แผนการจัดการเรยี นรอู งิ มาตรฐานการเรยี นรู กลมุ สาระการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตร วชิ าวทิ ยาศาสตร รหสั วชิ า ว14101 ระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที่ 4 ปก ารศึกษา 2561 โดย นางอมลสริ ิ คาํ ฟู ตําแหนง พนกั งานราชการ โรงเรียนราชประชานุเคราะห 31 จงั หวดั เชยี งใหม สาํ นกั บริหารงานการศกึ ษาพิเศษ สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
หนว ยการเรียนรทู ่ี 1 เรอื่ ง การดาํ รงชีวติ ของพชื กลุมสาระการเรยี นรูวทิ ยาศาสตร รายวชิ าพ้นื ฐาน รหัส ว 14101 ชนั้ ประถมศึกษาปท ี่ 4 เวลา 19 ชวั่ โมง 1. มาตรฐานการเรียนรู / ตัวช้ีวัด สาระท่ี 1ส่งิ มีชีวิตกับกระบวนการดํารงชวี ิต มาตรฐาน 1.1 เขา ใจหนวยพน้ื ฐานของสิง่ มีชีวิต ความสมั พันธของโครงสรา ง และหนา ท่ีของระบบตางๆ ของ ส่ิงมีชีวิตท่ีทํางานสัมพันธกัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรูส่ือสารส่ิงทีเ่ รียนรแู ละนาํ ความรูไปใชในการดํารงชวี ิต ของตนเองและดแู ลสง่ิ มีชีวิต ตัวชวี้ ัด ว 1.1 ป.4/1 ทดลองและอธิบายหนาที่ของทอลําเลียงและปากใบของพืช ว 1.1 ป.4/2 อธบิ ายนํ้า แกสคารบอนไดออกไซด แสง คลอโรฟล ล เปนปจจัยที่จําเปนบางประการตอการ เจริญเติบโตและการสงั เคราะหดวยแสง ว 1.1 ป.4/3 ทดลองและอธิบายการตอบสนองของพืชตอ แสง เสียง และการสมั ผัส ว 1.1 ป.4/4อธิบายพฤติกรรมของสัตวท่ีตอบสนองตอแสง อุณหภูมิ การสัมผัสและนําความรูไปใช ประโยชน 2. สาระสําคัญและความคิดรวบยอด สิ่งมีชีวิตไมว า จะเปนพืชหรือสัตวม ีลักษณะโครงสรา งท้ังเหมือนกันและตางกันซึง่ สามารถใชเปนเกณฑ ในการจาํ แนกสิ่งมีชีวิตเปนกลุมพชื และกลุมสัตว โดยในแตละกลุมของพืชและสัตวสามารถจาํ แนกเปนกลุมยอยได อีกขึ้นอยูกับเกณฑ 2.1 พชื มอี วัยวะเพ่อื ทาํ หนาท่ีสรา งอาหาร ลาํ เลียงนาํ้ แรธาตุ อาหาร และการคายน้ํา เพือ่ ใชประโยชนใ นการ ดาํ รงชีวิต 2.2 สิ่งมีชีวิตทัง้ พืชและสัตวจะมกี ารแสดงพฤติกรรมการตอบสนองตอส่ิงแวดลอมตางๆ เชน แสง อุณหภมู ิ การสัมผัส และเสียง ซ่ึงสามารถนาํ ความรไู ปใชในการจัดสภาพแวดลอมใหเ หมาะสมกับการดํารงชวี ิต ของพชื และสัตว 3. สาระการเรยี นรู 31. ประเมินความพรอ ม ทดสอบกอ นเรียน 3.2 การจําแนกพืช 3.3 โครงสรางและหนาที่ของพชื (ราก ) 3.4 โครงสรางและหนาท่ีของพชื (ดอก ) 3.5 โครงสรางและหนาท่ีของพืช (ลาํ ตน ) 3.6 การสังเคราะหดวยแสงของพืช 3.7 ปจจัยท่ีสําคัญตอการเจรญิ เติบโตและการสงั เคราะหดวยแสงของพชื 3.8 การคายนาํ้ ของพืช 3.9 การตอบสนองตอสิง่ แวดลอ มตางๆ ของพชื และสัตว
4. สมรรถนะสําคญั ของผเู รียน 4.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแกป ญหา 4.4 ความสามารถในการใชทักษะชีวิต 4.5 ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี 5.คุณลักษณะอนั พ่ึงประสงค 5.1 รกั ชาติ ศาสน กษัตริย 5.2 ซอื่ สัตยสุจริต 5.3 มวี ินัย 5.4 ใฝเ รียนรู 5.5 อยอู ยา งพอเพยี ง 5.6 มงุ มั่นในการทํางาน 5.7 รกั ความเปนไทย 5.8 มีจติ สาธารณะ 6. ชิน้ งาน / ภาระงาน 6.1 รายงานการบันทึกจาํ แนกกลมุ พชื ไดอยางไร 6.3 ภาพวาดการแยกสวนประกอบของดอก 6.4 รายงานเรื่องการสังเคราะหแ สงของพืช 6.4 การทดลองเรอื่ ง หนาทขี่ องใบและการคายน้าํ 6.5 นาํ เสนอ จัดแสดงผลงาน โดยอธิบายดวยวาจา หรือเขียนอธิบายกระบวนการและผลของงานใหผูอื่น เขาใจ 7. การวัดและประเมินผล 7.1 เกณฑที่ใชในการประเมินการตรวจผลงานแบบบันทกึ กิจกรรม รายการประเมิน 4 ระดับคะแนน 1 นํา้ หนัก คะแนน 32 1.0 รวม 0.5 4 1.ความถกู ตอง มคี วามถูกตอง ผลงานสว นใหญ ผลงานมีความ มีความถูกตอ ง 0.5 2 ชัดเจนสมบูรณ ถูกตองครบถวน ถกู ตองเปน เปนสวนนอย 0.5 2 ครบถว น บางสวน 2 2. ความสะอาด ผลงานสะอาด ผลงานสะอาด ผลงานบางสวน ผลงานสว น เรียบรอย เรียบรอย เรียบรอย ไมสะอาด ใหญไมสะอาด สวยงาม สวยงามไมม รี อย มีรอยขีดลบนอย ไมเรียบรอ ย ไมเ รียบรอย ขีดลบ 3. ตรงตอเวลา สงงานตรงเวลาที่ สงงานชา กวา สงงานชา กวา สงงานขากวา กาํ หนด กาํ หนด 1 วัน กาํ หนด 2 วนั กาํ หนด เกิน 2 วัน 4. การเช่ือมโยง คิดแปลกใหม คิดแปลกใหม คิดแปลกใหม คิดแปลกใหม
และความคิด เชือ่ มโยงสัมพันธ เชอ่ื มโยงสัมพนั ธ เช่อื มโยง เชอื่ มโยง สรางสรรค สิ่งตา งๆ ไดอยาง สง่ิ ตางๆ ไดอยาง สมั พันธสิ่ง สมั พันธส่งิ ถูกตอง ถกู ตองเปนสวน ตา งๆ ไดอยาง ตางๆ ไดอยาง ถูกตองเปน ใหญ ถูกตองเปน สวนนอย บางสวน 7.2 เกณฑการตัดสิน 9 – 10 หมายถึง ดีมาก คะแนน 7 – 8 หมายถึง ดี คะแนน 5 – 6 หมายถึง พอใช คะแนน 0 – 4 หมายถึง ปรับปรงุ คะแนน 8. กิจกรรมการเรยี นรู กิจกรรมการเรียนรูชวั่ โมงที่ 1 เร่อื ง การทดสอบกอ นเรียน จุดประสงคการเรียนรู นกั เรียนสามารถประเมินความพรอ มโดยทาํ แบบทดสอบกอนเรียน ขั้นนาํ 1. ครูสนทนาทกั ทายนักเรียนแนะนาํ ครู จากน้ันใหนกั เรียนวิเคราะหนักเรียนโดยใหเ ขียนลงในใบ งานทคี่ รูแจกให ข้ันสอน 1. ครแู จกแบบทดสอบกอ นเรียน จาํ นวน 40 ขอ ใหนักเรียนลงมือทาํ 2. ครตู รวจแบบทดสอบ ข้ันสรุป ครสู รุปผลการทดสอบกอนเรียนของนักเรียน แลว นําผลการทดสอบไปวิเคราะหเ รื่องท่ีนักเรยี นยัง ไมเขาใจ กจิ กรรมการเรยี นรู ชั่วโมงที่ 2 เรอื่ ง กจิ กรรมจาํ แนกพชื ใบเลย้ี งเดยี่ วและพชื ใบเลี้ยงคู จุดประสงคการเรียนรู นกั เรียนสามารถจาํ แนกพชื ใบเลี้ยงเดย่ี วและใบเล้ียงคูได กิจกรรมการเรียนรู ข้ันนาํ 1. ครแู นะนําตนเองใหนักเรียนรูจัก และใหนักเรียนเขียนใบวิเคราะหผเู รียน 2. ครนู าํ นักเรียนรองเพลง “ตนไมท ่ีรัก” พรอ มทา ทางประกอบ
เพลง ตนไมท ่ีรัก ตนไมนั้นสูงใหญ กงิ่ ใบน้ันใหรม เงา อกี ยังชวยเรา บรรเทาความรอนจากกาย หวังเพยี งมือนอ ยๆ ทจี่ ะคอยรักษาไว เปนที่อยูอาศัย ของสัตวใหญสัตวเล็กท่ัวกัน 3. ใหนักเรยี นแบง กลุม กลุม ละ 3-5 คน ตามความสมคั รใจ เลอื กหัวหนากลุมและรองหวั หนา กลุม 4. ครใู ชค าํ ถามนํา คือ นักเรยี นจะใชเ กณฑอะไรในการจาํ แนกพืช ใหนักเรียนอภิปรายรวมกันแสดง ความคิดเห็น ขัน้ สอน 1. ครูนาํ ใบโพธ์ิ ตะไคร ใบมะมว ง และใบไผ แสดงใหนักเรียนดู 2. ใหน ักเรียนลอกลายใบไม มีวิธกี ารดังนี้ - วางกระดาษ A4 สีขาวทับบนใบไม - ใชดินสอ 2B ขูดหรอื สีไม จนกระทั่งปรากฏภาพลักษณะของเสนใบ ดังรปู 3. ใหนกั เรียนแตละกลุมรวมกันอภปิ รายและจําแนกพชื โดยใชลักษณะเสนใบเปนเกณฑ 4. ใหน ักเรียนทําแบบบันทกึ กิจกรรมที่ 1 จาํ แนกกลุมพืชไดอ ยางไร ข้ันสรุป ใหน ักเรียนแสดงผลงานการลอกลายใบไมหนา ชั้นเรียน ครูและนกั เรียนรวมกันสรปุ การจําแนกพืชใบเล้ียง เด่ียวและใบเล้ียงคโู ดยใชล กั ษณะของเสนใบเกณฑ ส่ือการเรียนรู 1.เพลง ตนไมทีร่ กั 2.ใบโพธ์ิ ตะไคร ใบมะมวง และใบไผ (ครูสามารถใชใ บไมชนิดอ่ืนๆ ตามความเหมาะสม)
การวัดและประเมินผล วธิ ีการ เครื่องมอื เกณฑ ผา นเกณฑรอยละ 60ขึ้นไป ตรวจแบบบันทึกกิจกรรมที่ 1 จาํ แนก แบบบันทึกกิจกรรมท่ี 1 จาํ แนก ผานเกณฑร อยละ 60ขึน้ ไป กลุมพืชไดอยางไร กลุมพืชไดอยางไร ผา นเกณฑร ะดับคุณภาพ 2 ข้ึนไป ตรวจผลงานการลอกลายใบไม ผลงานการลอกลายใบไม ผานเกณฑร ะดับคณุ ภาพ 2 ขึ้นไป สงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลมุ แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งาน กลุม สงั เกตความมวี ินัย ใฝเ รียนรู และมุง ม่ันใน แบบประเมินคุณลักษณะอันพงึ การทํางาน ประสงค ช่วั โมงท่ี 3 เร่อื ง กิจกรรมจาํ แนกพืชใบเลยี้ งเด่ยี วและพชื ใบเลยี้ งคู จุดประสงคการเรียนรู 1.นักเรียนสามารถจําแนกพืชใบเล้ียงเดี่ยวและใบเล้ียงคูได 2.บันทึกขอมูลในเชิงปริมาณนาํ เสนอผล สรุปผล 3.แสดงความคิดเห็น และสรุปส่งิ ที่ไดเ รียนรู กิจกรรมการเรียนรู ขนั้ นาํ ครทู บทวนบทเรียนโดยการนําใบไมท ัง้ พืชใบเล้ียงเด่ยี วและพืชใบเลี้ยงคูมาใหนักเรียนดู และซักถามสนทนา กบั นกั เรียนวา เปนใบไมของใบไมพืชใบเล้ียงเดี่ยวหรอื พชื ใบเล้ียงคู ขนั้ สอน 1. ครูนาํ ส่ือของจริงและภาพสวนประกอบของพืชใบเลี้ยงเด่ียวและพืชใบเลี้ยงคู เชน รากกลีบดอก ทอลําเลียง และขอ ปลอง แสดงใหนักเรียนดูและรวมกันอภิปรายเพื่อจําแนกพืชใบเล้ียงเด่ียวหรือพืชใบเล้ยี งคู 2. ครแู สดงสือ่ ของจรงิ ไดแ ก รากตะไคร รากมะเขอื หรือพริก ใหนักเรียนชบู ัตรคําพืชใบเลี้ยงเดี่ยว หรอื พืชใบเล้ียงคูใหถูกตอง 3. ครแู สดงสือ่ ของจริง ไดแ ก ลําตนออย ลาํ ตนไผ ลาํ ตนมะเขือหรอื พรกิ ใหนักเรียนชูบัตรคําพืช ใบเล้ียงเด่ียวหรือพชื ใบเล้ียงคูใหถกู ตอง 4. ครแู สดงภาพทอ ลําเลียงของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพชื ใบเลี้ยงคู ใหนักเรียนชูบัตรคาํ พืชใบเล้ียงเดี่ยว หรือพชื ใบเลี้ยงคูใหถ ูกตอง ขนั้ สรปุ ครูและนกั เรียนรวมกันสรุปพืชใบเลี้ยงเด่ียวและพชื ใบเล้ียงคู และครูแนะนาํ เพม่ิ เติมจากท่นี ักเรียน รวมกันสรุป ดงั ตารางตอไปนี้
ตารางเปรยี บเทียบพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพชื ใบเล้ียงคู พชื ใบเลย้ี งเดี่ยว พชื ใบเลี้ยงคู 1. เสนใบเรียงแบบขนาน 1. เสนใบเปนแบบรางแห 2. ระบบรากฝอย 2. ระบบรากแกว 3. เหน็ ขอปลองชัดเจน 3. เหน็ ขอปลอ งไมชัดเจน 4. ทอลําเลียงเรียงตัวไมเปนระเบียบ 4. ทอ ลําเลียงเรียงตัวเปนระเบยี บ 5. กลบี ดอกมจี ํานวน 3 หรือทวคี ูณของ 3 5. กลบี ดอกมจี ํานวน 4 หรอื 5 หรอื ทวีคณู ของ 4 หรือ 5 6. มีใบเล้ียง 1 ใบ 6. มใี บเลี้ยง 2 ใบ 7. ใบเล้ียงไมชูเหนอื พื้นดิน 7. ใบเล้ียงชเู หนือพื้นดิน 8. ไมมีการเจริญเติบโตดานขาง 8.มกี ารเจรญิ เติบโตดา นขา ง ส่ือการเรียนรู 1.สอ่ื ของจริง ไดแก รากตะไคร ราก มะเขือหรือพริก ลําตนออย ลําตนไผ ลําตนมะเขือหรือพรกิ 2.ภาพทอ ลาํ เลียงของพืชใบเล้ียงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู การวัดและประเมนิ ผล วิธีการ เคร่ืองมอื เกณฑ สงั เกตการตอบคําถามของนกั เรียน การตอบคาํ ถามของนักเรียน สังเกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุม แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางาน ผานเกณฑระดับคุณภาพ 2 ข้ึนไป กลุม สงั เกตความมวี ินัย ใฝเ รียนรู และมุงม่ันใน แบบประเมินคุณลักษณะอันพึง ผานเกณฑร ะดบั คุณภาพ 2 ขึ้นไป การทํางาน ประสงค ช่ัวโมงที่ 4-5 เร่อื ง สว นประกอบของพชื (ราก) จุดประสงคการเรียนรู นกั เรียนสามารถจําแนกชนิดรากของพืช และทดลองหนา ที่ของรากได กิจกรรมการเรียนรู ขั้นนาํ 1. ใหนักเรียนแบง กลุมละ 5 คน ตามความสมคั รใจ 2. ครถู ามนักเรียนเกี่ยวกบั โครงสรา งของพืชสวนใดที่เก่ียวของกับการดูดน้ําและแรธาตุ 3. ครูอธิบายโครงสรางและหนา ท่ีของราก (ราก เปนสว นที่อยูล างสุดของพชื ทาํ หนาที่ดูดนํา้ และแรธาตุ จากดินสงผานข้ึนไปท่ีตน และชวยพยงุ หรอื ยดึ ลําตนไว นอกจากนี้รากพืชบางชนิดอาจตองทําหนา ทพี่ ิเศษควบคไู ป ดวย เชน การสะสมอาหาร การหายใจ รากยึดเกาะ รากหายใจ รากสังเคราะหดว ยแสง) 4. ครใู หนักเรียนดูภาพตัวอยา งพชื และใหนักเรียนจาํ แนกวา ภาพที่ครกู ําหนดใหเปนรากหรอื เปนลําตน ของพชื
ข้ันสอน 1. ครแู จกใบความรู เร่ืองหนาทร่ี ากพืชใหนักเรียนศึกษาและลงมือทาํ ใบกิจกรรมตามหัวขอที่กําหนด โดย ครคู อยใหคาํ แนะนําในการทาํ ใบกิจกรรม 2. ครูใหน ักเรียนทาํ การทดลองหนาท่ีของราก โดยใชตนคื่นฉาย ในการดูดนํา้ สีผสมอาหาร และตั้งทิง้ ไว 30 นาทเี พือ่ รอดูผลการทดลอง 3. ในขณะทร่ี อดูผลการทดลองการดูดนา้ํ ของรากตนค่ืนฉา ยครูอธิบายเก่ียวกับ หนา ท่พี เิ ศษของรากพืช และใหนักเรียนแตละกลมุ ออกมารับอปุ กรณใ นการทดสอบแปง ในรากพชื สะสมอาหาร 4. ครูอธบิ ายการทดลองใหนักเรียนฟงและใหนักเรียนสอบถามขอสงสัยในการทดลองแลว ลงมือปฏบิ ัตกิ ารทดลอง สงั เกตและบันทึกผล ขนั้ สรุป ครูและนกั เรียนรวมกันสรุปผลการทดลอง พรอมทัง้ ใหน ักเรยี นถามในส่งิ ที่ไมเขา ใจในสิ่งทีเ่ รียนมา ส่อื และแหลงการเรียนรู สื่อการเรียนรู 1. ใบความรู เรื่อง โครงสรา งและหนา ท่ขี องรากพชื 2. ตัวอยางพืช สาํ หรบั ตรวจสอบสารอาหาร แปง แครอท มันสําปะหลัง กระชาย 3. ขวดพลาสติก 8 ขวด 4. สีผสมอาหาร (สแี ดง, สีนํ้าเงิน) 5. ตนค่ืนฉาย 6. สารละลายไอโอดีน การวัดและประเมนิ ผล วิธีการ เคร่ืองมอื เกณฑ ตรวจใบกิจกรรมที่ 2 เรื่อง หนา ท่ีของพชื ใบกิจกรรมท่ี 2 เร่ือง หนาท่ีของพชื ผา นเกณฑรอยละ 60ขึน้ ไป (ราก) (ราก) ตรวจใบกิจกรรมท่ี 3เร่ือง หนาท่พี เิ ศษ ใบกิจกรรมที่ 3เรอ่ื ง หนาท่ีพิเศษ ผานเกณฑร อยละ 60ขน้ึ ไป ของรากพืช ของรากพืช สงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลมุ แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งาน ผา นเกณฑร ะดับคุณภาพ 2 กลุม ข้นึ ไป สงั เกตความมวี ินัย ใฝเรียนรู และมงุ ม่ัน แบบประเมินคุณลักษณะอันพึง ผา นเกณฑระดับคณุ ภาพ 2 ในการทาํ งาน ประสงค ขน้ึ ไป ชัว่ โมงท่ี 6-7 เรื่อง สว นประกอบของดอก จุดประสงคการเรียนรู 1. นักเรียนสามารถแยกสวนประกอบของดอกไมและบอกหนาท่ีของดอกไดถกู ตอง 2. แสดงความคิดเห็น และสรุปสงิ่ ท่ีไดเรียนรู 3. บันทึกและอธิบายผลการสํารวจ ตรวจสอบอยางตรงไปตรงมา
กิจกรรมการเรียนรู ขั้นนาํ ครนู ําดอกกลวย (หัวปลี) ใสกลองมาวางหนา หอง แลวใหนักเรียน 1 คน ออกมาเปดดูแลว ใหบ อกลักษณะรปู รางดอกไมวา มลี ักษณะอยางไร ใหเพ่ือนในหองทายวา คอื ดอกอะไร กลุมไหนทายถกู ใหค ะแนนดาวเดน ข้นั สอน 1. ครนู าํ ภาพสวนประกอบของดอกไมม าใหนักเรียนดู แลวครูอธบิ ายโครงสรางและหนา ที่สวนประกอบ ของดอกไมจนนักเรียนเขา ใจ 2. ครูแจกใบกิจกรรมสวนประกอบของดอกไมใ หแ ตละกลมุ แลวครอู ธบิ ายวิธีการแยกสว นประกอบ ของดอกไม 3. ครูแจกดอกแค ใหนักเรียน จากน้ันใหนกั เรียนทุกคนแยกสวนประกอบของดอกแค โดยแยก สวนประกอบดอกไมแตละสวนโดยใชเทปใสติดลงบนใบกิจกรรม แลวตกแตงระบายสี 4. นาํ ผลงานนักเรียนมาแสดงหนาชั้นเรียนใหนักเรียนไดแสดงความคิดเห็น และช่ืนชม ข้ันสรุป ครูและนกั เรยี นรวมกันสรุป โครงสรา งและหนาท่ีสวนประกอบของดอกไมแ ละครแู นะนาํ เพมิ่ เติม จากที่นกั เรียนรวมกันสรุป ถึงดอกสมบูรณ และดอกไมสมบูรณ ตลอดจนดอกสมบูรณเ พศและดอกไมสมบูรณเพศ ส่ือการเรียนรู 1. สอ่ื ของจรงิ ไดแก หัวปลี ดอกแค 2. ภาพสว นประกอบของดอกไม 3. ใบกิจกรรม การวัดและประเมินผล วธิ ีการ เคร่ืองมอื เกณฑ การตรวจใบกจิ กรรมสวนประกอบของ ใบกิจกรรมสว นประกอบของดอก ผา นเกณฑร อยละ 60 ขึ้นไป ดอก สังเกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุม แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลุม ผา นเกณฑระดบั คณุ ภาพ 2 ข้ึนไป สงั เกตความมวี ินัย ใฝเ รียนรู และมุงมั่นใน แบบประเมินคุณลักษณะอันพึง ผา นเกณฑระดบั คณุ ภาพ 2 ขึ้นไป การทาํ งาน ประสงค ชั่วโมงท่ี 8-9 เร่ือง ลาํ ตน จุดประสงคการเรียนรู อธบิ ายลักษณะ โครงสรางและหนา ท่ีลาํ ตนของพืชที่อยูบนดินและอยูใตดินได กิจกรรมการเรียนรู ขัน้ นํา ครูนาํ ลําตนของพชื มาแสดง เชน ขงิ ขา และซักถามนักเรียนวาเปนสว นใดของพชื
ขนั้ สอน 1. ครนู ําพชื ผัก เชน มันฝร่งั ขิง ขา หอมใหญ ใหนกั เรยี นดู และอธิบายโครงสรางและหนาท่ขี องลําตน คือ ลําตน มีหนา ที่สําคญั คือ เปน ทางลาํ เลียงน้าํ ธาตุอาหารไปเล้ียงยังสวนตางๆของพืช และลําตนมีสวนประกอบ ท่สี าํ คัญไดแก ขอ ปลอ ง ตา 2. ครแู จกใบความรูใหนักเรียนอา นและครูอธิบายเพิ่มเติมลักษณะและหนาทีข่ องลําตนบนดินและลํา ตนใตดิน ดังนี้ 1) เปนแกนชวยพยงุ อวัยวะตางๆ ไดแก ก่ิง ใบ ดอก ผล และเมล็ด ชวยใหใ บกางออก รับแสงแดด เพือ่ ประโยชนในการสรางอาหารโดยวิธีการสังเคราะหดวยแสง 2) เปนทางลําเลียงนาํ้ และแรธาตทุ ร่ี ากดูดขึ้นมาสงตอไปยังใบและสว นตางๆ ของพชื 3) เปนทางลาํ เลียงอาหารท่ีใบสรา งข้ึน สงผา นลําตนไปยังรากและสวนอ่ืนๆ 4) ทาํ หนาที่พิเศษตา งๆ เชน ลําตนสะสมอาหาร ลาํ ตนสงั เคราะหดวยแสง ลําตนขยายพนั ธุ และ ลําตนเปล่ียนไปเปนมือพัน 3. ครอู ธิบายการทดลองเร่ือง ลาํ ตนสะสมอาหารไดหรือไม 4. ใหนกั เรียนทาํ การทดลอง เร่อื ง ลาํ ตนสะสมอาหารไดหรือไม ขัน้ สรุป ครูและนักเรยี นชวยกันสรุปผลการทดลอง ลาํ ตน ส่ือการเรียนรู ส่อื ของจริง พืชผัก เชน มันฝร่ัง ขิง ขา หอมใหญ 2.สารละลายไอโอดีน การวัดและประเมนิ ผล วธิ ีการ เคร่ืองมอื เกณฑ ตรวจใบกิจกรรมการทดลอง เรอ่ื ง ลําตน ใบกิจกรรมการทดลอง เรอื่ ง ลําตน ผา นเกณฑร อยละ ๖๐ข้ึนไป สะสมอาหารไดหรือไม สะสมอาหารไดหรือไม สงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุม แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ผา นเกณฑระดับคณุ ภาพ ๒ ข้ึนไป สังเกตความมวี ินัย ใฝเ รียนรู และมงุ มั่นใน แบบประเมินคุณลักษณะอันพึง ผานเกณฑร ะดับคุณภาพ ๒ ข้นึ ไป การทาํ งาน ประสงค ช่ัวโมงที่ 10-11 เรอื่ ง ทอลําเลียงของพืช จุดประสงคการเรียนรู 1. นักเรียนสามารถอธิบายทอ ลําเลียงน้ําและทอลําเลียงอาหารของพชื 2. นักเรียนสามารถอธิบายทศิ ทางการลําเลียงนํา้ และการลําเลียงอาหารของพืช 3. แสดงความคิดเห็น และสรุปสงิ่ ที่ไดเ รียนรู 4. บนั ทึกและอธบิ ายผลการสํารวจ ตรวจสอบอยางตรงไปตรงมา 5. นาํ เสนอ จัดแสดงผลงาน โดยอธบิ ายดวยวาจา หรือเขียนอธิบายกระบวนการและผลของงานใหผูอื่นเขาใจ
กิจกรรมการเรียนรู ขน้ั นํา ครูซกั ถามนักเรียนวา โครงสรา งของพืชสวนใดทเี่ ก่ียวของกับการลาํ เลียงนํา้ และอาหาร และทศิ ทาง การลําเลียงนาํ้ และการลําเลียงอาหารของพชื เหมือนหรือแตกตางกันอยา งไร ขัน้ สอน 1. ครูทบทวนและสนทนากบั นักเรยี นเก่ียวกับโครงสรา งและหนาทข่ี องลําตนท้งั ลาํ ตนบนดินและ ลําตนใตดิน 2. ครแู จกใบความรู เรอื่ ง ทอลาํ เลียงของพชื ใหนกั เรียนอาน 3. ใหนักเรียนทําการทดลอง เร่อื ง ทอลําเลียงของพืช โดยใหน ักเรียนแตละกลุมออกไปสังเกตลักษณะ ของทอ ลําเลียงของตนค่ืนฉา ยและตนจากกลอ งจุลทรรศนท ่ีครูเตรียมไวใ ห 4. นกั เรียนวาดรปู ทอลําเลียงท่ีไดจากการสงั เกตจากกลองจุลทรรศน 5. ใหนกั เรียนนาํ เสนอผลงานโดยการจัดนิทรรรศการ ข้นั สรปุ ครแู ละนักเรียนรวมกันสรุปลกั ษณะของทอลาํ เลียงนา้ํ และอาหารของพืชและทศิ ทางการเคลอ่ื นท่ขี อง นํา้ และอาหารของพืช ส่ือการเรียนรู 1. ใบความรู เรือ่ ง ทอลาํ เลียงของพืช 2. กลองจุลทรรศน 3. แผนสไลด การวัดและประเมนิ ผล วิธีการ เคร่ืองมือ เกณฑ ตรวจใบกิจกรรมการทดลอง เรือ่ ง ทอ ใบกิจกรรมการทดลอง เรื่อง ทอ ผานเกณฑร อยละ ๖๐ขึ้นไป ลําเลียงของพืช สงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ลําเลียงของพชื สงั เกตความมีวินัย ใฝเรียนรู และมงุ มั่นใน การทาํ งาน แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลุม ผานเกณฑร ะดบั คณุ ภาพ ๒ ขึ้นไป แบบประเมินคุณลักษณะอันพงึ ผา นเกณฑร ะดบั คณุ ภาพ ๒ ขึ้นไป ประสงค ชว่ั โมงท1ี่ 2-13 เรอื่ ง การสังเคราะหด ว ยแสงของพืช จุดประสงคการเรียนรู 1. อธบิ ายน้ํา แกสคารบ อนไดออกไซด แสง คลอโรฟล ล เปนปจจัยจาํ เปนตอการสงั เคราะหดว ยแสง 2. แสดงความคิดเห็น และสรุปสิ่งท่ีไดเรียนรู 3. บันทึกและอธิบายผลการสํารวจ ตรวจสอบอยางตรงไปตรงมา 4. นาํ เสนอ จัดแสดงผลงาน โดยอธิบายดว ยวาจา หรือเขียนอธิบายกระบวนการและผลของงานใหผูอื่นเขาใจ
กิจกรรมการเรียนรู ข้ันนํา ครูถามนักเรียนเกี่ยวกับการสงั เคราะหแ สงของพืช นกั เรียนจะมีวิธกี ารทดลองอยางไรวาพืช สรา งอาหารเองได ขนั้ สอน 1. ครูนําใบไม ใบชบา ใบตอยตง่ิ มาใหนักเรียนดแู ลวถามนักเรียน สวนท่ีเปนสีเขียวของพชื เรียกวา อะไร 2. ครสู าธิตการทดลอง การทดลองพืชสรา งอาหารเองไดห รือไม โดยการทดลองแบบ water bath โดยการนําใบตอ ยต่ิงใสใ นหลอดทดลองทีม่ ีแอลกฮอลแลวนําไปตม ในบกิ เกอรจนเดือด แลวนําใบตอยต่ิงมาลา งนํา้ จากนั้นนาํ มาทดสอบกบั สารละลายไอโอดีน ถา ใบเปล่ียนเปน สีดาํ แสดงวา มแี ปง อยู มีการสงั เคราะหดวยแสง ข้ันสรปุ ครนู ําภาพการสังเคราะหด ว ยแสงมาใหนักเรียนดูแลว ชวยกันสรุปปจจัยที่จาํ เปนในการสังเคราะหดวยแสง จากน้ันใหนกั เรียนตอบคําถามในใบกิจกรรม สื่อการเรียนรู 1. ชดุ ตะเกียงแอลกอฮอล 2. ภาพสวนประกอบของดอกไม 3. ภาพการสังเคราะหดวยแสง การวัดและประเมินผล วิธีการ เคร่ืองมอื เกณฑ การตรวจใบกิจกรรม การสังเคราะหแสง ใบกิจกรรมการสงั เคราะหแสงของพชื ผานเกณฑร อยละ ๖๐ขึ้นไป ของพืช สังเกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุม แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ผา นเกณฑร ะดบั คุณภาพ ๒ ข้ึนไป สังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู และมงุ ม่ันใน แบบประเมินคณุ ลักษณะอันพึง ผานเกณฑร ะดับคุณภาพ ๒ ขน้ึ ไป การทาํ งาน ประสงค ช่ัวโมงท่ี 14-15 เรือ่ ง ปจ จยั ในการเจริญเตบิ โตของพืช จุดประสงคการเรียนรู 1. อธิบายนา้ํ แรธาตุ อากาศ แสง เปนปจจัยตอการเจริญเติบโตของพชื 2. บันทึกและอธิบายผลการสํารวจ ตรวจสอบอยางตรงไปตรงมา 3. นําเสนอ จัดแสดงผลงาน โดยอธบิ ายดว ยวาจา หรือเขียนอธิบายกระบวนการและผลของงานใหผูอื่นเขาใจ กิจกรรมการเรียนรู ขั้นนํา ครูทบทวนปจจัยท่ีสําคัญในการสังเคราะหดว ยแสงของพืช นอกจากนี้แลวนักเรียนคิดวามีปจจัยใดบางท่ี สง ผลตอการเจริญเติบโตของพชื
ขั้นสอน 1. ครูนําตนทานตะวัน บัว กระบองเพชร มาใหนักเรียนดู และรวมกันอภปิ รายวาตนไมแตละชนิด เจรญิ เตบิ โตอยใู นสภาพแวดลอมแบบใด และตองการส่ิงใดในการดาํ รงชวี ิต 2. ครูต้ังคําถามเกี่ยวปจจัยในการเจรญิ เตบิ โตของพชื (น้ํา แสง อากาศ ปุย) 2.1 ถา ตนไมขาดนํ้าจะเปนอยางไร 2.2 ถา ตนไมขาดแสงจะเปนอยา งไร 2.3 ถาตนไมขาดอากาศจะเปนอยา งไร 2.4 ถาตนไมขาดปุยจะเปนอยางไร 3. ธาตอุ าหารชนิดใดบางที่จําเปนแกพชื 4. ใหน กั เรียนคนควา จากหนังสอื เรยี นวทิ ยาศาสตร ช้ันประถมศึกษาปท ี่ 4 5. ใหน ักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาอธิบายปจจัยในการเจริญเตบิ โตของพืช ท่ีนกั เรียนไดศ ึกษา คนควา 6. ใหนักเรียนเขียนแผนผังความคิดเกี่ยวกบั ปจจยั ท่ีจําเปนตอการเจรญิ เติบโตของพชื และความสําคัญ ของปจจัยนั้นๆ ขัน้ สรุป ครูและนักเรียนสรปุ ปจจัยการเจรญิ เตบิ โตของพชื จากแผนผงั ความคิดของนักเรียนและใหนกั เรียน สบื คนเพ่ิมเติมจากอินเตอรเน็ต สื่อการเรียนรู 1. ส่อื ของจริง ตนทานตะวัน บัว กระบองเพชร 2. หนงั สอื เรียนวิทยาศาสตร ช้ันประถมศึกษาปท่ี 4 การวัดและประเมินผล วิธีการ เคร่ืองมอื เกณฑ ตรวจแผนผงั ความคิดปจจัยที่จําเปนตอ การเจริญเตบิ โตของพืช เกณฑการตรวจแผนผงั ความคิด ผา นเกณฑร อยละ ๖๐ขึ้นไป สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลมุ ปจ จัยท่ีจาํ เปนตอการเจริญเติบโต สังเกตความมวี ินัย ใฝเ รียนรู และมุง มั่นใน การทํางาน ของพชื แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลุม ผานเกณฑระดบั คุณภาพ ๒ ขน้ึ ไป แบบประเมินคุณลักษณะอันพึง ผา นเกณฑระดบั คุณภาพ ๒ ข้นึ ไป ประสงค ช่วั โมงที่ 16-17 เรอ่ื ง การคายน้าํ ของพชื จุดประสงคการเรียนรู นักเรียนทดลองและอธิบายการคายนํ้าของพืชได กิจกรรมการเรียนรู ขน้ั นาํ ครูทบทวน เร่อื ง โครงสรางและหนาท่ีของพืช และสนทนากับนกั เรียน
ขน้ั สอน 1. ครนู าํ ใบไม เชน ใบพลูดาง ใบชบา มาใหนักเรียนสังเกตลักษณะของเสนใบ และสนทนา เกี่ยวกบั ใบพืช มีลักษณะแตกตางกันอยา งไร และใบมีความสาํ คญั ตอการดาํ รงชีวิตของพชื อยา งไร 2. พืชมีการหายใจหรือไม อยางไร ใหนักเรียนแตก ลมุ รวมกันอภปิ รายและนาํ เสอนผลการอภปิ ราย ครแู นะนําเพิม่ เติม พรอมเช่ือมโยงไปสูก ารคายนาํ้ ของพืช 3. ใหนักเรียนมารับอุปกรณ ไดแ ก ถุงพลาสตกิ ใส เชอื ก 4. ครนู ํานักเรียนไปทําลองการคายนํ้าของพืชนอกหองเรียน โดยการครอบถุงพลาสติกท่ีมีใบและไมม ใี บ 5. ใหน ักเรียนสองดูปากใบของวานกาบหอยพรอมทัง้ วาดภาพปากใบของพืช (ระหวา งการรอผล การคายของพืช) 6. ใหน ักเรียนแตละกลุมออกไปสงั เกตและเปรียบเทียบการคายน้าํ ของพืชระหวางถุงพลาสติกที่ครอบ กง่ิ ท่ีมีใบและไมมีใบวากงิ่ ชนิดใดจะคายนํ้ามากกวากัน ขน้ั สรปุ ครูและนักเรียนรว มกันสรุป เร่อื ง การคายน้าํ ของพืช ปากใบของพืชตลอดจนประโยชนของการคายน้าํ ส่ือการเรียนรู 1. สื่อของจรงิ ใบพืชชนิดตางๆ 2. อุปกรณการทดลอง การวัดและประเมินผล วธิ ีการ เคร่ืองมอื เกณฑ การตรวจใบกจิ กรรมเรอื่ ง หนาท่ขี องใบ ใบกิจกรรมเรื่อง หนาท่ีของใบและ ผานเกณฑร อยละ ๖๐ข้ึนไป และการคายนํ้า การคายนํา้ สังเกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุม แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ผานเกณฑร ะดบั คณุ ภาพ ๒ ขึ้นไป สงั เกตความมวี ินัย ใฝเ รียนรู และมุง ม่ันใน แบบประเมินคุณลักษณะอันพงึ ผา นเกณฑร ะดบั คณุ ภาพ ๒ ข้ึนไป การทาํ งาน ประสงค ช่ัวโมงที่ 18-19 เรื่อง การตอบสนองตอ สง่ิ เราของพชื จุดประสงคการเรียนรู 1. นักเรียนทดลองและอธิบายการตอบสนองของพชื ตอแสง เสียง และการสัมผัส 2. แสดงความคิดเห็น และสรุปสิง่ ท่ีไดเ รียนรู 3. บันทึกและอธิบายผลการสํารวจ ตรวจสอบอยางตรงไปตรงมา 4. นาํ เสนอ จัดแสดงผลงาน โดยอธบิ ายดว ยวาจา หรือเขียนอธิบายกระบวนการและผลของงานใหผูอื่นเขาใจ กิจกรรมการเรียนรู ขั้นนํา ครนู าํ วีดีทศั นการตอบสนองตอการสมั ผัสของตนไมยราพมาใหน ักเรียนดู แลวสนทนา ซกั ถามวา นอกจาก การสัมผัสแลวพชื มีการตอบสนองตอสิ่งเรา อ่ืนหรือไม ใหนักเรียนตอบ 2-3 คน
ขัน้ สอน 1. ครแู จกใบกิจกรรม เรื่อง การตอบสนองตอสิง่ เรา ของพืชใหน ักเรียนทุกคน 2. ใหนักเรียนศกึ ษา คนควา ความรูใ นหนงั สอื เรียนวทิ ยาศาสตร ช้ันประถมศึกษาปท ่ี 4 เพ่อื ตอบ คําภามในใบกิจกรรม เร่ือง การตอบสนองตอสิ่งเรา ของพชื 3. ใหน กั เรียนแตละกลุมสง ตัวแทน กลุมละ 1 คน เพื่อรายงานผลการศกึ ษา ครูคอยแนะนาํ เพิ่มเติมจากท่ีนักเรียนตอบ ข้ันสรุป ครแู ละนักเรยี นรวมกันสรปุ การตอบสนองตอส่ิงเรา ของพืช พรอมการนําความรไู ปใชประโยชน ส่ือการเรียนรู 1. เครื่องเลน DVD 2. สอื่ วีดีทัศน เร่ือง การหุบของใบไมยราพ การวัดและประเมนิ ผล วธิ ีการ เครื่องมือ เกณฑ การตรวจใบกิจกรรม เร่ือง การตอบสนอง ใบกิจกรรม เร่ือง การตอบสนองตอ ผา นเกณฑร อยละ ๖๐ข้ึนไป ตอสิ่งเรา ของพชื ส่งิ เรา ของพืช สังเกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุม แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ผานเกณฑร ะดบั คณุ ภาพ ๒ ขึน้ ไป สังเกตความมวี ินัย ใฝเรียนรู และมงุ มั่นใน แบบประเมินคุณลักษณะอันพึง ผา นเกณฑร ะดบั คุณภาพ ๒ ขึ้นไป การทาํ งาน ประสงค 9. บนั ทกึ ผลหลังสอน ผลการเรียนรู ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ปญ หาและอุปสรรค ...................................................................................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ขอเสนอแนะ/แนวทางแกไข ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงช่ือ………………………………………………………………….ผูสอน (…………………………………………………………………)
ภาคผนวก
ใบความรเู ร่ือง สวนประกอบของดอกไม หนว ยการเรียนรูท่ี 1 เร่ือง การดํารงชีวิตของพืช ชั่วโมงที่ 6-7 ชั้นประถมศึกษาปท่ี 4 ภาพแสดงสวนประกอบของดอกไม
ใบกิจกรรมเร่ือง แยกสวนประกอบของดอกไม หนวยการเรียนรทู ่ี 1 เร่ือง การดํารงชีวิตของพืช ชัว่ โมงที่ 6-7 ชน้ั ประถมศึกษาปที่ 4 ช่อื .............................................นามสกุล............................................ ช้ัน...................เลขท.่ี .................. คําชี้แจง จงแยกสวนประกอบของดอกไมตอไปนใ้ี หถูกตอง ชอื่ ดอกไม......................................... กลีบเล้ยี ง (SEPAL) กลีบดอก ( PETAL ) เกสรเพศผู (STAMEN ) เกสรเพศเมยี ( PISTIL ) ดอกไมท ี่นักเรียนนาํ มาแยกสวนประกอบของดอก เปนดอกประเภทใด O ดอกสมบรู ณ O ดอกไมสมบรู ณ O ดอกสมบรู ณเพศ O ดอกไมสมบูรณเพศ หมายเหตุ ดอกสมบูรณ ( Complete Flower ) หรือดอกครบสว น คอื ดอกทม่ี ีสวนประกอบครบ 4 สวนในดอก เดียวกัน เชนดอก มะเขือ ชบา ตอยตงิ่ กุหลาบ เปนตน ดอกไมสมบูรณ ( Incomplete Flower ) หรอื ดอกไมครบสวน คือดอกที่มีสวนประกอบไมครบ 4 สว น อาจขาดอยา งใดอยา งหนง่ึ เชน ดอกหนา วัว (ขาดกลบี เล้ียงและกลีบดอก) ดอกบานเย็นขาดกลีบดอกเปนตน ดอกสมบูรณเพศ ( Perfect Flower) คอื ดอกที่มีทั้งเกสรเพศผเู พศเมียในดอกเดียวกันเชน ดอกชบา ดอกกหุ ลาบ ดอกตอยต่ิง ดอกแค ดอกมะเขอื เปนตน ดอกไมส มบูรณเ พศ ( Imperfect Flower ) คอื ดอกที่มีเพยี งเกสรอยางใดอยางหน่ึง เชนดอกมละกอ ดอกบวบ ดอกฟกทอง ดอกขาวโพด
ใบกิจกรรมเร่ือง ลําตนสะสมอาหารไดห รือไม หนว ยการเรียนรทู ่ี 1 เรอื่ ง การดํารงชีวิตของพืช ชว่ั โมงที่ 8-9 ชน้ั ประถมศึกษาปที่ 4 ช่ือ.............................................นามสกุล............................................ ช้ัน...................เลขท.ี่ .................. อปุ กรณ 1. สารละลายไอโอดีน 2.หลอดหยด 3. จานหลุม 4.ตัวอยา งพืช ไดแก มันฝรงั่ ขิง ขา หอมใหญ วธิ ที ํา 1. ใหนกั เรียนแตละกลุมออกมารับตัวอยางพืช ไดแก มนั ฝรงั่ ขงิ ขา หอมใหญ 2. ใหน ักเรียนแตละกลุมทาํ การหยดสารละลายไอโอดีนลงไปบนลาํ ตนพชื โดยหยดสารละลาย ไอโอดีน ลงบนพชื 4 ชนิด ชนิดละ 1 หยด 3. สังเกตผลการทดลองและบันทึกผลลงในตารางบันทึกผลการทดลอง ตารางบันทึกผลการทดลอง สีของตัวอยางพชื เมื่อหยดสารละลายไอโอดีน ช่ือพืช มนั ฝร่งั ขงิ ขา หอมใหญ สรปุ ผลการทดลอง ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................................................
ใบความรู เรื่อง หนา ทีข่ องลําตนบนดินและลําตน ใตดนิ หนวยการเรยี นรทู ี่ 1 เรือ่ ง การดํารงชีวิตของพืช ช่ัวโมงท่ี 8-9 ช้ันประถมศึกษาปท่ี 4 1. ลําตน บนดนิ 1. ลําตนคลายใบ (Phylloclade) สว นของลําตนทแ่ี ผแบนคลายใบ และมคี ลอโรฟลล เชน ตนกระถินณรงค สว นลําตนสังเคราะหแ สง (photosynthetic stem) เปนลําตนที่มคี ลอโรฟล ลสงั เคราะหแสงได เชน กระบองเพชร 2. มือพนั (Tendrill Stem)สว นของลําตนท่ีทําหนา ท่ียึดเกาะ หรือ บางสวนของลาํ ตน เปล่ียนแปลงไปทาํ หนา ที่ยึดเกาะ เชน ลําตนองุน กลอย ฟก ทอง ตาํ ลงึ 2. ลําตน ใตดนิ 3. ไหล (Stolon หรอื Runner) ลําตนที่ทอดเล้อื ย มคี วามยาว 2. ลําตน ใตดิน ของปลองมาก มักมีรากงอกออกมาตามขอและเกิดตนใหม จงึ เปนลาํ ตนที่ชวยในการขยายพันธุดวย เชน ลําตนบัวหลวง วานเศรษฐีเรอื น ใน สตรอเบอรรี่ ผกั บุง 1. เหงา (Rhizome) ลําตนใตดินท่ีทอดนอนขนานไปกบั ผิวดิน มขี อ และปลองที่ชัดเจน มเี กล็ดใบ (Scale leaf) คลมุ ที่ขอ มรี ากและตา เกดิ บรเิ วณขอเชน ลําตนขงิ ขา กลวย 2.หัวแบบมนั ฝรั่ง (Tuber) ลําตนใตดินทเ่ี กิดจากสวนปลายของกิ่งที่ อยใู ตดินพองออก ทําหนา ท่ีสะสมอาหารจงึ มีลกั ษณะอวบอว น มขี อ และปลอ งไมชัดเจน บริเวณขอ ไมม ีใบเกล็ด (scale leaf)หอ หมุ ตา และไมมรี าก เชน มันฝรั่ง มันมอื เสือ 3. หวั แบบเผือก (Corm) ลําตนใตดินเจรญิ ในแนวตั้ง สวนมากกลม มีขอ ปลองและตาชัดเจน แตป ลอ งมีขนาดส้ัน อาจมีใบเกล็ด (scale leaf) หอหมุ ตา เชน ลําตนเผือก แหว 4. หัวแบบหอม (Bulb) ลาํ ตน ใตดินตง้ั ตรงรูปสามเหล่ียมขนาดเลก็ สั้น ลําตนมกี านใบมาหอหุม ใบสะสมอาหาร เชน ลําตนหอม กระเทียม วา นสี่ทศิ
ใบกิจกรรม: ทอ ลําเลียงของพชื หนวยการเรยี นรูท่ี 1 เร่อื ง การดํารงชีวิตของพืช ช่ัวโมงท่ี 10-11ช้นั ประถมศึกษาปท่ี 4 ช่ือ.............................................นามสกลุ ............................................ ช้ัน...................เลขท.่ี .................. คําชี้แจง ใหน ักเรียนทาํ การสังเกตการทอลําเลียงของพชื แลววาดภาพทส่ี ังเกตไดจากกลองจุลทรรศน
ใบความรเู รื่อง ทอลําเลียงของพืช หนว ยการเรยี นรูท่ี 1 เรอ่ื ง การดํารงชีวิตของพืช ชั่วโมงท่ี 10-11ชั้นประถมศึกษาปที่ 4 ทําหนา ท่ีลําเลียงนํ้าและแรธ าตุ ภายในทอ ลําเลยี งน้ําท่เี ช่ือมโยงตอกนั เปนทอต้ังแตรากไปยงั ลําตน ก่ิง และใบเพ่ือใชใ นการสังเคราะหดวยแสง เม่อื พืชสงั เคราะหดว ยแสงที่บรเิ วณใบจะไดนํ้าตาล นาํ้ และแกสออกซิเจนน้ําตาลที่ไดจากการ สังเคราะหด วยแสงของพืชพืชจะมีการลําเลียงอาหารโดยการเปลี่ยนแปงใหเ ปน นาํ้ ตาลอาหารจะถูกลําเลียงโดย วิธีการแพรไปยังสว นตางๆ ของพืช เพอ่ื ใชเปนพลงั งานในกระบวนการตางๆหรือเก็บสะสมไวเปนแหลง อาหาร ซง่ึ อยูในรูปของแปง หรอื นํ้าตาลทม่ี ีอยูบรเิ วณลําตน ราก หรอื ผล ทิศทางการเคล่ือนทขี่ อง ทอ ลําเลยี งของพืช ทอลําเลียงของพืช วงป(Annual ring) ใบเล้ียงคู นํ้าและอาหาร ใบเล้ียงเดี่ยว ทอ ลําเลียงน้าํ และทอ ทอลาํ เลียงน้ําจะอยูท่ีเน้อื วงของการเจริญเติบโต ลําเลียงอาหารกระจาย ไม สวนทอลําเลียงอาหาร หรือชั้นของเน้ือไมท ี่ เจรญิ เตบิ โตในรอบ 1 ป อยูท่ัวลําตน จะอยทู ่ีเปลือกไม
ใบกิจกรรมเร่ือง หนา ท่ขี องใบและการคายน้ํา หนว ยการเรยี นรูท ี่ 1 เร่ือง การดํารงชีวิตของพืช ช่ัวโมงที่ 16-17ชนั้ ประถมศึกษาปท่ี 4 ชื่อ.............................................นามสกุล............................................ ชน้ั ...................เลขท.ี่ .................. คําชี้แจง : ใหน ักเรียนทาํ การทดลองวา ใบของพืชคายนํา้ ไดจรงิ หรือไม อปุ กรณ 1.ตนไมข นาดกลาง 2. เชือก 3.ถงุ พลาสตกิ ขนาดใหญ 2 ใบ วธิ ที าํ 1. ใหน ักเรียนแตละกลุม มารับถงุ พลาสติก 2 ใบ ใหนกั เรยี นเลือกตนไมที่จะทําการทดลองโดย เลือกตนที่โดนแสง 2. ใหน ักเรียนใชถงุ ใบท่ี 1 ครอบก่งิ ไมแ ลวรัดเชอื ก ใหน ักเรียนใชถุงใบที่ 2 ครอบก่ิงไมกอนท่ีจะ ครอบใหนักเรียน เด็ดใบไมเหลอื แตก่งิ ทิ้งไวป ระมาณ 15 นาที แลวบันทึกผล ถุงใบท่ี การเปล่ียนแปลง 1.ถุงใบท่ี 1 2.ถุงใบที่ 2 ผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………… …………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………………… ……………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………… ………………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………
ใบกิจกรรมเรือ่ งการตอบสนองตอสิ่งเราของพืช หนว ยการเรยี นรทู ี่ 1 เรือ่ ง การดํารงชีวิตของพืช ช่ัวโมงท่ี 18-19 ชนั้ ประถมศึกษาปที่ 4 ช่ือ.............................................นามสกุล............................................ ชัน้ ...................เลขที่................... คําชี้แจงจงอธิบายการตอบสนองของพชื ชนิดตางๆดงั ตอไปนี้ ชื่อพืช ภาพ การตอบสนอง 1.ดอกทานตะวัน …………………………………………………………………………… …………………………………………….................................... ......................................................................... 2.ไมยราบ …………………………………………………………………………… …………………………………………….................................... ........................................................................... 3.คุณนายต่ืนสาย …………………………………………………………………..……… 4.หมอขา วหมอแกงลงิ ……………………………………………….................................. 5.วานกาบหอยแครง .............................................................................. 6.ดอกพุดตาน 7.ดอกคูณ …………………………………………………………………..……… ……………………………………………….................................. ............................................................................ ………………………………………………………………….………… …………………………………………….................................... ........................................................................... ………………………………………………………………….………… …………………………………………….................................... ............................................................................... ………………………………………………………………….………… …………………………………………….................................... ...............................................................................
แบบประเมินการนาํ เสนอผลงาน คําชี้แจง : ให ผูสอน ประเมินการนาํ เสนอผลงานของนักเรียนตามรายการท่ีกาํ หนด แลวขีด ลงในชอง ที่ตรงกับระดบั คะแนน ลําดับที่ รายการประเมนิ ระดับคะแนน 321 1 ความถูกตองของเน้อื หา 2 ความคิดสรางสรรค 3 วิธีการนําเสนอผลงาน 4 การนําไปใชประโยชน 5 การตรงตอเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผปู ระเมิน ............................/.................../................ เกณฑการใหค ะแนน - ผลงานหรอื พฤติกรรมสมบูรณชัดเจน ให 3 คะแนน - ผลงานหรือพฤติกรรมมีขอ บกพรองบางสวน ให 2คะแนน - ผลงานหรือพฤติกรรมมีขอบกพรองเปนสวนใหญให 1คะแนน เกณฑการตัดสินคุณภาพ - คะแนน 12 – 15 คะแนน หมายถึง ระดับดี - คะแนน 8 – 11 คะแนน หมายถึง ระดับดี - ต้งั แต 7 คะแนนลงไป หมายถึง ระดับดี
แบบสังเกตพฤติกรรม การทํางานกลุม คําชี้แจง : ให ผูสอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหวางเรียนและนอกเวลาเรียน แลวขีด ลงในชอ ง ท่ีตรงกับระดับคะแนน ลําดั ชอ่ื -สกุล ความ การแสดง การรบั ฟง ความ การแกไข รวม บ ที่ ของผรู บั การ รวมมือ ความ ความ ตั้งใจ ปญ หา/หรอื 15 ประเมิน กนั ทาํ คิดเห็น คิดเห็น ทํางาน ปรบั ปรุง คะแน กจิ กรรม ผลงานกลุม น 32132132132132 1 ลงชื่อ...................................................ผูประเมิน ............../.................../................ เกณฑการใหค ะแนน - ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมอยางสมํ่าเสมอ ให 3 คะแนน - ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบอ ยครั้ง ให 2 คะแนน - ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบางคร้ัง ให 1 คะแนน เกณฑการตัดสนิ คุณภาพ - คะแนน 12 – 15 คะแนน หมายถึง ระดับดี - คะแนน 8 – 11 คะแนน หมายถงึ ระดบั พอใช - ต้ังแต 7 คะแนนลงไป หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค คําชี้แจง :ให ผูสอน สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา งเรยี นและนอกเวลาเรยี น แลว ขีด ลงในชอ งที่ตรงกับระดบั คะแนน คุณลักษณะ รายการประเมนิ ระดับคะแนน อันพงึ ประสงคดาน 321 1. รักชาติ ศาสน 1.1 ยืนตรงเคารพธงชาติ และรอ งเพลงชาติได กษัตริย เขา รว มกิจกรรมที่สรา งความสามัคคี ปรองดอง และเปนประโยชน เตขอา โรรวงมเรกยี ิจนกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ปฏบิ ัติตามหลักศาสนา 1.4 เขารวมกิจกรรมทเี่ กี่ยวกบั สถาบนั พระมหากษัตริยตามทีโ่ รงเรยี นจัด 2. ซ่อื สัตย สุจริต ข2.ึ้น1 ใหข อมลู ที่ถูกตอ ง และเปนจริง 2.2 ปฏบิ ตั ใิ นส่ิงท่ีถกู ตอง มีวินัย รบั ผิดชอบ 3.1 ปฏบิ ตั ิตามขอตกลง กฎเกณฑ ระเบยี บ ขอบังคบั ของครอบครัว 4. ใฝเ รียนรู 4.1 มรีคูจวักาใมชตเ วรลงาตวอา เงวใลหาเ ใปนนกปารรปะโฏยิบชตันิก แิจลกะรนรมําไตปาปงๆฏิบในัตชิไดีวิตประจําวัน 4.2 รูจกั จัดสรรเวลาใหเ หมาะสม 4.3 เชอื่ ฟงคําสั่งสอนของบิดา-มารดา โดยไมโตแยง 4.4 ต้ังใจเรียน 5. อยูอยา งพอเพยี ง 5.1 ใชท รพั ยสินและสิง่ ของของโรงเรยี นอยางประหยัด 5.2 ใชอปุ กรณการเรียนอยา งประหยัดและรคู ณุ คา 5.3 ใชจา ยอยา งประหยัดและมีการเกบ็ ออมเงิน 6. มงุ มั่นในการ 6.1 มคี วามตั้งใจและพยายามในการทํางานท่ีไดรบั มอบหมาย ทํางาน 6.2 มคี วามอดทนและไมท อ แทตออุปสรรคเพอ่ื ใหง านสําเรจ็ 7. รักความเปนไทย 7.1 มีจิตสํานึกในการอนุรักษว ฒั นธรรมและภมู ิปญ ญาไทย 7.2 เหน็ คุณคา และปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มจี ติ สาธารณะ 8.1 รจู ักชวยพอ แม ผูปกครอง และครูทาํ งาน 8.2 รจู ักการดูแล รกั ษาทรพั ยสมบตั แิ ละสิง่ แวดลอ มของหองเรียน โรงเรยี น ลงชือ่ ...................................................ผูป ระเมิน เกณฑก ารใหคะแนน - ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอยางสมํา่ เสมอ ให 3 คะแนน - ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบอ ยครั้ง ให 2 คะแนน - ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบางครง้ั ให 1 คะแนน เกณฑก ารตัดสนิ คุณภาพ - คะแนน 46 – 60 คะแนน หมายถึง ระดับดี - คะแนน 30 – 45 คะแนน หมายถงึ ระดบั พอใช - ตงั้ แต 29 คะแนนลงไป หมายถงึ ระดบั ปรับปรุง
หนว ยการเรยี นรทู ี่ 2 เรอ่ื ง การดาํ รงชีวิตของสตั ว กลมุ สาระการเรยี นรู วิทยาศาสตร รายวิชาพืน้ ฐาน รหสั ว 14101 ชั้นประถมศึกษาปท ี่ 4 เวลา 10 ชว่ั โมง 1.มาตรฐานการเรียนรู / ตัวช้วี ัด สาระที่ 1 ส่ิงมีชวี ิตกับกระบวนการดํารงชีวิต มาตรฐาน 1.1 เขา ใจหนวยพนื้ ฐานของสงิ่ มีชีวิต ความสมั พันธของโครงสรา ง และหนาท่ีของระบบตางๆ ของสง่ิ มชี ีวิตท่ีทํางานสัมพันธกนั มีกระบวนการสบื เสาะหาความรสู ื่อสารส่งิ ท่เี รียนรูและนาํ ความรูไ ปใชในการ ดาํ รงชีวิตของตนเองและดูแลส่งิ มีชีวิต ตัวช้วี ัด ว 1.1 ป.4/4 อธิบายพฤติกรรมของสัตวท ี่ตอบสนองตอแสง อุณหภูมิ การสัมผัสและนําความรู ไปใชประโยชน 2.สาระสําคัญและความคิดรวบยอด สัตวจะมีการแสดงพฤติกรรมการตอบสนองตอสง่ิ แวดลอ มตา งๆ เชน แสง อุณหภูมิ การสัมผัส ซ่ึงสามารถนาํ ความรไู ปใชใ นการจัดสภาพแวดลอมใหเหมาะสมกบั การดํารงชีวิตของสัตว 3.สาระการเรียนรู 3.1 การดาํ รงชีวิตของสัตวและการจาํ แนกสัตว 3.2 ปจ จัยการเจริญเติบโตของสัตว 3.3 วฏั จักรชีวิตของสัตว 3.4 การตอบสนองตอสิ่งเราของสัตว 3.5 ประโยชนของสัตว 4. สมรรถนะสําคัญของผูเรียน 4.1 ความสามารถในการสอื่ สาร 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแกปญหา 4.4 ความสามารถในการใชทักษะชีวิต 4.5 ความสามารถในการใชเทคโนโลยี 5.คุณลักษณะอันพึ่งประสงค 5.1 รักชาติ ศาสน กษตั ริย 5.2 ซ่อื สัตยสุจริต 5.3 มีวินัย 5.4 ใฝเ รียนรู 5.5 อยูอยา งพอเพียง 5.6 มุงมั่นในการทาํ งาน 5.7 รักความเปนไทย 5.8 มีจิตสาธารณะ
6.ชิ้นงาน / ภาระงาน 6.1 รายงานการศึกษาพฤติกรรมของสัตวท ี่ตอบสนองตอแสง อณุ หภูมิ การสมั ผัส การดํารงชวี ิติของสัตว การจําแนกสัตว วัฏจักรชีวิตของสัตว และประโยชนของสัตว 6.2 การนําเสนอผลการศึกษาการดาํ รงชีวิตของสัตว การจําแนกสัตว วฏั จักรชีวิตของสัตว และ การบันทกึ ประโยชนของสัตว 7.การวัดและประเมินผล การประเมินผลการเรียนรูของนักเรียนประเมินจาก 7.1 ประเมินจากการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม 7.2 ประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข้ันพืน้ ฐาน 7.3 ประเมินจากผลงานนักเรียน 8.กิจกรรมการเรียนรู กิจกรรมการเรยี นรู ชวั่ โมงท1ี่ -2 เรือ่ ง สัตวม กี ระดกู สนั หลังและไมม กี ระดูกสันหลัง จุดประสงคการเรียนรู 1. นกั เรียนสามารถจาํ แนกสัตวม ีกระดูกสันหลังและไมมีกระดกู สันหลงั ได 2. นักเรียนต้ังคาํ ถามเกี่ยวกับประเด็น หรอื เร่ือง หรือสถานการณ ที่จะศึกษา ตามความสนใจได 3. นักเรียนวางแผนการสงั เกต เสนอวิธีตรวจสอบ และคาดการณส่งิ ท่ีจะพบจากการตรวจสอบได กิจกรรมการเรียนรู ขั้นนาํ ครูเปดวีดีทศั นสัตวครึง่ นํ้าครง่ึ บกใหนกั เรียนดูจากน้ันครูสนทนาเรือ่ งสัตว แลว ใหนักเรียนตงั คาํ ถาม เพ่อื หาคาํ ตอบ2- 3 คน ขั้นสอน 1.ครตู ิดบัตรคาํ คาํ วา สัตวม ีกระดูกสันหลัง และสัตวไมมีกระดูกสันหลัง บนกระดาน ใหนักเรียน ต้งั คําถามเก่ียวกับ สัตวมีกระดูกสันหลัง ไมม ีกระดูกสันหลังเชนสัตวม ีกระดูกสันหลงั และสัตวไมม ีกระดูกสันหลัง แตกตางกันอยางไร มกี ่ีประเภท 2.นกั เรยี นรวมกันวางแผนการสํารวจ คนควา เกี่ยวกบั สัตวมีกระดูกสันหลงั และสัตวไมมีกระดกู สันหลงั จากน้ันครแู จกบัตรภาพสัตว ใหน ักเรียนทุกคน ครขู านชื่อสัตว แลวใหนกั เรียนทุกคนมาติดบนกระดาน โดยแยก สัตวม ีกระดูกสันหลงั และสัตวไ มม ีกระดกู สันหลัง ใหถูกตอง 3.ครูอธิบายเพิ่มเตมิ จากที่นักเรียนแยกสัตวที่ติดไวบนกระดานโดยครูใหนักเรียนเขียนชื่อสัตว ลงในใบกิจกรรมที่ครูแจกให 4.ครแู จกกา งปลาทูที่ครูเตรียมไวแ ลว ใหนักเรียนใชดินสอ 2B ขูดหรอื สีไม จนกระทั่งปรากฏภาพลักษณะ ของกระดูกปลาจากนัน้ ใหนักเรียน บอกชื่อปลา ท่ีอยอู าศัย ชนิดของปลาประโยชนของปลา 5.นกั เรียนศึกษาคนควา เพ่ิมเตมิ จากใบความรู โดยครอู ธิบายตามใบความรู สัตวมีกระดูกสันหลงั และ ไมมีกระดูกสันหลัง
ขนั้ สรปุ ครูและนักเรียนชวยกันสรปุ สัตวมีกระดูกสันหลัง และสัตวไมมีกระดูกสันหลงั มีกช่ี นิด โดยใช โครงรา งแข็งภายในเปนเกณฑ คือกระดูกสันหลัง สื่อการเรียนรู 1. บัตรภาพสัตว 2. บตั รคํา สัตวม ีกระดูกสันหลัง และไมมกี ระดกู สันหลัง 3. ใบความรู เร่อื งการจาํ แนกสัตว 4. ใบกิจกรรม เร่อื ง การจําแนกสัตว การวัดและประเมินผล วธิ ีการ เครื่องมอื เกณฑ ตรวจผลงานการสาํ รวจ แบบบันทึกการตรวจผลงาน ผานเกณฑรอยละ 60ขนึ้ ไป ตรวจผลงานการขูดลอกลายกางปลา ผา นเกณฑร อยละ 60 ขึ้นไป สังเกตพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ แบบบนั ทกึ การตรวจผลงาน ผา นเกณฑระดับคุณภาพ 2 ขึ้นไป สงั เกตความมีวินัย ใฝเ รียนรู และ แบบสังเกตพฤติกรรมการ ผานเกณฑร ะดับคณุ ภาพ 2 ขนึ้ ไป มุงมั่นในการทาํ งาน ทํางานกลุม แบบประเมินคุณลกั ษณะอัน พึงประสงค ช่ัวโมงท3่ี -4 เรอ่ื ง ปจ จัยในการเจริญเตบิ โตของสัตว จุดประสงคการเรียนรู 1.นกั เรียนสามารถบอกปจจัยในการเจริญเตบิ โตของสตั วได 2.บันทึกและอธบิ ายผลการสาํ รวจ ตรวจสอบอยางตรงไปตรงมา 3.นาํ เสนอ จัดแสดงผลงาน โดยอธบิ ายดว ยวาจา หรือเขียนอธิบายกระบวนการและผลของงานใหผูอ่ืนเขาใจ กิจกรรมการเรียนรู ข้นั นํา 1. ครูทบทวนเน้ือหาในชั่วโมงที่แลวเร่ือง สัตวและการจําแนกสัตว โดยใชใหนักเรียนแบง สัตวแ บงตามลกั ษณะโครงสรางในรางกายเปนเกณฑ แบงออกเปนกปี่ ระเภท อะไรบาง (แนวคาํ ตอบ : สัตวแบง ตามลักษณะโครงสรางในรา งกายเปนเกณฑ แบง ออกเปน 2 ประเภท ไดแก สัตวมกี ระดูก สันหลงั และสัตวไมม ีกระดูกสันหลัง ) ตัวอยาง สัตวมีกระดกู สันหลงั แบงออกเปน 5 ประเภท ไดแก สัตวจําพวกปลา สัตวเ ล้ียงลูกดวย นม สัตวครงึ่ น้าํ ครงึ่ บก สัตวเล้ือยคลาน และสัตวปก ) 2.ครถู ามนักเรียนวาทบี่ านมีสัตวเ ล้ียงหรอื ไม นักเรียนเลี้ยงสัตวอ ยางไร ใหอะไรเปน อาหาร ใหนักเรียนตอบ 2-3 คน
ขั้นสอน 1.ครแู จกใบความรเู รือ่ ง การเจรญิ เตบิ โตของสัตว ใหนกั เรียนศึกษา 5 นาทีครูอธิบาย ในสวนของเนื้อหาของเรื่อง การเจริญเตบิ โตของสัตว ใหนักเรียนฟง โดยละเอียด 2.ครูชี้แจงรายละเอียดใบกิจกรรมเรื่อง การเจริญเตบิ โตของสัตว แลวใหนักเรียนเริ่มทาํ ใบกิจกรรม วาสัตวแตละชนิดกินอาหารชนิดใดบาง ข้ันสรุป ครแู ละนักเรยี นสรุปการปจจัยในการเจรญิ เติบโตของสัตว ส่ือการเรียนรู 1.ใบความรู เร่อื ง การเจริญเติบโตของสัตว 2.ใบกิจกรรมท่ี 2 การเจริญเติบโตของสัตว การวัดและประเมินผล วธิ ีการ เครื่องมอื เกณฑ ตรวจผลงาน การสาํ รวจการ แบบบนั ทกึ การตรวจผลงาน ผา นเกณฑร อยละ 60ข้นึ ไป เจริญเติบโตของสัตว สงั เกตการตอบคําถามของนักเรียน แบบบันทึกการสงั เกต ผา นเกณฑร อยละ 60ข้ึนไป สงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลมุ แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลุม ผา นเกณฑระดับคุณภาพ ระดับ 2 ข้ึนไป สังเกตความมวี ินัย ใฝเ รียนรู และ แบบประเมินคณุ ลักษณะอนั พงึ ผานเกณฑระดับคุณภาพ มุง มั่นในการทํางาน ประสงค ระดบั 2 ขน้ึ ไป ชวั่ โมงที่ 5-6 เรื่อง วัฏจกั รชีวติ ของสัตว จุดประสงคการเรียนรู 1.นกั เรียนสามารถอธบิ ายวัฏจกั รชีวิตของสัตวได 2.บันทึกขอมูลในเชงิ ปรมิ าณนําเสนอผล สรุปผล กิจกรรมการเรียนรู ขน้ั นํา ครใู หนกั เรียนดูวีดที ัศนวัฏจกั รชีวิตผีเส้ือ จากน้ันครูสนทนาและซักถามเกี่ยวกบั หนอนผเี สือ้ ขั้นสอน 1. ครใู หน ักเรียนดขู องจริงหนอนผเี สื้อดอกรัก หนอนผเี สื้อใบชวนชม โดยครูใสขวดมาใหนกั เรยี น ศึกษาครคู อยใหค ําแนะนําการสงั เกตหนอน ตลอดจนใหความรผู ีเส้ือกลางวันและกลางคืน 2. ครใู หน ักเรียนวาดภาพ วฏั จักรชีวิตผเี ส้ือ และระบายสีใหส วยงาม ลงในสมุดของนกั เรียน โดยดูภาพตัวอยางจากหนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตร ช้ันประถมศกึ ษาปที่ 4 3. ครอู ธบิ ายเพ่มิ เติมเก่ียวกับสัตวท ่มี ีลักษณะคลายผีเส้ือ ไดแ ก มด ดวง ตอ แตน แมลงวัน ยงุ ไหม ผเี ส้ือเปนตน
ขั้นสรปุ ครูและนักเรียนรวมกันสรุปวัฏจักรชีวิตของสัตว เชนผเี สื้อ ยงุ พรอ มท้ังใหนักเรียนถามในสิ่งท่ี ไมเขาใจ ส่ือและแหลงการเรียนรู 1. วดี ีทศั นเร่ืองวฏั จักรชีวิตผเี ส้ือ 2. หนังสอื เรียนวทิ ยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปท ี่ 4 3. ตัวอยางของจรงิ หนอนใบดอกรัก หนอนใบชวนชม การวัดและประเมนิ ผล เครื่องมือ เกณฑ วิธีการ แบบบันทึกการตรวจผลงาน ผา นเกณฑร อยละ 60ขึ้นไป แบบบนั ทึกการสงั เกต ผา นเกณฑรอยละ 60 ข้ึนไป ตรวจการวาดภาพวัฏจกั รชีวิตผีเสอ้ื สงั เกตการตอบคําถามของนักเรียน ชวั่ โมงท่ี 7-8 เรอื่ ง การตอบสนองตอ สิ่งเรา ของสัตว จุดประสงคการเรียนรู นกั เรยี นสามารถอธิบายพฤติกรรมของสัตวท่ีตอบสนองตอแสง อุณหภูมิ การสมั ผัส และการนาํ ความรู ไปใชประโยชน กิจกรรมการเรียนรู ขัน้ นํา ครใู หนักเรียนดูวีดที ัศน เร่อื งกบกัดมือ ( อาจจะเปนภาพสัตวอ ่ืนๆ นกบินอพยพ ) แลวสนทนาซักถามเรื่อง ทใ่ี หนักเรียนดู ข้ันสอน 1.ครนู าํ ลูกน้าํ ยุงลาย ทใี่ สขวดพลาสติกท่พี นสีดาํ ครึ่งขวด มาใหนักเรียนแตละกลุมศกึ ษา 2.ครูใหนักเรียนใชไฟฉายสองไปที่ลูกนํา้ ท่อี ยูในขวด สังเกตพฤติกรรมของยุงลาย 3. ครนู าํ ภาพ หอยทาก กง้ิ กือ นกอพยพ สุนัขเลียองุ เทา ควายแชใ นนํ้า หรือโคลน มาใหน ักเรียนดู แลวสนทนากับภาพเหลานั้น 4. ครูแจกใบความรู เรื่อง การตอบสนองตอสิ่งเราใหน ักเรียนศึกษา 5. ครูอธิบายเพิ่มเติมสัตวมีการรับความรสู ึกและโตตอบสิง่ ตา งๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตวั ไดไว เชน แสง อณุ หภมู ิ นา้ํ การสัมผัส ซ่ึงเรียกวา ส่งิ เรา สว นพฤติกรรมหรืออาการที่อวัยวะสว นใดสวนหนึง่ ของสัตวแ สดงออก หรอื ปรากฏใหเ ห็นเม่ือถูกสิง่ เรามากระตุน ณ ช่ัวขณะหน่ึง เรียกวา การตอบสนอง สัตวสามารถแสดงพฤติกรรม บางอยางเพื่อตอบสนองตอสิ่งเราภายนอก ซง่ึ ไดแก แสง อุณหภมู ิ นํา้ และการสัมผัส ไดอยา งเหมาะสมและ สอดคลอ งกับลกั ษณะของสงิ่ เราและสภาพแวดลอ มที่เปล่ียน แปลงไป เพือ่ ความปลอดภัยและการอยูรอดของชีวิต การตอบสนองเม่ือไดรบั แสงเปน สิ่งเราของสตั วบ างชนิดสามารถตอบสนองไดอยางรวดเร็วเม่ือไดร ับแสง เชน
- การหรต่ี าเม่อื ไดรบั แสงสวา งมากเกินไป - การทีแ่ มลงตางๆ บินเขา หาแสงสวาง - เม่อื เกิดสรุ ิยปุ ราคา นกจะบินกลับรงั เน่ืองจากมีสภาพคลายเวลาพลบค่าํ - การหนแี สงของไสเดือนดิน - การใหแสงสวา งในการเล้ียงไก เพอื่ ใหไกกินอาหารเปนเวลานาน ทาํ ใหเ จรญิ เตบิ โต เร็วในระยะเวลาส้ันกวา ปกติ - สัตวบ างชนิดออกหาอาหารในเวลาท่ีเริ่มมีแสงสวา ง เชน การที่นกบินออกจากรัง ในตอนเชา - ไกขันบอกเวลาในตอนเชา แตกม็ ีสัตวบ างชนิดจะออกหาอาหารในเวลาท่ีไมมีแสงสวา ง เชน นกเคาแมว คา งคาว หนู การตอบสนองเมื่อไดร บั อุณหภมู ิเปน สง่ิ เรา คนและสัตวจะดาํ รงชีวิตในสภาวะท่ีมีอุณหภูมทิ เ่ี หมาะสม ถา อุณหภูมิเปล่ียนไป สิง่ มีชีวิตจะมีพฤติกรรมที่ตอบสนองตอการเปล่ียนแปลงอุณหภูมิเพื่อความปลอดภยั และ การดาํ รงชวี ิตไดอยา งเหมาะสม เชน 1) เมอื่ อากาศรอนหรอื มีอุณหภมู สิ งู - สุนัข วัว ควาย แกะ จะระบายความรอ นโดยการหอบเพื่อใหน ้าํ ระเหยออกทางปาก - แมว กระตา ย จิงโจ จะระบายความรอ นโดยการเลียอุงเทา และการระเหยของน้าํ ลาย จะพาความรอนออกไป - ควายจะหนีรอนดวยการแชในแอง นํา้ - สัตวเล้ือยคลาน เชน จิ้งเหลน ก้งิ กา งู จะหลบรอนอยูตามโพรงไม หรือในทร่ี ม 2) เม่ืออากาศเย็นหรืออุณหภูมิตํ่า - นกบางชนิด เชน นกนางแอน บา น และนกปากหา ง ท่ีอาศัยอยแู ถบไซบเี รยี จะอพยพ ยายถ่ินมายังไทย - สัตวบ างชนิด เชน กระรอกดิน หมี สกงั ค จะหนีอากาศหนาวดวยการจาํ ศีล - สัตวเล้ือยคลาน เชน จิ้งเหลน ก้ิงกา งู จะนอนผ่งึ แดด 3) การตอบสนองเม่ือไดร บั นา้ํ เปน สิง่ เรา เมื่อสภาพแวดลอมมปี ริมาณนํ้าไมเ หมาะสม สตั วบางชนิดจะปรับตวั ใหเ หมาะสม ดังตัวอยา งตอไปนี้ - ไสเดือนจะเคลือ่ นทเี่ ขาหาความชื้น เพ่อื ใหผิวหนังชุมชื้น เน่ืองจากไสเ ดือนหายใจโดย ใชผวิ หนังจึงจาํ เปนท่ีผิวหนังจะตองชุมช้ืนตลอดเวลา - นา้ํ ทําใหสัตวครึ่งบกคร่งึ นํ้า เชน กบ คางคก ออกหากินในเวลากลางคืน เพือ่ ใหมี ความช้ืนพอเหมาะ - สัตวทะเลทรายจะออกหากินในเวลากลางคืนเพ่อื ลดการสญู เสียนํ้า 6. การตอบสนองส่ิงเรา เม่ือไดรับการสัมผัสเปนสิง่ เรา สัตวจะมีประสาทสัมผัสอยูทบี่ ริเวณผิวหนัง ดังน้ันเมื่อไดร ับการสัมผัส ระบบประสาทกบั ระบบกลามเน้ือจะทํางานประสานกัน และแสดงอาการตอบสนองสิ่งเรา ได ดังตัวอยางตอไปน้ี - อ่ึงอา งเมื่อไดรับการสัมผัสจะพองตัว - กง้ิ กอื จะขดหัวเขาดา นในเม่ือถูกสัมผัส - หอยชนิดตา งๆ จะหบุ ฝาหรือหดตวั เขาในเปลือก
7. ครูแจกใบกิจกรรมท่ี 3 การตอบสนองตอสิง่ เรา ของสัตว ใหนกั เรียนทํา ขัน้ สรปุ ครแู ละนกั เรียนรวมกันสรปุ เมื่อสอ งไฟฉายใสลกู น้ํายงุ ลาย ยุงลายจะหลบเขาไปในขวดที่พนสีดํา เพราะหนีแสงครแู ละนักเรียนชว ยกันสรปุ การตอบสนองตอสงิ่ เรา ของสัตวท่ีผา นมา ตลอดจนการเรียนเรือ่ งน้ี แลวนาํ ไปใชประโยชนอยา งไร ส่ือการเรียนรู 1. ใบความรเู รอ่ื งการตอบสนองตอสิ่งเราของสัตว 2. ส่ือของจรงิ ลกู นํ้ายุงลาย 3. อปุ กรณขวดพลาสตกิ พนสีดําคร่งึ ขวด 4. รูปภาพสตั ว หอยทาก กงิ้ กอื นกอพยพ ควาย ฯลฯ การวัดและประเมนิ ผล วธิ ีการ เครื่องมอื เกณฑ ตรวจใบกิจกรรมที่ 3 การตอบสนองตอ ใบกิจกรรมที่ 3 การตอบสนอง ผา นเกณฑรอยละ 60 ขึ้นไป สิ่งเรา ของสัตว ตอส่ิงเราของสัตว สงั เกตการตอบคําถามของนักเรียน แบบบันทึกการสังเกต ผา นเกณฑร อยละ 60ขึ้นไป สังเกตความมวี ินัย ใฝเรียนรู และมงุ มั่น แบบประเมินคุณลักษณะอันพึง ผานเกณฑระดบั คณุ ภาพ 2 ขึ้นไป ในการทาํ งาน ประสงค กจิ กรรมการเรียนรูชั่วโมงท่ี 9- 10 เร่ือง ประโยชนของสตั ว จุดประสงคการเรียนรู 1.นักเรียนสามารถอธิบายประโยชน และโทษของสัตว และการนาํ ความรูไปใชประโยชนได 2.นําเสนอ จัดแสดงผลงาน โดยอธิบายดวยวาจา หรือเขียนอธิบายกระบวนการและผลของงานใหผูอื่นเขาใจ กิจกรรมการเรียนรู ขัน้ นํา ครูสนทนาซกั ถามนักเรียนเกี่ยวกับสัตวเ ลี้ยงนักเรียนเลี้ยงสัตวไวเพ่ืออะไรจากนั้นครูนําภาพนกแกว ทีค่ รเู ล้ียงไวม าใหนักเรียนดูแลวเลา เร่อื งชีวิตของนกแกวที่ชื่อดาวใจที่สามารถพูดไดหลายคําเชน พอ ครับ แมจา ฯลฯ ขั้นสอน 1.ครูแจกใบความรเู รื่องประโยชนและโทษของสัตวใหนกั เรียนศึกษา ครอู ธิบายเพิ่มเติมใหล ะเอียด 2.ครแู จกบัตรคํา YES หรือ NO ใหนกั เรียนแตละกลุม จากนั้นครใู ชค ําถามเชนเครือ่ งนงุ หม หรือ เข็มขัด ทํามาจากหนังสัตว นักเรียนจารพิจารณาวา ถูกหรือผิด โดยการชปู า ยขึ้นกลมุ ไหนตอบถูกสะสมคะแนนไว เพือ่ มอบดาวเดนนักวิทยใหกับนักเรียน ครูตัง้ คาํ ถามไวประมาณ 5- 10 คําถาม 3.ครูแจกใบกิจกรรมท่ี 4 เร่อื งประโยชนแ ละโทษของสัตว ใหน กั เรียนเขียนสรุป และนําเสนอ ผลการสรปุ หนา ช้ันเรียน
ขัน้ สรุป ครูและนกั เรยี นรวมกันสรปุ ประโยชน และโทษของสัตว การวัดและประเมนิ ผล วิธีการ เครื่องมอื เกณฑ แบบบันทึกการตรวจผลงาน ผา นเกณฑรอยละ 60ขนึ้ ไป ตรวจรายงานการสํารวจประโยชน และโทษของสัตว แบบบันทกึ การสงั เกต ผานเกณฑรอยละ 60ข้ึนไป แบบประเมินคณุ ลักษณะ ผานเกณฑระดับคุณภาพ 6 ขน้ึ ไป สังเกตการตอบคําถามของนักเรยี น อันพึงประสงค สังเกตความมวี ินัย ใฝเ รียนรู และ มุงม่ันในการทาํ งาน 9. บนั ทึกผลหลังสอน ชั่วโมงท่ี ........... ผลการเรียนรู ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ปญหาและอุปสรรค ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ขอเสนอแนะ/แนวทางแกไข ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงช่ือ………………………………………………………………….ผูสอน (…………………………………………………………………)
ภาคผนวก
ใบความรูที่ 1 เร่อื ง สัตวและการจําแนกสัตว หนว ยการเรยี นรูที่ 1 เรื่อง การดาํ รงชีวิตของสัตว ชั่วโมงท่ี 1-2 ชัน้ ประถมศึกษาปที่ 4 การจําแนกสัตว สัตวแ ตละชนิดท่อี าศัยอยูตามธรรมชาติ มีลักษณะโครงสรา งภายนอกและภายในแตกตางกันทําใหเ รา สามารถจาํ แนกประเภทของสัตวออกเปน 2 พวกใหญ ๆ คือ สัตวที่มีกระดูกสันหลังและสตั วท ่ไี มมีกระดูกสันหลัง สัตวเปนส่งิ มีชวี ิตเพราะเคล่ือนท่ีได กินอาหารได หายใจได ขยั ถา ยได และสามารถขยายพนั ธุออกลูกออก หลานได ทําใหสัตวมีจาํ นวนเพมิ่ มากข้ึนในโลกของเรามีสัตวจาํ นวนมากมายหลายชนิด สัตวแ ตละชนิดมีธรรมชาติ และมกี ารดํารงชีวิตแตกตางกันไป ขึ้นอยูกบั ลักษณะโครงสรา งภายนอกและลักษณะโครงสรา งภายในของสัตวนั้น ประเภทของสัตว แบงออกเปน 2 ประเภทคือ 1.สัตวทีม่ ีกระดูกสันหลังเปนสัตวท่ีมีกระดูกตอกันเปนขอ ๆ กระดกู เหลานี้ทําหนา ที่เปน แกนของ รางกาย ตัวอยางสัตวมีกระดูกสันหลงั 1.1 สัตวน้ําหรอื สัตวพ วกปลา ปลาเปนสัตวเลือดเย็น สามารถปรบั อุณหภมู ขิ องรางกายตาม อณุ หภมู ขิ องสิง่ แวดลอม มีกระดกู สันหลังตอกันเปนขอๆ ภายในรางกาย รูปรา งของปลาแตละชนิดมีความแตกตาง กนั บางชนิดมีลําตัวยาว เชน ปลาไหลบางชนิดลาํ ตัวทรงกระบอง เชน ปลาชอน บางชนิดมลี ําตัวแบน เชน ปลา กระเบน สวนปลาปก เปา มลี ําตัวคอนขางกลม และมหี นามแหลมยื่นออกตาผิวหนังเพ่อื ปองกันตัว มานาํ้ มีรปู รา ง แปลกกวาปลาอ่ืนๆ มีหางมวนงอสําหรับจบั ยึดก่ิงไมหรือปะการังใตนา้ํ ไดดวย กระดูกของปลา เราเรียกวา กาง บาง ชนิดมีเมอื กทที่ ําใหล ื่นสามารถเคล่อื นท่ไี ดส ะดวก 1.2 สัตวครงึ่ นํ้าครง่ึ บก จะมีผิวหนังเรียบไมมีเกล็ด และเปยกช้ืนอยูตลอดเวลา เพราะ มีตอมสรา งน้ําเมือกคอยขบั นํ้าเมือกออกมาถา ผิวหนังแหง บางพวกอาจตอ มพิษอยูตามผิวหนังท่ีขรุขระสัตวพวกน้ี ตอนเปนตัวออนจะมีหางและมรี ูปรา งคลา ยปลา อาศัยอยใู นนํา้ หายใจดวยเหงือก เรียกวา \" ลูกออด ตอมาจะมกี าร เปล่ียนแปลงรปู ราง โดยเหงือกคอ ยๆ หายไป และปอดใชหายใจแทนเหงือก ขาเรมิ่ งอก หางหดสั้นลงจนมรี ปู ราง เหมอื นตัวเต็มวัย แตมีขนาดเลก็ ขึ้นมาอาศัยบนบก และเจรญิ เตบิ โต นอกจากหายใจดวยปอดแลว ยังสามารถ แลกเปล่ียนกา ชผานทางผิวหนังท่ีบางและชุมช้ืนไดอีกทางหนึ่งดวย ทาํ ใหสามารถอยูในนาํ้ ไดเ ปนเวลานาน ในฤดู หนาวและฤดรู อ น สัตวพ วกน้ีจะหลบความแหงแลงและขาดแคลน อาหารไปอยูท่ีชุมช้ืน โดยขุดรหู รือฝงตัวอยใู ตดิน เรยี กวา \" การจาํ ศีล \" ในชว งนี้จะไมกินอาหาร โดยจะใชอาหารทส่ี ะสมไวในรางกายอยางชา ๆ เพื่อรอฤดูฝน จะออกมากินอาหารตามปกติ
1.3 สัตวเลื้อยคลาน อาศัยอยูบนบก มหี นังปกคลมุ ลําตัวเปนเกล็ดแข็งและแหง หายใจโดยใชป อด สัตวเ หลานี้ออกลูกเปนไข ซงึ มีเปลือกแข็ง หรือเปลือกเหนียวนิ่มหุม ตัวอยาง จระเข เตา งู จง้ิ จก 1.4 สัตวปก มีขาคูห นาพฒั นาเปน ปก เพือ่ ใชส ําหรับบิน มีขา 2 ขา มีเกล็ดที่ขาและนิ้วเทา มีปก 2 ปก มีขนเปนแผงแบบขนนก ขนปกคลมุ ทั่วท้งั ลําตัว สัตวปกหายใจดวยปอด สืบพันธุแบบอาศัยเพศ มีการปฏิสนธิ ภายใน โดยออกลูกเปนไข วางไขบ นบก ไขมีจํานวนไมมากนัก ไขมเี ปลือกแข็งหุม สัตวป กไมมีฟน แตจะมีจะงอย ปากแข็งแรง มรี ูปแบบแตกตางกัน 1.5 สัตวเ ล้ียงลูกดวยนมลกั ษณะภายนอกคือ ผวิ หนังเรียบ มขี นเปนเสนแบบเสนผมปกคลุมท้ังลําตวั มี แขนและขาไมเกิน 2 คู สัตวเ ลี้ยงลูกดวยนํ้านมสวนใหญสืบพนั ธุแบบอาศัยเพศ มีการปฏสิ นธิภายในออกลูกเปนตัว ตัวเมียมีตอ มสรางนาํ้ นมสาํ หรับเลยี้ งลกู ออน จึงเรียกวา สัตวเล้ียงลูกดวยนา้ํ นม 2.สัตวไมมีกระดูกสันหลงั เปนสัตวไ มมีกระดกู สันหลงั ในโลกนีม้ ีจาํ นวนมากกวาสัตวท่ีมีกระดกู สันหลงั นกั วทิ ยาศาสตรไดจาํ แนกประเภทของสัตวไมมีกระดูกสันหลังตามลักษณะไดดังนี้ 2.1 ฟองนํ้าพวกฟองน้าํ มีลกั ษณะลําตัวเปนโพรง มรี พู รนุ ทําใหนํา้ และอาหารสามารถไหลผา นเขา ไปในโพรงลาํ ตัว เพ่อื ดูดซมึ กา ซออกซิเจนและอาหาร แลวปลอ ยน้ําและกากอาหารออกทางชองน้าํ ออก ฟองน้าํ ทุก ชนิดอาศัยอยูในนํา้ สวนใหญจะอยใู นทะเลมากกวาน้าํ จืด โดยจะเกาะติดกับหินใตท องทะเล ไมเคลื่อนท่ี ดมู ีลักษณะ คลา ยพืช ไมมหี ัว ไมม ีปาก และไมมที างเดินอาหาร ฟองนํ้าแตละชนิด มีสีและขนาดแตกตา งกัน
2.2 ลาํ ตัวกลวงหรอื ลําตัวมีโพรงไดแกแ มงกะพรุนปะการงั ไฮดราดอกไมทะเล ลักษณะสําคัญลําตวั ใสคลา ยวุนมีรูปรา งคลายทรงกระบอก ตรงกลางลาํ ตัวเปน โพรงมีชองเปดออกจากลาํ ตัวเพียง ชอ งเดียวเปนทางนําอาหารเขาและบบี เศษอาหารออก มีเข็มพิษไวปอ งกันตัวและใชแทงเหยื่อ สืบพันธุแบบอาศัย เพศ และแบบไมอาศัยเพศ (แตกหนอ ) สวนใหญอาศัยอยูในนา้ํ เค็มยกเวนไฮดราท่อี าศัยอยใู นน้ําจืด 2.3 หนอนและพยาธิ 2.3.1 หนอนตัวแบนเชนพยาธิใบไม ลักษณะสําคัญ ลาํ ตัวนิม่ แบนยาวไมม ขี า มีปากแตไมมีทวารหนัก ดํารงชีวิตเปนปรสิต ดูดเลือดจากรา งกาย ของคนและสัตวเ ปนอาหาร สืบพนั ธแุ บบอาศัยเพศและแบบไมอาศัยเพศ มี 2 เพศในตัวเดียวกัน 2.3.2 หนอนตัวกลม ไดแกพ ยาธิไสเดือนพยาธิตัวจี๊ด ลักษณะสําคัญ ลําตัวน่ิมกลมยาวไมม ีขา ผิวเรียบไมเ ปนปลอ ง มปี ากและทวารหนัก ดาํ รงชีวิตเปนปรสิต สบื พนั ธแุ บบอาศัยเพศเพศผแู ละเพศเมียแยกคนละตัว 2.4 ลาํ ตัวเปนปลองไดแกไ สเ ดือนดินปลิงนาํ้ จืดทากดูดเลือด ลักษณะสําคญั ลาํ ตัวกลมยาวเปนปลอ งคลายวงแหวนตอกัน ผิวหนงั เปยกช้ืน มรี ะบบประสาทและระบบ ทางเดินอาหาร สืบพันธุแบบอาศัยเพศและแบบไมอาศัยเพศ มี 2 เพศในตัวเดียวกัน 2.5 สัตวทะเลผิวขรุขระไดแกดาวทะเลปลิงทะเลเมนทะเล ลักษณะสําคญั มีผวิ ลาํ ตัวเปนหนาม ไมมีสวนหวั มรี ปู รางตา งๆ ใตลําตัวมเี ทาเปน หลอดเลก็ ๆจํานวนมาก (เทาทอ) อาศัยอยใู นทะเล สืบพนั ธุแบบอาศัยเพศและไมอ าศัยเพศ สวนใหญเ พศผแู ละเพศเมยี แยกคนละตัว 2.6 หอยและหมึกทะเล 2.6.1 หอยเชนหอยแครงหอยแมลงภหู อยทากหอยโขงหอยขม ลักษณะสําคัญ ลําตวั น่ิม สวนใหญมีกาบแขง็ เปนสารพวกหินปูนหุมภายนอก เคลื่อนที่โดยใชก ลา มเน้ือที่ย่ืนออก จากเปลือกหอย อาศัยอยูทั้งบนบกในนาํ้ จืดและนํา้ เค็มสืบพันธุแบบอาศัยเพศ 2.6.2 หมกึ ทะเลเชนหมึกกระดองหมกึ กลว ยหมึกยักษ ลักษณะสําคัญ มโี ครงแขง็ อยูภายในลาํ ตัว เคลอ่ื นทีโ่ ดยใชห นวดและการพน น้าํ ออกจากลาํ ตัวหายใจดวยปอด และผิวหนัง สืบพนั ธแุ บบอาศยั แพศออกลูกเปนไข
2.7 สัตวท ่มี ีขาเปนขอไดแก - มี 6 ขาไดแกแมลงเชนยุงมดผเี ส้ือแมลงวัน - มี 8 ขาไดแกแมงเชนแมงมมุ แมงปองเหบ็ - มี 10 ขาเชนปูกุงแมงดาทะเล ลักษณะสําคญั มขี าตอกันเปนขอ ๆ ลาํ ตัวแบงเปน 3 สวนไดแกสวนหัวสว นอกสวนทอง มเี ปลือกแข็งหมุ รางกาย สวนใหญเ จรญิ เตบิ โตโดยการลอกคราบ สืบพันธแุ บบอาศัยเพศ 2.8 สัตวม ีกระดองสัตวมีกระดองคือ สัตวชนิดพิเศษทม่ี ีกระดองหอหมุ เชนเตาตะพาบเปนตน กระดอง ชวยปองกันภยั อันตรายตางๆ จากธรรมชาติได และชวยในการหายใจสัตวม ีกระดองพบไดในทะเลหรือนา้ํ เค็มสัตวมี กระดองบางชนิดเปนสตั วใกลสูญพันธุ สัตวในโลกแบง เปนสัตวม ีกระดูกสันหลังและสัตวไมม กี ระดูกสันหลงั สัตวเ หลานอี้ าศัยอยูในแหลง ที่อยู อาศัยแตกตา งกันสัตวบางชนิดอาศัยอยูในนาํ้ สัตวบ างชนิดอาศัยอยูบ นบก สัตวบ างชนิดอาศัยอยูไดทงั้ บนบกและ ในนา้ํ สัตวเหลานเี้ มื่อเกิดและมชี ีวิตอยูในปา หรือในนํ้าอยางอิสระตามธรรมชาติ เราจัดเปน สัตวปา สวนสัตวบ า น หรอื สัตวป า ทค่ี นนํามาเล้ียงจนเช่ือง เราเรียกวา สัตวเลี้ยง สัตวเ ลี้ยงมีหลายชนิด สัตวแ ตละชนิดมีประโยชนตอมนษุ ยหลายดา นแตกตา งกันไป เราสามารถจําแนก สัตวตาง ๆ โดยใชประโยชนของสัตวเ ปนเกณฑ คือ 1.สัตวเล้ียงสําหรบั ใชแรงงาน เชน ชาง มา วัว ควาย 2.สัตวเล้ียงท่ีใชเน้ือเปนอาหาร เชน หมู เปด ไก กงุ ปลา
ใบกิจกรรมที่ 1 เรอื่ ง สัตวและการจําแนกสัตว เรือ่ ง สัตวและการจําแนกสัตว หนวยการเรียนรูท ่ี 1 เรอ่ื ง การดํารงชีวิตของสัตว ช่ัวโมงท่ี 1-2 ช้นั ประถมศึกษาปท ่ี 4 ชอ่ื ................................................................................................ ชนั้ ................. เลขที่.................... คําช้ีแจง ใหนักเรียนทําการสํารวจสัตวภ ายในบริเวณโรงเรยี นหรือสัตวท ี่นักเรียนรูจกั แลวจาํ แนกตามเกณฑ ทก่ี ําหนดให เกณฑการจําแนก ลําดบั ชอื่ สัตว รูปรา ง แหลง ทีพ่ บ ท่ี สัตวมีกระดูกสัน สัตวไมมี ลกั ษณะ หลัง กระดูกสันหลัง 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12
ใบความรทู ่ี 2 เรอ่ื ง การเจริญเติบโตของสัตว หนวยการเรียนรทู ี่ 1 เรือ่ ง การดํารงชีวิตของสัตว ชั่วโมงท่ี 3-4 ชน้ั ประถมศึกษาปท ่ี 4 สัตวเ ปนส่งิ มีชีวิต การดาํ รงชีวิตของสตั วแ ตกตา งกัน สัตวบ างชนิดอยูในนาํ้ บางชนิดอยูบ นบก บางชนิดอยู ท้ังในนํา้ และบนบก สัตวเ หลาน้ีเม่ือเกิดและเสียชีวิตก็จะอยูตามสภาพทเี่ คยอยูมา สัตวจะเรม่ิ มีการเจรญิ เตบิ โตเม่ือ เซลลสืบพันธเุ พศผูผสมกับเซลลส บื พันธุเพศเมีย แลวเจริญเปนตัวออนภายในทองของเพศเมยี (ในกรณีที่สัตวมกี าร ปฏิสนธภิ ายใน) จนกระท่ังตัวออนฟก ออกมาจากไข ตัวออนจะเจรญิ เตบิ โตโดยมกี ารเพิ่มขนาดของอวัยวะใน รา งกาย และมีการพัฒนาระบบอวัยวะตางๆ ในรางกายใหส ามารถทาํ งานไดอยา งมปี ระสิทธภิ าพ ซ่ึงการ เจริญเตบิ โตของสัตววัดไดจากความสูงและนา้ํ หนักของรา งกายท่ีเพมิ่ มากข้ึน ตวั ออ นน้ีจะเจรญิ เติบโตไปเรอื่ ยๆ จนกระทง่ั มรี ูปรา งลกั ษณะเหมอื นตัวเตม็ วัยทุกประการ และสามารถสบื พันธุเพือ่ ดํารงเผาพันธุตอไปได สัตวตางๆจะกินอาหารเพื่อใหดํารงชีวิตอยรู อด อาหารท่ีสัตวกินนั้น ก็แตกตางไปตามบรรพบรุ ุษของสัตวท่ี พากินมา เชน - ววั ควาย มา แพะ แกะ กินหญา เปนอาหาร - ไก เปด นก กินขา ว มด แมลงตา งๆ เปนอาหาร - สงิ โต เสือ กินสัตวอื่นเปนอาหาร ปจจัยที่จําเปนตอการเจริญเติบโตของสัตว มีดงั นี้ 1. อาหาร : สัตวตองกินอาหาร เพื่อจะไดมีพลังงานในการทํากิจกรรมตา ง ๆ สัตวแ ตละชนิดกินอาหารท่ี แตกตางกันไป บางชนิดกินพืชเปนอาหาร บางชนิดกินสัตวเปน อาหาร และบางชนิดกินทั้งพชื และสัตวเ ปนอาหาร อาหาร (Food) หมายถึง ของกนิ หรือเครื่องหลอเลี้ยงชีวิต ในทางอาหารสัตวจะใชค าํ วา Feed ซงึ่ จะ หมายถงึ สารหรือสิง่ ของท่ภี ายหลงั สัตวก ินเขาไปแลวสามารถถูกยอย (Digested) ถูกดูดซมึ (Absorbed) แลวจะ ถูกนําไปใชป ระโยชน (Utilized) ตอรางกายของสัตวได โดยสวนของอาหารทถ่ี ูกยอ ยไดและถกู นําไปใชประโยชนไ ด จะเรียกวา โภชนะหรือสารอาหาร (Nutrients) 2. นา้ํ : สัตวตองกินน้ําเพ่ือใหร า งกายสดชื่น ชวยดบั กระหาย สัตวบางชนิดใชนํ้าทําความสะอาดรางกาย หรอื สัตวบางชนิดอาศัยอยูในนา้ํ สาํ หรับสัตวแลวน้าํ มีประโยชน ดงั ตอไปนี้ - เซลลในรางกาย ตองการนํา้ ไปเพอ่ื ไปทาํ ใหโ ครงสรางของเซลลค งรูปอยูได และสามารถทาํ งานได อยางปกติ - น้ําเปนตวั นําอาหารไปเล้ียงกลามเน้อื ตาง ๆ และในเวลาเดียวกนั นํา้ กเ็ ปนตัวนาํ ของเสียออกมาจาก กลา มเนอื้ น้ัน ๆ ดวย และขับถายออกมาจากรา งกายในรูปของเหง่ือและปสสาวะ เปนตน - นาํ้ ชวยในการเสรมิ สรางและซอ มแซมสวนที่สึกหรอของกลา มเนอ้ื ชวยหลอไขขอตา ง ๆ ของรา งกาย ชว ยยอยอาหาร ชวยใหโ ลหิตไหลวนเวียนทั่วรา งกาย - ชว ยรักษาและควบคุมอุณหภมู ขิ องรางกายใหอ ยูในระดบั ปกติ หากรอนเกินไปก็จะระบายความรอน ออกมาในรปู ของเหงอ่ื เปนตน 3. อากาศ : อากาศเปนส่ิงท่ีจําเปน ท่สี ุดสาํ หรับส่งิ มชี ีวิตทกุ ชนิด เนื่องจากสัตวท กุ ชนิดตองใชกา ซออกซเิ จน ในกระบวนการหายใจ และเพ่ือเผาไหมสารอาหารใหเปนพลงั งาน 4. ทอี่ ยอู าศัย : สัตวแตละชนิดจะมแี หลงทอี่ ยูไวนอน หากิน หลบภยั และดาํ รงชีวิตดานตาง ๆ ท่ีแตกตาง กนั ไป สัตวบางชนิดอาศัยบนบก บางชนิดอาศัยบนตนไม บางชนิดอาศัยในนํ้า
ใบกิจกรรมท่ี 3 เร่อื ง การเจริญเติบโตของสัตว หนว ยการเรยี นรทู ี่ 2 เร่ือง การดาํ รงชีวิตของสัตว ช่ัวโมงท่ี 3-4 ชน้ั ประถมศึกษาปท่ี 4 ช่อื ............................................................................. ชนั้ ................. เลขท.่ี ................... คําชี้แจง : จงทําเคร่ืองหมาย ⁄ เพือ่ จับคูชนิดของสัตวกบั ชนิดของอาหารใหถกู ตอง ชนิดของอาหาร หนอน ลูกนํ้า ขาวสาร รํา ขา วสุก หญา ชนิดของสัตว ไก ปลา หมู นก สุนัข แมว วัว มา
ใบความรูที่ 3 เรื่อง การตอบสนองตอ ส่ิงเรา ของสัตว หนวยการเรียนรูท่ี 2 เรื่อง การดํารงชีวิตของสัตว ชั่วโมงท่ี 5-6 ชั้นประถมศกึ ษาปท่ี 4 การตอบสนองตอสิ่งเราของสัตว สัตวม กี ารรับความรูสึกและโตตอบสง่ิ ตางๆ ท่ีเกิดข้ึนรอบๆ ตัวไดไว เชน แสง อุณหภูมิ น้ํา การสัมผัส ซง่ึ เรียกวา สงิ่ เรา สวนพฤตกิ รรมหรอื อาการที่อวัยวะสวนใดสวนหนึง่ ของสัตวแ สดงออกหรือปรากฏใหเ หน็ เมื่อถกู สง่ิ เรา มากระตุน ณ ชั่วขณะหนึ่ง เรียกวา การตอบสนอง สัตวส ามารถแสดงพฤติกรรมบางอยางเพ่ือตอบสนองตอสิง่ เรา ภายนอก ซ่งึ ไดแ ก แสง อุณหภมู ิ นา้ํ และ การสัมผัส ไดอ ยางเหมาะสมและสอดคลองกับลักษณะของสิ่งเราและสภาพแวดลอมทเ่ี ปล่ียน แปลงไป เพือ่ ความ ปลอดภัยและการอยูรอดของชวี ิต 1. การตอบสนองเมื่อไดร บั แสงเปนส่ิงเรา สัตวบางชนิดสามารถตอบสนองไดอยางรวดเร็วเมื่อไดร ับแสง เชน - การหรต่ี าเม่ือไดรับแสงสวา งมากเกินไป - การทแ่ี มลงตางๆ บินเขา หาแสงสวาง - เมอ่ื เกิดสรุ ิยุปราคา นกจะบินกลับรัง เน่ืองจากมีสภาพคลายเวลาพลบคํ่า - การหนีแสงของไสเดือนดิน - การใหแสงสวา งในการเลี้ยงไก เพือ่ ใหไกกินอาหารเปนเวลานาน ทําใหเจริญเตบิ โต เรว็ ในระยะเวลาสั้นกวา ปกติ - สัตวบ างชนิดออกหาอาหารในเวลาท่ีเร่ิมมแี สงสวา ง เชน การท่ีนกบินออกจากรังใน ตอนเชา - ไกข ันบอกเวลาในตอนเชา แตกม็ ีสัตวบ างชนิดจะออกหาอาหารในเวลาที่ไมมีแสงสวาง เชน นกเคาแมว คางคาว หนู 2. การตอบสนองเม่ือไดร ับอุณหภูมิเปนสง่ิ เรา คนและสัตวจะดํารงชีวิตในสภาวะทีม่ ีอณุ หภมู ทิ ่ีเหมาะสม ถาอุณหภูมเิ ปล่ียนไป สิง่ มชี ีวิต จะมีพฤตกิ รรมท่ีตอบสนองตอการเปล่ียนแปลงอุณหภูมิเพื่อความปลอดภัย และการดํารงชีวิตไดอยางเหมาะสม •เมอ่ื อากาศรอ นหรือมีอณุ หภูมิสูง - สุนัข วัว ควาย แกะ จะระบายความรอ นโดยการหอบเพื่อใหนํา้ ระเหยออกทางปาก - แมว กระตา ย จงิ โจ จะระบายความรอ นโดยการเลียอุงเทา และการระเหยของนาํ้ ลายจะพาความ รอ นออกไป - ควายจะหนรี อนดวยการแชใ นแองนํ้า - สัตวเ ล้ือยคลาน เชน จ้ิงเหลน ก้ิงกา งู จะหลบรอนอยูตามโพรงไม หรือในที่รม •เมอื่ อากาศเย็นหรืออุณหภมู ิตา่ํ - นกบางชนิด เชน นกนางแอนบา น และนกปากหา ง ท่ีอาศัยอยูแ ถบไซบีเรยี จะอพยพ ยา ยถิ่นมายังไทย - สัตวบ างชนิด เชน กระรอกดิน หมี สกังค จะหนีอากาศหนาวดวยการจาํ ศีล - สัตวเล้ือยคลาน เชน จ้ิงเหลน กิง้ กา งู จะนอนผ่ึงแดด
3. การตอบสนองเม่ือไดรับนา้ํ เปนสิง่ เรา เมอื่ สภาพแวดลอมมปี ริมาณนํ้าไมเ หมาะสม สัตวบางชนิดจะปรับตัวใหเ หมาะสมดงั ตัวอยางตอไปนี้ - ไสเ ดือนจะเคลอ่ื นท่เี ขา หาความช้ืน เพ่อื ใหผิวหนังชุมชื้น เน่ืองจากไสเ ดือนหายใจโดยใชผิวหนังจึงจาํ เปน ที่ผิวหนังจะตองชุม ช้ืนตลอดเวลา - นํา้ ทําใหสัตวคร่งึ บกครึง่ น้าํ เชน กบ คางคก ออกหากินในเวลากลางคืน เพอื่ ใหม ีความชื้นพอเหมาะ - สัตวทะเลทรายจะออกหากินในเวลากลางคืนเพื่อลดการสูญเสียนา้ํ 4. การตอบสนองสิ่งเราเมื่อไดรบั การสัมผัสเปนสง่ิ เรา สัตวจะมีประสาทสัมผัสอยูท ีบ่ รเิ วณผิวหนัง ดังนั้นเมื่อไดร ับการสัมผัส ระบบประสาทกับ ระบบกลา มเน้ือจะทาํ งานประสานกัน และแสดงอาการตอบสนองส่ิงเราได ดังตัวอยา งตอไปนี้ - อึ่งอา งเมอื่ ไดร ับการสัมผสั จะพองตัว - กง้ิ กอื จะขดหัวเขาดา นในเมื่อถกู สัมผัส - หอยชนิดตา งๆ จะหบุ ฝาหรือหดตวั เขาในเปลือก
ใบกิจกรรมท่ี 4 เรอ่ื ง การตอบสนองตอสงิ่ เราของสัตว หนวยการเรยี นรทู ่ี 2 เร่ือง การดํารงชีวิตของสัตว ชั่วโมงที่ 5-6 ช้ันประถมศึกษาปท ่ี 4 ชอ่ื ......................................................................... ช้ัน................. เลขท่ี.................... คําช้ีแจง ใหนักเรียนเขียน √ พฤตกิ รรมของสัตวท่ีนกั เรียนพบเห็นโดยท่วั ไปมา 6 ชนิดวามีพฤติกรรม การตอบสนองตอสิง่ เราอะไรบางและมีการตอบสนองอยางไร ชนิด สิ่งเรา ท่ีทาํ ใหสัตวตอบสนอง การตอบนอง ของ แสง เสียง อณุ หภมู ิ สมั ผัส นํา้ อาหาร สัตว สุนขั √ เมอื่ อากาศรอนสุนัขนะแลบลิ้น 1. ................................................................... ................................................................... ................................................................... 2. ................................................................... ................................................................... ................................................................... 3. ................................................................... ................................................................... ................................................................... 4. ................................................................... ................................................................... ................................................................... 5. ................................................................... ................................................................... ................................................................... 6. ................................................................... ................................................................... ..................................................................
ใบความรทู ี่ 4 เร่ือง ประโยชนข องสัตวและโทษของสัตว หนว ยการเรียนรูที่ 2 เรื่อง การดํารงชีวิตของสัตว ช่ัวโมงท่ี 9-10 ชั้นประถมศึกษาปท่ี 4 สัตวมปี ระโยชนตอมนุษยมากมายหลายดานโดยสวนใหญจะเปนประโยชนทางออมมากกวาทางตรงจึงเปน สาเหตใุ หเราใหความสาํ คญั กับสัตวตางๆตํ่ากวา ท่ีควรจะเปนเราจึงควรศึกษาในเรื่อง ประโยชนข องสัตวเพือ่ ใหเ กิดความตระหนักถงึ ประโยชนของสัตวตางๆดงั น้ี 1.ดา นการเกษตร- ใชแรงงานจากสัตวใ นการทําการเกษตรเชนวัวควายใชไถนาชา งใชลากซงุ ลงิ เกบ็ มะพรา ว - ใชเปนพาหนะโดยเฉพาะในชนบททห่ี า งไกลจากเสนทางคมนาคมจะใชส ัตวเ ปนพาหนะ เชนวัวควายใชเ ทียมเกวียนบรรทกุ ของชางมา ใชขี่ - ชว ยในการผสมเกสรดอกไมทาํ ใหเกิดเปนผลใชรับประทานและชวยแพรพันธุพชื เชน ผเี สอ้ื ผึง้ แตน - ใชทาํ ปุยเชนปุยดอกไมมาจากมูลของสัตวซ่ึงจัดเปนปุยธรรมชาติชวยบํารุงดินทําให ตนไมเจริญงอกงาม ชาง ใชลากซุง ปุย หมักที่ไดจากเศษซากพืชและสัตว 2.ดา นการแพทย - ใชศ ึกษาโครงสรา งระบบการทํางานของอวัยวะภายในรางกายส่ิงมีชวี ิตเชนปลากบหนู กระตายลงิ - ใชผลิตวัคซีนเซรมุ เพือ่ สรา งภูมิตา นทานโรคเชนมา งู - ใชเปนสัตวทดลองเพ่ือดกู ารเปลี่ยนแปลงของรางกายเมือ่ ไดร บั วคั ซีนเซรมุ หรือสารอ่ืนๆท่ี ผลิตข้ึนมาใหมเ ชนหนูกระตา ยลงิ 3. ดา นการบรโิ ภคและอุปโภค - ใชเปนอาหารเชนหมูวัวควายเปดไกปลากงุ หอย - ใชทาํ เคร่อื งนงุ หมเชนหนังของสัตวบ างชนิดเราสามารถนํามาทาํ เปนเคร่ืองนุงหม หรือ เคร่อื งใชเ ชนกระเปาเข็มขัดถงุ มอื รองเทา - ใชทาํ เคร่ืองใชโดยเอาสวนตางๆของสัตวมาทาํ เชนเขาควายใชท ําดามมีด
ตัวอยางผลิตภัณฑท ่ีไดจากพืชและสัตว สัตวม ปี ระโยชนตอมนษุ ยมากมายแตขณะเดียวกันก็มีสตั วบ างชนิดท่ีเปนโทษแกม นุษยและสิ่งมีชวี ิตอื่นๆได โดยเฉพาะอยา งย่ิงสัตวทเี่ ปนพาหนะในการนาํ โรคติดตอเชนยงุ แมลงวันหรือสัตวบ างชนิดก็มพี ษิ ทสี่ ามารถทํา อันตรายจนถึงแกชวี ิตไดเ ชนงูแมงปอ งตะขาบดังนั้นเราจึงตองระมัดระวังไมเ ขา ใกลสัตวมีพษิ เหลาน้ัน โทษของสัตวม ีดังนี้ 1.ทําความเสียหายใหแกพ ืชผลเชนคา งคาวนกกินผลไมเ พลี้ยตั๊กแตนหอยทากสัตวพวกนี้จะกินใบออนและ ยอดออน 2.เปน อันตรายตอมนุษยโ ดยตรงไดแกสัตวดรุ า ยขนาดใหญเชนเสือสัตวบางชนิดกอความรําคาญและเปน พาหนะนําโรคเชนยุงแมงวันแมลงสาบสัตวบางชนิดตอยใหเ จ็บปวยเชนแมงปองตะขาบ
ใบกิจกรรมที่ 4 เร่อื ง ประโยชนแ ละโทษของสัตว หนว ยการเรยี นรทู ี่ 2 เร่ือง การดํารงชีวิตของสัตว ชั่วโมงที่ 9-10 ช้นั ประถมศึกษาปที่ 4 ช่อื ......................................................................... ชัน้ ................. เลขท่ี.................... คําช้ีแจง ใหนกั เรียนเขียนประโยชนและโทษของสัตว 5 ชนิด ลงในตารางท่ีกาํ หนดให ชื่อสัตว ประโยชน โทษ 1. 2. 3. 4. 5.
แบบประเมนิ การนําเสนอผลงาน คําช้ีแจง ใหค รูผูสอน ประเมินการนําเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการทก่ี าํ หนด แลวทาํ เครื่องหมาย ลงในชองที่ตรงกับระดับคะแนน ลําดั รายการประเมิน ระดับคะแนน บท่ี 321 1 ความถกู ตองของเนื้อหา 2 ความคิดสรางสรรค 3 วิธีการนําเสนอผลงาน 4 การนาํ ไปใชป ระโยชน 5 การตรงตอเวลา เกณฑการใหคะแนน - ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤติกรรมอยา งสมํา่ เสมอ ให 3 คะแนน - ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบอ ยครัง้ ให 2 คะแนน - ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบางคร้งั ให 1 คะแนน เกณฑการตัดสนิ คุณภาพ - คะแนน 12 – 15 คะแนน หมายถึง ระดบั ดี - คะแนน 8 – 11 คะแนน หมายถึง ระดับพอใช - ต้งั แต 7 คะแนนลงไป หมายถึง ระดบั ปรบั ปรุง ลงช่ือ...................................................ผูประเมิน ............................/.................../..............
Search