Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore project-obec aword 10-2563

project-obec aword 10-2563

Published by krular2020, 2021-04-13 14:14:56

Description: project-obec aword 10-2563

Search

Read the Text Version

เอกสารขอรบั การประเมนิsssdsgfdg ใหข้ า้ ราชการครูและบุคลากรและหนว่ ยงานทางการศึกษา รับรางวัลทรงคณุ คา่ สพฐ. (OBEC AWORD) คร้ังที่ 10 ปกี ารศกึ ษา 2563 ประเภท ครผู ูส้ อน ดา้ นนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพ่ือการเรียนการสอน ระดับ ภาคเหนอื กลุม่ โรงเรยี นการศกึ ษาสงเคราะห์ ผู้ขอรบั การประเมิน นายสมนึก แสนปวน ครชู านาญการพิเศษ โรงเรยี นศกึ ษาสงเคราะห์แมฮ่ ่องสอน สานักบริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

คำนำ เอกสารฉบับน้ีจัดทาข้ึน เพื่อนาเสนอขอรับการประเมินให้ข้าราชการครูและบุคลากร และหน่วยงานทางการศึกษารับรางวัลทรงคุณค่า สพฐ.(OBEC AWARDS) คร้ังท่ี 10 ประจาปีการศึกษา 2563 ระดับภาคเหนือ กลุ่มการศึกษาพิเศษ ประเภทครูผู้สอนยอดเยี่ยม ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพ่ือการเรียนการสอนยอดเย่ียม การรายงานข้อมูลรวบรวมจากผลการดาเนินงานตามสภาพจริงของ โรงเรียนศกึ ษาสงเคราะห์แมฮ่ ่องสอน โดยความร่วมมอื ของผูบ้ รหิ าร คณะครู/ ในการจัดทารายงานขอรับ การประเมินรางวัลทรงคุณค่า สพฐ. (OBEC AWARDS) คร้ังที 10 ประจาปีการศึกษา 2563 ระดับ ภาคเหนอื กล่มุ โรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ ฉบบั น้สี าเรจ็ ลลุ ว่ งไปด้วยดี นายสมนึก แสนปวน ครู โรงเรยี นศึกษาสงเคราะหแ์ ม่ฮอ่ งสอน แบบเสนอขอรับการประเมนิ รางวัลทรงคณุ คา่ สพฐ. (OBEC AWARDS) ครผู ู้สอนยอดเย่ียม ดา้ นนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพือ่ การเรียนการสอนยอดเยีย่ ม ของ นายสมนึก แสนปวน ครู โรงเรยี นศกึ ษาสงเคราะห์แม่ฮอ่ งสอน

สำรบัญ หนำ้ คานา 1 สารบัญ 1 ขอ้ มูลผูข้ อรบั การประเมนิ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนยอดเย่ียม 3 องค์ประกอบท่ี 1 ด้านคุณภาพผเู้ รียน องคป์ ระกอบท่ี 2 ดา้ นนวัตกรรมและเทคโนโลยเี พ่ือการเรยี นการสอน ภำคผนวก แบบเสนอขอรับการประเมนิ รางวลั ทรงคุณค่า สพฐ. (OBEC AWARDS) ครผู สู้ อนยอดเย่ียม ดา้ นนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนยอดเย่ียม ของ นายสมนกึ แสนปวน ครู โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน

1 แบบเสนอขอรับการประเมนิ ใหข้ ้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและหน่วยงาน รับรางวลั ทรงคุณคา่ สพฐ.(OBEC AWARDS) ครผู ูส้ อนยอดเย่ียม ด้านนวตั กรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนยอดเยย่ี ม ระดบั ภาค/ชาติ ..................................................................... 1. ข้อมลู ผูข้ อรับการประเมิน ชอ่ื – สกุล นายสมนึก แสนปวน อายุ 42 ปี อายรุ าชการ 12 ปี คณุ วฒุ ิสงู สดุ ศษ.ม. วชิ าเอก หลักสตู ร การสอน และเทคโนโลยีการเรียนรู้ แขนงวิชา เทคโนโลยีทางการศึกษา จากสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ ตาแหนง่ เลขที่ 1544 สถานศึกษา โรงเรยี นศึกษาสงเคราะหแ์ มฮ่ อ่ งสอน อาเภอเมอื ง จังหวัดแม่ฮอ่ งสอน สังกดั สานักบริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน รบั เงนิ เดือนในอนั ดับ คศ. 3 ข้นั 33,960 บาท ประเภท  บุคคลยอดเยยี่ ม สังกดั  โรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ ดา้ น  ด้านนวตั กรรมและเทคโนโลยเี พือ่ การเรยี นการสอนยอดเยยี่ ม 2.องคป์ ระกอบท่ี 1 ดา้ นคณุ ภาพผูเ้ รียน จากการสร้างนวตั กรรมและเทคโนโลยีในการเรยี นการสอน เพื่อแก้ไขปญั หาบรเิ วณจุดท้ิงเศษอาหาร ดา้ นประตทู างออกมเี ศษอาหารเรยี่ ราดเกลื่อนกลาดโดยผู้เรยี น ผา่ นการจัดการเรยี นรู้โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน (Project-Based Learning) พบว่า ผู้เรียนสามารถสร้างนวตั กรรมได้ตามข้นั ตอนการจดั การเรียนรแู้ บบ โครงงาน 4 ขนั้ ตอน และนวตั กรรมที่สรา้ งขึน้ สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมหรอื แก้ไขสภาพ ปัญหาทีเ่ กดิ ขน้ึ ในโรงเรยี นไดแ้ ละทศิ ทางที่ดีขึ้น ตลอดจนคุณภาพผเู้ รยี นด้านผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นของ ผ้เู รยี น อยูใ่ นระดบั 5 คือ ผเู้ รยี นไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ 70 ในรายวชิ าที่สอนมีผลสัมฤทธ์ิทางวิชาการ เปน็ ไปตามค่าเป้าหมายท่ีสถานศึกษากาหนด ตารางผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนกั เรียนทส่ี อน ปกี ารศึกษา 2563 รายวิชา โครงงานชา่ ง ง33263 ท่ี ช่อื -สกุล ช้นั แผนฯ ร มส. 0 ผลการเรียน(คน) 4 รวม 1 1.5 2 2.5 3 3.5 1 นายธนทตั ิ แสนมีโชค ม.6/2 ช่างอุตฯ - - - - - - - - -  1 2 นายปภังกร พิชติ คนพาล ม.6/2 ชา่ งอุตฯ - - - - - - - - -  1 3 นายธรี ศักด์ิ ดารงพนาไพร ม.6/2 ช่างอตุ ฯ - - - - - - - - -  1 4 นายเอกรักษ์ จารศุ ิลป์กติ ตกิ ลุ ม.6/2 ช่างอตุ ฯ - - - - - - - - -  1 5 นายสุทธศิ กั ด์ิ อาภาประเสรฐิ ม.6/2 ช่างอตุ ฯ - - - - - - - - -  1 6 นายอภนิ นั ท์ ปองปิน่ ทอง ม.6/2 ช่างอุตฯ - - - - - - - - -  1 รวม - - - - - - - - - - 6 6 รอ้ ยละ 100 - - - - - - - - - 100 - รอ้ ยละของนักเรียนทไ่ี ดร้ บั ผลการเรียน 2 ขึ้นไป 100 แบบเสนอขอรับการประเมนิ รางวัลทรงคณุ คา่ สพฐ. (OBEC AWARDS) ครูผู้สอนยอดเย่ยี ม ดา้ นนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนยอดเยยี่ ม ของ นายสมนึก แสนปวน ครู โรงเรียนศกึ ษาสงเคราะหแ์ มฮ่ อ่ งสอน

2 ภาพ 1 สอบประมวลผลความรู้ผู้เรียนในการสร้างนวัตกรรมตามข้นั ตอนการจดั การเรียนรแู้ บบโครงงาน ภาพ 2 แสดงผลงานท่ีเก่ียวขอ้ งกับการจัดการเรยี นการสอน เผยแพรส่ อื่ สาธารณะ แบบเสนอขอรบั การประเมนิ รางวลั ทรงคณุ คา่ สพฐ. (OBEC AWARDS) ครูผ้สู อนยอดเย่ยี ม ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพอ่ื การเรียนการสอนยอดเยย่ี ม ของ นายสมนึก แสนปวน ครู โรงเรยี นศึกษาสงเคราะห์แม่ฮอ่ งสอน

3 3. องค์ประกอบที่ 2 ดา้ นนวตั กรรมและเทคโนโลยีเพอื่ การเรียนการสอน 3.1 ความเปน็ มา “จุดทิ้งเศษอาหารพาสุข by SSMS PBL” เป็นนวัตกรรมท่ีได้จากการจัดการเรียนการสอน คิด และวิเคราะห์ ออกแบบและผลติ โดยผูเ้ รยี น เพ่ือสร้างพัฒนานวตั กรรมมาตอบสนองความต้องการของสังคม หรือแก้ไขสภาพปัญหาที่เกิดข้ึนในโรงเรียน ตามแนวทางวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning ) รายวิชา โครงงานช่าง ง33263 โดยนวัตกรรมได้ดาเนินการต้ังแต่เดือน ธันวาคม 2563 โดยพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมเดิมของรุ่นพี่ปี พ.ศ.2559 เพ่ือแก้ไขปัญหาบริเวณจุดทิ้งเศษ อาหารดา้ นประตทู างออกมีเศษอาหารเรี่ยราดเกล่ือนกลาด ซึ่งนวัตกรรมท่ีเกิดขึ้นจึงเป็นผลผลิตท่ีเกิดจาก การศกึ ษาทีต่ ้องการยกระดบั คุณภาพผเู้ รยี นในด้านการคิดวเิ คราะห์และพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษ ที่ 21 สอดคล้องกบั นโยบายการพัฒนางานด้านการศึกษาตามหลัก Thailand 4.0 ของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นให้ สถานศึกษาส่งเสริมการเรียนการสอนท่ีสอนให้นักเรียน นักศึกษา สามารถนาองค์ความรู้ทีมีอยู่ทุกหนทุก แห่งบนโลกมาบูรณาการเชิงสรา้ งสรรค์ เพื่อพฒั นานวตั กรรมต่างๆ มาตอบสนองความตอ้ งการของสังคม การออกแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพือ่ การเรียนการสอนโดยผเู้ รยี น จงึ เปน็ ส่ิงสาคัญที่จะพัฒนา ศักยภาพผ้เู รียน ดังน้นั วธิ ีการจดั การเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning : PBL) จงึ เป็นการเรยี นรู้ทจี่ ดั ประสบการณ์โดยให้ผู้เรียนลงมอื ปฏบิ ตั งิ านจริงอยา่ งมีระบบ เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนได้ มี ประสบการณ์ตรง โดยมคี รูเป็นผ้กู ระต้นุ นาความสนใจทเ่ี กดิ จากตัวผเู้ รยี นมาใชใ้ นการเรียนรู้ ครูจะวางแผน กจิ กรรมการเรียนร้ทู ่ีจัดประสบการณ์ใหแ้ ก่ผูเ้ รยี นเหมอื นกบั การทางานในชวี ติ จริง ท่นี าความสนใจที่เกดิ จากตวั นักเรียนมาใชใ้ นการทากิจกรรมค้นควา้ หาความรูด้ ้วยตวั เอง นาไปสู่การเพมิ่ ความรู้ทไี่ ดจ้ ากการลงมอื ปฏิบัติ การฟังและการสงั เกตจากผู้เช่ยี วชาญ โดยการเรยี นร้ผู า่ นกระบวนการทางานกล่มุ นามาสกู่ ารสรุป ความรูใ้ หม่ มกี ารเขียนกระบวนการจัดทาโครงงาน ไดผ้ ลการจัดกิจกรรมเปน็ ผลงานแบบรปู ธรรม และยงั เปน็ วิธีการจดั การเรยี นรู้อีกรูปแบบหน่ึงท่ีตอบสนองการเรยี นรขู้ องผู้เรียน เปน็ รูปแบบการสอนทีไ่ ม่เนน้ ใน หอ้ งเรียนเพยี งอย่างเดียว แต่เน้นให้ผูเ้ รียนสามารถคิดและลงมือปฏบิ ัตดิ ว้ ยตนเอง เพ่อื เตรียมความพรอ้ ม ต่อการดารงชีวติ ในอนาคต สอดคล้องกับ กติ ติชยั สธุ าสโิ นบล (2546: 2-3) กล่าววา่ การจดั การเรยี นรูโ้ ดย โครงงานมีประโยชน์ทาให้ผู้เรยี นไดใ้ ชเ้ วลาว่างให้เปน็ ประโยชนแ์ ละมีคณุ ค่าเพอื่ พัฒนาความเปน็ มนุษยโ์ ดย เลือกเรียนในสิ่งท่ตี นเองสนใจ เรียนรู้โดยใชท้ กั ษะกระบวนการกลุม่ ในการสร้างสรรคผ์ ลงานให้เหมาะสมกับ ทอ้ งถิน่ ของตน ทาใหผ้ ู้เรยี นมคี วามรับผิดชอบ รกั การทางาน สามารถทางานรว่ มกับผอู้ ื่น และปรบั ตวั เข้า กับผูอ้ ืน่ ได้อย่างมีความสุข วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื สรา้ งพัฒนานวตั กรรมมาตอบสนองความตอ้ งการของสังคมหรือแก้ไขสภาพปัญหาท่ีเกิดขึ้น ในโรงเรียน เหมาะสมกบั ทอ้ งถิน่ ของตน 2. เพ่อื พฒั นาคณุ ภาพการจัดการเรียนการสอนในด้านการคิดวิเคราะห์และพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้วธิ กี ารจัดการเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) แบบเสนอขอรบั การประเมินรางวลั ทรงคณุ ค่า สพฐ. (OBEC AWARDS) ครูผสู้ อนยอดเย่ยี ม ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยเี พ่ือการเรียนการสอนยอดเยี่ยม ของ นายสมนกึ แสนปวน ครู โรงเรยี นศึกษาสงเคราะห์แมฮ่ อ่ งสอน

4 นิยามศัพท์เฉพาะ จุดท้ิงเศษอาหารพาสุข by SSMS PBL หมายถึง นวัตกรรมที่ได้จากการจัดการเรียนการสอน คิด และวิเคราะห์ ออกแบบ และผลติ โดยผู้เรียน พัฒนาต่อยอดนวัตกรรมเดิมของรุ่นพี่ปี พ.ศ.2559 เพื่อแก้ไข ปัญหาบริเวณจุดทิ้งเศษอาหารด้านประตูทางออกมีเศษอาหารเรี่ยราดเกลื่อนกลาด ตามแนวทางวิธีการ จดั การเรยี นรู้โดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (Project-Based Learning ) วธิ กี ารจัดการเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (Project-Based Learning) หมายถึง การจดั การสอน ที่จัดประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน ให้แก่ผู้เรียนเหมือนกับการทางานในชีวิตจริงอย่างมีระบบ เพื่อเปิด โอกาสใหผ้ ู้เรยี นไดม้ ีประสบการณต์ รง ได้เรยี นรู้วิธีการแก้ปัญหา วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ได้ทาการทดลอง ได้พิสูจน์สิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง รู้จักการวางแผนการทางาน ฝึกการเป็นผู้นา ผู้ตาม ตลอดจนได้พัฒนา กระบวนการคดิ โดยเฉพาะการคดิ ขั้นสงู (Higher Order Thinking) และการประเมนิ ตนเอง แนวทางวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning ) หมายถึง ขัน้ ตอนการจัดการเรยี นร้แู บบโครงงาน 4 ขนั้ ตอน ดังนี้ 1. ขั้นนาเสนอ หมายถึง ข้ันที่ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาใบความรู้ กาหนดสถานการณ์ ศึกษา สถานการณ์ เล่นเกม ดูรูปภาพ หรือผู้สอนใช้เทคนิคการต้ังคาถามเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้ที่กาหน ดใน แผนการจัดการเรียนรู้แตล่ ะแผน 2. ข้นั วางแผน หมายถึง ขัน้ ท่ผี ู้เรียนร่วมกันวางแผน โดยการระดมความคิด อภิปรายหารือข้อสรุป ของกลุ่ม เพ่อื ใช้เป็นแนวทางในการปฏบิ ัติ 3. ขน้ั ปฏิบตั ิ หมายถึง ขั้นท่ีผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรม เขียนสรุปรายงานผลท่ีเกิดขึ้นจากการวางแผน รว่ มกนั 4. ขน้ั ประเมนิ ผล หมายถึง ข้ันการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง โดยให้บรรลุจุดประสงค์การ เรยี นรู้ทก่ี าหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ โดยมผี ้สู อน ผู้เรียนและเพ่อื นรว่ มกันประเมิน 3.2 นวตั กรรมจากการจดั การเรียนการสอน ช่ือนวตั กรรม : จุดทง้ิ เศษอาหารพาสขุ by SSMS PBL สร้างเพอื่ แกไ้ ขปัญหา : บรเิ วณจดุ ทง้ิ เศษอาหารดา้ นประตูทางออกมีเศษอาหารเรีย่ ราดเกลอ่ื นกลาด ภาพ 3 นวัตกรรม จดุ ท้ิงเศษอาหารพาสุข by SSMS PBL แบบเสนอขอรับการประเมนิ รางวัลทรงคณุ ค่า สพฐ. (OBEC AWARDS) ครผู ้สู อนยอดเยีย่ ม ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยเี พอ่ื การเรียนการสอนยอดเย่ยี ม ของ นายสมนกึ แสนปวน ครู โรงเรยี นศึกษาสงเคราะหแ์ ม่ฮ่องสอน

5 ภาพ 4 ชอ่ งทเี่ ศษอาหาร 2 จดุ ภาพ 5 ด้านหลงั ส่วนทีป่ ิดและจดั เก็บถงั รบั เศษอาหาร แบบเสนอขอรับการประเมินรางวลั ทรงคณุ คา่ สพฐ. (OBEC AWARDS) ครูผูส้ อนยอดเยย่ี ม ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยเี พือ่ การเรียนการสอนยอดเย่ยี ม ของ นายสมนกึ แสนปวน ครู โรงเรยี นศกึ ษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน

6 ภาพ 6 จดุ รับเศษอาหาร 2 จดุ ภาพ 7 ภาพท่กี ัน้ ดา้ นซา้ ย ภาพ 8 ภาพทีก่ นั้ ดา้ นขวา แบบเสนอขอรับการประเมินรางวัลทรงคุณคา่ สพฐ. (OBEC AWARDS) ครผู ูส้ อนยอดเยีย่ ม ดา้ นนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพอื่ การเรียนการสอนยอดเยยี่ ม ของ นายสมนึก แสนปวน ครู โรงเรียนศกึ ษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน

7 ผลกระทบทเี่ กิดจากปญั หา : 1) ทาให้บรเิ วณโดยรอบส่งกลิ่นเหม็นบรเิ วณรอบๆถังทเี่ ศษอาหารไม่สะอาด 2) ยากตอ่ การเกบ็ และทาความสะอาด 3) มแี มลงวันมาตอมโดยรอบๆของจุดท้งิ เศษอาหาร 4) มสี ุนัขมาคุย้ เศษอาหารทาใหเ้ ศษอาหารกระจายเพ่ิมมากขน้ึ ในบรเิ วณ นวัตกรรมสรา้ งจากเศษวสั ดเุ หลอื ใช้ : เศษเหล็ก สังกะสีเกา่ จากโรงอาบน้าท่ีพงั , สงั กะสีเก่าจากโตะ๊ อาหารทช่ี ารุดผผุ ัง สังกะสี เศษเหลก็ เก่าจากโรงอาบนา้ ท่พี ัง เคาะเศษอาหารไม่ลงถัง สังกะสเี กา่ จากโต๊ะอาหารที่ชารุดผผุ งั แบบเสนอขอรบั การประเมินรางวลั ทรงคณุ คา่ สพฐ. (OBEC AWARDS) ครูผู้สอนยอดเย่ียม ดา้ นนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพ่อื การเรียนการสอนยอดเยยี่ ม ของ นายสมนกึ แสนปวน ครู โรงเรียนศึกษาสงเคราะหแ์ มฮ่ อ่ งสอน

8 วิเคราะห์ ออกแบบ จากสาเหตขุ องปัญหา : 1) เวลาทานขา้ วเสร็จจะมคี นมาทง้ิ เศษอาหารแล้วเคาะเศษอาหารไม่ลงถงั 2) นกั เรียนบ้างคนก็เคาะไม่ถึงเศษอาหารไม่ลงถงั 3) คนมาขา้ งหลังแยง่ กนั มาทิ้งเศษอาหารในถงั ทาให้เศษอาหารเรี่ยราดกระจาย ตามบริเวณพ้นื 4) ถังท้งิ เศษอาหารมขี นาดของปากเลก็ และถงั ที่บรรจุเศษอาหารเลก็ กว่า ปริมาณอาหารที่ท้งิ เลยทาให้ถังแตกเวลาทาความสะอาดกย็ ากตอ่ การเกบ็ กวาดไปท้งิ 5) มีสนุ ัขมาคุ้ยเศษอาหารทาใหเ้ ศษอาหาร ขยายปากรับใหก้ วา้ ง เพ่ิม2ช่อง แก้ไข เวลาทานข้าวเสรจ็ จะมคี นมาท้งิ เศษอาหารแล้วเคาะเศษอาหารไม่ลงถัง เชอื่ มแทน่ ยืนเพ่ิมความสงู แก้ไขนักเรียนบ้างคนก็เคาะไมถ่ งึ เศษอาหารไมล่ งถงั แบบเสนอขอรบั การประเมนิ รางวลั ทรงคณุ ค่า สพฐ. (OBEC AWARDS) ครูผสู้ อนยอดเยยี่ ม ดา้ นนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพอื่ การเรียนการสอนยอดเยยี่ ม ของ นายสมนึก แสนปวน ครู โรงเรยี นศึกษาสงเคราะห์แมฮ่ ่องสอน

9 ขยายปากรับใหก้ ว้างทาชอ่ งลาดเอียงลงถงั เศษรับอาหาร และเพิ่มถังสารอง3ถงั เพอ่ื สบั เปล่ยี นเวลาใกลเ้ ต็ม แก้ไข ถงั ทิ้งเศษอาหารมขี นาดของปากเลก็ และถงั ทบี่ รรจเุ ศษอาหารเล็กกวา่ ปรมิ าณอาหารทที่ ้งิ เลยทาใหถ้ ัง แตกเวลาทาความสะอาดกย็ ากตอ่ การเกบ็ กวาดไปทิง้ แบบเสนอขอรับการประเมนิ รางวัลทรงคณุ ค่า สพฐ. (OBEC AWARDS) ครผู ู้สอนยอดเยย่ี ม ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนยอดเยยี่ ม ของ นายสมนกึ แสนปวน ครู โรงเรยี นศึกษาสงเคราะหแ์ มฮ่ อ่ งสอน

10 3. ผลจากการใชน้ วตั กรรม Before Affer แบบเสนอขอรบั การประเมนิ รางวลั ทรงคุณคา่ สพฐ. (OBEC AWARDS) ครผู ู้สอนยอดเยย่ี ม ดา้ นนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพ่อื การเรียนการสอนยอดเย่ียม ของ นายสมนึก แสนปวน ครู โรงเรียนศึกษาสงเคราะหแ์ ม่ฮ่องสอน

11 ภาคผนวก แบบเสนอขอรับการประเมนิ รางวัลทรงคุณคา่ สพฐ. (OBEC AWARDS) ครูผูส้ อนยอดเยย่ี ม ดา้ นนวัตกรรมและเทคโนโลยเี พื่อการเรียนการสอนยอดเยี่ยม ของ นายสมนึก แสนปวน ครู โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แมฮ่ อ่ งสอน

โครงงานชา่ ง เรื่อง จดุ ทิ้งเศษอาหารพาสุข ปภังกร พิชติ คนพาล ธีรศักด์ิ ดารงพนาไพร อภนิ นั ท์ ปองปิน่ ทอง แผนการเรยี นรชู้ ่างอุตสาหกรรม การเรียนร้โู ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (Project-based Learning : PBL) โรงเรียนศกึ ษาสงเคราะห์แม่ฮอ่ งสอน มีนาคม 2564

ก กิตตกิ รรมประกาศ การค้นควา้ การทาโครงงานชา่ งครั้งนี้ สาเร็จไดด้ ้วยความกรณุ าจากคุณครู สมนกึ แสนปวน ครูทปี่ รึกษาการคน้ ควา้ ทาโครงงาน ท่ีใหค้ วามช่วยเหลอื แนะนาใหค้ าปรึกษา พฒั นาเคร่อื งมอื ตรวจสอบ เคร่ืองมือ ตรวจทานแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งตา่ งๆเปน็ อย่างดีนบั ต้ังแต่ต้นจนจบ ขอขอบคณุ คุณครู สงวนศกั ดิ์ ศรวี ิชัย ครูชานาญการ ครูประจาสาขาวชิ าชา่ งอุตสาหกรรม และ คุณครู กชพร คิดดี ท่ีให้ความกรณุ าในการสอบประมวลผลความรู้ ช้ีแนะแนวทาง ใหค้ าแนะนาต่างๆในการ ทาโครงงานช่างคร้งั น้ี และขอขอบคณุ เพ่อื นนักเรียนช่างอุตสาหกรรม รุ่นท่ี 23 ทกุ ท่าน ทใ่ี หก้ าลังใจใหค้ าปรกึ ษาจนการ ค้นคว้าทาโครงงานชา่ งครง้ั นีจ้ นเสร็จสมบรู ณ์ประโยชน์ท่ีไดร้ ับจากการศกึ ษาครงั้ นี้ขอมอบแดผ่ ปู้ ระสิทธ์ิ ประสาทวชิ าความร้ใู ห้แก่ผู้ศกึ ษา คณะผู้จดั ทา

ข สารบญั หน้า ก กติ ติกรรมประกาศ ข สารบญั 1 1 บทที่ 1 บทนา 2 ท่ีมาและความสาคัญของโครงงาน 2 วัตถุประสงคใ์ นการศึกษา สมมตฐิ านในการศึกษา ขอบเขตการศกึ ษา บทที่ 2 เอกสารและโครงงานทเี่ กีย่ วขอ้ ง 3 เทคนิคการเชื่อมโลหะแบบตา่ งๆ 8 ความปลอดภยั ในการเช่อื มโลหะดว้ ยไฟฟ้า 11 เทคนคิ การทาสนี ้ามนั เคลือบเงา 12 สตี อ่ ผลกระทบทางอารมณ์ 16 สังกะสี 18 เทคนคิ งานพับสเตนเลส 27 ตะปูเกลียว 28 แบบสอบถาม 33 ความรับผิดชอบต่อหนา้ ท่กี ารงาน 34 โครงงานทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง บทที่ 3 วธิ กี ารดาเนินงานโครงงาน 36 ขนั้ ตอนท่ี1 จดั ทาแบบสอบถามเรอ่ื งเศษอาหารลน้ ถังและผลกระทบของเศษอาหาร 37 ขั้นตอนที่2 ทาสาเนาแบบสอบถามเรอื่ งเศษอาหารลน้ ถังและผลกระทบของ เศษอาหารจานวน417แผ่น 37 ขั้นตอนท่ี3 แจกแบบสอบถามใหป้ ระชากรในโรงเรยี น 38 ข้นั ตอนท่ี4 เกบ็ แบบสอบถามคืน 38 ข้ันตอนท่ี5 รวบรวมข้อมลู สรปุ ขอ้ มูล ( ก่อนการดาเนินการ ) 39 ขั้นตอนที่6 ศกึ ษาสารวจพนื้ ท่ีทจี่ ะวางโครง

สารบญั (ตอ่ ) ค ขน้ั ตอนท7ี่ ตดั เหล็กทต่ี ้องการและเช่ือมโครงให้ติดกันตามรปู แบบรายการ 39 ข้นั ตอนท8ี่ พบั ช่องทงิ้ เศษอาหาร 40 ขั้นตอนท9่ี ตอ่ ท่อนา้ ล้างเศษอาหารและตอ่ ทอ่ น้าทิ้ง 40 ขน้ั ตอนท1่ี 0 เช่อื มทีเ่ หยียบรเิ วณดา้ นหน้าเพ่ือท้ิงเศษอาหาร 41 ขั้นตอนท1่ี 1 ตดิ แผ่นโลหะรอบๆถงั ท่เี ศษอาหาร 41 ขน้ั ตอนท1่ี 2 นาโครงงานไปตดิ ตง้ั บรเิ วณประตูทางออกโรงอาหาร 42 ขั้นตอนท1่ี 3 ทดลองใชร้ ะยะเวลา1เดอื น 42 ขั้นตอนท1่ี 4 จดั ทาแบบสอบถามเรอ่ื งเศษอาหารลน้ ถังและผลกระทบของ 43 เศษอาหาร (หลังการดาเนินงาน) ขัน้ ตอนท1ี่ 5 ทาสาเนาแบบสอบถามเรอื่ งเศษอาหารลน้ ถังและผลกระทบ 43 ของเศษอาหารจานวน417แผน่ ขั้นตอนท1่ี 6 แจกแบบสอบถามให้ประชากรในโรงเรียน 44 ขน้ั ตอนท1ี่ 7 เก็บแบบสอบถามคืน 44 ขน้ั ตอนท1ี่ 8 รวบรวมข้อมลู สรุปข้อมลู ( หลังการดาเนินการ ) 45 ขน้ั ตอนท1ี่ 9 วิเคราะห์ข้อมูลก่อนและหลงั 45 ขนั้ ตอนท2ี่ 0 อภปิ รายผลหลังการดาเนินงานโครงงาน 56 บทท่ี 4 ผลการดาเนนิ งานโครงงาน 47 ผลการดาเนนิ งานโครงงาน 51 กราฟผลการดาเนินงาน 52 บทที่ 5 สรปุ อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 56 ผลสรปุ โครงงาน 58 อภิปรายผล ขอ้ เสนอแนะ 59 60 บรรณานกุ รม 61 ประวตั ิผู้จดั ทา ภาคผนวก

1 บทที่ 1 บทนา ทมี่ าและความสาคัญของโครงงาน จากการดารงชีวติ ประจาวนั ของเราในการมารับประทานอาหารในแตํละมอ้ื พบสภาพปญั หา คือ บรเิ วณจดุ ทงิ้ เศษอาหารดา๎ นประตูทางออกมีเศษอาหารเรี่ยราดเกลื่อนกลาดและสภาพปัญหาดงั กลาํ ว สํงผลกระทบทาให๎บรเิ วณโดยรอบสงํ กลิน่ เหม็นบรเิ วณรอบๆถงั ทเ่ี ศษอาหารไมํสะอาดยากตอํ การเกบ็ กวาด มแี มลงวนั มาตอมโดยรอบๆของจุดทง้ิ เศษอาหาร และมสี ุนัขมาคุย๎ เศษอาหารทาใหเ๎ ศษอาหารกระจายเพิม่ มากขน้ึ ในบรเิ วณดังกลําว จากการวเิ คราะหส์ ภาพปญั หาพบวํามาจากสาเหตุเวลาทานขา๎ วเสรจ็ จะมีคนมาทิง้ เศษอาหาร แล๎วเคาะเศษอาหารไมํลงถังนักเรยี นบ๎างคนกเ็ คาะไมถํ งึ เศษอาหารไมํลงถังคนมาข๎างหลังแยํงกันมาท้ิงเศษ อาหารในถงั ทาให๎เศษอาหารเรี่ยราดกระจายตามบรเิ วณพน้ื ถงั ท้ิงเศษอาหารมขี นาดของปากเลก็ และถังท่ี บรรจุเศษอาหารเล็กกวาํ ปริมาณอาหารที่ทงิ้ เลยทาใหถ๎ งั แตกและเวลาทาความสะอาดก็ยากตอํ การเกบ็ กวาด ไปทิง้ จากสภาพปญั หาดงั กลําวมีความจาเป็นอยํางยิ่งทจี่ ะต๎องไดร๎ ับการแกไ๎ ขเพราะเป็นจุดบริการท้งิ เศษอาหารหลังทานขา๎ วทุกวัน ถ๎าหากไมไํ ดร๎ บั การแก๎ไขจะสงํ ผลให๎จุดท้งิ เศษอาหาร โดยรอบสํงกลิ่นเหม็น บริเวณรอบๆถังทเ่ี ศษอาหารไมสํ ะอาดยากตํอการเกบ็ กวาด มแี มลงวนั มาตอม และมสี ุนัขมาคย๎ุ เศษอาหาร เรยี่ ราด แตถํ ๎าบรเิ วณดงั กลําวได๎รับการแก๎ไขแลว๎ จดุ นี้มีจะไมํมกี ลน่ิ เหม็นในบรเิ วณรอบๆถังท่ีเศษอาหาร พื้นท่สี ะอาดงาํ ยตอํ การเกบ็ กวาดแมลงวันมาตอมไมสํ ามารถมาตอมเศษอาหารทงิ้ ไดแ๎ ละสุนัขไมสํ ามารถมา ค๎ยุ เศษอาหารใหเ๎ รย่ี ราดได๎ วัตถปุ ระสงค์ของการทาโครงงาน เชิงปริมาณ -เพื่อสรา๎ ง จุดท่ีท้งิ เศษอาหาร จานวน 1 ชุด เชิงคุณภาพ -เพอื่ บริการในการทิ้งเศษอาหารตรงประตทู างออกในดา๎ นความเปน็ ระเบยี บเรียบร๎อย -ลดในดา๎ นเศษอาหารล๎นถงั และทาให๎การเกบ็ กวาดเศษอาหารสะดวกรวดเร็วขึ้น

2 สมมตฐิ านของการศกึ ษา หลังจากสร๎างจดุ ท้งิ เศษอาหารแล๎วจะไมํพบปัญหาเศษอาหารเรี่ยราด ไมํพบสนุ ขั มาคยุ๎ เข่ยี เศษ อาหารไมํมแี มลงวันมาตอมบริเวณรอบๆจดุ ท้ิงเศษอาหารและจะไมสํ ํงกล่ินเหม็น ขอบเขตของการทาโครงงาน ขอบเขตดา้ นสถานท่ี -บริเวณโรงอาหารนกั เรียนดา๎ นประตทู างออกของโรงอาหาร ขอบเขตดา้ นระยะเวลา 1 มกราคม - 20 มนี าคม 2564 ขอบเขตด้านตัวแปรที่ศกึ ษา - กลนิ่ เหม็น - ความสะอาด - สนุ ัขมาคยุ๎ - แมลงวันตอม นิยามศัพทเ์ ฉพาะ กล่ินเหมน็ หมายถงึ กลิ่นเหม็นของเศษอาหารบรเิ วณจุดทิง้ เศษอาหารทางออกโรงอาหาร ความสะอาด หมายถงึ เศษอาหารเร่ียราดบริเวณจดุ ท้ิงเศษอาหารทางออกของโรงอาหาร สุนขั มาคุ๎ย หมายถงึ สนุ ขั ท่ีมาคย๎ุ เศษอาหารบรเิ วณจดุ ท้ิงเศษอาหาร แมลงวนั ตอม หมายถงึ แมลงวนั ทีม่ าตอมเศษอาหารบรเิ วณจุดท้งิ เศษอาหาร

3 บทท่ี 2 เอกสารและโครงงานท่เี กยี่ วขอ้ ง 1.เทคนิคการเช่ือม ภาพท่ี 1 การต้งั มมุ ลวดเชอ่ื ม การเชอื่ มไฟฟา้ ใหไ๎ ด๎รอยเชือ่ มท่มี คี วามแขง็ แรง และแนวเชอ่ื มทส่ี มบูรณ์จะต๎องมเี ทคนิคในการเชอ่ื มคือ การตง้ั มุมลวดเชื่อม การตั้งมมุ ลวดเชื่อมที่เหมาะสมขนาดมุมท่ีเหมาะสมจะขน้ึ อยูกํ บั ลกั ษณะของรอยตอํ และตาแหนงํ ทําเชื่อมจะเป็นตัวกาหนด มุมลวดเชอื่ มทก่ี ระทาตอํ ช้นิ งานจะมอี ทิ ธพิ ลตํอคณุ ภาพของแนวเช่อื ม ตาแหนงํ ของการเติมโลหะหลอมละลายการลอยตวั ของสแลกและรปู ราํ งลักษณะของแนวเช่ือม มุมเชือ่ มประกอบดว๎ ย มุมนาและมมุ งาน มมุ นาคอื มุมเอียงของลวดเชื่อมวดั จากแนวดงิ่ 90 องศา เอยี งไปในทิศทางเดียวกันกบั ทิศทางของการเดินแนวเช่อื ม 10 – 15 องศาสวํ นมุมงานคือมมุ เอยี ง ของลวดเช่อื มวดั จากแนวระดับกับชิ้นงาน 75 – 80 องศา เฉพาะในตาแหนํงทําราบและทาํ เหนือ ศรี ษะสํวนทาํ อ่นื ๆมุมนาและมมุ งานลวดเชื่อมก็จะเปลย่ี นไปมุมดา๎ นข๎างคอื มมุ ทีว่ ัดจากแนวแกน ลวดเชอื่ มเขา๎ หาตวั ผ๎ูเช่ือมโดยในการเชื่อมทําราบและทําเหนอื ศีรษะนั้นมุมขา๎ งจะตง้ั ฉาก (90องศา) กับช้ินงาน

4 การเริม่ ต้นและสนิ้ สดุ แนวเช่อื ม คณุ ภาพของแนวเชอื่ มนน้ั ไมไํ ด๎ดูตรงสํวนหนง่ึ สวํ นใดเปน็ การเฉพาะแตํจะตอ๎ งดตู ลอดทั้งแนว ชาํ งเชื่อมหลายคนไมปํ ระสบความสาเร็จเทาํ ทีค่ วร เนอื่ งจากละเลยขอ๎ ปฏบิ ตั ิการเริม่ ต๎น และการ สิ้นสดุ แนวเชื่อม การเริ่มตน้ เชื่อม ควรเตรียมงานใหส๎ ะอาด ปราศจากส่ิงตําง ๆ เชนํ จาระบี นา้ มนั สนิมเพราะจะทาใหร๎ อยเชือ่ มท่ี ไดไ๎ มํมีคุณภาพตามตอ๎ งการ การเร่ิมตน๎ เช่ือมบรเิ วณจดุ เรม่ิ ตน๎ ของแนวเชอื่ มจะเริ่ม จากการทาให๎ เกดิ การอาร์ก เมือ่ เกดิ การอารก์ ขนึ้ แลว๎ ใหย๎ กลวดเชอื่ มขึน้ ประมาณ 2 เทาํ ของเส๎นผาํ ศูนยก์ ลางลวด เชื่อม ทามมุ เชอ่ื มตามลกั ษณะของรอยตอํ แบบตํางๆ ซึง่ มุมเช่อื มจะแตกตาํ งกันไป หลังจากน้นั ให๎ สร๎างบํอหลอมเหลวซง่ึ จะกว๎างประมาณ 1.5 – 2 เทาํ ของเสน๎ ผาํ ศนู ย์กลางลวดเชือ่ ม และตอ๎ งให๎มี การซมึ ลกึ อยาํ งสมา่ เสมอ งานป้อนลวดเชื่อม ระหวาํ งการ อาร์ก ลวดเช่อื มจะละลายประสานแนวเชอื่ มทีละนอ๎ ย ให๎ปอ้ นลวดเช่อื มลงหาชิ้นงาน โดยรกั ษาระยะอารก์ คงทมี่ มุ ด๎านข๎างยังรกั ษาไว๎ใหไ๎ ด๎ องศา การตอ่ แนวเชือ่ ม ลวดเช่ือมไฟฟ้าแบบห๎ุมฟลกั ซ์ เมอ่ื เชอ่ื มจนปลายลวดเชือ่ มเหลือประมาณ 38.10มม.จะต๎องมกี าร เปลยี่ นลวดเชือ่ มใหมแํ ละในการเปล่ียนลวดเชอ่ื มใหมํ จะต๎องมีการตํอแนวเชอ่ื มซ่ึงจะต๎องเปน็ แนวเดียวกันกบั แนวเดมิ และจะต๎องมีความแขง็ แรงและมคี ณุ สมบตั เิ ทํากบั แนวเดิมดว๎ ย ขอ้ สงั เกตในการตอ่ แนวเชอ่ื ม ไมคํ วรเรม่ิ ตน๎ อาร์กใหมํข๎างแอํงโลหะปลายแนวเชือ่ มเพราะจะทาใหค๎ วามร๎อนไมเํ พยี งพอทจี่ ะ หลอมเหลวเป็นเน้ือเดยี วกนั ของแนวเชอ่ื มและการเติมลวดเชือ่ มตรงแนวตํอจะต๎องควบคมุ อยําให๎ มากเกนิ ไปเพราะจะทาให๎แนวเชอื่ มนนู กวําแนวเดมิ แตถํ ๎าเตมิ ลวดเชอื่ มน๎อยเกินไปจะทาให๎แนว เชอ่ื มแบนและเกิดรอยแหวํง 1.1.ทา่ เชือ่ มไฟฟา้ การเชอื่ มไฟฟ้ามีทาํ เชอื่ มไดห๎ ลายทําตามลกั ษณะของการทางานดังน้ี 1.1.1 การเชอื่ มต่อเกยในทา่ ราบ การเชือ่ มตํอเกยทาํ ราบเป็นแบบของรอยตํอท่นี ยิ มใช๎กนั มากในงานอุตสาหกรรมด๎านตํางๆ จดั เป็นรอยตอํ ทีป่ ระหยดั ไมเํ สยี เวลาในการเตรยี มงานรอยตอํ เกยจะมีความแขง็ แรงสงู สุดเมอ่ื เชื่อมรอยตํอทงั้ สองดา๎ นในการเชือ่ มจะต๎องไมํใช๎กระแสไฟสูงมุมของลวดเช่อื มในขณะเช่ือม ประมาณ45 – 60 องศาการเคล่อื นไหวลวดเช่อื มจะเปน็ ลักษณะเดินหน๎าถอยหลังไปตามแนวเชอื่ ม

5 การเคลอ่ื นไหวลวดเชอื่ มเชนํ น้จี ะเปน็ การอุํนโลหะงานให๎รอ๎ นลํวงหน๎ากํอนท่จี ะเชื่อมไปถึง ซง่ึ จะ ทาให๎รอยเชือ่ มนูนสมบูรณ์ และป้องกนั ไมํให๎สแลคหลอมเหลวไหลล้าหนา๎ รอยเชอื่ ม . ภาพที่ 2 การเชอื่ มตํอเกยในทาํ ราบ 1.1.2 การเชอ่ื มรอยตอ่ ชนทา่ ราบ รอยตํอชนทาํ ราบเป็นรอยตํอทีใ่ ชก๎ นั มากสาหรับการตํอโลหะงานท่วั ไปโลหะงานซึง่ หนาเกิน ¼ น้วิ เมือ่ ทาการเชื่อมรอยตอํ ท้งั สองด๎านแลว๎ จะเป็นรอยตอํ ทมี่ ปี ระสิทธิภาพสูงมากการท่จี ะใหร๎ อย เชอ่ื มมคี วามแขง็ แรงมากหรอื น๎อยขน้ึ อยกํู ับขนาดของการซึมลึกของรอยเชือ่ มขนาดของการซึมลึก จะขนึ้ อยูกํ บั ขนาดของลวดเชอื่ มและกระแสทีใ่ ช๎ในการเช่อื มขณะเช่อื มลวดเช่อื มจะตอ๎ งเอยี งไป ข๎างหน๎า 10 – 20 องศาตามทศิ ทางท่ีลวดเชือ่ มเคลอื่ นที่ไป ภาพท่ี 3 การเชอ่ื มรอยตํอชนทาํ ราบ

6 1.1.3 การเช่อื มรอยตอ่ รูปตัวทใี นท่าราบ การเชื่อมรอยตํอชนรปู ตัวทจี ะตอ๎ งปรบั กระแสไฟให๎สงู พอที่จะทาให๎โลหะหลอมเหลวจนไหลได๎ งํายเพ่อื ทาให๎เกดิ การซมึ ลึกลงไปจนถึงสวํ นลาํ งสดุ ของรอยตํอการบงั คบั ลวดเชอ่ื มไปยังมมุ ของ รอยตํอตอ๎ งชี้อยบูํ นโลหะแผํนตง้ั มากกวําแผนํ นอน พรอ๎ มกบั เอยี งลวดเชือ่ มไปข๎างหน๎าประมาณ 30 – 40 องศา พยายามเคล่อื นลวดเชื่อมดว๎ ยความเร็วสมา่ เสมอและมกี ารเดินหน๎าถอยหลงั ในระยะ ส้ันเพอื่ เปน็ การอุํนงานสํวนลาํ งสดุ ของรอยตํอและยังปอ้ งกนั สแลคหลอมเหลวลา๎ หนา๎ รอยเชือ่ ม . ภาพที่ 4 การเชอื่ มรอยตํอรูปตวั ทใี นทาํ ราบ 1.1.4 การเชอื่ มในทา่ ขนานนอน การเช่อื มรอยตอํ แบบตาํ งๆในทําขนานนอนการบงั คบั ลวดเชื่อมจะตอ๎ งบังคบั ให๎ลวดเชอื่ มชข้ี ึน้ เป็นมุม 20 องศาเพอ่ื ใชแ๎ รงผลกั ดันจากการอารค์ ชํวยพยงุ ให๎โลหะที่หลอมเหลวนแองํ ไหลลงมา ไหลย๎อนขน้ึ ไปกบั รอยเช่ือมนอกจากนจ้ี ะตอ๎ งเอียงลวดเชื่อมเปน็ มุม 20 องศาในทิศทางการ เคลือ่ นทข่ี องลวดเชือ่ มดว๎ ย เชนํ เดียวกับการเช่อื มในทําราบ ภาพท่ี 5 การเช่ือมในทาํ ขนานนอน

7 1. 1.5 การเชือ่ มในทา่ ตัง้ การฝึกหัดทาํ เช่อื มลกั ษณะนีแ้ บํงออกเป็น 2 วิธคี ือการเชอ่ื มขึน้ (Up Hill) และการเช่อื มลง (Down Hill) การเช่ือมขึ้น มีเทคนิคทสี่ าคญั คือการบงั คับใหล๎ วดเช่อื มต้ังฉากกบั พื้นผิวโลหะงาน และการเอยี งลวดเชอ่ื มทามมุ ช้ขี ้นึ ไมํเกิน 10 องศา การปรบั กระแสควรปรับให๎มกี ระแสคํอนข๎างสูง เสมอขณะทาการเชื่อมควรเคลือ่ นไหวลวดเชือ่ มเป็นแบบยกขน้ึ แล๎วลดตําลงมาทแี่ องํ โลหะ หลอมเหลวเป็นระยะประมาณ 2 น้วิ แตํระวังอยาํ ใหก๎ ารอาร์คดับ ภาพที่ 6 การเชอื่ มในทาํ ตั้ง 1.1.6 ทา่ เชื่อมเหนือศีรษะ เปน็ ทาํ เช่อื มท่ปี ฏบิ ัติยากทีส่ ุด และเกิดอันตรายกับผป๎ู ฏิบตั ิมากท่สี ดุ ถา๎ หากสวมชดุ ปฏบิ ัติงานไมํ ถูกต๎องทีส่ าคญั สาหรับการเชื่อมทําเหนือศรี ษะคอื การปรบั ขนาดของกระแสไฟตอ๎ งใหส๎ ูงไว๎และ ใชร๎ ะยะอาร์คสน้ั ๆบงั คบั ให๎ลวดเช่อื มตงั้ ฉากกับพืน้ ผิวโลหะงานและทามมุ เอยี งประมาณไมํเกนิ 10 องศา ตามทศิ ทางการท่ีลวดเชื่อมเคลือ่ นท่ีไปการเคลอื่ นท่ีลวดเชื่อมจะเป็นลกั ษณะเดนิ หนา๎ ถอยหลงั หรือเคลื่อนไหวลวดเชื่อมแบบสาํ ย ภาพท่ี 7 ทาํ เชอื่ มเหนือศรี ษะ

8 1.2.การเดนิ แนวเช่อื ม การเดนิ แนวเช่อื มไฟฟ้าต๎องคานึงถงึ แนวเชอื่ ม ทําเช่ือม ชนดิ ของลวดเชอ่ื มและความหนาของแนวที่ จะเชอ่ื มการเดินแนวทาได๎ดังนี้ ภาพท่ี 8 การเดินแนวเช่ือม 1.2.1 การเดินแนวเชอ่ื มระนาบ เดนิ แนวตรงไมสํ าํ ย แลวเช่อื มเลก็ แนวนูน เดินแนวสํายลวดเช่อื ม ต๎องการแนวเช่อื มกว๎าง แนวเชอื่ มเวา๎ ตรงกลาง 1.2.2การเดนิ แนวเชอื่ มตง้ั ขึ้นและลง ตง้ั ข้นึ ใหใ๎ ช๎สาํ ยลวดเชอ่ื มแบบซแิ ซกขึ้นบน เช่อื มลง สํายลวดเช่ือมแบบคร่งึ วงกลมจากบนลงลําง เช่ือมลง สาํ ยลวดเชือ่ มแบบสามเหล่ียมจากบนลงลาํ ง 2 ความปลอดภยั ในการเชอ่ื มโลหะดว้ ยไฟฟา้ เพือ่ ความปลอดภัยในการเชือ่ มโลหะด๎วยไฟฟ้า ผปู๎ ฏิบัติงานจาเป็นอยาํ งยง่ิ ตอ๎ งศึกษาถงึ อันตรายท่ี อาจเกดิ ขน้ึ ไดใ๎ นขณะปฏบิ ตั ิงาน ซ่งึ โดยท่ัวไปอันตรายในการเช่อื มโลหะดว๎ ยไฟฟา้ สามารถแบงํ ออกเปน็ 2 ประเภทคอื อนั ตรายท่เี กดิ จากธรรมชาติ(Inherent Hazards) และอันตรายท่เี กดิ จาก ภายในงานเชือ่ ม(Latent Hazards) 2.1 อันตรายทเ่ี กิดจากธรรมชาต(ิ Inherent Hazards) อนั ตรายท่เี กิดจากธรรมชาติของการเชื่อมโลหะด๎วยไฟฟ้าผป๎ู ฏิบตั ิงานเชือ่ มจะต๎องศกึ ษาให๎เขา๎ ใจ เพ่ือปอ้ งกันไมใํ หเ๎ กดิ อันตรายตอํ ตนเองและผม๎ู สี วํ นเกยี่ วข๎องดังนี้ 2.1..1 อันตรายท่เี กดิ อาการช๏อกจากกระแสไฟฟา้ (ELECTRIC SHOCK) อาการชอ๏ กท่ีเกดิ จากสายดนิ หรอื การสมั ผสั กับกระแสไฟฟ้า อันเน่อื งมา จากความช้นื ของถงุ มอื ,เสอื้ ,พ้นื หรอื ความเปียกชน้ื ทวั่ ๆ ไปจะตอ๎ งคอยระมดั ระวังถ๎าเกิดอาการ ชอ๏ กจะชํวย ตัวเองไมํไดจ๎ ะมกี ารกระตกุ ถงึ ข้นั บาดเจ็บและเสยี ชีวิต เพราะฉะนั้นไมคํ วรจะเขา๎ ไปจับ

9 สัมผสั หรอื เขา๎ ไปตํอในวงจรของกระแสซ่งึ จะมผี ลเชํนเดยี วกนั กบั ผู๎ถกู กระแสไฟชอ๏ ก คอื มี อันตรายถงึ ชีวิตได๎เชนํ กนั 2.2.2 อันตรายท่ีเกดิ จากการถกู เผาไหม(๎ BURNS) อันตรายจากการเผาไหม๎ จะมีสาเหตจุ ากคามผดิ พลาดของผู๎ปฏบิ ตั ิงานโดยตรงอาจจะมาจาก เสื้อผ๎าที่สวมใสํ หรืออุปกรณป์ กป้องตวั อ่นื เชนํ หน๎ากาก, ถงุ มอื เสอ้ื เอีย้ มหนัง สวํ นใหญํ แลว๎ การถกู เผาไหม๎ จะมาจากความรอ๎ นของรังสี ที่เกิดจากเปลวอารก์ ขณะทาการเชือ่ มหรือ สัมผัสกบั ชน้ิ งานเช่อื ม ซ่ึงมีความรอ๎ นสงู ทาให๎เกดิ การบาดเจบ็ ขนึ้ ได๎ 2.2.3 อนั ตรายทเ่ี กดิ จากพลังงานรงั ส(ี RADIANT ENERGY) การปฏิบัติงานเช่ือม จะเกดิ พลังงานรังสีขน้ึ 4 ระดับ รงั สที มี่ องเห็น (Visible Light Rays) สามารถมองเห็นไดด๎ ๎วยตาเปลาํ มคี วามถ่อี ยํใู นชวํ ง 400-750u เม่ือถกู รังสีชํวงน้ีจะทาให๎ตามัวและมืดไปพกั หนงึ่ อนั เนอ่ื งจากชํางเชือ่ มปิดหนา๎ กากไมทํ นั หรอื ไมํมี เลนซป์ อ้ งกันท่ีเหมาะสมหรือไปอยํูใกล๎เคยี งกบั บรเิ วณที่ทาการเชอ่ื มอารก์ ทาให๎ประสาทตา ระคายเคืองและอาจทาใหต๎ าบอดได๎ ในการเชอ่ื มดว๎ ยรังสเี ลเซอร์ ก็จะทาให๎เกดิ ตาบอดไดถ๎ ๎า ลาแสงเลเซอร์ไปกระทบตาเขา๎ ไมวํ ําจะกนิ เวลาเล็กนอ๎ ยก็ตาม ดังนั้นในการปฏบิ ัตกิ ารเช่ือม ด๎วยรงั สีเลเซอรจ์ ะต๎องวางมาตรการการป้องกนั อยํางดีและมอี ุปกรณป์ อ้ งกนั ทถี่ ูกตอ๎ ง เหมาะสม 2.2.4 รังสีอินฟราเรด (INFRARED RAYS) รงั สีระดบั นมี้ คี วามถค่ี ลนื่ สูงกวํา750 uขึ้นไปประสาทตาไมํสามารถจะมองเหน็ ได๎ รังสีตัวน้ใี ห๎ความร๎อนสูงและจะทาอันตรายตํอผิวหนงั ได๎ 2.2.5 รังสีอลั ตร๎าไวโอเลต (ULTRAVIOLET RAYS) การเช่อื มอาร์กซึ่งจะเกิดรังสีประเภทน้ีข้นึ จะทาอันตรายตอํ ผวิ หนงั และตาทไี่ มํมสี ง่ิ ป้องกนั จะทาให๎ผิวหนังถกู เผาไหมแ๎ ละเกดิ ระคายเคืองในเบ๎าตาคลา๎ ยกบั มเี มด็ ทราย เข๎าไปอยํใู นตารังสอี ัลตรา๎ ไวโอเลต ยงั มสี วํ นทาใหบ๎ รเิ วณที่มีการเชือ่ มเปลย่ี นแปลง ทางเคมีของโอโซนบรรยากาศของออกซิเจน เปลยี่ นแปลงอ๏อกไซด์ของไนโตรเจน 2.2.6 รงั สเี อก็ ซเ์ รย์ (X-RAYS) จะเกิดจากการเชอ่ื มด๎วยระบบอีเล็คตรอนบมี (Electron Beam Welding : EBW)เพือ่ ป้องกนั รงั สีเอกซ์เรยร์ ่วั ซึม จะต๎องทาแผนํ ป้องกันรังสีในห๎องเช่อื มเปน็ อยาํ งดี ผู๎ ปฏิบตั กิ ารจะตอ๎ งได๎รับรงั สเี อก๏ ซ์เรย์ไมเํ กนิ 5,000milli-rems ตอํ ปีหรือ100 milli-rems ตอํ สัปดาห์ และในการรบั รงั สีเอกซเ์ รย์ในอุตสาหกรรมจะตอ๎ งอยูํในเกณฑไ์ มเํ กนิ 1/10 คร้ังของระดับปฏิบัตกิ ารอาชีพ

10 2.2 อันตรายทแี่ ฝงอยใู่ นระบบการเช่อื ม(LATENT HAZARD) อนั ตรายท่ีแฝงอยใูํ นระบบน้ีก็คอื ควัน,ฝนุ่ และแกส๏ พิษท่เี กดิ จากปฏบิ ัติการเชื่อมพน้ื ฐานของกลุมํ ควนั และแกส๏ เหลาํ นี้ ซงึ่ จะเกดิ ผลกระทบจากผูท๎ ม่ี สี ํวนเกีย่ วข๎องดังน้ี 2.2.1 ควันและฝุ่นเชือ่ ม (WELDING FUMES&WELDING DUSTS ) ควนั และฝุน่ เชอ่ื มเป็นสํวนทีม่ ขี นาดเลก็ ในระดับจุลภาคท่ีตดิ เข๎าไปกบั ลมหายใจ และสะสม อยํูในชอํ งวํา งของปอดจนกระท่ังปอดอกั เสบ จนถงึ ข้ันเป็นมะเร็งในปอด อาการไข๎ท่ีเกิดจาก ควนั ของโลหะเป็นอันตรายสูงสุดอันหนงึ่ ในงานเชือ่ ม ซึ่งเกดิ จากการเปลย่ี นรปู ฟอรม์ อ๏อก ไซด์ของโลหะประเภทตําง ๆเชํน สังกะสอี อกไซด์สาหรับเคลอื บผิวโลหะ สารแคลเซ่ียม ฟลูออไรด์ (CaF2)ท่ลี ะเอียดอํอน ซึง่ เกดิ จากสารพอกห๎ุมแกนลวดเชอื่ มท่เี ปน็ ดําง(Basic Coated Lime-Fluoride or Low-Hydrogen)ไมสํ ะลายตัวในสภาวะปกติ มคี วาม ละเอยี ดออํ น แตมํ ีปฏิกิรยิ าสงู เมื่อผสมกบั บรรยากาศทีม่ ีความช้ืน จะทาใหเ๎ กิดกรดไฮโดร ฟลอู อริค(HF)สูงมาก หากเข๎าสํูระบบการหายใจและสะลายในราํ งกายมปี ริมาณทพี่ อเหมาะจะ เกดิ อาการเจบ็ ปว่ ยไดเ๎ ร็วมาก 2.2.2 แก๏ส (GASES) แกส๏ อาจจะเกดิ ขึ้นไดใ๎ นระหวํางการปฏิบตั งิ านเช่อื ม โดยท่ัว ๆ ไปจะเกิดแก๏สคาร์บอนมอน ออกไซด์ , โอโซนและอ๏อกไซดข์ องไนโตรเจน ซ่ึงจะกํอใหเ๎ กิดอนั ตราย ดงั นี้ 1.52.1 กํอให๎เกดิ การอกั เสบที่ปอด(Inflammation of the Lung) 1.5.2 น้าทวํ มปอด(Pulmonary Edema)ปอดบวมและมนี า้ สะสม 1.52.3 สูญเสยี การยืดหยนุํ ของปอด(Emphysema) 1.5.4 หลอดลมอกั เสบเรอื้ รัง(Chromic Bronchitis) 2.3 ขอ้ ปฏบิ ัตใิ นการเช่อื มโลหะด้วยไฟฟ้า เพ่ือความปลอดภัยในการเช่อื มโลหะดว๎ ยไฟฟ้า ผ๎ูปฏบิ ัตงิ านเชอ่ื ม ควรปฏิบัติ ดงั ตํอไปนี้ 22.1 ตรวจสอบสอบช้ินสํวนของอปุ กรณ์การเช่อื มโลหะใหม๎ ีความสมบรู ณใ์ น การใชง๎ าน โดยเฉพาะอยาํ งยง่ิ ระบบไฟฟ้า 2.2.2 ปิดเคร่อื งเช่อื มทุกครัง้ หลงั จากหยุดการเชอ่ื มและเคล่ือนย๎ายเครอื่ งเชือ่ ม 2.2.3 สวมหนา๎ กากและเลือกกระจกแสงให๎ถกู ต๎องทุกครง้ั ในการเชอ่ื ม 2.2.4 สวมอปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายสวํ นบคุ คลใหเ๎ หมาะสมกับลกั ษณะงาน 2.2.5 ผท๎ู อี่ ยํูบรเิ วณใกลเ๎ คยี งไมํควรมองแสงอาร์กดว๎ ยตาเปลาํ 2.2.6 บริเวณงานเช่อื มควรมฉี ากป้องกันแสงอาร์ก เพ่อื มใิ หร๎ บกวนบุคคลอ่นื 2.2.7 บรเิ วณทางานเชอื่ มไมํควรเปยี กชื้นเพราะจะทาใหไ๎ ฟฟ้าดดู ผ๎ูปฏิบัติงาน และบคุ คลอืน่ ๆได๎ 2.2.8 บริเวณทางานเช่อื มจะตอ๎ งปราศจากสารไวไฟชนดิ ตาํ ง ๆ 2.2.9 เครื่องเช่ือมไฟฟา้ ควรจดั ต้งั ในท่ีมีอากาศถาํ ยเทไดส๎ ะดวก

11 3. เทคนิคการทาสนี ้ามนั เคลอื บเงา สีนา้ มนั สีนา้ มนั เปน็ สีท่เี หมาะกับงานประเภทงานเหล็ก งานไม๎ และงานโลหะ โดยท่วั ไปสนี ้ามนั จะ มีความเงางามสูงมาก แตกํ ม็ สี นี ้ามนั ท่ผี ลิตเป็นชนดิ ดา๎ นด๎วยเชนํ กนั แตสํ ีน้ามันชนดิ ดา๎ นจะมีเฉดสีให๎เลอื ก น๎อยกวํามากและมรี าคาสงู กวําสีน้ามนั ทั่วไปในการทาสที ีง่ านไม๎สนี า้ มนั จะไมํโชวล์ ายไม๎ให๎เห็น อุปกรณ์ทใ่ี ชใ้ นการทาสี นแปรงทาสี ลูกกลงิ้ ทาสี กระดาษกาว ผิว กรณีพ้ืนผวิ เหลก็ การเตรยี มพน้ื ผวิ กรณีพ้นื ผวิ เหล็กการเตรยี มพ้ืนผวิ กรณพี ้นื ผิวเหลก็ การ เตรียมพนื้ ผิว กรณพี นื้ ผิวเหล็ก การเตรยี มพน้ื ผวิ กรณีพื้นผิวเปน็ เหล็ก เหลก็ ใหมํ ขัดทาความสะอาดพ้นื ผิวให๎ปราศจากฝนุ่ ผง สนิม และคราบด๎วยกระดาษทรายน้าขดั เหล็ก 1.หลงั จากน้นั ใหร๎ องพน้ื ด๎วยสีรองพน้ื กันสนมิ โดยใชส๎ ีกนั สนมิ ผสมกับน้ามันซกั แหง๎ เลก็ น๎อย ท้งิ ใหแ๎ ห๎ง 5-6 ช่ังโมง จึงทาสีทับหน๎า (หากต๎องการให๎ประสทิ ธิภาพในการกันสนิม สูงขึ้นควรทาสกี นั สนิม 2 รอบ 2.เหล็กเคยทาสีแล๎ว ขดั ลอกสีเดมิ ที่เสือมสภาพออกดว๎ ยกระดาษทรายน้า ตามความละเอยี ด ของช้นิ งาน หรือใชน๎ ้ายาลอกสี แลว๎ ทาความสะอาดให๎ปราศจากสนิม หากสียงั อยใํู นสภาพดี ให๎ใช๎กระดาษทรายน้าลูบให๎เกดิ ความหยาบ 3.หลงั จากนนั้ ใหร๎ องพ้นื สรี องพ้ืนกันสนิม โดยใชส๎ กี นั สนมิ ผสมกับน้ามนั วักแหง๎ เล็กนอ๎ ย ท้ิง ให๎แห๎งประมาณ 5-6 ช่ัวโมง จึงทาสที บั หน๎า (หากต๎องการใหป๎ ระสทิ ธภิ าพในการกันสนิม สูงขน้ึ ควรทาสีกนั สนิม 2 รอบ สีน้ามนั หรอื สีเคลอื บเงา สีนา้ มันหรือสเี คลอื บเงา เป็นสีทใ่ี ชต๎ ัวทาละลายเป็นสวํ นผสมหรอื ทาให๎เจือจาง เชนํ ทนิ เนอร์ ซ่งึ มลี ักษณะมัน เงา ลักษณะการใชง้ านสีนา้ มนั 1.นยิ มใช๎ทาเคลือบงานไม๎ เพือ่ ทาใหพ๎ ื้นผวิ มคี วามสวยงาม มีความเงางาม และรกั ษาสภาพพ้นื ผิว ให๎คงทน 2.ใชท๎ างานโลหะ เพื่อให๎ความเงางามและสวยงาม 3.ไมคํ วรใชส๎ ีนา้ มันกับงานปนู หรอื ปูนที่มีความช้นื ข้อดีของสนี า้ มนั 1.มัน เงา สวยงาม 2.ใชไ๎ ด๎กบั งานไมแ๎ ละโลหะ ท่ตี ๎องการความสวยงาม เพราะสีนา้ มันจะซึมเขา๎ กับเนอ้ื ไมไ๎ ด๎ 3.ทาความสะอาดได๎งําย เพราะมคี วามมันวา

12 ข้อเสียของสีน้ามนั 1.มรี าคาคอํ นขา๎ งแพง 2.มกี ลิน้ คอํ นขา๎ งฉนุ มาก 3.ไมํเหมาะกับงานปนู 4.สตี ่อผลกระทบทางอารมณ์ พลังสสี ามารถชวํ ยในการบาบัดโรคได๎ นกั จิตวทิ ยาเช่ือวาํ สีมคี วามสัมพนั ธ์กบั รํางกาย จติ ใจ อารมณ์ ของเราทุกคน สีบอกความเป็นตวั ตน สีโทนรอ๎ นเชนํ สแี ดง สสี ม๎ สเี หลอื ง สีมํวง ใหค๎ วามร๎สู กึ ทีต่ าํ งจากสี โทนเยน็ เชํนสีขาว สีเขียว สีฟา้ สชี มพู เป็นตน๎ สีโทนร๎อนหรือสีโทนเยน็ จะไปกระตน๎ุ ตํอมไพเนยี ล ซ่งึ จะ สํงผลถงึ ฮอร์โมน ความรสู๎ ึก จติ ใจ อารมณข์ องแตลํ ะบุคคล สแี ดง เป็นสแี หํงอานาจแสดงถึงการมพี ลงั และความทะเยอทะยานจงึ ชํวยพิชติ ความคิดเห็นในทาง ลบหรอื การมองโลกในแงรํ ๎ายอยํางไรก็ตามสีเฉดน้อี ยูใํ นกลมํุ ของโทสะและการฉนุ เฉยี วด๎วยหากเรา นาสีแดงเข๎าสํูกระบวนการรักษามากเกินไปจะทาให๎ผ๎ถู กู บาบัดรสู๎ ึกอดึ อัด ไมสํ บายตัว หนุ หันพลัน แลํนและขาดความอดทนเพราะสีแดงเปน็ สีท่ีกระต๎ุนระบบประสาทไดร๎ ุนแรงทส่ี ดุ ให๎ความรส๎ู กึ เรา๎ ใจ ตน่ื เตน๎ ท๎าทาย ผักและผลไม๎สแี ดงเปน็ แหลํงวิตามนิ B12 ทองแดง เหล็กซ่งึ ชํวยบารุงระบบ ประสาทพลงั ของสีแดงชวํ ยกระตุ๎นพลังชีวิตให๎เขม๎ แข็ง มคี วามกระตือรือร๎น ทาใหม๎ ีชีวติ ชีวาขนึ้ ใน แงํของการรักษาสีแดงชํวยสรา๎ งเม็ดเลือดแดงเพมิ่ อุณหภมู ใิ นรํางกายระบบการไหลเวียนของเลือดดี ขึน้ รักษาอาการหวดั ผกั ผลไมท๎ ี่มีสีแดง เชํน มะเขอื เทศ แตงโมเนอื่ งจากมีสารไลโคบนี (Lycopene) เปน็ ตัวทาให๎เกิดสีแดงนอกจากนย้ี งั มสี ารเบตา๎ ไซซิน(Beta-cycin)ที่ทาใหเ๎ กดิ สีแดงในผลทับทมิ บที รทู และแคนเบอร์ร่ี สารท้ังสองตวั นีจ้ ัดเปน็ สารต๎านอนุมลู อสิ ระ(Antioxidant)ชํวยในการปอ้ งกัน มะเร็งโดยเฉพาะไลโคปนี จะมฤี ทธ์ติ ๎านมะเรง็ ได๎มากกวําเบต๎าแคโรทีนถงึ ๒ เทําเลยทีเดยี ว สีชมพู เปน็ สที ่ีมีลกั ษณะปลอบประโลมใหจ๎ ติ ใจและความรู๎สกึ ตํางๆสงบลงในขณะเดียวกนั กใ็ ห๎ ความรู๎สึกของการมนี ้าใจดี จิตใจกว๎างขวาง อบอุํนและทะนถุ นอมซงึ่ ตรงกันข๎ามกับสแี ดงถ๎าหากมีสี ชมพูอยรํู ายรอบจะทาใหร๎ ูส๎ ึกถึงการปกป้อง ความรักจึงมักจะนาสนี ้มี าบาบดั หรอื บรรเทา คนท่มี ี ความรสู๎ กึ โดดเดีย่ วมอี ารมณ์ทอ๎ แท๎ คนทม่ี ีความรสู๎ ึกทไ่ี วเกินไป เปราะบางหรอื ไมมํ ีความมั่นคงทาง อารมณ์ผกั ผลไมท๎ ม่ี สี ชี มพู เชนํ ชมพูํ สีส้ม เปน็ สแี หํงความเบิกบานและความรนื่ เรงิ เป็นความร๎ูสึกท่อี ิสระและไดร๎ บั การปลดปลอํ ย ละ วางจากความสงสารหรือสมเพชตนเอง ลดการเห็นแกํตัวและยนิ ดที จ่ี ะให๎หรือแบํงปัน เป็นความรูส๎ กึ ท่ีเกิดจากกันบ้ึงของจิตใจทตี่ อ๎ งการปรับปรุงชีวติ ให๎สดใส สสี ม๎ เป็นสีแหงํ ความสร๎างสรรค์ อบอุํน สดใสมสี ติปัญญาเต็มเปีย่ มไปด๎วยการทะเยอทะยาน มพี ลงั แตํกม็ กี ารระมดั ระวังตน สีส๎มเปน็ สีที่

13 นามาบาบัดอาการทางกลา๎ มเนอื้ ประสาทหรอื อาการปวดกดประสาท หรอื ชํวยในการยกระดบั จิตใจ ของคน ลกู ท๎อซง่ึ เปน็ ผลไมท๎ ีม่ สี สี ๎มเปน็ สเี ดํนทีบ่ าบัดอาการของระบบประสาทออํ นแรง ผลไม๎และ ผักทีม่ สี ีสม๎ อุดมไปดว๎ ยวิตามนิ Bชํวยในการสร๎างเม็ดเลอื ด เผาผลาญแป้งและนา้ ตาล บารุงระบบ ประสาทชวํ ยคลายอาการหอบหืดและโรคเก่ียวกบั ทางเดินหายใจชํวยใหม๎ ๎านทางานเปน็ ปกติ รวมทั้งตบั อํอน ลาไสท๎ ง้ั ยงั ชํวยในการดูดซึมของอาหารในกระเพาะและสาไส๎ทางานเปน็ อยํางดี ในทางจิตวิทยาพลังของสีสม๎ มีคณุ สมบัตใิ นการบรรเทาอาการซึมเศรา๎ หากตอ๎ งการเรียกพลงั ความ กระตือรอื รน๎ กลับคนื มาสสี ม๎ เป็นสที ี่ชํวยได๎ ผักผลไม๎สีสม๎ จะมีสารแคโรทีนอยดแ์ ละไบโอฟลาโว นอยด์ซึ่งเป็นตัวชํวยบารงุ หัวใจ บารงุ สายตาและเพิม่ ภูมิคมุ๎ กนั ใหแ๎ กรํ าํ งกายซ่ึงมสี ารแคโรทนี ทีม่ ี ประสทิ ธิภาพสูงในการต๎านอนุมลู อสิ ระทีเ่ ปน็ ตัวการเกิดมะเรง็ ผกั ผลไมท๎ ่ีมสี ารพวกนไ้ี ดแ๎ กํ แครอท มะละกอ ส๎ม แตงโมเหลอื งแตงไทย และฟักทอง สีเขยี ว เป็นสีที่มีความสมั พนั ธ์อยาํ งเน๎นเฟน้ กับธรรมชาตชิ ํวยให๎เรามอี ารมณ์รวํ มกบั ส่ิงอืน่ ๆ ตลอดจนธรรมชาติตํางๆ รอบตัวเราไดง๎ าํ ย สเี ขียวจะชํวยสร๎างสรรคบ์ รรยากาศของความสบาย ผอํ น คลายสงบ กอํ ใหเ๎ กิดความรสู๎ กึ สนั โดษ วําวเปลาํ สมดุลและละวําง แตถํ า๎ เป็นสีเขยี วเขม๎ มคี วามหมาย ของการหลดุ พ๎นความพอดแี ละถอํ มตน เป็นสีทป่ี ฏิเสธตอํ ความรกั และความสนุกสนาน ในขณะทส่ี ี เขียวมะกอกจะมผี ลตํอรํางกายและความรูส๎ ึก จนอาจทาให๎รํางกายป่วยได๎สเี หลอื ง-เขียว จัดอยใํู น กลํมุ ของความอจิ ฉา อารมณค์ วามรษิ ยา ขุนํ ขอ๎ งหมองใจ คับแคน๎ ใจ ตลอดจนเปน็ การแสดงถึง ความรูส๎ ึกทป่ี รารถนาจะครอบครองผักผลไมม๎ ีมีสีเขียวมแี รธํ าตุทสี่ าคญั โดยเฉพาะวติ ามนิ C ชวํ ย สมานแผลทาให๎ผิวพรรณเปลงํ ปล่ัง เพมิ่ ความตา๎ นทานโรค สเี ขียวทาใหป๎ ระสาทตาผอํ นคลายและ ความดันโลหิตลดลงได๎ ปอ้ งกนั การจบั ตวั ของก๎อนเลอื ด ป้องกนั โรคหัวใจ ความดันโลหติ และชวํ ย ตา๎ นทานเชอ้ื โรครวมทง้ั เยื่อบอุ ักเสบผักผลไม๎ในกลุมํ นจี้ ะมีสารกลุํมลเู ทอนิ และอนิ ดอล ซง่ึ จะเปน็ ตัว ชํวยให๎กระดูกแข็งแรง ชํวยบารุงสายตา เชนํ บรอ๏ กโคลี่ กระหลา่ ปลีเขียว แอป๏ เปิ้ลเขียว คะนา๎ ผกั บุ๎ง ผักใบเขียวทุกชนิดและอโวคาโด สีเหลอื ง มักเปน็ สีของความสขุ ความเบกิ บาน ความมชี ีวิตชีวา งานเฉลมิ ฉลองเป็นสีของความแจํมใส มักจะเก่ียวขอ๎ งกบั เชาว์ สติปญั ญาข๎างในและพลังของความคิดเป็นภมู แิ ละความหยัง่ รู๎ เปน็ ความจาท่ี แจํมใส ความคดิ ที่กระจาํ งเป็นอารมณ์ของการใชค๎ วามคิดสร๎างสรรค์ใหมๆํ เปน็ สีท่กี ระตุน๎ ใหเ๎ กดิ การมองโลกในแงํดี ในทางตรงกันข๎ามสีเหลอื งเข๎มกบั กลายเปน็ สญั ญาลักษณ์ของความหวาดกลัว สี เหลืองทาใหม๎ ีอารมณข์ นั ผักและผลไม๎ทมี่ สี ีเหลอื งมักอุดมไปด๎วยวิตามนิ A ชวํ ยบารงุ สายตา ปอ้ งกนั หวดั ชํวยเสริมสรา๎ งความเจริญเตบิ โตให๎รํางกายพลงั ของสีเหลอื งชวํ ยให๎การทางานของถุงน้าดแี ละ ลาไส๎เป็นไปตามปกติ ชวํ ยปรับสมดลุ ของทางเดนิ อาหารทาใหร๎ ะบบยอํ ยอาหารและระบบขับถําย ทางานดีขนึ้ ทง้ั ยังสามารถใช๎เยียวยาอาการทอ๎ แท๎ และหมดกาลังใจไดผ๎ ักผลไม๎สีสม๎ จะมีสารแคโรที

14 นอยดแ์ ละไบโอฟลาโวนอยด์ซ่งึ เป็นตัวชํวยบารงุ หัวใจ บารงุ สายตาและเพิม่ ภมู คิ ๎ุมกันใหแ๎ กรํ าํ งกาย ซ่ึงมีสารแคโรทีนทม่ี ีประสทิ ธภิ าพสูงในการตา๎ นอนมุ ลู อสิ ระทเ่ี ป็นตัวการเกิดมะเร็งผกั ผลไม๎ทมี่ สี าร พวกนไ้ี ด๎แกํ แครอท มะละกอ สม๎ แตงโมเหลอื งข๎าวโพดหวานและฟักทอง สีมรกต เป็นการผสมผสานกันระหวํางสนี า้ เงนิ กบั สีเขียวเข๎มของท๎องทะเลลกึ จึงมีความหมายในเชิง ของความเยือกเยน็ ความสงบเงยี บเหมือนกับสเี ขียว สีมรกตจึงเป็นสีทีเ่ หมาะกบั การชะลา๎ งเอาความ เหนือ่ ยลา๎ ความตึงเครยี ดใหอ๎ อกจากจิตใจหรืออารมณข์ องเราสีมรกตจงึ เป็นสที ่ีถูกยกวําเปน็ สที ี่ให๎ กาลงั ใจให๎กลับมามปี ระกายสดชื่น และมกั จะชํวยใหค๎ นทร่ี ู๎สึกโดดเด่ียวดีขึ้น เพม่ิ พลงั สื่อสารให๎โดด เดนํ ขึ้น สร๎างสรรคม์ ากขนึ้ และรบั รต๎ู อํ สมั ผัสและความรูส๎ กึ ไดร๎ วดเรว็ สีนา้ เงนิ เปน็ ความหมายของการสงบเย็น สขุ ุมเยอื กเย็น หนักแนนํ และละเอยี ดรอบคอบสนี า้ เงนิ เป็นสี ท่ีมคี วามหมายเก่ยี วโยงกบั จิตใจได๎สงู กวําสีเหลือง มคี วามหมายถึงกลางคนื จงึ ทาให๎เรารู๎สึกสงบได๎ ลกึ กวาํ และผํอนคลายกวํา เราจะยิ่งเขา๎ สคํู วามสงบและสงัดได๎อยาํ งลุมํ ลึกเมอ่ื สมั ผัสกบั สนี า้ เงนิ ทเี่ ขม๎ ขึ้นแตถํ ๎าเปน็ สีนา้ เงนิ อํอนจะทาใหเ๎ ราร๎ูสึกปกป้องจากภารกจิ ตลอดจนกิจกรรมทีเ่ กดิ ขน้ึ ในแตํละวัน ดังน้ันสนี า้ เงนิ จงึ มกั นามาบาบดั คนทนี่ อนไมํหลบั เปน็ สขี องห๎องนอน สีนา้ เงนิ เปน็ สที ค่ี วามคุมจติ ใจ ภายในให๎เกดิ ความรูส๎ กึ กระจํางและสรา๎ งสรรค์ สนี า้ เงินเขม๎ แตยํ ังไมํถงึ ขนั้ สีกรมทํามอี ิทธิพลอยํางสูง ตํอการกดหรอื กลํอมประสาทและจิตใจเป็นสีทีเ่ ขา๎ ถงึ สญั ชาตญาณและลางสงั หรณจ์ ติ ใต๎สานึกของเรา ไดด๎ ี อยํางไรกต็ ามสนี า้ เงินท่ีเข๎าสํโู ทนดาหรอื มืดมากขนึ้ ยังหมายถงึ ความโศกเศรา๎ อยํางท่ีสดุ หรือ อารมณ์ท่ีเศร๎าสดุ ขดี ด๎วย จงึ ควรระวงั ในการนาไปใช๎ สนี า้ เงนิ ชวํ ยใหร๎ ะบบหายใจสมดุล รักษาโรค ความดันโลหิตสูง ในแงจํ ิตวิทยาสีน้าเงนิ ชวํ ยสร๎างแรงบันดาลใจและการแสดงออกทางศลิ ปะ สฟี า้ เป็นสีที่ใหค๎ วามรส๎ู กึ สงบเยอื กเยน็ เปน็ อสิ ระ ปลอดโปรงํ สบาย ปลอดภยั ใจเย็นและสามารถ ระงับความกระวนกระวายในใจไดด๎ ๎วยพลงั ของสฟี ้ามีคณุ สมบตั ใิ นการรักษาอาการของโรคปอด ลด อตั ราเผาผลาญพลงั งาน รักษาอาการเจบ็ คอและทาให๎ชีพจรเต๎นเปน็ ปกติ สมี ว่ ง เป็นสกี ารดูแลและปลอบโยนชวํ ยใหจ๎ ติ ใจสงบและอดทนตํอความรู๎สกึ ที่โศกเศรา๎ หรสื ญู เสยี ทีม่ ากระทบจติ ใจและประสาท สมี ํวงเฉดตาํ งๆยังชวํ ยสร๎างสมดลุ ของจติ ใจให๎ฟ้ืนกลับมาจากภาวะ ตกต่าหรือความเศร๎าที่ครอบงาอยํู สคี รามจะเปน็ สที ่ีมีพลังมากเป็นสีทไ่ี ปกระตุ๎นสมองใหม๎ คี วาม ฮึกเหิม กระต๎ุนใหเ๎ กดิ ความคิดสร๎างสรรคแ์ ละสญั ชาตญาณ สคี รามเป็นสีทเี่ ข๎าไปครอบงาประสาท ไดเ๎ ป็นอยาํ งดี สีมํวงเปน็ สีทีเ่ ข๎าไปเปลย่ี นแปลงการสอ่ื สารระดับลึกเข๎าไปแทนท่ีและตํอสกู๎ ับความ กลวั และความตกใจเขา๎ ไปชาระลา๎ งส่ิงท่ีรบกวนอยูํในสมองซ่ึงสมี วํ งมกั เข๎าไปเชื่อมโยงกบั สื่อ แขนงอ่ืนๆ ศลิ ปะ ดนตรี และความลกึ ลบั เปน็ สีที่มีอิทธิพลตอํ ความรูส๎ ึกทางด๎านความสวยงาม ปรชั ญาขน้ั สงู กระต๎ุนให๎เกดิ ความคดิ สร๎างสรรค์ แรงบนั ดาลใจ กอํ ใหเ๎ กดิ ความเห็นอกเหน็ ใจสมี วํ ง

15 ยังเป็นสที ม่ี อี ิทธิพลตอํ ความเชือ่ ท่ีลกึ ลับทางจติ วิญญาณ อยํางไรกต็ ามคนทไี่ ดร๎ บั อทิ ธิพลของสี ดังกลาํ วจะตํอตา๎ นชวี ิตและสงั คมทีเ่ ตม็ ไปด๎วยสสี ันแตํจะสนใจเรอ่ื งจติ วิญญาณมากกวาํ ผกั ผลไมส๎ ี มวํ งเตม็ ไปดว๎ ยวิตามินD ชํวยเพม่ิ พลงั งานและการยอํ ยอาหาร ชํวยปรับสมดลุ ในรํางกายใหท๎ างาน เป็นปกติ ใช๎บาบัดโรคไต กระเพาะปสั สาวะอกั เสบ โรคผิวหนังบางชนดิ และบาบัดโรคไขขอ๎ สีมวํ งยังชํวยใหส๎ มองของเราสงบ สามารถสรา๎ งแรงบันดาลใจด๎านตํางๆ ผักผลไมใ๎ นกลมํุ สนี ี้จะพบ สารกลมุํ แอนไทไซยานินและโฟโนลกิ ท่เี ปน็ ตัวลดอตั ราเสย่ี งการเกดิ โรคมะเร็ง ชํวยรักษาระบบ ทางเดินปสั สาวะ และชวํ ยในเรอื่ งความจา ผักผลไมส๎ ีมํวงไดแ๎ กํ กะหล่ามํวง องนํุ แดง บลเู บอรร์ ่ี มะเขอื มํวง มนั ตํอเผือก เปน็ ตน๎ สีมงั คดุ เปน็ สีท่ีชํวยให๎เราไมํรู๎สึกความหมดหวัง วิตกกงั วลตํอเรอื่ งใดเร่ืองหน่งึ หรือความร๎ูสึกโกรธ หรอื ผิดหวงั สมี งั คุดทาให๎จติ ใจเราเบิกบานขนึ้ ท้งั นี้เพราะอิทธพิ ลของสที ่ผี สมกันระหวาํ งสแี ดงกบั สมี ํวง ซึ่งมักจะเกย่ี วขอ๎ งกับความรู๎สึกสงสาร เมตตาชํวยเหลอื เปน็ การปลกุ ปลอบให๎ฟ้นื ข้ึนมาสมี ังคุด กเ็ หมือนกับสมี ํวงเปน็ สีทเี่ พมิ่ ความรส๎ู ึกปลอดภัยจากอันตรายและความนํากลัวท้ังหลายมักจะเปน็ สีที่ มีความหมายถึงการผํอนคลายอยํางลึกซึ้งแตสํ มี ังคุดไมเํ หมาะกับคนท่ีเปน็ โรคซมึ เศร๎าเรือ้ รงั ผกั ผลไม๎ ในกลุมํ สีนจี้ ะพบสารกลุมํ แอนไทไซยานนิ และโฟโนลิก ทีเ่ ปน็ ตวั ลดอัตราเสีย่ งการเกดิ โรคมะเร็ง ชวํ ย รกั ษาระบบทางเดนิ ปสั สาวะ และชวํ ยในเรื่องความจา ผกั ผลไม๎สมี วํ งไดแ๎ กํ กะหล่ามวํ ง องํุนแดง บลูเบอร์ร่ี มะเขอื มวํ ง มันตํอเผือก ข๎าวโพดมํวง เป็นตน๎ สีขาว เป็นสีทห่ี มายถงึ ความบรสิ ุทธิ์อยํางยิ่ง จดั อยูใํ นกลํมุ ของการปกปอ้ ง สร๎างสนั ติ สบาย ชํวย บรรเทาอารมณ์ตกใจหรือหวาดวิตก สํงเสรมิ ให๎จติ ใจสะอาดบริสทุ ธิ์ มีพลงั ทางความคิดและจติ ใจ นอกจากนน้ั ยงั หมายถึงความเยอื กเยน็ และการแยกหรอื ปลีกวิเวกกไ็ ด๎ ผักผลไมใ๎ นกลุมํ นีจ้ ะมสี าร ในกลุมํ อะลิซินและธาตซุ ลิ เิ นยี นซ่ึงจะชวํ ยลดครอเลสเตอรอล ลดอตั ราการเกดิ โรคหวั ใจและ โรคมะเรง็ สารพวกนีพ้ บใน ดอกกระหลา่ หอมหวั ใหญํ กระเทียม หวั ไชเทา๎ เป็นต๎น สดี า เปน็ สที ม่ี คี วามหมายท้ังในแงํของความสะดวกสบาย การปกปอ้ ง และความลึกลับมกั จะเข๎าไป เก่ียวขอ๎ งกับความเงยี บสงดั มคี วามหมายของหนทางอนั มลี ักษณะอนั ไกลโพน๎ นอกจากนย้ี งั หมายถงึ พลงั ชีวิตที่ถดถอยหรอื ออํ นลา๎ หมดพลังและลล้ี บั สดี ายังเป็นสที ีข่ ดั ขวางการเจรญิ เติบโตและการ เปล่ียนแปลง เปน็ การปิดปงั อาพรางจากโลกภายนอก ผักผลไม๎ได๎แกํ ถ่ัวดา สีเงิน เป็นสีของพระจนั ทร์ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลง หรือผันแปรมลี ักษญะคล๎ายกบั อารมณ์และ บคุ ลิกภาพพ้นื ฐานของผหู๎ ญงิ ทไี่ วตอํ ความรสู๎ ึกแตํก็มดี ุลยภาพมกี ารประสานปรองดองและให๎ ความรู๎สึกที่สดใส

16 สีทอง เป็นสีทจี่ ัดอยใํู นกลมํุ อิทธิพลของพระอาทิตยเ์ ชํนเดยี วกบั สเี หลืองและมักจะเกยี่ วเน่ืองกบั พลงั และความอดุ มสมบรู ณ์ เปา้ หมายสงู สดุ ปัญญาอันสงู สดุ ความเข๎าอกเข๎าใจ ปกตสิ ีทองหมายถงึ การให๎ ชีวติ ใหมํ ให๎พลังใหมํ ฉดุ รง้ั ออกมาจากความกลวั ความไมแํ นํนอนหรือหนั กลับมาใสํใจสที องที่ วาวแววจะทรงพลงั อยาํ งยงิ่ ในการดึงให๎หลดุ พน๎ จากความรู๎สึกที่ตกตา่ ของจิตใจ สนี ้าตาล เป็นสขี องแผํนดนิ สีน้าตาลให๎ความรู๎สึกมนั่ คง ลดความรู๎สกึ ท่ไี มํปลอดภัยอยาํ งไรก็ตามสี นา้ ตาลมกั เก่ียวข๎องกับการเติมเตม็ ของความร๎ูสกึ บาบดั จากความเศร๎าโศกความรส๎ู ึกคบั อกคบั ใจสีน้ี มักจะนาไปชํวยเหลอื คนที่รูส๎ ึกหมดคณุ คําในตัวเอง ผกั ผลไมไ๎ ดแ๎ กํ มะขามหวาน มะขวดิ เป็นตน๎ ใน การนามาใช๎เชํน การเลือกบรโิ ภคอาหารตามสี หรอื บริโภคใหค๎ รบผกั สรี ๎ุง ไดร๎ บั สารอาหารครบ๕หมูํ หรอื ใชส๎ ีในการแตงํ กาย สที าหอ๎ ง หรอื ของใชส๎ ํวนตัว 5.สงั กะสี เปน็ โลหะธาตุสีเงิน มนั วาว ที่นิยมนามาใชใ๎ นภาคอตุ สาหกรรมมากมาย สาหรับเปน็ โลหะโครงสร๎างหรือ โลหะผสมกบั โลหะอ่นื สาหรบั ประยกุ ตใ์ ช๎งานในดา๎ นตํางๆ นอกจากนั้น สงั กะสียงั เปน็ แรธํ าตุหนึง่ ท่ี สามารถพบไดใ๎ นรํางกายมนุษย์ และสัตว์ เนอ่ื งจากจัดเป็นแรทํ ่ีราํ งกายตอ๎ งการชนดิ หนง่ึ มนษุ ยร์ ูจ๎ ักนาสังกะสมี าใช๎ประโยชน์เป็นเวลาช๎านานแลว๎ แตํการรจู๎ กั วาํ เป็นแรํสงั กะสีในรูปของโลหะหรือ ธาตอุ ิสระเกดิ ข้นึ จากการเปรยี บเทียบกบั ทองแดง และตะกั่ว ท่ีมีลกั ษณะทางกายภาพทแี่ ตกตาํ งกนั เพราะใน สมยั โบราณรจ๎ู กั ใชส๎ งั กะสีเพียงในรปู ของโลหะผสมเทาํ นั้น การนาแรสํ ังกะสโี ลหะธาตุหรือแรสํ ังกะสี บริสทุ ธ์ิมาใช๎เร่ิมแรกเมือ่ ประมาณปี ค.ศ. 1000 จากการถลุง และสกดั สงั กะสีทีไ่ มบํ ริสทุ ธ์ใิ นประเทศจีน และอินเดีย จนมกี ารพัฒนาการถลุงใหค๎ ํอนข๎างบรสิ ทุ ธ์ิ ท่ีเรียกวาํ slab zinc หรอื spelter ซึง่ นาเขา๎ ขายยัง ยโุ รปในศตวรรษท่ี 17 โดยไดม๎ ีการเรยี กช่อื ตําง ๆ กนั เชํน tutanego, indian tin, calamine และ spiauter เปน็ ตน๎ สงั กะสีทีพ่ บในธรรมชาตไิ มพํ บในรปู ของธาตอุ สิ ระ โดยทั่วไปมักพบสังกะสีในดนิ ประมาณ 120 กรมั /ตนั โดยอยใูํ นรปู ของซลั ไฟด์ (ZnS) และมกั ปนกบั ซลั ไฟด์ของโลหะอน่ื เชํน เหลก็ , ตะกั่ว, แคดเมียม และ ทองแดง สาหรบั สงั กะสที พี่ บเปน็ สินแรํมักพบในรปู แรํเฮมิเมอรไ์ ฟต์ [Zn4(Si2O7) (OH)2 (H2O)] แรํสมิ ทซอไนต์ (ZnCO3) และแรํซิงไคต์ (ZnO) สาหรับแรํสังกะสที ีพ่ บมากทส่ี ุดในโลก คือ แรํสฟาเลอไรต์ (ZnS) บางครงั้ มกั พบสงั กะสเี ปน็ สินแรขํ นาดใหญํในตาํ งประเทศ เชนํ บริติชโคลัมเบยี แคนนาดา หลายรัฐในภาค ตะวนั ตกของสหรัฐอเมริกา, โปแลนด์ และญี่ปนุ่ สํวนในประเทศไทยพบสนิ แรํสงั กะสีเปน็ ชนิดซัลไฟดป์ น กับแรตํ ะก่ัวซัลไฟด์ พบมากทอี่ าเภอแมสํ อด จังหวดั ตาก

17 5.1 ความสาคญั ต่อรา่ งกาย สังกะสีถือเปน็ แรธํ าตุชนิดหนง่ึ ทีจ่ าเป็นตอํ รํางกาย และต๎องได๎รบั เปน็ ประจา เน่อื งจากเป็นแรธํ าตุที่มีบทบาท สาคญั หลายประการตอํ รํางกาย ไดแ๎ กํ 1. ชวํ ยกระตนุ๎ การสรา๎ ง และการซอํ มแซมหนงั กาพร๎า 2. ชวํ ยกระต๎ุนการสงั เคราะหค์ อลลาเจน 3. ชํวยในกระบวนการสรา๎ งเอนไซม์ ระบบภมู คิ ม๎ุ กัน การสรา๎ งสารพนั ธกุ รรม และการซํอมแซมบาดแผล 5.2 ประโยชนส์ ังกะสี สังกะสีเป็นโลหะในหมํเู ดียวกนั กับปรอท มลี ักษณะสีเงนิ มนั วาว หลอม และขึ้นรูปได๎งําย มีความทนตอํ การเกดิ สนมิ มีความแขง็ แตเํ ปราะงาํ ย ไมํสามารถดดั โค๎งงอตามรปู ท่ีต๎องการได๎ เนอื่ งจากเปราะ และมีจุด หลอมเหลวตา่ เมอื่ เทยี บกบั โลหะอน่ื เชนํ ทอง ทด่ี ัดโค๎งงอไดด๎ กี วาํ 1. เป็นโลหะสาคญั ทใี่ ช๎เปน็ โลหะผสมกับโลหะชนดิ อื่นเพ่ือปรบั ปรงุ คณุ สมบัตโิ ลหะตํางๆ 2. เปน็ โหละท่ใี ช๎เคลือบโลหะอ่นื ๆสาหรับป้องกนั การเกิดสนมิ 3. ใช๎ผลิตทองเหลือง (สงั กะสผี สมทองแดง) 4. ใช๎ผลติ สงั กะสีมงุ หลงั คา 5. ซิงคอ์ อกไซด์ (ZnO) มลี กั ษณะสขี าว ใช๎เป็นสํวนผสมผลติ สีเคลือบ สที า และใช๎ในอตุ สาหกรรมเซรามิกส์ 6. ซงิ ค์คาร์บอเนต (ZnCO3) ใชเ๎ ปน็ สํวนผสมในอุตสาหกรรมยา เชนํ ยาทาแก๎อาการคันตามผิวหนัง 7. ซิงคซ์ ัลเฟต (ZnSO3) ใชใ๎ นอตุ สาหกรรมสิง่ ทอ 8. ซิงค์ซลั ไฟต์ (ZnS) ใช๎เปน็ สขี าวในอตุ สาหกรรมยาง ใช๎เคลือบเป็นฉากเรอื งแสงในหลอดฟลูออเรสเซ็นต์ ของโทรทัศน์ และใช๎เป็นสวํ นผสมของสพี รายน้า 9. ซงิ ค์ไฮดรอกไซด์ (Zn(OH2) ใชใ๎ นอุตสาหกรรมยาง 10. ซงิ ค์คลอไรด์ (ZnCl2) ใช๎เปน็ สารปอ้ งกนั เชอ้ื ราในอุตสาหกรรมกระดาษ และไมอ๎ ดั 11. ซงิ คไ์ พรดิ ีนไธโอน (zinc pyridinethione) ใช๎เปน็ สวํ นผสมในนา้ ยาหรอื แซมพสู ระผมป้องกนั รงั แค 5.3 พษิ ของสงั กะสี การไดร๎ บั สงั กะสเี ขา๎ สรํู ํางกายในปริมาณท่ีอาจทาใหเ๎ กดิ พษิ สามารถแบงํ ไดห๎ ลายกรณี ไดแ๎ กํ 5.3.1. การไดร๎ ับสังกะสจี ากภาวะมลพษิ สังกะสีที่ปนเปื้อนสํูส่ิงแวดล๎อมมกั เกดิ จากกระบวนการผลิตในอตุ สาหกรรมท่ีบาบดั ไมํหมดหรือการ ผลติ ภณั ฑ์ทีม่ สี งั กะสีเป็นสวํ นประกอบ มลพิษท่ปี นเปือ้ นสังกะสีมักอยูํในรปู ของฝนุ่ หรือไอสารทล่ี อยใน อากาศ ซ่งึ มีโอกาสสัมผัส และได๎รบั สารได๎งําย โดยเฉพาะคนงานท่เี กยี่ วข๎องกบั การผลิต ฝ่นุ หรอื ไอของซงิ คอ์ อกไซด์สามารถทาให๎เกดิ ความระคายเคอื งตอํ ระบบทางเดนิ หายใจ สํวนการสัมผสั ทาง ผิวหนงั เป็นเวลานานจะทาให๎เกดิ ผิวหนังอักเสบอยํางรุนแรง ทีเ่ รียกวํา โรคออกไซด์พ็อกซ์ (oxide pox)

18 อาการเม่ือไดร๎ ับฝุน่ หรอื ไอของสังกะสีในปรมิ าณมากจากการสดู ดมจะเกิดอาการกระหายน้า ไอ หลอดลม อกั เสบ ปอดบวม เหน่ือยล๎างําย อํอนแรง มีอาการปวดกลา๎ มเนือ้ คลื่นไส๎ มีไข๎ มีอาการหนาวสะทา๎ น และ ผิวหนงั เปลย่ี นเป็นสีน้าเงนิ ซ่งึ มักเกิดภายใน 4-12 ชวั่ โมง หลังการสัมผัส อาการเหลํานีจ้ ะหายเป็นปกติ ภายใน 1-2 เรียกชอ่ื โรคน้วี ํา โรคไข๎วนั จนั ทร์ (Monday fever) หรอื โรคไขพ๎ ษิ โลหะ (metal fume fever) 5.3.2. การปนเปือ้ นจากอาหาร และนา้ ด่ืม สารประกอบซงิ ค์ออกไซด์มกั ปะปนในแหลงํ น้าหรืออาหารได๎งาํ ย โดยเฉพาะพน้ื ทที่ ี่อยูํใกลแ๎ หลงํ แรํสังกะสี เม่อื ราํ งกายได๎รบั สาร และสะสมเป็นเวลานานจะกอํ ให๎เอนไซม์ของตับเกิดความผดิ ปกติ และพบอาการ เลือดออกในระบบทางเดินอาหาร ตามประกาศคณะกรรมการสง่ิ แวดล๎อมแหงํ ชาติ ฉบับท่ี 8 (พ.ศ. 2537) ได๎ กาหนดให๎มีสังกะสปี นเปื้อนในแหลํงนา้ ไมํเกิน 1 มลิ ลกิ รัม/ลิตรการเกดิ พษิ ในระบบทางเดินอาหารจากการ กินสังกะสเี ขา๎ ไปจะเกิดกดั กรํอนบรเิ วณทางเดินอาหารสวํ นตน๎ ได๎แกํ หลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร ทา ให๎มีอาการอักเสบ ปวดทอ๎ งอยํางรุนแรง และอาจทาให๎ทางเดินอาหารตีบตันได๎ 5.3.3 ผลิตภณั ฑ์อาหารเสริมสงั กะสี ผลติ ภัณฑอ์ าหารเสริมสงั กะสี ทงั้ ในรปู ของอาหารเสรมิ สังกะสชี นดิ เมด็ และชนิดน้า หากผ๎ูบริโภครับ ประมาณในจานวนมากที่เกนิ ความต๎องการของราํ งกายมักทาให๎เกิดอาการเหมือนการไดร๎ ับซงิ คอ์ อกไซดใ์ น ข๎อที่ 2 ทก่ี ลําวมา 6. เทคนิคงานพับสเตนเลส การพับโลหะแผนํ น้ัน ปัจจบุ ัน สามารถทาไดห๎ ลายวธิ ี เชนํ Aพับโดยการควบคมุ แรงอัดจากมีดพับ (Air Bending), พบั ในรํอง V-die (Bottoming), พบั โดยการใช๎แคลมป์ยดึ ชนิ้ งาน (Folding) อยํางไรกต็ าม ท่นี ยิ ม ใช๎กนั คือ การพับในรํอง V-Die โดยเคร่อื งพบั Hydraulic Press Brake มีลักษณะดังรปู ด๎านลําง ภาพที่ 10 ในรปู ที่ 1 เป็นลักษณะการพับ 90 องศา ซึง่ เรียกไดว๎ ําเปน็ การพบั พ้นื ฐานสาหรับใช๎พบั งานท่วั ๆไป เชนํ พับฉาก, พบั รางตวั ยู, ถาด แตสํ าหรบั งานพับทซ่ี บั ซอ๎ นมากขน้ึ เชํน งานพบั ทีม่ ีการกาหนดรัศมมี ุมพับ

19 งานพบั แบน, งานท่ีมกี ารพับหลายครงั้ , มีองศาตาํ งๆกนั ฯลฯ งานลักษณะนี้ tooling (punch และ die) ทั่วๆไป อาจจะไมสํ ามารถพับได๎ ซึ่งก็ต๎องใช๎ tooling พเิ ศษ ดงั รปู ที่ 2 ภาพที่ 11 งานพับโลหะแผํนในลักษณะงานรบั จา๎ งนนั้ เปน็ งานทีต่ ๎องอาศยั ประสบการณใ์ นการพับพอสมควรเนือ่ งจาก ชาํ งพับจะต๎องรู๎วําแบบท่ลี กู คา๎ สงํ มาสามารถพับดว๎ ยทูลล่งิ ท่มี อี ยํูได๎หรอื ไมํและตอ๎ งเรียงลาดับขัน้ ตอนการ พบั ใหด๎ เี พราะหากวางลาดับการพับผดิ อาจจะทาให๎ไมํสามารถพับตอํ ไดเ๎ น่ืองจากชน้ิ งานสวํ นท่ีพับขน้ึ มาแลว๎ จะชนกบั มดี พับและทาให๎ไมสํ ามารถสอดชิ้นงานสํวนทต่ี ๎องการพับเข๎าไปได๎หรอื สอดเขา๎ ไปได๎แตํ มีดพบั ไมํสามารถกดลงไปได๎สดุ เน่อื งจากช้นิ งานสวํ นท่ีพับขึน้ มาแลว๎ จะตีขึน้ มาชนมดี พบั กอํ น ดังตัวอยาํ ง งานในรูป ภาพที่ 12 ถา๎ งานพบั เป็นลกั ษณะตามรูปที่3เราต๎องวางลาดับการพบั ตามรปู A การเปลีย่ นลาดบั การพบั เปน็ รูป B หรือ C จะทาให๎ไมํสามารถพับในขัน้ ตอนสดุ ท๎ายไดเ๎ นื่องจากชน้ิ งานสวํ นที่พับขึ้นมาแล๎วจะไปชน ตวั punch หรือ die กํอน ในการพับแตลํ ะครั้งน้นั จะตอ๎ งมรี ะยะเผอื่ สาหรบั การยืดตวั ของเหล็กซง่ึ มหี ลาย ปจั จัยที่มผี ลตํอระยะเผือ่ นี้ คอื 1.วัสดุ 2. ความหนา 3. องศาในการพบั 4. ทูลล่ิง (มีดพบั และรอํ งพับ)ทีใ่ ช๎ใน การพับโดยปกติแลว๎ แบบท่ลี ูกคา๎ ใหม๎ าจะเปน็ แบบภาพฉายมาตรฐานไมไํ ด๎ให๎มาเป็นแผํนคลี่ ซึง่ จะบอก ขนาดท่ีตอ๎ งการหลงั จากพับขึน้ รปู มาแลว๎ การเผ่ือระยะนีจ้ งึ มคี วามสาคัญมากตอํ ความแมนํ ยาของขนาด ช้ินงาน

20 ภาพที่ 13 จากรูปที่ 13 เปน็ รปู หนา๎ ตัดช้ินงานยาว 1500mm วัสดหุ นา 3mm ชิน้ งานมีการพบั 90 องศา 4 ครัง้ ขนาด ตามแบบเป็นขนาดวัดนอก หากไมํคดิ ความหนาเลย เมือ่ คลแ่ี บบออกมาจะต๎องตดั แผนํ ขนาดกวา๎ ง (100+50* 2+20*2)mm ยาว 1500mm มาพับ แตใํ นความเป็นจรงิ วสั ดุมคี วามหนา และขนาดวัดนอกที่ใหม๎ านี้จะรวม ความหนาเขา๎ ไปดว๎ ยทาให๎เราตอ๎ งเผอ่ื ระยะ(คาํ ลบ)ในสวํ นนี้ และต๎องเผอ่ื การยดื ตวั ของเหลก็ ดว๎ ย ยิง่ ชนิ้ งาน มคี วามหนามากข้ึน การหาระยะเผ่อื กย็ ่ิงมีโอกาสคลาดเคล่ือนสูงขึ้น ซ่ึงถึงแมว๎ ําระยะเผื่อในการพับแตลํ ะ ครงั้ อาจจะคลาดเคลือ่ นไมมํ ากนกั แตหํ ากชนิ้ งานมีการพับหลายครงั้ เม่อื นามาคาํ ความคลาดเคลอื่ นทง้ั หมด มารวมกันแลว๎ กอ็ าจจะเกินคําท่ียอมรบั ได๎ ในทางทฤษฎี จะมสี ตู รคานวณสาหรับการหาระยะเผือ่ ซึง่ คานึงถึงปจั จัยท้ังสขี่ ๎อท่กี ลําวมาแลว๎ ลองพจิ ารณา ตามรูปท่ี 5 ภาพที่ 14 ระยะ tna คอื ระยะจากผิวหน๎า ถงึ แกนสะเทิน(Neutral Axis) โดยระนาบทีอ่ ยบํู นแกนสะเทินน้ีจะมคี วามเคน๎ ดึงเทาํ กับความเคน๎ กด ทาใหเ๎ นอ้ื วัสดุบนระนาบนเ้ี สมอื นวําไมมํ ีการยดื หรือหดตัว คาํ tna นีจ้ ะเปล่ียนแปลง ไปตามวัสดุและความหนา ซ่งึ จะเป็นผลมาจากคาํ k (K-factor) ซง่ึ เปน็ คําคงทีส่ าหรบั แตํละวสั ดุ คาํ k นจ้ี ะ นามาใชใ๎ นการคานวณตามสูตร โดย BA คือ Bend Allowance หรอื ระยะเผ่อื สาหรับแตํละวัสดทุ ่ีความหนาตํางๆ ในสวํ นของทลู ลิ่งจะมีผล ตอํ Ri และองศาในการพับจะมีผลตอํ องศา a ทั้งหมดนนั้ คอื สตู รการคานวณระยะเผ่ือในทางทฤษฎี แตํในความเปน็ จริงแล๎วคําที่ได๎ยังมคี วามคลาดเคล่ือน อยูํบ๎าง เน่ืองจากสวํ นผสมของวัสดุอาจไมํไดม๎ าตรฐาน, ความหนาของชนิ้ งานจรงิ ไมํใชคํ วามหนาเตม็ , ความ

21 สมา่ เสมอและเท่ียงตรงของเครื่องพับ ดังนน้ั การเผอื่ ระยะจงึ ตอ๎ งองิ กบั ประสบการณข์ องชาํ งทม่ี ตี อํ เครือ่ งพบั น้นั ๆดว๎ ย แมแ๎ ตชํ ํางท่มี ีประสบการณ์ หากชิ้นงานทมี่ ีการพับหลายครง้ั หรือ คอํ นขา๎ งซับซ๎อน ก็ยงั อาจจะตอ๎ ง หาเศษวัสดุมาลองพบั ดกู ํอน แล๎วคอํ ยๆปรบั คําระยะเผื่อจนได๎ขนาดตามแบบ เพ่อื ให๎ได๎ความแมํนยาสงู สดุ เอาละครบั แล๎วพบกนั ใหมํฉบับหน๎าครับ 6.1 อปุ กรณ์ และเครอื่ งมอื 6.1.1.เคร่อื งมอื วัด (Measuring TooL) เกจวัดความหนาโลหะแผํน และความโตลวด เกจชนิดนีท้ าจากเหลก็ กล๎าคาร์บอน มีลกั ษณะกลมปากเป็นรํองรอบตวั เพ่อื ใช๎เทียบวดั ความหนาโลหะ และความโตลวด ตวั เลขบนเกจวัดจะบอกความหนาของแผํนโลหะเป็นทศนยิ ม หรือเศษสวํ นของนิว้ ด๎านหนา๎ ของเกจจะบอกความหนาเปน็ นมั เบอร์ สวํ นด๎านหลังจะบอกเปน็ ทศนยิ มของน้วิ ในชํองท่ี ตรงกัน โดยมีต้ังแตํเบอร์ 0 ถงึ เบอร์ 36 นัมเบอร์มาก ความหนาก็จะลดลง เชนํ เบอร์ 28 จะมคี วามหนานอ๎ ย กวําเบอร์ 16 เป็นตน๎ ดังรปู ภาพที่ 15 เกจวัดความหนาโลหะแผน่ และความโตลวด เมอื่ เปรียบเทียบนัมเบอร์กับความหนาแลว๎ จะไดข๎ นาดดงั นี้ นมั เบอร์ ความหนาเปน็ นวิ้ (หรือมลิ ลิเมตร) 16 0.0625 นว้ิ หรอื ประมาณ 1/6 นวิ้ (1.5 มม.) 22 0.0312 นว้ิ หรือประมาณ 1/32 นว้ิ (0.8 มม.) 28 0.0156 นว้ิ หรอื ประมาณ 1/64 น้ิว (0.47 มม.) บรรทดั เหล็ก (Steel Rule) เปน็ เครอื่ งมอื วดั ทร่ี จ๎ู ักกนั โดยทว่ั ไป สํวนใหญจํ ะทาจากเหลก็ ไรส๎ นทิ สามารถ วดั ไดท๎ ้ังระบบองั กฤษ และระบบเมตรกิ มหี ลายขนาด ต้ังแตํ 12นิว้ 24 นว้ิ และ 36 น้วิ ฉากเหลก็ (Square) มลี ักษณะเป็นรปู ตัวแอล แขนทัง้ สองข๎างทามมุ 90 องศา ใชต๎ รวจวัดความฉากของ โลหะงานโลหะแผํน

22 ภาพท่ี 16 แสดงลกั ษณะของฉากในงานโลหะแผน่ และการใช้ฉาก 6.1.2. เครอ่ื งมอื ร่างแบบ (Lay – Out) สํวนมาเป็นเครอ่ื งมือทม่ี ีลกั ษณะปลายแหลม เพอ่ื ใชใ๎ นการเขียนเคร่อื งมือราํ งแบบนีถ้ า๎ ใช๎งานด๎วยตขั องมัน เองแล๎วไมเํ กิดประโยชน์สงู สุด จะต๎องรํวมกบั เครอ่ื งมอื ประเภทอื่น ๆ เชนํ ใช๎งานรํวมกบั ไมบ๎ รรทดั เหลก็ เป็นต๎น ภาพท่ี 17 แสดงลกั ษณะของเหลก็ ขีด เหลก็ ขดี (Scriber) ทาหน๎าที่ขีดเขยี นลงบนแผํนโลหะ เปรียบเสมอื นดนิ สอหรอื ปากกาท่ใี ชใ๎ นงานเขยี นแบบ ทว่ั ไป เหลก็ ขีดนีจ้ ะต๎องมีความแข็งกวําโลหะที่จะราํ งแบบ ซึง่ ทาจากเหลก็ กล๎าคารบ์ อน บรเิ วณปลายแหลม จะผํานการชบุ แข็ง เพือ่ ให๎ทนตอํ การสกึ หรอได๎ดี ดงั รูปท่ี 6.4วงเวียน (Divider)เปน็ เครอ่ื งมือราํ งบแบบท่ีใช๎ เปน็ ประจาในงานโลหะแผํน ใชส๎ าหรับเขยี นวงกลมหรือสวํ นโคง๎ หรอื ใช๎ในการถํายขนาด วงเวียนเล่ือน (Trammel Point) ในงานโลหะแผํน ชิ้นงานทีท่ าอาจมีขนาดใหญเํ คร่อื งมอื ที่ใชก๎ ารรํางแบบ ต๎องมขีดความสามารถในการสร๎างเพยี งพอ วงเวียนธรรมดาไมสํ ามารถใชเ๎ ขียนสํวนโค๎งได๎ ตอ๎ งใชว๎ งเวียน เลอ่ื น เพราะเป็นเครือ่ งมือที่ใช๎เขยี นวงกลม หรอื สวํ นโค๎งใหญํ ๆ ได๎ ขาท้งั สองข๎างของวงเวยี นจะสอดอยํกู บั คานไม๎ หรือคานเหล็ก ซ่งึ มคี วามยาวเทําไรก็ไดต๎ ามตอ๎ งการ ขาเหล็กแหลมท้ังสองขา๎ งสามารถไปมาบนคาน

23 ไม๎ หรือเหลก็ เพื่อปรบั หารัศมีของวงกลมได๎ 6.1.3. เครอ่ื งมือ Hand Tool ในงานโลหะแผนํ คอ้ น ( Hammer) เป็นเคร่อื งมอื พนื้ ฐาน ซ่งึ จะขาดเสียไมไํ ดใ๎ นงานโลหะแผนํ ใชส๎ าหรบั ตี เคาะข้ึนรปู ดัด พบั เป็นต๎น มีรูปรํางตําง ๆ ตามลกั ษณะการใช๎งานดงั นี้ ค๎อนหัวแขง็ ใช๎เคาะดัดขน้ึ รูปงานท่ัวไป แบงํ ออกเป็น ค้อนหัวกลม คอ้ นหัวขวาง ค้อนหวั ตรง คอ้ นยา้ ตะเข็บ (Setting Hammer) หวั ค๎อนจะมลี กั ษณะเปน็ เหล่ยี ม หน๎าคอ๎ นจะมีผวิ เรยี บ เพือ่ ใช๎ในเคาะ ตะเขบ็ ตาํ ง ๆ ในงานโลหะแผนํ ดา๎ นหางคอ๎ นจะตดั เฉยี งด๎านเดียว เพ่ือความสะดวกในการเคาะตะเขบ็ กน๎ กระปอ๋ ง แสดงการใชเ้ คาะตะเขบ็ คอ้ นเคาะข้ึนรปู (Raising Hammer) ค๎อนชนิดนีจ้ ะมรี ปู รํางตําง ๆ กนั ใช๎สาหรับข้ึนรปู โลหะแผํนใหเ๎ ป็น รูปรํางของภาชนะ หรอื เครอ่ื งประดบั ตาํ ง ๆเชํน เคาะขน้ึ รปู จานถ๎วย เป็นต๎น ค้อนยา้ หมดุ (Riveting Hammer) ลกั ษณะหัวคอ๎ นจะเป็นรูปสเ่ี หลํยมลบมุมด๎านข๎างทง้ั 4 มมุ บริเวณ ผวิ หน๎าของหวั คอ๎ นจะมผี ิวโค๎งเล็กน๎อย เพื่อใช๎ในการแตงํ หวั หมดุ ย้าสวํ นของหางค๎อนจะเรียว (Taper) เป็น มมุ เทํากันทง้ั สองดา๎ น และบรเิ วณปลายสุดจะมลี กั ษณะมนดังรปู ภาพที่ 18 แสดงลักษณะคอ้ นย้าหมุด ค้อนหวั แพะ หรอื ค้อนถอนตะปู (Nail Hammer) ใช๎สาหรบั ตอก ตี และถอนตะปใู นงานชาํ งไม๎ คอ้ นหัวอ่อน เปน็ คอ๎ นทที่ าจากวดั สุท่อี ํอน เหมาะสาหรับเคาะ ดดั ตี ขึ้นรปู โลหะที่ออํ น เชนํ ทองแดง อลูมเิ นียม หรอื ใช๎เคาะโลหะท่เี คลือบผิวท่ีไมํตอ๎ งการให๎โลหะท่ีเคลือบอยํูหลดุ หรือลอกออก เชํน แผนํ เหล็ก

24 อาบสังกะสี คอ้ นยาง (Rubber Hammer) หวั ค๎อนทาดว๎ ยยางท่ีมสี ํวนผสมทางเคมี มีสีดา คณุ สมบตั เิ หนียวนํุม ภาพท่ี 19 ลักษณะของค้อนยาง ภาพที่ 20 ลักษณะของค้อนพลาสตกิ ค้อนพลาสตกิ (Plastic Hammer) หวั คอ๎ นจะทาจากพลาสตกิ แขง็ หลํอ เป็นรูปหัวค๎อน ภายในทาเกลียวเพ่อื ขนั ตดิ กบั โครงโลหะทั้งสองข๎าง ประกอบอยกํู บั ดา๎ มไม๎ ดงั รูป 6.15 ค้อนโลหะเบา เปน็ คอ๎ นทท่ี าจากทองเหลือง หรอื ตะก่วั เหมาะสาหรบั งานที่ไมใํ ช๎แรงตอกตมี ากนกั ภาพที่ 21 ค้อนโลหะเบา ภาพที่ 22 คอ้ นไม้ คอ้ นไม้ (Wood Hammer) หวั คอ๎ นทาจากไม๎เนอื้ แขง็ และมีความเหนยี ว ไมํแตกไดโ๎ ดยงําย เหมาะสาหรบั งานที่มผี ิวออํ น เชํนอะลมู เิ นียม และงานเคาะ ตอก สลกั เกลยี ว ซงึ่ ไมํต๎องการให๎ เกลยี วเยิน หรือเสียหายได๎ ค้อนหนังแขง็ (Rawhide Face Hammer) เป็นค๎อนท่ีทาจากหนังสตั วย์ งั ไมไํ ด๎อก มว๎ นเปน็ แทํงรูป ทรงกระบอก ประกอบตดิ กบั ดา๎ มไม๎ ภาพที่ 23 คอ้ นหนังแขง็

25 คมี (Pliers) เปน็ เคร่อื งมอื ทจี่ าเปน็ ในงานชํางอุตสาหกรมทกุ สาขา คมี มปี ระโยชนห์ ลายอยําง เชนํ ใชจ๎ ับ บิด พบั ตดั ขึ้นรูปวสั ดไุ ด๎ สาหรับงานโลหะแผนํ กเ็ ชํนกัน คีมเป็นเครื่องมือทางานเกย่ี ว กับโลหะแผนํ ได๎เปน็ อยาํ งดี คมี ในงานโลหะแผํนมีรปู ราํ งตามลักษณะการใชง๎ านดังนี้ 3.3.1 คีมปากแบน (Flat Nose Pliers) คีมชนิดนปี้ ากจะมีลกั ษณะแบน บรเิ วณสวํ นปลายของปากจะตรงเรียบ มีความกว๎างประมาณ10 ม.ม. เหมาะสาหรับจับขอบชนิ้ งานเพอื่ ขนึ้ รูป ภาพท่ี 24 การพบั ขอบชิ้นงานด้วยคมี ปากแบน คีมพบั ตะเข็บ (Hand Seamer) มีรปู ราํ งและกลไกเหมอื นกบั คมี ทั่ว ๆ ไปแตจํ ะแตกตาํ งกนั ทป่ี าก ซ่ึงคมี พับ ตะเข็บน้ปี ากจะกว๎างถึง 3 ½ “ 89มม. ลึก 1 “ 25 มม. เหมาะสาหรับการขึน้ รป หรือการพับช้ินงานดว๎ ยมอื ในขณะทเ่ี ครอื่ งพับไมํสามารถทาได๎ หรือ ตอ๎ งการความรวดเร็วในการทางาน หรอื ทางานนอกสถานที่ ซง่ึ ไมมํ เี ครื่องพบั ภาพท่ี 25 แสดงลกั ษณะของคมี ลอ็ ก กรรไกร (Snips) เปน็ เครอ่ื งมือตัดอีกชนิดหนึ่ง ซงึ่ ทางานเกีย่ วกบั โลหะแผนํ เทํานั้นการตัดแผํนโลหะด๎วย กรรไกรจะสะดวก งาํ ย และประหยัดกวําการตดั ด๎วยสกดั ความสามารถของกรรไกรขน้ึ อยูํกับการออกแบบ กรรไกร ความหนา และความแข็งแกรงํ ของโลหะแผํนท่ีจะนามาตดั กรรไกรมีหลายชนิด ซ่งึ ผ๎ปู ฏิบตั งิ าน ด๎านโลหะแผนํ ต๎องพจิ ารณาเลือกใชใ๎ หถ๎ ูกตอ๎ ง และเหมาะสมกบั ลกั ษณะงาน การตัดน้ันมี 2 แบบใหญํๆคอื

26 1.ตัดตรง 2.ตดั โค้ง (ตดั โค๎งซ๎าย และตดั โค๎งขวา) ภาพที่ 26 แสดงภาพหน้าตัดของคมตดั กรรไกรตัดตรง และตัดโค้ง กรรไกรตดั รง (Straight Snips) จากภาพตดั คมขวางของคมตดั จะเห็นวําผวิ หน๎าดา๎ นข๎างคตัดจะมีลกั ณะตรง ตลอด ใช๎ในการตัดแนวตรง ไมํสามารถตัดโคง๎ ได๎ ภาพท่ี 27 แสดงการใชก้ รรไกรตัดผสมทาการตัดตรงงานโลหะแผน่ กรรไรตัดโคง้ (Scroll Snips) จากภาพตัดขวางของคมตดั จะเหน็ ผิวดา๎ นขา๎ งของคมตดั จะมลี กั ษณะโค๎ง ซ่ึง จะชํวยในการตัดโคง๎ ไดด๎ ี ภาพท่ี 28 แสดงการใช้กรรไกรตดั ผสมทาการตดั โค้งงานโลหะแผน่

27 7.ตะปเู กลียว สกรูปลายสวํานโปรฟาสท์ ถูกพัฒนาออกมาให๎เหมาะสมกับการใช๎งานท่ีหลากหลายประเภท เน่ืองจากการเจาะยืดวัสดทุ ีแ่ ตกตํางกนั แตลํ ะประเภท ยอํ มตอ๎ งการสกรูที่จะสามารถตอบโจทย์ท่ีแตกตํางกัน โดยสกรูปลายสวํานโปรฟาส์ท จะสามารถแบํงออกได๎เป็นการใช๎งานแตํละประเภทดังน้ี สกรูยึดกระเบื้อง หลงั คาลอนคํู เราเป็นผ๎ูคิดค๎นและพัฒนาสกรูสาหรับติดต้ังกระเบื้องลอนคูํเป็นรายแรก เพื่อทดแทนการใช๎ งาน ขอ ป ปลา ซง่ึ มขี ั้นตอนการติดต้ังทีย่ าก และไมํมคี วามทนทาน สกรูยึดกระเบ้ืองหลังคาลอนคํูโปรฟาส์ ทสามารถทางานไดเ๎ รว็ กวํา โดยไมํต๎องใช๎อุปกรณ์เยอะ และยังป้องกันการรั่วซึมด๎วยซีลยาง EPDM ท่ีแนบ สนิทกับหลังคา ทาให๎ไมํต๎องกลัวปัญหาหลังคาร่ัวชารุดเสียหายได๎ยาวนาน สกรูยึดกระเบื้อลอนลูกฟูก เชํนเดยี วกับสกรูยึดกระเบื้องลอนคูํ ท่ีมีการผลิตด๎วยเหล็กคุณภาพสูงและผํานกรรมวิธีการชุบแข็ง พร๎อมซี ลยาง EPDM ใชง๎ านงาํ ยไมํต๎องเจาะรูนา สกรูยึดกระเบื้องหลงั คาคอนกรีต การผลิตด๎วยเหล็กคุณภาพสูงและ ผํานกรรมวธิ ีการชุบแข็ง หัวเจาะพิเศษที่สามารถเจาะยึดกับแปสาเร็จรูปความหนา 0.48-0.6 มม. ได๎โดยไมํ โยกสัน่ คลอน ไมํหลวม สกรูยึดแปสาเร็จรูป สกรูขนาดเล็กสาหรับเจาะยึดแปสาเร็จรูปกับโครงสร๎างเหล็ก ความหนาสงู สุดไดถ๎ งึ 3.2 มม. สกรูยึดคอนกรีต (ใช๎แทนพุกคอนกรีต) สกรูออกแบบเพื่อให๎สามารถยึดกับ คอนกรตี โดยไมํตอ๎ งตดิ ตงั้ พุก โดยใชง๎ านงาํ ยโดยเจาะนาด๎วยดอกสวํานเบอร์ 4 สกรูซุปเปอร์ดรายวอลล์ ใช๎ ในการยึดยิปซมั กบั โครงคราํ วผนังเบา หัวเจาะคมแหลม เกลียวออกแบบพิเศษให๎เจาะแผํนยิปซัมได๎งําย เบา มอื ป้องกันการเสยี หายของแผํนยิปซัม หัวสกรูจมลงในแผํน สกรูยึดไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ดกับโครงผนังเบา ใช๎ยึดไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ดกับโครงครําวผนังเบา สกรูฝังลงในแผํนไฟเบอร์งํายในข้ันตอนเดียว เก็บงาน เนียนงาํ ย เหมาะสาหรบั โครงคราํ วหนาไมํเกิน 0.6 มม. สกรยู ึดไฟเบอรซ์ เี มนตบ์ อรด์ กบั โครงเหล็กหรือโครง ไม๎ ใชย๎ ดึ ไฟเบอร์ซีเมนตบ์ อร์ดกบั โครงเหล็กหรอื โครงไม๎ พร๎อมเคลอื บซงิ คป์ อ้ งกันสนิมยาวนาน สกรยู ดึ ไม๎ ฝากับโครงเหล็กหรือโครงไม๎ (ไมํมีปกี ) สกรูสาหรับยดึ ไม๎ฝากบั โครงเหล็กหรอื โครงไม๎ หวั สกรูฝังลงบนผิว ไม๎ได๎เนียนเรียบร๎อยเก็บงานได๎เนียนงําย สกรูปลายสวํานยึดไม๎ฝากับโครงเหล็ก สกรูสาหรับยึดไม๎ฝากับ โครงสร๎างเหล็ก ตัวสกรูมีปีกชํวยป้องกันไมํให๎แผํนไม๎ฝาปีนเกลียวข้ึนมา ชํวยให๎ติดต้ังงําย ไมํเบี้ยว สกรู แทนรเี วท สกรสู าหรับลดขัน้ ตอนในการยึดโครงคราํ วผนังเบา ทดแทนการใช๎รีเวตที่มีข้ันตอนเยอะ และใช๎ เวลานาน สกรูปลายสวํานยึดโครงเหลก็ หัวบัททอน สกรูสาหรับใช๎งานเอนกประสงค์ มีปีกสกรูท่ีกว๎างชํวย ยึดวัตถุไดแ๎ นํนยง่ิ ข้นึ หวั เจาะคมเจาะงาํ ยเบามือ

28 คุณสมบัตเิ ดน่ -ไมตํ อ๎ งเจาะนา ทางานงาํ ย เพราะมีปลายสวํานทอี่ อกแบบพเิ ศษ เกลียวแข็งแรง สามารถเจาะเหล็กได๎รวดเร็ว -หวั ฝงั จม เพราะหวั ตะปูเกลียสออกแบบพิเศษ แบบมปี กี ผเี สอ้ื ชวํ ยคว๎านแผํน ทาให๎หวั ตะปูจะฝังเข๎ากับแผํน โดยอตั โนมตั ิ ทาใหผ๎ ิวงานเรียบ เนียนสวย -ป้องกันสนิมได๎ยาวนาน เพราะตะปูเกลียวทาจากลวดเหล็กคุณภาพสูง DIN7540 (Heat Treated Carbon Steel AISI C 1022) เคลือบผิวด๎วยวิธี Mechanical Coating Class 3 หนาถึง 25 ไมครอน ตามมาตราฐาน AS 3566-1988 จงึ ใช๎งานไดท๎ ั้งภายในและภายนอก และสามารถรบั นา้ หนกั ไดด๎ ี ใชส้ าหรบั -ยึดฝา้ ผนัง สามาร์ทบอร์ดเอสซีจี หรือไมส๎ มาร์ทวูด หนา 6-12 มม. ติดกับโครงครําวเหล็กหนา 1.2-3.2 มม. โดยไมตํ ๎องใช๎สวํานเจาะนา -ยดึ หลงั คา รนํุ ลอนคหูํ รอื พรมี ํา ในแถวรมิ สดุ ทุกดา๎ นตดิ กับแป เอสซจี ีทง้ั ด๎านสันหลังคา ป้ันลม เชิงชาย และ ตะเขร๎ าง แทนการใช๎ขอยดึ กลับหัว หรือตะปูเกลียว ติดกับแปเหล็กโดยไมตํ อ๎ งใชส๎ วาํ นเจาะนา ข้อแนะนาการใชง้ าน -ควรใช๎สวาํ นไฟฟา้ ความเร็วรอบประมาณ 2,500 รอบ/นาที ในการยึด และใช๎กาลังในการยึดท่เี หมาะสม -ขนาดความหนาโครงครําวผนงั ที่เหมาะสมคือ 1.2 -3.2 มม. -การติดตงั้ ท่ีถูกตอ๎ ง ควรศึกษาคูมํ ือการติดตั้งของฝา้ ผนัง เอสซจี ีสมารท์ บอร์ด และหลังคาเอสซีจี รํุนลอนคํู หรอื พรมี ํา 8.แบบสอบถาม(Questionnaire) แบบสอบถาม หมายถงึ รปู แบบของคาถามเปน็ ชุดๆทไี่ ดถ๎ กู รวบรวมไว๎อยาํ งมหี ลกั เกณฑ์และเป็น ระบบเพอื่ ใช๎วัดสง่ิ ท่ีผว๎ู จิ ัยต๎องการจะวัดจากกลํมุ ตวั อยาํ งหรือประชากรเป้าหมายใหไ๎ ด๎มาซึง่ ขอ๎ เทจ็ จรงิ ทั้งในอดีต ปจั จุบนั และการคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต แบบสอบถามประกอบด๎วยรายการคาถามที่ สรา๎ งอยํางประณีตเพ่ือรวบรวมข๎อมลู เก่ียวกับความคิดเหน็ หรือข๎อเท็จจริงโดยสงํ ใหก๎ ลุํมตวั อยาํ งตาม ความสมคั รใจ การใชแ๎ บบสอบถามเป็นเครื่องมอื ในการเก็บรวบรวมข๎อมูลน้นั การสร๎างคาถามเปน็ งาน ท่ีสาคญั สาหรับผว๎ู ิจัยเพราะวาํ ผ๎ูวจิ ยั อาจไมมํ โี อกาสไดพ๎ บปะกับผต๎ู อบแบบสอบถามเพ่อื อธบิ าย ความหมายตํางๆของข๎อคาถามท่ตี อ๎ งการเกบ็ รวบรวม แบบสอบถามเป็นเคร่อื งมือวิจัยชนดิ หนึง่ ทีน่ ิยม ใชก๎ ันมากเพราะการเกบ็ รวบรวมขอ๎ มูลสะดวกและสามารถใชว๎ ดั ได๎อยาํ งกวา๎ งขวางการเกบ็ ขอ๎ มูลดว๎ ย แบบสอบถามสามารถทาได๎ดว๎ ยการสัมภาษณ์หรอื ให๎ผู๎ตอบดว๎ ยตนเอง

29 8.1โครงสร้างแบบสอบถาม โครงสร๎างแบบสอบถาม ประกอบไปดว๎ ย 3 สํวนสาคญั ดงั นี้ สว่ นท่ี 1 คาชแี้ จง เป็นอธบิ ายถึงวัตถุประสงคข์ องการเกบ็ รวมรวบข๎อมูลการนาขอ๎ มลู การนาขอ๎ มลู ไป ใช๎ใหเ๎ กดิ ประโยชนอ์ ยํางไร ส่วนท่ี 2 ข้อมลู สว่ นตวั เป็นขอ๎ มูลพื้นฐานเก่ียวกับผ๎ตู อบคาถาม เชนํ เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษา สถานภาพ ศาสนา เปน็ ตน๎ โดยมากมักใชเ๎ ป็นตวั แปรอิสระในงานวิจัยนอกจากนไี้ มํนยิ มให๎ผู๎ตอบ แบบสอบถามกรอกช่ือ-นามสกลุ ตนเอง ส่วนท่ี 3 ข้อมูลในส่วนท่ตี ้องการศึกษา อาจเปน็ คาถามปลายปิดหรอื ปลายปดิ กไ็ ด๎ อาจเป็นการแสดงความคิดเหน็ ทศั นคติ หรือขอ๎ เท็จจริงของแตลํ ะบุคคล 8.2ข้ันตอนการสร้างแบบสอบถาม การสรา๎ งแบบสอบถามประกอบไปด๎วยขัน้ ตอนสาคัญ ดังน้ี ขนั้ ที่ 1 ศกึ ษาคณุ ลกั ษณะทจี่ ะวดั การศึกษาคณุ ลักษณะอาจดไู ด๎จากวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั กรอบแนวความคดิ หรอื สมมตฐิ านการวจิ ยั จากน้ันจงึ ศกึ ษาคณุ ลกั ษณะ หรือตัวแปรท่จี ะวัดให๎เข๎าใจอยํางละเอยี ดทัง้ เชงิ ทฤษฎีและนิยามเชงิ ปฏิบัติการ ขนั้ ท่ี 2 กาหนดประเภทของข้อคาถาม ข๎อคาถามในแบบสอบถามอาจแบํงไดเ๎ ป็น 2 ประเภท คือ 1. คาถามปลายเปิด (Open Ended Question) เปน็ คาถามทเ่ี ปดิ โอกาสใหผ๎ ูต๎ อบสามารถตอบไดอ๎ ยํางเต็มที่ซึง่ คาดวาํ นาํ จะได๎คาตอบท่ี แนํนอนสมบรู ณ์ตรงกบั สภาพความเปน็ จรงิ ได๎ มากกวาํ คาตอบทจ่ี ากดั วงใหต๎ อบคาถาม ปลายเปดิ จะนยิ มใช๎กนั มากในกรณีท่ผี วู๎ ิจยั ไมสํ ามารถคาด เดาได๎ลวํ งหน๎าวาํ คาตอบจะเป็น อยํางไรหรอื ใช๎ คาถามปลายเปิดในกรณีที่ต๎องการได๎คาตอบเพือ่ นามา เปน็ แนวทางในการ สรา๎ งคาถามปลายปดิ แบบสอบถามแบบน้ีมขี ๎อเสียคือ มกั จะถามไดไ๎ มํมาก 2. คาถามปลายปดิ (Close Ended Question) เป็นคาถามทผ่ี ว๎ู ิจยั มีแนวคาตอบไวใ๎ ห๎ ผ๎ูตอบเลอื กตอบจากคาตอบทกี่ าหนดไวเ๎ ทํานน้ั คาตอบ ท่ีผูว๎ ิจัยกาหนดไวล๎ ํวงหนา๎ มกั ไดม๎ าจากการทดลองใชค๎ าถามในลักษณะทีเ่ ปน็ คาถาม ปลายเปดิ หรอื การศึกษากรอบแนวความคดิ สมมติฐานการวจิ ยั และนยิ ามเชิงปฏิบัติการ คาถามปลายเปิดมวี ิธีการเขยี นไดห๎ ลาย ๆ แบบ เชํน แบบให๎เลอื กตอบอยาํ งใดอยาํ งหน่งึ

30 แบบให๎เลอื กคาตอบท่ถี กู ต๎องเพียงคาตอบเดยี ว แบบผ๎ตู อบจดั ลาดับความสาคญั หรอื แบบให๎ เลือกคาตอบหายคาตอบ ขน้ั ที่ 3 การร่างแบบสอบถาม อยใูํ นแบบสอบถามเรียบรอ๎ ยแล๎วผู๎วจิ ัยจงึ ลงมอื เขยี นขอ๎ คาถามให๎ครอบคลุมทุกคณุ ลักษณะ ประเด็นทจี่ ะวดั โดยเขียนตามโครงสรา๎ งของแบบสอบถามทไี่ ดก๎ ลาํ วไวแ๎ ล๎วและหลกั การใน การสรา๎ งแบบสอบถาม ดงั น้ี 1.ตอ๎ งมจี ุดมํงุ หมายที่แนํนอนวําตอ๎ งการจะถามอะไรบา๎ งโดยจดุ มุํงหมายนั้นจะตอ๎ ง สอดคล๎องกับวตั ถุประสงค์ของงานวิจยั ที่จะทา 2.ตอ๎ งสร๎างคาถามให๎ตรงตามจดุ มงํุ หมายทีต่ ัง้ ไว๎เพือ่ ป้องกนั การมีขอ๎ คาถามนอกประเดน็ และมขี อ๎ คาถามจานวนมาก 3.ต๎องถามให๎ครอบคลมุ เรือ่ งท่ีจะวดั โดยมีจานวนข๎อคาถามทพ่ี อเหมาะไมมํ ากหรือนอ๎ ย เกนิ ไปแตจํ ะมากหรือนอ๎ ยเทําใดน้ันข้ึนอยํกู บั พฤตกิ รรมที่จะวัดซึ่งตามปกตพิ ฤตกิ รรมหรือ เร่อื งทีจ่ ะวดั เรือ่ งหนง่ึ ๆ นน้ั ควรมีขอ๎ คาถาม 25-60 ข๎อ 4.การเรยี งลาดบั ขอ๎ คาถามควรเรยี งลาดบั ให๎ตอํ เนอ่ื งสัมพนั ธ์กันและแบงํ ตามพฤติกรรม ยอํ ยๆไวเ๎ พอ่ื ให๎ผ๎ตู อบเหน็ ชดั เจนและงํายตอํ การตอบนอกจากนน้ั ตอ๎ งเรยี งคาถามงาํ ยๆไว๎เป็น ขอ๎ แรกๆเพื่อชักจงู ให๎ผ๎ูตอบอยากตอบคาถามตํอสํวนคาถามสาคญั ๆไมคํ วรเรยี งไว๎ตอนท๎าย ของแบบสอบถามเพราะความสนใจในการตอบของผต๎ู อบอาจจะน๎อยลงทาใหต๎ อบอยาํ งไมํ ต้งั ใจซ่ึงจะสํงผลเสยี ตํอการวจิ ัยมาก 5.ลกั ษณะของขอ๎ ความทีด่ ี ขอ๎ คาถามทีด่ ขี องแบบสอบถามนน้ั ควรมลี ักษณะดังนี้ 5.1ขอ๎ คาถามไมํควรยาวจนเกนิ ไปควรใช๎ข๎อความสน้ั กะทัดรัดตรงกบั วตั ถปุ ระสงคแ์ ละ สอดคลอ๎ งกบั เรื่อง 5.2ขอ๎ ความ หรอื ภาษาทใ่ี ช๎ในขอ๎ ความต๎องชัดเจน เขา๎ ใจงําย 5.3คาํ เฉลี่ยในการตอบแบบสอบถามไมคํ วรเกนิ หนงึ่ ชั่วโมงข๎อคาถามไมคํ วรมากเกินไปจนทาให๎ ผ๎ูตอบเบ่อื หนํายหรอื เหนือ่ ยลา๎ 5.4ไมํถามเรอื่ งทเ่ี ปน็ ความลับเพราะจะทาใหไ๎ ดค๎ าตอบทไี่ มตํ รงกับข๎อเทจ็ จริง 5.5ไมคํ วรใช๎ขอ๎ ความท่มี ีความหมายกากวมหรือขอ๎ ความท่ีทาให๎ผู๎ตอบแตํละคนเขา๎ ใจ ความหมายของขอ๎ ความไมเํ หมือนกัน 5.6ไมถํ ามในเรือ่ งที่รแ๎ู ล๎ว หรือถามในสิง่ ทวี่ ดั ได๎ดว๎ ยวธิ ีอนื่ 5.7ขอ๎ คาถามตอ๎ งเหมาะสมกับกลมํุ ตัวอยํางคือต๎องคานึงถงึ ระดับการศึกษาความสนใจ สภาพเศรษฐกจิ

31 5.8ขอ๎ คาถามหนึง่ ๆควรถามเพียงประเดน็ เดยี วเพือ่ ให๎ไดค๎ าตอบท่ชี ัดเจนและตรงจุดซึ่งจะ งํายตอํ การนามาวิเคราะห์ข๎อมูล 5.9คาตอบหรอื ตวั เลือกในขอ๎ คาถามควรมีมากพอหรือใหเ๎ หมาะสมกบั ขอ๎ คาถามนน้ั แตถํ า๎ ไมสํ ามารถระบไุ ดห๎ มดก็ใหใ๎ ชว๎ าํ อื่นๆ 5.10ควรหลีกเล่ยี งคาถามทเี่ กีย่ วกับคาํ นิยมทจ่ี ะทาให๎ผูต๎ อบไมํตอบตามความเป็นจรงิ 5.11คาตอบทีไ่ ด๎จากแบบสอบถามต๎องสามารถนามาแปลงออกมาในรปู ของปรมิ าณและ ใช๎สถติ อิ ธิบายขอ๎ เท็จจริงไดเ๎ พราะปัจจบุ ันนี้นยิ มใช๎คอมพิวเตอรใ์ นการวเิ คราะหข์ อ๎ มลู ดังนัน้ แบบสอบถามควรคานงึ ถึงวธิ ีการประมวลขอ๎ มูลและวเิ คราะหข์ อ๎ มลู ด๎วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์ด๎วย ขน้ั ท่ี 4 การปรับปรุงแบบสอบถาม หลงั จากทสี่ ร๎างแบบสอบถามเสร็จแลว๎ ผ๎ูวิจยั ควรนาแบบสอบถามน้ันมาพจิ ารณาทบทวนอกี ครั้งเพ่อื หาขอ๎ บกพรอํ งท่คี วรปรับปรุงแกไ๎ ขและควรให๎ผ๎ูเช่ียวชาญไดต๎ รวจสอบแบบสอบถาม นน้ั ดว๎ ยเพื่อทีจ่ ะไดน๎ าขอ๎ เสนอแนะและข๎อวพิ ากษว์ จิ ารณ์ของผู๎เชยี่ วชาญมาปรบั ปรงุ แกไ๎ ขให๎ดี ย่งิ ข้ึน ขัน้ ที่ 5 วิเคราะหค์ ณุ ภาพแบบสอบถาม เป็นการนาแบบสอบถามทไ่ี ดป๎ รบั ปรุงแลว๎ ไปทดลองใชก๎ บั กลํุมตวั อยาํ งเล็กๆเพอ่ื นาผลมา ตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถามซึง่ การวิเคราะหห์ รอื ตรวจสอบคณุ ภาพของแบบสอบถาม ทาได๎หลายวธิ ี แตทํ ่ีสาคญั มี 2 วิธี ได๎แกํ 1.ความตรง (Validity) หมายถึง เคร่ืองมอื ทสี่ ามารถวัดไดใ๎ นส่ิงท่ีตอ๎ งการวดั โดยแบงํ ออกได๎เปน็ 3 ประเภท คือ 1.ความตรงตามเนื้อหา(ContentValidity)คือการทแ่ี บบสอบถามมคี วามครอบคลุม วตั ถปุ ระสงคห์ รอื พฤตกิ รรมทตี่ อ๎ งการวดั หรือไมคํ ําสถิติทใี่ ช๎ในการหาคุณภาพคอื คาํ ความ สอดคล๎องระหวาํ งข๎อคาถามกับวตั ถุประสงค์ หรอื เน้ือหา (IOC: Index of item Objective Congruence) หรือดชั นคี วามเหมาะสม 2.ความตรงตามเกณฑ(์ Criterion-relatedValidity)หมายถงึ ความสามารถของแบบวดั ที่ สามารถวัดไดต๎ รงตามสภาพความเป็นจรงิ แบงํ ออกไดเ๎ ป็นความเที่ยงตรงเชงิ พยากรณแ์ ละ ความเที่ยงตรงตามสภาพสถติ ิทใ่ี ช๎วัดความเท่ียงตรงตามเกณฑเ์ ชนํ คําสัมประสทิ ธิ์ สหสมั พันธ์(Correlation Coefficient) ทัง้ ของ Pearson และ Spearman และคํา t-test 3.ความตรงตามโครงสรา๎ ง (Construct Validity) หมายถึงความสามารถของแบบสอบถาม ท่สี ามารถวดั ได๎ตรงตามโครงสร๎างหรือทฤษฎซี ง่ึ มกั จะมใี นแบบวัดทางจติ วิทยาและแบบ

32 วัดสตปิ ัญญา สถิติที่ใชว๎ ัดความเท่ยี งตรงตามโครงสร๎างมีหลายวิธี เชํน การวิเคราะห์ องคป์ ระกอบ (Factor Analysis) การตรวจสอบในเชงิ เหตผุ ล เปน็ ตน๎ 2.ความเทย่ี ง (Reliability) หมายถึงเคร่ืองมือทม่ี ีความคงเสน๎ คงวานนั่ คอื เคร่อื งมือท่สี รา๎ งขน้ึ ให๎ผลการวดั ทีแ่ นนํ อน คงท่ีจะวัดกค่ี รงั้ ผลจะไดเ๎ หมอื นเดิมสถิตทิ ีใ่ ชใ๎ นการหาคาํ ความเท่ียงมหี ลายวธิ แี ตํนยิ มใช๎กันคือ คาํ สัมประสทิ ธแิ์ อลฟา่ ของ คอนบารช์ (Conbach’s Alpha Coefficient: α coefficient) ซึ่งจะใช๎ สาหรับขอ๎ มลู ที่มกี ารแบงํ ระดับการวดั แบบประมาณคาํ (Rating Scale) ขนั้ ที่ 6 ปรับปรงุ แบบสอบถามให้สมบรู ณ์ ผู๎วิจัยจะต๎องทาการแก๎ไขข๎อบกพรํองที่ได๎จากผลการวิเคราะห์คุณภาพของแบบสอบถามและ ตรวจสอบความถูกต๎องของถ๎อยคาหรือสานวนเพื่อให๎แบบสอบถามมีความสมบูรณ์และมี คุณภาพผตู๎ อบอาํ นเข๎าใจได๎ตรงประเด็นที่ผู๎วิจัยต๎องการ ซ่ึงจะทาให๎ผลงานวิจัยเป็นที่นําเชื่อถือ ยง่ิ ขึน้ ข้ันท่ี 7 จัดพิมพ์แบบสอบถาม จดั พมิ พแ์ บบสอบถามที่ได๎ปรับปรุงเรียบร๎อยแล๎วเพ่ือนาไปใช๎จริงในการเก็บรวบรวมข๎อมูลกับ กลมํุ เปา้ หมายโดยจานวนท่จี ดั พมิ พ์ควรไมํนอ๎ ยกวําจานวนเปา้ หมายทต่ี ๎องการเก็บรวบรวมข๎อมูล และควรมีการพิมพ์สารองไว๎ในกรณีท่ีแบบสอบถามเสียหรือสูญหายหรือผ๎ูตอบไมํตอบกลับ แนวทางในการจัดพมิ พแ์ บบสอบถามมีดังนี้ หลกั การสรา้ งแบบสอบถาม -สอดคลอ๎ งกับวตั ถปุ ระสงค์การวิจยั -ใช๎ภาษาทีเ่ ขา๎ ใจงาํ ย เหมาะสมกบั ผ๎ูตอบ -ใช๎ข๎อความที่สน้ั กระทัดรัด ได๎ใจความ -แตํละคาถามควรมนี ยั เพียงประเดน็ เดียว -หลกี เลย่ี งการใช๎ประโยคปฏเิ สธซ๎อน -ไมํควรใช๎คายอํ -หลีกเล่ยี งการใช๎คาทเ่ี ป็นนามธรรมมาก -ไมชํ ี้นาการตอบให๎เปน็ ไปแนวทางใดแนวทางหน่ึง -หลีดเลี่ยงคาถามท่ีทาใหผ๎ ๎ตู อบเกิดความลาบากใจในการตอบ -คาตอบที่มใี หเ๎ ลอื กตอ๎ งชดั เจนและครอบคลมุ คาตอบทเ่ี ป็นไปได๎ -หลกี เลี่ยงคาที่สอ่ื ความหมายหลายอยาํ ง -ไมํควรเปน็ แบบสอบถามทมี่ จี านวนมากเกนิ ไปไมคํ วรให๎ผต๎ู อบใช๎เวลาในการตอบแบบสอบถาม นานเกนิ ไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook