Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จริยธรรมสิ่งแวดล้อม

จริยธรรมสิ่งแวดล้อม

Published by supasit.kon, 2020-10-20 03:52:01

Description: จริยธรรมสิ่งแวดล้อม

Keywords: จริยธรรมสิ่งแวดล้อม

Search

Read the Text Version

48 แหล่งที่ทาใหเ้ กดิ ปัญหา เชน่ โรงงานอุสาหกรรมบางอย่างทาให้เกิดฝ่นุ ละอองหรือก๊าซพิษมากจาเป็น จะตอ้ งลดหรือกาจัดสารมลพิษเหล่านีโ้ ดยกาหนดให้ใชเ้ ครื่องมือหรืออปุ กรณบ์ างอยา่ งช่วย เชน่ ไซโคลน สครับเบอร์ การกรองและ หรือการทาใหเ้ กดิ การตกตะกอนด้วยไฟฟ้า เป็นต้น ๔ การใช้มาตรการกฎหมายควบคุมและแกไ้ ขมลพิษทางอากาศ กฎหมายเป็นเคร่ืองมือ ทีส่ าคญั ในการจัดการมลพิษทางสิง่ แวดลอ้ มที่เกดิ ขึน้ จากการกระทาของมนษุ ย์ กฎหมายทน่ี ามาใชเ้ พ่อื ควบคมุ และแก้ไขปัญหาอากาศน้ันจะต้องมลี ักษณะทเ่ี หมาะสม รดั กมุ และถอื ปฏบิ ตั ิได้ปกตแิ ล้วกฎหมาย จะเนน้ การควบคมุ แก้ไขทีแ่ หล่งกาเนิดของมลพิษ เชน่ โรงงานอุสาหกรรม การใช้เคร่ืองยนตแ์ ละ ยานพาหนะ เป็นต้น โดยคานึงถงึ ข้อเสียท่ีปล่อยออกมาจากแหลง่ กาเนิดอากาศสกปรกซง่ึ จะต้องกาหนด เปน็ มาตรฐานที่เหมาะสม ๕ การพฒั นากระบวนการผลิตและการใช้เชือ้ เพลงิ ทไี่ ม่เปน็ สาเหตุของมลพิษทาง อากาศ โดยสนบั สนนุ ให้มีการศึกษา คน้ ควา้ และทดลองเพื่อพฒั นากระบวนการผลิต การใชเ้ คร่อื งจกั รกล รวมท้ังการใชเ้ ชอ้ื เพลงิ ให้เกิดประสทิ ธภิ าพและเหมาะสม ไมเ่ ป็นสาเหตใุ ห้เกดิ มลพิษทางอากาศรวมทั้งให้มี การปรบั ปรุงเปล่ียนแปลงและเลอื กใชก้ ระบวนการการผลิตและใช้เชอ้ื เพลงิ ให้เหมาะสมไม่กอ่ ให้เกิดปัญหา ดังกล่าวดว้ ย ๖ การให้ความรแู้ ละเผยแพร่ประชาสมั พนั ธ์ และการรณรงค์ควบคุมแก้ไขมลพิษทาง อากาศ ทั้งนเ้ี พอื่ ให้ประชาชนเกดิ ความรคู้ วามเข้าใจและตระหนักในปัญหาของชมุ ชนและปญั หาทีจ่ ะเกิด ขนึ้ กบั ประชาชนเอง และเพื่อให้ประชาชนร่วมมือในการควบคุมและแก้ไขปญั หารว่ มกนั ๓.๒ การควบคมุ และแก้ไขปัญหาเสยี งในเขตเมือง ๓.๒.๑ สภาพปัญหาเสียงในเขตเมือง เสียงเปน็ ปัญหาสาคญั ต่อสภาวะแวดลอ้ มในเขตเมืองมากอยา่ งหน่งึ และมีผลกระทบกระเทอื นต่อ สุขภาพและการดารงชวี ิตของมนุษย์ สตั ว์ และพชื ได้ ความดังของเสยี งมีหลายระดับ เสียงทด่ี งั ในระดับท่ี ตา่ กวา่ ๘๐ เดซเิ บล เป็นเสียงที่ไม่เป็นอนั ตรายต่อประสาทหู แต่ทาใหเ้ กิดความราคาญ หงดุ หงิด และ รบกวนให้เสียสมาธิได้ แต่ถ้าคนเราไดส้ ัมผัสเสียงดงั ตดิ ต่อกันในระดบั ของเสียง ๘๕ เดซเิ บลหรือมากกวา่ เปน็ เวลานานถึง ๑ ช่วั โมงขึ้นไปแล้วจะเปน็ อันตรายต่อโสตประสาทของผู้สมั ผสั เสียงนีไ้ ด้ โดยเหตุน้ีเอง องค์การอนามยั โลกจงึ กาหนดมาตรฐานของเสียงไว้ไมเ่ กิน ๘๕ เดซิเบล ๑ ปัญหาจากมลพิษทางเสยี ง เสยี งท่ีดงั เกินไปหรอื เกดิ ขนึ้ โดยไมถ่ ูกกาลเทศะ เราเรยี กวา่ “เสยี งท่ไี ม่พงึ ประสงค์” เสียงนจ้ี ะก่อใหเ้ กดิ ปญั หาต่อสุขภาพอนามัยทัง้ ทางรา่ งกายและจิตใจของผ้สู ัมผัส ได้ ทีส่ าคัญ คือ ๑.๑ ทาใหส้ ภาพหเู สอื่ มสภาพ เช่น หตู ึง หูอ้ือ หรอื หูหนวกได้ ๑.๒ กอ่ ใหเ้ กิดความราคาญ หงดุ หงดิ ไมส่ บายใจ นอนไมห่ ลับ ประสาทเครียด อาจทา ใหเ้ กิดโรคประสาทได้ ๑.๓ ทาใหป้ ระสิทธภิ าพของการทางานเส่ือมหรือขาดสมาธิในการทางาน และอาจเป็น สาเหตขุ องอบุ ตั เิ หตุได้ ๑.๔ รบกวนการผกั ผ่อนหรือนอนหลบั ๑.๕ รบกวนการติดตอ่ สื่อสารหรอื พูดคยุ อาจทาใหเ้ กดิ ความผดิ พลาดขึน้ ได้

49 ๒ แหล่งกาเนิดของเสยี งในชุมชนเมือง ปัญหาเสยี งรบกวนท่ีเกดิ ขนึ้ ในชุมชนเมืองมีสาเหตุเกดิ จาก ส่ิงต่าง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ ๒.๑ การจราจร การจราจรทมี่ ีการใช้เครื่องยนตเ์ ปน็ ยานพาหนะไมว่ า่ จะเป็นทางบก ทางนา้ หรอื ทางอากาศ นับว่าเปน็ สาเหตทุ ส่ี าคญั มากในการทาใหเ้ กดิ เสยี งดังรบกวนในชุมชน ยานพาหนะ ทที่ าใหเ้ กดิ เสียงดังรบกวนทสี่ าคัญคือ รถยนต์ รถสามล้อเครือ่ ง รถจักรยานยนต์ รถไฟ เคร่อื งบิน เฮลคิ อปเตอร์ เรือยนต์ เรือหางยาว และเรอื กลไฟ เปน็ ต้น เสียงดงั ท่ีเกดิ จากยานพาหนะเหลา่ น้โี ดยทว่ั ไป แล้วจะเกิดข้ึนมากท่รี ะบบท่อไอเสีย แตร ระบบห้ามล้อ ระบบสง่ กาลัง และเสยี งจากเครื่องยนตโ์ ดยตรง ๒.๒ โรงงานอุตสาหกรรม เสยี งจากโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เกิดขนึ้ จากเสียง เครอ่ื งจักร และ / หรือเคร่ืองยนตต์ า่ ง ๆ ทใ่ี ชแ้ ละกิจกรรมท่ที าในแต่ละโรงงาน ความดังของเสียงท่ีวดั ได้ โดยเฉล่ยี จะมีประมาณ ๖๐ – ๑๒๐ เดซเิ บล โรงงานอตุ สาหกรรมในเขตชมุ ชนเมอื งท่ีพบวา่ ทาใหเ้ กดิ ปญั หาเกย่ี วกับเสยี งดังหรอื เสียงรบกวนมากไดแ้ ก่ อูซ่ ่อมรถ อูเ่ คาะและพ่นสีรถ โรงกลึงเหลก็ โรงงานทา เครอื่ งเรือน ร้านตดั เคาะ เชื่อมเหล็ก โรงงานทอผา้ โรงงานอาหารกระป๋อง โรงงานเครื่องดืม่ บรรจขุ วด โรงเลือ่ ย โรงตีเหล็ก และโรงงานอื่น ๆ ๒.๓ การก่อสรา้ ง กิจกรรมการกอ่ สร้างท่ีทาให้เกดิ เสียงดงั รบกวนไดแ้ ก่ การตอก เสาเขม็ การรื้อและทบุ อาคาร การตอกเหล็กและตะปู การตดั ไมแ้ ละตัดเหล็ก เปน็ ต้น ๒.๔ อปุ กรณ์และสง่ิ ของใชใ้ นบา้ น เช่น การเปดิ วิทยุหรือโทรทศั น์ การตัดหญ้าดว้ ย เครื่อง การใชเ้ ครอ่ื งดดู ฝุ่น การใช้เครื่องสูบน้า เป็นต้น ๒.๕ เสียงจากแหล่งบันเทงิ และสถานเรงิ รมย์ เช่น บาร์ คอฟฟ่ีชอป ไนตค์ ลับ ดสิ โก เทค และเสยี งการเล่นหรอื ซ้อมดนตรี เปน็ ต้น ๒.๖ เสยี งจากการรอ้ ง การทะเลาะววิ าท หรือการพดู คยุ ของคน ๒.๗ เสยี งจากการรอ้ งของสตั ว์ เชน่ ไก่ขนั สนุ ขั เหา่ หมูรอ้ ง เป็นตน้ ๓.๒.๒ การควบคมุ และแก้ปัญหาเสยี งในเขตเมือง การควบคุมและแก้ปญั หาเสียงดงั รบกวน การควบคุมและแก้ไขปัญหาเสยี งดังรบกวนมหี ลกั การท่ี สาคญั ดงั นี้ ๑ การควบคมุ และแก้ไขปญั หาโดยอาศยั เทคโนโลยีลดเสยี ง การใชเ้ ทคโนโลยีลดเสยี ง ดงั ในการควบคุมและแก้ไขปัญหาเสยี งดังรบกวนนัน้ ทาได้ ๓ ลกั ษณะตามองค์ประกอบสาคญั ท่ีเกีย่ วขอ้ ง กับเสยี ง คือ ๑.๑ การใช้เทคโนโลยชี ่วยควบคุมที่แหล่งกาเนดิ เสียง โดยใช้วธิ ีการลดกาลังเสยี ง (sound power) ทแ่ี หล่งกาเนดิ เสียงใหม้ คี วามดังนอ้ ยลง ซึง่ อาจทาได้โดย - พฒั นาอุปกรณ์ และติดตงั้ อุปกรณค์ วบคุมเสยี ง เช่น ตดิ ต้ังทอ่ เก็บเสยี ง (muffler)หรอื ตดิ ต้ังระบบทอ่ ไอเสียที่สดเสียงลงไดก้ ับเคร่อื งจกั รหรอื เครอ่ื งยนต์ซ่ึงเปน็ แหล่งกาเนดิ เสยี ง - พฒั นาเครอ่ื งจักร เคร่ืองยนต์ เครื่องมือ หรอื ยานพาหนะใหก้ ารทางานมเี สยี งดงั น้อยลง ๑.๒ การใชเ้ ทคโนโลยีช่วยลดความดงั ของเสียงในระหว่างการเดินทางของเสยี งผา่ น ตวั กลาง โดยใช้วธิ ีการลดกาลงั เสียงลงในขณะท่ีคลื่นเสียงเดินทางผา่ นตัวกลาง เชน่ ใช้วตั ถุบางอย่างช่วย ดูดกลนื เสยี ง หรอื กีดขวางทางเดินของเสียง เปน็ ต้น

50 ๑.๓ การใช้เทคโนโลยีช่วยลดเสียงทีบ่ ุคคลผู้รับเสียงดงั รบกวน โดยหาวธิ ีการทเ่ี หมาะสม เพอื่ ป้องกันเสยี งรบกวนส่วนบคุ คล เช่น ใช้ปลก๊ั อดุ หู (ear plugs) หรือใชท้ ค่ี รอบหู (ear muffs) เปน็ ต้น ๒ การควบคมุ และแกไ้ ขปัญหาโดยใช้มาตรการทางกฎหมาย การใช้กฎหมายเปน็ เคร่ืองมือในการ ควบคมุ แกไ้ ขปัญหาตา่ ง ๆ ที่เกดิ ขึน้ ในชมุ ชนนัน้ นบั ว่าเปน็ ส่ิงจาเป็น โดยเฉพาะอย่างย่งิ ปัญหาเกี่ยวกบั มลพษิ ทางสงิ่ แวดล้อม กฎหมายจะชว่ ยในการจดั การส่ิงแวดลอ้ มในชุมชนให้อยู่ในสภาวะที่ปลอดภัย สาหรบั การควบคุมและแก้ปัญหาเสียงดังในชมุ ชนน้ัน กฎหมายทนี่ ามาใชค้ วรมีความชดั เจนเหมาะสม รดั กุม และถือปฏบิ ัติได้ ชนดิ ของกฎหมายควบคมุ และแก้ไขปญั หาเสียงดงั ในชุมชนท่สี าคญั และควรมี ได้แก่ ๑) กฎหมายหรอื ข้อบังคบั เกยี่ วกบั ระดบั เสียงสูงสดุ ท่ยี อมใหม้ ไี ดใ้ นยา่ นตา่ ง ๆ ของชมุ ชน ๒) กฎหมายหรือข้อบงั คับทเี่ ก่ียวกบั ระดับเสียงสูงสุดของยานพาหนะชนิดตา่ ง ๆ ทยี่ อมให้มไี ดใ้ น ชมุ ชน ๓) กฎหมายหรอื ข้อบงั คับเก่ยี วกับเสยี งสูงสุดทย่ี อมใหม้ ีได้มีไดจ้ ากโรงงาน ๔) กฎหมายหรือบังคบั เกี่ยวกับระดับเสยี งสงู สดุ ทยี่ อมให้มีไดจ้ าการก่อสร้าง ๓ การควบคุมและแกไ้ ขปญั หาโดยการเผยแพรป่ ระชาสมั พันธใ์ ห้ความร้แู กป่ ระชาชน โดยเนน้ การ ให้ความรู้แก่ประชาชนในระดับต่าง ๆ รวมทงั้ การรณรงค์ขอความรว่ มมือจากประชาชนและกลุ่มคน ก่อให้เกดิ ปญั หาเสียงรบกวนด้วย สาหรับในโรงเรียนนั้นควรมีวชิ าท่ีสอนเก่ยี วกบั เสียง และมลพิษทางเสยี ง ให้นกั เรียนได้เรียนรู้และตระหนกั ถึงปัญหาเกย่ี วกบั เสียงรบกวน โดยจัดใหม้ ใี นหลกั สตู รของการเรยี นการ สอนท้งั ในระดับประถมศกึ ษาและมัธยมศึกษา ๓.๓ การควบคมุ และแกไ้ ขปัญหาน้าโสโครกในเขตเมือง ๓.๓.๑ สภาพน้าโสโครกในเขตเมือง นา้ โสโครกสว่ นใหญ่เกดิ จากการใชน้ ้าในกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของมนุษย์ เช่น น้าทงิ้ จากอาคาร บา้ นเรือน โรงานอตุ สาหกรรม ยา่ นการคา้ และรวมถึงนา้ ทผ่ี ่านการใชท้ างการเกษตรกรรม และน้าฝนที่ตก ลงมาสู่พ้นื โดยท่ีไม่ไดร้ องรับไว้ใช้ประโยชนด์ ้วย ๑. สาเหตขุ องการเกิดน้าโสโครกในชุมชนเขตเมือง สาเหตสุ าคัญทท่ี าให้น้าโสโครกในชมุ ชนเขต เมือง คือ ๑.๑ การใช้นา้ และทิง้ น้าจากอาคารบา้ นเรือนหรือชมุ ชน น้าทผ่ี า่ นการใช้ประโยชนใ์ น กิจกรรมตา่ ง ๆ จากอาคารบา้ นเรอื นหรอื ชมุ ชนซง่ึ เป็นนา้ ทิ้งหรือนา้ โสโครก เชน่ นา้ ทง้ิ จากการอาบชาระ ล้างรา่ งกาย การกาจดั อุจจาระปสั สาวะ การซักลา้ ง การประกอบอาหาร และการเล้ยี งสัตว์ น้าท้งิ เหล่านี้ จะมีส่ิงสกปรกประเภทต่างๆปะปนอยู่มากมายหลายชนิดทงั้ เศษอาหาร สบู่ ผงซักฟอก อุจจาระ ปัสสาวะ เชือ้ โรคและส่งิ สกปรกอน่ื ๆ นา้ เสยี เหลา่ นเ้ี ม่อื ปนเป้ือนลงสู่แหล่งน้าในชมุ ชนในปรมิ าณที่มากพอย่อมจะทา ใหเ้ กดิ มลพษิ ทางนา้ ได้ ๑.๒ การใชน้ ้าและการทิ้งน้าจากโรงงานอุตสาหกรรม นา้ ที่ผ่านการใชใ้ นโรงงาน อตุ สาหกรรมต่าง ๆ เปน็ น้าท่เี สยี แล้วจะมีส่งิ สกปรกปะปนอย่มู าก มีทั้งสารอินทรีย์และสารอนินทรยี ์ นา้ เสียจากบางโรงงานอาจมีสารพษิ ปะปนอยู่ ซ่ึงจะมากหรือน้อยหรอื เป็นสารพิษชนดิ ใดนนั้ ขน้ึ อยูก่ ับชนิดของ โรงงานและกิจกรรมการใช้น้าในโรงงานนนั้ ๆ นา้ ทง้ิ จากโรงงานอตุ สาหกรรมนถี้ ้ามีการควบคุม และกาจดั

51 ไมถ่ ูกต้องจะเป็นพษิ ภยั ต่อประชาชนในชุมชนและทาให้เกดิ ปญั หามลพิษทางส่งิ แวดล้อม โดยเฉพาะอย่าง ยง่ิ น้าเสียนปี้ นเปอื้ นลงสู่แหลง่ น้าของชุมชนจะทาใหเ้ กิดมลพษิ ทางน้าได้ ๑.๓ การใช้นา้ และการท้ิงน้าท่ีใช้จากกิจกรรมทางการเกษตร การใช้นา้ ในทาง เกษตรกรรม เชน่ เลย้ี งสตั ว์ ปลูกพืช ผกั และผลไม้ รวมทัง้ การใช้สารเคมชี นิดตา่ ง ๆ เพ่ือเพิ่มผลผลติ ทาง การเกษตร เชน่ การใชป้ ๋ยุ การใช้สารเคมีจากดั ศัตรูพชื เปน็ ตน้ สิง่ เหลา่ นีเ้ มอ่ื ผ่านการใชแ้ ลว้ หรอื ปนเปื้อน ลงสนู่ ้าจะทาให้เกดิ น้าเสียขึน้ และเปน็ พิษภยั ต่อมนษุ ย์และสัตว์ได้ ๑.๔ การเกิดนา้ โสโครกจากเหตอุ ืน่ ทีม่ ีแหล่งกาเนิดไม่แนน่ อน น้าโสโครกอาจเกิดข้นึ ได้ จากสาเหตุอน่ื นอกเหนือจากสาเหตทุ ่ไี ด้กล่าวมาแลว้ เชน่ เกดิ ข้นึ โดยธรรมชาติไดแ้ ก่ ฝนตก นา้ ท่วม น้า หลาก ทาให้เกิดน้าโสโครกขังอยตู่ ามทีล่ ่มุ ตา่ ง ๆ และเมื่อปนเปอ้ื นลงสู่แหลง่ น้าของชุมชนก็จะทาใหเ้ กิด มลพษิ ทางนา้ ได้ ๓.๓.๒ การควบคมุ และแกไ้ ขปญั หาน้าโสโครกในเขตเมอื ง สาเหตทุ ี่ทาให้เกดิ น้าโสโครกในชมุ ชนนน้ั ท่เี กิดข้นึ เองโดยธรรมชาติ และเกิดจากการกระทาของ มนุษย์ นา้ โสโครกที่เกิดขนึ้ โดยธรรมชาตนิ ั้นยากแก่การควบคุมและแก้ไขเพราะเกดิ ขน้ึ โดยมแี หล่งกาเนิดที่ ไม่แนน่ อน และจุดระบายหรือปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้าก็มีไม่แน่นอนและมีมากจดุ กระจายทัว่ ไป ไม่เหมอื นกับ นา้ โสโครกที่เกดิ จากการกระทาของมนุษย์ซงึ่ มีสาเหตุการเกิดหรอื แหลง่ กาเนิดแนน่ อน มีจดุ ปลอ่ ยหรอื ระบายสู่แหล่งน้าท่ีแน่นอนและเหน็ ชัดทาให้การดาเนินการควบคมุ และแก้ไขปัญหากระทาไดง้ า่ ย ซงึ่ มี แนวทางในการควบคุมและแกไ้ ขปัญหานา้ โสโครกในเขตเมือง ดงั นี้ ๒.๑ จดั ใหม้ ีการสารวจและเฝา้ ระวังคุณภาพน้าตามแหลง่ น้า โดยีการสารวจคณุ ภาพนา้ ตามแหลง่ น้าต่าง ๆ ในชมุ ชนท่ตี อ้ งการควบคมุ แกไ้ ขหรอื ป้องกนั ไม่ให้เกิดมลพิษทางน้าอย่เู สมอด้วยการวิเคราะห์ คณุ ภาพนา้ ทัง้ ทางฟิสิกส์ เคมี และชีววทิ ยา ทงั้ น้เี พื่อนาข้อมูลทไ่ี ด้มาใช้เฝา้ ระวงั แหล่งนา้ ให้อยใู่ นสภาพท่ี เหมาะสมและเพื่อการควบคุมแกไ้ ขได้ทันท่วงที ๒.๒ ควบคุมการระบายของเสียจากแหลง่ กาเนิดต่าง ๆ ลงสูแ่ หลง่ น้า ของเสียจากอาคาร บ้านเรอื น หรอื ชุมชน และของเสยี ทปี่ ลอ่ ยออกมาจากโรงงงานอุตสาหกรรมตา่ ง ๆ เหล่าน้ีจะต้องได้รับการ ควบคุมและปรบั ปรุงคุณภาพให้ได้มาตรฐานเสียก่อน จงึ จะอนุญาตใหร้ ะบายลงสแู่ หล่งน้าสาธารณะได้ โดยรัฐจะตอ้ งมีองค์กรหรือหน่วยงานรับผดิ ชอบควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดและดาเนินการใหเ้ ป็นไปตาม กฎหมายท่ีมีอยู่อย่างเครง่ ครดั ๒.๓ พฒั นาเทคโนโลยเี พือ่ การบาบดั น้าโสโครกในชุมชน โดยจัดใหม้ ีการศึกษาและวจิ ัยเพ่ือหา วธิ ีการท่เี หมาะสมในการบาบัดน้าโสโครก หรือปรับปรุงคุณภาพนา้ โสโครกใหด้ ีขนึ้ ก่อนที่จะปลอ่ ยหรอื ระบายลงสแู่ หลง่ นา้ สาธารณะ สาหรับแหล่งน้าโสโครกท่ีเกดิ มขี ึน้ อยู่แล้วก็ควรดาเนินการควบคมุ ปอ้ งกัน และบาบดั เพื่อปรับปรุงคณุ ภาพนา้ ให้อยใู่ นสภาพทเ่ี หมาะสมได้มาตรฐานคณุ ภาพแหล่งน้าหรอื ทาลาย แหล่งนา้ โสโครกนน้ั ใหห้ มดไป ๒.๔ จดั ให้มกี ารพฒั นาแหล่งน้าสาธารณสุขในชุมชน การพัฒนาแหล่งน้าทาได้หลายวิธี เช่นขุด ลอกแหล่งน้า กาจัดวัชพืชนา้ ขจัดสาเหตุของการทาให้แหล่งนา้ สกปรก และการใช้เทคโนโลยีพัฒนาน้าใน แหล่งนา้ ให้สะอาดยง่ิ ขนึ้ เป็นต้น ๒.๕ ใชม้ าตรการทางกฎหมายหรอื ขอ้ บังคับ กฎหมายหรอื ขอ้ บงั คบั ตา่ ง ๆ ที่กาหนดให้มีหรอื ออกมาใชเ้ ปน็ เคร่ืองมือแก้ปญั หามลพิษทางน้านน้ั เป็นบรรทดั ฐานสาหรับถอื ปฏิบัติทีส่ าคัญของการบริหาร จัดการของหนว่ ยงานของรฐั ท่ีเก่ียวข้องกับการควบคมุ แก้ไขมลพิษทางน้า กฎหมายหรือข้อบงั คบั เหล่านี้มี

52 อยแู่ ลว้ มากมาย กระจัดกระจายอย่ตู ามกระทรวง ทบวง กรมตา่ ง ๆ การใช้กฎหมายชว่ ยควบคุมแกไ้ ข มลพษิ ทางน้านนั้ เปน็ สง่ิ จาเป็น ควรถือปฏิบตั ิอย่างเคร่งครัด และกฎหมายน้ีควรจะมีการปรบั ปรุงและ พฒั นาให้เกิดความเหมาะสมตามสภาพการณโ์ ดยคานงึ ถึงการอนรุ ักษ์ส่ิงแวดลอ้ มมใิ ห้เกิดผลเสียตอ่ ระบบ และไมเ่ ป็นพิษภยั ตอ่ มนุษย์ สัตว์ และพืชในระบบแวดลอ้ มนัน้ ๆ ด้วย ๒.๖ การเผยแพร่ความรแู้ ละขอความรว่ มมือในการควบคุมแก้ไขปญั หาน้าโสโครกจากประชาชน ในชมุ ชน สาเหตุของการเกิดปัญหานา้ โสโครกนัน้ เกิดจากการกระทาของมนุษย์ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ การ กระทาของประชาชนในชมุ ชน ถา้ มีการอธิบายหรือให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องของน้าโสโครกทงั้ ในแง่ ของการเกดิ ปัญหา และการบาบดั นา้ โสโครกแล้ว เมื่อประชาชนเข้าใจและเห็นความสาคัญของปัญหา เรา จะไดร้ ับความร่วมมือจากประชาชนทงั้ ด้านการควบคุมปอ้ งกันและแก้ไข ปญั หามลพิษทางน้าในชุมชนจะ ลดน้อยลงและไม่มีในทสี่ ุด ๓.๔ ปญั หาอุจจาระในเขตเมือง อุจจาระเป็นของเสยี ซงึ่ เป็นกากอาหารที่ถูกขับถ่ายออกมาจากรา่ งกายมนุษย์ ในอจุ จาระมักจะมี เชื้อโรคและหนอนพยาธิปะปนอยดู่ ว้ ย โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในอุจจาระของผปู้ ว่ ยทเ่ี ป็นโรคติดเช้ือระบบ ทางเดนิ อาหารจะพบว่ามเี ชื้อโรคชนดิ ท่ีทาใหเ้ กดิ โรคปะปนออกมาดว้ ย ดังนั้น ถา้ การกาจดั และควบคุม อจุ จาระท่ีขับถ่ายออกมาของแตล่ ะบคุ คลในชมุ ชนไม่ถูกต้อง จะทาใหเ้ กิดการแพร่กระจายและเกิดการ ระบาดของเชอ้ื โรคและหนอนพยาธิไปสบู่ ุคคลปกติไดโ้ ดยอาศยั สื่อนาทางสง่ิ แวดล้อม เชน่ น้า อาหาร อากาศ ดนิ แมลง และสตั ว์ตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ สภาพปัญหาอุจจาระในเขตเมือง การควบคมุ และแกไ้ ขปัญหาการปนเป้อื นของอจุ จาระสสู่ ่ิงแวดลอ้ มของชมุ ชนได้ดีทีส่ ดุ คือ การ ถ่ายอุจจาระลงส้วมท่ถี ูกสุขลักษณะ โดยอาคารบ้านเรือนหรอื สถานที่ทาการต่าง ๆ จะต้องมีส้วมท่ีถูก สขุ ลกั ษณะไว้สาหรับใชเ้ ป็นที่ขบั ถา่ ยอุจจาระ แมว้ า่ การดาเนนิ งานควบคุมและแก้ไขปญั หาเกยี่ วกบั การปนเปื้อนของอจุ จาระสูส่ ภาพแวดล้อม จะกระทาได้ง่ายโดยการถ่ายอุจจาระลงสว้ มดงั กล่าวแลว้ แต่ขอ้ เท็จจรงิ พบวา่ มีปัญหาสาหรบั ประเทศไทย มากทง้ั ในเขตเมืองและชนบท ปัญหาสว่ นใหญเ่ กดิ จากการสรา้ ง การใช้ และการบารงุ รักษาส้วมของ ประชาชนแตล่ ะครัวเรือน กล่าวคอื ในเขตเมอื งยังมีบางครัวเรือนไมม่ สี ว้ มใช้ เชน่ ตามชุมชนแออัด หรือ บ้านเรือนท่ตี งั้ ริมคลองหรือแมน่ ้า เปน็ ตน้ ประกอบกบั ความเคยชินในการถา่ ยอจุ จาระนอกส้วม ความไมร่ ู้ ไมเ่ ข้าใจในการสร้างและใชส้ ว้ มทถ่ี ูกสุขลักษณะและฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครวั ไม่ดีพอจึงไมส่ รา้ ง และไม่ใช้ส้วมเปน็ ทก่ี าจดั อุจจาระดังกลา่ วปัญหาการระบาดของโรคระบบทางเดินของอาหารและโรคพยาธิ ตา่ ง ๆ จงึ ตามมาเป็นปัญหาทาให้เกิดมลพิษทางสิ่งแวดลอ้ ม การแก้ปัญหาเกยี่ วกับสร้าง การใช้ และการบารุงรักษาส้วมนัน้ จะต้องแก้ท่ีสาเหตุของปญั หา แต่ เนอ่ื งจากสาเหตุของปญั หามีมากมายดังกลา่ ว การแก้ปญั หาจงึ ต้องใช้วิธีการต่าง ๆ หลายวธิ ี ทีส่ าคัญ คอื ๑. การให้สุขศกึ ษาแก่ประชาชน โดยเนน้ ถงึ การให้ความรู้ ความเข้าใจ และการปฏบิ ตั ิที่ถกู ต้อง ของประชาชนในการกาจดั อจุ จาระใหถ้ ูกสุขลักษณะ คือการถ่ายอจุ จาระลงสว้ ม และให้ความรใู้ นเร่ือง ความจาเปน็ ตอ้ งมสี ้วมใช้ในแตล่ ะอาคารบ้านเรือน พษิ ภัยทเ่ี กดิ ข้ึนเน่ืองมากจากการถ่ายอุจจาระนอกส้วม ตลอดจนวธิ ีการสรา้ งส้วม การใชส้ ้วม และการบารงุ รักษาส้วมให้ถกู สุขลักษณะด้วย บดิ า มารดา ผปู้ กครอง ครูและอาจารย์ ควรพยายามช่วยกันปลกู ฝงั ให้เด็กและนักเรียนรจู้ ักการใชส้ ว้ มและกาจัด

53 อุจจาระให้ถูกต้อง และในหลักสูตรประถมศึกษาและมัธยมศกึ ษาควรมีวชิ าทีม่ ีเน้ือหาว่าด้วยการกาจดั อุจจาระอย่ดู ว้ ย ๒. การพัฒนารายได้ของประชาชน การพฒั นารายได้ของประชาชนเปน็ การแกฐ้ านะทางเศรษฐกจิ ของแต่ละครอบครวั เพอื่ ใหม้ ีกาลังทรพั ย์ในการนาไปใชป้ รบั ปรุงการดารงชีพและการพัฒนาสภาพแวดล้อม หรือการสขุ าภบิ าลในครอบครวั ให้ดีขน้ึ เช่น การสร้างส้วมทถ่ี ูกสุขลักษณะเพ่ือใชเ้ ปน็ ทีข่ ับถา่ ยอจุ จาระของ สมาชกิ ในครอบครัว เป็นตน้ ๓. การพฒั นาสขุ นิสยั การพัฒนาสขุ นิสัยเป็นสิ่งจาเป็นทส่ี ุดของการพฒั นาประเทศ การจะพฒั นา อะไรในชมุ ชนหรอื ให้กับชมุ ชนจะต้องเตรยี มชมุ ชนใหพ้ ร้อมทจี่ ะรบั หรือมีสว่ นรว่ มประชาชนในชมุ ชนตอ้ งมี ความพร้อมที่จะทางานรว่ มกัน มีความอดทน เสยี สละ เห็นความสาคญั ของประโยชนส์ ว่ นรวมมากกว่า ประโยชนส์ ่วนตน เร่อื งของความสะอาด ความเปน็ ระเบยี บ และการมีสุขนิสัยทีด่ เี ปน็ เร่ืองสาคัญมากใน การพฒั นาคนซึ่งจะมีผลโดยตรงกับการอนามัยสิ่งแวดลอ้ มผลท่ีตามมาคือประชาชนเห็นความสาคญั ของ การกาจัดของเสียให้ถกู สุขลกั ษณะทาใหช้ ุมชนมีการสรา้ งและใช้สว้ มทถี่ กู สุขลกั ษณะมากยิง่ ขึน้ เป็นต้น ๔. การใชม้ าตรการทางกฎหมาย กฎหมายเปน็ ส่ิงจาเปน็ มากอยา่ งหนึ่งในการนามาใช้เป็น เคร่อื งมอื ควบคมุ การกระทาหรอื การประพฤติปฏบิ ตั ิของประชาชนในการกาจัดของเสียและป้องกันการ เกดิ มลพิษทางสิ่งแวดล้อม กฎหมายทน่ี ามาใชค้ วบคุมการกาจดั อุจจาระของประชาชนและการมสี ว้ มใชใ้ น อาคารบ้านเรือนหรือสถานที่ทาการตา่ ง ๆ จะต้องกาหนดไวใ้ ห้เหมาะสม ชัดเจนสามารถปฏิบัตไิ ด้ มี เจา้ หน้าทรี่ บั ผดิ ชอบและถือปฏบิ ตั ิอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเขตเทศบาล เขตสุขาภิบาล ซงึ่ มขี ้อบญั ญัติท้องถน่ิ เกีย่ วกับการรกั ษาความสะอาด ความเปน็ ระเบียบเรยี บร้อยของท้องถ่ินมากมายท่ี เจา้ พนักงานท้องถ่นิ ควรถอื ปฏิบัตอิ ย่างเคร่งครดั ๓.๕ ปญั หาขยะมูลฝอยในเขตเมอื ง ในชมุ ชนทมี่ ีประชากรหนาแน่น เชน่ ในเขตเมอื ง จะมปี ญั หาเกดิ ขนึ้ จากขยะมลู ฝอยมากกว่า ชมุ ชนทีม่ ีประชากรน้อยหรือไมห่ นาแน่น เช่น ในเขตชนบท กลา่ วคอื ในชมุ ชนหนาแนน่ จะมปี รมิ าณขยะ มลู ฝอยเกิดข้ึนประมาณ ๒-๔ ลติ ร/ คน / วัน สาหรับในชุมชนท่ไี ม่หนาแน่นจะมปี ริมาณขยะมลู ฝอย ประมาณ ๑-๒ ลิตร / คน / วนั อย่างไรก็ตามปริมาณขยะมูลฝอยท่เี กิดข้ึนในชุมชนน้ันมีไมแ่ น่นอนขึน้ อยู่ กบั ปัจจยั ต่าง ๆมากมาย เชน่ นสิ ัยของประชาชนในชมุ ชน ฤดกู าลสภาวะทางเศรษฐกจิ ของชุมชน และ ลกั ษณะที่ต้ังของชมุ ชน เปน็ ตน้ สภาพขยะมลู ฝอยในเขตเมือง ปัญหาขยะมูลฝอยทจ่ี ะก่อให้เกดิ ผลกระทบต่อประชาชนมลี ักษณะตา่ งกันไปทีส่ าคัญ คอื ๑) เปน็ แหลง่ เพาะพนั ธ์ุของแมลงและสตั ว์นาโรค เช่น แมลงวนั และหนู เป็นต้น ๒) เป็นแหลง่ เพาะเช้ือโรค เช่น จุลินทรีย์ชนิดตา่ งๆ ทัง้ ทีท่ าให้เกดิ โรคและไม่ทาให้เกดิ โรคในคนได้ ๓) เป็นราคาญเนื่องจากกลน่ิ เหมน็ หรอื การฟุง้ กระจายของขยะมลู ฝอย ๔) ทาให้ชุมชนสกปรกเลอะเทอะไมน่ ่าดแู ละเป็นที่น่ารังเกียจ ๕) เป็นสาเหตุสาคัญทาใหเ้ กดิ มลพิษทางสง่ิ แวดลอ้ มท้ังทางน้า ดิน และอากาศ ๖) เป็นแหลง่ อาหารและท่ีอยู่อาศยั ของแมลงและสตั ว์นาโรค เช่น แมลงวนั แมลงสาบ มด และ หนู เปน็ ตน้

54 การควบคมุ และแก้ไขปญั หาขยะมูลฝอยในเขตเมือง การควบคุมและแก้ไขปัญหาขยะมลู ฝอย ควรกระทาในหลาย ๆ ด้านรว่ มกนั เพื่อความสะอาดของชมุ ชนและป้องกันปญั หาท่ีจะเกิดข้ึนจาก ขยะมูลฝอย ทส่ี าคัญได้แก่ ๑. ควบคมุ การทง้ิ ขยะของแต่ละคนและครอบครัว โดยอยา่ ทงิ้ ขยะมูลฝอยลงสแู่ หลง่ น้า ถนน และท่สี าธารณะ แต่ควรทิง้ ขยะในถังเกบ็ ขยะ ทีเ่ ก็บรวบรวมขยะ รถเก็บขยะ หรอื ที่ท้ิงของชมุ ชน การท้ิงขยะมูลฝอยนีค้ วรทาให้ถกู ต้องและเปน็ นิสัยโดยทิ้งให้เปน็ ทเ่ี ป็นทางดังกล่าว ๒. ควบคุมการจัดการขยะมูลฝอย ในเขตเมืองไม่ว่าจะเปน็ เขตเทศบาลหรอื สขุ าภบิ าล การจัดการขยะมลู ฝอยจะอยใู่ นการควบคมุ ดูแลของเจ้าพนักงานท้องถนิ่ ซ่งึ จะต้องจัดดาเนินการเกบ็ รวบรวม ขนถ่าย และทาลายขยะมลู ฝอย โดยจัดดาเนนิ การให้มีประสิทธิภาพและถูกสุขลักษณะในเขต ความรบั ผิดชอบอย่างทั่วถึงเพ่ือความสะอาดของชมุ ชนและสุขภาพของประชาชนสว่ นรวมและควรจดั ระบบงานและบริหารงานให้ดีมคี วามพร้อมทง้ั กาลังคน เคร่ืองมือ และอุปกรณ์ และความถูกต้องทั้งวธิ กี าร และสถานที่กาจัดขยะมูลฝอย ๓. การกาหนดผงั เมืองและดาเนนิ การใหเ้ ป็นไปตามผังเมอื งท่กี าหนด ในเขตชุมชนเมือง ควรมีผงั เมืองและการจัดการต่าง ๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามผงั เมืองท่กี าหนด ผงั เมืองที่ดีและเหมาะสมจะช่วยให้เกิด ความคล่องตวั ในการคมนาคม การขนสง่ ซง่ึ มีผลต่อกรจัดเก็บ รวบรวม และขนถา่ ยขยะมูลฝอย ทาให้เกิด ประสทิ ธภิ าพในการจดั การขยะมูลฝอยในชมุ ชนดงั กล่าว ๔. การพัฒนาคนในชมุ ชน เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย รกั ความสะอาดและมี นสิ ัยท่ดี ี รจู้ ักทิง้ ขยะใหเ้ ป็นทีเ่ ป็นทาง ทาให้ชมุ ชนสะอาด ไมเ่ กดิ มลพิษทางส่งิ แวดลอ้ ม ๕.การกาหนดมาตรการทางกฎหมาย เพ่อื ให้ควบคมุ การทิง้ และการกาจัดขยะมูลฝอยท่ี เกิดขน้ึ ในชมุ ชนให้ถูกสขุ ลักษณะ และป้องกันการเกดิ มลพิษทางสง่ิ แวดล้อมดงั กลา่ ว โดยให้มกี ฎหมายท่ี เก่ยี วขอ้ งกับการรกั ษาความสะอาดท่เี หมาะสมและเพ่ิมประสิทธิภาพการทางานของเจา้ หน้าที่ดว้ ย และมี การกาหนดมาตรการควบคมุ ขยะมูลฝอยจากโรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภทให้เหมาะสม ๖. การเผยแพรป่ ระชาสมั พนั ธ์และให้สขุ ศึกษา เพ่ือใหป้ ระชาชนในชมุ ชนรู้ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของความสะอาด และรู้จักการทิง้ การเก็บรวบรวม และการกาจดั ขยะมูลฝอยที่ถูกต้อง ให้ ความรว่ มมือกบั เจ้าพนักงานทอ้ งถนิ่ ในการรักษาความสะอาดชมุ ชน การให้การศึกษานคี้ วรจดั ทาท้ังใน ระบบการเรียนการสอนในโรงเรยี นและการให้การศึกษาในชุมชน ๗. หาวิธีการลดปรมิ าณขยะมูลฝอยในชมุ ชน เช่น หาวธิ กี ารนาวัสดทุ ี่ใช้แล้วกลับมาใช้ ใหมอ่ ีกหรือมีการกาหนดมาตรฐานของผลติ ภณั ฑ์ให้เหมาะสม ใหม้ เี ศษของเหลอื ใช้หรือสง่ิ ที่ตอ้ งท้ิงใหม้ ี นอ้ ยที่สุด เป็นต้น ๓.๖ ปัญหาจราจรในเขตเมือง ๓.๖.๑ สภาพจราจรในเขตเมอื ง การจราจร เป็นการสญั จรไปมาของบุคคลจากสถานทีห่ นึ่งไปยงั สถานท่ีอกี แหง่ หนึ่ง การจราจรใน เขตชมุ ชนเมืองสว่ นใหญ่มีการใช้พาหนะช่วยกนั มากทั้งในการคมนาคมและการขนสง่ โดยการจราจรแต่ละ ประเภทกจ็ ะมีเส้นทางในการสัญจรไปมา เช่น ถา้ เปน็ การจราจรทางบก กจ็ ะมีถนน ซอย และตรอกเป็น เสน้ ทางการจราจรของยานพาหนะรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรอื จักรยาน ถ้าเป็นรถไฟก็จะมีรางรถไฟเปน็ เส้นทางการจราจร แตถ่ า้ เปน็ การจราจรทางน้า ก็จะอาศยั ลาน้าเปน็ เส้นทางการสัญจรโดยใช้พาหนะ

55 ประเภทเรือพาย เรือยนต์ หรือแพ เป็นตน้ และถา้ เป็น การจราจรทางอากาศ กจ็ ะมีการใช้เครือ่ งบนิ ประเภทต่าง ๆ เพ่ือการสญั จรไปมาทางอากาศโดยมีสายการบนิ ระหว่างเมืองสาคญั ๆ ภายในประเทศหรอื ระหวา่ งประเทศ ปญั หาการจราจรทจ่ี ะเกิดผลกระทบกระเทอื นในระบบสิ่งแวดลอ้ มน้ันสว่ นใหญจ่ ะเกิดข้ึนในเขต เมอื งมากกว่าเขตชนบท และเกิดจากยานพาหนะประเภทเครื่องบิน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถไฟ และ เรอื ยนตม์ ากกวา่ ทีจ่ ะเกิดจากการใชจ้ ักรยานและการเดนิ ด้วยเท้า ยานพาหนะประเภทเครื่องยนตด์ ังกล่าว น้นี อกจากจะกอ่ ให้เกิดปัญหาความราคาญและเกดิ มลพิษทางเสยี งและความสั่นสะเทือนแลว้ ยงั เป็นสาเหตุ ของการเกิดมลพิษทางอากาศในชมุ ชนด้วย โดยปญั หาส่วนใหญ่จะเกดิ จากการจราจรทางบกที่มีการใชร้ ถ ใช้ถนนกันมากในการสญั จรไปมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนเมืองทีม่ ีประชากรหนาแน่นนั้นในช่วั โมงรบี เร่งท่ี แต่ละคนต้องออกจากบ้านไปทาธุรกจิ ต่าง ๆ ในชุมชนในตอนเช้าชัว่ โมงรีบเรง่ ท่ีแต่ละคนต้องกลบั บา้ นภาย หลังจากทาธรุ กิจประจาวันเสร็จแลว้ คอื ในเวลาเย็นซ่ึงเป็นเวลาทป่ี ระชาชนในชมุ ชนมกี ารใช้รถใชถ้ นนใน การสญั จรไปมากนั มากทาให้ถนนสายต่าง ๆ ในชุมชนมีรถมากมผี ลให้เกิดการติดขัดไม่คล่องตวั ของ การจราจร ถ้าชมุ ชนใดมกี ารจัดระบบการจราจรไมด่ ี ประชาชนไมป่ ฏบิ ัตติ ามกฎจราจร ถนนไมเ่ พียงพอ หรือมีการใชย้ วดยานมากเกนิ ไปจะทาใหเ้ กดิ การจราจรติดขัดหรือรถตดิ มาก ย่งิ ถ้ามีฝนตกหรอื น้าท่วมหรอื สภาพของถนนไมด่ ดี ว้ ยแลว้ จะย่ิงทาใหเ้ กดิ ปญั หาจราจรตดิ ขัดเพ่ิมมากย่ิงขึ้นขาดการคล่องตัวในการสญั จร ไปมา มลพิษทีไ่ ดร้ บั จากการเผาไหมข้ องเครื่องยนต์ในระหวา่ งรถตดิ จะเพิม่ ทวอี อกสบู่ รรยากาศมากย่ิงข้ึน โดยออกมาทางท่อไอเสยี ซง่ึ จะมีทงั้ คารบ์ อนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรคาร์บอน ออกไซดข์ อง ไนโตรเจน ออกไซด์ของซลั เฟอร์ สารตะกวั่ เขมา่ และควนั ดาตา่ ง ๆ ซ่ึงเปน็ สารมลพษิ ทางอากาศทีส่ าคัญ มี ผลเสียตอ่ สขุ ภาพอนามัยและการดารงชพี ของประชาชนตลอดจนสตั วแ์ ละพืชทม่ี ีอย่ใู นชุมชนดว้ ย การจราจรที่ตดิ ขัดมาก ๆ นี้มีผลกระทบกระเทือนต่อระบบสงิ่ แวดลอ้ มมากมาย นอกจากจะทาให้ เกิดความราคาญและเกิดมลพิษทางเสยี งและความสน่ั สะเทือน และมลพิษทางอากาศแลว้ ยังเปน็ การ ทาลายเศรษฐกิจของประชาชนส่วนรวมได้ท้งั ทางตรงและทางอ้อม เชน่ ทาให้ขาดความคล่องตัวในการ ขนสง่ สนิ คา้ ขาดความคล่องตัวในการทาธุรกจิ การคา้ และการคมนาคมความสน่ั สะเทอื นจากการจราจรทา ใหด้ ินทรดุ และอาคารใกล้เคียงทรดุ หรือแตกร้าวซ่งึ อาจพังลงไดท้ าให้เสยี เวลาในการเดินทางและทาให้ สนิ้ เปลอื งเชื้อเพลงิ ในการเผาไหม้ของเช้ือเพลงิ ในระหว่างรถตดิ และนอกจากนยี้ ังมีผลตอ่ สุขภาพจติ อารมณ์ และสุขภาพของผ้ใู ช้รถใชถ้ นนด้วย จึงนับไดว้ ่าปัญหาการจราจรในเมืองนัน้ ควรไดร้ บั การควบคุม และแก้ไขเป็นอย่างยิ่ง ๓.๖.๒ การควบคุมและแกไ้ ขปัญหาจราจรในเขตเมอื ง การควบคุมและแกไ้ ขปัญหาการจราจร การควบคุมและแก้ไขปัญหาการจราจรในชุมชน น้ันเปน็ ส่ิงทีท่ กุ ฝา่ ยท่ีเกยี่ วข้องจะต้องรว่ มมอื รว่ มใจกันแกไ้ ขอยา่ งจริงจัง เพราะปญั หาจราจรน้ันมปี ัจจัย ร่วมท่ีทาใหเ้ กิดปัญหาอยมู่ ากมาย จาเปน็ ต้องแก้ไขกนั ทีส่ าเหตุแหง่ ปัญหาและตอ้ งมีการวางแผนและการ จดั การทด่ี ีในการแก้ไขและการป้องกนั การเกิดของปัญหาด้วย สิง่ สาคัญทีค่ วรไดร้ บั การพิจารณาทั้งทางการ แก้ไขและการป้องกันการเกดิ ปญั หาจราจร คือ ๑. การวางผังชุมชนเมอื ง ชุมชนเมืองทุกชนควรจะต้องมผี ังเมอื ง และเป็นผังเมืองที่ เหมาะสมถกู ต้องตามหลักวิชาการ และมองการณ์ไกลถงึ ความเจรญิ ของชมุ ชนในอนาคตท่จี ะขยายตวั ใน ๒๐ ปขี ้างหน้า โดยมถี นนและการจราจรต่าง ๆ การวางสายสิง่ สาธารณปู โภคการจัดระบบรวบรวมกาจัดน้า เสียและของเสียตลอดจนการกาหนดยา่ นท่ีพักอาศัย ย่านการค้าการอุตสาหกรรม และการเกษตรกรรมต่าง

56 ๆ อย่ใู นผงั ได้อยา่ งเหมาะสม การขยายเมืองตามความเจรญิ ของเมอื งน้นั ได้ดาเนินไปตามผงั เมอื งทก่ี าหนด ไวอ้ ยา่ งเคร่งครดั และเหมาะสมซ่งึ จะชว่ ยลดปัญหาที่จะเกดิ กบั ระบบสิง่ แวดล้อมของชุมชนได้มาก ๒. การมหี นว่ ยงานรับผิดชอบระบบการจราจรของชมุ ชน หน่วยงานน้คี วรเน้นถงึ การ จดั ระบบจราจรใหเ้ กิดความคลอ่ งตวั และเหมาะสม การแก้ปญั หาจราจรในชุมชน การประสานงานกับ หนว่ ยงานเกย่ี วข้อง การเผยแพรป่ ระชาสัมพันธก์ ารจราจรในเขตรบั ผิดชอบ การปรบั ปรงุ ถนนและผงั การจราจร และดาเนนิ การควบคุมให้เปน็ ไปตามระบบจราจรและกฎหมายของชุมชน เป็นต้น ๓. การประชาสมั พนั ธ์และเผยแพร่กฎจราจรและเคร่ืองหมายจราจร กฎจราจรและ เครอ่ื งหมายจราจรเป็นสง่ิ จาเป็นทผ่ี สู้ ญั จรไปมาหรือผู้ทีใ่ ชร้ ถใชถ้ นนทุกคนควรรู้ เข้าใจ และถอื ปฏิบตั ิ การ ปฏบิ ัตติ ามกฎจราจรเป็นแนวทางหนึ่งท่ชี ว่ ยลดปญั หาจราจรในชมุ ชน การกระทาทผ่ี ดิ กฎจราจรบางครง้ั กอ่ ให้เกิดการตดิ ขดั ของจราจรได้ ดงั น้นั การประชาสมั พันธ์และเผยแพร่กฎจราจรและเครือ่ งหมายจราจร จึงเปน็ วิธกี ารทด่ี อี ยา่ งหนึง่ ของการแก้ปญั หาจราจร ส่ิงสาคัญท่ปี ระชาชนท่ัวไปควรรตู้ ามพระราชบญั ญตั ิ จราจร คือ ๓.๑ สญั ญาณจราจรและเครอ่ื งหมายจราจร ๓.๒ ใบอนุญาตขบั ขีร่ ถชนดิ ต่าง ๆ ๓.๓ การใช้ทางเดนิ รถและการขับรถ ๓.๔ การขับแซงรถคนั อนื่ ๓.๕ การกลบั รถ เลี้ยวรถ และการออกรถ ๓.๖ การจอดรถ หยดุ รถ และกาหนดอตั ราความเร็วรถ ๓.๗ การขับผ่านทางแยก ทางรว่ ม และวงเวียน ๓.๘ การใชร้ ถจกั รยานยนต์ ๓.๙ การจราจรสาหรบั คนเดินเท้า ๓.๑๐ บทลงโทษสาหรับผู้ฝา่ ฝืนกฎจราจร การประชาสัมพันธแ์ ละเผยแพร่กฎจราจร และเครื่องหมายจราจรต่าง ๆ น้ีควรกระทาทั้งในระบบ การเรียนการสอน และนอกระบบการเรยี นการสอนในโรงเรยี น นอกจากนค้ี วรได้มีการอบรมและเผยแพร่ มาตรการใช้รถใช้ถนน ๔. การขยายผิวจราจร ถนนหรือผิวจราจรทีใ่ ดทมี่ ีการจราจรคบั ค่ังหรือตดิ ขัดควรจะได้มี การขยายผิวการจราจรให้กว้างขน้ึ และถ้าเป็นไปไดค้ วรเพ่ิมถนนหรเื พ่ิมสายการจราจรในยา่ นนน้ั ให้มากขึ้น ๕. การใช้มาตรการทางกฎหมาย มาตรการทางกฎหมายที่ควรนามาใชใ้ นการควบคุมและ แกไ้ ขปญั หาจราจรที่สาคัญ คือ ๕.๑ การควบคุมยานพาหนะและสภาพเคร่ืองยนต์ ยานพาหนะทใี่ ชก้ ารสญั จรไปมา จะต้องอยูใ่ นสภาพดีสมบูรณ์ สภาพเครอ่ื งยนตท์ ใี่ ช้จะตอ้ งเหมาะสมไม่ก่อใหเ้ กิดเสยี งดงั หรือเกิดควนั ดา โดยมกี ฎหมายทเ่ี หมาะสม มเี จา้ หนา้ ทีต่ รวจสภาพทเี่ ครง่ ครัดในการต่อทะเบยี นประจาปแี ละเจา้ หนา้ ที่ ตารวจที่รักษากฎหมายนี้จะต้องดาเนนิ การตรวจในท้องท่ีท่ีรบั ผิดชอบอย่างต่อเนื่อง ๕.๒ การควบคมุ การใช้รถใชถ้ นนของประชาชน โดยมีข้อกาหนดหรือกฎหมาย เช่น พระราชบญั ญัติจราจร พระราชบญั ญตั กิ ารขนสง่ กฎหมายเกีย่ วกบั การขนส่งทางบกและการเดนิ เรือ เป็น ตน้ กฎหมายท่ีออกมานี้ตอ้ งเหมาะสมและถือปฏิบัตไิ ด้ เจ้าหนา้ ทท่ี ม่ี หี นา้ ทีร่ ับผิดชอบตามกฎหมายที่

57 กาหนดจะต้องดาเนินการให้เปน็ ไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครดั และจรงิ จงั จะช่วยลดปัญหาการจราจรและ ลดปญั หามลพษิ ทางสิ่งแวดล้อมของชมุ ชนด้านต่าง ๆ ได้มาก ๔. การจดั การสิ่งแวดลอ้ มในเขตชนบท ปญั หาสภาวะแวดลอ้ มในเขตชนบทสว่ นใหญเ่ กิดจาการทาลายทรพั ยากรธรรมชาตหิ รือการนา ทรัพยากรธรรมชาติมาใช้มากเกนิ กวา่ ทธี่ รรมชาตจิ ะปรับสภาพใหเ้ หมือนเดมิ ได้ นอกจากนี้ยังมกี ารนา เทคโนโลยีบางอย่างมาใช้ในเขตชนบทด้วย จึงทาให้เกดิ ผลกระทบกระเทือนต่อระบบสิ่งแวดล้อมและเกิด มลพิษทางสิง่ แวดลอ้ มด้านต่าง ๆ ข้ึน ปัญหาสภาวะสิง่ แวดล้อมในเขตชนบทท่ีพบมากคือ การตัดไมท้ าลาย ป่า การใช้ที่ดนิ ซา้ ซาก การทาเหมอื งแร่ การใช้ป๋ยุ และวัตถุมีพษิ ทางการเกษตร ปญั หาอากาศเสีย ปัญหานา้ โสโครก การกาจัดอจุ จาระ และการกาจดั ขยะมลู ฝอย เปน็ ต้น การจดั การปัญหาต่าง ๆ ทีจ่ ะกลา่ วตอ่ ไปน้ี เป็นเฉพาะปัญหาทเี่ กีย่ วกบั อากาศและเสยี ง น้าโสโครก อจุ จาระและขยะมูลฝอย โดยการควบคมุ และแก้ไข ปัญหาเหล่าน้คี วรเน้นท่กี ารใหค้ วามรู้ ความเข้าใจเพื่อใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมของประชาชน รวมทั้งเนน้ การควบคมุ และแก้ไขท่ีต้นเหตุของปญั หาและการใชม้ าตรการทางกฎหมายเป็นเคร่อื งมอื ในการ ลงโทษผ้กู ระทาความผดิ ดงั จะได้กล่าวถงึ รายละเอียดของแต่ละเร่อื งต่อไป ๔.๑ ปัญหาอากาศสกปรกในเขตชนบท ๑. สาเหตุท่ีทาให้อากาศสกปรก ความสกปรกของอากาศในเขตชนบทน้ันเกิดข้ึนได้เชน่ เดียวกับ เขตเมือง แต่สาเหตุของการเกิดมีแตกต่างกนั ไปในแต่ละท้องถ่นิ ท่ีพบมากคือ ๑) เกิดจากการเผาไหม้ท่ไี ม่สมบรู ณ์ เช่น การเผาเศษหญา้ เศษวัชพืช มูลสัตว์ การก่อไฟ เผาถ่าน เผาเปลือกถ่ัวลสิ ง เผาซังขา้ วโพด เผาแกลบ เผาป่า และเผาวสั ดุส่งิ ของอน่ื ๆ ในชมุ ชนทาใหเ้ กิด ควนั เขม่าควนั และเถา้ ถา่ นฟุ้งกระจายในอากาศทาให้อากาศสกปรก ๒) เกิดจากการพดั พาของกระแสลมและการขับเคลื่อนของยานพาหนะทาให้เกดิ การฟงุ้ กระจายของดิน ฝุ่นดิน ผงหรือขเี้ ถ้า ซงึ่ มีมากมายในชุมชนชนบท ๓) เกดิ จากการหมักหมมขยะมลู ฝอยและมลู สตั ว์ ทาให้เกิดกล่นิ เหม็นและการฟุ้งกระจาย ของเช้ือโรค ๔) เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลงิ ของยานพาหนะซง่ึ ปล่อยไอเสียออกมาทางทอ่ ไอเสีย ปัญหานจี้ ะเกิดขึ้นในชุมชนที่มีการใช้รถใช้ถนนมากกวา่ ชมุ ชนชนบททีม่ กี ารใช้ยานพาหนะน้อย ๕) เกิดจากกล่นิ เหมน็ ของมลู สตั ว์จากฟารม์ เล้ียงสตั ว์ เชน่ ฟารม์ เล้ยี งไก่ เป็ด ห่าน และ สุกร เปน็ ต้น ๖) โรงงานอุตสาหกรรม โรงสีสขี ้าว ขา้ วโพด และถ่ัวลสิ ง ทาให้อากาศสกปรกไดโ้ ดยให้ เกิดการฟงุ้ กระจายของฝนุ่ ผง เขมา่ ควัน หรอื ก๊าซ ๒ การควบคุมและแก้ไขปญั หาอากาศสกปรก การควบคมุ และแก้ไขอากาศสกปรกในเขตชนบททา ได้ ดังน้ี ๑) การให้ความรู้แก่ประชาชนถงึ สาเหตขุ องการทาให้อากาศสกปรก พิษภัยของอากาศ สกปรกท่ีมีตอ่ การดารงชวี ิตของมนุษย์ สัตว์ และพชื และผลกระทบของอากาศเสียท่ีมีต่อส่ิงแวดลอ้ มใน ชมุ ชนชนบทรวมทั้งใหก้ ารแนะนาเกีย่ วกับการควบคมุ แก้ไขมใิ หเ้ กิดอากาศเสยี และการขาดความรว่ มมือ เพือ่ แก้ไขปัญหาดังกลา่ ว

58 ๒) ปรบั สภาพถนนหรือทางรถยนตท์ ผ่ี า่ นชุมชนใหเ้ หมาะสม จะสามารถลดการฟุ้ง กระจายของดินหรือฝ่นุ ได้ เช่น ปรับปรงุ เป็นถนนลาดยางหรือถนนคอนกรีต เปน็ ต้น ๓) ควบคุมดูแลการใชย้ านพาหนะในชมุ ชน เช่น กาหนดให้มกี ารตรวจสภาพทุกปี รถยนต์ รถจักรยานยนตท์ ุกคันทจี่ ะได้รบั การต่อทะเบียนจะต้องผา่ นการตรวจสภาพประจาปีโดยมีสภาพดีไม่ชารดุ ทรุดโทรม เครื่องยนต์จะต้องอยใู่ นสภาพดไี มห่ ลวมหรือปล่อยควันดาออกมามาก ๔) โรงงานและโรงสีใด ๆ ที่ปล่อยควนั ก๊าซ หรือฝ่นุ ละอองออกมาในการปฏิบตั ิงาน จะตอ้ งตัง้ อยหู่ ่างจากชุมชนให้มากพอ ระบบการทางานของโรงงานต้องไดม้ าตรฐาน เหมาะสมและทันสมัย มีการควบคุมและป้องกนั การเกดิ มลพิษทางสงิ่ แวดลอ้ มไดด้ ีและถูกตอ้ งตามกฎหมายทีม่ ีอยู่ ๕) การใช้มาตรการทางกฎหมาย เพ่ือใชก้ ฎหมายชว่ ยควบคุมและแกไ้ ขปญั หาโดยเปน็ เครอื่ งมอื เพ่อื ใชล้ งโทษผ้กู ระทาผิดทีท่ าใหเ้ กิดปัญหาอากาศสกปรกหรือทาให้เกิดเหตรุ าคาญในชมุ ชน ๔.๒ ปัญหาเสียงรา้ คาญในเขตชนบท ๑ สาเหตทุ ีท่ าใหเ้ กิดเสียงราคาญ ปญั หาจากเสยี งในชนบทส่วนมากจะเปน็ ปัญหาท่ีเรียกวา่ เสียง ราคาญ ซ่ึงเป็นเสียงท่ีทาให้เกิดความราคาญหรือไมไ่ พเราะ มีผลกระทบกระเทือนต่อสขุ ภาพจิต ทาให้เสีย สมาธใิ นการทางาน เสยี งน้ีถ้าได้ยนิ หรอื ฟังนาน ๆ จะทาให้ประสิทธิภาพการได้ยนิ ของหูเสื่อมลง สาเหตุ สาคญั ท่ีทาให้เกดิ เสียงราคาญในชุมชนชนบทไดแ้ ก่ ๑) การทางานของเครอ่ื งจักรจากโรงสี โรงเล่ือย โรงตีเหล็ก โรงกลงึ หรือโรงงาน อตุ สาหกรรมต่าง ๆ ทีม่ ีในชมุ ชนทาใหเ้ กิดเสยี งดัง ความดงั ของเสียงนี้มไี ด้ตั้งแต่ ๖๐ – ๑๒๐ เดซิเบล โดย ขึ้นอยู่กับชนดิ ของเครื่องจักรหรอื เครื่องยนต์ดงั กลา่ ว ๒)ยานพาหนะท่ใี ชใ้ นการขนส่งและคมนาคมในชุมชนหรอื ที่ผา่ นชมุ ชนทาให้เกิดเสยี ง รบกวน เช่น รถยนต์ รถจกั รยานยนต์ รถไฟ เรอื ยนต์ เรอื หางยาว และเครือ่ งบิน เป็นตน้ ๓) เคร่ืองขยายเสยี ง วิทยุ และโทรทศั น์ท่ีเปิดใชก้ ันในหม่บู ้านหรือเปิดฟังกันในแต่ละ ครอบครวั ทาให้เกดิ เสียงดงั รบกวนเพ่ือนบ้าน ๔) เสียงราคาญอื่น ๆ เช่น เสียงทะเลาะววิ าท เสยี งจากรถโฆษณา เสยี งเครอ่ื งจักรทางาน หรือเสยี งจากการก่อสรา้ งในชุมชน เสยี งเหลา่ นอี้ าจจะทาให้เกิดความราคาญได้ ๒. การควบคมุ และแก้ไขเสียงราคาญในเขตชนบท ๑) ให้ความรู้แกป่ ระชาชนให้เขา้ ใจถึงสาเหตุการเกิดเสียงราคาญ อันตรายจากเสยี งและ การควบคุมแก้ไขเสยี งราคาญทถ่ี ูกต้อง พร้อมทั้งขอความร่วมมอื เพ่ือชว่ ยกนั แก้ไขปัญหา เสียงราคาญใน ชุมชน ๒) ดาเนนิ การควบคุมแก้ไขที่ตน้ เหตแุ หง่ เสยี งราคาญ โดยให้มีการเปล่ียนแปลงสถานที่ต้ัง หรือปรบั ปรงุ เปลี่ยนแปลงการใชเ้ ครอื่ งจักรกลให้เปน็ ชนดิ ทีเ่ กดิ เสยี งน้อยลง หรือให้มีการออกแบบและ ตดิ ตง้ั เครื่องมือเก็บเสียงประจาเครื่องจักรหรแื ก้ไขท่ีท่อไอเสียเครื่องยนต์ เปน็ ต้น ๓) ใชม้ าตรการทางกฎหมายช่วยควบคมุ แก้ไขปัญหาเสยี งราคาญทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในชมุ ชน โดยใช้เครอื่ งมือเพือ่ ลงโทษผู้กระทาผิดตามกฎหมายท่ีกาหนด ๔.๓. ปญั หาน้าโสโครก

59 นา้ โสโครกในเขตชนบทสว่ นใหญเ่ กดิ จากการกระทาของมนษุ ย์และน้าฝนท่ีตกลงมาปรมิ าณนา้ โสโครกในชุมชนชนบทจะมนี ้อยกวา่ ในชมุ ชนเมือง สาหรบั ความสกปรกของนา้ โสโครกนน้ั จะมากหรือน้อย ข้นึ อยู่กับลกั ษณะการเกดิ น้าโสโครก สาเหตุสาคัญท่ีทาใหเ้ กดน้าโสโครกในเขตชนบท คอื ๑ การใช้นา้ ตามอาคารบา้ นเรือนและชุมชน นา้ ท่ีผ่านการใชใ้ นการประกอบและปรงุ อาหาร ลา้ ง ภาชนะ ซักผา้ ทาความสะอาดอาคารบ้านเรอื น ชาระล้างร่างกาย และนา้ ท่ผี า่ นการใชใ้ นหอ้ งน้าห้องสว้ ม จะเปน็ น้าโสโครก ถ้านา้ โสโครกเหล่าน้ีถูกระบายรวมกันจะเปน็ นา้ โสโครกของชมุ ชน และถา้ ระบายลงสู่ แหล่งนา้ ในชุมชนจะทาใหเ้ กดิ ปัญหามลพษิ ทางนา้ ได้ ๒ การใชน้ า้ ทางการเกษตรกรรม การใช้นา้ ในการเพาะปลกู หรือเลี้ยงสตั วท์ าใหเ้ กิดน้าโสโครก และ ถา้ นา้ โสโครกนปี้ นเปือ้ นลงสแู่ หลง่ น้าในชุมชนจะทาใหเ้ กดิ มลพษิ ทางน้าได้ ๓ การขับถา่ ย ทง้ิ หรือระบายของเสยี ลงสู่แหลง่ น้า การขบั ถ่ายอุจจาระ ทิ้งขยะมูลฝอย หรือระบาย นา้ เสยี ลงสูแ่ หล่งน้าในชุมชนจะทาให้แหล่งนา้ นั้นเป็นแหล่งนา้ โสโครกได้ ๔ โรงงานอุตสาหกรรมในชมุ ชน ในชุมชนชนบทบางแหง่ อาจมีโรงงานอตุ สาหกรรมตั้งอยู่ โรงงานอุตสาหกรรมท่มี ีการใช้น้าและมีกจิ กรรมที่ทาใหเ้ กิดของเสยี ขึน้ น้ี ถ้ามกี ารระบายหรอื จัดการของ เสียไม่ถูกต้องจะทาให้เกดิ มลพิษทางสิ่งแวดลอ้ มแกช่ มุ ชน และถ้าของเสียน้ีกาจดั โดยปล่อยท้ิงลงสแู่ หล่งนา้ ของชมุ ชนจะทาใหเ้ กิดมลพษิ ทางน้าได้ ๕ การใชป้ ยุ๋ และวัตถุมีพิษในทางการเกษตร ในชนบทมกี ารใชป้ ุย๋ เพ่อื การเพาะปลกู และใช้สารเคมี กาจดั แมลงและศัตรพู ืชกันมาก มผี ลให้เกิดพิษตกค้างในดิน และในพืชผกั เมอ่ื ฝนตกลงมาสารพิษบางชนดิ จะถูกชะล้างลงสแู่ หลง่ น้าทาใหแ้ หล่งน้าสกปรกและเปน็ พิษภยั ต่อผู้ใช้นา้ น้ไี ด้ ๖ ฝนตก น้าฝนเม่ือตกลงสู่พนื้ ดินถ้ามีปริมาณมากพอจะไหลไปตามผวิ ดินโดยไหลจากสงู ลงสูท่ ่ีต่า และจะขังตามทีล่ มุ่ หรือแหลง่ นา้ การไหลของนา้ ฝนนจ้ี ะชะลา้ งส่งิ สกปรกใหป้ ะปนติดไปด้วยทาให้นา้ ฝนน้ี สกปรกเป็นนา้ โสโครก และถ้าไหลไปรวมกับแหล่งน้าในชมุ ชนจะทาให้นา้ ในแหลง่ น้าสกปรกด้วย การควบคมุ และแก้ไขปญั หาน้าโสโครก การควบคมุ และแก้ไขปัญหาน้าโสโครกในเขตชนบทที่สาคญั ควรได้รับการพจิ ารณาจดั ดาเนนิ การ คือ ๑ การควบคุมและแก้ไขทีส่ าเหตขุ องปัญหา โดยพยายามลดสาเหตุของการเกิดน้าโสโครกในชุมชน และปอ้ งกนั มิใหน้ า้ โสโครกในชุมชนปนเป้อื นลงสู่แหลง่ นา้ เช่น ดาเนนิ การควบคุมและแก้ไขการสร้าง อาคารบ้านเรือนตามริมฝังแม่นา้ ลาคลองใหเ้ หมาะสม ควบคุมการท้งิ ขยะมูลฝอย การขบั ถา่ ยอจุ จาระ และ การระบายน้าเสียลงสูแ่ หลง่ น้า และควบคมุ มิใหม้ ีการต่อทอ่ ระบายนา้ จากสว้ มหรือห้องน้าห้องสว้ มลงสูท่ ่อ ระบายนา้ สาธารณะหรืแหลง่ น้าใด ๆ ในชมุ ชน เปน็ ต้น ๒ ดาเนินการให้มีการกาจัดน้าโสโครกให้เหมาะสมทัง้ ในระดับครอบครวั ชมุ ชนและโรงงานตา่ ง ๆ โดยในระดับครอบครัวน้ัน ควรจัดระบายนา้ โสโครกลงสบู่ ่อซึมหรอื หลุมซึมหรือกาจัดควบคมุ ไปกับอจุ จาระ ดว้ ยระบบถังเกรอะ สาหรบั การกาจัดอจุ จาระน้นั ทกุ ครอบครวั ควรมสี ว้ มใช้ สว่ นการกาจัดขยะมูลฝอยนนั้ สามารถจดั ทาได้หลายวธิ ี เชน่ ฝัง เผา หรือหมกั ทาปุ๋ย เป็นต้น อย่าได้มีการขบั ถ่ายหรือทิง้ ของเสยี ลงสู่ แหล่งนา้ สาหรับการกาจัดน้าโสโครกในระดับชุมชนและโรงงาน ซ่งึ มีปรมิ าณน้าโสโครกมากนน้ั จะตอ้ ง ดาเนนิ การจัดการให้ถูกตอ้ งตามหลกั วิชาการและให้เป็นไปตามกฎหมายท่ีกาหนดไว้ ๓ ดาเนนิ การเผยแพรป่ ระชาสัมพันธ์เก่ียวกับน้าโสโครก โดยให้สุขศึกษาแกป่ ระชาชนในชุมชนถงึ สาเหตุทที่ าให้เกิดน้าโสโครก ผลเสียและผลกระทบทีม่ ีต่อการดารงชีวติ ของประชาชนในชุมชน และแนะนา

60 วิธีการควบคุมและแก้ไขที่ถูกตอ้ งพรอ้ มทัง้ ขอความร่วมมอื ในการควบคมุ แก้ไขปัญหาน้าโสโครกในชมุ ชน เปน็ ตน้ ๔ ใช้มาตรการทางกฎหมาย โดยใช้กฎหมายเป็นเคร่ืองมือช่วยควบคมุ และจบั กมุ ผูก้ ระทาความผดิ มาลงโทษ ทง้ั น้ีเพื่ออนรุ กั ษ์สภาพแวดล้อมของชมุ ชนและป้องกนั มลพิษทางน้าท่ีจะเกิดขึ้นในชุมชนดว้ ย ๔.๔. ปญั หาเกยี่ วกบั การก้าจัดอุจจาระ อุจจาระเปน็ ของเสียหรือกากของอาหารท่ีขับถา่ ยออกมาจากร่างกายของมนุษย์ โดยคนเราทกุ คน จะขบั ถ่ายอุจจาระมาประมาณ ๘๐-๕๐๐ กรัม / คน / วนั ในอจุ จาระนอกจากจะมกี ากอาหารและอนิ ทรยี ์ สารอื่น ๆ แล้ว ยงั มเี ชื้อโรค ไข่พยาธิ และหนอนพยาธิบางชนดิ ปะปนอยู่ดว้ ย อุจจาระจงึ เป็นของเสียที่ สกปรกมากควรได้รับการควบคมุ และกาจัดให้ถูกต้องอย่าให้เกดิ ปญั หามลพษิ ทางสง่ิ แวดล้อมหรอื เกดิ การ แพรก่ ระจายเช้อื โรคหรือหนอนพยาธิไปส่ปู ระชาชนในชมุ ชนได้ วธิ กี ารควบคุมและแก้ไขปญั หาจาก อจุ จาระไดด้ ีท่ีสดุ และเหมาะสมทส่ี ดุ ในชนบทคือ การถา่ ยอุจจาระลงสว้ ม เพราะสว้ มท่ีถูกสุขลักษณะจะ ชว่ ยปอ้ งกนั การปนเป้ือนของอุจจาระท่จี ะมตี ่อดินและแหล่งนา้ ได้ และชว่ ยป้องกนั แมลงและสตั ว์ลงไปไต่ ตอมหรือรบกวนดว้ ย นอกจากนีย้ ังช่วยป้องกนั เรื่องกล่นิ และสภาพทนี่ ่ารงั เกียจได้ดอี ีกดว้ ย ปญั หาที่พบ จากประชาชนในชนบทเก่ียวกับการกาจัดอุจจาระทสี่ าคัญ คือ ๑ การถ่ายอุจจาระนอกสว้ มหรอื ไม่มสี ว้ มใชป้ ระจาครอบครัว ปัญหาที่เกิดน้ีสว่ นใหญ่เกิด ความเคยชิน ความไม่รู้ หรือเกดิ จากการไม่มีเงนิ สรา้ งสว้ มใช้ ๒ การไมเ่ ห็นความสาคัญของสว้ ม และไมเ่ หน็ ความจาเปน็ ต้องสรา้ งสว้ มใช้ประจาครอบครวั ปัญหานีอ้ าจเกดิ จากการมีทัศนคตไิ ม่ดีต่อการถ่ายอุจจาระลงส้วมหรอื เกดิ จากความไม่รู้ มีการศึกษาน้อย หรือเปน็ ครอบครัวท่ีมปี ัญหาในการดารงชวี ติ มีส่ิงจาเป็นอ่ืน ๆ อีกมากท่จี ะต้องจดั ทา ทาให้ขาดความสนใจ และความต้องการทจี่ ะมีสว้ มใช้ ๓ การขาดความรู้ ความเข้าใจในการสร้างสว้ มทถ่ี ูกสุขลกั ษณะ ทาให้ขาดความสนใจทจี่ ะมีสว้ ม และใชส้ ว้ ม ๔ การใชส้ ้วมไม่เปน็ และการใชส้ ว้ มแลว้ ไม่รักษา ทาใหส้ ว้ มทมี่ ีอยสู่ กปรก ชารุด ไมถ่ กู สุขลักษณะ เกิดกล่นิ เหมน็ แมลงหรือสตั วเ์ ขา้ รบกวนได้ มผี ลใหเ้ กดิ ทศั นคตไิ ม่ดีต่อการมแี ละใช้ส้วม การควบคมุ และการแก้ไขปัญหา วิธีการควบคุมและแก้ไขปญั หาการกาจัดอจุ จาระในเขตชนบท ทส่ี าคัญควรจัดการ คือ ๑ ใหส้ ุขศึกษาแก่ประชาชนเก่ียวกบั การกาจดั อุจจาระทีถ่ ูกตอ้ ง โดยพยายามให้ความร้แู ก่ ประชาชนถงึ ความจาเปน็ และความสาคญั ของการมีและใชส้ ้วมกาจัดอจุ จาระ เผยแพร่ประชาสมั พนั ธ์ วิธกี ารสรา้ งสว้ มและใชส้ ้วมท่ีถกู สุขลักษณะ และพยายามแนะนาใหแ้ ต่ละครอบครัวมสี ้วมใช้เปน็ ของตนเอง เปน็ ตน้ ๒ การสนับสนุนจากรัฐหรือหนว่ ยงานของรฐั ที่รับผิดชอบเก่ียวกับการสุขาภิบาลชมุ ชน รฐั หรอื หนว่ ยงานของรฐั ทร่ี ับผดิ ชอบเกี่ยวกับการสุขาภิบาลชมุ ชนควรสนบั สนุนและส่งเสรมิ ให้ประชากรมีส้วม ประจาครอบครวั เชน่ จดั ใหม้ ีกองทุนพฒั นาการสุขาภบิ าลหมู่บ้านเพ่ือใหช้ าวบ้านกยู้ ืมเงินหรือวสั ดสุ ิ่งของ สาหรับสรา้ งส้วมโดยคิดดอกเบีย้ ต่า หรอื ให้โดยมีข้อผกู พนั อืน่ ๆ จดั หาหวั ส้วมและอุปกรณก์ ารสรา้ งส้วม โดยบริการสง่ ถงึ ที่และคิดในราคาถูก จัดให้มีเจา้ หนา้ ท่ีคอยใหค้ าแนะนาและสนับสนนุ การสรา้ งสว้ มท่ีถูก สขุ ลกั ษณะในชมุ ชนต่าง ๆ ให้มากพอและท่วั ถึง เปน็ ต้น

61 ๓ การใช้มาตรการทางกฎหมาย โดยใชก้ ฎหมายเป็นเครื่องมอื สนับสนุนให้มีการสร้างสว้ มใช้ ประจาครอบครัว เช่น กาหนดให้อาคารบ้านเรือนที่สร้างข้ึนมาจะต้องมสี ้วม หรือบ้านท่จี ะมเี ลขทบี่ ้านได้ จะต้องมสี ้วมเสยี ก่อน ถ้าไม่มีจะไม่ไดร้ บั อนุญาตให้มบี า้ นเลขที่ เปน็ ต้น และควรมกี ฎหมายควบคุมและ ป้องกันการถา่ ยอจุ จาระหรอื ทง้ิ ของเสียลงส่แู หลง่ นา้ หรอื ทาใหช้ ุมชนสกปรกดว้ ย อยา่ งไรกต็ าม กฎหมายท่ี จะนามาใช้กบั ประชาชนในเขตชนบทควรได้รบั การพิจารณาอย่างรอบคอบและเหมาะสมโดยคานึงถึง สภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ และความเป็นไปได้ด้วย ๔ ขอความสนบั สนนุ และความรว่ มมอื จากผนู้ าชุมชนเกี่ยวกบั การมสี ว้ มและสรา้ งสว้ มใช้ใน ครอบครวั โดยพยายามตดิ ตอ่ ประสานงานและหาทางดาเนินงานรว่ มกับผู้นาชมุ ชนทงั้ กานนั ผใู้ หญบ่ า้ น สารวตั รกานัน แพทย์ประจาตาบล กรรมการหมู่บา้ น ครู พระสงฆ์ รวมท้ังองค์กรชุมชนกลุ่มต่าง ๆ ทัง้ ผ้สู ื่อข่าวสาธารณสุข (ผสส.) อาสาสมัครสาธารณสุขหมบู่ ้าน (อสม.) กล่มุ สตรี กลมุ่ แม่บ้าน เปน็ ต้น ๔.๕ ปัญหาขยะมลู ฝอย ขยะมลู ฝอยทีเ่ กิดขึน้ ในเขตชนบทเกดิ ได้ท้ังจากการกระทาของมนุษยแ์ ละเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ซ่ึงมที ้งั ขยะเปยี ก ขยะแหง้ และขี้เถ้า ท่ีพบมาก คอื มลู สตั ว์ ใบไมก้ ิ่งไม้ เศษหญ้าและพืชผกั แกลบ เปลือก ถั่วลิสง ซังข้าวโพด ฟางข้าว กากอ้อย เศษภาชนะ กะลามะพรา้ ว และข้เี ถา้ เปน็ ต้น ปรมิ าณของขยะมูลฝอยในเขตชนบทมีไม่แน่นอนขนึ้ อยู่กับองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ทงั้ สภาพแวดลอ้ ม ลักษณะของชุมชน ความหนาแนน่ ของประชาชน อปุ นิสยั และอาชีพของประชาชนรวมท้ังการจัดการขยะ มลู ฝอยในชมุ ชนด้วย อย่างไรก็ตามขยะมลู ฝอยที่เกดิ จาการกระทาของมนุษย์นนั้ โดยเฉลี่ยแลว้ ในเขตชนบท จะมีประมาณ ๐.๕ กโิ ลกรมั /คน /วนั ผลเสียของขยะมูลฝอยทีม่ ตี ่อการดารงชวี ติ ของประชาชนในชนบทท่ีสาคญั คอื ๑ เปน็ แหล่งเพาะพนั ธข์ุ องเชอื้ โรคชนิดต่าง ๆ ๒ เป็นแหล่งเพาะพันธแ์ุ ละเป็นท่อี ยู่อาศยั ของแมลง สตั ว์นาโรค และสัตวม์ ีพิษ เช่น แมลงวัน แมลงสาบ หนู ตะขาบ และงู เป็นตน้ ๓ กอ่ ให้เกิดความราคาญจากกล่นิ เหม็น ความสกปรกเลอะเทอะ และการฟุ้งกระจาย เป็นต้น ๔ ขยะแห้งเปน็ ตน้ เหตุของอัคคีภยั ได้งา่ ย ทาความเสียหายให้แกช่ วี ติ และทรัพย์สินได้มาก ๕ เปน็ สาเหตุสาคัญทาให้เกดิ มลพษิ ทางส่ิงแวดล้อมทงั้ ทางนา้ ดนิ และอากาศ การควบคมุ และแกไ้ ขปัญหาขยะมลู ฝอย ในชุมชนชนบทส่วนมากขดการควบคมุ และกาจดั ขยะมูลฝอยท่ีดีพอทาให้ชมุ ชนสกปรกเลอะเทอะ ไม่เปน็ ระเบียบ ประชาชนขาดความสนใจเร่ืองของความสะอาดและการจัดการขยะมูลฝอย จึงควรได้รบั การควบคมุ แก้ไข ลักษณะการควบคมุ แกไ้ ขส่วนใหญค่ ลา้ ยคลึงกับการควบคุมแก้ไขในเขตเมือง แตก่ าร ควบคมุ ในเขตชนบทน้ันเน้นท่ีการจดั การขยะมูลฝอยภายในบา้ นและบริเวณบา้ นมากกว่าการจัดการ รวมทัง้ ชมุ ชน การควบคมุ และแก้ไขขยะมูลฝอยในเขตชนบททส่ี าคัญ คือ ๑ การใหก้ ารศึกษาแกป่ ระชาชนในชุมชนเพอื่ ใหต้ ระหนกั ถึงความจาเปน็ และความสาคัญของการ จัดการขยะมลู ฝอยในบา้ น บริเวณบา้ น และในชุมชน การให้การศกึ ษาน้ีควรมีท้งั ในระบบการเรียนการสอน ในโรงเรยี นและการให้การศึกษาในชุมชน

62 ๒ การแนะนาและสาธติ วธิ ีการกาจัดขยะมูลฝอยประจาครอบครัวท่ถี ูกสุขลักษณะ เชน่ การฝงั การเผา การหมักทาปุ๋ย หรือการทาก๊าซชวี ภาพ เป็นต้น การดาเนนิ งานนีค้ วรมหี นว่ ยงานของรัฐทเี่ กีย่ วข้อง กับการพัฒนาการสุขาภิบาลชุมชนรบั ผดิ ชอบดาเนินงานโดยรัฐใหก้ ารสนบั สนุนอย่างจริงจัง ๓ การพฒั นาจิตใจและเสรมิ สรา้ งคุณธรรมให้แกป่ ระชาชน เพอื่ ให้เกดิ ความมรี ะเบยี บวินยั ความ สะอาด กาจัดสงิ่ สกปรก และรู้จกั เสียสละส่วนตนเพ่ือประโยชน์ของสว่ นรวม ๔ การใชม้ าตรการทางกฎหมาย เพื่อควบคุมให้มีการรักษาความสะอาดร่วมกันในชมุ ชนลงโทษผู้ ท้ิงขยะมูลฝอยในทส่ี าธารณะหรือทิ้งลงในแหลง่ น้า เป็นตน้ สรปุ ท้ายบท ปัญหาของสงิ่ แวดลอ้ มทั่วโลก สาเหตเุ กดิ จากการกระทาของมนุษย์ เป็นสว่ นใหญ่ เพราะการ เพ่ิมขึ้นของประชากร ความต้องการบริโภคและการอตุ สาหกรรมทเี่ จรญิ ดว้ ยเทคโนโลยี จงึ เป็นการทาลาย สง่ิ แวดล้อม มากกวา่ การนามาใช้เชิงอนรุ ักษ์ และลักษณะของการเป็นปัญหามสี องสว่ นคอื ในตัวเมืองและ ในเขตชนบท ในเขตเมืองอาจมปี ัญหาท่ีมากและรุนแรงกวา่ ในบางเรื่อง และในชนบทอาจมคี วามแตกต่าง และเบาบางกว่า แต่ก็เปน็ ปญั หาเช่นกัน โดยเฉพาะปญั หาขยะมลู ฝอย ซ่งึ เกิดจากการนาวัตถดุ บิ ที่เปน็ พลาสติกมาใช้ เม่ือท้งิ ไปไมส่ ามารถยอ่ ยสะลายได้ เมื่อเผาก็ทาใหเ้ กดิ มลภาวะ ปรากฏให้เหน็ ทงั้ ในตัวเมือง และชนบท การควบคุมและการแก้ปัญหานี้ จึงขึ้นอยู่กับหน่วยงานทีร่ บั ผดิ ชอบ และทสี่ าคัญคือการลด อัตราการใช้ หรือใช้อยา่ งมีความรับผดิ ชอบในการที่จะไม่ให้เปน็ อันตรายต่อทรัพยากรธรรมชิแวดลอ้ มอ่ืนๆ สิง่ ทจ่ี ะทาใหป้ ัญหาสงิ่ แวดล้อมเบาบางลงคือการให้ประชานได้รับการศึกษา การปลกู จิตสานึกให้รูค้ ุณคา่ ของส่งิ แวดล้อมที่กาลงั จะหมดส้นิ ไป หรือการรู้จักวธิ ีการแก้ปญั หา เพือ่ ลดภาวะความรุนแรงท่เี กิดขนึ้ หากมเิ ช่นนัน้ แล้ว สิ่งแวดล้อมจะกลับมาทาลายสงิ่ แวดลอ้ มและมนุษย์ต่อไปในอนาคต ค้าถามทา้ ยบท ๑. สงิ่ แวดล้อมในเมืองทีเ่ ป็นปัญหาไดแ้ กอ่ ะไรบ้าง ๒. อะไรคือสาเหตขุ องปัญหาสง่ิ แวดล้อมในเมอื งที่สาคญั คืออะไร ๓. สิ่งแวดลอ้ มในชนบทท่ีก่อใหเ้ กดิ อนั ตรายมากทีส่ ุดได้แก่อะไรบา้ ง ๔. การจดั การปญั หาของสิง่ แวดลอ้ มในชนบทควรทาอยา่ งไรจงึ จะได้ผลท่สี ดุ

62 บทท่ี ๕ การอนุรักษ์และพฒั นาสงิ่ แวดล้อม ขอบข่ายการศกึ ษา ๑.ความหมายบทบาทความรับผดิ ชอบ ๒.บทบาทของบคุ คลและครอบครวั ต่อการอนรุ กั ษ์และพัฒนาสง่ิ แวดลอ้ ม ๓.บทบาทของพระสงฆ์และชุมชนตอ่ การอนุรักษแ์ ละพฒั นาสิ่งแวดล้อม ๔.บทบาทของรัฐและองค์กรต่างๆตอ่ การอนรุ ักษ์และพฒั นาสิ่งแวดล้อม ๕. หลักการอนุรักษ์และพฒั นาสิ่งแวดล้อมได้ ๑. ความหมายของบทบาทและความรับผิดชอบ ความหมายของบทบาทและความรับผิดชอบ บทบาท (Role) หมายถึง สทิ ธิ หน้าท่ี การกระทา หรือพฤตกิ รรมของบุคคลท่ีแสดงตามที่สังคม กาหนดหรือคาดหวังไว้ บทบาทจงึ เปน็ พฤตกิ รรม ของบุคคลตามสถานภาพตาแหน่ง (Status Position) บคุ คลจะมบี ทบาทอย่างไรจงึ ขึน้ อยูก่ ับตาแหนง่ หนา้ ที่การงานท่ตี นเองปฏิบตั ิอยู่ และกิจกรรมประจาวัน ของแต่ละบุคคลในสังคมยอ่ มเกยี่ วขอ้ งกบั ส่งิ แวดลอ้ มตลอดเวลา ความรบั ผดิ ชอบ หมายถึง การต้งั ใจ การเอาใจใส่ การแสดงตนเป็นเจา้ ของ การไมป่ ล่อยปละละ ทิ้ง การกระทาทม่ี ุง่ ไปส่คู วามสาเร็จ พฤติกรรมเหลา่ น้ลี ว้ นบ่งบอกถงึ การรับผิดชอบ ความผดิ คอื การกระทา ทก่ี อ่ ใหเ้ กิดความบกพร่อง ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย หรอื กอ่ ใหเ้ กิดความเสียหายเรียกว่าดาเนินการผิด ความชอบ คือการดาเนินการทเ่ี ปน็ ไปตามเป้าหมาย หรือได้ผลเกินคาด คนทีร่ ับผิดชอบจงึ เปน็ ภาระที่ ย่ิงใหญ่ กล้าหาญ บุคคลยอ่ มมหี นา้ ท่หี ลายอยา่ ง การรับผิดชอบของแตล่ ะคนยอ่ มมีความไม่เสมอกัน แตส่ ิง่ ท่ที กุ คนตอ้ งรับผดิ ชอบรว่ มกันคอื การกระทาของตนเองต่อสงั คม โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงต่อสิ่งแวดลอ้ ม ความรบั ผดิ ชอบ ตรงกับคาศัพท์ในภาษาอังกฤษว่า Responsibility อันเนื่องจากศัพท์2 คา คอื Respone กับ Ability ทัง้ นม้ี ีผู้ใหค้ วามหมายของความรบั ผิดชอบไวอ้ ยา่ งสอดคล้องกันว่า หมายถึง คณุ ลกั ษณะของบุคคลซึง่ แสดงออกโดยมคี วามสนใจเอาใจใส่ ต้งั ใจจรงิ ท่ีจะปฏบิ ัติหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมาย ด้วยความพากเพียร พยายาม อดทนต่ออปุ สรรคใดๆ ท่ีขดั ขอ้ ง มีการวางแผนงานอย่างละเอียดรอบคอบ เพอ่ื ใหบ้ รรลเุ ป้าหมายที่กาหนดไว้ ประเภทของความรับผดิ ชอบ นกั วชิ าการไดแ้ บ่งประเภทของความรบั ผดิ ชอบตามลกั ษณะความหมายไว้อย่างสอดคลอ้ งกันคือ ความรบั ผิดชอบต่อตนเอง และความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม ซง่ึ แตล่ ะประเภทมรี ายละเอยี ดดงั น้ี1 1. ความรบั ผดิ ชอบต่อตนเอง หมายถึงการรับร้ฐู านะและบทบาทของตนทเ่ี ป็นสว่ นหน่งึ ของสังคม ซงึ่ จะต้องดารงตนอยใู่ นสภาพท่ชี ว่ ยเหลือตนเองได้ โดยทีบ่ ุคคลควรจะวเิ คราะห์และแยกแยะว่าส่งิ ใดถูกหรอื ผดิ เหมาะสมหรือไม่ และมีความสามารถทจี่ ะเลือกตดั สนิ ใจในการเปน็ ท่ียอมรบั ของสงั คม ความรบั ผดิ ชอบ ต่อตนเองแบง่ ไดเ้ ป็น 1 https://sites.google.com/site/natornsk

63 1.1 ความรบั ผดิ ชอบในด้านการรักษาสขุ ภาพอนามัยของตนเองคือ สามารถเอาใจใสแ่ ละ ระมดั ระวังสุขภาพอนามยั ของตนเอง ให้มคี วามสมบูรณ์แข็งแรงอยเู่ สมอ 1.2 ความรับผิดชอบในการหาเครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภคคือ สามารถจดั หาและดแู ลเคร่ืองใช้สว่ นตวั ให้ เปน็ ระเบียบเรยี บร้อย อยู่ในสภาพที่สามารถใชง้ านได้เหมาะสม 1.3 ความรบั ผดิ ชอบในด้านสตปิ ญั ญาและความสามรถคือ ต้ังใจศึกษาเล่าเรยี นใฝ่หาความรตู้ า่ งๆ การฝึกฝนตนเองในด้านประสบการณต์ า่ งๆ 1.4 ความรบั ผิดชอบในด้านความประพฤตคิ ือร้จู กั ประพฤติให้เหมาะสม เปน็ ผู้มีระเบยี บวินยั ดารง ตนให้อยใู่ นคุณธรรม จรยิ ธรรม 1.5 ความรับผิดชอบในด้านมนุษยสัมพันธ์คือ รู้จักทจี่ ะปรับตัวให้อยูร่ ่วมกับผู้อ่นื ในสงั คมได้อย่าง เหมาะสม 1.6 ความรบั ผิดชอบในด้านเศรษฐกจิ ส่วนตวั คือร้จู ักวางแผนและประมาณการใชจ้ ่ายของตน โดย ยดึ หลกั การประหยัดและอดออม 1.7 ความรับผดิ ชอบเรื่องการงาน คอื เม่ือได้รับมอบหมายให้ทากจิ ใดก็ตอ้ งทาให้เรียบร้อยภายใน เวลาที่กาหนด 1.8 ความรบั ผดิ ชอบต่อการกระทาของตน คอื ยอมรับผลการกระทาของตนทัง้ ผลดหี รือ ในดา้ นท่ี เกิดผลเสียหาย 2. ความรับผดิ ชอบต่อสังคม หมายถึง ภาระและหนา้ ที่ของบุคคลซึง่ เก่ียวข้องและมีสว่ นรว่ มตอ่ สวัสดภิ าพของสังคมที่ตนเป็นสมาชิก ด้วยเหตทุ ีบ่ คุ คลทกุ คนเปน็ สว่ นประกอบของสงั คมไม่วา่ จะเปน็ สังคม ขนาดเล็ก จนถึงสังคมขนาดใหญไ่ ด้แกค่ รอบครวั ชั้นเรียน สถานศึกษา ชุมชน และประเทศชาติตามลาดับ ดังนนั้ การกระทาของบุคคลใดบคุ คลหน่งึ ยอ่ มต้องส่งผลกระทบตอ่ สงั คมส่วนรวมไม่มากก็นอ้ ย เมอ่ื บุคคลทุก คนมภี าระหน้าทท่ี ีจ่ ะเกย่ี วพนั กบั สวัสดภิ าพของสังคม ท่ีตนดารงอยู่บคุ คลจึงมหี น้าท่แี ละความรบั ผดิ ชอบ ต้องปฏิบัตติ ่อสังคม 5 ประการดงั น้ี 2.1 ความรบั ผดิ ชอบต่อ บิดามารดาและครอบครัวได้แก่ให้ความเคารพและเช่ือฟัง ชว่ ยเหลือการ งานใหเ้ ต็มความสามรถในแต่ละโอกาสอนั สมควร ประพฤติตนเปน็ คนดี ตงั้ ใจศกึ ษาเลา่ เรียน ไม่นาความ เดือดรอ้ นมาส่คู รอบครัวและช่วยกนั รกั ษา และเชิดชชู ่อื เสียงวงศก์ ระกูล 2.2 ความรับผดิ ชอบต่อเพื่อน ไดแ้ ก่ การใหค้ วามรักแกเ่ พ่ือนเปรียบเสมือนพ่นี อ้ งของตน ตกั เตือนเม่ือเพื่อนกระทาผดิ แนะนาให้เพื่อนกระทาในส่งิ ที่ถูกตอ้ ง ชว่ ยเพ่ือนอย่างเหมาะสมและถูกตอ้ ง ไม่ เอารัดเอาเปรยี บ ใหอ้ ภัยในกรณที ่เี กิดความผดิ พลาดหรอื บาดหมางกนั ใชถ้ ้อยคาสุภาพต่อกนั ด้วยความ ออ่ นโยน 2.3 ความรบั ผดิ ชอบต่อสถานศึกษาครูอาจารยไ์ ด้แก่การตั้งใจศกึ ษาเลา่ เรียน ไมห่ นเี รยี น เคารพ และเชอ่ื ฟังครูอาจารยช์ ่วยเหลือกิจกรรมงานของสถานศึกษาอยา่ งเคร่งครัด รกั ษาความสะอาดไม่ทาลาย ทรพั ย์สมบัติของสถานศึกษา รกั ษาและสร้างชือ่ เสยี งเกียรติยศของสถานศึกษา 2.4 ความรับผิดชอบต่อชมุ ชน ในฐานะที่เป็นสมาชิกของชุมชน ไดแ้ ก่ เคารพ และปฏบิ ัตติ าม ระเบยี บข้อบงั คับ หรอื ขนบธรรมเนียมประเพณีทยี่ ดึ ถือภายในชมุ ชนของตน ชว่ ยรักษาสาธารณสมบตั แิ ละ ใหค้ วามรว่ มมือในการทางานเพื่อพัฒนาชุมชน ไมล่ ะเลยตอ่ พลเมืองดี 2.5 ความรับผดิ ชอบต่อประเทศชาติ ได้แกป่ ฏิบัตติ ามกฎหมายหรอื ระเบยี บต่างๆ ของสังคมรักษา สาธารณสมบัติของชาติใหค้ วามร่วมมอื และช่วยเหลอื เจา้ หน้าท่ใี นการรักษาความม่นั คงของชาตจิ งรักภักดี

64 ตอ่ ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์รักษาความสามัคคขี องคนในชาติดารงไว้ซ่งึ ศลิ ปวฒั นธรรมแหง่ ความเป็น ไทย ความรับผิดชอบเป็นคณุ สมบตั ทิ ่ดี ีอย่างหน่ึง ซ่ึงจาเปน็ อยา่ งยิ่งท่ีควรปลกู ฝงั ใหแ้ กเ่ ด็กและเยาวชนไทย นอกจากความมีระเบียบวินยั ความซ่ือสัตย์สุจริต ความขยันมน่ั เพยี ร มีมานะอตุ สาหะ และความเสยี สละอัน เป็นคณุ ลกั ษณะของพลเมืองดี ส่วนการอนรุ กั ษส์ ่งิ แวดล้อม หมายถึง การทาให้สงิ่ น้ันยงั คงความเปน็ ธรรมชาติในตวั ของส่ิงนนั้ ไว้ ดว้ ยการไม่ทาลาย หรอื การนามาใช้แต่จาเปน็ รวมถึงการบารุงรักษา การถ่ายทอด การขยายพันธ์ การพัฒนาสงิ่ แวดล้อม หมายถึง การกระทาที่ก่อใหเ้ กิดการแตกตัวให้กระจายออกไป ซึง่ รวมทัง้ การไม่ทาลายจนเกิดเปน็ มลพิษ หรือหยดุ การกระทาที่อาจกอ่ ใหเ้ ปน็ อนั ตรายต่อสิ่งมีชวี ิต กถ็ อื ว่าเปน็ การ พฒั นา คือการทาใหเ้ จรญิ ขน้ึ บุคคลทม่ี ีบทบาทสาคญั ต่อการอนรุ ักษ์สงิ่ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เพราะทกุ คนมสี ่วนใช้ และทาลายส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา เมือ่ จานวนประชากรมนุษย์มมี ากขึ้นกย็ ่ิงเพิ่ม ปรมิ าณการใช้ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละปล่อยของเสยี ออกมาสู่ส่งิ แวดลอ้ มมากขน้ึ และหากเกนิ ขีดจากัด ความสามารถในการรองรับประชากรของสิง่ แวดลอ้ มแลว้ มนุษยก์ ็ไมส่ ามารถจะดารงอยู่ได้ ดงั นน้ั จึงเปน็ หนา้ ทแี่ ละความรับผิดชอบของบุคคลแตล่ ะบคุ คลท่ีจะต้องทาการอนรุ ักษส์ ิง่ แวดล้อมและ ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเร่มิ ต้นทตี่ วั เราเองและครอบครวั ท่ีบ้านก่อนเปน็ อันดบั แรก บทบาทของบุคคลในการอนรุ ักษ์สงิ่ แวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาตินั้นมี ๒ ลักษณะคือความ สานึกในฐานะของผใู้ ชท้ รัพยากรธรรมชาติ และในฐานะท่จี ะต้องปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บข้อบังคบั และกฎหมาย ในการอนรุ ักษ์สง่ิ แวดลอ้ ม ๒. บทบาทความรับผิดชอบของบคุ คลในการอนุรกั ษ์และพฒั นาสงิ่ แวดล้อม การอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาตนิ นั้ บคุ คลกม็ ีบทบาทท่สี าคัญที่แสดงถึงหน้าที่ควรรบั ผิดชอบของ บุคคลต่อปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ ดังต่อไปนี้ ๒.๑ กรณีปัญหาพ้นื ท่ปี า่ ไมล้ ดลงอย่างรวดเรว็ บุคคลมหี น้าท่ีความรับผดิ ชอบดังนี้ ๑. ไม่ลกั ลอบตัดไมท้ าลายป่า ทาไรเ่ ลือ่ นลอย ๒. เผยแพรแ่ ละประชาสัมพันธค์ วามรูเ้ กยี่ วกบั ผลเสยี ของการสญู เสียพืน้ ท่ีปา่ ไม้ ๓. ส่งเสริมการใชผ้ ลติ ภณั ฑจ์ ากป่าไมใ้ ห้น้อยลง และพยายามส่งเสรมิ การใชผ้ ลิตภณั ฑ์ ทดแทนผลิตภัณฑ์จากปา่ ไม้ใหม้ ากขึ้น ๔. วางแผนครอบครวั เพ่ือลดอัตราเพ่ิมประชากร เนือ่ งจากเม่อื มีประชากรเพ่มิ ข้ึนความ จาเปน็ ต้องใชท้ รัพยากรจากป่าไม้ก็จะสงู ขึน้ และในขณะเดียวกันก็จาเปน็ ต้องขายพนื้ ทเ่ี กษตรกรรมเพ่มิ ขน้ึ เพ่ือใหส้ ามารถผลิตอาหารไดเ้ พยี งพอ ทาใหต้ ้องบกุ รกุ บริเวณปา่ ไม้แผ้วถางป่าทาไรเลื่อนลอย ซง่ึ ทาให้ปา่ ไม้ ถูกทาลายเพิม่ ขึ้น ๒.๒ กรณปี ัญหาการชะกรอ่ นและพงั ทลายของดิน บุคคลมีหน้าทีค่ วามรบั ผดิ ชอบดังน้ี ๑. ปกป้องไม่ใหม้ ีการทาลายพ้ืนทป่ี า่ ไมเ้ พมิ่ ขึ้น อีกทงั้ สง่ เสริมและให้ความร่วมมือในการ ปลูกป่าทดแทน ท้ังน้ีเพราะเมื่อปา่ ถูกทาลายจะไมม่ ีตน้ ไมก้ ิ่งไมร้ บั แรงปะทะจากเมด็ ฝนทาใหด้ นิ ถกู ชะกร่อน ไปได้โดยง่าย นอกจากนร้ี ากของตน้ ไมจ้ ะช่วยยดึ ดนิ ไวไ้ มใ่ ห้พงั ทลาย ๒. ศึกษาหาความรูเ้ กยี่ วกบั การใชด้ ินในการเพาะปลูกทถี่ ูกวิธี และเน้นการบารุงรกั ษาดิน ใหค้ งความอดุ มสมบูรณ์อยูเ่ สมอ

65 ๓. ศกึ ษาหาความรเู้ กี่ยวกับการแก้ไขสภาพเสอื่ มโทรมของดนิ เพ่ือฟน้ื ฟูดินที่เสื่อมโทรมให้ สามารถใชเ้ พาะปลกู ได้ ๒.๓ กรณีปัญหาเกยี่ วกบั แหล่งนา้ บคุ คลทเ่ี กย่ี วข้องมีหน้าที่ความรบั ผดิ ชอบ ดังน้ี ๑. ปกป้องไม่ใหม้ ีการทาลายพืน้ ทปี่ า่ ไม้เพม่ิ ข้ึน ส่งเสริมและให้ความร่วมมือในการปลูกป่า ทดแทน ทงั้ นี้เพราะปา่ ไมเ้ ปน็ ต้นกาเนิดของแหล่งน้า ๒. ใชน้ า้ อย่างประหยดั และให้เกิดประโยชน์สงู สุด ๓. รักษาแหล่งนา้ ให้สะอาด ไมท่ ้ิงขยะและสงิ่ ปฏกิ ลู ลงแหล่งน้า ๒.๔ กรณีปญั หาการใชแ้ รธ่ าตุและพลงั งาน บคุ คลทเ่ี กยี่ วข้องมหี นา้ ทีค่ วามรบั ผดิ ชอบดังนี้ ๑. นาแรธ่ าตมุ าใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สุดและพยายามค้นคว้าหาวธิ ีการหมุนเวียนแร่ธาตุ กลบั มาใช้อีก ๒. ประหยัดการใชพ้ ลังงานในระดบั บคุ คล ท่ีอยู่อาศัย สานักงาน และโรงงานอตุ สาหกรรม ๓. คน้ หาแรธ่ าตุและพลังงานทดแทนมาใช้ ซึง่ จะชว่ ยชะลอให้ทรัพยากรธรรมชาติประเภท นี้หมดไปไดช้ า้ ลง ๒.๕ กรณปี ัญหาสภาพธรรมชาติถกู ทาลาย บุคคลที่เกี่ยวข้องมีหน้าท่คี วามรับผิดชอบ ดังนี้ ๑. ไมท่ าลายสภาพธรรมชาติทสี่ วยงาม หากจาเป็นต้องใช้ทรพั ยากรธรรมชาตจิ ากบรเิ วณ นั้นควรหลกี เล่ยี ง ๒. ศกึ ษาสภาพธรรมชาติในบรเิ วณท่ีจะนาทรัพยากรธรรมชาตมิ าใชก้ ่อนดาเนินการ ๓. ปฏบิ ัตติ ามกฎระเบยี บของผดู้ แู ลสถานที่ที่เปน็ แหล่งธรรมชาติทีส่ วยงามเม่ือเข้าเยย่ี ม ชม เพือ่ จะได้ไมท่ าลายสภาพธรรมชาตทิ ่ีควรอนุรกั ษ์ นอกจากนป้ี ัญหาและสาเหตขุ องปญั หามลพิษทางสง่ิ แวดล้อม ท่ีเกิดขน้ึ ส่วนใหญม่ าจากกิจกรรมใน ชวี ิตประจาวันของมนุษย์ หากมองถงึ หน้าทีค่ วามรบั ผดิ ชอบของบุคคลในการอนรุ ักษ์สิ่งแวดล้อม สามารถ ปฏิบัติไดด้ งั นี้ ๒.๖ กรณปี ัญหามลพิษทางน้า บคุ คลต้องมีหนา้ ท่ีความรบั ผิดชอบ ดงั น้ี ๑. ไมท่ ง้ิ ขยะและสิง่ ปฏิกลู จากครวั เรือนลงแหล่งน้าและทางระบายนา้ ทั้งในเขตเมืองและ ชนบท ๒. จดั ให้มกี ารบาบดั นา้ เสียจากการใชส้ อยในครวั เรอื นและน้าจากส้วมก่อนปล่อยออกสู่ ทอ่ ระบายน้าสาธารณะ โดยอาจจดั ทาเปน็ หนว่ ยบาบัดนา้ เสียรวมหม่บู า้ นทรี่ ับนา้ เสียจากบ้านโดยตรงมา บาบัดกอ่ นปลอ่ ยออกสู่ท่อระบายนา้ ส่วนคา่ ใชค้ ่าใช้จา่ ยหากแต่ละบ้านรว่ มมอื กนั กส็ ามารถทาได้ ๓. แยกขยะและเศษอาหารจากนา้ ที่จะปลอ่ ยสทู่ ่อระบายน้าสาธารณะ เพื่อปอ้ งกนั การอุด ตันของท่อระบายนา้ ๔. ใชผ้ งซักฟอกในปรมิ าณน้อยทสี่ ดุ เท่าทีจ่ าเป็น ในการทาความสะอาดเส้ือผ้าและ เครอื่ งใชใ้ นครวั เรือน และเลอื กใชผ้ งซักฟอกทสี่ ามารถสลายตัวได้งา่ ยในธรรมชาตแิ ทนผงซักฟอกทีส่ ลายตวั ไดย้ าก เพอื่ ลดปริมาณสารเคมลี ะลายในนา้ ๕. ใช้ป๋ยุ และสารเคมกี าจดั แมลงและศตั รูพืชใหถ้ ูกต้องตามหลกั วิชาการ และใชเ้ ท่าที่ จาเปน็ เพื่อลดปริมาณท่ตี กค้างอยใู่ นนา้ ให้น้อยลง ๖. ในฐานะเจ้าของโรงงานอตุ สาหกรรมไม่ว่าขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ มีหน้าท่ีตอ้ ง รับผิดชอบจัดใหม้ รี ะบบบาบัดนา้ เสียจากโรงงานก่อนปล่อยออกส่แู หลง่ นา้ หรอื ทอ่ ระบายนา้ สาธารณะ

66 ๒.๗ กรณปี ัญหามลพิษทางดิน บุคคลตอ้ งมหี นา้ ที่ความรับผดิ ชอบเกยี่ วกับ ๑. ใช้ป๋ยุ และสารเคมีกาจดั แมลงและศตั รูพชื ใหถ้ ูกตอ้ งตามหลักวิชาการ และใชเ้ ท่าท่ี จาเปน็ เพอื่ ลดปริมาณทต่ี กคา้ งในดนิ ๒. ในฐานะเจา้ ของโรงงานอุตสาหกรรมจะต้องควบคมุ การแพรก่ ระจายของสารพษิ พวก โลหะหนกั และนา้ มันท่ีใช้ เพื่อปอ้ งกนั การเสอ่ื มโทรมของดนิ ๓. สง่ เสริมใหม้ รี ะบบการเก็บและกาจดั ขยะใหถ้ กู วธิ ี เพื่อมิให้ตกคา้ งอยใู่ นดิน ๔. ผู้ทีท่ าการทดลองเกยี่ วกับสารกัมมันตรังสีหรือใชส้ ารกัมมนั ตรงั สี จะตอ้ งรบั ผดิ ชอบหา วิธกี าจดั กากกัมมันตรังสีอยา่ งรอบคอบ ไมป่ ล่อยสารกัมมนั ตรังสปี ะปนอยู่ในดินซึง่ จะเป็นอันตรายต่อมนษุ ย์ พชื และสตั ว์ ๒.๘ กรณปี ญั หามลพษิ ทางอากาศ บคุ คลต้องมีหน้าท่ีความรับผดิ ชอบเก่ียวกบั ๑. ในฐานะเจา้ ของยานพาหนะ ตอ้ งมีหน้าท่ีรับผิดชอบดแู ลรกั ษาเคร่ืองยนต์ให้มีไอเสยี หรอื เขม่าควนั ออกมานอ้ ยท่ีสุด ๒. ในฐานะเจา้ ของโรงงานอตุ สาหกรรม ต้องมีหนา้ ท่รี บั ผิดชอบจัดระบบควบคุมการปลอ่ ย สารท่เี ปน็ พษิ จากโรงงานออกสอู่ ากาศ ๓. ในฐานะเกษตรกร จะต้องพยายามใช้สารเคมกี าจัดแมลงและศัตรูพืชทฉ่ี ีดเป็นละออง เทา่ ท่ีจาเป็นเพอ่ื ลดปริมาณละอองสารเคมใี นอากาศ นอกจากนี้ ควรหาวธิ ที าลายซากพชื ในไรน่ าทเ่ี หมาะสม และนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้แทนการเผาทที่ าใหเ้ กดิ ฝนุ่ ละอองและสารไฮโดรคารบ์ อน ๒.๙ กรณีปัญหามลพิษทางเสียง บุคคลตอ้ งมีหนา้ ที่ความรับผิดชอบเกีย่ วกบั ๑. ควบคมุ ดแู ลการใชเ้ สียงจากวิทยกุ ระจายเสยี ง วทิ ยุโทรทศั น์ เครื่องกระจายเสียงให้อยู่ ในระดบั ที่พอฟังได้ในเขตของตน ไม่ปล่อยใหเ้ สียงดงั กลา่ วรบกวนผอู้ ่ืน เชน่ เปดิ วิทยใุ ห้ดังพอเพียงในห้อง ๒. ดูแลควบคุมยานพาหนะท่ีอยูใ่ นครอบครองและใชส้ อยไมใ่ หม้ ีเสยี งเครื่องยนตด์ ังเกนิ ไป หรอื เลอื กใชแ้ ตรรถยนต์ทม่ี เี สียงดังพอประมาณ และขณะขับควรใชเ้ สยี งแตรเท่าทีจ่ าเป็นเท่านน้ั ๓. ในฐานะเจา้ ของโรงงานอุตสาหกรรมทมี่ เี สียงดังเนอ่ื งจากเคร่อื งจักรทางานจะตอ้ ง หาทางปรับปรุงแกไ้ ขใหเ้ สียงทีด่ ังนัน้ ลดลง พร้อมทง้ั หาทางปอ้ งกันอนั ตรายจากเสยี งให้แก่ลูกจ้างคนงานที่ ทางานอยู่ ๒.๑๐ กรณีปัญหามลทัศน์ของเมือง บุคคลต้องมหี น้าทค่ี วามรบั ผิดชอบ ดงั น้ี ๑. ผทู้ ด่ี แู ลรับผดิ ชอบจัดต้ังป้ายโฆษณา ป้ายข่าวสาร ป้ายจราจร จะตอ้ งวางแผนการใช้ แผน่ ป้ายต่าง ๆ โดยคานงึ ถึงความเปน็ ระเบยี บเรียบร้อย นา่ ดนู ่าชม ไม่เกะกะกดี ขวางทางนอกจากนี้ ยงั ตอ้ ง ดแู ลรกั ษาให้มสี ภาพเรียบร้อยสะอาดสวยงามอยู่เสนอ ๒. ผู้ที่ดูแลรบั ผดิ ชอบจดั ตั้งส่วนประกอบของระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ตอ้ งคานงึ ถงึ การ ออกแบบท่ีดี คานงึ ถงึ ความเก่ียวเนือ่ งกบั ระบบอืน่ และดแู ลรกั ษาให้อยใู่ นสภาพท่ีเรียบรอ้ ยอย่เู สมอ ๓. ผทู้ เี่ ปน็ เจา้ ของอาคาร จะต้องไมต่ ่อเติมอาคารเพ่ือประโยชน์ใชส้ อยของตนอย่างพลการ โดยไมค่ านึงถงึ ความปลอดภัยและทัศนยี ภาพของชุมชน ๔. ผู้ท่ที ากจิ การคา้ บนทางเท้าควรสานึกถึงความรบั ผดิ ชอบตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม โดยยนิ ยอมตั้ง ร้านคา้ หาบเร่ แผงลอย ในท่ีทีก่ าหนด เพื่อใหบ้ ้านเมืองสะอาดเรียบร้อยและเป็นระเบียบ ๒.๑๑ กรณปี ัญหาขยะฝอยและสิ่งปฏกิ ลู บุคคลต้องมหี นา้ ทค่ี วามรับผิดชอบ ดังนี้

67 ๑. เกบ็ รวบรวมขยะเพื่อส่งมอบใหเ้ จ้าหนา้ ที่นาไปกาจัดอย่างเรียบรอ้ ย โดยใสภ่ าชนะ มิดชิดไมป่ ล่อยใหต้ กหล่นกระจดั กระจายอยู่ท่วั ไป ๒. ฝึกนสิ ัยทิง้ ขยะใหเ้ ป็นทเี่ ป็นทาง ไม่มกั ง่ายทิง้ ขยะไวใ้ นบรเิ วณรกรา้ งท่เี จา้ ของทีไ่ ม่ได้ทา ประโยชน์ ๓. ศึกษาวธิ กี ารกาจัดขยะที่ถูกหลักสขุ าภิบาล ในกรณที ่ีอยู่ในพ้นื ที่ที่ตอ้ งกาจดั ขยะดว้ ย ตนเอง ๓. บทบาทความรบั ผิดชอบของครอบครัวต่อการอนรุ ักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม ครอบครวั หรอื ทบี่ ้าน เป็นตวั แทนของสถาบนั ครอบครวั ที่มีหนา้ ทรี่ ับผดิ ชอบการอบรมเล้ียงดูบตุ ร ใหเ้ ป็นสมาชกิ ที่ดีของชมุ ชน ส่งเสรมิ การเรียนรู้ ความเช่ือ เจตคติ และแบบแผนต่าง ๆ ของสังคม ดงั นนั้ พ่อ แม่ จงึ ตอ้ งเป็นผู้ปลกู ฝังเจตคติเก่ียวกับการอนุรกั ษส์ ่ิงแวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาตใิ ห้แกบ่ ตุ รหลาน พร้อมทง้ั ฝึกอบรมใหม้ นี ิสัยรักความสะอาด ไม่มกั งา่ ยทิง้ ขยะไม่เปน็ ที่ ใชน้ า้ และไฟฟ้าอย่างประหยดั รกั ธรรมชาติและสนใจใฝห่ าความรูเ้ ก่ียวกับส่งิ แวดล้อมรอบตวั การขัดเกลาลักษณะนสิ ัยดังกลา่ วนี้ เช่อื กนั วา่ พอจะมีโอกาสกระทาไดใ้ นวยั เดก็ มากกว่าวยั ผู้ใหญ่ พ่อแม่จึงต้องเปน็ ผู้มีหน้าท่รี บั ผดิ ชอบในเรื่องนี้ ครอบครวั เปน็ สถาบนั ทางสงั คมที่ทาหนา้ ทสี่ นองความต้องการของพฤตกิ รรมทางเพศและการสบื เชื้อสาย การกาหนดสถานภาพให้แก่สมาชกิ ใหม่ของชุมชน การเลี้ยงดสู มาชิกใหม่ การทาหน้าทข่ี ดั เกลาทาง สงั คม การทาหน้าท่ีเกีย่ วกบั กิจกรรมเศรษฐกจิ การให้ความรกั ความอบอุ่น รวมท้ังการให้ความช่วยเหลอื แก่ สมาชกิ ในครอบครวั สถาบันครอบครวั มบี า้ นเป็นศนู ย์กลางการดาเนินงานและมีพ่อ แม่ เปน็ ผู้ปฏบิ ตั หิ น้าท่ี การพฒั นาใดๆ ก็ตามครอบครัวถอื ว่าเปน็ องค์กรพ้นื ฐานที่จะตอ้ งมีบทบาทสาคญั ดงั ท่ีว่า เริม่ ท่ีแม่ แก้ท่ีพ่อ กอ่ ท่ีลูก ปลกู ฝังให้เกดิ คา่ นยิ มท่ีดงี ามในสงั คม ลดความรุนแรง เพิ่มความอารีย์ ๔. บทบาทความรบั ผิดชอบของพระสงฆ์ต่อการอนุรักษ์และพัฒนาสง่ิ แวดลอ้ ม ปญั หาโลกร้อนข้นึ ช้ันโอโซนถกู ทาลาย พืชและสตั วห์ ลายชนิดกาลงั จะสญู พันธุ์ การเพิ่มขนึ้ ของ ประชากรอย่างรวดเรว็ การแพรก่ ะจายของมลภาวะ ฝนกรด อุทกภยั และวาตภัย ปัญหาตา่ งๆเหล่านกี้ าลัง รุมเร้าโลกของเราและทวคี วามรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะทกี่ ิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ยงั คงดาเนินไปตามปกติ สว่ นสาเหตุของปญั หาสงิ่ แวดลอ้ ม อันได้แก่ความละโมบซ่งึ เปน็ ผลมาจากกระแสการพัฒนากิจกรรมทาง เศษฐกิจไม่ไดร้ ับความสนใจเท่าทค่ี วร วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยอี ย่างเดียวคงไมเ่ พยี งพอทีจ่ ะจดั การกับ ปัญหา ทีโ่ ลกกาลงั เผชญิ อยู่ได้ ทจ่ี ริงแลว้ ความอวดดีของมนุษยจ์ ะถูกควบคุมโดยความเชื่อของศาสนาตา่ งๆ ทีม่ ีปรากฏอยู่บนโลกใบนีน้ านมาแล้ว พุทธศาสนาสอนใหค้ นรกั ความสงบ พุทธศาสนาเชื่อวา่ ความเกลียดชงั และอาวธุ นาไปสู่การทาลายลา้ งตนเองและผอู้ นื่ ความโลภ และ ความเห็นแกต่ วั นาไปสูค่ วามทกุ ข์ยาก ยิง่ ไปกว่านน้ั ความเหน็ แก่ตวั ยังเปน็ สาเหตสุ าคัญของ การทาลายทรพั ยากรธรรม ชาติ ดังคากล่าวของทา่ นพุทธ ทาสภิกขุทวี่ ่า ทุกศาสนาต้องการหยุดความเห็นแก่ตวั เมื่อคนตกเป็นทาสของความเหน็ แกต่ วั ไมต่ ้องหวังว่า จะมีความสงบ พทุ ธศาสนิกชนท่แี ท้จริงต้องปฏิบัติตามคาสอนของศาสนาอย่างจรงิ จังและจรงิ ใจ เม่ือน้นั เรา จงึ จะรกั ษาธรรมชาตไิ วไ้ ด้ ตราบใดท่ีคนยังมคี วามเหน็ แก่ตัวอยกู่ ็ไมส่ ามารถทจี่ ะปอ้ งกันการทาลายปา่ ที่ เพิม่ ขึน้ ได้ ทา่ นพทุ ธทาสภกิ ขุยงั ได้กลา่ ววา่ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ธรรมะ คอื กฎของธรรมชาติ ธรรมะ คอื

68 หน้าที่ของคนท่ีจะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติ คือ ผลพอกพนู ท่เี กิดข้นึ จากการทาหน้าท่ี ของคนตามกฎของธรรมชาติ ๔.๑ ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มกับแนวคดิ ทางพุทธศาสนา สาเหตขุ องปัญหาสง่ิ แวดล้อมอยูท่ ี่จิตใจของมนษุ ย์ ซึ่งเต็มไปด้วยความโงเ่ ขลา วกิ ลจริต ละโมบ และความเกลียดชัง ฉะนั้นเราจะต้องพยายามหาทางแก้ไขท่ี จติ วิญญาณ และ จิตวทิ ยา ท่ีเป็นตัวตน้ เหตุ ของปญั หาสงิ่ แวดลอ้ ม ก่อนท่ีจะพยายามแก้ไขปญั หาทางด้านวัตถดุ ้วยการใช้เทคโนโลยีทีส่ ลับซบั ซ้อน การศึกษาและศาสนาเป็นแนวทางทจ่ี ะใช้แก้ปัญหาสิง่ แวดล้อมได้ โดยการทาให้คนเห็นและเขา้ ใจธรรมชาติ มากข้นึ รู้ถึงผลกระทบทเ่ี กิดจากพฤติกรรมของตนเอง เหน็ ผลท่เี กดิ ขน้ึ ตามมาหลงั จากการกระทาของ ตนเอง และทาให้คนเหน็ ว่าตนเองสามารถทาสิ่งใหม่ท่ดี ีและถูกตอ้ งได้ การศกึ ษาจะตอ้ งช่วยปลกู ฝังทัศนคติ ทดี่ แี ละเปลีย่ นพฤติกรรมที่ทาลายส่ิงแวดล้อมของคน ในทางพทุ ธศาสนา กิจกรรมทางเศรษฐกิจควรหมายถึง การมีชวี ิตที่ดที ่ปี ระเสรฐิ การผลติ การ บรโิ ภค และ การการทากจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ตา่ งๆ ไม่ควรสิน้ สุดท่ตี วั มันเองแต่ควรจะส้ินสุดทีก่ ารพัฒนา ความเปน็ อยู่ท่ดี ีขนึ้ ของบุคคล สงั คม และสง่ิ แวดล้อม พระพุทธเจา้ ทรงสอนให้คนดาเนนิ ชีวติ ใหส้ มดุลกบั ธรรมชาตโิ ดยวิธตี อ่ ไปนี้ [พระธรรมปฏิ ก (ป.อ. ปยุตโต), 2540] การกินใหน้ ้อย ท่านสอนให้กนิ เฉพาะเทา่ ท่ี จาเปน็ ตอ่ การดารงชีพ เพราะการทาดงั กลา่ วจะทาลายธรรมชาตินอ้ ยลง ซึ่งจะชว่ ยลดมลภาวะลงดว้ ย การอยู่อยา่ งผสมกลมกลืนกับธรรมชาติ คนและสิง่ มชี ีวิตอ่ืนๆ อย่ภู ายใตก้ ฎของธรรมชาติ อันได้แก่ การเกดิ แก่ เจ็บ และ ตาย ถ้าทกุ ชวี ติ อยู่ดว้ ยกันอย่างผสมกลมกลืน เขากจ็ ะไม่ไปรบกวนสทิ ธขิ องผู้อืน่ การใช้ ทรพั ยากรธรรมชาติอยา่ งชาญฉลาด พระพุทธเจ้าสอนใหค้ นใช้ธรรมชาตใิ นการพฒั นาจิตใจ พฤตกิ รรม และศลิ ธรรมของตนเอง ดังน้ันคนตอ้ งเรยี นรู้การใชท้ รัพยากรอย่างฉลาด ในทางพุทธศาสนา “จติ เปน็ นายกายเป็นบา่ ว” ถา้ มกี ารฝึกจิตให้ดจี ะมองเหน็ ความจริงและเกดิ ปญั ญา ปัญหาสิง่ แวดลอ้ มจะแกไ้ ด้โดย การปฏิบตั ิ ศลิ หา้ มรรคแปด และการแสดงความรกั ความเมตตา ตลอดจนทาดีกบั ทุกส่ิงทุกอยา่ ง การนกึ ถึงผู้อนื่ เป็นคณุ สมบัติที่สาคญั ของมนุษย์ ถา้ คนสามารถเผื่อแผค่ วาม รักของตนให้กบั คนอน่ื ได้มากกว่าการใฝ่หามันมาเพื่อตนเองและครอบครวั เขาจะกลายเป็นคนทใ่ี ห้โดยไม่ หวังสงิ่ ตอบแทน ความเมตตาและความไมเ่ ห็นแกต่ วั เปน็ สมบัติทจ่ี าเปน็ สาหรับมนุษย์ที่จะอยรู่ ว่ มกบั ใน สังคมอย่างสงบสขุ โดยสรุป พระพุทธศาสนาสอนให้คนดแู ลรักษาส่งิ แวดลอ้ ม โดยเฉพาะป่าไม้เพราะป่าไม้เก่ียวขอ้ ง กบั พระพุทธเจา้ และพระสงฆ์ท่ีคนไทยนบั ถือ พระสงฆ์มบี ทบาททีจ่ ะชว่ ยสง่ เสรมิ ให้คนเห็นคณุ ค่าและ ความสาคญั ของป่าไม้ และ ช่วยดูแลรกั ษาป่าไม้ ความเช่ือเก่ยี วกับวญิ ญาณและสง่ิ ศักดสิ์ ิทธิ์ ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับ ป่าไมส้ ามารถนามาเปน็ แนวทางอนรุ กั ษ์ปา่ ไมแ้ ละสัตว์ปา่ ได้ ๔.๒ บทบาทของพระสงฆใ์ นการอนุรักษส์ ่งิ แวดลอ้ ม 2 นอกจากพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลจะมีบทบาทในการพัฒนาศีลธรรมให้ชุมชนมีความรับผิดชอบชว่ั ดี และมรี ะเบยี บวนิ ยั ในการดารงชีวติ แลว้ พระสงฆ์ยงั มบี ทบาทในการพฒั นาส่ิงแวดล้อมและการอนรุ ักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติอีกด้วย ซ่ึงการพฒั นาทางวัตถุดังกล่าวนี้จะสาเรจ็ ได้กโ็ ดยอาศัยความรู้ ความเขา้ ใจ ความสานึกถึงคุณคา่ ของธรรมชาตแิ ละชีวิต ตลอดจนการร่วมมือจากชาวบ้านที่ไดร้ ับการพฒั นาทางศลี ธรรม แลว้ นน่ั เอง แมใ้ นสมยั ปัจจุบันบทบาทของพระสงฆ์เกี่ยวกับการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาตนิ ัน้ ก็ยังคงอยู่ ไม่เปลยี่ นแปลง 2 สพุ มิ ล ศรศกั ดา. รูปแบบและกระบวนการอนุรกั ษ์ป่าชมุ ชนแนวพทุ ธ. วทิ ยาการพิมพ์ ๒๕๕๙ (๓๐-๓๓)

69 การพัฒนาสง่ิ แวดล้อมหมายถึง การทาใหส้ ิ่งแวดล้อมมสี ภาพทดี่ ขี น้ึ น่าอย่นู ่าอาศัย และเปน็ ประโยชน์ต่อการดารงชวี ติ มากข้ึน ในสมัยพุทธกาล การพัฒนาส่งิ แวดล้อมโดยพระสงฆ์นั้นสว่ นใหญ่เปน็ การแนะนาส่ังสอนฆราวาสให้ปรบั ปรุงเปล่ียนแปลงวถิ ีชีวติ และสภาพแวดลอ้ มของตนให้ดีขนึ้ มใิ ช่ลงมือ ดาเนนิ งานหรือจดั ตั้งวางแผนแนวการพัฒนาให้ฆราวาสดว้ ยตนเองเหมือนในยุคปจั จบุ นั เช่น ครั้งหนง่ึ พระพทุ ธเจา้ ทรงเห็นชานสุ โสเภณีพราหมณ์ผ้สู ระผมแลว้ ในวนั อโุ บสถ นงุ่ หม่ ผา้ ผืนใหม่ และถือหญา้ คาสดไป เฝา้ พระองค์จงึ ตรัสถามได้ความว่า เป็นวนั ปลงบาปของพวกพราหมณ์ พระองค์จึงตรัสสอนวา่ การปลง บาปน้ันมใิ ชก่ ระทาได้ด้วย การแสดงออกภายนอกดงั กลา่ วน้ัน แตต่ ้องเกิดจากความร้คู วามเข้าใจว่ากรรม ชว่ั ต่าง ๆ เช่น การฆา่ สัตว์ การลักทรัพย์ เป็นตน้ ใหผ้ ลชั่วอย่างไรเกดิ ขึน้ ไดอ้ ย่างไร และละท้ิงกรรมชั่วนัน้ เสีย การปลงบาปจงึ จะเกิดขน้ึ ได้ พระธรรมเทศนาบทน้เี ปน็ การแนะนาให้บคุ คลเปล่ยี นแปลงวิถชี วี ติ ของ ตนเอง เพื่อให้การดารงชวี ติ เป็นไปได้อย่างถกู ต้องและทาให้สภาพแวดล้อมของตนน่าอยู่ยิ่งขึน้ ในสมยั พทุ ธกาลพระสงฆอ์ าจช่วยพฒั นาสงิ่ แวดล้อมได้ โดยการแสดงตนเปน็ แบบอย่างของชุมชนในดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ การเปน็ ผ้มู ีระเบียบวินัย การมมี ารยาท และการมเี มตตากรุณาต่อผอู้ นื่ สตั ว์อน่ื เปน็ ตน้ สิ่งเหล่านี้ ปรากฎอย่ใู นสิกขาบทซ่งึ ควบคุมความประพฤติของพระสงฆใ์ หก้ ลายเป็นบุคคลตัวอย่างของชุมชน เชน่ พระสงฆพ์ ดู จา ดา่ วา่ เสยี ดแทงและกระทบกระแทกผอู้ น่ื ไม่ได้ หากกระทาถอื เป็นอาบัติปาจิตตีย์ และ พระสงฆ์ควรแผ่เมตตาตอ่ สรรพสตั ว์เพื่อให้อยรู่ ่วมกนั ได้อย่างเปน็ สขุ นอกจากนั้นพระสงฆ์ยังตอ้ งมมี ารยาท ในการดาเนินชวี ติ ของตนเองและอยู่ร่วมกับผู้อืน่ เช่น เวลารับประทานอาหาร เม่ือยงั หยิบอาหารไมถ่ ึงปาก หา้ มอา้ ปากรอไว้ เวลาฉนั ก็ใหฉ้ นั แตพ่ อดีคา ไมใ่ ห้เคยี้ วคาโตจนแก้มตุย่ และเมอ่ื ฉนั เสรจ็ แล้วไมใ่ ห้เอาน้า ล้างบาตรทยี่ ังมีขา้ วติดอยู่ เทลงไปในบรเิ วณท่ีอยู่อาศัยแตใ่ ห้เกบ็ เมลด็ ข้าวออกก่อนให้เรียบรอ้ ยแลว้ จงึ ลา้ ง บาตรใหส้ ะอาด เปน็ ต้น พระวนิ ัยดังกล่าวเปน็ สิ่งทพี่ ระพุทธเจา้ ทรงบัญญัติเพอ่ื ให้พระสงฆเ์ ป็นผู้มคี วาม ประพฤตดิ งี าม และมีมารยาทสมควรแก่การเคารพเลอ่ื มใส ความประพฤติและมารยาทของพระสงฆ์ใน พระวนิ ัยดงั กล่าว ได้กลายเป็นแบบอยา่ งของมารยาททางสังคมในชมุ ชนฆราวาสในเวลาต่อมา ๔.๓ การอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติตามแนวพุทธ ในสมยั พทุ ธกาล พระสงฆไ์ ม่วา่ จะพอใจในการอยู่ปา่ หรืออย่ใู นอารามก็ตาม ยอ่ มมีภาระหนา้ ทใี่ น การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตทิ ัง้ สิ้น ภาระหน้าทด่ี งั กลา่ วปรากฎอยู่ในสกิ ขาบทของพระวินัยและในพทุ ธ โอวาทท่ัวไปในพระไตรปิฎก การบญั ญัตสิ ิกขาบทเหล่านนั้ เกดิ จากมลู เหตแุ ละหลักการนานปั การ ดังน้ี ๑. หลกั การเรอ่ื งตน้ ไมเ้ ปน็ สงิ่ มชี วี ิต จากหลกั การดงั กล่าว พระสงฆจ์ งึ ตดั ต้นไม้และใช้สงิ่ ของ บางอย่างทีม่ าจากการตัดโคน่ ต้นไม้ไมไ่ ด้ เช่น ในสิกขาบทท่ี ๑ ภูตคามวรรค ในปาจติ ตกี ัณฑ์ วา่ ด้วยเร่ือง การห้ามทาลายต้นไม้ เม่อื ภกิ ษุชาวเมอื งอาฬวีจะทาการก่อสร้างจงึ ได้พากันตัดตน้ ไม้เปน็ จานวนมากเพ่ือ ปรับพน้ื ที่ ชาวบา้ นพากนั ติเตียนดว้ ยถือว่าตน้ ไมม้ ีชวี ิต มอี ินทรีย์ พระพุทธเจา้ จึงบัญญตั ิสิกขาบทไมใ่ ห้ตัด ตน้ ไม๑้ ครัง้ หนงึ่ พระฉัพพคั คยี ์ (พระท่ีรวมกลุม่ กัน ๖ รูป) คดิ ว่า พระพทุ ธเจ้าทรงห้ามสวมรองเท้าไม้ จงึ ตดั ต้นตาลเลก็ ๆ แล้วเอาใบตาลมาทารองเทา้ ตน้ ตาลทถ่ี กู ตัดจึงเห่ยี วเฉา ทาให้ชาวบ้านตเิ ตียนว่า พระสงฆเ์ บยี ดเบยี นส่ิงมีชีวิต พระพทุ ธเจา้ ทรงทราบจึงตรัสหา้ มพระสงฆส์ วมรองเทา้ ท่ีทาดว้ ยใบตาล หาก กระทาถอื ว่าเปน็ อาบตั ิทกุ กฎ ๒. หลกั การเรอ่ื งการใชท้ รัพยากรธรรมชาติตามความจาเป็นเทา่ นนั้ จากหลักการนี้ พระสงฆ์ต้อง ใช้สงิ่ ของตามธรรมชาติต่าง ๆ อย่างมกั น้อย และประหยัด ไม่ฟมุ่ เฟือย หรอื ลา้ งผลาญธรรมชาติ จะเหน็ ได้วา่ คร้งั หน่งึ พระสงฆช์ าวเมอื งภทั ทิยะ ตกแต่งประดับประดารองเท้าจนสวยงาม หรูหรา เชน่ รองเท้า สานดว้ ยหญา้ และรองเท้าถักดว้ ยขนสตั ว์ เป็นต้น พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงบัญญตั ิห้าม พร้อมทั้งหา้ มรองเท้า

70 ประเภทอน่ื ๆ ด้วย เช่น รองเท้าประดับทองคา ประดับเพชรพลอย และประดับดีบุก เปน็ ตน้ หาก กระทาถือเป็นอาบัตทิ กุ กฎ การบัญญตั สิ ิกขา บทดังกลา่ ว ทาให้พระสงฆ์ตอ้ งสงั วรในการใช้ ทรพั ยากรธรรมชาติตามความจาเปน็ อนั เป็นการถนอมทรัพยากรเหล่านน้ั ให้เปน็ ประโยชน์ต่อโลกได้ ยาวนาน ๓. หลักการเรื่องสตั ว์เปน็ สงิ่ ที่มชี ีวติ ควรแกก่ ารเมตตากรุณา จากหลักการน้ี พระสงฆ์ต้องไม่ชี้ ชอ่ งใหบ้ คุ คลอ่ืนฆ่าสตั ว์เพื่อเอาหนังของมนั มาใช้ ดังน้นั เร่ืองทีพ่ ระภิกษใุ จรา้ ยใหอ้ บุ า สก ฆ่าลกู วัวเอาหนงั ทาให้แม่ววั ผ้รู กั ลกู ต้องเดินตามหนงั ลูกท่ีพระแบกไปเรอ่ื ย ๆ เปน็ ท่ีเวทนาของคนทั่วไป พระพทุ ธเจ้า จงึ ทรงบญั ญตั สิ ิกขาบทห้ามพระสงฆใ์ ชห้ นังสัตวท์ กุ ชนดิ เพ่ือไม่ใหเ้ กดิ การชักนาไปสูก่ ารฆ่าสตั ว์ พระวินัย ดังกล่าว จึงชว่ ยในการอนรุ ักษ์สตั วโ์ ดยทวั่ ไปทง้ั สัตวเ์ ล้ยี งและสัตวป์ ่า ๔. หลกั การเรื่องการไม่ฝ่าฝืนประเพณคี วามเชื่อของประชาชนโดยไม่จาเป็น เช่น ประชาชนเชอื่ ว่า ในตน้ ไม้มีเทวดาอาศยั อยู่ พระภิกษุกไ็ ม่ควรตัดต้นไมน้ ้ัน และในสกิ ขาบทท่ี ๑๐ มุสาวาทวรรค ในปาจิตตยี ์ กัณฑ์ หา้ มขดุ ดินหรือใช้ให้ขดุ เพราะเปน็ การฝืนความรสู้ กึ ของชาวบา้ น เนื่องจากชาวบ้านมคี วามเชอื่ ว่า พ้ืนดนิ มชี ีวิตอนิ ทรยี ์ ทาใหช้ าวบ้านไม่พอใจ และไม่เป็นมติ รดว้ ย อนั ทาใหเ้ สยี ความสัมพันธ์ทีด่ งี ามต่อกัน และปดิ ก้ันโอกาสในการเผยแผพ่ ุทธธรรม เชน่ ในกรณีพระภกิ ษุชาวรัฐอาฬวี ผตู้ ัดต้นไม้และขุดดิน เปน็ ต้น ๕. หลักการเร่อื งธาตุทง้ั ๔ มเี ทพเจา้ การนับถือธาตทุ ง้ั ๔ เป็นเสมอื นหนึ่งเทพเจา้ ก็เปน็ แนวทาง หน่ึงในการอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ เช่น น้า ชาวบา้ นนบั ถอื วา่ เป็นพระแมค่ งคา ที่ให้ประโยชนแ์ กส่ ตั ว์ และพชื ทุกชนดิ ได้ใช้ด่ืมกนิ ในพระปาตโิ มกข์ สิกขาบทที่ ๓ เสขิยกัณฑ์ หมวดปกิณกะท่ี ๔ ความวา่ ภกิ ษุพงึ ทาความศึกษาว่า เราไมเ่ ป็นไข้ จกั ไม่ถา่ ยอจุ จาระ ปสั สาวะ หรือบ้วนเขฬะ (นา้ ลาย) ลงในนา้ และปรบั อาบัติทุกกฎแก่ผูล้ ะเมดิ การทาตามพระวนิ ัย ชนิดสักแตท่ าตามสิกขาบทนนั้ ย่อมไม่เกิดผลในการพัฒนา ชุมชนแตอ่ ย่างใด เพราะปัญหาของชมุ ชนมีอยมู่ ากหลาย และสิกขาบทของพระวนิ ัยน้ีก็บญั ญตั ิขึ้น ตามหลังปัญหาท่ีเกิดขึน้ พระวนิ ัยจัดเปน็ ประโยชน์อยา่ งแท้จริงต่อเมื่อพระสงฆเ์ ข้าใจหลกั การ เหตผุ ล และเจตนารมย์ของพระวนิ ัยอยา่ งถอ่ งแท้จนสามารถประยุกต์ การกระทาของตนเขา้ กับสถาการณ์ที่ เปลย่ี นแปลงไปจากสมัยพุทธกาลได้อยา่ งเหมาะสม ไม่น้อยเกนิ ไป จนกลายเป็นผมู้ ีความคิดอันคบั แคบ และเถรตรง และไม่มากเกินไป จนกลายเป็นผ้แู ปรเปลยี่ นพระวินยั ตามอาเภอใจ และทาลายพระวินัย โดยไม่เจตนา ๖. หลักการบวชต้นไม้ เมื่อศึกษาถงึ เจตนาของศาสนาแลว้ จะเห็นได้ว่าพทุ ธศาสนานัน้ จะให้ใชท้ รัพยากรหรือให้ภกิ ษุอยู่ กบั สง่ิ แวดล้อมอย่างทะนุถนอมมากท่ีสดุ เพราะหากส่ิงแวดลอ้ มสญู เสยี ไป ชีวติ ก็อยไู่ ม่ได้เหมอื นกัน เพราะทกุ สง่ิ จะมีการอาศัยซง่ึ กนั และกัน ดังคาท่ี ผู้รูเ้ ขียนไว้วา่ \"น้าเปน็ สงิ่ แวดลอ้ มของโลก ปา่ เปน็ ส่ิงแวดล้อมของชา้ ง ถา้ นา้ แห้งหรือมี สารพษิ ปลามชี ีวติ อยู่ไม่ได\"้ ถา้ ปา่ หมดชา้ งก็ สญู พันธุ์ฉันใด มนษุ ย์ก็เช่นเดียวกันที่ตอ้ งการ สิ่งแวดลอ้ ม โลกมอี ายปุ ระมาณ ๔,๕๐๐ ล้านปี แตเ่ ดมิ ไม่มีนา้ ไม่มีออกซเิ จน วิวัฒนาการตามกาลเวลาทีล่ ่วงไปชา้ นาน จงึ เกิด สภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะแกช่ ีวิตจะเกดิ มขี ึน้ ได้ จงึ

71 เกิดส่ิงมีชีวติ ขึ้น เช่น พืช สตั วน์ านาพนั ธุ์ ชวี ติ ต่าง ๆ มวี วิ ฒั นาการอย่ชู ้านานจนเกดิ มมี นษุ ยข์ นึ้ เม่ือ ๑-๒ ล้านปี มนุษย์ตอ้ งอยู่กบั ธรรมชาตจิ ึงจะมีความสุข ถ้าอยู่อยา่ งแปลกแยกจากธรรมชาติ หรอื ธรรมชาตเิ สื่อมโทรมไปกจ็ ะขาดสิง่ แวดลอ้ มที่เป็นธรรมชาติ มีชีวติ อยู่กับสิ่งแวดล้อมเทียม ซึ่งมผี ลต่อ ความร้สู ึกนึกคิด สงิ่ แวดลอ้ มท่เี ปน็ พิษเปน็ ภยั เชน่ มสี ารเคมีเจือปนมากทาใหเ้ กิดอนั ตราย เชน่ เปน็ มะเร็ง มคี วามพิการสมองเส่ือม ภมู คิ มุ้ กันบกพร่อง เปน็ ตน้ การที่มนุษยเ์ ปน็ ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่ กลบั ทาลายธรรมชาตเิ สยี เอง แสดงวา่ มนุษยไ์ ม่เปน็ ธรรมชาติ การท่ีมนุษยเ์ ป็นธรรมชาติเหมอื นสงิ่ มีชีวิต อน่ื ๆ ก็เพราะสมองของมนุษย์ทาให้มนุษยโ์ ลภได้มากและมีความสามารถทีจ่ ะทาความโลภได้มาก มนุษยจ์ ึง ตอ้ งการการศึกษาท่ีจะทาใหเ้ ปน็ อันหน่งึ อันเดยี วกบั ธรรมชาติ หรอื ธรรมะ วิกฤตการณ์ สง่ิ แวดล้อมกาลงั เปน็ ปัญหาใหญ่ ต่อความอย่รู อดของมนุษยชาติ กระแสอนุรกั ษ์ สง่ิ แวดลอ้ มเป็นกระแสใหญ่ของโลก และจะใหญ่จนถึงปรัชญา ศาสนา วิทยาศาสตร์ สงั คมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง และความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศเข้ามาเชือ่ มโยง จึง หลีกเลีย่ งไม่พน้ ท่ีศาสนาจะต้องเกย่ี วข้องกับเรอื่ งน้ีทีด่ ี ทีส่ ุดคอื พระสงฆ์พยายามศึกษาใหเ้ ข้าใจเร่อื ง สิ่งแวดลอ้ มและวธิ แี กไ้ ขยิง่ เข้าใจไดล้ กึ ซ้ึงท่สี ดุ ได้เท่าไรย่งิ ดี จะได้สอนประชาชนได้ถกู ต้อง ในด้านปฏิบตั ิท่ี ใกล้ตัวทสี ุดคือ ภายในบรเิ วณวัดถา้ วดั ทกุ วดั ปลูกต้นไมใ้ ห้มากทสี่ ุด ใหส้ ะอาดและร่มรนื่ ร่มเยน็ ก็จะเป็นสปั ปายะใหค้ นอยากเข้าวัด เพยี งแต่ได้เข้ามาสู่สง่ิ แวดล้อมที่สงบ สะอาด ร่มเย็น คนท่เี หน่ือยเครยี ดจาก สภาพแวดลอ้ มนอกวัด จิตใจก็จะได้สงบ มีความสุดขน้ึ และใกล้พระมากข้นึ ธรรมชาตกิ เ็ ปน็ ธรรมะและธรรม โอสถอยา่ งหนึ่ง คณะสงฆ์ ผ้บู ริหารประเทศ ผูว้ ่าราชการจังหวัด ตลอดจนขบวนการอนรุ ักษ์สง่ิ แวดลอ้ ม ควร รว่ มกันรณรงค์ให้มกี ารสรา้ งสิ่งแวดล้อมทด่ี ีในวดั ทุกวดั ท่ัวประเทศ ๕. บทบาทความรบั ผิดชอบของชมุ ชนในการอนุรักษ์และพฒั นาสงิ่ แวดลอ้ ม ชุมชน หมายถงึ การที่บุคคลมาอยรู่ ว่ มกันเป็นกลมุ่ ภายในอาณาบรเิ วณท้องทีเ่ ดยี วกัน เปน็ หมู่บ้าน หน่งึ หรือเมือง ๆ หนึ่ง สมาชกิ ของชมุ ชนมีความสัมพนั ธ์กัน มีบทบาทหน้าทปี่ ระกอบภารกจิ ตามพน้ื ฐาน ความสามารถ ความตอ้ งการและความจาเป็นของตนชุมชนมีสถาบันทางสงั คมตา่ ง ๆ ทท่ี าหน้าทเ่ี กีย่ วกับ กระบวนการดาเนนิ ชวี ิตให้เป็นระเบียบแบบแผน กาหนดแนวปฏิบตั ใิ หแ้ กส่ มาชกิ ของชุมชน ซึง่ สถาบนั ทาง สังคมเหล่าน้ีจะมีความสัมพนั ธ์ซ่งึ กันและกนั การที่ชุมชนใช้ประโยชนจ์ ากส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติได้ก่อใหเ้ กิดผลกระทบท่เี ป็น ปญั หามากมาย ซงึ่ ปัญหาเหล่านจ้ี ะตอ้ งได้รบั การแก้ไขโดยเร็วเพ่ือมิให้ทวคี วามรุนแรงมากข้ึน การแก้ไข ปญั หาส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาตใิ นชุมชนนั้น ชมุ ชนโดยสถาบนั ทางสงั คมของชุมชนทเ่ี กีย่ วข้อง จะต้องพยายามทาใหส้ มาชิกทกุ คนของชุมชนตระหนักถึงปัญหาและหนา้ ท่ีความรบั ผิดชอบทีจ่ ะต้องดูแล รักษาและแก้ไขให้ส่ิงแวดล้อมในชุมชนดีขนึ้ ในอนั ท่ีจะอนุรักษส์ งิ่ แวดลอ้ มให้อยู่ในสภาพที่ดีเพื่อคนทุกคนใจ ชมุ ชน เพ่ือสว่ นรวม เพือ่ ตวั เองและครอบครัวและเพื่ออนุชนรนุ่ หลงั ถา้ สมาชกิ ในชมุ ชน ทกุ คนสานึกใน หน้าท่ขี องตนเองทม่ี ีต่อสิ่งแวดลอ้ มของชุมชนโดยยอมเสยี สละความสุขสบายบางสว่ น คานึงถึงประโยชน์ ของชมุ ชนเปน็ ส่วนใหญ่ชุมชนก็จะมีสิ่งแวดลอ้ มทีด่ อี นั จะส่งผลใหส้ มาชกิ ของชมุ ชนมีความสุขและปลอดภัย หนา้ ที่ความรับผิดชอบของชมุ ชนในการอนุรกั ษ์สิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติประกอบด้วย ๑.ปลกู ฝังเจตคตทิ ่ถี ูกตอ้ งเกี่ยวกับการอนุรักษ์สงิ่ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาตใิ ห้แกเ่ ยาวชน และสมาชกิ ของชุมชน

72 ๒.เผยแพร่ความรแู้ ละประชาสมั พนั ธใ์ หส้ มาชิกของชมุ ชนได้ทราบถงึ สภาพการณ์ของสิ่งแวดลอ้ ม และทรัพยากรธรรมชาติ ๓. ควบคุมดูแลรกั ษาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาตใิ นชมุ ชน ๔. ประสานงานและรว่ มมือกันในการแกไ้ ขปัญหาเก่ียวกบั สิง่ แวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ ๕. วางแผนการนาทรัพยากรธรรมในชุมชนมาใชอ้ ยา่ งรอบคอบ เพื่อให้มีทรัพยากรใช้ไดเ้ ป็น เวลานาน ๖. ส่งเสรมิ การศึกษาวิจยั เก่ียวกับการเสริมและรักษาคุณภาพส่งิ แวดลอ้ ม หนา้ ท่ีความรบั ผิดชอบของชุมชนในการอนรุ กั ษส์ ง่ิ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติดังกล่าว อาจ พจิ ารณารายละเอียดของหนา้ ท่ีความรับผิดชอบตามองคก์ ร หรอื หนว่ ยงานที่เปน็ ตัวแทนหรือศูนย์กลาง ดาเนินงานของสถาบนั ทางสังคมได้ ก่อนมมี นษุ ย์ ธรรมชาตทิ งั้ หลายดารงอยอู่ ยา่ งไดด้ ลุ ยภาพ เมื่อมีการ เสยี ดุลยภาพ เช่น โดนดาวหางขนาดใหญ่พุ่งชน หรอื มีการเปล่ยี นแปลงอุณหภูมิของผิวโลกอยา่ งมาก กจ็ ะมีความกระทบกระเทือนต่อสิ่งมีชวี ิตทัง้ หลาย ชวี ิตบางชนดิ สญู พันธ์ุไป เช่น ไดโนเสารส์ ญู พนั ธหุ์ ลาย สิบลา้ นปกี อ่ นมีมนษุ ย์ แต่ละคร้งั เม่ือเสียสมดุล ธรรมชาตกิ พ็ ยายามปรับตวั ไปส่สู มดลุ ใหม่ เมื่อเกดิ มี มนษุ ยข์ ึ้นในเวลามิชา้ มนุษย์ทาลายธรรมชาตอิ ยา่ งรนุ แรง เช่น ทาลายป่า ทาลายดนิ ทาลายน้า ทาลาย อากาศ ทาลายบรรยากาศของโลก วกิ ฤตการณ์ของส่ิงแวดล้อมทาให้ผ้รู ู้พยากรณ์ได้วา่ จะเปน็ สาเหตใุ ห้ มนุษยส์ ญู พนั ธ์ุไปในอนาคต ๖. บทบาทความรบั ผิดชอบของรฐั ต่อการอนรุ ักษ์และพัฒนาส่งิ แวดล้อม รัฐบาลในฐานะองค์กรทางการเมอื งและการปกครองของชุมชนระดบั ประเทศ นับเป็นแกนกลางท่ี สาคัญในการอนุรกั ษส์ งิ่ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เพราะรัฐบาลมีอานาจหน้าท่ีในการบรหิ าร บา้ นเมือง ดาเนินการแก้ไขปัญหาทั้งด้านเศรษฐกจิ สังคม เพ่ือธารงไว้ซ่ึงประเทศชาตแิ ละความเป็นอยู่ทีด่ ี ของประชาชน สาหรบั ปัญหาสิง่ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติกจ็ ดั เปน็ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ ของประชาชน ตลอดจนสง่ ผลกระทบต่อเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศ ตัวอยา่ งทเ่ี หน็ ไดช้ ดั ก็คือ การขาด แคลนทรัพยากรพลังงานภายในประเทศทาให้รัฐบาลต้องซื้อน้ามันจากต่างประเทศเปน็ เสยี ดุลการคา้ ทาให้ การขยายตวั ของอตุ สาหกรรมทต่ี อ้ งใชพ้ ลงั งานในการผลิตเปน็ ไปได้ยาก นโยบายและมาตรการการพัฒนาสิ่งแวดลอ้ มแห่งชาติ การพัฒนาทางดา้ นเศรษฐกจิ และการเพ่ิมจานวนอยา่ งรวดเรว็ ของประชากร ตลอดจนการใช้ เทคโนโลยที ีไ่ มเ่ หมาะสมในกระบวนการผลติ ทางด้านเกษตร อตุ สาหกรรมและอ่นื ๆ ไดก้ ่อใหเ้ กดิ ผลกระทบ อนั เปน็ ปัญหาทางด้านสง่ิ แวดล้อมขน้ึ เปน็ อย่างมากในช่วงระยะเวลาทีผ่ ่านมาดงั ปรากฏได้ชดั ทง้ั ในรูปของ ทรัพยากรธรรมชาติท่เี สือ่ มโทรม ส้นิ เปลือง และมีจานวนลดนอ้ ยลงอยา่ งรวดเร็ว และปัญหามลพษิ ทาง สภาวะแวดลอ้ มต่าง ๆ มลพษิ ทางอากาศ มลพิษทางนา้ และปญั หาสิง่ แวดลอ้ มของชุมชน สาระสาคญั ของนโยบายและมาตรการการพัฒนาสง่ิ แวดล้อมแหง่ ชาติอนั เป็นการวางกรอบการ ดาเนนิ งานของรัฐในด้านส่ิงแวดล้อมน้ี มีหลกั การสาคัญ ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ คอื ๑. เป็นนโยบายท่มี แี นวความคดิ เนน้ หนักในการป้องกนั การกระทาท่กี ่อให้เกิดการทาลาย สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ทรพั ยากรธรรมชาติ เพอื่ การควบคุมมลพษิ มากกวา่ ทีจ่ ะเป็นการกตามแก้ไข ปญั หา

73 ๒. เป็นการวางนโยบายที่มไิ ด้มกี ารแยกการพิจารณาทางด้านปริมาณและคุณภาพออกจากกนั ทั้งน้ี เพอ่ื ให้เกดิ ดุลยภาพของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสงั คม และการปรับปรุงคุณภาพของส่ิงแวดลอ้ ม โดย แนวนโยบายนีจ้ ะสอดคล้องกับนโยบายทางด้านพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมและนโยบายของรฐั ในด้านอืน่ ๆ ๓. เป็นนโยบายทก่ี าหนดให้มีการพิจารณาผลกระทบทางด้านสง่ิ แวดล้อมของโครงการพัฒนาตา่ ง ๆ โดยให้มกี ารคานึงตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกของการจดั ทาโครงการ ทัง้ น้ี เพ่อื ให้เกดิ ความเสียหายต่อ สภาพแวดลอ้ มน้อยท่ีสุด ๔. เปน็ นโยบายท่ีกาหนดขอบเขต บทบาท และอานาจหน้าที่ของหนว่ ยงานทกุ ระดับตงั้ แต่ ระดับชาติ ระดบั ภาค และระดบั ท้องถน่ิ ใหป้ ระสานสอดคล้องกันและสามารถปฏิบัตภิ ารกจิ ได้อยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ ๕. เป็นนโยบายที่ไดม้ กี ารวางแนวทางในด้านส่งเสรมิ สนับสนนุ การศึกษาวจิ ยั เพ่ือหาทางปอ้ งกัน และแก้ไขปัญหาสง่ิ แวดลอ้ มในดา้ นตา่ ง ๆ ทกุ ด้าน ตลอดจนด้านการสง่ เสริมความรู้ความเขา้ ใจและการ ประชาสัมพนั ธท์ างดา้ นสง่ิ แวดล้อมแกป่ ระชาชนทั่วไปด้วย อย่างไรก็ตาม โดยท่ีงานส่งเสริมและรกั ษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมจาต้องดาเนินการต่อเน่อื งไม่หยุดย้งั นโยบายน้จี งึ มีความจาเป็นที่ต้องปรับปรงุ แก้ไขให้เหมาะสมกบั สภาวการณ์ทเ่ี ปลยี่ นแปลงไป โดยอาจจะมี การแก้ไข ปรับปรงุ เพิ่มเติมตามโอกาสและความจาเปน็ ๑.หน้าท่ีความรบั ผดิ ชอบของรฐั หน้าที่ความรบั ผดิ ชอบของรัฐในการอนรุ ักษส์ ิง่ แวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาตินั้นเกี่ยวข้องกับ การบริหารส่ิงแวดลอ้ มใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ ตอ่ ประเทศและประชาชน รัฐไดก้ าหนดใหม้ ีหน่วยงานท่ี รับผิดชอบเปน็ ผู้ดาเนินการ คือคณะกรรมการส่ิงแวดล้อมแหง่ ชาติและสานักงานคณะกรรมการสง่ิ แวดลอ้ ม แห่งชาติ คณะกรรมการส่ิงแวดลอ้ มแห่งชาติ เปน็ องค์กรทีจ่ ัดตั้งขั้นเพือ่ ให้มหี นา้ ที่รับผดิ ชอบดา้ นนโยบาย และการประสานงานเพอ่ื แก้ไขปัญหาส่ิงแวดลอ้ มของชาติโดยเฉพาะ ประกอบด้วยบุคคลจากหลายฝา่ ย ด้วยกนั คือ รองนายกรฐั มนตรซี ง่ึ นายกรฐั มนตรีมอบหมายเปน็ ประธานกรรมการปลดั กระทรวงกลาโหม ปลดั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลดั กระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลดั กระกระทรวง สาธารณสุข ปลดั กระทรวงอตุ สาหกรรม เลขาธิการคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวฒุ เิ กี่ยวกับส่งิ แวดล้อมไม่เกนิ หา้ คนและผแู้ ทนสถาบัน องค์การอสิ ระ หรอื บคุ คลอ่นื อกี ไม่เกนิ หา้ คน ซึ่งคณะรฐั มนตรีแต่งตงั้ เป็นกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการสง่ิ แวดล้อมแหง่ ชาติเป็นกรรมการ และเลขานุการ มีหนา้ ท่ดี ังนี้ ๑. เสนอนโยบายและความเห็นเกย่ี วกับการส่งเสรมิ และรักษาคณุ ภาพส่งิ แวดล้อมตอ่ คณะรฐั มนตรี ๒. พิจารณากาหนดแนวทางปฏิบัตติ ามนโยบายในการทาแผน หรือโครงการทเ่ี กีย่ วข้องกับคุณภาพ สง่ิ แวดล้อม ๓. พจิ ารณาใหค้ วามเหน็ เก่ียวกับโครงการของสว่ นราชการ รฐั วสิ าหกิจและเอกชนที่อาจมีผล เสียหายต่อคุณภาพสิง่ แวดล้อมต่อคณะรัฐมนตรี หรือสว่ นราชการท่เี กย่ี วข้อง ๔. เสนอแผนพฒั นาส่งเสริมและรักษาคณุ ภาพส่ิงแวดล้อมต่อคณะรัฐมนตรี ๕. ใหค้ าแนะนาต่อนายกรฐั มนตรใี นเรือ่ งที่จะประกาศกาหนดตามมาตรา ๑๗ หรอื ออกคาสัง่ ตาม มาตรา ๒๐

74 ๖. เสนอแนะมาตรฐานคุณภาพส่ิงแวดลอ้ มทสี่ ว่ นราชการใดมอี านาจกาหนดตามกฎหมายตอ่ ส่วน ราชการนัน้ รวมท้งั เสนอแนะมาตรการในการป้องกัน และรกั ษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมในเร่ืองตา่ ง ๆ ต่อสว่ น ราชการที่เกย่ี วข้อง ๗. เสนอแนะการแก้ไขเพ่มิ เติม หรอื ปรับปรงุ กฎหมายเกย่ี วกบั การป้องกันและรักษาคุณภาพ สง่ิ แวดลอ้ มต่อคณะรัฐมนตรี ๘. ประสานงานระหวา่ งส่วนราชการ รฐั วสิ าหกจิ และเอกชนในเร่อื งทเ่ี ก่ียวกบั คุณภาพสิ่งแวดล้อม ๙. เสนอความเห็นต่อนายกรัฐมนตรี เพือ่ พิจารณาสัง่ การในกรณีทีป่ รากฏวา่ ส่วนราชการหรือ รฐั วสิ าหกิจฝ่าฝืน หรือไมป่ ฏบิ ัติตามกฎหมาย หรือระเบยี บ หรือข้อบังคบั เกยี่ วกับการรกั ษาคณุ ภาพ ส่ิงแวดลอ้ ม อนั อาจทาให้เกิดความเสยี หายอยา่ งร้ายแรง ๑๐. เสนอรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์คุณภาพสง่ิ แวดลอ้ มของประเทศตอ่ คณะรัฐมนตรีอยา่ งน้อย ปลี ะหนึง่ ครัง้ ๑๑. พิจารณาเรื่องอ่นื ใดเกี่ยวกบั คุณภาพสงิ่ แวดลอ้ มทีค่ ณะรฐั มนตรีหรอื นายกรัฐมนตรีขอให้ พิจารณา ๑๒. ปฏิบตั กิ ารอนื่ ใดท่กี ฎหมายกาหนดใหเ้ ปน็ หนา้ ท่ีของคณะกรรมการสงิ่ แวดล้อมแห่งชาติ นอกจากนี้ พระราชบัญญัติส่งเสรมิ และรกั ษาคุณภาพสิง่ แวดลอ้ มแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซ่งึ แก้ไขจากพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสง่ิ แวดล้อม พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตร ๑๒ ไดก้ าหนดให้ จัดตงั้ หนว่ ยงานรบั ผิดชอบดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม ประกอบดว้ ย ๑. สานกั งานคณะกรรมการสง่ิ แวดลอ้ มแหง่ ชาติ เป็นส่วนราชการท่ีมีฐานะเป็นกรม สงั กัด กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพลังงาน มีหนา้ ทค่ี วามรบั ผดิ ชอบ ดังนี้ ๑. ปฏบิ ตั งิ านตามทีค่ ณะกรรมการส่งิ แวดล้อมแหง่ ชาติมอบหมายให้ ๒. ศึกษาวเิ คราะห์สภาวะและคุณภาพส่งิ แวดล้อม เพ่อื ใช้ในการกาหนดมาตรฐานคุณภาพ สิ่งแวดล้อมแหง่ ชาติ ตลอดจนหาแนวทางปรับปรุงคุณภาพส่งิ แวดล้อมแห่งชาติ ๓. พิจารณาเสนอต่อคณะกรรมการส่ิงแวดล้อมแห่งชาติให้ใช้มาตรการใด ๆ ในอันที่จะส่งเสรมิ และ ปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดลอ้ มแหง่ ชาติ ๔. ตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติ หรอื การบังคับใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายระเบยี บและ ขอ้ บงั คับเกย่ี วการป้องกนั และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมของส่วนราชการ รัฐวสิ าหกจิ และเอกชน เพื่อ รายงานต่อคณะกรรมการส่งิ แวดล้อมแหง่ ชาติ ๕. รบั เรอ่ื งราวรอ้ งทกุ ข์ทีบ่ ุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับความเดือดรอ้ นหรือเสียหายเน่ืองมาจากการ กระทาอนั มีผลกระทบกระเทือนตอ่ คณุ ภาพสิ่งแวดล้อมมาพิจารณาหาทางแกไ้ ข ๖. ทาหนา้ เปน็ ศูนย์กลางในการประสารงาน และประชาสัมพนั ธด์ ้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมท้ัง ภายในประเทศและกบั ต่างประเทศ ๗. สนบั สนุน หรอื ทาการศกึ ษา วิจัย และเผยแพรป่ ัญหาคุณภาพสงิ่ แวดล้อมรว่ มกับ สถาบนั การศึกษาและหน่วยงานอน่ื ๘. ส่งเสรมิ และสนบั สนุนให้มีการศกึ ษาเร่ืองคุณภาพสงิ่ แวดล้อมในทุกระดับการศกึ ษา ๙. ปฏบิ ัติการอ่นื ใดตามท่ีกฎหมายกาหนดให้เป็นหน้าทขี่ องสานกั งานคณะกรรมการสง่ิ แวดลอ้ ม แหง่ ชาติ

75 ๒. กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มีอานาจหน้าที่เก่ยี วกับการควบคุมตรวจสอบ ปอ้ งกนั มใิ หเ้ กิดภาวะส่ิงแวดล้อมเป็นพษิ อนั เน่ืองมาจากน้าท้งิ อากาศเสยี ฝนุ่ ส่งิ ปฏิกูล เขม่า ควนั กลิน่ ความร้อน และเสยี งจากโรงงาน โดยมหี นา้ ท่ีรบั ผิดชอบ ดงั นี้ ๑. ค้นคว้าวจิ ัยทางดา้ นเทคนิคเก่ียวกับน้าท้ิง และอากาศเสียจากโรงงานต่าง ๆ ๒. พจิ ารณาทาเล สถานทตี่ ้ัง ขยาย ยา้ ยโรงเรยี นทมี ีทง้ิ และอากาศเสยี เพ่ือให้เหมาะสมกับ สภาพแวดลอ้ ม ๓. พจิ ารณาการคานวณแบบแปลนเพือ่ ปรบั คุณภาพน้าทงิ้ การกาจดั สิ่งเปน็ พษิ หรืออันตรายตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้ถกู ต้องตามหลกั วชิ าการ ๔. กาหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขเพือ่ ควบคมุ คุณภาพน้าทงิ้ และสิ่งเปน็ พษิ ต่าง ๆ ก่อน จะอนุญาตใหต้ ้งั ขาย ย้ายโรงงาน ๕. ใหค้ าปรึกษา แนะนาการออกแบบระบบปรบั คณุ ภาพน้าท้ิงและสิ่งเป็นพิษตา่ ง ๆ ให้ถูกตอ้ งตาม หลกั วิชาการ ๖. ทาการควบคุมโรงงานตามฝง่ั แมน่ า้ ๗. สารวจศกึ ษาข้อมลู รวมทงั้ สั่งการแก้ไขอตุ สาหกรรมประเภทต่าง ๆ เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็น พิษอนั เกดิ จากการประกอบกิจการนน้ั ๆ ๘. ติดตามผลจากการแนะนาและการแกไ้ ขเพอ่ื ให้เปน็ ไปตามประกาศกฎหระทรวงและ พระราชบญั ญตั โิ รงงาน ๓.กรมทรพั ยากรธรณี กระทรวงอตุ สาหกรรม มหี น้าท่ีความรบั ผดิ ชอบเก่ยี วกับการสารวจ ธรณีวทิ ยา ทาแผนทีธ่ รณีวิทยารากฐาน สารวจหาแหลง่ แร่ เชือ้ เพลงิ ธรรมชาติ เผยแพร่ความร้ทู าง ธรณวี ทิ ยาแกบ่ ุคคลท่ัวไป ๔. กรมพฒั นาที่ดนิ กระทรวงมหาดไทย ดาเนนิ ในด้านการพัฒนาปรับปรงุ ท่ีดนิ ตลอดอนุรกั ษด์ นิ และน้า สารวจทาแผนการใช้ที่ดนิ วิเคราะห์ จาแนกดิน สารวจ วางแผนและกาหนดนโยบายท่ีดนิ ๕. กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มหี น้าทคี่ วามรับผดิ ชอบในการสง่ เสรมิ พัฒนาการ ประมงและการบริหารการใช้ทรัพยากร ส่งเสรมิ การวจิ ัยเพ่ือการพฒั นาการประมง และการอนุรกั ษ์ ทรัพยากรประมง ๖. กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหนา้ ทร่ี บั ผดิ ชอบในการบรกิ ารทรัพยากรป่าชายเลน ควบคมุ เขตอทุ ยานแหง่ ชาติทางทะเล ป้องกันและรกั ษาทรัพยากรปา่ ไม้ กาหนดเขตคุม้ ครองเพื่ออนุรกั ษ์ สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ อนุรกั ษ์พันธส์ุ ัตว์ปา่ และต้นนา้ ลาธาร ๗. กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยงานปอ้ งกนั และกาจัดศัตรูพืชมีหน้าท่ี ให้คาแนะนาและชว่ ยเหลือเกษตรกรในการปอ้ งกันและกาจัดศัตรูพืชตามหลักวิชาการเกษตร ๘. สานักงานปฏบิ ตั ทิ ี่ดินเพ่อื เกษตรกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดาเนินการปฏริ ูปทด่ี ิน เพอ่ื การเกษตรทั้งของรัฐซึง่ ส่วนใหญอ่ ยใู่ นเขตปา่ สงวนและเอกชน โดยได้ดาเนนิ การประกาศเขตปฏิรูปท่ีดิน ซ้ือและเวนคนื ทีด่ นิ จัดทด่ี ินเพ่ือการเกษตรชว่ั คราวและถาวร ๙. กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหนา้ ทร่ี ับผดิ ชอบในการควบคมุ ทดสอบ คุณภาพ และวเิ คราะหว์ จิ ัยเก่ียวกบั สารเป็นพิษทีใ่ ช้ในการเกษตร ๑๐. กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข มีสว่ นในการอนุรกั ษ์สงิ่ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ โดยเหน็ ความสาคญั ของการกาจัดขยะมูลฝอยจากโรงพยาบาลท่ีมเี ช้อื โรคติดต่อปะปนได้มนี โยบายให้

76 โรงพยาบาลและสถานพยาบาลในสงั กัดทาการแยกขยะติดเชือ้ ออกจากขยะมลู ฝอยชนดิ อื่น ๆ เพอื่ ทาลาย โดยใชเ้ ตาเผาขยะ ๑๑. สานักงานพลงั งานปรมาณูเพือ่ สันติ ใหบ้ ริการเทคนิคทางนิวเคลยี ร์แก่งานเกษตรชีววทิ ยา ทางการแพทย์และการอตุ สาหกรรมสาหรบั บุคคลภายนอกท่ัวไป ผลติ หรือสัง่ สารกมั มนั ตรังสจี าก ตา่ งประเทศ และทาการศึกษาวิจัยการแพร่กระจายของกัมมนั ตรงั สี ตรวจตราความปลอดภยั ในการใช้ กมั มันตรงั สีในประเทศ และทาการศึกษาวจิ ัยการแพร่กระจายของกมั มันตรงั สใี นส่งิ แวดล้อม มนษุ ย์ ตลอดจนพชื และสตั ว์ที่ใช้เปน็ อาหาร ๑๒. กรุงเทพมหานคร โดยกองอนามยั สิ่งแวดลอ้ มมงี านรับผิดชอบงานหนงึ่ คือ ตรวจวดั คุณภาพ อากาศภายในกรงุ เทพมหานคร โดยตั้งสถานวี ัดปริมาณคาร์บอนมอนอกไซดใ์ นบรรยากาศกองควบคุม อาหารสารวจการแพรก่ ระจายของสารเปน็ พิษในอาหาร สานักการระบายน้าทาหนา้ ทีบ่ าบัดและควบคมุ น้า เสยี นอกจากน้ี กรงุ เทพมหานครยังรับผิดชอบงานเก็บรวมรวม และกาจดั ขยะมลู ฝอยและสิง่ ปฏิกลู อีกดว้ ย ๑๓. สถาบันวจิ ัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย จัดตั้งขึน้ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์เพ่อื ส่งเสรมิ การศึกษา คน้ คว้า เผยแพร่ข้อมูล เพ่ือประโยชนส์ าหรับการวางแผนพฒั นา ป้องกนั และแก้ไข ตลอดจนการอนุรักษ์สิ่งแวดลอ้ ม และทาหนา้ ท่ีเปน็ ศูนย์กลางประสานงาน สง่ เสริมคน้ คว้า วิจัย ด้านปัญหา คณุ ภาพของส่งิ แวดล้อม ๑๔. สถาบนั การศกึ ษาระดับอุดมศกึ ษา ทเ่ี ปิดสอนวชิ าเกยี่ วกับสง่ิ แวดลอ้ มและ ทรพั ยากรธรรมชาติ วิศวกรรมสุขาภิบาล นอกจากนี้ ยังมหี น่วยงานอื่นทเี่ ก่ยี วข้องกบั การอนุรักษส์ งิ่ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น คณะกรรมการป้องกนั อบุ ัติภยั แหง่ ชาติ คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ สานักผังเมือง สานกั งานจัดและ พัฒนาท่ีดนิ ชายทะเล กรมพัฒนาท่ดี ิน ฯลฯ และได้มีการจดั ต้งั หน่วยสงิ่ แวดล้อมในหน่วยงานท่ีเกยี่ วข้องกบั การวางแผนบรหิ ารทรัพยากรธรรมชาตแิ ละการควบคุมภาวะมลพิษ โดยเร่มิ ต้นกบั ๖ หน่วยงานทจี่ าเป็น เรง่ ด่วน ได้แก่ กรมชลประทาน กรมทางหลวง สานกั งานพลงั งานแหง่ ชาติ กรมเจ้าทา่ กรมทรพั ยากรธรณี และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ๗. บทบาทความรบั ผิดชอบขององคก์ รต่างๆต่อการอนรุ ักษแ์ ละพัฒนาส่งิ แวดล้อม ๑. สถาบนั เศรษฐกิจ เปน็ สถาบนั ทางสังคมทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั กิจกรรมขัน้ พ้นื ฐานเพื่อความอยู่รอด ของมนุษย์ ได้แก่ การผลิตสนิ คา้ และบริการ การแจกจาหน่ายและการบริโภค โดยมีอาชีพทรพั ยส์ ิน การ ก้ยู มื การลงทนุ เปน็ แบบอยา่ งพฤติกรรม มีบุคคลตา่ ง ๆ เป็นผูด้ าเนนิ การ เช่น เจ้าของโรงงาน เจ้าของทดี่ ิน พ่อค้า คนกลาง กรรมกร ชาวนา และมไี รน่ าเรือกสวน โรงงานตลาด ธนาคารเปน็ ศนู ยก์ ลางดาเนินงาน สถาบนั เศรษฐกจิ มีบทบาทในการรณรงค์และสง่ เสริมการอนุรักษ์สงิ่ แวดลอ้ มและ ทรัพยากรธรรมชาติ พรอ้ มท้ังไม่ทาลายสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ ๒. สถาบนั การศึกษา เปน็ สถาบนั ทางสังคมทีท่ าหน้าท่อี บรมสมาชกิ ของชุมชนให้รูจ้ ักวถิ ีทาง ดาเนนิ ชีวติ ในสงั คม รู้ระเบยี บ แบบแผน กฎเกณฑข์ องสังคม ถา่ ยทอด ปรบั ปรุและสร้างสรรค์วัฒนธรรม พัฒนาคณุ ภาพของสมาชิกในชมุ ชนอันเป็นปจั จัยการพัฒนาเศรษฐกจิ พัฒนาเอกตั บคุ คลเลือ่ นฐานะของ บคุ คลในสังคม บริการทางวชิ าการ ศึกษาวจิ ยั และคน้ คว้า โดยมแี บบอย่างพฤตกิ รรมท่เี ห็นได้ชัดเจน เช่น การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนการเคารพเช่ือฟังครู อาจารย์ เป็นต้น

77 สถาบันการศึกษามผี ู้สอนและผเู้ รยี นเปน็ บุคคลทเ่ี ก่ียวขอ้ งและมีโรงเรยี น วิทยาลยั เปน็ ตัวแทนของสถาบนั ทาหนา้ ทีใ่ ห้การศึกษา สถานศกึ ษาตา่ ง ๆ เป็นตัวแทนของสถาบนั การศึกษาโดยมีครทู ่มี หี น้าท่ีรบั ผดิ ชอบในการจดั การศึกษาให้กบั สมาชกิ ของชุมชน หากพจิ ารณาถึงบทบาทหน้าท่ีความรับผิดชอบของโรงเรียนและ สถานศกึ ษาต่อการอนรุ ักษ์สง่ิ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ จะพบว่ามบี ทบาทหนา้ ที่ทส่ี าคญั ดังน้ี ๑ ปลกู ฝังเจตคตเิ ก่ียวกับการอนรุ กั ษ์ส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติใหแ้ ก่เยาวชน ของชุมชน เพื่อใหเ้ ยาวชนเหน็ คุณค่าของสิง่ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ มีความสานึกรับผิดชอบต่อ สงิ่ แวดล้อม ๒ ฝกึ อบรมเยาวชนให้มีนสิ ัยรักความสะอาด มีระเบยี บ ประหยดั การใช้ทรัพยากร ๓ เผยแพรค่ วามร้แู ละประชาสัมพนั ธ์เกย่ี วกับสง่ิ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาตใิ ห้แก่ เยาวชนและชุมชน ๔ ศึกษาวิจยั เพื่อหาความร้หู รอื ข้อมลู ในการแก้ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรม สถาบันการศึกษา มบี ทบาทในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสงิ่ แวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาติ ปลูกฝังความสานกึ รับผดิ ชอบใหแ้ กส่ มาชกิ ของชมุ ชน ศกึ ษาวจิ ัยเกย่ี วกับสิ่งแวดล้อมและ ทรพั ยากรธรรมชาติ เปน็ แหล่งขอ้ มูลและบรกิ ารวิชาการแก่ชุมชน ๓. หนว่ ยงานเอกชน ในทนี่ หี้ มายถึง บริษัท ห้างร้าน โรงงานอตุ สาหกรรมที่ทาการคา้ ขายผลิต และแจกจา่ ยสนิ คา้ และบริการให้แก่ชมุ ชน หน่วยงานเอกชนเหลา่ นม้ี ีหน้าที่ความรบั ผดิ ชอบต่อการอนรุ กั ษ์ ส่งิ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ดงั นี้ ๑ ดาเนินการจัดตง้ั โรงงาน ร้านคา้ ใหถ้ ูกต้องตามระเบียบข้อบังคบั ๒ ควบคมุ การผลติ และแจกจ่ายสินค้าไม่ให้ปลอ่ ยท้ิงของเสียออกสสู่ ิง่ แวดล้อมของเสยี ออก สูส่ ่ิงแวดลอ้ มของชมุ ชน เชน่ ควบคมุ กระบวนการผลติ ให้มีของเสยี น้อยที่สดุ รบั ผดิ ชอบทจี่ ะลงทุนจดั ตั้ง ระบบกาจดั ของเสียออกจากควนั และนา้ ทิง้ ของโรงงาน ๓ ควบคมุ มาตรฐานของสนิ ค้าทีผ่ ลิตไม่ให้มีสารพิษที่เป็นอันตรายเจอื ปนอยู่ ๔ ให้ความรว่ มมอื และสนบั สนนุ เกยี่ วกับการรณรงคเ์ พ่อื อนุรกั ษส์ ิง่ แวดล้อมและ ทรพั ยากรธรรมชาติแกช่ ุมชน เชน่ ให้ความช่วยเหลอื ดา้ นกาลังเงนิ ในการจดั กิจกรรม การจดั ทาป้ายรณรงค์ ดา้ นสิ่งแวดล้อม การจัดทาสวนหย่อมบนเกาะกลางถนนและสแ่ี ยกตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ๕ ศกึ ษาผลกระทบของการดาเนินงานของหนว่ ยงานว่า มผี ลกระทบต่อส่ิงแวดลอ้ ม อยา่ งไร หรือไม่ ๖ ไมท่ าใหส้ ภาพแวดล้อมสกปรกกรงุ รัง เช่น จัดวางสินคา้ ไวบ้ นทางเท้า ทิ้งเศษวสั ดุท่ี เหลอื ใชไ้ ว้ตามถนนสาธารณะ จดั ตง้ั ปา้ ยโฆษณาไมเ่ ป็นระเบยี บและกีดขวางทาง เปน็ ตน้ ๔. สถาบนั ศาสนา เป็นสถาบนั ทางสงั คมทช่ี ว่ ยยดึ เหน่ียวจิตใจของสมาชกิ ในชุม มีอิทธิพลตอ่ การ กาหนดพฤติกรรมของมนุษย์เปน็ อันมาก ชว่ ยใหเ้ กดิ และชว่ ยสนบั สนนุ บรรทัดฐานและค่านยิ มของสังคม กล่าวคอื สถาบนั ศาสนาทาหน้าทีอ่ บรมแสละให้แนวทางในการประพฤติปฏิบัติท่ีดงี ามให้แก่สมาชกิ ของ ชุมชน สถาบันศาสนา ซึ่งมีหน้าทีอ่ บรมและใหแ้ นวทางในการประพฤติปฏบิ ตั ิที่ดงี ามใหแ้ กส่ มาชิกของ ชมุ ชน กม็ ีสว่ นช่วยปลูกฝงั ความสานึกรับผดิ ชอบต่อสง่ิ แวดลอ้ มให้สมาชิกของชมุ ชนโดยอาจแทรกไว้ในคาสั่ง สอน หรอื จัดกิจกรรมที่สง่ เสริมอนรุ กั ษส์ ิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติขึ้นในชุมชน

78 ๕. สถาบันการเมอื งการปกครอง เปน็ สถาบนั ทางสังคมทีค่ อยควบคุมพฤติกรรมของสมาชกิ ใน ชุมชนใหด้ าเนินไปตามแบบอยา่ งพฤติกรรมท่ีเป็นมาตรฐาน เพ่ือความเปน็ ระเบยี บเรยี บร้อยและสงบสุขของ ชุมชนนั้น ๆ สถาบันการเมืองการปกครองมรี ัฐบาลเปน็ ศนู ย์กลางในการดาเนินงานตามหน้าท่ี และมีตารวจ ทหาร ข้าราชการพลเรือนเป็นบุคคลผูด้ าเนินงาน สถาบันการเมืองการปกครอง มีบทบาทในการควบคุมดูแลสง่ิ แวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติในชมุ ชน โดยกาหนดกฎระเบียบ ขอ้ บังคับให้สมาชกิ ของชมุ ชนปฏบิ ัติ ๖. เทศบาล เป็นตัวแทนการดาเนินของสถาบันการปกครองของชมุ ชน ทาหน้าที่บริหารและดแู ล ความเรียบรอ้ ยในเขตเมือง สาหรับกรงุ เทพมหานครเรียกเทศบาลว่า กรุงเทพมหานครเทศบาลถือว่า เป็น องค์การทีม่ ีหน้าความรับผิดชอบตอ่ การอนรุ กั ษ์ส่ิงแวดลอ้ มในเมอื งโดยตรงหน้าทค่ี วามรับผดิ ชอบดังกลา่ ว ไดแ้ ก่ ๑. ควบคุมดแู ลการจดั เกบ็ ขยะมลู ฝอยและสิ่งปฏิกลู เพ่ือนาไปกาจดั ใหถ้ ูกต้อง ๒. ดแู ลทาความสะอาดถนนหนทางและสาธารณสถาน ๓. ควบคมุ ดแู ลบา้ นเมืองใหเ้ ป็นระเบียบเรยี บร้อย เพ่ือใหเ้ หน็ หน้าท่ีรบั ผิดชอบของเทศบาลท่มี ตี ่อการอนรุ ักษ์สงิ่ แวดลอ้ มได้ชัดเจนข้ึน จะไดเ้ สนอ ขอ้ บญั ญัติกรงุ เทพมหานคร เรอ่ื งการรักษาความสะอาดและความเปน็ ระเบียบเรยี บร้อยในเขต กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๓ ดังน้ี โดยทเี่ ปน็ การสมควรมีขอ้ บัญญตั ิกรุงเทพมหานคร เร่ือง การรักษาความสะอาดและความเป็น ระเบยี บเรยี บรอ้ ยในเขตกรุงเทพมหานคร ๗. สือ่ มวลชน มบี ทบาทสาคัญต่อการอนรุ กั ษส์ ่งิ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ในสภาพที่ ประชาชนหรอื สมาชิกสว่ นใหญ่ของชุมชนยังขาดความรคู้ วามเข้าใจเกีย่ วกับสงิ่ แวดล้อมและ ทรัพยากรธรรมชาติและมักกระทาสง่ิ ท่ีทาลายสงิ่ แวดลอ้ มและทรพั ยากรธรรมชาติโดยรู้เท่าไม่ถงึ การณ์ หนา้ ท่ีความรับผิดชอบของสื่อมวลชนต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็น ดงั น้ี ๑. เผยแพร่ความรู้ ข้อเทจ็ จริงเกย่ี วกับส่ิงแวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาติ ๒. เสนอขา่ วและข้อเทจ็ จริง กรณที ี่จะก่อให้เกิดผลเสยี ตอ่ ส่งิ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เพ่ือ กระตนุ้ ให้ผทู้ ี่เกย่ี วข้องดาเนินการแก้ไขปญั หาได้ทันตอ่ เหตุการณ์ ๓. รณรงคแ์ ละสรา้ งเสริมความรูส้ ึกรบั ผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่สมาชกิ ของชุมชน แทท้ ่จี รงิ แลว้ สมาชิกทุกคนของชมุ ชน หนว่ ยงาน และองค์การต่าง ๆ มีส่วนตอ้ งรบั ผิดชอบต่อการ อนรุ ักษส์ ิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาตใิ นชุมชนท้งั สิ้น จะต่างกนั กท็ ร่ี ะดบั ของบทบาทของแต่ละคน แต่ ละหน่วยวา่ เกี่ยวเน่อื งกบั ขอบข่ายหน้าทีข่ องตนเพยี งใด ๘. หลกั การอนุรกั ษ์และพัฒนาสิง่ แวดลอ้ ม การอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติ เปน็ หนา้ ที่ของทุกคนทตี่ ้องศกึ ษาทาความเข้าใจและช่วยกัน อนรุ ักษ์ เพื่อมิใหเ้ สื่อสูญ ไปมากกวา่ นี้ บางครั้งคนเรารู้และเข้าใจหลักและวิธกี ารในการอนุรักษ์แตย่ ังขาด ความจริงใจในการปฏบิ ตั ิ หลกั การอนรุ กั ษ์เบื้องต้นทที่ ุกคนทาได้ คือ ๑.การนากลับมาใชใ้ หม่ ๒.การใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์มากทสี่ ดุ ๓.การใชใ้ ห้ไดน้ านท่ีสุด

79 ๔.การหาสิ่งอืน่ มาทดแทน ๕.การบูรณะซ่อมแซม ๖.การฟื้นฟูความเสื่อมโทรม ๗.การลดอนั ตรายจากสารพิษ ทรพั ยากรธรรมชาตนิ ้นั มมี ากมายหลากหลายประเภท บางประเภทอาจเสื่อม บางประเภทยังคงความ สมบรู ณ์ ทรพั ยากรที่ควรเอาใจใส่ตอ่ การอนรุ กั ษ์ คือ ๑. การอนรุ กั ษด์ นิ ดนิ เป็นทรพั ยากรทีส่ าคัญ เพราะเป็นท่ีอยู่อาศัยและเปน็ ท่ีผลิตพืชพันธ์ธัญญาหารแก่มนุษย์ แต่ เนื่องจากในปัจจบุ ันได้มีการใชท้ ่ีดนิ บ่อยครงั้ เกินไป ทาให้ดนิ ไม่สามารถปรับสภาพความสมบรูณไ์ ดต้ าม ธรรมชาติ และการก่อใหเ้ กิดการทาลายความอดุ มสมบรูณ์ของดิน เช่น การเผาทาลายปา่ การชะลา้ ง พงั ทะลายหนา้ ดิน และการเพาะปลูกท่ีไม่ถูกวิธี ฯลฯ การอนรุ ักษ์ดนิ หมายถึง การใชท้ ี่ดนิ อยา่ งถูกต้อง การป้องกนั การเส่ือมโทรมของดิน การสงวน นา้ เพ่ือใหด้ นิ เกิดความชุ่มช้นื และการปรบั ปรงุ คณุ ภาพดนิ เพ่อื ใหส้ ามารถนามาใช้ประโยชนไ์ ดอ้ ีกมี หลกั การคือ ๑.การใชท้ ่ีดินอยา่ งถกู ต้อง การปลูกพชื ควรตอ้ งคานงึ ถงึ ชนดิ ของพืชท่ีเหมาะสม กบั คุณสมบัติของ ดิน การปลกู พชื และการไถพรวนตามแนวระดับ เพื่อป้องกนั การชะล้างพังทะลายของหนา้ ดิน นอกจากการใชท้ ี่ดินเพ่ือการเพาะปลูกดังกลา่ วแลว้ ควรสงวนรักษาทด่ี นิ ท่ีมีความอุดมสมบรูณ์ไวใ้ ชใ้ นการ เพาะปลูกโดยเฉพาะ ไม่ควรนาไปใชใ้ นกจิ การอื่น ๆ เชน่ โรงงามอุตสาหกรรม ท่ีอยู่อาศยั ฯลฯ เพราะ ที่ดนิ ท่มี ีความอุดมสมบรณู ์และเหมาะสมในการเพาะปลกู มีอยู่จานวนนอ้ ย ๒. การปอ้ งกนั การเส่อื มโทรมของดิน การป้องกนั การเส่ือมโทรและการถกู ชะลา้ งพังทะลาย ของดนิ ได้แก่ การปลกู พชื บังลม การปลูกพชื คลมุ ดิน การปลูกพืชหมุนเวียนการไถพรวนตามแนวระดับ การทาคันดนิ ปอ้ งกันการไหลชะล้างหน้าดิน และรวมท้ังการไมเ่ ผาปา่ หรอื การทาไรเ่ ลื่อนลอย ๓. การใหค้ วามชุมชืน่ แก่ดิน การจดั ส่งนา้ เข้าส่ทู ่ดี ิน การระบายนา้ ในดนิ ท่ีมีน้าขงั ออก และการ ใชว้ สั ดุ เช่น หญ้าหรือฟางคลมุ หน้าดนิ จะช่วยให้ดนิ มีความอดุ มสมบูรณ์ ๔. การปรับปรงุ บารุงดนิ การเพิ่มธาตุอาหารให้แกด่ ิน เชน่ การใส่ปยุ๋ พชื สดปุ๋ยดอก ปุ๋ยวทิ ยาศาสตร์ การปลูกพชื ตระกลู ถวั่ การใสป่ นู ขาวในดินทีเ่ ปน็ กรด การแกไ้ ขพน้ื ทีด่ ินเคม็ ด้วยการ ระบายน้าเข้าทดี่ นิ ฯลฯ ๒. การอนรุ กั ษ์นา้ นา้ เปน็ ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ี่สาคัญอีกชนิดหนง่ึ ที่ส่ิงมีชวี ติ ไม่ว่ามนษุ ย์ สตั ว์ หรือพชื จาเปน็ ที่จะต้องใชใ้ นการดารงชวี ิต แต่มนษุ ยไ์ ดใ้ ชน้ ้าในกจิ การตา่ งๆ อย่างกว้างขวาง ได้ก่อใหเ้ กดิ การขาด แคลนนา้ ในบางพน้ื ที่ เเละกอ่ ใหเ้ กิดสารพิษในนา้ ทาใหไ้ ม่สามารถใชน้ า้ ได้ดงั เช่นเเต่ก่อน จงึ จาเปน็ ที่ จะต้องมีการอนุรกั ษ์นา้ ดงั น้ี ๑. การป้องกนั น้าเสยี การไมท่ ิง้ ขยะ สิ่งปฎกิ ูล และสารพิษลง ในแหล่งน้าน้าเสยี ท่ี เกดิ จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล ควรมกี ารกาจัดสารพิษท่จี ะก่อให้เกิดอนั ตรายก่อนทจี่ ะทิ้งลง แหล่งน้า

80 ๒. การใช้น้าอยา่ งประหยัด การใชน้ ้าอย่างประหยัดนอกจากจะลดค่าใชจ้ า่ ยเกี่ยวกบั ค่านา้ ลงได้แลว้ ยงั ทาให้ปริมาณนา้ เสียทจี่ ะทงิ้ ลงแหล่งน้ามปี ริมาณน้อยลง และป้องกันการขาดแคลนนา้ ได้ ๓. การสงวนน้าไว้ใช้ ในบางฤดูหรอื ในภาวะทมี่ ีน้าเหลอื ใช้ ควรมีการเกบ็ น้าไวใ้ ช้ เช่น การสร้างโอ่งนา้ ทาบอ่ เกบ็ น้า ขดุ ลอกแหลง่ นา้ ฯลฯ นอกจากน้ีการสร้างเขอ่ื น อ่างเก็บนา้ การทาคูคลอง ส่งน้า ระบายนา้ ยังสามารถนาน้า ไปใช้ในการเพาะปลูกและผลติ พลงั งานไฟฟ้าได้ดว้ ย ๔. การหาแหล่งนา้ ในบางพนื้ ท่ีที่ขาดเเคลนนา้ จาเป็นทีจ่ ะต้องหาเเหล่งน้าเพม่ิ เติม เพื่อใหส้ ามารถมีน้าไวใ้ ช้ทัง้ ในครัวเรอื นและในการเกษตรได้อย่างพอเพียง ปจั จบุ ันการนานา้ บาดาลข้ึนมา ใชก้ าลังแพร่หลายมากขึ้น แต่ในการนาน้าบาดาลขึ้นมาใชม้ ากเกนิ ไปก็อาจเกดิ ปญั หาแผ่นดนิ ทรุดขึน้ ได้ ๕. การนานา้ เสยี กลับมาใช้ น้าทีไ่ ม่สามารถใชไ้ ด้ในกิจการอย่างหนึ่งอาจใชไ้ ด้ในอีก กิจการหนึ่ง เชน่ นา้ ทิ้งจากการลา้ งภาชนะอาหาร สามารถนาไปรดต้นไม้ได้ หรือน้าที่ใชใ้ นโรงงาน อตุ สาหกรรม ถา้ นามาปรบั ปรงุ เเกไ้ ขก็อาจนาไปใชใ้ นโรงงานอตุ สาหกรรมได้อกี เปน็ ตน้ ๓. การอนุรกั ษป์ า่ ไม้ การสญู เสียป่าไม้ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อบรรยากาศรอบโลก และก่อการดารงชีวติ ของ ประชากร โดยเฉพาะในประเทศกาลงั พัฒนามากจงึ ก่อใหเ้ กดิ ความตระหนักถงึ การทจี่ ะต้องป้องกนั รกั ษา และฟืน้ ฟูสภาพป่าไม้ขึน้ มาใหม่ ดงั น้ันแนวทางในการอนุรักษป์ ่าไมจ้ งึ ประกอบด้วย ๑. การยกเลกิ การใหส้ ัมปทานป่าไม้ ในอดตี ท่ีผา่ นมาการให้สัมปทานปา่ ไม้ได้ก่อใหเ้ กิด การสญู เสยี พนื้ ทป่ี ่าไม้ของประเทศเปน็ จานวนมาก จนทาให้ธรรมชาตขิ าดความสมดุลย์ กอ่ ให้เกดิ อทุ กภัย ข้ึนทีภ่ าคใต้ โดยเฉพาะจงั หวดั สรุ าษฏรธ์ านแี ละนครศรธี รรมราชเมื่อเดือนพฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๓๑ ทาให้รัฐบาลต้องมีคาสัง่ ยกเลกิ การให้สมั ปทานป่าไม้ท่ัวประเทศซ่ึงจะเป็นผลดีต่อการฟ้นื ฟู และ ป้องกนั การสญู เสียพนื้ ท่ปี ่าไม้ทม่ี ีประสิทธิภาพทางหนงึ่ ๒. การปอ้ งกันการบกุ รกุ ทาลายป่า การบกุ รุกทาลายป่าเพอื่ ใช้พน้ื ทบ่ี รเิ วณป่าทาการ เพาะปลูกหรือการลกั ลอบตดั ไม้ไปทาประโยชนไ์ ดม้ สี ่วนท่ีทาใหป้ ริมาณป่าไม้ลดลงมากเช่นกัน การบกุ รุก ทาลายป่าจึงก่อให้เกดิ ผลกระทบตอ่ ชวี ิตความเป็นอยูข่ องประชาชนโดยส่วนรวม การปฏบิ ัติตามกฎหมาย เเละการไม่ลกั ลอบเขา้ ไปบุกรุกพนื้ ท่ีป่าจึงเปน็ การอนรุ ักษ์ป่าไม้ไดท้ างหน่งึ ๓. การป้องกันไฟไหม้ป่า ในแต่ละปี ปา่ ไม้ได้ถูกเผาทาลายท้งั โดยการเกิดตาม ธรรมชาติและโดยการจดุ ไฟเผาโดยประชาชนเปน็ จานวนมาก โดยเฉพาะในชว่ งปลายฤดูหนาวถึงตน้ ฤดูแลง้ ทาใหต้ ้นไม้ทุกชนิดถูกทาลายหมด รวมท้ังสตั ว์ปา่ ก็ขาดท่ีอย่อู าศัยและแหลง่ อาหาร การรว่ มมือป้องกนั และสกัดกั้นไม่ใหเ้ กดิ ไฟปา่ จะเปน็ ผลดที ่ีจะทาให้ตน้ ไมใ้ นป่าไดเ้ จรญิ เตบิ โตเปน็ ปา่ ไม้ทสี่ มบรณู ์ต่อไป ๔. การใชไ้ ม้อย่างประหยดั เนื่องจากได้มีการยกเลิกสัมปทานการทาไม้ไปแลว้ และ ความจาเป็นทจี่ ะต้องดารงรักษาปา่ ไม้เอาไว้ การใชไ้ มใ้ นกิจการตา่ ง ๆ เชน่ กอ่ สร้างทอ่ี ยอู่ าศัยและเครื่องใช้ ชนดิ ต่าง ๆ จึงควรเป็นอย่างประหยัด และใชไ้ มใ้ หเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สุดด้วย ๕. การใชว้ ัสดอุ ่ืนทดแทน การก่อสร้างบา้ นเรือนและเคร่ืองใช้ชนดิ ต่างๆ ๖. การปลกู ป่าทดแทน ๔. การอนรุ ักษ์สัตวป์ ่า

81 ปัจจบุ นั สัตว์ปา่ หลายชนดิ ได้สูพนั ธไุ์ ป หลายชนดิ กาลังจะสูญพนั ธุ์ เนอื่ งจากป่ามีจานวนลดลง ต้นไมใ้ หญ่ถกู ทาลาย ทาใหส้ ัตวไ์ ม่มที ่ีอยู่อาศัย จึงควรตระหนักในหลักการอนุรักษ์ดงั น้ี ๑.การไมล่ า่ สัตวป์ ่า ๒.การบารงุ รักษาป่า ๓.การใหค้ วามรักและเมตตาต่อสตั ว์ ๔.การเพาะพันธเ์ุ พ่ิม ๕.การปลอ่ ยสตั วค์ ืนส่ธู รรมชาติ การอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติ เป็นมาตรการสาคญั ทจี่ ะทาใหม้ นุษย์ได้มีปจั จัยพนื้ ฐานใน การดารงชพี ต่อไปในอนาคต แตก่ ารอนุรักษ์ดังกล่าวจะต้องใชเ้ งินลงทุนจานวนมาก และจะต้องได้รบั ความ รว่ มมอื จากประชาชนทง้ั หมดของประเทศ รว่ มกันอย่างจริงจัง รกั ษาและฟ้นื ฟสู ภาพแวดล้อมท่เี สื่อมโทรม ใหก้ ลบั คนื สู่สภาพเดิม สรุปทา้ ยบท ทุกคนมบี ทบาทสาคัญต่อการอนุรักษส์ งิ่ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เพราะทกุ คนมีส่วนใช้ และทาลายสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาติอยตู่ ลอดเวลา เม่อื จานวนประชากรมนุษยม์ ีมากขน้ึ ก็ยิ่งเพ่มิ ปรมิ าณการใช้ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละปล่อยของเสียออกมาสสู่ ่งิ แวดล้อมมากขึน้ และหากเกนิ ขีดจากัด ความสามารถในการรองรบั ประชากรของสงิ่ แวดล้อมแลว้ มนษุ ย์ก็ไมส่ ามารถจะดารงอยู่ได้ ดังน้นั จงึ เปน็ หนา้ ท่ีและความรับผิดชอบของบุคคลแต่ละบคุ คลทจ่ี ะต้องทาการอนรุ ักษส์ ิ่งแวดล้อมและ ทรพั ยากรธรรมชาติ โดยเรม่ิ ต้นท่ีตวั เราเองและครอบครวั ที่บ้านก่อนเป็นอนั ดับแรก ทกุ คนมีบทบาท มีหนา้ ทที่ ่ีแตกตา่ งกนั แตท่ ุกคนมหี นา้ ที่ในการอนรุ กั ษ์สง่ิ แวดล้อมและ ทรพั ยากรธรรมชาตเิ หมอื นกัน ๒ ลกั ษณะคือความสานกึ ในฐานะของผใู้ ชท้ รัพยากรธรรมชาติ และในฐานะ ที่จะต้องปฏบิ ัติตามระเบียบข้อบงั คับและกฎหมายในการอนุรักษส์ งิ่ แวดล้อม คาถามท้ายบท ๑.จงอธิบายความบทบาทและความสาคัญของความรบั ผดิ ชอบตอ่ การอนุรักษแ์ ละพัฒนา สงิ่ แวดลอ้ ม ๒.บุคคลและครอบครวั มบี ทบาทตอ่ การอนรุ ักษแ์ ละพฒั นาสิง่ แวดล้อมเปน็ อย่างไร ๓.พระสงฆ์มบี ทบาทต่อการอนรุ กั ษ์และพัฒนาสง่ิ แวดล้อมเปน็ อยา่ งไร ๔.โรงเรยี นและชมุ ชนมบี ทบาทต่อการอนรุ ักษ์และพัฒนาส่ิงแวดล้อมเป็นอย่างไร ๕.หลักการในการอนรุ ักษ์และพฒั นาสิ่งแวดลอ้ มทาอย่างไร

82 บทท่ี ๖ การมสี ่วนรว่ มของโรงเรยี นและชุมชนในการ จัดการสิง่ แวดลอ้ ม ขอบข่ายการศึกษา ๑.ความหมายและความสาคัญของการมสี ว่ นรว่ ม ๒.การจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรยี น ๓. การบริหารจัดการส่งิ แวดลอ้ มอาคารประกอบอ่ืนๆ ๔.การจดั การสุขาภิบาลส่ิงแวดลอ้ มในโรงเรียนและชุมชน ๕.หลักการมีสว่ นรว่ มในการบริหารจดั การสงิ่ แวดลอ้ ม การมีสว่ นรว่ ม เป็นกระบวนการทมี่ ีความสาคญั และจาเปน็ มากท่ีสดุ ในสงั คมปัจจุบัน เพราะสภาพ หลายอยา่ งได้เปลีย่ นแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นทางสงั คมเศรษฐกิจ การเมือง หากการดารงชีวติ เปน็ ไปอยา่ งเรยี บ งา่ ยด่ังเชน่ ชวี ิตในอดีตกค็ งไม่จาเป็นมากทจี่ ะต้องการความมสี ่วนรว่ ม เพราะสามารถดาเนนิ การได้โดยลาพัง หากแตก่ ารมีสว่ นรว่ มเพ่ือสรา้ งสรรคส์ งิ่ อนั เปน็ ประโยชน์ตอ่ สังคมโดยรวม เชน่ การรว่ มแสดงความคิดเหน็ การรว่ มพัฒนา หรอื การร่วมดาเนินการสงิ่ ใดสี่งหนงึ่ อนั เปน็ ของสาธารณะ เชน่ การสร้างถนน การรว่ มใน กิจกรรมชมุ ชน หรือแม้กระท่ังเร่ืองของการพัฒนาระบบสาธารณปู โภค สาธารณปู การตอ่ สงั คม ลว้ นตอ้ ง อาศัยการมสี ่วนรว่ ม แต่การจะไดร้ บั ความร่วมมือของปจั เจกบุคคลน้ันกเ็ ปน็ เรื่องยาก หากกจิ กรรมหรือ โครงการนน้ั ๆ ไม่ชัดเจน อันเปน็ การทจ่ี ะทาใหช้ นุ ชนตัดสินใจเขา้ มามีสว่ นรว่ ม ด้วยความเต็มใจ สมคั รใจ และเห็นประโยชนร์ ่วมกนั ๑.ความหมายและความสาคัญของการมีสว่ นรว่ ม ความหมายของการมีสว่ นร่วม คนถือวา่ ป็นศนู ยก์ ลางหลักในการพัฒนา การที่จะทาใหช้ มุ ชนมีการพฒั นาไปในทางท่ีดี การมสี ่วน รว่ มเป็นหวั ใจสาคัญ ทั้งการพัฒนาในเมืองและการพัฒนาชนบท ไม่มีประเทศไหนทพี่ ัฒนาโดยปราศจากการ ร่วมมือของประชาชน การมีส่วนร่วม (participation) จงึ เป็นผลทม่ี าจากการเหน็ พ้องต้องกนั ของคนในเร่ือง ของความตอ้ งการและทิศทางของการเปล่ียนแปลง การมสี ่วนรว่ มในการพัฒนาชุมชนเปน็ สงิ่ สาคัญทีจ่ ะทาให้ชุมชนเกดิ การพัฒนา ซงึ่ มีปจั จัยหลาย อย่างท่ีทาให้ชมุ ชนเกดิ การพัฒนา เช่น การมีส่วนรว่ ม หลกั การพัฒนาชุมชน กระบวนการพัฒนาชมุ ชน เป็น ต้น ส่งิ เหล่าน้จี ึงเป็นเรือ่ งทส่ี าคัญทตี่ ้องใช้ในงานพฒั นาชมุ ชน และคนก็มสี ว่ นสาคัญท่สี ุด เพราะคนคือหวั ใจ สาคัญของการพัฒนา โดยเฉพาะสง่ ทส่ี ง่ ผลกระทบต่อการดาเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรือ่ งสังคม การเมือง เศรษฐกจิ และที่ใกลต้ วั คือเรื่องของปากท้องการทามาค้าขาย ซึ่งต้องอาศยั ปัจจยั แวดล้อมหลายอยา่ ง คือ ผลิตภณั ฑ์ ตลาด และผใู้ ชบ้ ริการ มนั จงึ เป็นวฏั จักรของการดาเนนิ ชีวติ เป็นชวี ติ แบบพึง่ พาหรืออาจเรยี กว่า การมีส่วนรว่ มแหง่ การดาเนินชวี ติ 1 1 sites.google.com/site/yuuuuymatsupha

83 การมสี ว่ นร่วม อาจหมายรวมถงึ การมีสว่ นร่วมทง้ั ทางกาย ทางจติ ใจ และอารมณข์ องบุคคลหนึง่ ใน สถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ท่ีมผี ลกระทบตอ่ ตนเองหรือสังคม ผลของการเก่ียวขอ้ ง อาจนาไปสู่การ พฒั นา ปรับปรงุ หรือเปล่ยี นแปลงไปในทางที่ดีขน้ึ ปจั จยั ทีมีผลตอ่ การมีส่วนรว่ ม คอื ความศรทั ธาทีเ่ กิดขึ้น ตอ่ ความเช่ือถือ หรอื ความเกรงใจที่มีต่อบุคคลที่เคารพ นบั ถือหรือมเี กยี รติยศหรือตาแหนง่ จึงทาใหเ้ ข้าไป มสี ว่ นรว่ ม ลกั ษณะของการมสี ว่ นร่วม 2 นักวิชาการหลายทา่ นได้กล่าวถงึ ลักษณะแนวทางของการมีส่วนร่วม ไว้ดงั น้ี การร่วมคดิ หมายถึง การมีสว่ นร่วมในการประชมุ ปรกึ ษาหารอื ในการ วางโครงการวิธีการตดิ ตาม ผล การตรวจสอบและการดูแลรกั ษา เพื่อให้กิจกรรม โครงการสำเร็จผลตามวตั ถุประสงค์ การร่วมตดั สนิ ใจ หมายถงึ เมือมีการประชมุ ปรึกษาหารือเรยี บร้อยแลว้ ต่อมาจะต้องร่วมกนั ตดั สนิ ใจเลือกกจิ กรรมหรือแนวทางทเี ห็นว่าดที ีสดุ หรือเหมาะสมทสี่ ดุ การรว่ มปฏิบัตติ ามโครงการ หมายถึง การเข้ารว่ มในการดาเนนิ งานตาม โครงการต่างๆ เช่น ร่วมออกแรง รว่ มบรจิ าคทรัพย์ เป็นต้น การรว่ มติดตามและประเมนิ ผลโครงการ หมายถึง เมือโครงการเสร็จสนิ แลว้ ได้เข้ามามีส่วนรว่ ม ในการตรวจตราดูแล รักษาและประเมินผลประโยชนท์ เี กิดขนึ จาก โครงการ มณฑล จันทร์แจม่ ใส ไดก้ ล่าวถึงลกัษณะของการมีสว่ นร่วมไวว้ ่า การ มสี ่วนร่วมของบุคคล จะต้องมแี ละเกิดขน้ึ มาโดยตลอด ทัง้ น้เี ร่มิ ตั้งแตข่ น้ั ตอนการมีสว่ น รว่ มการวางแผนโครงการ การบริหาร จดกั ารดาเนนิ งานตามแผน การเสยี สละกาลงั แรงงานของบุคคล ตลอดจนวสดั ุอปุ กรณ์ กาลงั เงินหรอื ทรัพยากรทมี ีอยู่ อย่างไรก็ตามการมีส่วนร่วมของบคุ คล ย่อมเกิดจากพ้นื ฐาน คือ เป็นบคุ คลทจี่ ะต้องมี ความสามารถทจ่ี ะเข้ารว่ ม กลา่ วคือ จะต้องเปน็ ผมู้ ีศักยภาพทจี ะเข้ารว่ มในการด้าเนินกิจกรรมต่างๆ อาทเิ ช่น จะต้องมีความสามารถใน การค้นหาความต้องการ วางแผนการบรหิ ารจดัการ การบรกิ ารองคก์ รตลอดจนการใช้ ทรัพยากรอยา่ งค้มุ ค่า เป็นบคุ คลทีมีความพรอ้ มทีเขา้ มามีสว่ นรว่ ม กลา่ วคอื ผ้นู ัน้ จะต้องมีสภาพ ทางเศรษฐกจิ วัฒนธรรม และ กายภาพทเี ปิดโอกาสใหเ้ ข้ามามสี ว่ นรว่ มได้ . เป็นบุคคลทมี ี ความประสงค์ทจี่ ะเขา้ ร่วม กล่าวคือ เปน็ ผู้ท่ีมีความเตม็ ใจสมัครใจทีจะเขา้ รว่ มเล็งเห็นผลประโยชนข์อง การเข้ารว่ ม จะต้องไม่เป็นการบังคบั หรือ ผลักดนั ใหเ้ ข้าร่วม โดยทตี นเองไมป่ ระสงคจ์ ะเข้ารว่ ม เปน็ บคุ คลทตี่ ้องมีความเป็นไปได้ท่จี ะเข้ารว่ ม กลา่ วคือ เปน็ ผู้มีโอกาสทจี ะ เข้ารว่ มซึงถอื วา่ เปน็ การ กระจายอ้านาจให้กับบคุ คลในการตัดสนิ ใจ และกาหนด กิจกรรมทตี นเองต้องการในระดับทเ่ี หมาะสม บคุ คลจะตอ้งมีโอกาสและมีความเป็นไป ได้ทจี่ ะจดั การดว้ ยตนเอง สาหรบั ลักษณะการมสี ่วนร่วมของบุคคลโดยท่ัวไปแล้วยงั มีปจั จัยอีกหลายอยา่ ง ท่ีเกยี่ วข้องกับการ มสี ว่ นร่วม ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพครอบครัว ระดบั การศึกษา สถานภาพทางสงั คม อาชพี และราย ไ้ด้ เป็นต้น อยา่ งไรก็ตาม การท่บี คุ คลจะเขา้ ไปมีสว่ นร่วมในลักษณะใด จะดว้ ยสมัครใจหรือบังคบั แตล่ ะคน ย่อมจะมีรูปแบบ และวธิ ีการในการมีสว่ นร่วม บางคนอาจร่วมคดิ แสดงความเหน็ หรอื บางคนอาจร่วม ดาเนินการในกิจกรรมหรือโครงการท่ีตนเองถนัด หรืออาจร่วมในการสรุปผลหรอื การนาเสนอ เหล่านี้ลว้ น แตเ่ ปน้ ความหลากหลาย ทส่ี าคญั คือ ทาอย่างไรจงึ จะก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมครั้งนน้ั ๆ 2 ธนาภรณ์ เมทณสี ดดุ ี http://digital_collect.lib.buu.ac.th

84 รปู แบบและข้ันตอนของการมีสว่ นรว่ ม นกั วิชาการได้กาหนดรปู แบบและขันตอนของการมสี ่วนรว่ ม ของบุคคล ไวว้ ่า องคป์ ระกอบของ รปู แบบของการมีสว่ นร่วม มีอยู่ ๓ ดา้ น ดงั นี้ ๑.การมสี ว่ นรว่ มจะตอ้งมีวตถั ุประสงคหร์ ือจุดมงุ่ หมายทีชดัเจน การใหบ้้คคล เข้ารว่ มกจิ กรรมจะ ตอง้ มวี ตัถุประสงค้และเปา้ หมายทชี ดเั จนว่า จะท้ากิจกรรมนันๆ ไป เพืออะไร ผ้เข้ารว่ มกิจกรรมจะได ต้ดัสินใจถกู วา่ ควรจะเข้ารว่ มหรอื ไม่ ๒.การมีส่วนร่วมจะตอ้งมีกจิ กรรมเป้าหมาย การใหบ้ ุคคลเข้ามามีสว่ นร่วมใน กิจกรรมจะตอ้ง ระบลุ กษั ณะของกิจกรรมว่ามีรูปแบบและลกัษณะอย่างไร เพอืให้ ผ้เข้ารว่ มกจิ กรรมสามารถตดัสนิ ใจได้ว้า จะเข้ารว่ มกจิ กรรมหรือไม่ ๓.การเข้าร่วมจะตอง้ มีบุคคลหรือกลุ่มเปา้ หมาย การทีจะให้บุคคลเข้ามามสี ่วน ในรว่ มกิจกรรมนนั จะตอง้ ระบุกลุ่มเปา้ หมายด้วย อยา่ งไรก็ตามโดยทัวไปบุคคล กลุ่มเป้าหมายมกัถูกจ้ากดั โดยกจิ กรรม และวตถั ปุ ระสงคข์องการมีสว่ นร่วมอยู่แล้วเป็น พนื ฐาน ศิรชิ ัย กาญจนวาสี ไดก้ าหนดรูปแบบและปจั จยัทมี ีอิทธพิ ลตอ่ การมี สว่ นร่วมของบคุ คลในองคกร์ ไวด้ งั นี้ 3 การมีส่วนรว่ มในการประชุม การมีส่วนร่วมในการเสนอปญั หา การมีสว่ นรว่ มในการปฏบิ ัติกิจกรรมต่างๆ ขององคกร์ การมสี ว่ นรว่ มตดสั นิ ใจในการเลอื กแนวทางในการแก้ไขปัญหา การมีสว่ นรว่ มในการประเมนิ ผลในกิจกรรมต่างๆ การมีสว่ นร่วมในการไดร้ บั ประโยชน ์ วรรณา วงษ์วานชิ ไดก้ าหนดรปู แบบของการมีสว่ นร่วมของบุคคลไว้ เป็น ลักษณะ ดังน้ี คือ การมีส่วนรว่ มอยา่ งแท้จรงิ คือ รปู แบบทีประชาชนได้เข้ามามสี ่วนรว่ ม หรือ เข้ามาเก่ียวขอ้ งรว่ ม ตัดสินใจในการดำเนินงานแต่ละขั้นตอน จนกวา่ การดำเนินงานจะบรรลผุ ลเสร็จสมบูรณ์ การมสี ว่ นรว่ มทีไมแ่ ทจร้ ิง คือ รปู แบบทปี ระชาชนได้เข้ามามสี ว่ นร่วม หรอื เข้ามาเกย่ี วข้องใน ลักษณะหน่ึงลักษณะใด หรอื ในข้ันตอนใดข้ันตอนหนึ่ง เท่านั้น โดยแทจ้ ริงแล้ว กระบวนการมสี ว่ นรว่ มไม่ อาจสามารถกระทำไดใ้ นทุกประเดน็ แตก่ ารมีสว่ นรว่ มของบคุ คลจะมอี ยใู่ นเกือบทุกกจิ กรรมของสงั คม ทง้ั นี้ขน้ึ อยกู่ บั ความ สนใจและประเด็นการพจิ ารณาที่อยภู่ ายใต้เงอื่ นไขพ้ืนฐานการมสี ่วนรว่ มว่า จะต้องมี อิสรภาพ มคี วามเสมอภาค และมคี วามสามารถในการเข้าร่วมกิจกรรม เพ่ือให้การมี ส่วนร่วมดำเนินไปได้ อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ๒. การจดั การส่ิงแวดลอ้ มในโรงเรยี น การจัดการส่งิ แวดล้อมในโรงเรียน หมายถงึ การดาเนินการ ควบคมุ ดูแลแก้ไขปรับปรุง สง่ิ แวดลอ้ มตา่ ง ๆ ในโรงเรียนให้อยใู่ นสภาพท่ีดแี ละถกู สุขลักษณะ เพื่อช่วยสง่ เสรมิ สภาพการเรยี นการ สอน และให้สามารถป้องกนั โรคภัยไขเ้ จ็บแกน่ ักเรียน ชว่ ยลดอบุ ัตเิ หตุที่เกิดขึ้นและชว่ ยให้นักเรียนมี สขุ ภาพอนามัยทดี่ ี ตลอดจนมสี ุขนสิ ยั ทด่ี ีอีกด้วย 3 ศริ ิชยั กาญจนวาส.ี http://digital_collect.lib.buu.ac.th

85 โรงเรยี นซ่งึ เป็นสถานที่ให้การศกึ ษาและอบรมแกน่ ักเรยี น นับว่ามีความสาคญั ต่อสขุ ภาพทง้ั ทาง ร่างกายและจิตใจของนักเรยี นมาก โรงเรียนเปรยี บเสมือนบ้านแหง่ ทสี่ องของนกั เรียน เนือ่ งจากโรงเรยี น เป็นสถานท่ที ี่เด็กจะต้องใชช้ วี ติ อยูว่ นั ละไมต่ า่ กวา่ ๖ – ๗ ชั่วโมงเปน็ เวลานาน ๖-๑๒ ปี ดังนัน้ สิง่ แวด ล้มในโรงเรียนจึงมีอิทธพิ ลต่อสุขภาพอนามยั ของเด็กมาก ถา้ โรงเรียนจัดสิ่งแวดลอ้ มให้ดียอ่ มจะช่วย ส่งเสรมิ คุณภาพชีวติ ของนักเรียนในทางทีด่ ีขนึ้ ตรงกนั ข้ามถา้ ส่ิงแวดลอ้ มในโรงเรยี นไม่ดีเท่ากบั เปน็ การ บน่ั ทอนชวี ติ จิตใจของนักเรียนไปด้วย การจัดสิง่ แวดลอ้ มในโรงเรยี นให้สะอาดถกู สุขลกั ษณะย่อมเปน็ แบบยา่ งทีด่ ีแก่นักเรยี นผ้ปู กครอง และชมุ ชนจะได้นาไปใชใ้ นการจดั ส่ิงแวดล้อมในบา้ นเรือนและชมุ ชน สงิ่ ทีน่ กั เรยี นได้พบเห็นในโรงเรียน ต้งั แต่ในวยั เดก็ จะประทบั ใจอยูใ่ นความทรงจาของเดก็ ตลอดไปเท่ากบั เป็นการสรา้ งเสริมสุขนสิ ยั แกเดก็ ไป ชัว่ ชวี ติ นอกจากน้โี รงเรยี นยังเปน็ ท่ีปลูกฝังจติ สานกึ หรือค่านิยมท่ีดีเก่ียวกับการจัดการสง่ิ แวดล้อม เช่นการ มาโรงเรยี น สิง่ สกปรกทัง้ หลายทเ่ี กดิ จากการท้ิงขยะไมเ่ ปน็ ที่เป็นทางหรือขยะอนื่ ๆ หากปลูกฝังใหน้ กั เรยี น รูจ้ กั การจัดเก็บ การแยกแยะขยะ และการจัดการเชน่ การนาไปเผา ท้ิงลงหลมุ หรือการนาไปขาย เปน็ ต้น การจดั สิง่ แวดล้มในโรงเรยี น ต้องควรคานึงถงึ หลัก ๔ ประการ คือ ๑ ความปลอดภยั จากอบุ ตั ิเหตุ การทีเ่ ดด็ จะต้องเวลาอยใู่ นโรงเรยี นแต่ละวนั เป็นเวลาหลาย ช่ัวโมงย่อมมีโอกาสเกดิ อุบตั ิเหตขุ ึ้นได้ ถ้าโรงเรียนจดั สภาวะสง่ิ แวดล้อมไมป่ ลอดภัยอุบัติเหตทุ ่ีพบบ่อยใน โรงเรียนมีลักษณะตา่ ง ๆ กัน ได้แก่ การพดั ตกหกล้ม การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์อบุ ตั ิเหตุการจาก ทรดุ โทรมของอาคารเรยี นและสงิ่ ก่อสร้างในโรงเรียน อบุ ัตเิ หตุจากจราจรบริเวณทางเข้าออกของโรงเรยี น และภายในโรงเรียน อุปกรณ์กีฬา อปุ กรณ์ในสนามเด็กเล่น ซ่ึงเป็นข่าวเกี่ยวกบั การเกิดอุบตั เิ หตุถึงเสียชวี ิต เปน็ ต้น การปอ้ งกนั อบุ ัติเหตุในโรงเรยี นน้นั อาจดาเนินการได้โดย ๑. จัดสถานที่ ตวั อาคาร และสภาพแวดลอ้ มใหป้ ลอดภัยและถูหลกั สุขาภบิ าล ๒. หม่นั ตรวจสอบอาคารเรียน สิ่งกอ่ สร้าง และสภาพแวดล้อมเสมอ ๆ ถา้ พบสง่ิ ชารุดทรุดโทรมควรรบี เรง่ แก้ไขซ่อมแซมทนั ที ๓. ตดิ ป้ายประกาศเตือนใจนกั เรียนใหร้ ้จู ักระมัดระวังอุบัติเหตอุ ันตรายต่าง ๆ เช่น อันตรายจากการจราจร ๔. จดั หาอุปกณป์ ้องกนั และควบคุมอุบัตเิ หตใุ นโรงเรยี น เช่น เครอื่ งมอื ดบั เพลงิ ๕. จัดใหม้ กี ารเรยี นการสอนสวัสดิศึกษาในโรงเรียน ๒. ความปลอดภยั จากโรคตดิ ต่อ เนอื่ งจากโรงเรียนเป็นที่ชุมนุมของนักเรียนซง่ึ มาจากครอบครัวท่ี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกตา่ งกัน ถา้ นักเรียนคนใดคนหนึ่งเป็นโรคติดตอ่ ย่อมมีโอกาสแพรก่ ระจายในหมู่ นกั เรียนด้วยกนั ได้ง่าย นอกจากน้ี นักเรยี นยงั อาจนาโรคติดต่อจากโรงเรียนไปสู่บ้านและชมุ ชนท่ีตน อาศัยไดอ้ ีกดว้ ยโรคติดต่อที่พบเสมอในเด็กวัยเรียนมหี ลายโรคคอื - โรคผวิ หนงั เช่น หดิ เหา กลาก เกลื้อน พุพอง - โรคตา เช่น โรคตาแดง ริดสีดวงตา ตาอักเสบ - โรคพยาธิลาไส้ต่าง ๆ เชน่ พยาธไิ ส้เดือน พยาธเิ ส้นด้าย พยาธิปากขอ - โรคทเี่ กดิ จากเชือ้ ไวรัสบางยา่ ง เชน่ หวดั ไขห้ วัดใหญ่ หดั สุกใส คางทมู และตับ อกั เสบ - โรคทมี่ ีแมลงเปน็ พาหะนาโรค เช่น ไข้เลือดออก ไข้มาลาเลยี

86 นอกจากน้ียังมโี รคอ่นื ๆ ทไ่ี มใ่ ช่โรคตดิ ตอ่ ที่พบมากในโรงเรียน คือ โรคฟนั ผุ และโรคขาด สารอาหาร ๓. ความรม่ ร่นื สวยงาม และสะดวกสบาย การจัดโรงเรยี นให้มีความร่มร่นื สวยงามและ สะดวกสบายจะมสี ว่ นชว่ ยส่งเสรมิ ท้ังสุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิตของเดก็ ดงั น้นั จงึ ควรตกแตง่ อาคาร บรเิ วณและส่ิงแวดลอ้ มในโรงเรียนใหเ้ กิดความร่มรืน่ สวยงาม โดยการจัดทาสนามหญา้ สวนหย่อม ปลกู ไมย้ ืนต้น ไม้ดอก และไมป้ ระดบั เพอ่ื ให้ความสวยงามและให้รม่ เงา นอกจากนี้ โรงเรยี นควรจัดสงิ่ อานวยความสะดวกต่าง ๆ ไว้ให้เด็กตามสมควร เชน่ มีแสงสว่างและนา้ สะอาดใช้ ในโรงเรยี น มสี นามเดก็ เลน่ สนามกฬี า หอ้ งพยาบาล หอ้ งนา้ ห้องส้วม มา้ นง่ั สาหรบั พกั ผอ่ น เปน็ ตน้ ส่ิงเหล่านีจ้ ะช่วยใหเ้ ดก็ คลายความเครง่ เครยี ด และเดก็ จะได้รับความสบายใจและสขุ ภาพจติ ดีดว้ ย ๔. ความเหมาะสมกบั พฒั นาการทางรา่ งกายของเดก็ การจดั สภาพสง่ิ แวดลอ้ มในโรงเรียน จะต้องช่วยส่งเสรมิ การเจรญิ เติบโต และพัฒนาการทางร่างกายของเด็กดว้ ย เชน่ การจดั โตะ๊ เรยี นและ เก้าอี้ใหพ้ อดกี ับขนาดรา่ งกายของเด็กนกั เรียน จัดใหม้ ีแสงสว่างและระบายอากาศทีพ่ อเพยี งในห้องเรียน จัดให้มกี ารเลน่ กีฬา การออกกาลังกาย และมเี ครือ่ งกีฬาทเ่ี หมาะสมกบั นักเรยี นแตล่ ะวยั เป็นตน้ การจดั สิง่ แวดล้อมในโรงเรยี นเพ่อื ส่งเสรมิ การเรียนการสอน และชว่ ยส่งเสริมสขุ ภาพอนามัย ของเด็กนักเรียนจะต้องปฏิบัติตามหลักดงั กลา่ ว ๒. การจัดอาคารเรยี นและส่ิงก่อสรา้ งในโรงเรยี น การจดั ส่ิงแวดลอ้ มในบริเวณโรงเรยี นใหแ้ ลดรู ่มรื่น สวยงาม นับเป็นสงิ่ เชิดหนา้ ชูตา เป็น ศักด์ศิ รี เปน็ ความภาคภมู ใิ จของโรงเรยี น และช่วยสรา้ งบรรยากาศในการเรียนการสอนทีด่ ีด้วยการจดั บรเิ วณโรงเรียนจะต้องวางแผนผงั ด้วยความรอบคอบ ไม่ปล่อยใหบ้ ริเวณโรงเรยี นโล่งแจง้ จนเกินไป ควร มกี ารตกแต่งสนามหญ้ารอบ ๆ โรงเรียน ปลกู ด้วยไมด้ อก ไม้ประดับ และไมย้ ืนต้นให้เป็นระเบยี บ ใหเ้ กิดความร่มรนื่ ท่วั ไป ถา้ มีงบประมาณมากอาจทาเป็นสวนหยอ่ ม ปลูกไม้พมุ่ ไม้ประดับเพื่อให้แลดู สวยงามยงิ่ ข้ึน พวกไมย้ นื ต้นหรอื ต้นไม้ใหญไ่ ม่ควรปลูกตดิ อาคารเพราะนอกจากบังแดด บงั ลม บัง ความสง่างามของอาคารแล้ว กงิ่ ไม้ ใบไม้ รากไม้ อาจทาใหเ้ กิดอันตรายต่อตวั อาคาร หลังคาและ ฐานรากของอาคารได้ ต้นหญ้า ไมด้ อก ไมป้ ระดับ ไมย้ นื ตน้ เหลา่ นเี้ มื่อปลกู ขน้ึ สวยงามแลว้ จะต้อง จดั ใหม้ ผี ้ดู แู ลใสป่ ๋ยุ รดนา้ พรวนดินอยา่ งสมา่ เสมอจึงจะทาให้ต้นไม้เจรญิ งอกงามทุกฤดูกาล การจัด สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ บรเิ วณโรงเรยี นด้วยไมด้ อก ไมป้ ระดบั ไมย้ นื ตน้ นอกจากจะทาใหบ้ ริเวณ โรงเรียนแลดูงามตาแลว้ ต้นไม้เหล่าน้ียงั ใหร้ ม่ เงา ช่วยการระบายอากาศ ทาให้บริเวณโรงเรยี นร่มเยน็ ลง ส่วนพวกต้นหญ้าจะช่วยให้พืน้ ดินเกิดความชมุ่ ช้ืน ชว่ ยลดฝนุ่ ละออง ชว่ ยลดแสงสะท้อนและความ ร้อนจากพน้ื ดินได้ ๑. ประเภทของอาคารและสิ่งก่อสร้างในโรงเรียน อาคารและสงิ่ ก่อสรา้ งในโรงเรียนทั้งหมดแบง่ ออกได้เป็น ๒ ประเภท คอื ๑.๑ อาคารเรยี น หมายถงึ อาคารท่ีใช้เป็นหอ้ งเรียนซึ่งมีกิจกรรมการเรียนการสอน โดยตรง ไดแ้ ก่ อาคารทีม่ ีห้องเรียนชัน้ ตา่ ง ๆ ๑.๒ อาคารประกอบ หมายถึง อาคารทีใ่ ชเ้ พื่อกิจกรรมอย่างอ่ืนซึ่งไม่ใชล่ กั ษณะของ การเรียนการสอนโดยตรง เช่น โรงอาหาร โรงครัว โรงฝึกงาน อาคารพลศึกษา เป็นต้น

87 ๒. ลักษณะทั่วไปของอาคารเรยี น อาคารเรียนที่ดคี วรมีลกั ษณะท่วั ไป ดังนี้ ๒.๑ มคี วามมน่ั คงแขง็ แรง กอ่ สร้างด้วยวัสดุทไ่ี ด้มาตรฐาน การออกแบบโครงสร้างไดม้ าตรฐาน ตามหลกั วชิ าการ เช่น อาคารเรยี นทม่ี โี ครงสรา้ งเสริมเหล็ก ๒.๒ มีความปลอดภัย มีการปอ้ งกนั มิใหเ้ กิดอุบตั เิ หตหุ รอื อันตรายต่าง ๆ เช่น พนื้ ห้องเรยี นไม่ มีการขัดมนั จนทาให้เกดิ การลืน่ หกล้มได้ง่าย ระเบยี งอาคารกวา้ งพอที่นักเรียนจะเดินสวนไปมาได้สะดวก บริเวณสนามต้องเรยี บ ไม่มีหลุมบ่อ ปราศจากเศษแก้ว ของแหลมคม วสั ดอุ ุปกรณใ์ นโรงฝกึ งานหรอื หอ้ งปฏิบตั ิการต้องอยใู่ นสภาพเรียนรอ้ ยไม่ชารุดเสียหาย ๒.๓ มีสุขลกั ษณะทีด่ ี มีความสะอาดเรยี นรอ้ ย มสี ่ิงอานวยความสะดวกต่าง ๆ ทจ่ี ะชว่ ย ส่งเสรมิ สขุ ภาพอนามัยและสมรรถภาพทางร่างกายของเด็กนักเรียน ๒.๔ มีแสงสว่างและการระบายอากาศทีเ่ หมาะสม รายละเอียดเร่อื งนจี้ ะได้กลา่ วในเรื่องตอ่ ไป ๒.๕ มขี นาดเหมาะสมและเพียงพอกับจานวนนักเรียน ไม่คบั แคบจนเกนิ ไป ๒.๖ มีรปู แบบทเ่ี หมาะสม การออกแบบอาคาร การตกแต่งอาคารภายในภายนอกแลดูสงา่ งาม บารงุ รกั ษาง่าย ๒.๗ มีการขยายตอ่ เติมได้ การออกแบบอาคารเรียนควรเป็นแบบทส่ี ามารถขยายต่อเติมไดใ้ น อนาคตโดยสิ้นเปล้ืองคา่ ใชจ้ ่ายนอ้ ย ๒.๘ มคี วามยืดหยุ่นปรบั ปรุงเปลย่ี นแปลงได้ อาคารทีด่ ีควรสามารถดดั แปลงห้องต่าง ๆ ไดง้ า่ ย เพ่ือใชป้ ระโยชนไ์ ดห้ ลาย ๆ อย่าง เชน่ ดัดแปลงห้องเรียนขยายออกเป็นห้องประชุมหรือหอ้ งกจิ กรรม อน่ื ๆ ๒.๙ มคี วามประหยดั การออกแบบแปลนแผนผังอาคารเรียนควรคานงึ ถงึ ความประหยัดดว้ ย อาคารทกี่ ่อสร้างข้นึ จะต้องใช้ประโยชนค์ ุ้มค่ากบั การลงทุนและเสียคา่ บารงุ รักษาน้อย ๒.๑๐ มีประสทิ ธิภาพ กลา่ วคือ สามารถใช้ประโยชนจ์ ากอาคารเรยี นได้ทุกอยา่ งมีประสิทธิภาพ ๓. ลักษณะตวั อาคารเรียน ลกั ษณะหรือรปู ร่างตัวอาคารเรียนควรออกแบบให้เหมาะสมกบั ลกั ษณะพื้นที่ดินทจี่ ะก่อสรา้ ง สภาพทอ้ งถิ่น และเออ้ื อานวยตอ่ การเรยี นการสอน รปู แบบของตวั อาคารเรยี นอาจมีรูปร่างคล้าย ตัวอกั ษร E I L T U ตามควรเหมาะสม อาคารเรยี นควรปลกู สรา้ งใหห้ นั หนา้ ไปทางทศิ เหนือ หรอื ทศิ ใต้ เพ่ือป้องกันแสงแดดส่องเขา้ ห้องเรียนในตอนสายและตอนบ่าย และยังทาใหไ้ ด้รบั ลมท่ีพัดมา จากทิศตะวันออกเฉยี งใต้และทศิ เหนอื ตามฤดูกาลอีกดว้ ย ตาแหนง่ ทตี่ ้ังของตวั อาคารเรียนควรอย่บู ริเวณ ทีเ่ ป็นศูนย์กลาง สว่ นอาคารประกอบอ่ืน ๆ ให้อยรู่ อบ ๆ โดยพจิ ารณาถงึ ความเหมาะสมในการจัด กิจกรรมการเรยี นการสอน และการติดตอ่ ประสานงานระหวา่ งอาคาร ๔. หอ้ งเรียน หอ้ งเรียนนับว่าเป็นหอ้ งทมี่ ีความสาคญั สูงสดุ ในโรงเรยี น เพราะเป็นห้องท่ีนกั เรียนใชป้ ระโยชน์ เพอ่ื การศึกษามากกวา่ หอ้ งอ่นื ๆ ดังนั้น จงึ มคี วามจาเป็นตอ้ งจัดห้องเรยี นใหเ้ หมาะสมและถูก สุขลกั ษณะ เพ่ืออานวยประโยชน์ต่อการเรียนการสอน การจัดหอ้ งเรยี นและเคร่ืองใชใ้ นหอ้ งเรยี นมีหลัก ทวั่ ไป ดังนี้

88 ๑. ลักษณะและขนาดของห้องเรยี น หอ้ งเรียนมาตรฐานควรเป็นรูปส่เี หลยี่ มผนื ผา้ มีขนาด ๖ x ๘ เมตร หรือ ๗ x ๙ เมตร บรรจุนักเรยี นได้ประมาณ ๓๐ - ๔๐ คน ตราเฉล่ียเนอ้ื ที่ ภายในหอ้ งเรียนควรเปน็ ๑.๕๐ - ๒.๐๐ ตารางเมตรต่อนกั เรยี น ๑ คน การจัดหอ้ งเรียนควรให้แสงสวา่ งเขา้ ทางด้านซา้ ยมือของนักเรียนเพ่ือมิให้เกิดเงาบังขณะเขยี นหรอื อา่ นหนงั สือ ไมค่ วรใหม้ ีแสงส่องเขา้ ทางดา้ นหน้าหรือดา้ นหลังของนักเรียน เพราะจะทาให้เกิดราคาญ นัยน์ตา และไม่ควรใหแ้ สงแดดสอ่ งโดยตรงเข้ามายงั ส่วนหนึ่งส่วนใดของห้องเรยี น หอ้ งเรียนควรจัดให้ สะอาดและเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ยพร้อมท้ังมีตะกร้าใสเ่ ศษกระดาษ และเศษผงไว้ประจาทกุ ห้อง ๒. อุปกรณ์เครื่องใชใ้ นห้องเรียน ห้องเรยี นควรมีอปุ กรณเ์ ครื่องใชป้ ระจาหอ้ งเรยี นเทา่ ที่จาเป็น เชน่ โตะ๊ นักเรยี น เก้าอี้ กระดานชอลก์ โต๊ะเกา้ อส้ี าหรับครู ตู้หนงั สือ กระดานนิเทศสาหรับปิด ภาพหรือข้อความประกาศ ทง้ั นี้จะต้องจดั อุปกรณเ์ ครื่องใช้ในห้องเรียนให้เหมาะสมเปน็ ระเบยี บและดงู าม ตา ๓. โต๊ะเรียนและเก้าอ้ี นักเรียนทุกคนควรมีโต๊ะเรยี นและเก้าอเ้ี ดยี่ วไมร่ วมกนั จานวนโตะ๊ เรยี น และเกา้ อี้ควรมจี านวนเท่าจานวนนกั เรยี น ควรจกั ขนาดของโต๊ะเรยี นและเก้าอใ้ี ห้เหมาะสมกบั ขนาดของ เด็กนกั เรียน เพ่ือส่งเสริมพัฒนาการทางด้านทรวดทรง และสุขภาพรา่ งกายทว่ั ไปของนักเรยี น ๔. โตะ๊ ครู โต๊ะครูจาเปน็ ตอ้ งจัดให้มใี นห้องเรียน เพ่ือให้ครใู ชเ้ ปน็ ที่วางหรอื เกบ็ หนังสือตารา เรยี น หรอื อปุ กรณ์ท่ใี ช้ประกอบการสอน โต๊ะครูส่วนใหญจ่ ะจัดไวห้ น้าช้ันเรยี น โดยอาจตัง้ ชิดไปทาง ดา้ นซ้ายหรอื ขวาของหอ้ งเรยี นได้ตามความเหมาะสม โต๊ะครไู ม่ควรต้ังอยกู่ ลางห้องเพราะอาจบังกระดาน ชอลก์ หรอื ตง้ั อยู่ใกลป้ ระตเู ข้าออกทาให้กีดขวางทางเดิน ๕. กระดานชอล์ก[chalkboard] ในสมยั กอ่ นเรยี กกันว่า กระดานดา [blackboard] เพราะ ทาแต่สดี า ปัจจุบนั กระดานชอล์กนยิ มทาดว้ ยสเี ขยี วใบไม้เข้มเพื่อชว่ ยให้สขี องชอล์กมองเหน็ ไดช้ ดั เจน พอดี กระดานชอล์กควรทาดว้ ยวัสดุทท่ี นทานแขง็ แรง ไม่แตกหักง่าย เชน่ ไม้ ไม้อดั ผวิ ของ กระดานควรเรยี บแตไ่ ม่เปน็ มัน เมอ่ื มิใหเ้ กิดการสะท้อนแสงจนนักเรียนมองกระดานเห็นไดไ้ มช่ ดั เจน กระดานชอลก์ ควรตดิ ไว้กบั ฝาผนงั หอ้ ง ไม่ควรใช้ขาตั้งเพราะจะปลอดภัยกวา่ และไม่เปลืองเนื้อท่ี กระดานชอล์กควรติดตง้ั ให้มีความสงู พอเหมาะกบั ความสูงของนักเรียนขณะนงั่ หรือยนื ใชก้ ระดานนน้ั โดย ขอบรา่ งของกระดานชอล์กควรสูงเสมอระดบั สายตาของนักเรยี นแถวหนา้ การตดิ ตง้ั กระดานชอล์กควรให้ ห่างจากนักเรยี นแถวหนา้ ไมน่ ้อยกว่า ๒ เมตร และแถวหลังควรห่างไมเ่ กนิ ๙ เมตร ที่ส่วนลา่ งของ กระดานชอล์กควรมีรางรองรับผงฝนุ่ ชอลก์ มใิ หป้ ลิวตกลงไปบนพ้ืนห้อง การทาความสะอาดกระดานชอล์ก ควรใชแ้ ปรงลบกระดานทท่ี าด้วยวสั ดุทดี่ ูดซบั ฝ่นุ ได้ดี เชน่ แปรงฟองน้า หรือแปรงผา้ สกั หลาด ไม่ควร ใชแ้ ปรงทีม่ ีลกั ษณะขนแปรงแขง็ หรอื ใชเ้ ศษผ้าลบกระดาน จะทาให้ผงชอลก์ ฟุ้งกระจายเปน็ อนั ตรายต่อ นกั เรียนและครูผสู้ อนดว้ ย ๖. กระดานนเิ ทศ กระดานนิเทศทาดว้ ยวสั ดุจาพวกกระดาษอดั หรือกระดาษชานอ้อยและหมุ้ กรอบดว้ ยไม้ กระดานนิเทศอาจติดตง้ั ไว้บริเวณฝาผนงั ของห้องเรยี น หรอื ตดิ ตัง้ ไว้เปน็ ส่วนต่อจาก กระดานชอลก์ ก็ได้ ประโยชน์ของกระดานนิเทศมีไว้เพื่อการตดิ ประกาศข่าวสาร ตดิ รูภาพ ฯลฯ หรือ มีไว้เพื่อการจดั นิทรรศการโดยเปน็ กิจกรรมประกอบการเรียนการสอนของนักเรยี น ๗. อปุ กรณ์ เครอ่ื งใชอ้ ่นื ๆ ภายในห้องเรยี นอาจจัดให้มีอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้อ่ืน ๆ อกี ตามความจาเปน็ เช่น ชัน้ วางหนงั สอื โตะ๊ จดั กิจกรรม โตะ๊ เกบ็ อุปกรณ์การสอน ตะกร้าผง เป็น ตน้

89 อปุ กรณ์เครื่องใชใ้ นหอ้ งเรยี นท่ีกล่าวมานี้ จะต้องดูแลรกั ษาความสะอาดให้ดี ถ้าชารดุ ควรมีการ ซอ่ มแซมใหใ้ ชป้ ระโยชน์ได้อยู่เสมอ และถ้าเกิดการสูญหายจะตอ้ งรบี จัดหามาทดแทนทันที ๔.ตู้ยา ๔.๑ การจดั ตู้ยา ตยู้ าควรจัดแบง่ เป็นสดั ส่วนตามช้นั ต่าง ๆ เพอ่ื ความสะดวกในการใช้ ดังน้ี ๑) ชัน้ บน เปน็ ท่ีเกบ็ ยารับประทานและควรติดปา้ ยสีขาวว่า ยารบั ประทาน ไว้ในท่ี เห็นได้ชัดเจน ๒) ชน้ั กลาง เปน็ ทว่ี างเครือ่ งมอื ปจั จบุ นั พยาบาล เชน่ กรรไกร ปากคบี แก้วยา เป็นต้น ๓) ชั้นล่าง เป็นทเ่ี ก็บยาใชภ้ ายนอก หา้ มรบั ประทาน และควรตดิ ปา้ ยสีแดงวา่ ยาใช้ ภายนอก ไว้ในทีเ่ ห็นได้ชัดเจน ๔) ชน้ั ลา่ งสุดซง่ึ เป็นตทู้ ึบใช้เก็บวัสดปุ กรณอ์ ืน่ ๆ เชน่ ผา้ ปทู ่นี อน ม้วนสาลี กระเปา๋ น้าร้อน กระเปา๋ นา้ แข็ง ฯลฯ ๔.๒ อปุ กรณ์ประจาตูย้ า ภายในตยู้ าควรจัดใหม้ ีอุปกรณ์ประจาต้ยู าท่จี าเป็น ดงั นี้ ๑) แกว้ ยา ๒) แกว้ ลา้ งตา ๓) หลอดแกว้ หยดยา ๔) ปากคีบมีเขยี้ ว ๕) ปากคบี ไม่มเี ขีย้ ว ๖) กรรไกรสาหรับตัดปลาสเตอร์ ผา้ กอซ ผ้าพนั แผล ๗) กรรไกรสาหรบั ทาแผล ๘) ปรอทวดั คนไข้ ๙) หมอ้ นงึ่ ใส่สาลีและผา้ แต่งแผล ๑ หม้อ ๑๐) ที่กดล้ิน ๑๑) กระเปา๋ น้าร้อน ๑๒) กระเป๋านา้ แข็ง ๑๓) ชามรปู ไต ๑๔) ไฟฉาย ๑๕) สาลี ๑๖) ผ้าแตง่ แผล (ผา้ กอซ) ๑๗) ผา้ พนั แผลขนาด ๒ น้วิ ๑๘) ปลาสเตอรป์ ิดแผล ๑๙) เฝอื กไมข้ นาดตา่ ง ๆ ๒๐) ผ้าขนหนูเชด็ หนา้ ๒๑) ผ้าขนหนเู ช็ดตัว รายการดงั กลา่ วนีเ้ ปน็ รายการชนดิ สมบรู ณส์ าหรบั โรงเรียนที่มีนกั เรียนตง้ั แต่ ๑,๐๐๐ คนข้นึ ไป ถ้านกั เรยี นมีน้อยควรพจิ ารณาจัดตามความจาเปน็

90 ๔.๓ การจดั ยา กองอนามัยโรงเรยี น กรมอนามัย ได้จัดทารายยาทค่ี วรจัดไวป้ ระจาห้อง พยาบาล เรยี กว่า รายกายาชุดเวชภัณฑป์ ฐมพยาบาลประจาโรงเรียน พ.ศ. ๒๕๒๗ ดังนี้ ๑) ยาธาตนุ ้าแดง ๒) โซดามล้ิ ๓) เหลา้ สะระแหน่ ๔) ซัลฟากัวนดิ ิน ๕) แอสไพรนิ ๖) พาราเซตามอล ๗) ยาแก้ไอนา้ ดา ๘) คลอเฟนนริ ามนี ๙) ขผ้ี ง้ึ น้ามันระกา ๑๐) เหลา้ แอมโมเนยี หอม ๑๑) ยาหยอดตา ๑๒) ยาล้างตา ๑๓) ยาใสแ่ ผลสด ๑๔) แอลกอฮอลเ์ ช็ดแผล ๑๕) บาล์มตาราหลวง ๕. ห้องพยาบาล ห้องพยาบาลเป็นห้องที่จาเป็นต้องจดั ให้มีขน้ึ ในโรงเรยี น เพ่ือให้การรักษาพยาบาลเดก็ นกั เรยี นท่ี เจ็บป่วยเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ หรอื ได้รบั อุบัติเหตุและต้องมีการปฐมพยาบาล ห้องพยาบาลยังชว่ ยด้านการ สง่ เสริมสุขภาพ การควบคุมและการป้องกนั โรคให้เดก็ โดยการปลูกฝี ฉดี วัคซีนเปน็ ระยะ ๆ ตามท่ี กระทรวงสาธารณสขุ กาหนดไว้ นอกจากนี้หอ้ งปฐมพยาบาลยังอาจใช้เปน็ สถานทสี่ าหรับสาธติ และฝกึ ปฏิบัตดิ ้านอนามยั แก่นักเรียนด้วย ดงั นั้น หอ้ งพยาบาลจึงนับวา่ เป็นส่งิ จาเปน็ อยา่ งย่ิงสาหรับทุกโรงเรยี น สาหรบั โรงเรยี นที่ยงั ไมม่ หี ้องพยาบาลโดยเฉพาะก็ควรจะกั้นมมุ ของห้องใดห้องหนงึ่ เช่น ห้องพักครู ดดั แปลงเปน็ มุมพยาบาล เพอ่ื ใช้ประโยชน์แทนห้องพยาบาลได้ ๑. ลกั ษณะหอ้ งพยาบาลหอ้ งพยาบาลท่ีดีควรมลี ักษณะดังต่อไปนี้ ๑) อยู่ชัน้ ล่างของอาคารเรียนเพ่อื นักเรียนจะไดเ้ ข้าออกสะดวก และเพ่ือความสะดวกใน การเคลื่อนย้ายผ้ปู ว่ ย ๒) ขนาดของหอ้ งควรพจิ ารณาตามจานวนนกั เรยี นและให้ได้มาตรฐานตามตวั อย่าง แผนผงั ห้องพยาบาลทจี่ ะกลา่ วต่อไป ๓) ตง้ั อยู่หา่ งจากสิง่ รบกวน เสยี งดังรบกวนและเหตุราคราญอ่นื ๆ ๔) ไดร้ ับการดูแลรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยูเ่ สมอ ๕) มแี สงสว่างเพียงพอ มีการระบายอากาศท่ีดี มหี น้าต่างชอ่ งลมเพื่อการหมุนเวยี น ของอากาศอย่างเพยี งพอ ๖) มอี ่างล้างมืออย่ใู นห้องพยาบาล และมีหอ้ งนา้ ห้องสวมอยู่ใกล้ ๆ เพ่ือความสะดวก ๗) มีพยาบาลหรือครเู วรอยปู่ ระจาหอ้ งพยาบาล ๓. วัสดุอุปกรณ์ประจาห้องพยาบาล ห้องพยาบาลควรจัดให้มวี สั ดปุ กรณ์ที่จาเปน็ ไว้ดงั น้ี

91 ๑) ตยู้ ามีขนาดตามความเหมาะสม โดยพิจารณาจากจานวนนักเรยี น ตยู้ าควรแบ่ง ออกเป็น ๔ ชั้น สามชั้นบนมีกระจกปดิ ช้นั ลา่ งเปน็ ตไู้ ม้ทึบปิดเปดิ ได้ ๒) เตยี งนอนพร้อมทีน่ อน หมอนและผา้ หม่ ๓) ผ้าปูทนี่ อนและปลอกหมอนอยา่ งละ ๒ เท่าของจานวนนกั เรยี น ๔) ผา้ ยางขนาด ๔๐*๒๕ น้วิ สาหรบั ปเู ตียงเทา่ จานวนเตยี ง ๕) โตะ๊ เก้าอี้ทางานสาหรับเจา้ หน้าทีป่ ฏบิ ัติงานในห้องพยาบาล ๑ ชุด ๖) โตะ๊ เล็ก ๆ สาหรบั วางเครื่องใชใ้ นการแต่งแผลพร้อมม้าน่ัง ๑ ชุด ๗) อา่ งล้างมือ สบู่ และผ้าเชด็ มือ ๘) ถงั มีฝาปิดสาหรบั ท้ิงสาลีหรอื ผ้าพนั แผลท่ีใชแ้ ล้ว ๙) กระโถนข้างเตยี งคนไข้ ๑๐) เคร่อื งช่ังนา้ หนัก ไม้หรืเทปวดั สว่ นสงู และแผ่นทดสอบสายตา ๑๑)สมุดบันทกึ ประจาหอ้ งพยาบาล สาหรบั ใช้บันทกึ รายการนกั เรยี นเจบ็ ป่วยทม่ี าขอรบั การรักษาพยาบาลประจาวนั ๖. ห้องแนะแนว เป็นหอ้ งทจี่ ดั ไว้เพื่อให้ครูแนะแนวไดใ้ ห้คาปรึกษาแกน่ ักเรยี นซง่ึ อาจมปี ัญหาส่วนตัว ปัญหาในการ เรยี น หรือปัญหาอนื่ ๆ ทอ่ี าจเกิดขน้ึ การแนะแนวเปน็ เร่ือสาคัญมากในสังคมปัจจุบนั เพราะความ หลากหลายของขอ้ มูล นักเรียนอาจสบั สนหรือไมเ่ ขา้ ใจในข้อมูล หรอื การจะตดั สนิ ใจทีจ่ ะทาสิ่งหนงึ่ สง่ิ ใดลง ไป ซ่งึ อาจสง่ ผลกระทบต่อตัวนกั เรยี น ตอ่ โรงเรยี น และอาจนาไปสอู่ นั ตรายต่อชวี ติ ครแู นะแนวจึงถอื ว่า มคี วามสาคัญ โรงเรียนจึงตอ้ งจัดใหม้ ีหอ้ งแนะแนวไว้ ลกั ษณะห้องควรมี ลักษณะเปน็ กนั เอง นา่ ไวว้ างใจ น่าเชอื่ ถอื ได้ กรณีถ้าจะปรึกษาเร่ืองที่ไม่ต้องการเปิดเผย เปน็ ตน้ ๓. การบรหิ ารจัดการส่ิงแวดล้อมอาคารประกอบอนื่ ๆ ในโรงเรียนนั้นนอกจากมีอาคารเรียนรวม อาคารสานกั งานแล้ว จะต้อง มีอาคารประกอบอื่นๆ ตามความจาเป็น เพอื่ ใชป้ ระโยชน์ในกิจการของโรงเรียนได้อยา่ งสะดวก เช่น ๑. โรงอาหาร โรงอาหารนับวา่ เป็นอาคารประกอบทีม่ ีความสาคัญ ซง่ึ โรงเรียนจาเปน็ ต้องจดั ใหม้ ไี วเ้ พือ่ ให้เด็ก นักเรยี นมีสถานทรี่ บั ประทานอาหารกลางวันทีส่ ะอาดถูกสขุ ลกั ษณะและเปน็ สดั สว่ นโรงเรยี นสามารถ ควบคมุ ดแู ลรักษาความสะอาดและความเปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ยได้ง่าย รวมทั้งเปน็ การฝึกหดั เด็กนักเรยี นให้ มีสขุ นิสยั ทด่ี ใี นการรบั ประทานอาหารอีกด้วย โรงอาหารทีด่ ีและถูกสุขลักษณะควรมีลักษณะ ดงั นี้ ๑.๑ ควรมขี นาดกวา้ งขวางพอทน่ี ักเรียนจะเข้าไปรับประทานอาหารกลางวันไดอ้ ย่างสะดวกสบาย ถา้ สามารถทาได้โรงอาหารควรมีเน้ือทเ่ี ฉลยี่ ประมาณ ๑ ตารางเมตรต่อนักเรียน ๑ คน ๑.๒ พ้นื ทีท่ าด้วยวัสดุทีแ่ ขง็ แรง เรยี บ ทาความสะอาดได้ง่าย ไม่ดดู ซึม เชน่ ซีเมนต์ คอนกรีต หรอื ไม้เน้ือแน่น ๑.๓ ฝาทัง้ ๔ ดา้ น ควรกน้ั ด้วยลวดตาข่าย เพอ่ื ป้องกันแมลงและสตั วน์ าโรคเข้าไปรบกวนทา ความสกปรกให้กบั อาหารและภาชนะเคร่ืองใช้ การใช้ลวดตาขา่ ยทาฝายังช่วยใหก้ ารระบายอากาศในโรงา หารเป็นไปยา่ งดดี ว้ ย

92 ๑.๔ ประตูหนา้ ต่างควรเป็นชนิดเปิดออกสดู่ า้ นนอก และใส่ลวดตาขา่ ยเชน่ เดยี วกนั ๑.๕ จดั ใหม้ แี สงสวา่ งและการระบายอากาศในโรงอาหารท่ีดแี ละเพยี งพอ โดยมคี วามเข้มขงแสง สวา่ งไมต่ ่ากว่า ๒๐ ฟตุ -เทียน ๑.๖ จดั ให้มโี ตะ๊ และเก้าอใ้ี หเ้ พียงพอกับจานวนนกั เรยี นและครทู ี่เขา้ ไปใชบ้ ริการ ควรดูแลโต๊ะ และเกา้ อ้ใี หม้ ีความสะอาดเรียบรอ้ ยยเู่ สมอด้วย ๑.๗ จัดใหม้ ีน้าสะอาดไวด้ มื่ และใช้อย่างพอเพยี งพร้อมทั้งมีอุปกรณ์อานวยความสะดวก เช่น ถัง น้ากอ๊ กหรืออ่างนา้ พุ ๑.๘ จดั ให้มีอ่างล้างมือเพยี งพอกบั จานวนนกั เรียนเพ่ือใหน้ ักเรียนล้างมือก่อนและหลงั รับประทาน อาหาร และอาจใชล้ ้างภาชนะบางอยา่ งได้ด้วย ๑.๙ ควรมีท่รี องรับเศษอาหารทถ่ี กู สุขลักษณะมฝี าปิดมดิ ชิดและจดั ให้มเี พียงพอ ๑.๑๐ อาหารท่ีพ่อคา้ แม่ค้านามาจาหนา่ ยในโรงเรียนต้องเป็นอาหารท่มี ีคุณคา่ ทางโภชนาการ สะอาดถูกหลกั อนามัย ปลอดภัยจากสารเป็นพษิ อาหารใส่สยี อ้ มผ้า นา้ ส้มสายชปู ลอม ควรได้รบั การ ควบคมุ ดูแลอยา่ งงใกลช้ ิด ๑.๑๑ ผู้ปรุง ผขู้ าย บคุ คลทเี่ กย่ี วข้องกบั อาหารหรือเจ้าหน้าท่ขี องโรงเรยี นที่ทาหน้าที่เกย่ี วกับ การจาหนา่ ยอาหาร ควรแต่งกายใหส้ ะอาดเรียบร้อย มีผ้ากนั เปอื้ นสีขาว มีผ้าหรอื ตาขา่ ยคลมุ ผมมี สขุ ภาพสว่ นบุคคลและสุขนสิ ยั ที่ดี ควรไดร้ บั การตรวจสขุ ภาพประจาทุกปี ถา้ บคุ คลท่ีเกยี้ วข้องกับอาหาร ดงั กลา่ วนี้เจบ็ ป่วยด้วยโรคติดต่อ เชน่ โรคหวดั ไขห้ วัดใหญ่ ตาแดง เป็นแผล ฝี หนองทมี่ ือ ฯลฯ ควรหยดุ จาหน่ายอาหารเพ่อื ป้องกนั การแพร่กระจายของเช้ือโรคจนกวา่ จะหายป่วยจึงจะกลบั มา ปฏิบตั ิงานได้ ๒. โรงครัว โรงครัวเป็นท่ีที่ใชใ้ นการปรุงอาหารและเก็บรักษาอาหาร จงึ เปน็ สถานที่สาคัญทจ่ี ะทาใหก้ าร ประกอบอาหารได้สะอาด ถูกหลักอนามยั ปลอดภยั จากโรคติดตอ่ ดงั น้นั การสร้างและจัดโรงครวั ใน โรงเรียนจงึ มหี ลักทคี่ วรพิจารณา คือ ๒.๑ สถานทีต่ ัง้ และลกั ษณะท่ัวไป ครัวควรจะมีสถานที่เป็นสัดส่วนของตัวเองโดยอาจเปน็ หอ้ ง หรอื อาจเปน็ อาคารต่างหากจากกิจการอนื่ สถานทต่ี ้ังไม่ควรอยู่ใกล้เคยี งกับสง่ิ โสโครกหรือสิ่งปฏกิ ลู ตา่ ง ๆ ๒.๒ พนื้ ผนงั เพดาน ทาด้วยวัตถถุ าวร เรยี บ ไมซ่ มึ นา้ ทาความสะอาดได้งา่ ย โดยเฉพาะตรงผนังบริเวณทป่ี รงุ อาหารซึง่ ต้ังเตาไฟควรทาด้วยวัสดุทนไฟทม่ี ีผิวหน้าเรยี บ เช่น แผน่ อลมู เิ นียม พืน้ ครัวไมค่ วรปล่อยให้เฉาะแฉะ ควรเช็ดถทู าควรสะอาดทุกวันทง้ั ก่อนปรุงอาหารและ หลังจากเสรจ็ ภารกจิ ประจาวัน ๒.๓ ประตหู น้าตา่ ง ควรใส่ลวดตาขา่ ยเพื่อป้องกนั แมลงและสัตว์นาโรค ๒.๔ แสงสว่าง ต้องพอเพียงท่จี ะเห็นตัวอาหารและภาชนะอุปกรณ์ได้ชดั เจน แสงสว่างที่ พอเพียงยงั เป็นการป้องกนั อุบัตเิ หตจุ ากการปฏิบัติงานได้ ในโรงครวั ควรมีความเข้มของแสงสวา่ งอยา่ ง น้อย ๓๐ ฟตุ -เทยี น ๒.๕ การระบายอากาศ โรงครวั ควรมรี ะบบการระบายอากาศที่ดี เชน่ ติดต้ังพัดลมดดู อากาศ เพอ่ื ชว่ ยการระบายอากาศในหอ้ งครัว มปี ล่องระบายควนั และกลน่ิ ไอของอาหารอยเู่ หนือเตาไฟเพอ่ื ให้ ระบายควันออกไป

93 ๒.๖ มีตู้เกบ็ อาหารแห้ง เชน่ อาหารกระป๋อง เครอ่ื งปรุงอาหาร ควรเก็บอาหารดังกลา่ วให้ เป็นระเบยี บป้องกนั แมลงและสตั ว์นาโรค และถ้าเปน็ ไปได้ควรมีตูเ้ ย็นสาหรับเก็บอาหารสด เช่น พวก ผกั สด ผลไม้ เนอ้ื สตั ว์ และเครอ่ื งดื่มบางประเภท ๒.๗ มีโต๊ะปรงุ และเตรยี มอาหาร รวมทัง้ อุปกรณ์ในการปรุงและเตรียมอาหาร เชน่ เขยี ง มดี ๒.๘ มถี งั เกบ็ ขยะมูลฝอยแลเศษอาหาร ทาดว้ ยวัสดทุ ี่แข็งแรง ทาความสะอาดได้งา่ ย สภาพดี ไมร่ ั่วซึม มฝี าปิดมดิ ชิด ขยะมูลฝอยต้องนาไปกาจัดทุกวันและควรลา้ งถงั ขยะทุกครั้งท่ีเทขยะมลู ฝอยแล้ว ๒.๙ ภาชนะและอปุ กรณ์ทีใ่ ช้ในครัว ต้องทาด้วยวัสดุหรอื มสี ่วนผสมของวสั ดุทีไ่ ม่เป็นพิษ หรือ อาจเปน็ อันตรายต่อสุขภาพร่างกายนักเรยี น วสั ดทุ ่ีใช้ทาภาชนะและอุปกรณจ์ ะต้องคงทนตอ่ การกดั กรอ่ น จากอาหารที่มีฤทธิเ์ ป็นกรดหรอื ดา่ ง เช่น แกว้ หรอื กระเบื้องเคลือบ ไม่ควรใช้ภาชนะและอุปกรณ์ท่ที า ดว้ ยโลหะหรือกระเบ้ืองเคลือบสี เพราะตัวสอี าจจะลายปนเปื้อนกบั อาหารได้ ๓. โรงฝกึ งาน โรงเรยี นระดับมัธยมศึกษาในปจั จบุ นั ได้จัดให้มีการเรียนการสอนวชิ าอุตสาหกรรมศิลปข์ ้ึน เพอ่ื ให้ นักเรยี นไดม้ ีโอกาสศึกษาวิชาชีพควบคู่กับวชิ าสามญั เมื่อนกั เรยี นสาเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศกึ ษา และไม่มีโอกาสศกึ ษาต่อในระดบั ที่สงู ขึ้นจะได้มีวิชาชีพตดิ ตัวสามารถนาไปประกอบอาชีพอยใู่ นสงั คมได้ตาม สมควร ดงั น้นั โรงเรยี นจงึ ต้องจดั ให้มีสถานทีส่ าหรับศกึ ษาและฝกึ ปฏบิ ัตงิ านวชิ าอุตสาหกรรมศลิ ปข์ ้ึน เรยี กกันว่า โรงฝกึ งาน ซง่ึ มกี ารฝกึ ปฏบิ ตั งิ านแตกต่างกันหลายประเภท เชน่ งานไม้ งานโลหะ งาน ไฟฟ้า งานพลาสติก งานเขยี นแบบ เป็นต้น อาคารโรงฝึกงานทด่ี ี ควรมรลกั ษณะและองคป์ ระกอบดังต่อไปนี้ ๑) สถานที่ต้งั โรงฝึกงานควรเปน็ อาคารทแ่ี ยกตา่ งหากจากอาคารเรยี นเป็นเอกเทศในระยะทางที่ ไมก่ ่อให้เกิดเสียง หรอื ส่ิงรบกวนต่อการเรยี นการสอนในอาคารเรยี น ๒) ขนาด อาคารโรงฝกึ งานทง่ั ไปจะต้องจดั สรา้ งใหม้ เี น้ือท่ีกว้างขวางเพยี งพอทีเ่ ด็ดจะฝกึ ปฏบิ ตั ิงานได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ มบี รเิ วณและห้องต่าง ๆ ทีจ่ าเป็นครบถว้ น สาหรบั โรงฝึกงานทั่วไป ควรมเี นือ้ ทีป่ ระมาณ ๔.๕-๖.๐ ตารางเมตรตอ่ นักเรยี น ๑ คน ๓) ลักษณะรปู แบบของตัวอาคาร ควรจัดโรงฝึกงานให้มลี ักษณะคล้ายกับสภาพของโรงงานจริง ๆ เพราะจะต้องจดั ให้มีสภาพการทางานแตล่ ะสาขางานให้ได้เหมอื นหรือใกลเ้ คยี งกับกิจการอุตสาหกรรมจรงิ และสามารถดัดแปลงโรงงานไปใช้สอยเพื่อกจิ การอนื่ ๆ ของโรงเรยี นได้สะดวก สิ่งทีค่ วรคานงึ อีก ประการหน่ึง คือ การออกแบบอาคารโรงฝกึ งานจะต้องประหยดั สะดวกในการกอ่ สรา้ งและใชป้ ระโยชน์ ได้คุม้ คา่ ๔) พ้นื พน้ื ของโรงฝึกงานมีลักษณะแตกตา่ งกันข้นึ อยู่กับชนิดของงานทม่ี ีการฝึกสอน ดังนั้น การออกแบบพนื้ โรงฝึกงานจึงตอ้ งจดั ให้เหมาะสมกับชนดิ ของงานและใกล้เคียงกับพืน้ ท่ใี ช้ในโรงงาน อุตสาหกรรมจริง ๆ เชน่ ห้องฝึกงานไม้ควรใช้พื้นไม้เนื้อแขง็ เข้ารางลน้ิ หอ้ งฝึกงานโลหะหรือ ยานพาหนะควรเปน็ พื้นคอนกรีต ห้องฝกึ งานิเลก็ ทรอนิกสแ์ ละห้องทางานทั่วไปอาจใช้พ้ืนยางสังเคราะห์ กระเบ้ืองยางหรือพ้นื ไมธ้ รรมดาก็ได้ อยา่ งไรกต็ าม พ้ืนของโรงฝึกงานจะต้องมีความทนทานมีอายใุ ชง้ านไดน้ าน และประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยในการบารุงรักษาด้วย ๕) ฝาผนงั และเพดาน ฝาผนังและเพดานควรออกแบบให้เหมาะสมกับงานแตล่ ะประเภท เพือ่ ให้สอดคล้องกบั สภาพของการฝกึ งานในแต่ละหน่วยน้ัน วสั ดทุ ่ีใชท้ าฝาผนงั โดยท่วั ไป คือ ไม้ อฐิ

94 ซีเมนต์ หรอื คอนกรีต ส่วนวสั ดุท่ีใช้ทาเพดานอาจใชก้ ระเบอื้ งแผ่นเรยี บหรือไม้อัด หรือวัสดุอนื่ ทมี่ ี คณุ ภาพใกล้เคียง ๖) แสงสว่าง แสงสว่างทใ่ี ช้ทั่วไปในโรงฝึกงานควรมคี วามเข้มของการส่องสวา่ งไมน่ ้อยกวา่ ๑๐ ฟตุ -เทียน สาหรับงานบางลกั ษณะที่มีความละเอียดต้องใชส้ ายตามากควรจดั ให้มีแสงสว่างเพม่ิ มากขึน้ เพ่อื ใหโ้ รงฝกึ งานได้รับแสงสว่างจากธรรมชาตมิ ากที่สุด จงึ ควรออกแบบให้มีหน้าตา่ งอย่างนอ้ ย ๒ ดา้ น ของโรงฝกึ งาน มีพนื้ ท่ีประตูหน้าตา่ งไม่น้อยกวา่ ร้อยละ ๒๕ ขอ้ งพ้นื ทโี่ รงฝึกงาน ๗) การระบายอากาศ โรงฝึกงานควรออกแบบใหม้ ีลักษณะโปรง่ เพดานสงู เพื่อให้มีช่องว่างท่ี อากาศจะถ่ายเทได้เพยี งพอ ๘) ระบบไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าของโรงฝึกงานควรประกอบด้วยระบบไฟท่ีใหแ้ สงสว่างตามปกติ และถา้ เปน็ ไปได้ควรใชร้ ะบบไฟฟา้ สามสายทใี่ ช้กับเคร่ืองจักรทต่ี อ้ งใช้ไฟแรงสงู เครอ่ื งจักรไฟฟ้าทกุ ชนดิ จะตอ้ งมสี ายดินเพ่ือให้เกิดความปลอดภัย ๙) ระบบน้าอุปโภคบรโิ ภค จดั ใหม้ นี ้าสะอาดไวใ้ ช้เพื่อการบริโภคในโรงฝกึ งาน และมีนา้ ท่ีใช้ เพือ่ การทาความสะอาดอวัยวะร่างกายของเด็กนักเรยี น ๑๐) ระบบความปลอดภัย การออกแบบอาคารโรงฝกึ งานจาเป็นตอ้ งคานึงถึงระบบความ ปลอดภัยควบค่ไู ปด้วย เชน่ ควรออกแบบโครงสรา้ งอาคารให้มั่นคงแขง็ แรง มที างออกฉุกเฉนิ หรือทาง หนไี ฟ มีเคร่ืองดับเพลิงและทอ่ จ่ายน้าเพ่อื การดบั เพลงิ เครอื่ งมือเครื่องใชต้ ่าง ๆ ตอ้ งหม่นั ตรวจตรา ดูแลใหอ้ ย่ใู นสภาพดีเสมอ ถ้าพบวา่ เครื่องมือเคร่ืองจกั รชิ้นใดชารุดหรอื เสื่อมคณุ ภาพควรหยดุ ใช้ และรบี แก้ไขซอ่ มแซมใหอ้ ยู่ในสภาพดเี สียก่อน จงึ จะอนุญาตให้นกั เรยี นใชฝ้ ึกงานต่อไป ๑๑) ระบบกาจดั ของเสยี มภี าชนะทีใ่ ชใ้ ส่ขยะมลู ฝอยและเศษวสั ดุที่ทิง้ แล้วในโรงฝกึ งาน และ ถ้ามีน้าท้ิงน้าเสียจากการฝกึ ปฏิบตั ิงานควรจดั ใหม้ รี างระบายนา้ ทงิ้ พร้อมระบบบาบัดน้าทิ้งด้วย ๑๒) ห้องนา้ ห้องส้วม จดั ให้มีห้องนา้ ห้องสว้ มล่างลา้ งมือเพื่ออาบน้าชาระร่างกายภายหลงั การเลกิ ฝึกปฏบิ ัติงานบางชนดิ แล้ว นอกจากนค้ี วรจัดใหม้ หี ้องเปลี่ยนเส้ือผา้ ของครแู ละนักเรยี นพรอ้ มตเู้ ก็บของ สว่ นตัว อย่ใู นบริเวณหอ้ งนา้ ห้องสว้ มด้วย ๔. อาคารพลศกึ ษา อาคารพลศกึ ษาใช้ประโยชนเ์ พอ่ื การออกกาลังกายและการฝึกหดั เล่นกฬี าในรม่ ของเด็กนักเรียน อาคารพลศกึ ษายังอาจดดั แปลงเพือ่ ใช้ประโยชน์สำหรับกิจกรรมอนื่ ๆ ของโรงเรยี นได้เปน็ ครง้ั คราว เชน่ เปน็ ห้องประชุม เป็นหอ้ งสาหรบั กจิ กรรมการแสดงออกของเด็กนักเรียนหรืออาจใชเ้ ปน็ โรงอาหาร ของโรงเรยี นไดด้ ้วย ดังน้นั การออกแบบการก่อสร้างอาคารพลศึกษาวา่ จะใชข้ นาดและรูปแบบใด จึง ตอ้ งคานึงถึงความม่งุ หมายทจี่ ะใชป้ ระโยชนจ์ ากอาคารพลศึกษา หลักสูตรท่ีสอน งบประมาณของ โรงเรียน ขนาดของโรงเรียน อายุของนักเรียน ความนิยมในกีฬาประเภทต่าง ๆ และความสนใจของ โรงเรยี นในการแขง่ ขนั กีฬา การก่อสร้างอาคารพลศึกษาต้องใช้งบประมาณจานวนมาก จึงควรมกี าร วางแผนระยะยาวต้ังแต่เร่ิมออกแบบการก่อสรา้ ง เพื่อใหไ้ ด้อาคารพลศกึ ษาท่ีพรอ้ มสมบรู ณแ์ บบทสี่ ุด เท่าทง่ี บประมาณจะอานวยได้ อาคารพลศึกษาจะตอ้ งมีครูพลศกึ ษาควบคมุ ดูแลรบั ผิดชอบตลอดเวลา เพอื่ ชว่ ยเหลือให้ คาแนะนาและดูแลการเลน่ ของนกั เรียน ในขณะเดียวกนั หากนกั เรยี นประสบอบุ ัติเหตจุ ะได้ให้ความ ช่วยเหลือได้ทันทว่ งทีด้วย

95 ๔. การจดั การสขุ าภิบาลส่ิงแวดลอ้ มในโรงเรียน ๑ แสงสว่าง แสงสวา่ งในหอ้ งเรียนและหอ้ งประกอบต่าง ๆ ทเี่ ก่ยี วกบั การเรยี นการสอนในโรงเรียนนับวา่ มี ความสาคัญมาก เพราะวา่ ในการอา่ นหรือเขยี นหนงั สือนั้น ตอ้ งใชต้ าและการมองเห็นเปน็ หลัก ถ้าแสง สวา่ งในหอ้ งเรียนไมเ่ หมาะสม นอ้ ยเกนิ ไปหรือมากเกนิ ไป จะเกิดผลเสียแก่สายตานักเรียนในระยะยาว ๑.๑ การจัดแสงสว่างในห้องเรยี น มีหลกั ทีค่ วรพิจารณา ดังนี้ ๑) จดั ใหม้ แี สงสวา่ งเพยี งพอและเหมาะสม โดยเดก็ ทุกคนทอ่ี ยใู่ นห้องเรียนไมว่ า่ จะนง่ั ณ จดุ ใด สามารถอ่าน เขยี นและมองเหน็ ส่ิงต่าง ๆ ได้ชดั เจน ๒) ความเข้มของการส่องสวา่ งควรจะสม่าเสมอโดยไม่มีแสงกระพริบ ๓) ในหอ้ งเรียนไมม่ ีจา้ หรือแสงพร่ามัว ๑.๒ แหลง่ ท่ีมาของแสงสว่าง แหล่งทม่ี าของการจัดแสงสวา่ งในหอ้ งเรยี นได้มาจาก ๒ แหล่ง ใหญ่ ๆคือ ๑) แสงสวา่ งจากธรรมชาติ แสงสวา่ งจากธรรมชาติไดม้ าจากดวงอาทติ ย์ ซึง่ นบั ว่าเป็น แสงสวา่ งทดี่ ีท่สี ุด ดงั นนั้ การออกแบบห้องเรียนจึงต้องให้ไดร้ ับแสงสว่างจากธรรมชาตมิ ากทีส่ ุด โดย ถือหลกั ว่าพื้นทปี่ ระตหู นา้ ต่าง ชอ่ งลมท่ีแสงสวา่ งธรรมชาตสิ อ่ งผ่านเข้ามาได้โดยไมม่ ีอะไรปดิ บงั ควรเป็น ๑ ใน ๔ ของพ้ืนทห่ี ้องจึงจะไดร้ บั แสงสวา่ งจากธรรมชาติเพียงพอ บริเวณใกล้ห้องเรียนถ้าจะปลูก ตน้ ไมใ้ หญ่ ควรปลกู ให้หา่ งจากอาคารเรียนไม่นอ้ ยกวา่ ๘ เมตร เพ่ือมใิ ห้บังแสงสวา่ งจากธรรมชาติ ในการจัดห้องเรียนเพ่ือให้ได้รับแสงสวา่ งท่ดี ีนัน้ ควรให้แสงสว่างเข้าทางซ้ายมือของนกั เรยี นเพ่ือมใิ หเ้ กิดเงา ของมือ ปากกาหรือดนิ สอบังตัวหนงั สือขณะเขยี น ๒) แสงสว่างท่ปี ระดิษฐ์ขนึ้ เปน็ แสงสวา่ งท่ีมนุษยจ์ ัดทาขึ้น เช่น แสงสวา่ งจากไฟฟ้า ตะเกียง เทียนไข การใชแ้ สงสว่างจากธรรมชาติเพยี งอย่างเดยี ว ในห้องเรยี นอาจไม่เพยี งพอในบาง ช่วงเวลาหรอื ในบางฤดูกาล เช่น ในขณะท้องฟ้ามดื ครึม้ ฝนตกหรือหมอกลง จึงจาเปน็ ต้องใช้แสง สว่างทีป่ ระดิษฐข์ ้นึ เขา้ ด้วย เพื่อให้ไดค้ วามเขม้ ของการส่องสวา่ งเพยี งพอตอ่ การเรยี นการสอนใน หอ้ งเรียน แสงสว่างท่ีได้จากดวงไฟน้นั จะตอ้ งมคี วามเข้มของการส่องสว่างอย่างสมา่ เสมอไม่เปน็ แสง กระพริบ สอ่ งสว่างถูกต้องตามทิศทางทีต่ ้องการ การติดต้ังดวงไฟนัน้ จะต้องพยายามให้เกิดเงาน้อยที่สุด และมีแสงสวา่ งมากท่ีสุด ปัจจุบันน้กี ารใช้แสงประดิษฐ์ในห้องเรียนนยิ มใชห้ ลอดไฟชนดิ ไมม่ ีไส้ท่เี รยี กกนั วา่ หลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งใหแ้ สงสว่างมากกว่า แสงนวลสบายตากว่า คงทนกว่าและประหยัด กระแสไฟฟา้ มากกว่าหลอดไฟฟา้ มีไส้ การตดิ ตั้งดวงไฟในหอ้ งเรยี นน้นั ควรยดึ หลกั วา่ ความเขม้ ของการ สอ่ งสวา่ งทุก ๆ จุดในหอ้ งเดยี วกันเพียงพอตามมาตรฐานทก่ี าหนดไว้ ความเขม้ ของการส่องสว่างท่ใี ช้ใน หอ้ งต่างๆ ในโรงเรยี นควรเป็น ดงั นี้ ชนดิ ของห้องเรยี น ระดบั ของความเขม้ ขน้ การ สอ่ งสว่างตา่ สดุ ห้องศิลปศึกษา ห้องหตั ถศึกษา หอ้ งเรยี น ห้องสมุด ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ๕๐ หอ้ งพลศึกษา ห้องประชาสัมพันธ์ หอ้ งประชมุ ๓๐ หอ้ งอาหาร ๒๐ ๑๐

96 ห้องน้าหอ้ งสว้ ม ทางเดนิ บนั ได ๑๐ หอ้ งพัสดุ ห้องเกบ็ ของ ๕ ๒. เสยี ง โรงเรียนเป็นสถานทที่ ่ตี ้องการความเงียบไมม่ ีเสียงรบกวน เพือ่ ใหน้ กั เรยี นและครูมีสมาธใิ นการ เรียนการสอนไดอ้ ย่างเต็มที่ เสียงดังรบกวนอาจมผี ลตอ่ การเรยี นและเปน็ ผลตอ่ การเรียนและเปน็ ผลเสยี ต่อสขุ ภาพจติ ของเด็กนักเรยี นได้ ๒.๑ แหล่งกาเนดิ เสยี งในโรงเรียน มาจาก ๒ แหล่งใหญ่ ๆ คือ ๑) แหล่งกาเนิดเสยี งภายในโรงเรยี น เสียงดงั รบกวนทมี่ าจากแหลา่ กาเนิดภายใน โรงเรียนมีหลายสาเหตเุ ช่น อาคารพลศึกษา สนามกีฬาในโรงเรียน โรงฝึกงาน หอ้ งซ้อมดนตรี เปน็ ต้น ๒) แหลง่ กาเนิดเสยี งภายนอกโรงเรยี น ไดแ้ ก่ เสียงทเ่ี กดิ จากการคมนาคม ท้งั ทางบก ทางนาและทางอากาศ ขนึ้ อยู่กับสถานทีต่ ้ังของโรงเรียนว่าอยูใ่ กลเ้ คยี งกบั กบั ทางคมนาคมทางใด นอกจากน้เี สยี งดังรบกวนจากภายนอกโรงเรียนยงั อาจเกิดจากแหล่งชมุ ชนใกลเ้ คียง เช่น ตลาด ศนู ยก์ ารค้า โรงภาพยนตร์ หรอื โรงงานอุตสาหกรรม การวดั ระดับความดงั ของเสยี งมหี น่วยวัดเปน็ เดซิเบล เป็นระดบั ความดังของเสียงที่ เปรียบเทยี บกับระดับมาตรฐานเสียงในระดับท่ีคนปกติจะรับได้ มีค่าระหวา่ ง ๐ - ๑๒๐ เดซิเบล ซง่ึ เป็นช่วงของระดับเสยี งจากค่าต่าทีส่ ดุ ท่ีคนเราจะไดย้ นิ ไปจนถึงระดับเสียงทที่ าให้เกดิ การปวดในหไู ด้ โดยทวั่ ไปภายในห้องเรียนไม่ควรมีระดบั ความดังของเสียงเกินกวา่ ๔๐ เดซิเบล ส่วนภายนอกหอ้ งเรียน ระดบั ความดังของเสยี งไม่ควรเกนิ ๗๐ เดซิเบล ๒.๒ การควบคมุ และป้องกันเสยี งดงั รบกวนในโรงเรียน สามารถดาเนนิ การได้ ดังน้ี ๑) เลือกสถานทีต่ งั้ โรงเรียนให้อยไู่ กลจากแหลง่ เสียงดังรบกวน เชน่ อยไู่ กลจากถนน ใหญ่ ทางรถไฟ สนามบนิ ตลาด โรงงานอตุ สาหกรรม ๒) จดั วางแผนผงั การก่อสรา้ งโรงเรยี นใหเ้ หมาะสม โดยแยกอาคารเรียนและอาคาร ประกอบทเี่ ปน็ แหล่งกาเนดิ เสียงภายในโรงเรยี นออกจากกนั ในระยะที่ไมก่ ่อให้เกิดเสียงดังรบกวนไปถงึ อาคารเรยี นได้ ๓) อาคารเรียนทจี่ าเป็นต้องสรา้ งใกล้แหล่งเสยี งดงั รบกวนจากภายนอกเน่ืองจากมีสถานที่ จากดั ควรออกแบบผนงั ดา้ นในของอาคารเรียนให้สามารถป้องกนั เสยี งรบกวนจากภายนอกได้ การปลูก ต้นไม้ยืนตน้ เชน่ ต้นหูกวาง ตะแบก จามจุรีกั้นไว้รอบ ๆ โรงเรยี นในระยะท่ีหา่ งพอสมควรจะ สามารถลดเสียงดงั รบกวนลงได้บา้ ง ๓. การระบายอากาศ การระบายอากาศเป็นกระบวนการเคลือ่ นไหวโดยวิธีธรรมชาตหิ รอื โดยใชเ้ ครื่องกล เพื่อนา อากาศบรสิ ทุ ธเิ์ ข้ามาและนาอากาศใชแ้ ล้วออกไป เป็นการปรับคุณภาพของอากาศให้เหมาะสมท่ีมนษุ ยจ์ ะ ใชห้ ายใจ ๓.๑ วัตถุประสงค์การระบายอากาศ โดยทั่วไปการระบายอากาศมวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่ือ ๑) เพม่ิ ปริมาณก๊าซออกซิเจนในอากาศเพ่อื ให้พอเพียงสาหรับการหายใจ ในอากาศท่ี บริสุทธต์ิ ามธรรมชาตปิ ระกอบดว้ ย ก๊าซไนโตรเจน รอ้ ยละ ๗๘.๐๙


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook