปี่ รารถนา.........” พระบรมราโชวาท พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั ภมู ิพลอดุลยเดชมหาราช คุณธรรมพน้ื ฐานของผนู้ า “... ในฐานะท่เี ปน็ ครูอาจารย์ หวั หน้างาน จาเปน็ ตอ้ งมีความสจุ รติ ยตุ ธิ รรม ทาตวั ใหเ้ ปน็ ตัวอยา่ ง เปน็ ท่ีพึ่ง ของผู้อยู่ใต้บังคบั บญั ชา ไมย่ อมพ่ายแพ้ต่อความโลภ ความลืมตัว ความรษิ ยา ความแตกร้าว ตอ้ งมุ่งม่นั ในประโยชนอ์ ันร่งุ เรอื งไพศาล ของส่วนรวมเปน็ เปูาหมาย จงึ จะได้ชื่อว่าประสบความสาเรจ็ และมชี ื่อเสยี งเกยี รตคิ ุณทุกประการ ดงั ทีป่ รารถนา……” พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช 1.10 แนวคดิ หลกั การ ทฤษฏที างคณุ ธรรมจรยิ ธรรม แนวคิด หลักการ ทฤษฏี รวมทัง้ หลักคาสอนทางศาสนาต่างๆ มีอยู่มากมาย ผู้บริหารควรศึกษา น้อมนามาพิจารณาเป็นแนวทางปฏิบัติตนและการดาเนินงาน หลักคาสอนที่จะนามาพอเป็นตัวอย่าง ต่อไปน้ี มีท้ังจากคาสอนทางศาสนา หลักปรัชญา แนวคิดของนักปราชญ์ทั้งในอดีตกาล และ แนวใหม่ ทง้ั ของ ทางตะวันตก และตะวนั ออก รวมทั้งของไทยดงั นี้ โสคราตีส (Socrates) กล่าวถึงคุณธรรมว่า คุณธรรมคือความรู้ (virtue is knowledge) การ แสวงหาความรูเ้ กีย่ วกับศีลธรรม จริยธรรม คือการแสวงหาคุณธรรม เพราะคุณธรรมคือความรู้ที่แท้จริง ถ้าบุคคลรู้ และเข้าใจถึงธรรมชาติของความดีจริงๆ แล้ว เขาจะไม่พลาดจากการประกอบความดีละ เวน้ ความช่วั คณุ ธรรมทท่ี าให้คนเป็นมนษุ ยม์ ี 5 ประการ คือ 1. ป๎ญญา หรอื ความรู้ (wisdom) หมายถงึ รู้วา่ อะไรดี อะไรไมด่ ี 2. การปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนา (duty) คือ การทาความดี การเคารพยกย่องสิ่งที่ควรเคารพ เช่น พระผู้เปน็ เจา้ พระธรรม การปฏบิ ัติตามคาสอนของศาสนา 3. ความกลา้ หาญ (courage) คือกล้าในสิ่งควรกลา้ และกลัวในสิ่งควรกลวั

4.การควบคุมตนเอง (self-control หรอื temperance) คอื การใช้ป๎ญญาควบคุมอารมณ์ ความรูส้ กึ 5.ยุตธิ รรม (justice) คือการปฏิบัติต่อผู้อ่ืน และต่อตนเองอย่างเหมาะสม ไม่เบียดเบียนตนเอง และผูอ้ ื่น เพลโต ( Plato) กล่าวว่า คุณธรรม คือ การปฏิบัติที่ดีตามหน้าทีของวิญญาณ และคุณธรรมไม่ สามารถเกิดข้ึนได้โดยบังเอิญ เพราะมนุษย์จะต้องรู้ว่าเขากาลังทาอะไร เพื่ออะไร และทาอย่างไร คุณธรรมจึงเกิดข้ึนจากความรู้ ไม่ใช่ความรู้ทฤษฏี แต่เป็นความรู้ที่มาจากการปฏิบัติจริง คุณธรรมตาม แนวคิดของเพลโต มี 4 ประการ คอื 1. ป๎ญญาหรือความรู้ (wisdom) คือการหย่ังรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควรประพฤติหรอื ไม่ควรประพฤติ 2. ประมาณ (temperance) คือ การรู้จักควบคุมตัวเองให้อยู่ในขอบเขตของ จดุ ม่งุ หมายชวี ติ มคี วามรบั ผดิ ชอบ ร้จู ักบทบาทหน้าทขี่ องตนเอง 3. กล้าหาญ (courage) คือ กล้าเสี่ยงต่อความยากลาบาก อันตราย เพ่ืออุดมการณ์ ของตนเอง หรือด้วยความมั่นใจวา่ ไดก้ ระทาดที ่ีสดุ แลว้ 4. ยุติธรรม (justice) คือการให้แก่ทุกคนอย่างเหมาะสม เช่น การให้แก่ตนเอง ครอบครวั มิตรสหาย ผบู้ งั คบั บัญชา ผูใ้ ต้บังคบั บัญชา อย่างมเี หตผุ ลอันควร อริสโตเติล (Aristotle) ได้นาคุณธรรมของเพลโต ( Plato) มาอธิบายว่าคุณธรรม ได้แก่ การ เดินสายกลางระหว่างความไม่พอดีกับความพอดี หรือคุณธรรมคือความพอดีพองาม ไม่เอียงสุดไป ทางด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ความกล้าหาญจะอยู่ระหว่างความบ้าบิ่นกับความขลาด ความสุภาพอยู่ ระหว่างความข้ีอายกับความไร้ยางอาย และความเอ้ือเฟ้ืออยู่ระหว่างความฟุมเฟือยกับความตระหนี่ คุณธรรมจงึ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคอื 1. คุณธรรมทางสติป๎ญญา เป็นเร่ืองของความรู้ทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ เป็นส่วนหน่ึง ของวิญญาณท่มี เี หตผุ ล และหน้าที่ของวิญญาณคอื การรแู้ ละค้นหาความจรงิ นัน่ เอง 2. คณุ ธรรมทางศีลธรรม เป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณ อยู่ในรูปคาสอน ละมุ่งเพื่อความดีงาม คน มีคุณธรรมก็คือคนท่ีมีความพอดี ทาด้วยเจตนาดี มีเหตุผล เห็นแก่ส่วนรวม อริสโตเติล เสนอคุณธรรม พิเศษไว้ 4 ประการ คอื มิตรภาพ ประมาณ กลา้ หาญ และยุติธรรม ขงจื้อ ท่านเห็นว่าชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา และการเมือง เป็นหน่ึงอันเดียวกันแยกกัน ไม่ออก อุดมคติทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา และการเมือง มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จริยศาสตร์หรือศีลธรรม ทา่ นถอื ว่า “โลหิตแหง่ ชีวิต คอื ความรัก กระดูกสันหลงั แห่งชาติ คือ คุณธรรม” ถ้าปราศจากคุณธรรมชีวิตก็ไม่อาจดารงอยู่ได้ และถ้าปราศจากความรัก ชีวิต ก็คือความตาย การพฒั นาชีวติ จึงขึ้นอยู่กับการพฒั นาคณุ ธรรม ชีวติ จะรงุ่ เรืองเมอ่ื คณุ ธรรมร่งุ เรือง ชวี ิตจะแพร่ขยายเมื่อ ความรักแพร่ขยายหวั ใจอนั เป็นหลักรัฐศาสตร์ของผปู้ กครอง มี 5 ประการ คอื 1. เหยิน คอื ความเมตตา กรุณา 2. ยิ คอื ความถกู ธรรม 3. ลี คือ ความเหมาะสม 4. ซิ คอื ปญ๎ ญา 5. ซนุ คือ ความเป็นผทู้ ไี่ วว้ างใจได้

นอกจากน้ีขงจ้ือสอนให้คนประพฤติตามแบบของ “ลี” ซึ่งถือเป็นความสาคัญสูงสุดในการจัด ระเบียบและกฎเกณฑเ์ ก่ียวกบั ความสัมพันธ์ระหวา่ งมนุษย์ 5 ประการคอื 1. ระหว่างผปู้ กครองกับประชาชน 2. ระหว่างบิดากบั บตุ ร 3. ระหวา่ งสามกี ับภรรยา 4. ระหว่างเพื่อนกับเพ่ือน 5. ระหวา่ งผูใ้ หญ่กับผูน้ อ้ ย ลี หมายถึง ความประพฤติท่ีเหมาะสม ความสุภาพอ่อนน้อม ความเป็นระเบียบของสังคมที่ทุก อย่างสมบรู ณ์ เปน็ กฎเกณฑ์ของสงั คมทจ่ี ะชว่ ยให้ทุกสงั คมสงบสขุ เกิดสนั ตสิ ขุ ศาสนาชนิ โต กลา่ วถงึ การปฏิบัตเิ พือ่ ความดีอันสูงสดุ 4 ประการ คือ 1. มีความคดิ แจม่ ใส ( อากากิ โคโกโระ) 2. มีความคดิ บริสทุ ธส์ิ ะอาด ( คโิ ยกิ โคโกโระ ) 3. มคี วามคิดถูกต้อง ( ทาคาชิกิ โคโกโระ ) 4. มคี วามคิดเท่ยี งตรง ( นาโอกิ โคโกโระ ) นอกจากน้ี ยังมขี ้อหา้ มและข้อแนะนาใหป้ ฏิบัตอิ ีก 13 ประการ คือ 1. อยา่ ละเมดิ บญั ญัตขิ องพระเจา้ 2. อย่าลมื ความผกู พันอันดีต่อบรรพบุรุษ 3. อย่าลว่ งละเมิดบัญญัติของรัฐ 4. อย่าลมื ความกรุณาอนั ลึกซึ้งของพระเจา้ ที่คอยปด๎ ปูองอันตราย 5. อย่าลมื วา่ โลกเปน็ ครอบครัวเดยี วกัน 6. ถ้าใครโกรธอยา่ โกรธตอบ 7. อยา่ เกยี จครา้ นในกิจการท้ังปวง 8. อย่าเปน็ คนตเิ ตียนคาสอน 9. จงทาจิตใจให้ยุตธิ รรมเพ่ือปกครองตนเอง 10. จงกรณุ าต่อคนทง้ั หลายยิ่งกวา่ กรุณาตนเอง 11. จงคิดใหเ้ กดิ ความสขุ ใจ และหาความร้ใู ห้แกช่ นท้ังหลาย 12. จงปฏบิ ัติตอ่ บดิ ามารดาด้วยความเคารพ 13. จงปฏิบัตติ นเปน็ พน่ี ้องของคนทัง้ หลาย ศาสนาเชน กล่าวว่าจริยธรรมท่ีสาคัญคือปฏิญญา หรือข้อปฏิบัติพ้ืนฐาน มี 5 ประการ ที่สอน ใหง้ ดเวน้ สิ่งท่ไี มด่ ีไมง่ าม ตอ่ ไปนี้ 1. อหิงสา คือ ความไม่เบยี ดเบยี น ไม่ทาลายชีวติ 2. สัตยะ คือ ความสัตย์ไม่พูดเท็จ 3. อสั ตียะ คือ การไม่ลักขโมย 4. พรหมจริยะ คอื การประพฤติพรหมจรรย์ 5. อปรคิ รหะ คือ การไมล่ ะโมบ ไม่อยากได้สง่ิ ตา่ ง ๆ และหลักเมตตากรุณา 4 คอื หลกั ธรรมทป่ี ฏบิ ตั ิต่อผู้อื่นมี 4 ประการ 1. มีความกรณุ าโดยไม่หวังผลตอบแทน 2. ยินดีในความไดด้ ีของผู้อื่น

3. มคี วามเหน็ ใจในความทุกข์ยากของผู้อนื่ 4. มีความกรุณาต่อผู้ทาผิด หลักฆราวาสธรรม หรือ ธรรมสาหรับคฤหัสถ์มี 12 ประการ 1-5 คอื ปฏญิ ญา 5 ประการ ดงั กล่าวขา้ งต้นแล้ว 6. ไมเ่ บียดเบยี นส่งิ ทม่ี วี ิญญาณท้งั หลาย 7. ไม่ออกไปพ้นเขตของตนในทิศใดทิศหน่งึ 8. มคี วามพอดีในการกินการใช้ 9. ประพฤติตนเสมอต้นเสมอปลาย 10. บาเพ็ญทุกเทศกาล 11. จาอโุ บสถและฟง๎ ธรรม 12. ตอ้ นรับเลย้ี งดูแขกผู้มาเยอื น ศาสนาเต๋า เป็นศาสนาท่ียิ่งใหญ่ศาสนาหนึ่ง มีศาสดาช่ือว่าเล่าจือ มีคัมภีร์ช่ือ “เต๋า เต็ก เก็ง” เป็นคัมภีร์ของศาสนานี้ คาว่า “เต๋า” มีความหมายหลายอย่าง แต่ที่ยอมรับกันมากคือ ความหมายท่ี หมายถึงธรรมชาติ หรือธรรมชาติผู้สร้างท่ียิ่งใหญ่ (Great Creating Natures) หลักจริยธรรมของเต๋า เน้นธรรมชาติ และชีวิต เต๋าเช่ือว่า “ความดีสูงสุดเปรียบเสมือนน้าก่อเกิดประโยชน์กับทุกสิ่งโดยไม่ แข่งขนั กับใคร” ความสุขของเตา๋ คอื ความสุขของบคุ คลผ้ไู ม่หวงั ในสิง่ ใดเลย บาปหนักที่สุดคือความอยาก ครอบครองทรัพย์สนิ และการขาดความพงึ พอใจ นัน่ ก็เป็นคาสาปเหนอื คาสาปทั้งปวง ปรัชญาใน การดาเนนิ ชวี ิตตามหลกั คาสอน ของศาสนาเตา๋ มี 4 ประการ 1. จ้อื ไจ คือ การรู้จักตัวเองใหถ้ กู ต้อง 2. จอ้ื เซง คือ ชนะตนเองให้ได้ 3. จือ้ จก คือ มีความร้จู ักพอดว้ ยตนเอง 4. จือ้ อีเตา๋ คือ มเี ตา๋ เป็นอดุ มคติ ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาท่ีสืบต่อเนื่องเป็นสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์มาจากศาสนายิว ซ่ึง เหตกุ ารณ์ ในประวัติศาสตรก์ ลา่ วว่า โมเสส ไดร้ วบรวมอพยพพวกอิสราเอลจากอียิปต์ และอุทิศตนต่อ การนมัสการ พระเจ้าองค์เดยี ว มีคมั ภรี ์ทางศาสนาเรียกวา่ พันธสัญญาเดิม (The Old Testament) ความเช่ือดังกล่าว ยังเป็นความเชื่อของชาวยิวผู้เคร่งครัด สืบต่อมาจนป๎จจุบัน ศาสนาของชาวยิว เป็นแหล่งกาเนิดแห่งศาสนาคริสต์ คัมภีร์ไบเบิลแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ชื่อ พันธสัญญาเดิม (The Old Testament) และพันธสัญญาใหม่ (The New Testament) พันธสัญญาเดิมเป็นของศาสนายูดายท์มา ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะรับมาเป็นของตน สาระของคัมภีร์เดิมจะเน้นเกี่ยวกับความสาคัญของพระเจ้า สว่ นคมั ภีร์พันธสญั ญาใหมจ่ ะบันทึกคาสอน ของศาสนายิว และศาสนาคริสต์รวมกันเรียกว่า คัมภีร์ ไบเบลิ (The Bible) มีพระเยซคู รสิ ตเ์ ป็นผนู้ าศาสนา มคี าสอน ดังน้ี 1. อย่ามีพระเจา้ อ่ืนนอกจากเราเลย 2. อย่าบูชารูปเคารพใดๆ 3. อย่าออกนามพระเจา้ โดยไม่จาเป็น 4. อย่าทางานในวนั สปาโต (วนั อาทติ ย์) 5. นับถอื มารดาบิดา 6. อยา่ ฆ่าคน 7. อยา่ ล่วงประเวณีสามภี รรยาผู้อ่ืน

8. อยา่ ลักทรัพย์ผู้อื่น 9. อยา่ เปน็ พยานเทจ็ ต่อเพอ่ื นบา้ น 10. อย่าโลภในส่งิ ของในภรรยาข้าทาสชายหญิงของเพื่อน ศาสนาอสิ ลาม มคี าสอน ดงั น้ี 1. ความกตัญํกู บั พ่อแม่ 2. เคารพอ่อนน้อมตอ่ ผู้มีเกียรติและอาวุโส 3. เมตตาและกรรู าต่อผู้ตา่ กวา่ ออ่ นแอกว่าทง้ั มนุษย์และสัตว์ 4. ใหร้ ้จู ักเอาอกเอาใจกนั 5. ประพฤตทิ ่ีดีต่อเพื่อนบ้าน 6. ความรกั และความกลมเกลียวระหวา่ งมิตรสหาย 7. ช่วยเหลอื ผทู้ ี่ไดร้ ับความทุกขย์ าก 8. ชว่ ยเหลือผู้ประสงค์จะทาดี 9. ให้เกยี รตแิ ขกท่มี าพักอยใู่ นบา้ น 10. การเยยี่ มเยือนคนเจบ็ ไข้ ศาสนาอสิ ลาม เรียกวา่ คมั ภีรอ์ ลั กรุ อาน ศาสนาน้เี ป็นศาสนาแหง่ กฎหมาย มีขอ้ หา้ มชาวมุสลมิ ปฏิบตั อิ ีกหลายประการ ดงั นี้ 1. หา้ มยกย่องใครหรอื สิ่งอ่นื ใดเสมออลั เลาะห์ 2. หา้ มกราบมนุษย์ทุกคน 3. กราบได้เฉพาะอัลเลาะหเ์ ทา่ น้ัน 4. หา้ มโหราศาสตรท์ ุกชนดิ การผูกดวงหมอดู 5. หา้ มไสยศาสตรท์ ุกชนดิ เช่น สะเดาะเคราะห์ รดนา้ มนต์ ทาเสน่ห์ 6. ห้ามเคารพบชู ารปู ทุกชนดิ เช่น รปู วาด รูปถ่าย เหรียญ ประติมากรรม 7. ห้ามร่วมมือในการปลุกเสก ทรงเจา้ เข้าผี 8. ห้ามกราบไหวบ้ ชู าธรรมชาติ เชน่ บชู าตน้ ไม้ ทอ้ งฟาู พระอาทิตย์ พระจนั ทร์ เจา้ ท่ี ตน้ ตะเคยี น 9. ห้ามเป็นและห้ามเที่ยวโสเภณี 10. หา้ มขายบริการ สุราเมรัยทกุ ชนดิ 11. ห้ามบรโิ ภคอาหารต้องห้าม เช่น สตั วท์ ต่ี ายเองทุกชนดิ สตั วท์ เ่ี ชือดโดยมิไดเ้ ปลง่ นามพระอัลเลาะห์ สตั วบ์ ชู ายญั เลอื ดทกุ ชนิด 12. ห้ามรับประทานเนือ้ สตั ว์เหลา่ น้ี สกุ ร สตั ว์เลื่อยคลาน สัตวท์ ีม่ ีเขี้ยวเล็บ 13. ห้ามเรียกหรอื ให้ดอกเบ้ีย 14. ห้ามการเสยี่ งโชค หรือการพนนั ทุกชนิด 15. ห้ามอาชีพไม่สจุ รติ ทกุ ชนิด ไมว่ ่าตาแน่งใด เชน่ ในโรงเหล้า ร้านสรุ า สถานเรงิ รมย์ อาบอบนวด บาร์ไนต์คลับ 16. หา้ มใส่ผมของผู้อื่น 17. หา้ มกาเนดิ ยกเว้นกรณีทีก่ ระทบกระเทือนสุขภาพของมารดาอย่างแรง 18. ห้ามทาแท้ง 19. หา้ มฆา่ ตัวเองหรือผู้อ่ืน

20. ห้ามเปดิ เผยส่วนควรอบั อายในท่ีสาธารณะ 21. ห้ามแต่งกายผดิ เพศ 22. ห้ามเผาหรอื รว่ มพธิ ีศพ พุทธจริยศาสตร์เป็นหลักคาสอนทางพระพุทธศาสนาท่ีพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เพื่อเป็น มาตรฐานความประพฤตขิ องมนษุ ย์ โดยแบง่ ออกเป็น 3 ระดับ ไดแ้ ก่ 1. พุทธจริยศาสตร์ระดับต้น บัญญัติไว้เพ่ือความสงบเรียบร้อยของสังคม หลักธรรม คอื ศีล 5 ธรรม 5 ทศิ 6 เปน็ ต้น 2. พุทธจริยศาสตร์ระดับกลาง บัญญัติไว้เพื่อให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติอบรมขัดเกลา ตนเองให้มีคณุ ธรรมสงู ขนึ้ หลักธรรม คือ ศลี 5 กศุ ลกรรมบถ 10 3. พทุ ธจริยศาสตรร์ ะดับสงู เป็นจริยศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาตนเป็นอริยบคุ คล หลกั ธรรม มรรค 8 สว่ นหัวใจสาคัญของพุทธจรยิ ศาสตร์ หรือหวั ใจสาคัญของพระพทุ ธศาสนาก็คือ 1. ไมท่ าชัว่ ท้งั ปวง 2. ทากุศลคือความดีให้พร่ังพรอ้ ม 3. ทาจติ ของตนใหผ้ ่องแผว้ วศิน อินทสระ๕๕ กล่าวว่าพุทธจริยศาสตร์น้ันเป็นหลักเกณฑ์ทางจริยธรรม ซ่ึงท่านผู้รู้มี พระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้ทรงวางไว้ เพื่อเป็นมาตรฐานความประพฤติของมนุษย์ ตั้งแต่พื้นฐานเบื้องต้น ท่ามกลางและระดับสูง เพื่อให้มนุษย์ดาเนินชีวิตอันดีงามตามอุดมคติเท่าท่ีมนุษย์จะขึ้นให้ถึงได้ ให้เป็น มนุษย์ท่ีสมบูรณ์มีสติป๎ญญา มีความสุขอันสมบูรณ์ที่สุด เพราะจริยศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยอุดม คติของชีวิต หรือความดีอันสูงสุด (supreme good )เพื่อขึ้นให้ถึงความดีงามอันสูงสุดนั้น จะต้องมี ปฏิปทา (path : way : method) สาหรับดาเนิน คือ เป็นการสร้างเหตุบรรลุผล ถ้าต้องการผล อันสูงสุดกต็ อ้ งสรา้ งเหตใุ ห้สมควรกนั พทุ ธศาสนาเปน็ กมั วาทะ กิริยวาทะ วริ ยิ วาทะ กล่าวคือการกระทา และความเพียรเป็นเบ้ืองต้นแห่งความสาเร็จผลทั้งปวง ไม่ประสงค์ให้ใครได้ดี หรือประสงค์ความสาเร็จ ลอย ๆ หรือด้วยการอ้อนวอน แต่ให้สาเร็จด้วยการกระทาเอง พระพุทธศาสนาจึงได้รับการยกย่องจาก นักปราชญ์ชาวต่างประเทศบางคนว่า A – Self - do – it –Religion (ศาสนาที่ตอ้ งทาเอง) หลกั จรยิ ธรรมของพระพุทธศาสนา 3 ระดบั ดังกล่าวข้างต้นมรี ายละเอียดดังนี้ 1.พทุ ธจรยิ ธรรมขนั้ พนื้ ฐาน เพ่ือความสงบเรียบร้อยของสังคม หลักธรรม คอื เบญจศลี เบญจ ธรรม ได้แก่ เบญจศลี เบญจธรรม 1. เวน้ จากการฆ่าสัตว์ 1. มเี มตตากรุณา 2. เว้นจากการลักทรัพย์ 2. เล้ยี งชวี ิตในทางที่ถูกต้อง 3. เวน้ จากการประพฤติผิดในกาม 3. มีความสารวมในกาม 4. เวน้ จากการพูดเท็จ 4. พดู แต่คาสตั ย์ 5. เว้นจากการดื่มสรุ าเมรัย 5. มีสติ รักษาตนไว้เสมอ ทศิ 6 หมายถงึ บุคคลตา่ งๆ ท่เี ราเก่ียวข้องสมั พนั ธ์ทางสังคมดุจทิศท่ีอยู่รอบตัว ๕๕ วศิน อนิ ทสระ (2541 : 11-12)

1. ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ มารดา บดิ า เพราะเปน็ ผอู้ ปุ การะเรามาก่อน บุตรธดิ าพึงบารงุ บดิ า มารดา ดงั น้ี 1. ทา่ นเล้ียงเรามาแล้ว เล้ยี งทา่ นตอบ 2. ท่านเล้ียงเรามาแลว้ เล้ยี งท่านตอบ 3. ช่วยทาการงานของท่าน 4. ดารงวงศส์ กุล 5. ประพฤตติ นให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท 6. เม่อื ทา่ นลว่ งลับไปแล้ว ทาบญุ อุทิศให้ทา่ น บดิ ามารดาย่อมอนุเคราะห์บุตรธดิ า ดงั นี้ 1. หา้ มปรามจากความชว่ั 2. ใหต้ งั้ อยู่ในความดี 3. ให้ศึกษาศลิ ปวิทยา 4. หาคู่ครองทส่ี มควรให้ 5. มอบทรัพย์สมบัติใหใ้ นโอกาสอนั สมควร 2. ทิศเบ้ืองขวา ได้แก่ ครอู าจารย์ เพราะเป็นทกั ขไิ ณยบคุ คลควรแกก่ ารบูชาคุณ ศษิ ย์ พึงบารุงครูอาจารย์ ดังน้ี 1. ลุกต้อนรับ 2. เข้าไปหา 3. ใฝใุ จเรียน 4. ปรนนิบตั ิ ชว่ ยบริการ 5. เรียนศลิ ปะวทิ ยาโดยเคารพ ครู อาจารย์ ยอ่ มอนุเคราะห์ศิษย์ ดังน้ี 1. ฝกึ ฝนแนะนาใหเ้ ป็นคนดี 2. สอนใหเ้ ขา้ ใจแจ่มแจง้ 3. สอนศลิ ปะวทิ ยาให้สิ้นเชงิ 4. ยกยอ่ งให้ปรากฏในหมคู่ ณะ 5. สรา้ งเครอ่ื งคุม้ ภัยในสารทิศ 3. ทิศเบ้ืองหลัง ไดแ้ ก่ บุตรภรรยา เพราะมีขนึ้ ภายหลงั และคอยเป็นกาลังสนับสนุนอยู่ ขา้ งหลัง สามพี ึงบารุงภรรยา ดงั น้ี 1. ยกย่องให้เกยี รตสิ มกับฐานะทีเ่ ป็นภรรยา 2. ไมด่ ูหมิ่น 3. ไมน่ อกใจ 4. มอบความเป็นใหญ่ในงานบา้ นให้ 5. หาเคร่ืองประดับมาให้เป็นของขวัญตามโอกาส ภรรยาย่อมอนุเคราะหส์ ามี ดังนี้ 1. จดั งานบ้านใหเ้ รียบร้อย 2. สงเคราะห์ญาตมิ ติ รทัง้ สองฝาุ ยดว้ ยดี

3. ไม่นอกใจ 4. รกั ษาทรัพยส์ มบตั ิท่หี ามาได้ 5. ขยนั ไมเ่ กยี จคร้านในงานท้ังปวง 4. ทิศเบ้ืองซ้าย ไดแ้ ก่ มติ รสหาย เพราะเป็นผูช้ ว่ ยให้ขา้ มพน้ อุปสรรคภยั อันตราย และ เปน็ กาลังสนบั สนนุ ให้บรรลคุ วามสาเร็จ บคุ คลพงึ บารุงมิตรสหาย ดงั น้ี 1. เผอ่ื แผ่แบ่งปน๎ 2. พดู จามนี ้าใจ 3. ชว่ ยเหลอื เก้อื กลู กัน 4. มีตนเสมอ ร่วมสุขร่วมทุกข์กนั 5. ซอ่ื สัตยจ์ ริงใจต่อกนั มติ รสหายย่อมอนเุ คราะหต์ อบ ดงั น้ี 1. เมอ่ื เพ่ือนประมาท ชว่ ยรักษาปอู งกัน 2. เม่ือเพื่อนประมาท ชว่ ยรกั ษาทรัพยส์ มบตั ขิ องเพ่ือน 3. ในคราวมภี ยั เปน็ ท่ีพงึ่ ได้ 4. ไมล่ ะท้ิงในยามทุกขย์ าก 5. นับถือตลอดถึงวงศญ์ าติของมิตร 5. ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณพราหมณ์ คือ พระสงฆ์ เพราะเป็นผู้สูงด้วยคุณธรรมและ เป็นผนู้ าทางจติ ใจ คฤหัสถ์ยอ่ มบารุงพระสงฆ์ ผ้เู ป็นทิศเบอ้ื งบน ดงั นี้ 1. จะทาส่ิงใด กท็ าด้วยเมตตา 2. จะพูดสงิ่ ใด ก็พูดด้วยเมตตา 3. จะคิดสิ่งใด กค็ ิดด้วยเมตตา 4. ตอ้ นรบั ดว้ ยความเตม็ ใจ 5. อุปถัมภด์ ้วยป๎จจยั 4 พระสงฆย์ ่อมอนุเคราะห์คฤหัสถ์ ดงั นี้ 1. ห้ามปรามจากความช่วั 2. ให้ตั้งอยู่ในความดี 3. อนุเคราะหด์ ้วยความปรารถนาดี 4. ใหไ้ ด้ฟง๎ สิง่ ท่ียงั ไมเ่ คยฟ๎ง 5. ทาส่งิ ที่เคยฟง๎ แล้วให้แจ่มแจ้ง 6. บอกทางสวรรค์ คือ ทางชีวติ ที่มคี วามสขุ ความเจรญิ ให้ 6. ทิศเบ้ืองลา่ ง ได้แก่ คนรับใช้และคนงาน เพราะเป็นผชู้ ่วยทาการงานต่างๆ เป็นฐาน กาลงั ให้ นายพึงบารุงคนรบั ใช้และคนงาน ดังน้ี 1. จัดการงานให้ทาตามความเหมาะสมกับกาลังความสามารถ 2. ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความเปน็ อยู่ 3. จัดสวัสดกิ ารดี มชี ่วยรกั ษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ เป็นต้น 4. ไดข้ องแปลกๆ พิเศษมา ก็แบ่งปน๎ ให้ 5. ใหม้ วี ันหยดุ และพักผ่อนหยอ่ นใจตามโอกาสอันควร คนรับใชแ้ ละคนงานย่อมอนุเคราะหน์ าย ดงั นี้

1. เรม่ิ การงานก่อนนาย 2. เลกิ งานหลังนาย 3. ถือเอาแต่ของท่ีนายให้ 4. ทาการงานใหเ้ รียบรอ้ ยและดียิง่ ข้ึน 5. นาเกยี รติคุณของนายไปเผยแพร่ 2.พทุ ธจรยิ ธรรมระดบั กลาง เพ่ือใหบ้ ุคคลขัดเกลาตนเองให้มีคุณธรรมสูงข้ึน หลกั ธรรม คือ ศลี 8 กศุ ลกรรมบถ 10 มรี ายละเอยี ดดังนี้ ศีล 8 หรอื อัฎฐศีล การรกั ษาระเบยี บทางกาย วาจา ใหด้ ยี ิ่ง ๆ ขึ้นไป 1. เว้นจากทารา้ ยรา่ งกายผูอ้ ื่นและสตั ว์ทง้ั หลาย 2. เว้นจากถือเอาของท่เี ขามไิ ดใ้ ห้ 3. เวน้ จากประพฤติผิดพรหมจรรย์ คอื เวน้ จากร่วมประเวณี 4. เว้นจากพดู เท็จ 5. เว้นจากของเมา คือ สรุ าเมรัยอันเปน็ ทีต่ ัง้ แหง่ ความประมาท 6. เวน้ จากบริโภคอาหารในเวลาวกิ าล คือเท่ยี งแลว้ ไป 7. เวน้ จากฟ๎งฟูอนรา ขับรอ้ ง ดนตรี ทดั ทรงดอกไม้ ใส่ของหอม 8. เว้นจากท่ีนอนอันสูงใหญห่ รหู รา ฟมุ เฟือย กุศลกรรมบถ 10 ทางแห่งกศุ ล กรรมดอี นั เป็นทางนาไปสูส่ ุคติ จาแนกเปน็ การประพฤติผดิ ทาง กาย 3 วาจา 4 และ ทางใจ 3 ดงั นี้ กายกรรม การกระทาทางกาย มี 3 ข้อ คอื 1. เว้นจากการทาชีวติ สตั ว์ใหล้ ว่ งไป 2. เว้นจากการถือเอาของท่ีเจา้ ของเขาไมไ่ ด้ให้ - ขโมย 3. เว้นจากการประพฤติผดิ ลูกเมยี คนอนื่ วจกี รรม การกระทาทางกาย มี 4 ข้อ คือ 4. เวน้ จากการพดู เท็จ 5. เว้นจากการพดู สอ่ เสียด 6. เวน้ จากการพูดคาหยาบ 7. เวน้ จากการพดู เพ้อเจ้อ มโนกรรม การกระทาทางกาย มี 3 ข้อ คอื 8. ไม่โลภอยากได้ของเขา 9. ไม่พยาบาทปองร้ายเขา 10. ทาความเห็นให้ถกู ต้องตามครรลองครองธรรม 3.พุทธจรยิ ธรรมระดบั สงู คือ จริยธรรม เพอื่ พฒั นาคนเป็นอริยชน มี อริยมรรค 8 ได้แก่ 1. สัมมาทิฐิ ความเหน็ ถูกต้องตามครรลองครองธรรม เช่น ความรู้เห็นอรยิ สัจ 4 2. สัมมาสงั กัปปะ ความคดิ ถูกตอ้ ง ไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียน 3. สัมมาวาจา เจรจาในสง่ิ ท่เี ปน็ ความจรงิ ประสานสามัคคีอ่อนหวาน มีประโยชน์ 4. สมั มากัมมนั ตะ การเว้นจากการกระทาไมด่ ี เช่น การฆ่า การเบยี ดเบียน การลัก ทรัพย์ 5. สมั มาอาชวี ะ การเวน้ มิจฉาชพี ทกุ รปู แบบ ประกอบอาชีพสจุ รติ

6. สัมมาวายามะ ทาความเพียร เชน่ เพียรระวังอกุศลทุกรูปแบบ เพียรให้กศุ ลเกิดขน้ึ 7. สมั มาสติ ความระลึกชอบ คือ ระลึกแล้วเกดิ สติสมบรู ณ์ กลายเป็นปญ๎ ญา 8. สมั มาสมาธิ การต้ังจิตม่นั ในอารมณ์อยา่ งใดอย่างหนงึ่ ไมห่ ว่ันไหว ไมฟ่ ุูงซ่าน หลักคาสอนและแนวคิดของศาสดา และนักปราชญ์ทั้งหลายท่ีกล่าวมาแล้ว ล้วนมีจุดมุ่งหมาย อยา่ งเดียวกนั คอื ใหม้ นุษยก์ ระทาความดี ละเว้นความชวั่ ให้ปฏิบัติต่อกันอย่างมีคุณธรรม ไม่เบียดเบียน ซ่ึงกันและกัน ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสันติสุข การศึกษาคุณธรรมจริยธรรม จะต้องศึกษาถึงที่มา หลักการ แนวคดิ ทางศาสตรข์ องจรยิ ธรรมที่มนษุ ยไ์ ด้ศกึ ษา และปฏิบตั ิกันมาตงั้ แตโ่ บราณ เพราะแนวคิด หลักการเหล่านี้เป็นพื้นฐานของความเข้าใจในคุณธรรมจริยธรรม ซ่ึงทุกศาสนามีความเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างกันไป อันเป็นท่ีมาของความเช่ือ และพฤติกรรมท่ีแสดงออกของคนในกลุ่มต่างกันด้วย เป็นการ ช่วยให้มนุษย์ต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์มีความเข้าใจซ่ึงกันและกัน อันเป็นผลให้เกิดความผาสุกในมวล มนุษยชาต.ิ ลกั ษณะพิเศษของหลักธรรมในพระพทุ ธศาสนา “...ธรรมในพระพุทธศาสนามีความหมดจดบริสุทธ์ิและสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยเหตุผลซึ่ง บคุ คลจะสามารถศกึ ษาและปฏิบัติด้วยป๎ญญาด้วยความเพ่งพินิจให้เกิดประโยชน์ คือ ความสาคัญความ ผาสุกแก่ตนโดยอย่างเท่ียงแท้ ตั้งแต่ประโยชน์ขั้นพ้ืนฐานคือการตั้งตัวให้เป็นปรกติสุข จนถึงประโยชน์ น้ันปรมัตถ์ คือ หลุดพ้นจากเครื่องเกาะเกี่ยวร้อยรัดทุกประการข้อน้ีเป็นลักษณะพิเศษใน พระพุทธศาสนาซ่ึงทาให้พระพุทธศาสนามีค่าประเสริฐสุด...” พระบรมราโชวาท พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวภมู พิ ลอดุลยเดชมหาราช สรปุ ทา้ ยบท พระพุทธศาสนาสอนแนวทางความประพฤติตามหลักสัจธรรมท่ีเป็นอกาลิโกว่าด้วยประโยชน์ สขุ ที่พงึ ได้ อนั เกิดจากการอยู่รว่ มสัมพนั ธ์กนั โดยใชป้ ๎ญญาดว้ ยเมตตากรณุ าและพร้อมกนั น้ันก็มุ่งให้บรรลุ ถึงอิสรภาพทางจิตป๎ญญา ท่ีเป็นจุดหมายสูงสุดถึงข้ันท่ีทาให้อยู่ในโลกได้โดยไม่ติดโลก คนป๎จจุบัน จานวนมากมองชีวิต ทุกวงการเป็นการต่อสู้ระหว่างผลประโยชน์ท่ีขัดกัน เกิดเป็นฝายนายจ้างกับ ลูกจ้าง รัฐบาลกับราษฎร คนมีกับคนจน และแม้แต่หญิงกับชายหรือลูกกับพ่อแม่ เม่ือคนถือเอาทรัพย์ และอานาจเป็นจุดหมายของชีวิต สังคม ก็กลายเป็นสนาม ต่อสู้ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวที่ขัดกัน เราก็เลยต้องเที่ยวหาจริยธรรมสาหรับมาปกปูอง ผลประโยชน์เหล่าน้ัน น่ีคือ “จริยธรรมเชิงลบ” กล่าวคือ สังคมยึดหลักผลประโยชน์แบบเห็นแก่ตัว โดยถือ “สิทธิของแต่ละคนที่จะแสวงหาความสุข” แล้วเราก็เลยต้องหาจริยธรรมดังเช่น “สิทธิมนุษยชน” มาคอยกีดก้ันกันและกันไว้ ไม่ให้คนมาเชือดคอ หอยกนั ในระหว่างทีก่ าลังว่ิงหา ความสขุ นนั้ หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็น “จริยธรรมเชิงบวก” ประโยชน์สุขคือจุดหมาย หาใช่ทรัพย์ และอานาจไม่ พระพุทธศาสนาถือว่า สังคมเป็นส่ือกลาง ที่ช่วยให้ทุกคนมีโอกาส อันเท่าเทียมกันท่ีจะ พัฒนาตนเอง และเข้าถึงประโยชน์สุขได้มากที่สุด และนาเอาจริยธรรมมาใช้ เพ่ือเก้ือหนุนจุดหมายท่ี กล่าวนี้ เพราะฉะนั้น การดาเนินชีวิตที่จาเป็นต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตน บุคคลรอบข้าง ญาติมิตร เพอื่ นร่วมงาน จงึ จาเปน็ ตอ้ งธรรมเป็นเคร่ืองกากับ เพ่ือบรรลุประโยชน์สุขของชีวิตไปตามลาดับขั้นอัน เหมาะสม

บทที่ 2 แนวคดิ ทฤษฎเี กยี่ วกบั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม 2.1 ความนา แนวคิดเป็นกระบวนการท่ีผ่านการสังเคราะห์จากสังคมแล้ว ความสาคัญของคุณธรรม และจริยธรรม ทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม โครงสร้าง ของจริยธรรม ลักษณะและแหล่งกาเนิดของจริยธรรม องค์ประกอบทางจริยธรรม และการวัด และประเมิน คุณธรรมจรยิ ธรรม นโยบายของประเทศในทศวรรษท่ีผ่านมาให้ความสาคัญต่อ “การพัฒนาคน” ให้เป็นคนดี ท่ีเก่งและมีสุข โดยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงเน้น แนวทาง พัฒนาตามหลักแนวคิดการพ่ึงตนเอง โดยใช้หลักพอประมาณ การคานึงถึงความมีเหตุผล การสรา้ ง ภมู ิคมุ้ กันท่ีดใี นตัว ให้ความสาคญั กบั การสร้างภูมิค้มุ กันทางจิตใจ การพฒั นาอย่างเป็นลาดับ ขนั้ ตอนท่ี ใชค้ วามรคู้ ุณธรรม และความเพียรในการปฏิบัติและการดารงชีวิต ซึ่งท่ัวโลกให้การยอมรับ และเป็นหลักที่ได้ผ่านการพิจารณาด้านวิชาการว่าได้ผลจริงและยั่งยืน ประการสาคัญสอดคล้องกับ บริบทของ สังคมไทย รวมทั้งได้ผลดีกว่าการพัฒนาโดยเลียนแบบตะวันตกซึ่งพบว่า ประสบ ความล้มเหลวและทาให้ สูญเสียงบประมาณ๑ 2.2 ความหมายของคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม คุณธรรมและจริยธรรมเป็นคาท่ีมีความหมายใกล้เคียงกัน มีความเก่ียวเน่ืองและซ้อนทับกัน อยู่ และ มักจะใช้ควบคู่กันไป จนทาให้เกิดความเข้าใจโดยท่ัวไปว่าเป็นคาท่ีมีความหมายเดียวกัน ในความหมายแลว้ ความแตกต่างของคา 2 คานี้ อยู่ท่คี ณุ ธรรมจะคอ่ นไปทางนามธรรม เป็นความรู้สึก นึกคิดที่อยู่ในจิตใจ และเน้น คุณประโยชน์ที่เกิดข้ึน เช่น ความโอบอ้อมอารีอยากช่วยเหลือผู้อ่ืน ความใจเย็น เปน็ ตน้ สว่ นจริยธรรมมองเห็น เปน็ รูปธรรมชัดเจนกว่า เป็นพฤติกรรมท่ีสามารถมองเห็น ได้ดว้ ยตา และเน้นในสิง่ ที่เหนือกว่าคุณประโยชน์ เชน่ การเป็นสุภาพชน การมีสัมมาคาระต่อผู้สูงวัยกว่า ความรู้สึกและการแสดงออก ของการกระทาจึงเป็นตวั กาหนดว่า เปน็ คณุ ธรรมหรอื จรยิ ธรรม ซึง่ ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้กระทา๒ คาว่า “คุณธรรม” ตรงกบั คาในภาษาอังกฤษว่า “Virtue” ส่วนคาว่า “จริยธรรม” ตรงกับคา ในภาษาอังกฤษว่า “Morality” ดังน้ันคาสองคานี้จึงใช้แทนกันไม่ได้ นักปรัชญา นักจิตวิทยา นักการศึกษา ตลอดจนผู้ท่เี กีย่ วข้องไดใ้ หค้ วามหมายของคาสองคาน้ไี ว้ดังต่อไปนี้ ๑ (ดวงเดอื น พนั ธมุ นาวิน, ๒๕๕๔) ๒ (สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ 2544ก: 7-8)

คณุ ธรรม (Virtue) “คุณธรรม” เป็นคาประสมของคาว่า “คุณ” และ “ธรรม” คาว่า “คุณ” หมายถงึ ประโยชน์ ต่อตนเองและ ประโยชนต์ อ่ ผู้อน่ื และคาว่า “ธรรม” หมายถงึ สิ่งทค่ี วรปฏบิ ัติ ดงั นัน้ “คุณธรรม” จงึ หมายถงึ สง่ิ ทปี่ ฏิบัติแลว้ เกิด (คุณ) ประโยชนต์ ่อตนเองและผู้อื่น๓ พระราชวรมุนี๔ กล่าวว่า คุณธรรม หมายถึง ธรรมท่ีเป็นคุณงามความดี สภาพที่เกื้อกูล กรมวิชาการ๕ ได้ให้ความหมายที่ใกล้เคียงกันว่า คุณธรรมเป็นคุณงามความดีด้านกาย วาจา ใจ ซ่ึงจะทา ให้ผู้ปฏิบัติและสังคมเกิดความสงบสุข อันได้แก่ หลักธรรมในศาสนาต่างๆ ซ่ึงสอดคล้อง กับความหมายที่บัญญัติ ไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2542 (2542: 253) ท่ีได้ให้ ความหมายของคาวา่ “คุณธรรม” ไว้วา่ เปน็ สภาพคณุ งามความดี กรีติ บุญเจือ๖ กล่าวว่า คุณธรรม หมายถึง ความเคยชินในการประพฤติดีอย่างใดอย่างหน่ึง ซ่ึงมีความสอดคล้องกับความหมายท่ีลัดดา เสนาวงษ์๗ และ ชัยพร วงศ์วรรณ๘ ได้ให้ไว้ว่า คุณธรรม หมายถึง ลักษณะที่ดีงามท่ีได้ประพฤติปฏิบัติจนเคยชิน เป็นประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม สาหรับ สงวน สทุ ธเิ ลศิ อรุณ๙ และมลวิ ลั ย์ บารงุ การ๑๐ ได้อธบิ ายความหมายของคาวา่ คุณธรรมไว้ ใกล้เคียงกัน โดยสรุปได้ว่าหมายถึง คุณงามความดีที่ส่ังสมอยู่ในจิตใจมาเป็นเวลานาน โดยอาศัยประสบการณ์ การเรียนรู้ และความเคยชิน ซ่ึงแสดงออกมาจากการกระทาทางกาย วาจา และใจของแต่ละบุคคล เปน็ ลักษณะท่ีดี และเปน็ ประโยชน์ตอ่ ตนเอง และผูอ้ ืน่ เจริญ ไวรวัจนกุล๑๑ ได้อธิบายความหมายของคุณธรรมไว้ว่า คือ มโนธรรมอันเป็นสานึก แห่งความดี หรือความท่ีต่างๆ ที่มีอยู่ในจิตใจของแต่ละคน เกิดจากการไตร่ตรองด้วยเหตุผล จนสามารถตัดสินได้ ว่า ส่ิงใดดีส่ิงใดงามแล้วมุ่งมั่นอยู่กับส่ิงที่ดีงามจนเคยชิน เป็นคนท่ีมีคุณธรรม เป็นกิจนิสยั และลกั ษณะนสิ ยั สุวรรณา วชิรปราการสกุล๑๒ ที่ได้สรุปความหมายของคุณธรรมไว้ว่า หมายถึง คุณสมบัติ ท่ีเก่ียวกับคุณงามความดีที่เกิดจากการกระทาของบุคคล ท่ีกระทาไปด้วยความสานึกในจิตใจ โดยมี เปาู หมายว่า เปน็ การกระทาความดีและเป็นพฤตกิ รรมท่ียอมรบั ของสงั คม ๓ (สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ, 2544ก: 7-8) ๔ พระราชวรมุนี (2527: 37) ๕ กรมวชิ าการ (2539: 1) ๖ กรีติ บญุ เจอื (2534: 67) ๗ ลัดดา เสนาวงษ์ (2532. 59) ๘ ชยั พร วงศว์ รรณ (2540: 29) ๙ สงวน สทุ ธเิ ลศิ อรณุ (2526: 9) ๑๐ มลวิ ัลย์ บารุงการ (2531 : 11) ๑๑ เจรญิ ไวรวจั นกลุ (2531 : 14) ๑๒ สุวรรณา วชริ ปราการสกุล (2533: 9)

ประภาศรี สหี อาไพ๑๓ หมายถึง หลักธรรมทสี่ รา้ ง ความรูส้ กึ ผดิ ชอบชวั่ ดีในทางศีลธรรม มีคุณ งามความดีภายในจิตใจอยู่ในขั้นสมบูรณ์ อันเต็มเป่ียมไปด้วยความสุข ยินดี การกระทาที่ดีย่อมมี ผลผลิตของความดี คือ ความชืน่ ชมยกย่อง การเป็นผูม้ ีคณุ ธรรม คอื การปฏิบตั ติ น อยู่ในกรอบที่ดงี าม ติตัส๑๔ กล่าวว่า คุณธรรมเป็น ลักษณะนิสัยท่ีดีของอุปนิสัย เป็นคุณภาพหรือนิสัยของมนุษย์ ซึ่งคนท่ัวไปชมเชยและเห็นคุณค่า เป็นการจัดระเบียบ ของแรงกระตุ้นทางจิตใจ เป็นเจตคติ หรือรูปแบบการแสดงออกซึ่งคุณคา่ ความดที างศีลธรรม วอลเตอร์และ คนอื่นๆ๑๕ ได้ให้ความหมายของคาว่าคุณธรรมไว้ 2 ประการที่มีความ สอดคล้องกัน ดงั นี้ 1) คณุ ธรรม หมายถึง ความดีงามของลกั ษณะนิสยั หรอื พฤตกิ รรมทที่ าจนเคยชิน 2) คุณธรรม หมายถึง คุณภาพที่บุคคลได้กระทาตามความคิดและมาตรฐานของสังคม ซึ่งเก่ียวข้องกับ ความประพฤติและศีลธรรม ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดีท่ีมีอยู่ในจิตใจของแต่ละบุคคล หรือ ความรูส้ กึ นึกคิดทีจ่ ะประพฤตปิ ฏบิ ัติในสง่ิ ทีด่ ีทจ่ี ะกอ่ ให้เกิดประโยชนต์ อ่ ตนเองและสว่ นรวม จริยธรรม (Morality) พจนานุกรม๑๖ ได้ให้ความหมายของคาวา่ “จรยิ ธรรม” ไวว้ า่ หมายถึง ธรรมท่ีเป็นข้อประพฤติ ปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม ซ่ึงตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า “Ethic” ซ่ึงมี รากศัพท์มาจากคาว่า “Ethos” ในภาษากรีก ซ่ึงหมายถึง ข้อกาหนดหรือหลักการประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้อง และตรงกับ คาในภาษาลาตินว่า “Mores” ซึ่งต่อมากลายเป็นคาว่า “Morality” ในภาษาอังกฤษ และมีความหมาย คล้ายคลึงกับคาว่า “จริยศาสตร์” (Ethics) ในปรัชญา ซ่ึงเป็นเรื่องของการค้นหา ความจรงิ เก่ยี วกับคุณคา่ ของความ ประพฤติในสังคม ซึ่งถือว่าถูกต้องหรือดี และสิ่งซ่ึงถือว่าผิดหรือช่ัว ไม่ควรประพฤติ แล้วกาหนดเป็นมาตรฐานไว้ ว่า เป็นความถูกต้องหรือความบริสุทธิ์ของ พฤติกรรม ของการกระทาส่งิ หน่ึง จรยิ ธรรม เปน็ คาสมาสมาจากคาว่า “จรยิ ะ” หรอื “จริยา” กับคาว่า “ธรรม” คาว่า “จริยะ” หมายถึง ความประพฤติหรือกิริยาท่ีควรประพฤติ ส่วนคาว่า “ธรรม” มีความหมายหลายอย่าง เช่น คุณความดี, หลักคาสอน ของศาสนา หลักปฏิบัติ เมื่อนาคาทั้งสองมารวมกันเป็น “จริยธรรม” จึงได้ ความหมายตามตวั อักษรว่า “หลักแหง่ ความประพฤติ” หรอื “แนวทางการประพฤติ”๑๗ จริยธรรม หมายถึง หลักคาสอนด้วยความ ประพฤติเป็นหลักสาหรับให้บุคคลยึดถือและ ปฏิบัตติ าม๑๘ ๑๓ ประภาศรี สหี อาไพ (2540: 21) ๑๔ ติตัส (กนกวรรณ ววิ ัฒนธ์ นศิษฐ์, 2545: 9; อ้างอิงจาก Titus. 1936: 200) ๑๕ วอลเตอรแ์ ละ คนอน่ื ๆ (Walter; & et al. 1966: 801) กัด (Good. 1973: 641) ๑๖ พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2542: 291) ๑๗ (พระเมธีธรรมาภรณ.์ 2534: 74) ๑๘ วิทย์ วศิ วเวทย์ และเสฐียรพงษ์ วรรณปก (2537: ก)

จริยธรรม มาจากคาว่า พรหมจรรย์ ซ่ึงใน พุทธศาสนาหมายถึง มรรค คือ วิธีการปฏิบัติสาย กลาง ประกอบองค์ประกอบ 8 ประการ บางคร้ังก็เรียกว่า ไตรสิกขา คือ การศึกษา 3 ประการ อัน ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึง่ ท้งั หมดน้เี ปน็ ทางปฏบิ ัตเิ พ่อื นมนุษยไ์ ปสู่ จุดมุ่งหมายในชวี ิต๑๙ พระเมธีธรรมาภรณ์๒๐ ได้เสนอทรรศนะว่า จริยธรรมไม่ควรแยกเด็ดขาดจากศีลธรรม แต่ก็มีความหมายกว้างกว่าศีลธรรม ศีลธรรมเป็นหลักคาสอนศาสนาท่ีว่าด้วยความประพฤติชอบ อันวาง รากฐานอยู่บนหลักคาสอนของศาสนาปรัชญาและขนบธรรมเนียมประเพณี จริยธรรมจึงเป็น ระบบอันมศี ีลธรรม เป็นสว่ นประกอบสาคัญ บางคร้ังมีผู้แย้งว่าจริยธรรมหรือศีลธรรมมุ่งควบคุมความ ประพฤติทางกายและวาจา ไม่รวมไปถึงทางใจ ศีลธรรมไม่ใช่ศีลและธรรม แต่เป็นธรรมขั้นศีล หมายถึง ความสารวมกาย วาจาให้เรียบร้อย โดยนัยนี้จริยธรรมทั่วไปจึงมีความหมายแคบกว่าพุทธ จริยธรรม คาว่า “จริยะ” “จริยา” ตลอดจน “จริยธรรม” มีความหมายกว้างกว่านั้นคือหมายถึง การดาเนินชวี ิต ความเปน็ อยู่ การยังชีวิตให้เป็นไป การครองชีวิต การใช้ชีวิต การเคลื่อนไหวของชีวิต ในทุกแง่ทุกด้าน ทุกระดับ ท้ังทางกาย วาจา และใจ แม้แต่การปฏิบัติกรรมฐาน เจริญสมาธิ บาเพ็ญ สมถะ และเจรญิ วิปัสสนา กร็ วมอยใู่ นคา วา่ จรยิ ธรรม๒๑ จริยธรรมว่า หมายถงึ ลักษณะทางสังคมหลายลักษณะของมนษุ ย์ รวมทั้งพฤติกรรมทางสังคม ประเภทต่างๆ มีลักษณะ คือ ลักษณะท่ีสังคมต้องการให้สมาชิกในสังคมน้ันมีอยู่ คือเป็นพฤติกรรม ท่ีสังคมนิยมชมชอบในการสนับสนุน และผู้กระทาส่วนมากเกิดความพอใจว่าการกระทานั้นเป็นส่ิง ท่ีถูกต้องเหมาะสม อีกลักษณะหนึ่ง คือ ลักษณะท่ีสังคม ไม่ต้องการให้มีอยู่ในสมาชิกของสังคม เป็นการกระทาที่สังคมลงโทษ พยายามกาจัด และผู้กระทาพฤติกรรมนั้น ส่วนมากรู้สึกว่าเป็นส่ิงท่ีไม่ ถูกต้อง ไม่สมควร ดังนั้นผู้ที่มีจริยธรรมสูง คือ ผู้ที่มีลักษณะและพฤติกรรมประเภท แรกมากและ ประเภทหลงั นอ้ ย๒๒ จริยธรรม หมายความว่า เป็นแนวทางในการปฏิบัติอันเป็นลักษณะท่ีสังคมต้องการ และ ประเมินแล้วว่าเป็นส่ิงที่ ถูกต้องเหมาะสม รวมทั้งผู้กระทาก็จะได้รับความพึงพอใจว่าการกระทาน้ัน เป็นท่ียอมรับของผู้อนื่ ๒๓ โกศล มีคุณ๒๔ได้จาแนกความหมายของจริยธรรมไว้ 2 แนวทาง คือ แนวหนึ่งพิจารณาว่า จริยธรรมเป็นคุณลักษณะที่อยู่กับตัวบุคคล เป็นลักษณะทางจิตหรือพฤติกรรมอันแสดงออก เป็นเหตุ ของการ แสดงออกซึ่งพฤติกรรมดี ละเว้นช่ัว ส่วนอีกแนวหน่ึงพิจารณาว่าจริยธรรมเป็นระเบียบ กฎเกณฑ์ กติกาหรือ เงอื่ นไขจากภายนอกทท่ี าให้มนษุ ย์มีพฤติกรรมอันพึงปรารถนา ๑๙ พระราชวรมุนี 2528: 7) ๒๐ พระเมธีธรรมาภรณ์ (2534: 77) ๒๑ พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยตุ โต) (2529: 12-14) ๒๒ ดวงเดือน พนั ธมุ นาวิน และเพ็ญแข ประจนปจั จนึก (2520: 3-4) ๒๓ สวุ รรณา วชริ ปราการสกุล (2533: 11) ๒๔ โกศล มีคณุ (2533: 5)

ประภาศรี สีหอาไพ๒๕ ไดใ้ ห้ ความหมายของจรยิ ธรรมวา่ หมายถึง หลักความประพฤติที่อบรม กิริยาและปลูกฝังลักษณะนิสัยให้อยู่ในครรลอง ของคุณธรรมหรือศีลธรรม คุณค่าทางจริยธรรม ชี้ให้เห็นความเจริญงอกงามในการดารงชีวิตอย่างมีระเบียบ แบบแผน ตามวัฒนธรรมของบุคคล ที่มลี กั ษณะทางจติ ใจที่ดงี าม อย่ใู นสภาพแวดล้อมที่โน้มนาให้บุคคลมุ่งกระทา ความดี ละเว้นความชั่ว มีแนวทางความประพฤติอยู่ในเรื่องของความดี ความถูกต้อง ควรในการประพฤติตนเพ่ือ อยู่ในสังคม ไดอ้ ยา่ งสงบเรยี บร้อยและเปน็ ประโยชน์ต่อผู้อื่น มีคุณธรรมและมโนธรรมที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดี โดยมสี านกึ ทจ่ี ะใชส้ ทิ ธแิ ละหน้าทขี่ องตนตามค่านยิ มที่พึงประสงค์ บุญมี แท่นแก้ว๒๖ ได้กล่าวถึงจริยธรรมว่า เป็นคุณธรรมที่แสดงออกทางร่างกายในลักษณะ ท่ีดีงาม ถูกต้อง อันเป็นส่ิงท่ีประสงค์ของสังคม และจริยธรรมจะมีได้ต้องปลูกฝัง ฝึกหัด โดยเริ่มจาก การปลูกฝัง คุณธรรมลงในใจก่อน ซ่ึงการปลูกฝังคุณธรรมจาต้องอาศัยหลักคาสอนทางศาสนา ได้แก่ ศีล อันหมายถึง หลัก หรือกฎเกณฑ์การประพฤติปฏิบัติ เพ่ือฝึกหัดกาย วาจา ให้เรียบร้อยเป็นปกติ กลา่ วคอื จะพดู หรอื ทาสิง่ ใด ให้เป็นไปตามปกติ สชุ าติ ประสิทธิ์รฐั สินธ๒์ุ ๗ ไดก้ ล่าวถึงจริยธรรมในมุมมองของนักวิชาการหรือ นกั วิจยั วา่ จรยิ ธรรมสามารถแบง่ ออกได้ 2 ส่วน คือ “จรยิ ” และ “ธรรม” คาวา่ “จรยิ ” แปลวา่ ดีงาม ส่วนคา วา่ “ธรรม” แปลว่า ความถกู ตอ้ ง โดยสรุป จรยิ ธรรม จึงหมายถงึ ความถูกต้องทด่ี งี าม ซงึ่ สงั คมทุก สังคมจะกาหนด กฎเกณฑ์ กติกา บรรทัดฐานของตนวา่ อะไรคอื ส่งิ ที่ดงี าม และอะไรคือความถูกต้อง เพยี เจต์๒๘ ได้อธบิ ายไว้ว่า จรยิ ธรรมเป็น ลักษณะประสบการณ์ของมนุษย์และหน้าท่ีเก่ียวกับ กฎเกณฑ์ในการให้ความร่วมมือกับการจัดเตรียมทางสังคมใน เรื่องความสนใจ อนามัยบุคคล และความสัมพันธร์ ว่ มกันในรปู ของสิ่งทีค่ วรกระทาและสิทธิ กู๊ด๒๙ กล่าวถึงจริยธรรมว่าเป็นการปรับพฤติกรรมให้เข้ากับกฎเกณฑ์หรือมาตรฐาน ของความประพฤติทถี่ ูกต้อง หรือดีงาม แอตกินสัน๓๐ กล่าวว่า จริยธรรมเป็นเขตของความเช่ือของแต่ละในสังคม หนึ่งๆ เก่ียวกับ อปุ นสิ ยั และความประพฤติ ว่าอะไรเปน็ สง่ิ ท่คี นทั้งหลายพยายามจะประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ โคลเบอร์ก๓๑ ได้ใหค้ วามหมายของจรยิ ธรรมไว้ 2 ประการ คือ 1. จริยธรรมหรือความรับผิดชอบส่วนบุคคล หมายถึง การท่ีบุคคลตัดสินว่าการกระทา อันไหนถกู ตอ้ ง มีจริยธรรม กจ็ ะตดั สนิ ใจกระทาสงิ่ นนั้ หรือการกระทานน้ั เพอื่ เป็นตวั อย่างท่ีดีแก่บุคคล อนื่ เช่น ความซ่อื สตั ย์ สุจรติ ความขยนั ความอดทน เปน็ ตน้ ๒๕ ประภาศรี สหี อาไพ (2540: 25) ๒๖ บุญมี แท่นแก้ว (2539: 7-8) ๒๗ สุชาติ ประสทิ ธ์ริ ฐั สินธ์ุ (2539: 2-4) ๒๘ เพียเจต์ (สมพร พงษ์เสถียรศักด์ิ, 2546: 8: อา้ งอิงจาก Piaget. 1960: 1) ๒๙ ส่วนก๊ดู (Good. 1973: 2) ๓๐ และแอตกินสนั (Atkinson. 1969: 10) ๓๑ โคลเบอร์ก (Kohlberg. 1984: 518-522)

2.จริยธรรมสากล หมายถึง ส่ิงใดท่ีสังคมส่วนใหญ่เห็นว่าถูกต้องดีงาม ก็เอาเกณฑ์น้ันมาใช้ เป็น จริยธรรมสากล เป็นการกระทาที่ทาลงไปแล้วบุคคลอื่นๆ เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นความดี เช่น การมจี ิตใจเอ้อื อารี การเสยี สละ เป็นต้น ดังน้นั จึงสรุปไดว้ ่า จรยิ ธรรม คือ การกระทาที่ดงี ามทเี่ กดิ จากการมีคุณธรรมในเรือ่ งน้นั ที่ ก่อใหเ้ กิด ประโยชนต์ ่อตนเองและส่วนรวม จากการศกึ ษาความหมายของ “คณุ ธรรม” และ “จริยธรรม” ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าคา สองคานม้ี ี ความหมายที่มคี วามสมั พันธ์กันอยา่ งใกลช้ ดิ กลา่ วคอื คุณธรรมเป็นสภาพความดีงามที่มีอยู่ ในจติ ใจของแตล่ ะ บคุ คล เปน็ ความรู้สึกนึกคิดท่ีจะประพฤติปฏิบัติในสงิ่ ท่ดี ี ส่วนจริยธรรมเป็นความประพฤติที่ดีงามแสดงออกมา ให้เห็นเป็นรูปธรรม และเป็นไปตาม บรรทัดฐานของสังคม อีกท้ังยังเป็นตามความสานึกที่ดีในจิตใจ กระทาเพราะ เป็นส่ิงท่ีดีงามถูกต้อง ไม่ใชก่ ระทาเพราะมีกฎระเบียบหรือสถานการณ์บบี บังคับ คุณธรรมและจริยธรรมจะมีความ เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กัน แต่จะมีขอบเขตไม่เท่ากัน คุณธรรมน้ันมีขอบเขตรวมส่ิงที่ดีงามถูกต้องท่ีทุกสังคมยอมรับ แต่จริยธรรมจะเป็นสง่ิ ที่บคุ คลควรประพฤติโดยคานึงถงึ ประโยชน์ต่อส่วนรวม และเมื่อนามาคาสองคา น้มี ารวมกันแล้ว สรุปได้ว่า “คุณธรรมและจริยธรรม” หมายถึง คุณลักษณะท่ีดีงามและถูกต้องท่ีมีอยู่ใน จติ สานึกของบุคคล และส่งผลให้บุคคลประพฤติตนเป็นคนดี มีความประพฤติที่ดีงาม แสดงออกมาให้ เห็นเป็นรปู ธรรม และเปน็ ไป ตามบรรทดั ฐานของสงั คม เพอื่ ประโยชน์ของตนเองและส่วนรวม 2.3 ความสาคญั ของคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม สภาพสงั คมไทยในปัจจุบนั มกี ารเปล่ียนแปลงทางดา้ นเศรษฐกจิ และสังคมอย่างรวดเร็ว พร้อม ทงั้ ความ เจรญิ ทางดา้ นเทคโนโลยกี ารสื่อสารท่ีสามารถส่ือสารถึงกันทั่วทั้งโลกภายในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้ประชาชน และเยาวชนเกิดการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ศิลปวัฒนธรรม รูปแบบการดารงชีวิตของ เพื่อนร่วมโลก และถือเป็นตัวแบบ ในการดารงชีวิตของตนโดยขาดการคิดวิเคราะห์ถึงความเป็นมา และเหตผุ ลทแ่ี ทจ้ ริงอย่างถูกต้อง ซงึ่ ปรากฏอยู่ใน สังคมปัจจบุ ัน และสง่ ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของ ประชาชนในท่ีสุด ดังจะเห็นได้จาก ข่าวการฉ้อฉลของผู้มีอานาจทางการเมือง การประพฤติผิดทาง เพศ การทุจริตคอรัปชั่นในวงราชการ การทุจริตใน การสอบเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาต่างๆ โดยใชเ้ ทคโนโลยีท่ที ันสมัยเปน็ เครือ่ งมือ รวมทงั้ ปัญหาการขาย บริการทางเพศของนิสิตนักศึกษา เป็น ตน้ ซึ่งปัญหาตา่ งๆ เหลา่ น้ีแสดงให้เหน็ ถึงการหย่อนยานทางด้านคุณธรรม จริยธรรมของประชาชนใน ชาติเป็นอย่างมาก และควรท่จี ะได้รับการแกไ้ ขอย่างเรง่ ด่วน๓๒ โสเครตสี (Socratis) และเพลโต (Plato) มคี วามเชอื่ ว่า คณุ ธรรม คือ ตัวนาไปสู่การมีชีวิตท่ีดี และ การประพฤติท่ีถูกต้อง และเชื่อว่าถ้าบุคคลรู้ว่าชีวิตท่ีดีคืออะไร มนุษย์จะไม่ทาในสิ่งที่ผิด การกระทาผิดเกิดจาก การขาดความรู้ ถ้ามนุษย์สามารถรู้ว่าอะไรคือความถูกต้อง เขาจะไม่กระทา ความผิด ดังนั้นการสอนให้คนรู้จักคิดหรือคิดเป็นจึงเป็น ส่ิงสาคัญสาหรับการนาไปสู่ความเป็นผู้มี คุณธรรม และคุณธรรมหลักที่ถือว่าเป็นคุณธรรมพื้นฐาน 4 ประการ คือ ความยุติธรรม (Justice) ๓๒ (กรมวชิ าการ. 2539: 1)

ความรอบคอบ (Prudence) ความกล้าหาญอดทน (Fortitude) และความรู้จักประมาณตน (Temperance) คุณธรรมเหล่าน้เี ป็นตวั นาใหบ้ คุ คลมชี วี ติ ทด่ี ีและมกี ารกระทาท่ีถูกต้อง อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายเรื่องชีวิตมนุษย์และคุณธรรมไว้ในผลงานสาคัญช่ือ Nicomachean ethics ไว้วา่ การท่ีบคุ คลจะเป็นผู้มีคุณธรรมได้ไม่ได้หมายถึงการท่ีบุคคลนั้นมีความรู้ เร่ืองของ คณุ ธรรม เช่น ความกล้าหาญ ความยุติธรรมแล้วประพฤติปฏบิ ัตติ ามหลักการนั้นอย่างม่ันคง อริสโตเติลถือว่า การที่บุคคลมีความรู้เรื่องความกล้าหาญ ความยุติธรรมแล้วสามารถตัดสินใจเลือก ปฏิบตั ไิ ดโ้ ดยใชเ้ หตุผลเป็น พ้ืนฐานอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ เวลา และตัวบุคคล บุคคลเช่นนี้ได้ ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม หรืออาจกล่าวอีก นัยหน่ึงได้ว่า อริสโตเติลเน้นลักษณะที่การแสดงออกถึง คุณธรรมมากกว่าการมีความรู้เร่ืองคุณธรรม เพราะบางคน รู้ว่าคุณธรรมคืออะไร แต่ก็อาจไม่ปฏิบัติ ตามน้ัน ตามทรรศนะของอริสโตเติลผู้มีคุณธรรมจะต้องเป็นผู้ที่มีการ กระทาที่แสดงออกถึงลักษณะ ของคุณธรรม เช่น ความกล้าหาญ ความรู้จักประมาณตน ความเป็นผู้มีปัญญา และ ความยุติธรรม อยา่ งสม่าเสมอ อริสโตเติล (Aristotle) อธิบายไว้ว่า คุณธรรมมีสองชนิด คือ คุณธรรมทางปัญญา (Intellectual virtue) และคุณธรรมทางศีลธรรม (Moral virtue) คุณธรรมทางปัญญาเกิดจากการ พัฒนาและการอบรมส่ังสอน ซ่ึงต้องใช้ประสบการณ์และเวลา ส่วนคุณธรรมทางศีลธรรมเป็นผลจาก การประพฤติปฏิบัติ (ซึ่งมาจากคาในภาษา กรีกว่า \"Etos\" ท่ีแปลว่านิสัย) ด้วยเหตุน้ี จึงเป็นท่ีปรากฏ ชดั วา่ ไมม่ ีคณุ ธรรมทางลักษณะนสิ ัยอนั ใดที่จะเกิดแก่ มนุษย์โดยธรรมชาติ หมายความว่า มนุษย์ไม่ได้ เกิดมามีคุณธรรมโดยกาเนิดและไม่มีส่ิงท่ีเกิดในธรรมชาติอันใด จะก่อให้เกิดลักษณะท่ีตรงกันข้ามกับ ธรรมชาติของส่งิ น้นั ได้ คณุ ธรรมเกยี่ วเนื่องอยู่กบั ความรสู้ ึกและการกระทา ถา้ มากหรือน้อยเกินไปก็จัด ได้ว่าผิดเปูาหมาย ในขณะท่ีถ้าอยู่ในความพอดีก็จัดได้ว่าถูกต้อง ดังน้ันคุณธรรมก็คือ วิถีก่ึงกลาง บุคคลอาจจะผิดพลาดต่อการมุ่งไปสู่เปูาหมายในหลายๆ วิธี แต่เขาสามารถกระทาถูกต้องต่อส่ิง เหล่านั้นเพียงวิธีเดียว และความมีเหตุผลก็อยู่ในฐานะเป็นส่ิงท่ีดี ความมากและน้อยเกินไปเป็น ลักษณะของความ ไม่ดี ขณะที่ความพอดีเป็นลักษณะของคุณธรรม ดังน้ันคุณธรรมจึงเป็นสภาวะ ท่ีเกี่ยวเน่ืองอยู่กับการเลือก ที่เก่ียวเน่ืองอยู่ในความพอดีท่ีสัมพันธ์อยู่กับตัวบุคคลและถูกกาหนดด้วย ความมีเหตุผล ซึ่งหมายถึงบุคคลผู้มี ปัญญาหรือเหตุผลทางการปฏิบัติจะกาหนดได้ซ่ึงเป็นความพอดี ระหว่างความสดุ โตง่ ท้งั สอง กลา่ วคือ ความมากและน้อยเกินไป ดังนั้นคุณธรรมจึงเป็นความพอดีที่อยู่ ในความรูส้ ึกและการกระทา ปราณี ตั้งใจดี๓๓ ได้รวบรวม ข้อความที่ผู้รู้ได้กล่าวถึงความสาคัญของคุณธรรม สรุปได้ดังนี้ คุณธรรมเป็นพื้นฐานการแสดงออกของการกระทา ท่ีเป็นประโยชน์ท้ังต่อตนเองและผู้อ่ืน ทงั้ คุณธรรมท่ีเปน็ บ่อเกดิ ของจรยิ ธรรมและเปน็ แก่นของค่านิยม คุณธรรมเป็นส่ิงที่ดีงามที่ควรปลูกฝังและดารงรักษา คุณธรรมนั้นผูกพันอยู่กับความสุข คือ เป็นเหตุให้พบความสุข และเป็นวิธีการที่ดีท่ีสุดในการดาเนินกิจกรรมทุกอย่าง จึงควรสร้างสม คุณธรรมเพื่อนามาซ่ึงความเป็นอยู่ที่ดี และความเต็ม สมบูรณ์ในชีวิต คุณธรรมเป็นส่ิงที่ผูกพันอยู่ กับคนดีและความดี และเป็นส่ิงที่อยู่ในความควบคุมของตัวเรา เกี่ยวพันอยู่กับความเคยชิน ของการประพฤติดี และก่อให้เกิดคุณธรรมอื่นๆ คือ เมื่อฝึกคุณธรรมด้านหน่ึงแล้ว จะเกิดคุณธรรม ด้านอน่ื ๆ ไปดว้ ย ๓๓ ปราณี ต้ังใจดี, 2540: 9,

สาหรับจริยธรรมเป็นคุณลักษณะท่ีจาเป็นมากในการอยู่ร่วมกันในสังคม สังคมใด ประกอบด้วยบุคคล ท่ีมีจริยธรรมสูงจานวนมาก ย่อมเต็มไปด้วยความสงบสุขและเอื้อต่อการพัฒนา ในทางตรงกันข้ามสังคมใด ประกอบด้วยผู้ที่มีจริยธรรมต่าจานวนมาก สังคมนั้นจะยุ่งเหยิง รุนแรง และอาจนาไปสู่ความวิบัติได้ สาหรับสภาพ สังคมไทยในศตวรรษที่ 21 กล่าวได้ว่าอยู่ในภาวะวิกฤต ทางจริยธรรม ทั้งน้ีเนื่องมาจากความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ขั้นรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในช่วงระยะเวลาท่ผี า่ นมา ความซับซ้อนของปัญหาเหล่านี้จะยังคงอยู่ ถ้าหาก ไม่มีการพัฒนาคุณภาพ ทางดา้ นจริยธรรมของบคุ คล๓๔ โดยท่ัวไปจริยธรรมมักอิงอยู่กับศาสนา ท้ังนี้เพราะคาสอนทางศาสนามีส่วนสร้างระบบ จริยธรรมใหส้ งั คม ดังคากล่าวของ ม.รว.คึกฤทธ์ิ ปราโมช ทว่ี ่า จริยธรรมของสังคมไทยข้ึนอยู่กับระบบ ศีลธรรมของพุทธศาสนา ศาสนาพุทธกาหนดหลักในการปฏิบัติในชีวิตประจาไว้อย่างไร นั่นหมายความว่า ได้กาหนดหลักจริยธรรมไว้ให้ ปฏิบัติอย่างนั้น แต่ทั้งน้ีมิได้หมายความว่าจริยธรรม อิงอย่กู บั หลักคาสอนทางศาสนาเพียงอย่างเดยี ว แทท้ ่ีจรงิ นัน้ จริยธรรมหย่ังรากอยู่บนขนบธรรมเนียม ประเพณี โดยนัยน้ี บางคนเรียกหลักแห่งความประพฤติอันเนื่องมาจาก คาสอนทางศาสนาว่า \"ศีลธรรม\" และเรียกหลักแห่งความประพฤติอันพัฒนามาจากแหล่งอ่ืนๆ ว่า \"จริยธรรม\" ศีลธรรมกับ จรยิ ธรรมจึงเปน็ อนั เดยี วกันในทรรศนะของนักวิชาการกลมุ่ น้ี ความแตกตา่ งอยตู่ รงแหล่งทีม่ า ถ้าแหล่งที่มาแห่งความประพฤติน้ันมาจากศาสนาหรือเป็นข้อบัญญัติของศาสนานั่นเป็น “ศลี ธรรม” แต่ถ้าเป็นหลักทั่วๆ ไปไม่เก่ียวกับศาสนา คือ อาจเป็นคาสอนของนักปรัชญาก็ได้ น่ันเป็น “จริยธรรม” อีกท้ัง จริยธรรมมิใช่กฎหมาย ทั้งนี้เพราะกฎหมายเป็นส่ิงบังคับให้คนทาตาม และมี บทลงโทษสาหรับผู้ฝุาฝืน ดังนั้น สาเหตุท่ีคนเคารพเชื่อฟังกฎหมายเพราะกลัวถูกลงโทษ ในขณะท่ี จรยิ ธรรมไม่มีบทลงโทษ ดังน้ันคนจึงมีจริยธรรม เพราะมีแรงจูงใจ แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็มีส่วน เกี่ยวขอ้ งกบั จรยิ ธรรมในฐานะเปน็ แรงหนนุ จากภายนอก เพ่อื ใหค้ นมีจรยิ ธรรม๓๕ จริยธรรมถือได้ว่ามีความสาคัญมากไม่ว่าจะมองในลักษณะใด กล่าวคือ ถ้าเรามองว่า จริยธรรมว่า หมายถึง คุณสมบัติของจิตใจคนซ่ึงจะกากับหรือบันดาลพฤติกรรมของบุคคล ก็ย่อม อธิบายได้ว่าพฤติกรรมของ บุคคลย่อมเป็นไปตามแนวคิดเชิงจริยธรรมของเขา หรือถ้ามองว่า จริยธรรมหมายถงึ กฎเกณฑ์หรือมาตรฐานของ สังคม ก็สามารถอธิบายได้ว่าพฤติกรรมของบุคคลย่อม เปน็ ไปตามจรยิ ธรรมของสงั คมอยนู่ ั่นเอง ดังนั้นจึงควรให้ ความสาคัญแก่จริยธรรมเสมอ เมื่อพิจารณา ถงึ ความสงบสุขของสงั คม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพของสังคม ปัจจุบันซ่ึงสภาวะแวดล้อมของสังคม ก่อให้เกิดความกดดันแก่มนุษย์เป็นอย่างมาก๓๖ และจากการท่ีประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้า ทางวิทยาการใหม่ๆ และมีการพัฒนามากขึ้น รูปแบบของสังคม มีการเปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยเป็น สังคมท่ีเคยพ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน กลายเป็นสังคมท่ีต่างคนต่างอยู่ ผู้คนหาเช้ากินค่า มีปฏิสัมพันธ์ กันน้อยลงระหว่างเพื่อนบ้านใกล้เคียงกัน หรือแม้แต่ในครอบครัว สังคมมีแต่ความ แก่งแย่งชิงดีกัน เพอ่ื ให้ได้มาซ่ึงผลประโยชน์ท่ีตนเองต้องการ โดยไม่คานึงถงึ ความเดือดร้อนของผู้อื่น ทาให้เกิด ปัญหา ทางจริยธรรมมากข้ึน เช่น ปัญหาความเครียดอันเกิดเนื่องมาจากความสัมพันธ์ในครอบครัว ปัญหา ความ ไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรมทางเพศ เป็นต้น ๓๔ (ดวงเดือน พนั ธมุ นาวนิ , 2543: 1) ๓๕ (ดวงเด่น นเุ รมรมั ย์, 2547: ออนไลน์) ๓๖ (ชาญชยั อนิ ทรประวตั ิ. 2535 10)

ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่าน้ี เกิดขึ้นเน่ืองมาจากการขาดจริยธรรมของบุคคลในสังคม “คุณธรรมและ จริยธรรมในสังคมเป็นรากฐานของความเจริญรุ่งเรืองของสังคม”๓๗ คุณธรรมและจริยธรรมจึง เป็นสิ่ง ที่กาหนดความเจริญและความล่มสลายของสังคมและประเทศชาติ เมื่อใดก็ตามที่บุคคลในสังคม ละเลยมิติ แห่งคุณธรรมและจริยธรรมในสังคมแล้ว ก็เท่ากับเป็นการทาลายโครงสร้างสังคมให้ พงั ทลายลงทีเดยี ว จรยิ ธรรมของบุคคลเปน็ จุดสูงสดุ ของความเปน็ มนุษย์ สังคมและโลกจะอยู่ได้อย่าง ร่มเย็นเป็นสุขและมั่นคง หรือในทางตรงข้าม อยู่กันอย่าง หวาดกลัวภัย เพราะมีการเอาเปรียบกัน เบยี ดเบยี นกนั จนเกิดการทาลายล้างเผ่าพันธุ์กอ็ ยทู่ ีจ่ รยิ ธรรมของมนุษย์ ในปัจจุบันและอนาคตน่ันเอง ดังน้ันจริยธรรมจึงเป็นเรื่องท่ีควรมีการปลูกฝังและสร้างเสริมในคนรุ่นใหม่ โดยไม่มี ข้อยกเว้นใดๆ๓๘ แสดงทรรศนะไว้ว่า การพัฒนามนุษย์ให้เกิดความเฉลียวฉลาดในเชิงวิทยาศาสตร์ ( Scientific intelligence) แต่เพียงอย่างเดียว อาจทาให้สังคมมนุษย์เจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและทางวัตถุ แต่ไม่สามารถทาให้มนุษย์ อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขได้ จึงจาเป็นท่ีจะต้องสร้างหรือพัฒนาความฉลาด ที่จะอยูร่ ว่ มกนั (Social intelligence) เพ่ือกอ่ ใหเ้ กดิ สนั ติสุขโดยอาศยั จรยิ ธรรมมากข้นึ จากความสาคัญของคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมท่ีไดก้ ล่าวมาข้างต้น สามารถกล่าวได้ว่า คุณธรรม และ จริยธรรมมีความสาคัญมาก เพราะเป็นรากฐานของความเจริญรุ่งเรืองของสังคม และเป็นส่ิงที่ กาหนดความเจริญ และความล่มสลายของสังคม ดังน้ันผู้บริหารประเทศ นักวิชาการด้านการศึกษา และผู้ท่ีเกี่ยวข้องต้องตระหนัก และเล็งเห็นความสาคัญในการที่จะแก้ปัญหา เร่งพัฒนาจิตใจ และพฤติกรรมของบคุ คลในทกุ ระดับช้นั ร่วมกันหา แนวทางในการแก้ไขปัญหาคุณธรรมและจริยธรรม ในสังคม และหาทางปลูกฝังให้บุคคลในสังคมมีคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้บุคคลสามารถ ท่ีจะดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข และช่วยกันทาประโยชน์ให้แก่สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันอุดมศึกษา จะต้องทาหน้าที่เป็นแหล่งเพาะคุณธรรมจริยธรรมให้เกิดแก่นิสิตนักศึกษา เพ่ือให้ สามารถนาความรู้ท่ีได้มาใช้ในทางที่ถูกและเกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ คือ เป็นทั้งคนดี และ คนเก่ง อันส่งผลให้สังคมและประเทศชาตเิ จรญิ ก้าวหน้าอยา่ งสงบสขุ ๓๗ เกรยี งศักด์ิ เจริญวงศศ์ ักดิ์ (2541 : 103) ๓๘ ดวงเดอื น พนั ธมุ นาวนิ (2547: 171)

บทที่ 3 ทฤษฏที างจติ วทิ ยาทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั จรยิ ธรรม 3.1 ความนา จิตวิทยาการเรียนรู้ (Psychology of learning) หมายถึงจิตวิทยาท่ีใช้ในการถ่ายทอดความรู้ โดยการเรยี นรจู้ ะเกิดขึ้นได้นั้นต้องเกดิ จากพฤติกรรมท่ีเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวรหรือเกิดจากการฝึกฝน ซึง่ กระบวนการเรียนร้จู ะเกดิ ไดจ้ ากขน้ั ตอนหลัก 4 ขัน้ ตอนคือต้ังใจจะรู้ กาหนดวิธีปฏิบัติเพ่ือให้รู้ ลงมือ ปฏิบัติและได้รับผลประจักษ์ สาหรับทฤษฎีการเรียนรู้นั้นจะพยายามศึกษาว่ากระบวนการเรียนรู้น้ัน มีลักษณะอย่างไร ในงานวิจัยส่วนใหญ่น้ันจะทาการศึกษาแบบพฤติกร รมนิยมแบบพุทธินิยม และแบบ self-regulated learning โดยมีจติ วิทยาทางสอ่ื เป็นแนวการศึกษาใหม่ที่เพ่ิมเข้ามา เนื่องจาก เทคโนโลยมี ีบทบาทในการสร้างประสบการณ์การเรยี นรู้ การเรยี นรทู้ างจริยธรรมและการพัฒนาจริยธรรมของมนุษย์ มีกล่าวท้ังในวิชาจิตวิทยา แนวคิด ของนักการศึกษา รวมถึงงานวิจัยที่เก่ียวข้อง แนวคิดแต่ละทฤษฏีอาจคล้ายกันบ้างแตกต่างกันบ้าง ในการศึกษาและนามาปฏิบัติจะต้องพิจารณาจุดเด่นจุดด้อยของทฤษฏีนั้นๆ แล้วนามาบูรณาการ กบั ทฤษฏีอ่นื ๆ เพอื่ ใหก้ ารพัฒนาจรยิ ธรรมมนษุ ยม์ ีประสทิ ธิภาพสงู สุดและมขี ้อบกพร่องน้อยทส่ี ุด 3.2 ทฤษฏที างจติ วทิ ยา การเรียนรู้ เป็นกระบวนการที่มีความสาคัญและจาเป็นในการดารงชีวิต ส่ิงมีชีวิตไม่ว่ามนุษย์ หรือสัตว์เริ่มเรียนรู้ต้ังแต่แรกเกิดจนตาย สาหรับมนุษย์การเรียนรู้เป็นส่ิงที่ช่วยพัฒนาให้มนุษย์แตกต่าง ไปจากสัตว์โลก อ่ืน ๆ ดังพระราชนิพนธ์บทความของสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดา ฯ ท่ีว่า \"สิ่งท่ีทาให้ คนเราแตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ ก็เพราะว่า คนย่อมมีปัญญา ท่ีจะนึกคิดและปฏิบัติสิ่งดีมีประโยชน์และ ถกู ตอ้ งได้ \"การเรยี นรชู้ ่วยให้มนุษย์รู้จักวิธีดาเนินชีวิตอย่างเป็นสุข ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและ สภาพการตา่ งๆ ได้ ความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์จะมีอิทธิพลต่อความสาเร็จและความพึงพอใจ ในชีวิตของมนษุ ยด์ ้วย ประกอบด้วยทฤษฎีดงั ตอ่ ไปน้ี 3.2.1 ทฤษฏขี องเพยี เจต์ (Piaget is Theory of lntellectual Development) 3.2.2 ทฤษฏพี ัฒนาจริยธรรมของโคลเบริ ก์ (Kolberg) 3.2.3 ทฤษฏีจติ วิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) 3.2.4 ทฤษฏีความตอ้ งการของมาสโลว์ (Maslow is Theory of Need Gratification) 3.2.1 ทฤษฏขี องเพยี เจต์ (Piaget is Theory of lntellectual Development) เพียเจต์๑ เช่อื วา่ การเรยี นรูข้ องมนษุ ย์เกิดจากการปรับตัวและการสร้างสมดุลระหว่างสติปัญญา กับสภาวะแวดล้อมที่จะทาให้มนุษย์ดารงชีวิตอยู่ พัฒนาการของมนุษย์มีความต่อเนื่องและเจริญข้ึน ๑ เพยี เจต์ ( Piaget, 1932 : 9-55 )

ตามวุฒิภาวะ และพัฒนาการของมนุษย์ย่อมขึ้นอยู่กับพัฒนาทางสติปัญญาของบุคคลน้ัน เพียเจต์ ( Piaget ) ได้แบ่งขนั้ ตอนของพัฒนาสตปิ ัญญาออกเป็น 4 ขน้ั คือ 1. ขน้ั รับรูจ้ ากประสาทสัมผสั และการเคลอื่ นไหว (sensorimotor operation) 2. ขัน้ เร่ิมคดิ ด้วยปัญญา (pre-operational thinking) 3. ขนั้ คดิ ด้วยรปู ธรรม (concrete operational thinking) 4. ขั้นคดิ ตามแบบแผนของตรรกวิทยา (formal prepositional thinking or formal operational thinking) จากพัฒนาการทางสติปัญญาทั้ง 4 ขั้นน้ี เพียเจต์ ( Piaget) ได้นามาเป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่ง ข้ันพฒั นาจริยธรรมออกเป็น 3 ขน้ั ดังน้ี ระดบั พฒั นาทางสตปิ ญั ญา 1. ข้ันรับรู้จากประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว (sensorimotor operation) อายุตั้งแต่แรก เกิด จนถึง 2 ขวบ 2. ข้ันเริ่มคิดด้วยปัญญา (pre-operational thinking) และขั้นเร่ิมคิดด้วยรูปธรรม (early concrete operational thinking) อายปุ ระมาณ 2-7 ปี 3. ขั้นคดิ คน้ ดว้ ยรปู ธรรมในช่วงปลาย (late concrete operational thinking) อายุ 7-11 ปี ถงึ ขน้ั คิดตามแบบแผนของตรรกวทิ ยา (formal operational thinking) อายุต้ังแต่ 11 ปี ข้ึนไปถึง 15 ปี ระดบั พฒั นาทางจรยิ ธรรม 1. ขั้นก่อนจริยธรรม เป็นชั้นท่ียังไม่มีความสามารถรับรู้ส่ิงแวดล้อมได้อย่างละเอียด มีแต่ ความตอ้ งการทางรา่ งกาย 2. ข้ันยึดคาสั่ง ในข้ันน้ีเด็กจะรับรู้สภาพส่ิงแวดล้อมและบทบาทของตนเองต่อผู้อื่น รู้จักเกรง กลวั ผู้ใหญ่ เห็นว่าคาสงั่ หรือกฎเกณฑต์ า่ งๆ เปน็ สงิ่ ทีต่ ้องปฏบิ ัตติ าม 3. ขนั้ ยดึ หลกั แหง่ ตน เด็กสามารถใช้ความคดิ อย่างมีเหตุผลประกอบการตัดสินใจและตั้งเกณฑ์ ท่เี ปน็ ตวั ของตวั เอง ผลจาการวิจัยในระยะต่อมา เพียเจต์ ( Piaget) ได้ต้ังเกณฑ์การให้เหตุผลเชิงจริยธรรมไว้ 6 เกณฑ์ คอื 1. การตัดสินจากเจตนาการกระทา (intentional in judgment) เด็กเล็กจะตัดสินการกระทา จากปรมิ าณสิง่ ของ ส่วนเด็กโตจะตัดสนิ จากเจตนาของการกระทา 2. การตัดสินเก่ียวโยงกับความสัมพันธ์กับผู้อื่น (Relativism in Judgment) เด็กเล็กจะตัดสิน การกระทาโดยยึดเอาความเช่ือความเห็นของผู้ใหญ่ว่าดี ส่วนเด็กโตจะยึดเอาเหตุผลและสถานการณ์ ประกอบการตดั สิน 3. ความเห็นอิสระจากการลงโทษ (independent of sanction) เด็กเล็กจะตัดสินว่า การกระทาใดไม่ดีจากการกระทาใดไม่ดีจากการถูกทาโทษ แต่เด็กโตจะตัดสินการกระทาใดไม่ดี เพราะ สิง่ นน้ั ไปขดั กับเกณฑ์และเกิดอันตรายต่อบคุ คลอื่น 4. ใชว้ ิธกี ารแกแ้ ค้น (use of reciprocity) วธิ ีนเี้ ด็กเล็กใช้น้อยกวา่ เด็กโต 5. การลงโทษเพื่อตัดสินนิสัย (use of punishment as restitution and reform) เด็กเล็ก จะสนบั สนนุ การลงโทษอยา่ งหนกั เพ่อื แก้นสิ ัย แตเ่ ดก็ โตไมค่ อ่ ยเห็นดว้ ย

6. หลักธรรมชาติของความโหดร้าย (nationalist of misfortune) เด็กเล็กจะถือว่าการกระทา ผดิ จะต้องไดร้ ับการลงโทษจากพระเจา้ จากท่ีกล่าวมาพอจะสรุปได้ว่าตามแนวคิดของเพียเจต์ ( Piaget) เด็กเล็กจะมองกฎเกณฑ์ว่า เป็นส่ิงจริงจัง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ( absolute) และมาจากอานาจภายนอก ( external) หมายความว่า พฒั นาการทางจรยิ ธรรมของเด็กเลก็ จะอยใู่ นลกั ษณะผิดว่ากันไปตามส่ิงที่สังเกตเห็นได้ โดยมิได้คานึกถึง เจตนาของผู้กระทา ที่เป็นเช่นน้ีเนื่องมาจากการใช้ภาษา และความคิดของเด็กมีลักษณะยึดตนเองเป็น ศูนย์กลาง (egocentric) ทาให้ไม่สามารถมองเห็นหลาย ๆ ส่ิงได้ ในเวลาเดียวกัน เมื่อเด็กโตขึ้นอายุ ประมาณ 11-12 ปี พัฒนาการทางจริยธรรมของเด็กวัยนี้จะมีการเช่ือมโยงหาเหตุผล เด็กจะคานึงถึง เจตนาของผู้ทามากกว่าสิ่งท่ีสังเกตได้เฉพาะหน้า เน่ืองจากเด็กวัยนี้สามารถมองหลาย ๆ สิ่งได้ในเวลา เดียวกัน เด็กโตจึงสามารถเข้าใจถึงเจตนาของผู้อ่ืนและสามารถยืดหยุ่นเก่ียวกับกฎเกณฑ์ได้ โดย ตระหนักว่ากฎเกณฑ์เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างบุคคลในการควบคุมพฤติกรรมในแต่ละสถานการณ์ เทา่ นน้ั นอกจากนีย้ ังสามารถนากฎเกณฑ์ไปใชใ้ นสถานการณ์ตา่ ง ๆได้ 3.2.2 ทฤษฏีพฒั นาจรยิ ธรรมของโคลเบริ ก์ (Kolberg) โคลเบิร์ก๒ (Kolberg) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มปัญญานิยม (cognitivism) ซึ่งมีความเช่ือพ้ืนฐาน ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ท่ีมีสมอง สามารถเกิดการเรียนรู้ เพ่ือการปรับตัวให้ดารงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมได้ โดยนาแนวเชื่อทางชีววิทยามาประยุกต์กับศาสตร์ทางจิตวิทยา แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวคิก ของเพียเจต์ ( Piaget) คือ เช่ือว่า จริยธรรมน้ันมีพัฒนาการตามระดับวุฒิภาวะเช่นกัน เพราะจริยธรรม ของมนุษยเ์ กิดจากกระบวนการทางปัญญา เม่อื มนุษย์มีการเรยี นร้มู ากขึ้น โรงสรา้ งทางปัญญาเพิ่มพูนข้ึน จริยธรรมกพ็ ฒั นาตามวุฒภิ าวะ แนวคิดนเ้ี ปน็ แนวคดิ แบบสมั พทั ธนยิ ม (Relativism) ซ่ึงเชื่อว่าจริยธรรม มีความสมั พนั ธก์ ับอายุ กาลเวลา สถานท่ี วัฒนธรรม และสภาพการณ์ ซงึ่ ความหมายว่า “ความถูกต้อง” “ความด”ี “ความงาม” ขึ้นอยกู่ ับเวลา สถานท่ี และองคป์ ระกอบอ่ืน ๆ นอกจากนีโ้ คลเบริ ์ก (Kolberg) ยงั ได้ โดยวเิ คราะหค์ าตอบของเยาวชนอเมริกนั อายุ 10-16 ปี เกยี่ วกบั เหตุผลในการเลอื กทาพฤติกรรมอยา่ งหนึ่งในสถานการณ์ท่ีขัดแย้งกันระหว่างความต้องการส่วน บุคคลและกฎเกณฑ์ของกลุ่มหรือสังคม และนามาสรุปเป็นเหตุผลในการแบ่งจริยธรรมออกเป็น 6 ข้ัน โดยแบง่ ออกเป็น 3 ระดบั ๆ ละ 2 ข้ัน ดังน้ี ระดบั จริยธรรม ระดับที่ 1. ระดับก่อนเกณฑ์สังคม (pre conventional level ) อายุ 2-10 ปี การท่เี รยี ก ระดับนวี้ า่ ก่อนเกณฑ์สงั คม เพราะว่าเด็กในวัยนย้ี ังไม่เขา้ ใจกฎเกณฑส์ ังคม แตจ่ ะรับกฎเกณฑ์ข้อกาหนด วา่ อะไรดี ไม่ดี จากผมู้ ีอานาจเหนือตน เชน่ พอ่ แม่ ครู หรือ เดก็ ทีโ่ ตกวา่ จริยธรรมในระดับน้ี คือ หลกี เล่ยี งการลงโทษและคิดถึงผลตอบแทนทเ่ี ปน็ ประโยชน์ เชน่ การแสวงหารางวลั ระดับท่ี 2. ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคม (conventional morality) ช่วงอายุระหว่าง 10-20 ปี ผทู้ ่ีอยใู่ นช่วงอายนุ ี้สว่ นใหญ่สามารถทจ่ี ะปฏิบัติตามกฎเกณฑส์ งั คมเพราะรวู้ ่าเปน็ กฎเกณฑ์ ระดับที่ 3. ระดับจริยธรรมเหนือกฎเกณฑ์สังคม (post conventional level) โดยปรกติ คนจะพัฒนาข้ึนมาถึงระดับน้ี หลังจากอายุ 20 ปี แต่จานวนไม่มากนัก จริยธรรมระดับน้ีจะอยู่เหนือ กฎเกณฑ์สังคม กล่าวคือคนจะดีความหมายของหลักการและมาตรฐานทางจริยธรรมด้วยวิจารณญาณ ๒ ศึกษาวิจัย (Kolberg, 1964 : 383-432)

ของตนเอง วิเคราะห์ด้วยตนเองก่อน โดยคานึกถึงความสาคัญและประโยชน์เสมอภาคในสิทธิมนุษยชน โดยปรกตคิ นจะพฒั นาถึงระดับน้ีมจี านวนไม่มากนัก ขนั้ การใชเ้ หตผุ ลเชิงจรยิ ธรรม ขั้นท่ี 1. การเช่ือฟังและการลงโทษ (obedience and punishment orientation) พฤติกรรม “ดี” คือ พฤตกิ รรมทที่ าแลว้ ได้รางวลั พฤติกรรม “ไมด่ ี” คอื พฤตกิ รรมทที่ าแลง้ ได้รับการลงโทษ ข้ันท่ี 2. กฎเกณฑ์เป็นเคร่ืองมือเพื่อประโยชน์ของตนเอง (instrumental relativist orientation) เด็กจะเช่ือฟังหรือทาตามผู้ใหญ่ ถ้าคิดว่าตนเองจะได้รับประโยชน์ หรือได้รับความพึง พอใจ ขั้นที่ 3. หลักการทาตามผู้อ่ืนเห็นชอบ (good boy nice girl orientation ) อายุ 9-13 ปี เปน็ การทาตามกฎเกณฑข์ องสงั คม เพอื่ จะได้รับการยอมรบั วา่ เปน็ เดก็ ดี ขั้นท่ี 4. หลักการทาตามกฎระเบียบสังคม (Law and order orientation) อายุ 14-20 ปี เป็นข้นั ทยี่ อมรับในอานาจและกฎเกณฑข์ องสงั คม พร้อมทจ่ี ะปฏบิ ัตติ ามกฎเกณฑ์ของสงั คม ขั้นที่ 5. หลักการทาตามสัญญาสังคม (social contract orientation) เป็นข้ันท่ีเน้น ความสาคัญของมาตรฐานทางจริยธรรมท่ีคนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับว่าเป็นส่ิงที่ถูกต้องสมควรปฏิบัติ ตาม โดยพิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิซ่ึงกันและกัน ในขั้นน้ีสิ่ง ถูก-ผิด จะข้ึนอยู่กับค่านิยมและความ คิดเห็นของแต่ละบคุ คล ข้นั ที่ 6. หลกั การทางจริยธรรมท่ีเป็นสากล (universal ethical principle orientation) ข้ันนี้ เป็นขั้นที่แต่ละบุคคลเลือกท่ีจะปฏิบัติตามหลักการทางจริยธรรมด้วยตัวของมันเอง และเมื่อเลือกแล้ว ก็ปฏิบัติอย่างคงเส้นคงวา เป็นหลักการเพื่อมนุษยธรรม เพ่ือความเสมอภาคในสิทธิมนุษยชน และเพ่ือ ความยตุ ธิ รรมของมนษุ ย์ทกุ คน นอกจากนี้โคลเบิร์ก (Kolberg) ยังได้ศึกษาพบความสัมพันธ์ระหว่างจริยธรรมกับลักษณะอื่น ของมนุษย์ ทสี่ าคัญคอื 1. ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งจรยิ ธรรมกบั ระดบั สติปัญญาท่ัวไป และความสมั พันธร์ ะหวา่ งจริยธรรม กับความสามารถที่จะผลได้ท่ีดีกว่าในอนาคต แทนที่จะรับผลที่เล็กน้อยกว่าในปัจจุบันหรือในทันที ซึง่ ลักษณะนี้เรียกวา่ “ลักษณะมงุ่ อนาคต” 2. ผู้มีจริยธรรมสูงจะเป็นผู้มีสมาธิดี สามารถควบคุมอารมณ์ของตน และมีความภาคภูมิใจ ในตนเองและสภาพแวดล้อม สงู กว่าผมู้ จี ริยธรรมต่า 3. โคลเบิร์ก (Kolberg) ได้ศึกษาจริยธรรมตามแนวคิดของเพียเจต์ ( Piaget) และพบว่า พัฒนาการทางจรยิ ธรรมของมนุษย์ ไมไ่ ด้บรรลุจุดสมบูรณ์ในบุคคลอายุ 16 ปี เป็นสว่ นมาก แต่มนุษย์ใน สภาพปรกตจิ ะมพี ัฒนาการทางจรยิ ธรรมอีกหลายข้นั ตอนจนอายุ 16-25 ปี 4. การใช้เหตุผลเพื่อการตัดสินใจ ที่จะเลือกการกระทาส่ิงใดส่ิงหนึ่งในสถานการณ์ต่างๆ ย่อม แสดงให้เห็นถึงความเจริญทางจิตใจของบุคคลได้อย่างมีแบบแผนและยังอาจทาให้เข้าใจพฤติกรรม ของบคุ คลในสถานการณ์ต่างๆ ได้ เหตุผลเชิงจริยธรรมของแต่ละบุคคลเป็นเคร่ืองทานายพฤติกรรมเชิง จริยธรรมของบคุ คลน้ันในสถานการณ์แต่ละอย่างได้อีกดว้ ย ทฤษฏีของโคลเบิร์ก (Kolberg) เป็นท่ีนิยมนามาใช้กันมาก โดยเฉพาะอย่างย่ิงทฤษฏีการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม (Moral Reasoning) เป็นฐานความคิดของนักจิตวิทยาและนักการศึกษา ของตะวันตกเป็นจานวนมาก แม้ในประเทศไทย นักจิตวิทยาและนักพฤติกรรมศาสตร์ก็ได้ทาวิจัยโดยยึด กรอบแนวคิดของโคลเบริ ก์

ตามทัศนะของโคลเบิร์ก (Kolberg) จริยธรรมแต่ละข้ันเป็นผลจากการคิดไตร่ตรอง ซึ่งจาเป็นต้องอาศัยข้อมูล ข้อมูลที่นามาพิจารณาส่วนหนึ่งเป็นความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ และอีกส่วนหนึ่งเป็นประสบการณ์ที่ได้รับใหม่ โดยเฉพาะข้อมูลที่ได้รับฟังจากทัศนะของผู้อ่ืนซึ่งอยู่สูง กวา่ ระดับของตนเอง 1 ช้ัน วิธีปลูกฝังจริยธรรมตามแนวคิดของโคลเบิร์ก (Kolberg) ไม่อาจกระทาได้ด้วยการสอน หรือการปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้ดู และไม่อาจเรียนรู้ด้วยการกระทาต่างๆ จริยธรรมสอนกันไม่ได้ จริยธรรมพัฒนาขึ้นมาด้วยการนึกคิดของแต่ละบุคคล ตามลาดับขั้นและพัฒนาการของปัญญาซ่ึงผูกพัน กับอายุ ดงั นัน้ หากยงั ไมถ่ งึ วยั อันควร จริยธรรมบางอยา่ งกไ็ มเ่ กิด๓ ทฤษฏีการปลูกฝังจริยธรรมด้วยเหตุผล (moral reasoning)ของโคลเบิร์ก (Kolberg) ใช้กิจ กิจกรรมที่สาคัญในการพัฒนาจริยธรรมคือ การอภิปรายและแลกเปลี่ยนทัศนะความคิดเห็น โดยมี ขน้ั ตอนดังน้ี ขั้นตอนที่ 1 ผ้ดู าเนินการเสนอประเดน็ ปัญหาหรอื เรื่องราวท่ีมคี วามยากแกก่ ารตัดสนิ ใจ ขั้นตอนที่ 2 แยกผู้อภปิ รายออกเป็นกลุ่มย่อยตามความคดิ เหน็ ที่แตกต่างกนั ข้ันตอนท่ี 3 ใหก้ ลุ่มยอ่ ยอภปิ รายเหตผุ ล พร้อมหาขอ้ สรุปว่า เหตุผลท่ีถูก – ผิด หรือควรทา ไม่ ควรทา เพราะเหตุอะไร ขน้ั ตอนที่ 4 สรปุ เหตุผลของฝุายท่ีคิดว่าควรทาและไมค่ วรทา จากท่ีกล่าวมาจะพบว่าแนวคิดของโคลเบิร์ก (Kolberg) ใกล้คียงกับเพียเจต์ ( Piaget) คือ เชื่อว่าพัฒนาการทางจริยธรรมของมนุษย์พัฒนาการได้ตามวัย และวุฒิภาวะทางสติปัญญา พัฒนาการ ทางจริยธรรมของมนุษย์ไม่ใช่การปูอนรูปแบบ กล่าวคือดูรูปหนึ่งจบแล้ว ดูอีกรูปหนึ่งโดยท่ีรูปแรก ไม่ปรากฏในสายตาอีกต่อไป แต่พัฒนาการของมนุษย์จะค่อยๆพัฒนาไปตามวัน เวลา เจริญขึ้นเร่ือยๆ ตามวุฒิภาวะ จริยธรรมเก่ายังจะมีรากแก้วฝังอยู่ และพัฒนาตามกาลเวลาท่ีมนุษย์มีวุฒิภาวะเพิ่มข้ึน เกิดเป็นจริยธรรมใหม่ขึ้น จริยธรรมไม่ได้สร้างข้ึนภายในหน่ึงวัน คนจะมีอุปนิสัยดีงามต้องสร้างเสริม และสะสมจากการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมด้วยกระบวนการทางสังคม และจะเรียนรู้ได้ตาม ความสามารถของวฒุ ิภาวะ ซึ่งกาหนดโดยปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ งพนั ธุกรรมกบั สิ่งแวดลอ้ ม 3.2.3 ทฤษฏจี ติ วเิ คราะห์ (Psychoanalytic Theory) ผู้นาทฤษฏีนี้ คือ ฟรอยด์ (Freud) จิตแพทย์ออสเตรีย๔ นักจิตวิทยากลุ่มนี้เช่ือว่าธรรมชาติ ด้ังเดิมของมนษุ ย์มคี วามเลวติดตวั มาต้งั แต่เกิด พฤตกิ รรมตา่ งๆเกดิ จากสัญชาตญาณซึ่งเป็นแรงกระตุ้นที่ เกิดจากภายใน สัญชาตญาณดังกล่าวมี 2 ชนิด คือ สัญชาตญาณทางเพศ ซ่ึงผลักดันให้บุคคลแสดง พฤติกรรมออกมาเพ่ือให้มีชีวิตอยู่รอด และสัญชาตญาณความก้าวร้าว เป็นแรงผลักดันให้บุคคลแสดง พฤติกรรมออกมาในลักษณะก้าวร้าวทาลาย ซึ่งแสดงออก 2 ลักษณะคือ ก้าวร้าวตนเอง และก้าวร้าว ผ้อู ื่น นอกจากพฤตกิ รรมจะเกิดจากสญั ชาตญาณดังกล่าว ซ่ึงแอบแฝงอยู่ในจิต ท่ีเรียกว่า จิตไร้สานึก แล้ว พฤติกรรมจะเกิดจากระบบของจิต 3 ระบบ คือ คิด (id) อีโก้ (ego) และซุปเปอร์อีโก้ (super ego) ๓ (ชัยพร วชิ ชาวธุ และ ธีระพร อวุ รรณโณ ,2534 : 96) ๔ (สมพร สุทศั นยี ์ 2541 ,185-186)

พฤติกรรมสว่ นใหญ่เกิดจาก (id) คือพฤตกิ รรมทแี่ สดงออกเพื่อสนองความพอใจของตนเองฝาุ ย เดียว โดยมไิ ด้คานึงถึงความรู้สกึ ของผู้อน่ื เมื่อบคุ คลต้องการกระทาสงิ่ ใดก็ลงมอื ทาทันทีโดยไม่ใครค่ รวญ การกระทาจงึ ไมเ่ ปน็ ทย่ี อมรบั ของสงั คม แตห่ ากทาไม่ได้กจ็ ะเกดิ ความเครยี ดทางออกทดี่ ีท่ีสดุ คือใช้กลไก การปอู งกันตนเองทเี่ รยี กว่า “การทดเทิด” (Sublimation) คือ แสดงพฤติกรรมที่ดีแทนพฤตกิ รรมทไี่ ม่ดี เชน่ ฝกึ เปน็ นกั มวยท่ีมีช่อื เสยี งแทนพฤติกรรมกา้ วร้าวเกเร หรือ ทดแทนความกดดันทางเพศ ทางศาสนาเรียกอิดว่า (id) น้ีว่า สัญชาตญาณดิบ ซึ่งมีราคะ โลภะ โทสะ เป็นพื้นฐานอยู่ และอาจแฝงด้วยโมหะ กล่าวโดยรวมส่ิงท่ีฟรอยด์เรียกว่า (id) น่ันก็คืออกุศลจิตในพระพุทธศาสนา นั่นเอง๕ พฤติกรรมท่ีเกิดจากอีโก้ (ego) คือ พฤติกรรมท่ีเป็นไปตามหลักเหตุผล และความเป็นจริง เช่น นายแดงอยากฟังเพลงเสียงดัง เขาจะไม่เปิดให้เสียงดังเพราะจะทาให้คนอ่ืนเดือดร้อน แต่เขาจะคิดหา เหตผุ ลวา่ ทาอย่างไรจึงจะสนองความต้องการได้ แสดงว่าพฤติกรรมแบบอีโก้ (ego) แม้จะเป็นพฤติกรรมท่ีเป็นไปตามหลักเหตุผลก็จริง แต่ยังมี ความตอ้ งการสนองความพอใจของตนเอง เรียกว่า ยังมี “อัสมิมานะ” ได้แก่ ความรู้สึกว่า ตัวฉัน ตัวเรา คอื อหงั การ หรอื ความรู้สึกของจติ ท่ียังมีอหังการอยู่ ยังมอี ัสมมิ านะอยนู่ ั่นเอง พฤติกรรมที่เกิดจากซุปเปอร์อีโก้ (super ego) ซุปเปอร์อีโก้ เป็นส่วนของคุณธรรม คนที่มี ซปุ เปอร์อโี ก้จะเป็นคนท่ีมคี ุณธรรม และมคี วามรบั ผดิ ชอบสูง แสดงว่ามนุษย์ยังมีคุณธรรม จริยธรรม หรือทางพระเรียกว่ามี “กุศลเจตสิก” คอยยับยั้งเอาไว้ ไม่ให้กระทาตามใจอยากเสียทุกอย่าง คนท่ีมีซุปเปอร์อีโก้สูงจึงเป็นคนมีคุณธรรมจริยธรรมและมีความ รับผิดชอบสงู ซุปเปอร์อีโก้ เป็นส่วนที่เกิดจากการอบรมสั่งสอน การถูกควบคุมโดยขนบธรรมเนียมประเพณี การกลัวโทษทัณฑ์เมื่อทาผิด เมื่ออิด (id) กับ ซุปเปอร์อีโก้ (super ego) เกิดข้ึนในจิตพร้อมกัน อีโก้ (ego) จะตอ้ งทาหน้าที่ตัดสินว่าจะเอาอย่างไรดี ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งข้ึนในตน (self – conflict) ทาให้มนุษย์ยุ่งยากใจในการตัดสินใจ แม้ธรรมจะชนะอธรรมในบางคราว ก็ไม่ได้แปลว่า อิด ( id) จะหายไป มันเพียงแต่ถูกกดข่มไว้เท่านั้น เมื่อใดจริยธรรมหรือซุปเปอร์อีโก้อ่อนแอลง เม่ือนั้นอิด (id) จะแผลงฤทธข์ิ ้ึนมาอีก และอาจรนุ แรงกว่าเดมิ เพราะถกู เก็บกดไวม้ าก ในสังคมมนุษย์มีขนบประเพณีเข้มงวดกวดขัน มนุษย์ต้องอยู่ในกรอบท้ังที่ไม่สมัครใจนั้น ดูอาการภายนอกเหมือนว่าเรียบร้อยดี เพราะอิด (id) ถูกกดข่มไว้ด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีและ ศีลธรรม แต่ภายในใจของเขาจะรุ่มร้อน วุ่นวาย สับสน ไม่เหมือนผู้ที่อยู่อย่างสมัครใจ และเห็นคุณค่า จิตของใครมีแต่ซุปเปอร์อีโก้ (super ego) ไม่มีอิด (id) จิตน้ันจะสงบร่มเย็น ไม่มีความขัดแย้งสดชื่นอยู่ ภายในเสมอ 3.2.4 ทฤษฏคี วามต้องการของมาสโลว์ (Maslow is Theory of Need Gratification) มาสโลว์ (Maslow) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม ซึ่งนักจิตวิทยากลุ่มนี้เช่ือว่าโดยธรรมชาติ แลว้ มนุษยเ์ กดิ มาดีและพร้อมที่จะทาสิ่งดี ถ้าความต้องการของมนุษย์ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอ มาสโลว์ (Maslow) เปน็ ผ้หู น่งึ ที่ไดศ้ ึกษาคน้ คว้าถึงความต้องการของมนุษย์ โดยมองเห็นว่ามนุษย์ทุกคน ล้วนแต่มีความต้องการที่จะสนองความต้องการให้กับตนเองทั้งสิ้น ซ่ึงความต้องการมนุษย์ มีมากมาย ๕ (วศิน อินทสระ ,2541 : 82)

หลายอย่างด้วยกนั เขาได้นาความตอ้ งการเหล่านัน้ มาจดั เรยี งเปน็ ลาดับจากขั้นต่าไปขั้นสูงสุดเป็น 5 ข้ัน ด้วยกัน 1. ความต้องการด้านร่างกาย (physiological needs) เป็นความต้องการขั้นพ้ืนฐาน ได้แก่ ความต้องการอาหาร น้าดื่ม อากาศ การพักผ่อน ความต้องการทางเพศ ความต้องการความอบอุ่น ต้องการขจัดความเจ็บปุวย และต้องการรักษาความสมดุลของร่างกาย ทุกคนต้องการสิ่งเหล่านี้ เหมือนกัน อาจแตกต่างกันเป็นรายบุคคล ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับเพศ วัย และสถานการณ์ ฯลฯ ความต้องการ ปจั จยั 4 ดงั กลา่ วขา้ งต้น หากเพยี งพอแลว้ มนุษยจ์ ะพัฒนาในขนั้ ตอ่ ไป 2. ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (safety needs) เมื่อได้รับความพึงพอใจทางด้าน ร่างกายแล้ว มนษุ ยจ์ ะพัฒนาไปสขู่ ้ันท่สี องคอื ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย สิ่งท่ีแสดงถึงความต้องการข้ันน้ี คือ การท่ีมนุษย์ชอบอยู่อย่างสงบ มีระเบียบวินัย ไม่รุกรานผู้อื่น ความต้องการระดับน้ีอาจแยกย่อยได้ ดังนี้ ความม่ันคงในครอบครัว การมีบ้านแข็งแรงปลอดภัย มีความรักใคร่ปรองดองกันในครอบครัว ความม่ันคงปลอดภัยในอาชีพ มีรายได้ยุติธรรม ไม่ถูกไล่ออก งานไม่เส่ียงอันตราย ผู้บังคับบัญชาดี มคี วามยุติธรรม ฯลฯมหี ลกั ประกันชวี ติ เช่น มีผดู้ ูแลเอาใจใส่ยามชรา ยามเจ็บไข้ 3. ความตอ้ งการความรกั และความเป็นเจ้าของ (belongingness and love need) -ความต้องการมีเพ่ือน -ความต้องการการยอมรบั จากกลุ่ม -ต้องการแสดงความคิดเห็นในกลมุ่ -ต้องการรักคนอืน่ และไดร้ ับความรักจากคนอ่ืน -ตอ้ งการความรสู้ กึ ว่าสังคมเป็นของตน 4. ความต้องการเกยี รตยิ ศชื่อเสียง และความภาคภูมิใจ (sefl- esteem need) ไดแ้ ก่ -ต้องการยอมรบั ความคิดเหน็ หรอื ขอ้ เสนอ -ต้องการเกยี รติยศช่ือเสียงจากสังคม -ตอ้ งการนบั ถอื ตนเอง มีความม่ันใจตนเอง ไม่ต้องพ่งึ ผู้อ่นื -ต้องการได้รับการยกย่องนบั ถือจากผอู้ น่ื -ต้องการความม่ันใจในตนเอง และรสู้ กึ ตนเองมีคุณค่า 5. ความต้องการตระหนักในตนเอง (self-actualization need) ไดแ้ ก่ -ต้องการรู้จักตนเอง ยอมรบั ตนเอง เปดิ ใจรบั ฟงั คาวิจารณ์โดยไม่โกรธ -ต้องการรจู้ ักแก้ไขตนเองในสว่ นท่ียงั บกพร่อง -ตอ้ งการพัฒนาตนเอง พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อืน่ เก่ยี วกับตนเอง -ต้องการค้นพบความจรงิ พร้อมทจี่ ะเปดิ เผยตนเองโดยไมม่ ีการปกปูอง -ตอ้ งการเป็นตัวของตวั เอง ประสบความสาเร็จดว้ ยตวั เอง แนวคิดตามทฤษฏีของมาสโลว์ จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาบุคคลให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม บุคคลท่ีพัฒนาถึงข้ันตระหนักในตนเอง (self-actualization) เป็นบุคคลที่มีจริยธรรม มีวินัย ในตนเอง และมีบุคลิกภาพประชาธิปไตย การพัฒนาจากข้ันต้นไปสู่ขั้นต่อๆ ไปน้ัน ต้องอาศัย ความ “พอ” ของบุคคล ซึง่ ความพอน้ี นอกจากจะขึ้นกับสภาพทางกายแล้ว ยังข้ึนอยู่กับความรู้สึกพอดี ด้วย จึงมิได้หมายความว่าทุกคนจะต้องได้รับการสนองตอบความต้องการพ้ืนฐานเท่า ๆ กัน แต่เป็นไป ตามลาดับขนั้ เหมอื น ๆ กนั

พรรณี ช. เจนจิต๖ ได้กล่าวถึงลาดับขั้นความต้องการของมนุษย์ตามแนวคิดของมาสโลว์ว่ามาส โลว์กาหนดความต้องการของมนุษย์จากขั้นต่าสุดไปสู่ข้ันสูงสุดเป็น 7 ชั้น ด้วยกัน โดยท่ีมนุษย์จะมี ความตอ้ งการในขนั้ สงู ตอ่ ไป ถ้าความตอ้ งการในขน้ั ต้น ๆ ได้รับการตอบสนองแลว้ ลาดบั 7 ข้นั ของความต้องการมีดงั น้ี 1.ความตอ้ งการทางสุนทรยี ะ 2.ความต้องการทจ่ี ะรู้และเข้าใจ 3.ความตอ้ งการทจี่ ะตระหนกั ในความสามารถของตนเอง 4.ความต้องการการยอมรับและไดร้ บั การยอมรบั 5.ความตอ้ งการความรกั และความเปน็ เจ้าของ 6.ความตอ้ งการความปลอดภยั 7.ความตอ้ งการทางด้านร่างกาย ความตอ้ งการทั้ง 7 ข้ัน มาสโลว์แบง่ ออกเปน็ 2 กลมุ่ คือ กล่มุ ที่ 1 ความต้องการขนั้ ที่ 1 – 4 เรยี กว่า “ความตอ้ งการขั้นตา่ ” กลุ่มท่ี 2 ความต้องการขัน้ ท่ี 5 - 7 เรียกว่า “ความต้องการข้ันสงู ” ซ่ึงความต้องการของ 2 กลุ่ม มคี วามแตกต่างกนั ดังน้ี ความต้องการขน้ั ต่า 1. มนษุ ย์ทาทกุ วถิ ีทางเพื่อให้สาเร็จหรอื ขจัดความต้องการขนั้ ต่า เช่น เมื่อหิว ก็ต้องหา อาหารมากนิ เพ่อื ขจัดความหวิ 2. แรงจูงใจอันเนื่องมาจากความต้องการข้ันต่าจะนาไปสู่การกระทาเพื่อลดความตึง เครียดต่างๆ ทั้งน้ีเพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพสมดุล เช่น คนท่ีต้องการการยอมรับนับถือจะทาทุกสิ่งให้ ได้มาซึ่งการยอมรบั นบั ถอื ความมีชื่อเสยี ง 3. การท่ีมนุษย์สามารถสนองความต้องการข้ันต่า ทาให้หลีกเลี่ยงจากความทุกข์ หรอื ความเจบ็ ปุวยได้ เชน่ อากาศหนาว เราจะนอนไมห่ ลบั จนกว่าจะได้เสอ้ื หรือผ้าหม่ จงึ จะนอนหลบั 4. การท่ีมนุษย์สามารถสนองความต้องการข้ันต่าจะรู้สึกว่าพ้นจากความทุกข์ พ้นจาก ความกระวนกระวาย จะเกิดความรู้สกึ วา่ ไม่ต้องการสิ่งใดอกี แล้วในขณะนั้น 5. การสนองความต้องการขั้นต่าจะมีลักษณะเป็นครั้งคราว หรือเป็นเวลาและมี ลักษณะทใี่ ชห้ มดไปในแตล่ ะครง้ั 6. ความต้องการขั้นต่าซ่ึงต้องการการตอบสนอง จากปัจจัยภายนอกน้ันเป็นสิ่งที่ทุก คนมปี ระสบการณ์ร่วมกัน เช่น รู้ว่าความหิวเป็นเช่นไร หรือความต้องการความรัก การยอมรับจากกลุ่ม เปน็ อย่างไร 7. ความสนองต้องการข้ันต่า ซึ่งต้องการอาศัยปัจจัยภายนอกน้ัน ส่วนใหญ่ผู้อื่นเป็นผู้ สนองให้ ซ่ึงจะทาให้คนเกิดความรู้สึกท่ีต้องคอยพ่ึงพาผู้อื่น ซ่ึงจะนาความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ทาอะไรตอ้ งคอยระมัดระวังการยอมรบั ของผู้อน่ื คอยดวู ่า ผอู้ ื่นจะคิดอยา่ งไรกบั ตน 8. คนท่ีมีลักษณะของความต้องการขั้นต่า ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่คอยพึ่งพาผู้อ่ืน โดยเฉพาะอย่างย่ิงกับบุคคลที่เห็นว่าจะสนองความต้องการให้ได้ ซึ่งจะกลายเป็นคนสัมพันธภาพกับ บุคคลอ่ืนในวงจากดั ไม่สนใจทจ่ี ะสร้างความสัมพนั ธ์กับบุคคลท่ไี มส่ ามารถทาประโยชน์ให้ได้ ๖ พรรณี ช. เจนจติ (2538 :461-476)

9. คนท่ีมีลักษณะของความต้องการขั้นต่า มีแนวโน้มจะยึดตนเป็นศูนย์กลาง ไม่คอย คานกึ ถึงปญั หา มกั จะคานึกถึงเรือ่ งส่วนตวั 10. คนท่ีมีลักษณะของความต้องการข้ันต่า จะช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องคอยขอความ ช่วยเหลอื จากผู้อื่น เม่ือเขา้ ทคี่ บั ขันหรอื ประสบปญั หายงุ่ ยากตา่ งๆ ความตอ้ งการขนั้ สงู 1. มนุษย์จะแสวงหาความพึงพอใจขั้นสูงสุด เช่น แสวงหาความรู้ หรือทาประโยชน์ ให้สงั คมโดยไมห่ วงั ส่งิ ตอบแทน นอกจากความพงึ พอใจ 2. แรงจูงใจที่เนื่องมาจากความต้องการขั้นสูง จะทาให้คนมีความสบายใจอยู่ได้ แม้ในสภาพท่ีมีความตึงเครียด เช่น ทนได้แม้นแต่คานินทาว่าร้าย ไม่สะดุ้งสะเทือนเพราะตระหนักดี ถึงความสามารถที่ตนจะทาประโยชน์ให้แก่สังคมเกินกว่าจะไปสนใจคาพูดของคนบางคนหรือคาพูด ของคนบางกลุ่ม 3. การท่สี ามารถสนองความต้องการขน้ั สงู ได้ จะทาใหเ้ กิดความสุข มีสุขภาพจิตดี เช่น คนที่มีความปรารถนาจะศึกษาค้นคว้าโดยมิได้มีส่ิงล่อใจอื่นใด จะมีความสุข ความอ่ิมใจ มากกว่า การกระทาทหี่ วังสงิ่ ตอบแทน 4. การสนองความต้องการข้ันสูง จะนาไปสู่ความพึงพอใจและความปรารถนา จะแสวงหาความสุข ในข้ันต่อไป เช่นการแสวงหาโดยมิได้หวังส่ิงตอบแทนจะทาให้ผู้ท่ีแสวงหาเกิด ความสขุ ความพึงพอใจ โดยไมม่ ที ี่สน้ิ สุด 5.การสนองความต้องการขัน้ สงู เป็นเรอ่ื งตอ่ เน่ืองกันไปไม่มที ส่ี น้ิ สุด 6. ความต้องการขั้นสูง เป็นประสบการณ์เฉพาะตัว ท้ังน้ีเพราะความแตกต่างระหว่าง บคุ คล เช่น บางคนฟังดนตรี หรอื มองพระจนั ทรแ์ ล้วเกิดความซาบซ้ึงจนน้าตาไหล ซึ่งเป็นความรู้สึกเกิน กว่าจะบรรยายใหผ้ ้ใู ดรบั ทราบได้ 7. การสนองความต้องการขั้นสูงน้ัน แต่ละคนจะเป็นผู้สนองความต้องการให้กับ ตนเอง ซึ่งจะนาไปสู่การพ่ึงตนเองหรือนาตนเองได้ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องวิตกกังวลว่าใครจะคิด อยา่ งไรกับตน ซง่ึ สามารถทางานได้เตม็ ท่ี 8. คนที่มีลักษณะของความต้องการข้ันสูง จะเป็นคนท่ีพึ่งตนเองได้ จะเป็นผู้สร้าง สมั พนั ธภาพท่ีดีกบั คนท่วั ไป ไมใ่ ช่สรา้ งสัมพันธ์เฉพาะกับคนทจี่ ะทาประโยชนใ์ หเ้ ทา่ น้ัน 9. คนท่ีมีลักษณะของความต้องการข้ันสูง จะเป็นคนคานึกถึงปัญหามากกว่า ไม่ค่อย คานึกถึงเร่ืองสว่ นตวั เป็นผู้ทางานเพ่ืองาน มงุ่ ผลประโยชน์สว่ นรวมมากกว่าสว่ นตวั 10. คนที่มีลักษณะของความต้องการข้ันสูง จะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ดี แม้เมื่อ เขา้ ทค่ี บั ขันทัง้ นี้เพราะมีความเชอื่ มน่ั ในตนเอง สามารถตัดสินใจแก้ปญั หาตา่ งๆไดด้ ว้ ยตนเอง แนวคิดของนักวิจิตวิทยาทเ่ี กี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมดังกล่าวข้างต้น เป็นพื้นฐานประการหนึ่ง ที่ผู้บริหารควรนามาพิจารณาประกอบการพิจารณาคุณธรรมจริยธรรมของตนเองและบุคคลท่ีอยู่ ในบังคับบัญชา เพ่ือเป็นแนวทางพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของตนเองและในปกครองด้วย วิชาจิตวิทยา เปน็ ศาสตรท์ ่ีได้รบั การยอมรับว่าเปน็ สาขาหน่งึ ของวิทยาศาสตร์ ซึ่งศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรม การกระทา และการะบวนการคิดไปพร้อมๆ กับการศึกษาถึงเร่ืองสติปัญญา ความคิด ความรู้ ความเข้าใจ การให้ เหตุผล เร่ืองของตนเอง หรือเรื่องของมนุษย์ และพยายามอธิบายเก่ียวกับวิธีการปรับตัวของมนุษย์กับ ส่ิงแวดล้อม ไม่ว่าเป็นทางทฤษฎีจิตวิทายาด้านบุคลิกภาพจิตวิทยาการเรียนรู้ จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาความแตกต่างระหว่างบุคคล จิตวิทยาสังคม ล้วนเป็นเร่ืองศึกษาเก่ียวกับธรรมชาติ เหตุแห่ง

ความเป็นมาและผลท่ีเกิดขึ้น การศึกษาในแนวจิตวิทยาจึงเป็นการศึกษาที่ใช้กระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ ซึง่ คนท่วั ไปค่อนข้างยอมรับในหลักการทฤษฎีว่าเป็นสิ่งทีน่ า่ เชื่อถือ แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม การพิจารณาตัดสินว่า เรอ่ื งใดควรเช่ือหรือไม่ควรเช่ือขอให้ถือตามหลักคาสอน ของพระพุทธองค์ ในบทกาลามสูตรที่ว่าการเชื่อสิ่งใดให้ถือปฏิบัติตามหลัก 10 ประการ คือ อย่าเชื่อ เพราะฟังตามกันมา อย่าเช่ือเพราะถือปฏิบัติสืบต่อกันมา อย่าเช่ือเพราะเสียงเล่าลือ อย่าเช่ือเพราะ การอ้างตาราหรือคัมภีร์ อย่าเชื่อด้วยว่าเป็นตรรกะ อย่าเชื่อด้วยการอมุมาน อย่าเช่ือด้วยความคิดตาม แนวเหตุผล อย่าเชื่อเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน อย่าเช่ือเพราะมองเห็น รูปลักษณะน่าเชื่อ และอย่าเชื่อเพราะนับถือว่าผู้บอกน้ันเป็นครูของเรา แต่ให้เช่ือต่อเม่ือได้พิจารณาเห็นด้วยปัญญาของ ตนเองและปฏบิ ัตติ ามจนเห็นจรงิ แลว้ จึงคอ่ ยเชอ่ื วา่ จรงิ นิยพรรณ วรรณศิริ๗ กล่าวไว้ว่า โครงสร้างของจริยธรรมนั้นประกอบด้วยแหล่งท่ีมาต่างกัน และได้แบ่งออกเปน็ 2 สว่ น คอื 1. จริยธรรมข้ันพ้ืนฐาน (Basic ethics) ได้แก่ จริยธรรมซ่ึงอยู่ในรูปของนามธรรม มีลักษณะ เป็น คุณภาพหรือคุณสมบัติ นาความประพฤติของบุคคลให้ออกมาในรูปของความดีงาม มีลักษณะ เป็นคา่ นยิ มท่ีบคุ คล ส่วนใหญ่ในสงั คมคาดหวงั แบง่ ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1.1 ความมีศีลธรรม (Moral value) ได้แก่ ศีล 5 อันเป็นศีลขั้นต้นของฆราวาสท่ีพึง ปฏบิ ตั ติ าม 1.2 ความมีคุณธรรม (Ethical value) เป็นค่านิยมซ่ึงบุคคลพึงปฏิบัติ เพราะคน ส่วนใหญ่ในสงั คม ต้องการให้ทาเชน่ นัน้ เชน่ สังคมมหาวิทยาลัยต้องการให้อาจารย์ผู้สอนเป็นผู้มีความรู้ อย่างถ่องแท้ พูดความจริงกับ นิสิตนักศึกษา เตรียมการสอนให้ครบถ้วนและคอยช่วยเหลือนิสิต นักศึกษา เป็นต้น อาจารย์ผู้มีคุณธรรมต้อง ปฏิบัติตามท่ีกล่าวน้ัน ถ้าใครไม่ปฏิบัติถือว่าไม่มีคุณธรรม เปน็ ต้น 1.3 ความมีวัฒนธรรม (Conventional value) ได้แก่ การยึดถือและปฏิบัติตาม ระเบียบประเพณี ของสังคม ไม่ประพฤตินอกรีดนอกรอย หรือเบ่ียงเบนออกจากเกณฑ์มาตรฐานของ สังคม 1.4 ความมีกฎหมายและกฎเกณฑ์ (Legal value) การท่ีบุคคลประพฤติตามกฎหมาย ของสังคม เป็นการแสดงออกทางจริยธรรมอย่างหน่ึง เพราะกฎหมายคือหลักเกณฑ์นาความประพฤติ ของบคุ คลไปในทางท่ีดี งาม คนท่ไี ม่ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย คือ คนไรค้ ุณธรรมและจริยธรรม เช่น กฎหมาย ห้ามฉอ้ โกงทรพั ย์สินของผอู้ ่นื ผใู้ ดฝาุ ฝืนถอื วา่ ไรค้ ุณธรรม เปน็ ตน้ 2. จริยธรรมในวิชาชีพหรือจรรยาบรรณ (Professional value) เป็นจริยธรรมประจากลุ่ม อาชีพหนึ่งๆ เป็นจริยธรรมในเชิงปฏิบัติ เป็นกฎเกณฑ์ที่นาการปฏิบัติไปสู่เปูาหมายเพื่อความสาเร็จ ในการทามาหาเล้ียงชีพใน แต่ละแขนง จริยธรรมในวิชาชีพเป็นกฎเกณฑ์ท่ีแคบใช้เฉพาะในกลุ่มอาชีพ หนง่ึ ๆ ซึ่งไม่เก่ยี วกับวิชาชีพอื่นๆ มักจะเรียกจริยธรรมทางอาชีพนี้ว่า จรรยาบรรณในวิชาชีพ (Code of ethics) เป็นกฎเกณฑ์อย่างเป็นรูปธรรม ร่างไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น จรรยาบรรณของข้าราชการ ได้แก่ การทางานเพอื่ ประเทศชาติและประชาชน การเสยี สละและการมศี ีลธรรม เป็นต้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า โครงสร้างของจริยธรรม หมายถึง ส่ิงที่เป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญของ จริยธรรม อันได้แก่ ความคิด ค่านิยม อารมณ์ และการกระทา ซ่ึงมีพื้นฐานมาจากขนบธรรมเนียม ๗ นยิ พรรณ วรรณศริ ิ (2540: 65-66)

ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา และวิชาชีพต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับ เป็นข้อตกลงร่วมกันจากผู้ คน ส่วนมาก และต้องการให้ผู้ร่วมสังคม และวิชาชีพได้ยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันใน สังคมและองค์กรที่สังกัดอยู่เพื่อความพรอ้ มเพรียงของหมู่คณะ