Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานสังคม-ครูเพ็ญประภา

งานสังคม-ครูเพ็ญประภา

Published by chutikarn25647, 2020-07-16 00:27:41

Description: งานสังคม-ครูเพ็ญประภา

Search

Read the Text Version

ประชาธปิ ไตยในพระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนาไดช้ ่ือว่าเป็นศาสนาท่ีมีลกั ษณะประชาธิปไตยหลายประการ สรุปดงั น้ี 1. พระพุทธศาสนามีพระธรรมวนิ ยั เป็ นธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด พระธรรม คอื คา สอนทพี่ ระพุทธเจา้ ทรงแสดง พระวินยั คอื คาส่งั อนั เป็นขอ้ ปฏิบตั ทิ พ่ี ระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิข้นึ เม่อื รวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวนิ ยั กอ่ นที่พระองคจ์ ะเสดจ็ ปรินิพพานเพียงเล็กนอ้ ยไดท้ รงมอบ ใหพ้ ระธรรมเป็นพระศาสดาแทนพระองค์ 2. พระพุทธศาสนามีความเสมอภาคภายใต้พระธรรมวินยั บคุ คลท่เี ป็ นวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรมาแต่เดิม รวมท้งั คนวรรณะต่ากว่าน้นั เช่นพวกจณั ฑาล พวกทาส เม่อื เขา้ มาอปุ สมบทในพระพุทธศาสนาอยา่ งถูกตอ้ งแลว้ มคี วามเท่าเทียมกนั คอื ปฏบิ ตั ติ ามสิกขาบท เท่ากนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวโุ ส คือผอู้ ุปสมบทภายหลงั เคารพผูอ้ ปุ สมบทกอ่ น 3. พระภกิ ษุในพระพุทธศาสนา มีสิทธิ เสรีภาพภายใต้พระธรรมวนิ ยั เช่น ภกิ ษทุ ่ีจาพรรษา อยดู่ ว้ ยกนั มสี ิทธิไดร้ บั ของแจกตามลาดบั พรรษา มีสิทธิรับกฐิน และไดร้ บั อานิสงสก์ ฐินในการ แสวงหาจีวรตลอด 4 เดอื นฤดหู นาวเท่าเทียมกนั นอกจากน้นั ยงั มีเสรีภาพท่จี ะเดินทางไปไหนมา ไหนได้ จะอยจู่ าพรรษาวดั ใดกไ็ ดเ้ ลอื กปฏบิ ตั กิ รรมฐานขอ้ ใด ถอื ธุดงควตั รขอ้ ใดกไ็ ดท้ ้งั สิ้น 4. มีการแบ่งอานาจ การกระจายอานาจ มอบภาระหนา้ ทใ่ี หส้ งฆร์ ับผดิ ชอบในพ้นื ฐานที่ ตา่ งๆ พระเถระผใู้ หญท่ าหนา้ ที่บริหารปกครองหมูค่ ณะ ส่วนการบญั ญตั พิ ระวนิ ยั พระพุทธเจา้ จะทรง บญั ญตั ิเอง เช่น มีภิกษผุ ทู้ าผดิ มาสอบสวนแลว้ จงึ ทรงบญั ญตั พิ ระวินยั ส่วนการตดั สินคดีตาม พระวินยั ทรงบญั ญตั แิ ลว้ เป็นหนา้ ทขี่ องพระวนิ ยั ธรรมซ่ึงเทา่ กบั ศาล 5. มกี ารรับฟังความเห็น หรือฟังเสียงของเหล่าพุทธบริษัท 4 กลา่ วคอื ภิกษุทุกรูปมีสิทธิใน การเขา้ ประชุม มสี ิทธิในการแสดงความคดิ เห็นท้งั ในทางคดั คา้ นและในทางเห็นดว้ ย และนามา พิจารณาไตร่ตรอง

6. พระพทุ ธศาสนายดึ หลกั ความถูกต้องตามธรรมะและความเป็ นเอกฉันท์ในการลงมติใน ทีป่ ระชุม โดยใชห้ ลกั เสียงขา้ งมากเป็นเกณฑต์ ดั สินในทป่ี ระชุมสงฆ์ เรียกวา่ วธิ ีเยภยุ ยสิกา ประกอบกบั หลกั ความถูกตอ้ งตามศีลวนิ ยั สงฆแ์ ละหลกั ธรรมะอน่ื ๆ ประกอบการพจิ ารณา ร่วมกนั 7. พระพทุ ธศาสนามีหลักธรรมสนับสุนนการประชุมในหม่สู งฆ์และเคารพกฎของการ ประชุม คือ หลกั ธรรม เร่ือง “อปริหานิยธรรม” มี 7 ประการ เช่น หมนั่ ประชุมเป็นเนืองนิตย์ เขา้ ประชุมและเลิกประชุมพร้อมเพรียงกนั เป็นตน้ 8. จุดม่งุ หมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ ม่งุ สู่อสิ รภาพ (หมายถึงบุคคลเป็นอิสระจาก กิเลสกองทกุ ขเ์ คร่ืองเศรา้ หมองท้งั ปวง) หรือเรียกวา่ “วมิ ุติ” 9. พระพทุ ธศาสนาสอนให้ชาวพทุ ธมีเสรีภาพทางความคดิ และปฏิบตั ิ ให้เกิดศรัทธาดว้ ย ปัญญา โดยไม่มีการบงั คบั 10. พระพทุ ธศาสนายดึ หลกั ธรรมาธปิ ไตย โดยใชเ้ หตผุ ลเป็นใหญ่ มิใช่ยึดในตวั บุคคล

หลกั การพระพุทธศาสนากบั หลกั การวิทยาศาสตร์ หลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การของวทิ ยาศาสตร์มีท้งั ส่วนทีส่ อดคลอ้ ง และส่วน ท่ีแตกต่างกนั ดงั ตอ่ ไปน้ี ความสอดคล้องกันของหลกั การของพระพุทธศาสนากบั หลกั การ วิทยาศาสตร์ 1. ในด้านความเชื่อ (Confidence) หลกั การวทิ ยาศาสตร์ ถือหลกั วา่ จะเช่ืออะไรน้นั จะตอ้ งมีการ พิสูจน์ใหเ้ ห็นจริงไดเ้ สียกอ่ น วิทยาศาสตร์เชื่อในเหตผุ ล ไมเ่ ช่ืออะไรลอย ๆ และตอ้ งมีหลกั ฐาน มายืนยนั วทิ ยาศาสตร์ไมอ่ าศยั ศรัทธาแตอ่ าศยั เหตุผล เชื่อการทดลองว่าใหค้ วามจริงแกเ่ ราได้ แต่ ไมเ่ ชื่อการดลบนั ดาลของส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ เพราะทกุ อยา่ งดาเนินอยา่ งมกี ฎเกณฑ์ มเี หตผุ ล และ วิทยาศาสตร์อาศยั ปัญญาและเหตุผลเป็นตวั ตดั สินความจริง วทิ ยาศาสตร์มคี วามเชื่อวา่ สรรพส่ิง ในจกั รวาลลว้ นดาเนินไปอยา่ งมีเหตุผล มีความเป็นระเบยี บและมีกฎเกณฑท์ แ่ี น่นอน หลกั การทางพระพุทธศาสนา มีหลกั ความเช่ือเช่นเดียวกบั หลกั วทิ ยาศาสตร์ ไมไ่ ดส้ อนให้มนุษย์ เชื่อและศรทั ธาอยา่ งงมงายในอทิ ธิปาฏิหาริย์ และอาเทศนาปาฏิหาริย์ แต่สอนใหศ้ รทั ธาใน อนุสาสนีปาฏหิ าริย์ ที่จะกอ่ ใหเ้ กิดปัญญาในการแกท้ กุ ขแ์ กป้ ัญหาชีวิต ไมส่ อนใหเ้ ชื่อใหศ้ รทั ธา ในส่ิงท่อี ยนู่ อกเหนือประสาทสัมผสั เช่นเดียวกบั วทิ ยาศาสตร์ สอนใหม้ นุษยน์ าเอาหลกั ศรทั ธา โยงไปหาการพิสูจนด์ ว้ ยประสบการณ์ ดว้ ยปัญญา และดว้ ยการปฏิบตั ิ ดงั หลกั ของความเชื่อ ใน “กาลามสูตร” คืออยา่ เชื่อ เพยี งเพราะให้ฟังตามกนั มา อยา่ เชื่อ เพียงเพราะไดเ้ รียนตามกนั มา ในหลกั กาลามสูตรน้ี พระพุทธเจา้ ยงั ตรสั ตอ่ ไปว่า จะตอ้ งรูเ้ ขา้ ใจดว้ ยว่า สิ่งเหลา่ น้ีเป็นกศุ ล หรือ อกุศล ถา้ รูว้ ่าเป็นอกศุ ล มีโทษ ไมเ่ ป็นประโยชน์ ทาใหเ้ กิดทกุ ข์ พงึ ละเสีย ถา้ รูว้ ่าเป็นกศุ ล มคี ุณ เป็นประโยชน์ เป็นไปเพ่อื ความสุข ก็ใหถ้ ือปฏิบตั ิ นน่ั คือศรัทธาหรือความเช่ือทกี่ อ่ ให้เกิด ปัญญา 2. ในด้านความรู้ (Wisdom) ท้งั หลกั การทางวิทยาศาสตร์และหลกั การของพระพุทธศาสนา ยอมรับความรู้ทีไ่ ดจ้ ากประสบการณ์ หมายถึง การทตี่ า หู จมูก ลิ้น กาย ไดป้ ระสบกบั ความรู้สึก นึกคดิ เช่น รู้สึกดีใจ รูส้ ึกอยากได้ เป็นตน้ วิทยาศาสตร์เริ่มตน้ จากประสบการณค์ อื จากการท่ีได้ พบเห็นสิ่งตา่ ง ๆ แลว้ เกิดความอยากรูอ้ ยากเห็นกแ็ สวงหาคาอธิบาย วทิ ยาศาสตร์ไมเ่ ช่ือหรือ ยึดถอื อะไรล่วงหนา้ อยา่ งตายตวั แต่จะอาศยั การทดสอบดว้ ยประสบการณส์ ืบสาวไปเร่ือย ๆ จะ

ไม่อา้ งองิ ถงึ ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิใด ๆ ทอ่ี ยนู่ อกเหนือประสบการณแ์ ละการทดลอง วทิ ยาศาสตร์ แสวงหาความจริงสากล (Truth) ไดจ้ ากฐานทเี่ ป็นความจริงเฉพาะองคค์ วามรู้ในทางวิทยาศาสตร์ ไดจ้ ากประสบการณ์ ความรู้ใดทีอ่ ยนู่ อกขอบเขตของประสบการณไ์ มถ่ ือว่าเป็นความรูท้ าง วทิ ยาศาสตร์พระพุทธเจา้ กท็ รงเร่ิมคดิ จากประสบการณ์คือ ประสบการณท์ ีไ่ ดเ้ หน็ ความเจบ็ ความแก่ ความตาย และท่ีสาคญั ที่สุดคือความทกุ ข์ พระองคม์ ีพระประสงคท์ จ่ี ะคน้ หาสาเหตขุ อง ทกุ ขใ์ นการคน้ หาน้ี พระองคม์ ไิ ดเ้ ช่ืออะไรลว่ งหนา้ อยา่ งตายตวั ไม่ทรงเชื่อวา่ มพี ระผเู้ ป็นเจา้ หรือส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิใด ๆ ทจี่ ะให้คาตอบไดแ้ ตไ่ ดท้ รงทดลองโดยอาศยั ประสบการณข์ องพระองค์ เองดงั เป็นท่ีทราบกนั ดีอยแู่ ลว้ หลกั การพระพทุ ธศาสนาและหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์มีส่วนท่ีต่างกนั ในเรื่องน้ีคอื วิทยาศาสตร์ เนน้ ความสนใจกบั ปัญหาท่เี กิดข้นึ จากประสบการณด์ า้ นประสาทสัมผสั (ตา หู จมูก ลน้ิ กาย) ส่วนพระพุทธศาสนาเนน้ ความสนใจกบั ปัญหาที่เกดิ ทางจติ ใจ หลกั การทางพระพทุ ธศาสนามี ส่วนคลา้ ยคลึงกบั หลกั การทางวิทยาศาสตร์ในหลายประการ เช่น ในขณะทม่ี นี กั วทิ ยาศาสตร์ กลุ่มหน่ึงมุง่ แสวงหาความจริงของธรรมชาติท่ีเรียกวา่ วทิ ยาศาสตร์บริสุทธ์ิ (Pure Science) และ มีนกั วิทยาศาสตร์อีกกล่มุ หน่ึงมงุ่ แสวงหาความรูท้ ่จี ะนามาก่อให้เกิดประโยชนต์ อ่ มนุษยท์ ่ี เรียกว่า วทิ ยาศาสตร์ประยกุ ต์ (Applied Science) อยา่ งไรก็ตามหลกั การพระพุทธศาสนาจะมฐี านะคลา้ ยกบั วิทยาศาสตร์บริสุทธ์ิ แต่จริยศาสตร์ แนวพุทธไม่เหมือนกบั วทิ ยาศาสตร์ประยกุ ต์ ดงั ท่านพระธรรมปิ ฎก แสดงความเหน็ ไวใ้ นการ บรรยายเร่ือง พระพทุ ธศาสนาในฐานะรากฐานของวิทยาศาสตร์ตอนหน่ึงวา่ “วทิ ยาศาสตร์นาเอาความรู้จากกฎธรรมชาติ โดยสอนใหม้ นุษยร์ ูจ้ กั ใชเ้ ทคโนโลยี เพอื่ ควบคุม ธรรมชาติ ส่วนปรชั ญาพทุ ธสอนให้มนุษยน์ าสจั ธรรมมาสร้างจริยธรรมเพอื่ ดาเนินชีวติ ให้ สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติ สอนให้มนุษยใ์ ชป้ ัญญา ในการแกป้ ัญหาชีวิตและพฒั นาคุณภาพชีวิต”

การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนากบั การคดิ แบบวิทยาศาสตร์ การคดิ ตามนัยแห่งพระพทุ ธศาสนา การคดิ ตามนยั แห่งพระพทุ ธศาสนา เป็นการศกึ ษาถึงวิธีการ แกป้ ัญหาตามแนวพระพทุ ธศาสนา ท่เี รียกว่า วิธีการแกป้ ัญหาแบบอริยสัจ มดี งั น้ีคอื (พระราชวร มนุ ี. 2540 : 43-46) 1. ข้นั กาหนดรู้ทุกข์ การกาหนดรูท้ กุ ขห์ รือการกาหนดปัญหาว่าคอื อะไร มขี อบเขตของปัญหา แค่ไหน หนา้ ที่ทค่ี วรทาในข้นั แรกคอื ใหเ้ ผชิญหนา้ กบั ปัญหา แลว้ กาหนดรูส้ ภาพและขอบเขต ของปัญหาน้นั ใหไ้ ด้ ขอ้ สาคญั คอื อยา่ หลบปัญหาหรือคดิ วา่ ปัญหาจะหมดไปเองโดยทเี่ ราไม่ ตอ้ งทาอะไร หนา้ ที่ในข้นั น้ีเหมือนกบั การทห่ี มอตรวจอาการของคนไขเ้ พอ่ื ใหร้ ู้ว่าเป็นโรคอะไร ที่ส่วนไหนของร่างกาย ลุกลามไปมากนอ้ ยเพยี งใด ในธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร มตี วั อยา่ งการ กาหนดรูท้ กุ ขต์ ามแนวทางของพทุ ธพจนท์ ี่วา่ “เกิดเป็นทกุ ข์ แกเ่ ป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข…์ ปรารถนาสิ่งใดไมไ่ ดส้ ่ิงน้นั เป็นทุกข”์ 2. ข้นั สืบสาวสมทุ ัย ไดแ้ ก่เหตขุ องทกุ ขห์ รือสาเหตุของปัญหา แลว้ กาจดั ให้หมดไป ข้นั น้ี เหมือนกบั หมอวนิ ิจฉัยสมุฏฐานของโรคกอ่ นลงมือรักษา ตวั อยา่ งสาเหตขุ องปัญหาท่ี พระพทุ ธเจา้ แสดงไวค้ อื ตณั หา ไดแ้ ก่ กามตณั หา ภวตณั หา และวิภวตณั หา 3. ข้นั นโิ รธ ไดแ้ ก่ความดบั ทุกข์ หรือสภาพที่ไรป้ ัญหา ซ่ึงทาให้สาเร็จเป็นจริงข้นึ มา ในข้นั น้ีตอ้ ง ต้งั สมมตฐิ านว่าสภาพไรป้ ัญหาน้นั คอื อะไร เขา้ ถงึ ไดห้ รือไม่ โดยวธิ ีใด เหมือกบั การท่หี มอตอ้ ง คาดว่าโรคน้ีรักษาใหห้ ายขาดไดห้ รือไม่ ใชเ้ วลารกั ษานานเทา่ ไร ตวั อยา่ งเช่น นิพพาน คือการ ดบั ทกุ ขท์ ้งั ปวงเป็นสิ่งท่ีเราสามารถบรรลถุ งึ ไดใ้ นชาตนิ ้ีดว้ ยการเจริญสติพฒั นาปัญญาเพื่อตดั อวิชชา และดบั ตณั หา

4. ข้นั เจริญมรรค ไดแ้ ก่ ทางดบั ทุกข์ หรือวธิ ีแกป้ ัญหา ซ่ึงเรามหี นา้ ทลี่ งมอื ทา เหมือนกบั ทห่ี มอ ลงมือรักษาคนไขด้ ว้ ยวธิ ีการและข้นั ตอนท่เี หมาะควรแกก่ ารรักษาโรคน้นั ข้นั น้ีอาจแบง่ ออกเป็น 3 ข้นั ยอ่ ยคือ 4.1 มรรคข้นั ท่ี 1 เป็นการแสวงหาและทดลองใชว้ ิธีการตา่ ง ๆ เพอ่ื คน้ หาวธิ ีการทเ่ี หมาะสมทสี่ ุด เช่น พระพุทธเจา้ ในช่วงทีเ่ ป็นคฤหสั ถเ์ คยใชช้ ีวติ แบบบารุงบาเรอตน หมกหมนุ่ ในโลกียส์ ุข แต่ ก็ทรงรู้สึกเบื่อหน่าย จงึ ออกผนวชแลว้ ไปบาเพย็ โยคะบรรลสุ มาธิข้นั สูงสุดจากสานกั ของอาฬา รดาบสและอุทกดาบส แมใ้ นข้นั น้ีพระองคย์ งั รูส้ ึกวา่ ไม่บรรลุความพน้ ทกุ ขจ์ งึ ทดลองฝึกการ ทรมานตนดว้ ยวิธีการตา่ ง ๆ เช่น การอดอาหาร เป็นตน้ 4.2 มรรคข้นั ที่ 2 เป็นการวเิ คราะหผ์ ลการสงั เกตและทดลองทไี่ ดป้ ฏบิ ตั ิมาแลว้ เลอื กเฉพาะ วธิ ีการท่เี หมาะสมท่สี ุด ดงั กรณีทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงพจิ ารณาเห็นว่า กามสุขลั ลิกานุโยค (การ บาเรอตนดว้ ยกาม) และอตั ตกิลมถานุโยค (การทรมานตนเอง) ทีไ่ ดท้ ดลองมาแลว้ ไมใ่ ช่วิธีการ ที่ถูกตอ้ ง เพราะเป็นเร่ืองสุดโตง่ เกินไป ท้งั การบาเพญ็ โยคะก็ทาใหไ้ ดเ้ พยี งสมาธิ ยงั ไม่ไดป้ ัญญา เคร่ืองดบั ทกุ ข์ ดงั น้นั วิธีการแห่งปัญญาจะสามารถช่วยใหพ้ น้ ทกุ ขไ์ ด้ 4.3 มรรคข้นั ท่ี 3 เป็นการสรุปผลของการสังเกตและทดลอง เพอื่ ใหไ้ ดค้ วามจริงเกี่ยวกบั เรื่องน้นั ดงั กรณีทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ไดข้ อ้ สรุปว่า ทางสายกลางที่ไมต่ ึงเกินไปหรือไม่หยอ่ นเกิน เป็นทางดบั ทกุ ข์ ทางน้ีเป็นวถิ ีแห่งปัญญาทเ่ี ริ่มตน้ ดว้ ยสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สรุปก็คอื มรรคมี องค์ 8 นน่ั เองแนวคิดแบบวทิ ยาศาสตร์

แนวคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ เรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ มขี ้นั ตอนดงั น้ี (พระรา ชวรมนุ ี. 2540 : 40-43) 1. การกาหนดปัญหาใหถ้ กู ตอ้ ง ในข้นั น้ีนกั วทิ ยาศาสตร์กาหนดขอบเขตของปัญหาให้ชดั เจนวา่ ปัญหาอยตู่ รงไหน ปัญหาน้นั น่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร ตวั อยา่ งเช่น การคน้ พบดาวเนปจูนเมือ่ พ.ศ. 2386-2389 เริ่มจากการที่นกั ดาราศาสตร์กาหนดปัญหาว่า ทาไมดาวยเู รนสั ซ่ึงพวกเขาเขา้ ใจ วา่ เป็นดาวเคราะห์ดวงทอ่ี ยไู่ กลทีส่ ุดจากดวงอาทติ ยจ์ งึ มวี ถิ โี คจรไมเ่ ป็นไปสม่าเสมอตามกฎแรง โนม้ ถว่ งนกั ดาราศาสตร์กลมุ่ หน่ึง สรุปวา่ กฎแรงโนม้ ถว่ งคงใชไ้ มไ่ ดก้ บั ส่ิงทอี่ ยไู่ กลดวงอาทติ ย์ มาก ๆ อยา่ งดาวยเู รนสั แต่นกั ดาราศาสตร์อีกกลมุ่ หน่ึงสนั นิษฐานวา่ สาเหตทุ ีว่ ิถีโคจรของดาว ยเู รนสั น่าจะมาจากการท่ีมีแรงโนม้ ถ่วงจากดาวเคราะหท์ ย่ี งั คน้ ไมพ่ บมากระทาการ นกั ดารา ศาสตร์กลมุ่ น้ีจึงเร่ิมศกึ ษาหาตาแหน่งของดาวลกึ ลบั ดวงน้นั และคน้ พบดาวเนปจูนในเวลาตอ่ มา 2. การต้งั สมมติฐาน นกั วิทยาศาสตร์ใชข้ อ้ มลู เท่าที่มีอยใู่ นขณะน้นั เป็นฐานในการต้งั สมมติฐาน เพื่อใชอ้ ธิบายถงึ สาเหตุของปัญหาและเสนอคาตอบหรือทางออกสาหรบั ปัญหาน้นั ตวั อยา่ งเช่น ในเร่ืองการคนั พบดาวเนปจนู น้นั นกั ดาราศาสตร์กล่มุ หน่ึงต้งั สมมติฐานว่า สาเหตุทว่ี ถิ ีโคจร ของดาวยเู รนสั ไมเ่ ป็นไปสม่าเสมอน่าจะเนื่องมาจากแรงโนม้ ถ่วงที่มาจากดาวเคราะหท์ ยี่ งั คน้ ไม่ พบ พวกเขาต้งั สมมตฐิ านวา่ น่าจะมีดาวเคราะหอ์ กี ดวงหน่ึงซ่ึงมวี ิถโี คจรห่างจากดวงอาทิตย์ มากกวา่ ดาวยเู รนสั และในระหว่าง พ.ศ. 2386-2389 นกั ดาราศาสตร์สองคน คือ จอหน์ อาดมั และเลอเวอริเอร์ ต่างก็ใชค้ ณิตศาสตร์คานวณหาตาแหน่งของดาวเนปจูน และทานายตาแหน่ง ของดาวดวงน้ีไวใ้ กลเ้ คยี งกนั การทานายของนกั ดาราศาสตร์ท้งั สองเป็นเพียงการคาดคะเนความ จริงซ่ึงอยใู่ นข้นั ต้งั สมมติฐานเกี่ยวกบั คาตอบของปัญหา 3. การสงั เกตและการทดลอง เป็นข้นั ตอนสาคญั ท่ีสุดของการศึกษาหาความจริงทางวทิ ยาศาสตร์ การสังเกตเป็นการรวบรวมขอ้ มลู มาเป็นเคร่ืองมอื สนบั สนุนทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์ เช่น นกั ดาราศาสตร์เช่ือว่า โจฮนั แกลล์ ไดใ้ ชก้ ลอ้ งโทรทรรศนส์ ่องทอ้ งฟ้าจนคน้ พบดาวเนปจูนเม่ือ

พ.ศ. 2389 นอกจากน้นั การทดลองหลายตอ่ หลายคร้ังช่วยให้คน้ พบหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ และสรา้ งความน่าเช่ือถอื ให้กบั การคน้ พบน้นั เช่น ในราว พ.ศ. 2150 นายแพทยว์ ิลเลียม ฮาวยี ์ ใชว้ ิธีการทดลองจนคน้ พบการไหลเวยี นของโลหิตไปทว่ั ร่างกาย เขาสงั เกตจงั หวะชีพจรและ การเตน้ ของหวั ใจ ผา่ ศพและซากสัตวเ์ พอ่ื ตรวจสอบหลายคร้ัง จนกระทงั่ ไดข้ อ้ สรุปว่า หวั ใจสูบ ฉีดโลหิตไปทวั่ ร่างกายทางหลอดเลอื ดแดง และโลหิตไหลกลบั ไปยงั หัวใจทางหลอดเลอื ดดา 4. การวิเคราะห์ขอ้ มลู ขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตและทดลองมีจานวนมาก นกั วทิ ยาศาสตร์ตอ้ ง พจิ ารณาแยกแยะขอ้ มลู เหลา่ น้นั พร้อมจดั ระเบียบขอ้ มลู เขา้ เป็นหมวดหมูแ่ ละหาความสัมพนั ธ์ ระหว่างขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เช่น นกั เคมีช่ือ ดมติ ริ เมนเดลิฟ (D. Mendelief)พบว่า ธาตุบางธาตุมี คณุ สมบตั ิทางเคมีคลา้ ยกนั จงึ ไดจ้ ดั หมวดหมู่ใหก้ บั ธาตุเหล่าน้นั โดยคิดตารางธาตุ (periodic table) ซ่ึงแบง่ ธาตทุ ่ีมคี ุณสมบตั ทิ างเคมีคลา้ ยกนั ไวใ้ นกลุ่มเดียวกนั ในตารางน้ีปรากฏว่ามี ช่องว่างเกิดข้นึ เป็นระยะ ช่องวา่ งน้ีแสดงว่าตอ้ งเป็นทีส่ าหรบั ธาตุทยี่ งั คน้ ไม่พบ นกั เคมยี คุ ตอ่ มา ไดค้ น้ พบธาตุใหมจ่ านวนมาก แลว้ นามาเตมิ ใส่ช่องว่างในตารางธาตขุ องเมนเดลฟิ 5. การสรุปผล ในการสรุปผลของการศึกษาคน้ ควา้ นกั วทิ ยาศาสตร์อาจใชภ้ าษาธรรมดาเขยี นกฎ หรือหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ออกมา บางคร้งั นกั วทิ ยาศาสตร์จาเป็นตอ้ งสรุปผลดว้ ย คณิตศาสตร์ ตวั อยา่ งเช่น อลั เบริ ์ต ไอสไตน์ พบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพลงั งานและมวลสารจงึ เขยี นสรุปผลการคน้ พบทฤษฎีสมั พนั ธเ์ ป็ นสมการวา่ E=MC2 หมายความว่า พลงั งาน (E = Energy) เท่ากบั มวลสาร (M = Mass) คณู ดว้ ยความเร็วของแสงยกกาลงั สอง

พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ความหมายของคาว่าการศึกษา คาวา่ “การศกึ ษา” มาจากคาว่า “สิกขา” โดยทว่ั ไปหมายถึง “กระบวนการเรียน “ “การฝึกอบรม” “การคน้ ควา้ ” “การพฒั นาการ” และ “การรูแ้ จง้ เหน็ จริงในสิ่งท้งั ปวง” จะเห็นไดว้ า่ การศึกษาใน พระพทุ ธศาสนามหี ลายระดบั ต้งั แตร่ ะดบั ต่าสุดถึงระดบั สูงสุด เม่อื แบง่ ระดบั อยา่ งกวา้ ง ๆ มี 2 ประการคือ 1. การศกึ ษาระดบั โลกิยะ มีความมงุ่ หมายเพ่อื ดารงชีวิตในทางโลก 2. การศึกษาระดบั โลกตุ ระ มีความมุง่ หมายเพอ่ื ดารงชีวติ เหนือกระแสโลก ในการศกึ ษาหรือการพฒั นาตามหลกั พระพุทธศาสนา น้นั พระพทุ ธเจา้ สอนให้คนได้ พฒั นาอยู่ 4 ดา้ น คอื ดา้ นร่างกาย ดา้ นศลี ดา้ นจติ ใจ และดา้ นสตปิ ัญญา โดยมีจดุ มงุ่ หมายให้ มนุษยเ์ ป็นท้งั คนดีและคนเกง่ มิใช่เป็นคนดีแต่โง่ หรือเป็นคนเกง่ แตโ่ กง การจะสอนใหม้ นุษย์ เป็นคนดีและคนเกง่ น้นั จะตอ้ งมีหลกั ในการศกึ ษาทถ่ี ูกตอ้ งเหมาะสม ซ่ึงในการพฒั นามนุษยน์ ้ัน พระพทุ ธศาสนามงุ่ สรา้ งมนุษยใ์ หเ้ ป็นคนดีกอ่ น แลว้ จงึ คอ่ ยสร้างความเกง่ ทีหลงั นน่ั คือสอนให้ คนเรามคี ุณธรรม ความดีงามก่อนแลว้ จงึ ใหม้ ีความรูค้ วามเขา้ ใจหรือสตปิ ัญญาภายหลงั ดงั น้นั หลกั ในการศกึ ษาของพระพทุ ธศาสนา น้นั จะมี ลาดบั ข้นั ตอนการศกึ ษา โดยเริ่มจาก สีลสิกขา ตอ่ ดว้ ยจิตตสิกขาและข้นั ตอนสุดทา้ ยคอื ปัญญาสิกขา ซ่ึงข้นั ตอน การศกึ ษาท้งั 3 น้ี รวมเรียกว่า \"ไตรสิกขา\" ซ่ึงมีความหมายดงั น้ี 1. สีลสิกขา การฝึกศึกษาในดา้ นความประพฤตทิ างกาย วาจา และอาชีพ ให้มชี ีวิต สุจริตและเก้ือกลู (Training in Higher Morality) 2. จติ ตสิกขา การฝึกศึกษาดา้ นสมาธิ หรือพฒั นาจติ ใจให้เจริญไดท้ ่ี (Training in Higher Mentality หรือ Concentration) 3. ปัญญาสิกขา การฝึกศกึ ษาในปัญญาสูงข้ึนไป ใหร้ ูค้ ิดเขา้ ใจมองเห็นตามเป็นจริง (Training in Higher Wisdom)

ความสัมพันธ์ของไตรสิกขา ความสมั พนั ธแ์ บบตอ่ เน่ืองของไตรสิกขาน้ี มองเห็นไดง้ า่ ยแมใ้ นชีวิตประจาวนั กลา่ วคือ (ศีล -> สมาธิ) เมือ่ ประพฤติดี มีความสัมพนั ธง์ ดงาม ไดท้ าประโยชน์อยา่ งนอ้ ย ดาเนินชีวติ โดยสุจริต มนั่ ใจในความบริสุทธ์ิของ ตน ไมต่ อ้ งกลวั ต่อการลงโทษ ไม่สะดุง้ ระแวง ต่อการประทษุ ร้ายของคูเ่ วร ไม่หวาดหวน่ั เสียวใจตอ่ เสียงตาหนิหรือความรู้สึก ไมย่ อมรับของ สังคม และไมม่ ีความฟุ้งซ่านวุ่นวายใจ เพราะความรูส้ ึกเดือดร้อนรังเกียจในความผิดของตนเอง จิตใจก็เอิบอิ่ม ช่ืนบานเป็นสุข ปลอดโปร่ง สงบ และแน่วแน่ มุ่งไปกบั สิ่งท่คี ดิ คาที่พดู และการท่ี ทา (สมาธิ -> ปัญญา) ยิ่งจติ ไม่ฟ้งุ ซ่าน สงบ อยกู่ บั ตวั ไร้สิ่งขนุ่ มวั สดใส มงุ่ ไปอยา่ ง แน่วแน่เทา่ ใด การรับรู้ การคดิ พนิ ิจพจิ ารณามอง เหน็ และเขา้ ใจส่ิงต่างๆกย้ งิ่ ชดั เจน ตรงตามจริง แลน่ คล่อง เป็นผลดีในทางปัญญามากข้นึ เทา่ น้นั อปุ มาในเรื่องน้ี เหมอื นวา่ ต้งั ภาชนะน้าไวด้ ว้ ยดีเรียบรอ้ ย ไม่ไปแกลง้ สั่นหรือเขยา่ มนั ( ศลี ) เมือ่ น้าไม่ถูกกวน คน พดั หรือเขยา่ สงบน่ิง ผงฝ่นุ ต่างๆ ก็นอนกน้ หายข่นุ น้ากใ็ ส (สมาธิ) เม่อื น้าใส ก็มองเห็นส่ิงตา่ งๆ ไดช้ ดั เจน ( ปัญญา ) ในการปฏบิ ตั ิธรรมสูงข้ึนไป ที่ถึงข้นั จะให้เกิดญาณ อนั รูแ้ จง้ เห็นจริงจนกาจดั อาสวกิเลสได้ ก็ยิ่งตอ้ งการจิตท่สี งบนิ่ง ผอ่ งใส มีสมาธิแน่วแน่ยงิ่ ข้นึ ไปอีก ถึงขนาดระงบั การ รับรู้ทางอายตนะต่างๆ ไดห้ มด เหลอื อารมณห์ รือส่ิงทก่ี าหนดไวใ้ ชง้ าน แต่เพยี งอยา่ งเดยี ว เพอ่ื ทาการอยา่ งไดผ้ ล จนสามารถกาจดั กวาดลา้ งตะกอนที่นอนกน้ ไดห้ มดส้ิน ไมใ่ ห้มีโอกาสขุ่นอกี ต่อไป ไตรสิกขาน้ี เมื่อนามาแสดงเป็นคาสอนในภาคปฏิบตั ิทว่ั ไป ไดป้ รากฏในหลกั ทเี่ รียกวา่ โอวาท ปาฏโิ มกข์ ( พุทธโอวาททเ่ี ป็นหลกั ใหญ่ อยา่ ง ) คอื สพพปาปสส อกรณ การไมท่ าความชวั่ ท้งั ปวง ( ศีล ) กุสลสสูปสมปทา การบาเพญ็ ความดีใหเ้ พียบพรอ้ ม (สมาธิ ) สจติ ตปริโยทปน การทาจิตของตนให้ผ่องใส (ปัญญา ) นอกจากน้ียงั มีวธิ ีการเรียนรูต้ ามหลกั โดยทวั่ ไป ซ่ึงพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธเจา้ ตรัส ไว้ 5 ประการ คอื

1. การฟัง หมายถงึ การต้งั ใจศกึ ษาเลา่ เรียนในหอ้ งเรียน 2. การจาได้ หมายถึงการใชว้ ิธีการตา่ ง ๆ เพือ่ ให้จาได้ 3. การสาธยาย หมายถึงการทอ่ ง การทบทวนความจาบ่อย ๆ 4. การเพ่งพินิจดว้ ยใจ หมายถงึ การต้งั ใจจนิ ตนาการถึงความรูน้ ้นั ไวเ้ สมอ 5. การแทงทะลุดว้ ยความเหน็ หมายถงึ การเขา้ ถงึ ความรู้อยา่ งถกู ตอ้ ง เป็น ความรูอ้ ยา่ งแทจ้ ริง ไม่ใช่ติดอยแู่ ตเ่ พยี งความจาเทา่ น้นั แต่เป็นความรู้ความจาทสี่ ามารถ นามาประพฤติปฏบิ ตั ไิ ด้ พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจัยและวิธกี ารแก้ปัญหา พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัย หลกั ของเหตปุ ัจจยั หรือหลกั ความเป็นเหตเุ ป็นผล ซ่ึงเป็นหลกั ของเหตปุ ัจจยั ทีอ่ งิ อาศยั ซ่ึงกนั และกนั ที่เรียกว่า \"กฎปฏิจจสมปุ บาท\" ซ่ึงมีสาระโดยยอ่ ดงั น้ี \"เมื่ออนั น้ีมี อนั น้ีจงึ มี เมื่ออนั น้ีไม่มี อนั น้ีกไ็ มม่ ี เพราะอนั น้ีเกิด อนั น้ีจงึ เกิด เพราะอนั น้ีดบั อนั น้ี จึงดบั \"นี่เป็นหลกั ความจริงพ้นื ฐาน วา่ สิ่งหน่ึงส่ิงใดจะเกิดข้ึนมาลอย ๆ ไมไ่ ด้ หรือใน ชีวติ ประจาวนั ของเรา \"ปัญหา\"ที่เกิดข้นึ กบั ตวั เราจะเป็นปัญหาลอย ๆ ไม่ได้ จะตอ้ งมีเหตุปัจจยั หลายเหตทุ ีก่ อ่ ให้เกิดปัญหาข้นึ มา หากเราตอ้ งการแกไ้ ขปัญหาก็ตอ้ งอาศยั เหตปุ ัจจยั ในการแกไ้ ข หลายเหตปุ ัจจยั ไม่ใช่มเี พียงปัจจยั เดียวหรือมเี พียงหนทางเดียวในการแกไ้ ขปัญหา เป็นตน้ คาวา่ \"เหตุปัจจยั \" พุทธศาสนาถอื ว่า สิ่งท่ที าให้ผลเกิดข้ึนไมใ่ ช่เหตอุ ยา่ งเดียว ตอ้ ง มีปัจจยั ตา่ ง ๆ ดว้ ยเมอื่ มปี ัจจยั หลายปัจจยั ผลก็เกิดข้นึ ตวั อยา่ งเช่น เราปลูกมะม่วง ตน้ มะมว่ งงอก งามข้ึนมาตน้ มะม่วงถือวา่ เป็นผลทเี่ กิดข้นึ ดงั น้นั ตน้ มะม่วงจะเกิดข้ึนเป็นตน้ ทส่ี มบูรณ์ไดต้ อ้ ง อาศยั เหตุปัจจยั หลายปัจจยั ทีก่ อ่ ใหเ้ กิดเป็นตน้ มะม่วงได้ เหตปุ ัจจยั เหลา่ น้นั ไดแ้ ก่ เมล็ดมะมว่ ง ดิน น้า ออกซิเจน แสงแดด อุณหภูมทิ ่ีพอเหมาะ ป๋ ยุ เป็นตน้ ปัจจยั เหล่าน้ีพรง่ั พรอ้ มจงึ กอ่ ใหเ้ กิด ตน้ มะม่วง ตวั อยา่ งความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั เช่น ปัญหาการมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนตา่ ซ่ึง เป็นผลท่ีเกิดจากการเรียนของนกั เรียน มีเหตปุ ัจจยั หลายเหตปุ ัจจยั ท่ีกอ่ ใหเ้ กิดการเรียนออ่ น เช่น ปัจจยั จากครูผสู้ อน ปัจจยั จากหลกั สูตรปัจจยั จากกระบวนการเรียนการสอนปัจจยั จากการวดั ผล ประเมนิ ผล ปัจจยั จากตวั ของนกั เรียนเอง เป็นตน้

ความสมั พนั ธข์ องเหตปุ ัจจยั หรือหลกั ปฏิจจสมปุ บาท แสดงใหเ้ ห็นอาการของสิ่งท้งั หลาย สัมพนั ธ์เนื่องอาศยั เป็นเหตุปัจจยั ตอ่ กนั อยา่ งเป็นกระแส ในภาวะท่ีเป็นกระแสน้ี ขยาย ความหมายออกไปใหเ้ ห็นแงต่ ่าง ๆ ไดค้ ือ - สิ่งท้งั หลายมีความสัมพนั ธ์ตอ่ เนื่องอาศยั เป็นปัจจยั แกก่ นั - ส่ิงท้งั หลายมีอยโู่ ดยความสมั พนั ธ์กนั - สิ่งท้งั หลายมีอยดู่ ว้ ยอาศยั ปัจจยั - สิ่งท้งั หลายไม่มีความคงท่ีอยอู่ ยา่ งเดมิ แมแ้ ต่ขณะเดียว (มกี ารเปลยี่ นแปลงอยู่ ตลอดเวลา ไม่อยนู่ ่ิง) - สิ่งท้งั หลายไมม่ ีอยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คอื ไม่มีตวั ตนท่ีแทจ้ ริงของมนั - สิ่งท้งั หลายไม่มีมูลการณ์ หรือตน้ กาเนิดเดิมสุด แต่มีความสมั พนั ธแ์ บบวฏั จกั ร หมุนวนจนไม่ทราบว่าอะไรเป็นตน้ กาเนิดท่ีแทจ้ ริง หลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนาของพระพทุ ธศาสนาท่ีเนน้ ความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั มี มากมาย ในท่นี ้ีจะกล่าวถงึ หลกั คาสอน 2 เรื่อง คอื ปฏจิ จสมุปบาท และอริยสัจ 4 ปฏจิ จสมุปบาท คอื การทส่ี ่ิงท้งั หลายอาศยั ซ่ึงกนั และกนั เกิดข้ึน เป็นกฎธรรมชาตทิ ่พี ระพุทธเจา้ ทรงคน้ พบ การที่พระพทุ ธเจา้ ทรงคน้ พบกฎน้ีน่ีเอง พระองคจ์ ึงไดช้ ื่อวา่ พระสัมมาสัมพุทธ เจ้า กฏปฏิจจสมุปบาท เรียกอกี อยา่ งหน่ึงว่า กฏอทิ ัปปัจจยตา ซ่ึงกค็ ือ กฏแห่งความเป็นเหตเุ ป็น ผลของกนั และกนั นน่ั เอง กฏปฏิจจสมุปบาท คือ กฏแห่งเหตผุ ลท่ีว่า ถ้าสิ่งนมี้ ี สิ่งนนั้ กม็ ี ถ้าส่ิงนดี้ บั สิ่งนั้นก้ ดับ ปฏจิ จสมปุ บาทมอี งคป์ ระกอบ 12 ประการ คือ 1) อวิชชา คอื ความไม่รูจ้ ริงของชีวติ ไม่รู้แจง้ ในอริยสัจ 4 ไมร่ ู้เทา่ ทนั ตามสภาพทเี่ ป็นจริง 2) สังขาร คอื ความคดิ ปรุงแตง่ หรือเจตนาท้งั ทเ่ี ป็นกศุ ลและอกุศล 3) วญิ ญาณ คอื ความรับรูต้ ่ออารมณ์ตา่ งๆ เช่น เห็น ไดย้ นิ ไดก้ ล่นิ รูร้ ส รูส้ มั ผสั 4) นามรูป คอื ความมีอยใู่ นรูปธรรมและนามธรรม ไดแ้ ก่ กายกบั จิต 5) สฬายตนะ คือ ตา หู จมกู ลิ้น กาย และใจ 6) ผสั สะ คือ การถกู ตอ้ งสมั ผสั หรือการกระทบ

7) เวทนา คือ ความรูส้ ึกวา่ เป็นสุข ทกุ ข์ หรืออเุ บกขา 8) ตณั หา คอื ความทะเยอทะยานอยากหรือความตอ้ งการในส่ิงทอี่ านวยความสุขเวทนา และ ความดิน้ รนหลีกหนีในส่ิงทีก่ ่อทกุ ขเวทนา 9) อปุ าทาน คือ ความยึดมน่ั ถอื มน่ั ในตวั ตน 10) ภพ คอื พฤติกรรมทแี่ สดงออกเพอ่ื สนองอปุ าทานน้นั ๆ เพื่อให้ไดม้ าและใหเ้ ป้นไปตาม ความยึดมน่ั ถอื มน่ั 11) ชาติ คอื ความเกิด ความตระหนกั ในตวั ตน ตระหนกั ในพฤตกิ รรมของตน 12) ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อปุ ายาสะ คอื ความแก่ ความตาย ความโศกเศรา้ ความคร่าครวญ ความไม่สบายกาย ความไมส่ บายใจ และความคบั แคน้ ใจหรือความกลดั กลุ่มใจ องคป์ ระกอบท้งั 12 ประเภทน้ี พระพทุ ธเจา้ เรียกว่า องค์ประกอบแห่งชีวิต หรือ กระบวนการของชีวิต ซ่ึงมีความสัมพันธ์เก่ียวเน่ืองกันทานองปฏกิ ริ ิยาลูกโซ่ เป็นเหตุ ปัจจยั ตอ่ กนั โยงใยเป็นวงเวยี นไมม่ ตี น้ ไม่มีปลาย ไม่มที ่สี ้ินสุด กลา่ วคือองคป์ ระกอบ ของชีวติ ตามกฏปฏจิ จสมุปบาทดงั กลา่ วน้ีเป็ นสายเกิด เรียกว่า สมุทยั วาร เพราะมอี วิชชา จึงมี สังขาร เพราะมีเวทนา จึงมี ตณั หา เพราะมีสงั ขาร จงึ มี เพราะมตี ณั หา จงึ มี อุปาทาน วญิ ญาณ เพราะมีอปุ าทาน จงึ มี ภพ เพราะมีวิญญาณ จึงมี นาม เพราะมีภพ จึงมี ชาติ รูป เพราะมีชาติ จึงมี ชรา มรณะ โส เพราะมีนามรูป จงึ มี กะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อปุ ายา สฬายตนะ สะ เพราะมสี ฬายตนะ จงึ มี ผสั สะ เพราะมีผสั สะ จึงมี เวทนา

ในทางตรงกนั ขา้ ม ถา้ เราสามารถรู้เท่าทนั กระบวนการของชีวิตและกาจดั เหตุเสียได้ ผล ก็ยอ่ มส้ินสุดลง ปฏิจจสมปุ บาทดงั กลา่ วน้ีเป็ นสายดับ เรียกว่า นโิ รธวาร ซ่ึงมลี าดบั ความเป็นเหตุ เป็นผลของกนั และกนั ดงั น้ี เพราะ อวิชชา ดบั สังขาร จึงดบั เพราะ เวทนา ดบั ตณั หา จึงดบั เพราะ สงั ขาร ดบั วญิ ญาณ จึงดับ เพราะ ตณั หา ดบั อปุ าทาน จงึ เพราะ วิญญาณ ดับ นามรูป จึงดับ ดับ เพราะ นามรูป ดบั สฬายตนะ จงึ เพราะ อปุ าทาน ดับ ภพ จึงดับ ดบั เพราะ ภพ ดบั ชาติ จงึ ดับ เพราะ สฬายตนะ ดบั ผสั สะ จึงดบั เพราะ ชาติ ดับ ชรา มรณะ โสกะ เพราะ ผสั สะ ดับ เวทนา จึงดับ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อุปายา สะ จึงดบั จากกฎน้ีจะเหน็ ชดั ว่า ท้งั สายเกิดและสายดบั ทกุ สิ่งทกุ อยา่ งหรือทเ่ี รียกว่า สภาวธรรม จะมีอวชิ ชาเป็นตวั เหตุอนั ดบั แรก กล่าวคือ เพราะมอี วชิ ชา ทุกสิ่งทกุ อยา่ งจึงมี และเพราะอวิชชา ดบั คอื สิ้นสุดลง ทกุ สิ่งทกุ อยา่ งกย็ อ่ มดบั ลงดว้ ย ดงั แผนภูมิ จากกฏปฏจิ จสมปุ บาทหรือกฎอทิ ปั ปัจจยตาทว่ี ่า อวิชชาเป็นตัวเหตขุ องทุกส่ิงทกุ อย่าง อวิชชาคือความไมร่ ูแ้ จง้ ในอริยสัจ 4 ดงั น้นั กฎปฏจิ จสมุปบาท เม่ือกลา่ วโดยสรุปแลว้ ก็ คอื อริยสัจ 4 น่ันเอง อริยสัจ หมายถงึ หลกั ความจริงอนั ประเสริฐหรือหลกั ความจริงทที่ าให้ผเู้ ขา้ ถึงเป็นผู้ ประเสริฐ มี 4 ประการ คือ 1) ทกุ ข์ หมายถงึ ความไมส่ บายกาย ไม่สบายใจ หรือสภาพทีบ่ บี ค้นั จิตใจใหท้ นไดย้ าก ทกุ ข์ เป็นสภาวะที่จะตอ้ งกาหนดรู้ 2) สมุทยั (ทกุ ขสมทุ ัย) หมายถงึ ตน้ เหตุทท่ี าให้เกิดทุกข์ ไดแ้ ก่ ตณั หา3 ประการ คือ กามตณั หา ภวตณั หา และวิภวตณั หา สมุทยั เป็นสภาวะทีจ่ ะตอ้ งละหรือทาใหห้ มดไป 3) นิโรธ (ทุกนิโรธ)หมายถงึ ความดบั ทุกข์ หรือสภาวะทป่ี ราศจากทุกข์ เป็นสภาวะที่ตอ้ งทา ความเขา้ ใจให้แจ่มแจง้ 4) มรรค (ทุกขนิโรธคามินปี ฎิปทา) หมายถงึ ทางดบั ทกุ ข์ หรือขอ้ ปฏบิ ตั ิให้ถึงความดบั ทุกข์

ไดแ้ ก่ มัชฌมิ าปฏปิ ทา หรืออริยมรรคมีองค์ 8 ซ่ึงสรุปลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคเป็นสภาวะท่ตี ้องลงมือปฏิบตั ิด้วยตนเองจึงจะไปสู่ความดบั ทกุ ข์ได้ อริยสัจ 4 น้ีถา้ วิเคราะห์กนั ในเชิงวทิ ยาการสมยั ใหมก่ ็คอื ศาสตร์แห่งเหตุผล เพราะอริยสจั 4 จดั ไดเ้ ป็น 2 คู่ แตล่ ะคเู่ ป็นเหตุเป็นผลของกนั และกนั ดงั แผนภมู ิ หลักอริยสัจ 4 หมายถึง หลักความจริงอันประเสริฐ เมอื่ วเิ คราะห์ในทางกลบั กนั จากกฏท่วี ่า เมื่อมีทุกข์ กต็ ้องมีความดบั ทุกข์ อริยสัจ คู่ที่สอง (นิโรธ และมรรค) กลายเป็นเหตุทน่ี าไปสู่ผล คอื การดบั อริยสัจคแู่ รก (ทกุ ขแ์ ละสมุทยั ) อนั เป็นการ ยอ้ นศรอีกรอบหน่ึง จะเห็นชดั วา่ อริยสัจ 4 เป็นกระบวนการท่เี ก่ียวเน่ืองกนั เป็นระบบ เหตผุ ล คือ เมอ่ื มีเหตเุ กิดแห่งทกุ ข์ (สมทุ ยั ) กจ็ ะทาให้เกิดความทุกข์ (ทกุ ข)์ ในขณะเดียวกนั หาก ตอ้ งการสภาวะหมดทกุ ข์ (นิโรธ) กต็ อ้ งกาจดั เหตเุ กิดแห่งทุกข์ คอื ตณั หาดว้ ยการปฏิบตั ิตาม มรรค 8 (มรรค)

วิธแี ก้ปัญหาตามแนวพระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนาเนน้ การแกป้ ัญหาดว้ ยการกระทาของมนุษยต์ ามหลกั ของเหตุผล ไม่หวงั การ ออ้ นวอนจากปัจจยั ภายนอก เช่น เทพเจา้ รุกขเทวดา ภูตผีปี ศาจ เป็นตน้ จะเหน็ ไดจ้ ากตวั อยา่ งคา สอนในคาถาธรรมบท แปลความวา่ มนุษยท์ ้งั หลายถูกภยั คกุ คามแลว้ พากนั ถงึ เจา้ ป่ าเจา้ เขา เจา้ ภู ผา ตน้ ไมศ้ กั ด์ิสิทธ์ิ เป็นที่พ่งึ แต่ส่ิงเหล่าน้นั ไม่ใช่สรณะอนั เกษม เม่ือยึดเอาส่ิงเหล่าน้นั เป็นสรณะ (ทีพ่ ่งึ ) ยอ่ มไม่สามารถหลุดพนั จากความทุกขท์ ้งั ปวง…แต่ชน เหล่าใดมาถึงพระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ รู้เขา้ ใจอริยสจั 4 เหน็ ปัญหา เหตเุ กิด ของปัญหา ภาวะไรป้ ัญหา และวธิ ีปฏิบตั ิใหถ้ งึ ความสิ้นปัญหาจงึ จะสามารถหลดุ พน้ จากทกุ ขท์ ้งั ปวงได\"้ ดงั น้นั มนุษยต์ อ้ งแกป้ ัญหาดว้ ยวธิ ีการของมนุษยท์ เี่ พียรทาการดว้ ยปัญญาทรี่ ูเ้ หตปุ ัจจยั หลกั การแกป้ ัญหาดว้ ยปัญญาของมนุษยค์ อื เหลา่ น้นั 1. ทุกข์ คอื การเกิดปัญหา หรือรูป้ ัญหาทเ่ี กิดข้ึน หรือรูว้ า่ ปัญหาทเ่ี กิดข้นึ คอื อะไร 2. สมทุ ยั คือ การสืบหาสาเหตุของปัญหา 3. นิโรธ คือ กาหนดแนวทางหรือวธิ ีการแกไ้ ขปัญหาทีเ่ กิดจากสาเหตุต่าง ๆ 4. มรรค คือ ปฏิบตั ติ ามวธิ ีการใหถ้ ึงการแกไ้ ขปัญหา หรือวิธีการดบั ปัญหาได้ หลกั การแกป้ ัญหาตามหลกั อริยสจั 4 น้ี มคี ณุ คา่ เดน่ ท่ีสาคญั พอสรุปไดด้ งั น้ี 1. เป็นวธิ ีการแห่งปัญญา ซ่ึงดาเนินการแกไ้ ขปัญหาตามระบบแห่งเหตุผล เป็น ระบบวธิ ีแบบอยา่ ง ซ่ึงวิธีการแกป้ ัญหาใด ๆ กต็ าม ท่จี ะมคี ุณค่าและสมเหตผุ ล จะตอ้ งดาเนินไป ในแนวเดียวกนั เช่นน้ี 2. เป็นการแกป้ ัญหาและจดั การกบั ชีวติ ของตน ดว้ ยปัญญาของมนุษยเ์ อง โดย นาเอาหลกั ความจริงทม่ี ีอยตู่ ามธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์ ไมต่ อ้ งอา้ งอานาจดลบนั ดาลของ ตวั การพิเศษเหนือธรรมชาติ หรือสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิใด ๆ 3. เป็นความจริงท่เี ก่ียวขอ้ งกบั ชีวติ ของคนทกุ คน ไม่วา่ มนุษยจ์ ะเตลดิ ออกไป

เก่ียวขอ้ งสมั พนั ธก์ บั สิ่งทอี่ ยหู่ ่างไกลตวั กวา้ งขวางมากมายเพยี งใดก็ตาม แต่ถา้ เขายงั จะตอ้ งมี ชีวิตของตนเองทม่ี ีคุณคา่ และสัมพนั ธก์ บั ส่ิงภายนอกเหลา่ น้นั อยา่ งมผี ลดีแลว้ เขาจะตอ้ ง เก่ียวขอ้ งและใชป้ ระโยชน์จากหลกั ความจริงน้ีตลอดไป 4. เป็นหลกั ความจริงกลาง ๆ ที่ตดิ เนอ่ื งอยกู่ บั ชีวติ หรือเป็นเรื่องของชีวิตเองแท้ ๆ ไม่วา่ มนุษยจ์ ะสรา้ งสรรคศ์ ิลปวิทยาการ หรือดาเนินกิจการใด ๆ ข้นึ มา เพอื่ แกป้ ัญหาและพฒั นา ความเป็นอยขู่ องตน และไมว่ า่ ศลิ ป-วิทยาการ หรือกิจการต่าง ๆ น้นั จะเจริญข้นึ เส่ือมลง สูญ สลายไป หรือเกิดมใี หม่มาแทนอยา่ งไรก็ตาม หลกั ความจริงน้ีก็จะคงยนื ยงใหม่ และใชเ้ ป็น ประโยชนไ์ ดต้ ลอดทุกเวลา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook