Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานครูเพ็ญ

งานครูเพ็ญ

Published by chutikarn25647, 2020-07-14 03:28:23

Description: งานครูเพ็ญ

Search

Read the Text Version

ลกั ษณะประชาธิปไตย ในพระพทุ ธศาสนา 1. พระพทุ ธศาสนามีพระธรรมวนิ ยั เป็นธรรมนูญ(กฎหมายสูงสุดพระธรรม) คือ คาสอนที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง พระวนิ ยั คือ คาส่ังอนั เป็นขอ้ ปฏิบตั ิท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรง บญั ญตั ิข้ึนเม่ือรวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวนิ ยั ซ่ึงมีความสาคญั ขนาดท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงมอบให้ เป็นพระศาสดาแทนพระองค์ ก่อนท่ีพระองคจ์ ะปรินิพพานเพียงเลก็ นอ้ ย 2. มีการกาหนดลกั ษณะของศาสนาไวเ้ รียบร้อย ไม่ปล่อยใหเ้ ป็นไปตามยถากรรม ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนาคือสายกลาง ไม่ซา้ ยสุด ไม่ขวาสุด ทางสายกลางน้ีเป็นครรลอง อาจปฏิบตั ิค่อนขา้ งเคร่งครัดกไ็ ด้ โดยใชส้ ิทธิในการแสวงหา อดิเรกลาภตามที่ทรงอนุญาตไว้ ในสมยั ต่อมา เรียกแนวกลางๆ ของพระพทุ ธศาสนาวา่ วภิ ชั ชวาที คือศาสนาท่ีกล่าวจาแนกแจกแจง ตามความเป็นจริงบางอยา่ งกล่าวยนื ยนั โดยส่วนเดียวได้ บางอยา่ ง กล่าวจาแนกแจกแจงเป็นกรณี ๆ ไป 3. พระพุทธศาสนา มีความเสมอภาค ภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั บุคคลท่ีเป็นวรรณะกษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู รมาแต่เดิม รวมท้งั คนวรรณะต่ากวา่ น้นั เช่นพวกจณั ฑาล พวกปุกกสุ ะคนเกบ็ ขยะ และพวกทาส เมื่อเขา้ มาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาอยา่ งถูกตอ้ ง แลว้ มีความเท่าเทียมกนั คือปฏิบตั ิตามสิกขาบทเท่ากนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวโุ ส คือผอู้ ุปสมบทภายหลงั เคารพผอู้ ุปสมบทก่อน

ลกั ษณะประชาธิปไตย ในพระพทุ ธศาสนา 4. พระภิกษุในพระพุทธศาสนา มีสิทธิ เสรีภาพ ภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั เช่นในฐานะภิกษเุ จา้ ถ่ิน จะมีสิทธิไดร้ ับของแจกก่อนภิกษุอาคนั ตุกะ ภิกษทุ ่ีจาพรรษา อยดู่ ว้ ยกนั มีสิทธิไดร้ ับของแจกตามลาดบั พรรษา มีสิทธิรับกฐิน และไดร้ ับอานิสงส์กฐินในการแสวงหา จีวรตลอด 4 เดือนฤดูหนาวเท่าเทียมกนั นอกจากน้นั ยงั มีเสรีภาพที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ จะอยจู่ า พรรษาวดั ใดกไ็ ดเ้ ลือกปฏิบตั ิกรรมฐานขอ้ ใด ถือธุดงควตั รขอ้ ใดกไ็ ดท้ ้งั สิ้น 5. มีการแบ่งอานาจ พระเถระผใู้ หญ่ทาหนา้ ท่ีบริหารปกครองหมู่คณะ การบญั ญตั ิพระวนิ ยั พระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิเอง เช่นมีภิกษผุ ทู้ าผดิ มาสอบสวนแลว้ จึงทรงบญั ญตั ิพระวนิ ยั ส่วนการตดั สินคดีตามพระวนิ ยั ทรงบญั ญตั ิ แลว้ เป็นหนา้ ที่ของพระวินยั ธรรมซ่ึงเท่ากบั ศาล 6. พระพทุ ธศาสนามีหลกั เสียงขา้ งมาก ใชเ้ สียงขา้ งมาก เป็นเกณฑต์ ดั สิน เรียกวา่ วธิ ีเยภุยยสิกา การตดั สินโดยใชเ้ สียงขา้ งมาก ฝ่ ายใด ไดร้ ับเสียงขา้ งมากสนบั สนุน ฝ่ ายน้นั เป็นฝ่ ายชนะคดี

หลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั วทิ ยาศาสตร์ กระบวนการวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการพุทธศาสตร์ 1.ต้งั ปัญหาใหช้ ดั 1.ทุกข-์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ 2.ต้งั คาถามชวั่ คราวเพื่อตอบบท 2.หาคาตอบจากลทั ธิ ทดสอบ 3.ลองปฏิบตั ิโยคะ 3.รวบรวมขอ้ มูล 4.รวบรวมผดิ การปฏิบตั ิ 4.วิเคราะห์ขอ้ มลู 5.ผดิ กเ็ ปล่ียน ถูกกด็ าเนินถึงจุดหมาย 5.ถา้ คาตอบชวั่ คราวถูกต้งั ทฤษฎีไว้ 6.เผยแผแ่ ก่ชาวโลก 6.นาไปประยกุ ตแ์ กป้ ัญหา

หลกั การของพระพุทธศาสนา กบั หลกั วิทยาศาสตร์ 1. มุ่งเขา้ ใจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ -หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ มุ่งเขา้ ใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน ตอ้ งการรู้วา่ อะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็นผลท่ีตามมา - หลกั การพระพุทธศาสนามุ่งเขา้ ใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่นเดียวกนั แต่ต่างตรงท่ี พระพทุ ธศาสนาเนน้ เป็นพิเศษเกี่ยวกบั วถิ ี ชีวติ ของมนุษย์ จุดหมายปลายทางของพระพทุ ธศาสนาคือ สอนใหค้ นเป็ นคนดีข้ึน พฒั นาข้ึน สมบูรณ์ข้ึน 2. ตอ้ งการเรียนรู้กฎธรรมชาติ -หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ตอ้ งการเรียนรู้กฎธรรมชาติและหาทางควบคุมธรรมชาติ เนน้ การควบคุมธรรมชาติภายนอกมุง่ แกป้ ัญหาภายนอกวทิ ยาศาสตร์

หลกั การของพระพุทธศาสนา กบั หลกั วิทยาศาสตร์ 3. ยอมรับโลกแห่งสสาร สสาร หมายถึง ธรรมชาติและสรรพส่ิงท้งั หลายที่มีอยจู่ ริง รวมท้งั ปรากฏการณ์และความเป็นจริงตามภาวะวสิ ัย ซ่ึง สรรพส่ิงเหล่าน้ีมีอยตู่ ่างหากจากตวั เรา เป็ นอิสระจากตวั เรา และเป็นสิ่งท่ีสะทอ้ นข้ึนในจิตสานึกของคนเราเม่ือไดส้ มั ผสั มนั อนั ทาใหไ้ ดร้ ับรู้ถึงความมีอยขู่ องสิ่งน้นั ๆ สสารมีคุณลกั ษณะ 3 ประการคือ 1.เคลื่อนไหว อยเู่ สมอ 2. เปล่ียนแปลง อยเู่ สมอ 3.การเคล่ือนไหวและการเปล่ียนแปลง อยา่ งมีกฎเกณฑท์ ี่เรียกกนั วา่ กฎแห่งธรรมชาติ 4.มุ่งความจริงมาตีแผ่ -วทิ ยาศาสตร์น้นั แสวงหาความรู้จากธรรมชาติและจากกฎธรรมชาติที่มีอยภู่ ายนอกตวั มนุษย์ ไม่ไดส้ นใจเรื่องศีลธรรม เร่ือง ความดีความชว่ั สนใจเพยี งคน้ ควา้ เอาความจริงมาตีแผ่ วทิ ยาศาสตร์จึงมีท้งั คุณอนนั ตแ์ ละมีโทษมหนั ต์ กระบวนการผลิต ทางวทิ ยาศาสตร์ก่อใหเ้ กิดผลกระทบตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม -คาสอนทางพระพทุ ธศาสนาน้นั เนน้ เร่ืองศีลธรรม ความดีความชว่ั มุ่งใหม้ นุษยม์ ีความสุข อนั สูงสุดคือนิพพาน ฉะน้นั กระบวนการปฏิบตั ิธรรมในพทุ ธศาสนาจึงส่งเสริมใหม้ นุษยอ์ นุรักษธ์ รรมชาติ อนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม

การคิดตามนยั พระพทุ ธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ วิธีการแกป้ ัญหาแบบอริยสจั 1.การกาหนดปัญหา 1.ข้นั กาหนดทุกข์ 2.การต้งั สมมติฐาน 2.ข้นั สืบสาวสมุทยั 3.การสงั เกตและการทดลอง 3.ข้นั นิโรธ 4.การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 4.ข้นั มรรคข้นั ที่ 1 5.การสรุปผล 5.ข้นั มรรคข้นั ท่ี 2 6.ข้นั มรรคข้นั ท่ี 3

การคิดตามนยั พระพทุ ธศาสนา 1. ข้นั กาหนดรู้ทุกข์ การกาหนดรู้ทุกขห์ รือการกาหนดปัญหาวา่ คืออะไร มีขอบเขตของปัญหาแค่ไหน ห ขอ้ สาคญั คือ อยา่ หลบ ปัญหาหรือคิดวา่ ปัญหาจะหมดไปเองโดยท่ีเราไม่ตอ้ งทาอะไร ในธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร มีตวั อยา่ งการ กาหนดรู้ทุกขต์ ามแนวทางของพุทธพจนท์ ี่วา่ “เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข…์ ปรารถนาสิ่งใด ไม่ไดส้ ่ิงน้นั เป็นทุกข”์ 2.ข้นั สืบสาวสมุทยั เหตุของทุกขห์ รือสาเหตุของปัญหา แลว้ กาจดั ใหห้ มดไป ตวั อยา่ งสาเหตุของปัญหาท่ีพระพทุ ธเจา้ แสดงไวค้ ือ ตณั หา ไดแ้ ก่ กามตณั หา ภวตณั หา และวภิ วตณั หา 3.ข้นั นิโรธ ไดแ้ ก่ความดบั ทุกข์ หรือสภาพท่ีไร้ปัญหา ซ่ึงทาใหส้ าเร็จเป็นจริงข้ึนมา ในข้นั น้ีตอ้ งต้งั สมมติฐานวา่ สภาพไร้ปัญหาน้นั คืออะไร เขา้ ถึงไดห้ รือไม่ โดยวธิ ีใด 4.ข้นั เจริญมรรค ทางดบั ทุกข์ หรือวิธีแกป้ ัญหา 4.1มรรคข้นั ที่ 1 เป็นการแสวงหาและทดลองใชว้ ธิ ีการต่าง ๆ เพ่อื คน้ หาวธิ ีการท่ีเหมาะสมท่ีสุด 4.2มรรคข้นั ท่ี 2 เป็นการวเิ คราะหผ์ ลการสงั เกตและทดลองท่ีไดป้ ฏิบตั ิมาแลว้ เลือกเฉพาะวธิ ีการท่ีเหมาะสมท่ีสุด 4.3มรรคข้นั ท่ี 3 เป็นการสรุปผลของการสังเกตและทดลอง เพือ่ ใหไ้ ดค้ วามจริงเกี่ยวกบั เร่ืองน้นั

การคิดตามนยั พระพทุ ธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์ 1.การกาหนดปัญหาใหถ้ ูกตอ้ ง ในข้นั น้ีนกั วทิ ยาศาสตร์กาหนดขอบเขตของปัญหาใหช้ ดั เจนวา่ ปัญหาอยตู่ รงไหน ปัญหาน้นั น่าจะมี สาเหตุมาจากอะไร 2.การต้งั สมมติฐาน นกั วทิ ยาศาสตร์ใชข้ อ้ มูลเท่าที่มีอยใู่ นขณะน้นั เป็นฐานในการต้งั สมมติฐานเพ่ือใชอ้ ธิบายถึงสาเหตุของ ปัญหาและเสนอคาตอบหรือทางออกสาหรับปัญหาน้นั 3.การสงั เกตและการทดลอง เป็นข้นั ตอนสาคญั ท่ีสุดของการศึกษาหาความจริงทางวทิ ยาศาสตร์ การสังเกตเป็นการรวบรวมขอ้ มูล มาเป็นเครื่องมือสนบั สนุนทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์ 4.การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการสังเกตและทดลองมีจานวนมาก นกั วทิ ยาศาสตร์ตอ้ งพจิ ารณาแยกแยะขอ้ มลู เหล่าน้นั พร้อมจดั ระเบียบขอ้ มลู เขา้ เป็นหมวดหมู่และหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งขอ้ มูลต่าง ๆ 5.การสรุปผล ในการสรุปผลของการศกึ ษาคน้ ควา้ นกั วทิ ยาศาสตร์อาจใชภ้ าษาธรรมดาเขียนกฎหรือหลกั การทาง วทิ ยาศาสตร์ออกมา บางคร้ังนกั วทิ ยาศาสตร์จาเป็นตอ้ งสรุปผลดว้ ยคณิตศาสตร์

พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตร์ แห่งการศึกษา คาวา่ “การศึกษา” มาจากคาวา่ “สิกขา” โดยทว่ั ไปหมายถึง “กระบวนการเรียน “ “การ ฝึกอบรม” “การคน้ ควา้ ” “การพฒั นาการ” และ “การรู้แจง้ เห็นจริงในสิ่งท้งั ปวง” จะ เห็นไดว้ า่ การศึกษาในพระพทุ ธศาสนามีหลายระดบั ต้งั แต่ระดบั ต่าสุดถึงระดบั สูงสุด 1. การศึกษาระดบั โลกิยะ มีความมุ่งหมายเพ่ือดารงชีวติ ในทางโลก 2. การศึกษาระดบั โลกตุ ระ มีความม่งุ หมายเพอื่ ดารงชีวิตเหนือกระแสโลก ดา้ นสติปัญญา ดา้ นศีล พระพุทธศาสนาสอน ใหค้ นพฒั นาอย4ู่ อยา่ ง ดา้ นร่างกาย ดา้ นจิตใจ

ไตรสิกขา 1. สีลสิกขา การฝึกศกึ ษาในดา้ นความประพฤติทางกาย วาจา และอาชีพ ใหม้ ีชีวติ สุจริตและเก้ือกลู 2. จิตตสิกขา การฝึกศกึ ษาดา้ นสมาธิ หรือพฒั นาจิตใจใหเ้ จริญได้ 3. ปัญญาสิกขา การฝึกศึกษาในปัญญาสูงข้ึนไป ใหร้ ู้คิดเขา้ ใจมองเห็นตามเป็นจริง ความสัมพนั ธ์ของไตรสิกขา

- (ศีล -> สมาธิ) เมื่อประพฤติดี มีความสมั พนั ธง์ ดงาม ไดท้ าประโยชน์ อยา่ งนอ้ ยดาเนินชีวติ โดยสุจริต มน่ั ใจในความบริสุทธ์ิของ ตน ไม่ตอ้ ง กลวั ต่อการลงโทษ ไม่สะดุง้ ระแวงต่อการประทุษร้ายของคเู่ วร ไม่ หวาดหวนั่ เสียวใจต่อเสียงตาหนิหรือความรู้สึก ไม่ยอมรับของสงั คม และไม่มีความฟ้ ุงซ่านวนุ่ วายใจ -(สมาธิ -> ปัญญา) ยง่ิ จิตไม่ฟ้ ุงซ่าน สงบ อยกู่ บั ตวั ไร้สิ่งข่นุ มวั สดใส มุ่งไปอยา่ งแน่ว แน่เท่าใด การรับรู้ การคิดพินิจพจิ ารณามอง เห็นและเขา้ ใจสิ่งต่างๆกย้ ง่ิ ชดั เจน ตรงตาม จริง แล่น คล่อง เป็นผลดีในทางปัญญามากข้ึนเท่าน้นั ไตรสิกขาน้ี เม่ือนามาแสดงเป็นคาสอนในภาคปฏิบตั ิทว่ั ไป ไดป้ รากฏในหลกั ท่ีเรียกวา่ โอวาทปาฏิโมกข์ คือ 1.สพพปาปสส อกรณ การไม่ทาความชว่ั ท้งั ปวง ( ศลี ) 2. กสุ ลสสูปสมปทา การบาเพญ็ ความดีใหเ้ พียบพร้อม (สมาธิ ) 3.สจิตตปริโยทปน การทาจิตของตนใหผ้ อ่ งใส (ปัญญา )

เรียนรู้ตามหลกั โดยทว่ั ไป ท่ีพระพุทธเจา้ ทรงตรัสไว้ 1. การฟัง หมายถึงการต้งั ใจศึกษาเล่าเรียนในหอ้ งเรียน 2. การจาได้ หมายถึงการใชว้ ิธีการต่าง ๆ เพื่อใหจ้ าได้ 3. การสาธยาย หมายถึงการท่อง การทบทวนความจาบ่อย ๆ 4. การเพง่ พินิจดว้ ยใจ หมายถึงการต้งั ใจจินตนาการถึงความรู้น้นั ไวเ้ สมอ 5. การแทงทะลุดว้ ยความเห็น หมายถึงการเขา้ ถึงความรู้อยา่ งถูกตอ้ ง เป็น ความรู้อยา่ งแทจ้ ริง ไมใ่ ช่ติดอยแู่ ต่เพียงความจาเท่าน้นั แต่เป็นความรู้ ความจาที่สามารถนามาประพฤติปฏิบตั ิได้

พระพทุ ธศาสนาเนน้ ความสมั พนั ธ์ของ เหตุปัจจยั และวิธีการแกป้ ัญหา ล หลกั ของเหตุปัจจยั หรือหลกั ความเป็นเหตุเป็นผล ซ่ึงเป็นหลกั ของเหตุ ปัจจยั ที่อิงอาศยั ซ่ึงกนั และกนั ท่ีเรียกวา่ \"กฎปฏิจจสมุปบาท\" คาวา่ \"เหตุปัจจยั \" พุทธศาสนาถือวา่ สิ่งท่ีทาใหผ้ ลเกิดข้ึนไม่ใช่เหตุ อยา่ งเดียว ตอ้ งมีปัจจยั ต่าง ๆ ดว้ ยเม่ือมีปัจจยั หลายปัจจยั ผลกเ็ กิดข้ึน ความสมั พนั ธ์ของเหตุปัจจยั หรือหลกั ปฏิจจสมุปบาท แสดงใหเ้ ห็นอาการของส่ิง ท้งั หลายสมั พนั ธ์เน่ืองอาศยั เป็นเหตุปัจจยั ต่อกนั อยา่ งเป็นกระแส ในภาวะที่เป็น กระแสน้ี ขยายความหมายออกไปใหเ้ ห็นแง่ต่าง ๆ ไดค้ ือ - สิ่งท้งั หลายมีความสมั พนั ธ์ต่อเน่ืองอาศยั เป็นปัจจยั แก่กนั - ส่ิงท้งั หลายมีอยโู่ ดยความสมั พนั ธก์ นั - ส่ิงท้งั หลายมีอยดู่ ว้ ยอาศยั ปัจจยั - สิ่งท้งั หลายไม่มีความคงท่ีอยอู่ ยา่ งเดิมแมแ้ ต่ขณะเดียว (มีการเปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไม่อยนู่ ่ิง - สิ่งท้งั หลายไม่มีอยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คือ ไม่มีตวั ตนที่แทจ้ ริงของมนั - ส่ิงท้งั หลายไม่มีมูลการณ์ หรือตน้ กาเนิดเดิมสุด แต่มีความสมั พนั ธแ์ บบวฏั จกั ร หมุนวนจนไม่ทราบวา่ อะไรเป็นตน้ กาเนิดท่ีแทจ้ ริง

พระพทุ ธศาสนาเนน้ ความสมั พนั ธข์ อง เหตุปัจจยั และวิธีการแกป้ ัญหา หลกั คาสอน 2 เร่ือง คือ ปฏิจจสมุปบาท และอริยสจั 4 ปฏิจจสมุปบาท คือ การท่ีส่ิงท้งั หลายอาศยั ซ่ึงกนั และกนั เกิดข้ึน เป็นกฎธรรมชาติท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรง คน้ พบ เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ กฏอิทปั ปัจจยตา ซ่ึงกค็ ือ กฎแห่งความเป็นเหตุเป็นผลของ กนั และกนั นนั่ เอง กฏปฏิจจสมุปบาท(องคป์ ระกอบของชีวิต) คือ กฏแห่งเหตุผลที่วา่ ถา้ สิ่งน้ีมี สิ่งน้นั กม็ ี ถา้ ส่ิงน้ีดบั สิ่งน้นั กด้ บั ปฏิจจสมุปบาทมี องคป์ ระกอบ 12 ประการ คือ

พระพุทธศาสนาเนน้ ความสมั พนั ธ์ของ เหตุปัจจยั และวิธีการแกป้ ัญหา ปฏิจจสมุปบาท 1) อวชิ ชา คือ ความไม่รู้จริงของชีวติ 2) สงั ขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง หรือเจตนาท้งั ท่ีเป็นกศุ ลและอกศุ ล 3) วญิ ญาณ คือ ความรับรู้ต่ออารมณ์ต่างๆ 4) นามรูป คือ ความมีอยใู่ นรูปธรรมและนามธรรม 5) สฬายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ 6) ผสั สะ คือ การถกู ตอ้ งสมั ผสั หรือการกระทบ 7) เวทนา คือ ความรู้สึกวา่ เป็นสุข ทุกข์ หรืออุเบกขา 8) ตณั หา คือ ความทะเยอทะยานอยากหรือความตอ้ งการในส่ิงที่อานวยความสุข เวทนา และความดิ้นรนหลีกหนีในส่ิงที่ก่อทุกขเวทนา 9) อุปาทาน คือ ความยดึ มน่ั ถือมนั่ ในตวั ตน 10) ภพ คือ พฤติกรรมที่แสดงออกเพือ่ สนองอุปาทานน้นั ๆ 11) ชาติ คือ ความเกิด ความตระหนกั ในตวั ตน ตระหนกั ในพฤติกรรมของตน 12) ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อุปายาสะ คือ ความแก่ ความตาย ความโศกเศร้า ความคร่าครวญ ความไม่สบายกาย ความ ไม่สบายใจ ความกลดั กลุ่มใจ

พระพุทธศาสนาเนน้ ความสมั พนั ธ์ของ เหตุปัจจยั และวิธีการแกป้ ัญหา อริยสจั หมายถึง หลกั ความจริงอนั ประเสริฐหรือหลกั ความจริงที่ทาใหผ้ ู้ เขา้ ถึงเป็นผปู้ ระเสริฐ มี 4 ประการ คือ 1. ทุกข์ คือ การเกิดปัญหา หรือรู้ปัญหาท่ีเกิดข้ึน หรือรู้วา่ ปัญหาท่ีเกิดข้ึนคือ อะไร 2. สมุทยั คือ การสืบหาสาเหตุของปัญหา 3. นิโรธ คือ กาหนดแนวทางหรือวธิ ีการแกไ้ ขปัญหาท่ีเกิดจากสาเหตุ ต่าง ๆ เหล่าน้นั 4. มรรค คือ ปฏิบตั ิตามวธิ ีการใหถ้ ึงการแกไ้ ขปัญหา หรือวธิ ีการดบั ปัญหาได้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook