Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิธีชีวิตของคนอีสาน

ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิธีชีวิตของคนอีสาน

Published by kruvee1996, 2021-10-05 13:48:10

Description: ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิธีชีวิตของคนอีสาน

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน ขนบธรรมเนียมประเพณี และวธิ ีชีวิตของคนอีสาน สถาปั ตยกรรมอสี าน ผ้บู รรยาย อาจารย์เกียรติพงศ์ เรืองเกษม โรงเรยี นสาธติ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ ฝา่ ยมัธยมศกึ ษา (ศึกษาศาสตร)์

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณอี ีสาน คำนำ เอกสารประกอบการบรรยายฉบับนี้ เปน็ เอกสารประกอบการบรรยายเรอ่ื ง ขนบธรรมเนียม ประเพณี ละวิถีชีวิตของคนอีสาน “สถาปัตยกรรมอีสาน” สาหรับนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตร์ บัณฑิต สาขา สังคมศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น เนื้อหาประกอบด้วย ความหมายของ สถาปัตยกรรมอีสาน ความสาคัญและประโยชน์ของการศึกษาสถาปัตยกรรมอีสาน แนวทางและ วัตถุประสงค์ของการศึกษาสถาปัตยกรรมอีสาน วัตถุประสงค์และประเด็นของการศึกษา ประเภท ของสถาปัตยกรรม จุดประสงคข์ องการสรา้ งสถาปตั ยกรรม และการศกึ ษาสถาปัตยกรรมอสี าน เกียรตพิ งศ์ เรืองเกษม กนั ยายน 2564

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณอี ีสาน ควำมหมำยของสถำปัตยกรรมอสี ำน สถาปัตยกรรมอีสาน หมายถึง สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นในแต่ละท้องถิ่นของภาค อีสาน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ที่มีลักษณะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม เพื่อ ตอบสนองต่อความต้องการนั้น ๆ รูปแบบของสิ่งก่อสร้างอาจจะพัฒนาไปจากรูปแบบเดิมที่มีอยู่ เพือ่ ให้เหมาะสมกบั การดาเนินชีวติ ทีเ่ ปลี่ยนไปตามแต่ละยุคสมัย โดยใช้วสั ดุก่อสร้างที่สามารถหามา ได้ตามท้องถิ่นนั้น ๆ กระบวนการในการก่อสร้างเป็นการช่วยเหลือและร่วมมอื กันของคนในชุมชนทุก เพศทุกวัย ท้ังเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย บุคคลเหล่าน้ันอาจเป็นผู้ที่มีประสบการณ์หรือไม่มี ประสบการณ์ทางการก่อสร้างก็ได้ ความร่วมมือในการทางานของคนในชมุ ชนจึงเปน็ กระบวนการใน การถ่ายทอดประสบการณ์ วัฒนธรรม วิถีชีวิต ประเพณี และเร่ืองราวต่าง ๆ ของชุมชนอย่างเป็น ธรรมชาติ ที่มเี วลาเป็นตวั แปรสาคญั ในการขดั เกลา สถาปัตยกรรมอีสานจึงเป็นงานศิลปะที่ไม่ใช่ผลผลิตของคนที่ชาญฉลาดหรือผู้ชานาญเพียง สอง สามคน แต่เป็นงานคิดค้นและสร้างสรรค์ที่เป็นไปตามธรรมชาติและกิจกรรมที่ต่อเน่ืองของ ประชาชน ทั้งหมดในสังคมของแต่ละท้องถิ่นของภาคอีสาน โดยอาศัยประสบการณ์และความ ชานาญของกลุ่มชนทั้งหมดในการร่วมกันสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมขึ้นมา และถ่ายทอดต่อสมาชิก ของสังคมรุ่นหลัง ๆ เปรียบดังการมอบมรดกทางวัฒนธรรม และสุนทรีย์ของสังคมแต่ละกลุ่ม (วิวัฒน์ เตมยี พนั ธ์, 2544:12 อ้างถึงใน สืบพงศ์ จรรย์สบื ศรี) สามารถสรุปได้ว่า สถาปัตยกรรมอีสาน หมายถึง การออกแบบก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ทั้ง สิ่งก่อสร้างที่คนทั่วไปอยู่อาศัยได้ เช่น ตึก อาคาร บ้าน เป็นต้น และสิ่งก่อสร้างที่คนเข้าไปอยู่อาศัย ไม่ได้ เชน่ สถูป เจดีย์ อนุสาวรยี ์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงการกาหนดผังบริเวณต่าง ๆ เพือ่ ให้เกิด ความสวยงามและเป็นประโยชน์แก่การใช้สอยตามต้องการ งานสถาปัตยกรรมเป็นแหล่งรวบรวม ของงานศลิ ปะทางกายภาพเกือบทุกชนิด และมักมีรูปแบบทีแ่ สดงเอกลกั ษณ์ของความเป็นอีสาน ควำมสำคัญและประโยชนข์ องกำรศกึ ษำสถำปตั ยกรรมอสี ำน สถาปัตยกรรมอีสาน มีความสาคัญในหลากหลายแง่มุม นอกจากในแง่ที่เป็นเอกลักษณ์ ประจาถิ่น หรอื ประจากลุ่มชาติพันธ์ุแล้ว ยังมีคุณค่าด้านวิถีชีวิต การอยู่อาศัย เพราะสถาปัตยกรรม มีท้ังที่มีคุณค่าทางศิลปะ หรือมีความงามอยู่ในตัวเอง และที่ไม่มีคุณค่าทางศิลปะดังกล่าวอยู่ ดังน้ัน วัตถุประสงค์ ตลอดจนประเด็นของการศึกษาจึงไม่ได้อยู่ที่ความงามทางสถาปัตยกรรมเท่าน้ัน แต่ เป็นคุณค่าต่อการดารงชีวิตและวิถีชวี ิตของมนุษย์ทีพ่ ักอาศัยในอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างนั้น และเมื่อ อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นชุมชน หรือเป็นหมู่บ้านแล้วสามารถสะท้อนภาพวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความ เป็นอยู่ของสังคมนั้น ๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ตลอดจนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะทาง กายภาพของสถาปัตยกรรม ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชาติพันธุ์ หรือกล่าวได้ว่าแต่ละกลุ่ม แต่ละชาติ พันธ์ุมักจะมีปัญ ญาในการสร้างสรรค์สถาปัต ยกรรมพื้นถิ่นที่ มีความ แตกต่างกันแม้จะอยู่ใ น

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน สภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกัน หรอื แมจ้ ะอพยพย้ายถิ่น ก็จะสามารถรักษารปู แบบสถาปตั ยกรรมของ ตนไว้ได้ไม่มากก็น้อย สืบทอดกันจากรุ่นปู่ รุ่นพ่อ สู่รุ่นลกู รุ่นหลาน ต่อไป จนสามารถใช้ชาติพนั ธ์ุมา เปน็ หลักเบอื้ งตน้ หรอื หวั ข้อในการศกึ ษางานสถาปัตยกรรมพืน้ ถิน่ นั้น ๆ ได้ แนวทำงและวัตถุประสงค์ของกำรศกึ ษำสถำปตั ยกรรมอสี ำน สาหรับแนวทางการศึกษาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นนั้น รองศาสตราจารย์วิวัฒน์ เตมียพันธ์ ได้ กล่าวไว้ ในการบรรยาย เร่ือง แนวทางการศึกษาค้นคว้าสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น เม่ือ พ.ศ. 2529 ที่ มหาวิทยาลัยศิลปากร ว่า มีสองแนวทางใหญ่ ๆ คือ 1. เป็นการศึกษาของสถาปนิกที่มีพลังสร้างสรรค์ในตัวสูงเพื่อแสวงหาแนวทางหรือแรง บันดาลใจ 2. เป็นการศึกษาตามแนวทางการศึกษาสถาปัตยกรรมที่ต้องการค้นคว้าสถาปัตยกรรมพื้น ถิน่ ด้วยระบบวิธีทีเ่ ป็นระบบและเปน็ ข้ันตอน แนวทำงแรก สถาปนิกแสวงหาแรงบันดาลใจจากความงามหรือความคิดสร้างสรรค์หรือ ภูมิ ปัญญาในการแก้ปัญหาทางสถาปัตยกรรมเพื่อตอบสนองวิถีชีวิตในถิ่นต่าง ๆ รับไว้ในความทรง จา หรือบันทึกไว้ตามแบบฉบับของตนเอง สร้างแรงบันดาลใจ พัฒนาเป็นจินตนาการ เป็นปัจจัยให้ เกิดพลงั สร้างสรรคข์ ึน้ แนวทางนี้ เป็นแนวทางของสถาปนิกที่มีประสบการณ์และพลังสร้างสรรค์ในตัวสูงอยู่แล้ว เป็นวิธีที่ไม่เป็นระบบ ศึกษาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นโดยไม่เก็บข้อมูลอย่างละเอียดถึงข้ันวัดขนาดและ เขียนแบบ อาคารอย่างประณีต เขาจะเลือกศึกษาเฉพาะงานที่มีคุณค่าโดยใช้ประสิทธิภาพของ ประสบการณ์ที่มีอยู่ใน ตัวประเมินคุณค่า ตรวจบันทึกและตรวจสอบงานด้วยการร่างภาพด้วย ตนเอง เป็นการเขียนจากความ ประทับใจในสิ่งที่ตนเห็นอยู่เบื้องหน้า การบันทึกอย่างฉับไวเพื่อ บนั ทึกความรู้สึก ความคิดความเข้าใจที่ เกิดขนึ้ ในเวลาน้ันเอาไว้ บางภาพร่างอาจยากสาหรบั ผอู้ ื่นจะ เข้าใจ แต่สาหรับตัวเขาเองจะเข้าใจอย่าง กระจ่างชัด เขาจะใช้เป็นข้อมูลเพื่อนาไปประยุกต์ สร้างสรรค์งานออกแบบของตน เป็นการศึกษาค้นคว้า ส่วนตัว มิได้มุ่งที่จะเผยแพร่ความรู้ความ เข้าใจจากการศกึ ษาของตนใหบ้ คุ คลทว่ั ไปรับทราบ หรอื รบั รู้ ร่วมกนั แนวทำงท่ีสอง แนวทางของสถาปนิกที่ค้นคว้าด้วยระบบวิธีการศึกษาที่เป็นระบบและ ข้ันตอน เป็นวิธีการศึกษาค้นคว้าใหเ้ ห็นคุณค่าด้านต่าง ๆ ของสถาปัตยกรรมพืน้ ถิ่น เห็นวิวฒั นาการ รูปทรงที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์วิทยาและความเช่ือที่ผูกพันอยู่ เพื่อเป็นแนวทางสาหรับมาประยกุ ต์ใช้ กับสมัยปัจจุบัน เป็นการศึกษาเพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม เพื่อหาเค้าเง่ือนของปัญหาใน การดารงชีวิตระดับชาวบ้านด้านที่อยู่อาศัย ทาให้ทราบถึงภูมิปัญญาการแก้ปัญหาของชาวบ้าน อัน เป็นปัญญาที่เป็นตัวแทนของกลุ่มชน ด้วยการศึกษาจากอาคารตัวอย่าง จากข้อมูลที่ค้นคว้าได้ และ วิเคราะหข์ ้อมูลที่รวบรวมได้

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณีอีสาน วตั ถปุ ระสงค์และประเดน็ ของกำรศกึ ษำ การศึกษาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ไม่ว่าจะเป็นแนวทางแรกของสถาปนิกเพื่อการแสวงหาแรง บนั ดาลใจ หรอื แนวทางทีส่ องเพือ่ การอนรุ ักษ์ขอ้ มูลมรดกทางวัฒนธรรมนน้ั พจิ ารณาได้ว่ามีประเด็น ของ การศึกษา 4 ประเด็น ผู้ทาการศึกษาอาจมุ่งเน้นศึกษาเพียงประเด็นใดประเด็นหนึ่ง หรือหลาย ประเดน็ ตามแตท่ ีท่ ่านจะมองเห็นหรอื ให้ความสนใจ เป็นคุณค่าด้านต่าง ๆ ดงั น้ี 1. คุณค่าทางศิลปะ 2. คณุ ค่าต่อการดารงชีวิต 3. คณุ ค่าต่อการสะท้อนชีวิตและวัฒนธรรม 4. คณุ ค่าต่อความรคู้ วามเข้าใจลกั ษณะทางกายภาพของสถาปัตยกรรม การศึกษาคุณค่าทางศิลปะ เป็นการมุ่งเน้นที่ความงามความประทับใจของผู้พบเห็น เป็น ความงามที่เป็นเอกลักษณ์ สะท้อนความเป็นตัวตนของพื้นที่ต้ังหรือชาติพันธ์ุของสังคมผู้สร้างสรรค์ ผลงาน ด้วย รูปร่าง รูปทรง ลวดลายตกแตง่ วัสดุ ที่วา่ งภายใน หรอื องค์ประกอบอื่นของงาน การศึกษาคุณค่าต่อการดารงชีวิต เป็นการมุ่งเน้นที่การแก้ปัญหาหรือข้อจากัดในการอยู่ อาศัย ทั้ง ด้านวัสดุ พื้นที่ สภาพแวดล้อม ฯลฯ เพื่อให้สามารถดารงชีวิตได้ในอาคารน้ัน ๆ เป็นภูมิ ปัญญาทีเ่ กิดจาก สภาพทีต่ อ้ งเผชิญ ส่ังสมสบื ทอดต่อ ๆ กันจากรุ่นสรู่ ุ่น การศึกษาคุณค่าต่อการสะท้อนชีวิตและวัฒนธรรม เป็นการศึกษาที่มุ่งเน้นผลจากระบบ สังคม ประเพณี ความเป็นอยู่ ตลอดจนคติความเชื่อที่สะท้อนออกมาในการสร้างสรรค์ สถาปัตยกรรม เช่น การ แบ่งแยกพืน้ ที่บนเรอื น และบันไดทางขึน้ ลง ให้เป็นพืน้ ทีแ่ ละบันไดผชู้ ายและ ผู้หญิง ที่อาจถูกมองว่าเป็น การกีดกันทางเพศ แต่ถ้าได้พิจารณาให้ลึกถึงระบบสังคมและ สภาพแวดล้อม จะเข้าใจว่าเป็นการปกป้อง เพศหญิงที่อ่อนแอกว่าจากคนแปลกหน้า ซึ่งในสังคมน้ัน อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เปน็ ต้น การศึกษาคุณค่าต่อความรู้ความเข้าใจลักษณะกายภาพของสถาปัตยกรรม เป็นการมุ่ง ศึกษา ลักษณะทางกายภาพเป็นหลัก เข้าใจปัจจัยที่ก่อให้เกิดรูปสถาปัตยกรรมที่สอดคล้องกับที่ตั้ง เชน่ บ้านของ ชาวเขาเผา่ ลีซอทีก่ าแพงบ้านเป็นดินก่อหนาเพือ่ ป้องกันความหนาวเยน็ เป็นต้น สถาปัตยกรรมอีสาน ในแง่การศึกษาของนักศึกษาครูสาขาสังคมศึกษาแล้วน้ัน มีความ จาเป็นอย่างยิ่งที่จะทาการศกึ ษาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในฐานะเปน็ มวลความรู้ทางด้านสังคม วิถีชีวิต ความเชื่อ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ อันก่อให้เกิดสถาปัตยกรรมประจาแต่ละพื้นถิ่นที่มีเอกลักษณ์ ควรค่าแก่การศกึ ษา

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณอี ีสาน ประเภทของสถำปตั ยกรรม หากจะพิจารณาสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นท้ังในอดีตและปัจจุบัน เราสามารถแบ่งได้ เปน็ 2 ประเภทหลกั คือ 1. ประเภทท่ีมนุษย์เข้ำไปอยู่อำศัยได้ หรือสถาปัตยกรรมเปิด (Open Architecture) ได้แก่ อาคาร บ้านเรือน อาคารสงเคราะห์ สถาปัตยกรรมเหล่านี้ นอกจากจะคานึงถึงบริเวณพื้นที่ว่าง ภายในที่เป็นที่อยู่อาศยั ของมนุษย์แล้วยังต้องคานึงถึงสภาพแวดล้อม เช่น การจดั สวน การจัดวางผัง การแบ่งบริเวณ รวมถึงการตดั ถนนหนทางภายในด้วย 2. ป ร ะ เ ภ ท ท่ี ม นุ ษ ย์ เ ข้ ำ ไ ป อ ยู่ อ ำ ศั ย ไ ม่ ไ ด้ ห รื อ ส ถ า ปั ต ย ก ร ร ม ปิ ด ( Closing Architecture) ได้แก่ เจดีย์ สถปู อนุสาวรยี ์ สถาปัตยกรรมประเภทนี้ สรา้ งข้นึ เพื่อสนองความตอ้ งการ ด้านความเชื่อและความศรทั ธาของมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเปน็ สถาปตั ยกรรมทางศาสนา สาหรับประเทศไทยอาจสามารถแบ่งสถาปตั ยกรรมแยกออกมาได้อกี หน่งึ ประเภท เนื่องจาก สามารถเคลื่อนที่และเคลื่อนไหวได้ เพราะลอยอยู่ในน้า เช่น แพ เป็นต้น สถาปัตยกรรมประเภทนี้มี บริเวณว่างภายในที่เป็นประโยชน์สาหรับมนุษย์ ซึ่งบางทีเราอาจจะต้องทาความเข้าใจร่วมกัน เกี่ยวกับความหมายของคาว่าสถาปัตยกรรมใหม่ เพราะเหตุว่าการออกแบบรถที่มนุษย์สามารถเข้า ไปอยู่อาศัยได้หรือการออกแบบสิ่งใหม่ ๆ เช่น เคร่ืองบิน ยานอวกาศ สิ่งเหล่านี้จะถือว่าเป็น สถาปตั ยกรรมดว้ ยได้หรือไม่ อย่างไรกด็ ี การเรียนรสู้ ถาปัตยกรรมอีสานนี้จะจากัดส่วนในการศึกษาเฉพาะสถาปตั ยกรรม สองประเภทแรก คือ ประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศยั ได้ และประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศยั ไม่ได้ จุดประสงคข์ องกำรสร้ำงสถำปัตยกรรม 1. ใช้เป็นที่พักอาศัยถาวร เน้นความแข็งแรง คงทน และอรรถประโยชน์ใช้สอย 2. ใช้เป็นที่พักอาศัยกึ่งถาวร และทีพ่ ักอาศัยชั่วคราว เน้นความสวยงามประกอบการใช้สอย ภายในอาคาร เชน่ โรงภาพยนตร์ สนามกีฬา 3. ใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจหรือสิ่งที่ควรแก่การยกย่อง โดยเน้นความงามอย่างวิจิตรพิสดาร เพือ่ ตอบสนองอารมณแ์ ละจติ ใจ ในด้านความเชอ่ื ความศรทั ธาต่อศาสนา 4. อื่น ๆ เช่น เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนที่มีต่อพระมหากษัตริย์ ท้ังเป็นที่อยู่อาศัยและ ทีพ่ กั ในการทาพิธีตา่ ง ๆ

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน กำรศึกษำสถำปัตยกรรมอีสำน ภาคอีสานของไทยเป็นพื้นที่กว้างใหญ่อยู่บน ที่ราบสูงโคราช มีแม่น้าโขงกั้นเขตทางตอน เหนือและ ตะวันออก ทางใต้จรดชายแดนเขมร ตะวันตกมีเทือกเขา เพชรบูรณ์เป็นแนวกั้นจาก ภาคเหนือและภาคกลาง อาชีพหลักของชาวอีสานคือเกษตรกรรม สภาพอากาศ ร้อนและแห้งแล้ง อุณหภูมิสูงถึง 41 - 42 องศา และ เน่ืองจากพื้นดินไม่อุ้มน้า แม้อีสานจะมีปริมาณฝนเฉลี่ยมากกว่า ภาคเหนือและภาคกลาง แต่ซึมและระเหยไปอย่างรวดเร็ว และยังเป็นฝนที่มากับพายุดีเปรสชั่นจาก ทะเลจีนใต้มากกว่าฝนตามฤดูกาล ดังน้ัน หากปีใดพายุมาน้อย ปีนั้นก็จะแห้งแล้งจัด ภาษาที่ใช้กัน คือภาษาอีสาน ภาษาไทยกลาง ภาษาเขมร ภาษาผไู้ ท จากหลักฐานทางโบราณคดี ทาใหท้ ราบว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ในอีสานมานานแล้ว ตงั้ แต่ยคุ ก่อน ประวัติศาสตร์ ต่อมาเกิดชมุ ชนทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ 11 เกิดชมุ ชนเขมรราวพุทธศตวรรษที่ 12 ต่อมาคือการเคลื่อนย้ายอพยพลงมาของคนไทลาว ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวอีสานปัจจุบันจาก อาณาจกั รล้านช้างหลายครั้ง ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 20 - 22 เกิดชุมชนไทอีสาน แม้ต้ังถิ่นฐานแล้ว ก็ ยังมีการเคลื่อนย้ายต้ังถิ่นฐานใหม่หลายคร้ังเพราะความแห้งแล้ง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19 - 21 หลังส้ินสุดวัฒนธรรมเขมร เป็นการขาดช่วงของศลิ ปะสถาปัตยกรรมหยุดชะงักไป จนถึงสมัยอยธุ ยา ตอนกลาง จงึ ได้มีการสร้างงานถาวรวัตถุขึ้นอีกคร้ัง (อนุวิทย์ เจริญศุภกุล หน้าจ่ัว 2530: 26 อ้างถึง ใน สืบพงศ์ จรรย์สบื ศรี) เพราะ เมืองต่าง ๆ ในอีสานอยู่ในฐานะหัวเมืองของอยธุ ยาและล้านช้าง สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นเกิดขึ้นในพื้นที่อีสานจากหลากหลายวัฒนธรรม ทั้งที่สร้างสรรค์โดย ช่าง พื้นเมืองจากปัจจัยแวดล้อมของพื้นที่ และที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอื่นหลายสายที่ส่งผล ต่อรูป สถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่นอสี าน เปน็ ความหลากหลายในพืน้ ที่ การศึกษาสถาปัตยกรรมอีสานสามารถแบ่งวิธีการศึกษาได้หลายรูปแบบ ในบทนี้จะแบ่งวิธี การศึกษาโดยใช้เกณฑ์ด้านชาติพันธุ์เป็นเกณฑ์ในการศึกษา โดยจะแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ในการศึกษา เป็น 2 กลุ่ม คือ สถาปตั ยกรรมกลุ่มชาติพันธุ์ลาว และสถาปตั ยกรรมกลุ่มชาติพนั ธุ์เขมร 1. สถำปตั ยกรรมกล่มุ ชำติพันธุล์ ำว สถาปัตยกรรมกลุ่มชาติพันธ์ุลาวที่พบในภาคอีสานโดยส่วนใหญ่มักพบในบริเวณพื้นที่ภาค อีสานตอนเหนือและภาคอีสานตอนกลาง โดยได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่มาจาก วฒั นธรรมล้านช้าง และวัฒนธรรมทราวดี สามารถแบ่งรายละเอียดในการศึกษาได้ ดงั น้ี 1.1 ประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศยั ได้ การสร้างบ้านของชุมชนในภาคอีสานตั้งแตส่ มยั โบราณมักเลือกทาเล ที่ตั้งอยู่ตามที่ราบลุ่มที่ มีแม่น้าสาคัญ ๆ ไหลผา่ น เช่น แม่น้าโขง แม่น้ามูล แม่น้าชี แม่น้าสงคราม ฯลฯ รวมท้ังอาศัยอยู่ตาม ริมหนองบึง ถ้าบริเวณตอนใดน้าท่วมถึงกจ็ ะขยับไปต้ังอยู่บนโคกหรือเนินสูง ดงั น้ันชื่อหมู่บ้านใน ภาค อีสานจงึ มกั ขึ้นต้นด้วยคาว่า \"โคก โนน หนอง\" เป็นส่วนใหญ่ ลักษณะหมู่บ้านทางภาคอีสานน้ันมักจะ

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณีอีสาน อยู่รวมกันเป็นกระจุก ส่วนที่ตั้งบ้านเรือนตามทางยาวของลาน้าน้ันมีน้อย ผิดกับทางภาคกลางที่มัก ต้ังบ้านเรือนตามทางยาว ท้ังนเี้ พราะมีแม่น้าลาคลองมากกว่า หนุ่มสาวชาวอีสานเม่ือแต่งงานกันแล้ว ตามปกติฝ่ายชายจะต้องไปอยู่บ้าน พ่อตาแม่ยาย ต่อเม่ือมีลูกจึงขยับขยายไปอยู่ที่ใหม่เรียกว่า \"ออกเฮือน\" แล้ว หักล้างถางพงหาที่ทานา ดังนั้น ที่นา ของคนช้ันลูก หลานจึงมักไกลออกจากหมู่บ้าน และเม่ือบริเวณเหมาะสมจะทานาหมดไป เพราะ พื้นที่ราบที่มีแหล่งน้าจากัด คนอีสานชั้นลูกหลานก็มักชวนกันไปต้ังบ้านใหม่อีก หรือถ้าที่ราบในการ ทานาบริเวณใดกว้างไกล ไปมาลาบาก ก็จะชักชวนกันออกไปตั้งบ้านใหม่ใกล้เคียงกบั นาของ ตน ทาให้เกิดการขยายตัวกลายเป็นหมบู่ ้านขึน้ 1.1.1 เรือนถาวร องค์ประกอบ เรือนแต่ละหลังย่อมสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ วิถีชีวิต ความเช่ือ และประโยชน์การใช้สอยของแต่ละครอบครวั แต่ละองค์ประกอบของตัวเรอื นก็จะมีการใช้ งานที่แตกต่างกนั ออกไป จะพบองค์ประกอบของเรอื น ดงั น้ี 1. ลานบ้าน เปน็ ลานดินอยู่หน้าเรอื นหรอื ข้างเรือน เป็นตวั เช่ือมระหว่างทีอ่ ยู่อาศัย หลงั อ่ืน ๆ เป็นทางสญั จรภายในคุ้ม เป็นทีพ่ ักผอ่ นและสถานที่เล่นกิจกรรมต่าง ๆ 2. บันได ตัวบันไดจะทาด้วยไม้ มีจานวนชั้นเป็นเลขคี่ นิยมสร้าง 5 ถึง 7 ช้ัน เป็นทางติดต่อ ระหว่างภายนอกเข้าสู่ทีอ่ ยู่อาศยั หรอื ชานเรือน 3. ชาน เป็นส่วนเปิดโล่งไม่มีหลังคาคลุม พื้นไม้เป็นพื้นไม้ตีห่าง ๆ เพื่อต้องการระบายน้าฝน ยกพืน้ ใต้ถุนสงู จากระดับดินพอสมควรให้คนเดินลอดได้ 4. ร้านน้า หรือแอ่งน้า เป็นสถานที่ตั้งโอ่งน้าสาหรับดื่มหรือใช้สอยในครัวเรือน ส่วนใหญ่จะ อยู่ทางทิศตะวันตกอยู่ติดกับชานใกล้กับครัว บางแห่งจะมีโครงสร้างยกพื้นสูงกว่าชาน ประมาณ 50 เซนติเมตรและมีหลงั คาคลมุ โดยมากจะต้ังโอ่งน้าดื่ม 5. ระเบียง มีลักษณะเปิดโล่งมีหลังคาของเรือนโข่ง ยกพื้นสูงกว่าชานประมาณ 30 เซนติเมตร เป็นสถานที่อเนกประสงค์ เป็นที่รับรองแขก พักผ่อน รับประทานอาหาร ทางาน และที่ นอนในเวลากลางคืน 6. เรือนโข่ง (จะมีเฉพาะบางหลังเท่านั้น) มีโครงสร้างของตนเองลักษณะเปิดโล่งอยู่ ตรงข้าม กับเรือนนอน มีหลังคาคลุมทรงจั่ว มีชานเป็นตัวเชื่อมกับเรือนนอนและส่วนอื่น ๆ จะยกพื้นสูงกว่า ชานเลก็ น้อย

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณอี สี าน 7. เรือนนอน เป็นส่วนที่มีฝาปิดกั้นท้ัง 4 ด้าน มีประตูทางเข้าจากระเบียง เรือนนอน จะมี 2 ถึง 3 หอ้ งโดยมีฝากั้นตามแนวเสา ภายในเรือนนอนแบ่งออกเปน็ 7.1 ห้องเปิง (ห้องพระ) ตาแหน่งจะอยู่ทางตะวันออกของเรือนเสมอ ฝาด้าน ตะวันออกจะมีหน้าต่างเล็ก ๆ เรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า “ป่องเอี้ยม” ทาหรับเปิดรับแสงส่องหา พระพทุ ธรปู เปน็ หอ้ งพระและ หอ้ งนอนลกู ชาย 7.2 ห้องนอนกลาง หรือห้องกลาง จะอยู่ตรงกลางเรือนนอน เป็นห้องนอนของพ่อ แมแ่ ละลูกที่ยังเลก็ อยู่ บางเรอื นจะไม่ก้ันหอ้ งระหว่างห้องกลางกับหอ้ งเปิง 7.3 ห้องส้วม หรือห้องส่วม เป็นห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตก เป็นห้องนอนของลูกสาว หรอื หอ้ งนอนสาหรบั ลูกเขย 8. ครัว ตาแหน่งจะอยู่ไม่แน่นอน อาจจะอยู่บริเวณ ชาน ระเบียง หรือเรือนโข่ง หรือแยก ออกไปจากตวั บ้านเปน็ ลักษณะของเพิง 9. ห้องส้วม ชนบทโดยทั่วไปแล้วจะไม่มีห้องส้วมในตัวเรือน แต่ในปัจจุบันทางราชการได้ ส่งเสริมให้มีทุกครัวเรือน จึงสร้างห้องส้วม แต่จะสร้างแยกห่างออกไปจากตัวเรือน พอสมควร และ อาจใชร้ วมกนั ภายในคุ้มเดียวกนั ได้ 10. เล้าข้าว เป็นที่เกบ็ ข้าวเปลือก สรา้ งแบบต่างหากจากตวั เรือน หลังคาทรงจวั่ มโี ครงสรา้ ง แขง็ แรงมาก รปู แบบของเรอื นกลุ่มชำติพันธุ์ลำว เฮือนถาวร คือ เรือนที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานอย่างถาวร ใช้วัสดุจาพวกไม้จริง ให้ความสาคัญ กับรูปแบบ พื้นที่ใช้สอยและการก่อสร้างมากกว่าสองแบบแรก โครงสร้างเป็นไม้เน้ือแข็ง ฝาไม้ กระดาน (แอม้ แป้น) หลังคาจ่ัวมงุ แป้นเกลด็ แล้วเปลี่ยนเปน็ สงั กะสใี นภายหลงั พืน้ ไม้กระดาน ได้แก่ 1. เล้าข้าว เรือนยุ้งข้าวสาหรับเก็บข้าวเปลือก ทาเป็นเรือนยกพื้นสูง ใช้ไม้จริง แข็งแรง เพราะรับน้าหนักมาก หลังคาจ่ัวมุงแป้น มุงกระเบื้องดินขอ จนถึงสังกะสี ฝาเรือนส่วนใหญ่เป็นแป้น ไม้ (ไม้กระดาน) เพราะต้องการความแข็งแรง ตีไม้เคร่าฝาไว้ด้านนอกเพื่อรับน้าหนักข้าวเปลือกจาก ด้านใน

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี สี าน ภำพ เล้าข้าว (ยุ้งข้าว) ภำพ เสวียน (ยุ้งข้าว)

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอีสาน 2. เฮือนเกย คือ เรือนจวั่ เดี่ยว แล้วต่อปีกนกหลังคาด้านหน้าเรือนให้ยาวออกไปคลุมพื้นที่ใช้ สอย ด้านหน้าเรือน เรียกพื้นที่ส่วนนี้ว่า เกย (เกย-พาด) ลักษณะเดียวกับระเบียงในเรือนไทยภาค กลาง ภำพ เรือนเกย 3. เฮือนแฝด คือ เรือนจ่วั แฝดชนิดวางชิดต่อกนั เรือนแฝดจะฝากชื่อและคานไว้กับเรือนใหญ่ ทาพื้นเสมอกัน ไม่สามารถแยกเรือนแฝดออกไปต้ังเองได้เพราะโครงสร้างเสาไม่สมบูรณ์ อาศัยเสา ร่วมกับเรือนใหญ่อยู่ เฮือนแฝดนี้ส่วนใหญ่จะมีหน้าตาเหมือนหรือใกล้เคียงกับเรือนใหญ่ ขนาดก็ มักจะใกล้เคียงกัน

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณอี ีสาน ภำพ เรือนแฝด 4. เฮือนโข่ง คือ เรือนจั่วแฝดคล้ายเฮือนแฝด แต่แยกโครงสร้างออกจากกัน พ้ืนอาจมีระดับ เดียวกนั หรือต่างระดบั สามารถรือ้ ย้ายเรอื นโข่งไปสร้างที่อน่ื ได้

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณีอสี าน ภำพ เรือนโข่ง องค์ประกอบของตัวเรือนทั้ง 3 แบบ เหมอื นกัน ดงั น้ี - เฮือนใหญ่ มักทา 3 ห้องเสา ภายในมักแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วนคือ ห้องพ่อแม่ อาจ กั้นเป็นห้องหรือเปิดโล่ง มีห้องเปิงเป็นห้องพระและส่วนนอนของลูกชาย มักเปิดโล่งไม่กั้นฝา และ หอ้ งนอนลกู สาว หรอื ส้วม/ส่วม ถ้าลูกสาวแต่งงานกใ็ หล้ กู เขยนอนในห้องนี้ - เฮือนแฝด รูปร่างหน้าตาเหมอื นเฮือนใหญ่ จั่วแฝดที่วางชิดกันมี ฮังริน หรือรางน้า วิง่ อยู่ตรงกลาง - เกย หรอื ชานโล่ง ลักษณะเหมอื นระเบียง พืน้ ลดระดับจากเฮือนใหญ่ ใช้นั่งพักผอ่ น ทางานบ้าน ทานอาหารและให้แขกนอน - ชานแดด ชานโล่งไม่มีหลังคาคลุม ตอ่ จากเกยออกไป ลดระดบั พื้นลงขนาดน่งั แล้ว วางขา ได้พอดี ใช้น่ังเล่นหรือทานอาหารยามเย็นได้ และใช้งานเอนกประสงค์ บ้างก็ทาราวกันตก บ้างกไ็ ม่ที หากเรอื นมชี านแดดบนั ไดเรอื นจะพาดข้ึนมาส่วนนีก้ ่อน ภำพ ชานแดดและเฮือนไฟ - เฮือนไฟ หรือเรือนครัวที่มักทาเป็นเรือนเล็กสองช่วงเสา มักเปิดจ่ัวให้ระบายควัน ฝาขดั แตะโปร่งระบายอากาศ - ฮา้ นน้า หรอื ฮ้านแอง่ น้า ทาเปน็ เพิงยกระดบั สาหรับคนตักได้พอดี คล้ายของเรอื น ล้านนา

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี สี าน ภำพ ฮ้านน้า ภำพ องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของเรือนอีสาน (ที่มา : สวุ ิทย์ จริ ะมณี, 2545)

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอีสาน โครงสร้ำงเรอื นโครงสร้ำงหลังคำเรือนกลมุ่ ชำติพันธุ์ลำว 1. โครงสร้างเรือน เฮือนอีสานใช้รูปแบบโครงสร้างคล้ายกับเรือนไม้ท่ัวไป คือ เป็นระบบเสา คาน ตง พื้น แต่มีชื่อเรียกองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ต่างไป รวมทั้งเทคนิคบางประการที่เป็นแบบ เฉพาะตวั เสา เป็นเสาไม้ ขุดหลุมฝังลงดินประมาณ 0.60 - 0.80 ม. ส่วนใหญ่เป็นเสา 8 เหลี่ยมที่แปร รูปง่าย ๆ ด้วยเคร่ืองมือช่างชาวบ้าน มีประเพณีการตั้งเสาแฮก เสาขวัญ (เสาเอก เสาโท) เป็นเสา แรก และเสาที่สองที่ยกขึ้นก่อนเสาต้นอื่น ๆ โดยทาพิธีผูกเสาด้วยสิ่งมงคลหลายอย่าง เช่น ใบยอ ใบ คูณ ยอดอ้อย ต้นกล้วย ฯลฯ ตาแหน่งของเสาแฮก เสาขวัญจะอยู่ด้านตะวันออกของเรือนใหญ่ เสา แฮกอยู่ดา้ นใน เสา ขวัญอยู่ดา้ นนอก เสาค้า คือเสาส้ัน ต้ังรับช่วงกลางของขาง (รอด) กรณีช่วงเสากว้างและขางจะรับน้าหนัก ไม่ได้ ตกท้องช้าง ขาง (รอด) ทาจากไม้เน้ือแข็งขนาดประมาณ 2” x 6” สอดในรูเสาที่เจาะรอไว้ หัวขางจะยื่น เลยเสาแนวนอกออกไปเลก็ น้อย ขางทาหนา้ ที่รับตงเพือ่ รับพืน้ เรือนอกี ทอดหน่งึ ตง ทาจากไม้เน้ือแข็ง ขนาด 2” x 4” ถึง 4” x 4” วางบนขาง ระยะห่างประมาณ 0.40 - 0.50 ม. ทาหนา้ ที่รบั พืน้ แป้นเฮือน (พื้นเรือน) ไม้เน้ือแข็ง หน้ากว้างประมาณ 6” หนา 1” 2” ไม้กระดานปูบนตงทา หนา้ ทีเ่ ปน็ พืน้ เรือน แม่แข่ ทาจากไม้เนื้อแข็ง หน้ากว้างประมาณ 6” หนา 2.5” วางขวางไม้พื้นสาหรับต่อไม้พื้น ทาหนา้ ทีเ่ ปน็ ไม้บงั คบั และเกบ็ หัวไม้กระดานพืน้ กะทอด ทาจากไม้เน้ือแข็ง ทาหน้าที่เหมอื นพรึงในเรอื นไทยภาคกลาง คือ รดั เสาโดยรอบท้ัง 4 ดา้ น ปิดหวั ตงและพืน้ และตั้ง/ยึดไม้เซ็น (เคร่าฝา) เซ็น (เคร่าฝา) ไม้สาหรับตียึดฝาเรือน มีทั้งเซ็นต้ัง เซ็นนอน ฝาเรือน ปิดล้อมพนื้ ที่ มีหลายประเภทจากวัสดุที่ใชท้ า คือ ฝาแอม้ แป้น ฝาแถบตอง ฟาก ฝา ลายคุบ ลายขัด (ไม้ไผ่สาน) - ฝาแอ้มแป้น คือ ฝาไม้กระดาน หน้ากว้างประมาณ 6 นิ้ว มี 2 แบบ คือ ฝาไม้ลาย ตั้ง เริ่มใช้เม่ือมีตะปูใช้แล้ว ใช้เซ็นตั้ง (ไม้เคร่าตั้ง) ที่ยึดกับกะทอด ตีเซ็นนอน (เคร่านอน) ยึดกับเซ็น ต้ัง แล้ว ใช้ไม้กระดานตีตามตั้งยึดกับเซ็นนอน และ ฝาไม้ลายนอน คอื ฝาไม้กระดานสมัยใหม่ หรอื ที่ ใช้กนั ในปัจจบุ นั ใช้ไม้กระดานตีนอนซ้อนเกลด็ กนั ฝนได้ - ฝาแถบตอง คือ ฝาทีท่ าจากใบกงุ (พลวง) หรอื ใบชาดมาวางเรียงกนั ขนาบประกบ สอง ข้างดว้ ยไม้ไผ่สานตาตารางโปร่ง เรียกว่า แถบตอง

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน - ฝาแอ้มฟาก คือ ฝาฟากไม้ไผ่ ถ้าตีเอาผิวไม้ออกข้างนอก จะได้ความทนทานใช้ได้ นาน แต่ขีม้ อดกินไม้จะตกอยู่ภายในเรอื น แต่ถ้าตีเอาผวิ เข้าข้างใน ข่ีมอดที่กินไม้จะตกออกนอกเรือน แตไ่ ม่ทน - ฝาลายคุบ คือ ฝาไม้ไผ่สานลายสอง ใช้เซ็นตั้ง (ไม้เคร่าต้ัง) ปะกบแล้วสอดเคร่า เข้าในกะ ทอด โดยไม่ใช้ตะปูเลย

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณอี ีสาน 2. โครงสร้างหลังคา เรือนอีสานส่วนใหญ่ทาด้วยไม้ มุงด้วยหญ้า แป้นมุง (ไม้) และสังกะสี เป็น ทรงจั่ว องศาไม่สูงชันแบบภาคกลาง โดยเฉพาะเม่ือมีสังกะสีใช้ได้ในราคาถูกกว่าแป้นมุงแล้ว องศาหลังคายิ่งแบนราบลงกว่าเดิม ใช้ไม้ทาโครงหลังคาน้อยลง โดยเฉพาะแปหรือระแนงสาหรับมุง กระเบื้อง ลดลงมากเพราะสังกะสีช่วงยาวกว่ามาก น้าหนักเบา ประหยัดท้ังวัสดุมุงราคาถูกและไม้ ทาโครงหลังคา จงึ นยิ มใช้กันมากตามสภาพเศรษฐกิจ 1.1.2 เรือนกึ่งถาวร

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี สี าน เฮือนกึ่งถาวร (เฮือนเหย้า หรือ เฮือนย้าว หรือ เย่าเรือน) เป็นเรือนประเภท เรือนเคร่ืองผูก หมายถึงกระท่อมหรือเรือนขนาดเล็ก ไม่ม่ันคงและไม่พิถีพิถันการก่อสร้างนัก สาหรับผู้มี ฐานะ ยากจนหรือผู้ที่กาลังสร้างตัวสร้างฐานะได้อาศัยก่อนจะมีเงินมีกาลังพอที่จะปลูกเรือนแบบถาวรอยู่ ต่อไป 1. ตูบต่อเล้า คือ ตูบที่อาศัยโครงสร้างของเล้าข้าว ต่อหลังคาออกไปด้านข้าง ใช้เสาไม้จริง รบั 2-3 ต้น มุงหลังคาสังกะสีหรือหญ้าคา ทายกพื้น ก้ันฝาง่าย ๆ ด้วยแถบตอง หรอื สงั กะสี หรอื ไม้ แป้น สาหรับคู่แต่งงานยังไม่มีที่ดิน มีเรือนของตัว อาศัยเล้าข้าวของพ่อแม่อาศัยไปก่อน เมื่อตั้งตัวได้ มีฐานะค่อยย้ายออกไปปลูกเรือนใหม่ ส่วนน้ีพ่อแม่กจ็ ะใช้น่งั เล่นนอนเล่นยามกลางวนั รอ้ น ๆ ได้ตอ่ ภำพ ตบู ต่อเล้า 2. ดั้งต่อดิน เป็นอาคารเรือนพักสร้างง่ายๆขนาดเล็กสาหรับครอบครัวใหม่แบบเดียวกับตูบ ต่อเล้า แต่เปน็ สัดเปน็ ส่วนดีกว่า ใชไ้ ม้จริงงา่ ย ๆ ทาเสา ฝาแถบตอง พืน้ ฟาก เสากลางดา้ นสกัดจะวิ่ง ยาวขึน้ ไปรับ อกไก่จึงเรียกว่าด้ังต่อดิน “ดั้งต่อดิน” หมายถึง เสาที่ต้ังดินต่อยาวเลยขอขึน้ ไปรับอกไก่ ท่อนเดียว ภำพ ดงั้ ต่อดนิ

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณีอีสาน 3. ดั้งต่อขอ (ดั้งต่อคาน) หรือ ต้ังชื่อคล้ายเรอื นประเภทด้ังต่อดิน แต่ขนาดใหญ่กว่า ต่างกัน ทีด่ ้ังไม่ต่อยาวลงมาจนถึงดิน แตจ่ ะพักอยู่ที่คานด้านสกัดหรอื ชือ่ ภำพ ดงั้ ต่อขอ 1.1.3 เรือนชวั่ คราว เฮือนช่ัวคราว คืออาคารที่ใช้เฉพาะบางฤดูกาล บางช่วงเวลา ได้แก่ เถียงนา หรอื เถียงไร่ ยก พืน้ สงู เสาไม้จรงิ โครงไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าคาหรอื แป้นมุงเก่าทีซ่ ือ้ มาจากเรอื น พ้ืนฟากสับ ถ้าไม่ค้าง จะไม่ตีฝา แตถ่ ้านาอยู่ไกลบ้านไปกลับไม่ไหว ต้องค้างคนื ก็จะก้ันฝาด้วยแถบตอง เป็นใบตองซาด(ต้น เหียง) หรอื ใบกุง (ใบพลวง) ขนาบด้วยไม้ไผ่สาน ใช้ได้ 1-2 ปีก็ต้องเปลี่ยน เรียก ตูบเฝา้ นา ช่วงดานา หรือเกี่ยวข้าว ซึ่งต้องไปอยู่หลายวัน มักจะก้ันพื้นที่ทาเป็นครัวไฟ อาจมีคอกเลี้ยงสัตว์จน คล้ายเป็น เรือนพกั ภำพ เถียงนา

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอสี าน รปู แบบของเถยี งนำ 1. เถียงนาพื้นติดดิน แบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่ แบบใช้พืน้ ดินเป็นพื้นน่ัง และแบบใช้แคร่เป็นพื้น นัง่ เถียงนาในลักษณะดงั กล่าว เป็นเถียงนาระดับพืน้ ฐานที่มีรูปแบบ และขั้นตอนในการปลูกสร้างไม่ ยุ่งยาก สิ้นเปลืองน้อย แต่ต้องเลือกทาเลที่จะปลูกสร้างบนที่สูง หรือโนน เพื่อไม่ให้น้าท่วมถึงในฤดู ทานา เถียงนาในลกั ษณะ นีจ้ ะพบเห็นได้โดยทัว่ ไป ภำพ เถียงนาพืน้ ติดดนิ 2. เถียงนายกพื้นสูงจากดินระดับเดียว เถียงนาประเภทนี้ นิยมใช้เสาไม้จริงท้ังต้น พื้นนั่งทา จากแป้นไม้สูงจากพื้นดินประมาณ 0.50-1.00 เมตร เถียงนาบางหลังอาจจะยกพืน้ แค่บางส่วน หรือ ครึง่ หน่งึ ของความยาวของเถียงนาทั้งหมด ภำพ เถียงนายกพืน้ สงู จากดินระดบั เดียว 3. เถียงนายกพืน้ สูงจากดิน 2 ระดับ เป็นการเล่นระดับที่สร้างขนึ้ เพือ่ สนองประโยชน์ใช้สอย คล้ายส่วนทีเ่ ป็นเกย หรือชานในเรือนพื้นถิ่นอีสานทั่วไป เถียงนาในลักษณะนี้เป็นจุดเริ่มต้น หรือเป็น ต้นแบบทีก่ ่อให้เกิดรปู แบบทีพ่ ัฒนาไปเป็น เรือนเหย้าหรอื เรือนประเภทชัว่ คราว

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอสี าน ภำพ เถียงนายกพืน้ สูงจากดิน 2 ระดับ 4. เถียงนายกพื้นสูงจากดินหลายระดับ เป็นเถียงนาที่มีการแบ่งพ้ืนที่เพื่อใช้ประโยชน์มากขึ้น โดยการใช้ระดับพื้นเป็นตัวแบ่งแยกการใช้งาน เช่น เป็นพื้นพักจากบันได เป็นพื้นทาครัว เป็นพื้นที่ใช้ น่งั และนอน เป็นต้น ภำพ เถียงนายกพืน้ สงู จากดินหลายระดบั 5. เถียงนาประเภทเคลื่อนที่ได้ เนื่องจากเป็นเถียงนาที่สร้างเพื่อให้สามารถ เคลื่อนย้ายไป ตามพื้นที่นา ในกรณีที่ไม่มีพื้นที่เหมาะสมสา หรับปลูกเถียงนาแบบ ถาวรได้ รูปแบบคล้ายเถียงนา ประเภทพื้นติดดิน โครงสร้างโดยรวมจะมีน้าหนัก เบาเพื่อสะดวกต่อการขนย้าย เป็นรูปแบบที่พบ เหน็ ได้น้อยในปัจจุบนั เพราะต้อง ใช้แรงงานเคลือ่ นย้ายไปมา ซึง่ เป็นภาระที่เพิม่ ข้ึน ภำพ เถียงนาประเภทเคลื่อนทีไ่ ด้ 1.1.4 สิม สิม มาจากคาว่า “สีมา” เป็นคาเรียกโบสถ์ในภาษาอีสาน มาจากคาว่า สมี า ทีห่ มายถึงเขตที่ ใช้ทาสงั ฆกรรมที่กาหนดไว้ในพระวินัย สิมในอีสานทากันอยู่ 2 ชนิดคือ สิมน้า และ สิมบก สิมนา้ คือ

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอีสาน สิมที่สร้างอยู่กลางสระเพือ่ ใช้น้าเป็นเขตสีมา เรียกว่า อทุ กเขปปสีมา ปัจจบุ ันเหลืออยู่น้อยมาก ส่วน สิมบก คือ สิมที่สร้างบนบกแบบอุโบสถท่ัวไป ต้องมีการกาหนดเขตสีมารอบอาคารเพื่อให้สิมสามา รถทา สงั ฆกรรมได้ ตามพระวินยั เรียกว่า เขตพัทธสีมา คติกำรวำงผงั ชมุ ชนกบั ตำแหนง่ ของวัดชมุ ชน 1. ตั้งวดั ทางทิศเหนอื หรอื ตะวนั ออกของชุมชน 2. ไม่ต้ังวัดในแนวเดียวกบั ตัวบ้าน คือจะวางเยือ้ งข้ึนเหนอื หรอื เยือ้ งตะวนั ออก ดงั นั้น เม่ือแรกต้ังหมู่บ้าน วัดมักจะถูกวางในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของชุมชน ภายหลังตัว บ้านขยายตวั ออกไปมากจนโอบล้อมตวั วดั ก็ไม่เปน็ ไร แตแ่ รกสร้างมกั จะเป็นไปตามคตินยิ มนี้ คติกำรวำงตำแหนง่ สิมในผงั วัด 1. วางสิมทางทิศตะวนั ออกหรอื ตะวนั ออกเฉียงเหนอื ของวัด 2. ไม่วางอาคารอ่นื แนวเดียวกับสิม 3. ไม่สร้างกุฏิอยู่เบื้องหนา้ สิม 4. ไม่ให้เงาสิมทับอาคารอ่นื ลกั ษณะทำงสถำปัตยกรรมของสิมแบบพืน้ เมืองอีสำน 1. มีท้ังชนิด สิมโปร่ง และ สิมทึบ 2. เรียบง่าย ผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดเล็ก สนองเพียงประโยชน์ใช้สอยไม่ใหญ่โตหรูหราเกิน ฐานะ 3. สิมโปร่งนิยมทาผนังเตยี้ รอบ ยกเว้นด้านหลังพระประธานก่อทึบ 4. ฐานสูง มีลักษณะเฉพาะ เรียกว่า แอวขนั (เอวขันธ์) 5. หลังคาทรงจ่ัวชั้นเดียวหรือสองชั้น มุงแป้นเกล็ด มักทาปีกนกรอบ ถ้ายื่นยาวจะทาเสารับ ปีกนก 6. บางหลังไม่มีเคร่อื งประดับหลงั คา ถ้ามีจะมีโหง (ช่อฟ้า) ลายอง หางหงส์ สีหน้า (หน้าบัน) นิยมลายตาเว็น คันทวยมีเฉพาะบางหลังเป็นทวยขนาดค่อนข้างใหญ่ มีทั้งทวยแผงและ ทวยนาค เป็นแผงไม้ขนาดใหญ่แกะสลักทั้ง 2 ด้าน ด้านล่างของทวยจะมีเต้าไม้ยื่นออกจาก ผนังมารับตัวทวย ด้านบนยึดกับขือ่ ปีกนก สิมส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก เพราะประเพณีการใช้สิมของอีสานคล้ายกับล้านนา คือ เป็นอาคาร สาหรับพระสงฆ์ทาสังฆกรรมเท่าน้ัน พิธีต่าง ๆ ที่ทาร่วมกับฆราวาส เช่น สวดมนต์ ฟังธรรม เลี้ยง พระ จะไม่ใช้สิม จะใช้วิหาร หรือ หอแจก สิมจึงมีความกว้างเฉลี่ย 4.45 ม. ยาว 7.24 ม. สูง 5.14 ม. พืน้ ที่สงั ฆ กรรม กว้าง 4.00 ม. ยาว 6.80 ม.

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณีอสี าน

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณอี สี าน รปู แบบสิมโถง ทรงจว่ั ชั้นเดียวไม่มีปีกนก มปี ีกนก ไม่มีเสารบั ปักนกและมีเสารบั ปีกนก ภำพ รปู แบบสิม (ทีม่ า : สวุ ิทย์ จริ ะมณี, 2530) ภำพ สิมแบบต่าง ๆ (บน) (ทีม่ า วโิ รฒ ศรสี ุโร, 2543 : 37 / Nithi Sthapitanonda, 2005) และ สิมวดั ประตูชัย (ล่าง) เขียนฮูปแตม้ (จติ รกรรม) ไว้ภายนอก เพราะข้างในแคบและมดื (ทีม่ า : bl.msu.ac.th/bailan/explore/030849/DSC03203.JPG, 2556)

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณอี สี าน องคป์ ระกอบของสมิ แบบพื้นเมืองอีสำน 1. ฐานสิม หรือภาษาถิ่น เรียก เอวขันท์ ทาหน้าที่รองรับตัวอาคาร หรือตัวสิม จะก่ออิฐถือ ปนู ต่อเนื่องกบั ผนังเปน็ บางสว่ นหรอื โดยรอบ ความสูงของฐานสิมมิใช่ระดับเดียวกบั พืน้ สิม หรอื พืน้ ที่ ทาสังฆกรรม รูปแบบจะคล้าย ๆ กัน ไม่แตกต่างกันมากนัก จะแตกต่างกันตรงความสูง ได้แก่ การ เพิ่มความสูงด้วยเส้นลวดหลายเส้น เพิ่มลูกแก้วโดยมีเส้นลวดกากับทั้งบนและล่าง และโดยเฉพาะ รูปแบบของบัวคว่า บัวหงาย ซึ่งภาษาถิ่นเรียกว่า โบกคว่า โบกหงาย ซึ่งแตกต่างจากบัวคว่า บัว หงาย ของภาคกลาง องค์ประกอบของฐานสิมจะมีชื่อเรียกดังต่อไปนี้ เส้นลวด ลูกแก้ว ท้องไม้ โบก คว่า โบกหงาย หนา้ กระดานล่าง สถาปตั ยกรรมอสี านจะไม่นิยมทาหน้ากระดานบนเหมอื นภาคกลาง ภำพ ฐานสิม (เอวขันท์) 2. บนั ได มักมีบันไดทางข้ึนเพียงด้านเดียว นิยมทาปนู ปน้ั เป็นรปู สัตว์เฝา้ บันได เชน่ เป็นตัว จระเข้นอนราบเอาหัวลงล่างเอาหางอยู่บน บางแห่งเป็นรูปจระเข้เหราอ้าปากคาบสิงห์ บางแห่งก็ เปน็ ตัวสัตว์คล้ายมอม ทีค่ นสมัยก่อนใช้สักไว้ตามขา (เฉพาะผชู้ าย) เปน็ ต้น

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณีอีสาน ภำพ บนั ได 3. ชุกชี ส่วนแท่นประดิษฐานพระประธานภายในสิม ช่างไท-อีสำน นิยมก่ออิฐถือปูนมี รูปแบบฐานแอวขันปากพาน สัดส่วนของการลดเหลี่ยม,โบกคว่า, โบกหงาย และท้องกระดานนั้น ทาตามรสชาติงานช่างแบบพืน้ เมือง ซึ่งให้คณุ ค่าจนเกิดเป็นเอกลกั ษณ์พิเศษเฉพาะตวั 4. ช่อฟ้ำ (ช่อฟ้ากลาง) นับเปน็ ส่วนที่สูงที่สุดของสิม มักแกะสลักด้วยไม้เป็นลักษณะคล้าย ปราสาท(ผาสาด) หรือฉัตรต้ังลดหลั่นซ้อนกันขึ้นไปบนสันหลังคาตรงส่วนกลางของหลังคา สิม นับเป็นส่วนสาคัญที่ชี้บอกถึงความเป็นอีสาน ปัจจุบันยังพอมีสิมที่ก่อสร้างใหม่บางหลังที่ยังคง เอกลกั ษณ์ของ “ช่อฟ้า” ส่วนน้ีไว้แมจ้ ะทาเป็นคอนกรีตไปแล้วก็ตาม ภำพ ช่อฟ้ำ (ช่อฟ้ากลาง) 5. โหง่ หรือที่ภาคกลางเรียกว่า “ช่อฟ้า” ตัวนี้นั้น นับเป็นส่วนสาคัญของการตกแต่ง สิม อีสาน ที่ขาดไม่ได้ เพราะจะทาให้หลังคาขาดด้วนไปอย่างเห็นได้ชัด ช่างได้ออกแบบโหง่ ให้มี รูปแบบที่เป็นพื้นถิ่นอย่างมีคุณค่า จะไม่มีแบบสูตรสาเร็จเหมือนภาคกลาง โหง่ ของเดิมจะสร้าง ด้วยไม้ทั้งสิน้

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน ภำพ โหง่ (ช่อฟ้า) 6. ลำยอง เป็นส่วนที่เรียกว่า “นาคสะดุ้ง” แต่สิมอีสานมักนิยมทาเรียบเป็นแบบ “แป้น ลม” ของเรือนพกั อาศัยหลายแห่งแกะสลกั เป็นลาตัวนาคเกี่ยวหางต่อหัวกันอย่างสนุกสนาน ข้างละ ไม่ตา่ กว่า 3-5 ตวั ส่อให้เหน็ ถึงความเป็นอิสระในการออกแบบของช่างอย่างเต็มที่ ภำพ ลำยอง (นาคสะดุ้ง) 7. หำงหงส์ สลักเป็นหวั พญานาคบ้างเปน็ ลายก้านดก (กนกหัวม้วน) บ้าง แล้วแต่ช่างจะคิด ประดิษฐ์เอา

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณีอีสาน ภำพ หำงหงส์ 8. เชิงชาย บางแห่งก็แกะสลักเป็นลายเครือเถา บางแห่งก็ฉลุไม้เป็นลวดลายคล้ายอุบะ ย้อยต่อเนื่อง แตส่ ่วนใหญ่จะไม่ใคร่ตกแต่งในส่วนนี้ 9. หนา้ บัน หรอื “สีหน้า” ของสิมอสี าน นิยมทาเปน็ ลายตาเวน หรอื เป็นดวงตะวนั ส่องแสง เป็นรัศมีติดกระจกประดับ ประดุจความสว่างไสวสดใสชัชวาลแห่งดวงประทีป คือปัญญาของผู้ ใฝ่ใจในพระธรรมขององค์พระสมั มาพุทธเจา้ 10. ประตู ส่วนใหญ่จะมีประตูเดียว บางแหง่ กส็ ลักลวดลาย มกั เป็นลายเครอื เถาตามแบบ ช่างพื้นบ้าน จะดหู ยาบแต่กใ็ ห้ความเปน็ เอกลักษณ์ของอีสานได้ดีทีเดียว 11. หน้ำต่ำง มักเจาะผนัง 4 เหลี่ยมใส่บานหน้าต่างไม้ขนาดไม่ใหญ่นักอาจมีบานพับคู่และ บานพับเดี่ยวไม่ใคร่ทาซุ่มประดับหน้าต่าง จะทาบ้างก็เป็นซุ้มประตูเสียส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเม่ือ นิยมก่ออิฐป้ันปนู ช่างญวนจะนิยมทาซุ่มประตูแบบอาร์คโค้งใส่ลงไปในสิมอีสาน แถมให้ด้วย 12. แขนนำง หรือ คันทวย ส่วนนี้เป็นลักษณะพิเศษของสิมอีสานที่ไม่เหมือนใคร จะมีท้ัง ทวยนาคและทวยแผงคือเป็นแผงแผ่นไม้ขนาดค่อนข้างใหญ่ แกะสลักลายนูนต่าทั้ง ๒ ด้าน การ ประดับของคันทวยนี้ด้านล่างจะมีเต้าไม้ยื่นออกมารบั จากผนงั แล้วจะเอนหวั ออกเลก็ น้อยขึน้ ไปยึดกับ ไม้ด้านบน ซึง่ เปน็ ไม้ข่อื รับปีกนกยันเชิงชาย จะเหน็ ได้ว่าแปลกกว่าของทางภาคอืน่ 13. ฮงั ผึ้ง หรอื “รวงผึ้ง” ของทางภาคกลาง หรอื “โก่งคิว้ ” ของทางภาคเหนอื มีลักษณะ เด่นมากของงานตกแต่งด้านหน้าของสิมอีสำน ซึ่งมักจะแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ ช่วงเสา ๔ ต้น ช่วงเสากลางเป็นหน้าบันของจั่วใหญ่ ตรงกับบันไดทางข้ึน ฮงั ผ้ึงจะอยู่สูงกว่าปกติ ส่วนในช่วง เสาอีกสองข้างนั้นเป็นบันไดปีกนก จะมีฮังผ้ึงต่าลงมา มีการแกะสลักลวดลายวิจิตรประณีต ทาให้ สิมอีสานดุอลังการขึ้นเป็นพิเศษ บางหลังด้านหน้ามีเพียงช่วงเสาเดียว ตัวฮังผ้ึงจะยาวตลอดและ ยงั คงทาเลียนแบบคล้ายอย่างแรกเช่นกัน

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอสี าน 1.2 ประเภททีม่ นษุ ย์เข้าไปอยู่อาศัยไม่ได้ ธาตแุ ละพระธาตุ ธาตุ มาจากคาเต็มว่า “พระธาตุเจดีย์” เป็นความนิยมของชาวอีสานที่ไม่ เรียกว่าเจดีย์ แต่จะ เรียกว่าธาตุเหมือนชาวล้านนา ธาตุอีสานแบ่งตามรูปแบบที่ปรากฏได้เป็น 6 กลุ่ม (วิโรฒ ศรสี โุ ร, 2539 : 9) ประกอบด้วย 1. กลุ่มฐานตา่ เชน่ พระธาตุศรสี องรัก พระธาตขุ ามแก่น 2. กลุ่มฐานสงู เชน่ พระธาตพุ นม พระธาตุเรณู 3. กลุ่มเรือนธาตุทาซุ้มจรนา ยอดธาตุมีปลี 4 ทิศ เช่น ธาตุอานนท์ ธาตุ ถาดทองก่องขา้ วน้อย 4. กลุ่มเรือนธาตุทาซุ้มจรนา ยอดธาตุบัวเหลี่ยม เช่น พระธาตุบังพวน พระ ธาตุยาคู 5. กลุ่มยอดธาตุ 8 เหลี่ยม เชน่ ธาตกุ ่องขา้ วน้อยฆ่าแม่ ธาตุหนั เทา 6. กลุ่มย่อมุมไม้สิบสอง ยอดธาตุทรงระฆังควา่ เช่น ธาตุเก่าวดั พระธาตุบัง พวน 1. ธำตุกลุ่มฐำนต่ำ เป็นรูปแบบศิลปกรรมของล้านช้างที่ส่งอิทธิพลต่อรูปแบบธาตุอีสาน พบ ทวั่ ไปตลอดฝ่ังซ้ายแม่น้าโขง โดยเฉพาะเขตเมืองหลวงพระบาง ธาตุใช้ผังสี่เหลี่ยมตลอดองค์ ไม่ เน้นให้ส่วนฐานและเรือนธาตุสูงเด่น มวลส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นส่วนเน้นคือส่วนบัวเหลี่ยม ต่อด้วยยอด ธาตุ องค์สาคัญในกลุ่มนี้ คือ พระธาตุศรีสองรัก จังหวัดเลย ซึ่งพระไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้าง และพระมหาจกั รพรรดิแห่ง อโยธยา ได้รว่ มกันสร้างข้ึน เสร็จเมือ่ พ.ศ.2106

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณอี สี าน 2. ธำตุกลุ่มฐำนสงู เป็นรูปแบบที่มีพระธาตุพนมเป็นต้นแบบ ส่งอิทธิพลต่อธาตุจานวนมาก หลายองค์ในอีสาน รูปแบบนี้ลักษณะโดยรวมเหมือนกลุ่มฐานต่า คือ ใช้ผังสี่เหลี่ยมตลอดองค์ ส่วน ฐาน ส่วนเรอื นธาตุ และสว่ นยอดธาตใุ ช้ระเบียบวิธีก่อสร้างเดียวกัน ตา่ งกันทีส่ ัดส่วน เพราะกลุ่มนจี้ ะ ยึดฐาน สูง ซ้อน 2 ช้ัน หลายองค์ทาซุ้มประตูหลอกท้ัง 4 ด้าน เน้นส่วนเรือนธาตุให้เห็นชัด ส่วนยอด ธาตุทาเป็นบัวเหลี่ยมยึดสูง มวลส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นส่วนเน้นคือส่วนฐานชั้นบน รูปทรงเพรียวสูงกว่า กลุ่มแรกมาก องค์สาคัญในกลุ่มนี้ คือ พระธาตุพนม พระธาตุวัดมหาธาตุ และพระธาตุเรณู จังหวัด นครพนม พระธาตุเชงิ ชุม จังหวัดสกลนคร พระพทุ ธบาทบวั บก จงั หวัดอุดรธานี สันนิษฐานว่ารูปแบบนี้เกิดจากการบูรณะพระธาตุพนมเม่ือ พ.ศ.2233-2234 ใช้ช่างจาก เวียงจันท์ ซึ่งรับอิทธิพลจากพระธาตุหลวง แต่ช่างนามาใช้เฉพาะส่วนยอดธาตุ จึงเกิดรูปแบบใหม่ ของ พระธาตุทางฝงั่ ขวาแม่น้าโขง ส่งอิทธิพลไปท่ัวพื้นที่อีสานตอนบนและตอนกลาง (วิโรฒ ศรีสโุ ร, 2539)

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณีอีสาน 3. ธำตกุ ลุ่มเรือนธำตุทำซุ้มจรนำ ยอดธาตุมีปลี 4 ทิศ เปน็ กลุ่มธาตุทีเ่ อารูปแบบพระธาตุ อานนท์ วดั มหาธาตุ จังหวัดยโสธรเป็นต้นแบบ รูปทรงยอดธาตุเป็นบัวเหลี่ยมคล้ายธาตุ 2 กลุ่มแรก แต่ เสริมปลียอดเข้าไปอีก 4 ด้าน ทาให้ดูมีมิติมากขึ้น ซับซ้อนอลังการแปลกตากว่ายอดเดี่ยว เรือน ธาตุ 4 เหลี่ยม บางองค์ทาย่อมุม มีซุ้มจรนาท้ัง 4 ทิศ ฐานธาตุเป็นฐานเอวขันธ์ยกสูง ได้แก่ พระธาตุ อานนท์ ยโสธร พระธาตุถาดทอง (ก่องข้าวน้อย) ยโสธร หอพระพุทธรูป วัดทุ่งสว่างชัยภมู ิ พระธาตุ หนองสาม หม่นื ชยั ภูมิ 4. ธำตุกลุ่มเรอื นธำตทุ ำซ้มุ จรนำ ยอดธาตบุ วั เหลีย่ ม เป็นธาตทุ ี่มีฐานธาตุ 4 เหลีย่ มย่อมุม เรือนธาตุ 4 เหลี่ยมทรงสูง มีซุ้มจรนา 4 ทิศ ถัดขึ้นไปเป็นฐานเอวขันปากพาน 4 ชั้น รบั ชั้นบัวเหลี่ยม 2 ช้ัน ปลียอดคล้ายกลุ่มที่ 3 แต่ทาเป็นอันยอดเดี่ยว พระธาตุกลุ่มนี้ในหนองคายได้แก่ พระธาตุบัง พวน ใน ยโสธร ได้แก่ ธาตบุ ้านทุ่งแต้ ธาตวุ ดั บ้านน้าคาน้อย และธาตยุ าคู วดั ศรีธาตุ

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน 5. กลุ่มยอดธำตุ 8 เหลี่ยม รูปแบบโดยรวมคือ มีผังและทรงรูป 8 เหลี่ยม เรือนธาตุนิยม ทา ทรงเอวขันธ์ปากพานคอดกิ่ว โดยทาท้องไม้มีกระดูกงูรัดไว้ให้รู้สึกมั่นคง สวยงาม หน้ากระดาน รูป 8 เหลี่ยมวางหงายขึ้นไปรับยอดธาตุทรง 8 เหลี่ยม มักทากลีบบัวรองรับ ยอดธาตุมักทาเป็น 2 ช้ัน ข้ันด้วยเอวขนั ธ์ขนาดเล็ก ปลายยอดบนสดุ มีทั้งแปดเหลี่ยมและทรงกลม ธาตุกลุ่มน้ีในหนองคาย ได้แก่ พระธาตุ เก่าในวัดพระธาตุบังพวน ธาตุองค์เล็กวัดศรีชมพูองค์ตื้อ และธาตุดา ในอุดรธานี ได้แก่ พระธาตหุ ันเทา

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณีอีสาน 6. กลุ่มย่อมุมสิบสองยอดธำตุทรงระฆังคว่ำ เป็นธาตุอีสานกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจาก ล้านนาใน สมัยพระไชยเชษฐาธิราช ลักษณะคือ ทาเรือนธาตุสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง มีซุ้มจรนา 4 ทิศ บัลลังก์เอว ขันธ์ 8 เหลีย่ ม ยอดธาตุทรงระฆัง มีปล้องไฉน พระธาตกุ ลุ่มนี้ ได้แก่ พระธาตเุ ก่าใน วดั พระธาตบุ ังพวน นอกจากนี้ยังมี ธาตไุ ม้ สร้างขึน้ สาหรับบรรจอุ ัฐิหรอื กระดูกของบคุ คลทั่วไปหรือพระสงฆ์ ตั้ง ไว้ในวัด หลักการ จึงเป็นเช่นเดียวกับพระธาตุ แต่พระธาตใุ ช้กับพระสารีริกธาตุพระพุทธเจา้ หรอื พระ อรหนั ต์ ปจั จุบันธาตไุ ม้ เหล่านีไ้ ม่ค่อยมีใครทากันแล้ว เปลี่ยนเป็นธาตุปูนเป็นส่วนใหญ่

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน 2. สถำปัตยกรรมกลุ่มชำติพนั ธ์เุ ขมร สถาปัตยกรรมกลุ่มชาติพันธ์ุเขมรที่พบในภาคอีสานส่วนใหญ่มักพบในบริเวณพื้นที่ภาค อีสานตอนล่าง โดยได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมจากอาณาจักรขอม ทีแ่ ผข่ ยายเข้ามาในภมู ภิ าคนี้เมื่อ คร้ังอดีต สามารถแบ่งรายละเอียดในการศึกษาได้ ดงั น้ี 2.1 ประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศยั ได้ 2.1.1 ปราสาท 1. ความหมาย คาว่า “ปราสาท” (Prasada) มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤต หมายถึง อาคารที่มีส่วนกลาง เป็นห้องเรียกว่า “ห้องครรภคฤหะ” หรือ “เรือนธาตุ” และมีหลังคาเป็นช้ันซ้อนกันหลายชั้นเรียกว่า “เรือนช้ัน” หลังคาแต่ละช้ันน้ัน เป็นการย่อส่วนของปราสาท โดยนามาซ้อนกันในรูปของสัญลักษณ์ แทนความหมายของเรือนฐานันดรสูง อันเป็นที่สถิตของเหล่าเทพเทวดา ดังนั้น ปราสาทจึงหมายถึง อาคารที่เป็นศาสนสถาน เพื่อประดิษฐานรูปเคารพ และการทาพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ใช่พระราช มณเฑียร อันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุนี้จึงมีความแตกต่างในเร่ืองของวัสดุ กล่าวคือ ปราสาทที่เป็นศาสนสถานนั้น สร้างด้วยวัสดุ ที่ม่ันคงแข็งแรงประเภทอิฐหรือหิน ส่วนพระ ราชมณเฑียร ทีป่ ระทับของพระมหากษัตรยิ ์ สร้างดว้ ยไม้ทั้งสิน้ “ปราสาทขอม” หมายถึง อาคารทรงปราสาททีส่ ร้างข้ึนในวฒั นธรรมขอม หรอื เขมรโบราณ เพื่อใช้เป็นศาสนสถานในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ท้ังในศาสนาฮินดู และพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน ส่วนคาว่า “ปราสาทขอมในประเทศไทย” นั้น หมายถึง อาคารทรงปราสาทใน วัฒนธรรมขอม ที่พบในดินแดนไทยในปัจจุบัน ซึ่งดินแดนเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรขอม รวมท้ังบางส่วนได้มีการรับอิทธิพลทางศาสนา และงานศิลปกรรมขอมมาสร้าง โดย คนในท้องถิ่น แต่เดิมมักเรียกงานศิลปะของวัฒนธรรมขอมในประเทศไทยว่า “ศิลปะลพบุรี” เนื่องจากเชือ่ ว่า เมืองลพบุรี เคยเป็นเมืองศนู ย์กลางของขอมในประเทศไทย ในระหว่างพุทธศตวรรษ ที่ 16 - 18 และมีลักษณะของงานศิลปกรรมบางอย่าง ที่แตกต่างจากศิลปะขอม แต่ในปัจจุบันนิยม เรียกว่า “ศิลปะขอมที่พบในประเทศไทย” เพราะเปน็ คารวมทีค่ รอบคลุมพืน้ ที่และระยะเวลามากกว่า กล่าวคือ พืน้ ทีข่ องประเทศไทย ทีร่ ับวัฒนธรรมขอมอยู่ในระหวา่ งพทุ ธศตวรรษที่ 12 - 18 2. ทีม่ าของรปู แบบ อาคารทรงปราสาทที่ใช้เป็นศาสนสถานในวัฒนธรรมขอมนั้น มีที่มาจากอินเดีย กล่าวคือ ชาวอินเดียได้สร้างปราสาทขึน้ เพื่อประดิษฐานรูปเคารพทางศาสนา เรียกว่า เทวาลัย โดยสร้างเป็น อาคารที่มีหลังคาซ้อนช้ันขึ้นไปหลายชั้น แต่ละชั้นมีการ ประดับอาคารจาลอง สามารถแยกออกเป็น 2 สายวฒั นธรรม ได้แก่ อินเดียภาคเหนือ เรียกว่า “ทรงศขิ ร” (สิ-ขะ-ระ) คือ ปราสาททีม่ หี ลงั คารูป โค้งสงู ส่วนในอินเดียภาคใต้ เรียกว่า “ทรงวิมาน” คือ ปราสาทที่มีหลังคาซ้อนเป็นช้ันๆ แต่ละช้ันมัก ประดับอาคาร จาลองจากรปู แบบของปราสาทขอม ในระยะแรกเช่ือกันว่า ได้รบั อิทธิพลของทรงศิขร

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน จากอินเดียภาคเหนอื ส่วนทรงวิมานนั้น ส่งอิทธิพลมายังศิลปะชวา ต่อมาภายหลังช่างขอมได้นาเอา รูปแบบทั้ง 2 สายวฒั นธรรม มาผสมผสานกัน จนกลายเป็นรูปแบบเฉพาะของตวั เองข้ึน 3. คติการสรา้ ง การสร้างอาคารทรงปราสาทมาจากคติความเชื่อของชาวอินเดียที่ว่า เทพเจ้าทั้งหลายสถิต อยู่ ณ เขาพระสุเมรุ อันเป็นแกนกลางของจักรวาล ซึ่งอยู่บนสวรรค์ การสร้างปราสาทจึง เปรียบเสมือนการจาลองเขาพระสุเมรุมายังโลกมนุษย์ เพื่อเป็นที่สถิตของเทพเจ้า และมีการสร้าง รูปเคารพของเทพเจ้าขึ้น เพื่อประดิษฐานไว้ภายใน โดยตัวปราสาทมีสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ใช้แทน ความหมายของเขาพระสุเมรุ เช่น มีปราสาทประธานตรงกลาง มีปราสาทบริวารล้อมรอบ ถัด ออกมามีสระน้า และกาแพงล้อมรอบอีกช้ันหน่ึง การที่ทาหลังคาปราสาทเปน็ เรือนซ้อนช้ันก็หมายถึง สวรรค์หรือวิมานของเทพเทวดาน่ันเอง ด้วยเหตุที่เป็นการจาลองจักรวาลมาไว้บนโลกมนุษย์ และ เป็นทีส่ ถิตของเทพเจ้า จึงตอ้ งมรี ะเบียบกฎเกณฑ์ ตามทีก่ าหนดไว้ในคมั ภรี ์ทางศาสนาอย่างเคร่งครัด ตวั ปราสาทจึงมีขนาดใหญ่โต และใช้เวลาก่อสร้างยาวนาน 4. ความสาคัญ ด้วยเหตุที่ปราสาทขอมคือ ศูนย์กลางของจักรวาล ดังนั้น ตัวปราสาท และเขตศาสนสถานจึงถือว่า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และใช้ในความหมายที่เป็นศูนย์กลางของเมืองหรือชุมชน ปราสาทเป็นที่ ประดิษฐานรูปเคารพ และใช้ทาพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งในศาสนาฮินดูจะมีพราหมณ์เป็นผู้ทาพิธี เช่น การสรงน้ารูปเคารพที่อยู่ภายในห้องครรภคฤหะ น้าที่สรงแล้วจะไหลออกมาทางท่อน้าเรียกว่า ท่อ โสมสูตร ซึง่ ต่อออกมาภายนอกตวั ปราสาท เพื่อทีช่ าวบ้านจะได้นาน้าศักดิ์สทิ ธิน์ ีไ้ ปใช้ นอกเหนอื จาก ปราสาทที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนแล้ว การสร้างสระน้าและบาราย (สระน้าขนาดใหญ่) ก็เป็นส่วน หนึ่งของปราสาท เพื่อเป็นอ่างเก็บน้า สาหรับชุมชน ในการอุปโภคบริโภค ดังนั้น การสร้างปราสาท จึงเป็นภาระสาคัญของพระมหากษัตริย์ ที่เม่ือขึ้นครองราชย์แล้ว ต้องสร้างขึ้น เพื่ออุทิศให้แก่บรรพ บุรุษ หรือให้แก่พระองค์เอง และสร้างบารายให้แก่ประชาชน การสร้างปราสาทที่มีขนาดใหญ่จึง แสดงให้เหน็ ถึงบญุ บารมี และพระราชอานาจของกษตั รยิ ์แตล่ ะพระองค์ดว้ ย 5. ควำมเกี่ยวเนื่องระหว่ำงปรำสำทกบั ศำสนำ โดยทั่วไปศาสนสถานในศิลปะขอม จะสร้างขึ้น เนื่องในศาสนาฮินดูเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงบางแห่ง หรือบางสมัยเท่านั้น ที่สร้างขึ้น เน่ืองในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน เช่น ปราสาทที่สร้างขึ้นใน ศลิ ปะแบบบายนทั้งหมด เพราะในขณะน้ัน มกี ารเปลีย่ นมานบั ถือพระพทุ ธศาสนานิกายมหายานแล้ว วิธีสังเกตว่า ศาสนสถานแห่งน้ันๆ สร้างขึ้น เน่ืองในศาสนา และลัทธิใด ดูได้จากรูปเคารพ ที่ ประดิษฐานภายในปราสาทประธานเป็นสาคัญ ถ้าไม่ปรากฏรูปเคารพ ให้ดูได้จากภาพเล่าเร่ืองบน ทบั หลงั โดยเฉพาะทับหลงั ประดบั ด้านหนา้ ของหอ้ งครรภคฤหะ จะเป็น ตัวบอกได้ดีที่สุด ในส่วนของ ปราสาททีส่ รา้ งขึน้ ในศาสนาฮินดูแยกออกเป็น 2 ลัทธิ ได้แก่ \"ไศวนิกาย\" คอื การบูชาพระอศิ วร หรือ พระศิวะเป็นใหญ่ เช่น ปราสาทพนมรุ้ง และ \"ไวษณพนิกาย\" คือ การบูชาพระนารายณ์ หรือพระ

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี สี าน วิษณุเป็นใหญ่ เช่น ปราสาทนครวัด ส่วนปราสาทหินพิมาย และกลุ่มปราสาทรุ่นหลัง ในศิลปะแบบ บายน ที่พบทางภาคกลางของประเทศไทยทั้งหมดน้ัน สร้างขึ้น เนื่องในพระพุทธศาสนานิกาย มหายาน เช่น พระปรางค์สามยอด จังหวดั ลพบรุ ี 6. วัสดุท่ใี ชใ้ นกำรก่อสรำ้ ง ไม้ ถือเป็นวสั ดพุ ืน้ ฐานที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารโดยทวั่ ไป จากหลกั ฐานการสร้างปราสาทที่ ใช้เป็นศาสนสถานในอินเดีย ระยะเริ่มแรกนั้นสร้างด้วยไม้ แต่ไม้เป็นวัสดุที่ผุพังได้ง่าย จึงไม่เหลือ หลักฐานให้ศึกษา ต่อมาจึงก่อด้วยอิฐหรือหิน แต่ก็ยังสังเกตได้ว่า อาคารหรือลวดลายในระยะแรก นั้น มักสร้างหรือสลักเลียนแบบเคร่ืองไม้ อาคารในวัฒนธรรมขอมก็เช่นเดียวกัน ระยะแรกพบว่า สร้างเลียนแบบเครือ่ งไม้ องค์ประกอบทางสถาปตั ยกรรมบางอย่างใช้ไม้เปน็ ส่วนประกอบ เช่น กรอบ ประตู ประตู หนา้ ต่าง เพดาน รวมทั้งโครงหลังคาทีเ่ ปน็ เครื่องไม้มุงกระเบือ้ งกม็ ี อิฐ เป็นวัสดุที่ใช้สร้างปราสาทขอมในระยะแรกเริ่ม ได้แก่ สมัยก่อนเมืองพระนคร ถึงสมัย เมืองพระนครตอนต้น (พุทธศตวรรษที่ 12 - 14) ในราวพุทธศตวรรษที่ 15 จึงเริ่มมีความนิยมสร้าง ปราสาทด้วยหินทราย วิธีการก่ออิฐในปราสาทขอมนั้น จะมีลักษณะเฉพาะคือ ใช้อิฐขนาดเล็ก การ ก่อเป็นแบบไม่สอปูน มีการขัดแผ่นอิฐก่อนนามาเรียง ต่อกันแน่นจนแทบเป็นแผ่นเดียวกัน โดย สันนิษฐานว่า เช่ือมด้วยยางไม้ เสร็จแล้วจะขัดผิวอิฐจนเรียบ ในส่วนที่ต้องการลวดลายจะสลักลงไป บนเนื้ออิฐส่วนหนึ่ง และอีกส่วน หนึ่งจะปั้นปูนทับลงไป ปราสาทที่สร้างด้วยอิฐมีส่วนที่ใช้หิน ประกอบด้วย ได้แก่ ส่วนของกรอบประตู เสา และทับหลัง หิน ที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ หินทราย เพราะเป็นวัสดุที่มีความม่ันคงแข็งแรง หาได้ง่าย สลัก ลวดลายง่าย และมีความงดงาม จึงได้รับความนิยมนามาสร้างปราสาทขอมมากที่สุด การนาวัสดุ ประเภทหินมาใช้สร้างปราสาทน้ัน ช่างขอมรู้จักมาแล้วตั้งแต่ในยุคแรกเริ่ม เช่นเดียวกับอิฐ แต่ใน ระยะแรก นามาใช้ประกอบ เพื่อความมั่นคงแข็งแรง เช่น ทาเป็นส่วนฐานอาคาร เสา กรอบประตู ทับหลัง การสร้างปราสาทด้วยหินทรายเริ่มได้รับความนิยมในสมัยเมืองพระนครตั้งแต่ราวพุทธ ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา จนหมดสมัยที่รุ่งเรืองแห่งอาณาจักรขอมใน ช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 หลังจากน้ันจึงกลับมาใช้วัสดุที่เป็นอิฐและเคร่ืองไม้อีกคร้ังหนึ่ง อาคารที่สร้างด้วยหินไม่ใช้ตัวเชื่อม เชน่ เดียวกับอิฐ แต่จะใช้น้าหนกั ของหินเป็นตัวยึดกันเอง มีส่วนที่ใช้ตัวยึดอยู่บ้างตรงมุมปราสาท โดย จะใช้เหล็กรูปตัวไอ (I) หรือตัวที (T) ฝังไว้ภายใน วิธีการก่อสร้าง คือ จะนาหินที่โกลนเป็นเค้าโครง เรียงซ้อนกนั ขึน้ ไปก่อน แล้วจึงสลักรายละเอียดของลวดลายต่าง ๆ ในภายหลัง ศิลาแลง เป็นวัสดุที่มีความคงทนและ แข็งแรง เม่ืออยู่ใต้ดินจะอ่อนตัวสามารถตัด เป็น รูปทรงที่ต้องการได้ง่าย แต่เม่ือสัมผัส กับอากาศแล้วจะแข็งตัว ไม่สามารถตกแต่งเป็นรูปทรงได้ ดังน้ัน จึงนิยมใช้ศิลาแลงมาทาเป็นส่วนฐานของอาคาร เพราะสามารถรับ น้าหนักได้ดี อย่างไรก็ตาม การนาศิลาแลง มาใช้สร้างปราสาทท้ังหลังได้เกิดขึ้นในศิลปะ แบบบายนในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 โดยพบในประเทศไทยท้ังในภาคอีสานและภาคกลาง จนถือเป็นลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่ง ของ

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน วัฒนธรรมขอมศลิ ปะแบบบายนที่พบในประเทศไทย เหตุทีใ่ นสมยั นี้นิยมใชศ้ ลิ าแลง อาจเป็นเพราะว่า เป็นวัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่นและสามารถก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว เทคนิคของการสร้างอาคารด้วย ศลิ าแลงคือ การตัดมาท้ังก้อนตามขนาดที่ต้องการ นามาวางซ้อนกัน ฉาบปูนทับ และปั้นลายปูนป้ัน ประดับส่วนตา่ งๆ ให้สวยงาม 7. แผนผงั รปู แบบ และองค์ประกอบทำงสถำปตั ยกรรม 7.1 แผนผังและรปู แบบ ปราสาทขอมจะมีการออกแบบการก่อสร้างอย่างมีระเบียบ เนื่องจากคติการสร้างดังกล่าวแล้ว ข้างต้น โดยทั่วไปจะมีแผนผัง 2 แบบ แบบแรกคือ แผนผังแบบล้อมรอบจุดศูนย์กลาง ซึ่งมีปราสาท ประธานอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยระเบียงคด อาจมีสระน้าและกาแพง ล้อมรอบอีกช้ันหนึ่ง ส่วน ใหญ่ ได้แก่ ศาสนสถานที่สร้างอยู่บนพื้นราบ เช่น ปราสาทเมืองต่า ปราสาทหินพิมาย ส่วนแผนผัง แบบที่ 2 คือ แผนผังแบบตรงเข้าสู่จุดศูนย์กลาง ได้แก่ ศาสนสถานทีอ่ ยู่บนภูเขา มีบันไดทางเดินและ สิ่งปลูกสร้างเป็นระยะๆ นาขึ้นไปสู่ปราสาทประธานที่อยู่บนยอดเขา เช่น ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาท เขาพระวิหาร รูปแบบของปราสาทขอมที่สมบูรณ์นั้น จะประกอบด้วยกาแพงล้อมรอบศาสนสถาน ตรงกลางกาแพงมีซุ้มประตูทางเข้าท้ัง 4 ด้าน เรียกว่า \"โคปุระ\" ถัดเข้าไปมีสระน้า อาจเป็นรูปคล้าย ตวั ซี (C) ในกรณีที่มีทางเข้า 2 ทาง หรือรูปคล้ายตัวแอล (L) ในกรณีที่มีทางเข้า 4 ทาง จนถึงกาแพง ชั้นในที่ล้อมรอบปราสาทประธาน ซึง่ เรยี กว่า \"ระเบียงคด\" โดยมีโคปรุ ะทั้ง 4 ด้านเชน่ เดียวกัน ภายใน ระเบียงคด เป็นที่ต้ังของปราสาทประธาน ซึ่งอาจเปน็ ปราสาทหลังเดียวโดดๆ หรอื เปน็ ปราสาทหมู่ 3 หลัง 5 หลัง หรอื 6 หลัง กไ็ ด้ อาจมีอาคารขนาดเล็กมีผังส่ีเหลี่ยมผนื ผ้า ทีเ่ รียกว่า \"บรรณาลัย\" เป็น ที่เก็บรักษาคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ อยู่ด้านหน้าปราสาทประธานปราสาทขนาดใหญ่ เช่น ปราสาทหินพิ มาย และปราสาทพนมรุ้ง จะมีสว่ นที่เพิม่ ข้ึน ได้แก่ \"ทางดาเนิน\" มกั ประดบั ด้วยเสา ต้ังเปน็ แนวตลอด ทางเดินเรียกว่า เสานางเรียง หรือเสานางจรัล มี \"สะพานนาคราช\" ซึ่งมีผังเป็นรูปกากบาท ราว สะพานทาเป็นลาตัวของพญานาค 5 เศียร หันหน้าออกแผ่พังพาน ท้ัง 4 ทิศ เปรียบเสมือนเป็น ทางเดินเชื่อม ระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ หากเป็นปราสาทที่ต้ังอยู่บนภูเขา จะมีทางเดินเป็น ข้ันบนั ได ทอดขึ้นไปสู่บริเวณทีต่ งั้ ของปราสาทประธาน 7.2 องค์ประกอบทางสถาปตั ยกรรม ส่วนฐาน โดยทั่วไปแล้วปราสาทขอม มักตั้งอยู่บนฐานบัวเตี้ยๆ ต่อมาในสมัยของศิลปะแบบ บายน ฐานบัวนี้ได้พัฒนามาเป็นรูปแบบเฉพาะที่เรียกว่า \"ฐานบัวลูกฟัก\" หมายถึง ฐานบัวที่มีการ ประดับท้องไม้ด้วยแถบสี่เหลี่ยมคล้ายกบั ลูกฟกั ส่วนกลาง ได้แก่ ส่วนของอาคารทรงสี่เหลี่ยม ภายในเป็นห้องประดิษฐานรูปเคารพ เรียกว่า \"ห้องครรภคฤหะ\" (หรอื เรือนธาตุ) ส่วนนี้จะทาเป็นอาคารเพิ่มมมุ เพือ่ จะออกมุข และรับกบั ซุ้มประตู ทางเข้า ดา้ นหนา้ ของห้อง ครรภคฤหะมีที่ยื่นออกมาเรียกว่า มณฑป มีตัวเชอ่ื มส่วนนเี้ รียกว่า อนั ตรา ละ (มขุ กระสนั ) ส่วนของประตูมอี งค์ประกอบที่สาคญั ได้แก่

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณีอสี าน - เสาติดผนัง คือ วงกบกรอบประตู เป็นเสาสี่เหลี่ยมร องรับน้าหนักของ ส่วนบน นิยมสลักลวดลายอย่างงดงาม เชน่ ลายก้านต่อดอก - เสาประดับกรอบประตู จะอยู่ด้านหน้าวงกบกรอบประตู ทาขึ้น เพื่อการประดับ ตกแต่งมากกว่าการรับน้าหนัก ดังน้ัน ตัวเสาประดับกรอบประตูจึงใช้เป็นหลักฐานสาคัญอย่างหนึ่ง ในการกาหนดอายุของศาสนสถานแห่งน้ัน ๆ ตามหลักของวิวัฒนาการทาง ศิลปะ เช่น ในระยะแรก จะเป็นเสากลมแบบ อินเดีย ต่อมาทาเป็นเสาแปดเหลี่ยม รวมทั้งการแบ่งส่วนของเสาและการสลัก ลวดลาย ก็บอกถึงวิวฒั นาการได้เชน่ กนั - ทับหลัง หมายถึง แท่งหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่อยู่เหนือกรอบประตูทางเข้า ใน ลกั ษณะเดียวกับขื่อ เพื่อรบั น้าหนักของช้ันหลังคา ทับหลังมี 2 ประเภท คือ ทับหลังจริง ซึ่งอยู่ช้ันใน ทาหน้าที่รับน้าหนักชั้นหลังคาอย่างแท้จริง และทับหลังประดับ ซึ่งอยู่ชั้นนอก เป็นงานประดับ สถาปัตยกรรม ซึ่งนิยมสลักลวดลาย และภาพเล่าเร่ืองต่างๆ ทับหลังจึงเป็นหลักฐานสาคัญที่สุด อย่างหนึ่ง ในการกาหนดอายุ ศาสนสถานแห่งน้ัน และเป็นตัวบอกได้ว่า ศาสนสถานนั้นสร้างขึ้นใน ศาสนาและลัทธิใด โดยเฉพาะชิ้นที่สาคัญที่สุด ได้แก่ ทับหลังที่อยู่ด้านหน้าของห้องครรภคฤหะ เหตุ ที่เชื่อวา่ ทบั หลงั ใช้เปน็ ตวั กาหนดอายุได้ดีทีส่ ุด เพราะส่วนใหญ่จะสร้างข้นึ พร้อมกบั ตวั ปราสาท และ สลักด้วยศิลา จึงเป็นสิ่งที่คงทนถาวร รวมทั้งมีภาพเล่าเร่ือง และลวดลายประดับ ที่สามารถบอก วิวฒั นาการได้เปน็ อย่างดี - หน้าบัน คือ ส่วนของหลังคา รูปทรงสามเหลี่ยมเหนือทับหลัง ในลักษณะเดียวกับ หน้าจ่ัว ตัวกรอบหน้าบันนิยมทาเป็นตัวนาค และเศียรนาค เรียกว่า ซุ้มโค้งเข้าโค้งออกแบบขอม ตัว หน้าบันนิยมสลักลวดลาย และภาพเล่าเร่ือง โดยทั่วไปจะสัมพันธ์กับภาพเล่าเร่ืองบนทับหลัง ซึ่งใช้ เปน็ ตวั บอกอายุสมัย และบ่งบอกว่า เป็นศาสนสถานในศาสนาและลัทธิใด ด้วยเช่นกัน ส่วนยอด ได้แก่ ส่วนยอดของปราสาทเหนือส่วนเรือนธาตุขึ้นไป ที่ทาเป็นหลังคาซ้อนช้ัน ลดหล่นั กัน เรียกว่า \"ช้ันวิมาน\" หรอื \"ชั้นบัญชร\" โดยทั่วไปจะมี 5 ช้ัน แต่ละช้ันมีนาคปกั หมายถึง หัว พญานาคประดับที่มุมประธาน แต่ละด้านประดับด้วย \"บันแถลง\" หมายถึง รูปจั่ว หรือซุ้มหน้าต่าง เป็นรูปสัญลักษณ์ของวิมานซึ่งเป็นที่สถิตของเทวดา ส่วนยอดสุดเป็นรูปกลีบบัวเรียก บัวทรงคลุ่ม รองรบั ส่วนยอดที่เรยี กชือ่ วา่ กลศ (กะ-ละ-สะ) มีรปู ร่างคล้ายหม้อนา้ เทพมนตรใ์ นศาสนาฮินดู 8. ปรำสำทขอมและพัฒนำกำรในดินแดนไทย ในการศึกษาศิลปะขอมในประเทศไทย ได้ใช้การเรียกชื่อศิลปะอย่างเดียวกับศิลปะขอมใน ประเทศกัมพูชาเป็นหลัก ซึ่งในการกาหนดอายุของปราสาทขอมน้ันได้แบ่งออกเป็น 2 สมัยใหญ่ๆ ได้แก่ สมัยก่อนเมืองพระนคร (พุทธศตวรรษที่ 11 - 14) และสมัยเมืองพระนคร (พุทธศตวรรษที่ 14 - 18) และแบ่งออกเป็นสมยั ย่อยเรียกเปน็ ชือ่ ศิลปะแบบต่างๆ รวม 14 แบบ ดังน้ี

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอีสาน ก. สมยั ก่อนเมอื งพระนคร 1. ศลิ ปะแบบพนมดา ราว พ.ศ. 1100 - 1150 2. ศลิ ปะแบบสมโบร์ไพรกกุ ราว พ.ศ. 1150 - 1200 3. ศลิ ปะแบบไพรกเมง ราว พ.ศ. 1180 - 1250 4. ศลิ ปะแบบกาพงพระ ราว พ.ศ. 1250 - 1350 ข. สมยั เมอื งพระนคร 5. ศลิ ปะแบบกุเลน ราว พ.ศ. 1370 - 1420 6. ศลิ ปะแบบพระโค ราว พ.ศ. 1420 - 1440 7. ศลิ ปะแบบบาแค็ง ราว พ.ศ. 1440 - 1470 8. ศลิ ปะแบบเกาะแกร์ ราว พ.ศ. 1465 - 1490 9. ศลิ ปะแบบแปรรูป ราว พ.ศ. 1490 - 1510 10. ศลิ ปะแบบบนั ทายสรี ราว พ.ศ. 1510 - 1550 11. ศลิ ปะแบบคลงั (หรอื เกลียง) ราว พ.ศ. 1550 - 1560 12. ศลิ ปะแบบบาปวน ราว พ.ศ. 1560 - 1630 13. ศลิ ปะแบบนครวัด ราว พ.ศ. 1650 - 1720 14. ศลิ ปะแบบบายน ราว พ.ศ. 1720 – 1780 8.1 ช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 - 14 ในราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 14 ซึง่ ตรงกบั ศิลปะขอมสมัยก่อนเมอื งพระนคร และร่วมสมัยกับ วัฒนธรรมทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย อันเป็นสมัยแรกที่เริ่มปรากฏหลักฐานการรับ ศาสนาจากอินเดีย ในระยะแรกนี้ ส่ิงปลกู สร้างที่เป็นปราสาทนั้นแทบจะไม่เหลือหลักฐานไว้ใหศ้ ึกษา เลย เนอื่ งจากปราสาทในสมัยนีส้ ่วนใหญ่ก่อด้วยอิฐ จึงพังทลายไปตามกาลเวลา ยกเว้นเพียงชนิ้ ส่วน ที่เป็นหิน เช่น ทับหลัง หน้าบัน และเสาประดับกรอบประตูเท่านั้นที่ยังคง ปรากฏอยู่ มีปราสาทที่ยัง หลงเหลือหลักฐานค่อนข้างสมบูรณ์อยู่เพียงหลังเดียวเท่าน้ัน คือ ปราสาทภูมิโพน อาเภอสังขะ จังหวัดสรุ ินทร์ ที่สามารถศึกษารูปแบบได้ หลักฐานที่พบในช่วงน้ีจะอยู่ในภาคตะวนั ออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ทีจ่ ังหวัดจนั ทบรุ ี ปราจีนบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ และอุบลราชธานี ความสาคัญของภาคตะวันออกนั้น นอกจาก เป็นดินแดนที่รับอารยธรรมจากภายนอกในระยะแรกแล้ว ยังเป็นจุดเชื่อมต่อทางวัฒนธรรม เช่น มี ความสัมพันธ์กบั ทางภาคใต้ และแสดงการผสมผสานทางวัฒนธรรม ระหว่างทวารวดีภาคกลาง กับ ศิลปะขอมสมัยก่อนเมืองพระนคร หน้าบันหลายชิ้นที่พบที่วัดทองทั่ว ซึ่งปัจจุบัน ชิ้นหนึ่งจัดแสดงไว้ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร อีก 2 ชิ้นเก็บรักษาไว้ที่วัดทองทั่ว และวัดบน บริเวณเขาพลอย แหวน จังหวัดจันทบุรี หน้าบันดังกล่าว มีความสัมพันธ์กับศิลปะ ที่พบบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ทางตอนเหนือของประเทศกัมพชู า และทางตอนใต้ของประเทศลาว หลกั ฐานที่พบอีกชิ้นหน่ึงคือ ทับ

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณอี สี าน หลัง ซึ่งพบที่ปราสาทเขาน้อย อาเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว กาหนดอายุอยู่ในศิลปะแบบไพ รกเมง ในด้านประติมากรรม ได้พบหลักฐานชนิ้ สาคัญเป็นรูปเทวสตรี ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นพระอุมา เทวี พบที่อาเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ปัจจุบันเป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด จดั เป็นประติมากรรมรุ่นเก่าสุด ที่พบในประเทศไทย ตรงกับสมัยสมโบร์ไพรกกุ (ราวพุทธศตวรรษที่ 12) โดยดูจากการนุ่งผา้ ยาวและมีจีบหน้านาง ยกเป็นร้ิวตามธรรมชาติ คาดเข็มขัดทีส่ ่วนหัวเป็นรูปไข่ ใกล้เคียงกบั ศลิ ปะอินเดียสมัยคุปตะ จนถึงสมัยหลังคปุ ตะเป็นอย่างมาก ประติมากรรมเนื่องในศาสนาฮินดูอีกจานวนหน่ึง ที่พบในแถบจังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัด สระแก้ว ได้แก่ ศวิ ลึงค์ และพระนารายณ์ โดยเฉพาะพระนารายณ์สวมหมวกทรงกระบอกนั้น แสดง ให้เห็นถึงความสัมพนั ธ์กบั ศลิ ปะ ที่พบทางภาคใต้ และทีเ่ มอื งศรีเทพ จงั หวัดเพชรบูรณ์ด้วย นอกจากนี้ยังได้พบหลักฐานที่สาคัญคือ ร่องรอยของปราสาทแบบสมโบร์ไพรกุก บริเวณ แก่งสะพือ อาเภอพิบูลมงั สาหาร จงั หวัดอุบลราชธานี พร้อมประติมากรรมหินทราย ที่สาคัญคือ ทับ หลัง หรือหน้าบัน ที่วัดสุปัฏนาราม ซึ่งกาหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 12 อีกชิ้นหนึ่งพบที่วัด สระแก้วใกล้กับแก่งสะพอื จัดอยู่ในศลิ ปะแบบไพรกเมง ราวพทุ ธศตวรรษที่ 13 จากลักษณะลวดลาย แสดงวา่ มีความสมั พันธ์กบั งานประตมิ ากรรมทวารวดใี นภาคกลางของประเทศไทย ปราสาทภูมิโพน (ภูมิโปน) จังหวัดสุรินทร์ อยู่ที่ตาบลดม อาเภอสังขะ เชื่อกันว่า เป็น หลักฐานทางสถาปัตยกรรมขอมสมัยก่อนเมืองพระนครที่เก่าที่สุด ในประเทศไทย ที่ยังเหลื อ หลักฐานอยู่ จัดเป็นศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุกต่อไพรกเมง ราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 13 โดยดูจาก ระบบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่มีแบบแผนของศิลปะขอม ก่อนเมืองพระนคร เช่น การมีเสา ประดับมุม ซึ่งต่างจากสมัยหลังเมืองพระนครที่มีการเพิ่มมุม รวมท้ังมีการประดับปราสาทจาลอง ตรงส่วนของเหนือกรอบประตูแต่ละด้าน และที่มุมหลังคาในแต่ละช้ัน ในขณะที่สมัยหลังเมืองพระ นครจะเปลีย่ นจากปราสาทจาลอง มาเป็นบันแถลงแล้ว นอกจากนกี้ ารประดับทับหลังที่มีส่วนวงโค้ง รปู เกือกม้ากบั หนา้ บัน กเ็ ป็นงานในลกั ษณะที่ใกล้เคียงกบั ศลิ ปะของประเทศอินเดีย รวมทั้งลวดลาย ทีห่ น้าบันที่เหลืออยู่ ก็มีความสัมพันธ์อย่างมากกับศลิ ปะทวารวดีในภาคกลาง และในอินเดียสมยั คุป ตะ ที่ปราสาทภมู โิ พนยังพบอาคารขนาดเลก็ ตงั้ อยู่ในแผนผงั สี่เหลี่ยมผืนผ้า และทับหลังชิน้ สาคัญชิ้น หนง่ึ ที่แสดงลวดลายสิงห์ ที่มีปากเป็นนก มีวงโค้ง 4 วง ประดับรปู เหรียญ 3 วง อันเป็นลักษณะของ ทับหลัง ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุกต่อไพรกเมง เป็นหลักฐานสาคัญ ในการกาหนดอายุศาสนสถาน แหง่ น้ี 8.2 ช่วงพทุ ธศตวรรษที่ 14 - 15 ในช่วงระยะเวลานี้จัดเป็นช่วงแรกของศิลปะขอมสมัยเมอื งพระนคร ซึ่งเปน็ ศลิ ปะแบบพระโค บาแค็ง เกาะแกร์ และแปรรูป ตามลาดับ หลักฐานปราสาทขอมในช่วงเวลานี้ ที่พบในประเทศไทยมี น้อยมาก และส่วนใหญ่อยู่ในสภาพพัง เพราะเป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐ การกาหนดอายุทาได้

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน ค่อนข้างยาก สิ่งที่สามารถกาหนดอายุได้ดีที่สุดคือ ทับหลัง รวมทั้งอาจมีศิลาจารึกที่กล่าวถึงการ ก่อสร้างไว้ด้วย ตัวอย่างปราสาท ที่จัดอยู่ในช่วงระยะเวลานี้ ได้แก่ ปราสาทสระเพลง ปราสาทโนนกู่ ปราสาทเมืองแขก ที่อาเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทสังข์ศิลป์ชัย ที่อาเภอสังขะ จังหวัด สุรินทร์ และปรางค์แขก ที่อาเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ส่วนแหล่งอื่นๆ พบเฉพาะทับหลัง แต่องค์ ปราสาทพังทลายไปหมดแล้ว เช่น ทับหลังที่พบในบริเวณเทวสถานพระนารายณ์ อาเภอเมืองฯ จงั หวัดนครราชสีมา เปน็ ศลิ ปะแบบพระโค ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15 หลักฐานจากปราสาทพนมวัน อาเภอเมืองฯ จังหวัดนครราชสีมา น่าจะเปน็ แหล่งหน่งึ ทีเ่ คยมี ปราสาทขอม ในช่วงระยะเวลาน้ี เพราะได้พบทับหลงั และจารึก ที่กรอบประตู กล่าวถึงพระนามของ กษัตริย์เขมร 2 พระองค์ คือ พระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 (พ.ศ. 1420 - 1432) และพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 (พ.ศ. 1432 - 1443) โดยทับหลังชิ้นหนึ่งเป็นศิลปะแบบพระโค และอีกชิ้นหนึ่งเป็นศิลปะแบบบาแค็ง สาหรับศิลปะแบบเกาะแกร์ ได้พบหลักฐานทับหลังหลายชิ้นจากปราสาทหลายแห่ง เช่น ที่ปราสาท เมืองแขก อาเภอสงู เนิน จงั หวัดนครราชสีมา และที่ปราสาทสังข์ศิลป์ชัย อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ นอกจากนี้ยงั มีหลกั ฐานสาคญั แห่งหนึ่ง เปน็ ฐานปราสาทขนาดเล็กที่ก่อด้วยอิฐ บริเวณปราสาทพนม รุ้ง จากลวดลายบนเสาประดับกรอบประตูและศิลาจารึก แสดงให้เห็นว่า บริเวณนี้เคยมีการสร้าง ปราสาทมาแล้วก่อนที่จะสร้างปราสาทพนมรุ้งข้ึนในภายหลัง ปรางค์แขก จังหวัดลพบุรี อยู่ที่อาเภอเมืองฯ นับเป็นหลักฐานปราสาทขอมในภาคกลางที่ สาคัญ และเหลืออยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุด ศาสนสถานแห่งนี้เป็นปราสาทอิฐ 3 หลัง โดยมี ปราสาทหลังกลางที่มีขนาดใหญ่เป็นประธาน จากลักษณะทางสถาปตั ยกรรม แสดงใหเ้ ห็นถึงวิธีการ ก่อสร้าง ที่สืบทอดมาจากในสมัยก่อนเมืองพระนคร กล่าวคือ เป็นปราสาทที่ก่ออิฐแบบไม่สอปูน และยังไม่มีการเพิ่มมุมชัดเจน ในขณะที่ในสมัยหลังจะทาเป็นแบบเพิ่มมุมแล้ว การเข้ากรอบประตู ศิลา ยังเลียนแบบเคร่ืองไม้ คือ มีลักษณะเป็นเสาติดผนังปรากฏอยู่ แต่ที่ศาสนสถานแห่งนี้ไม่ได้พบ หลกั ฐานอน่ื ๆ เชน่ ทบั หลัง หรอื ลวดลาย ทีจ่ ะสามารถกาหนดอายไุ ด้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ที่ปรางค์แขกยังแสดงถึงความเป็นศิลปะพื้นเมืองที่ต่างไปจากศิลปะของขอม คือ การประดับลายปูนป้ันที่ฐานสูงขึ้นอย่างมาก และเคร่ืองบนหลังคาก็เพิ่มมุมมากยิ่งขึ้น อันเป็น ต้นเค้าของปราสาท และปรางค์ทีม่ ียอดเปน็ ทรงพุ่มในระยะต่อมา สันนิษฐานว่า ปราสาทนี้อยู่ในช่วง ประมาณ พทุ ธศตวรรษที่ 15 และจดั เปน็ ปราสาทขอมทีเ่ ก่าที่สดุ ในภาคกลางของประเทศไทย 8.3 ช่วงพทุ ธศตวรรษที่ 16 - 17 ในช่วงระยะเวลานี้ตรงกับศิลปะขอมแบบคลัง-บาปวน และแบบนครวัด ได้พบปราสาทขอม ในประเทศไทยหลายแห่ง เช่น ปราสาทพนมวัน และปราสาทหินพิมาย ที่จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทกู่สวนแตง ปราสาทพนมรุ้ง และปราสาทเมืองต่า ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทบ้านพลวง และปราสาทศีขรภูมิ ที่จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทสระกาแพงใหญ่ ที่จังหวัดศรีสะ เกษ ปราสาทกู่กาสิงห์ ที่จงั หวดั ร้อยเอด็ ปราสาทสดอ็ กกอ็ กธม ทีจ่ งั หวดั สระแก้ว

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี สี าน รูปแบบและแผนผังของปราสาทในช่วงระยะเวลานี้ มีระเบียบแบบแผนเดียวกับปราสาทใน กัมพูชา สมัยเมืองพระนคร และเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ที่จัดเป็นศาสนสถานประจาเมือง มี โครงสร้างที่สาคัญ คือ ปราสาทประธานที่อยู่ตรงกลางอาจมีหลังเดียว เช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง หรือเป็นหมู่ 3 หลัง 5 หลัง หรือ 6 หลัง เช่น ปราสาทเมืองต่า ปราสาทสระกาแพง ใหญ่ ปราสาทศขี รภมู ิ การกาหนดอายุของปราสาทในช่วงระยะเวลานี้ พิจารณาจากแผนผังของอาคารโดยรวม รวมท้ังรูปแบบของปราสาท เช่น มีการเพิ่มมุม และยอดปราสาทเป็นทรงพุ่ม สิ่งสาคัญที่ใช้ในการ กาหนดรูปแบบ และอายุ ได้แก่ ลวดลายประดับที่ทับหลัง หน้าบัน และเสาประดับกรอบประตู ลักษณะที่จัดเป็นศิลปะแบบคลัง-บาปวน ซึ่งปรากฏอยู่มาก ได้แก่ ทับหลังที่ประกอบด้วยลายหน้า กาล คายท่อนพวงมาลัยอยู่ตรงกึ่งกลางด้านล่าง หน้ากาลมีลิ้นเป็นสามเหลี่ยม มีมือมายึด ท่อน พวงมาลัย มีภาพเล่าเร่ืองเล็กๆ อยู่เหนือหน้ากาล เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้หรือลาย กระหนกม้วนออกทั้ง 2 ข้าง ใต้ท่อนพวงมาลัยเปน็ ลายใบไม้ม้วนเข้า หากมีลายเฟื่องอุบะมาแบ่งท่อน พวงมาลัยออก เป็น 4 ส่วน จะจัดเป็นแบบคลัง แต่ถ้าไม่มี จะจัดเป็นแบบบาปวน ส่วนใหญ่ของ ปราสาทขอมในประเทศไทยในสมยั นี้ จะพบลาย ดังกล่าวปะปนกันในศาสนสถานแหล่งเดียวกัน หรือ ในปราสาทหลงั เดียวกัน ทาใหอ้ าจกาหนดได้ว่า ศิลปะแบบคลงั -บาปวนที่พบในประเทศไทยน้ัน เป็น ศลิ ปะต่อเนอ่ื งสมยั เดียวกนั ตวั อย่างเชน่ ที่ปราสาทเมืองต่า ปราสาทสระกาแพงใหญ่ ทับหลังในศลิ ปะแบบนครวดั ส่วนใหญ่ จะนิยมสลกั ภาพเล่าเรื่อง ประกอบด้วยรปู บคุ คลเลก็ ๆ เต็มพื้นที่ เช่น ที่ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทศีขรภูมิ นอกจากนี้ ยังใช้หลักฐานของ งานประติมากรรมประดับศาสนสถาน เปน็ ตัวกาหนดรูปแบบทางศิลปะ เช่น ประติมากรรมรูปบุคคล ในศิลปะแบบบาปวน จะสังเกตได้จากทรงผมที่ถัก และเกล้าขึ้นไปเป็นมวยอยู่เหนือศีรษะ คางเป็น ร่อง ชายผา้ นุ่งด้านหน้าเว้าใต้พระนาภี ด้านหลังสูงข้ึนมาถึงกึ่งกลางหลัง ในขณะที่ศลิ ปะแบบนครวัด นิยมมงกฎุ ทรงกรวย มีเทริด (กระบังหน้า) และประดบั เครื่องทรง มีข้อสังเกตที่สาคัญทางด้านรูปแบบของปราสาทขอมศิลปะแบบนครวัดที่พบในดินแดนไทย ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 ที่มีลักษณะเฉพาะเกิดขึ้น โดยอาจถือเป็นงานที่พัฒนาขึ้นในท้องถิ่น ได้แก่ การทายอดปราสาทที่เป็นทรงพุ่ม เช่น ที่ปราสาทหินพิมาย และปราสาทพนมรุ้ง โดยเปลี่ยนการ ประดับชั้นหลังคาจากปราสาทจาลอง เป็นการประดับแผ่นหินที่อยู่ในรูปสามเหลี่ยม ที่เรียกว่า นาค ปกั แทน ซึง่ ในปจั จบุ นั พบว่า ลกั ษณะดงั กล่าว เกิดข้ึนในประเทศกมั พชู าก่อนแล้ว หลักฐานที่น่าสนใจในช่วงระยะเวลานี้คือ ได้พบว่า มีการสร้างปราสาทที่มีความสาคัญ และ มีขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมท้ังได้พบหลักฐานเกี่ยวกับการก่อสร้าง เช่น ศิลาจารึกทีก่ ล่าวถึงพระนาม ผสู้ ร้าง ทาใหไ้ ด้ข้อสันนิษฐาน เกีย่ วกับประวัติศาสตร์ได้ในระดับหนึ่งว่า บริเวณภาคอีสานตอนล่างนี้ เป็นดินแดนสาคัญของอาณาจักรขอม โดยในบางสมยั อาจมีฐานะเป็นเมอื งลูกหลวงทีม่ ีบุคคลสาคัญ มาปกครอง หลักฐานจากจารึก ได้กล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ซึ่งทรงสร้างปราสาทในแคว้นรอบ

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอสี าน นอกเมืองพระนคร หรือ \"ดินแดนนอกกัมพุช\" เช่น ปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม พระ เจ้าชัยวรมนั ที่ 6 ซึง่ ทรงสรา้ งปราสาทหนิ พิมาย และนเรนทราทิตย์ ซึง่ สร้างปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทสาคัญในช่วงพทุ ธศตวรรษที่ 16 - 17 ทีค่ วรกล่าวถึง มีดงั ตอ่ ไปนี้ ปราสาทเมืองต่า จังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ที่ตาบลจระเข้มาก อาเภอประโคนชัย ปราสาทแห่งนี้ไม่ พบประวัติการก่อสร้างและศิลาจารึก แต่จากรูปแบบศิลปกรรมจัดอยู่ในสมัยของศิลปะแบบคลัง- บาปวน ราวปลายพทุ ธศตวรรษที่ 16 - ต้นพทุ ธศตวรรษที่ 17 ปราสาทเมืองต่าเป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบ มีแผนผังแบบล้อมรอบจุดศูนย์กลาง ประกอบด้วยกาแพง สระน้า และระเบียงคดล้อมรอบตัวปราสาท ภายในมีปราสาท 5 หลังอยู่บน ฐานเดียวกัน เรียงเป็น 2 แถว แถวหน้ามี 3 หลัง แถวที่ 2 มี 2 หลัง ในลักษณะสับหว่างกัน องค์ กลางด้านหน้าเป็นปราสาทประธาน เพราะมีขนาดใหญ่สุด แต่เหลือเฉพาะส่วนฐาน ตัวปราสาทก่อ ด้วยอิฐขัดผิวจนเรียบ ที่หน้าบันและทับหลังสลักด้วยศิลา ส่วนกาแพง และระเบียงคด ก่อด้วยหิน ทราย การกาหนดอายุของปราสาทพิจารณาจากลวดลายบนทับหลัง ซึ่งจัดอยู่ในศิลปะแบบคลัง- บาปวน ประกอบด้วยลายที่สาคัญคือ มีหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัยอยู่กึ่งกลางด้านล่าง หน้ากาลมี ลิ้นเป็นสามเหลี่ยม มีมือ มายึดท่อนพวงมาลัย มีภาพเล่าเร่ืองเล็กๆ อยู่เหนือหน้ากาล เหนือท่อน พวงมาลัยเป็นลายใบไม้ หรือลายกระหนกม้วนออกทั้ง 2 ข้าง ใต้ท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้ม้วน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีลายเฟื่องอุบะมาแบ่งท่อนพวงมาลัยออกเป็น 4 ส่วน จัดเป็นศิลปะ แบบคลัง อีกกลุ่มหนึ่ง ไม่มีลายเฟื่องอุบะ จัดเป็นศิลปะแบบบาปวน แต่ส่วนใหญ่จะพบลายดังกล่าว ร่วมกนั ดงั นน้ั จงึ ควรจัดเป็นสมยั ต่อเนอื่ งกนั สาหรับรูปเล่าเร่ืองที่ปรากฏบนทับหลังเป็นเร่ืองในศาสนาฮินดู โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพระ อิศวร เช่น พิธีสยุมพรพระอิศวร พระอุมามเหศวร (พระอิศวรและพระอุมาทรงโค) และเร่ือง รองลงมา ได้แก่ พระกฤษณะ และเทพเจ้าประจาทิศ นอกจากนี้ได้ค้นพบศิวลึงค์ และประติมากรรม เทวสตรี (พระอมุ า) จงึ ทาให้สันนษิ ฐานได้ว่า ศาสนสถานแห่งนสี้ ร้างข้ึนในลทั ธิไศวนิกาย ปราสาทสระก่าแพงใหญ่ จังหวัดศรีสะเกษ อยู่ที่อาเภออุทุมพรพิสัย จัดเป็นปราสาทขอม สาคัญแห่งหนึ่งที่พบในประเทศไทย มีอายุ ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 16 มีหลักฐานการก่อสร้าง จากศิลาจารึกที่กรอบประตูใน พ.ศ. 1585 กล่าวถึงการสร้างและอุทิศเทวาลัยแห่งนี้เพื่อถวายพระ อิศวร ปราสาทสระกาแพงใหญ่เป็นปราสาท 3 หลังอยู่บนฐานเดียวกัน ด้านหน้ามีวิหาร หรือบรรณาลัย 2 หลังคู่ ส่วนด้านหลังมีปราสาทอีกหนึ่งหลัง หมู่ปราสาทล้อมรอบด้วยระเบียงคด ถัดออกไปเป็นสระ น้ารูปคล้ายตัวแอล (L) และมีกาแพงล้อมรอบอีกช้ันหน่ึง จากลักษณะของแผนผังจะมีความใกล้เคียง กับปราสาทเมืองต่าอย่างมาก แตกต่างกันเฉพาะจานวนปราสาทและการเรียงแถวเท่าน้ัน

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน ลกั ษณะแผนผังและลักษณะศิลปกรรม โดยเฉพาะลวดลายบนหน้าบันและทับหลัง จัดอยู่ใน ศิลปะขอมแบบคลัง-บาปวน มีอายุสัมพันธ์กับจารึกในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 16 และเป็นศาสน สถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ตามศิลาจารึกที่กล่าวถึงการอุทิศถวาย และงานศิลปกรรมที่ ปรากฏเกีย่ วเนื่องกนั ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา อยู่ที่อาเภอพิมาย จัดเป็นศาสนสถานขอมที่ใหญ่ ที่สุดในประเทศไทย ชื่อ \"พิมาย\" มาจาก \"วิมาย\" ตามทีป่ รากฏในจารึกที่กรอบประตูปราสาทว่า \"กมร เตงชคตวิมาย\" และ \"พิมาย\" เป็นชือ่ ของเมืองโบราณที่ปรากฏในศลิ าจารึกมาแล้วตั้งแตพ่ ุทธศตวรรษ ที่ 12 ที่กล่าวถึงเมือง \"ภีมปุระ\" และจารึกรุ่นหลังที่ปราสาทพระขรรค์ (พุทธศตวรรษที่ 18) กล่าวถึง เมือง \"วิมายะปุระ\" ดังน้ันปราสาทหินพิมาย และเมืองพิมายจึงเป็นศูนย์กลางทางศาสนา และเป็น เมืองที่สาคญั ในช่วงระยะเวลาหนึง่ ทีศ่ ิลปะขอมแพร่หลาย ในดินแดนไทย หลักฐานในการก่อสร้างปราสาทหินพิมายนี้ เชื่อว่า เริ่มสร้างขึ้นต้ังแต่รัชกาล พระเจ้าชัยวร มนั ที่ 6 (พ.ศ. 1623 - 1650) และสร้างเพิ่มเติมสมัยต่อมา ในรัชกาลพระเจ้าธรนินทรวรมนั ที่ 1 (พ.ศ. 1650 - 1655) และรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1656 - หลัง พ.ศ. 1693) จากหลักฐาน ได้ พบจารึก ที่กรอบประตูโคปุระด้านทิศใต้ระบุ พ.ศ. 1651 จึงอาจถือเป็นศักราชของการสถาปนา ปราสาทหินพิมาย ก. แผนผังและองค์ประกอบของปราสาทหินพิมาย - ประตูเมืองและกาแพงเมือง ปราสาทหินพิมายเป็นศาสนสถานศูนย์กลางของ เมืองพิมาย ดังน้ันจึงมีกาแพงเมือง คูน้าและคันดินล้อมรอบ ที่กาแพงเมืองแต่ละด้าน ประกอบด้วย ประตูทางเข้า - กาแพงและซุ้มประตูทางเข้าปราสาท (โคปุระ) มี 2 ชั้น ถัดจากประตูเมืองเข้าไป เป็นกาแพงของปราสาทที่ล้อมรอบ ศาสนสถานช้ันนอก ระหว่างทางเดินเข้าไป จะมีอาคาร ที่เรียกว่า ธรรมศาลา (ที่พักคนเดินทาง) และสะพานนาคราชปรากฏอยู่แล้ว จึงเข้าสู่ประตู ทางเข้าที่เรียกว่า โคปุระ ซึ่งมีท้ัง 4 ด้าน บริเวณนี้มีบรรณาลัยต้ังอยู่ระหว่างทาง 2 หลัง ถัด จากช้ันนอกจึงเข้าสู่กาแพงช้ันใน ที่มีโคปุระทั้ง 4 ด้านเช่นเดียวกัน เม่ือผ่านกาแพงชั้นในจึง เข้าสู่บริเวณปราสาท - ปราสาท ประกอบด้วยปราสาทประธานและอาคารด้านหน้า 3 หลัง ได้แก่ ปรางค์ พรหมทตั หอพราหมณ์ และปราสาท - หนิ แดง ซึ่ง 3 หลงั น้สี รา้ งข้ึนภายหลังในสมัยของพระเจา้ ชยั วรมนั ที่ 7 รูปแบบของปราสาทประธานประกอบด้วย อาคารทรงปราสาทที่ต้ังอยู่บนฐานบัวเตี้ยๆ 2 ฐาน รองรับส่วนกลางทีเ่ ป็นเรอื นธาตุ สว่ นยอดเป็นหลังคาทรงปราสาทแบบเรือนช้ันซ้อนกัน 5 ช้ัน ที่ มุมประธานของแต่ละช้ันประดับนาคปัก ส่วนที่ด้านประดับด้วยบันแถลง ส่วนยอดสุดเป็นทรงกลม คล้ายหมอ้ น้าเทพมนตร์ เรียกว่า กลศ รปู แบบพิเศษของช้ันหลังคาปราสาทหนิ พิมาย คือ เปลี่ยนการ

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน ประดับปราสาทจาลองในแต่ละชั้นมาเปน็ นาคปกั ทาให้ช้ันหลงั คาเกิดเปน็ ทรงพุ่ม อันเป็นวิวฒั นาการ สาคัญทางดา้ นรปู แบบปราสาทขอมในสมัยนครวัด ตัวปราสาทประธานมีห้องที่เข้าไปภาย ในได้เรียกว่า ห้องครรภคฤหะ อันเป็นที่ประดิษฐาน รูปเคารพทางศาสนา ด้านหน้ามีอาคารห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้ายื่นออกมา เรียกว่า \"มณฑป\" มีทางเดิน เช่อื มตอ่ กัน เรียกว่า \"มุขกระสนั \" หรอื \"อันตราละ\" ข. ภาพเล่าเรื่องบนทับหลงั และหน้าบัน ศิลปกรรมที่ปราสาทหินพิมายที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ ประติมากรรมภาพเล่าเร่ืองบนทับ หลงั และหน้าบัน เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ว่าปราสาทหินพิมายจะเป็นพทุ ธสถานนิกายมหายาน แต่ภาพ เล่าเร่ืองที่ประกอบอยู่โดยรอบ กลับเป็นเร่ืองเล่าของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ยกเว้นภาพเล่าเร่ืองที่ ประดับรอบห้องครรภคฤหะ ที่เป็นส่วนสาคัญของศาสนสถาน จึงเป็นเร่ืองของพุทธประวัติในนิกาย มหายาน ภาพเล่าเร่อื งที่ปรากฏมากที่สดุ ได้แก่ รามายณะ (รามเกียรต์)ิ ตอนสาคัญ เชน่ พระรามพระ ลักษมณ์ต้องศรนาคบาศ การรบระหว่างยักษ์กับลิง พระรามจองถนน และท้าวมาลีวราชว่าความ นอกนั้นจะเป็นเร่ืองของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ เช่น พระศิวนาฏราช พระอุมามเหศวร พระกฤษณะ และรูปเทพเจ้าประจาทิศ ส่วนรูปสาคัญที่อยู่โดยรอบห้องครรภคฤหะ ได้แก่ พุทธ ประวัติตอนโปรดพญามาร หรือทรมานพญามหาชมพู และพระพุทธรูปนาคปรก นอกจากนี้ยังมีรูป พระโพธิสัตว์ชิ้นสาคัญ 2 รูป เป็นเร่ืองของพระวัชรสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับยกย่องว่า มีฐานะ เสมือนพระพุทธเจ้า และเร่ือง ไตรโลกยวิชัย ผู้กาจัดความโลภ โกรธ หลง เป็นหลักฐานชิ้นสาคัญที่ แสดงให้เหน็ ว่า ปราสาทหินพิมายนี้สรา้ งข้ึน เพื่อพระพทุ ธศาสนานิกายมหายาน ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ บางทีเรียกว่า \"ปราสาทหนิ เขาพนมรุ้ง\" ตง้ั อยู่ทีต่ าบลตาเป็ก อาเภอเฉลิมพระเกียรติ ตัวปราสาทต้ังอยู่บนภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว ดังนั้นจึงมีปากปล่องภูเขาไฟที่ เปน็ สระน้าธรรมชาติ สาหรับปราสาทด้วย คาวา่ \"พนมรงุ้ \" มาจากศลิ าจารึกทีก่ ล่าวถึงชือ่ ศาสนสถานแห่งนี้ว่า \"วนรงุ \" ซึ่งหมายถึง ภูเขา อนั กว้างใหญ่ หรอื รุ่งเรือง มีแสง ปราสาทพนมรุ้งเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ประจาเมือง บริเวณรอบๆ ปราสาทแต่เดิมน่าจะ เป็นที่ต้ังของชุมชนขนาดใหญ่ เพราะมีลาน้าไหลผา่ นหลายสาย และด้านล่างยังมีปราสาทเมอื งต่าที่มี บารายขนาดใหญ่สาหรับหล่อเลี้ยงชุมชน จัดเป็นศาสนสถานที่อยู่ในเส้นทางจากเมืองพระนครของ เขมรมายังเมืองพิมาย ประวัติการก่อสร้างปราสาทพนมรุ้งได้จากหลักฐานศิลาจารึกพบที่ปราสาทจานวนหลาย หลัก โดยมีหลักหนึง่ กล่าวถึงพระนามของ \"นเรนทราทิตย์\" ซึง่ เป็นวีรบุรษุ ของชาวเขมร ทีส่ ืบเชื้อสาย มาจากพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ภายหลังพ่ายแพ้ศัตรู ได้เสด็จมาทรงพรตเป็นฤๅษีบนยอดเขาพนมรุ้ง จงึ สนั นษิ ฐานวา่ ปราสาทพนมรุ้งน่าจะสร้างข้ึนโดยนเรนทราทิตย์ ในช่วงต้นพทุ ธศตวรรษที่ 17

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอสี าน เม่ือประมวลจากศิลาจารึกที่ได้พบที่ปราสาทแห่งนี้ถึง 10 กว่าหลัก ทั้งหมดอยู่ในช่วงพุทธ ศตวรรษที่ 16 - 17 ซึ่งสัมพันธ์กับรูปแบบศิลปกรรม เช่น ลักษณะของตัวปราสาท และลวดลาย ประดับ ทีเ่ ปน็ ศิลปะแบบบาปวนต่อนครวดั ปราสาทพนมรุ้งจัดเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย โดยดูได้จากหลักฐานทาง ศลิ ปกรรมสาคัญ ที่เปน็ รูปเล่าเรื่องทางศาสนา โดยเฉพาะที่ทบั หลังด้านหน้าของห้องครรภคฤหะน้ัน เป็นรูปของฤๅษี 5 ตน รวมทั้งรูปของพระอิศวรในพรตของฤๅษี ซึ่งสัมพันธ์กับจารึกที่กล่าวถึงนเรนท ราทิตย์ที่มาบาเพ็ญพรตเป็นฤๅษี ณ ที่แห่งนี้ รวมทั้งในจารึกหลายหลักยังได้กล่าวถึงพิธีกรรมต่างๆ ในลัทธิไศวนิกายอีกด้วย ก. แผนผงั และรูปแบบปราสาท ปราสาทพนมรุ้งมีแผนผังแบบตรงเข้าสู่จุดศูนย์กลาง เนื่องจากเป็นศาสนสถานที่ต้ังอยู่บน ภูเขา มีทางเดินขึ้นจากด้านล่างขึ้นสู่เบื้องบน มีตัวปราสาทประธานหลังเดียว ล้อมรอบด้วยระเบียง คดที่มโี คปรุ ะท้ัง 4 ด้าน - ปราสาทประธาน มีระเบียบแผนผังเดียวกับปราสาทหินพิมาย ตัวปราสาทอยู่ใน ผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม มีมุขยื่นออกมา 3 ด้าน ด้านหน้าเป็นมณฑป เชื่อมต่อด้วยฉนวน หรอื อนั ตราละ ซึ่งเปน็ ลักษณะผังของปราสาทในสมัยบาปวนต่อนครวัด - ส่วนฐานของตวั ปราสาทต้ังอยู่บนฐาน บัวเตี้ยๆ สลกั ลวดลายกลีบบวั และลายดอก สี่เหลี่ยม - ส่วนเรือนธาตุอยู่ในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม มีห้องเข้าไปภายในได้ เรียกว่า ห้อง ครรภคฤหะ สันนิษฐานว่า แตเ่ ดิมคงตง้ั รูปเคารพคือ ศวิ ลึงค์ - ส่วนยอดเป็นทรงปราสาทเรือนซ้อนชั้น 5 ชั้น แต่ละช้ันประดับด้วยบันแถลง และ นาคปัก ลักษณะของนาคปักที่อยู่ในรูปสามเหลี่ยมนี้เอง ที่ทาให้ยอดปราสาทเป็นทรงพุ่ม เชน่ เดียวกบั ปราสาทหินพิมาย ข. ลวดลายบนทับหลังและหน้าบนั ที่ทับหลังและหน้าบันมีลวดลายเป็นภาพเล่าเร่ือง อันเป็นลักษณะนิยมในศิลปะแบบนครวัด รวมท้ังเสาประดับกรอบประตู สลักลายสิงห์คายก้านต่อดอก ก็เป็นลักษณะของศิลปะแบบนครวัด ด้วยเช่นกนั เร่ืองราวที่ปรากฏอยู่บนทับหลังและหน้าบันที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ได้แก่ ทับหลังรูปนารายณ์ บรรทมสินธุ์ ซึ่งครั้งหนึง่ ได้ถูกลักลอบนาไปยงั สหรัฐอเมริกา รัฐบาลไทยได้ติดตามทวงคืนกลับมาได้ และนากลับมาติดตั้งในที่เดิม เร่ืองอื่นๆ ที่มีความสาคัญ ได้แก่ รูปเล่าเร่ืองในลัทธิไศวนิกาย เช่น พระศิวนาฏราช พระอุมามเหศวร พระศิวะมหาเทพ รูปเล่าเร่ืองที่เกี่ยวกับลัทธิไวษณพนิกาย ได้แก่ พระนารายณ์บรรทมสินธ์ุ และอวตารปางต่างๆ เช่น วิษณุตรีวิกรม (เปน็ พราหมณ์เตยี้ ) พระกฤษณะ และมหาภารตะ เร่ืองเล่าที่ปรากฏอยู่มากที่สุดคือ รามายณะ ตอนพระรามเดินดง วิราธลักนางสีดา

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณอี สี าน นาคบาศ ท้าวมาลีวราชว่าความ และพระรามเสด็จกลับกรุงอโยธยา นอกจากนี้ยังมีรูปเล่าเร่ืองเทพ ช้ันรอง เทพประจาทิศ และที่สาคัญ ซึ่งปรากฏบนช้ันแรกของหลังคาปราสาท ได้แก่ รูปเล่าเร่ือง ที่ เปน็ เหตกุ ารณ์ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นประวตั ิของนเรนทราทิตย์ นอกจากนีย้ ังมีรปู ที่ น่าสนใจ ปรากฏตามส่วนประกอบของตัวปราสาท ซึง่ เป็นภาพพิธีกรรมในศาสนาพราหมณ์ และฉาก แสดงชีวติ ความเปน็ อยู่ รปู ที่ปรากฏบนทับหลังที่สาคัญทีส่ ุด คือ ทับหลังหน้าห้องครรภคฤหะ เป็นรูปฤๅษี 5 ตน ซึ่ง หมายถึง พระอิศวรทรงพรตฤๅษีในไศวนิกายที่มีลัทธิหนึ่งเรียกว่า นิกาย \"ปศุปตะ\" ซึ่งเป็นหลักฐาน ว่า ศาสนสถานแห่งนี้ สร้างข้ึนในศาสนาฮนิ ดู ลทั ธิไศวนิกาย กล่าวโดยสรุป จากรูปแบบศิลปกรรมปราสาทพนมรุ้งจัดอยู่ในศิลปะแบบนครวัดตอนต้น (ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 17) ช่วงที่ยังมีการรักษารูปแบบของศลิ ปะแบบบาปวนอยู่ แต่คงสร้างขึ้นหลัง ปราสาทหินพิมายเล็กน้อย เพราะปราสาทหินพิมายยังมีลวดลายของศิลปะแบบบาปวนปรากฏอยู่ มากกว่า 8.4 ช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งตรงกับศิลปะขอมแบบบายน กษัตริย์ขอมที่มีพระราชอานาจ มากคือ พระเจา้ ชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724 - 1762) ซึ่งทรงเป็นผู้กอบกู้เอกราชอาณาจักรขอมจากชน ชาติจาม และได้สถาปนาเมืองนครธมขึ้นเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ ได้เปลี่ยนศาสนาจากเดิมที่เป็น ศาสนาฮินดู มาเป็นพระพุทธศาสนานิกายมหายาน และได้สร้างศาสนสถานเป็นจานวนมาก เพื่อ แสดงให้เหน็ ถึงพระราชอานาจของพระองค์ ทั้งทางการเมอื งและการพระศาสนา จากหลักฐานทางศิลปกรรมแสดงให้เห็นว่า ศิลปะแบบบายน ซึ่งเป็นศิลปะรูปแบบใหม่ที่ เกิดขึ้นน้ัน ได้แพร่กระจายอยู่ทั่วไป ในดินแดนไทย ทั้งอีสานเหนือและอีสานใต้ รวมทั้งในภาคกลาง ซึ่งลงไปใต้สุด ได้แก่ ปราสาทวัดกาแพงแลง จังหวัดเพชรบุรี ส่วนตะวันตกสุด ได้แก่ ปราสาทเมือง สิงห์ จังหวัดกาญจนบรุ ี และเหนือสุดที่ปราสาทวดั เจา้ จันทร์ อาเภอศรสี ัชนาลัย จังหวดั สโุ ขทยั จากหลักฐานทางด้านศิลปะขอมแบบบายนที่พบในดินแดนภาคกลางของประเทศไทย ดังกล่าว สอดคล้องกับชื่อเมืองที่ปรากฏในจารึกของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ปราสาทพระขรรค์ ซึ่ง กล่าวถึงการสร้างอโรคยศาลา (โรงพยาบาล) และธรรมศาลา (ที่พักคนเดินทาง) จานวน 100 กว่า แห่ง ตามเส้นทางเดินจากเมืองนครธมไปยังศาสนสถานต่างๆ พระองค์ได้พระราชทานพระชัยพุทธ มหานาถ ไปประดิษฐานตามเมืองต่างๆ 23 แห่ง และปรากฏชื่อเมือง 6 แห่งที่สันนิษฐานว่า อยู่ใน บริเวณภาคกลางของประเทศไทย คือ ลโวทยะปุระ (ลพบุรี) ศรีชัยวัชรปุรี (เพชรบุรี) ชยราชปุรี (ราชบุรี) ศัมพูกะปัฏฏนะ (ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นเมืองโบราณโกสินารายณ์ จังหวัดราชบุรี) สุวรรณปุ ระ (สุพรรณบุรี) และศรีชัยสิงหปุรี (เมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี) ด้วยเหตุนี้เอง จึงทาให้สันนิษฐาน ได้วา่ นอกเหนอื จากอิทธิพลทางศลิ ปกรรมแล้ว อาจมอี ิทธิพลทางการเมือง ของพระเจ้าชัยวรมนั ที่ 7 แผ่มายงั บริเวณภาคกลางของประเทศไทยอีกด้วย

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอสี าน ได้พบหลักฐานปราสาทสาคัญที่จัดเป็นศิลปะแบบบายนอยู่เป็นจานวนมาก ท้ังที่เป็น ศาสน สถานขนาดใหญ่ และเป็นโบราณสถานขนาดเล็ก ในรูปของอโรคยศาลา และธรรมศาลา ตาม เส้นทางเดินจากเมืองพระนครมายังเมืองพิมาย และพนมรุ้ง บางแห่งก็เป็นปราสาทที่สร้างเพิ่มเติม ในบริเวณที่เคยเป็นปราสาทอยู่ก่อนแล้ว เช่น ปรางค์พรหมทัต และปราสาทหินแดงในบริเวณ ปราสาทหินพิมาย ปราสาทสาคัญๆ ที่จัดเป็นศิลปะแบบบายน ได้แก่ ปราสาทโคกปราสาท อาเภอ นางรอง จังหวัดบรุ ีรัมย์ ปราสาทตาเมือนโต๊จ อาเภอกาบเชิง จังหวัดสรุ ินทร์ ปราสาทเขาโล้น อาเภอ อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โบราณสถานเมืองศรีมโหสถ อาเภอศรมี โหสถ จังหวัดปราจีนบรุ ี สว่ น ในภาคกลาง ได้แก่ พระปรางค์สามยอด อาเภอเมืองฯ จังหวดั ลพบุรี วัดพระศรมี หาธาตุ อาเภอเมือง ฯ จังหวัดราชบุรี (เหลือหลักฐานเฉพาะกาแพงวัด) ปราสาทวัดกาแพงแลง อาเภอเมืองฯ จังหวัด เพชรบุรี ปราสาทเมืองสิงห์ อาเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ศาลตาผาแดงปราสาทวัดพระพาย หลวง ในอทุ ยานประวัตศิ าสตร์สโุ ขทัย และปราสาทวัดเจา้ จนั ทร์ อาเภอศรสี ัชนาลยั จังหวดั สโุ ขทัย ลักษณะรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของศิลปะแบบบายนมีข้อสังเกตที่สาคัญคือ ส่วนใหญ่ เปน็ ปราสาททีก่ ่อด้วยศิลาแลงฉาบ ปูน และป้ันปูนประดบั ภายนอก ในสมยั นี้มีวธิ ีการก่อสร้างไม่ดนี ัก ทาให้ตัวปราสาทพังทลายได้ง่าย ท้ังนี้อาจมีสาเหตุมาจากปัญหาเร่ืองวัสดุ และการเร่งรีบสร้าง ใน สมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยมีพระประสงค์ ที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาและแสดงอานาจทาง การเมอื ง จากหลักฐานทางศิลปกรรมที่พบตามแหล่งโบราณสถานศิลปะแบบบายนจัดเป็นพุทธสถาน นิกายมหายาน โดยเฉพาะรูปแบบของปราสาท 3 หลัง ที่สร้างอยู่บนฐานเดียวกัน ซึ่งพบอยู่หลาย แหง่ เชน่ พระปรางค์สามยอด จงั หวัดลพบุรี ปราสาทวดั พระพายหลวง จังหวัดสโุ ขทัย สอดคล้องกับ คติรัตนตรัยมหายานที่นิยมการบูชารูปเคารพ 3 องค์ คือ พระพุทธรูปนาคปรกอยู่ตรงกลาง ด้านขวาของพระพุทธรูปคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และด้านซ้ายคือ นางปรัชญาปารมิตา งาน ประติมากรรมที่พบโดยทั่วไปในสมัยนี้ ได้แก่ พระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระ โพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี นางปรัชญาปารมิตา และรูปเคารพในพระพุทธศาสนานิกาย มหายานอน่ื ๆ รวมทั้งเครือ่ งประดับสถาปัตยกรรม และเครือ่ งใช้สอยอื่นๆ อีกเป็นจานวนมาก ปราสาทขอมในชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ 18 ทีป่ รากฏในภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ พระปรางค์สามยอด เมอื งลพบุรี พระปรางค์สามยอดควรจะเรียกเป็นปราสาทมากกว่าพระ ปรางค์ แต่ที่เรียกเปน็ พระปรางค์ เน่ืองจากศาสนสถานแห่งนี้ ได้รับการดัดแปลงใหเ้ ป็นวัด ในรชั กาล สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช จึงเรียกชื่อตามสถาปตั ยกรรมไทยที่นิยมกัน การเรียกชือ่ ปรางค์แขกใน จงั หวัดลพบุรีก็เนื่องด้วยเหตุผลนีเ้ ชน่ กนั พระปรางค์สามยอดเป็นศาสนสถานที่ก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูนและประดับด้วยลายปูนปั้น ประกอบด้วยตัวปราสาท 3 หลัง ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน โดยมีลกั ษณะพิเศษกว่าปราสาท 3 หลงั อืน่ ๆ คือ มีฉนวนเชื่อมต่อกันเรียกว่า มุขกระสัน อันเป็นลักษณะที่ปรากฏในศิลปะแบบบายน ตัวปราสาท

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนียมประเพณอี ีสาน ประกอบด้วย ฐานบัวซ้อนกัน 2 ฐาน รองรับส่วนของเรือนธาตุที่มีมุขยื่นออกมาทั้ง 4 ด้าน โดยมีมุข กระสนั เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน สว่ นยอดเป็นหลังคาทรงปราสาทแบบเรอื นชั้น มีชั้นบัวเชิงบาตร 2 ชั้น ชั้น หลังคาแต่ละช้ันประดับด้วยบันแถลง ตามแบบปราสาทขอมโดยทั่วไป ส่วนยอดเป็นกลศที่มีรูปแบบ คล้ายหม้อนา้ เทพมนตร์ จากรูปแบบของปราสาทและลวดลายประดับสามารถจัดเป็นศิลปะขอมแบบบายน โดยมีลักษณะ บางอย่าง เช่น การทาชั้นบัวเชิงบาตร 2 ชั้น ยอดปราสาทสอบเข้าและสูงขึ้น รวมท้ังลวดลายปูนปั้น บางลาย แสดงให้เห็นฝีมือช่างท้องถิ่นปนอยู่ด้วย ลักษณะเฉพาะของงานศิลปกรรมบางอย่างที่ เกิดข้ึนทีน่ ่ี ทาให้นกั วิชาการกาหนดเรียกชือ่ ศิลปะแบบนวี้ ่า \"ศิลปะลพบรุ ี\" พระปรางค์สามยอดจัดเป็นศาสนสถานทีส่ าคัญแห่งหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะ ขอมแบบบายน ที่ปรากฏในภาคกลางของประเทศไทย ในช่วงต้นพทุ ธศตวรรษที่ 18 และเมืองลพบุรี น่าจะมีความสาคัญ ในฐานะศูนย์กลางอานาจทางการเมืองของเขมรในภาคกลางในช่วงระยะเวลานี้ รูปแบบของพระปรางค์สามยอดนี้ ได้เป็นต้นแบบให้แก่เจดีย์ทรงปรางค์ของไทยในระยะเวลาต่อมา เชน่ พระปรางค์วดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี พระปรางค์ในสมยั อยุธยาตอนตน้ ปราสาทวัดก่าแพงแลง จังหวัดเพชรบุรี ศาสนสถานแห่งนี้ประกอบด้วยปราสาทประธาน 3 หลังตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ด้านหน้ามีอาคารทรงปราสาท ที่มีทางเดินทะลุถึงกนั ได้ ซึง่ น่าจะหมายถึง โคปุระ และมีปราสาทอีก 2 หลัง ต้ังอยู่ด้านหลังปราสาทประธาน ทั้งหมดล้อมรอบด้วยกาแพง ของศาสนสถาน อาคารท้ังหมดก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูนและปั้นปูนประดับ แต่ลวดลายส่วนใหญ่ได้ ชารุดสญู หายไปตามกาลเวลา จากรปู แบบของปราสาทที่ก่อด้วยศิลาแลง มีปราสาทประธาน 3 หลัง จงึ นา่ จะมีคติการสร้างแบบรัตนตรัยมหายาน ในศิลปะขอมแบบบายน ช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 รวมทั้ง มีลักษณะพิเศษอย่างหนึง่ ที่นิยมในช่วงระยะเวลานี้คือ การเจาะช่องหน้าต่างที่สลักลูกกรงลกู มะหวด เพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งปิดทึบ หมายถึง ส่วนของผ้าม่านที่ปิดช่องหน้าต่างเป็นการเลียนแบบของ จรงิ วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี ศาสนสถานแห่งนี้เป็นอีกแห่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของ ศิลปะขอมแบบบายนในภาคกลางของประเทศไทย แต่หลักฐานที่เหลืออยู่มีเพียงกาแพงวัดเท่านั้นที่ ปรากฏอิทธิพลศิลปะขอมแบบบายน คือ ก่อด้วยศิลาแลง และบนสันของกาแพง ประดับด้วยแนว พระพุทธรูปปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งพระพุทธรูปดังกล่าวจะมีวัตถุเล็กๆ อยู่ในพระหัตถ์ มัก ตีความว่า เป็นหม้อยา จงึ เรียกว่า พระไภษัชยคุรุ ลักษณะการประดับพระพุทธรปู เปน็ แนวบนกาแพง เช่นนี้ เป็นรูปแบบของปราสาทศิลปะแบบบายน ทั้งในประเทศกัมพูชา เช่น ที่ปราสาทตาพรม และ ปราสาทพระขรรค์ และในประเทศไทยในสมัยเดียวกัน ส่วนของปราสาทประธานหลังเดิม ถ้ามีอาจ พังทลายไป หรือบูรณะขึ้นใหม่ในภายหลัง เพราะที่ปรากฏในปัจจุบันเป็นเจดีย์ทรงปรางค์ในสมัย อยธุ ยาตอนตน้ แลว้

เอกสารประกอบคาบรรยาย ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี ศาสนสถานแห่งนี้จัดเป็นปราสาทขอมที่แสดงให้เห็น ถึงอิทธิพลของศิลปะแบบบายนในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่แผ่มาถึงตะวันตกสุดของประเทศไทย และสันนิษฐานว่า เปน็ เมืองหน่งึ ทีป่ รากฏในจารึกปราสาทพระขรรค์คือ \"ศรีชัยสิงหปุรี\" ปราสาทเมืองสิงห์ก่อด้วยศิลาแลง เคยพังทลายอย่างมาก ก่อนที่จะได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ ในปัจจุบนั ประกอบด้วยปราสาทประธานหลังเดียว ล้อมรอบด้วยระเบียงคด และมีโคปรุ ะท้ัง 4 ด้าน หลักฐานสาคัญที่กาหนดว่า ปราสาทแห่งนี้มีอิทธิพลของศิลปะขอมแบบบายนคือ การพบรูปเคารพ ที่เกีย่ วข้องกบั พระพุทธศาสนานิกายมหายานจานวนมาก โดยเฉพาะพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่ง รศั มี และนางปรชั ญาปารมิตา ทีม่ ีลกั ษณะรปู แบบเชน่ เดียวกับที่พบในประเทศกัมพูชาและแหล่งอื่นๆ ในประเทศไทยในสมยั เดียวกนั ปราสาทวัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย วัดพระพายหลวงมีปราสาท 3 หลังอยู่บนฐาน เดียวกัน ปัจจุบันเหลือเพียงหลังเดียวด้านทิศเหนอื รูปแบบปราสาทและคติการสร้างมีความสัมพันธ์ กับพระปรางค์สามยอดที่เมืองลพบุรี ซึ่งเกี่ยวข้องกับคติของรัตนตรัยมหายานดังกล่าวแล้ว แสดงให้ เห็นถึงร่องรอยศิลปะขอมแบบบายนในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ก่อนที่จะเข้าสู่สมัยสุโขทัย นอกจากนี้ ยังได้พบปราสาทหลังอื่นอีกได้แก่ ศาลตาผาแดง ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และปราสาทวัด เจ้าจันทร์ อาเภอศรีสัชนาลยั ซึ่งแสดงให้เหน็ ถึงอทิ ธิพลของศิลปะขอมแบบ บายนที่ขนึ้ ไปเหนือสุด ณ ที่แหง่ นน้ั 2.1.2 เรือน กลุ่มชาติพันธุ์เขมรอาศัยอยู่ในบริเวณเขตอีสานใต้มาต้ังแต่อดีต โดยเฉพาะ ในสมยั กรุงธนบรุ ีมีการอพยพชาวเขมรให้เข้ามาต้ังถิน่ ฐานในไทย การศกึ ษาเรือนพ้ืนถิ่นของกลุ่ม ชาติ พนั ธ์ุเขมรมรี ายละเอียด ดังน้ี องค์ประกอบ เรือนพักอาศัยเป็นเสมือนเคร่ืองสะท้อนถึงเจ้าของเรือนใน ด้านต่าง ๆ ท้ังอัตลักษณ์ วิถีชีวิต ความเชื่อ วัฒนธรรมที่มีผลต่อตัวเรือน ในการศึกษาองค์ประกอบ ของตัวเรือนของกลุ่มชาติพันธ์ุเขมรทั่วไปจะพบองค์ประกอบของเรอื น ดงั น้ี 1. ตลาดปะเตียะ (ลานหน้าเรือน) เป็นลานดินอยู่บริเวณหน้าเรือนหรือข้าง ๆ ตัวเรือน เป็น ตวั เช่ือมระหว่างที่อยู่อาศัยหลังอื่น ๆ เป็นทางสัญจรภายในคุ้ม เปน็ บริเวณที่จะให้อาหารสัตว์ ต่าง ๆ เชน่ ไก่ เป็ด วัว ควาย 2. กรอมปะเตียะ (ใต้ถุนเรือน) เป็นที่ไว้ใช้สาหรับทากิจกรรมต่าง ๆ เช่น เลี้ยงหนอนไหม ทอ ผา้ นงั่ เล่น พักผ่อน เป็นที่เก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ มีบริเวณที่กว้างโล่ง อาจมีการแบ่งพื้นที่บางส่วนใช้เป็น คอกวัว ควายด้วย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook