E - BOOK เอกสารประกอบการสอนอเิ ล็กทรอนกิ ส์ นางสาวสกุ นั ยา ชน่ื รส โรงเรียนสิรินธร
การศึกษาเปดิ โอกาสใหม้ นษุ ย์ไดใ้ ช้ศกั ยภาพทางกายและใจอย่างเต็มที่ ทง้ั กบั ชีวติ ส่วนตวั และชีวติ ในสงั คม” Abhijit Naskar “ผูใ้ ดต้องการหาความรู้ เขาจะตอ้ งศึกษา แตห่ ากผใู้ ดอยากมปี ัญญา เขาผูน้ ้ันจะต้องคอยสังเกตการณ์” Marilyn Vos Savant
คำนำ เ อ ก ส า ร ป ร ะ ก อ บ ก า ร ส อ น อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์ นี้ ( E-Book) จั ด ท า ข้ึ น เพ่ือประกอบการสอนรายวิชารายวิชา ภาษาไทยเสริมทักษะ รหัสวิชา ท 21211 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ซ่ึงมีเน้ือหาเก่ียวกับการจดบันทึก ความรู้เก่ียวกับการอ่าน กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน หนังสืออ้างอิง หนังสือพจนานุกรม หนังสือสารานุกรมไทย การศึกษาค้นคว้าและการเขียนรายงาน เพื่อเป็นความรู้พ้ืนฐาน ในการศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ต่อไป หวงั เปน็ อยา่ งยิ่งว่าเอกสารประกอบการสอนอิเล็กทรอนิกส์นี้ (E-Book) จะเป็น ส่ือประกอบการสอนให้กับนักเรียนได้เรียนรู้เป็นอย่างดี มีความรู้ ความเข้าใจในเน้ือหา รายวิชา นามาศึกษาเพิ่มเติมย้อนหลังได้ทุกท่ีทุกเวลาตามความต้องการของนักเรียน และเพ่ิมพูนทักษะในด้านอ่ืน ๆ ให้กับนักเรียน เช่น ทักษะการอ่าน ทักษะการใช้ เทคโนโลยี ทกั ษะการคิด การวเิ คราะห์ เปน็ ต้น ให้กับนกั เรียนไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ สุกนั ยา ช่ืนรส 8 พฤศจกิ ายน 2564
สำรบัญ คำนำ .................................................................................................................................. ก สำรบญั ............................................................................................................................... ข คำอธบิ ำยรำยวชิ ำ ............................................................................................................. 1 ผลกำรเรยี นรู้ ...................................................................................................................... 1 เกณฑ์กำรวดั และประเมนิ ผล ............................................................................................. 2 ระดับผลกำรเรียน ............................................................................................................. 2 หนว่ ยกำรเรียนรู้ที่ 1 กำรจดบนั ทึก .................................................................................. 3 หน่วยกำรเรยี นรู้ที่ 2 ควำมรเู้ บอ้ื งตน้ เกยี่ วกับกำรอ่ำน …………………………………………….... 9 หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ี่ 3 กจิ กรรมสง่ เสรมิ กำรอ่ำน ................................................................ 15 หน่วยกำรเรยี นรทู้ ี่ 4 หนังสอื อ้ำงอิง .................................................................................. 20 หน่วยกำรเรยี นรทู้ ่ี 5 กำรศกึ ษำค้นคว้ำและกำรเขียนรำยงำน .......................................... 25 ภำคผนวก ......................................................................................................................... 38 ตวั อยา่ งรายงาน .................................................................................................... 39 แบบฝึกหดั ........................................................................................................... 67 เค้าโครงรายงาน ................................................................................................... 74 เกณฑก์ ารให้คะแนนรายงาน ................................................................................ 79
1 คำอธิบำยรำยวิชำ ศึกษาความหมาย ความสาคัญ พร้อมท้ังรู้จักการจดบันทึกประเภทต่าง ๆ ประโยชน์ของ การจดบันทึกพร้อมท้ังสามารถสรุปเนื้อหาท่ีตนเองจดบันทึกได้ โดยเฉพาะบันทึกช่วยความจา และบันทึกประสบการณ์ รู้จักความหมาย ความสาคัญ ประเภทของการอ่าน ลักษณะการอ่านที่ดี คุณสมบัตทิ ดี่ ขี องนกั อา่ น การเตรียมความพร้อมของการอา่ น สามารถสรปุ ใจความสาคัญจากการอ่าน รวมท้ังจับประเด็นจากการอ่านได้ รู้จักหนังสืออ้างอิง ความหมาย ความสาคัญ ประเภท ประโยชน์ โดยศึกษาค้นคว้าหนังสืออ้างอิง ประเภทสารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน และหนังสือสารานุกรม ประเภทต่าง ๆ พร้อมท้ังรู้จักวิธีค้นคว้าคาตอบหาคาตอบจากหนังสืออ้างอิงท้ัง 2 ประเภทน้ีได้อย่าง ถูกตอ้ งและรวดเร็ว รวมท้ังสามารถถ่ายทอดวิธีการค้นคว้าให้แก่ผู้อ่ืนได้ ศึกษาความหมายของบรรณ นิทัศน์ รู้จักเลือกหนังสือท่ีน่าสนใจ หนังสือใหม่ในห้องสมุด โดยการนามาอ่านเพื่อจับใจความสาคัญ นามาสรุปด้วยการใช้ภาษาท่ีสละสลวย จัดทาบรรณนิทัศน์แนะนาหนังสือให้แก่ผู้ที่เข้าใช้บริการ ห้องสมุด รู้จักวิธีการเขียนรายงานเชิงวิชาการ ประเภทของการเขียนรายงาน ส่วนประกอบต่าง ๆ ของรายงานรวมทั้งการเลือกเร่ืองทารายงานได้อย่างเหมาะสม และอ้างอิงแหล่งท่ีมาของข้อมูลการ เขยี นบรรณานุกรมพร้อมวธิ กี ารเข้าเล่มรายงานอยา่ งง่ายเพื่อนาไปใช้ประโยชน์ต่อไป ผลกำรเรยี นรู้ 1. มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการจดบันทึก ความหมาย ความสาคัญ ประเภท และประโยชน์ 2. มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการอ่าน ความหมาย ความสาคัญ ประเภทของการอ่าน ลกั ษณะการอา่ นท่ดี ี และสามารถสรปุ ใจความสาคญั จาการอ่านได้ 3. รู้จักหนังสืออ้างอิง ความหมาย ความสาคัญ ประเภท ประโยชน์ของหนังสืออ้างอิง รวมทั้งสามารถค้นหาคาตอบจากหนงั สืออ้างอิงได้อย่างถูกต้อง 4. นกั เรยี นสามารถจดั ทาบรรณนิทศั น์ แนะนาหนงั สอื ใหม่และหนงั สือทีน่ ่าสนใจได้ 5. นักเรียนสามารถทารายงานได้อย่างถูกต้องเพื่อเป็นความรู้พ้ืนฐานในการศึกษาค้นคว้า ต่อไป ครูผูส้ อน นางสาวสุกันยา ชืน่ รส
2 เกณฑ์กำรวัดและประเมินผล อตั ราส่วนคะแนนระหว่างภาค : ปลายภาค 70 : 30 1. คะแนนระหว่ำงเรยี น 1.1 คะแนนงานกอ่ นกลางภาค 15 คะแนน 1.2 คะแนนสอบกลางภาค 10 คะแนน 1.3 คะแนนงานหลงั กลางภาค 15 คะแนน 1.4 คะแนนคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 20 คะแนน 1.5 คะแนนอ่านคดิ วเิ คราะห์ 10 คะแนน 2. คะแนนสอบปลำยภำค 30 คะแนน รวม 100 คะแนน ระดบั ผลกำรเรยี น ระดบั ผลกำรเรียน ควำมหมำย ช่วงคะแนนเป็นร้อยละ (โดยประมำณ) 4 ผลการเรียนดีเยี่ยม 3.5 ผลการเรียนดีมาก 80 - 100 3 ผลการเรียนดี 75 - 79 2.5 ผลการเรยี นค่อนข้างดี 70 - 74 2 ผลการเรียนน่าพอใจ 65 - 69 1.5 ผลการเรยี นพอใช้ 60 - 64 1 ผลการเรยี นผ่านเกณฑ์ขั้นตา่ 55 - 59 0 ผลการเรยี นตา่ กวา่ เกณฑ์ 50 - 54 ร รออนุมัติผลการเรยี น มส มเี วลาเรยี นต่ากวา่ 80% 0 – 49 ครผู ู้สอน นางสาวสกุ นั ยา ชนื่ รส
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 การจดบันทกึ ครูผู้สอน นางสาวสุกนั ยา ชน่ื รส
4 หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 1 กำรจดบนั ทึก ควำมหมำยของกำรบันทึก บันทึก คือ ข้อความหรือข้อมูลท่ีเป็นประสบการณ์ความรู้หรือสาระสาคัญของเรื่องราวที่ ต้องการเก็บรักษาไว้เพ่ือประโยชน์อย่างใดอย่างหน่ึง เช่น เพ่ือเตือนความจา เพื่อเป็นหลักฐานในการ ทางานต่าง ๆ หรือเพื่อประโยชน์ในด้านอ่ืน ๆ เช่น เพื่อการถ่ายทอดต่อ หรือเพื่อนาไปแสวงหา ผลตอบแทน เป็นตน้ ควำมสำคัญของกำรบนั ทกึ 1. ช่วยให้ได้ปลดปลอ่ ยความคิดของตวั เอง เช่น การเขยี นบันทึกความรู้สกึ 2. ช่วยให้ไม่ลืมอะไรง่ายๆ ย่ิงการเขียนด้วยลายมือของตัวเอง ยิ่งทาให้เราโฟกัสกับความคิด ของตวั เองมากขนึ้ 3. ช่วยใหจ้ ดจาสง่ิ สาคัญในแตล่ ะวันได้ เช่น การประชุมในวนั นม้ี เี ร่ืองอะไรท่ีต้องแกไ้ ขบ้าง 4. ชว่ ยใหบ้ นั ทกึ ไอเดียทค่ี ดิ ขึน้ ได้ ในอนาคตอาจจะกลายเป็นส่วนสาคญั ในการทาธุรกจิ 5. ช่วยใหร้ วู้ า่ ปัญหาของตัวเองคอื อะไร และจะแกไ้ ขมนั ไดอ้ ย่างไร 6. ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของความคิด และมีหลายความคิดท่ีสามารถเชื่อมโยงกัน จนกลายเป็นเรื่องใหญไ่ ด้ ซึง่ ความคดิ เหล่าน้อี าจมคี วามเก่ยี วข้องกบั ความสาเรจ็ ในอนาคต ประโยชนข์ องกำรจดบนั ทกึ 1. เพิม่ สมาธใิ นการฟัง การจดจะทาใหเ้ ราฟังอย่างต้งั ใจมากขึน้ 2. เพม่ิ ความเข้าใจ การจดบนั ทกึ เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ เปน็ การสร้างความเข้าใจในเนอ้ื หามากข้นึ 3. เพ่ิมความจดจา เม่อื มกี ารจดบนั ทึก ชว่ ยใหเ้ ราจดจาเนอื้ หาได้ดขี ้นึ 4. ใช้เปน็ แหลง่ สบื ค้นในภายหลงั นับเป็นหลักฐานอยา่ งไมเ่ ป็นทางการได้ 5. สร้างภาพลักษณ์ท่ีดีให้กับตัวเอง การเป็นผู้จดบันทึกจนเป็นนิสัย จะสร้างภาพลักษณ์ท่ีดูดี ภูมิฐานให้กบั ตัวเอง ครผู ู้สอน นางสาวสกุ นั ยา ช่นื รส
5 ประเภทของกำรจดบนั ทึก การจดบันทกึ แบง่ ได้ 2 แบบหลกั ๆ คือ 1. บันทึกท่ัวไป เป็นการจดบันทึกเรื่องราวจากการอ่าน บันทึกการฟัง บันทึก เหตุการณ์ในชวี ิตประจาวนั ไดอาร่ี บนั ทึกนดั หมาย บนั ทกึ เรอ่ื งราวสาคัญต่าง ๆ เปน็ ต้น 2. บันทึกทำงธุรกิจ บันทึกท่ีใช้สื่อสารในองค์กร โดยแต่ละท่ีอาจจะมีรูปแบบหรือ แบบฟอรม์ ของตวั เอง เทคนิคกำรจดบันทกึ แบบตำ่ ง ๆ 1. วธิ ีกำรจดแบบ Outline เค้ำโครงหรือหัวเรื่อง จะจดไล่เรียงลงมาเป็นลาดับตามแต่ละหัวข้ออย่างชัดเจน และเป็นการจดบันทึก ท่ีดีท่ีสุดและนิยมมากที่สุด ช่วยให้จัดระเบียบการบันทึกย่อหน้าต่าง ๆได้ และมีรูปแบบ โครงสร้างทช่ี ดั เจน ช่วยประหยัดเวลาเมื่อกลบั มาอา่ นทบทวน หรอื ตรวจสอบแก้ไข โดยคุณอาจ ใช้สัญลกั ษณ์ต่าง ๆ แทนหัวขอ้ ยอ่ ย หรอื การใชส้ ีที่แตกต่างกัน เพอื่ แสดงถึงหวั ข้อท่ีแตกตา่ งกัน รูปภาพที่ 1 ภาพตัวอยา่ งการจดบนั ทึกแบบ Outline เค้าโครงหรอื หวั เรือ่ ง วธิ ีกำรจดบนั ทึก 1. เขียนหวั เร่อื งเอาขนาดใหญ่เอาไวก้ ลางหนา้ กระดาษหรอื จะชิดซ้ายกไ็ ด้ค่ะ 2. เขยี นหวั ข้อหลักเอาไว้ชดิ ซ้ายสดุ ของหน้ากระดาษ 3. เขียนหัวข้อย่อยและห้วข้อท่ีเก่ียวข้องด้านล่างโดยใช้การเยื้องออกไปทางขวา เลก็ นอ้ ย(คลา้ ยกับการย่อหนา้ ) เพื่อใหง้ ่ายตอ่ การอ่าน เหมำะสำหรบั สามารถใช้ได้ในหลายสถานการณ์ แต่จะดีที่สุดถ้าการใช้สาหรับจดบันทึกการบรรยาย หรือการประชมุ ที่มีการกาหนดลาดับหัวข้อของเน้ือหา เพราะรูปแบบนี้มีโครงสร้างของเนื้อหาที่ แบง่ เป็นข้อๆได้คอ่ นข้างชัดเจน ไมค่ อ่ ยมกี ารเปล่ยี นแปลง เชน่ การอปั เดต งานในแต่ละสัปดาห์ ท่ีหวั ขอ้ ค่อนข้างคงท่ี เปน็ ตน้ ครผู สู้ อน นางสาวสุกนั ยา ชน่ื รส
6 ขอ้ ดี 1. ใชจ้ ับประเดน็ สาคัญ ข้อสรุป จากการฟงั การประชมุ ไดด้ ีในเชงิ ตรรกะ 2. ใชง้ านง่าย และช่วยใหเ้ รามีสมาธิ ฝึกการฟงั คิดวเิ คราะห์ และเขยี นออกมา 3. ลดเวลาในการตรวจสอบและแกไ้ ข 4. ทาใหเ้ หน็ โครงสร้างทชี่ ดั เจน และทาใหก้ ารจดบนั ทึกดูสะอาดตา มีความเป็นระเบียบ ขอ้ ดอ้ ย ไม่เหมาะกับงานท่ีไม่มโี ครงที่ชัดเจน อย่างเช่น การระดมความคดิ ไอเดีย 2. วธิ ีกำรจดแบบ Cornell มีหน้ากระดาษท่ีแตกต่างกับการจดบันทึกรูปแบบอื่น ๆ สามารถใช้ได้ในหลากหลาย สถานการณ์ โดยการแบง่ พืน้ ทบี่ นกระดาษจดบันทึกออกเปน็ 3-4 ส่วน โดยเริ่มจาก แถวด้านบนสุดของ หน้ากระดาษสาหรับการใส่ชื่อเร่ืองและวันที่ ส่วนถัดมาท่ีบันทึกรายละเอียดเน้ือหา เราจะทาการแบ่ง พ้ืนท่ีในการจดบันทึกออก 2 ฝั่ง พื้นที่ฝั่งซ้ายประมาณ 30% และฝั่งขวาประมาณ 70% ของหนา้ กระดาษ แถวด้านล่างสุด สว่ นสุดทา้ ยถัดจากเนื้อหาเอาไวท้ าสรุป วธิ กี ำรจดบันทึก 1. แถวบนสุด – เขียนช่ือเรอ่ื งและวนั ที่ 2. ฝั่งขวา – จดบนั ทึกทั่วๆไป 3. ฝง่ั ซ้าย – จดบนั ทกึ ประเด็นสาคัญ ความคิดเห็น คาถาม หรอื ไอเดยี 4. แถวลา่ งสดุ – ใช้สาหรับการสรปุ ใจความสาคัญ ทบทวนความเขา้ ใจ เหมำะสำหรบั การจดบันทกึ เวลาเขา้ งานสัมมนา เข้าฟงั การบรรยายทกุ ประเภท หรือแม้แตก่ ารประชุม ครผู สู้ อน นางสาวสุกนั ยา ชนื่ รส
7 ข้อดี 1. เปน็ วิธีท่รี วดเร็วในการกลับมาอา่ นทบทวนและจัดระเบยี บการจดบันทกึ ของคุณ 2. สามารถสรปุ ขอ้ มลู ทงั้ หมดอยา่ งเป็นระบบให้เปน็ สดั สว่ นชัดเจน 3. ช่วยให้การทางานมีประสิทธิภาพเน่ืองจากเราสามารถสรุปและประมวลผลข้อมูลได้ภายใน เวลาอนั สัน้ 4. ชว่ ยใหค้ ุณแยกแยะความสาคญั ของเนอื้ หา และจดั ระเบยี บความคดิ ขอ้ ด้อย 1. ตอ้ งเตรยี มแบง่ สดั สว่ นของหน้าก่อนใช้งาน หรอื ตอ้ งเสียเงินในการซื้อกระดาษทพี่ ิมพ์มาแล้ว 2. ต้องใช้เวลาเพมิ่ ในการตรวจสอบและสรปุ แนวคดิ ในตอนทา้ ย เพอื่ ให้ไดส้ รปุ ท่ีสมบูรณ์ 3. วธิ ีกำรจดแบบ Boxing วธิ นี ีย้ ังไม่ค่อยเป็นที่รจู้ กั กันอย่างกว้างขวาง แต่ได้รบั ความนิยมมากข้ึน เนื่องจากอุปกรณ์อย่าง iPad ถูกให้ความสาคัญในการช่วยจดบันทึกมากขึ้น เป็นการจับกลุ่มประโยคหรือคาต่าง ๆที่เชื่อมโยงกัน เอาไว้เป็นกลอ่ ง เพ่ือให้ง่ายต่อการโฟกสั เนอ้ื หาทีใ่ กล้เคียงกัน และกลับมาตรวจสอบไดอ้ ีกคร้ัง 4. วิธีกำรจดแบบ Charting เป็นการจดบันทึกที่เหมาะสาหรับการจัดการข้อมูลจานวนมากอย่าง สถิติ ข้อเท็จจริงจาก รายงานต่าง ๆ โดยการจดั การขอ้ มูลแบ่งเป็นคอลัมน์คล้ายกับตาราง แต่ละคอลัมนแ์ บง่ เป็นหมวดหมู่ที่ไม่ซ้า กนั ทาใหแ้ ตล่ ะแถวเปรียบเทยี บกันได้งา่ ย ง่ายต่อการทาความเข้าใจ และจดจา ครูผ้สู อน นางสาวสกุ นั ยา ช่ืนรส
8 5. วิธีกำรจดแบบ Mind Mapping เป็นการจดที่รู้จักกันทั่วไป สามารถจัดระเบียบการบันทึก ให้สามารถมองเห็น ภาพรวมได้ชัดเจน และเข้าใจถึงความเชื่อมโยง ขององค์ประกอบเน้ือหาข้อมูลแต่ละหัวข้อ วิธีการจดบันทกึ มรี ูปแบบที่ยดื หยนุ่ สามารถใช้ได้ในหลาย ๆ สถานการณ์ ครผู ู้สอน นางสาวสุกนั ยา ชื่นรส
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 ความรู้เบ้อื งต้น เกี่ยวกับการอา่ น ครผู ู้สอน นางสาวสุกนั ยา ชนื่ รส
10 หนว่ ยท่ี 2 ควำมรูเ้ บื้องต้นเกีย่ วกบั กำรอ่ำน ควำมหมำยของกำรอ่ำน การอ่าน คือ กระบวนการที่ผู้อ่านรับรู้สารซ่ึงเป็นความรู้ ความคิด ความรู้สึกและความคิดเห็นที่ ผู้เขียนถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร การท่ีผู้อ่านจะเข้าใจสารได้มากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับ ประสบการณ์และความสามารถในการใช้ความคิด (มณีรัตน์ สุกโชติรัตน.์ 2547. : 18) ควำมสำคัญของกำรอำ่ น การอ่านมีความสาคัญต่อชีวิตมนุษย์ต้ังแต่เกิดจนโต และจนกระท่ังถึงวัยชรา การอ่านทาให้รู้ ข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั่วโลก ทาให้ผู้อ่านมีความสุข มีความหวัง และมีความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน การอ่านมีประโยชน์ใน การพัฒนาตนเอง คือ พัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ทาให้เป็นคนทันสมัย ทันต่อ เหตุการณ์ และมีความอยากรู้อยากเห็น การที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ต้องอาศัย ประชาชนท่ีมีความรู้ความสามารถ ซ่ึงความรู้ต่าง ๆ ก็ได้มาจากการอ่านนั่นเอง (ฉวีวรรณ คูหาภินนท์. 2542 : 11) จุดมุ่งหมำยของกำรอำ่ น 1. อำ่ นเพ่อื ควำมรู้ ไดแ้ ก่ การอ่านจากหนงั สือตาราทางวิชาการ สารคดีทางวิชาการ หรือการอ่าน ผ่านส่ืออีเล็กทรอนิกส์ ควรอ่านอย่างหลากหลาย เพราะความรู้ในวิชาหน่ึง อาจนาไปช่วยเสริมในอีกวิชา หน่งึ ได้ 2. อ่ำนเพ่ือควำมบันเทิง ได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทสารคดีท่องเที่ยว นวนิยาย เร่ืองสั้น เร่ืองแปล การ์ตูน บทประพันธ์ บทเพลง แม้จะเป็นการอ่านเพื่อความบันเทิง แต่ผู้อ่านจะได้ความรู้ที่ สอดแทรกอยใู่ นเรื่องด้วย 3. อ่ำนเพ่ือทรำบข่ำวสำรควำมคิด ได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทบทความ บทวิจารณ์ ข่าว รายงานการประชุม ถ้าจะให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต้องเลือกอ่านให้หลากหลาย ไม่เจาะจงอ่าน เฉพาะสื่อ ท่ีนาเสนอตรงกับความคิดของตน เพราะจะทาให้ได้มุมมอง ที่กว้างข้ึน ช่วยให้มีเหตุผลอื่น ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วิเคราะหไ์ ด้หลายมมุ มองมากขึ้น 4. อ่ำนเพื่อจุดประสงค์เฉพำะทำงแต่ละครั้ง ได้แก่ การอ่านที่ไม่ได้เจาะจง แต่เป็นการอ่านใน เรื่องท่ีตนสนใจ หรืออยากรู้ เช่น การอ่านประกาศต่าง ๆ การอ่านโฆษณา แผ่นพับ ประชาสัมพันธ์ สลากยา ข่าวสังคม ข่าวบันเทิง ข่าวกีฬา การอ่านประเภทน้ีมักใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่เป็นการอ่าน เพ่ือให้ได้ความรู้และนาไปใช้ หรือนาไปเป็นหัวข้อสนทนา เชื่อมโยงการอ่าน สู่การวิเคราะห์ และคิด วเิ คราะห์ บางครง้ั กอ็ า่ นเพื่อใชเ้ วลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์ ครูผสู้ อน นางสาวสุกันยา ชนื่ รส
11 ประโยชน์ของกำรอ่ำน 1. เปน็ การสนองความต้องการของมนุษย์ 2. ทาให้มนุษยเ์ กดิ ความรู้ ทกั ษะต่าง ๆ ตลอดจนความก้าวหน้าทางวชิ าชพี 3. ทาให้มนุษยเ์ กดิ ความคิดสรา้ งสรรค์ ความเพลิดเพลนิ บันเทิงใจและเกิดความบันดาลใจ 4. เปน็ การใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชน์ 5. ทาให้มนุษย์ทันตอ่ เหตกุ ารณค์ วามเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของโลก 6. เปน็ การสง่ เสรมิ สขุ ภาพของมนุษย์ 7. ช่วยให้มนษุ ยแ์ กป้ ัญหาสังคม การเมอื ง เศรษฐกจิ และปญั หาสว่ นตวั กระบวนกำรอ่ำน มี 4 ขนั้ ตอน คอื – ข้ันแรก การอ่านออก อ่านได้ หรอื อา่ นออกเสียงไดถ้ กู ต้อง – ข้นั ที่สอง การอา่ นแล้วเขา้ ใจ ความหมายของคา วลี ประโยค สรปุ ความได้ – ข้ันท่ีสามการอ่านแล้วรู้จักใช้ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์และออกความเห็นในทางท่ีขัดแย้ง หรอื เห็นด้วยกบั ผเู้ ขยี นอยา่ งมเี หตผุ ล – ข้นั สุดท้ายคือการอา่ นเพอ่ื นาไปใช้ ประยุกต์ใชใ้ นเชงิ สร้างสรรค์ ดังนั้นผู้ที่อ่านได้และอ่านเป็น จะต้องใช้กระบวนการท้ังหมดในการอ่านที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการถ่ายทอดความหมายจาก ตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และจากการคิดที่ได้จากการอ่านผสมผสานกับประสบการณ์เดิม และสามารถความคิดน้ันไปใชป้ ระโยชน์ตอ่ ไป ประเภทของกำรอ่ำน การอ่านแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคอื การอ่านในใจและการอา่ นออกเสยี ง 1. กำรอ่ำนในใจ คอื การแปลความหมายของตัวอกั ษรออกมาเป็นความคิด ความเข้าใจ และนา ความคิดความเข้าใจท่ไี ดน้ น้ั ไปใชใ้ ห้เป็นประโยชน์ แบง่ ออกเป็น 1.1 กำรอ่ำนจับใจควำม เป็นพ้ืนฐานของการอ่านในใจท่ีมุ่งคุณค่าทางสติปัญญา แบ่งการ อา่ นชนดิ นี้ออกเปน็ 2 ประเภทคือ 1.1.1 การอา่ นจบั ใจความส่วนรวม เป็นการอ่านเพ่ือเข้าใจเน้ือหาส่วนรวม เป็นประโยชน์ ต่อผ้ทู ่ตี อ้ งการอ่านอย่างรวดเรว็ 1.1.2 การอ่านจับใจความสาคัญ ใจความสาคัญคือใจความหลักของเรื่องเป็นการอ่านที่ ละเอียดมากขน้ึ เพ่อื จบั ใจความสาคัญของงานเขียนแตล่ ะย่อหน้า ครผู ้สู อน นางสาวสุกันยา ช่นื รส
12 1.2 กำรอ่ำนตีควำม คือ การอ่านที่ผู้อ่านจะต้องใช้สติปัญญาตีความหมายของคาและข้อความ ทัง้ หมด โดยพิจารณาถงึ ความหมายโดยนัย หรือความหมายแฝงท่ีผู้เขียนต้องการจะสื่อความหมาย ซึ่งท้ังนี้ ผู้อ่านจะสามารถตีความหมายของคาสานวนได้ถูกต้องหรือไม่น้ันจาเป็นต้องอาศัย เน้ือความแวดล้อมของ ข้อความนั้น ๆ บางคร้ังต้องอาศัยความรู้หรือประสบการณ์ปัจจุบันเป็นเคร่ืองช่วยตัดสินการอ่านตีความมี หลักเกณฑใ์ นการอา่ น 1.3 กำรอ่ำนอย่ำงมีวิจำรณญำณ การอ่านที่ผู้อ่านนาเอาวิธีคิดอย่างมีวิจารณญาณ มาใช้ในการ รับสารจากการอ่าน ท้ังน้ี เพื่อประเมินส่ิงท่ีอ่าน และตัดสินใจว่าสิ่งที่ผู้เขียนนาเสนอมีเหตุผลน่าเชื่อถือ หรอื ไม่ เพียงใด การอ่านอย่างมีวิจารณญาณเป็นทักษะการอ่านขั้นสูง ที่ผู้อ่านจาเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับ เรือ่ งทีอ่ า่ นเพอ่ื เป็นพ้ืนฐานในการวิเคราะห์วิจารณ์ในข้ันสูงต่อไป ทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณเป็นส่ิง ท่มี ีความสาคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกของข้อมูลข่าวสารเช่นในปัจจุบัน ทั้งน้ีเพราะจะช่วยให้ผู้อ่านรู้จัก วิเคราะห์ ตรวจสอบ และเลือกรบั ขอ้ มูลข่าวสารตา่ ง ๆ ได้อยา่ งมีเหตผุ ล 1.4 กำรอ่ำนวิเครำะห์ แยกออกเป็นส่วน ๆ เพื่อนามาแยกแยะทาความเข้าใจและมองเห็น ความสัมพันธ์ของส่วนย่อย ๆ ดังน้ัน ในการอ่านเพื่อวิเคราะห์ ผู้อ่านจึงต้องอ่านเบื้องต้นเพ่ือจับใจความ สาคัญว่า ใคร ทาอะไร ที่ไหน อย่างไร เม่ือไร แล้วตั้งคาถามเพ่ือการวิเคราะห์ว่าทาไม เพราะเหตุใด การอ่านเพ่ือการวิเคราะห์ จะต้องพิจารณาเนื้อหาท้ังด้านศิลปะการเขียนและเนื้อเร่ือง โดยพิจารณา ข้อความท่ีน่าสนใจและนามาคิดแยกย่อย เพ่ือกรองจนได้แก่นสาคัญของเร่ืองและนามาพิจารณาคุณค่าที่ ปรากฏในเรือ่ ง 1.5 กำรอำ่ นเพื่อประเมนิ คณุ ค่ำ หมายถึง การที่ผอู้ ่านใชอ้ ารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว ในการประเมิน ค่างานเขียนซึ่งอาจจะมีเรื่องของอารมณ์และความรู้สึกส่วนตัวเข้าร่วมด้วย การประเมินคุณค่าท่ีดีต้อง ปราศจากอารมณ์และในการประเมินคุณค่าน้ันต้องประเมินตามลักษณะของหนังสือด้วย เช่น ถ้าเป็นตารา เอกสารทางวิชาการต้องประเมินในเรื่องความรู้ การใช้ภาษา ฯลฯ ถ้าเป็นหนังสือสารคดีหรือบทความ ควรประเมินความคิดเห็นของผู้เขียน หรือหนังสือพิมพ์ต้องประเมินจากความน่าเช่ือถือของข่าว และอคติ ของผเู้ ขียน 2. กำรอ่ำนออกเสียง หมายถึง การอ่านข้อความโดยการเปล่งเสียงออกมาเพื่อให้ผู้อ่ืนได้รับรู้ ขอ้ ความนน้ั ๆ ด้วยการอ่านออกเสยี งแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดงั นี้ 2.1 กำรอ่ำนออกเสียงปกติ เป็นการอ่านออกเสียงตามปกติท่ัวไป อ่านได้ท้ังบทร้อยแก้ว และร้อยกรอง เช่น อ่านข่าว อ่านประกาศ อ่านตีบท อ่านสารคดี อ่านข้อความประกอบภาพนิ่ง หรืออ่าน บทภาพยนตร์ ฯลฯ 2.2 อ่ำนทำนองเสนำะ การอ่านทานองเสนาะเป็นการอ่านออกเสียงบทร้อยกรองหรือ วรรณคดีไทยให้ไพเราะน่าฟัง มุ่งให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้ง เกิดอารมณ์ จินตนาการ คล้อยตามบทร้อยกรอง น้ัน ๆ ด้วย ครผู ู้สอน นางสาวสุกันยา ชนื่ รส
13 ดังน้ันการอ่าน มีความสาคัญท้ังด้านการศึกษา การงานและชีวิตส่วนตัว ผู้อ่านท่ีดีควรต้ัง วัตถุประสงค์ในการอ่านให้ชัดเจน เข้าใจกระบวนการอ่าน เพราะการอ่านมิใช่แต่เพียงเข้าใจความหมาย ของคา อ่านคาถูก ออกเสียงได้ถูกต้องเท่าน้ัน แต่การอ่านสามารถทาให้ผู้อ่านประสบความสาเร็จในชีวิต การเรียน การทางาน สามารถนาส่ิงท่ีได้รับจากการอ่านไปใช้ในชีวิตประจาวันเพื่อพัฒนาตนเอง และประเทศชาติต่อไป การอ่านนั้นมิใช่เป็นพรสวรรค์ แต่เกิดจากการฝึกฝนและการเรียนรู้ ดังนั้นจึงไม่ ควรท้อถอย ผู้อ่านควรต้ังใจไว้เสมอว่า การอ่านมีประโยชน์ทาให้รู้เท่าทันโลก และเหตุการณ์ สร้าง บคุ ลกิ ภาพให้เปน็ คนมคี วามเชื่อมน่ั ในตนเอง ซึง่ เป็นสงิ่ สาคัญในปัจจบุ ันน้ีอีกด้วย ควำมรู้ท่ัวไปเกยี่ วกบั นิสยั รกั กำรอำ่ น ควำมหมำยของนสิ ัยรักกำรอ่ำน ศรีรัตน์ เจิงกลิ่นจันทร์ (2542: 34) อธิบายว่า นิสัยรักการอ่าน เป็นการใฝ่มุ่งมั่นในการอ่าน และอ่านจนเคยชิน อ่านจนเป็นนิสัย แม้บางคร้ังจะมีปัญหาและอุปสรรคต่อการอ่านบ้างก็ไม่ย่อท้อ คนที่มีนิสัยรักการอ่านย่อมอ่านวัสดุบันทึกความรู้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ สิ่งพิมพ์อ่ืน ๆ ป้ายโฆษณาประชาสมั พันธ์ตา่ ง ๆ หรือแมแ้ ตก่ ระดาษห่อของ สามารถอ่านได้ ทกุ สถานที่ ทุกโอกาส สกณุ ี เกรียงชัยพร (2548: 9) ให้ความหมายของนิสัยรักการอ่านไว้ว่า พฤติกรรมของนักเรียนที่ แสดงออกถงึ ความชอบอ่านหนังสอื ความต้งั ใจและต้องการที่จะอ่านเป็นพฤติกรรมท่ีได้รับการฝึกฝนเป็น เวลานานจนกลายเปน็ พฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสนใจ หรือชอบท่ีจะอ่าน ได้แก่ การอ่านหนังสือทุก ท่ีเม่ือมีเวลาและโอกาส มีความต้องการจะอ่านเองโดยไม่มีความจาเป็นมาบังคับ มีความรู้สึกพอใจที่จะ อ่านอยา่ งไม่มีท่ีสน้ิ สุด และมที ัศนคติทางบวกเก่ยี วกับการอ่าน ฉววี รรณ คูหาภินันท์ (2542 : 55) นิยาม นิสัยรักการอ่านไว้ว่า การชอบอ่านจนเป็นนิสัย เม่ือมี เวลาว่างจะชอบอ่านมากกว่าทาอย่างอื่น และชอบอ่านหนังสือหรือวัสดุการอ่าน ทุกชนิด ทุกประเภท ทง้ั หนงั สือทใี่ หค้ วามบันเทงิ และสารคดี คนท่อี ่านหนังสอื ตลอดเวลาเรยี กวา่ “หนอนหนงั สือ” จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า นิสัยรักการอ่าน เป็นพฤติกรรม ท่ีแสดงออกถึง ความชอบอา่ น ความสนใจที่จะอ่าน การมุ่งมน่ั ใฝ่การอ่าน อ่านจนเคยชินและอ่านจนติดเป็นนิสัย ซึ่งเป็น พฤติกรรมทีฝ่ ึกฝนมาเปน็ เวลานาน เกิดเป็นความสุข ความพอใจท่ีได้อ่าน ต้องการอ่านหนังสือเองโดยไม่ มสี ิง่ ใดมาบังคบั อา่ นหนังสือได้ทกุ ประเภท ทุกโอกาส และทกุ สถานที่ สู้ ๆ นะคะ ครผู ู้สอน นางสาวสุกันยา ชืน่ รส
14 กำรสร้ำงนิสัยรักกำรอำ่ น การสรา้ งนิสยั รกั การอ่านแก่เด็กจึงเป็นส่ิงที่ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กยังเยาว์วัย และปลูกฝังอย่าง ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานหลายปี เพ่อื ให้เปน็ นสิ ยั ทหี่ ยัง่ รากลึกในพฤติกรรมของเด็ก จนกลายเป็นส่ิงท่ี ทาโดยอัตโนมัติราวกับการหายใจ ซึ่งจะสร้างนิสัยเช่นนี้ได้ หมายความว่ากลวิธีในการสร้างนิสัยต้อง เปน็ กลวธิ ที ที่ าใหเ้ ดก็ เกดิ ความประทบั ใจแบบฝงั ลึก เพราะสาหรับเด็กโดยเฉพาะเด็กเล็กหากประทับใจ ในส่ิงใดแล้ว จะเป็นความทรงจาท่ีฝังใจไปจนโต หรือแม้แต่ประทับใจไป ชั่วชีวิต (อัจฉรา ประดิษฐ์. 2550 : 15) การมนี สิ ยั รักการอ่านเปน็ เรอื่ งท่ตี อ้ งใช้เวลาสะสมมากกว่าการบังคับ ควรกาหนดให้เด็ก ๆ ได้ ฝึกฝนให้รักการอ่านไปพร้อม ๆ กับการถูกฝึกให้หัดอ่าน ต่อมาเขาจะกลายเป็นนักอ่านท่ีดี วิธีการ ตอ่ ไปนี้ 2 วิธีทจี่ ะช่วยให้เดก็ เป็นนักอา่ นท่ีดี ดังน้ี 1. พ่อ แม่ ผ้ปู กครอง หรอื ครูต้องอา่ นให้เดก็ ฟังก่อน ตั้งแต่เขายังอา่ นไม่เป็น 2. ตอ้ งกระตนุ้ ให้เด็กไดฝ้ กึ อา่ นเองโดยอิสระ องค์กรที่มีบทบำทในกำรสร้ำงนิสัยรักกำรอ่ำน (ฉวีวรรณ คูหาภินันท์. 2542 : 56-70) ดังตอ่ ไปนี้ 1. บ้านหรือครอบครัว การสร้างความสนใจในการอ่านต้องเริ่มท่ีบ้านก่อน บ้านเป็นสถานท่ีท่ี เด็กจะเรยี นรู้ได้ท้ังวัน ผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดก็คือพ่อแม่ (โดยเฉพาะแม่) ผู้ปกครอง ญาติผู้ใหญ่ และพี่ เลี้ยง การเตรียมความพร้อมให้แก่เด็ก สามารถเริ่มได้ต้ังแต่การพัฒนาทารกในครรภ์มารดา เป็นการ เตรียมความพร้อมทั้งสมองและอารมณ์เพื่อการเรียนรแู้ ละการปรบั ตัวอยูร่ ว่ มกับผู้อื่นด้วย 2. โรงเรียน เป็นสถานที่สาคัญรองลงมาจากครอบครัวท่ีจะต้องให้ความรักและความอบอุ่น เหมอื นบ้าน รวมทัง้ การเสรมิ สรา้ งความสนใจในการอ่าน โดยจัดทากิจกรรมสง่ เสริมการอ่านในรูปแบบ ต่าง ๆ เพ่ือสร้างนิสัยรักการอ่าน ตลอดจนสร้างความสามารถหรือทักษะในการอ่านให้กับเด็กไปตาม ลาดบั นอกจากน้ัน ห้องสมุดต้องจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือส่งเสริมการอ่านอย่างสม่าเสมอ โดยบรรณารักษ์อาจเป็นผู้ดาเนินการเองหรือจัดร่วมกับครูในโรงเรียน ท้ังนี้อาจจะจัดในช้ันเรียน ห้องสมุด ห้องประชมุ หรือกลางแจง้ เป็นตน้ การร่วมมอื ระหว่างครูกับบรรณารักษ์มีความสาคัญอย่าง ยิ่งท่ีจะช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่านในเด็ก เช่น ครูผู้สอนท่ีนากิจกรรมการอ่านของห้องสมุดมาช่วยใน การสอนจะทาให้การเรียนรู้เป็นส่ิงเพลิดเพลิน ช่วยให้เด็กเข้าใจเน้ือเรื่องที่สอนได้อย่างรวดเร็ว และช่วยสรา้ งทกั ษะการอ่านของเดก็ 3. ชุมชน มีบทบาทในการส่งเสริมการอ่านด้วยการจัดท่ีอ่านหนังสือประจาหมู่บ้าน ศนู ยก์ ารเรียนรู้ และห้องสมุดประชาชน เพือ่ บรกิ ารการอา่ นใหแ้ ก่ชุมชน บางชุมชนอาจจะจัดห้องสมุด ประชาชนสาหรับเด็กโดยเฉพาะ นอกจากห้องสมุดประชาชนแล้ว หอสมุดแห่งชาติก็มีบทบาทในการ ส่งเสริมการอ่านให้กับเด็ก มีห้องอ่านหนังสือสาหรับเด็ก มีห้องกิจกรรม มีชั่วโมงเล่านิทาน เล่าเร่ือง หนงั สอื มีการจดั กจิ กรรม และการจัดนทิ รรศการเนือ่ งในวนั สาคัญต่าง ๆ ครผู ู้สอน นางสาวสกุ นั ยา ช่ืนรส
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 กจิ กรรมสง่ เสริมการอา่ น ครผู ้สู อน นางสาวสุกันยา ชน่ื รส
16 หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ี่ 3 เร่ือง กจิ กรรมส่งเสริมกำรอ่ำน การอ่านเป็นกระบวนการพัฒนาความคิด ก่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ สร้างเสริม ประสบการณ์และมุมมองใหม่ๆ นาไปสู่การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ อกี ทง้ั ยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิด ประโยชน์หรอื เพอื่ การพกั ผอ่ นหย่อนใจได้อีกด้วย ควำมหมำยของกจิ กรรมสง่ เสริมกำรอ่ำน ธาดาศักด์ิ วชิรปรีชาพงษ์ (2534 : 116) ให้ความหมายว่า กิจกรรมส่งเสริม การอ่าน หมายถึง บริการห้องสมุดที่ช่วยให้ผู้ใช้ให้มีความเข้าใจ รู้จักวิธีการอ่าน วิธีเลือก หนงั สอื จนมนี ิสัยรักการอา่ นและมีรสนยิ มทดี่ ีในการอ่าน กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2536 : 131-132) นิยามว่า กิจกรรมส่งเสริม การอ่าน หมายถึง การจัดกิจกรรมให้ผู้ใช้ได้เกิดความสนใจ เห็นความสาคัญและความจาเป็น ของการอ่าน สร้างความเพลิดเพลินและพัฒนาความสามารถในการอ่าน จนเป็นนิสัยรัก การอ่าน ไพพรรณ อินทรนิล (2546 : 131) อธิบายว่า กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน หมายถึง กิจกรรมสาหรับผู้ใช้ห้องสมุดเพื่อการเข้าถึงหนังสือและส่ือต่าง ๆ ตามตรงความต้องการให้ ได้มากทีส่ ุดและรวดเร็วทสี่ ุด โดยเฉพาะเดก็ และเยาวชน จากความหมายดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่า กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน หมายถึง การกระทาหรอื การจัดกิจกรรมท่มี ีวตั ถุประสงค์เพื่อสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้ใช้ห้องสมุดหรือผู้คนท่ัวไปสนใจ และได้เห็นความสาคัญของการอ่าน เช่น การเล่านิทาน การเล่าเร่ืองหนังสือ และการแสดง ละคร เป็นต้น เพ่ือให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจการอ่าน จนกระท่ังเห็นความสาคัญและมี นิสัยรกั การอา่ น พัฒนาการอา่ นจนมีความสามารถใช้ประโยชนจ์ ากการอา่ นในการเรยี นรแู้ ละใน ชวี ติ ประจาวนั ครูผู้สอน นางสาวสกุ ันยา ช่นื รส
17 วัตถปุ ระสงค์ของกำรจดั กิจกรรมสง่ เสริมกำรอ่ำน การจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน มีวัตถุประสงคส์ าคัญ 8 ประการ (ไพพรรณ อนิ ทรนิล. 2546 : 131) ดงั นี้ 1. ส่งเสริมและสนบั สนุนใหม้ นี สิ ยั ใฝ่เรยี นรแู้ ละแสวงหาความรู้ 2. เพิ่มพูนทักษะการอา่ น 3. กระต้นุ ให้อยากอา่ นและพฒั นาเป็นนสิ ยั รกั การอ่าน 4. ร้จู ักเลือกหนังสอื ท่จี ะอา่ นได้อยา่ งเหมาะสม 5. สรา้ งความประทับใจในการอา่ นใหเ้ กดิ ขนึ้ 6. เกดิ ความใกลช้ ิดและความผูกพนั ระหว่างบรรณารักษก์ บั ผูใ้ ชห้ อ้ งสมุด 7. เกดิ ความสมคั รใจในการอ่านมากย่ิงขึ้น 8. ใช้เวลาวา่ งให้เปน็ ประโยชน์ ประเภทของกำรจัดกจิ กรรมสง่ เสริมกำรอ่ำน การจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่านแยกตามวยั ของกล่มุ เป้าหมายทีม่ คี วามแตกตา่ งระหวา่ ง ความสนใจ ระดับความรู้ ซึ่งกิจกรรมทน่ี ่าสนใจน้ันจะกลา่ วในหวั ข้อต่อไป 1. กำรจัดกจิ กรรมส่งเสริมกำรอำ่ นสำหรบั เด็ก การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านสาหรับเด็ก เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนแล้วทางโรงเรียนต้อง จัดกิจกรรมส่งเสริมและปลูกฝังนิสัยรักการแก่เด็กต่อเน่ืองจากท่ีบ้านในกรณีที่ได้รับการเตรียม ความพร้อมจากบ้าน ส่วนเด็กท่ีไม่ได้รับการปลูกฝังจากทางบ้านถือเป็นหน้าท่ีของทางโรงเรียนใน การจดั ใหม้ ีกจิ กรรมส่งเสรมิ การอ่านท่เี หมาะสมสาหรบั เดก็ ดงั ต่อไปนี้ 1.1 การเลา่ นทิ าน 1.2 การเรือ่ งหนงั สอื 1.3 การล่านิทานประกอบการเฉิดหุน่ 1.4 การจัดมมุ หนงั สือ 1.5 การอ่านหนงั สือใหฟ้ งั 1.6 การจัดมมุ ส่งเสริมการอา่ น 2. กำรจัดกิจกรรมสง่ เสริมกำรอ่ำนสำหรบั วยั ร่นุ ในการจดั กจิ กรรมส่งเสรมิ การอ่านสาหรับวัยรนุ่ และวัยผใู้ หญ่นัน้ เน่ืองจากเป็นวัยอ่าน ออกเขียนได้ แต่มีความสนใจต่างกันการเลือกกิจกรรมเพ่ือจัดน้ันอาจคล้ายกันแตกต่างกันท่ีการ เลือกหนงั สือมาจดั ให้มีเนื้อหาเหมาะสมกบั ความสนใจการอา่ นแตล่ ะวยั ดังนี้ 2.1 การอภิปรายเกีย่ วกับหนังสือ 2.2 การโต้วาทเี ก่ียวกบั หนงั สอื 2.3 การแข่งขนั เปดิ พจนานกุ รม 2.4 การทายปญั หาจากหนงั สือและสารานกุ รม ครผู ู้สอน นางสาวสกุ นั ยา ชน่ื รส
18 3. กำรจดั กจิ กรรมสง่ เสริมกำรอ่ำนสำหรบั ผใู้ หญ่ วัยผู้ใหญ่เป็นวัยที่มีอาชีพหน้าที่การงานที่ม่ันคง มีความสนใจมุ่งม่ันในการทางานสนใจ พัฒนาอาชีพของตนเอง ต้องการมีส่วนร่วมเป็นที่ยอมรับจากสังคมสนใจมีคู่ครองด้วย วิธีการเลือก คู่ครองด้วยเหตุและผลที่ดี ต้องการความม่ันคงทางเศรษฐกิจสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่ตนเองและ ครอบครัว รวมถึงต้องการสุขภาพแข็งแรงมีโอกาสพักผ่อนหย่อนใจดาเนินชีวิตด้วยวิถีแห่งความ สงบสุขตามโอกาสที่เหมาะสม ดังน้ันวัยน้ีจึงสนใจอ่านหนังสือท่ีมีเนื้อหาส่งเสริมความรู้ ความกา้ วหนา้ ในหน้าทกี่ ารงาน ความร้เู กยี่ วกบั การดูแลสุขภาพ หลักจิตวิทยาการครองชีวิตโดยนา หลกั ธรรมมาใช้ในการดาเนนิ ชีวิติ ซ่งึ สมั พันธก์ ับกิจกรรมท่ีเหมาะสมกับวยั ผใู้ หญ่ ดงั น้ี 1. การจาหน่ายหนังสอื 2. การสนทนาเก่ียวกับหนงั สือ 3. การจดั นิทรรศการเกย่ี วกบั หนงั สือ 4. การจัดทารายชอ่ื หนังสือทน่ี ่าสนใจ 5. หอ้ งสมุดเคลอื่ นท่ี ประโยชนข์ องกำรจัดกจิ กรรมส่งเสรมิ กำรอ่ำน ความสามารถในการอ่านมีความสาคัญกับบุคคลอย่างมาก การอ่านเป็นทักษะท่ีสาคัญใน การแสวงหาความร้จู ากส่ือทุกประเภท อย่างไรก็ตามการอ่านหนังสือให้เกิดความแตกฉานและอ่าน จนเปน็ นิสยั หรอื มนี ิสยั รักการอ่านให้เกิดข้ึนกับบุคคล โดยเฉพาะเด็กหรือนักเรียน มิใช่สิ่งที่กระทา ง่ายนัก ห้องสมุดจึงจาเป็นท่ีจะต้องมีวิธีการหรือกิจกรรมต่าง ๆ เก่ียวกับการส่งเสริมการอ่าน เพือ่ วัตถุประสงค์ดังตอ่ ไปน้ี 1. เพือ่ พัฒนาความสนใจและรสนิยมในการอา่ นให้กว้างขวางขึน้ มที ัศนคติที่ดตี ่อการอ่าน 2. สร้างบรรยากาศและส่ิงแวดล้อมในการอา่ น 3. มที กั ษะและวจิ ารณญาณในการอ่าน 4. ประชาสัมพนั ธ์และสรา้ งสมั พันธภาพที่ดรี ะหว่างผู้ใชก้ บั ห้องสมดุ และบรรณารกั ษ์ 5. กระตนุ้ และจงู ใจใหผ้ ูใ้ ช้มาใช้หอ้ งสมุดและทรัพยากรสารนเิ ทศ 6. แนะนาหรือนาเสนอทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุด ครูผ้สู อน นางสาวสุกันยา ชืน่ รส
19 ตวั อยำ่ งกิจกรรมส่งเสรมิ นิสยั รักกำรอ่ำน กำรเลำ่ นทิ ำน - เลา่ นทิ านในหอ้ งสมดุ - การแขง่ ขนั การเลา่ นิทาน กำรเสนอหนังสือ - การเล่าเรือ่ งจากหนังสอื - การแนะนาหนงั สือ - การอ่านหนงั สอื ให้ฟงั - การสนทนาเกยี่ วกบั หนังสอื - การอภิปรายเก่ยี วกบั หนังสอื - การบรรยายเก่ียวกบั หนงั สือ - การโต้วาทีเก่ียวกับหนังสอื - การจัดทารายช่อื ทรัพยากร - สารนเิ ทศและการทาบรรณานทิ ศั น์ - การจดั นทิ รรศการ - การจดั กิจกรรมเพ่อื นาไปส่กู ารอ่าน - การปั้น - กิจกรรมเข้าค่ายส่งิ แวดลอ้ ม - การทอ่ งเที่ยว - การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ - การประกอบอาหาร - การสารวจธรรมชาติ ครผู สู้ อน นางสาวสุกนั ยา ช่ืนรส
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 4 หนังสืออ้างอิง ครูผสู้ อน นางสาวสุกนั ยา ช่ืนรส
21 หนว่ ยกำรเรยี นร้ทู ี่ 4 เรือ่ ง หนังสอื อำ้ งอิง ควำมหมำยหนังสอื อำ้ งองิ (Reference Books) หนังสืออ้างอิง หมายถึง หนังสือท่ีให้เรื่องราวข้อเท็จจริงแก่ผู้ใช้อย่างรวดเร็วและสะดวกในการ ค้นหา เพราะมีการเรียงลาดับอย่างเป็นระบบและมักจะมีเคร่ืองช่วยค้นที่ดี หนังสืออ้างอิงเป็นหนังสือท่ีใช้ ค้นควา้ หรืออ่านเพียงตอนใดตอนหน่งึ มใิ ช่เปน็ หนังสือที่ตอ้ งอา่ นตลอดท้ังเล่ม ประเภทของหนังสืออ้ำงอิง ถา้ แบง่ ตามลกั ษณะการค้นหาคาตอบ อาจแบ่งได้เปน็ 2 ประเภท ดังน้ี 1. ประเภทแนะแนวทำง หนังสือประเภทน้ี จะบอกบอกให้ทราบว่าคาตอบที่ต้องการอยู่ท่ีใด หรอื อย่ใู นหนงั สอื เล่มใด หนงั สอื อา้ งองิ ประเภทนีไ้ ดแ้ ก่ บรรณานกุ รม ดรรชนี 2. ประเภทเปน็ แหล่งคำตอบ เป็นหนังสืออ้างอิงที่มีเร่ืองราวท่ีต้องการอยู่ในหนังสือ สามารถหา คาตอบทต่ี อ้ งการได้ทนั ที หนังสือประเภทนี้ ได้แก่ พจนานกุ รม สารานกุ รม นามานกุ รม เปน็ ตน้ ถา้ แบ่งตามลักษณะของเนื้อหาวชิ า จะแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื 1. หนังสืออ้ำงอิงท่ัวไป เป็นหนังสือท่ีให้ข้อเท็จจริงในแขนงต่าง ๆ และเร่ืองโดยท่ัว ๆ ไป อย่างกวา้ งขวาง เช่น สารานุกรมสาหรับเยาวชน สารานกุ รม Britannica เปน็ ตน้ 2. หนังสืออ้ำงอิงเฉพำะวิชำ เป็นหนังสืออ้างอิงท่ีให้รายละเอียดและข้อเท็จจริงในแขนงวิชาใด วิชาหนึ่งโดยเฉาะ มีความรู้และเรื่องราวในแขนงวิชาท่ีกล่าวถึงละเอียดกว่าในหนังสือทั่ว ๆ ไป เช่น สารานุกรมการบรหิ าร หนงั สือศัพท์วชิ าการทางรฐั ศาสตร์ เปน็ ต้น หนังสืออำ้ งองิ แต่ละประเภท 1. พจนานกุ รม 2. สารานุกรม (Encyclopedia) 3. หนงั สือรายปี (Yearbook) และสมพัตสร (Almanac) 4. อักขรานกุ รมชีวประวตั ิ (Biographical Dictionary) 5. หนังสอื อา้ งองิ ทางภมู ศิ าสตร์ (Geographical Sources) 6. นามานุกรม (Directory) 7. บรรณานกุ รม (Bibliography) 8. หนงั สอื ดรรชนี (Index) 9. สง่ิ พมิ พร์ ฐั บาล (Governmemt Publication) 10. หนงั สือคู่มือ (Handbook or Manual) ครูผ้สู อน นางสาวสกุ ันยา ชืน่ รส
22 ประโยชนข์ องหนังสืออ้ำงองิ 1. เป็นแหล่งค้นคว้าหาขอ้ เท็จจริงที่ถกู ตอ้ งแน่นอนได้ในทุกสาขาวชิ า 2. เปน็ แหล่งสง่ เสริมการค้นคว้าวิจยั ทกุ ระดับ 3. สามารถคน้ หาคาตอบท่ีต้องการไดอ้ ย่างสะดวกและรวดเร็ว สรุปประโยชนข์ องหนังสืออำ้ งองิ แต่ละประเภท ชนดิ ของ ใชใ้ นกำรตอบปัญหำเก่ียวกับ หนงั สืออ้ำงองิ สำรำนุกรม เรอื่ งท่วั ๆ ไปอยา่ งกวา้ งๆ เช่น เรือ่ งเกีย่ วกับความรู้พน้ื ฐานของวิชาการทกุ แขนง และข้อมลู สัน้ ๆ ของเรอ่ื งราวโดยท่วั ไปทกุ ด้าน พจนำนกุ รม ภาษา เชน่ ประวัติของคา ความหมายของคา ตัวสะกด คาพ้อง คาตรงขา้ ม และวธิ ใี ชค้ า หนังสอื รำยปี เรื่องท่ีนา่ สนใจในรอบปี เชน่ เหตุการณ์ในรอบปีท่ผี า่ นมา ตารางสถติ ิดา้ นตา่ ง ๆ ในรอบปี และสมั พัตสร แนวโน้มในปัจจุบนั อักขรำนกุ รม ชีวประวตั ิ บุคคล เชน่ ชวี ประวัตสิ งั เขปของบุคคลสาคญั และผ้มู ชี อ่ื เสียง หรอื ผเู้ ชีย่ วชาญในวงงานต่าง ๆ นำมำนุกรม องคก์ าร และสถาบนั ตา่ งๆ เช่น ทตี่ ัง้ วตั ถุประสงค์ และการดาเนนิ งาน คูม่ ือ วิธที า หรือวิธปี ฏิบตั ิและสรปุ ขอ้ มลู ในแขนงวชิ า เชน่ วิธปี ฏิบตั งิ าน วธิ ีทากิจกรรมอย่างใด อยา่ งหนง่ึ - ผลงานของทางราชการ เช่น สรปุ ผลการปฏบิ ัติงานของหนว่ ยงานใดหน่วยงานหนึง่ สง่ิ พมิ พ์รฐั บำล - กฎหมาย เชน่ ในราชกิจจานุเบกษาใช้หาประกาศทางราชการท่มี ีผลบงั คับเป็นกฎหมายทั้ง พระราชบัญญตั ิ พระราชกฤษฎี กฎกระทรวงต่าง ๆ หนงั สืออำ้ งองิ ขอ้ มลู ทางภมู ศิ าสตร์ เชน่ คาอธิบายอยา่ งสงั เขปของชอ่ื ทางภูมิศาสตรต์ า่ ง ๆ ได้แก่ ชือ่ ประเทศ ทำงภมู ิศำสตร์ ทวปี เมือง แมน่ า้ ภูเขา ทะเลสาบ จานวนประชากร ตาแหนง่ ของสถานที่ ระยะทาง ความลกึ กวา้ งยาวของแม่น้า ความสูงของภเู ขา แผนที่ เส้นอาณาเขต แหลง่ ทรัพยากร ตาแหนง่ ของสถานที่ หนงั สือนำเท่ยี ว รายละเอียดของสถานท่ี วธิ ที จ่ี ะไปถงึ สถานท่ีและสิง่ ทค่ี วรศึกษาในสถานทน่ี ัน้ ๆ บรรณำนกุ รม รายช่อื หนงั สือ ช่อื เรื่อง ช่อื ผู้แตง่ บทวิจารณ์ของหนังสือ ราคาของหนงั สอื หรือการบอกรบั วารสาร เลขหมู่หนังสอื ดรรชนี บทความ เช่น ชื่อบทความทีต่ อ้ งการ ชื่อผูเ้ ขยี น ชอ่ื วารสาร และเลขหน้าทีบ่ ทความปรากฏอยู่ ครผู ู้สอน นางสาวสกุ ันยา ช่ืนรส
23 พจนำนกุ รม พจนานุกรม เป็นหนังสือท่ีให้ความรู้เก่ียวกับคา ได้แก่ ความหมายของคา ชนิดของคา ตวั สะกด การันต์ การอ่านออกเสียง คาพ้อง คาตรงข้าม อักษรย่อและสัญลักษณ์ที่เก่ียวกับคา อาจมี ตวั อย่างประโยคแสดงการใชค้ า เพ่ือประกอบคาอธบิ ายด้วย พจนานุกรมแบ่งเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี 1. พจนำนุกรมท่ัวไป หรือพจนานุกรมภาษา ให้ความรู้เก่ียวกับคาท่ัว ๆ ไป แบ่งเป็น 2 ประเภท คือพจนานุกรมฉบับสมบูรณ์ เป็นพจนานุกรมที่รวบรวมคาศัพท์ทุกคาท่ีมีใช้อยู่ในภาษา มีท้ังคาศัพท์เก่าและคาใหม่ ให้รายละเอียดเก่ียวกับคาเช่น ท่ีมาของคา คาอ่าน คาแปลอธิบาย ความหมายของคาอย่างละเอียด มีตัวอย่างประโยค และแสดงการใช้คา ประเภทท่ี 2 คือ พจนานุกรมฉบับย่อหรือฉบับรวบรัด คือ พจนานุกรมท่ีรวบรวมคาศัพท์ท่ีใช้อยู่ในปัจจุบัน มีคา จานวนน้อย บอกคาอ่านและอธิบายความหมายของคาสั้น ๆ ไม่มีตัวอย่างประโยคท่ีแสดงการใช้คา หรือความหมายของคาท่ีต่างกัน เช่น พจนานุกรม ศัพท์หมวดอังกฤษ - ไทย : ฉบับนักศึกษา ในปัจจุบันพจนานกุ รมทางภาษาสว่ นใหญ่จะเป็นพจนานกุ รมฉบับยอ่ พจนานกุ รมท้งั สองประเภทนี้ อาจแบ่งตามภาษาไดด้ งั น้ี 1.1 พจนานุกรมภาษาเดียว คาศัพท์และความหมายที่อธิบายเป็นภาษาเดียวกัน ไทย - ไทย องั กฤษ - อังกฤษ 1.2 พจนานุกรมสองภาษา ให้คาอธิบายจากภาษาหน่ึงไปยังอีกภาษาหนึ่ง เช่น ไทย – องั กฤษ อังกฤษ – ไทย เป็นต้น 1.3 พจนานุกรมหลายภาษา ให้คาอธิบายจากภาษาหน่ึงไปยังภาษาอ่ืน ๆ ตั้งแต่ 3 ภาษาขนึ้ ไป เช่น ไทย – อังกฤษ – ฝรงั่ เศส เป็นตน้ 2. พจนำนุกรมเฉพำะวิชำ พจนานุกรมท่ีรวบรวมคาศัพท์เฉพาะวิชามาไว้ในเล่มเดียวกัน ให้ความหมายของคาศัพท์นั้น เช่น ศัพท์ศาสนา พจนานุกรมภูมิศาสตร์ ศัพท์เทคโนโลยีสารสนเทศ ศพั ทค์ อมพิวเตอร์ พจนานกุ รมดนตรี เป็นต้น นอกจากน้ันยังมีพจนานุกรมภาษา เช่น พจนานุกรมคาย่อ พจนานุกรมภาษาถิ่น พจนานกุ รมนิรุกตศิ าสตร์ ฯลฯ ครูผสู้ อน นางสาวสกุ ันยา ช่ืนรส
24 2. สำรำนกุ รม สารานุกรมเป็นหนังสืออ้างอิงที่ให้ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ทุกสาขาวิชา มีทั้งเล่มเดียวจบ หลายเล่มจบซึ่งเรียกว่าเป็นชุด การเสนอความรู้อยู่มนรูปของบทความ เขียนโดยผู้ช่วยชาญในแต่ละ สาขาวิชา สารานุกรมเป็นแหล่งสาหรับค้นหาความรู้เบื้อต้นในทุกเร่ืองของแต่ละสาขาวิชา มีการจัดเรียง เน้ือหาตามลาดับอักษร ตอนท้ายบทความมักลงช่ือผู้เขียนบทความ และรายช่ือหนังสือบรรณานุกรมไว้ ด้วย มีดรรชนชี ว่ ยคน้ ควา้ ซ่ึงอาจอยู่ตอนท้ายของแตล่ ะเล่ม หรอื รวมอยเู่ ล่มสดุ ทา้ ยของชุด สารานกุ รมแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ดงั นี้ 1. สำรำนุกรมทั่วไป เป็นสารานุกรมท่ีให้ความรู้ในวิชาต่าง ๆ ไม่จากัดสาขาให้ความรู้กว้าง ๆ พอเป็นพ้ืนฐานสาหรับผู้อ่านทั่วไป แบ่งออกเป็นสารานุกรมสาหรับเด็กและสารานุกรมสาหรับผู้ใหญ่ เช่น สารานกุ รมไทย ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน สารานุกรมสาหรับเด็กจะมีเน้ือหาตรงตามหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียน และเพิ่มเติมเร่ืองท่ีเด็ก ควรรู้ การเขยี นจะใช้ภาษาง่ายๆ กะทัดรัด เหมาะสมกับวยั และระดบั การศกึ ษาของเดก็ 2. สำรำนุกรมเฉพำะวิชำ เป็นสารานุกรมท่ีให้ความรู้ในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่งอย่างละเอียดลึกซ้ึง กว่าสารานุกรมท่ัวไป เขียนโดยผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะสาขาวิชานั้น ๆ เช่น สารานุกรมประวัติศาสตร์ สารานุกรมของใช้พื้นบ้านไทยในอดตี สารานกุ รมชุดรา่ งกายของเรา ครผู ู้สอน นางสาวสกุ นั ยา ช่นื รส
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การศกึ ษาค้นคว้า และการเขียนรายงาน ครูผ้สู อน นางสาวสุกนั ยา ชืน่ รส
26 หน่วยกำรเรียนรูท้ ี่ 5 เรอื่ ง กำรศกึ ษำค้นควำ้ และกำรเขยี นรำยงำน รำยงำนทำงวชิ ำกำร ควำมหมำยของรำยงำนทำงวิชำกำร รายงานวิชาการ หมายถึง เอกสารที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า สารวจ รวบรวม ศึกษา สังเคราะห์ หรือวิเคราะห์ เร่ืองทางวิชาการเรื่องหน่ึงเรื่องใดอย่างละเอียดและมีเหตุผล แล้วนามา รวบรวมเรียบเรียงใหม่ ให้เป็นระเบียบ จากนน้ั จงึ เขยี นหรือพิมพต์ ามแบบแผน ขนั้ ตอนในกำรเขยี นรำยงำนทำงวชิ ำกำร มขี ั้นตอนดังนี้ 1. เลอื กหัวขอ้ เรอ่ื งและกำหนดชื่อเรื่องรำยงำน ควรเลือกหัวข้อเรื่องที่มีสาระประโยชน์ต่อผู้ ศกึ ษาและผู้อ่านรายงาน 2. กำหนดวตั ถปุ ระสงคข์ องรำยงำน 3. ศึกษำค้นคว้ำรวบรวมข้อมูลอย่ำงเพียงพอ สามารถศึกษาแหล่งข้อมูลได้อยู่ 2 แหล่ง ได้แก่ 3.1 แหลง่ ข้อมูลปฐมภูมิ เปน็ ข้อมลู ทีผ่ ู้ทารายงานรวบรวมข้ึนเองจากการสารวจ การสังเกต การสมั ภาษณ์ เปน็ ตน้ 3.2 แหลง่ ข้อมลู ทตุ ิยภมู ิ ไดแ้ ก่ หนงั สอื วารสาร นติ ยสาร วิทยานพิ นธ์ อินเทอรเ์ นต็ ฯลฯ 4. ตรวจสอบขอ้ มูล เพอ่ื ใหไ้ ด้ขอ้ มูลทดี่ ที ่ีสดุ และเหมาะสมท่ีสดุ ซึง่ เกณฑก์ ารตรวจสอบมดี งั นี้ 4.1 ความถูกตอ้ งของขอ้ มูล เป็นผลงานท่ีไดร้ บั ความนิยมแพร่หลายเป็นที่ยอมรับจนพิมพ์ ซ้าต่อเน่อื งมาแล้วหลายคร้ัง 4.2 ความทนั สมยั ของขอ้ มูล เป็นขอ้ มูลทมี่ กี ารตพี ิมพใ์ นปีลา่ สุด เปน็ ขอ้ มูลท่ีมคี วามสด ใหม่ ทันสมัยเหมาะสมกับรายงาน 4.3 ตรวจสอบเรอื่ งลิขสทิ ธ์ิ ผลงานทางวิชาการเป็นทรัพย์สินทางปัญญาทม่ี ีกฎหมาย ลขิ สิทธิ์ค้มุ ครอง การจะทาการข้อมลู ใด ๆ ต้องไดร้ ีบอนุญาตจากผถู้ ือลขิ สทิ ธิเ์ สียก่อน 5. บนั ทกึ ขอ้ มลู เม่อื ไดข้ ้อมลู จากการศึกษาคน้ ควา้ แล้วจงึ นามาจดบันทกึ ขอ้ ความที่น่าสนใจ โดยมวี ิธีการบนั ทึกข้อมูลทน่ี ยิ มใช้อยู่ 3 แบบ ไดแ้ ก่ 5.1 บนั ทึกแบบสรปุ ความ เปน็ การบนั ทึกสาระสาคัญของเร่ืองทตี่ ้องการใหค้ รบถ้วนดว้ ย ภาษาของผู้บันทกึ เอง 5.2 บันทึกแบบคดั ลอกขอ้ ความ เปน็ การคัดลอกข้อความบางตอนทีต่ ้องการจากตน้ ฉบับ ทกุ ประการ 5.3 บันทกึ ขอ้ มูลแบบถอดความ เปน็ การใช้กบั ขอ้ ความที่เป็นบทร้อยกรองหรือ ภาษาตา่ งประเทศ แตต่ ้องการใช้ใน แบบของรอ้ ยแกว้ หรือภาษาไทย ครผู ้สู อน นางสาวสกุ ันยา ช่ืนรส
27 ประเภทของรำยงำน 1. รำยงำนทั่วไป เป็นรายงานท่ีเสนอข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆ ได้แก่ รายงานในโอกาสต่างๆ รายงานการประชมุ รายงานขา่ ว เปน็ ต้น 2. รำยงำนทำงวิชำกำร คือ รายงานผลของการศึกษาค้นคว้าวิจัยเก่ียวกับเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งมุ่ง เสนอผลที่ได้ตามความเป็นจริงซึ่งต้องทาตามขั้นตอน ระเบียบแบบแผนที่เป็นสากล และถือว่ารายงาน เป็นสว่ นหนึ่งของการประเมนิ ผลการเรียนการสอนของวชิ าน้ัน ๆ ด้วย ครูผูส้ อน นางสาวสุกนั ยา ชนื่ รส
28 วตั ถุประสงคข์ องรำยงำนทำงวิชำกำร 1. เพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ทางวิชาการให้กว้างขวางและลกึ ซึง้ ย่ิงขน้ึ 2. พัฒนาทกั ษะการคน้ ควา้ และการเขยี นรายงานทางวิชาการ 3. พฒั นาทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ สงั เคราะห์อยา่ งมรี ะบบ 4. สง่ เสรมิ การศกึ ษาคน้ คว้าด้วยตนเอง กำรใช้ภำษำในกำรเขยี นรำยงำน 1. ควรใชภ้ าษาหรอื สานวนโวหารเปน็ ของตนเองทีเ่ ข้าใจงา่ ยและถูกต้อง 2. ใช้ประโยคสัน้ ๆ ให้ได้ใจความชัดเจน สมบูรณ์ ตรงไปตรงมาไม่วกวน 3. ใช้ภาษาท่เี ป็นทางการไมใ่ ชภ้ าษาพูด คาผวน คาแสลง อกั ษรย่อ คาย่อ 4. ใชค้ าท่มี คี วามหมายชดั เจน ละเว้นการใช้ภาษาฟุ่มเฟอื ย การเลน่ สานวน 5. ระมัดระวงั ในเรอื่ งการสะกดคา การแบง่ วรรคตอน 6. ระมัดระวังการแยกคาดว้ ยเหตทุ ่เี นอ้ื ที่ในบรรทดั ไมพ่ อหรือหมดเนื้อท่ีในหน้าท่ีนนั้ เสยี ก่อน 7. ใหเ้ ขยี นเป็นภาษาไทยไมต่ อ้ งมคี าภาษาองั กฤษกากบั ลักษณะของรำยงำนทีด่ ี 1. มกี ารนาหลกั การและ/หรือทฤษฎีมาใช้อย่างเหมาะสมเนื่องจากในการศึกษาค้นคว้า จะต้องมี การวิเคราะห์เน้ือหา โดยมีหลกั การหรอื ทฤษฎี มารองรับอยา่ งเหมาะสม 2. มกี ารแสดงความคิดรเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์อย่างเหมาะสม เช่น เสนอแนวทางการแก้ปัญหาท่ีไม่เคยมี ผู้ทามาก่อน หรือเคยมผี ู้ทาแตไ่ ม่ชดั เจนเพียงพอ 3. ความสมบูรณ์และความถูกต้องของเน้ือหาสาระ เนื้อหาสาระต้องสมบูรณ์ตามช่ือเร่ืองท่ี กาหนด และถกู ตอ้ งในข้อเท็จจรงิ การอ้างองิ ที่มาหรอื แหล่งคน้ ควา้ ตอ้ งถูกต้อง 4. ความชัดเจนของการเขียนรายงานจะต้องมีความชัดเจนในด้านลาดับการเสนอเร่ืองมี ความสามารถในการใชภ้ าษา ครูผสู้ อน นางสาวสุกันยา ช่นื รส
29 ส่วนประกอบของรำยงำน 1.สว่ นประกอบ ตอนตน้ ส่วนประกอบของรำยงำน 3.สว่ นประกอบ 2.ส่วนประกอบ ตอนท้ำย ตอนกลำง/ เนอ้ื เรอื่ ง ส่วนประกอบของรำยงำน ส่วนประกอบของรายงานทางวชิ าการ มีลกั ษณะ ดังน้ี 1. สว่ นประกอบตอนตน้ คือ ส่วนทอี่ ยู่ตน้ เลม่ ของรายงานก่อนถึงเนื้อเร่ืองประกอบด้วย 1.1 ปกนอก (หนำ้ ปก) เปน็ ส่วนทีห่ ุ้มรายงานทงั้ หมด มที ั้งปกหน้าและปกหลงั ควรใชก้ ระดาษที่ หนากว่ากระดาษในตัวเล่ม สสี ุภาพ 1.2 ใบรองปก เป็นกระดาษเปลา่ 1 แผ่นคน่ั อยรู่ ะหวา่ งปกนอก และปกใน 1.3 ปกใน หน้าปกในจะมีรายละเอียดเหมือนปกนอกทุกประการ แต่อาจจะเพ่ิมรายละเอียด ตอนกลาง 1.4 คำนำ เป็นการกลา่ วถึงเนอื้ หาโดยสรปุ ของรายงานเพือ่ ให้ผู้อ่าน เข้าใจภาพรวมของรายงาน เบอ้ื งตน้ 1.5 สำรบัญ เป็นการเรียงลาดับบทต่าง ๆ ของรายงาน เรียงตามลาดับเนื้อหาพร้อมระบุเลขหน้า กากับวา่ แต่ละบทเริ่มจากหน้าใด 1.6 สำรบัญตำรำง ในกรณีท่ีรายงานมีตารางประกอบจานวนมาก จะทาบัญชีตารางต่อจาก สารบัญประกอบด้วย รายการตารางพร้อมระบุเลขหน้ากากับ เรียงตามลาดับเลขท่ีตารางท่ีปรากฏใน รายงาน 1.7 สำรบัญภำพ ในกรณีท่ีรายงานมีภาพประกอบจานวนมาก จะจัดทาบัญชีภาพประกอบ เชน่ เดียวกบั บญั ชีตาราง ครผู ู้สอน นางสาวสุกนั ยา ชน่ื รส
30 2. สว่ นประกอบตอนกลำง (เนื้อเรอ่ื ง) เป็นส่วนสาคัญท่ีสุดของรายงาน แบ่งแยกเน้ือหาท่ีเขียนเป็นบทอย่างมีระบบระเบียบ ตามลาดับ รายงานทางวิชาการ ซ่ึงเน้ือหาขึ้นอยู่กับผู้ศึกษา หรือผู้ทารายงานเองว่าจะใส่เน้ือหาใดในบทใดบ้าง ในรายวิชาภาษาไทยเสริมทักษะ (ท21211) กาหนดให้นักเรียนทารายงาน 3 บท โดยแต่ละบทนักเรียน สามารถแบ่งเนอื้ หาเองไดต้ ามหวั ขอ้ ทนี่ ักเรยี นสนใจ ยกตัวอย่างเช่น รายงานเร่อื ง โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยแบง่ เนอื้ หาไดด้ ังน้ี บทที่ 1 ความรเู้ บ้อื งตน้ เกยี่ วกับโรคติดเช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) บทท่ี 2 มาตรการการปอ้ งกันโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) บทที่ 3 วคั ซนี ตา้ นโควิด-19 3. ส่วนประกอบทำ้ ย ประกอบด้วย 3.1 บรรณานุกรม คือ รายการสารสนเทศท้ังหมดที่ผู้ทารายงานได้ศึกษาค้นคว้านามาอ้างอิง ประกอบการเรียบเรยี งทารายงาน จดั เรยี งตามลาดับตัวอกั ษรและเขียนรายงานต่าง ๆ ตามแบบแผนเขียน บรรณานกุ รม 3.2 ภาคผนวก คือ ส่วนที่นามาเพ่ิมเติมในรายงานมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ใช้เน้ือหา โดยตรงไม่ก็ไดข้ น้ึ อยกู่ ับความจาเปน็ และความเหมาะสมของรายงานแตล่ ะเรื่อง กำรเขียนคำนำและสำรบัญ กำรเขียนคำนำ คำนำ เป็นกล่าวถึงเนื้อหาโดยสรุปของรายงานเพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมของรายงานเบ้ืองต้น ยกตวั อย่างเชน่ คำนำ รายงานเล่มนี้จัดทาข้ึนเพื่อประกอบการศึกษารายวิชาห้องสมุดเพ่ือการศึกษาค้นคว้า รหัสวิชา ห 20202 เน้ือหาภายในเล่มประกอบด้วย ความหมายของห้องสมุด ความสาคัญของห้องสมุด วัตถุประสงค์ของห้องสมุด ประเภทของห้องสมดุ ผู้จัดทาขอขอบคุณ นางสาวสุกันยา ช่ืนรส ครูประจาวิชา ท่ีได้ให้คาปรึกษาและชี้แนะแนวทางในการศึกษา ค้นคว้าจัดทารายงานเล่มนี้ และขอขอบคุณเจ้าของหนังสือทุกท่านท่ีใช้ประกอบการอ้างอิงในการเรียบเรียงรายงาน เล่มน้ี เพอื่ ทาใหก้ ารศึกษาคน้ คว้าประสบความสาเรจ็ ตามวัตถุประสงค์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเล่มนี้จะมีประโยชน์ แก่ผสู้ นใจและผู้ศกึ ษาไดไ้ มม่ ากกน็ ้อย คณะผูจ้ ดั ทา 8 พฤศจกิ ายน 2564 ครผู สู้ อน นางสาวสุกนั ยา ชน่ื รส
31 กำรเขยี นสำรบัญ สำรบัญ เป็นการเรียงลาดับบทต่างๆของรายงาน เรียงตามลาดับเน้ือหาพร้อมระบุเลขหน้ากากับ วา่ แตล่ ะบทเริม่ จากหนา้ ใด ดงั รปู ภาพตวั อยา่ ง สำรบญั คำนำ หน้ำ สำรบญั ก สำรบญั ตำรำง ข สำรบญั ภำพ ค บทที่ 1 บทนำ ง 1 ความเปน็ มาและความสาคญั 1 วัตถปุ ระสงค์ 1 สมมติฐานของการศึกษาคน้ คว้า 1 ประโยชน์ทไี่ ด้รบั 2 บทท่ี 2 เอกสำรที่เก่ียวข้อง 3 ประวัติความเป็นมาการปลกู ทุเรยี นในประเทศไทย 3 พนั ธ์ทุ ุเรยี น 5 สภาพแวดลอ้ มท่เี หมาะสมสาหรบั ทเุ รยี น 6 วธิ กี ารปลูกทเุ รยี น 8 ครผู ู้สอน นางสาวสกุ นั ยา ช่นื รส
32 กำรตงั้ ค่ำหนำ้ กระดำษ รำยงำนนเ้ี ปน็ สว่ นหนึ่งของกำรศกึ ษำรำยวิชำภำษำไทยเสรมิ ทกั ษะ (ท21211) ภำคเรยี นท่ี 2 ปีกำรศกึ ษำ 2564 โรงเรียนสริ นิ ธร จังหวัดสุรินทร์ ครผู สู้ อน นางสาวสกุ ันยา ชน่ื รส
33 กำรวำงโครงเร่อื งรำยงำน ควำมหมำยของโครงเร่ืองรำยงำน โครงเร่ือง คือ กรอบของเรื่องที่ผู้ทารายงานจะใช้เป็นแนวทางในการเขียนรายงาน โดยการ เขยี นโครงเร่อื งนั้นผู้เขียนรายงานจะเร่ิมต้นจากการพิจารณาหัวข้อรายงานอย่างถ่ีถ้วน วิเคราะห์แนวคิด ตา่ งๆที่เกี่ยวขอ้ ง คัดเลือกแนวคิดสาคัญ รวมท้ังจัดลาดับว่าแนวคิดใดมาก่อนหลังและมีความสัมพันธ์กัน อย่างไรโดยอาจจดั ลาดับตามเวลา หรอื ตามเหตุการณ์ ควำมสำคญั ในกำรเขียนโครงร่ำง 1. ชว่ ยใหผ้ ู้เขยี นจดั แนวคิดได้ตรงกับเรอ่ื งท่จี ะเขยี น 2. ทาใหง้ านมีเอกภาพไมป่ ะปนและออกนอกเรื่อง 3. ชว่ ยให้งานเขยี นมสี ัมพนั ธภาพมกี ารลาดบั ความอย่างมเี หตุผลตอ่ เนอ่ื ง รปู แบบของโครงเร่ือง จัดลาดับหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อยให้เป็นระเบียบ หัวข้อย่อยซึ่งทาหน้าที่ขยายโครงเร่ืองให้ ชัดเจนนั้น เขียนเย้ืองไปทางขวาของหัวข้อใหญ่เล็กน้อย การใช้ตัวอักษรหรือตัวเลขกากับควรใช้แบบ เดียวกัน ดังตวั อยา่ ง 1. หวั ขอ้ ใหญ่ขอ้ ท่ี 1 1.1 หวั ข้อย่อยขอ้ ท่ี 1 1.1.1 หัวข้อย่อยรองข้อท่ี 1 1.1.2 หวั ขอ้ ย่อยรองขอ้ ที่ 2 1.2 หัวข้อย่อยขอ้ ท่ี 2 1.2.1 หัวข้อย่อยรองข้อที่ 1 1.2.2 หวั ขอ้ ย่อยรองข้อที่ 2 2. หัวข้อใหญข่ ้อท่ี 2 2.1 หัวขอ้ ย่อยขอ้ ที่ 1 2.1.1 หัวขอ้ ย่อยรองข้อท่ี 1 2.1.2 หัวขอ้ ยอ่ ยรองขอ้ ที่ 2 ผทู้ เี่ ขยี นโครงเรอื่ งไว้ดแี ลว้ จะเขยี นเน้ือเรือ่ งไดส้ ะดวก รวดเรว็ และเขา้ ใจง่ายตามเจตนารมณ์ของผเู้ ขียน ครูผูส้ อน นางสาวสกุ นั ยา ชื่นรส
34 กำรเขยี นอ้ำงอิงในรำยงำน ควำมหมำยของกำรอ้ำงอิง การอ้างองิ หมายถงึ การแสดงแหล่งที่มาของหลักฐานทใี่ ช้ประกอบการเขียนรายงานซึ่งจะช่วย ใหผ้ ู้อ่านสามารถกลบั ไปสอบหลักฐานดง้ั เดิมได้ ประโยชนข์ องกำรอ้ำงอิง การอ้างอิงในรายงานมปี ระโยชน์ต่อผู้อ่านและเขยี นรายงานดงั นี้ 1. ช่วยให้ผอู้ ่านได้ทราบถงึ หลักฐานที่มาของข้อความทีย่ กมาประกอบการเขยี นรายงาน 2. ช่วยใหผ้ อู้ า่ นติดตามเรื่องทแ่ี นะนาให้อ่านสามารถติดตามอา่ นเพิม่ เตมิ ได้อยา่ งสะดวก 3. เป็นการแสดงวา่ ผลงานทเ่ี ขยี นข้นึ มคี วามน่าเชอ่ื ถอื สูง เพราะได้มกี ารคน้ ควา้ เปน็ อย่างดีมิได้ เขยี นขน้ึ จากความคิดของผู้เขียนเพยี งอยา่ งเดียว 4. ให้เกยี รติเจา้ ของความรูค้ วามคิด อนั เป็นมารยาทของนกั วิชาการ องค์ประกอบของกำรเขยี นอำ้ งอิง การอ้างองิ ทส่ี มบูรณแ์ ละชัดเจนจะต้องใหผ้ ู้อ่านทราบวา่ จะอา้ งองิ เรอื่ งอะไร ของผู้ใด มีใจความ วา่ อย่างไรฉะนั้นองคป์ ระกอบของการเขียนอา้ งอิงจึงควรประกอบดว้ ย 3 สว่ นคือ 1. การกลา่ วนาการอา้ งองิ เรอ่ื งอะไรของผู้ใด 2. ข้อความท่นี ามาอ้างองิ อาจจะยกมาอา้ งอยา่ งสรปุ หรือยังคดั ลอกทาอัญประกาศกไ็ ด้ 3. แหลง่ อ้างอิง ไดแ้ ก่ รายละเอียดบางสว่ นของบรรณานกุ รมนามาแจ้งไวด้ ว้ ยวธิ ีใดวธิ หี นึง่ ตาม วธิ อี ้างอิงเพื่อให้ผู้อา่ นสามารถติดตามอา่ นหรือตรวจสอบได้อย่างสะดวก รปู แบบกำรอ้ำงองิ ครผู สู้ อน นางสาวสกุ ันยา ช่นื รส
35 ตวั อยำ่ งกำรวำงไวห้ น้ำขอ้ ควำม ธาดาศักด์ิ วชิรปรีชาพงษ์ (2534: 34) ได้กล่าวไว้ว่า ความหมายของห้องสมุด เป็นสถาบันที่ทาหน้าที่คัดเลือก จัดหา รวบรวม วิเคราะห์ จัดเก็บสารนิเทศในรูปแบบต่าง ๆ ทุกรูปแบบทั้งท่ีเป็นวัสดุส่ิงพิมพ์ วัสดุโสตทัศน์และวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ มีการจัดองค์กรบริหาร และดาเนินการตามระบบสากล ในฐานะท่ีเป็นสถาบันสาคัญของสังคมที่ทาหน้าท่ีสร้างสม สืบทอดและเผยแพร่มรดกทางความคิด ภมู ิปญั ญา ประสบการณ์ กิจกรรมการค้นคิดตลอดจน วิชาการใหม่ ๆ เพื่อเป็นรากฐานในการสร้างสรรค์ พัฒนา และความเจริญก้าวหน้าของสังคม ต่อไป ตวั อย่ำงกำรวำงไวท้ ำ้ ยข้อควำม ห้องสมุดมีความสาคัญยิ่งต่อการพัฒนาการเรียนการสอนของครู อาจารย์ และนักเรียน เพราะเป็นแหล่งจัดเก็บ รวบรวม และให้บริการวัสดุสารนิเทศ ความรู้ ข้อมูล ข่าวสารต่างๆห้องสมุดเป็นศูนย์การเรียนรู้สาคัญ เพราะเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มาศึกษาหา ความรู้ เรียนรู้วิทยาการต่างๆ ด้วยตนเอง นอกจากนี้ห้องสมุดยังเป็นแหล่งพัฒนาลักษณะ นิสัยที่พึงประสงค์อันสาคัญยิ่ง คือ นิสัยการสนใจใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง ซ่ึงเป็นนิสัยสาคัญที่ต้อง สร้างให้เกิดขน้ึ กับนักเรียนการมีห้องสมุดที่ดี มีบริการท่ีดี ย่อมมีโอกาสที่จะสร้างลักษณะนิสัย ท่พี ึงประสงค์ใหเ้ กดิ ขนึ้ กบั นักเรียนได้ (พวา พนั ธเ์ มฆา. 2551 : 22 ) ครผู สู้ อน นางสาวสกุ นั ยา ช่นื รส
36 กำรเขียนบรรณำนกุ รม ควำมหมำยของบรรณำนกุ รม บรรณานุกรม (Bibliography) หมายถึง รายช่ือสิ่งพิมพ์หรือวัสดุอ้างอิงต่างๆ ท่ีผู้เขียนใช้ ประกอบการศกึ ษาค้นคว้า เรียบเรียง เขียนรายงาน หรือบทนิพนธ์อ่ืนๆบรรณานุกรมจะจัดไว้ท้าย เล่มของรายงาน และเรยี งตามลาดับตวั อกั ษร ประโยชนข์ องบรรณำนุกรม 1. มีประโยชนต์ ่อการตรวจสอบหลกั ฐานด้ังเดิมทีผ่ ู้เขียนนามาอา้ งอิงในรายงาน 2. มีประโยชน์ต่อผู้สนใจท่ีอยากทราบเนื้อหาโดยละเอียด สามารถค้นหาเพิ่มเติมได้จาก รายการบรรณนกุ รม 3. ความน่าเชอ่ื ถือของรายงาน 4. เปน็ การให้เกียรติเจ้าของความรู้ ความคิด อันเป็นมารยาทของนกั วิชาการ หลกั เกณฑ์ในกำรเขยี นบรรณำนกุ รม 1. ชอ่ื ผ้แู ตง่ เปน็ ไดท้ ้งั ชื่อคน นามปากกา ช่ือหน่วยงาน องคก์ รต่าง ๆ 2. ในการเขียนช่ือผู้แต่งจะไมเ่ ขียนคานาหนา้ เช่น นาย, นาง, ดร. , อาจารย์, รองศาสตาจารย์ เป็นต้น 3. หากไมป่ รากฏปที ี่พมิ พ์ ใหใ้ ช้อกั ษรย่อ (ม.ป.ป.) 4. หากครั้งทพ่ี มิ พ์หลายครั้ง ให้เขียนครงั้ ที่พิมพ์ลา่ สุด 5. หากพมิ พ์ครั้งท่ี 1 ไมต่ ้องเขยี น เขียนพมิ พค์ รั้งที่ 2 เปน็ ตน้ ไป 6. สถานท่ีพิมพ์ คือ จงั หวดั ทจ่ี ัดพมิ พ์หนังสือเล่มนน้ั 7. สานกั พมิ พ์ คือ สถานท่ีจดั พมิ พห์ รอื สถานทีพ่ ิมพห์ นงั สือเล่มน้ัน 8. ในการยอ่ หนา้ จะย่อหนา้ 7 ตวั อกั ษร แลว้ เขยี นตัวที่ 8 รูปแบบกำรเขยี นบรรณำนุกรมจำกหนังสือ ชื่อผู้แต่ง.//(ปีท่พี ิมพ)์ .//ช่อื หนังสือ.//ครง้ั ที่พมิ พ.์ //สถานทีพ่ ิมพ์/:/สานกั พมิ พ.์ 1. ผแู้ ตง่ 1 คน ตวั อย่ำง แรคา ประโดยคา. (2547). ในเวลำ. พมิ พค์ รั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : รูปจนั ทร์. สงวน สทุ ธเิ ลศิ อรุณ. (2524). ปรัชญำและคุณธรรมสำหรับครู. พิมพ์คร้งั ที่ 2. กรุงเทพ ฯ : วทิ ยาลัยครูสวนสุนันทา. 2. ผูแ้ ต่ง 2 คน : ใชค้ าเช่อื ม “และ” เช่อื มระหว่างผู้แต่งคนท่ี 1และคนที่ 2 ตัวอยำ่ ง ทวี ทองสวา่ ง และกนิษฐา ทยานกุ ลู . (ม.ป.ป.). คู่มอื สังคมศกึ ษำ ศำสนำและ วฒั นธรรม ภูมิศำสตร์ ม.4-5-6. กรงุ เทพฯ : ไฮเอด็ พับลิชช่ิง. ครูผ้สู อน นางสาวสกุ ันยา ชนื่ รส
37 3. ผ้แู ตง่ 3 คน : ใชเ้ ครอื่ งหมายจุลภาค (,) เช่อื มระหวา่ งผแู้ ตง่ คนท่ี 1 และผแู้ ตง่ คนที่ 2 ใช้ คาเช่ือมคาวา่ “และ” ระหว่างผู้แตง่ คนที่ 2 และผูแ้ ตง่ คนท่ี 3 ตัวอยำ่ ง หิรัญ หริ ญั ประดษิ ฐ์, สขุ วัฒน์ จนั ทรปรณิก และเสรมิ สุข สลักเพ็ชร. (2540). เทคโนโลยีกำรผลติ ทุเรยี น. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. 4. ผแู้ ต่งมำกกวำ่ 3 คน : ใหเ้ ขียนชือ่ ผู้แตง่ คนแรกและใช้คาวา่ “และคนอื่นๆ” ตัวอย่ำง จรวย บญุ ยุบล และคนอน่ื ๆ. (2536). พลงั งำน. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . กำรเขียนบรรณำนกุ รมออนไลน์ ชื่อผแู้ ตง่ .//(ปที ี่คน้ ).// “ช่ือเร่อื ง.”//[ออนไลน์]./เข้าถงึ ไดจ้ าก/:/ ชื่อเว็บไซต์./สืบคน้ ว/ด/ป. ตวั อย่ำง 1. กรณีมีช่ือผู้แตง่ จรวย บญุ คง. (2562). “หอ้ งสมดุ .” [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก :: https://www.polsci.chula.ac.th. สืบค้น 14 สิงหาคม 2562. 2. กรณไี มม่ ชี ่อื ผแู้ ตง่ “การถ่ายภาพบุคคล.” (2562). [ออนไลน์]. เข้าถงึ ได้จาก : https://www.photoschoolthailand.com. สืบค้น 14 สงิ หาคม 2562. ครูผู้สอน นางสาวสกุ นั ยา ชน่ื รส
ภาคผนวก
ตวั อยำ่ งรำยงำน
40 กำรศึกษำโรคติดเช้ือไวรสั โคโรนำ 2019 (covid-19) สกุ นั ยำ ชนื่ รส รำยงำนนเ้ี ป็นส่วนหน่งึ ของกำรศกึ ษำรำยวิชำภำษำไทยเสริมทกั ษะ (ท21211) ภำคเรยี นท่ี 2 ปีกำรศึกษำ 2564 โรงเรยี นสริ ินธร จังหวดั สรุ ินทร์
41
42 กำรศึกษำโรคติดเชอื้ ไวรสั โคโรนำ 2019 (covid-19) นำงสำวสกุ นั ยำ ชืน่ รส ชั้น ............................. เลขท่ี ...................... รำยงำนนีเ้ ป็นส่วนหน่ึงของกำรศึกษำรำยวิชำภำษำไทยเสรมิ ทกั ษะ (ท21211) ภำคเรยี นท่ี 2 ปกี ำรศกึ ษำ 2564 โรงเรยี นสริ ินธร จังหวดั สรุ ินทร์
43 คำนำ ร า ย ง า น เ ล่ ม น้ี จั ด ท า ข้ึ น เ พื่ อ ป ร ะ ก อ บ ก า ร ศึ ก ษ า ร า ย วิ ช า ภ า ษ า ไ ท ย เ ส ริ ม ทั ก ษ ะ รหัสวชิ า ท21211 เนือ้ หาภายในเล่มประกอบด้วย บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคติดเช้ือไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) บทที่ 2 มาตรการการป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID- 19) บทที่ 3 วคั ซนี ต้านโควิด-19 ผู้จัดทาขอขอบคุณ นางสาวสุกันยา ชื่นรส ครูประจาวิชา ท่ีได้ให้คาปรึกษาและชี้แนะ แนวทางในการศึกษาค้นคว้าจัดทารายงานเล่มนี้ และขอขอบคุณเจ้าของหนังสือทุกท่านท่ีใช้ ประกอบการอ้างอิงในการเรียบเรียงรายงานเล่มนี้ เพื่อทาให้การศึกษาค้นคว้าประสบความสาเร็จ ตามวัตถุประสงค์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเล่มน้ีจะมีประโยชน์แก่ผู้สนใจและผู้ศึกษาได้ไม่มาก กน็ อ้ ย คณะผูจ้ ดั ทา 8 พฤศจิกายน 2564
44 สำรบญั คำนำ .................................................................................................................................. ก สำรบัญ ............................................................................................................................... ข บทท่ี 1 ควำมรูเ้ บ้อื งต้นเก่ียวกับโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) ................ 1 ช่อื ทางการของเชอ้ื ไวรสั กอ่ โรคโคโรนา ................................................................. 1 ชนดิ ของเชอ้ื ไวรัสก่อโรคโคโรนาในมนษุ ย์ ............................................................. 1 ตน้ ตอของเชอื้ ไวรสั SARS-CoV-2 ……………………………………………………………….. 1 การแพร่กระจายของเช้อื โรคไวรสั โคโรนา ............................................................. 2 แหลง่ แพร่เช้อื ไวรสั COVID-19 …………………………………………………………………….. 3 ขนั้ ตอนจากการรับเชอ้ื ถงึ การปว่ ย ......................................................................... 3 ความรนุ แรงของโรค ........................................................................................... 4 ระยะเวลาท่ีป่วย .................................................................................................... 4 การวนิ จิ ฉัยโรค และการตรวจทางห้องปฏบิ ตั ิการ ................................................. 5 การดแู ลรกั ษาผู้ติดเชือ้ ........................................................................................ 6 ภูมิต้านทานหลงั ตดิ เช้ือ .......................................................................................... 6 การเกิดฝอยละอองขนาดเลก็ (aerosol) และป้องกันการติดเช้ือจากฝอยละออง ... 7 นา้ ยาทาลายเช้อื ที่ท้าลายเช้ือไวรัสโคโรนา ........................................................... 7 ระยะฟักตัวของโรค COVID-19 ………………………………………………………………....... 7 บทท่ี 2 มำตรกำรกำรปอ้ งกนั โรคตดิ เช้อื ไวรสั โคโรนำ 2019 (COVID-19) ……………..... 8 การป้องกันการแพรเ่ ชอื้ และการติดเช้อื ………………………………………………………. 8 แนวทางการดแู ลสขุ อนามัยส่วนบุคคล เพื่อปอ้ งกันและลดการแพร่เช้ือโควดิ 19 .. 9 แนวทางการปฏิบตั สิ าหรบั กลุม่ เสยี่ ง ...................................................................... 10 บทที่ 3 วัคซีนตำ้ นโควิด-19 ............................................................................................. 15 ประเภทของวัคซีน ............................................................................................... 15 รายชอ่ื วัคซีนทอ่ี งค์การอนามยั โลกให้การรบั รอง .................................................... 16 ติดตามการพัฒนาวคั ซีนโควดิ -19 ในปนี ้ี ................................................................ 16 รวมวัคซีนแถวหนา้ ผา่ นการทดสอบทกุ ข้นั ตอน ...................................................... 16 บรรณำนกุ รม ...................................................................................................................... 20
45 บทท่ี 1 ควำมรู้เบื้องตน้ เกยี่ วกบั โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID-19) เช้ือไวรัสสายพันธ์ุ โคโรนาคืออะไร ไวรัสสายพันธ์ุโคโรนา เป็นกลุ่มของเช้ือไวรัสท่ีสามารถ กอ่ ให้เกิดโรคทางเดินหายใจในคน ซ่ึงไวรัสท่ีอยู่ในกลุ่มน้ีมีหลายสายพันธ์ุ ส่วนใหญ่ทาให้เกิดอาการ ไม่รุนแรง คือ เป็นไข้หวัดธรรมดา ในขณะที่บางสายพันธุ์อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรง เป็นปอด อักเสบได้ เช่น โรคติดเช้ือไวรัสทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS) หรือ โรคซาร์ (SARS) ซ่งึ เคยมกี ารระบาดในอดีตที่ผ่านมา (อมร ลลี ารัศมี. 2564) ชอ่ื ทำงกำรของเชื้อไวรัสก่อโรคโคโรนำ เช้ือก่อโรคไวรัสโคโรนา มีชื่อช่ัวคราวที่ใช้ในตอนแรกคือ 2019-nCoV ช่ือทางการใน ปัจจุบันคือ SARS-CoV-2 ส่วนชื่อของโรคติดเช้ือชนิดนี้ เรียกว่า COVID-19 ย่อมาจาก CO แทน corona, VI แทน virus, D แทน disease และ 19 แทน 2019 องค์การอนามัยโลกตั้งชื่อแบบน้ี เพ่ือมิให้เกิด “รอยมลทิน” กับประเทศ พื้นท่ี ผู้ป่วย ประชาชน และสัตว์ที่เก่ียวข้องกับจุดกาเนิด และการระบาดของโรคน้ี (อมร ลีลารศั มี. 2564) ชนิดของเช้อื ไวรัสกอ่ โรคโคโรนำในมนษุ ย์ อมร ลลี ารัศมี. (2564) ได้กล่าวว่า เดิมมีเชื้อไวรัสชนิดน้ี 4 ชนิดท่ีก่อโรคในทางเดินหายใจ ส่วนบนของคนและก่อโรคไม่รุนแรง ได้แก่ HKU1,NL63, OC43 และ 229E ส่วนอีก 3 ชนิดก่อโรค ได้รุนแรง ทาให้ปอดอักเสบและถึงตายได้ ได้แก่ SARSCoV-1 (ก่อโรค SARS ในจีนและฮ่องกง 2546), MERS-CoV และล่าสุดคือ SARS-CoV-2 ส่วนตัวเชื้อ SARS-CoV-2 เอง ก็มีการกลายพันธ์ุ เป็นสายพันธ์ุย่อยได้อยู่แล้ว เพราะเป็นไวรัส RNA ที่กระบวนการเพิ่มจานวนและรหัสพันธุกรรม ไม่ได้มีประสิทธิภาพเต็มร้อยอยู่แล้ว ทาให้มีหลายสายพันธ์ุย่อยได้ในเวลาต่อมา แต่การกลายพันธ์ุ เป็นสายพนั ธ์ุยอ่ ยดงั กล่าวยงั ไมพ่ บข้อมูลว่า ทาให้มีการตดิ เช้ืองา่ ยขึน้ อีก ทาให้โรครุนแรงมากข้ึนอีก ทาให้เช้อื ดอื้ ยาต้านไวรัสทีใ่ ช้อยู่ หรือทาให้ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อครั้งก่อน ใช้ไม่ได้ผล กับการติดเชื้อสายพันธ์ุย่อยในครั้งท่ีสองหรือสาม ดังนั้น เรื่องการกลายพันธุ์เป็นเร่ืองปกติ แต่ยังไม่ มีผลร้ายอย่างใดท่ีแตกต่างไปจากการก่อโรคของเชื้อ SAR-CoV-2ของสายพันธ์ุที่เป็นต้นแบบ (parent strain) ตน้ ตอของเชอ้ื ไวรัส SARS-CoV-2 1. การศึกษารหัสพันธุกรรมและการเรียงล าดับของรหัสแต่ละตัวจะบอกถึงต้นตอของเช้ือ การศึกษาดังกล่าวพบว่าเช้ือไวรัส SARS-CoV-2มีจานวน ๒๙,๙๐๓ นิวคลีโอไทด์และพบว่า มนี ิวคลโี อไทดท์ ี่เหมือนกันถึงรอ้ ยละ ๘๙.๑ ของเชื้อ SARS-like coronaviruses ในค้างคาวทเ่ี คย
46 2 พบในประเทศจีน จึงจัดให้เช้ืออยู่ในจีนัส Betacoronavirus, ซับจีนัส Sarbecovirus ปัจจุบัน ทราบว่าต้นตอมาจากเช้ือไวรัสโคโรนาในค้างคาวและเกิดการกลายพันธุ์ ทาให้ได้เช้ือไวรัส SARS- CoV-2เพียงแต่ไม่แน่ชัดว่า การกลายพันธ์ุและการแพร่กระจายเกิดในสัตว์อ่ืนท่ีเป็นตัวกลาง (intermediate host) ก่อนมาสู่คนหรือไม่? มีการศึกษายีนของเชื้อชนิดน้ีในตัวตัวล่ิน (หรือตัวนิ่ม) พบว่า มีรหัสพันธุกรรมเหมือนกับ SARS-CoV-2 ถึงร้อยละ ๙๙ และตัวลิ่นเป็นสัตว์มีแกนสันหลัง และเป็นสัตว์เล้ียงลูกด้วยนมด้วย ดังนั้น ตัวล่ินอาจจะเป็น intermediatehost ก่อนแพร่เชื้อสู่คน หรือว่า เกิดการกลายพันธุ์ในค้างคาวแล้วกระจายมาสู่คนเลย (ค้างคาวเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ส่วนนกเป็นสตั วป์ กี แตท่ ง้ั คู่มเี ชื้อไวรสั โคโรนาอยู่ในตวั ได้) 2. การศึกษาการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ในสัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น สุนัข แมว พบว่า สุนัข ไม่ใช่สัตว์ที่จะติดเชื้อได้ดี จึงไม่น่าเป็นพาหะท่ีสาคัญ ส่วนแมวเป็นสัตว์ที่เชื้อ SARS-CoV-2 ก่อโรค ได้ดีและสามารถแพร่เชื้อไปให้แมวข้างเคียงได้ จึงต้องคอยดูแลแมวในบ้านมิให้ไปเพ่นพล่านนอก บ้าน หรือไมใ่ หแ้ มวเข้ามาในสถานท่ดี แู ลรกั ษาผู้ป่วยโรค COVID-19 เพ่ือป้องกันแมวมิให้เป็นพาหะ นาเช้อื ตอ่ ไปยงั คนได้ กำรแพร่กระจำยของเช้ือโรคไวรสั โคโรนำ การแพร่เช้ือไวรัส SARS-CoV-2 ท่ีพบบ่อยที่สุดคือ ผู้ติดเช้ือแพร่เช้ือผ่านทางฝอยละออง ขนาดใหญ่และขนาดเลก็ เขา้ ไปในทางเดินหายใจของผู้รับเช้ือ ส่วนการสัมผัสส่ิงของท่ีใช้ร่วมกันแล้ว แพร่เช้ือเข้ามาในทางเดินหายใจยังเกิดข้ึนได้แต่พบน้อย ตามปกติการก่อโรคของเช้ือไวรัสใน ทางเดนิ หายใจ มกี ารแพรก่ ระจายเชื้อทางอากาศ(airborne)ได้สัตว์ที่แพร่เชื้อต้องร้องพ่นส่ิงคัดหลั่ง ออกมาทางปาก หรือผปู้ ่วยต้องไอ ไอมีเสมหะ การไอ จาม การตะโกนเชียร์ ร้องเพลงเสียงดัง ทาให้ มีฝอยละอองขนาดใหญ่ (droplet) และฝอยละอองขนาดเล็ก (เล็กกว่า ๕ ไมครอนเรียกว่า aerosol) กระเด็นออกมา ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดไม่เกิน ๒ เมตรจากผู้แพร่เชื้อจะสูดดมเช้ือในอากาศผ่าน ทางฝอยละอองขนาดใหญ่ (droplet) และฝอยละอองขนาดเล็ก(เล็กกว่า ๕ ไมครอนเรียกว่า droplet nuclei หรอื aerosol)เข้าไปในทางเดินหายใจโดยเฉพาะจากการไอจามรดกันโดยตรง ถ้า อยู่ห่างจากผู้แพร่เช้ือหรือผู้ป่วยเกิน ๒ เมตรข้ึนไป จะติดเช้ือจากการสูดฝอยละอองขนาดเล็กท่ี ล่องลอยในอากาศไปได้ไกลกว่า ๕ เมตร การแพร่เช้ือทั้งสองวิธีมีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ แตกต่างกัน การแพร่เชื้อผ่านทางฝอยละอองขนาดเล็ก (aerosol) จะเกิดข้ึนได้เม่ือมีผู้ติดเช้ือมา แพร่เชื้อในห้องหรือสถานที่อากาศไม่ถ่ายเท ผู้ติดเชื้อและผู้รับเชื้อมาอยู่ร่วมกันในห้องนานเป็น ชัว่ โมง เช่น อยใู่ นสนามมวย ในผบั ในห้องคาราโอเกะ เป็นต้น ส่วนการแพร่เช้ือโดยการสัมผัส เช่น การจับมือกันหรือมือจับของใช้สาธารณะที่ปนเปื้อนเช้ือ แล้วมาแคะจมูกหรือเช็ดตาตนเองแล้วติด เชอื้ มีความเป็นไปได้แต่ไม่ได้ท าให้เกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อนใหญ่อย่างรวดเร็ว การแพร่เช้ือทาง อุจจาระอาจจะเป็นไปได้เพราะเชื้อออกมาทางอุจจาระได้ด้วย แต่การแพร่เช้ือจากอุจจาระอาจจะ เกดิ จากการสมั ผสั อุจจาระ หรอื มีการทาให้นา้ ลา้ งอจุ จาระกระเด็นเปน็ ฝอยละอองขนึ้ มาเม่ือเวลา
Search