Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธปรัชญาการศึกษา

พุทธปรัชญาการศึกษา

Description: ศึกษาคุณลักษณะของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาในฐานะปรัชญา หลักคำสอนพื้นฐานในพุทธปรัชญา การศึกษาในทัศนะของนักปรัชญาการศึกษา

Keywords: พุทธ ปรัชญา

Search

Read the Text Version

๔๖ เครอ่ื งผกู มัดสัตว์ใหต้ ้องมาเกิดอีกหลังจากตายแลว้ ตัณหาท่อี ย่ปู ระจำนสิ ยั สนั ดานของสตั วท์ ้งั หลาย นั้นเป็นเชื้อทเ่ี หลอื อยกู่ ับจิตปรงุ แต่งจิตใหเ้ ปน็ กรรม และสะสมกรรมนั้นไวใ้ นจิต เม่ือร่างกายเส่ือม สลายหรือแตกทำลายไป ตวั เชื้ออนั เป็นดุจยางเหนียวที่มีในจิต จะเป็นตัวการทำให้สัตว์ตอ้ งปฏิสนธใิ น ร่างกายใหม่ของภพใหม่หรือชาติใหมต่ ่อไปดงั พุทธพจน์วา่ “ดูกรวจั ฉะ ในยามใดแลสัตวท์ อดทง้ิ กายน้แี ละเขา้ ถึงกายอ่ืน เรากล่าวสตั ว์นน้ั วา่ มตี ณั หา เป็นเชื้อ ดกู รวจั ฉะ เพราะวา่ ในยามน้ัน ตัณหาย่อมเปน็ เช้อื ของสตั วน์ ้ัน”[๓๙] เมอื่ ดจู ากพุทธพจน์ แสดงวา่ คนเราตายแตก่ ายหรือรา่ งกายเท่านนั้ ทส่ี ลายไป ส่วนกระบวนการทางจติ หรอื “กรรม” ของสัตวน์ นั้ ยังคงดำเนินอยู่ตอ่ ไปตามอำนาจของกรรมโดยที่มีตณั หาเปน็ เสมือนเชื้อของกรรมนน้ั การ เกดิ ในภพใหม่ชาตใิ หมต่ ามหลักฐานที่ปรากฏในอภิธรรมปฎิ กแสดงไว้วา่ สภาวธรรมจิต เกิดดับ ติดตอ่ กันไปอย่างรวดเร็ว ไม่ขาดสาย ตงั้ แต่ปฏิสนธิในชาตินีเ้ ร่ือยไป จนวาระแห่งจิตสดุ ท้ายในภพชาติ น้นั ซ่ึงเรยี กว่า “จุตจิ ติ ” และสบื ต่อด้วยจิตปฏสิ นธิจิตเกิดขึน้ ในภพใหม่ทันที โดยไม่มีอะไรก้นั กลาง ระหวา่ งจติ ท้ังสอง เป็นจิตตอ่ จติ จติ ดวงใหมใ่ นภพใหม่นี้เรยี กว่า “ปฏสิ นธจิ ติ ” การเช่อื มต่อกนั นี้ จึงไมใ่ ช่เป็นการเดนิ ทางของวญิ ญาณอมตะอยา่ งท่ีเรยี กวา่ อัตตาหรอื ตัวตนเที่ยงแทล้ อยออกจากร่างเก่า ไปแสวงหาที่อยใู่ นร่างใหม่ดังเชน่ คำสอนในศาสนาพราหมณ์หรือความเชอ่ื ของบางลทั ธแิ ละผไู้ ม่ศกึ ษา เขา้ ถงึ สภาวธรรม แตอ่ ยา่ งใด พระพุทธศาสนาถือได้ว่าการเกดิ ใหมห่ รือชีวิตใหม่เป็นไปตาม กระบวนการของเหตุปจั จยั หรือกฎแหง่ ปจั จยั ธรรมเท่าน้ัน มคี ำกล่าวแสดงไว้ว่า ชีวิตของสตั ว์เปน็ ที่ ประชมุ ของเหตุปจั จัย ดังทแ่ี สดงไว้วา่ กรรมเป็นปัจจยั ในหลายปัจจยั ทีท่ ำให้สัตว์ท่ตี ายจากชาติหน่งึ มี ผลสบื ตอ่ กัน “ปฏิสนธจิ ติ น้นั มีอวชิ ชาแวดลอ้ มแล้วมีตัณหาเป็นมลู เหตุ มีสังขาร (กรรม) ปรงุ แตง่ ให้ เกิดมีเจตสกิ ธรรมคอยประคองคำ้ ชูปฏิสนธจิ ิตนน้ั จึงหมายเอาวปิ ากจิต เพราะสบื ต่อภพหนา้ ”๑๗ ๔.๔.๗ ไตรลักษณ์ เป็นกฎสำคัญแหง่ ธรรมชาติ ซ่ึงมีลักษณะ ๓ อย่าง คอื ๑. อนจิ จัง ความไม่เท่ียง ๒. ทกุ ขงั ความทนอยู่ไมไ่ ด้ ๓. อนตั ตา ความไมใ่ ช่ตวั ตน ตามหลกั พุทธธรรมเบือ้ งตน้ ที่ว่า ส่งิ ท้งั หลายเกิดจากส่วนประกอบต่าง ๆ มาประชมุ กันเข้า หรือมีอยู่ในรูปของการรวมตวั เขา้ ดว้ ยกันของส่วนประกอบต่าง ๆ น้ัน มิใช่หมายความว่าเป็น การนำเอาสว่ นประกอบทเี่ ป็นชนิ้ ๆ อนั ๆ อยูแ่ ล้วมาประกอบเข้าดว้ ยกัน และเมื่อประกอบเข้าด้วยกนั แลว้ กเ็ กดิ เป็นรูปเป็นรา่ งคมุ กันอย่เู หมือนเมื่อเอาวัตถุตา่ ง ๆ มารวมกันเปน็ เครื่องอุปกรณต์ ่าง ๆ ความ จรงิ ทกี่ ลา่ วว่าส่งิ ทั้งหลายเกิดจากการประชุมกันของสว่ นประกอบตา่ ง ๆ นั้น เปน็ เพียงคำกล่าวเพ่ือ เขา้ ใจง่าย ๆ ในเบอื้ งต้นเท่าน้ัน แทจ้ ริงแล้วส่งิ ทัง้ หลายมีอยู่ในรูปของกระแส ส่วนประกอบแต่ละอย่าง ๆ ล้วนประกอบขน้ึ จากส่วนประกอบอื่น ๆ ย่อยลงไป แต่ละอยา่ งไม่มีตวั ตนของมันอสิ ระ ล้วนเกิดดับ ต่อกนั ไปเร่ือง ไม่เท่ยี งไม่คงที่กระแสนีไ้ หลเวยี นหรือดำเนนิ ตอ่ ไปอยา่ งที่ดูคลา้ ยกบั รกั ษารปู แนวและ ลกั ษณะทว่ั ไปไว้ได้ อย่างค่อยเป็นไป กเ็ พราะส่วนประกอบทัง้ หลายมีความสมั พันธเ์ นื่องอาศยั ซ่ึงกัน ๑๗ ธีรวสั บำเพญ็ บญุ บารม,ี ชีวิตตามทรรศนะพระพุทธศาสนา : ศึกษาจากคัมภรี พ์ ระไตรปิฎกอรรถ กถา ฎีกาตลอดจนคมั ภีร์ทางพระพทุ ธศาสนา.

๔๗ และกัน เป็นเหตปุ จั จยั สืบต่อแก่กนั อย่างหนึง่ และเพราะส่วนประกอบเหล่านนั้ แตล่ ะอยา่ งล้วนไมม่ ี ตวั ตนของมันเอง และไม่เที่ยงแทค้ งทอี่ ยา่ งหน่ึงความเป็นไปต่างๆ ทงั้ หมดนเี้ ปน็ ไปตามธรรมชาตอิ าศยั ความสัมพันธ์และความเปน็ ปัจจยั เนื่องอาศยั กันของส่งิ ทง้ั หลายเอง ไม่มตี วั การอย่างอื่นท่ีนอกเหนือ ออกไปในฐานะผู้สรา้ งหรือผู้บันดาล จงึ เรียกเพ่ือเขา้ ใจงา่ ย ๆ ว่าเป็นกฎธรรมชาตมิ ีหลกั ธรรมใหญอ่ ยู่ ๒ หมวดทถี่ ือไดว้ ่าพระพุทธเจา้ ทรงแสดงในรูปของกฎธรรมชาติ คือ ไตรลกั ษณ์ และปฏจิ จสมุปบาท ความจรงิ ธรรมทัง้ ๒ หมวดน้ีถอื ได้วา่ เป็นกฎเดยี วกัน แต่แสดงในคนละแง่หรอื คนละแนว เพ่อื มองเห็น ความจริงอยา่ งเดยี วกนั คือ ไตรลักษณ์ มุ่งแสดงลักษณะของสงิ่ ทงั้ หลายซึ่งปรากฏใหเ้ ห็นวา่ เป็นอยา่ ง นน้ั ในเม่อื สิง่ เหลา่ น้นั เปน็ ไปโ่ ดยอาการท่ีสมั พันธเ์ นื่องอาศัยเปน็ เหตุปจั จัยสืบตอ่ แก่กัน ตามหลกั ปฏิจจ สมุปบาท ส่วนหลักปฏจิ จสมปุ บาทกม็ ุง่ แสดงถึงอาการที่สงิ่ ทงั้ หลายมีความสมั พันธ์เนื่องอาศยั เปน็ เหตุ ปัจจยั สืบต่อแก่กนั เปน็ กระแสจนมองเหน็ ลักษณ์ได้ว่าเปน็ ไตรลักษณ์ กฎธรรมชาตินี้ เปน็ ธรรมธาตุ คอื ภาวะทที่ รงตวั อยู่โดยธรรมดา เปน็ ธรรมฐติ ิ คือภาวะที่ ตั้งอยู่ หรือยนื ตวั เปน็ หลักแน่นอนอยู่โดยธรรมดา เป็น ธรรมนิยาม คอื กฎธรรมชาติ หรอื กำหนดแห่ง ธรรมดาไม่เกยี่ วกบั ผสู้ ร้างผ้บู ันดาล หรือการเกดิ ขึ้นของศาสนาหรอื ศาสดาใด ๆ กฎธรรมชาติน้ันแสดง ฐานะของศาสดาในความหมายของพุทธธรรมด้วยว่าเปน็ ผ้คู ้นพบกฎเหล่านนั้ แล้วนำมาเปดิ เผยช้ีแจง แกช่ าวโลกไตรลักษณ์นนั้ มีพุทธพจน์แสดงหลักไวใ้ นรูปของกฎธรรมชาติว่าดังน้\"ี ตถาคต ทั้งหลายจะ อบุ ตั ิหรอื ไม่กต็ าม ธาตุ นั้นก็ยังคงมีอยู่ เป็นธรรมฐติ ิ เปน็ ธรรมนิยามว่า ๑. สังขารทั้งปวง ไม่เทย่ี ง ๒. สงั ขารทั้งปวง เปน็ ทกุ ข์ ๓. ธรรมทัง้ ปวง เปน็ อนตั ตา ตถาคตตรสั รู้เข้าถงึ หลักนน้ั แล้ว จงึ บอก แสดง วางเป็นแบบ ต้ังเป็นหลัก เปิดเผยแจกแจง ทำให้เขา้ ใจงา่ ยวา่ \" สังขารท้ังปวงไมเ่ ท่ยี ง สังขารทงั้ ปวง เป็นทกุ ข์ .ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา ไตร ลักษณ์น้ีเรียกอีกอยา่ งหนึ่งวา่ สามัญลกั ษณ์ แปลวา่ ลกั ษณะท่ีทัว่ ไป หรือเสมอเหมอื นกันแก่ส่ิงทั้งปวง ซง่ึ ได้ความหมายเท่ากนั คำอธบิ ายไตรลักษณ์ตามหลักวชิ าในคมั ภีร์ ถ้ายกเอาหลักธรรมนิยามทแ่ี สดงไตรลักษณ์ หรอื สามญั ลกั ษณะ ๓ อย่าง มาต้ังเป็นหัวขอ้ อีก คร้งั หนึ่งเพ่ืออธิบายใหล้ กึ ซง้ึ ย่ิงขนึ้ ไป ตามแนวหลักวิชาท่ีมีหลกั ฐานอยู่ในคัมภีรต์ ่าง ๆ ดังนี้ ก. สังขารท้ังหลายท้ังปวง ไมเ่ ทยี่ ง ข. สังขารทัง้ หลายทงั้ ปวง เป็นทกุ ข์ ค. ธรรมท้ังหลายท้ังปวง เป็นอนัตตา สังขารทง้ั ปวงไม่เที่ยง เรียกตามคำบาลีวา่ เปน็ อนจิ จํ หรือ อนิจจะ แต่ในภาษาไทยนยิ มใช้ คำว่า อนจิ จงั ความไม่เที่ยง ความเป็นสง่ิ ไม่เท่ียง หรือภาวะทีเ่ ปน็ อนจิ จห์ รืออนจิ จงั นั้น เรยี กเปน็ คำศัพทต์ ามบาลวี า่ อนจิ จตา ลักษณะท่ีแสดงถึงความไม่เท่ียงเรยี กเปน็ ศัพท์วา่ อนิจจลกั ษณะสังขาร ท้ังหลายเป็นทกุ ข์ ในภาษาไทย บางทใ่ี ชอ้ ยา่ งภาษาพดู วา่ ทุกขงั ความเป็นทกุ ข์ ความเปน็ ของคงทน อย่มู ไิ ด้ ความเปน็ สภาวะมีความบีบค้นั ขัดแยง้ หรือภาวะท่ีเป็นทุกขน์ ัน้ เรียกเป็นคำศัพท์ตามบาลวี ่า

๔๘ ทกุ ขตา ลักษณะท่แี สดงถึงความเปน็ ทุกข์เรยี กเป็นศัพทว์ ่า ทกุ ขลกั ษณะธรรมทั้งปวงเปน็ อนัตตา ความ เปน็ อนัตตา ความเป็นของมิใชต่ วั ตน หรอื ภาวะท่เี ป็นอนตั ตานน้ั เรยี กเปน็ คำศกั พทต์ ามบาลวี า่ อนัตต ตา ลักษณะท่ีแสดงถึงความเป็นอนัตตา เรยี กเปน็ คำศัพท์วา่ อนัตตลกั ษณะ ๔.๔.๘ สงั ขารทง้ั ปวงกับธรรมท้งั ปวง \"ธรรม\" เปน็ คำท่ีมคี วามหมายกว้างทสี่ ุด กินความครอบคลุมทุกสง่ิ ทุกอย่างบรรดามี ท้ังทมี่ ี ได้และได้มี ตลอดจนกระทัง่ ความไม่มีทเี่ ปน็ ค่กู ับความมนี ั้น ทกุ สิง่ ทกุ อย่างทีใ่ ครกต็ ามกลา่ วถงึ คิดถึง หรือรู้ถงึ ทั้งเร่อื งทางวตั ถุและทางจิตใจ ทงั้ ท่ีดแี ละทช่ี ่ัว ท้งั ทีเ่ ปน็ สามญั วิสยั และเหนอื สามญั วิสยั รวมอยูใ่ นคำว่าธรรมทั้งสน้ิ ถ้าจะให้มีความหมายแคบเขา้ หรอื จำแนกแยกธรรมนน้ั แบง่ ประเภท ออกไป แล้วเลือกเขา้ ส่วนหรอื แงด่ ้านแห่งความหมายทตี่ ้องการ หรือมิฉะน้ันกใ็ ช้คำว่าธรรมคำเดยี ว เด่ยี วโดดเต็มรปู ของมันตามเดิม แต่ตกลงหรือหมายรรู้ ่วมกันไวว้ ่า เมอื่ ใช้ในลักษณะน้นั ๆ ในกรณีน้นั หรือในความแวดล้อมอยา่ งน้ัน ๆ จะใหม้ ีความหมายเฉพาะในแนวความหมาย หรอื ในขอบเขตวา่ อย่าง นั้น ๆ เช่น เมื่อมาคูก่ ับอธรรมหรอื ใชเ้ กย่ี วกบั ความประพฤติทีด่ ี ทชี่ ่ัวของบุคคล หมายถึง บญุ หรือ คณุ ธรรมคือความดี เม่ือมากับคำว่า อตั ถะ หรืออรรถ หมายถึงตวั หลัก หลักการ หรือเหตุ เมื่อใช้ สำหรบั การเลา่ เรยี น หมายถึงปริยตั ิ พุทธพจน์ หรือคำสงั่ สอน เป็นตน้ ธรรม ท่กี ล่าวถึงในหลกั อนัตตา แหง่ ไตรลกั ษณ์นี้ หมายถงึ สภาวะหรอื สภาพทุกอย่าง ไม่มีขีดจำกัด ธรรม ในความหมายเช่นนจี้ ะเข้าใจ ชัดเจนย่งิ ขึน้ เมื่อแยกแยะแจกแจงแบ่งประเภทออกไป เชน่ จำแนกเปน็ รปู ธรรม และนามธรรมบ้าง โลกยี ธรรม และโลกตุ ตรธรรมบ้าง สังขตธรรมและอสังขตธรรมบา้ ง กุศลธรรมและอกศุ ลธรรม และอัพ ยากฤตธรรมบา้ ง ธรรมทจ่ี ำแนกเป็นชดุ เหลา่ น้ี แต่ละชุดครอบคลุมความหมายของธรรมไดห้ มดสนิ้ ทั้งนัน้ แตช่ ุดทตี่ รงกับแงท่ ่ีควรศึกษาในท่นี ี้คือชุดสังขตธรรมและอสังขตธรรมธรรมทงั้ หลายทง้ั ปวงแยก ประเภทได้เปน็ ๒ อย่างคือ ๑. สงั ขตธรรม คือ ธรรมทีถ่ กู ปรุงแต่ง ได้แก่ ธรรมทีม่ ปี จั จัย สภาวะทเ่ี กดิ จากปัจจยั ปรงุ แตง่ ขึน้ สภาวะท่ปี จั จัยท้งั ปลายมารว่ มกนั แตง่ สรรค์ข้ึน ส่ิงที่ปัจจัยประกอบเข้าหรือสง่ิ ท่ีปรากฏและเป็นไป ตามเง่อื นไขของปจั จัย เรยี กอีกอยา่ งหนึ่งว่า สังขารซ่งึ มรี ากศพั ท์และคำแปลเหมือนกนั หมายถงึ สภาวะ ทกุ อย่างท้งั ทางวตั ถุและทางจิตใจ ท้งั รูปธรรมและนามธรรม ทงั้ ท่ีเปน็ โลกียะและโลกตุ ตระ ทง้ั ทด่ี ีทีช่ วั่ และทเ่ี ป็นกลาง ๆ ท้ังหมด เวน้ แตน่ พิ พาน ๒. อสังขตธรรม คือ ธรรมทีไ่ มถ่ ูกปรงุ แตง่ ไดแ้ ก่ ธรรมทีไ่ มม่ ีปจั จัย หรอื สภาวะที่ไมเ่ กดิ จาก ปัจจัยปรงุ แตง่ ไม่เป็นไปตามเง่ือนไขของปจั จัย เรยี กอีกอย่างหนึง่ ว่า วิสังขาร ซ่ึงแปลว่า สภาวะปลอด สงั ขารหรือสภาวะท่ีไมม่ ปี จั จัยปรุงแต่ง หมายถึง นิพพาน สงั ขารในขันธ์ ๕ กับสังขารในไตรลักษณ์ ๑. สังขารในขนั ธ์ ๕ ได้แก่ รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ๒. สงั ขารในไตรลกั ษณ์ ได้แก่ สังขารทง้ั ปวงไม่เทย่ี ง สังขารท้งั ปวงเป็นทุกข์ ธรรมทง้ั ปวง เป็นอนตั ตา

๔๙ เปรยี บเทยี บความหมายทงั้ ๒ นัย ดังนี้ ๑. สงั ขาร ซ่งึ เป็นข้อที่ ๔ ในขันธ์ ๕ หมายถึง สภาวะท่ีปรุงแตง่ จติ ให้ดี ใหช้ ว่ั ใหเ้ ป็นกลาง ได้แก่ คณุ สมบตั ิต่างๆของจติ มีเจตนาเปน็ ตวั นำที่ปรงุ แปรการตริตรกึ นึกคดิ ในใจและการแสดงออกทาง กายวาจาใหเ้ ปน็ ไปตา่ ง ๆ เป็นตวั การของการทำกรรม เรยี กง่าย ๆ ว่า เครือ่ งปรงุ ของจิต เช่น ศรทั ธา สติ หริ ิ เป็นต้น ๒. สังขาร ทก่ี ลา่ วถึงในไตรลกั ษณ์ หมายถึง สภาวะท่ีถกู ปรุงแต่ง คือ สภาวะทีเ่ กดิ จากเหตุ ปัจจัย ปรงุ แตง่ ขนึ้ ทกุ อยา่ ง ประดามี ไม่วา่ จะเป็นรปู ธรรมหรือนามธรรมกต็ าม เป็นด้านรา่ งกายหรือ จิตใจก็ตาม มชี ีวติ หรอื ไรช้ วี ิตก็ตาม อยู่ในจิตใจหรอื วัตถุภายนอกก็ตาม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สังขต ธรรม คือทกุ สิ่งทกุ อยา่ ง เวน้ นพิ พานจะเห็นวา่ สงั ขาร ในขนั ธ์ ๕ มคี วามหมายแคบกว่า สังขาร ในไตร ลักษณ์ หรือเป็นส่วนหน่งึ ของสงั ขารในไตรลักษณ์น่ันเอง ความต่างกนั และแคบกว่ากนั นี้ เหน็ ได้ชัดทง้ั โดยความหมายของศัพท์และโดยองค์ธรรม สิ่งทป่ี ดิ บงั ไตรลกั ษณท์ ้ังท่คี วามเปน็ อนิจจงั ทุกข์ และ อนตั ตา น้ี เป็นลกั ษณะสามญั ของสงิ่ ทัง้ หลาย เปน็ ความจริงทแ่ี สดงตัวของมันเองอย่ตู ามธรรมดาตลอด ทกุ เวลา แตค่ นทัว่ ไปก็มองไมเ่ ห็น ทัง้ นีเ้ พราะเปน็ เหมือนมสี ่ิงปดิ บงั คอยซ่อนคลมุ น้ี คือ ๑. สันตติ บังอนิจจลักษณะ ๒. อริ ยิ าบถ บังทุกขลกั ษณะ ๓. ฆนะ บังอนตั ตลักษณะ ขอ้ ที่ ๑ ท่านกล่าววา่ เพราะมไิ ด้มนสิการความเกดิ และความดับหรอื ความเกดิ ข้ึนและความ เส่ือมสน้ิ ไปกถ็ ูก สันตติ คือ ความสบื ตอ่ หรือความเปน็ ไปอยา่ งต่อเน่ือง ปิดบังไว้ อนิจจลักษณะจงึ ไม่ ปรากฏ ขอ้ ที่ ๒ ท่านกลา่ วว่า เพราะมิได้มนสิการความบบี ค้ันกดดันทม่ี ีอยตู่ ลอดเวลา ก็ถูก อริ ยิ าบถ คอื ความยักยา้ ยเคลื่อนไหว ปิดบังไว้ ทกุ ขลกั ษณะจึงไมป่ รากฏ ข้อที่ ๓ ท่านกลา่ ววา่ เพราะมไิ ด้มนสิการความแยกย่อยออกเปน็ ธาตตุ ่าง ๆ ก็ถูก ฆนะ คือ ความเปน็ แท่งเปน็ ก้อนเปน็ ช้ินเปน็ อันเป็นมวลหรือเป็นหน่วยรวม ปดิ บังไว้ อนัตตลกั ษณะจึงไมป่ รากฏ ประโยชนข์ องการเรยี นร้เู ร่ืองไตรลักษณ์ ๑. ประโยชนข์ องการเรียนรเู้ รื่องอนิจจัง เมอื่ ได้เรยี นรู้ความไมเ่ ทย่ี งของสงิ่ ท้ังปวงแล้ว จะได้ ประโยชน์หลายประการ ดังนี้ ก. ความไม่ประมาท ทำใหค้ นไมป่ ระมาทมวั เมาในวยั วา่ ยงั หนุม่ สาว ในความไม่มโี รคและ ในชวี ิต เพราะความตายอาจมาถึงเมื่อไรก็ได้ไมแ่ นน่ อน ทำให้ไม่ประมาทในทรพั ย์สนิ เพราะคนมีทรพั ย์ อาจกลับเปน็ คนจนได้ ทำให้ไมด่ ูหมิ่นผ้อู ื่น เพราะผู้ที่ไร้ทรัพย์ ไรย้ ศ ตำ่ ต้อย กวา่ ภายหน้าอาจมีทรัพย์ มียศ และเจรญิ รุ่งเรืองกว่าก็ได้เมอื คิดได้ดังนจี้ ะทำให้สำรวมตน ออ่ นน้อม ถอ่ มตน ไมย่ โสโอหงั วางทา่ ใหญ่ ยกตนข่มทา่ น ข. ทำใหเ้ กิดความพยายาม เพอื่ ท่จี ะก้าวไปขา้ งหน้า เพราะรวู้ ่าถ้าเราพยายามก้าวไป ข้างหน้าแล้วชีวิตย่อมเปลย่ี นแปลงไปในทางท่ีดี

๕๐ ค. ความไมเ่ ที่ยงแท้ ทำให้รู้สภาพการเปลย่ี นแปลงของชวี ติ เม่ือประสบกัยส่ิงไม่พอใจ ก็ ไม่สิน้ หวงั และเป็นทกุ ขไ์ มป่ ล่อยตนไปตามเหตุการณน์ ัน้ ๆ จนเกนิ ไป พยายามหาทางหลีกเลย่ี งสงิ่ ทีไ่ ม่ดี ๒. ประโยชน์ของการเรยี นรเู้ รือ่ งทุกขงั เมื่อผู้ใดได้เรียนรู้เรื่องความทกุ แล้ว จะรู้ว่า ความ ทกุ ข์เป็นของธรรมดาประจำโลก อยา่ งหน่งึ ซ่ึงใคร ๆ จะหลกี เลีย่ งได้ยาก ต่างกันกแ็ ต่เพียงรปู แบบของ ทกุ ขน์ ้นั เมื่อความทกุ ขเ์ กิดข้ึนแกช่ ีวิต ผ้มู ปี ญั ญาตรองเห็นความจรงิ วา่ ความทุกขเ์ ป็นสัจจธรรมอยา่ ง หนง่ึ ของชวี ิต ชีวติ ย่อมระคนดว้ ยทุกขเ์ ปน็ ธรรมดา เมื่อเห็นเปน็ ธรรมดา ความยึดม่ันก็มนี อ้ ย ความ ทกุ ข์สามารถลดลงไดห้ รืออาจหายไปเพราะไมม่ ีความยึดมน่ั ความสขุ ท่เี กดิ จากการปลอ่ ยวางยอ่ มเปน็ สุขอนั บรสิ ุทธิ์ ๓. ประโยชน์ของการเรียนรเู้ ร่ืองอนตั ตา การเรียนร้เู ร่ืองอนตั ตา ทำใหเ้ รารูค้ ามจริงของส่ิง ทัง้ ปวง ไม่ตอ้ งถกู หลอกลวง จะทำให้คลาย ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ ทำใหไ้ มย่ ดึ มั่น เบากาย เบาใจ เพราะ เร่อื งอนัตตาสอนใหเ้ ราร้วู า่ สงั ขารท้งั ปวง เป็นไปเพื่ออาพาธ ฝืนความปรารถนา บังคับบญั ชาไม่ได้ อย่างน้อยท่สี ุดเราจะต้องยอมรับความจรงิ อยา่ งหนึ่งวา่ ตวั เราเองจะต้องพบกับธรรมชาติแห่งความ เจ็บปวด ความแกช่ รา และความตายจากครอบครัวและญาตพิ ีน่ ้องตลอดจนทุกส่ิงทุกอย่าง ๔.๔.๙ หลกั การรอู้ รยิ สัจ ๔ การรู้อริยสจั นนั้ จะต้องมีหลักเกณฑ์ในการรูท้ ่แี น่นอนตายตัว การรูอ้ ริยสจั ท่ีถือวา่ จบเกณฑ์ นนั้ จะต้องรู้ ๓ รอบ รูใ้ นญาณท้ัง ๓ คือ สัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ เรียกว่า ปริวตั ิ คร้งั ละ ๔ รวมเป็น ๑๒ ครั้งดังนี้ รอบที่ ๑ สจั จญาณ คอื ร้วู ่า ๑. ทุกข์มจี รงิ ชวี ติ คลุกเคล้าด้วยความทุกข์จริง ๒. สมุทัย เปน็ เหตุใหท้ ุกขเ์ กิดจรงิ ๓. นโิ รธ ความดบั ทุกข์มจี ริง ๔. มรรค เป็นทางไปส่คู วามดับทกุ ข์จริง รอบท่ี ๒ กิจจญาณ คอื รวู้ ่า ๑. ทุกข์ เป็นส่งิ ทค่ี วรกำหนดรู้ ๒. สมทุ ัย เป็นส่ิงที่ควรละ ๓. นิโรธ ความดับทุกข์ควรทำให้แจ้งขึน้ ในใจ ๔. มรรค ควรบำเพญ็ ใหเ้ กิดข้ึน รอบท่ี ๓ กตญาณ คือรวู้ ่า ๑. ทุกข์ เราได้กำหนดรแู้ ล้ว ๒. สมทุ ยั เราไดล้ ะแลว้ ๓. นิโรธ เราไดท้ ำให้แจ้งแลว้ ๔. มรรค เราได้บำเพ็ญให้เกิดมีครบถว้ นแล้ว๑๘ ๑๘ http://www.baanjomyut.com/pratripidok/๐๔.html. วันท่เี ข้าถึง ๒๗ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓.

๕๑ การพัฒนาคน ให้เป็นผ้มู ีคุณภาพ ทส่ี ำคัญท่ีสดุ ก็คือ การปลกู ฝงั ใหค้ นเปน็ พลเมอื งดี มี คณุ ธรรมจรยิ ธรรม เพ่ือก่อใหเ้ กิดความสงบสุขในสงั คม วธิ ีการหน่งึ ท่ีน่าจะให้ผลดีในการปลกู ฝงั และ พฒั นาการมีคณุ ธรรมจรยิ ธรรม ก็โดยใช้ หลักไตรสิกขา เน่ืองจากไตรสิกขาเปน็ ระบบและเปน็ กระบวนการในการฝกึ ฝน อบรม ฝึกหัดเพ่ือพัฒนาคนใน ๓ ด้านคอื • พฒั นา ดา้ นพฤตกิ รรม เรียกว่า ศีล • พฒั นา ด้านจติ ใจ เรยี กว่า สมาธิ • พฒั นา ดา้ นปญั ญา เรียกวา่ ปญั ญา ทงั้ นีก้ เ็ พอื่ ใหบ้ ุคคลมกี ารดำเนินชวี ิตไปในวิถที ่ีถูกต้องดีงาม โดยนำหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา (ไตรสิกขา) มาใช้ หรือประยุกตใ์ ชใ้ นการบรหิ ารและ พัฒนาคนในองคก์ ร หรอื สถานศึกษา เนน้ การจดั สภาพทุก ๆ ดา้ น ในสถานศกึ ษาเพ่ือสนับสนนุ ให้คน ในองค์กรพฒั นาตามหลกั พทุ ธธรรมอย่างบรู ณาการสง่ เสริมใหเ้ กดิ ความเจริญงอกงาม ตามลักษณะ แห่งปญั ญาปญั ญาวฒุ ธิ รรม ๔ ประการ คือ ๑.สปั ปรุ ิสสังเสวะ หมายถงึ การอยใู่ กลค้ นดี ใกลผ้ ู้รู้ มคี รูอาจารยด์ ี มขี อ้ มูล มสี ื่อท่ีดี ๒.สัทธมั มสั สวนะ หมายถึง เอาใจใสศ่ ึกษาโดยมหี ลักสูตร การเรียนการสอนที่ดี ๓.โยนโิ สมนสิการ หมายถงึ มีกระบวนการคดิ วิเคราะห์พิจารณาหาเหตุผลทดี่ ีและถูกวิธี ๔.ธัมมานธุ ัมมปฏิปตั ติ หมายถงึ ความสามารถนำความรู้ไปใชใ้ นชีวติ ได้ถูกต้องเหมาะสม

๕๒ บทที่ ๕ การศกึ ษาในทศั นะปรัชญาการศกึ ษา วตั ถุประสงคก์ ารเรยี นประจำบท เม่อื ศึกษาเนอื้ หาในบทเรียนนแี้ ลว้ ผ้ศู ึกษาสามารถ ๑.อธิบายหลักปรัชญาการศกึ ษาได้ ๒.อธบิ ายยคุ ของปรัชญาได้ ๓.อธิบายความหมายของการศึกษาได้ ๔.อธิบายทัศนะของนกั การศึกษาได้ ขอบขา่ ยเน้อื หา ๑.หลักปรัชญาการศึกษา ๒.ยคุ ของปรัชญา ๓.ความหมายของการศึกษา ๔.ทศั นะของนักการศึกษา

๕๓ ๕.๑ ปรัชญาการศึกษา๑๙ การศึกษา หมายถงึ การถ่ายทอดความรู้ ทกั ษะ และทัศนคติของคนรนุ่ กอ่ นให้กบั อนุชนรุ่น หลงั ของสังคม ทั้งนเ้ี พราะอนุชนรุ่นหลังคงไม่อาจเติบโตไปสคู่ วามเป็นผู้ใหญ่ ถ้าไม่ได้ดดู ซับความเช่ือ เก่ียวกบั โลกทศั น์ และทักษะในการดำรงชวี ิตและแกป้ ัญหาของผู้ใหญ่ ก่อนท่ีการศึกษาจะกลายมาเปน็ กระบวนการสำคญั ที่ต้องกระทำดว้ ยความตงั้ ใจและเปน็ ทางการ และเป็นระบบ โดยมีกล่มุ บคุ คลกลมุ่ หน่ึง คอื พระหรือนักปราชญ์ หรอื นักวชิ าการเปน็ ผู้รบั ผิดชอบน้นั คนในสมัยโบราณก็มกี ารให้การศกึ ษาแก่เด็กในสงั คมของเขาเหมอื นกนั แต่การใหก้ ารศึกษา ของคนสมยั ก่อนเปน็ ไปในลักษณะของการถา่ ยทอดใหเ้ กดิ การเรียนร้ใู นชวี ติ ประจำวันโดยอตั โนมัติ เช่น การสอนการดำรงชีพ โดยการสอนการจบั ปลาและการเพาะปลกู รวมทงั้ การถ่ายทอดวฒั นธรรม ทางสังคม เช่น พิธีศพ การศึกษาในลักษณะดังกลา่ วไม่ใช่การศกึ ษาแบบเปน็ ทางการ ไม่ใช่การศกึ ษาท่ี เปน็ ระบบ และไม่ใช่กระบวนการทีจ่ งใจกระทำขึ้นเพื่อการเรยี นรู้ จงึ ไมม่ ีกลุ่มบุคคลกลุม่ หนึ่งซง่ึ ทำ หนา้ ท่ีรับผิดชอบตอ่ เรื่องการศกึ ษาดงั กล่าว อยา่ งไรกต็ าม เมือ่ มนษุ ย์ไดส้ ะสมอารยธรรมมากข้ึน การ ถ่ายทอดและการเรียนรู้ใหก้ ับอนชุ นรนุ่ หลังของสงั คมไม่อาจเป็นไปในลกั ษณะ ไมเ่ ป็นทางการดังเดิมได้ การศกึ ษา จงึ ตอ้ งกลายมาเป็นกระบวนการสำคญั ทีต่ ้องกระทำดว้ ยความตัง้ ใจและเป็นทางการ โดยมี กลุ่มคนกลุ่มหนงึ่ ก้าวเข้ามาทำหนา้ ท่รี ับผิดชอบแทน กลมุ่ บุคคลกล่มุ น้ีอาจจะเป็นพระ หรอื นกั ปราชญ์ หรือนักวชิ าการ ส่วนนกั ปรชั ญาอย่างฟรานซิส เบคอน, จอหน์ ลอ็ ค มีความเช่อื ว่า โลกแห่งปรากฏการณ์อย่าง ทีม่ ันเป็น เป็นจรงิ แลว้ การศึกษาจึงมีเพียงเป้าหมายทีจ่ ะเขา้ ใจโลกแห่งปรากฏการณ์นเ้ี ท่าน้นั โดยไม่ จำเป็นต้องหาความรใู้ นเชงิ นามธรรมทหี่ ่างไกลตวั ออกไปอย่างทศั นะของเพลโต ดงั น้ัน วชิ าเช่น วทิ ยาศาสตรจ์ ึงเปน็ วิชาทส่ี ำคัญ ๕.๒ ยุคของปรัชญา ยคุ กอ่ นโซฟสิ ต์ นกั ปรชั ญามไิ ด้เสนอทัศนะเกี่ยวกับเป้าหมายของการศึกษาไว้ แตไ่ ดท้ ำหนา้ ทข่ี อง ผู้รับผดิ ชอบเกี่ยวกบั การถา่ ยทอดความร้แู ละวฒั นธรรม คือ การค้นควา้ วิจยั เพือ่ เพ่มิ เตมิ ความรแู้ ละ แกไ้ ขข้อบกพร่องของส่ิงเดมิ ยุคโซฟิสต์ โซฟสิ ต์ คือ กลุ่มนักปรัชญาทีเ่ ร่ิมมีความคิดเกยี่ วกับเป้าหมายของการศึกษาไว้วา่ การศกึ ษาต้องสามารถทำให้ผู้เรียนไดร้ บั ความสำเรจ็ ในการแสวงหาผลประโยชนใ์ หก้ บั ตนเอง โสคราตสี ๑๙ ปรชั ญาการศกึ ษาcdn.learners.in.th/.../original_...

๕๔ โสคราตสี มคี วามเหน็ วา่ เป้าหมายของการศึกษา คือ การค้นพบสจั ธรรมหรอื ความ จรงิ เชงิ ปรนัย เพลโต เพลโตเป็นนักปรชั ญาคนแรกทก่ี ล่าวถึงเปา้ หมายของการศึกษาที่ชดั เจน เพลโตมี ความเหน็ ว่า เป้าหมายของการศึกษา คือ การทำให้บุคคลตระหนกั ได้ชัดเจนว่าสมควรเป็นชนช้นั ไหน ของสงั คม และสงิ่ ทสี่ ามารถทดสอบว่าเขาควรเปน็ ชนชั้นไหนของสงั คม ก็คอื ความรู้ในความจรงิ ข้ัน ปรมัตถ์ (ข้ันสงู สดุ ) กลา่ วคือ ถา้ ใครสามารถบรรลคุ วามรู้ในขั้นน้ี เขาสมควรเปน็ ผปู้ กครองรัฐ หรอื ราชาปราชญ์ เซนต์ ออกสั ติน เซนต์ ออกัสติน มีความเหน็ ว่า เปา้ หมายของการศกึ ษา คือ การมงุ่ ให้ผเู้ รยี นกลับใจ ไปรกั พระเจา้ ( conversion ) และสำนกึ ในบาปของตน ( repentance ) ทง้ั น้ี เพราะการกลับใจไปรกั พระเจา้ ย่อมทำให้มนุษยพ์ บกับความสุขทแ่ี ทจ้ รงิ ล็อค ลอ็ คมีความเหน็ ว่า เปา้ หมายของการศึกษาควรม่งุ สสู่ ังคมและรฐั ไมใ่ ช่อาณาจกั รของ พระเจา้ เปา้ หมายดงั กลา่ ว คือ การรักษารัฐท่ีให้ความมน่ั คงในสทิ ธใิ นทรัพยส์ นิ ส่วนบุคคล รสุ โซ รสุ โซมีความเหน็ วา่ เป้าหมายของการศึกษา คอื การให้ผ้เู รียนได้เตบิ โตตามแนวโนม้ แหง่ ธรรมชาติของตน การศึกษาจงึ เปน็ อสิ ระจากสังคมและอิทธิพลใด ๆ ทง้ั ส้ิน ผลของการให้ การศึกษาในลกั ษณะดังกล่าวน้คี อื ผเู้ รียนสามารถเป็นตวั ของตวั เอง จากนั้น จึงเรยี นรถู้ ึงความสัมพันธ์ ระหวา่ งบุคคลในสังคมและการมุ่งสู่ความดีของสังคมท้งั สังคมโดยละเลยผลประโยชน์เฉพาะตนและ เฉพาะกลมุ่ ลงเสีย ๕.๓ ปรชั ญาต่างๆ ๕.๓.๑ ปรชั ญาปฏิบัตินิยม ปรชั ญาปฏิบตั ินิยมมคี วามเช่ือว่า เป้าหมายของการศึกษา คือ การสร้างใหผ้ เู้ รยี นเป็น ผพู้ ร้อมทีจ่ ะแก้ปญั หาของตนดว้ ยตนเอง ดงั นนั้ การศกึ ษาตอ้ งมงุ่ ให้เกิดผลท่ีปฏิบตั ิได้ มิใชม่ ่งุ การ เรียนรู้แต่ทฤษฎเี ทา่ นั้น ๕.๓.๒ ปรัชญาอัตถภิ าวนิยม ปรัชญาอตั ถิภาวนิยมมีความเชื่อวา่ เป้าหมายของการศกึ ษา คือ การเป็นตัวของ ตวั เองของผเู้ รียน และความเปน็ อิสระของผูเ้ รยี น และประสบการณท์ แ่ี ทจ้ ริงของผู้เรยี น ๕.๓.๓ รัฐฟาสซิสต์ ปรชั ญาการศึกษาของรฐั ฟาสซสิ ต์ คอื ผเู้ รยี นต้องเสียสละตัวเองและม่งุ สเู่ ปา้ หมาย ของรฐั

๕๕ ๕.๓.๔รัฐประชาธิปไตย ปรัชญาการศกึ ษาของรฐั ประชาธิปไตย คือ การศกึ ษาม่งุ สู่จุดหมายของปจั เจกบุคคล มใิ ช่รฐั ดงั นัน้ รฐั ประชาธิปไตยจงึ ชน่ื ชมปรัชญาการศกึ ษาแบบปรชั ญาปฏิบัตนิ ยิ ม และปรัชญาอตั ถิ ภาวนิยมมากกว่า ๕.๔ ความหมายของการศึกษา บุคคลผู้ได้รับการศึกษากับผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาแตกต่างกันอย่างไร ผู้ท่ีเรียนใน สถาบันการศึกษาระดับสูงเป็นผู้มีการศึกษาสูงหรือไร ผู้ท่ีไม่ได้เรียนหนังสือในสถาบันเป็นผู้ไม่มี การศึกษาหรือไร การศึกษาที่แท้ คอื อะไร “ศึกษา” เป็นคำสันสกฤต ตรงกับคำ “สิกขา” ในภาษาบาลี มี ความหมายวา่ การพัฒนาอบรมตน กลา่ วคอื บคุ คลท่ีต้องการให้คุณลักษณะทางกาย วาจา ใจ มี คณุ ภาพสูงกว่าที่เปน็ อยู่ บุคคลท่ีต้องการศกึ ษากต็ ้องเรียนร้ฝู กึ ฝนเพอื่ พฒั นาตน เน่ืองจากบุคคลอนื่ มา พฒั นาแทนไม่ได้ ดงั นัน้ การให้การศึกษาท่ดี ีคือการทำให้บคุ คลเกิดความปรารถนาในการพฒั นาตน ในทางตะวนั ตก education มรี ากศัพท์มาจากคำกรยิ าลาติน ๒ คำ คือ educare กบั educere Educare (เอดูชาเร) หมายถงึ การอบรมเลีย้ งดู เช่ือวา่ มนุษยเ์ กดิ มาไมม่ ีศักยภาพในตน พ่อ แม่ หรือครจู ึงเป็นผู้กำหนด อบรมสง่ั สอน ตรงกับการศึกษาทยี่ ดึ ผู้สอนเป็นศนู ย์กลาง ครูส่ัง ผเู้ รียนทำ (จติ นยิ ม) Educere (เอดูเชเร) หมายถงึ การอบรมเลีย้ งดู เชื่อวา่ มนุษย์เกิดมามีศักยภาพในตน จึงต้อง พยายามใหบ้ ุคคลแสดงศักยภาพออกมา ตรงกับการศึกษาท่ียดึ ผูเ้ รยี นเปน็ ศูนย์กลาง ครูช้ีทาง นกั เรียน แสวงหา ประการนี้ดูเหมือนว่าสอดคล้องกับคำว่า “ศึกษา” (ปฏบิ ัตนิ ิยม) ถ้าการศึกษาคือการพฒั นา ตน ตนจะพฒั นาอะไร พฒั นากายใหม้ ีคุณภาพสงู สดุ ไทย คือ ศลี ตะวันตก คือ phychomotor domain พฒั นาจติ ใหม้ ีคุณภาพสูงสุด ไทย คือ สมาธิ ตะวนั ตก คือ affective domain พัฒนาความรใู้ ห้มคี ุณภาพสูงสุด ไทย คือ ปัญญา ตะวันตก คือ cognitive domain ดังนั้น ถ้าจะถามว่าคนไทยมีการศึกษามีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องหาตังบ่งช้ีด้วยการ ถามว่า สุขภาพของคนไทยมีคุณภาพหรือไม่ ระดับใด วัดจากอะไร เช่น จิตใจแจ่มใส ร่างกายแข็งแรง ไม่มีสารพิษซึมซาบอยู่ในกาย ความสามารถในการใช้อวัยวะกระทำและสื่อสารในการดำรงชีวิต จริยธรรม สติ ความแน่วแน่ และต่อเน่ือง ของคนไทยมีมากน้อยเพียงใด อาจวัดได้จากความคิดท่ีมี จดุ หมายในสิ่งทีเ่ ป็นประโยชนต์ อ่ ตนเองและส่วนรวม แน่วแนใ่ นการกระทำความดี และมคี วามต่อเนอ่ื ง วิธีคิด เพ่ือแสวงหาคำตอบในการดำรงชีวิตของตนเองและผู้อ่ืนอย่างไร อาจวัดจาก การคิดอย่างมี จดุ หมาย ลำดบั ขนั้ ตอนของการคิด คิดอย่างมีเหตุผล (และเข้าใจเหตผุ ลกำมะลอ) คดิ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ ดงั นั้น คงตอบคำถามท่ีวา่ บคุ คลผู้ได้รบั การศึกษากับผทู้ ไี่ ม่ไดร้ ับการศกึ ษา แตกต่างกัน อย่างไร ผู้ท่ีเรียนในสถาบนั การศึกษาระดบั สูงเป็นผูม้ กี ารศกึ ษาสงู หรือไร ผู้ทไ่ี ม่ได้เรียนหนงั สือใน

๕๖ สถาบันเปน็ ผไู้ ม่มกี ารศึกษาหรือไร และ พิจารณาได้วา่ พ่อ แม่ ครู บา อาจารย์ เกษตรกร กรรมกร ผบู้ ริหาร พอ่ คา้ นักการเมือง ฯลฯ ทม่ี ีการศึกษา มลี กั ษณะเชน่ ใด๒๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั พระราชทานแนวพระราชดำรเิ กยี่ วกบั ความหมายของ การศึกษา เม่ือวนั ที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๐ ไวด้ งั น้ี \"การศึกษาเป็นเคร่ืองมืออันสำคัญในการพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ ทัศนคติ คา่ นิยม และคุณธรรมของบุคคล เพื่อให้เป็นพลเมืองดีมีคุณภาพและประสทิ ธิภาพ การพัฒนาประเทศ ก็ย่อมทำได้สะดวกราบรื่น ได้ผลท่ีแน่นอนและรวดเร็ว\" จะเห็นว่าการศึกษามคี วามหมายใน ๒ มิติ คือ มิติแรกเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ในเรื่องต่างๆ และมิติท่ีสองเป็นการพัฒนาบุคคลผู้ศึกษาเองให้มี ความคิด ความประพฤติ ทัศนคติ ค่านิยม และคุณธรรม ซ่ึงทั้งสองมิติแห่งความหมายนี้แยกกันไม่ได้ ตรงกันขา้ มจะต้องควบคู่กันไปเพราะเม่ือบคุ คลหน่ึงมีความรู้ แต่มีความประพฤติ ทัศนคติ ค่านิยมและ คุณธรรม ท่ีไม่ถูกต้องเหมาะสม ย่อมจะนำไปสู่การใช้ความรู้ในทางท่ีไม่ก่อประโยชน์ต่อทั้งตนเองและ ส่วนรวมได้ ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งในเร่ืองน้ีมีความหมายตอนหน่ึง \"ความรู้กับดวงประทปี เปรยี บกนั ไดห้ ลายทาง ดวงประทปี เป็นไฟทส่ี อ่ งแสงเพ่ือนำทางไป ถ้า ใช้ไฟนี้ส่องไปในทางที่ถูก ก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยสะดวกเรียบร้อย แต่ถ้าไม่ระวังไฟน้ัน อาจเผาผลาญให้บ้านช่องพินาศลงได้ ความรู้เป็นแสงสว่างที่จะนำเราไปสู่ความเจริญ ถ้าไม่ระมัดระวัง ในการใชค้ วามร้กู จ็ ะเป็นอนั ตรายเช่นเดยี วกนั จะทำลายเผาผลาญบ้านเมอื งให้ล่มจมได\"้ (๒๘ มกราคม ๒๕๐๕) การศึกษาในความหมายน้ีสะท้อนให้เห็นว่า การศึกษาไมใ่ ช่ส่ิงท่ีจบหรอื สนิ้ สดุ ในตัวเอง แต่ การศกึ ษาจะต้องนำไปสนองต่อเป้าหมาย หรือจุดมงุ่ หมายบางประการ โดยเฉพาะต่อสงั คมส่วนรวม (ซึง่ จะไดก้ ลา่ วในหัวข้อต่อไป) นน่ั หมายความวา่ การศึกษาเปน็ เคร่ืองมือท่ีจะชว่ ยนำพาให้บุคคลและ สังคมไปสูจ่ ุดมุ่งหมายทพ่ี ึงประสงค์ได้ การศกึ ษาท่ีสมบูรณ์จะต้องรวมไปถึงการใชค้ วามรู้ให้เกิด ประโยชน์แก่สังคมสว่ นรวมได้จงึ จะถือไดว้ า่ เป็นการศึกษาในความหมายที่ครบถ้วน สมดงั ท่ีพระราช กระแสทวี่ ่า \"การท่มี ีการศึกษาสมบูรณแ์ ล้วน้ี ทำให้แต่ละคนหลีกเลี่ยงไม่ไดจ้ ากความรบั ผดิ ชอบที่จะต้อง ใชค้ วามรู้ สติปญั ญาของตนใหเ้ ป็นประโยชนแ์ ละเปน็ ความเจรญิ วฒั นาแก่บา้ นเมืองและส่วนรวม\" (๑๒ กรกฎาคม ๒๕๑๖) พระองค์ทรงช้ีถึงปรัชญาการศึกษาที่น่าสนใจย่ิงคือ เม่ือบุคคลหน่ึงมีการศึกษาที่ สมบูรณ์ ผลแหง่ การมีการศึกษาสมบรู ณ์นจี้ ะกำหนดให้บคุ คลนั้นมีหนา้ ที่และความรับผิดชอบ ท่จี ะต้อง ใช้ความรแู้ ละสติปญั ญาของตนเพื่อให้เกิดประโยชนต์ ่อบคุ คลอืน่ และสังคมส่วนรวม โดยไม่ต้องมบี ุคคล ใดมาร้องขอหรือเรียกร้องให้ปฏิบัติหน้าที่เพ่ือส่วนรวมหรือประเทศชาติ แต่การปฏิบัติหน้าที่เพ่ือสังคม หรือประเทศชาติของผู้มีการศึกษาท่ีสมบูรณ์เกิดขึ้น แต่ภายในจากจิตสำนึกแห่งสภาวะของการมี ความรู้และสติปัญญาสมบูรณ์ โดยไม่ต้องมีส่ิงจูงใจหรือข้อแลกเปลี่ยน เช่นประโยชน์ส่วนบุคคลหรือ รางวัลใด ๆ มาเป็นแรงผลักดันให้ผู้ท่ีมีการศึกษาสมบูรณ์ปฏิบัติหน้าที่อันควรจะกระทำ ดังนั้น การศึกษาสมบู รณ์ จึงมีความครบ ถ้วน ใน ตั วเองท้ั งองค์ความรู้แ ละการใช้ ความรู้เพ่ื อป ระโยช น์ ต่ อ ส่วนรวม ในความหมายเช่นที่กล่าวน้ีการศึกษาจึงมีความหมายในเชิงสร้างสรรค์และเป็นผลดีเท่านั้น ๒๐ http://my.opera.com/somprasong/blog/show.dml/๓๓๙๔๕๙๑, วันทเี่ ข้าถงึ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓.

๕๗ ถ้าจะกล่าวในเชิงกลับกันอาจกล่าวได้ว่า การศึกษาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ตัวบุคคลหรือ ส่วนรวมน้ันไม่ใช่การศึกษาท่ีสมบูรณ์ และการศึกษาท่ีสมบูรณ์น้ีเป็นการศึกษาท่ีพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวทรงมุ่งหวัง ให้เกิดข้ึนในพสกนิกรและประเทศชาติของพระองค์ การศึกษาท่ีจะนำไปสู่ การศึกษาสมบูรณ์น้ี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชี้ว่าต้องประกอบด้วย การศึกษาทางวิชาการ และการศึกษาทางธรรม ท้ังนี้เพ่ือการศึกษาทางธรรมคอยกำกับการศึกษาทางวิชาการให้ดำเนินไปใน ทิศทางที่ถกู ต้องและสนอง ตอบต่อเป้าหมายที่เป็นประโยชนต์ ่อสว่ นรวม ดังพระราชดำรัสมีความตอน หนึง่ เกยี่ วกับเร่อื งนีว้ ่า \"การแบง่ การศกึ ษาเปน็ สองอยา่ ง คอื การศกึ ษาวชิ าการอย่างหนึ่ง วิชาการนน้ั จะเป็น ประโยชน์แก่ตวั เองและแก่บา้ นเมอื ง ถา้ มาใช้ต่อไปเม่ือสำเรจ็ การศึกษาแล้ว อีกอย่างหน่ึง ขน้ั ทีส่ องก็ คือ ความร้ทู จ่ี ะเรยี กได้ว่าธรรม คอื รู้ในการวางตัว ประพฤตแิ ละคิด วธิ ีคดิ วิธีทีจ่ ะใช้สมองมาทำเป็น ประโยชนแ์ กต่ วั ส่งิ ท่ีเปน็ ธรรมหมายถึงวธิ ปี ระพฤติปฏบิ ัติ คนทีศ่ ึกษาในทางวิชาการและศกึ ษาในทาง ธรรมกต็ ้องมีปัญญา แต่ผู้ใช้ความรใู้ นทางวชิ าการทางเดยี วและไม่ใชค้ วามรู้ในทางธรรม จะนับวา่ เปน็ ปญั ญาชนมไิ ด้\" (๑๘ ธันวาคม ๒๕๑๓) นัน่ หมายความว่า การศึกษาเปน็ เครอื่ งมือท่กี ่อใหเ้ กิดความรู้ ทงั้ ความร้ใู นทางวิชาการและ ความรใู้ นทางธรรม ด้วยความร้ทู งั้ สองดา้ นนจี้ ะกอ่ ให้เกดิ \"ปญั ญา\" ขน้ึ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ทรงอธบิ ายความหมายของปัญญาวา่ \"ปัญญาแปลอยา่ งหนึ่งคือ ความรทู้ กุ อย่างท้ังทีเ่ ล่าเรียนจดจำมา ที่พจิ ารณาใครค่ รวญ คดิ เห็นข้นึ มา และที่ไดฝ้ กึ ฝนอบรมให้คล่องแคลว่ ชำนาญขึน้ มา เมื่อมคี วามรู้ความชัดเจนชำนาญใน วชิ าตา่ ง ๆ ดงั วา่ จะยงั ผลให้เกิดความเฉลยี วฉลาดแต่ประการสำคัญน้ันคือความรู้ท่ีผนวกกบั ความ เฉลยี วฉลาดนน้ั จะรวมกันเป็นความสามรถพเิ ศษขึน้ คือความรจู้ รงิ รูแ้ จ้งชดั ร้ตู ลอด ซึ่งจะเป็นผล ต่อไปเปน็ ความรูเ้ ท่าทัน เม่ือร้เู ท่าทนั แลว้ ก็จะเหน็ แนวทางและวิธีการทจ่ี ะหลกี เล่ียงให้พ้นอปุ สรรค ปัญหา และความเสอ่ื ม ความล้มเหลวทัง้ ปวงได้ แลว้ ดำเนนิ ไปตามทางที่ถูกต้องเหมาะสมจนบรรลุ ความสำเรจ็ \" (๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๑) ปัญญาในความหมายนี้ ทรงชวี้ ่าเปน็ สภาวะแหง่ การรู้จริง การรู้ แจ้งชัดและการรู้ตลอด ซึ่งสภาวะแหง่ การร้ทู ั้งสามนี้จะนำไปสู่การรูเ้ ท่าทันและปัญญาในความหมาย ดงั กล่าวนี้จะช่วยให้สามารถแกไ้ ขปัญหาหรอื อปุ สรรคและนำไปสคู่ วามสำเรจ็ ไดใ้ นท่สี ุด จากทกี่ ล่าวมาน้ีจะเห็นวา่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ทรงแสดง ถึงความหมายของ การศึกษาที่เปน็ ปจั จยั ก่อให้เกดิ ความรู้และสภาวะแห่งการรู้จรงิ และรู้ทุกอยา่ ง เปน็ ปัจจัยทก่ี อ่ ให้เกิด ปัญญาและด้วยปัญญาจะนำไปสูค่ วามสำเรจ็ กลา่ วให้ชัดเจนคอื การศึกษา ความรู้และปัญญาเป็นเร่ือง ทมี่ คี วาม สมั พนั ธท์ แ่ี ยกออกจากกันไม่ได้ การจะเขา้ ใจเรื่องหนง่ึ เรื่องใดให้สมบูรณจ์ ะต้องเข้าใจทั้งสาม เรือ่ งอย่างเชื่อมโยงกนั ๒๑ เลา่ จ๊ือ กลา่ ววา่ ผู้ศึกษาความร้ฝู ่ายโลกกจ็ ะได้เพ่ิมพูนขึ้นทกุ วนั ผู้ศึกษาความรู้ฝา่ ยเตา๋ ก็จะ สญู หายลดน้อยลงทุกวัน ๒๑ http://www.pwa.co.th/webboard/cgi-bin/wbread.php?acc=๓๘๑๔, วนั ทเ่ี ขา้ ถึง ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓.

๕๘ ความหมายของการศึกษาสามารถสรุปไดส้ องแนวทางดว้ ยกันคอื การศกึ ษาในความหมาย ทวั่ ไป หรอื ทางโลกกับการศึกษาทางธรรม การศึกษาทัว่ ไป หมายเอาการศึกษาเลา่ เรียน การฝกึ อบรม เพอ่ื ให้รหู้ นังสือ รู้อาชีพ สามารถดำรงตนอยใู่ นสงั คมได้อย่างมคี วามสขุ สว่ นการศกึ ษาทางธรรม หมาย เอาการศกึ ษาเพ่ือละความรแู้ ละความไม่รู้ ละบญุ ละบาป ไมย่ ดึ มนั่ ถือมนั่ ในความรู้ ในส่งิ ท่รี ู้ การศึกษานับว่าเปน็ ปัจจยั ที่ ๕ ในการดำรงชวี ติ เม่ือมีความรู้แลว้ ก็สามารถพฒั นา ทอี่ ยู่อาศัย เคร่อื งนุ่งห่ม อาหาร ยารกั ษาโรค ซ่งึ รวมเรยี กวา่ คุณภาพชวี ติ ความเปน็ อยู่ใหด้ ีข้ึนตามลำดับความรู้ ความสามารถของตนท่ีไดฝ้ ึกฝนมา ขอบข่าย เม่ือพูดถึงขอบข่ายของการศึกษาในพุทธปรัชญาการศึกษา ผู้เรียบเรียงขอนำเสนอตาม ขอบข่ายแนวสังเขปรายวิชา ซ่ึงมีดังนี้คือ ศึกษาคุณลักษณะของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาใน ฐานะปรัชญา หลักคำสอนพ้ืนฐานในพุทธปรัชญาการศึกษาในทัศนะของนักปรัชญาการศึกษา กระบวนการศึกษาตามหลักพระพุทธ ศาสนา ปรัชญาการศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์ การศึกษาใน ทศั นะของนกั วชิ าการทางพระพุทธศาสนาเก่ียวกบั พุทธปรัชญากับการกำหนดจุดมุ่งหมายและหลักการ แนวทางการจัดการศึกษา หลักการจัดการศึกษา สาระการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ การประเมินผล การเรียนรแู้ ละการวจิ ยั เพือ่ พัฒนาการเรียนรู้ การศึกษาในความหมายน้ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายว่า เป็นเร่ืองของทุกคน ต้ังแต่เกิดและไม่มีท่ีส้ินสุดตลอดชีวิตของคน ทรงแสดงขอบเขตการศึกษาในชีวิตคนกับบรรดา นกั ศึกษามหาวทิ ยาลยั ไวด้ งั นี้ \"การศกึ ษาน้นั เป็นเรือ่ งของทุกคน และไมใ่ ช่ว่าเฉพาะในระยะหนึง่ เปน็ หนา้ ท่โี ดยตรงใน ระยะเดยี วไม่ใช่อย่างนน้ั ต้งั แต่เกิดมาก็ต้องศึกษาเติบโตข้ึนมาก็ต้องศึกษา จนกระทัง่ ถงึ ขนั้ ทีเ่ รยี กว่า อดุ มศึกษา อย่างท่ีท่านทง้ั หลายกำลังศึกษาอยู่ หมายความว่าการศึกษาท่ีครบถว้ น ที่อุดม ทีบ่ รบิ รู ณ์ แตต่ อ่ ไปเม่ือออกไปทำหน้าท่ีการงานกต็ ้องศึกษาต่อไปเหมือนกัน มฉิ ะนัน้ คนเราก็อยู่ไม่ได้ แม้จบ ปรญิ ญาเอกแล้วกต็ ้องศึกษาต่อไปตลอด หมายความว่า การศึกษาไม่มสี ิ้นสดุ \" (๒๐ เมษายน ๒๕๒๑) พระราชดำรสั นี้ชี้ถึงขอบเขตการศึกษาที่ครอบคลมุ ตลอดชวี ิตของบุคคล ตั้งแต่เกดิ ต่อเนื่องกันจนถึง วาระสดุ ท้ายของชวี ิต เสมอื นการศึกษากับชีวิตเปน็ ของคูก่ ัน นนั่ หมายความว่าขอบเขตของการศึกษา ครอบคลุมถงึ ทุกเรื่องและทกุ เวลาที่เกี่ยวข้องกบั ชีวิตมนษุ ย์อาจกล่าวอีกนับหน่งึ ไดว้ า่ การศกึ ษามไิ ด้มี ขอบเขตเฉพาะเพียงเร่ืองใดเรอื่ งหน่ึง ในระยะเวลาใดเวลาหน่ึง ดว้ ยความหมายและขอบเขตของ การศึกษาตามแนวพระราชดำรนิ ้ี จะเห็นวา่ การศึกษาเป็นหัวใจของชีวติ มนษุ ย์ และการศึกษาเป็น เคร่ืองนำทางทส่ี ำคญั ของมนุษยใ์ หไ้ ปส่กู ารพัฒนาคุณภาพตนเอง และก่อให้เกิดประโยชนต์ ่อสังคมและ ประเทศชาตโิ ดยรวม กลา่ วให้ชดั เจนโดยสรุปคอื ความหมายของการศึกษาจะต้องกำกบั ด้วยจุดหมาย ของการศึกษาดว้ ย กลา่ วคือเป็นการศึกษาทีส่ ร้างสรรคแ์ ละเป็นผลดีแกบ่ ุคคลและสว่ นรวมเทา่ นน้ั ๒๒ สว่ นเสริมอนื่ ๆ ที่มคี วามเกี่ยวขอ้ งจะไดน้ ำเสนอเท่าท่ีโอกาสและเวลาจะอำนวยในโอกาสต่อไป ๒๒ http://www.pwa.co.th/webboard/cgi-bin/wbread.php?acc=๓๘๑๔, วนั ทเ่ี ขา้ ถงึ ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓.

๕๙ การศึกษา (สิกขา) ๒๓ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ได้แยกซอยออกไปเปน็ ๓ ดา้ น โดยสอดคล้องกับ องค์ประกอบแห่งการดำเนนิ ชีวติ ของมนุษย์ ที่มี ๓ ดา้ น คือ พฤติกรรม จติ ใจ และปัญญา เรียกวา่ ไตรสิกขา ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้ ๑. ศลี คือ การฝกึ ฝนพฒั นาด้านพฤติกรรม หมายถึง การพัฒนาพฤตกิ รรมทางกาย และ วาจา ให้มคี วามสมั พันธ์กบั ส่งิ แวดลอ้ มอยา่ งถูกต้อง มีผลดี สง่ิ แวดล้อม ที่เราเกีย่ วข้องสมั พันธ์ มี ๒ ประเภท คอื (๑) สงิ่ แวดล้อมทางสังคม ได้แก่ เพื่อนมนษุ ย์ (ในความหมายเดิมทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งสตั วอ์ ืน่ ทง้ั หลายท้ังปวงด้วย) (๒) สงิ่ แวดล้อมทางวัตถุ ไดแ้ ก่ ปัจจยั ๔ เครื่องใช้วัสดอุ ุปกรณต์ ่างๆ รวมทั้ง เทคโนโลยี และ ส่งิ ทงั้ หลายทม่ี ใี นธรรมชาติ ศลี แบง่ เป็นหมวดใหญ่ ๆ ๔ หมวด (๑) การรกั ษาวนิ ัยแม่บทของชมุ ชน (ปาฏิโมกขสงั วร) เมือ่ คนอย่รู ว่ มกัน หรอื ทำงานทำ กิจการรว่ มกัน เป็นชุมชน เปน็ หนว่ ยงาน เปน็ องคก์ ร ตลอดจนเป็นประเทศชาติ จะต้องมี กฎเกณฑ์ กตกิ า ตลอดจนกฎหมาย เพื่อจัดระเบยี บระบบให้เกดิ ความเรยี บรอ้ ย ความประสานสอดคล้อง ความ เกือ้ หนุนต่อกนั ความร่วมรับผิดชอบและสามัคคี ท่จี ะเออ้ื โอกาส หรือเป็นหลักประกันให้ชวี ติ ความ เป็นอยู่ และกิจการต่างๆ ดำเนินไปด้วยดี สมตามวตั ถุประสงค์แห่งชีวติ หรือกิจการของชุมชนนัน้ ดงั เชน่ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา มีวินัยแมบ่ ททเี่ รยี กชอื่ เฉพาะวา่ ปาฏโิ มกข์ ซึ่งเรามักเรียกกนั งา่ ยๆ ว่าศลี ๒๒๗ ชมุ ชนอื่น เชน่ โรงเรยี นกต็ ้องมกี ฎกติกาทีเ่ ปน็ วนิ ัยแมบ่ ทของตนเชน่ เดยี วกนั วินัยแมบ่ ทสำหรบั สังคมคฤหัสถ์หรือสงั คมแห่งมนุษยชาติทั้งหมด ก็คอื ศีล ๕ ซึ่งถือว่าเป็น มนษุ ยธรรม เพราะเป็นบรรทัดฐานทจ่ี ะทำให้มนุษยม์ วี ิถชี ีวติ ที่สงู กวา่ สัตวด์ ิรัจฉาน อยู่รว่ มกันโดยไม่ เบยี ดเบียนกนั และรักษาสังคมใหม้ สี ันติสขุ สังคมมนษุ ยส์ ่วนยอ่ ยลงไป เชน่ ประเทศ สถาบนั องคก์ ร และหนว่ ยงานตา่ งๆ นอกจากจะต้องรักษาศีล ๕ แลว้ กย็ ังตอ้ งปฏบิ ตั ิตามวนิ ยั แม่บททเี่ ปน็ ส่วนเฉพาะ ของตนเองย่อยลงไปอีก เช่น กฎหมาย ต้ังแต่รัฐธรรมนูญลงมา จรรยาบรรณของวชิ าชีพต่างๆ เชน่ จรรยาบรรณแพทย์ จรรยาบรรณของขา้ ราชการพลเรอื น เปน็ ตน้ ฯลฯ การจดั ตั้งวางระเบยี บชวี ติ และระบบสังคม ด้วยการบัญญัติกฎกติกาอันชอบธรรม ทเี่ รียกว่า วนิ ยั แม่บทนนั้ พงึ มวี ัตถุประสงคท์ ส่ี ำคญั คอื ก. เพือ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยอยู่ร่วมกนั ผาสุก ข. เพอ่ื ความสอดคล้องประสานกลมกลืน ค. เพื่อความเกื้อหนนุ กัน โดยไมเ่ บียดเบียน ไม่เอาเปรยี บกัน ง. เพอื่ ความมีสว่ นรว่ มและรว่ มรบั ผิดชอบ จ. เพือ่ ความพร้อมเพรยี งสามัคคี ๒๓ http://www.pantown.com/group.php?display=content&id=๓๖๗๔๙&name=content๓๐&area=๓.วนั ทเี่ ข้าถึง ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓.

๖๐ ฉ. เพอ่ื ป้องกันความช่วั และความเส่อื มเสยี หาย ช. เพ่ือกัน้ คนชว่ั รา้ ย และให้โอกาสคนดี ญ. เพื่อเอ้ือโอกาสใหช้ ีวติ และกิจการพัฒนาและดำเนนิ สูจ่ ดุ หมาย ฎ. เพื่อความดงี ามงดงามมีวฒั นธรรมของสงั คม ฏ. เพอ่ื เปน็ หลักประกนั ความม่ันคงแหง่ หลักการ (๒) การรู้จักใชอ้ นิ ทรีย์ (อนิ ทรียสังวร) เรารบั รู้ส่ิงแวดลอ้ มโดยผา่ นทางอนิ ทรีย์ คือ ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ ถา้ รับรู้ จากการใชห้ ูตาไมเ่ ปน็ เช่น ดไู มเ่ ป็น ฟังไม่เป็น แทนทจี่ ะไดป้ ระโยชน์กจ็ ะเกดิ โทษ เช่น เกดิ ความลมุ่ หลงมวั เมา ถกู หลอกลวงและเสื่อมเสียสุขภาพเป็นตน้ ตลอดจนนำไปสู่การใชม้ ือ และสมองเพื่อการแยง่ ชิงหรอื ทำลาย จงึ ต้องพัฒนาพฤตกิ รรมในการใช้ อินทรีย์ ใหด้ ู ฟัง เปน็ ตน้ อย่าง มสี ติ เม่ือดูเป็น ฟังเป็น เช่น ดทู วี เี ปน็ ฟังวิทยุเปน็ รู้จักใช้ตาหู แสวงหาความรเู้ ปน็ ต้น กจ็ ะได้ปัญญา ไดค้ ณุ ภาพชวี ติ และนำไปสกู่ ารใช้มอื และสมองเพ่ือช่วยเหลอื เก้ือกูลกันและทำการสร้างสรรค์ ๕.๕ การศกึ ษาในทศั นะของนกั ปรชั ญาการศกึ ษา ดร. สาโรช บัวศรี กลา่ วว่า การศกึ ษาคือขบวนการพัฒนาขันธ์ ๕ ให้เจรญิ เต็มทเ่ี พื่อบรรเทา ราคะ โทสะ โมหะ ของมนุษย์ให้เบาบางลงและหมดไปในที่สุด๒๔ พระราชวรมนุ *ี (* ปจั จบุ ัน พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยทุ ธ์ ปยุตโฺ ต) )ได้กล่าวว่า การศึกษา มีจุดประสงค์เพ่ือทำชวี ติ ให้เข้าถงึ อิสรภาพ คอื ทำให้ชวี ิตหลุดพน้ จากอำนาจครอบงำจากปัจจัย ภายนอกให้มากทสี่ ดุ และ มีความเปน็ ใหญ่ในตวั สามารถกำหนดความเปน็ อย่ขู องตนให้ได้มากที่สุด๒๕ พุทธทาสภกิ ขุ กลา่ วไว้วา่ มนุษย์เราในโลกปัจจบุ ันนมี้ ีการศกึ ษาแตเ่ พียงสองอย่าง คอื รู้ หนงั สอื ร้อู าชีพ ขาดอยา่ งที่สามคอื การศกึ ษาท่ที ำให้เป็นมนษุ ยก์ ันอยา่ งถูกต้อง, อุดมศกึ ษาของพุทธ บรษิ ัทนนั้ เขาหมายถึงการปฏิบัตไิ ปจนถงึ ขนาดบรรลุ มรรค ผล นพิ พาน, การศกึ ษาที่บริสทุ ธิ์ตอ้ งมุ่ง เพื่อชว่ ยตนและคนทงั้ โลก๒๖ พระเทพเวที (ป.อ. ปยุตฺโต) กลา่ วไวว้ า่ การศึกษาจะต้องเปน็ ไปเพื่อฝึกฝนพัฒนา รูจ้ กั แกป้ ญั หาดบั ทกุ ข์ และทำตนให้เปน็ สขุ ได้๒๗ พระราชวรมุนี (ประยรู ธมฺมจติ ฺโต) กลา่ วไว้วา่ ธรรมชาติของส่งิ ต่าง ๆ มีหลายช้ัน หลาย มิตทิ ่ีศึกษาได้ไม่รูจ้ บ ดังนั้นผตู้ อ้ งการจะดำเนินชีวติ ใหส้ อดคลอ้ งกับธรรมชาติ จงึ ต้องขยายขอบฟา้ แห่ง ความรเู้ รื่อยไปไม่รสู้ น้ิ นัน่ คอื การศกึ ษาตลอดชวี ติ ในมหาวิทยาลัยชีวิตจริงการศกึ ษาตามแบบแผนใน ๒๔ สำลี รักสทุ ธ,ี คมวาทะของนักการศึกษาทท่ี รงคุณคา่ นริ ันดร์กาล, หนา้ ๗๐. ๒๕ http://www.mcu.ac.th/mcutrai/menu๒/Critical/๐๖.htm, วันที่เข้าถึง ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓. ๒๖ สำลี รักสทุ ธี, คมวาทะของนักการศึกษาท่ที รงคณุ ค่านริ ันดร์กาล, (กรงุ เทพมหานคร : หา้ งห้นุ ส่วน จำกดั เรอื งแสงการพิมพ,์ ๒๕๔๘), หน้า ๒๓, ๓๖, ๔๓. ๒๗ สำลี รักสุทธี, คมวาทะของนักการศึกษาทีท่ รงคณุ คา่ นิรนั ดรก์ าล, หน้า ๒๒.

๖๑ โรงเรยี นและมหาวิทยาลัยเป็นเพยี งเตรยี มตัวผเู้ รยี นให้พร้อมท่จี ะขยายขอบฟา้ แห่งความรูด้ ้วย ตนเอง๒๘ เลา่ จอื๊ กล่าววา่ ผ้ศู กึ ษาความรู้ฝา่ ยโลกก็จะไดเ้ พ่ิมพูนขึน้ ทุกวนั ผศู้ กึ ษาความรฝู้ ่ายเต๋าก็จะ สูญหายลดนอ้ ยลงทกุ วัน๒๙ วิจติ ร ศรีสอ้าน (๒๕๒๔: ๑๐๙) กลา่ วว่า ปรชั ญาการศึกษา คือ จุดม่งุ หมาย ระบบความเชอื่ หรอื แนวความคิดทแ่ี สดงออกมาในรูปของอุดมการณห์ รืออุดมคติทำนองเดียวกนั กบั ท่ใี ช้ในความหมาย ของปรัชญาชวี ติ ซึ่งหมายถงึ อดุ มการณข์ องชีวติ อดุ มคติของชีวิต แนวทางดำเนินชีวติ กลา่ วโดยสรปุ ปรชั ญาการศกึ ษาคือ จดุ ม่งุ หมายของการศกึ ษา จอรจ์ แอล นิวสัน (George L. Newsone ๑๙๖๙:๑๖๓-๑๖๔) ปรชั ญาการศึกษา คือ การ นำเอาหลักบางประการของปรชั ญาอนั เปน็ แม่บทมาดดั แปลงให้เปน็ ระบบเพือ่ ประโยชน์ในการศึกษา ทองปลวิ ชมชนื่ (๒๕๒๙:๑๒๐) ปรชั ญาการศึกษา คือ เทคนคิ การคดิ ท่จี ะแสวงหาคำตอบ และกำหนดแนวทางในการดำเนินงานทางการศึกษาไม่ว่าการศึกษาในระบบโรงเรียนหรือการศึกษา นอกโรงเรยี น เร่ิมต้ังแต่การกำหนดจุดม่งุ หมายของการศึกษา ยุทธศาสตร์ทางการศึกษาและการ บริหารทางการศกึ ษา เพื่อให้เกิดประสทิ ธภิ าพในการพัฒนามนุษย์และสังคมอยา่ งแทจ้ ริง เจมส์ อีแมคเคลนเลน ปรชั ญาการศกึ ษา คือ สาขาวิชาหนึง่ ในบรรดาสาขาต่างๆท่ีมอี ยู่ มากมาย อนั เกี่ยวข้องกับการดำเนนิ ชวี ิตของมนุษย์ ภญิ โญ สาธร (๒๕๒๑: ๘๑) ใหค้ วามหมายของปรัชญาการศึกษาว่าเป็นวชิ าทวี่ ่าดว้ ยความรู้ อนั เกย่ี วกับการศึกษาความรอู้ ันเกี่ยวกบั การศึกษาน้นั หมายถึง วตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษาเนื้อหาวชิ า ทใ่ี หศ้ ึกษาและวิธกี ารให้ศึกษา สมุ ิตร คุณานกุ ร (๒๕๒๓: ๓๙) กลา่ ววา่ ปรัชญาการศึกษา คอื อุดมคติ อดุ มการณ์อนั สูงสุด ซง่ึ ยึดเปน็ หลกั ในการจดั การศึกษา มีบทบาทในการเปน็ แมบ่ ท เปน็ ตน้ กำเนิดความคดิ ในการกำหนด ความมุง่ หมายของการศกึ ษาและเป็นแนวทางในการจัดการศึกษา ตลอดจนถงึ กระบวนการในการเรียน การสอน กองส่งเสรมิ วทิ ยฐานะครู กรมการฝกึ หดั ครู (๒๕๓๐ : ๒๐) ให้ความหมายว่า ปรัชญา การศึกษาเปน็ แนวคิด อดุ มคติ หรืออดุ มการณ์ทางการศกึ ษา ซ่ึงได้กลน่ั กรองมาแล้วและจะเปน็ แนวทางในการจัดการศึกษา ซดิ นยี ์ ฮุค (Sidney Hook ๑๙๖๙:๑๓๖-๑๓๙) ปรชั ญาการศกึ ษา คอื ทัศนคติและวัตถุ ประสงค์ในการจดั การศึกษา โดยระบบโรงเรียนซ่ึงโรงเรียนและบุคลากรที่มีบทบาทหนา้ ท่ีเกย่ี วกับ การศึกษายดึ เป็นแนวทางในการปฎบิ ัติเพ่อื พฒั นาผูเ้ รยี นหรือให้การศกึ ษาแก่ผเู้ รียน ๒๘ สำลี รกั สทุ ธี, คมวาทะของนกั การศึกษาทีท่ รงคณุ ค่านิรันดร์กาล, หนา้ ๒๑. ๒๙ สำลี รกั สุทธ,ี คมวาทะของนกั การศึกษาทที่ รงคุณคา่ นริ ันดร์กาล, หน้า ๘๑.

๖๒ ก๊อดเฟร ทอมสนั (Gogfrey Thomson) กล่าววา่ เม่อื เราพยายามท่จี ะพิจารณาดูการศึกษา โดยตลอดแลว้ พยายามท่ีจะให้ได้ความคดิ ท่ลี งรอยเกีย่ วกับการศกึ ษาทง้ั หมดนัน้ ใหส้ มเหตสุ มผล และ ใหใ้ ช้ไดผ้ ลใหม้ ากท่ีสดุ เท่าทีจ่ ะทำไดน้ ้นั และคอื ปรชั ญาการศึกษา (อา้ งใน สลุ ักษณ์ ศิวรักษ์ ๒๕๒๔:๓) จอรจ์ เอฟ เนลเลอร์ (Kneller ๑๙๗๑ : ๑) กล่าวว่า ปรชั ญาการศกึ ษา คือ การค้นหาความ เขา้ ใจในเร่ืองการศกึ ษาทัง้ หมดการตคี วามหมายโดยการใช้ความคิดรวบยอดท่ัวไปทจ่ี ะช่วยแนะ แนวทางในการเลือกจดุ มุง่ หมายและนโยบายของการศึกษา

๖๓ บทท่ี ๖ กระบวนการศกึ ษาตามหลักพระพทุ ธศาสนา วตั ถุประสงคก์ ารเรียนประจำบท เมื่อศึกษาเน้ือหาในบทเรียนน้ีแล้ว ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑.อธิบายกระบวนการศึกษาตามหลกั พุทธศาสนาได้ ๒.อธิบายยคุ ของปรัชญาได้ ๓.อธิบายความหมายของการศกึ ษาได้ ๔.อธิบายทศั นะของนักการศึกษาได้ ขอบข่ายเนื้อหา ๑.หลักปรชั ญาการศกึ ษา ๒.ยุคของปรัชญา ๓.ความหมายของการศกึ ษา ๔.ทัศนะของนกั การศึกษา

๖๔ ๖.๑ กระบวนการศึกษาตามหลกั พระพทุ ธศาสนา พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ไดอ้ ธบิ ายวา่ ชีวิตเกดิ จากการรวมตัวขององคป์ ระกอบ ๒ อยา่ งคือ ร่างกายและจติ ใจซงึ่ มีความสัมพันธ์กนั อยู่ กระบวนการศกึ ษาจงึ ควรประกอบด้วย องคป์ ระกอบสำคัญอันไดแ้ ก่ ๑. การมีความรู้ ความเข้าใจในสภาพความเปน็ จรงิ เพื่อจะสามารถปรับตวั ได้และแก้ปญั หา อย่างถูกต้อง ๒. ปรบั ตัวเพ่อื เพม่ิ ความสามารถในการดำรงอยู่ ๓. การรู้จกั และความเข้าใจถึงความเก่ียวข้องสัมพนั ธก์ นั ของตนเองกับสง่ิ แวดลอ้ มและรู้จัก ปรับส่ิงแวดล้อมให้เปน็ ประโยชน์แก่ตนเอง และร้จู ักความพอดี ๖.๒หลกั ปฏบิ ตั ทิ สี่ ำคญั ในการใช้อนิ ทรีย์ ก) รู้จกั พิจารณาเลือกเฟ้นสิ่งทจ่ี ะดู จะฟัง เปน็ ต้น แยกแยะได้อยา่ งร้เู ท่าทนั ว่าส่งิ ใด รายการ ใดดีงามหรือไม่ เปน็ คุณประโยชน์หรอื เป็นโทษเป็นภัย แล้วหลีกละเว้นสงิ่ ทชี่ ่วั รา้ ยเป็นโทษภยั และรบั ดรู บั ฟังส่ิงทดี่ ีงาม เปน็ ประโยชน์ ข) ดู ฟงั เปน็ ต้น อย่างมสี ติ ควบคมุ ตนเองได้ รู้จักประมาณ รพู้ อดี ไม่ปล่อยตัวใหล้ ่มุ หลงมวั เมา ตกเป็นทาสของสิ่งทดี่ ทู ี่ฟังเป็นต้นนั้น อันจะทำให้สนิ้ เปลืองเงนิ ทอง สูญเสียเวลา เสยี สุขภาพ เสีย การงาน เสียการเล่าเรยี น เป็นตน้ ค) ไม่เหน็ แก่ความสนุกสนานบนั เทิง ไมต่ ิดอยูแ่ ค่ความชอบใจไมช่ อบใจ แตร่ ู้จักดู ร้จู กั ฟงั ให้ ได้คุณคา่ ท่ดี ีงามเปน็ ประโยชน์สงู ขน้ึ ไปกว่านั้น โดยเฉพาะท่ีสำคัญคือ ต้องให้ไดป้ ญั ญา และคตทิ ีจ่ ะ นำมาใช้ประโยชน์ในการพฒั นาชีวิตและสงั คม (๓) การหาเลยี้ งชพี ท่ีบรสิ ุทธิ์ (อาชีวปาริสุทธ)ิ การทำมาหาเล้ียงชีพเป็นพฤติกรรมหลักในการ ดำเนินชีวิตของมนุษย์ ถ้ามผี ู้หาเลีย้ งชีพโดยวิธที ุจริต เป็นมิจฉาชีพ นอกจากชวี ิตของคนน้ันเองจะชั่ว รา้ ยเสื่อมเสยี แล้ว ก็จะก่อความเดือดร้อนแกส่ ังคมอย่างมาก จึงต้องย้ำเนน้ กนั อย่างยิง่ ในเรอ่ื งการ พัฒนา สมั มาชพี และสง่ เสริมใหป้ ระชาชนฝกึ ฝนตนให้สามารถประกอบสัมมาชพี คือหาเลย้ี งชีวิตโดย ทางสจุ รติ ไม่ผดิ กฎหมาย สัมมาชพี พึงมีลกั ษณะท่สี ำคญั ๆ ดังนี้ เป็นอาชีพการงานท่ีไมเ่ บยี ดเบยี นผอู้ น่ื ไมก่ ่อเวรภัย หรือ สร้างความเดือดร้อนเสยี หายแกส่ ังคม เป็นอาชพี การงานที่ช่วยแก้ไขปัญหา หรอื สรา้ งสรรค์ชวี ติ และสังคมในทางใดทางหนึ่ง เป็นอาชพี การ งานท่ีชว่ ยใหผ้ ูท้ ำได้พฒั นาชีวิตของตนใหง้ อกงามย่ิงขนึ้ ท้ังดา้ นพฤติกรรม ดา้ นจิตใจ และด้านปัญญา เป็นอาชีพการงานที่ไม่ทำลายคุณค่าของชวี ิต และไมเ่ สือ่ มเสยี คุณภาพชวี ิต แต่ทำให้ชีวิตของตนมี คุณค่านา่ ภาคภูมใิ จ เป็นอาชพี การงานทที่ ำให้ได้ปจั จัยเลี้ยงชวี ติ มาดว้ ยเรีย่ วแรงกำลังกาย กำลัง สตปิ ญั ญา ความเพยี รพยายาม ความสามารถและฝมี ือของตน และทำให้ได้ฝึกฝนพัฒนาความ เชยี่ วชาญจัดเจน หรือฝกึ ปรอื ฝีมอื ในทางสรา้ งสรรคย์ ง่ิ ขน้ึ ไป (๔) การเสพบรโิ ภคปัจจยั โดยใชป้ ญั ญา (ปจั จัยปฏเิ สวนา) พฤติกรรมของมนุษย์ ในทส่ี ดุ ก็มาลงที่ การกิน ใช้ เสพ บรโิ ภค ถ้ามนษุ ย์ไม่พัฒนาพฤติกรรมในการเสพบริโภค ก็จะก่อปัญหาอยา่ งมากท้ังแก่

๖๕ ชวี ิต แก่สังคม และแกโ่ ลก เพราะเขาจะกนิ ใช้ บริโภคปัจจยั ๔ และส่ิงของเครื่องใช้ท้ังหลาย รวมทง้ั เทคโนโลยี ด้วยโมหะ กอ่ ให้เกิดความล่มุ หลง มัวเมา ฟุ้งเฟ้อ ฟุม่ เฟือย ความเสอ่ื มเสยี คณุ ภาพชวี ติ การใช้จ่ายสิน้ เปลอื ง การขัดแยง้ แยง่ ชงิ เบยี ดเบยี นกนั ในสงั คม การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และ การก่อมลภาวะ เปน็ ตน้ จึงต้องพฒั นาพฤติกรรมในการกิน ใช้ เสพ บรโิ ภค ใหเ้ ป็นพฤติกรรมที่เกิดจาก ปญั ญาที่รเู้ ข้าใจ และปฏบิ ัติให้ถูกต้องตามวัตถปุ ระสงคข์ องปจั จัย ๔ ตลอดจนเทคโนโลยีนนั้ ๆ เร่ิมแต่ รบั ประทานอาหารเพื่อบำรุงเลยี้ งรา่ งกายใหแ้ ข็งแรงมีสุขภาพดี ไมใ่ ชก่ ินเพียงเพ่อื เอร็ดอรอ่ ย อวดโก้ อวดฐานะ หรอื ตืน่ ตามคา่ นิยมฟู่ฟ่า ใหเ้ ป็นการกินด้วยปญั ญาท่ีทำให้รจู้ ักประมาณในการบริโภค หรอื กนิ พอดี ทเี่ รียกวา่ โภชเนมตั ตัญญตุ า ตลอดจนการใช้สอยสิง่ ต่างๆ อย่างประหยัด ซึง่ ทำใหไ้ ด้ ประโยชน์มากที่สุดโดยส้นิ เปลืองนอ้ ยที่สดุ ปัจจยั ปฏเิ สวนา หมายถึง การใชป้ ัญญาทำความเขา้ ใจ แลว้ บริโภคปัจจัยทงั้ หลายให้ได้ผลตรงพอดี ตามคุณคา่ แทท้ ่ีเป็นจดุ หมายของการบริโภคสิ่งนนั้ ๆ ศลี หมวด นีม้ ีหลกั ในการปฏิบตั ิดังน้ี ก) บรโิ ภคดว้ ยความรู้ตระหนักว่าการมี-ใช้-บรโิ ภคสงิ่ เหล่าน้ันมิใชเ่ ปน็ จุดหมายของชวี ิต แตม่ นั เปน็ ปัจจัย เครอ่ื งช่วยเกื้อหนุนให้เรา สามารถพฒั นาชวี ิตและทำการสรา้ งสรรค์ประโยชน์สขุ ที่สูง ย่งิ ข้ึนไป ข) บรโิ ภคด้วยความรู้เทา่ ทันตอ่ วตั ถุประสงค์ที่แทจ้ ริงของการบริโภค ใช้สอยสง่ิ น้ันๆ เชน่ การ สวมรองเทา้ มวี ตั ถุประสงค์เพื่อช่วยปกปอ้ งเท้า มิใหเ้ ป็นอันตรายจากสิง่ กระทบกระทั่งและเชอ้ื โรคเปน็ ตน้ และเพอ่ื ช่วยให้เดินวง่ิ ได้สะดวกรวดเรว็ ทนนาน เป็นต้น มิใช่สวมใส่เพ่อื อวดโก้แสดงฐานะกันตาม คา่ นยิ มทเ่ี ล่ือนลอย ค) บรโิ ภคโดยพิจารณาจดั สรรควบคมุ ให้ไดป้ รมิ าณ ประเภท และคณุ สมบัติของส่ิงทบ่ี ริโภคตรง พอดีกบั วตั ถปุ ระสงคท์ ี่แท้จริง ของการบรโิ ภคส่งิ นั้น เชน่ บรโิ ภคอาหารในปรมิ าณและประเภท ซง่ึ พอดีกบั ความตอ้ งการของรา่ งกายทีจ่ ะชว่ ยให้มสี ุขภาพดี ง) สามารถละเว้นหรือเลิกเสพบรโิ ภคส่ิงท่ีไม่เป็นปัจจัยเก้ือหนนุ ชวี ติ เช่นสิ่งทีท่ ำลายสขุ ภาพเปน็ ตน้ โดยไม่เห็นแก่การเสพรส หรือ ความโกห้ รูหรา เปน็ ต้น๓๐ ๖.๓ หลักโยนโิ สมนสกิ าร ๑๐ วิธี พระราชวรมนุ ี ได้กลา่ วว่า เพ่ือใหป้ รโตโฆสะ นำไปสโู่ ยนโิ สมนสิการ ทำให้คนร้จู กั คดิ หรอื คิด เองเป็น อนั จุดเริ่มต้นของการศึกษา และจำเป็นสำหรบั การทีจ่ ะมีการศึกษา จงึ ขอเสนอวธิ ีคดิ ทเี่ รยี กว่า โยนิโสมนสกิ ารตามทพ่ี ระพุทธเจา้ ได้ทรงแนะนำไวส้ กั ๑๐ วิธี คนทวั่ ไปซงึ่ ไดส้ ่ังสมความเคยชินให้จติ มี นสิ ยั แหง่ การคิดในแนวทางของการสนองตณั หาหรอื คิดโดยมีความไม่ชอบใจเป็นพืน้ ฐานมาเปน็ เวลา ยาวนาน วธิ โี ยนิโสมนสกิ ารแบบต่างๆ น่ีจะเร่มิ เป็นเครอ่ื งฝกึ ในการสร้างนิสัยใหมใ่ ห้แก่จิต การสรา้ ง นิสัยใหม่น้ี อาจจะต้องการใช้เวลานานบ้าง เพราะนิสยั เดิมเปน็ สง่ิ ที่ได้ส่ังสมมานานคนละเป็นสิบๆ ปี แต่เม่อื ได้ฝึกข้นึ บ้างแลว้ ก็ไดผ้ ลค้มุ ค่า เพราะเป็นการทำให้เกิดปัญญา ทำให้แกป้ ัญหาดับความทุกข์ได้ ๓๐ http://board.dserver.org/e/easydharma/๐๐๐๐๐๒๙๗.html. วันทเ่ี ข้าถึง ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓.

๖๖ แม้จะยงั ทำไมไ่ ด้สมบูรณ์ กย็ ังพอเปน็ เคร่ืองช่วยใหเ้ กดิ ความสมดุล และได้มที างออกในยามท่ีถกู ความคิดตามแนวนิสัยเดมิ ชกั นำไปสคู่ วามอบั จน ความทุกข์ และปญั หาบบี คนั้ ตา่ ง ๆ อน่งึ พงึ ทราบว่าวิธโี ยนโิ สมนสิการแบบตา่ งๆ ถงึ จะมีมากอยา่ ง ก็สรุปลงได้เป็น ๒ ประเภท เท่านั้น คอื ๑.โยนิโสมนสกิ ารประเภทพฒั นาปญั ญาโดยตรง ม่งุ ให้เกิดความรู้เข้าใจตามเปน็ จรงิ ตรงตาม สภาวะแท้ๆ เน้นที่การขจัดอวิชชาเปน็ เครื่องนำไปสู่โลกตุ ตรสมั มาทฏิ ฐอิ าจเรยี กวา่ โยนโิ สมนสิการ ระดับสจั ธรรม ๒.โยนิโสมนสกิ ารประเภทสร้างเสรมิ คณุ ภาพจติ ม่งุ ปลุกเร้าให้เกิดคุณธรรมหรอื กุศลธรรมตา่ งๆ เน้นท่กี ารสกดั หรือข่มตัณหา เป็นเครอ่ื งนำไปสู่โลกยี สมั มาทฏิ ฐิ อาจเรยี กวา่ โยนิโสมนสิการระดับ จรยิ ธรรม วธิ โี ยนิโสมนสิการตอ่ ไปน้ี บางอยา่ งใชป้ ระโยชน์ประเภทเดยี ว บางอยา่ งใช้ประโยชน์ได้ทง้ั สองประเภท ในท่นี ้ีจะยังไม่แยกกลมุ่ ไว้ จะยกมาแสดงทีละอยา่ งตามลำดบั ที่เห็นสมควร และชี้แจง ประโยชนเ์ ป็นข้อๆไปหรือใหผ้ ู้อา่ นพจิ ารณาดูเอง ซง่ึ กจ็ ะแยกไดโ้ ดยไม่ยาก ๑. วิธีคดิ แบบสบื สาวเหตปุ ัจจยั คือ พิจารณาปรากฏการณต์ า่ งๆ ใหร้ ูจ้ ักสภาวะตามท่ีมนั เป็นจรงิ หรือพิจารณาปญั หา คน้ หาหนทางแก้ไข ด้วยการสืบสาวหาสาเหตแุ ละปจั จยั ตา่ งๆ ที่สมั พนั ธ์ สง่ ผลสบื ทอดกันมา จะเรยี กว่า วิธคี ดิ แบบอทิ ปั ปจั จยตา หรือวิธีคิดแบบปัจจยาการก็ได้ ในทางปฏบิ ตั ิ อาจแยกวิธคี ดิ น้ีได้ ๒ อย่าง คือ ก. คิดแบบปจั จยั สัมพันธ์ คือ เม่อื พบเหตุการณ์หรอื เรื่องท่ีพิจารณาอย่างหนงึ่ อยา่ งใด ก็ มองหยง่ั ย้อนและสบื สาวชกั โยงออกไปถงึ ปัจจยั ต่างๆ ทัง้ หลายทเี่ ข้ามาสมั พันธน์ ้ัน ก่อให้เกิดผลหรอื ปรากฏการณ์นน้ั ๆ ขึน้ เช่น ท่ีพระพุทธเจา้ ตรสั สอนบ่อยๆ ใหพ้ ระสาวกพิจารณาว่า “เมื่อสงิ่ น้ันมี ส่ิงนี้ จึงมี เพราะส่ิงนัน้ เกิดขนึ้ สง่ิ นี้จงึ เกิดขึ้น ฯลฯ” ข. คดิ แบบสอบสวน หรอื ตั้งคำถาม คือ เมื่อประสบพบเห็นส่ิงใด ๆ ทคี่ วรพจิ ารณา ก็ ค่อยตงั้ คำถามแก่ตนวา่ ทำไม เพราะอะไร เชน่ ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงตงั้ ปัญหาถามพระองค์เองก่อนตรสั รู้ ว่า “ตณั หาเกิดขนึ้ เพราะอะไรเปน็ ปัจจยั ใหเ้ กิดตณั หา เป็นต้น หรือคดิ สืบสาวหาสาเหตุจิตใจต่อไป ๒. วิธคี ดิ แบบแยกแยะองค์ประกอบ หรือกระจายเนื้อหา เป็นวิธคี ดิ สำคญั อีกแบบหน่งึ ทีม่ ุ่ง เพอ่ื เขา้ ใจสงิ่ ต่าง ๆ ตามสภาวะของมัน ตามธรรมดา ส่งิ ท้ังหลายกด็ ี ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ กด็ ี เรือ่ งราว ตา่ ง ๆ ที่อุบัติขน้ึ กด็ ี เกิดจากสว่ นประกอบยอ่ ย ๆ มารวมกนั เข้า เม่อื แยกแยะกระจายออกไปใหเ้ ห็น องคป์ ระกอบย่อยๆ ต่าง ๆได้แลว้ จึงจะร้จู กั สิ่งนัน้ ๆ เร่อื งราวน้ันๆได้ถกู ต้องแท้จรงิ จงึ จบั จุดท่เี ปน็ ปญั หาได้ และจงึ จะแก้ปญั หาได้ ตัวอยา่ งของการคิดแบบนี้เช่นทพ่ี ระพุทธศาสนาแยกแยะชีวิตออกเปน็ สว่ นประกอบย่อยต่างๆ เชน่ เป็นขนั ธ์ ๕ เป็นตน้ ๓. วิธีคดิ แบบรเู้ ท่าทนั ธรรมดา คือ มองเหตุการณ์ สถานการณ์ ความเป็นไปของสิง่ ทั้งหลายอยา่ งรเู้ ข้าใจธรรมดาธรรมชาตขิ องมัน ซ่ึงจะต้องเปน็ ไปอย่างนัน้ ในฐานะทม่ี นั เปน็ สิ่งซ่งึ เกิด จากเหตุปจั จัยตา่ งๆปรุงแตง่ ข้ึน จงึ จะตอ้ งเปน็ ไปตามเหตปุ ัจจัยเหล่านั้น กลา่ วคอื การที่มันเกิดขน้ึ แล้ว จะต้องดบั ไป ไม่เทย่ี ง ไม่คงที่ ไม่คงอยู่ตลอดไป มีภาวะท่ีถูกปัจจัยต่างๆ ทข่ี ดั แย้ง บีบค้ันได้ ไมม่ ีอยู่ และไมส่ ามารถดำรงอยโู่ ดยไตรลกั ษณ์ หรอื สามัญลักษณ์ จึงเรยี กความคิดแบบน้ีได้อีกอย่างหน่งึ ว่า วธิ ี คดิ แบบสามญั ลักษณ์ วิธีคดิ แบบนท้ี ี่ถูกต้องต้องดำเนนิ ไปให้ครบ ๒ ข้ันตอน คือ

๖๗ ก. ขน้ั ทีห่ นงึ่ รเู้ ท่าทนั และยอมรบั ความจริง เปน็ ข้ันวางใจวางทา่ ทีต่อสิ่งทั้งหลายโดย สอดคลอ้ งกับความเปน็ จริงของธรรมชาติ เป็นท่าทีแหง่ ปัญญา เชน่ เม่ือประสบสถานการณ์ที่ไม่ ปรารถนาขนึ้ ต้ังขนึ้ สำนกึ ข้ึนในเวลานั้นว่า เราจะมองตามความเปน็ จริง ไม่มองตามความอยากของ เราท่ีอยากใหเ้ ป็นหรืออยากไมใ่ หเ้ ปน็ รู้วา่ สิ่งนัน้ เปน็ อย่างนั้นตามเหตุปัจจยั ของมนั เปลอื้ งตวั อสิ ระได้ ไม่เอาตัวไปให้ถกู กดถูกบีบ ข. ข้ันทสี่ อง แก้ไขและทำการไปตามเหตุปจั จัย เปน็ ขั้นปฏบิ ัตติ อ่ ส่งิ ท้งั หลายโดย สอดคล้องกับความเปน็ จริงของธรรมชาติ เปน็ ท่าทแี ห่งปญั ญา คือร้วู า่ สง่ิ ท้งั หลายจะเป็นอยา่ งไรก็ยอ่ ม เปน็ ไปตามเหตุปัจจัย ไมใ่ ชข่ ้ึนตอ่ ความอยากความปรารถนาของเราหรือใครๆ เมอ่ื เราตอ้ งการใหม้ ัน เปน็ อยา่ งนนั้ ก็ต้องทำทเ่ี หตุปัจจยั ให้ได้เปน็ อย่างนั้น แล้วแกไ้ ขหรอื จดั ทำการท่ตี วั เหตปุ ัจจัยน้นั ๆ เม่ือ ทำเหตุปัจจยั ได้พรอ้ มบริบรู ณ์ท่ีจะให้เป็นอยา่ งน้นั มนั ก็ต้องเปน็ อยา่ งนั้น ถา้ เหตปุ จั จัยไม่พร้อมทีจ่ ะให้ เปน็ มันก็ไม่เป็น แล้วกร็ ้แู ละแกไ้ ขกันที่เหตปุ จั จัยน้ันแหละ ไมใ่ ช่แก้ด้วยความอยาก เม่ือปฏบิ ตั ไิ ด้อย่าง นี้ ก็ดำรงตนอยู่เป็นอิสระ อยู่อยา่ งอสิ ระ ทำการได้ดีท่ีสุด พรอ้ มทงั้ ไม่มีความทุกข์ ๔. วธิ ีคดิ แบบแกป้ ัญหา หรือวิธคี ดิ แบบอริยสจั สี่ เป็นวธิ ีคิดทตี่ ่อเนอื่ งจากวิธีคดิ แบบรู้เท่า ทันธรรมดา ( แบบที่ ๓ ) น่นั เอง คือ เมือ่ เขา้ ใจคตธิ รรมดาของส่ิงท้งั หลายวางใจไดแ้ ละตกลงใจวา่ จะ แก้ปญั หาที่ตวั เหตุตวั ปจั จยั จากน้ันก็ดำเนินความคดิ ต่อไปตามวธิ คี ดิ แบบอริยสัจส่ีนี้ วิธคี ิดแบบน้มี ี หลกั การสำคญั คือ การเร่มิ ต้นจากปญั หาหรือทกุ ข์โดยกำหนดรู้ ทำความเขา้ ใจปญั หาหรือความทกุ ข์ให้ ชัดเจน แลว้ สบื ค้นหาสาเหตเุ พือ่ เตรยี มแก้ปัญหา พรอ้ มกันนัน้ ก็กำหนดเป้าหมายของตนให้แนช่ ดั ว่าคือ อะไร จะเป็นไปไดห้ รอื ไม่ จะเปน็ ไปได้อยา่ งไร แล้วคดิ วางวธิ ีปฏบิ ัติท่ีจะกำจดั สาเหตุของปญั หาโดย สอดคล้องกบั การทีจ่ ะบรรลจุ ดุ หมายท่ไี ด้กำหนดไว้น้นั ท้งั น้ีอาจจดั วางเปน็ ขั้นตอนดังนี้ ขน้ั ท่ี ๑ กำหนดรู้ คือ แจกแจงแถลงปัญหา ทำความเขา้ ใจปัญหา สภาพและขอบเขตของ ปญั หาให้เข้าใจชดั เจนวา่ เป็นอะไร คืออะไร เป็นท่ตี รงไหนเหมอื นแพทย์ตรวจดูอาการของโรค ดูความ ผิดปกตขิ องรา่ งกาย วินจิ ฉัยใหร้ ู้วา่ เป็นอะไร ที่ตรงไหน รู้เข้าใจโรคและร่างกายเฉพาะอยา่ งยิ่งสว่ นซึ่ง เปน็ ที่ตัง้ ของโรคให้ชดั เจน ( ทุกข์ ) ข้นั ที่ ๒ สืบสวนเหตแุ หง่ ทุกข์ทจ่ี ะพึงละ คอื วิเคราะห์คน้ หามลู เหตุหรอื ตน้ ตอของปญั หาซึ่ง จะต้องแก้ไขกำจดั หรือทำใหห้ มดสิน้ ไป ตามปกติขัน้ นต้ี รงกับวิธีคิดแบบที่ ๑ คือ วิธีคดิ แบบปัจจยาการ นน่ั เอง เหมือนแพทย์คน้ หาสมมตุ ิฐานของโรค หาสาเหตขุ องโรค ซง่ึ จะนำไปสู่การรักษาท่ีถกู ต้องตรง จุด มิใชร่ ักษาแต่เพยี งอาการ (สมทุ ยั ) ข้นั ท่ี ๓ เลง็ เป้าหมายชดั ซ่ึงการดับทุกข์ทจี่ ะทำให้สำเร็จ คือ เลง็ เห็นชัดเจนถึงภาวะ ปราศจากปัญหาซง่ึ มุ่งหมายวา่ คอื อะไร เป็นไปได้จริงหรอื ไมอ่ ย่างไร มคี วามชัดเจนเก่ียวกับเปา้ หมาย และหลกั การท่ัวไป หรอื ตัวกระบวนการของการแก้ปัญหากอ่ นท่ีจะวางรายละเอียดและกลวธิ ีปลกี ย่อย ในขั้นดำเนินการ เหมอื นแพทย์รวู้ า่ โรคนนั้ ๆ รกั ษาได้ มองเห็นกระบวนการของโรคชดั เจนว่าจะหายไป ได้อยา่ งไร (นิโรธ) ขัน้ ที่ ๔ จดั วางวธิ กี ารดบั ทกุ ขท์ ่จี ะต้องปฏิบัติ คือ เม่ือมีความชดั เจนเกยี่ วกบั เปา้ หมายและ หลกั การท่ัวไปแล้ว ก็กำหนดวางวิธกี าร แผนการและรายการท่จี ะต้องทำในการที่จะแก้ไขกำจดั สาเหตุ ของปัญหาให้สำเรจ็ โดยสอดคลอ้ งกับเป้าหมายและหลกั การท่ัวไปนน้ั เพ่ือเตรยี มแก้ไขปญั หาต่อไป (มรรค)

๖๘ ๕. วธิ ีคดิ แบบอรรถธรรมสัมพนั ธ์ หรอื คดิ ตามหลักการและความมงุ่ หมาย เปน็ วธิ คี ิดใน ระดบั ปฏิบัตกิ ารหรือลงมือทำ คอื การทีจ่ ะกระทำการต่างๆโดยรู้และเข้าใจถงึ หลักการและความมุ่ง หมายของเรอื่ งนนั้ ๆ จะดำเนินไปเพื่อจดุ หมายอะไร เพื่อให้เป็นการปฏิบตั ิทีไ่ ด้ผลตามความม่งุ หมายนั้น ไม่กลายเป็นการปฏิบัติที่คลาดเคล่อื นเลือ่ นลอยงมงาย เชน่ เมื่อจะลงมือทำงานอะไรนั้น ก็ตรวจสอบ ตนเองใหช้ ัดเจนว่าเขา้ ใจหลักการและความมงุ่ หมายของงานน้นั ดีแลว้ หรอื ไม่ โดยอาจคอยตงั้ คำถามว่า อนั นี้เพื่ออะไรๆ เป็นตน้ ๖. วิธคี ดิ แบบคุณโทษและทางออก คือ มองใหค้ รบทงั้ ข้อดี ข้อเสีย และทางแก้ไขหาทาง ออกใหห้ ลดุ รอดปลอดพน้ จากข้อบกพร่องต่างๆ เป็นวธิ มี องสิง่ ทงั้ หลายตามความเปน็ จริงอีกแบบหนึ่ง เนน้ การศึกษาและยอมรบั ความจรงิ ตามทส่ี ่งิ น้นั ๆ เป็นอยู่ทุกแง่ทกุ มุมเพื่อใหร้ แู้ ละเขา้ ใจถูกต้องตาม ความเปน็ จรงิ ทั้งด้านดี ด้านเสยี จดุ ออ่ น จดุ แข็ง ศัพท์ทางธรรมดาเรียกว่า วธิ ีคดิ โดยรอู้ ัสสาทะ สว่ นดี สว่ นอรอ่ ย ส่วนหวานชน่ื คณุ คณุ ค่า ข้อท่ีนา่ พึงพอใจ อาทนี วะ ส่วนเสยี ข้อเสยี ชอ่ งเสีย โทษ ข้อบกพร่อง และนิสสรณะ ทางออก ทางรอด ภาวะหลดุ รอดปลอดพน้ หรอื สลัดออกได้ ภาวะท่ีปลอด หรือปราศจากปัญหา วธิ ีคิดแบบน้ีพระพุทธเจ้าทรงเน้นมาก เพราะคนทง้ั หลายมักจะตื่นตามกันและ เอนเอียงง่ายพอจับได้อะไรดี กม็ องเห็นแต่ดีไปหมด พอจบั ไดว้ ่าอะไรไมด่ ี ก็เห็นแต่เสียไปหมด ทำให้ พลาดทง้ั ความรู้จริงและการปฏบิ ตั ทิ ถ่ี ูกต้อง อนั ทีจ่ ริงน้ันปกติของสิ่งทง้ั หลายย่อมมีทัง้ ส่วนดี สว่ นเสีย จุดอ่อน จดุ แข็ง เปน็ ตน้ อาจดมี าก หากอยู่ในกรณีแวดลอ้ มอย่างหนึ่ง หรอื อาจจะดีน้อย หากได้อยูใ่ น กรณีแวดล้อมหรอื เง่ือนไขอีกอย่างหน่ึง เม่ือได้ตระหนักและยอมรับถึงข้อดี ขอ้ เสยี จุดอ่อน จดุ แข็งแล้ว เราก็จะได้ระมัดระวงั ปดิ กั้นทางเสยี หรือหาส่ิงชดเชยทดแทนให้ประโยชน์ทไี่ ด้สมบรู ณ์ต่อไป ๗. วิธีคิดแบบรคู้ ุณค่าแท้ – คณุ ค่าเทยี ม หรือการพิจารณาเกี่ยวกบั ปฏิเสวนา คอื การใช้ สอยหรือบริโภค เปน็ วธิ ีคิดแบบสกดั หรอื บรรเทาตัณหา ตัดทางไมใ่ ห้กิเลสเข้ามาครอบงำจิตใจแล้วชกั จูงพฤติกรรมต่อไป วิธคี ดิ แบบนใี้ ช้มากในชีวิตประจำวนั เพราะเก่ียวข้องกบั การบริโภคใชส้ อยปัจจยั ส่ี และวสั ดอุ ุปกรณอ์ ำนวยความสะดวกตา่ งๆ ทางเทคโนโลยี มหี ลกั การโดยยอ่ ว่า คนเราเข้าไปเกีย่ วข้อง กับส่งิ ตา่ งๆเพราะเรามคี วามต้องการ ส่ิงใดที่สามารถสนองความต้องการของเราได้ สง่ิ นั้นกม็ ปี ระโยชน์ มีคุณค่าแก่เรา คุณคา่ นจ้ี ำแนกได้เป็น ๒ ประเภท ตามชนดิ ของความตอ้ งการ คือ ก.คณุ คา่ แท้ หมายถงึ ความหมาย คณุ ค่า หรือประโยชน์ของส่ิงท่ีสนองความต้องการของ ชวี ิตโดยตรง มนษุ ย์นำมาใช้ในการแก้ปัญหาของตน เพื่อประโยชน์สุขท้ังของตนเองและผู้อ่นื คณุ ค่านี้ อาศยั ปญั ญาเปน็ เคร่ืองตีคา่ จะเรียกว่าคุณค่าทีส่ นองปัญญากไ็ ด้ เช่น อาหาร มคี ณุ ค่าเปน็ ประโยชน์ สำหรบั หล่อเลยี้ งรา่ งกายให้ดำรงชวี ติ อยตู่ ่อไปได้ มสี ุขภาพดี มกี ำลงั เก้ือกูลแก่การปฏบิ ัติหน้าที่ เป็นต้น (คุณค่านเ้ี กย่ี วเน่ืองดว้ ยธรรมฉนั ทะ ) ข.คณุ ค่าเทียม หมายถงึ ความหมาย คณุ คา่ หรอื ประโยชนข์ องสงิ่ ทมี่ นษุ ย์พอกพนู ให้แก่ สง่ิ นน้ั เพอื่ ปรนเปรอการเสพเสวยเวทนา เพอ่ื เสริมความมง่ั คัง่ ยิ่งใหญ่ของตัวตนทีย่ ึดถือไว้ คุณค่าน้ี อาศัยตัณหาเปน็ เครื่องตีคา่ จะเรียกว่าคุณคา่ ที่สนองตัณหากไ็ ด้ เชน่ อาหาร มคี ุณค่าอยู่ที่ความ เอร็ดอร่อย เสริมความสนุกสนาน หรือความโก้หรหู ราของรถยนต์ มีราคา ความสวยงามเปน็ เครื่อง แสดงหรือวัดฐานะ เปน็ ตน้ วิธีคดิ แบบนม้ี งุ่ ให้เข้าใจและเลอื กเสพคุณค่าแท้ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตอย่างแท้จริงเพ่ือ ประโยชน์สุขท้งั แก่ตนเองและผอู้ นื่ คุณค่าแท้น้ีนอกจากจะเปน็ ประโยชนแ์ ก่ชวี ิตอย่างแท้จริงแลว้ ยัง

๖๙ เกอ้ื กูลต่อความเจรญิ งอกงามของกศุ ลธรรม เชน่ ความมสี ติ ทำให้พน้ จากความเป็นทาสของวัตถุ เป็น ตน้ ๘. วธิ ีคดิ แบบอุบายปลุกเร้าคณุ ธรรม เรียกงา่ ยๆ วา่ วธิ คี ดิ แบบเร้ากศุ ล หรือคดิ แบบกศุ ล ภาวนา เป็นวธิ ีคิดในแนวสกดั ก้นั หรือบรรเทาและขดั เกลาตณั หา ส่งเสรมิ ความเจริญงอกงามแห่งกุศล ธรรมและสร้างเสรมิ สมั มาทิฏฐทิ เ่ี ปน็ โลกียะ หลักการท่วั ไปของวธิ ีคดิ น้มี ีอย่วู ่า ประสบการณ์คือส่ิงทไ่ี ดป้ ระสบหรือได้รับรู้อยา่ งเดียวกับ บคุ คลท่ปี ระสบหรอื รบั ร้ตู า่ งกัน อาจมองเห็นและคดิ นึกปรงุ แต่งไปคนละอย่าง สุดแตโ่ ครงสรา้ ง แนวทางความเคยชินทีเ่ ปน็ เคร่อื งปรุงของจิต คือ สงั ขาร ที่ผู้น้นั ไดส้ ั่งสมไวห้ รอื กค็ ือ สดุ แตก่ ารทำใจใน ขณะนนั้ ๆ คนหน่งึ มองแลว้ คดิ ปรุงแต่งไปในทางดงี าม แต่อีกคนหน่ึงมองแลว้ คดิ ปรุงแต่งไปในทางไม่ ดีไม่งาม เป็นโทษเปน็ อกุศล รวมถึงเรือ่ งของเวลา คราวหน่งึ คิดดี คราวหนง่ึ คิดร้าย การทำใจทีช่ ่วยต้งั ต้นและชักนำความคิดใหเ้ ดนิ ไปในทางทีด่ ีงามและเป็นประโยชน์ เรียกว่า วิธีคิดแบบอบุ ายปลุกเร้า คณุ ธรรม วิธีคิดในแบบน้ีมีความสำคัญในแงท่ ี่ทำใหเ้ กิดความคิดและการกระทำท่ีดงี ามเปน็ ประโยชน์ ในขณะนัน้ ๆ และช่วยแก้ไขนสิ ยั ความเคยชินรา้ ยๆ ของจติ ท่ไี ดส้ งั่ สมไว้แตเ่ ดมิ พร้อมกบั สรา้ งนสิ ัย ความเคยชินใหม่ทีด่ ีงามใหแ้ ก่จิตไปในเวลาเดียวกนั ตัวอย่างเช่น การคิดถงึ ความตาย เม่ือคดิ ถึงแลว้ ก็จะเกดิ ความสลดหดหู่ ความเศรา้ ความเหี่ยว แหง้ ใจ ตลอดจนเกิดความดีใจเมื่อนึกถงึ ความตายของคนท่ีเราเกลียดชงั แตถ่ า้ ในขณะทเี่ ราคดิ น้นั เรา มีโยนิโสมนสิการอยู่ดว้ ย เรากจ็ ะเกิดความรู้สกึ ตื่นตัว เรา้ ใจไม่ประมาทเร่งขวนขวายปฏบิ ตั กิ ิจหนา้ ท่ี ทำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์ ตลอดจนรเู้ ทา่ ทันความจรงิ ที่เปน็ คตธิ รรมดาของสังขาร เป็นต้น เรยี กไดว้ า่ เป็นการคิดถงึ ความตายทถ่ี ูกวิธี นอกจากหลักการขา้ งตน้ แล้ว ควรย้ำถึงองค์ประกอบสำคญั ทค่ี อยพยุงความคิดให้อยู่ใน โยนโิ สมนสกิ าร อนั ได้แก่ สติ ซง่ึ ชว่ ยยับย้งั ความคิดที่หลงลอยไปเป็นอโยนโิ สมนสกิ าร อนึง่ โยนิโสมนสกิ ารแบบต่างๆ สรปุ ได้เป็น ๒ คือ โยนิโสมนสิการเพื่อความร้ตู ามสภาวะ ซง่ึ มีลักษณะท่ีแนน่ อนเปน็ อยา่ งเดียว และโยนโิ สมนสกิ ารเพือ่ เสรมิ สรา้ งกุศลธรรม ซึง่ มลี กั ษณะแผกผันไป ได้หลากหลายนั้น มีจดุ แยกอยทู่ ขี่ ณะตัง้ ต้นความคิด และสติอาจมีบทบาทสำคัญในการเลือกทางแยกที่ จดุ ตั้งระหวา่ งโยนโิ สมนสิการแบบต่างๆ นี้ เชน่ เดยี วกบั ท่ีสตสิ ามารถเลือกระหว่างโยนิโสมนสกิ ารกับอ โยนโิ สมนสิการ ๙. วิธีคดิ แบบเป็นอยู่ในขณะปจั จบุ ัน คอื วิธีคดิ แบบมีปัจจุบันธรรมดาเปน็ อารมณค์ วามจริง วธิ ีคดิ แบบท่ี ๙ นีเ้ ปน็ เพียงส่วนหน่ึงของวิธคี ิดแบบท่ี ๘ ที่แยกแสดงออกมาเป็นอีกข้อหน่ึงตา่ งหากน้นั เปน็ เพราะมีแง่ท่ีควรทำความเข้าใจเปน็ พิเศษ และเป็นวิธีคดิ ทม่ี ีความสำคญั โดยลำพังตัวของมนั เอง ข้อทจ่ี ะต้องทำความเข้าใจเป็นพิเศษนัน้ คือ การทีผ่ ู้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของการ เปน็ อย่ใู นปัจจบุ ัน โดยเข้าใจไปวา่ พุทธศาสนาสอนให้คดิ ถงึ สง่ิ ที่อยเู่ ฉพาะหนา้ กำลงั เป็นไปในปจั จบุ ัน เทา่ น้ัน ไม่คดิ พจิ ารณาเกย่ี วกับอดตี หรอื อนาคต ตลอดจนไม่คิดเตรยี มการวางแผนเพ่ือกาลภายหนา้ ลกั ษณะความคิดชนิดท่เี ปน็ อย่ใู นปัจจบุ นั เปน็ การคิดที่อยูใ่ นแนวทางของความรหู้ รือคดิ ดว้ ยอำนาจ ปัญญา เป็นการคิดท่สี ามารถรวมเอาเรอื่ งท่ีเปน็ อยูใ่ นขณะนี้ เรอ่ื งที่ลว่ งผ่านมาแล้ว และเรอื่ งของกาล ภายหนา้ เข้าในการเปน็ อย่ใู นปัจจุบัน เช่น การคิดพิจารณาเก่ยี วกับเร่ืองในอดตี ถือเป็นการคิดที่ นำมาใชเ้ ป็นบทเรียน ก่อใหเ้ กิดความไมป่ ระมาทระมัดระวงั ปอ้ งกันภัยในอนาคต เป็นต้น

๗๐ คำวา่ ปจั จุบนั ในทางธรรม มิใช่เพ่งทเ่ี หตุการณ์ท่ีกำลงั เกดิ ขน้ึ แตห่ มายถึงส่ิงที่เกย่ี วข้องใน ขณะน้นั ๆ เป็นสำคญั ดังน้ัน ส่ิงทต่ี ามความหมายของคนท่วั ไป ไมว่ า่ จะเปน็ อดตี หรืออนาคต ก็อาจ กลายเปน็ ปจั จุบัน ตามความหมายของนามธรรมได้ สรปุ ง่ายๆว่า ความเปน็ ปัจจุบนั กำหนดเอาที่ความ เกยี่ วข้อง ต้องรู้ ต้องทำเป็นสำคญั สงิ่ ทีเ่ ป็นปจั จุบนั คลุมถึงเรอ่ื งราวทง้ั หลายทเี่ ช่ือมโยงต่อกนั มา วิธคี ดิ แบบน้ีมุง่ ที่จะช่วยแบ่งแยกความคิดถงึ อดีตและอนาคต ตามแนวทางของตณั หาที่เพอ้ ฝนั เล่ือนลอย ผลาญเวลาและคณุ ภาพของจิตใจให้สูญเปล่า การคดิ ท่ถี ูกวิธจี ะชว่ ยใหเ้ กิดประโยชนใ์ น การปฏิบัตใิ นทางปจั จบุ ันใหถ้ ูกต้องไดผ้ ลดีย่ิงขนึ้ เป็นการสนบั สนนุ ใหม้ ีการตระเตรยี มและวางเเผนใน กิจการล่วงหนา้ ๑๐. วิธีคดิ แบบวิภชั ชวาท คำวา่ วภิ ชั ชวาท แปลวา่ การพดู แยกแยะจำเเนกเเจกเเจง แถลง ความแบบวิเคราะห์ เป็นการมองและแสดงความจริง โดยเเยกเเยะออกให้เห็นเเต่ละเเงเ่ เต่ละดา้ นให้ ครบทกุ ดา้ น ไมใ่ ชจ่ ับเอาบางเเง่ข้ึนมาวินิจฉัยตีคลมุ ลงไปอย่างน้นั ทั้งหมด ความจรงิ วิภัชชวาทเปน็ ชอ่ื เรียกระบบความคดิ ของพระพุทธศาสนาท้ังหมด มีความหมายครอบคลุมวธิ คี ิดที่ได้กลา่ วมาเเล้วขา้ งตน้ หลายๆ อยา่ ง วิธีคดิ แบบนท้ี ำให้ความคดิ และการวนิ จิ ฉยั เรื่องราวตา่ งๆ ชัดเจนตรงไปตรงมาตามความเปน็ จรงิ เท่าความจริง พอดีกบั ความจริง เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจความหมายของวิภัชชวาทชดั เจนย่ิงขึน้ ขอจำเเนกวธิ ี คิดเเบบวภิ ชั ชวาทออกไปในลักษณะตา่ งๆ ดังนี้ ก.จำเเนกโดยเเง่ดา้ นของความจรงิ เเบง่ ได้ ๒ อย่างคือ - จำเเนกตามท่ีเป็นอยู่จริงของส่ิงนัน้ ๆ คือ ของความจรงิ ให้ตรงตามทเ่ี ป็นอยู่ในเเง่น้ัน ด้านนั้น ไมใ่ ช่จบั เอาความจรงิ เพียงเเงห่ น่ึงมาตคี ลุมเป็นอย่างน้ันไปหมด - จำเเนกโดยมองความจริงของสิ่งนน้ั ๆ ใหค้ รบทุกเเง่ทกุ ดา้ น คือ ไม่มองเเคบ ๆ ไม่ตดิ อยู่ กบั ส่วนเดียวเเงเ่ ดียวของสิ่งนั้น เเตม่ องให้หลายเเงห่ ลายด้าน เชน่ คนๆหน่ึงอาจจะดีในเเง่น้ัน เเตไ่ มด่ ี ในเเง่น้ี การคดิ จำเเนกในเเง่นี้ เป็นสว่ นเสริมกนั กับข้อแรกให้ไดผ้ ลสมบรู ณ์ และมีผลรวมไปถงึ การ เขา้ ใจในภาวะที่องคป์ ระกอบตา่ งๆมารวมกันโดยครบถว้ น จึงเกิดขึ้นเปน็ ส่ิงน้ัน ๆ เปน็ การเห็นที่กว้าง ไปถงึ ลกั ษณะดา้ นต่างๆ และองค์ประกอบตา่ งๆ ของมัน ข. จำเเนกโดยสว่ นประกอบ คอื วิเคราะหแ์ ยกเเยะให้ร้วู ่าสง่ิ นน้ั เกิดข้ึนจากองค์ประกอบยอ่ ย ๆ ตา่ ง ๆ มาชุมนมุ กนั เข้า ไม่ตดิ อยูภ่ ายนอกหรอื ถกู ลวงโดยภาพรวมของสิง่ นัน้ ๆ เช่น การเเยกเเยะคน ออกเปน็ นามและรปู เปน็ ขนั ธ์ ๕ เเบง่ ซอยออกจนเหน็ ภาวะที่ไม่เป็นอตั ตา ค. จำแนกโดยลำดับขณะ คือ แยกแยะวิเคราะห์ปรากฏการณ์ตามลำดับแห่งเหตปุ จั จยั ให้ มองเห็นตัวเหตปุ ัจจัยท่ีแท้จรงิ ทีเ่ กดิ ขน้ึ ในแต่ละขณะ เป็นวิธีทใ่ี ชม้ ากในฝา่ ยอภธิ รรม ตวั อย่างเช่น โจร ปลน้ บา้ นและฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย หากคิดจำแนกโดยลำดับขณะแลว้ จะเหน็ วา่ โจรโลภอยากได้ทรัพย์ แตเ่ จ้าทรพั ย์เป็นอุปสรรคต่อการใชท้ รพั ยน์ นั้ ความโลภทรัพยจ์ ึงเป็นเหตใุ ห้โจรมโี ทสะต่อเจ้าทรพั ย์ โจรจึงฆ่าเจ้าทรพั ย์ ตัวเหตุทแ่ี ท้ของการฆ่าคือโทสะ หาใชโ่ ลภะไม่ โลภะเป็นเพียงเหตุใหล้ กั ทรัพย์ และ เปน็ ปัจจยั ให้โทสะเกดิ เทา่ น้นั ในภาษาสามัญจะพูดวา่ โจรฆ่าคนเพราะความโลภ แตถ่ ้าพจิ ารณาตาม ขบวนธรรมทีเ่ ปน็ ไปตามลำดับขณะ ความโลภเป็นเพยี งตัวการเร่มิ ต้นในเร่ืองนเ้ี ท่านน้ั ง. จำแนกโดยความสมั พันธ์แหง่ เหตปุ ัจจยั คอื สืบสาวหาเหตุปัจจยั ต่าง ๆ ทีส่ มั พนั ธ์สบื ทอด กันมาของสิง่ หรือปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ทำให้มองเหน็ ความจรงิ ทีส่ ง่ิ ท้ังหลายไม่ไดต้ ง้ั อยลู่ อย ๆ แต่

๗๑ เกดิ ขึน้ โดยอาศัยเหตุแห่งปัจจัย การคดิ จำแนกในแงน่ ีต้ รงกับวธิ คี ิดแบบท่ี ๒ คอื วิธคี ดิ แบบสืบสาวหา เหตปุ จั จัย ตามแนวคดิ นี้พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงแสดงธรรมอย่างทเี่ รยี กวา่ อิทปั ปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุป บาท เรียกอกี อยา่ งหนึง่ ว่า มัชเณนธรรมเทศนา หรอื วธิ คี ิดแบบมัชเฌนธรรม การจำแนกโดยสัมพันธ์ แห่งเหตปุ จั จยั นอกจากช่วยไมใ่ ห้เผลอ มองสิง่ ต่าง ๆ อย่างโดดเดย่ี วขาดลอย แล้วยงั ครอบคลุมไปถึง การทีจ่ ะใหร้ ้จู กั กับเหตุปัจจัยไดต้ รงกบั ผลของมนั ความขัดสนทม่ี กั เกิดขน้ึ แกค่ นทวั่ ไป ๓ อย่าง คือ ๑. การนำเอาเรื่องราวอน่ื ๆ นอกกรณมี าปะปนสบั สนกบั เหตุปัจจยั เฉพาะกรณี วธิ คี ิดแบบน้ี ชว่ ยใหแ้ ยกเอาเร่ืองราวหรอื ปัจจัยอืน่ ๆ ที่ไม่เกีย่ วข้องออกไปจากเหตปุ ัจจยั ทแ่ี ท้จริง รวมถงึ การจับผล ให้ตรงกบั เหตุดว้ ย ๒. ความไม่ตระหนักถงึ ภาวะทีป่ รากฏการณ์หรอื ผลทค่ี ล้ายกัน ซึง่ อาจเกิดจากเหตปุ จั จัยท่ี ต่างกัน หรืออยา่ งเดยี วกัน เชน่ การได้ทรัพย์มาอาจเกิดจากขยนั ทำการงาน จากการทำใหผ้ ใู้ ห้ทรพั ย์ พอใจ หรือจากการลักขโมยก็ได้ เปน็ ตน้ ๓. การไมต่ ระหนกั ถึงเหตุปจั จยั ส่วนพิเศษนอกเหนือจากเหตปุ จั จัยท่เี หมือนกัน คือ คนมกั มองเฉพาะแต่เหตุปจั จยั บางอยา่ งที่ตนมน่ั หมายวา่ จะใหเ้ กดิ ผลอยา่ งนั้น ๆ ครัน้ ต่างบคุ คลทำเหตุ ปจั จยั อยา่ งเดยี วกนั แลว้ คนหน่งึ ได้รบั ผลทีต่ ้องการ อีกคนหนงึ่ ไม่ได้รบั ผลนนั้ ก็เห็นวา่ เหตุปจั จัยนนั้ ไม่ ได้ผลจริง จ. จำแนกโดยเงอ่ื นไข คอื มองโดยพจิ ารณาเง่ือนไขประกอบดว้ ย เช่น ถา้ ถามว่าบุคคลน้ีควร คบหรอื ไม่ ถ้าพระภิกษเุ ป็นผู้ตอบก็อาจกลา่ วว่าถ้าคบแล้วอกุศลธรรมเจรญิ กุศลธรรมเสอ่ื ม ก็ไม่ควร คบ แตถ่ ้าคบแล้วอกุศลเสอื่ ม กุศลธรรมเจริญ ก็ควรคบ การตอบวิภชั ชวาท จะวนิ ิจฉัยโดยพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ คือ ๑. ความโนม้ เอียง ความพร้อม นิสยั ความเคยชินต่าง ๆ ซง่ึ เดก็ ไดส้ ั่งสมไวโ้ ดยการอบรม เลยี้ งดูและอิทธพิ ลทางวัฒนธรรม เป็นต้น เท่าท่อี ยู่ในขณะน้นั (พูดดว้ ยภาษาทางธรรมวา่ สังขารท่เี ป็น กศุ ลและอกุศล คอื แนวความคิดปรงุ แต่งท่ีได้สะสมจนกลายเปน็ ความเคยชนิ เอาไว้) อาจเรยี กงา่ ย ๆ ว่า พน้ื ของเด็กทีจ่ ะแล่นไป ๒. โยนโิ สมนสกิ าร คอื เดก็ รู้จักใช้โยนโิ สมนสิการโดยปกติหรือไม่ และแค่ไหน เพยี งไร ๓. กลั ยาณมิตร คือ บุคคลหรืออปุ กรณ์ท่จี ะชว่ ยชแี้ นะแนวทางความคิดความเขา้ ใจอยา่ ง ถกู ต้องต่อสิง่ ทพี่ บเหน็ หรอื ทจี่ ะชกั นำให้เดก็ เกดิ โยนโิ สมนสิการ อย่างไดผ้ ลหรอื ไม่ ไม่ว่าจะเป็น กลั ยาณมิตรในครอบครัว ในส่อื มวลชนนั้น ๆ หรอื ท่วั ๆ ไป ในสังคมก็ตาม ๔. ประสบการณ์ คือ สิง่ ทีป่ ล่อยให้แพรห่ รือให้เด็กพบเห็นนน้ั มลี ักษณะหรอื คุณสมบัติที่เรา้ หรือย่ัวยุ เปน็ ตน้ รนุ แรงมากนอ้ ยถงึ ระดับใด ทั้ง ๔ ขอ้ นี้ เปน็ ตัวแปรได้ท้ังนัน้ แตใ่ นกรณีน้ี ยกเอาข้อ ๔. ขน้ึ ต้ังเป็นตัวยืนคำตอบจะ เป็นไปไดโ้ ดยสดั ส่วนซง่ึ ตอบไดเ้ อง เช่น ถ้าเด็กมโี ยนิโสมนสกิ ารดจี ริง ๆ กำกบั อยู่ หรอื พืน้ ดา้ น แนวความคดิ ปรุงแตง่ ที่เป็นกุศลซ่ึงได้สง่ั สมอบรมกันไวโ้ ดยครอบครัวหรอื วัฒนธรรมมีมาก และเข้มแข็ง จริง ๆ แมว้ า่ ส่ิงท่ีแพรห่ รือปล่อยใหเ้ ดก็ พบเห็นจะลอ่ เรา้ ยัว่ มาก กย็ ากท่จี ะเปน็ ปญั หา และผลดตี ่าง ๆ ก็เปน็ อันหวงั ได้ แตถ่ ้าพ้นื ความโนม้ เอียงทางความคิดกุศลกไ็ ม่ได้ส่ังสมอบรมกันไวโ้ ยนโิ สมนสกิ ารกไ็ ม่

๗๒ เคยฝึกกนั ไว้ แล้วยงั ไม่จัดเตรยี มใหม้ ีกัลยาณมิตรไวด้ ้วยการปล่อยนนั้ กม็ ีความหมายเท่ากันเปน็ การ สรา้ งเสรมิ สนับสนนุ ปญั หาและเป็นการต้ังใจทำลายเด็กโดยใชย้ าพษิ เบ่ือเสียนั่นเอง ฉ. วภิ ชั ชวาทในฐานะวิธตี อบปัญหาอย่างหนง่ึ วิภัชชวาทปรากฏอยู่บ่อย ๆ ในรูปของการ ตอบปัญหาและทา่ นจัดเป็นวิธีตอบปัญหาอย่างหน่งึ ในบรรดาวธิ ตี อบปญั หา ๔ อย่าง มีชื่อเฉพาะ เรียกวา่ วภิ ชั ชวาทพยากรณ์ ซง่ึ ก็คอื การนำเอาวภิ ัชชวาทไปใช้ในการตอบปญั หา หรือ ตอบปัญหา ตามแบบวภิ ชั ชวาทน่ันเอง เพื่อความเข้าใจชัดเจนในเร่อื งน้ี ถงึ ทราบวิธีตอบปัญหา (ปัญหาพยากรณ์) ๔ อย่าง คอื ๑. เอกังสพยากรณ์ การตอบอย่างเดียวเดด็ ขาด ๒. วภิ ชั ชพยากรณ์ การแยกแยะตอบ ๓. ปฏิปุจฉาพยากรณ์ การตอบโดยย้อนถาม ๔. ฐปนะ การย้ังหรอื หยุด พับปญั หาเสยี ไมต่ อบ วธิ ตี อบ ๔ อยา่ งน้ี แบ่งตามลักษณะของปัญหา ดังนั้น ปญั หาจึงแบ่งไดเ้ ปน็ ๔ประเภท ตรง กับวิธีตอบเหลา่ นั้น จะยกตวั อย่างปัญหาตามทีแ่ สดงไว้ในคัมภีร์ร่นุ หลงั มาแสดงประกอบความเข้าใจ ดงั น้ี ๑. เอกงั สพยากรณยี ปญั หา ปญั หาทคี่ วรแยกแยะหรือจำแนกตอบ เช่น ถามว่าสง่ิ ท่ีไม่เท่ียง ไดแ้ ก่ จักษใุ ชไ่ หม พงึ ตอบได้ทเี ดียวแน่นอนลงไปวา่ ใช่ ๒. วิภชั ชพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ควรแยกแยะหรือจำแนกตอบ เช่น ถามวา่ ส่งิ ที่ไม่เที่ยง ได้แก่ จักษใุ ชไ่ หม พงึ แยกแยะตอบว่า ไม่เฉพาะจกั ษุเท่าน้ัน แม้โสตะ ฆานะ เป็นต้น ก็ไมเ่ ทีย่ ง ๓. ปฏปจฉาพยากรณยี ปัญหา ปัญหาท่ีไม่ควรตอบโดยยอ้ นถาม เชน่ ถามวา่ จักษุฉันใด โส ตะก็ฉนั นนั้ โสตะฉนั ใด จกั ษุก็ฉนั นน้ั ใช่ไหม พึงย้อนถามวา่ มงุ่ ความหมายแง่ใด ถามใด หมายถึง แงใ่ ช้ ดหู รือเหน็ กไ็ มใ่ ช่ แต่ถ้ามงุ่ ความหมายแง่วา่ ไม่เทย่ี งกใ็ ช่ ๔. ฐปนยี ปัญหา ปัญหาท่ีพงึ ยบั ยงั้ หรอื พบั เสยี ไมค่ วรตอบ เช่น ถามว่า ชวี ะกับสรีระ คอื สง่ิ เดยี วกนั ใช่ไหม พงึ ยับยง้ั เสียไม่ต้องตอบ นก้ี ็เป็นเพียงตวั อย่างสัน้ ๆ งา่ ย ๆ เพื่อความเข้าใจเบอ้ื งต้น เมอ่ื วา่ โดยใจความปญั หาแบบท่ี ๑ ได้แก่ ปญั หาซ่ึงไม่มแี ง่ทจ่ี ะตอ้ งชแี้ จงหรือไม่มเี ง่ือนงำ จึงตอบแนน่ อนลงไปอย่างใดอยา่ งหนงึ่ ได้ทันที เชน่ อกี ตัวอยา่ งหน่งึ วา่ คนทุกคนต้องตายใช่ไหม ก็ตอบได้ทันทีว่าใช่ ปญั หาแบบที่ ๒ ได้แก่ แง่ซึง่ จะตอ้ งมีเรอื่ งที่จะต้องช้แี จง โดยใชว้ ธิ ีภชั ชวาทตา่ ง ๆ ท่ีกลา่ วมาแลว้ ปญั หาแบบท่ี ๓ พงึ ยอ้ นถาม ความเข้าใจกนั ก่อนจึงจะตอบ หรือตอบดว้ ยอาการย้อนถาม หรือสอบถามไปตอบไป อาจใช้ประกอบ ไปกับการตอบ แบบที่ ๒ คือ ควบกับวิภชั ชพยากรณ์ในบาลี พระพุทธเจา้ ทรงใชว้ ธิ ยี ้อนถามบอ่ ย ๆ และด้วยการทรงย้อนถามนน้ั ผ้ถู ามจะคอ่ ย ๆ เขา้ ใจสิ่งทีเ่ ขาถามไปเอง หรือช่วยใหเ้ ขาตอบปญั หาของ เขาเอง โดยพระองค์เพยี งทรงชแ้ี นะแงค่ ิดตอ่ ให้ ไม่ต้องทรงตอบ ส่วนปัญหาแบบที่ ๔ ซ่ึงควรยบั ย้งั ไม่ ตอบ ไดแ้ ก่ คำถามเหลวไหลไร้สาระจำพวกหนวดเตา่ เขากระตา่ ยบ้าง ปญั หาท่ีเขายังไม่พรอ้ มทจ่ี ะ เขา้ ใจ จึงยบั ย้ังไว้ก่อน หนั ไปทำความเข้าใจเรื่องอืน่ ทีเ่ ป็นการเตรยี มพื้นของเขาก่อน แล้วจึงค่อยมาพดู กนั ใหม่หรือให้เข้าใจไดเ้ องบ้างปญั หาท่ีตง้ั มาไมถ่ กู โดยคิดข้ึนจากความเข้าใจผดิ ไม่ตรงตามสภาวะ หรอื ไม่มีตวั สภาวะอย่างน้ันจริง เช่น ตัวอยา่ งในบาลี มีผถู้ ามวา่ ใคร เปน็ ตน้ ซ่งึ ไมอ่ าจตอบตามทีเ่ ขา

๗๓ อยากฟงั ได้ จงึ ต้องยบั ยง้ั หรือพับเสยี อาจช้ีแจงเหตุผลในการไม่ตอบ หรือใหเ้ ขาต้งั คำถามใหม่ให้ ถูกต้องตามสภาวะ๓๑ ๓๑ พระราชวรมนุ ี (ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต), พทุ ธธรรม ฉบบั ขยายความ, (กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั ดา่ นสทุ ธาการพมิ พ์, ๒๕๒๙), หน้า ๖๗๕-๗๑๕,

๗๔ บทที่ ๗ ปรัชญาการศึกษาตามแนวพทุ ธศาสตร์ วัตถุประสงค์การเรยี นประจำบท เมอื่ ศึกษาเนื้อหาในบทเรียนน้ีแล้ว ผศู้ กึ ษาสามารถ ๑.อธบิ ายกระบวนการศกึ ษาตามหลักพุทธศาสนาได้ ๒.อธบิ ายยคุ ของปรัชญาได้ ๓.อธิบายความหมายของการศกึ ษาได้ ๔.อธบิ ายทศั นะของนักการศึกษาได้ ขอบข่ายเน้อื หา ๑.หลกั ปรัชญาการศึกษา ๒.ยุคของปรัชญา ๓.ความหมายของการศึกษา ๔.ทศั นะของนกั การศึกษา

๗๕ ๗.๑ ปรชั ญาการศกึ ษาตามแนวพุทธศาสตร์ การศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์นน้ั เม่อื สำรวจคมั ภีรใ์ นทางพระพุทธศาสนาแล้วจะพบคำ สอนทเ่ี ก่ียวกบั การศึกษา ๒ ประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ ๑) ประเภททเ่ี ป็นโลกียะ เช่น ธุระในทาง พระพทุ ธศาสนามี ๒ ประเภท หรือ ๒ ประการ คือ คันถธรุ ะ กับวิปสั สนาธรุ ะ คันถธุระ ไดแ้ ก่ การศกึ ษาเกยี่ วปริยตั ิธรรม อนั หมายถึงหลกั ธรรมคำสอน ทเี่ ปน็ ส่วนของภาคทฤษฎี วิปสั สนาธุระ ได้แก่การศึกษาเกี่ยวกบั การปฏบิ ตั ิ ทเ่ี ป็นสว่ นของภาคปฏิบัติ และยงั หมายรวมถงึ ผลของการปฏบิ ตั ิ ด้วย ตามทแ่ี ยกการศึกษาออกเปน็ สัทธรรม ๓ ประเภท คอื ๑) ปรยิ ัตสิ ัทธรรม ๒) ปฏบิ ัติสัทธรรม ๓) ปฏเิ วธสทั ธรรม คำวา่ “การศึกษา” ในภาษาสนั สกฤตใช้คำวา่ “ศิกษฺ า” สว่ นภาษาบาลีใช้คำว่า “สิกฺขา” แปลวา่ ทำให้แห้ง หมายถงึ การทำกิเลส หรอื สง่ิ ช่วั ร้ายใหห้ ายไป ตามรปู ศัพทแ์ ล้ว อาจแยกออก พิจารณาตามแนวพระพุทธศาสนาได้ ๒ ความหมายคือ ๑. หมายถงึ เคร่ืองมอื ใหม้ องเห็นตัวเอง (สยํ เตน อิกขฺ ตีติ สิกฺขา : Self evidence) คือการ เขา้ ใจคุณภาพของตัวเอง รวู้ า่ ตวั เองมีพลงั มีศักยภาพแต่ไหนเพยี งไร มีความสามารถอยา่ งไร และควร ใชอ้ ย่างไร เปน็ ตน้ ซ่ึงก็คือ การรตู้ นเองในทุก ๆ ดา้ น เช่น ในการประกอบอาชพี ต้องร้วู ่าตัวเองมี ความรู้ ความถนัด ความสามารถในดา้ นใดกป็ ระกอบอาชีพในดา้ นนน้ั เปน็ ต้น การมองเหน็ ตวั เองน้ี จะ ทำให้มนุษยร์ ูจ้ ักตวั เอง และสามารถนำตวั เองเข้าไปสมั พนั ธ์กบั สง่ิ ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม หนา้ ทขี่ อง การศึกษาตามความหมายน้ี คือ การช่วยให้ค้นพบตัวเอง ๒. หมายถงึ เคร่อื งมอื ทำใหม้ องเหน็ ความจริง (สจฺจํ เตน อกิ ฺขตีติ สกิ ขฺ า : Self realization) คือ มีความเขา้ ใจในสภาพของตนเองและสิง่ ตา่ ง ๆ อย่างแจ่มแจ้งชดั เจน หรอื การมองเห็นความจริง ตามความเป็นจรงิ ๓๒ มนษุ ยเ์ กดิ มาแลว้ ต้องมสี กิ ขา คอื ต้องศึกษา คือตอ้ งเรยี นรู้ ต้องฝึกฝนพฒั นา ถ้าไม่ศึกษา มนุษยจ์ ะมีชีวติ ที่ดีไม่ได้ อนั นี้เป็นเรือ่ งธรรมชาติของมนุษย์ท่เี ป็นอย่างนัน้ เอง มนุษยต์ ่างจากสัตวอ์ ่นื ข้อ ทว่ี ่า เปน็ สตั วท์ ีต่ ้องฝึกต้องศึกษา และฝึกได้ศกึ ษาได้ มหี ลกั การท่ีควรสงั เกตสำคัญในเรื่องนี้ ๒ อยา่ ง คอื ๑. มนษุ ยเ์ ป็นสตั วท์ ี่ต้องฝกึ ๒.มนุษยเ์ ป็นสัตว์ท่ฝี กึ ได้๓๓ ข้นั พืน้ ฐานการศกึ ษาจะตอ้ งสามารถพัฒนาคนได้ ๓ อย่าง คือ๓๔ ๑. ทำใหค้ นรู้จกั ใช้อินทรีย์ ด้วยการดเู ปน็ ฟงั เป็น เป็นต้น ๒. รจู้ กั การกินหรือการบรโิ ภคด้วยปญั ญา ทเ่ี รียกวา่ กินเป็น กนิ พอดี หรือบริโภคพอดี และ ๓. ให้มดี ุลยภาพแห่งการเอากับการให้ ๓๒สนิท ศรสี ำแดง. พุทธศาสนากบั หลกั การศกึ ษา. (กรงุ เทพมหานคร : นลี นาราการพมิ พ์, ๒๕๓๔), หน้า ๑๕๓ ๓๓พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), การศึกษาเพื่ออารยธรรมทีย่ ่งั ยืน, พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๓ (กรงุ เทพมหานคร : บริษัท สหธรรมกิ จำกดั , ๒๕๓๙), หน้า ๑๓. ๓๔ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต), อ้างแลว้ เรอื่ งเดยี วกนั , หนา้ ๗๓.

๗๖ ขนั้ กลางการศกึ ษาจะตอ้ งพัฒนาคนใหล้ ดละมัจฉรยิ ะ ๕ ประการ๓๕ ๑. ความหวงแหนถ่นิ ทอี่ ยู่ รวมทงั้ ประเทศชาติ รกั เป็น คอื รกั ในแบบท่ีไม่ให้แบ่งแยกและ เบยี ดเบยี นซึง่ กันและกัน ๒. ความหวงแหนครอบครัว พวกพ้อง วงศต์ ระกูล รงั เกียจพงศ์เผา่ ความหวงแหนนมั้ ีมาก จนกระท่ังแต่งงานระหวา่ งชนต่างเผ่าไม่ได้ ๓. ความหวงแหนลาภ หวงแหนผลประโยชน์ ๔. ความหวงแหนวรรณะ แบ่งผวิ แบ่งชนชัน้ รังเกียจกนั ๕. ความหวงแหนความสำเร็จ ภมู ิธรรม ภูมิปญั ญา ไมอ่ ยากใหค้ นอ่ืนบรรลุความสำเรจ็ อย่าง ตน ขนั้ สงู สุดการศึกษาต้องพฒั นาคนแบบองคร์ วมทบ่ี ูรณาการทั้ง ๓ ดา้ นแห่งชวี ติ ในระบบความ สัมพนั ธท์ ส่ี ง่ ผลเสริมซ่ึงกนั และกัน เป็นแกนกลางของการพฒั นาทง้ั ชีวิตของบคุ คลและอารยธรรมของ สงั คมคือ๓๖ ๑. ด้านพฤติกรรม (ศลี ) คือ ก. พฤติกรรมในความสมั พนั ธ์กับสิง่ แวดลอ้ มทางกายภาพหรอื โลกแห่งวตั ถุ (กายภาวนา) - การใช้อนิ ทรียค์ ือ ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ในการรับร้โู ดยไม่เกดิ โทษก่อผลเสียหาย แต่ ไดผ้ ล ส่งเสรมิ คุณภาพชวี ิต และการฝกึ อินทรีย์ให้มปี ระสิทธิภาพในการใช้งาน ให้ดูเป็น ฟงั เป็น (หลัก อนิ ทรียส์ งั วร) - การเสพ บรโิ ภคปัจจยั ๔ และใช้ประโยชนจ์ ากวัตถุอปุ กรณ์ต่าง ๆ รวมทัง้ เทคโนโลยดี ้วยปญั ญาท่ีรูเ้ ข้าใจมุ่งคุณค่าทแี่ ท้จรงิ ใหไ้ ดค้ ุณภาพชวี ติ และสง่ เสริมการพัฒนาชวี ติ ไมห่ ลง ถูกหลอกไปดว้ ยคุณคา่ เทียมตามคา่ นิยม ฟุ้งเฟ้อ โกเ้ ก๋ ทท่ี ำใหบ้ รโิ ภคมาก แตเ่ สยี คุณภาพชีวิต เรียก งา่ ย ๆว่า กนิ เปน็ บรโิ ภคเปน็ ใชเ้ ปน็ เรม่ิ ด้วยการกนิ พอดี ข. พฤติกรรมในการสมั พันธ์กบั ส่ิงแวดล้อมทางสงั คมและโลกแหง่ ชวี ิต (ศลี ภาวนา) - การอยูร่ ว่ มสังคม โดยไม่เบียดเบยี นกอ่ ความเดือดรอ้ น หรือเวรภยั แต่รจู้ กั มี ความสมั พันธท์ ี่ดีกับเพอ่ื นมนุษยอ์ ย่างช่วยเหลือเกอื้ กลู กนั อยา่ งน้อยดำรงตนอย่ใู นขอบเขตของศลี ๕ - รักษากติกาสงั คม กฎเกณฑ์ หรือกฎหมาย ระเบียบแบบแผน คอื วนิ ยั แม่บทแห่ง ชมุ ชนหรอื สังคมของตนและวัฒนธรรม รวมท้ังส่ิงที่เรยี กวา่ จรรยาบรรณตา่ ง ๆ - ทาน คอื การให้ การเผ่ือแผแ่ บง่ ปนั ช่วยเหลือปลดเปล้ืองความทกุ ข์ของเพ่ือนมนุษย์ ให้ความสุข และสง่ เสริมการสร้างสรรคส์ ิ่งดงี าม - การประพฤติเกื้อกูลแก่ชวี ิตอ่ืน ๆ ท้ังสัตว์ มนษุ ย์ และพชื พรรณ เชน่ การรว่ มสร้าง รกั ษา เขตอภยั ทาน การปลกู สวน ปลูกปา่ และสรา้ งแหล่งน้ำ เป็นตน้ ค. พฤติกรรมในดา้ นอาชวี ะ คือ การทำมาหากนิ เล้ียงชพี โดยมศี ิลปวิทยา วชิ าชพี ที่ฝึกไว้ อยา่ งดี มีความชำนชิ ำนาญท่ีจะปฏบิ ัติใหไ้ ดผ้ ลเป็นสัมมาชีพ ซง่ึ มีลกั ษณะสำคญั คอื ๓๕ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), อา้ งแล้ว เรอ่ื งเดียวกนั , หนา้ ๑๐๐-๑๐๑. ๓๖ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), อ้างแล้ว เรอื่ งเดียวกนั , หน้า ๑๒๐-๑๒๔.

๗๗ - ไมเ่ ปน็ ไปเพื่อความเบียดเบยี น ไมก่ ่อความเดือดร้อนแก่ผอู้ ืน่ หรือก่อผลเสยี หายต่อ สังคม - เปน็ เคร่อื งแกป้ ัญหาชีวิตหรือสงั คม เป็นไปเพื่อสร้างสรรค์ทำใหเ้ กิดประโยชน์เกือ้ กลู - เอื้อต่อการพฒั นาชวี ติ ของตนไม่ทำชวี ติ ให้ตกตำ่ หรือทำลายคุณค่าของความเป็น มนุษยห์ รอื ทำให้เส่อื มจากคณุ ความดี ๒. ดา้ นจิตใจ (สมาธิ) ซ่ึงแยกออกได้ ดงั น้ี ก. คุณภาพจิต ได้แก่ คุณธรรมความดงี ามตา่ ง ๆ เชน่ เมตตา, กรุณา, กตัญญูกตเวทิตา, คารวะ หิรโิ อตตัปปะ ฯลฯ. ซึ่งหล่อเลีย้ งจติ ใจใหง้ อกงามและเป็นพื้นฐานของพฤติกรรมที่ดงี าม ข. สมรรถภาพจิต ได้แก่ ความสามารถเขม้ แขง็ ม่ันคง มีประสทิ ธิภาพของจิต เช่น ฉันทะ (ความใฝ่รู้ ใฝ่ดี ใฝ่ทำ) ความเพยี ร (วิรยิ ะ), ความขยนั (อตุ สาหะ) ความอดทน (ขันต)ิ ความ ระลึก นึกทนั ตน่ื ตวั ควบคุมตนได้ (สต)ิ ความต้งั มัน่ แนว่ แน่ ใส สงบ อยตู่ วั ของจติ (สมาธ)ิ รวมทง้ั ความไมป่ ระมาท เป็นตน้ ท่ที ำใหก้ ้าวหนา้ ม่นั คงในพฤติกรรมที่ดงี าม และพร้อมทจ่ี ะใชป้ ัญญา ค. สุขภาพจติ ได้แก่ สภาพจติ ที่ปราศจากความขนุ่ มัว เศรา้ หมอง เรา่ ร้อน สดชน่ื เอิบ อ่ิม รา่ เริง เบกิ บาน ผ่อนคลาย ผ่องใส เป็นสุข ซ่งึ ส่งผลต่อสขุ ภาพกาย และทำใหม้ ีพฤติกรรมทีด่ ีงาม มี ความม่นั คง สอดคล้องกลมกลนื ๓. ดา้ นปญั ญา ซงึ่ มกี ารพัฒนาหลายด้านหลายระดับ - ความรู้ ความเข้าใจในสิง่ ท่ีสดับตรับฟัง หรือเล่าเรียน และรบั ถา่ ยทอดศลิ ปวทิ ยาการ ตลอดจนข้อมลู ข่าวสารตา่ ง ๆ อย่างมีประสิทธภิ าพ - การรับรู้ประสบการณ์ และเรยี นรู้สิ่งต่าง ๆ อยา่ งถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ บดิ เบือน หรอื เอนเอยี ง ด้วยความชอบชังหรอื อคตทิ ้ังหลาย - การคดิ พจิ ารณาวนิ จิ ฉยั อยา่ งมีวจิ ารณญาณ ดว้ ยการใช้ปัญญาบรสิ ทุ ธิ์ ไม่ถูกกเิ ลส เช่น ความอยากได้ผลประโยชน์ และความเกลียดชงั เปน็ ต้น ครอบงำ บัญชา - การรจู้ ักคดิ จัดการ ดำเนินการ ทำกิจให้สำเร็จ ฉลาดในวธิ ีการที่จะไปสู่จดุ หมาย - ความสามารถแสวงหา เลอื กคดั จัดประมวลความรู้ คิดได้ชดั เจนและสามารถนำ ความรทู้ ม่ี ีอย่มู าเช่ือมโยงสรา้ งเป็นความรคู้ วามคดิ ใหม่ ๆ เพ่ือใช้แก้ปัญหาและสรา้ งสรรค์ - ความรู้แจง้ ความจริงของโลกและชวี ิต หรือรู้เทา่ ทันธรรมดาของส่งิ ทั้งหลาย ที่ทำให้ วางใจถกู ต้องต่อทุก ๆ สงิ่ ทกุ ๆ อยา่ ง สามารถแกป้ ัญหาชีวติ ขจดั ความทกุ ข์ในจิตใจของตนได้ หลดุ พ้นจากความยึดติดถือม่ันในสิ่งท้ังหลาย จิตไมถ่ ูกบีบค้นั ครอบงำกระทบกระทั่งดว้ ยความผนั ผวน ปรวนแปรของสิ่งตา่ ง ๆ หลุดพ้นเปน็ อสิ ระอยู่เหนือกระแสโลก สว่างโลง่ โปรง่ ผอ่ งใส ไร้พรมแดน ซึ่งทำ ใหป้ ฏิบัติตอ่ สิ่งตา่ ง ๆ และดำเนนิ ชวี ติ ดว้ ยปัญญาอยา่ งแทจ้ รงิ

๗๘ ๗.๒พุทธปรชั ญากับการกำหนดจดุ มงุ่ หมายและหลกั การ ท่านพทุ ธทาสภิกขุ ได้กลา่ วถึงจุดมุ่งหมายของการศึกษาวา่ ต้องเป็นไปตามหลักไตรสิกขา ซึง่ สง่ิ ทีไ่ ด้คอื การสิน้ ราคะ โทสะ โมหะ เป็นการรับปรญิ ญา๓๗ พัฒนาฝึกอบรมผู้เรยี นให้มี คุณธรรม จริยธรรม รจู้ กั ตนเอง๓๘ ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี กลา่ วถงึ จุดมุง่ หมายของการศึกษา ตามแนวพทุ ธปรชั ญา ว่ามี ๔ ประการดงั น้ี คือ๓๙ ก.ความมงุ่ หมายเกีย่ วกับตวั ผู้เรียนเนื่องจากผู้เรยี นมีรา่ งกายมีความรู้สึกมีความจำ มีลักษณะ อืน่ ๆของจิตใจ และมีความรอู้ ยู่บ้างแล้ว แตย่ ังมีความโลภ โกรธ หลงอยู่ ดังนั้นการศกึ ษาจะต้องไม่ มงุ่ พัฒนาโลภ โกรธ หลง ใหล้ ดลง ข.ความมุ่งหมายท่ีเกีย่ วกับสงั คมสงั คมไทยเป็นสังคมทผ่ี ู้คนเคารพนบั ถือกนั ชว่ ยเหลือเกื้อกลู กัน และนิยมการใช้ปญั ญาเพื่อแก้ปัญหาตา่ งๆ พทุ ธปรัชญาได้กล่าวถึงเร่ืองเหลา่ น้ี เราก็จะเขา้ ใจ สงั คมได้ดขี ้ึนมีความรัก ความเคารพ และไมต่ กใจไปกบั การเปล่ียนแปลงในสังคม แต่สามารถ ควบคมุ ดแู ลใหเ้ ปลยี่ นแปลงไปในทางท่ีเป็นประโยชน์ ค. ความมุ่งหมายเกี่ยวกับลักษณะของการเรียนรู้ การศึกษาต้องพัฒนาวิธีคิดและการใช้ เหตุผลในตัวผู้เรียน เพ่ือให้สามารถนำความรู้ไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างผู้มี ปญั ญา ง.ความมุ่งหมายเก่ียวกับความร่มเย็นของชีวิตมนุษย์ท่ัว ๆ ไป การศึกษาต้องพัฒนาผู้เรียน ให้มีคณุ ธรรมและมีศลี ธรรม เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความร่มเย็นแกช่ วี ติ ในสงั คม ๗.๓ เป้าหมายของการศึกษา แนวทางในการจัดการศึกษาตามแนวพทุ ธเมื่อว่าโดยสรปุ แล้ว ต้องเปน็ แนวทางการจัด การศึกษา เพื่อใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายของการศึกษา ๓ ด้านดว้ ยกนั คอื ๑. เป้าหมายในปจั จุบันชาติ หมายถึง การมุ่งถึงประโยชน์ที่มนุษย์พงึ มีพึงไดใ้ นชีวิตประจำวัน หรือในการดำเนินชีวิตหนึ่ง โดยชอบธรรม เรียกว่า ประโยชนใ์ นปัจจบุ ัน เชน่ ปัจจัย ๔ หรือแม้กระท่ัง ลาภ ยศ สรรเสริญ ความสขุ อายุ วรรณะ พละ เหล่านีเ้ ปน็ ตน้ รวมท้ังแนวทางหรอื คุณธรรมทจ่ี ะทำให้ได้ซงึ่ สิ่งท่พี ึงมี เหล่านนั้ มาด้วยเปน็ ประโยชนท์ ่ีเรยี กว่ามนษุ ยส์ มบัติ ๓๗ พทุ ธทาสภกิ ข.ุ การศึกษาและการรบั ปรญิ ญา, อ้างใน พระจาตรุ งค์ อาจารสโุ ภ. การปรับเปลยี่ นกระบวนทัศน์ทางปรชั ญา การศกึ ษาไทยในทัศนะของพทุ ธทาสภิกขุเพอื่ การพฒั นามนษุ ยอ์ ย่างยัง่ ยนื : พระพทุ ธศาสนากับการฟนื้ ตัวจากวกิ ฤติการณโ์ ลก, (กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัท ๒๑เซน็ จรู ี่ จำกัด, ๒๕๕๓), หนา้ ๑๓๐.

๗๙ ๒. เป้าหมายในอนาคตชาติ หมายถงึ การมงุ่ ถึงประโยชนใ์ นอนาคต ซ่ึงมคี วามหมายรวมถงึ อนาคตอนั ใกล้ และไกล จน ข้ามพน้ จากโลกน้ไี ปส่โู ลกเบื้องหน้า ด้วยพระพทุ ธศาสนาเชอื่ ว่า ในโลกหน้ามีอยจู่ ริง การดำรงชีวติ ใน โลกนี้ จงึ ไมใ่ ชห่ วงั เพียงสน้ิ สดุ ในโลกน้ี แต่ไดเ้ สนอแนวทางทีจ่ ะไปสูโ่ ลกหน้า ซงึ่ หมายถึงภพภูมทิ ดี่ กี วา่ มีความสุขทีป่ ระณีตกว่าในโลกนี้ เรียกว่า ประโยชนใ์ นภพหน้า เปน็ สวรรคส์ มบัติ เป็นผลของความดี งามที่กระทำไวเ้ มื่อยังมีชวี ิตอยู่ในโลกมนษุ ย์ ๓. เป้าหมายสูงสดุ หมายถึง การมุ่งให้เกิดประโยชน์สงู สดุ แกม่ นุษยชาติ ที่เปน็ ประโยชนท์ ีด่ กี ว่าประโยชน์ทง้ั สองอยา่ งข้างตน้ ประโยชน์ท่วี า่ กค็ ือ ภาวะท่ปี ราศจากความทุกขเ์ พราะสิ้นเหตุทที่ ำให้เกิดความทุกข์ แล้ว มีจติ ใจทเ่ี ปน็ อสิ ระจากเครอื่ งพนั ธนาการท้ังปวง ซงึ่ สามารถเขา้ ถึงและได้รบั ประโยชน์สงู สดุ นีท้ งั้ ในโลกน้ีและโลกหน้า หมายถงึ วา่ มนุษยส์ ามารถทีจ่ ะบรรลนุ ิพพานสมบัติในโลกนี้ หรือถา้ ยงั ไมบ่ รรลุ ไดใ้ นโลกน้ี กส็ ามารถไปบรรลไุ ดใ้ นโลกหนา้ ถ้ายงั ปฏบิ ัติตามแนวทางแห่งลถุ ึงความหลุดพ้นดังกลา่ ว อยู่๔๐ ๗.๔ หลักการจดั การศึกษา (หลกั ไตรสิกขา) ไตรสกิ ขา อธิสีลสกิ ขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ๙.๗.๑ อธิสีลสกิ ขา คอื การฝกึ ความประพฤติสุจรติ ทางกาย วาจา และอาชีวะ ไดแ้ ก่ รวม เอาองคม์ รรคข้อสมั มาวาจา สมั มากัมมันตะ และสัมมาอาชวี ะ เขา้ มา ว่าโดยสาระกค็ ือ การดำรงตน ด้วยดีในสังคม รักษาระเบียบวนิ ัย ปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบทางสังคมให้ถูกต้อง มี ความสมั พันธท์ างสังคมทด่ี ีงามเกื้อกูลเป็นประโยชน์ ชว่ ยรกั ษาและสง่ เสรมิ สภาพแวดล้อม โดยเฉพาะ ในทางสงั คม ให้อยู่ในภาวะเอ้ืออำนวยแก่การท่ที ุก ๆ คนจะสามารถดำเนนิ ชีวติ ทด่ี ีงามหรือปฏิบตั ิตาม มรรคกันไดด้ ว้ ยดี ๔๐ www.watnachuak.org/index.php/%๒๕E๐%๒๕... วันที่เข้าถงึ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓.

๘๐ ศีลเป็นสิกขาขัน้ ตน้ จึงมขี อบเขตกวา้ งขวางมาก แบ่งได้หลายระดับ ครอบคลุมถึงการ แสดงออกและการบังคบั ควบคมุ ตนดา้ นภายนอกท้ังหมด ความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทัง้ ทางสังคม และธรรมชาติ เกณฑ์อย่างต่ำสุดของศีล คือ ไมเ่ บียดเบียนผู้อืน่ เช่นเดยี วกบั ไมเ่ บยี ดเบียนตนเองด้วย ไม่ทำลายสภาพแวดลอ้ มทางสังคมท่เี กื้อกลู แกช่ ีวิตทด่ี งี ามหรอื เก้ือกูลแกม่ รรคน้ัน ต่อจากนนั้ ได้แก่การ ฝึกฝนทางวินัยเพื่อความดีงามยงิ่ ข้นึ ไป ถ้าสามารถกวา่ นัน้ กก็ า้ วไปถงึ การทำการต่าง ๆ ที่เก้อื กลู แก่ ผ้อู น่ื ช่วยสรา้ งเสรมิ จดั สรรสภาพแวดล้อมซึง่ ปดิ กนั้ โอกาสแห่งความชวั่ รา้ ย เพิ่มพูนโอกาสแหง่ การ ดำเนินชีวิตและการปฏิบัติกิจเพื่อความดีงามหรือคุณค่าทยี่ ิ่ง ๆ ข้นึ ไป ๙.๗.๒ อธิจิตตสกิ ขา คือ การฝึกปรอื ในดา้ นคณุ ภาพและสมรรถภาพของจิต ได้แกก่ ารรวม เอาองค์มรรคข้อสมั มาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ เข้ามา ว่าโดยสาระกค็ ือ การฝึกให้มีจติ ใจ เขม้ แข็ง มั่นคง แนวแน่ ควบคมุ ตนไดด้ ี มสี มาธิ มกี ำลังใจสูง ใหเ้ ปน็ จิตทีส่ งบ ผ่องใส เปน็ สุข บรสิ ทุ ธ์ิ ปราศจากสง่ิ รบกวนหรอื ทำให้เศรา้ หมอง อยูใ่ นสภาพเหมาะแก่การใชง้ านมากที่สุด โดยเฉพาะการใช้ ปญั ญาอยา่ งลกึ ซงึ้ และตรงตามความเปน็ จริง ๙.๗.๓ อธปิ ญั ญาสกิ ขา คือ การฝึกปรือปญั ญาใหเ้ กิดความรูค้ วามเข้าใจสง่ิ ทั้งหลายตาม ความเป็นจรงิ จนถงึ ความหลดุ พ้น มีจิตใจเปน็ อิสระ ผ่องใส เบิกบานโดยสมบูรณ์ ไดแ้ ก่การรวมเอาองค์ มรรคข้อสมั มาทฏิ ฐิ และสมั มาสังกปั ปะ เข้ามา ว่าโดยสาระกค็ ือ การฝึกอบรมให้เกิดปัญญาบรสิ ุทธทิ์ ่ีรู้ แจง้ ชดั ตรงตามสภาพความเป็นจริง ไม่เปน็ ความรู้ความคดิ ความเข้าใจทถี่ ูกบดิ เบือนเคลือบคลุม ย้อมสี อำพราง หรอื พร่ามวั เป็นตน้ เพราะอทิ ธิพลของกิเลสมีอวชิ ชาและตณั หาเป็นผูน้ ำที่ครอบงำจิตอยู่ การ ฝกึ ปญั ญาเช่นนี้ต้องอาศยั การฝกึ จิตให้บรสิ ุทธิผ์ อ่ งใสเป็นพ้ืนฐาน แต่ในเวลาเดียวกัน เมื่อปัญญาที่ บริสุทธ์ริ ู้เหน็ ตามเป็นจริงนี้เกิดข้นึ แล้ว ก็กลบั ชว่ ยให้จิตนนั้ สงบ มั่นคง บรสิ ุทธิ์ ผอ่ งใสอยา่ งแนน่ อน ยง่ิ ขนึ้ และสง่ ผลออกไปในการดำเนนิ ชวี ติ คอื ทำใหว้ างใจ วางท่าที มคี วามสัมพนั ธ์กบั สงิ่ ท้ังหลายอยา่ ง ถูกต้อง และใชป้ ัญญาที่บริสุทธ์ิ ไมเ่ อนเอียง ไม่มีกิเลสแฝงนัน้ คดิ พจิ ารณาแก้ไขปญั หาตา่ ง ๆ ทำกิจ ท้งั หลายในทางที่เปน็ ไปเพ่ือประโยชน์สุขอยา่ งแท้จรงิ ๔๑ ๗.๕ สาระการเรยี นรู้ แยกสาระการเรยี นร้หู รอื สาระการสอน ออกเป็น ๒ สว่ น คือ ๑. สว่ นท่ีเปน็ คฤหสั ถ์หรือผู้ ครองเรือน ๒. สว่ นทีเ่ ป็นบรรพชิตหรอื นกั บวช ผู้เขยี นมองไปที่เป้าหมายหลักสูงสดุ ของพทุ ธปรัชญา การศึกษาในการสอนท้ัง ๒ ส่วน คือความพ้นทกุ ข์ หรือพระนพิ พานนนั่ เอง อนั เป็นจดุ จบของ การศึกษาท่ีไม่ต้องศกึ ษาอีกต่อไป เพราะได้ศึกษาจบแล้ว หรือพรหมจรรย์ไดอ้ ยู่จบแลว้ ๔๒ สาระการเรียนรู้ จากการสำรวจคัมภรี ์ในทางพระพุทธศาสนา ถา้ เป็นคฤหัสถ์ พระพทุ ธองค์ จะทรงยกหวั ข้อจากงา่ ยไปหายากมาสอน เช่น ทรงสอนเรือ่ งอนุปพุ พิกถา ๕ อยา่ งคือ๔๓ ๑. ทานกถา เร่อื งทาน ๔๑ พระราชวรมนุ ี (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต), พุทธธรรม ฉบบั ขยายความ. หนา้ ๙๑๔-๙๑๕. ๔๒ ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/๕๔/๖๕. ๔๓ ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/๒๖/๓๒, ๒๗/๓๔, ๒๙/๓๖, ๓๐/๓๘, ๓๑/๓๙, ๓๖/๔๖.

๘๑ ๒. สีลกถา เรื่องศีล ๓. สคั คกถา เรือ่ งสวรรค์ ๔. กามาทีนวกถา เรื่องโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองแหง่ กาม ๕. เนกขมั มานิสงั สกถา เร่ืองอานิสงสแ์ ห่งการออกจากกาม การออกบวช ทรงแสดงแก่ยสกุลบุตร บิดามารดา ภรรยาเก่าของพระยสะ สหาย ๔ คนของพระยสะ สหาย ๕๐ คนของพระยสะ ภัททวัคคีย์ ๓๐ คน เป็นต้น ตามลำดับ ทรงแสดงแก่พราหมณ์โปกขรสา ต๔ิ ๔ นอกจากนั้นยังมีกรณีตัวอย่างการสอนคฤหัสถ์ ของพระสาวกที่สอนจากเรื่องง่ายไปหายาก ตามลำดับขน้ั ดังตัวอย่าง ดังได้สดบั มา เม่ือพระศาสดาประทับอยใู่ นกรุงสาวัตถี บตุ รเศรษฐีผู้หน่งึ เข้า ไปหาพระเถระผูเ้ ปน็ ชีตน้ ๑ ของตน เรียนว่า \"ท่านผ้เู จริญ กระผมใคร่จะพ้นจากทุกข์, ขอท่าน โปรดบอกอาการสำหรับพน้ จากทุกขแ์ ก่กระผมสักอยา่ งหน่ึง พระเถระ กล่าวว่า \"ดีละ ผู้มีอายุ ถ้าเธอใคร่จะพ้นจากทุกข์ไซร้ เธอจงถวายสลากภัต ๒ ถวายปักขิกภัต ๓ ถวายวัสสาวาสิกภัต ๔ ถวายปัจจัยทั้งหลายมีจีวรเป็นต้น แบ่งทรัพย์ สมบัติของตนให้เป็น ๓ ส่วน ประกอบการงานด้วยทรพั ย์สว่ น ๑ เลี้ยงบุตรและภรรยาดว้ ยทรพั ย์ส่วน ๑ ถวายทรัพย์ส่วน ๑ ไว้ในพระพุทธศาสนา \"เขารับว่า \"ดีละ ขอรับ\" แล้วทำกิจทุกอย่าง ตามลำดับแห่งกิจท่ีพระเถระบอก แล้วเรียนถามพระเถระอีกว่า \"กระผมจะทำบุญอะไรอย่างอื่น ท่ียิ่งข้ึนไปกว่านี้อีกเล่า ? ขอรับ.\"พระเถระ ตอบว่า \" ผู้มีอายุ เธอจงรับไตรสรณะ (และ) ศีล ๕.\" เขารับไตรสรณะและศีล ๕ แม้เหล่านั้นแล้ว จึงเรียนถามถึงบุญกรรมที่ย่ิงขึ้นไปกว่านั้น. พระเถระกแ็ นะว่า \" ถ้ากระน้ัน เธอจงรับศีล ๑๐.\" เขากล่าววา่ \" ดีละ ขอรับ \" แล้วก็รบั (ศีล ๑๐).เพราะเหตุทเ่ี ขาทำบุญกรรมอย่างน้นั โดยลำดับ เขาจึงมีนามว่า อนุปพุ พเศรษฐีบุตร. เขาเรยี น ถามอีกวา่ \" บญุ อนั กระผมพงึ ทำ แม้ย่ิงขึ้นไปกวา่ นี้ ยังมีอยู่หรือ ? ขอรับ\" เมือ่ พระเถระกลา่ วว่า \" ถ้ากระนนั้ เธอจงบวช,\" เขาจงึ ออกบวชแลว้ ๔๕ ถ้าเปน็ บรรพชิตหรือนักบวช พระพุทธองค์จะทรงยกหวั ข้อท่ีนักบวชเหล่านน้ั คุ้นเคย หรอื กำลงั ปฏิบตั อิ ยู่นำมากประยุกต์สอน โดยทรงช้ีใหเ้ หน็ วา่ สิง่ ที่ปฏิบัติอยู่นั้นมจี ุดบกพร่องตอ้ งปรบั ปรุง แก้ไขอยา่ งไรบ้าง เพ่ือความถูกต้องและเพื่อความเจรญิ ก้าวหนา้ ในการปฏิบัติ ตัวอย่างเช่น กรณี ของปญั จวัคคีย์ พระพุทธองค์ทรงยกเรื่องทางสายกลางมาสอน เพราะสมัยนัน้ นักบวชทั้งหลายบรรดา ทีม่ ีอย่ตู ่างประพฤตปิ ฏบิ ัตสิ ดุ โตง่ ๒ อย่าง คือ ๑. กามสุขัลลกิ านโุ ยคในกามท้งั หลาย (การหมกม่นุ อยดู่ ้วยกามสุขในกามท้ังหลาย) เป็น ธรรมอันทราม เปน็ ของชาวบ้าน เปน็ ของปุถชุ น ไมใ่ ชข่ องพระอรยิ ะ ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ ๒. อตั ตกิลมถานุโยค (การประกอบความลำบากเดือดรอ้ นแก่ตน) เปน็ ทุกข์ ไมใ่ ชข่ องพระ อรยิ ะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์๔๖ จากน้ันจึงทรงแสดงทางสายกลาง หลกั การปฏิบัติทเี่ รยี กวา่ มัชฌิมาปฏิปทา อนั ไดแ้ ก่ อรยิ มรรคมีองค์ ๘ ประการ คือ๔๗ ๔๔ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๙๘/๑๐๙. ๔๕ ธรรมบท เลม่ ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ หนา้ ๔๐๘. ๔๖ ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/๑๓/๒๐.

๘๒ ๑. สัมมาทฏิ ฐิ เห็นชอบ ๒. สมั มาสังกปั ปะ ดำริชอบ ๓. สมั มาวาจา เจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ ๕. สมั มาอาชวี ะ เลี้ยงชีพชอบ ๖. สมั มาวายามะ พยายามชอบ ๗. สมั มาสติ ระลกึ ชอบ ๘. สมั มาสมาธิ ตงั้ จติ มั่นชอบ สัมมาทิฏฐิ แปลว่า เห็นชอบ เหน็ อย่างไรจึงได้ชื่อว่าเห็นชอบ หรือเหน็ ถกู หรือเห็นตรง ตาม ความเปน็ จรงิ ไม่ได้เห็นเชือกเปน็ งู หรอื แม้แตก่ ารเห็นเชือกเปน็ เชอื ก เหน็ งเู ปน็ งู ก็ยังไม่ชอ่ื ว่า เห็นชอบ เห็นถกู หรอื เหน็ ตรง การเหน็ ที่จัดว่า เห็นชอบ เห็นถกู หรือเห็นตรงน้ัน หมายถงึ การเห็นอริยสัจ ๔๔๘ เหน็ ไตรลักษณ์ หรือเหน็ ปฏจิ จสมุปบาท (นอกจากที่กลา่ วมาแล้ว ยังเห็นอะไรอีก ดู ม.มู. (ไทย) ๑๒/ / ๘๒-๙๙) สมั มาทฏิ ฐมิ ี ๒ อย่าง คอื ๑) โลกิยสมั มาทฏิ ฐิ หมายถึงกมั มัสสกตาญาณ ญาณหย่ังรวู้ า่ สตั ว์ มกี รรมเปน็ ของตน และสัจจานุโลมกิ ญาณ ญาณหย่ังร้โู ดยสมควรแก่การกำหนดรู้อริยสัจ ๒) โลกตุ ตร สัมมาทฏิ ฐิ หมายถึงปัญญาที่ประกอบดว้ ยอรยิ มรรค และอริยผล๔๙ สมั มาสังกัปปะ แปลวา่ ดำริชอบ นึกคิดในทางท่ชี อบ ในทางที่ถูก ในทางท่ีตรง ดำริอยา่ งไร นึกคิดอย่างไร จึงได้ชื่อวา่ ดำริชอบ นึกคดิ ในทางท่ชี อบ ในทางท่ีถูก ในทางทต่ี รง หมายถึงความนึกคดิ ในทางสละปลอดจากกาม ความนกึ คดิ ปลอดจากพยาบาท และความนึกคิดปลอดจากการเบียดเบียน ความดำริในการออกจากกาม ความดำริในการไม่พยาบาท ความดำริในการไม่เบียดเบยี น๕๐ สมั มาวาจา แปลวา่ เจรจาชอบ เจรจาถูก เจรจาตรง เจรจาอยา่ งไรจึงไดช้ ่ือวา่ เจรจาชอบ เจรจาถกู เจรจาตรง หมายถึงพูดคำสตั ย์ พดู ไม่ส่อเสียด พูดคำอ่อนหวาน พดู ส่งิ มีสาระ เจตนาเป็นเหตุ งดเว้นจากการพูดเท็จ เจตนาเปน็ เหตุงดเวน้ จากการพดู ส่อเสยี ด เจตนาเปน็ เหตุงดเวน้ จากการพดู คำ หยาบ เจตนาเป็นเหตุงดเวน้ จากการพูดเพอ้ เจ้อ๕๑ สัมมากัมมนั ตะ แปลว่า กระทำชอบ กระทำถูก กระทำตรง กระทำอย่างไรจึงไดช้ ื่อวา่ กระทำชอบ กระทำถูก กระทำตรง หมายถึง การไมเ่ บียดเบียนชีวิตสตั ว์ทง้ั หลาย ไม่ลักทรัพย์ ไม่ ประพฤตผิ ิดในกาม เจตนาเป็นเหตงุ ดเวน้ จากการฆ่าสตั ว์ เจตนาเปน็ เหตงุ ดเว้นจากการถอื เอาส่ิงของที่ เจา้ ของไม่ได้ให้ เจตนาเปน็ เหตุงดเวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม๕๒ ๔๗ ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/๑๓/๒๑. ๔๘ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๕, ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๗๕/๔๒๒, อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๑, ๔๘๖/๓๗๑. ๔๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/เชงิ อรรถ/๘๑. ๕๐ วิ.มหา. (ไทย) ๔/เชงิ อรรถ/๒๑, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๕, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๑. ๕๑ ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/เชงิ อรรถ/๒๑, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๕, อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๒. ๕๒ ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/เชงิ อรรถ/๒๑, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๕, อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๒.

๘๓ สมั มาอาชีวะ แปลวา่ เล้ยี งชพี ชอบ เล้ียงชีพถูก เล้ยี งชีพตรง เลยี้ งชีพอย่างไรจึงไดช้ ่ือวา่ เลี้ยงชพี ชอบ เลยี้ งชีพถูก เลี้ยงชพี ตรง หมายถึง การเวน้ จากมิจฉาชพี ประกอบสมั มาอาชีพ อริยสาวก ในธรรมวนิ ัยนล้ี ะมจิ ฉาอาชวี ะแลว้ สำเร็จการเล้ยี งชีพดว้ ยสัมมาอาชวี ะ๕๓ สมั มาวายามะ แปลวา่ พยายามชอบ พยายามถูก พยายามตรง พยายามอย่างไรจึงไดช้ ่อื ว่า พยายามชอบ พยายามถกู พยายามตรง หมายถึงการเพียรพยายามระวงั ความชั่วไม่ใหเ้ กิดขึ้น เพยี ร กำจดั ความชัว่ ที่เกิดข้ึนแล้ว เพียรทำความดีใหเ้ กิด เพียรรักษาความดไี ว้ หรอื การสร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจติ มุ่งมัน่ เพ่ือการต่อไปน้ี ๑. สรา้ งฉันทะ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจิต มุ่งมน่ั เพ่ือป้องกันบาปอกุศลธรรม ที่ยังไมเ่ กิดมิใหเ้ กิดข้นึ ๒. สรา้ งฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจิต ม่งุ มน่ั เพื่อละบาปอกศุ ลธรรมที่ เกิดขึน้ แล้ว ๓. สร้างฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจติ มงุ่ มั่น เพือ่ ทำกุศลธรรมที่ยังไม่ เกิดขน้ึ ให้เกิดขึ้น ๔. สร้างฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจติ มุ่งมนั่ เพื่อความดำรงอยู่ ไม่เลอื น หาย ภิญโญภาพ ไพบลู ย์ เจริญเตม็ ท่แี ห่งกุศลธรรมท่เี กดิ ขึ้นแล้ว๕๔ สมั มาสติ แปลวา่ ระลกึ ชอบ ระลกึ ถูก ระลกึ ตรง ระลึกอยา่ งไรจึงไดช้ ่ือวา่ ระลกึ ชอบ ระลึกถูก ระลึกตรง หมายถึง ๑. การพจิ ารณาเหน็ กายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชญั ญะ มสี ติ กำจัดอภชิ ฌาและ โทมนสั ในโลกได้ ๒. การพจิ ารณาเวทนาในเวทนาอยู่ มคี วามเพยี ร มีสัมปชญั ญะ มสี ติ กำจดั อภชิ ฌาและ โทมนัสในโลกได้ ๓. การพจิ ารณาจติ ในจติ อยู่ มีความเพียร มสี ัมปชัญญะ มีสติ กำจดั อภชิ ฌาและโทมนสั ใน โลกได้ ๔. การพจิ ารณาธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กำจดั อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๕๕ สัมมาสมาธิ แปลว่า ตั้งจติ ม่ันชอบ ต้งั จติ ไวถ้ กู ต้ังจติ ไว้ตรง ตง้ั จิตอย่างไรจึงได้ช่ือว่า ตั้งจิต มั่นชอบ ตั้งจิตไว้ถกู ตงั้ จิตไวต้ รง หมายถึงฌาน ๔ คือ ๑. สงดั จากกามและอกุศลธรรมท้ังหลาย บรรลปุ ฐมฌานท่ีมีวติ ก มวี จิ าร มปี ีติ และสขุ อัน เกิดจากวิเวกอยู่ ๒. เพราะวิตกวจิ ารสงบระงบั ไป บรรลุทตุ ยิ ฌานทมี่ ีความผ่องใสภายใน มีภาวะท่จี ิตเปน็ หน่งึ ผดุ ข้ึน ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแตป่ ีติ และสขุ อันเกดิ จากสมาธิอยู่ ๓. เพราะปตี จิ ากคลายไป มีจติ เป็นอุเบกขา มีสติ มีสมั ปชัญญะอยู่ และเสวยสขุ ด้วยกาย นามกาย บรรลตุ ตยิ ฌานทพี่ ระอรยิ ะท้งั หลายกล่าวสรรเสริญวา่ ผู้มอี เุ บกขา มีสติ อยเู่ ป็นสุข ๕๓ ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/เชิงอรรถ/๒๑, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๖, อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๒. ๕๔ ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/เชงิ อรรถ/๒๑, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๖, อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๒. ๕๕ ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/เชิงอรรถ/๒๑, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๖, อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๒.

๘๔ ๔. เพราะละสุขและทกุ ข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนสั ดบั ไปก่อนแล้ว บรรลุจตตุ ถฌานท่ีไมม่ ี ทกุ ข์ไมม่ ีสุข มีสตบิ ริสทุ ธเิ์ พราะอุเบกขาอยู่ ๕๖ ๕๖ ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/เชิงอรรถ/๒๑, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๗, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๒-๑๗๓.

๘๕ บทท่ี ๘ การศกึ ษาในทศั นะของนกั วชิ าการทางพระพุทธศาสนา วัตถปุ ระสงค์การเรยี นประจำบท เมอ่ื ศึกษาเน้ือหาในบทเรยี นนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑.อธบิ ายการศึกษาในทศั นะของนักวิชาการทางพระพทุ ธศาสนาได้ ๒.ระบุทศั นะนักวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนาได้ ขอบข่ายเนอื้ หา ๑.การศึกษาในทศั นะของนักวิชาการทางพระพุทธศาสนา ๒.ทศั นะนกั วิชาการทางพระพทุ ธศาสนา

๘๖ ๘.๑ การศกึ ษาในทศั นะของนักวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาตไิ ดใ้ ห้นิยามมาตรฐานการศกึ ษาว่า เป็นข้อกำหนดเกยี่ วกบั คุณลักษณะ คุณภาพท่ีพึงประสงค์ และมาตรฐานท่ตี ้องการให้เกดิ ขึน้ ในสถานศึกษาทุกแห่ง และเพ่ือ ใช้เปน็ หลักในการเทียบเคยี ง สำหรับการส่งเสริมและกำกับดูแล การตรวจสอบ การประเมนิ ผล และ การประกนั คณุ ภาพทางการศึกษา๕๗ คำว่า \"การศึกษา\" พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน ให้ความหมายวา่ \"การเลา่ เรยี น การ ฝึกอบรม\" เป็นคำท่ใี ชใ้ นความหมายตรงกบั คำในภาษาอังกฤษว่า \"Education\" ซึง่ คาร์เตอร์ ว.ี กดู (Good. ๑๙๗๓ : ๒๐๒) ไดใ้ หค้ วามหมายไวใ้ นพจนานุกรมศัพทก์ ารศกึ ษา ๔ ประการ โดยสรุป คอื ๕๘ ๑. การศึกษา หมายถงึ การดำเนนิ การดว้ ยกระบวนการทุกอย่าง ท่ที ำใหบ้ คุ คลพัฒนา ความสามารถด้านตา่ งๆ รวมทงั้ ทศั นคติและพฤติกรรมอน่ื ๆ ตามคา่ นิยมและคณุ ธรรมในสังคม ๒. การศึกษา หมายถงึ กระบวนการทางสังคม ทท่ี ำใหบ้ คุ คลได้รบั อิทธิพลจากส่ิงแวดล้อม ที่ คัดเลือกและกำหนดไว้อย่างเหมาะสมโดยเฉพาะโรงเรยี น เพือ่ พฒั นาบุคคลและสังคม ๓. การศกึ ษา หมายถงึ วิชาชพี อยา่ งหน่งึ สำหรบั ครู หรอื การเตรยี มบคุ คลให้เปน็ ครู ซ่ึงจัด สอนในสถาบันอุดมศกึ ษา ประกอบด้วย วชิ าจติ วทิ ยาการศกึ ษา ปรัชญา ประวตั ิการศึกษา หลักสูตร หลักการสอน การวดั ผล การบรหิ าร การนิเทศการศึกษา และวิชาอน่ื ๆ ทค่ี รูควรรู้ ท้งั ภาคทฤษฎแี ละ ปฏบิ ตั ิ ซึ่งจะทำใหเ้ กิดความเจรญิ งอกงามสำหรับครู ๔. การศกึ ษา หมายถึง ศลิ ปะในการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ในอดีต ซ่งึ รวบรวมไว้อย่างเป็น ระบบสำหรับคนรุน่ ใหม่ ท่านพทุ ธทาสภกิ ขุ ได้ให้คำนิยามการศึกษาว่า ศึกษา มาจากคำบาลีวา่ สกิ ขา คำว่า สิกขา มาจากคำวา่ สยํ + อิกขฺ า สมมฺ า + อกิ ฺขา สห + อกิ ฺขา ผศู้ ึกษาจะต้องเห็นชัดในสิ่งตา่ งๆ ดว้ ยตนเองอย่างถกู ต้องจนดบั ทุกขไ์ ด้และสามารถจะอยู่ ร่วมกับคนอ่นื ไดด้ ว้ ยความสงบสุข ดังนนั้ การศกึ ษาจงึ มิใช่การเรียนเพยี งด้านภาษา และอาชีพเท่านัน้ แต่หมายถึงการดับทกุ ข์ตนเองและผ้อู ่ืนให้ได้ทำตนใหเ้ ป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ดร. สาโรช บัวศรี กล่าววา่ การศึกษาคอื ขบวนการพฒั นาขันธ์ ๕ ใหเ้ จริญเต็มทเ่ี พอื่ บรรเทา ราคะ โทสะ โมหะ ของมนุษย์ให้เบาบางลงและหมดไปในที่สุด พระราชวรมุน*ี (* ปัจจบุ นั พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยทุ ธ์ ปยุตโฺ ต) )ไดก้ ล่าววา่ การศึกษา มีจุดมงุ่ หมายเพ่ือทำชีวติ ให้เข้าถงึ อิสรภาพคือทำให้ชวี ติ หลุดพ้นจากอำนาจครอบงำจากปัจจัยภายนอก ให้มากทสี่ ุด และ มคี วามเปน็ ใหญใ่ นตัว สามารถกำหนดความเปน็ อยูข่ องตนใหไ้ ด้มากท่สี ุด๕๙ ๕๗ http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?topic=๖๕.๐, วันที่เขา้ ถงึ ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓. ๕๘ Carter V. Good, dictionary of Education. McGrow-Hill Book Company, ๑๙๗๓, p.๓๐๒, และจากเวบ็ ไซต์ ๕๙ http://www.mcu.ac.th/mcutrai/menu๒/Critical/๐๖.htm, วนั ทเี่ ข้าถงึ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓.

๘๗ มนุษย์เราในโลกปัจจบุ ันนม้ี ีการศึกษาแตเ่ พียงสองอย่าง คือ รู้หนงั สือ รู้อาชีพ ขาดอยา่ งที่ สามคอื การศึกษาที่ทำใหเ้ ป็นมนุษยก์ ันอยา่ งถูกต้อง๖๐ พระเทพเวที (ป.อ. ปยุตฺโต) กลา่ วไวว้ า่ การศกึ ษาจะต้องเป็นไปเพื่อฝกึ ฝนพฒั นา รจู้ กั แก้ปัญหาดับทุกข์ และทำตนใหเ้ ปน็ สุขได้๖๑ พระราชวรมนุ ี (ประยรู ธมฺมจติ ฺโต) กล่าวไวว้ า่ ธรรมชาติของสิง่ ต่าง ๆ มหี ลายชัน้ หลาย มิติท่ศี ึกษาได้ไม่รจู้ บ ดงั น้ันผตู้ ้องการจะดำเนนิ ชวี ติ ให้สอดคลอ้ งกับธรรมชาติ จึงต้องขยายขอบฟ้าแหง่ ความรเู้ ร่ือยไปไมร่ ู้สน้ิ นัน่ คอื การศึกษาตลอดชีวติ ในมหาวทิ ยาลยั ชีวติ จริงการศกึ ษาตามแบบแผนใน โรงเรยี นและมหาวิทยาลยั เป็นเพียงเตรยี มตัวผูเ้ รยี นให้พร้อมที่จะขยายขอบฟา้ แห่งความรู้ด้วยตนเอง ศ.ดร.วิทย์ วศิ ทเวทย์ ได้กล่าวถึงปรชั ญาการศึกษาตามแนวพุทธว่า ต้องมีจดุ หมาย ๓ ประการ คือ ๑. การศกึ ษาต้องสนองแนวทางของสังคม ตอ้ งสรา้ งคนใหเ้ ปน็ พลเมืองดี ทำงานที่ตนเลอื ก อย่างมีประสทิ ธภิ าพ เคารพสิทธผิ อู้ ่ืน สำนกึ ในสิทธิของตน มีความสุขในการนบั ถือจากผู้อ่นื ๒. การศกึ ษาต้องสร้างคนให้เป็นคนเคารพศักดศ์ิ รขี องตนเอง เปน็ ตัวของตวั เอง มีเหตุผล ของตน เมอื่ พร้อมกส็ ามารถเสพยส์ ขุ ทางโลกได้ดว้ ยชอบ และ ๓. การศกึ ษาตอ้ งตอบสนองแนวทางของปรมตั ถธรรม กล่าวคอื เมื่อคนเบื่อการมีชีวิตแบบ ชาวโลกต้องการใช้ชวี ิตทางธรรมเพื่อบรรลปุ รมัตถธรรมกส็ ามารถทำได้๖๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต) ไดก้ ล่าวถึงปรชั ญาการศึกษาตามแนวพทุ ธวา่ ๖๓ ๑. จุดกำเนดิ ของการศึกษา เนอื้ หาในหนังสือเรื่อง “ทางสายกลางของการศึกษาไทย” แบ่งเปน็ ๓ ตอน ตอนที่ ๑ วา่ ด้วยเรอื่ งการศกึ ษา เครอื่ งมือพัฒนาที่ยงั ต้องพัฒนา ตอนท่ี ๒ ว่าด้วยเรอ่ื งความคิด แหลง่ สำคัญของการศกึ ษา ตอนท่ี ๓ วา่ ดว้ ยเร่อื งปญั หาท่ีตอ้ งแกไ้ ขยงิ่ กว่าขยายโอกาสทางการศกึ ษา นอก จากน้ี ยังแบ่งยอ่ ยเน้ือหาเป็น ๔ บท ผู้เขียนสนใจเนอ้ื หาของบทท่ี ๒ วา่ ด้วยเรอื่ งจดุ กำเนิดของการศกึ ษา พระเดชพระคุณเหน็ ว่า จดุ กำเนิดของการศึกษาคือ “แรงจงู ใจ” เร่มิ ตั้งแต่ แรงจงู ใจอย่างหยาบจนถงึ แรงจงู ใจอย่างละเอยี ด แรงจูงใจในการศึกษาในทศั นะของไอนส์ ไตนม์ ี ๓ ๖๐ สำลี รกั สุทธ,ิ คมวาทะของนักการศึกษาท่ีทรงคุณคา่ นิรนั ดรก์ าล, (กรุงเทพมหานคร : หา้ งห้นุ สว่ นจำกัด เรอื งแสงการพิมพ,์ ๒๕๔๘), หนา้ ๒๓. ๖๑ สำลี รกั สทุ ธ,ี คมวาทะของนกั การศกึ ษาท่ที รงคณุ คา่ นิรันดรก์ าล, หน้า ๒๒. ๖๒ วีรชาติ นมิ่ อนงค์. ปรชั ญาการศึกษาแนวพุทธ : แนวทางและปัญหา, อ้างใน พระจาตุรงค์ อาจารสุโภ. การปรบั เปลยี่ นกระบวนทศั น์ ทางปรัชญาการศกึ ษาไทยในทัศนะของพุทธทาสภิกขเุ พอ่ื การพัฒนามนุษย์อย่างยั่งยนื : พระพทุ ธ ศาสนากบั การฟนื้ ตวั จากวกิ ฤตกิ ารณโ์ ลก, (กรุงเทพมหานคร : บริษทั ๒๑ เซ็นจรู ี่ จำกดั , ๒๕๕๓), หนา้ ๑๒๘. ๖๓ ทางสายกลางของการศกึ ษาไทย.http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id= ๔๗๐&articlegroup_id=๙๗

๘๘ อย่าง คือ (๑)ความกลวั (๒)ความใฝส่ งู อยากดีอยากเด่น (๓)ฉันทะ คือความสนใจใฝ่รักและความ ปรารถนาต่อสัจธรรมและปญั ญา พระเดชพระได้อ้างคำพูดของอลั เบิร์ต ไอน์สไตนว์ ่าวิทยาศาสตรจ์ ะ ไดร้ บั การสรา้ งสรรค์ข้นึ มาได้ก็โดยอาศยั บุคคลทเ่ี ต็มเปี่ยมดว้ ยความ ใฝ่ปรารถนาต่อสัจธรรม และ ปญั ญาท่เี ข้าใจถงึ ความจรงิ นักวิทยาศาสตรท์ ีแ่ ท้จริงทุกคนมีความเช่ือ อยา่ งลึกซึง้ ว่า กฎเกณฑ์ท่ีกำกับ สากลพภิ พนีเ้ ปน็ สิง่ ทม่ี ีเหตผุ ล และสามารถเข้าใจไดด้ ้วยเหตผุ ล จากข้อความน้ีกำลงั บอกว่า จุดเรมิ่ ตน้ ของการศึกษาคือความเชื่อมั่นในหลักแห่งเหตผุ ล และ มแี รงจงู ใจใฝต่ ่อสจั ธรรมและวิธกี ารทจี่ ะเข้าถึงสจั ธรรมนั้น สากลจกั รวาลเป็นเรือ่ งของเหตผุ ล ไมไ่ ด้ เกิดขนึ้ ลอย ๆ มีคำอยู่ ๔ คำที่พระเดชพระคณุ กล่าวถึง คือ (๑)วธิ ีการวทิ ยาศาสตร์ (๒)ความคิดแบบ วทิ ยาศาสตร์ (๓)ทัศนคตแิ บบวทิ ยาศาสตร์ และ(๔)จติ ใจแบบวิทยาศาสตร์ ถา้ พิจารณาอยา่ งผิวเผิน อาจทำใหเ้ ข้าใจผิดได้ว่าทัง้ ๔ คำนี้มีนยั เหมือนกัน แต่ความจริงแล้วไมเ่ หมือนกนั พระเดชพระคุณให้ คุณคา่ แกค่ ำวา่ “จิตใจแบบวิทยาศาสตร์” ถามวา่ “เพราะเหตไุ ร” เมื่อวเิ คราะห์ข้อความต่อมาจึงได้ คำตอบวา่ จิตใจแบบวทิ ยาศาสตร์นั้นเปน็ จิตใจของผ้ทู ี่มีความเชอ่ื มนั่ ในทางศาสนา เชอ่ื วา่ สากล จกั รวาลมคี วามสมบูรณ์และสามารถรบั ร้ไู ด้ดว้ ยการแสวงหาความรูอ้ ยา่ งมี เหตผุ ล พระเดชพระคณุ บอกวา่ จดุ เริม่ ตน้ ของศาสนากบั วทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ อันเดียวกัน หรือวา่ ศาสนานนั่ เองทำใหค้ นเป็นนกั วทิ ยา ศาสตร์ ถ้าไม่มีจิตใจวิทยาศาสตรแ์ บบนี้ ไม่มีความใฝป่ รารถนาอยา่ งแท้จริงทจี่ ะเข้าถึงสจั ธรรม หรอื ปัญญาที่รเู้ ข้าใจ จรงิ ต่อสภาวะของสง่ิ ท้ังหลาย แลว้ เราก็ไมส่ ามารถท่ีจะเปน็ นักวิทยาศาสตรท์ ่ี แท้จริงได้ ขอ้ ความทก่ี ล่าวมานี้ พระเดชพระคุณวิเคราะห์และสรุปจากท่ีไอน์สไตน์ได้กลา่ วไว้ ต่อมา พระเดชพระคณุ ได้กลา่ วถงึ จุดกำเนดิ ของการศกึ ษาตามแนวพทุ ธ โดยระบคุ ำวา่ “แรงจูงใจ” เช่นเดยี วกนั ซง่ึ มที ง้ั อย่างหยาบและละเอียดรวม ๔ อย่าง โดยแบง่ แรงจงู ใจอยา่ งหยาบไว้ ๓ ประการ คือ (๑) ภยะ ความกลวั (๒) ตัณหา อยากได้ (๓)มานะ อยากดีอยากเดน่ และแรงจูงใจอย่างละเอียด ๑ ประการ คอื ฉนั ทะ แรงจูงใจอยา่ งหยาบทั้ง ๓ ประการดังกล่าวเปน็ สิ่งท่ีไม่ดี แตเ่ ป็นธรรมชาติของสตั ว์ โลกโดยเฉพาะมนุษย์ คอื มนุษย์ปุถชุ นทุกคนมดี ้วยกนั ทั้งน้ัน สว่ นแรงจูงใจอยา่ งละเอียด คอื ฉนั ทะนัน้ ถือเปน็ แรงจูงใจที่ถูกต้อง ฉันทะแบง่ เปน็ ๒ ส่วนคือ (๑) ความใฝร่ ้คู วามจริง (๒) ความใฝ่ดี รวมเรียกว่า “ธรรมฉนั ทะ” พระธรรมปิฎกไดช้ ีใ้ หเ้ หน็ ทัศนะทีเ่ หมือนกนั เกย่ี วกบั จดุ กำเนดิ ของการศึกษาทั้ง ตามแนว พระพุทธศาสนาและอัลเบิรต์ ไอน์สไตน์ นนั่ คือ ฉันทะ ความใฝร่ ูค้ วามจริงและใฝป่ รารถนาสง่ิ ดงี าม ซงึ่ พระเดชพระคณุ ไดส้ รปุ ไวเ้ ปน็ ศพั ท์ทางวชิ าการว่า “ธรรมฉันทะ” เป็นการจำกัดเนื้อหาเชิงวเิ คราะห์ ของคำนีไ้ วใ้ นกรอบทีแ่ น่นอน เมอื่ พดู ถึงคำว่า “ฉันทะ” อาจมีนัยหลายอยา่ ง แต่เมื่อพดู ถงึ คำว่า “ธรรมฉนั ทะ” นัน่ หมายถึงความใฝ่รู้ความจริงและใฝ่ปรารถนาความดีงาม ๒. สารัตถะของการศกึ ษา เน้อื หาทีส่ ำคัญในบทที่ ๓ คอื เร่อื งสารัตถะของการศกึ ษา พระธรรมปฎิ กได้กล่าวถึง กระบวนการของการศึกษาทั้งระบบ ๓ ภาค คอื

๘๙ ๒.๑ ภารกิจของการศึกษา ในขน้ั น้ีเป็นเรื่องของผใู้ ห้การศึกษาท้ังระดับผบู้ ริหารและ ผปู้ ฏบิ ัติการ ตอ้ งรจู้ ักแบ่งหน้าที่ของตวั เองออกเป็น ๒ ส่วน คอื (๑) หนา้ ท่ีถา่ ยทอดศิลปวิทยา ส่งเสรมิ เพม่ิ พนู วิชาการและวิชาชพี (๒) หนา้ ทใี่ นการช้ีแนะให้ดำเนินชีวติ ถูกต้องดีงาม และรู้จักพฒั นาตน น่ัน คือ ในขณะปฏิบัติหน้าทีใ่ หก้ ารศึกษา ต้องทำหน้าที่ ๒ ประการให้สมบรู ณ์ คอื (๑) หนา้ ท่ใี หค้ วามรู้ เรียกวา่ “สิปปทายก” (๒) หน้าทีใ่ นฐานะเป็นเพอ่ื นที่ดีคอยช่วยเหลอื แนะนำส่งั สอนแนวทางดำเนนิ ชีวติ เรยี กวา่ “กัลยาณมิตร” พระธรรมปฎิ กไดก้ ล่าวเนน้ ให้ผู้บริหารและผ้ปู ฏิบัติการ เกย่ี วกับการศึกษารู้ว่า การศึกษาที่ สมบรู ณน์ ้นั ไมใ่ ช่มงุ่ เฉพาะความเป็นเลิศทางวชิ าการ แต่ต้องมุ่งสร้างความเป็นมนุษย์ทสี่ มบูรณ์ด้วย พระเดชพระคุณไดอ้ ้างคำพูดของไอนส์ ไตน์อีกวา่ “การสอนคนใหม้ ีความรเู้ ชี่ยวชาญพิเศษอย่างเดียวไม่ พอ ถ้าทำอย่างนั้น คนก็จะกลายเปน็ เคร่อื งจักรกลท่ีประโยชน์ชนดิ หน่งึ ” แตม่ นุษย์เปน็ สัตว์ท่มี เี หตุผล ไม่ใชเ่ ครื่องจกั รกล อาริสโตเติลก็ดี อมิ มานูเอล ค้านทก์ ด็ ี ล้วนแต่เช่ือในทฤษฎนี ี้ “มนุษยเ์ ปน็ สัตวท์ ่มี ี เหตุผล” และเมื่อมเี หตุผลก็ต้องพัฒนาได้ โดยพฒั นามาจากภายในนัน่ แหละ ไมใ่ ช่ปฏสิ งั ขรณเ์ อาเครื่อง อะไหล่ใสเ่ ขา้ ไปใหมเ่ หมอื นเคร่ืองจักร ๒.๒ ข้นั ตอนของการศึกษา การศกึ ษาในระดบั อดุ มศกึ ษาทางโลก แบ่งเป็น ๓ ขน้ั คือ (๑)ปรญิ ญาตรี ศึกษาแบบกว้าง ๆ (๒)ปรญิ ญาโท ศึกษาเจาะลึกลงไปในรายวิชา (๓)ปรญิ ญาเอก ศึกษา เจาะลกึ ลงไปเฉพาะเร่ือง นี้เป็นปริญญาทางโลก ส่วนปรญิ ญาทางพระพุทธศาสนา ก็มี ๓ ขน้ั เหมอื นกันคือ (๑) ญาตปรญิ ญา ร้จู กั (๒)ตีรณ ปรญิ ญา รู้ตรองเหน็ (๓)ปหานปริญญา รขู้ ้ันปฏิบตั กิ ารแก้ปญั หาไดเ้ สร็จส้ิน พระธรรมปิฎกไดจ้ ดั ลำดบั การศึกษาระดบั อดุ มศึกษาใหม่ โดยจดั ปรญิ ญา ๓ ข้ันของทางโลก นน้ั เปน็ กล่มุ วิชาการ และจดั ปรญิ ญาทางพระพุทธศาสนาเป็นกลมุ่ จรณะ พระ เดชพระคุณได้อธิบายวา่ ระบบปรญิ ญา ๓ ข้นั ทั้งตามแบบสถาบนั การศกึ ษาทั่วไปและแบบพระพุทธศาสนาต่างช่วยเสรมิ กันและ กนั สรปุ วเิ คราะห์ได้จากตรงน้ีกค็ อื ขณะท่เี รียนวชิ าการแขนงตา่ ง ๆ ก็เรยี นไป รู้อะไรรู้ให้จริง เมอื่ เห็น วา่ รพู้ อสมควรแลว้ กห็ นั มาพัฒนาตนให้จิตนิ่งใจใส เพ่ือนำความรู้วิชาการออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่างเตม็ ที่ ๒.๓ วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา พระพุทธศาสนาใชค้ ำวา่ “วชิ ชาจรณสมั ปนั นะ” แปลวา่ สมบรู ณ์ด้วยความรแู้ ละความประพฤติ คือ เมื่อศึกษาจบแล้วจะต้องมีทั้งความรู้ดีและประพฤติ ดี มศี พั ท์ทางวิชาการอยู่ชดุ หนึ่งทพี่ ระเดชพระคุณไดน้ ำมาใชจ้ นเปน็ ทน่ี ยิ มกัน ทว่ั ไปในวงวิชาการด้าน การศกึ ษา คือ (๑)ภาวิตกาย (๒)ภาวิตศลี (๓)ภาวติ จิต (๔)ภาวติ ปญั ญา นนั่ คือ คนที่ศกึ ษาจบไปแลว้ ตอ้ งมีกายท่ีได้รบั การพฒั นา มคี วามประพฤติท่ีได้รบั การพัฒนา มีจติ ทีไ่ ด้รบั การพฒั นา และมคี วามรูท้ ่ี ไดร้ บั การพฒั นา เฉพาะข้อ(๓)ภาวติ จิตนัน้ พระเดชพระคุณจะเน้นอยูเ่ สมอเมื่อมโี อกาสได้อธิบายตอ่ สังคม โดยจิตทไี่ ด้รับการพฒั นาแลว้ น้นั ต้องเปน็ ที่มี (๑)คณุ ภาพ (๒)สมรรถภาพ และ(๓)สุขภาพ และจุดเน้น นี้ไดก้ ลายเป็นภาษาระดบั ชาติไปแลว้ ได้รับการบรรจไุ ว้ในแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติฉบบั ปัจจบุ นั ตอนที่วา่ ดว้ ยแผนพัฒนาจติ

๙๐ บทที่ ๙ พทุ ธปรชั ญากับการกำหนดจดุ มุง่ หมายและหลักการ วัตถปุ ระสงค์การเรียนประจำบท เม่ือศึกษาเน้ือหาในบทเรียนน้ีแลว้ ผศู้ ึกษาสามารถ ๑.อธบิ ายการจัดการศกึ ษาตาม พรบ.การศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ได้ ๒.อธบิ ายจุดมุ่งหมายและหลกั การได้ ขอบข่ายเนือ้ หา ๑.การจัดการศกึ ษาตาม พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ๒.การศกึ ษาในทัศนะของนักวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา

๙๑ ๙.๑ ความนำ๖๔ ในการจดั การศึกษา จำเป็นต้องทำความเขา้ ใจคำว่า “การศกึ ษา” ก่อน ดงั นี้ การศกึ ษา หมายถึง กระบวนการทางสงั คมทนี่ ำบุคคลเข้าสกู่ ารดำรงชีวิตในสงั คม หรอื อาจกล่าวอกี อย่างหนึง่ ว่า เป็นกระบวนการอบรมบม่ นิสัยใหม้ นษุ ยส์ ามารถประพฤติปฏบิ ัตติ นและ ประกอบอาชีพการงานรว่ มกับมนษุ ยอ์ ื่นๆได้อยา่ งเหมาะสม การศึกษา ตามความหมายนจ้ี ึงเปน็ ปจั จยั สำคัญของการอบรมบ่มนิสยั การกล่อม เกลาทางสงั คม การเตรยี มตัวเพ่ือให้บุคคลมที ักษะ ความรู้ ความสามารถในการดำรงชวี ิตและการ ประกอบอาชีพในอนาคตเป้าหมายของการศึกษาดงั ที่กล่าวน้ี มิใชเ่ พียงเพ่ือประโยชนข์ องคนแตล่ ะคน เท่าน้ัน แต่ต้องม่งุ ไปส่สู ังคมในภาพรวม คือการนำไปสูส่ ังคมท่ีเข้มแข็ง มเี อกภาพ อันเนอ่ื งมาจาก สมาชิกของสังคมมคี ุณภาพและรว่ มสรา้ งประโยชน์ให้กับสังคมท่ีตนอยู่อาศยั จึงถือได้วา่ ครเู ป็นคน สำคญั ในการสรา้ งเยาวชนทีด่ ีและสรา้ งอนาคตของประเทศ และหากผลผลิตทางการศึกษาไมม่ ีคุณภาพ ครกู ต็ ้องมสี ่วนรว่ มรับผดิ ชอบด้วย อาจกล่าวไดว้ ่า การศกึ ษาเป็นกจิ กรรมทางสังคมท่เี ปน็ รากฐาน สำคัญของการสรา้ ง สะสมพลงั ของชาติ ชาติใดมี “ทนุ ทางสังคม” แข็งแกรง่ มีคณุ ภาพดมี ากนอ้ ย เพยี งใด มปี ริมาณมากแค่ไหน ยอ่ มขน้ึ กบั คุณภาพของระบบการศกึ ษา (ชยั อนนั ต์ สมทุ วณิช ๒๕๔๒) โดยสรปุ การศกึ ษาเปน็ กระบวนการใหแ้ ละรบั ความรู้และประสบการณ์ การปรบั เปลย่ี น ทัศนคติการสรา้ งจติ สำนึก การเพมิ่ พนู ทกั ษะ การทำความเขา้ ใจให้กระจ่าง การอบรมปลกู ฝงั คา่ นิยม การถา่ ยทอดศาสนา ศลิ ปะ และวัฒนธรรมของสงั คม การพฒั นาความคดิ โดยมวี ัตถปุ ระสงคท์ ่จี ะให้ บุคคลมคี วามเจริญงอกงามทางปญั ญา มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมสำหรบั การประกอบอาชีพ สามารถดำรงชีวิตได้อยา่ งเหมาะสม มีค่านยิ มท่ีดีและอยู่ร่วมกับผอู้ ่นื อย่างมีความสขุ กระบวนการดำเนนิ การให้มนุษยไ์ ด้รบั การศกึ ษานี้ หากรัฐยงั ไม่เข้ามาดูแล ก็เปน็ เร่ืองที่คน ใกลช้ ิดเชน่ ครอบครวั หรอื ญาตมิ ติ รเพอ่ื นฝงู ทำหน้าท่ีอบรมสง่ั สอนกันเอง เพื่อให้ผรู้ บั การอบรม สามารถอยรู่ ว่ มกับสังคมขนาดยอ่ มนนั้ ได้ แตเ่ ม่ือสงั คมขยายตวั มากขนึ้ จนปัจจบุ ันกลายเปน็ สังคม ระดบั ประเทศ การใหก้ ารศึกษาต้องเปน็ ไปอย่างระบบ ต้องมีการจดั การ มเี ปา้ หมาย มรี ูปแบบ กระบวนการ มีการลงทุน และมผี รู้ ับ ผดิ ชอบ ดังทเ่ี ราเรียกโดยรวมวา่ การจดั การศึกษา คอื ทำทกุ อย่างอยา่ งเปน็ ระบบทีท่ ุกสว่ นมีความสัมพนั ธเ์ ชอ่ื มโยงกัน คำวา่ การจดั การ นนั้ เปน็ คำรวมท่คี รอบคลมุ การดำเนินการบางสงิ่ บางอย่างโดยมีเปา้ หมาย ท่มี ุ่งบรรลุอยา่ งชดั เจน มกี ารกำหนดรูปแบบกระบวนการ มีการจดั องคก์ าร มีการมอบหมาย ผูร้ ับผดิ ชอบชดั เจน มีการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรอน่ื ๆ เชน่ วสั ดอุ ุปกรณ์ ผดู้ ำเนนิ การ เทคโนโลยี เพ่อื สนับสนนุ การดำเนนิ การ ให้เกิดผลตามเป้าหมายท่ีกำหนด กระบวนการท้ังหมดน้ีคือการจัดการ ซึ่งต้องกระทำอย่าง เป็นระบบ มีแผนมีเป้าหมาย มีผู้รับผิดชอบ และมีเคร่ืองมือกลไกที่นำไปสู่ความสำเร็จได้ ท้ังน้ีการจัด การศกึ ษากระบวน การดำเนินการเพอื่ ให้บรรลตุ ามวัตถปุ ระสงค์และเปา้ หมายของการจดั การศึกษา ๖๔ ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์.หลกั การศกึ ษา.http://suthep.cru.in.th.

๙๒ ในกระบวนการจัดการศึกษานี้ มีบุคคลหลายคนและหลายหน่วยงานเข้ามีส่วนรว่ ม ไม่ว่าจะ เป็นครอบครัว พรรคพวกเพื่อนฝูงญาติมิตร ชุมชน ประชาคม เอกชน สื่อมวลชน วัด โรงเรียน และท่ี สำคัญมากคอื รฐั บาลและหน่วยงานของรัฐ ซง่ึ รวมถึงองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นดว้ ย สังคมทม่ี ีขนาดใหญ่โตกวา้ งขวาง มวี ิถชี วี ติ และวฒั นธรรมทแี่ ตกตา่ งกัน มกี ารประกอบอาชีพ หลากหลาย เนอื้ หาของการศึกษาย่ิงตอ้ งมคี วามหลากหลาย แตข่ ณะเดียวกันการจดั การศึกษาก็ต้องมุ่ง ธำรงรักษาเอกภาพร่วมกันของสังคมไว้ด้วย สาระของการศึกษาจึงต้องครอบคลุมทั้งเร่ืองวิถีการ ดำรงชีวิต การประพฤติปฏิบัติตน ความสัมพันธ์กับผู้อื่น ประสบการณ์และความเป็นไปของสังคมใน อดีต ปัจจุบัน และท่ีจะไปสอู่ นาคต รวมทัง้ เรื่องความรู้ ความเข้าใจและเทคนิควิธีการประกอบอาชีพ การจัดการศึกษาอย่างเป็นทางการหรือในระบบ ส่วนใหญ่จัดขึ้นในโรงเรียน ซึ่งเป็น หนว่ ยงานเฉพาะดา้ นท่ตี ัง้ ขึ้นมาทำหน้าท่ปี ลูกฝังทกั ษะ ความรู้ และคา่ นิยมแกผ่ ้เู รียน แต่โรงเรียนหรือ สถานศึกษาก็ไม่ใช่เป็นช่องทางเดียว ในโลกท่ีพัฒนาการด้านสื่อและเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็ว การจัดการศึกษาสามารถทำได้อย่างหลากหลาย เพื่อสอดรับกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เฉพาะแต่ละกลุ่ม เช่น การศึกษานอกโรงเรียน การจัดการศึกษาในครัวเรือน การจัดการศึกษาโดย ชมุ ชน การศกึ ษาทางไกลผา่ นสอ่ื ประเภทตา่ งๆ เปน็ ตน้ การจดั การศกึ ษาในภาพรวมเป็นเร่อื งทส่ี ังคมและผูร้ ับผดิ ชอบในการจดั การศกึ ษาทกุ ระดบั ตอ้ งรว่ มมือกนั เพอ่ื ใหเ้ กิดขนึ้ ได้ บรรลเุ ป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการจดั การศกึ ษาได้อย่างมี ประสิทธภิ าพและมีประสิทธิผล ๙.๒ แนวคิดพืน้ ฐานในการจดั การศกึ ษา ตามพระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ๙.๒.๑ ความหมาย ความจำเป็น และวตั ถปุ ระสงค์ในการจดั การศกึ ษา การจดั การศกึ ษาเปน็ กระบวนการท่ีมีองค์ประกอบหลายประการ เพื่อนำไปสเู่ ป้าหมาย ทพี่ ึงปรารถนาในการพัฒนาคุณภาพมนุษย์ การจัดการศึกษาจงึ เป็นความจำเป็นท่ที กุ ประเทศต้อง ดำเนินการ เพ่ือยกระดบั คุณภาพประชากรและเพ่ิมขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขัน ระหวา่ งประเทศ ๙.๒.๑.๑ ความหมายของการจัดการศึกษา การจัดการศึกษาเป็นกระบวนการอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายชัดเจน คือการพัฒนา คุณภาพมนุษย์ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา คุณธรรม ค่านิยม ความคิด การ ประพฤติปฏิบัติฯลฯ โดยคาดหวังว่า คนท่ีมีคุณภาพน้ีจะทำให้สังคมมีความมั่นคง สงบสุข เจริญก้าวหน้าทันโลก แข่งขันกับสังคมอื่นในเวทีระหว่างประเทศได้ คนในสังคมมีความสุข มี ความสามารถประกอบอาชพี การงานอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ และอย่รู ว่ มกันได้อยา่ งสมานฉนั ท์ การจัดการศกึ ษามหี ลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการศกึ ษาในสถานศึกษา นอกสถาน ศกึ ษาตามอัธยาศัย ย่อมข้ึนกบั ความเหมาะสมสำหรบั กลมุ่ เปา้ หมายแต่ละกลมุ่ ทีแ่ ตกต่างกันไปเนื่อง จากการจดั การศึกษาเปน็ กระบวนการท่เี ป็นระบบ ดงั น้นั การจดั การศึกษาจงึ จำเป็นต้องดำเนนิ ไปอย่าง

๙๓ ตอ่ เนือ่ ง มบี ุคคลและหนว่ ยงานทีร่ บั ผิดชอบเข้ารว่ มดำเนินการ มีรปู แบบ ขน้ั ตอน กติกาและวิธกี าร ดำเนนิ การ มีทรพั ยากรต่างๆสนับสนนุ และต้องมีกระบวนการประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษาทเี่ ท่ียงตรง และเชอื่ ถือได้ดว้ ยท้ังน้ี ผลผลิตของการจดั การศกึ ษาได้แกผ่ ูท้ ไ่ี ด้รับการศึกษา สว่ นผลลัพธ์หรือผล สะท้อนสุดทา้ ยคือการมีพลเมืองทมี่ ีคณุ ภาพ และสังคมมีสภาพที่พึงประสงค์ ๙.๒.๑.๒ ความจำเปน็ ในการจัดการศึกษา การศกึ ษาเป็นเรื่องท่ตี ้องมีการจัดการ ไม่ใชเ่ ร่ืองทจ่ี ะใหผ้ ้ใู ดรบั ไปทำโดยไมม่ เี ปา้ หมาย ไม่มี มาตรฐาน ไม่ได้คณุ ภาพ เพราะยอ่ มทำให้การศึกษาไมม่ ีทิศทาง ไม่เป็นระบบ ไมค่ ุ้มคา่ และหากจดั ผดิ พลาดกย็ ากที่จะแก้ไข เพราะกระบวนการศึกษา เช่น ค่านิยมต่างๆ ได้ซึมซบั เขา้ ไปในใจของผเู้ รียน เสยี แลว้ การจัดการศึกษาเป็นเรอ่ื งของการลงทุนท่ีจำเปน็ สำหรบั การดำรงชวี ิตของมนษุ ย์แตล่ ะคน และ เป็นการลงทุนเพื่อการอย่รู อดและพัฒนาของสังคม ทงั้ น้ี เพราะการศึกษาส่งผลกระทบและมีอิทธิพล ตอ่ การเปล่ียนแปลงสงั คม เศรษฐกจิ การเมือง วฒั นธรรม วิทยาการและเทคโนโลยีท่ีจำเป็นในการ ทำงานและการใช้ชีวติ ย่ิงการเปล่ียนแปลงด้านตา่ ง ๆ ในโลกเป็นไปอยา่ งรวดเร็วอนั เปน็ ผลจาก พัฒนาการทางเทคโนโลยสี ารสนเทศและเทคโนโลยดี ้านการส่ือสารใหม่ๆ พฒั นาการเหล่านย้ี อ่ มท้า ทายต่อการจดั การศึกษา เพราะไดเ้ ปิดโอกาสและใหช้ อ่ งทางการเรียนรูแ้ ก่บุคคลจำนวนมาก โดยให้ รบั ร้มู ากขึ้นและมเี สน้ ขีดคั่นด้านระยะทางน้อยลงกว่าเดิมมาก การจัดการศึกษาจึงเป็นเร่ืองจำเป็น เพราะต้องการทรัพยากร (คน เงิน วัสดุอปุ กรณ์และเทคโนโลย)ี สนบั สนุนจำนวนมาก ตอ้ งมงุ่ ไปสู่ เป้าหมายที่พึงประสงค์ร่วมกนั ของสังคม ต้องนำไปสูก่ ารพัฒนาคุณภาพของมนษุ ย์อยา่ งแท้จริง ในแง่น้ี การจัดการศึกษาจงึ ต้องมกี ารกำหนดเพ่ือประกันว่ามนุษยไ์ ด้รบั การพัฒนาอย่างมคี ณุ ภาพ ตรงตามเป้า ประสงค์รว่ มกนั รวมทง้ั มีการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสทิ ธภิ าพ การจัดการศึกษายังมคี วามจำเปน็ เพราะต้องการคนทไ่ี ด้รับการฝึกฝนเฉพาะด้าน ท่ีมีความรู้ ความเข้าใจ ความชำนาญมาดูแลรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการรบั ผิดชอบด้านการสอน การบริหารหรือ การสนับสนุน ตัวอย่าง เช่น ครูท่ีดีต้องได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างดี มีความรู้ความชำนาญ และมี คณุ ลกั ษณะเหมาะสมกับการเปน็ ครู การเปน็ ครจู งึ เปน็ ทย่ี อมรับว่าเป็นวชิ าชพี ชนั้ สูง เนื่องจากสังคมเปล่ยี นแปลงตลอดเวลา การจัดการศึกษาจำต้องได้รับการปรบั เปลย่ี นพัฒนา อย่างต่อเน่ือง เพ่ือให้เหมาะสมกับความจำเป็นของแต่ละยุคสมัย การจัดการศึกษาที่อยู่กับที่ย่อม หมายถึงความลา้ สมัย ไมเ่ หมาะสม ไมค่ มุ้ ประโยชน์ ปัจจุบัน โลกก้าวเข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ หรือเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่เรียกว่าเศรษฐกิจ ฐานความรู้ความรู้จึงเป็นเคร่ืองมือจำเป็นที่ขาดไม่ได้ ในสังคมสมัยใหม่นี้ความรู้ที่ทันสมัยท่ีเหมาะสม กับสภาพการณ์จะช่วยแก้ปัญหาได้ และนำสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นพลังสำคัญสำหรับการอยู่ รอดและการพั ฒ นา ท้ังสำหรับบุคคลแต่ละคนและสำหรับสังคมประเทศชาติโดยรวม ๙.๒.๑.๓ วัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา ในขณะท่ีการจดั การศกึ ษามุง่ เป้าหมายระยะยาวสำหรับการพฒั นาของแตล่ ะบคุ คล และการ พฒั นาสังคม แตก่ ารจัดการศึกษาโดยทั่วไปย่อมมวี ัตถุประสงคท์ ี่มุ่งบรรลุหลายประการ ได้แก่

๙๔ ๙.๒.๑.๓.๑ใหบ้ ริการทางการศึกษาท่ีสอดคล้องกับความตอ้ งการในการดำรงชวี ิต และการประกอบอาชีพ โดยถา่ ยทอดหรอื ปลกู ฝงั เน้ือหาความรู้ความเข้าใจท่ีเหมาะสม เพื่อใหผ้ ู้ไดร้ ับ การศกึ ษาวางตัวได้เหมาะสมในสงั คม และมีความสามารถประกอบอาชีพตามความถนดั ความสนใจ หรอื ตามโอกาสของแตล่ ะคนได้ สถานศกึ ษาส่วนใหญท่ ่ีเรียกว่า โรงเรียน มหาวิทยาลยั ศนู ยก์ ารเรยี น สถานศกึ ษาปฐมวัย ทำหน้าทเ่ี ปน็ ผ้ใู หบ้ ริการทางการศึกษา ๙.๒.๑.๓.๒ เตรียมเดก็ ก่อนวยั เรียนให้มคี วามพร้อมในการเรียนรู้ และจัดให้เดก็ ในวัย เรียนได้รับการศึกษาเพ่ือการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองต่อเน่ืองโดยส่งเสริมเกื้อหนุนให้เด็กก่อนวัย เรียนข้ันพ้ืนฐานได้มีพัฒนาการทั้งทางรา่ งกาย เชาวน์ปัญญา ความสนใจ ที่เหมาะสม มีความพร้อมใน การศึกษาระดับสูงข้ึนไป การจัดการส่วนนี้ โดยทั่วไปเป็นความรว่ มมือระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครอง สถาน พัฒนาเด็กปฐมวัย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเป็นต้น ส่วนเด็กในวัยเรียนทุกระดับจะได้รับการศึกษาเพื่อเป็น ประโยชนส์ ำหรบั การเตรียมตัวระดับพื้นฐาน และเพอ่ื มคี วามรคู้ วามสามารถในการประกอบอาชีพการ งานตอ่ ไป ๙.๒.๑.๓.๓ ให้โอกาสทางการศึกษา โดยเข้าถึงผู้รับบริการท่ีไม่สามารถเข้ารับ การศึกษาตาม ปกติที่มีอยู่หลากหลาย การจัดการศึกษาลักษณะนี้มุ่งไปท่ีผู้ด้อยโอกาสต่างๆ ไม่ว่าจะ เป็นผู้ที่มีฐานะยากจน ผู้ที่พลาดโอกาสได้รับการศึกษาในบางช่วงของชีวิต ผู้ท่ีมีปัญหาทางร่างกาย จิตใจ หรือสติปัญญา การจัดการศึกษาเช่นนี้มักดำเนินการโดยสถานศึกษาเฉพาะด้าน เช่น โรงเรียน สอนคนตาบอด โรงเรียนศกึ ษาสงเคราะหห์ รือโดยวธิ ีการอืน่ นอกระบบและตามอัธยาศัย เชน่ ศูนย์การ เรียนรกู้ ารศึกษาในระบบทางไกล เป็นต้น ๙.๒.๑.๓.๔ ตอบสนองความต้องการทางการศึกษาระดับสงู ในเชิงคุณภาพ วตั ถุ ประสงคน์ ้ีมุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมโี อกาสได้พัฒนาความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน เพ่อื ประโยชน์ใน การประกอบอาชีพซึง่ อาจดำเนนิ การโดยสถาบนั อดุ มศึกษาทเ่ี นน้ การวิเคราะหว์ ิจยั ระดับสูง มุ่งคิดค้น เน้ือหาสาระทแ่ี ปลกใหม่จากเดมิ นอกจากนย้ี งั รวมถึงการฝึกอบรมเฉพาะทาง เชน่ ด้านการเกษตร การอุตสาหกรรม วทิ ยาศาสตร์สุขภาพ เป็นตน้ มกั ดำเนินการในรูปแบบการประชุมสัมมนา การ ฝกึ อบรม การดูงาน การฝึกปฏบิ ตั ิเฉพาะฯลฯ ๙.๒.๑.๓.๕ พัฒนาศักยภาพของแต่ละบุคคลให้เต็มตามความสามารถ และตอบ สนองวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศ วัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษาข้อน้ีเน้นการพัฒนามนุษย์ใน ลักษณะบูรณาการ คือให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วนทุกด้าน ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา คุณธรรม ความคิด ความสำนึก ความรับผิดชอบ ฯลฯ ซ่ึงตามปกติควรเป็นหน้าท่ีของสถานศึกษา แต่หาก สถานศึกษาไม่สามารถดูแลให้ครบถ้วนได้ ก็ต้องจัดส่วนเสริมเติมในลักษณะการฝึกอบรมเฉพาะ การ แทรกในกิจกรรมการเรยี นการสอนปกติ หรือการใช้สื่อต่างๆช่วยเสริม วัตถปุ ระสงค์ส่วนนี้ยังรวมไปถึง การพัฒนาทักษะ และคุณภาพของผู้ท่ีทำงานแล้วหรือ ผทู้ ี่ผ่านการ ศึกษาตามกระบวนการปกติ ให้ สามารถตดิ ตามความรใู้ หม่ๆ และวิทยาการท่ีมีการเปลีย่ นแปลงได้อย่างตอ่ เนอื่ ง วตั ถุประสงคด์ ังกลา่ วขา้ งตน้ นี้เป็นตัววัดความสามารถในการจดั การของผูบ้ ริหาร จึงเปน็ เรอ่ื งจำเปน็ ท่ีผู้บรหิ ารต้องกำหนดเกณฑจ์ ากวตั ถุประสงค์ท่ีระบุ และผบู้ ริหารกจ็ ะต้องได้รับการ ประเมินจากเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ที่กำหนดด้วย

๙๕ ๙.๒.๒ เปา้ หมายของการจดั การศกึ ษา เปา้ หมายของการจัดการศึกษาในภาพรวมคือสมาชิกทุกคนในสังคม แต่เน่ืองจากมวลชน เหล่านม้ี จี ำนวนมากมายเกนิ กว่าจะมีองค์กรใดสามารถจัดการศกึ ษาให้ครบถว้ นครอบคลุมได้ จงึ ต้องมี การแบ่งกลุม่ ประเภทของเปา้ หมายออกตามความเหมาะสมในการจัด เช่น แบ่งตามอายุ แบ่งตาม สาระเนื้อหา แบ่งตามลักษณะของบุคคล เปน็ ตน้ เปา้ หมายของการจัดการศกึ ษาอาจแบง่ เป็นกลุ่มตา่ ง ๆ ดงั นี้ ๙.๒.๒.๑เด็กก่อนวยั เรียน เมื่อทารกคลอดออกจากครรภ์ พอ่ แม่ ผ้ปู กครอง ปยู่ า่ ตา ยาย ญาติ หรือคนเลยี้ งดูเปน็ กลุม่ บคุ คลเริ่มแรกที่ทำหนา้ ท่ีดแู ลเล้ียงดู และขณะเดยี วกนั กใ็ หก้ ารศกึ ษา อบรมด้วย การใหก้ ารศกึ ษาลกั ษณะน้ี โดยทว่ั ไปยังไม่เปน็ ระบบ แต่เปน็ ธรรมชาติ จงึ ยังไม่ถอื ว่า เป็นการจัดการศกึ ษาเมื่อทารกเติบโตขน้ึ พอช่วยตนเองไดแ้ ล้ว พ่อแม่ซ่ึงต้องมภี าระประกอบอาชพี เพ่ือ หาเลีย้ งลูก ไม่อาจดูแลบุตรได้ ก็ปลอ่ ยใหอ้ ยู่ในการดูแลของบุคคลอนื่ เช่น บุคคลในกลุ่มเครือญาติ หรอื มฉิ ะนนั้ กต็ ้องจ้างคนดูแลทางเลอื กอีกประการหนึ่งคือการส่งบุตรหลานเข้ารับการอบรมศกึ ษาใน ศนู ยก์ ารเรียนปฐมวยั ศูนยร์ ับเลี้ยงเด็กหรือศูนยพ์ ฒั นาเด็กเลก็ ซ่ึงถือเป็นสถานศกึ ษาเบ้อื งต้นท่ีมีการ จดั การศึกษา โดยมผี ู้ดแู ลท่ไี ด้รบั การศึกษาอบรมมาพอสมควรเป็นผู้ดูแลเมอื่ อายุถึงวยั ประมาณสาม ขวบ สถานศึกษาสำหรบั เด็กกลมุ่ นีม้ ีการจดั การศกึ ษาทเ่ี ป็นระบบและมรี ูปแบบมากข้ึน ซงึ่ การจดั กจิ กรรมสำหรับเด็กวัยนี้เป็นการจดั กิจกรรมในลักษณะการเตรียมความพรอ้ มเพื่อสง่ เสริมพัฒนาการ ท้งั ๔ ด้าน คอื ด้านรา่ งกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ญั ญา ได้แก่ กจิ กรรมการเคลื่อนไหวตามจังหวะ กิจกรรมสร้างสรรค์ กจิ กรรมกลางแจง้ กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ กจิ กรรมเกมการศกึ ษา เป็นต้น ๙.๒.๒.๒ บุคคลในวยั เรยี น ผ้ทู อี่ ยู่ในวยั เรยี นโดยทั่วไปหมายถงึ ผู้ซึ่งรฐั กำหนดให้ ผปู้ กครองตอ้ งนำ ไปเข้าเรยี น คอื อยู่ในข่ายการศึกษาภาคบงั คับ โดยแต่ละประเทศกำหนดอายุไว้ แตกต่างกันไปตามที่เหน็ ว่าเหมาะสมสำหรบั ประเทศไทยกำหนดให้การศึกษาระดับประถมถงึ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ีสามเป็นการศึกษาภาคบังคับและหากผ้ปู กครองมคี วามพร้อมกส็ ่งเสยี ให้บุตรหลานของ ตนได้เรยี นต่อสงู ข้นึ ไปอีกตามกำลงั ความ สามารถระดับการศึกษาของกลมุ่ เปา้ หมายเหล่านอี้ าจแบง่ ได้ หลายระดบั ไดแ้ ก่ ๙.๒.๒.๒.๑ การศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน โดยท่วั ไป เป็นการจัดการศึกษาสำหรบั บุคคลในวยั เรียนในระบบการเรยี นในโรงเรยี น ในครอบครัว หรือในสถานศึกษารูปแบบอื่น ในประเทศ ไทย การศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานไล่เรยี งกนั ไปตั้งแต่ระดับประถมศึกษา (ชัน้ ประถมปีท่ีหนึง่ ถึงช้นั ประถมปีที่ หก) ไปจนจบชนั้ มัธยมศึกษา (ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ห่ี นงึ่ ถึงช้นั มัธยมศกึ ษาปที ีห่ ก) การศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน นั้นมกั ใช้เวลาประมาณสิบสองปี เปน็ สว่ นใหญ่ ในช่วงปลายของการศึกษาระดบั นี้ เยาวชนทส่ี นใจ ศึกษาสายอาชีพแทนที่จะศึกษาสายสามัญ ก็อาจเลอื กเขา้ เรียนในสถานศกึ ษาสายอาชีพ ซงึ่ ได้แก่ โรงเรยี นอาชวี ศึกษาระดับตน้ ตา่ งๆ ไดใ้ นสถานศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน ๙.๒.๒.๒.๒ การศึกษาระดบั อุดมศึกษา เมื่อสำเรจ็ การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน ผเู้ รียนทม่ี ุ่งศึกษาต่อก็อาจเข้าศกึ ษาในสถาบนั อดุ มศกึ ษา (ซ่ึงรวมสถาบนั อุดมศึกษาสายอาชพี ตำ่ กวา่ ปรญิ ญาด้วย) ในกรณีทศี่ ึกษาระดบั ปริญญากอ็ าจศกึ ษาต่อเนอื่ งไปตงั้ แตร่ ะดบั ปริญญาตรี โท เอก หรือ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook