Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 28การนวดจับเส้นเพื่อสุขภาพ นางจำปี ดีเหมือน

28การนวดจับเส้นเพื่อสุขภาพ นางจำปี ดีเหมือน

Published by artaaa143, 2019-05-10 02:02:01

Description: 28การนวดจับเส้นเพื่อสุขภาพ นางจำปี ดีเหมือน

Search

Read the Text Version

ภูมิปัญญาศึกษา เรื่อง การนวดจับเส้นเพ่ือสขุ ภาพ โดย 1. นางจาปี ดีเหมอื น (ผ้ถู า่ ยทอดภมู ปิ ัญญา) 2. นางสาวรัตตยิ า วาดไธสง (ผเู้ รียบเรยี งภูมปิ ัญญาทอ้ งถิ่น) เอกสารภูมิปัญญาศกึ ษานีเ้ ป็นสว่ นหน่ึงของการศกึ ษา ตามหลกั สูตรโรงเรียนผ้สู งู อายเุ ทศบาลเมอื งวังน้าเยน็ ประจาปกี ารศกึ ษา 2561 โรงเรยี นผู้สงู อายุเทศบาลเมืองวังนา้ เย็น สังกัดเทศบาลเมืองวงั น้าเยน็ จังหวดั สระแกว้

คานา ภูมิป๓ญญาชาวบ๎านของคนไทยเราน้ันมีอยํูจานวนมาก ล๎วนแตํมีคุณคําและมีประโยชน๑เป็นการบอก เลําถงึ วัฒนธรรมไทยไดเ๎ ปน็ อยํางดี แตํป๓จจุบันภูมิป๓ญญาเหลําน้ัน กาลังสูญหายไปพร๎อม ๆ กับชีวิตของคนซึ่ง ดับสูญไปตามกาลเวลา เทศบาลเมืองวังน้าเย็นได๎เล็งเห็นคุณคําและความสาคัญในเรื่องดังกลําว จึงจัดต้ัง โรงเรียนผ๎ูสูงอายุขึ้น เพ่ือให๎ผ๎ูสูงอายุในเขตตาบลวังน้าเย็นได๎มารวมตัวกัน เพื่อแลกเปล่ียนเรียนร๎ู ซึ่งกันและ กัน กํอนจบการศึกษา นักเรียนผ๎ูสูงอายุทุกคนต๎องจัดทาภูมิป๓ญญาศึกษาคนละ 1 เรื่อง เพ่ือเก็บไว๎ให๎อนุชน รนํุ หลงั ไดศ๎ ึกษา เป็นการสืบทอด มิใหภ๎ ูมิป๓ญญาสูญไป ภูมิป๓ญญาฉบับนี้สาเร็จได๎ เพราะรับความกรุณาและการสนับสนุน จากทํานทั้งหลายเหลําน้ี ได๎แกํ นางสาวรัตติยา วาดไธสง ซึ่งเป็นพ่ีเลี้ยงให๎คาปรึกษาแนะนาในการจัดทาภูมิป๓ญญา ได๎ให๎ความร๎ูและ ประสบการณต๑ ําง ๆ ในชํวงเวลาทีเ่ รียนอยูเํ ปน็ เวลา 2 ปี คณะกรรมการบริหารโรงเรียนผู๎สูงอายุ เจ๎าหน๎าที่ กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล๎อมเทศบาลเมืองวังน้าเย็นทุกทําน ท่ีให๎การดูแลและชํวยเหลือตลอดมา และที่ สาคัญได๎แกํ ทํานนายวันชัย นารีรักษ๑ นายกเทศมนตรีเมืองวังน้าเย็น และ นายคนองพล เพ็ชรรื่น ปลดั เทศบาลเมอื งวงั น้าเยน็ ซึ่งเป็นผกู๎ อํ ตัง้ โรงเรียนผู๎สูงอายุ และให๎การสนับสนุน ดูแลนักเรียนผ๎ูสูงอายุเป็น อยํางดี ขอขอบคณุ ทกุ ทาํ นไว๎ ณ โอกาสนี้ นางจาปี ดเี หมือน นางสาวรัตติยา วาดไธสง ผจ๎ู ดั ทา

ค ทมี่ าและความสาคญั ของภูมปิ ญั ญาศกึ ษา จากพระราชดารสั ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช ที่วาํ “ประชาชนนน่ั แหละ ท่ีเขามีความร๎ูเขาทางานมาหลายช่ัวอายุคน เขาทากันอยํางไร เขามีความเฉลียวฉลาด เขารู๎วําตรงไหนควร ทากสิกรรม เขารวู๎ าํ ตรงไหนควรเกบ็ รักษาไว๎ แตํที่เสยี ไปเพราะพวกไมรํ เ๎ู รื่อง ไมํได๎ทามานานแล๎ว ทาให๎ลืมวํา ชีวิตมนั เป็นไปโดยการกระทาท่ีถูกต๎องหรือไมํ” พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอ- ดุลยเดช ที่สะท๎อนถึงพระปรีชาสามารถในการรับร๎ูและความเข๎าใจหยั่งลึก ที่ทรงเห็นคุณคําของภูมิป๓ญญา ไทยอยํางแท๎จริง พระองค๑ทรงตระหนักเป็นอยํางย่ิงวํา ภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นเป็นสิ่งที่ชาวบ๎านมีอยูํแล๎ว ใช๎ ประโยชนเ๑ พือ่ ความอยูรํ อดกันมายาวนาน ความสาคัญของภูมิป๓ญญาท๎องถ่ิน ซึ่งความร๎ูท่ีสั่งสมจากการปฏิบัติ จริงในห๎องทดลองทางสังคม เป็นความรู๎ดั้งเดิมท่ีถูกค๎นพบ มีการทดลองใช๎ แก๎ไข ดัดแปลง จนเป็นองค๑ ความรู๎ที่สามารถแก๎ป๓ญหาในการดาเนินชีวิตและถํายทอดสืบตํอกันมา ภูมิป๓ญญาท๎องถ่ิน เป็นขุมทรัพย๑ทาง ป๓ญญาท่ีคนไทยทุกคนควรร๎ู ควรศึกษา ปรับปรุง และพัฒนาให๎สามารถนาภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นเหลํานั้นมาแก๎ไข ป๓ญหาให๎สอดคล๎องกับบริบททางสังคม วัฒนธรรมของกลุํมชุมชนนั้น ๆ อยํางแท๎จริง การพัฒนาภูมิป๓ญญา ศึกษานับเป็นสิ่งสาคัญตํอบทบาทของชุมชนท๎องถ่ินท่ีได๎พยายามสร๎างสรรค๑ เป็นน้าพักน้าแรงรํวมกันของ ผส๎ู งู อายแุ ละคนในชมุ ชนจนกลายเปน็ เอกลักษณ๑และวฒั นธรรม ประจาถ่ินท่ีเหมาะตํอการดาเนินชีวิต หรือภูมิ ป๓ญญาของคนในท๎องถ่นิ นัน้ ๆ แตํภูมิป๓ญญาท๎องถน่ิ สํวนใหญเํ ปน็ ความรู๎ หรือเป็นส่งิ ที่ได๎มาจากประสบการณ๑ หรอื เปน็ ความเชื่อสบื ตอํ กนั มา แตยํ งั ขาดองคค๑ วามรู๎ หรือขาดหลักฐานยนื ยนั หนักแนนํ การสร๎างการยอมรับท่ี เกิดจากฐานภูมิป๓ญญาท๎องถนิ่ จึงเป็นไปไดย๎ าก ดังนั้น เพื่อให๎เกิดการสํงเสริมพัฒนาภูมิป๓ญญาท่ีเป็นเอกลักษณ๑ของท๎องถิ่น กระตุ๎นเกิดความ ภาคภูมิใจในภูมิป๓ญญาของบุคคลในท๎องถ่ิน ภูมิป๓ญญาไทยและวัฒนธรรมไทย เกิดการถํายทอดภูมิป๓ญญาสูํ คนรุํนหลงั โรงเรียนผ๎ูสงู อายเุ ทศบาลเมืองวงั นา้ เย็น ได๎ดาเนินการจัดทาหลกั สูตรการเรียนการสอนเพื่อพัฒนา ศักยภาพผู๎สูงอายุในท๎องถิ่นที่เน๎นให๎ผู๎สูงอายุได๎พัฒนาตนเองให๎มีความพร๎อมสูํสังคมผ๎ูสูงอายุท่ีมีคุณภาพใน อนาคต รวมทั้งสืบทอดภูมิป๓ญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผู๎สูงอายุที่ได๎สั่งสมมา เกิดจากการสืบทอดภูมิ ป๓ญญาของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผ๎ูสูงอายุจะเป็นผู๎ถํายทอดองค๑ความรู๎ และมีครูพี่เล้ียงซึ่งเป็นคณะครูของ โรงเรยี นในสงั กดั เทศบาลเมืองวังนา้ เยน็ เป็นผูเ๎ รยี บเรียงองค๑ความรู๎ไปสูํการจัดทาภูมิป๓ญญาศึกษา ให๎ปรากฏ ออกมาเป็นรูปเลํมภูมิป๓ญญาศึกษา ใช๎เป็นสํวนหนึ่งในการจบหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนผู๎สูงอายุ ประจาปีการศึกษา 2560 พรอ๎ มทั้งเผยแพรแํ ละจดั เกบ็ คลังภมู ิปญ๓ ญาไว๎ในห๎องสมุดของโรงเรียนเทศบาลมิตร สมั พันธว๑ ทิ ยา เพือ่ ให๎ภูมิป๓ญญาท๎องถ่นิ เหลํานเี้ กดิ การถาํ ยทอดสูํคนรํนุ หลงั สบื ตอํ ไป จากความรํวมมือในการพัฒนาบุคลากรในหนํวยงานและภาคีเครือขํายที่มีสํวนรํวมในการผสมผสาน องค๑ความรู๎ เพ่ือยกระดับความรู๎ของภูมิป๓ญญาน้ัน ๆ เพ่ือนาไปสํูการประยุกต๑ใช๎ และผสมผสานเทคโนโลยี ใหมํ ๆ ให๎สอดรับกับวถิ ชี วี ติ ของชมุ ชนได๎อยาํ งมีประสิทธภิ าพ การนาภมู ปิ ญ๓ ญาไทยกลับสูํการศึกษา สามารถ สงํ เสริมใหม๎ ีการถาํ ยทอดภูมิปญ๓ ญาในโรงเรียนเทศบาลมติ รสมั พันธ๑วทิ ยา และโรงเรยี นในสังกดั เทศบาลเมืองวัง น้าเย็น เกิดการมีสํวนรํวมในกระบวนการถํายทอด เชื่อมโยงความรู๎ให๎กับนักเรียนและบุคคลท่ัวไปในท๎องถิ่น โดยการนาบุคลากรที่มีความรู๎ความสามารถในท๎องถิ่นเข๎ามาเป็นวิทยากรให๎ความรู๎ กับนักเรียนในโอกาสตําง ๆ หรือการท่ีโรงเรยี นนาองค๑ความรใู๎ นท๎องถิ่น เขา๎ มาสอนสอดแทรกในกระบวนการจัดการเรียนร๎ู สิ่งเหลํานี้ทา ให๎การพัฒนาภูมิป๓ญญาท๎องถิ่น นาไปสูํการสืบทอดภูมิป๓ญญาศึกษา เกิดความสาเร็จอยํางเป็นรูปธรรม

นักเรียนผู๎สูงอายุเกิดความภาคภูมิใจในภูมิป๓ญญาของตนท่ีได๎ถํายทอดสูํคนรุํนหลังให๎คงอยํูในท๎องถ่ิ น เปน็ วฒั นธรรมการดาเนินชีวิตประจาทอ๎ งถ่นิ เป็นวัฒนธรรมการดาเนนิ ชีวติ คูแํ ผนํ ดินไทยตราบนานเทํานาน นยิ ามคาศพั ทใ์ นการจดั ทาภมู ิปัญญาศกึ ษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเร่ืองที่ผู๎สูงอายุเชี่ยวชาญท่ีสุด ของ ผ๎ูสงู อายทุ ่เี ข๎าศึกษาตามหลกั สูตรของโรงเรียนผู๎สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น มาศึกษาและสืบทอดภูมิป๓ญญา ในรปู แบบตาํ ง ๆ มกี ารสืบทอดภมู ปิ ๓ญญาโดยการปฏบิ ตั แิ ละการเรียบเรียงเป็นลายลักษณ๑อักษรตามรูปแบบที่ โรงเรยี นผู๎สูงอายกุ าหนดขึ้น ใชเ๎ ป็นสํวนหน่ึงในการจบหลกั สตู รการศึกษา เพ่ือให๎ภูมิป๓ญญาของผู๎สูงอายุได๎รับ การถาํ ยทอดสคํู นรนุํ หลังและคงอยูํในท๎องถน่ิ ตํอไป ซึ่งแบํงภูมิป๓ญญาศึกษาออกเป็น 3 ประเภท ไดแ๎ กํ 1. ภูมิป๓ญญาศึกษาที่ผ๎ูสูงอายุเป็นผู๎คิดค๎นภูมิป๓ญญาในการดาเนินชีวิตในเร่ืองที่เช่ียวชาญที่สุด ด๎วยตนเอง 2. ภูมิป๓ญญาศึกษาที่ผู๎สูงอายุเป็นผู๎นาภูมิป๓ญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต๑ใช๎ในการดาเนิน ชีวิตจนเกิดความเชย่ี วชาญ 3. ภูมิป๓ญญาศึกษาท่ีผ๎ูสูงอายุเป็นผ๎ูนาภูมิป๓ญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช๎ในการดาเนินชีวิตโดย ไมมํ ีการเปล่ียนแปลงไปจากเดมิ จนเกิดความเช่ียวชาญ ผถู้ า่ ยทอดภมู ปิ ญั ญา หมายถงึ ผ๎ูสงู อายุท่เี ขา๎ ศกึ ษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผู๎สูงอายุเทศบาลเมือง วังนา้ เยน็ เป็นผ๎ูถํายทอดภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีตนเองเช่ียวชาญมากที่สุด นามาถํายทอดให๎แกํผู๎ เรยี บเรยี งภูมิป๓ญญาทอ๎ งถ่นิ ไดจ๎ ัดทาขอ๎ มลู เปน็ รปู เลํมภูมิป๓ญญาศึกษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถ่ิน หมายถึง ผ๎ูท่ีนาภูมิป๓ญญาในการดาเนินชีวิตในเร่ืองท่ีผ๎ูสูงอายุ เช่ียวชาญที่สุดมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ๑อักษร ศึกษาหาข๎อมูลเพิ่มเติมจากแหลํงข๎อมูลตําง ๆ จัดทาเป็น เอกสารรูปเลมํ ใช๎ช่ือวํา “ภูมิป๓ญญาศกึ ษา” ตามรปู แบบที่โรงเรยี นผูส๎ ูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็นกาหนด ครูท่ีปรึกษา หมายถึง ผู๎ที่ปฏิบัติหน๎าท่ีเป็นครูพ่ีเล้ียง เป็นผู๎เรียบเรียงภูมิป๓ญญาท๎องถ่ิน ปฏิบัติ หน๎าที่เป็นผ๎ูประเมินผล เป็นผ๎ูรับรองภูมิป๓ญญาศึกษา รวมทั้งเป็นผ๎ูนาภูมิป๓ญญาศึกษาเข๎ามาสอนในโรงเรียน โดยบูรณาการการจดั การเรียนร๎ตู ามหลักสูตรท๎องถ่ินทโี่ รงเรียนจดั ทาขน้ึ

ง ภูมิปัญญาศกึ ษาเชอ่ื มโยงสู่สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชนฯ 1. ลักษณะของภูมิปัญญาไทย ลักษณะของภมู ปิ ๓ญญาไทย มีดังนี้ 1. ภมู ปิ ญ๓ ญาไทยมีลกั ษณะเป็นท้ังความรู๎ ทักษะ ความเช่ือ และพฤติกรรม 2. ภมู ปิ ญ๓ ญาไทยแสดงถงึ ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับคน คนกับธรรมชาติสิ่งแวดล๎อม และ คนกับสง่ิ เหนอื ธรรมชาติ 3. ภมู ิปญ๓ ญาไทยเป็นองคร๑ วมหรอื กิจกรรมทกุ อยํางในวิถชี วี ิตของคน 4. ภูมิป๓ญญาไทยเป็นเร่ืองของการแก๎ป๓ญหาการจัดการการปรับตัว และการเรียนร๎ู เพื่อ ความอยรูํ อดของบุคคล ชมุ ชน และสงั คม 5. ภมู ิป๓ญญาไทยเป็นพืน้ ฐานสาคญั ในการมองชีวติ เป็นพ้นื ฐานความรใ๎ู นเรื่องตํางๆ 6. ภมู ปิ ๓ญญาไทยมลี กั ษณะเฉพาะ หรือมีเอกลักษณ๑ในตัวเอง 7. ภมู ปิ ๓ญญาไทยมีการเปลี่ยนแปลงเพ่ือการปรบั สมดุลในพัฒนาการทางสังคม 2. คุณสมบตั ิของภูมปิ ัญญาไทย ผท๎ู รงภมู ิป๓ญญาไทยเป็นผู๎มคี ุณสมบัตติ ามท่กี าหนดไว๎ อยํางน๎อยดังตํอไปน้ี 1. เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความรู๎ความสามารถในวิชาชีพตํางๆ มีผลงานด๎านการพัฒนา ท๎องถิ่นของตน และได๎รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไปอยํางกว๎างขวาง ท้ังยังเป็นผู๎ที่ใช๎หลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเป็นเครื่องยดึ เหนี่ยวในการดารงวถิ ีชีวติ โดยตลอด 2. เป็นผ๎ูคงแกํเรียนและหมั่นศึกษาหาความร๎ูอยํูเสมอ ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญาจะเป็นผ๎ูที่หม่ันศึกษา แสวงหาความร๎ูเพิ่มเติมอยูํเสมอไมํหยุดน่ิง เรียนรู๎ทั้งในระบบและนอกระบบ เป็นผู๎ลงมือทา โดยทดลองทา ตามท่ีเรียนมาอีกทั้งลองผิด ลองถูก หรือสอบถามจากผ๎ูรู๎อื่นๆ จนประสบความสาเร็จ เป็นผู๎เช่ียวชาญ ซ่ึงโดด เดํนเป็นเอกลักษณ๑ในแตํละด๎านอยํางชัดเจน เป็นที่ยอมรับการเปล่ียนแปลงความรู๎ใหมํๆ ท่ีเหมาะสม นามา ปรับปรงุ รบั ใชช๎ มุ ชน และสังคมอยเูํ สมอ 3. เป็นผู๎นาของท๎องถิ่น ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญาสํวนใหญํจะเป็นผู๎ท่ีสังคม ในแตํละท๎องถิ่นยอมรับให๎ เป็นผ๎ูนา ทั้งผ๎ูนาท่ีได๎รับการแตํงต้ังจากทางราชการ และผู๎นาตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถเป็นผู๎นาของท๎องถ่ิน และชํวยเหลือผ๎ูอืน่ ได๎เปน็ อยาํ งดี 4. เป็นผ๎ทู ่ีสนใจปญ๓ หาของท๎องถน่ิ ผ๎ูทรงภมู ิปญ๓ ญาลว๎ นเป็นผู๎ท่ีสนใจป๓ญหาของท๎องถิ่น เอาใจ ใสํ ศึกษาป๓ญหา หาทางแก๎ไข และชํวยเหลือสมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล๎เคียงอยํางไมํยํอท๎อ จน ประสบความสาเร็จเป็นที่ยอมรบั ของสมาชิกและบคุ คลทั่วไป 5. เป็นผู๎ขยันหม่นั เพยี ร ผูท๎ รงภมู ิปญ๓ ญาเป็นผ๎ขู ยนั หม่ันเพยี ร ลงมือทางานและผลิตผลงานอยํู เสมอ ปรบั ปรงุ และพฒั นาผลงานให๎มคี ณุ ภาพมากขน้ึ อกี ท้ังมุํงทางานของตนอยํางตํอเน่ือง 6. เป็นนักปกครองและประสานประโยชน๑ของท๎องถ่ิน ผู๎ทรงภูมิป๓ญญา นอกจากเป็นผู๎ท่ี ประพฤติตนเป็นคนดี จนเป็นท่ียอมรับนับถือจากบุคคลท่ัวไปแล๎ว ผลงานท่ีทํานทายังถือวํามีคุณคํา จึงเป็นผ๎ูที่

มีท้ัง \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เป็นผู๎ประสานประโยชน๑ให๎บุคคลเกิดความรักความเข๎าใจ ความเห็น ใจ และมคี วามสามคั คีกัน ซึง่ จะทาใหท๎ ๎องถิ่นหรือสังคม มีความเจริญ มีคณุ ภาพชวี ิตสงู ขน้ึ กวําเดิม 7. มคี วามสามารถในการถาํ ยทอดความรู๎เป็นเลิศ เมื่อผท๎ู รงภมู ิป๓ญญามคี วามร๎ูความสามารถ และประสบการณเ๑ ป็นเลิศ มผี ลงานที่เปน็ ประโยชนต๑ อํ ผ๎ูอนื่ และบุคคลทั่วไป ทั้งชาวบา๎ น นกั วชิ าการ นักเรยี น นสิ ิต/นกั ศกึ ษา โดยอาจเขา๎ ไปศกึ ษาหาความร๎ู หรอื เชิญทํานเหลาํ นัน้ ไป เปน็ ผถู๎ ํายทอดความร๎ไู ด๎ 8. เป็นผ๎ูมีคูํครองหรือบริวารดีผู๎ทรงภูมิป๓ญญา ถ๎าเป็นคฤหัสถ๑ จะพบวํา ล๎วนมีคํูครองที่ดีที่ คอยสนับสนุน ชํวยเหลือ ให๎กาลังใจ ให๎ความรํวมมือในงานท่ีทํานทา ชํวยให๎ผลิตผลงานท่ีมีคุณคําถ๎าเป็น นักบวชไมํวาํ จะเปน็ ศาสนาใด ต๎องมบี รวิ ารท่ีดี จึงจะสามารถผลิตผลงานทีม่ ีคุณคําทางศาสนาได๎ 9. เป็นผู๎มีป๓ญญารอบรู๎และเชี่ยวชาญจนได๎รับการยกยํองวําเป็นปราชญ๑ ผู๎ทรงภูมิป๓ญญา ต๎องเป็นผ๎ูมีป๓ญญารอบรู๎และเช่ียวชาญ รวมทั้งสร๎างสรรค๑ผลงานพิเศษใหมํๆ ที่เป็นประโยชน๑ตํอสังคมและ มนษุ ยชาตอิ ยาํ งตอํ เน่ืองอยํเู สมอ 3. การจัดแบ่งสาขาภมู ิปัญญาไทย จากการศึกษาพบวํา มีการกาหนดสาขาภูมิป๓ญญาไทยไว๎อยํางหลากหลาย ขึ้นอยูํกับวัตถุประสงค๑ และหลกั เกณฑต๑ ํางๆ ท่ีหนํวยงาน องค๑กร และนักวิชาการแตํละทํานนามากาหนดในภาพรวมภูมิป๓ญญาไทย สามารถแบงํ ได๎เป็น 10 สาขา ดงั นี้ 1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค๑ความร๎ู ทักษะ และ เทคนิคด๎านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณคําด้ังเดิม ซึ่งคนสามารถพึ่งพาตนเองใน ภาวการณ๑ตํางๆ ได๎ เชํน การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไรํนาสวนผสม และ สวนผสมผสาน การแก๎ปญ๓ หาการเกษตรด๎านการตลาด การแก๎ป๓ญหาด๎านการผลิต การแก๎ไขป๓ญหาโรคและ แมลง และการรจ๎ู กั ปรับใช๎เทคโนโลยที ี่เหมาะสมกบั การเกษตร เปน็ ต๎น 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู๎จักประยุกต๑ใช๎เทคโนโลยีสมัยใหมํใน การแปรรปู ผลติ ผล เพือ่ ชะลอการนาเข๎าตลาด เพือ่ แกป๎ ๓ญหาดา๎ นการบริโภคอยํางปลอดภัย ประหยัด และเป็น ธรรม อันเป็นกระบวนการที่ทาให๎ชุมชนท๎องถ่ินสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได๎ ตลอดทั้งการผลิต และ การจาหนําย ผลิตผลทางหัตถกรรม เชํน การรวมกลุํมของกลํุมโรงงานยางพารา กลํุมโรงสี กลุํมหัตถกรรม เปน็ ตน๎ 3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการปูองกัน และรักษา สขุ ภาพของคนในชมุ ชน โดยเน๎นใหช๎ มุ ชนสามารถพง่ึ พาตนเอง ทางดา๎ นสขุ ภาพ และอนามัยได๎ เชํน การนวด แผนโบราณ การดูแลและรักษาสุขภาพแบบพ้ืนบ๎าน การดูแลและรกั ษาสุขภาพแผนโบราณไทย เป็นตน๎ 4. สาขาการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล๎อม ทั้งการอนุรักษ๑ การพัฒนา และการใช๎ประโยชน๑จากคุณคํา ของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล๎อม อยํางสมดุล และยั่งยืน เชํน การทาแนวปะการังเทียม การ อนรุ กั ษ๑ปุาชายเลน การจัดการปาุ ตน๎ น้า และปุาชุมชน เป็นตน๎ 5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด๎านการ สะสม และบริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตรา และโภคทรัพย๑ เพ่ือสํงเสริมชีวิตความ เป็นอยํูของสมาชิกในชุมชน เชํน การจัดการเรื่องกองทุนของชุมชน ในรูปของสหกรณ๑ออมทรัพย๑ และ ธนาคารหมูบํ ๎าน เปน็ ตน๎

6. สาขาสวัสดกิ าร หมายถงึ ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิต ของคน ให๎เกิดความม่ันคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เชํน การจัดต้ังกองทุนสวัสดิการ รกั ษาพยาบาลของชุมชน การจัดระบบสวัสดิการบรกิ ารในชุมชน การจดั ระบบสิง่ แวดล๎อมในชมุ ชน เปน็ ต๎น 7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด๎านศิลปะสาขาตําง ๆ เชํน จติ รกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศลิ ป์ ศิลปะมวยไทย เป็นตน๎ 8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดาเนินงานของ องค๑กรชมุ ชนตํางๆ ใหส๎ ามารถพฒั นา และบริหารองค๑กรของตนเองได๎ ตามบทบาท และหน๎าที่ขององค๑การ เชนํ การจดั การองค๑กรของกลํุมแมบํ ๎าน กลมุํ ออมทรัพย๑ กลํุมประมงพืน้ บา๎ น เปน็ ตน๎ 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลติ ผลงานเก่ยี วกบั ดา๎ นภาษา ทั้งภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช๎ภาษา ตลอดทั้งด๎านวรรณกรรมทุกประเภท เชํน การจัดทา สารานุกรมภาษาถ่นิ การปรวิ รรต หนงั สอื โบราณ การฟนื้ ฟูการเรยี นการสอนภาษาถ่นิ ของท๎องถน่ิ ตาํ ง ๆ เปน็ ต๎น 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถงึ ความสามารถประยุกต๑ และปรับใช๎หลักธรรมคา สอนทางศาสนา ความเชือ่ และประเพณดี ้ังเดิมทีม่ คี ุณคาํ ให๎เหมาะสมตอํ การประพฤติปฏิบัติให๎บังเกิดผลดีตํอ บุคคล และสิ่งแวดล๎อม เชํน การถํายทอดหลักธรรมทางศาสนา ลักษณะความสัมพันธ๑ของภูมิป๓ญญาไทยภูมิ- ปญ๓ ญาไทยสามารถสะทอ๎ นออกมาใน 3 ลกั ษณะท่สี ัมพันธ๑ใกลช๎ ิดกัน คอื ธรรมชาติ 10.1 ความสัมพันธ๑อยํางใกล๎ชิดกันระหวํางคนกับโลก ส่ิงแวดล๎อม สัตว๑ พืช และ 10.2 ความสมั พันธ๑ของคนกับคนอื่นๆ ที่อยูํรวํ มกันในสังคม หรือในชมุ ชน 10.3 ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับสิ่งศักดิ์สิทธ์ิส่ิงเหนือธรรมชาติ ตลอดทั้งส่ิงที่ไมํ สามารถสัมผัสได๎ท้ังหลาย ทั้ง 3 ลักษณะน้ี คือ สามมิติของเร่ืองเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท๎อนออก มาถึงภูมปิ ญ๓ ญาในการดาเนินชีวติ อยาํ งมเี อกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหล่ียม ภูมิป๓ญญา จึงเป็นรากฐาน ในการดาเนินชวี ติ ของคนไทย ซง่ึ สามารถแสดงให๎เห็นไดอ๎ ยํางชัดเจนโดยแผนภาพ ดังนี้ ลักษณะภูมิป๓ญญาท่ีเกิดจากความสัมพันธ๑ ระหวํางคนกับธรรมชาติส่ิงแวดล๎อม จะแสดงออกมา ในลักษณะภูมิป๓ญญาในการดาเนินวิถีชีวิตข้ันพ้ืนฐาน ด๎านป๓จจัยส่ี ซ่ึงประกอบด๎วย อาหาร เครื่องนุํงหํม ท่ี อยํูอาศัย และยารักษาโรค ตลอดท้ังการประกอบ อ า ชี พ ตํ า ง ๆ เ ป็ น ต๎ น ภู มิ ป๓ ญ ญ า ที่ เ กิ ด จ า ก ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับคนอ่ืนในสังคม จะแสดง ออกมาในลักษณะ จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ และนนั ทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอด ทัง้ การสือ่ สารตาํ งๆ เป็นตน๎ ภูมิป๓ญญาที่เกิดจากความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ สิ่งเหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมาใน ลักษณะของส่ิงศักดสิ์ ิทธิ์ ศาสนา ความเชือ่ ตาํ งๆ เปน็ ต๎น

4. คณุ คา่ และความสาคัญของภูมิปญั ญาไทย คุณคําของภูมิป๓ญญาไทย ได๎แกํ ประโยชน๑ และความสาคัญของภูมิป๓ญญา ท่ีบรรพบุรุษไทย ได๎ สร๎างสรรค๑ และสืบทอดมาอยํางตํอเนื่อง จากอดีตสูํป๓จจุบัน ทาให๎คนในชาติเกิดความรัก และความภาคภูมิใจ ทจี่ ะรํวมแรงรวํ มใจสบื สานตอํ ไปในอนาคต เชํน โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาป๓ตยกรรม ประเพณีไทย การมี น้าใจ ศกั ยภาพในการประสานผลประโยชน๑ เป็นต๎น ภมู ิป๓ญญาไทยจงึ มคี ณุ คํา และความสาคญั ดังนี้ 1. ภูมิป๓ญญาไทยชํวยสร๎างชาตใิ หเ๎ ปน็ ปึกแผนํ พระมหากษัตริย๑ไทยได๎ใช๎ภูมิป๓ญญาในการสร๎างชาติ สร๎างความเป็นปึกแผํนให๎แกํ ประเทศชาติมาโดยตลอด ต้ังแตํสมัยพํอขุนรามคาแหงมหาราช พระองค๑ทรงปกครองประชาชน ด๎วยพระ เมตตา แบบพํอปกครองลูก ผู๎ใดประสบความเดือดร๎อน ก็สามารถตีระฆัง แสดงความเดือดร๎อน เพื่อขอรับ พระราชทานความชํวยเหลือ ทาให๎ประชาชนมีความจงรักภักดีตํอพระองค๑ ตํอประเทศชาติรํวมกันสร๎าง บ๎านเรือนจนเจริญรํุงเรืองเป็นปกึ แผนํ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค๑ทรงใช๎ภูมิป๓ญญากระทายุทธหัตถี จนชนะข๎าศึกศัตรู และทรงกอบก๎ูเอกราชของชาติไทยคืนมาได๎ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยํูหัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลป๓จจุบัน พระองคท๑ รงใชภ๎ ูมิป๓ญญาสร๎างคุณประโยชน๑แกํประเทศชาติ และเหลําพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช๎ พระปรชี าสามารถ แก๎ไขวิกฤตการณ๑ทางการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพ๎นภัยพิบัติหลายครั้ง พระองค๑ทรง มีพระปรีชาสามารถหลายด๎าน แม๎แตํด๎านการเกษตร พระองค๑ได๎พระราชทานทฤษฎีใหมํให๎แกํพสกนิกร ทั้ง ด๎านการเกษตรแบบสมดุลและยั่งยืน ฟ้ืนฟูสภาพแวดล๎อม นาความสงบรํมเย็นของประชาชนให๎กลับคืนมา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎใี หมํ\" แบงํ ออกเปน็ 2 ขน้ั โดยเริม่ จาก ขั้นตอนแรก ให๎เกษตรกรรายยํอย \"มีพออยํูพอ กิน\" เป็นขั้นพ้ืนฐาน โดยการพัฒนาแหลํงน้า ในไรํนา ซ่ึงเกษตรกรจาเป็นท่ีจะต๎องได๎รับความชํวยเหลือจาก หนํวยราชการ มูลนิธิ และหนํวยงานเอกชน รํวมใจกันพัฒนาสังคมไทย ในขั้นที่สอง เกษตรกรต๎องมีความ เขา๎ ใจ ในการจัดการในไรํนาของตน และมีการรวมกลุมํ ในรูปสหกรณ๑ เพ่ือสร๎างประสิทธิภาพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจํายด๎านความเป็นอยูํ โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค๑กรเอกชน เม่ือกลุํมเกษตร ววิ ฒั น๑มาขนั้ ที่ 2 แลว๎ ก็จะมศี ักยภาพ ในการพัฒนาไปสํูขั้นที่สาม ซึ่งจะมีอานาจในการตํอรองผลประโยชน๑กับ สถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค๑กรที่เป็นเจ๎าของแหลํงพลังงาน ซ่ึงเป็นป๓จจัยหน่ึงในการผลิต โดยมีการ แปรรูปผลติ ผล เชนํ โรงสี เพือ่ เพิม่ มลู คาํ ผลิตผล และขณะเดยี วกันมีการจัดตั้งร๎านค๎าสหกรณ๑ เพื่อลดคําใช๎จําย ในชีวิตประจาวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได๎วํา มิได๎ทรงทอดทิ้งหลักของ ความสามัคคีในสังคม และการจัดตั้งสหกรณ๑ ซ่ึงทรงสนับสนุนให๎กลํุมเกษตรกรสร๎างอานาจตํอรองในระบบ เศรษฐกิจ จึงจะมคี ุณภาพชีวิตที่ดี จึงจัดได๎วํา เป็นสังคมเกษตรท่ีพัฒนาแล๎ว สมดังพระราชประสงค๑ท่ีทรงอุทิศ พระวรกาย และพระสตปิ ญ๓ ญา ในการพฒั นาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแหํงการครองราชย๑ 2. สร๎างความภาคภมู ิใจ และศักดิ์ศรี เกยี รติภูมิแกํคนไทย คนไทยในอดีตที่มีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร๑มีมาก เป็นที่ยอมรับของนานา อารยประเทศ เชํน นายขนมต๎มเป็นนักมวยไทย ท่ีมีฝีมือเกํงในการใช๎อวัยวะทุกสํวน ทุกทําของแมํไม๎มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพมําได๎ถึงเก๎าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม๎ในป๓จจุบัน มวยไทยก็ยังถือวํา เป็น

ศิลปะช้ันเยี่ยม เป็นท่ี นิยมฝึกและแขํงขันในหมํูคนไทยและชาวตําง ประเทศ ป๓จจุบันมีคํายมวยไทยท่ัวโลกไมํ ตา่ กวาํ 30,000 แหํง ชาวตาํ งประเทศที่ไดฝ๎ ึกมวยไทย จะรส๎ู กึ ยินดแี ละภาคภูมิใจ ในการที่จะใช๎กติกา ของมวย ไทย เชํน การไหว๎ครูมวยไทย การออก คาสั่งในการชกเป็นภาษาไทยทุกคา เชํน คาวํา \"ชก\" \"นับหน่ึงถึงสิบ\" เป็นต๎น ถือเป็นมรดก ภูมิป๓ญญาไทย นอกจากนี้ ภูมิป๓ญญาไทยท่ีโดด เดํนยังมีอีกมากมาย เชํน มรดกภูมิ ป๓ญญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยที่มีอักษรไทยเป็นของ ตนเองมาต้ังแตํสมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการ มาจนถึงป๓จจุบัน วรรณกรรมไทยถือวํา เป็นวรรณกรรมท่ีมีความไพเราะ ได๎อรรถรสครบทุกด๎าน วรรณกรรม หลายเรื่องได๎รบั การแปลเป็นภาษาตํางประเทศหลายภาษา ด๎านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารที่ปรุงงําย พืชที่ ใช๎ประกอบอาหารสํวนใหญํเป็นพืชสมุนไพร ที่หาได๎งํายในท๎องถ่ิน และราคาถูก มี คุณคําทางโภชนาการ และ ยังปูองกันโรคได๎หลายโรค เพราะสํวนประกอบสํวนใหญํเป็นพืชสมุนไพร เชํน ตะไคร๎ ขิง ขํา กระชาย ใบ มะกรดู ใบโหระพา ใบกะเพรา เป็นตน๎ 3. สามารถปรบั ประยุกตห๑ ลักธรรมคาสอนทางศาสนาใชก๎ ับวถิ ีชีวิตได๎อยํางเหมาะสม คนไทยสํวนใหญํนับถือศาสนาพุทธ โดยนาหลักธรรมคาสอนของศาสนา มาปรับใช๎ในวิถีชีวิต ได๎อยํางเหมาะสม ทาให๎คนไทยเป็นผ๎ูอํอนน๎อมถํอมตน เอ้ือเฟื้อเผ่ือแผํ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความ อดทน ใหอ๎ ภยั แกผํ ูส๎ านึกผดิ ดารงวิถชี ีวิตอยํางเรียบงําย ปกติสุข ทาให๎คนในชุมชนพึ่งพากันได๎ แม๎จะอดอยาก เพราะ แห๎งแล๎ง แตํไมํมีใครอดตาย เพราะพ่ึงพาอาศัย กัน แบํงป๓นกันแบบ \"พริกบ๎านเหนือเกลือบ๎านใต๎\" เป็น ต๎น ทง้ั หมดนี้สืบเนื่องมาจากหลักธรรมคาสอนของพระพทุ ธศาสนา เป็นการใช๎ภูมิป๓ญญา ในการนาเอาหลักขอ พระพทุ ธศาสนามา ประยกุ ต๑ใช๎กบั ชวี ติ ประจาวนั และดาเนินกุศโลบาย ด๎านตํางประเทศ จนทาให๎ชาวพุทธท่ัว โลกยกยํอง ให๎ประเทศไทยเป็นผ๎ูนาทางพุทธศาสนา และเป็น ที่ตั้งสานักงานใหญํองค๑การพุทธศาสนิกสัมพันธ๑ แหํงโลก (พสล.) อยํูเย้ืองๆ กับอุทยานเบญจสิริ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรี) ดารงตาแหนํงประธาน พสล. ตอํ จาก ม.จ.หญิงพนู พิศมยั ดศิ กุล 4. สรา๎ งความสมดุลระหวํางคนในสงั คม และธรรมชาติได๎อยํางย่งั ยนื ภูมิป๓ญญาไทยมีความเดํนชัดในเร่ืองของการยอมรับนับถือ และให๎ความสาคัญแกํคน สังคม และธรรมชาตอิ ยํางยิง่ มเี ครอ่ื งชท้ี ีแ่ สดงใหเ๎ หน็ ได๎อยํางชัดเจนมากมาย เชํน ประเพณีไทย 12 เดือน ตลอดทั้งปี ล๎วนเคารพคุณคําของธรรมชาติ ได๎แกํ ประเพณีสงกรานต๑ ประเพณีลอยกระทง เป็นต๎น ประเพณีสงกรานต๑ เป็นประเพณีท่ีทาใน ฤดูร๎อนซ่ึงมีอากาศร๎อน ทาให๎ต๎องการความเย็น จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ๎านเรือน และธรรมชาติสิ่งแวดล๎อม มีการแหํนางสงกรานต๑ การทานายฝนวําจะตกมากหรือน๎อยในแตํละปี สํวนประเพณีลอยกระทง คุณคําอยํูท่ีการบูชา ระลึกถึงบุญคุณของน้า ท่ีหลํอเลี้ยงชีวิตของ คน พืช และสัตว๑ ให๎ได๎ใช๎ท้ังบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแมํน้า ลาธาร บูชาแมํน้าจากตัวอยําง ข๎างตน๎ ลว๎ นเป็น ความสมั พันธ๑ระหวํางคนกับสงั คมและธรรมชาติ ทัง้ สิ้น ในการรกั ษาปาุ ไม๎ต๎นนา้ ลาธาร ไดป๎ ระยกุ ต๑ให๎มีประเพณีการบวชปุา ให๎คนเคารพสิ่งศักด์ิสิทธิ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดล๎อม ยังความอุดมสมบูรณ๑แกํต๎นน้า ลาธาร ให๎ฟ้ืนสภาพกลับคืนมาได๎มาก อาชีพ การเกษตรเป็นอาชพี หลกั ของคนไทย ทคี่ านงึ ถึงความสมดุล ทาแตํน๎อยพออยูํพอกนิ แบบ \"เฮ็ดอยูํเฮ็ดกิน\" ของ พอํ ทองดี นันทะ เมือ่ เหลือกิน กแ็ จกญาติพี่นอ๎ ง เพอื่ นบ๎าน บ๎านใกล๎เรือนเคียง นอกจากนี้ ยังนาไปแลกเปล่ียน

กบั ส่งิ ของอยํางอื่น ทีต่ นไมํมี เม่ือเหลอื ใชจ๎ ริงๆ จึงจะนาไปขาย อาจกลาํ วไดว๎ ํา เป็นการเกษตรแบบ \"กิน-แจก- แลก-ขาย\" ทาให๎คนในสังคมได๎ชํวยเหลือเก้ือกูล แบํงป๓นกัน เคารพรัก นับถือ เป็นญาติกัน ทั้งหมํูบ๎าน จึงอยูํ รวํ มกันอยาํ งสงบสขุ มีความสัมพนั ธ๑กันอยาํ งแนบแนนํ ธรรมชาติไมํถูกทาลายไปมากนัก เน่ืองจากทาพออยูํพอ กนิ ไมโํ ลภมากและไมทํ าลายทุกอยํางผิด กบั ในปจ๓ จบุ นั ถอื เป็นภมู ิป๓ญญาท่สี รา๎ งความ สมดลุ ระหวํางคน สังคม และธรรมชาติ 5. เปลย่ี นแปลงปรับปรุงไดต๎ ามยุคสมัย แม๎วํากาลเวลาจะผํานไป ความรูส๎ มัยใหมํ จะหล่ังไหลเขา๎ มามาก แตํภูมิป๓ญญาไทย ก็สามารถ ปรับเปลยี่ นให๎เหมาะสมกับยุคสมัย เชนํ การร๎จู ักนาเคร่อื งยนต๑มาติดต้ังกับเรือ ใสํใบพัด เป็นหางเสือ ทาให๎เรือ สามารถแลํนได๎เร็วข้ึน เรียกวํา เรือหางยาว การร๎ูจักทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟ้ืนคืน ธรรมชาติให๎ อุดมสมบูรณแ๑ ทนสภาพเดิมที่ถูกทาลายไป การร๎ูจักออมเงิน สะสมทุนให๎สมาชิกก๎ูยืม ปลดเปล้ือง หนีส้ นิ และจดั สวัสดิการแกสํ มาชิก จนชุมชนมคี วามมน่ั คง เขม๎ แข็ง สามารถชํวยตนเองได๎หลายร๎อยหมํูบ๎านท่ัว ประเทศ เชํน กลํุมออมทรัพย๑คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ชวํ ยตนเองได๎ เมื่อปุาถูกทาลาย เพราะถูกตัดโคํน เพ่ือปลูกพืชแบบเด่ียว ตามภูมิป๓ญญาสมัยใหมํ ท่ีหวัง ร่ารวย แตใํ นท่ีสดุ กข็ าดทนุ และมีหน้ีสิน สภาพแวดล๎อมสูญเสียเกิดความแห๎งแล๎ง คนไทยจึงคิดปลูกปุา ท่ีกิน ได๎ มีพืชสวน พืชปุาไม๎ผล พืชสมุนไพร ซ่ึงสามารถมีกินตลอดชีวิตเรียกวํา \"วนเกษตร\" บางพ้ืนที่ เมื่อปุาชุมชน ถูกทาลาย คนในชุมชนก็รวมตัวกัน เป็นกลํุมรักษาปุา รํวมกันสร๎างระเบียบ กฎเกณฑ๑กันเอง ให๎ทุกคนถือ ปฏิบัติได๎ สามารถรักษาปุาได๎อยํางสมบูรณ๑ดังเดิม เม่ือปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไมํมีท่ีอยูํอาศัย ประชาชนสามารถสร๎าง \"อูหยัม\" ข้ึน เป็นปะการังเทียม ให๎ปลาอาศัยวางไขํ และแพรํพันธุ๑ให๎เจริญเติบโต มี จานวนมากดังเดมิ ได๎ ถือเป็นการใชภ๎ มู ปิ ๓ญญาปรับปรุงประยกุ ต๑ใช๎ไดต๎ ามยุคสมัย สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เลํมท่ี 19 ให๎ความหมายของคาวํา ภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน หมายถึง ความรู๎ของชาวบ๎าน ซ่ึงได๎มาจากประสบการณ๑ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ๎าน รวมทั้งความรู๎ที่ ส่ังสมมาแตบํ รรพบรุ ุษ สบื ทอดจากคนรํุนหน่ึงไปสํูคนอีกรุํนหน่ึง ระหวํางการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต๑ และ เปลีย่ นแปลง จนอาจเกดิ เปน็ ความรู๎ใหมํตามสภาพการณ๑ทางสังคมวฒั นธรรม และ ส่งิ แวดล๎อม ภมู ปิ ญ๓ ญาเป็นความรู๎ที่ประกอบไปด๎วยคุณธรรม ซึ่งสอดคล๎องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ๎าน ในวิถดี ง้ั เดิมน้ัน ชีวิตของชาวบ๎านไมํได๎แบํงแยกเป็นสํวนๆ หากแตํทุกอยํางมีความสัมพันธ๑กัน การทามาหากิน การอยูํรํวมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความรู๎เป็นคุณธรรม เม่ือผ๎ูคนใช๎ความรู๎นั้น เพื่อสรา๎ งความสัมพันธท๑ ี่ดีระหวําง คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ๑ที่ดี เป็นความสัมพันธ๑ที่มีความสมดุล ท่ีเคารพกันและกัน ไมํทาร๎ายทาลายกัน ทาให๎ทุกฝุายทุกสํวนอยูํรํวมกันได๎ อยํางสันติ ชุมชนด้ังเดิมจึงมีกฎเกณฑ๑ของการอยูํรํวมกัน มีคนเฒําคนแกํเป็นผ๎ูนา คอยให๎คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้า ปุา เขา ข๎าว แดด ลม ฝน โลก และจักรวาล ชาวบ๎านเคารพผู๎หลักผ๎ูใหญํ พํอแมํ ปุูยําตายาย ทั้งที่มีชีวิตอยูํและลํวงลับไปแล๎ว ภูมิป๓ญญาจึง เป็นความร๎ูท่ีมีคุณธรรม เป็นความรู๎ท่ีมีเอกภาพของทุกส่ิงทุกอยําง เป็นความรู๎วํา ทุกสิ่งทุกอยํางสัมพันธ๑กัน

อยํางมีความสมดุล เราจึงยกยํองความร๎ูขั้นสูงสํง อันเป็นความร๎ูแจ๎งในความจริงแหํงชีวิตน้ีวํา \"ภูมิป๓ญญา\" ความคดิ และการแสดงออก เพ่ือจะเข๎าใจภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน จาเป็นต๎องเข๎าใจความคิดของชาวบ๎านเก่ียวกับ โลก หรือท่ีเรียกวํา โลกทัศน๑ และเกี่ยวกับชีวิต หรือท่ีเรียกวํา ชีวทัศน๑ ส่ิงเหลําน้ีเป็นนามธรรม อันเก่ียวข๎อง สัมพันธ๑โดยตรงกับการแสดงออกใน ลักษณะตํางๆ ที่เป็นรูปธรรม แนวคิดเร่ืองความสมดุลของชีวิต เป็น แนวคิดพ้ืนฐานของภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน การแพทย๑แผนไทย หรือที่เคยเรียกกันวํา การแพทย๑แผนโบราณนั้นมี หลักการวํา คนมีสุขภาพดี เม่ือรํางกายมีความสมดุลระหวํางธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้า ลม ไฟ คนเจ็บไข๎ได๎ปุวย เพราะธาตุขาดความสมดุล จะมีการปรับธาตุ โดยใช๎ยาสมุนไพร หรือวิธีการอ่ืนๆ คนเป็นไข๎ตัวร๎อน หมอยา พ้ืนบ๎านจะให๎ยาเย็น เพ่อื ลดไข๎ เปน็ ต๎น การดาเนินชีวิตประจาวันก็เชํนเดียวกัน ชาวบ๎านเช่ือวํา จะต๎องรักษา ความสมดุลในความสัมพันธ๑สามด๎าน คือ ความสัมพันธ๑กับคนในครอบครัว ญาติพ่ีน๎อง เพ่ือนบ๎านในชุมชน ความสมั พันธ๑ที่ดีมีหลักเกณฑ๑ ที่บรรพบุรษุ ไดส๎ ่ังสอนมา เชํน ลกู ควรปฏบิ ตั ิอยาํ งไรกับพํอแมํ กับญาติพ่ีน๎อง กับ ผู๎สูงอายุ คนเฒําคนแกํ กับเพ่ือนบ๎าน พํอแมํควรเล้ียงดูลูกอยํางไร ความเอื้ออาทรตํอกันและกัน ชํวยเหลือ เก้ือกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกข๑ยาก หรือมีป๓ญหา ใครมีความสามารถพิเศษก็ใช๎ความสามารถนั้นชํวยเหลือ ผ๎อู ื่น เชํน บางคนเปน็ หมอยา กช็ ํวยดแู ลรกั ษาคนเจ็บปวุ ยไมํสบาย โดยไมํคดิ คาํ รกั ษา มแี ตํเพยี งการยกครู หรือ การราลึกถึงครูบาอาจารย๑ที่ประสาทวิชามาให๎เทําน้ัน หมอยาต๎องทามาหากิน โดยการทานา ทาไรํ เล้ียงสัตว๑ เหมือนกับชาวบา๎ นอน่ื ๆ บางคนมคี วามสามารถพิเศษดา๎ นการทามาหากิน กช็ วํ ยสอนลกู หลานให๎มีวิชาไปดว๎ ย ความสัมพนั ธ๑ระหวํางคนกับคนในครอบครัว ในชุมชน มีกฎเกณฑ๑เป็นข๎อปฏิบัติ และข๎อห๎าม อยํางชดั เจน มีการแสดงออกทางประเพณี พิธกี รรม และกจิ กรรมตํางๆ เชํน การรดน้าดาหัวผ๎ูใหญํ การบายศรี สํูขวัญ เป็นตน๎ ความสมั พันธ๑กบั ธรรมชาติ ผ๎ูคนสมัยกํอนพ่ึงพาอาศัยธรรมชาติแทบทุกด๎าน ต้ังแตํอาหารการ กิน เคร่ืองนุํงหมํ ท่อี ยอูํ าศัย และยารกั ษาโรค วิทยาศาสตร๑ และเทคโนโลยียังไมํพัฒนาก๎าวหน๎าเหมือนทุกวันน้ี ยงั ไมมํ ีระบบการคา๎ แบบสมยั ใหมํ ไมํมีตลาด คนไปจับปลาลําสัตว๑ เพื่อเป็นอาหารไปวันๆ ตัดไม๎ เพื่อสร๎างบ๎าน และใช๎สอยตามความจาเป็นเทําน้ัน ไมํได๎ทาเพ่ือการค๎า ชาวบ๎านมีหลักเกณฑ๑ในการใช๎ส่ิงของในธรรมชาติ ไมํ ตัดไม๎อํอน ทาให๎ต๎นไม๎ในปุาขึ้นแทนต๎นที่ถูกตัดไปได๎ตลอดเวลา ชาวบ๎านยังไมํร๎ูจักสารเคมี ไมํใช๎ยาฆําแมลง ฆําหญ๎า ฆําสัตว๑ ไมํใช๎ปุ๋ยเคมี ใช๎ส่ิงของในธรรมชาติให๎เกื้อกูลกัน ใช๎มูลสัตว๑ ใบไม๎ใบ หญ๎าที่เนําเปื่อยเป็นปุ๋ย ทาให๎ดนิ อุดมสมบูรณ๑ น้าสะอาด และไมํเหือดแห๎ง ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติ เชื่อวํา มีเทพมีเจ๎าสถิตอยูํในดิน น้า ปุา เขา สถานท่ีทุกแหํง จะทาอะไรต๎องขออนุญาต และทาด๎วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ๎าน รู๎คณุ ธรรมชาติ ท่ไี ด๎ให๎ชีวิตแกํตน พิธีกรรมตํางๆ ล๎วนแสดงออกถึงแนวคิดดังกลําว เชํน งานบุญพิธี ที่เกี่ยวกับ น้า ข๎าว ปุาเขา รวมถึงสัตว๑ บ๎านเรือน เครื่องใช๎ตํางๆ มีพิธีสํูขวัญข๎าว สูํขวัญควาย สํูขวัญเกวียน ทางอีสานมี พธิ ีแฮกนา หรอื แรกนา เลี้ยงผีตาแฮก มงี านบุญบา๎ น เพื่อเลี้ยงผี หรอื ส่ิงศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ประจาหมํบู ๎าน เป็นต๎น ความสัมพันธ๑กับส่ิงเหนือธรรมชาติ ชาวบ๎านร๎ูวํา มนุษย๑เป็นเพียงสํวนเล็กๆ สํวนหน่ึง ของ จักรวาล ซึ่งเต็มไปด๎วยความเร๎นลับ มีพลัง และอานาจ ท่ีเขาไมํอาจจะหาคาอธิบายได๎ ความเร๎นลับดังกลําว รวมถงึ ญาติพีน่ ๎อง และผูค๎ นทีล่ ํวงลบั ไปแล๎ว ชาวบา๎ นยังสมั พนั ธก๑ บั พวกเขา ทาบุญ และราลึกถึงอยํางสม่าเสมอ ทุกวัน หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกนั้นเป็นผีดี ผีร๎าย เทพเจ๎าตํางๆ ตามความเช่ือของแตํละแหํง ส่ิงเหลําน้ีสิง สถติ อยูํในส่งิ ตํางๆ ในโลก ในจกั รวาล และอยบํู นสรวงสวรรคก๑ ารทามาหากิน

แม๎วิถีชีวิตของชาวบ๎านเมื่อกํอนจะดูเรียบงํายกวําทุกวันน้ี และยังอาศัยธรรมชาติ และ แรงงานเป็นหลัก ในการทามาหากิน แตํพวกเขาก็ต๎องใช๎สติป๓ญญา ที่บรรพบุรุษถํายทอดมาให๎ เพ่ือจะได๎อยูํ รอด ทงั้ นเ้ี พราะปญ๓ หาตาํ งๆ ในอดตี ก็ยงั มไี มนํ ๎อย โดยเฉพาะเม่ือครอบครัวมีสมาชิกมากข้ึน จาเป็นต๎องขยายที่ ทากนิ ต๎องหักรา๎ งถางพง บุกเบิก พนื้ ทท่ี ากนิ ใหมํ การปรับพื้นท่ีป้๓นคันนา เพ่ือทานา ซ่ึงเป็นงานที่หนัก การทา ไรํทานา ปลูกพืชเล้ียงสัตว๑ และดูแลรักษาให๎เติบโต และได๎ผล เป็นงานที่ต๎องอาศัยความร๎ูความสามารถ การ จบั ปลาลําสัตวก๑ ็มวี ธิ กี าร บางคนมคี วามสามารถมากรว๎ู าํ เวลาไหน ท่ีใด และวิธีใด จะจับปลาได๎ดีท่ีสุด คนที่ไมํ เกํงกต็ อ๎ งใชเ๎ วลานาน และได๎ปลาน๎อย การลําสตั ว๑กเ็ ชํนเดียวกัน การจัดการแหลํงน้า เพ่ือการเกษตร ก็เป็นความร๎ูความสามารถ ท่ีมีมาแตํโบราณ คนทาง ภาคเหนือร๎ูจักบริหารน้า เพ่ือการเกษตร และเพื่อการบริโภคตํางๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจัด แบํงป๓นน้ากันตามระบบประเพณีที่ สืบทอดกันมา มีหัวหน๎าท่ีทุกคนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้าตาม สดั สํวน และตามพน้ื ทที่ ากนิ นับเป็นความร๎ูที่ทาให๎ชุมชนตํางๆ ท่ีอาศัยอยูํใกล๎ลาน้า ไมํวําต๎นน้า หรือปลายน้า ได๎รับการแบํงปน๓ น้าอยาํ งยุติธรรม ทกุ คนไดป๎ ระโยชน๑ และอยํูรวํ มกนั อยํางสนั ติ ชาวบ๎านรู๎จักการแปรรูปผลติ ผลในหลายรูปแบบ การถนอมอาหารให๎กินได๎นาน การดองการ หมัก เชํน ปลารา๎ น้าปลา ผกั ดอง ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ปลาแหง๎ เนอ้ื แห๎ง การแปรรปู ข๎าว ก็ทาได๎มากมายนับร๎อย ชนิด เชํน ขนมตํางๆ แตํละพิธีกรรม และแตํละงานบุญประเพณี มีข๎าวและขนมในรูปแบบไมํซ้ากัน ต้ังแตํ ขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอ่ืนๆ ซึ่งยังพอมีให๎เห็นอยูํจานวนหน่ึง ใน ป๓จจุบนั สํวนใหญปํ รบั เปล่ียนมาเป็นการผลิตเพ่อื ขาย หรือเปน็ อุตสาหกรรมในครัวเรอื น ความร๎ูเรื่องการปรุงอาหารก็มีอยํูมากมาย แตํละท๎องถ่ินมีรูปแบบ และรสชาติแตกตํางกันไป มมี ากมายนับร๎อยนับพันชนิด แม๎ในชีวิตประจาวัน จะมีเพียงไมํก่ีอยําง แตํโอกาสงานพิธี งาน เล้ียง งานฉลอง สาคัญ จะมีการจัดเตรียมอาหารอยํางดี และพิถีพิถัน การทามาหากินในประเพณีเดิมนั้น เป็นท้ังศาสตร๑และ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม๎ ไมํได๎เป็นเพียงเพื่อให๎รับประทานแล๎วอรํอย แตํให๎ได๎ความ สวยงาม ทาใหส๎ ามารถสัมผัสกับอาหารน้ัน ไมํเพียงแตํทางปาก และรสชาติของลิ้น แตํทางตา และทางใจ การ เตรียมอาหารเป็นงานศิลปะ ที่ปรุงแตํด๎วยความตั้งใจ ใช๎เวลา ฝีมือ และความร๎ูความสามารถ ชาวบ๎าน สมยั กอํ นสวํ นใหญํจะทานาเป็นหลัก เพราะเมือ่ มีขา๎ วแล๎ว ก็สบายใจ อยํางอ่ืนพอหาได๎จากธรรมชาติ เสร็จหน๎า นาก็จะทางานหัตถกรรม การทอผ๎า ทาเสื่อ เล้ียงไหม ทาเครื่องมือ สาหรับจับสัตว๑ เครื่องมือการเกษตร และ อปุ กรณ๑ตาํ งๆ ทจี่ าเปน็ หรือเตรียมพน้ื ท่ี เพ่อื การทานาครงั้ ตํอไป หัตถกรรมเป็นทรัพย๑สิน และมรดกทางภูมิป๓ญญาที่ย่ิงใหญํที่สุดอยํางหนึ่งของบรรพบุรุษ เพราะเปน็ สอ่ื ที่ถํายทอดอารมณ๑ ความร๎ูสึก ความคิด ความเช่ือ และคุณคําตํางๆ ที่ส่ังสมมาแตํนมนาน ลายผ๎า ไหม ผา๎ ฝูาย ฝมี อื ในการทออยาํ งประณตี รูปแบบเครอื่ งมอื ท่สี านดว๎ ยไม๎ไผํ และอุปกรณ๑ เครื่องใช๎ไม๎สอยตํางๆ เคร่ืองดนตรี เครื่องเลํน สิ่งเหลํานี้ได๎ถูกบรรจงสร๎างขึ้นมา เพ่ือการใช๎สอย การทาบุญ หรือการอุทิศให๎ใครคน หนง่ึ ไมํใชํเพ่ือการค๎าขาย ชาวบ๎านทามาหากินเพยี งเพ่ือการยงั ชพี ไมํได๎ทาเพ่ือขาย มีการนาผลิตผลสํวนหน่ึง ไปแลกสิ่งของท่ีจาเป็น ที่ตนเองไมํมี เชํน นาข๎าวไป แลกเกลือ พริก ปลา ไกํ หรือเสื้อผ๎า การขายผลิตผลมีแตํ เพียงสํวนน๎อย และเมื่อมีความจาเป็นต๎องใช๎เงิน เพ่ือเสียภาษีให๎รัฐ ชาวบ๎านนาผลิตผล เชํน ข๎าว ไปขายใน

เมืองให๎กบั พอํ ค๎า หรอื ขายใหก๎ บั พอํ คา๎ ทอ๎ งถนิ่ เชนํ ทางภาคอีสาน เรียกวํา \"นายฮ๎อย\" คนเหลํานี้จะนาผลิตผล บางอยาํ ง เชํน ขา๎ ว ปลารา๎ ววั ควาย ไปขายในทไ่ี กลๆ ทางภาคเหนือมพี ํอคา๎ ววั ตาํ งๆ เป็นต๎น แม๎วําความรู๎เร่อื งการคา๎ ขายของคนสมัยกํอน ไมํอาจจะนามาใช๎ในระบบตลาดเชํนป๓จจุบันได๎ เพราะสถานการณ๑ได๎เปล่ียนแปลงไปอยํางมาก แตํการค๎าท่ีมีจริยธรรมของพํอค๎าในอดีต ที่ไมํได๎หวังแตํเพียง กาไร แตคํ านงึ ถงึ การชํวยเหลอื แบงํ ป๓นกันเป็นหลัก ยงั มคี ุณคาํ สาหรับป๓จจบุ นั นอกน้ัน ในหลายพื้นท่ีในชนบท ระบบการแลกเปลยี่ นส่งิ ของยังมีอยํู โดยเฉพาะในพนื้ ทีย่ ากจน ซึ่งชาวบ๎านไมํมีเงินสด แตํมีผลิตผลตํางๆ ระบบ การแลกเปล่ียนไมํได๎ยึดหลักมาตราชั่งวัด หรือการตีราคาของส่ิงของ แตํแลกเปล่ียน โดยการคานึงถึง สถานการณ๑ของผ๎ูแลกทั้งสองฝุาย คนที่เอาปลาหรือไกํมาขอแลกข๎าว อาจจะได๎ข๎าวเป็นถัง เพราะเจ๎าของข๎าว คานงึ ถงึ ความจาเปน็ ของครอบครวั เจา๎ ของไกํ ถ๎าหากตรี าคาเป็นเงิน ข๎าวหนงึ่ ถังยํอมมีคาํ สูงกวําไกหํ นงึ่ ตัว การอยรู่ ว่ มกันในสงั คม การอยูํรํวมกันในชุมชนด้ังเดิมนั้น สํวนใหญํจะเป็นญาติพี่น๎องไมํกี่ตระกูล ซึ่งได๎อพยพย๎ายถิ่นฐานมา อยํู หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได๎ท้ังชุมชน มีคนเฒําคนแกํท่ีชาวบ๎านเคารพนับถือเป็นผู๎นาหน๎าที่ ของผู๎นา ไมํใชํการสั่ง แตํเป็นผ๎ูให๎คาแนะนาปรึกษา มีความแมํนยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวิต ตัดสินไกลํเกล่ีย หากเกิดความขัดแย๎ง ชํวยกันแก๎ไขป๓ญหาตํางๆ ท่ีเกิดข้ึน ป๓ญหาในชุมชนก็มีไมํน๎อย ป๓ญหา การทามาหากิน ฝนแล๎ง น้าทํวม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นต๎น นอกจากนั้น ยังมีป๓ญหาความขัดแย๎ง ภายในชุมชน หรือระหวํางชุมชน การละเมิดกฎหมาย ประเพณี สํวนใหญํจะเป็นการ \" ผิดผี\" คือ ผีของบรรพ บุรุษ ผ๎ูซ่ึงได๎สร๎างกฎเกณฑ๑ตํางๆ ไว๎ เชํน กรณีที่ชายหนุํมถูกเนื้อต๎องตัวหญิงสาวท่ียังไมํแตํงงาน เป็นต๎น หาก เกิดการผิดผีขึ้นมา ก็ต๎องมีพิธีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒําคนแกํเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษ มีการวํากลําวส่ัง สอน และชดเชยการทาผิดนั้น ตามกฎเกณฑ๑ที่วางไว๎ ชาวบ๎านอยํูอยํางพึ่งพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข๎ได๎ปุวย ยาม เกิดอุบัติเหตุเภทภัย ยามท่ีโจรขโมยวัวควายข๎าวของ การชํวยเหลือกันทางานท่ีเรียกกันวํา การลงแขก ทั้ง แรงกายแรงใจท่ีมีอยูํก็จะแบํงป๓นชํวยเหลือ เอื้ออาทรกัน การ แลกเปล่ียนสิ่งของ อาหารการกิน และอ่ืนๆ จึง เก่ียวข๎องกับวิถีของชุมชน ชาวบ๎านชํวยกันเก็บเกี่ยวข๎าว สร๎างบ๎าน หรืองานอ่ืนท่ีต๎องการคนมากๆ เพื่อจะได๎ เสร็จโดยเรว็ ไมํมกี ารจา๎ ง กรณตี วั อยาํ งจากการปลูกข๎าวของชาวบา๎ น ถ๎าปหี นึง่ ชาวนาปลูกข๎าวได๎ผลดี ผลิตผลท่ีได๎จะใช๎เพ่ือการ บริโภคในครอบครวั ทาบญุ ท่วี ดั เผอ่ื แผใํ ห๎พ่ีน๎องที่ขาดแคลน แลกของ และเก็บไว๎ เผื่อวําปีหน๎าฝนอาจแล๎ง น้า อาจทํวม ผลิตผล อาจไมํดีในชุมชนตํางๆ จะมีผ๎ูมีความร๎ูความสามารถหลากหลาย บางคนเกํงทางการรักษา โรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเล้ียงสัตว๑ บางคนทางด๎านดนตรีการละเลํน บางคนเกํง ทางด๎านพิธีกรรม คนเหลํานี้ตํางก็ใช๎ความสามารถ เพ่ือประโยชน๑ของชุมชน โดยไมํถือเป็นอาชีพ ที่มี คําตอบแทน อยาํ งมากก็มี \"คาํ ครู\" แตํเพยี งเล็กน๎อย ซ่ึงปกติแล๎ว เงินจานวนนั้น ก็ใช๎สาหรับเคร่ืองมือประกอบ พิธกี รรม หรือ เพ่ือทาบุญทวี่ ัด มากกวําที่หมอยา หรือบุคคลผ๎ูนนั้ จะเก็บไว๎ใช๎เอง เพราะแท๎ที่จริงแล๎ว \"วิชา\" ท่ี ครูถํายทอดมาให๎แกํลูกศิษย๑ จะต๎องนาไปใช๎ เพ่ือประโยชน๑แกํสังคม ไมํใชํเพ่ือผลประโยชน๑สํวนตัว การตอบ แทนจึงไมํใชํเงินหรือส่ิงของเสมอไป แตํเป็นการชํวยเหลือเก้ือกูลกันโดยวิธีการตําง ๆ ด๎วยวิถีชีวิตเชํนนี้ จึงมี คาถาม เพื่อเปน็ การสอนคนรนํุ หลังวํา ถ๎าหากคนหนึง่ จับปลาชํอนตัวใหญํได๎หนึ่งตัว ทาอยํางไรจึงจะกินได๎ท้ังปี

คนสมยั นี้อาจจะบอกวํา ทาปลาเค็ม ปลาร๎า หรือเก็บรักษาด๎วยวิธกี ารตํางๆ แตํคาตอบที่ถูกต๎อง คือ แบํงป๓นให๎ พน่ี ๎อง เพอื่ นบ๎าน เพราะเมือ่ เขาได๎ปลา เขาก็จะทากับเราเชํนเดียวกัน ชีวิตทางสังคมของหมูํบ๎าน มีศูนย๑กลาง อยํทู ่วี ดั กจิ กรรมของสวํ นรวม จะทากนั ท่วี ดั งานบุญประเพณตี ํางๆ ตลอดจนการละเลนํ มหรสพ พระสงฆ๑เปน็ ผ๎ูนาทางจิตใจ เป็นครูทส่ี อนลูกหลานผ๎ชู าย ซึง่ ไปรบั ใชพ๎ ระสงฆ๑ หรอื \"บวชเรยี น\" ทัง้ น้ีเพราะกํอนน้ียงั ไมํมี โรงเรียน วัดจงึ เปน็ ทั้งโรงเรยี น และหอประชมุ เพ่ือกจิ กรรมตาํ งๆ ตํอเม่ือโรงเรยี นมขี นึ้ และแยกออกจากวดั บทบาทของวัด และของพระสงฆ๑ จึงเปลยี่ นไป งานบุญประเพณีในชุมชนแตํกํอนมีอยํูทุกเดือน ตํอมาก็ลดลงไป หรือสองสามหมูํบ๎านรํวมกันจัด หรือ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เชํน งานเทศน๑มหาชาติ ซึ่งเป็นงานใหญํ หมํูบ๎านเล็กๆ ไมํอาจจะจัดได๎ทุกปี งาน เหลํานี้มที งั้ ความเชอื่ พิธกี รรม และความสนกุ สนาน ซง่ึ ชมุ ชนแสดงออกรํวมกนั ระบบคุณคา่ ความเชื่อในกฎเกณฑ๑ประเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนด้ังเดิม ความเช่ือน้ีเป็นรากฐานของ ระบบคุณคําตํางๆ ความกตัญ๒ูรู๎คุณตํอพํอแมํ ปุูยําตายาย ความเมตตาเอ้ืออาทรตํอผ๎ูอ่ืน ความเคารพตํอสิ่ง ศักดิ์สทิ ธิใ์ นธรรมชาติรอบตัว และในสากลจักรวาล ความเชื่อ \"ผี\" หรือสิ่งศักด์ิสิทธ์ิในธรรมชาติ เป็นท่ีมาของการดาเนินชีวิต ท้ังของสํวนบุคคล และของ ชมุ ชน โดยรวมการเคารพในผีปูุตา หรือผีปูุยํา ซ่ึงเป็นผีประจาหมูํบ๎าน ทาให๎ชาวบ๎านมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน เปน็ ลกู หลานของปูุตาคนเดียวกัน รักษาปาุ ที่มบี า๎ นเลก็ ๆ สาหรับผี ปลูกอยูํติดหมูํบ๎าน ผีปุา ทาให๎คนตัดไม๎ด๎วย ความเคารพ ขออนญุ าตเลอื กตัดต๎นแกํ และปลกู ทดแทน ไมทํ ิง้ สิ่งสกปรกลงแมํน้า ด๎วยความเคารพในแมํคงคา กนิ ขา๎ วด๎วยความเคารพ ในแมโํ พสพ คนโบราณกนิ ขา๎ วเสร็จ จะไหว๎ข๎าว พิธีบายศรีสํูขวัญ เป็นพิธีรื้อฟ้ืน กระชับ หรือสร๎างความสัมพันธ๑ระหวํางผ๎ูคน คนจะเดินทางไกล หรือ กลับจากการเดินทาง สมาชิกใหมํ ในชุมชน คนปุวย หรือกาลังฟ้ืนไข๎ คนเหลํานี้จะได๎รับพิธีสูํขวัญ เพื่อให๎เป็น สริ มิ งคล มคี วามอยํูเยน็ เปน็ สขุ นอกนน้ั ยังมีพธิ ีสบื ชะตาชวี ิตของบุคคล หรอื ของชุมชน นอกจากพิธีกรรมกับคนแล๎ว ยังมีพิธีกรรมกับสัตว๑และธรรมชาติ มีพิธีสูํขวัญข๎าว สํูขวัญควาย สูํขวัญ เกวียน เป็นการแสดงออกถงึ การขอบคุณ การขอขมา พิธีดงั กลําวไมํได๎มีความหมายถึงวํา สิ่งเหลํานี้มีจิต มีผีใน ตัวมันเอง แตํเป็นการแสดงออก ถึงความสัมพันธ๑กับจิตและส่ิงศักด์ิสิทธิ์ อันเป็นสากลในธรรมชาติท้ังหมด ทา ให๎ผู๎คนมีความสัมพันธ๑อันดีกับทุกส่ิง คนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ที่มาจากหมํูบ๎าน ยังซ้ือดอกไม๎ แล๎วแขวนไว๎ที่ กระจกในรถ ไมํใชํเพ่ือเซํนไหว๎ผีในรถแท็กซ่ี แตํเป็นการราลึกถึงส่ิงศักดิ์สิทธิ์ ใน สากลจักรวาล รวมถึงที่สิงอยํู ในรถคันนน้ั ผ๎คู นสมัยกํอนมีความสานึกในขอ๎ จากดั ของตนเอง รว๎ู ํา มนษุ ย๑มคี วามอํอนแอ และเปราะบาง หาก ไมรํ กั ษาความสมั พนั ธ๑อนั ดี และไมํคงความสมดุลกับธรรมชาติรอบตัวไว๎ เขาคงไมํสามารถมีชีวิตได๎อยํางเป็นสุข และยืนนาน ผู๎คนทั่วไปจึงไมํมีความอวดกล๎าในความสามารถของตน ไมํท๎าทายธรรมชาติ และสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ มี ความอํอนนอ๎ มถํอมตน และรกั ษากฎระเบยี บประเพณอี ยาํ งเครํงครัด ชีวิตของชาวบ๎านในรอบหนึ่งปี จึงมีพิธีกรรมทุกเดือน เพื่อแสดงออกถึงความเชื่อ และความสัมพันธ๑ ระหวํางผ๎ูคนในสังคม ระหวํางคนกับธรรมชาติ และระหวํางคนกับสิ่งศักด์ิสิทธ์ิตํางๆ ดังกรณีงานบุญประเพณี ของชาวอีสานท่ีเรียกวํา ฮีตสิบสอง คือ เดือนอ๎าย (เดือนที่หนึ่ง) บุญเข๎ากรรม ให๎พระภิกษุเข๎าปริวาสกรรม

เดือนย่ี (เดือนท่ีสอง) บุญคูณลาน ให๎นาข๎าวมากองกันที่ลาน ทาพิธีกํอนนวด เดือนสาม บุญข๎าวจ่ี ให๎ถวาย ข๎าวจี่ (ขา๎ วเหนยี วป๓้นชบุ ไขทํ าเกลอื นาไปยาํ งไฟ) เดือนสี่ บุญพระเวส ให๎ฟ๓งเทศน๑มหาชาติ คือ เทศน๑เร่ืองพระ เวสสันดรชาดก เดือนห๎า บุญสรงน้า หรือบุญสงกรานต๑ ให๎สรงน้าพระ ผ๎ูเฒําผู๎แกํ เดือนหก บุญบั้งไฟ บูชา พญาแถน ตามความเช่ือเดิม และบุญวิสาขบูชา ตามความเช่ือของชาวพุทธ เดือนเจ็ด บุญซาฮะ (บุญชาระ) ให๎บนบานพระภูมิเจ๎าท่ี เล้ียงผีปุูตา เดือนแปด บุญเข๎าพรรษา เดือนเก๎า บุญข๎าวประดับดิน ทาบุญอุทิศสํวน กศุ ลใหญ๎ าติพ่นี ๎องผูล๎ ํวงลับ เดอื นสบิ บุญขา๎ วสาก ทาบุญเชํนเดอื นเกา๎ รวมให๎ผไี มํมญี าติ (ภาคใต๎มีพิธีคล๎ายกัน คือ งานพิธีเดอื นสบิ ทาบญุ ให๎แกบํ รรพบุรุษผู๎ลวํ งลับไปแล๎ว แบํงข๎าวปลาอาหารสํวนหนึ่งให๎แกํผีไมํมีญาติ พวก เดก็ ๆ ชอบแยํงกนั เอาของทีแ่ บงํ ให๎ผไี มมํ ญี าติหรือเปรต เรียกวาํ \"การชิงเปรต\") เดือนสบิ เอ็ด บุญออกพรรษา เดอื นสิบสอง บุญกฐนิ จัดงานกฐนิ และลอยกระทง ภูมปิ ๓ญญาชาวบา๎ นในสังคมปจ๓ จุบัน ภมู ปิ ญ๓ ญาชาวบ๎านไดก๎ ํอเกดิ และสืบทอดกันมาในชุมชนหมูํบ๎าน เมื่อหมํูบ๎านเปลี่ยนแปลงไปพร๎อมกับสังคมสมัยใหมํ ภูมิป๓ญญาชาวบ๎านก็มีการปรับตัวเชํนเดียวกัน ความรู๎ จานวนมากไดส๎ ญู หายไป เพราะไมํมกี ารปฏิบตั ิสบื ทอด เชนํ การรักษาพ้ืนบ๎านบางอยําง การใช๎ยาสมุนไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาท่ีเกํงๆ ได๎เสียชีวิต โดยไมํได๎ถํายทอดให๎กับคนอื่น หรือถํายทอด แตํคนตํอมาไมํได๎ปฏิบัติ เพราะชาวบ๎านไมํนิยมเหมือนเมื่อกํอน ใช๎ยาสมัยใหมํ และไปหาหมอ ที่โรงพยาบาล หรือคลินิก งํายกวํา งาน หันตถกรรม ทอผ๎า หรือเครื่องเงิน เครื่องเขิน แม๎จะยังเหลืออยูํไมํน๎อย แตํก็ได๎ถูกพัฒนาไปเป็นการค๎า ไมํ สามารถรักษาคุณภาพ และฝีมือแบบดั้งเดิมไว๎ได๎ ในการทามาหากินมีการใช๎เทคโนโลยีทันสมัย ใช๎รถไถแทน ควาย รถอแี ตน๐ แทนเกวียน การลงแขกทานา และปลูกสร๎างบ๎านเรือน ก็เกือบจะหมดไป มีการจ๎างงานกันมากขึ้น แรงงานก็หา ยากกวําแตํกํอน ผค๎ู นอพยพยา๎ ยถิ่น บ๎างกเ็ ขา๎ เมือง บ๎างก็ไปทางานที่อื่น ประเพณีงานบุญ ก็เหลือไมํมาก ทาได๎ ก็ตํอเมือ่ ลกู หลานทีจ่ ากบา๎ นไปทางาน กลับมาเยี่ยมบ๎านในเทศกาลสาคัญๆ เชํน ปีใหมํ สงกรานต๑ เข๎าพรรษา เปน็ ต๎น สงั คมสมยั ใหมมํ ีระบบการศึกษาในโรงเรียน มีอนามัย และโรงพยาบาล มีโรงหนัง วิทยุ โทรทัศน๑ และ เครื่องบันเทิงตํางๆ ทาให๎ชีวิตทางสังคมของชุมชนหมูํบ๎านเปลี่ยนไป มีตารวจ มีโรงมีศาล มีเจ๎าหน๎าที่ราชการ ฝุายปกครอง ฝาุ ยพฒั นา และอ่ืนๆ เขา๎ ไปในหมูบํ ๎าน บทบาทของวัด พระสงฆ๑ และคนเฒําคนแกํเร่ิมลดน๎อยลง การทามาหากินก็เปล่ียนจากการทาเพ่ือยังชีพไปเป็นการผลิตเพื่อการขาย ผู๎คนต๎องการเงิน เพ่ือซื้อเคร่ือง บริโภคตํางๆ ทาให๎ส่ิงแวดล๎อม เปล่ียนไป ผลิตผลจากปุาก็หมด สถานการณ๑เชํนน้ีทาให๎ผู๎นาการพัฒนาชุมชน หลายคน ท่ีมีบทบาทสาคัญในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เร่ิมเห็นความสาคัญของภูมิป๓ญญา ชาวบ๎าน หนวํ ยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ให๎การสนับสนุน และสํงเสริมให๎มีการอนุรักษ๑ ฟื้นฟู ประยุกต๑ และค๎นคิดสิ่งใหมํ ความรู๎ใหมํ เพอ่ื ประโยชนส๑ ุขของสังคม

ความเปน็ มาและความสาคัญของการนวดจับเสน้ เพื่อสขุ ภาพ การนวดไทยเป็นท้ังศาสตร๑และศิลปะท่ีมีมาแตํโบราณ เกิดจากสัญชาตญาณเบ้ืองต๎นของการอยํูรอด เม่ือมอี าการปวดเม่ือยหรือเจ็บปุวยตนเองหรือผ๎ูท่ีอยํูใกล๎เคียงมักจะลูบไล๎บีบนวดบริเวณดังกลําว ทาให๎อาการ ปวดเมื่อยลดลง เริ่มแรกๆ ก็เป็นไปโดยมไิ ด๎ตงั้ ใจ ตํอมาเร่ิมสังเกตเห็นผลของการบีบนวดในบางจุด หรือบางวิธี ท่ีได๎ผลจึงเก็บไว๎เป็นประสบการณ๑ และกลายเป็นความรู๎ที่สืบทอดกันตํอๆ มา จากรุํนหน่ึงไปสํูอีกรุํนหน่ึง ความรูท๎ ไ่ี ด๎จงึ สะสมจากลักษณะงํายๆ ไปสูํความสลับซับซ๎อน จนสามารถสร๎างเป็นทฤษฎีการนวด จึงกลายมา เป็นศาสตร๑แขนงหนง่ึ ทีม่ ีบทบาทบาบดั รกั ษาอาการและโรคบางอยําง การนวดไทย หรือ นวดแผนโบราณ เป็นการนวดชนิดหน่ึงในแบบไทย ซึ่งเป็นศาสตร๑บาบัดและรักษา โรคแขนงหนึ่งของการแพทย๑แผนไทย โดยจะเน๎นในลักษณะการกด การคลึง การบีบ การดัด การดึง และการ อบ ประคบ ซึ่งรู๎จักกันโดยทั่วไปในช่ือ \"นวดแผนโบราณ\" โดยมีหลักฐานวํานวดแผนไทยน้ันมีประวัติมาจาก ประเทศอนิ เดีย โดยเช่ือวํานําจะมีการนาการนวดเข๎ามาพร๎อมกับการเผยแผํพระพุทธศาสนา และมีการนาเข๎า มาในประเทศไทยเม่ือใดนั้นไมํปรากฏหลักฐานชัดเจน จากน้ันได๎ถูกพัฒนาและปรับปรุงแก๎ไขให๎เข๎ากันกับ วฒั นธรรมของสังคมไทย จนเป็นรปู แบบแผนที่เปน็ มาตรฐานของไทยและสํงทอดมาจนถึงปจ๓ จุบนั การนวดจับเส๎น ถือเป็นการนวดแผนไทยหรือแผนโบราณประเภทหน่ึงที่แตกแขนงออกมา การนวด จับเส๎นน้ัน เป็นการนวดพื้นบ๎านท่ีเน๎นหนักเก่ียวกับการนวดเส๎น เป็นการนวดเพ่ือบาบัดอาการปวดเม่ือย เฉพาะจุด หรือตามข๎อตํอ การยึดติดของพังผืดของรํางกายให๎ทุเลา ผํอนคลาย การนวดจับเส๎นจึงเป็นการ นวดแผนไทยประเภทหน่ึงท่ีได๎รับความนิยมและมีการเรียนรู๎เผยแพรํทั่วทุกภูมิภาค อีกทั้งที่เป็นการนวดท่ี สามารถประยุคใชป๎ รบั เปลีย่ นกับสถานที่และสถานการณต๑ าํ งๆไดง๎ าํ ย จึงยังมีผ๎ูสืบทอดและเป็นที่นิยมมาจนถึง ป๓จจบุ นั นางจาปี ดีเหมือน นักเรียนผ๎ูสูงอายุโรงเรียนผู๎สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น อาเภอวังน้าเย็น จังหวัดสระแก๎ว ได๎ย๎ายภูมิลาเนามากับสามีจากบ๎านกูดหมากไฟ ตาบลอูบมุง อาเภอหนองวัวซอ จังหวัด อุดรธานี เป็นผู๎ถํายทอดภูมิป๓ญญาศึกษาเร่ืองการนวดจับเส๎นเพื่อสุภาพนี้ ซึ่งเป็นการนาความร๎ูเกี่ยวกับการ นวดจับเส๎นซึ่งเป็นการนวดแผนโบราณมาจากบรรพบุรุษสืบทอดตํอๆ กันมา จากการที่นวดเพราะคาส่ังของ พํอและแมํ ปุูยํา ตายาย เม่ือเกิดอาการปวดเมื่อยจากการทานาซ่ึงเป็นอาชีพหลักของครอบครัว เป็นการ นวดจากการบอกเลํา แนะนา สั่งสอน จนเกิดเป็นทักษะ หลังจากการที่ได๎ย๎ายภูมิลาเนามากับสามีเพราะ สาเหตจุ ากความแห๎งแล๎งทามาหากินลาบากของภูมิลาเนาเดิมตํอมาเม่ือย๎ายมาอยํูวังน้าเย็นเป็นเวลานาน ทา อาชีพทานาเชํนเดิมซึ่งเป็นอาชีพเดิมท่ีพํอแมํสั่งสอนมา แตํการนวดจับเส๎นก็ยังคงได๎ใช๎ท้ังเพ่ือชํวยบรรเทา อาการปวดเม่ือยของสามีจากการทานา ก็ยังได๎นวดให๎กับเช๎าบ๎านในระแวงเดียวกันอีกด๎วย จึงเกิดเป็นความ ชานาญ อีกทั้งทักษะและความชานาญท่ีมีอยํูยังได๎ผสมผสานกับความรู๎ในการนวดแผนไทยที่ได๎รับการอบรม เพ่ิมเติมจากสาธารณสุขท่ีภูมิลาเนาเดิมจากการกลับไปเย่ียมเยือนบ๎านเกิด จากในอดีตจนถึงป๓จจุบันเกิดเป็น วิธกี ารนวดทเี่ ปน็ เอกลักษณ๑และความชานาญเฉพาะตัวเปน็ ระยะเวลากวํา 40 ปี ดังนนั้ การศึกษาถูมิปญ๓ ญาท๎องถ่ินการนวดจบั เสน๎ เพอ่ื สขุ ภาพน้ี ผ๎ถู ํายทอดหวังวําจะได๎รับการสืบทอด ความร๎ูท้ังทางศาสตร๑บาบัดและการรักษาโรคแผนโบราณของไทยและสิ่งท่ีถูกถํายทอดจากบรรพบุรุษ ภมู ปิ ๓ญญาท๎องถนิ่ นี้จะยังคงอยูใํ นวัฒนธรรมและการดารงชวี ติ ของคนรนํุ ตํอๆ ไป

ประวัติการนวดแผนโบราณ จากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร๑ท่บี ันทึกเรือ่ งราวเกี่ยวกับการนวดไทยที่เกําแกํที่สุด คือ ศิลาจารึกสมัย สุโขทยั ท่ีขดุ พบในปาุ มะมวํ ง ซ่ึงตรงกบั สมยั พอํ ขุนรามคาแหง ซ่งึ ไดจ๎ ารกึ รูปการรกั ษาโรคด๎วยการนวดไว๎ ตํอมาในสมัยอยุธยามีหลักฐานท่ีปรากฏอยํางชัดเจนเก่ียวกับการนวดไทยในปี พ.ศ. 1998 ในรัชสมัย ของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ โดยมีพระราชกฤษฎกี าแบงํ หนา๎ ทข่ี องแพทย๑ตามความชานาญเฉพาะทาง โดย แยกเป็นกรมตํางๆ เชํน กรมแพทยา กรมหมอยา กรมหมอกุมาร กรมหมอนวด กรมหมอตา กรมหมอวัณโรค โรงพระโอสถ นอกจากนี้ยังได๎มีการกาหนดศักดินาและดารงยศตาแหนํงเป็น หลวง ขุนหม่ืน พัน และ ครอบครองทนี่ าตามยศและศักดินาท่ีดารง ซึ่งปรากฏอยูํในกฎหมาย \"นาพลเรือน\" ตํอมาในรัชสมัยของสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช ซ่ึงเป็นยุคที่การนวดไทยรํุงเรืองมาก โดยปรากฏในจดหมายเหตุของราชทูตจากประเทศ ฝร่งั เศสช่ือ ลา ลู แบร๑ ในปีพ.ศ. 2230 วํา “ในกรุงสยามนั้น ถ้าใครป่วยไข้ลง ก็จะเริ่มทาเส้นสายยืด โดยให้ผู้ชานาญทางนี้ขึ้นไปบน ร่างกายของคนไข้ แล้วใช้เท้าเหยียบ กล่าวกันว่าหญิงมีครรภ์มักใช้ให้เด็กเหยียบเพ่ือให้คลอดบุตรง่ายไม่พัก เจบ็ ปวดมาก” ตํอมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล๎าเจ๎าอยูํหัว (รัชกาลที่ 3) ราว พ.ศ. 2375 ทรงให๎วัดโพธ์ิ (วัด พระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ในป๓จจุบัน) เป็นมหาวิทยาลัยของปวงชน ทรงให๎เลือกสรรและ ปรับปรุง ตารายาสมุนไพรรอบพระอาราม และทรงโปรดให๎ป๓้นรูปฤๅษีดัดตนซึ่งเป็นรูปหลํอด๎วยสังกะสีผสม ดีบุกเพ่ิมเติม จนครบ 80 ทํา พร๎อมโปรดให๎เขียนโคลงอธิบายทําเหลํานั้น แก๎โรคน้ัน จนครบ ๘๐ ทํา และ จารึกสรรพวชิ าการนวดไทยลงบนแผนํ หนิ ออํ น 60 ภาพ แสดงถงึ จุดนวดอยาํ งละเอยี ดประดบั บนผนังศาลาราย และบนเสาภายในวดั โพธิ์ ถอื ได๎วาํ เปน็ การรวบรวมองค๑ความรดู๎ า๎ นการนวดไทยไว๎อยํางเป็นระบบ ตํอมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล๎าเจ๎าอยูํหัว (รัชกาลท่ี 5) ราว พ.ศ. 2449 ทรงให๎กรม หมื่นภูบดีราชหฤทัย กรมหมื่นอักษรสาสน๑โสภณและหลวงสารประเสริฐ ได๎ชาระตาราการนวดแผนไทย และ เรียกตาราฉบับน้ีวํา “ตาราแผนนวดฉบับหลวง” ตารานวดน้ีใช๎เรียนในหมํูแพทย๑หลวง หรือแพทย๑ใน พระราชสานัก และในในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล๎าเจ๎าอยํูหัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล๎าเจ๎าอยํูหัวน้ัน ผู๎ที่มีช่ือเสียงมากในการนวดในขณะน้ันคือ หมออินเทวดา ซึ่งเป็นหมอนวดในราชสานัก ได๎ ถาํ ยทอดวิชานวดทงั้ หมดใหแ๎ กํบุตรชายคือ หมอชิต เดชพันธ๑ ซ่ึงตํอมาได๎ถํายทอดความร๎ูให๎แกํลูกศิษย๑ ความร๎ู เกย่ี วกับการนวดแผนโบราณนั้นเร่ิมแพรหํ ลายและเปดิ กว๎างสาหรบั บคุ คลทัว่ ไปเมื่อประมาณ 30 ปมี าน้ี การนวดไทยแบงํ เปน็ 2 สาย คอื สายราชสานกั และสายเชลยศักดิ์ 1. การนวดแบบราชสานัก (The Royal massage) เนื่องจากกลุํมเปูาหมายของการนวดน้ีคือ เจ๎านายชน้ั ผ๎ูใหญํ ผมู๎ ยี ศถาบรรดาศกั ดท์ิ ่ีอยํูในรั้วในวัง ฉะนั้นการนวดจึงถูกออกแบบที่เน๎นการใช๎นิ้วมือและมือ เทําน้ัน และทํวงทําท่ีใช๎ในการนวดมีความสุภาพเรียบร๎อย มีข๎อกาหนดในการเรียนมากมาย ผ๎ูที่เชี่ยวชาญทาง วชิ าชพี ด๎านน้ี จะไดท๎ างานอยใํู นรวั้ ในวงั เป็นหมอหลวง มีเงินเดอื นมียศมตี าแหนํง การนวดแบบราชสานักนั้นเป็นการนวดท่ีสุภาพผํอนคลาย โดยใช๎อุ๎งมือและนิ้วกดไปตามแนว เส๎นประสาทหลักหรือที่เรียกวําเส๎นประธานทั้งสิบ เพื่อปรับความสมดุลของธาตุท้ังสี่ คือ ดิน น้า ลม ไฟ ในระบบตําง ๆ ของรํางกาย เป็นการนวดที่ใช๎หลักการสมาธิบาบัดโดยมีรากฐานจากศาสตร๑องค๑รวม (รํางกาย จิต วิญญาณ) โดยเฉพาะนักทํองเท่ียวตํางชาติชอบให๎ใช๎ลูกประคบสมุนไพรผสมผสานกับการนวดชนิดน้ี การ นวดแบบราชสานกั หมายถึงการกระทาตํอรํางกายมนุษย๑โดยการนวดด๎วยนิ้วมือและมือตามศาสตร๑และศิลป์ที่ สืบทอดกันมาจากการแพทย๑แผนไทยท่ีเคยปฏิบัติงานอยูํในราชสานัก กลุํมเปูาหมายของการนวดน้ีคือ เจ๎านายชั้นผู๎ใหญํ ผ๎ูมียศถาบรรดาศักด์ิท่ีอยูํในรั้วในวัง หรือการถวายการนวดแดํกษัตริย๑ ดังนั้นผู๎นวดต๎องมี

ความสุภาพเรียบร๎อยมีมารยาทดีมีความเคารพ มีความอํอนน๎อมถํอมตน โดยจะใช๎น้ิวมือและมือเทําน้ัน การเรียนการสอนแบบเข๎มข๎น มีการเรียนทฤษฎีทางด๎านโครงสร๎างของรํางกาย การนวดด๎วยแรงเทําใด ตาแหนํงไหนเวลาเทําใด พร๎อมท้ังสอนมารยาท มีการสาธิตภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎีอยํางจริงจัง ใช๎เวลา เรียน 3-5 ปี จนกวําครูผ๎ูสอนจะพอใจในฝีมือจึงจะยอมให๎ออกไปเป็นหมอนวด การเรียนการสอนน้ีอยูํที่ โรงเรยี นอายุเวทวทิ ยาลยั (ชวี กโกมารภัจจ)๑ นอกจากนี้โรงเรียนอายรุ เวทธารง ได๎นาการนวดแบบราชสานักมา สอนในหลักสูตรตั้งแตํเร่ิมต้ังโรงเรียนเม่ือปี พ.ศ.2525 โดยอาจารย๑ณรงค๑สักข๑ บุญรัตนหิรัญแพทย๑แผนไทย ผู๎รับการถํายทอดวิชาความร๎ูเรื่องการนวดไทยจากหมอหลวงปฏิบัติงานใน ราชสานักการบาบัดจะใช๎เฉพาะ น้ิวมือและมือกดนวดไปตามแนวเส๎นและจุดสัญญาณตามสํวนตําง ๆ ของรํางกาย ใช๎ทําทาง องศาของผ๎ูนวด เพ่ือกาหนดทิศทางและขนาดของแรงที่ใช๎ในการนวด ดังน้ันการเรียนการนวดไทยแบบราชสานัก ผ๎ูเรียนต๎อง ฝึกกาลังเน้ือมือ เชํน การบีบเทียนขี้ผึ้ง การยกกระดานผู๎ฝึกจะน่ังขัด สมาธิเพชร ใช๎น้ิวมือท้ังสองข๎างวางไว๎ ข๎างตน๎ ขา กดพืน้ ในลกั ษณะโหยงํ นิ้วมือ ยกตัวให๎ลอยเหนือพ้ืน แล๎วนิ่งไว๎ให๎ได๎นานประมาณ 60 วินาที และ แพทย๑แผนไทยผน๎ู วดต๎องไหว๎เพือ่ ขอโทษผ๎ปู ุวยท่ถี กู เนอ้ื ต๎องตัว ในการนวดสัมผัสกับผ๎ูถูกนวดจะไมํใช๎ศอก เขํา เท๎า มีการตรวจวนิ ิจฉัยโรคกํอน เชํน วัดความดันโลหิต จับชีพจรท่ีข๎อมือและหลังเท๎าเพ่ือตรวจดูลมเบื้องสูง และลมเบ้อื งต่าตามทฤษฏีการแพทยแ๑ ผนไทย เพือ่ ใหร๎ ก๎ู าลังเลือดและลมของผร๎ู ับการบาบัด 2. การนวดแบบเชลยศักด์ิ หรือการนวดแบบทั่วไป (The traditional massage) เป็นการ นวดที่ใช๎ในระดับชาวบ๎านด๎วยทําทางทั่วไป ไมํมีแบบแผนหรือพิธีรีตองในการนวดมากนัก อีกทั้งยังสามารถใช๎ อวัยวะอ่ืนๆ เชํน เขํา ศอก เท๎า เพื่อชํวยทํุนแรงในการนวดได๎ ซ่ึงเป็นข๎อแตกตํางจากการนวดแบบราชสานักที่ เนน๎ การใช๎มือเพยี งอยํางเดียว การนวดแบบเชลยศักด์ิ หรือการนวดแบบทั่วไป ใช๎หลักของทําฤๅษดี ดั ตน เป็นการฟื้นฟูทางกายภาพ ของโครงสร๎างกระดูกและกล๎ามเนื้อ รวมทั้งปรับระบบไหลเวียนกลํุมเปูาหมายคือชาวบ๎านบุคคลท่ัวไป ไมํมี ยศศักด์ิอะไร ดังน้ันแนวทางการนวดคํอนข๎างเป็นกันเอง ไมํต๎องมีความสุภาพมากมายนัก นวดตาม วัฒนธรรมท๎องถ่นิ สามารถใชท๎ ั้งมอื เท๎า ศอก เขํามีท้งั การดัด การดึง กด คลึง การประคบและใช๎เทคนิคตําง ๆ ได๎อยํางครบถ๎วน รวมถึงการบิด เขํายัน ถีบ ยืดตัว โดยไมํมีข๎อกาหนดยกเว๎นแตํอยํางใด อาจมีหมอนวด 2 คนชํวยกันนวดผ๎ูรับการบาบัดคนเดียวได๎ และมีความใกล๎ชิดกับผ๎ูถูกนวดมากกวํา การเรียนการสอนไมํ เครํงครัดมากนัก ใครอยากเรียนก็สมัครเรียนได๎ เป็นการเรียนแบบตัวตํอตัว เน๎นภาคปฏิบัติมากกวํา ระยะเวลาเรียนแล๎วแตํตกลงกับอาจารย๑ผ๎ูสอน เรียนจบอาจารย๑พิจารณาวําจบหลักสูตรออกเป็นหมอนวดได๎ การเรียนการสอนแบบนอี้ ยวํู ดั โพธิ์ วัดสามพระยา และวัดปรินายก เป็นต๎น ภาพแผนผงั การกดจุดตํางๆ ในราํ งกายที่ วัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลารามหรือวดั โพธ์ิ (ทีม่ า : https://th.wikipedia.org/wiki/การนวดแผนไทย)

ขอ้ ควรรู้ก่อนจะไปนวดแผนไทย ทกุ วนั นีเ้ วลาเดินไปไหนมาไหนในสถานทที่ ่ีเราพบเจอกันบอํ ย กเ็ ห็นจะเปน็ รา๎ นนวดแผนไทย เน่ืองจาก การนวดไทยน้ันกาลังเป็นท่ีนิยมในทั้งหมูํคนไทย และชาวตํางประเทศ ด๎วยความท่ีการนวด โดยเฉพาะนวด แผนไทย วํากันวาํ สามารถชวํ ยเรอ่ื งสุขภาพแบบครบครนั แถมยงั ให๎ความผํอนคลาย ได๎เป็นอยํางดี โดยหาร๎ูไมํ วําวธิ กี ารบาบดั ราํ งกายจากความเมอ่ื ยล๎า และโรคบางอยํางด๎วยการนวดน้ัน ใชํวําจะมีแตํข๎อดีเสมอไป อยําง กับสานวนท่ีวํา “ลางเน้ือชอบลางยา” (การรักษาบางอยํางก็เพียงแตํจะเหมาะกับบุคคลบางประเภท ทั้งน้ีก็ ต๎องดูเปน็ กรณไี ป รํางกายของแตํละคาตอบสนองการรักษาเดียวกันคนละแบบ) การนวดแผนไทยก็เหมือนกัน แม๎วําจะมีข๎อดีอยูํมาก แตํก็ใชํวําจะไมํมีข๎อเสียเลย กํอนเข๎ารับการนวด ผ๎ูนวดควรจะต๎องศึกษาข๎อมูลเร่ือง ประโยชน๑ และโทษให๎ดีเสียกํอน เพื่อปูองกันอันตราย หรือความเสียหายบางอยํางท่ีอาจเกิดขึ้นกับรํางกายได๎ ดังน้ี 1. เราต๎องเข๎าใจกํอนวําการนวดแผนไทยนั้นสามารถที่จะให๎โทษแกํรํางกายเราได๎ เหมือนกัน ถ๎าการนวดกระทาข้ึนอยํางผิดวิธี อยํางเชํน ผ๎ูนวดไมํมีความชานาญพอ ตัวเราเองมีโรค ประจาตวั บางอยาํ งที่อาจตอบสนองการนวดออกมาในแบบที่เลวร๎าย รุนแรงได๎ ข๎อเสียของการนวดท่ี พบบํอยก็คือ อาการฟกช้าจากการนวดที่แรงเกินไป อาจทาให๎เกิดกล๎ามเน้ืออักเสบ บวมแดง หาก เกิดขึน้ ซ้า ๆ บํอยๆ ข้นึ จะทาให๎เกดิ พงั ผดื จนตอ๎ งไปผําตดั ออกได๎ 2. ใครทม่ี ีโรคประจาตวั ตอํ ไปน้คี วรจะตอ๎ งงด หรือระมดั ระวังใหม๎ ากในระหวํางการนวด เพราะการกระต๎นุ การไหลเวยี นโลหติ หรือการยืดดัดกล๎ามเนอื้ และเส๎นเอน็ น้ัน อาจทาให๎รํางกายได๎รับ บาดเจ็บได๎ โรคท่ีวํามีดังตํอไปนี้ โรคความดันโลหิต, โรคหัวใจ, โรคกระดูดพรุน, โรคเกี่ยวกับระบบ ประสาท โดยเฉพาะไขสันหลัง, โรคข๎อตํอหลวม, โรคหลอดเลือด หรือน้าเหลืออุดตัน, โรคเบาหวาน เปน็ ตน๎ ทัง้ น้กี ไ็ มใํ ชวํ าํ ผ๎ูเปน็ โรคเหลํานไ้ี มํสามารถนวดแผนไทยได๎ เพียงแคํควรปรึกษาแพทย๑ประจาตัว กํอน วาํ สามารถท่ีจะนวดแผนไทย แบบกดจดุ ยืดเสน๎ ไดห๎ รือไมํ เพื่อปูองกันเอาไว๎ ไมํให๎เกิดอาการฟก ช้า ระบบหมุนเวียนเลอื ดแปรปรวนหรือกระดกู หกั 3. ผ๎ทู ม่ี ีบาดแผล หรอื บาดแผลตดิ เช้ือ การนวดแผนไทยจะทาให๎แผลลุกลาม และเสี่ยง ตอํ การติดเชื้อมากข้ึน โดยเฉพาะกับอุปกรณ๑ หมอน ผ๎าปู ตําง ๆ ควรจะเลือกเข๎ารับการนวดจากร๎าน ทมี่ อี นามยั ทดี่ ี 4. ข๎อนี้อาจจะดูขัดเสียนิดหน่ึง เน่ืองจากเหตุผลสํวนใหญํที่คนไปนวดกันน้ันก็เป็น เพราะวาํ ตอ๎ งการจะผอํ นคลายความปวด เม่ือยล๎า แตํสาหรับคนท่ีมีอาการปวดเม่ือยล๎ามากจนเกินไป การนวดดูจะไมํได๎เป็นทางออกท่ีดีคํะ เพราะนอกจากจะไมํชํวยให๎หายปวดแล๎ว อาจทาให๎อาการทรุด หนักไปอกี อาการปวดเมือ่ ยจนเกนิ ไปท่ีวํา มดี ังน้ี 4.1) อาการปวดหัวที่เกิดจากไซนัสอักเสบ อาจทาให๎การมองเห็นไมํชัด เกิดภาพซ๎อน มีอาการอาเจยี นแทรกซอ๎ น 4.2) อาการปวดคอท่รี ๎าวชาไปจนถงึ บาํ ไหลํ มีอาการแขนขาไมมํ แี รงรวํ มดว๎ ย 4.3) อาการปวดไหลํ หรอื แขนขา ทีไ่ มํสามารถขยับไหลํ หรือแขนขาได๎ หัวไหลํ หรือแขนขามี อาการบวมแดง ร๎อน ปวดรา๎ ว 4.4) อาการปวดหลังที่ร๎าวเสียวไปจนถึงสะโพก แขนขาชา มีอาการจับไข๎หนาวส่ัน ท้ังสี่ อาการเหลํานี้ ไมํควรรักษาด๎วยการนวดแผนไทยนะคะ ควรไปพบแพทย๑ หรือปรึกษาผู๎เช่ียวชาญเรื่องแพทย๑ ทางเลอื ก (ในกรณีท่ใี ครชอบแบบออกแนววิถีชาวบา๎ น) วําควรจะทาการรักษาอยํางไร เพื่อท่ีจะได๎ทาการรักษา ได๎อยํางถูกตอ๎ งเหมาะสม

อาการข๎างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได๎ สาหรับผู๎นวดที่มีป๓ญหาหลอดเลือดหรือความดันโลหิต การนวด แผนไทยอาจทาใหเ๎ กิดอาการหลอดเลอื ดแตกหรืออักเสบได๎ แยํไปกวํานั้นอาจทาให๎เกิดความดันโลหิตสูงข้ึนอีก ได๎ด๎วย นอกจากนั้นการนวดแผนไทยอาจทาให๎เกิดการอักเสบ ติดเชื้อของกล๎ามเนื้อ เน้ือเย้ือ หรืออวัยวะ ภายในอยํางไส๎ติ่ง หรือกระเพาะอาหารได๎ หากผู๎นวดไมํมีความร๎ูพอ แล๎วทาการนวดอยํางผิดรูปแบบ ซึ่งใน กรณีทแ่ี ยํที่สุดอาจทาใหเ๎ กิดอมั พาตได๎เลย ความรู้และทกั ษะพน้ื ฐานสาหรับการนวดแผนไทย การนวดรักษาโรค/อาการตําง ๆ แพทย๑ผ๎ูให๎การบาบัดต๎องเรียนรู๎วําจะใช๎วิธีการนวดพื้นฐานแบบใด รํวมกับการกดจดุ สญั ญาณใด ความรู๎และทักษะพ้ืนฐานสาหรับการนวดไทยแบบราชสานักเพ่ือรักษาโรค มีอยํู 2 ประการ คอื 1. การนวดพ้ืนฐาน หมายถึงการนวดตามแนวเส๎นและตาแหนํงตําง ๆ ของรํางกายเพ่ือกระต๎ุน กล๎ามเนอื้ ระบบไหลเวียนเลือดและน้าเหลือง และระบบประสาทให๎ทางานดีข้ึน เป็นการเตรียมความพร๎อม กอํ นการนวดกดจดุ สญั ญาณในข้นั ตอนตํอไป เพ่ือเพม่ิ ประสิทธภิ าพการนวดรกั ษา 2. การนวดจุดสญั ญาณ หมายถึงการกดนวดทีจ่ ุดสัญญาณ ซึ่งสํวนใหญํอยูํตามแนวเส๎นพ้ืนฐาน เพื่อ กระตุ๎นพลังประสาทและเพ่ือจําย/บังคับเลือดและความร๎อนไปยังตาแหนํงตําง ๆ ของรํางกายจุดสัญญาณท่ี เป็นจดุ หลักหรอื ที่เรยี กกันวาํ จดุ สญั ญาณแมํ มีอยูํ 50 จุด สวํ นสญั ญาณลกู ใช๎กับบางโรคเทาํ น้ัน นวดแผนไทย(กดจดุ จบั เสน้ ) แบํงออกเป็นการนวดราชสานัก และการนวดเชลยศักด์ิ (การนวดพื้นบ๎านท่ัวไป) การนวดแผนไทย แบงํ ออกเป็น 3 ลักษณะ ดงั น้ี 1.1 การนวดแบบยืดหรือดัด เป็นการผสมผสานการบริหารรํางกายตนเอง การนวดแบบดัด ลาตวั แขน ขา เพ่ือให๎กล๎ามเน้ือ เส๎นเอ็นยืดตัว กระดูกและข๎อตํออยํูในตาแหนํงท่ีถูกต๎อง ผังพืดให๎ยืดคลายให๎ ความร๎ูสึกสบายผํอนคลาย ป๓จจุบันการรามวยจีนหรือไท๎เก็กได๎มีการนาอุปกรณ๑ตําง ๆ มาประกอบกับทํา บรหิ ารราํ งกาย ซงึ่ เป็นการคลายเสน๎ คลายความตึงของกล๎ามเนอื้ และเสน๎ เอน็ 1.2 การนวดแบบจับเส๎น เป็นภูมิป๓ญญาท๎องถิ่น การนวดโดยใช๎น้าหนักกดลงตามเส๎นเอ็นหรือ กล๎ามเนื้อท่ีเจ็บปวด เนื่องจากอาการเมื่อยล๎า หรือเจ็บปวดจากการพลิก หรือการหดตัวขยายตัวท่ีผิดจังหวะ ของกล๎ามเน้ือและเส๎นเอ็น การนวดจะนวดไลํตามเส๎นเอ็นหรือกล๎ามเน้ือท่ีมีป๓ญหา เพ่ือให๎อาการเจ็บปวด บริเวณน้ันผอํ นคลายและกลบั คนื สูํอาการปกติ การนวดแบบจบั เสน๎ ตอ๎ งอาศยั ความเชีย่ วชาญของผู๎นวด 1.3 การนวดแบบกดจุด เป็นการนวดลักษณะการผสมผสานแนวคิดของความสัมพันธ๑ระหวําง อวัยวะของราํ งกายกบั ตาแหนํงหรอื จุดตําง ๆ บนราํ งกายท่ีเชื่อมตํอกัน โดยใช๎น้าหนักกดลงบนจุดของรํางกาย การนวดแบบกดจุดเกิดจากประสบการณ๑และความเชื่อ สามารถกระต๎ุนการทางานของอวัยวะสํวนตํางๆได๎ เชํน การนวดฝาุ เทา๎ เพอื่ แกป๎ ญ๓ หาการทางานผิดปกตขิ องไต วิธีการนี้มีลักษณะและแนวคิดคล๎ายกับการฝ๓งเข็ม ของจนี ตามหลักวชิ าการแพทย๑แผนไทยน้ัน รํางกายคนเราประกอบด๎วย \"เส้น\" หรือ \"เอ็น\" หรือ \"เส้นเอ็น\" จานวนมาก ภายในเส๎นเหลาํ น้ี จะเป็นทางไหลเวยี นของ \"เลอื ด\" และ \"ลม\" ซึ่งในภาวะปกติจะไหลเวียนอยําง สมดุล หากมีการอุดกั้น หรือขดั ขวางการไหลเวยี นของเลอื ด และลม ดังกลําว ก็จะทาให๎เกิดความเจ็บปุวยและ มีอาการผิดปกติตํางๆ เกิดข้ึน เชํน ปวดเม่ือย มึนงง ท๎องอืดเฟูอ แพทย๑แผนไทยก็จะบาบัดความเจ็บปุวยหรือ

อาการตาํ งๆ ด๎วยการใชย๎ า หรือดว๎ ยการนวด โดยการกด คลึง บีบ ดัด และดึง ตามจุดและเส๎นที่เกี่ยวข๎อง เพ่ือ กระต๎ุนให๎เลือดและลมไหลเวยี นเป็นปกติ การนวดจับเส๎นมี 6 แบบ 1. เส้นลอย ลักษณะของเส๎นลอย จะร๎อนตรงจุดท่ีปวดเมื่อยโดยไมํมีสาเหตุจากอุบัติเหตุหรือตก กระแทก หากเราปวดเมอ่ื ยตรงไหนนวดอยํางไรกไ็ มหํ ายกเ็ รียกวําเสน๎ ลอย 2. เสน้ จม แยกได๎ 2 แบบ ได๎แกํ 2.1) เส๎นจมอยํางเดียว ลักษณะ คือมีรอยบ๐ุมตามเส๎น หรือแนวเส๎นนิ่ม หรือตามเส๎นตาม กล๎ามเนื้อหมดแรง หรือเม่ือยลึก ๆ เจ็บติด ๆ ขัด ๆ วิธีการจะใช๎เทคนิคของการเขยําเส๎นให๎น่ิม แล๎วงัดเส๎น ขึน้ มา ซึ่งจะทาใหเ๎ ส๎นเตม็ หากมีรอยบม๐ุ จะหายไป 2.2) เส๎นจมผสมเส๎นลอย ในสํวนของเส๎นจมผสมเส๎นลอย ลักษณะอันน้ี คือไมํใชํเส๎นจมที่ นวดได๎ เวลาแตะไปยังไมํไดน๎ วดจะร๎องเจบ็ เลย 3. เสน้ ติด คือ เส๎นติดกระดูก ลักษณะคือ จะปวดเม่ือยมากนวดอยํางไรก็ไมํหาย ทรมานมาก ต๎องงัด ออกจากกระดูกให๎ได๎ ลักษณะการงัดถ๎างัดคร้ังเดียวให๎หลุดเลยจะเจ็บมาก หากงัด 2 ถึง 3 ครั้งจะเบาหนํอย หมอจะถามผ๎ูปุวยวํากลัวเจ็บไหม หากกัดฟ๓นทนยอมเจ็บครั้งเดียวก็จะหาย หากกลัวเจ็บจะต๎องทาถึง 2 ถึง 3 คร้งั ก็จะหลดุ 4. เส้นตก คือ อาการปวดตามข๎อตําง ๆ น้ิวมือ น้ิวเท๎า กระดูกไขสันหลังนวดอยํางไรก็ไมํหาย เส๎น หยอํ นเคลอื่ นลงไปในรํองเรียกวําเส๎นตก เทคนิคอันน้ีจะยากมาก ใช๎แคํปลายนิ้วคํอย ๆ คลึงเบา ๆ จนหลุดขึ้น มาถึงจะหาย 5. เส้นพลิก คอื กระดูกพาเส๎นพลิกไปได๎ ลักษณะ คือ ข๎อเท๎าแพลง หรือคอตกหมอน ลักษณะเราทา ใหก๎ ระดูกเคลอื่ นพาเส๎นเราไปดว๎ ย วิธแี ก๎ คือการจดั กระดกู กอํ น จากนนั้ คอํ ย ๆ จับเส๎นกลบั ทีเ่ ดิม 6. ลมเข้าเส้น ลักษณะจะแสดงออกถึงอาการบวม กดบ๐ุม คือ มีลม สังเกตเห็นได๎งําย อาจจะเกิดอยํู ทั่วไป ลมขัดอยูํตามเส๎น พาเส๎นบวมข้ึนมา อาจจะเป็นตามท๎องทาให๎ท๎องตึง แนํนตามแขนขา แก๎โดยวิธีการ เปดิ ประตลู ม ไลลํ มตามเส๎น หากถกู วิธจี ะมีการผายลมยาวรํวมด๎วย เสน๎ ประธานสบิ เส้นประธานสิบ เป็นเส๎นหลักท่ีสาคัญของรํางกาย มีรวม 10 เส๎น เส๎นประธานท้ัง 10 เส๎น มี จุดเร่ิมต๎นบริเวณรอบๆ สะดือ แล๎วแยกกันไปตามสํวนตํางๆ ของรํางกาย ไปสิ้นสุด ท่ีอวัยวะตํางๆ ได๎แกํเส๎น ดังตํอไปน้ี 1) เส๎นอิทา เป็นเส๎นประธานที่เร่ิมจากบริเวณสะดือ แลํนลงไปบริเวณหัวเหนํา ลงไปตามต๎นขาข๎าง ซ๎าย จนถึงหัวเขํา แล๎วเล้ียวข้ึนไปแนบแนวกระดูกสันหลังด๎านซ๎าย แลํนกระหวัดขึ้นบนศีรษะ แล๎วกลับมา สนิ้ สดุ ที่จมูกด๎านซา๎ ย 2) เส๎นปงิ คลา เปน็ เสน๎ ประธานทม่ี ีทางเดินเรม่ิ จากบริเวณสะดอื แลนํ ลงไปบริเวณหัวเหนํา ลงไปตาม ต๎นขาข๎างขวาจนถึงหัวเขํา แล๎วเลี้ยวข้ึนไปแนบแนวกระดูกสันหลังด๎านขวา แลํนกระหวัดข้ึนบนศีรษะ แล๎ว กลับมาสิน้ สดุ ท่ีจมูกดา๎ นขวา 3) เส๎นสุมนา เริม่ จากบริเวณสะดือ แล๎วแลํนตรงข้ึนไปในทรวงอก ขั้วหัวใจ ข้ึนไปตามลาคอ ส้ินสุดที่ โคนลิน้ 4) เส๎นกาลทารี เร่ิมจากบริเวณสะดือ แล๎วแยกออกเป็น 4 เส๎น โดย 2 เส๎นข้ึนไปตามสีข๎าง ต๎นแขน ตน๎ คอ ศีรษะ แล๎ววกกลับลงมาตามแนวหลงั แขนท้งั 2 ข๎าง จากน้ันแยกออกไปตามน้ิวมือท้ัง 2 ข๎าง อีก 2 เส๎น ลงไปตามหนา๎ แข๎งจนถึงข๎อเทา๎ แลว๎ แตกออกไปตามนิ้วเทา๎ ทั้ง 2 ขา๎ ง

5) เส๎นสหัศรังสี เริ่มจากบริเวณสะดือ ลงไปต๎นขาและแข๎งด๎านใน ตลอดไปจนถึงฝุาเท๎า ผํานต๎น นิ้วเท๎าซ๎ายทั้ง 5 นิ้ว แล๎วย๎อนกลับขึ้นมาตามหน๎าแข๎งของขาข๎างซ๎าย ไปเต๎านมซ๎าย เข๎าไปใต๎คาง ลอด ขากรรไกรขา๎ งซ๎าย ไปสิน้ สุดทตี่ าขา๎ งซา๎ ย 6) เส๎นทวารี เร่ิมจากบริเวณสะดือ ลงไปต๎นขาและแข๎งด๎านใน ตลอดไปจนถึงฝุาเท๎า ผํานต๎นนิ้วเท๎า ขวาทั้ง 5 น้ิว แล๎วย๎อนกลับข้ึนมาตามหน๎าแข๎งของขาข๎างขวา ไปเต๎านมขวา เข๎าไปใต๎คาง ลอดขากรรไกรข๎าง ขวา ไปสนิ้ สุดทต่ี าข๎างขวา 7) เส๎นจนั ทะภสู งั เริม่ จากบริเวณสะดือ ขน้ึ ไปราวนมขา๎ งซา๎ ย ผาํ นไปท่ีคอคางและไปส้นิ สดุ ทีห่ ขู า๎ งซา๎ ย 8) เสน๎ รชุ า ท่เี รม่ิ จากบรเิ วณสะดือ ข้นึ ไปราวนมขา๎ งขวา ผํานไปทค่ี อ คาง และไปส้ินสดุ ท่หี ูขวา 9) เสน๎ สุขมุ งั เร่ิมจากบรเิ วณสะดอื ไปสิ้นสดุ ท่ที วารหนัก 10) เสน๎ สิกขินี เร่มิ จากบริเวณสะดอื ไปที่หัวเหนาํ ทวารเบา และสน้ิ สุดท่ีอวยั วะเพศ ภาพเสน๎ และจุดสาหรบั นวด เพือ่ การบาบดั โรคพงึ แก๎อาการตาํ งๆ จากตาราเวชศาสตร๑ฉบับหลวง รชั กาลที 5 (ทมี่ า: https://perfectskincares.weebly.com/) เทคนิคการนวดแผนไทย การนวดเป็นการกระทาโดยตรงตํอรํางกาย ดังน้ันผ๎ูนวดจาเป็นต๎องศึกษาโครงสร๎างของรํางกาย โดยเฉพาะอวัยวะและระบบท่ีเก่ียวข๎องกับการดารงอิริยาบถและการเคล่ือนไหวรํางกาย ได๎แกํ กล๎ามเน้ือ เสน๎ เอ็น พงั ผืด

ข๎อตํอกระดูก การไหลเวียนเลือก และระบบประสาท การนวดให๎ได๎ผลดีตํอสุขภาพทั้งของผู๎ถูกนวดและผู๎ นวดน้นั จาเปน็ ต๎องเรยี นร๎วู ิธกี ารท่ถี กู ต๎องและหมัน่ ฝกึ หัดตวั เองอยูเํ สมอ ดังน้ี 1. สมาธใิ นการนวด การนวดเป็นการกระทาโดยตรงตอํ รํางกายผู๎อืน่ ซง่ึ อาจเกดิ ความผดิ พลาด และเป็นอันตรายตอํ ผู๎ถูกนวดได๎ ดังนั้นผ๎ูนวดต๎องใช๎สมาธิในการนวด ถึงขั้นตอนการนวด โดยในขณะท่ีนวดต๎องต้ังใจนวดหม่ัน สังเกตปฏิกิริยาของผู๎ถูกนวด และสอบถามอาการเป็นระยะเพื่อทาให๎ผู๎ถูกนวดรู๎สึกอบอุํนและมั่นใจมีความ ระมัดระวังอยํูเสมอ ไมํกดนวดบริเวณที่อาจเป็นอันตราย เชํน การนวดชํองท๎องต๎องศึกษาถึงอวัยวะในชํอง ทอ๎ งหรือไมนํ วดในสํวนที่มีการอักเสบ มกี ารตกเลือก กระดกู หัก เปน็ ต๎น 2. ทา่ ทางในการนวด การนวดที่ดีต๎องไมํเกิดผลเสียท้ังตํอผู๎นวดและผู๎ถูกนวด ทํานวดเป็นสิ่งสาคัญท่ีจะต๎องคานึงถึง เน่ืองจากทาํ นวดทไี่ มถํ กู ตอ๎ ง อาจกํอใหเ๎ กิดความเม่ือยลา๎ ตอํ ผน๎ู วด และอาจกํออันตรายตํอผู๎ถูกนวดได๎ทํานวดท่ี ดีน้ัน ต๎องเป็นทําท่ีผํอนคลายและไมํอยูํในทําใดทําหนึ่งนานเกินไป ทํานวดท่ีถูกต๎องเหมาะสมผู๎นวดควร นั่งคุกเขํา หลังตรง แขนตึง ทําน้ีผู๎นวดจะสามารถเคลื่อนไหวรํางกายโดยใช๎หัวเขําเดิน และสามารถใช๎น้าหนัก ของรํางกายกดนวดโดยการโนม๎ ตวั ใช๎นา้ หนกั กดไดส๎ ะดวก ไมกํ ํอใหเ๎ กดิ ความตึงเครยี ด ทั้งน้ีต๎องเปล่ียนทําอ่ืน บ๎างเม่อื ร๎ูสึกเม่ือยล๎า 3. การสัมผัสผถู้ กู นวด การนวดเป็นการสัมผัสตํอรํางกาย การสัมผัสที่จะทาให๎รู๎สึกดีได๎น้ันจะต๎องสัมผัสด๎วยความอบอํุน ตํอเน่ืองสม่าเสมอ ผู๎นวดจะต๎องชาระทาความสะอาดรํางกายโดยเฉพาะสํวนที่จะใช๎นวดและต๎องทาให๎เกิด ความอบอนํุ เชนํ การถูมอื ท้งั สองข๎างไปมา หรือเชด็ ถูกับผ๎าแห๎ง และการนวดน้ันจะต๎องสัมผัสบริเวณท่ีจะนวด ให๎ได๎บริเวณกว๎าง การเคลื่อนตาแหนํงท่ีนวดก็ต๎องรักษาสภาพการสัมผัสไว๎และให๎เป็นจังหวะสม่าเสมออยําง ตอํ เนอ่ื ง 4. น้าหนักทีใ่ ช้นวด น้าหนักที่ใช๎กดนวดสาหรับผู๎ถูกนวดแตํละคนนั้นไมํเหมือนกัน ท้ังน้ีขึ้นอยํูกับความทนทานของ รํางกายตํอแรงกดนวดนัน้ การลงน้าหนักเพ่ือนวดให๎ผู๎อื่น ผู๎นวดจะต๎องสังเกตถึงปฏิกิริยาท่ีเกิดขึ้นระหวํางการ กดนวด โดยสังเกตจากแรงตึงตัวของกล๎ามเนือ้ ถ๎าหากรู๎สึกเจ็บจากการนวดกล๎ามเนื้อจะเกร็งตัวตํอตํานแรงกด น้ัน หรืออาจสังเกตได๎จากสีหน๎าอารมณ๑ของผ๎ูถูกนวด ถ๎าร๎ูสึกเจ็บจะทาสีหน๎าแสดงความรู๎สึกเจ็บปวด และผ๎ู นวดควรหม่ันสอบถามความรู๎สึกของผู๎ถูกนวดอยํูเสมอ การลงน้าหนักนั้นควรเร่ิมจากน้าหนักเบาไปหาหนัก เพ่อื ใหผ๎ ถู๎ ูกนวดไปปรับตวั รบั นา้ หนักท่ีกระทาและไมํควรนวดจนกระทงั่ เกดิ การชอกชา้ หรือบาดเจบ็ การแตํงรสมอื หมายถึงการลงน้าหนักแตํละรอบและจังหวะการลงน้าหนัก ซึ่งการลงน้าหนักนิ้วมือ ท่ีกด มี 3 ระดบั คอื 1. น้าหนกั เบา ประมาณรอ๎ ยละ 50 ของน้าหนักท่ีสามารถลงได๎สูงสุด เพื่อกระตุ๎นให๎กล๎ามเนื้อรู๎ตัว ไมํเกร็งรับการนวด 2. น้าหนักปานกลาง ประมาณร๎อยละ 70 ของน้าหนักที่สามารถลงได๎สูงสุด ลงน้าหนักเพิ่มขึ้นบน ตาแหนํงทีต่ อ๎ งการกด 3. น้าหนกั มาก ประมาณร๎อยละ 90 ของน้าหนักท่ีสามารถลงได๎สูงสุด ลงน้าหนักมากและกดนิ่งไว๎ พร๎อมกับกาหนดลมหายใจสน้ั -ยาวตามตอ๎ งการ

อวัยวะท่ีใชใ้ นการนวด อวยั วะท่ใี ช๎ในการนวดสามารถใชส๎ ํวนตํางๆ ของรํางกายนวดได๎ มีดงั น้ี 1. การใชม้ ือ 1.1 การใช๎นิ้วมือ เป็นการใช๎ข๎อกลางนิ้วหัวแมํมือกดนวด ไมํใช๎ปลายน้ิว วางน้ิวท้ังหมดลง บรเิ วณท่ีจะนวดเพอื่ ชวํ ยพยุงน้าหนักตัวของผ๎ูนวดไว๎ สํวนใหญํจุดที่จะนวดมักเป็นแอํงหรือรํองท่ีเข๎ากันได๎ดีกับ น้วิ หวั แมมํ ือ 1.2 การใช๎ฝุามือ เป็นการใชฝ๎ ุามอื กดคลงึ บริเวณที่มีกล๎ามเนื้ออํอน ทีไ่ มํสามารถใช๎นิ้วกดได๎หรือ ใชบ๎ ีบกลา๎ มเนือ้ โดยจบั กลา๎ มเนอื้ 1.3 การใชส๎ นั มอื เป็นการใชส๎ ันมอื ออกแรงกดคลึงให๎ลึกถึงกล๎ามเนื้อ ให๎กล๎ามเนื้อเคล่ือนไปมา หรือคลึงเป็นลักษณะวงกลม ใช๎สันมือสาหรับการทุบ การสับ เป็นการออกแรงกระตุ๎นกล๎ามเน้ืออยํางเป็น จังหวะ 1.4 การใช๎อ๎ุงมือ เป็นการใช๎อุ๎งมือทั้ง 2 ข๎างหรือข๎างใดข๎างหนึ่งในการดึง เพื่อยึดเส๎นเอ็นของ กล๎ามเนื้อ เพ่ือให๎สํวนน้ันทางานได๎ตามปกติ การบิด เพื่อหมุนข๎อตํอหรือกล๎ามเนื้อ เส๎นเอ็นให๎ยืดออก ทาง ดา๎ นขวาง การดดั เพ่อื ให๎ข๎อตํอท่ตี ดิ กันเคล่ือนไหว๎ได๎ตามปกติ 2. การใช้ศอก เป็นการใช๎ศอกกดหรือคลึงบริเวณท่ีนิ้วมือกดไมํถึง หรือจุดน้ันต๎องการน้าหนักแรงกด มาก เชนํ บริเวณกลา๎ มเน้ือบํา ฝุาเท๎า เป็นต๎น วธิ กี ารนวดแผนไทย การนวดเป็นการกระทาโดยตรงตํอรํางกาย การนวดท่ัวรํางกายต๎องนวดอยํางมีระบบ อวัยวะที่ใช๎นวด มที ง้ั มือ เขาํ ศอก เท๎า โดยเฉพาะมือนั้นมีการใช๎หลายรูปแบบหลายทํา การวางมือเพื่อเน๎นการรักษาในแตํละ ลกั ษณะของโรคและอาการ การนวดบางอยํางทาซ้ากํอให๎เกิดอาการหนักกวําเดิมและกํอให๎เกิดผลเสีย ผลร๎าย ตํอกลา๎ มเน้อื และเนอ้ื เย่อื ตําง ๆ ในราํ งกาย วิธีการนวดโดยท่ัวไป มดี งั นี้ 1. การกด เป็นการใชน๎ า้ หนกั ของนิว้ มอื เปน็ ตัวสํงผาํ นแรง ใช๎เพียงน้ิวเดียวหรือหลายนิ้วได๎โดยทั่วไป นิยมใช๎นิว้ หัวแมมํ อื เป็นตวั หลัก เพราะเป็นนิ้วท่ีมีความแข็งแรงกวํานิ้วอ่ืน เทคนิคการวางนิ้วเป็นการกดลงไป ตรง ๆ ดว๎ ยกลางน้ิวบรเิ วณข๎อตํอท่ี 2 ไมํใช๎บรเิ วณปลายน้ิวกด กดเพียงนิ้วเดียวหรือใช๎น้ิวหัวแมํมือท้ังสองวาง คํูกันกดลงไปก็ได๎ หรือใช๎นิ้วหัวแมํมือข๎างหน่ึงวางตรงจุดกด อีกข๎างกดทับซ๎อนเทคนิคการกดใช๎กับบริเวณท่ี เป็นจุดเฉพาะท่ีจะลงน้าหนักได๎แมํนยาตรงจุด ใช๎กับกล๎ามเนื้อท่ัวๆไปการกดลงบริเวณที่จะนวด ปลํอยไว๎ สักครํูจึงคํอยๆ ผํอนน้าหนัก ยกข้ึนแล๎วเล่ือนไปตาแหนํงตํอไปเพ่ือกระตุ๎นระบบการไหลเวียนของเลือด สวํ นใหญํนยิ มกดจุดทเี่ สน๎ เอ็นเพ่ือคลายเส๎น เทคนิคการกดเป็นเทคนิคท่ีนิยมใช๎กันมากท่ีสุด ข๎อเสียของการกด คือ ถ๎ากดนานเกินไปหรือหนักเกินไปจะทาให๎หลอดเลือดเป็นอันตรายได๎ เชํน ทาให๎เส๎นเลือดฉีกขาด เกิด รอยช้าเขียวบรเิ วณทีก่ ด 2. การบีบ เป็นการนวดโดยจับกล๎ามเน้ือบริเวณท่ีจะนวดให๎เต็มฝุามือ แล๎วออกแรงบีบดันกล๎ามเน้ือ เข๎าหากัน ใช๎ในกรณีที่กล๎ามเนื้อตึง หด เกร็ง แข็ง อาจใช๎มือโดยใช๎นิ้วหัวแมํมือบีบเข๎ามาน้ิวทั้งสี่หรือการ ประสานมอื ใช๎ฝุามอื บีบท่กี ล๎ามเนื้อใหญๆํ เชํน แขน ขา และกลา๎ มเนอ้ื ท่ีมีอาการเกรง็ ตัว ข๎อเสียของการบีบ คือถ๎าบีบนวดนานเกินไปอาจทาให๎กล๎ามเนื้อช้า เพราะเกิดการฉีกขาดของเส๎น เลือดภายในกล๎ามเนอ้ื น้ัน 3. การคลึง เป็นวิธีการนวดโดยใช๎นิ้วหัวแมํมือ ฝุามือ หรือส๎นมือ ออกแรงกดกล๎ามเนื้อ แล๎วหมุน เคล่ือนท่ีไปมาเป็นวงกลม ไมํเพียงแตํกดเฉยๆ ยังมีการเคล่ือนที่ไปรอบๆบริเวณนั้นด๎วย โดยมากใช๎กับ

กล๎ามเนื้อมัดใหญํ ท่ีต๎องออกแรงมาก กรณีกล๎ามเนื้อเกร็งตัวแข็งตัวเป็นก๎อน เพ่ือชํวยลดการเกร็งกล๎ามเนื้อ เชนํ เป็นตะครวิ เป็นวธิ กี ารทน่ี มุํ นวล ไมรํ ุนแรง ถา๎ ทาถกู วิธี ข๎อเสีย การคลึงที่รุนแรงมากอาจทาให๎เส๎นเลือดฉีกขาด หรือถ๎าคลึงท่ีเส๎นประสาทบางแหํงทาให๎ เส๎นประสาทเกิดความรส๎ู กึ เสยี วแปลบ๏ 4. การรดี เป็นการวางนว้ิ หัวแมํมือหรอื มากกวาํ หน่ึงนว้ิ หรอื ใชอ๎ ุง๎ มือวางตรงจุดที่รักษา ทิ้งน้าหนักลง ทป่ี ลายนว้ิ แลว๎ คอํ ยๆ ดนั ขึ้นหรือลงไปตามแนวเส๎นท่ีรักษา การรีดจะใช๎มือเดยี วหรอื สองมือก็ได๎ ใช๎ในกรณีเส๎น แข็ง เกร็ง หากเสน๎ จมจะไมํรดี เพราะจะทาให๎เป็นหนักกวําเดมิ วิธีน้ีมกั ใชร๎ วํ มกับตวั ยาเพือ่ ใหซ๎ ึมเข๎าสรํู ํางกาย 5. การกล้ิง เป็นการใชส๎ วํ นที่เปน็ ทอํ นกลม ไดแ๎ กํ ทอํ นแขน ทอํ นไม๎ หรือลกู กลงิ้ กดกลง้ิ ลง บนกลา๎ มเนือ้ เพื่อยดื กล๎ามเน้อื 6. การหมุน/คลาย เป็นการนวดโดยวางมือทั้งสองข๎างหรือข๎างเดียวลงท่ีจุดทาการรักษา ลงน้าหนัก เบาๆ ไว๎ท่ีปลายน้ิว ฝุามือ หรือสันมือ แล๎วทาการหมุนวนไปเรื่อยๆเป็นวงกลม หมุนทางซ๎ายหรือทางขวากํอน ก็ได๎ ใช๎คลายกล๎ามเนื้อท่วั ไป ชํวยให๎การไหลเวยี นของเลือดดีข้นึ ลดการชามอื ชาเท๎า 7. การบิด เป็นการออกแรงบิดกล๎ามเนื้อข๎อตํอให๎ยืดขยายออกในแนวขวาง หรือทางทแยง จับ กล๎ามเน้ือให๎เต็มฝุามือ แล๎วบิดหมุนเป็นลูกคล่ืนตามกล๎ามเน้ือเพื่อให๎กล๎ามเนื้อหรือเอ็นคลาย บรรเทาอาการ ปวดเมอ่ื ย หรือบิดดันในกรณไี หลํหลดุ ขาหลดุ สํวนใหญใํ ช๎กับกลา๎ มเนอ้ื มดั ใหญๆํ เชนํ แขน ขา หลัง เปน็ ตน๎ ขอ๎ เสียของการบดิ ทาใหเ๎ กิดการฉีกขาดของกล๎ามเน้ือหรือพงั พืดมากขึ้น 8. การดัด เป็นการออกแรงเพื่อให๎ข๎อตํอที่ติดขัดเคลื่อนไหวได๎ตามปกติ เชํน นํองตึง เอ็นร๎อยหวาย ตึง ข๎อเท๎าแพลง อาการตะคริว ทาโดยให๎มือจับส๎นเท๎าผ๎ูปุวย ใช๎มือดันปลายเท๎าขึ้น การดัดต๎องออกแรงและ คํอนข๎างรนุ แรง ยดื กล๎ามเนือ้ ขอ๎ ตอํ ให๎ยดื ขยายออกในทางยาว ข๎อเสียของการดัด คือ ทาให๎กล๎ามเนื้อฉีกขาดได๎ ถ๎าผ๎ูปุวยไมํผํอนคลายกล๎ามเนื้อรอบๆ ข๎อตํอ น้นั หรอื กรณีทาการดัดคอผ๎สู ูงอายุซึง่ มีกระดกู คํอนข๎างบาง การดัดท่รี ุนแรงอาจทาให๎กระดูกหักได๎ 9. การตบ/การทุบหรือสับ เป็นการออกแรงกระตุ๎นกล๎ามเนื้ออยํางเป็นจังหวะ อาจใช๎กาป๓้นหลวมๆ ใช๎สันมือหรือใช๎ฝุามือทุบ เคาะ สับลงไปตรงบริเวณที่ต๎องการ เป็นจังหวะสม่าเสมอ ไลํไปตามแนวเส๎น หรอื บริเวณทตี่ อ๎ งรักษา เพือ่ ผอํ นคลายกล๎ามเนื้อ โดยมากใช๎กับกล๎ามเน้อื ใหญๆํ เชนํ หลัง คอบําไหลํ เป็นต๎น ข๎อเสยี ของการทุบ เคาะ สบั คือทาใหก๎ ล๎ามเน้ือช้าและบาดเจบ็ ได๎ 10. การดึง/ลั่นข้อต่อ เป็นการออกแรงเพื่อยึดเส๎นเอ็นของกล๎ามเนื้อหรือพังผืดของข๎อตํอท่ีหดส้ัน เข๎าไปออกมาหรือเพื่อให๎สวํ นท่ตี ดิ ขัดนัน้ ทาหน๎าที่ไดต๎ ามปกติ การดึงข๎อตอํ มักจะไดย๎ นิ เสียงล่ันในข๎อซึ่งแสดงวํา การดงึ น้นั ได๎ผลและไมํควรดึงอกี ตอํ ไป สาหรับกรณีท่ีไมํได๎ยินเสียงก็ไมํจาเป็นต๎องพยายามทาให๎เกิดเสียงเสียง ลั่นในข๎อตํอเกิดจากอากาศที่ซึมเข๎าข๎อตํอถูกไลํออกจากข๎อตํอ ต๎องใช๎ระยะเวลาหน่ึงให๎อากาศซึมเข๎าสูํข๎อตํอ อกี จึงเกดิ เสยี งได๎ ข๎อเสียของการดึง คือทาให๎เส๎นเอ็นหรือพังผืดฉีกขาดอยํูแล๎วขาดมากข้ึน ดังนั้นจึงไมํควรทาการดึง เมอื่ มีอาการแพลงของข๎อตอํ ในระยะเรมิ่ แรก ตอ๎ งรอใหห๎ ลงั การบาดเจ็บแลว๎ อยํางนอ๎ ย 14 วนั จงึ ทาการดึงได๎ ข้อควรระวังในการนวดแผนไทย ความปลอดภัยเปน็ ส่งิ สาคัญในการนวด การนวดใหไ๎ ด๎ผลดมี ปี ระสทิ ธิภาพท่ีแทจ๎ รงิ ผูน๎ วดต๎องเป็นผู๎ท่ี มีความรูจ๎ ริง ด๎วยการศึกษาเลําเรียนทางทฤษฎีและการฝึกหัด เพื่อให๎เกิดความชานาญในภาคปฏิบัตินั้นต๎อง ฝึกให๎ได๎มาตรฐาน เพ่ือนาไปใช๎งานในการนวดรักษาโรค สํวนการนวดเพื่อสุขภาพจะงํายกวําและไมํคํอย

เขม๎ งวดมากนัก แพทย๑แผนไทยประยุกต๑ท่ีเป็นผู๎ให๎การบาบัดจะตรวจเพื่อคัดกรองผ๎ูปุวยกํอน นอกจากน้ียังมี ขอ๎ ควรระวงั ในการนวดอยูํ 2 ข๎อใหญํ ดังนี้ 1. ข้อควรระวังทว่ั ไป 1.1 ไมใํ หก๎ ารบาบดั หากพบวํามีไข๎สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซยี ส หรอื กาลังปุวยด๎วยโรคติดเช้ือ เฉียบพลัน หรือมีความดันโลหิตสูงกวํา 160/100 มิลลิเมตรปรอท และมีอาการหน๎ามืดใจสั่น คลื่นไส๎ อาเจียน 1.2 ไมํควรนวดผู๎ท่ีหิวจัด หรือเพ่ิงทานอาหารมาใหมํ ๆ อยํางน๎อยควรนวดหลังจากทาน อาหารแล๎ว 30 นาทีขึน้ ไป เพอ่ื ไมใํ หก๎ ารนวดไปรบกวนระบบทางเดินอาหาร เพราะการนวดทาให๎เลือกขึ้นมา เล้ยี งบริเวณผิวหนังและกล๎ามเนื้อมากขึ้น ทาให๎อวัยวะภายในได๎รับเลือดไปเล้ียงน๎อย สํวนผ๎ูที่หิวจะไมํสบาย ตวั อยูํแล๎ว จะมีนา้ ตาลในเลือกตา่ ควรไปรับประทานอาหารกํอนนวด 1.3 ผู๎สูงอายุท่ัวไป จะมีโรคประจาตัวตํางๆ เชํน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง กระดูก เปราะ ข๎อตํอหลวม และข๎อเคลื่อน รวมทั้งหากต๎องนวดให๎หญิงตั้งครรภ เด็ก ผ๎ูนวดต๎องใช๎ความระมัดระวัง เป็นพิเศษ 1.4 ผู๎ประสบอุบัติเหตุ ควรให๎แพทย๑รักษาให๎พ๎นขีดอันตรายกํอนจึงจะทาการนวดได๎ และ ต๎องระวงั เร่อื งการอกั เสบใหม๎ าก เพราะคนไขจ๎ ะมีเนื้อเยอื่ อํอนแอกวาํ ปกติ 1.5 คนท่ีมีการติดเช้ือหรือโรคติดตํอ อาจจะแพรํเช้ือมาถึงผ๎ูนวดได๎ ถ๎าจะนวดควรระวัง ตัวเอง แตํถา๎ คนไขย๎ งั อยใํู นระยะแรกมีไขส๎ งู อยํูไมํควรนวด 1.6 หลีกเลี่ยงไมํนวดบริเวณที่มีกระดูกแตกหัก ปริร๎าว และยังไมํติดดี บริเวณที่เป็นมะเร็ง บริเวณท่ีมีแผลเปิด รอยโรคผิวหนังทีสามารถติดตํอได๎ บริเวณที่ผําตัดภายในระยะเวลา 1 เดือนบริเวณที่มี หลอดเลือดดาอกั เสบ (deep vein thrombosis) และบรเิ วณที่มกี ารผําตดั ใสํเหล็กหรอื ขอ๎ เทยี ม 2. ข้อควรระวังในสว่ นของร่างกาย การนวดน้ันจะนวดรํางกายท่ัวท้ังรําง สํวนที่กระทบกับการนวดมากท่ีสุดก็คือกล๎ามเนื้อเส๎นเอ็น พังผืด เส๎นเลือด ทํอน้าเหลือง ซ่ึงถ๎าเรานวดไมํถูกต๎องจะทาให๎เกิดอันตรายตํออวัยวะสํวนสาคัญเหลํานี้ได๎ ใน รํางกายของเราแตํละสํวนจะมีจุดอํอนจุดอันตรายอยูํไมํเหมือนกัน ผ๎ูนวดควรจะได๎ทราบถึงจุดอํอนเหลํานั้น เพอื่ หลีกเล่ียงหรอื ระมดั ระวงั เปน็ พเิ ศษ ดังนี้ 2.1 ศีรษะ จุดอํอนคือ บริเวณทัดดอกไม๎ คือบริเวณกะโหลกด๎านข๎างที่ตํอจากขมับเข๎าไปจะ เป็นสํวนของกะโหลกศีรษะท่ีบางท่ีสุด ถ๎าถูกตีหรือกดแรงๆ จะแตกยุบเข๎าไปกดเส๎นประสาทและสมองทาให๎ พิการหรือตายได๎ ฉะนั้นควรนวดแตํเพียงเบาๆ เทํานั้น บริเวณกลางกระหมํอมนั้นก็ถือเป็นจุดอันตรายอีก ตาแหนํงหนึ่งสาหรับการนวดเด็ก เน่ืองจากกระหมํอมของเด็ก ยังไมํเจริญเต็มท่ีจะมีชํองวํางอยูํตรงนี้ ถ๎าได๎รับ แรงกดหรือกระแทกจะทาใหส๎ มองได๎รบั อนั ตรายไปดว๎ ย 2.2 ใบหน๎า จุดอํอนคือ บริเวณหน๎า ใบหู ตามขากรรไกรลงมาบริเวณน้ีจะมีตํอมน้าลายและ เสน๎ ประสาทอยํู ถ๎ากระทบกระแทกรุนแรงจะทาให๎เกดิ การอักเสบ และเป็นอมั พาตของใบหนา๎ ได๎ 2.3 คอ จุดอํอนคือ บริเวณด๎านหน๎าของคอและใต๎คางลงมาจนถึงระดับไหปลาร๎าเนื่องจาก บริเวณนี้มที ั้งเสน๎ เลือด ตํอมน้าเหลอื ง และเสน๎ ประสาท ซ่ึงเป็นสํวนที่ควบคุมอวัยวะตํางๆทาให๎หมดสติถึงตาย ได๎ จึงไมคํ วรนวดทด่ี ๎านหน๎าของคอเลย และไมํควรใช๎เทคนคิ การดดั กับคอ อาจเกิดอันตรายรุนแรงไดง๎ ําย 2.4 ไหลํ จุดออํ นคอื บริเวณกง่ึ กลางของหวั ไหลํ เพระเปน็ ทอี่ ยํูของถงุ นา้ หลํอล่ืน ข๎อไหลํถ๎าเรา นวดกดจดุ แรงเกนิ ไปจะทาให๎อกั เสบและมีความเจ็บปวดรนุ แรงได๎

2.5 รักแร๎ จุดอํอนคือ ท้ังหมดในรักแร๎ เพราะเปน็ ท่ผี ํานของเส๎นเลอื ดและเส๎นประสาทท่ีว่ิงลง ไปเล้ียงแขน การกดนวดบริเวณนี้ไมํควรทา การเปิดประตูลมท่ีบริเวณน้ีต๎องระมัดระวังมากเป็นพิเศษอยําให๎ นานเกินไป 2.6 ต๎นแขน จุดอํอนคือ บริเวณด๎านข๎างต๎นแขน จะมีเส๎นประสาททอดผําน ซ่ึงเป็นบริเวณท่ี อยํตู น้ื ถา๎ ถกู แรงกดมากจะเกดิ อันตรายตํอเสน๎ ประสาทนี้ ทาให๎การทางานของกล๎ามเน้อื มือเสยี ไป 2.7 ข๎อศอก จุดอํอนคือ บริเวณด๎านในของข๎อศอกจะมีเส๎นประสาทวิ่งผําน มักจะถูก กระทบกระเทือนได๎งําย การนวดบริเวณน้ี ควรหลีกเล่ียงการกด ท่ีเส๎นประสาท นอกจากนี้บริเวณข๎อพับจะมี เส๎นเลือดใหญํท่ีสาคัญ เราจะไมํกดนวดที่ข๎อพับเลย สํวนบริเวณกระดูกท้ังสองด๎านของข๎อศอกที่เราคลาได๎นั้น จะเป็นทีเ่ กาะของเสน๎ เอน็ บางๆไมํควรนวดเสน๎ เอน็ ตรงน้ีแรงมากนัก 2.8 ข๎อมือ จุดอํอนคือ ด๎านหน๎าและด๎านข๎างหัวแมํมือ เพราะเป็นที่ผํานของเส๎นเลือดและ เส๎นประสาทลงไปเล้ียงมือ คนไข๎ท่ีมีอาการชาที่มืออาจเกิดจากพังผืดข๎อมือ การนวดอาจชํวยได๎บ๎าง แตํต๎อง ระวงั มากเชํนกันเพราะมีการอักเสบของเสน๎ ประสาทได๎งํายตรงบริเวณน้ี 2.9 หลัง จุดอํอนคือ กระดูกสันหลัง ซ่ึงทาหน๎าท่ีปูองกันไขสันหลังอยํู ถ๎าขึ้นไปนวดเหยียบ อยํางรุนแรง อาจทาให๎กระดูกสันหลังหักหรือเคลื่อนได๎ จะเป็นอันตรายตํอไขสันหลัง และเส๎นประสาททาให๎ เป็นอัมพาตถึงพกิ ารได๎ ตอ๎ งระวงั มากเปน็ พเิ ศษจริงๆ 2.10 ท๎อง จุดอํอนคือ ทั้งหมดของชํองท๎อง เน่ืองจากมีอวัยวะภายในอยํูมาก ดังนั้นการนวด ท๎องจงึ ตอ๎ งใช๎แรงน๎อยและทาด๎วยความนุํมนวลกวําการนวดท่ีสํวนอื่นๆ ของรํางกายการเปิดประตูลมท่ีท๎องไมํ ควรนานเกินไปและควรทาตอนท๎องวําง 2.11 สะโพก จุดอํอนคือ บริเวณก๎นสํวนบน ซึ่งเป็นทางออกของเส๎นประสาทที่ลงไปเล้ียงขา การกดตรงบริเวณน้ี ผู๎ถูกกดจะร๎สู ึกเจ็บเสยี วแปลบไปท่ีขาไดค๎ วรระวงั เปน็ พิเศษ 2.12 ข๎อเขํา จุดอํอนคือ บริเวณข๎อพับและกระดูกด๎านข๎างของเขํา ข๎อพับจะมีเส๎นเลือดมาก และเป็นบริเวณที่อํอนนิ่มไมํมีตัวคุ๎มกัน ฉะน้ันเราจะไมํนวดท่ีใต๎ข๎อพับ สํวนบริเวณกระดูกด๎านข๎างก็มีเส๎นเอ็น มาเกาะไมคํ วรนวดแรงท่เี สน๎ เอน็ นี้ 2.13 หน๎าแขง๎ จุดอํอนคือ บริเวณด๎านหน๎าหน๎าแข๎งน่ีเอง เพราะเป็นบริเวณท่ีมีผิวหนังบางๆ มาห๎ุมเทํานน้ั ไมมํ กี ล๎ามเน้ือมาชํวยปอู งกัน การกดนวดบริเวณนี้ก็จะเจอกับกระดูกหน๎าแข๎งทันทีก็ระวังอยํากด แรงเทาํ นน้ั พอ 2.14 ข๎อเท๎าและเท๎า จุดอํอนคือ บริเวณด๎านข๎างท้ังสองข๎าง ซึ่งอาจจะเกิดการพลิกแพลง ทาให๎ข๎อเคล็ดได๎ แตํโดยปกติแล๎วการนวดทั่วไปทาได๎โดยไมํต๎องระวังมากนัก นอกจากนวดขณะมีอาการ บาดเจ็บต๎องระวงั เพราะพงั ผืดเหลาํ นบี้ างและตืน้ จะกระทบกบั แรงได๎งําย สํวนเท๎านั้นอาจมีจุดอํอนบ๎างบริเวณ ใต๎ฝุาเทา๎ แตกํ ็ไมไํ ดถ๎ ือเปน็ เรื่องใหญํมากนัก เราสามารถนวดฝาุ เทา๎ ได๎ ถ๎าไมมํ กี ารอักเสบหรือบาดเจบ็ มากํอน 3. ข้อควรระวงั เป็นพิเศษ 3.1 เด็ก หญิงมีครรภ๑ และผู๎สงู อายุ 3.2 โรคหลอดเลือด เชํน หลอดเลอื ดโปงุ หลอดเลือดอักเสบ หลอดเลือดแขง็ ตัว เป็นตน๎ 3.3 โรคเบาหวาน 3.4 โรคกระดูกพรุน 3.5 มคี วามผิดปกตใิ นการแข็งตัวของเลอื ด หรืออยํูระหวาํ งได๎รบั ยาละลายลม่ิ เลอื ด 3.6 บริเวณทเ่ี คยได๎รบั การผําตัด ใสเํ หล็ก หรือขอ๎ เทยี ม 3.7 บรเิ วณบาดแผลทีย่ ังไมํหายสนิทดี

วัสดุอุปกรณ์ และข้นั ตอนการนวดจับเสน้ เพ่ือสุขภาพของ นางจาปี ดีเหมือน วสั ดอุ ุปกรณ์ นา้ มนั หอมระเหย ภาพน้ามันหอมระเหย (ทีม่ า : https://www.wongnai.com/articles/) น้ามันหอมระเหย เป็นสารอินทรีย๑ท่ีมีอยํูในเซลล๑ของพืช มีกล่ินระเหยได๎งํายแม๎ในอุณหภูมิปกติ ซึ่ง กล่ินดังกลําวไมํจาเป็นต๎องหอมเสมอไป \"น้ามันหอมระเหย\" จะสะสมอยํูในผนังเซลล๑ เป็นผลพลอยได๎จาก กระบวนการเจริญเติบโตของพืช ทาหน๎าที่เป็นระบบปูองกันตัวเองรักษาแผลหรือปูองกันการระเหยของน้า รวมท้งั ใช๎ไลแํ มลงทเ่ี ป็นศัตรแู ละลอํ แมลงเพื่อชํวยในการผสมพันธ๑ุ อาจจะอยํูภายในสํวนใดสํวนหน่ึงของพืชไมํ วําจะเป็นราก ใบ ดอก เปลือก หรือเมล็ดบางชนิด แตํ \"น้ามันหอมระเหย\" ทุกชนิดจะไมํละลายในน้า ซ่ึงฤทธิ์ และวิธใี ชน๎ า้ มนั หอมระเหย\" มีหลากหลายวธิ ีแลว๎ แตสํ รรพคณุ น้ามันหอมระเหยยอดนิยมของไทย การเลือกใช๎ \"น้ามันหอมระเหย\" ในแวดวงของสปา & อโรมา เทอราปี กับการดูแลสุขภาพมีหลากหลายชนิด ข้ึนอยํูกับความต๎องการของผ๎ูใช๎บริการวําต๎องการ \"สรรพคุณ ของน้ามันหอมระเหย\" ในการดูแลสุขภาพในด๎านใดบ๎าง ซึ่งในประเทศไทยได๎มี \"น้ามันหอมระเหยยอดนิยม ของไทยและสรรพคุณของน้ามนั หอมระเหย\" ดังตอํ ไปน้ี Chamomile น้ามันหอมระเหยคาโมไมล๑ สรรพคุณ ผํอนคลายประสาทจากความดัน ความกังกล และความเครียด ปวดศรีษะ ไมเกรน ลดอาการทางประสาท แก๎อักเสบ ปวดท๎อง อาหารไมํยํอย รักษาโรค ผิวหนัง สิว มลพิษ ฆําเช้ือบรรเทาอาการระคายเคือง หรือถูกแมลงสัตว๑กัดตํอย บรรเทาอาการบวม และ อาการหงดุ หงดิ กํอนมรี อบเดอื น Eucalyptus นา้ มนั หอมระเหยยคู าลิปตสั สรรพคุณ ฆําเชื้อโรค ชํวยให๎หายใจโลํง รักษาอาการหวัด คัดจมูก ไอ ไซนัส ขับเสมหะ แก๎ป๓ญหาในระบบทางเดินหายใจทาให๎ร๎ูสึกปลอดโปรํงและมีสมาธิ ควบคุมตํอม ไขมันสํวนเกดิ รกั ษาสวิ ไลแํ มลง บรรเทาอาการปวดขอ๎ ตํอ ลดอาการกลา๎ มเน้ือเกร็ง Frangipani น้ามนั หอมระเหยลลี าวดี (ล่ันทม) สรรพคณุ ทาใหภ๎ ายในสงบ กระต๎นุ อารมณ๑ทางเพศ Jasmine น้ามันหอมระเหยมะลิ สรรพคุณ คลายความตึงเครียด ความกระวนกระวาย บรรเทา อาการซึมเศร๎า ขจัดความร๎ูสึกไมํม่ันคง ลดอาการวูบวาบในวัยหมดประจาเดือน กระต๎ุนความรู๎สึกทางเพศ ให๎ ความชํุมชืน้ แกํผวิ หนงั Lavender น้ามันหอมระเหยลาเวนเดอร๑ สรรพคุณ คลายความตึงเครียด กังวล อํอนเพลีย-หดหูํ ตํอตา๎ นอาการซมึ เศรา๎ ชํวยให๎หลับสบาย ฆําเชื้อโรค รักษาแผลไฟลวก โรคผิวหนัง รักษาพิษจากแมลงกัดตํอย ปวดศรีษะ ไมเกรน ลดความดนั โลหิต บรรเทาอาการปวดกล๎ามเนื้อ กระต๎ุนการไหลเวียนของโลหิต ลดอาการ บวม ลดจุดดาํ งดา ลดริ้วรอยในผิวหนงั ควบคุมตํอมไขมนั แก๎สิว ปรับสภาพผิว ชวํ ยให๎ผิวกระชับ ขจัดเซลลูไลต๑

Lemongrass น้ามันหอมระเหยตะไคร๎ สรรพคุณ ชํวยให๎ประสาทสมดุลและสงบ บรรเทาความ เมื่อยล๎าทัง้ ราํ งกายและจิตใจ เพ่มิ พลัง ปูองกันเชื้อจุลินทรีย๑ ระงับกล่ินกาย ฆําเช้ือโรค ขจัดกล่ินไมํพึงประสงค๑ กระตุน๎ การยํอยอาหาร สร๎างน้านม ปรับสภาพผวิ ทาใหผ๎ ิวกระชบั ควบคุมตํอมไขมนั สํวนเกินรกั ษาสิว ไลํแมลง Marjoram น้ามันหอมระเหยไม๎พวกสะระแหนํ สรรพคุณ คลายเครียดวิตกกังวล ชํวยให๎นอนหลับ สบาย ทาให๎จติ ใจสงบ ผอํ นคลายระบบประสาท ลดความดันเลือด ชวํ ยใหโ๎ ลหิตไหลเวียนดี ลดอาการวูบ การนวดนา้ มนั น้นั จะเรม่ิ จากการนอนคว่าหน๎าเพ่อื นวดแผนํ หลังกํอนแลว๎ จงึ คํอยพลิกหงายหน๎าขึ้นเพื่อ นวดอีกฝ่๓งและมีการถูกเนื้อต๎องตัว สัมผัส จับ ลูบ คลึง แนํนอนวําถ๎าเป็นมือใหมํอาจจะร๎ูสึกแปลก ๆ แตํหาก ลองเปิดใจและทาตัวสบาย ๆ ก็จะร๎ูสกึ ได๎ถึงความสบายทเ่ี กดิ ขนึ้ นา้ มนั หอมระเหย และสรรพคุณของน้ามันหอมระเหย มีหลากหลายวิธี เราควรจัดกล่ินของ น้ามัน หอมระเหย ให๎เหมาะสมกบั ผู๎ใช๎ อีกท้ังน้ามันหอมระเหยยังสามารถเช่ือมโยงระหวํางธรรมชาติกับจิตวิญญาณ ของผู๎ใช๎แตํละบุคคล น้ามันหอมระเหยถูกดูดซึมเข๎าสูํรํางกาย ตามแระแสโลหิตได๎งํายทางผิวหนังและ เยื่อบุ ทาให๎กระจายไปทั่วรํางกาย น้ามันหอมระเหยที่ทาแล๎วร๎อนไมํมีผลเพียงแตํการไหลเวียนของโลหิต เทํานั้น แตํมผี ลตํออวัยวะภายในด๎วย ความรอ๎ นทาใหเ๎ ส๎นโลหิตขยายจึงมีผลในการลดอาการบวมน้า มีอิทธิพล ทางด๎านจิตใจมาช๎านานแล๎ว นับต้ังแตํการใช๎ศาสนพิธีและพิธีกรรมตํางๆ เป็นที่ทราบกันอยํูแล๎ววํากล่ินมีผล ตํอสมองและอารมณ๑ ดังนั้นในภูมิป๓ญญาท๎องถ่ินการนวดจับเส๎นเพื่อสุขภาพน้ี เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพในการนวดให๎ผ๎ูนวดมี ความผํอนคลายข้ึน นางจาปี ดีเหมือน จึงใช๎น้ามันหอมระเหยในการนวดด๎วย และเลือกใช๎เป็นน้ามันหอม ระเหยที่สามารถหาได๎งํายอาจเป็นสิ้นค๎าในท๎องถ่ินหรือผลิตเอง ราคาไมํแพง และเหมาะสมกับอาการปวด ของผปู๎ วุ ยสวํ นใหญํ ภาพน้ามนั หอมระเหยท่นี างจาปี ดีเหมอื น ใช๎ในการสาธติ การนวดจับเสน๎ เพื่อสขุ ภาพ

ขนั้ ตอนการนวดจับเสน้ เพือ่ สุขภาพของ นางจาปี ดีเหมอื น 1. นวดเทา้ และขาดา้ นใน - ผูร๎ บั การนวดนอนกับพ้นื ทงิ้ นา้ หนกั ลงบนแผํนหลงั พน้ื เหยียดขาตรง แยกขาจากกันพอประมาณ - ผ๎ูนวดน่ังคุกเขําตรงปลายเท๎าของผู๎รับการนวด หันหน๎าไปทางศีรษะของผ๎ูรับการนวด - ใช๎ฝุามือบีบนวดบริเวณฝุาเท๎าและข๎อเท๎าด๎านใน โดยท้ิงน้าหนักตัวไปทางด๎านขวาพร๎อมกับการบีบ นวด หลังจากน้ันโยกตัวมาด๎านซ๎ายท้ิงน้าหนักตัวไปทางด๎านซ๎ายพร๎อมกับการบีบนวด ทาสลับไปมา - คอํ ยๆ บบี นวดไลไํ ปจนถึงขาหนบี จากน้ันบีบนวดกลบั มาท่ีเดิม ดังภาพ ภาพสาธติ การนวดเท๎าและขาดา๎ นในของนางจาปี ดีเหมือน

2. การนวดขาด้านนอก - ผร๎ู ับการนวดนอนในทําผํอนคลาย ขาเหยียดตรงตามสบาย ทิง้ นา้ หนักตัวลงบนแผนํ หลงั - ผ๎นู วดน่ังข๎างขวา หันหน๎าเข๎าหาผร๎ู ับการนวด - บบี นวดบริเวณหวั เขาํ และใต๎หวั เขาํ ดว๎ ยมอื ทงั้ สองขา๎ ง - นวดขน้ึ นวดลงสลบั กันหลาย ๆ รอบ จนกวําจะนวดครบทุกเสน๎ - ทาตามขัน้ ตอนเดยี วกัน กับขาขา๎ งซ๎าย ภาพสาธติ การนวดขาดา๎ นนอกของนางจาปี ดเี หมือน

3. การนวดพับขา - ผู๎รับการนวดนอนในทาํ ทส่ี บายผ๎นู วดนง่ั คกุ เขําตรงปลายเทา๎ หันหน๎าเขา๎ หาผร๎ู บั การนวดพับขาขวา - พบั ขาขวาของผรู๎ บั การนวดขน้ึ มาเป็นรปู สามเหล่ยี ม จนเทา๎ แนบกับขาซ๎าย - วางข๎อมือบรรจบกันแล๎วนวดไปทต่ี น๎ ขาขวา นวดข้ึนนวดลงใหถ๎ กู เส๎นอยาํ งสมา่ เสมอ - พยุงสะโพกซ๎ายดว๎ ยมือขวา - ใชม๎ อื ซา๎ ยนวดตน๎ ขาและนํองไปมา โดยจะต๎องจบั ใหถ๎ กู เส๎นอยาํ งสม่าเสมอ - ทาตามข้ันตอนเดยี วกัน กับขาขา๎ งซ๎าย ภาพสาธติ การนวดพบั ขาของ นางจาปี ดีเหมือน

4. การนวดยกสะโพก - ผ๎ูรับการนวดนอนหงายกับพ้ืน ขาซ๎ายเหยียดตึง ขาขวาต้ังข้ึนพาดขาซ๎าย โดยให๎เท๎าขวาวางแนบ เขําซา๎ ย ทง้ิ นา้ หนกั ตัวลงบนแผนํ หลัง - ผนู๎ วดนง่ั คุกเขําตรงปลายเท๎าของผร๎ู บั การนวด แล๎วยกขาขวาตง้ั ยันพน้ื ในลักษณะครอํ มขาซา๎ ยของ ผ๎รู บั การนวด - มอื ซา๎ ยจบั ท่สี ะโพกด๎านขวาของผ๎ูรบั การนวด มือขวาจับทเ่ี ขําขวา - คํอย ๆ ดันเขําขวาไปทางซ๎ายให๎มากท่ีสุดเทําที่จะทาได๎ จากน้ันผํอนแรงเล็กน๎อยแล๎วดันอีก ประมาณ 5-6 ครง้ั - ทาตามขน้ั ตอนเดยี วกัน กับขาข๎างซ๎าย ภาพสาธิตการนวดยกสะโพกของนางจาปี ดเี หมอื น

5. การนวดยกขาและดนั ขา - ผร๎ู ับการนวดนอนหงายกับพ้ืน ปลํอยแขนข๎างลาตวั ตามสบาย - ผูน๎ วดน่งั คกุ เขํา หันหน๎าไปทางศีรษะของผูร๎ ับการนวด พร๎อมกับยกขาขวาของผร๎ู ับการนวดขึ้นพาด ไหลซํ ๎าย - เขําขวากดต๎นขาซ๎ายของผู๎รับการนวดเอาไว๎ มอื ขวาจบั ข๎อเท๎าขวา มอื ซา๎ ยจับเขาํ ขวา - จากนน้ั ให๎ดันขาออกไปจนตั้งตรง พร๎อมกับยืดลาตัวข้นึ ของผู๎นวด - ทาตามข้ันตอนเดียวกัน กับขาขา๎ งซ๎าย ภาพสาธิตการนวดยกขาและดนั ขาของนางจาปี ดีเหมือน

6. การนวดตน้ ขา - ผู๎รับการนวดนอนหงาย เท๎าแยกออกจากกันพอประมาณ ขาซ๎ายเหยียดตึง ขาขวาตั้งขึ้น ท้ิง น้าหนกั ตวั ลงบนแผํนหลัง - ผ๎นู วดนั่งคกุ เขําตรงปลายเทา๎ ขา๎ งขวาของผร๎ู ับการนวด - มือขวาจับส๎นเท๎าข๎างขวาของผู๎รับการนวด มือซ๎ายจับหัวเขําขวา จากนั้นยกขึ้นสูงพร๎อมกับยกเขํา ซ๎ายของผน๎ู วด วางท่ีหนา๎ ตกั ต๎นขาพร๎อมชันเขาข้ึนข๎างที่ถนัด แล๎วนวดและดึงขาของผ๎ูรับการนวดเข๎าหาตัวผ๎ู นวด ทาประมาณ 5 ครั้ง (ดึงแลว๎ คลายสลบั ไปมา) - ทาตามขน้ั ตอนเดียวกัน กับขาขา๎ งซา๎ ย ภาพสาธติ การนวดต๎นขาของนางจาปี ดเี หมอื น 7. การนวดล็อกขาด้วยแขน - ผรู๎ บั การนวดนอนหงาย ขาขวาตัง้ ขน้ึ ขาซา๎ ยเหยียดตรง ทิ้งน้าหนกั ตวั ลงบนแผํนหลัง วางแขน ตามสบาย - ผู๎นวดนั่งคุกเขาํ ข๎างขาขวาของผ๎ูรบั การนวด - ใชม๎ อื ขวาจับข๎อเท๎าขวาของผร๎ู ับการนวด แขนซา๎ ยสอดไว๎ใตเ๎ ขาํ ขวาพร๎อมกับยกขน้ึ เข๎าหาตวั ของ ผ๎ูรับการนวดเลก็ นอ๎ ย - พรอ๎ มกบั ใช๎มือขวากดปลายเทา๎ ขวาของผู๎รับการนวด คา๎ งไว๎ 3-5 วนิ าที แล๎วคลาย ทาซา้ ประมาณ 5 ครงั้ - ทาตามขัน้ ตอนเดียวกนั กับขาข๎างซ๎าย ภาพสาธิต การนวดลอ็ กขาด๎วยแขน นางจาปี ดีเหมือน

8. การนวดกดเส้นบนหลงั มอื - ผู๎รับการนวดนอนหงาย ปลํอยตวั ตามสบาย วางแขนไวข๎ ๎างลาตัว - ผู๎นวดน่ังคุกเขําข๎างลาตัวด๎านซ๎ายของผู๎รับการนวด ใช๎มือซ๎ายจับข๎อมือข๎างซ๎ายของผู๎รับการนวด วางบนตัก แล๎วใชม๎ อื ขวากดไลไํ ปมาตามความยาวของเส๎นเอ็นทั้งหา๎ เสน๎ - ทาตามขน้ั ตอนเดยี วกัน กับมอื ข๎างขวา ภาพสาธติ การนวดกดเสน๎ บนหลงั มอื ของนางจาปี ดเี หมือน 9. การนวดกดฝา่ มือ - ทําเรมิ่ ตน๎ เหมือนการกดเสน๎ บนหลังมือ - ใช๎นิ้วหัวแมมํ ือมือทง้ั สองข๎างกดที่กดฝาุ มือและกดน้ิวหวั แมํมือผู๎รับการนวด ไลไํ ปมาให๎ทัว่ ทง้ั ฝุามอื ภาพสาธิตการนวดกดเสน๎ บนหลังมอื ของนางจาปี ดีเหมอื น

10. การนวดกดหัวไหล่ - ผร๎ู ับการนวดน่งั ขดั สมาธิ ตัวตั้งตรง มือประสานกนั ไวท๎ ี่หนา๎ ตกั - ผู๎นวดยนื ข๎างหลงั ของผ๎รู บั การนวด - ผูน๎ วดใชฝ๎ ุามือทั้งสองวางลงบนไหลดํ า๎ นขา๎ งลาคอของผูร๎ บั การนวด แลว๎ กดลงไปด๎วยความแรง พอสมควร โดยท้ิงนา้ หนกั ตวั ของผูน๎ วดลงไปท่สี นั ข๎อมือ - กดคา๎ งไวส๎ ักครแํู ล๎วจึงปลํอย ทาซ้าหลาย ๆ คร้ัง ภาพสาธิตการนวดกดหวั ไหลํของนางจาปี ดีเหมอื น 11. การนวดยืดไหล่และลาคอ - ผ๎ูรับการนวดนง่ั ขดั สมาธิ ตัวตงั้ ตรง มอื ประสานกนั ไวท๎ ่หี นา๎ ตกั - ผู๎นวดยืนข๎างหลังของผร๎ู ับการนวด - ผน๎ู วดประสานฝุามือทง้ั สองขา๎ ง วางข๎อศอกขวาไวเ๎ หนอื ใบหดู า๎ นซา๎ ยของผ๎ูรบั การนวด วางข๎อศอก ซา๎ ยไวท๎ ี่หัวไหลดํ า๎ นซ๎ายของผู๎รับการนวด - ออกแรงดันข๎อศอกทั้งสองข๎างพอสมควร จนศรี ษะของผ๎ูรับการนวดเอียงไปทางด๎านขวา ในขณะท่ี ไหลขํ องผร๎ู ับการนวดยังอยูํในตาแหนงํ เดิม - กดค๎างไวส๎ ักครูํจึงปลํอย ทาซ้าหลาย ๆ ครง้ั แล๎วจงึ เปลีย่ นไปด๎านขวาของผร๎ู บั การนวด ภาพสาธิตการนวดยืดไหลํและลาคอของนางจาปี ดีเหมือน

12. การนวดสับไหลด่ ว้ ยสันมือ - ผ๎รู บั การนวดนง่ั ขัดสมาธิ ตวั ตัง้ ตรง มือประสานกันไวท๎ ี่หน๎าตกั - ผู๎นวดน่ังคกุ เขําดา๎ นหลังของผ๎รู บั การนวด ประกบฝาุ มือทั้งสองข๎างโดยใหน๎ วิ้ แยกออกจากกัน - ทบุ ลงไปทไ่ี หลํโดยใชส๎ ันมือ ทบุ ไลํจนตลอดแนวทั้งไหลํดา๎ นซ๎ายและด๎านขวาของผู๎รบั การนวด ทาซ้าหลาย ๆ รอบ ภาพสาธิตการนวดสับไหลํด๎วยสันมอื ของนางจาปี ดีเหมอื น 13. การนวดกดคอ - ให๎ผถู๎ ูกนวดน่ังบนพ้นื หรือเก๎าอี้ - ผน๎ู วดยนื ด๎านหลังของผู๎ถูกนวด ให๎ใชน๎ ว้ิ หวั แมํมือกดที่กล๎ามเนอ้ื ตรงบริเวณทา๎ ยทอยทง้ั สองขา๎ ง สํวนนิ้วท้ังส่ีทเ่ี หลือวางแนบกับศีรษะ ออกแรงกดลงท่ีนิว้ หัวแมํมอื สํวนนิ้วทั้งส่ีใช๎ประคองศีรษะไมํให๎ เคล่ือนไหว ภาพสาธติ การนวดกดคอของนางจาปี ดเี หมือน

14. การนวดกดขมับ - ผู๎นวดใชน๎ ้ิวช้ีและนวิ้ นางวางไว๎ทหี่ ัวคิว้ ทง้ั สองข๎างของผ๎ถู ูกนวด - ผู๎นวดวางสนั มือท้งั สองขา๎ งวางท่ขี มับ ให๎ออกแรงกด จากหวั คิว้ ไลไํ ปทางขมับทงั้ สองขา๎ ง โดยใช๎ แรงกดลงที่น้ิวชี้และน้วิ กลาง สวํ นน้วิ อ่นื ๆ ท่ีเหลือใหป๎ ระคองศีรษะไวไ๎ มํใหเ๎ คล่อื นไหว ภาพสาธิตการนวดกดขมบั ของนางจาปี ดเี หมือน 15. การนวดยดื และดึงหลัง - ใหผ๎ ๎ูถูกนวดนอนหงายราบกบั พน้ื หรือที่นอน ใชห๎ มอนหนนุ รองศีรษะ วางแขนของผู๎ถูกนวดขนาน กบั ลาตวั - ผู๎นวดจับขาท้ังสองขา๎ งของผูถ๎ กู นวด งอและพับขน้ึ มาวางท่ีบนลาตัวดนั เขําใหช๎ ิดกันมากทีส่ ุด โดย เริ่มกดเบา ๆ กํอน แล๎วคํอย ๆ เพ่มิ แรงกด กดแล๎วคลายทาสลับไปมาสักครํู

ภาพสาธิตการนวดยดื และดึงหลังของนางจาปี ดีเหมือน 16. การนวดสะโพก - ผถ๎ู กู นวดนอนตะแคงซา๎ ย ยกขาขวาทามุมฉากกบั ลาตวั - ผ๎ูนวดใช๎มอื และศอกนวดบริเวณบั้นท๎ายสะโพก นวดคลงึ สะโพกลงมาจนถงึ ตน๎ ขา ทาหลายๆ รอบ แล๎วคอํ ย ๆ เพิ่มแรงกด กดแลว๎ คลายทาสลบั ไปมาสักครูํ - ทาตามขนั้ ตอนเดยี วกนั แตเํ ปล่ียนเป็นตะแคงขวา ภาพสาธติ การนวดสะโพกของนางจาปี ดีเหมือน

ภาพสาธิตการนวดสะโพกของนางจาปี ดีเหมอื น 17. การนวดรกั แร้ - ผถ๎ู กู นวดตะแคงซ๎าย ยกขาขวาทามมุ ฉากกบั ลาตวั และยกแขนขวาข้นึ ตัง้ ฉากพาดไปด๎านหลงั ทา๎ ยทอย - ผู๎นวดใชม๎ ือและศอกกดบริเวณรักแร๎ของผน๎ู วด โดยเร่มิ กดเบา ๆ กํอน แล๎วคํอย ๆ เพ่ิมแรงกด กดแลว๎ คลายทาสลับไปมาสกั ครํู - ทาตามขน้ั ตอนเดียวกัน แตเํ ปลยี่ นเป็นตะแคงขวา ภาพสาธติ การนวดสะโพกของนางจาปี ดีเหมอื น

18. การนวดทา่ ผีเสือ้ - ผู๎รับการนวดนั่งขดั สมาธิ ตัวต้ังตรง มอื ประสานกนั ไวท๎ ่ีหนา๎ ตัก - ผน๎ู วดนง่ั คุกเขาํ ด๎านหลงั ของผ๎รู ับการนวด - ผร๎ู ับการนวดใชม๎ อื ทงั้ สองขา๎ งจับท่ีท๎ายทอย ยกข๎อศอกขึ้น - ผน๎ู วดใชท๎ ํอนแขนท้งั สองข๎างโอบดนั แขนของผู๎รับการนวดไปขา๎ งหลังใหม๎ ากทีส่ ดุ เทําที่จะทาได๎ - ทาคา๎ งไว๎สกั ครูแํ ลว๎ จงึ ปลํอย แล๎วจึงทาซ้าหลาย ๆ คร้งั ภาพสาธิตการนวดทาํ ผเี สอื้ ของนางจาปี ดเี หมือน 19. การนวดดงึ แขนไปดา้ นหลงั - ผ๎รู ับการนวดนง่ั ขดั สมาธิ ตัวตงั้ ตรง มอื ประสานกนั ไว๎ท่ีหน๎าตัก - ผู๎นวดน่ังข๎างหลังของผ๎รู บั การนวด ขาขวาของผนู๎ วดตงั้ ข้ึนเพ่อื พยงุ ลาตัวของผน๎ู วดเอาไว๎ในขณะลง มือนวด - ให๎ผู๎รับการนวดยกมือซ๎าย จับไหลํซ๎ายของตวั เอง บริเวณใต๎ท๎ายทอย - ในขณะเดียวกันผู๎นวดจับข๎อศอกซ๎ายของผ๎ูรับการนวดด๎วยมือซ๎าย สํวนมือขวาจับมือซ๎ายของผู๎รับ การนวดกดมือขวาลงไป พร๎อมกับยกข๎อศอกขึ้นมา ดึงไปข๎างหลังโดยออกแรงพอสมควรให๎ดึงจนสุดจนดึง ตํอไปไมํได๎อีกแลว๎ - ดงึ ค๎างไว๎สกั ครแํู ล๎วจงึ ปลํอย - ทาตามข้นั ตอนเดยี วกัน กับแขนขา๎ งขวา ภาพสาธติ การนวดดงึ แขนไปด๎านหลังของ นางจาปี ดเี หมอื น

ภาพสาธิตการนวดดึงแขนไปด๎านหลังของ นางจาปี ดเี หมอื น 20. ทา่ สิ้นสดุ การนวดเปน็ การอวยพรให้ผถู้ กู นวดหรือผปู้ ่วย ภาพสิน้ สดุ การนวดเปน็ การอวยพรให๎ผถ๎ู กู นวดหรอื ผ๎ูปุวย



การนาภมู ิปัญญาศึกษา เรอ่ื งการนวดจับเสน้ เพอื่ สุขภาพไปใช้ในชวี ิตประจาวัน การนวดมีมาตั้งแตํโบราณในแทบทุกทวิปของโลก เป็นการบาบัดที่เอาใจใสํทั้งรํางกายจิตใจและ อารมณ๑ บรรพบรุ ษุ ของเรารจู๎ ักใช๎การนวดในการรกั ษาโรคมานานกวํา 2 – 3 พันปแี ลว๎ ท้งั ยงั รกั ษาได๎ผลทด่ี ี การนวดเปน็ ภูมิป๓ญญาด๎านการแพทยแ๑ ผนไทยท่ีมคี วามสาคัญเป็นท่ียอมรับอยํางกว๎างขวางในป๓จจุบัน การนวดแผนไทยนน้ั ได๎รับขนานนามวําดีที่สุดในโลก สุขภาพ นุํมนวลแตํหนักแนํนตรงจุดเป็นที่ยอมรับไปท่ัว โลก วชิ าแพทยแ๑ ผนโบราณในศาสตร๑แหํงการนวดกลําววํา การนวดมีสรรพคุณเป็นการปรับสมดุลแกํรํางกาย การนวดที่ดีต๎องทาอยํางตั้งใจ มีความรักและเมตตา ใสํจิตใจลงไปในขณะที่นวดด๎วยจังหวะและการลง น้าหนักมือในการนวดจะเป็นไปตามความร๎ูสึกและความชานาญของผ๎ูนวด การกดจุดหรือจับเส๎นของผู๎นวดท่ี ไดเ๎ กดิ ขึ้นจากการทดลองใช๎นิ้วมือกดนวดตามจุดตํางๆ ดังน้ันจึงเป็นความสามารถและความเฉพาะตัวท่ีอาศัย การฝึกฝนเป็นระยะเวลานานหลายปี การนวดจับเส๎นเป็นการนวดแผนโบราณแขนกหนึ่ง เป็นศาสตร๑และ ศิลปะท่ีต๎องอาศัยความชานาญและจิตรวิญาณผสมผสานกัน เพื่อการบาบัดและรักษาโรคต้ังแตํโบราณ เป็น การถาํ ยทอดจากรุนํ หนงึ่ สํอู ีกรํุนหน่ึง จากคากลําวของ นางจาปี ดีเหมือน ผ๎ูถํายทอดภูมิป๓ญญาการนวดจับ เสน๎ เพื่อสขุ ภาพนี้วาํ “การทานา พ่อกับแม่สอนว่าเป็นชีพของเราจะอย่างไรเราก็คือชาวนา และการนวดนี้ก็ได้รับมาจาก บรรพบุรุษท่ีตอ้ งรกั ษาไว้ เป็นของมีครู นวดก็อยากให้เคา้ หายเจบ็ หายปวด อยากให้ลูกหลานคงไว้” ประโยชน๑ของการนวดจับเส๎นซึ่งเป็นการนวดแผนโบราณ ชํวยให๎เลือดลมไหลเวียนทั้งรํางกายดีข้ึน เพราะหลอดเลือดขยาย เลือดสามารถนาออกซิเจนและสารอาหารไปหลํอเลี่ยงสํวนตํางๆ ภายในรํางกายได๎ อยํางทั่วถึง ระบบขับของเสีย ไมํวําจะเป็นทางน้าเหลือง และหลอดเลือดทางานอยํางมีประสิทธิภาพ ไมํ สะสมพิษตกค๎างไว๎มาก สุขภาพก็จะดีข้ึน ผํอนคลายกล๎ามเนื้อ กล๎ามเนื้อบริเวณท่ีใช๎งานหนักจะเกิดการ เกร็งตัว และมีสารเคมีคั่งค๎างอยํู ทาให๎เลือดมาหลํอเล่ียงไมํสะดวก เกิดอาการปวดเมื่อยตามมา การนวด ชํวยให๎หายปวดเม่ือย เพราะไปคล๎ายกล๎ามเน้ือ เส๎นเอ็น พังผืด ท่ีเกร็งให๎ผํอนคลายลง การนวดเป็นการ กระต๎ุนให๎ระบบน้าเหลืองทางานได๎ดีอีกด๎วย โดยปกติแล๎วน้าเหลืองไหลเวียนดีจากการท่ีรํางกายเคลื่อนไหว หรือจากแรงภายนอกมากระต๎ุน เม่ือนวดตามตัวตํอมน้าเหลืองท่ัวรํางกายก็ถูกกระต๎ุนให๎ทาหน๎าที่สร๎าง ภูมิค๎ุมกันและจัดการกับเชื้อโรคตํางๆ ระบบประสาททาให๎เกิดการกระต๎ุนของระบบประสาท ความรู๎สึก ตอบสนองตํอธรรมชาติส่ิงแวดล๎อมดีขึ้น มีความตื่นตัวในการทางานข๎อตํอกระดูก ทาให๎การเคล่ือนไหว คลํองตวั ขึ้น ยืดอายกุ ารใช๎งาน ผวิ หนังจะถูกกระตุ๎นให๎ทางาน ตํอมเหงื่อและตํอมไขมันท่ีผิวหนังทางานผลิต นา้ มนั ออกมาหลอํ เลีย้ งผวิ ไดด๎ ีขึ้น นา้ มนั บางชนดิ ท่ใี ช๎นวดยังสามารถบารุงผิวพรรณได๎ด๎วย ประโยชน๑ทั้งหมด ทางดา๎ นรํางการน้ียงั สํงผลไปถึงทาให๎อารมณแ๑ ละจติ ใจ ผอํ นคลาย อบอุํน สงบขึ้น การนวดแผนไทย จึงเป็นเสนํห๑ไทยพื้นบ๎านท่ีได๎รับการยอมรับจากชาวไทยและชาวตํางชาติ โดยเฉพาะอยํางยิ่งในป๓จจุบัน กระแสสังคมหันมาให๎ความสาคัญกับการสํงเสริมสุขภาพและบาบัดอาการด๎วย วิธีการทางธรรมชาติมากขึ้นการนวดแผนโบราณ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับแล๎ววําสามารถผํอน คลายบรรเทาอาการเจ็บปุวยได๎หลายกลํุมอาการโรค จึงมีการพัฒนาการเรียนการสอนด๎านการนวดแผน โบราณ อยํางเป็นระบบมีมาตรฐานถกู ต๎องตามหลักวิชาการ มุํงเน๎นด๎านทักษะสูํความเป็นเลิศ ในปีที่ผํานมา มชี าวตํางชาตเิ ขา๎ รับบริการด๎านสุขภาพในประเทศไทยรวมแล๎ว 1.4 ล๎านคร้ัง สํงผลให๎ประเทศไทยติดอันดับที่ 14 ของประเทศทว่ั โลกท่ีสร๎างรายได๎สูงสุดจากอุตสาหกรรมการทํองเที่ยวเชิงสุขภาพ นักวิเคราะห๑คาดการณ๑

กนั วํา ในปี 2017 ตลาดการทอํ งเที่ยวเชิงสขุ ภาพจะสรา๎ งเม็ดเงินสะพัดสูงข้ึน การดูแลสุขภาพแบบองค๑รวมซึ่ง เปน็ จดุ เดํนของแพทยแ๑ ผนไทยขณะทีว่ ิชานวดไทย ก็กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งดังพบวําธุรกิจสปาและนวดไทย มีอัตราการเติบโตอยํางตํอเน่ืองทุกปี และสร๎างรายได๎ดีโดยเฉพาะในกรุงเทพและเชียงใหมํ จากศักยภาพใน การบาบัดรกั ษาของการแพทยแ๑ ผนไทยและสมุนไพรไทย ถงึ ความพรอ๎ มดา๎ นเวชศาสตร๑ความงาม เวชศาสตร๑ ผู๎สูงอายุไปจนถึงศาสตร๑การนวด ธุรกิจสปา รวมถึงการบริการท่ีได๎รับการยอมรับในระดับแถวหน๎าของโลก คนไมํเกนิ เลยไปนกั หากจะกลําววาํ ประเทศไทยพร๎อมแลว๎ กับการก๎าวขึ้นมาเป็น ศูนย๑กลางสุขภาพนานาชาติ ในอนาคตอันใกล๎น้ี ถือวาํ เปน็ ศาสตรโ๑ บราณและเอกลกั ษณ๑ของไทยที่ควรคําแกํการรักษาและสนับสนุนจากทั้ง ทางภาครฐั บาลและเอกชน ดังน้ันการนวดจับเส๎นซ่ึงเป็นการนวดแผนไทยโบราณนี้ อยํูผสานกับการดารงชีวิตของเราทุกคนใน สังคมไทย และก๎าวไปในสสํู ังคมโลกทัง้ ในอดีตจนถึงป๓จจุบันและสํูอนาคตอกี ยาวไกล

ภาคผนวก - ประวัติผ้จู ัดทาภูมิปัญญาศกึ ษา - ภาพประกอบ

ประวตั ิผ้จู ัดทาภมู ิปัญญาศกึ ษา

ประวัติผถู้ า่ ยทอดภมู ปิ ญั ญา ชอ่ื : นางจาปี ดีเหมอื น เกิด : 8 เดือน มีนาคม พ.ศ.2503 ภมู ิลาเนา : บา๎ นกูดหมากไฟ ตาบลอูบมุง อาเภอหนองวัวซอ จงั หวัดอุดรธานี ทีอ่ ยู่ปจั จุบนั : บ๎านเลขที่ 43/1 หมูํที่ 18 ตาบลวังนา้ เยน็ อาเภอวงั น้าเย็น จงั หวัดสระแกว๎ สถานภาพ : สมรส กับ นายสมาน ดีเหมอื น มีบุตรรวํ มกัน จานวน 4 คน ดังนี้ : 1. นางอัญชลี ดีเหมอื น 2. นางสพุ รรณี ดเี หมือน 3. นางอุไรวรรณ ดเี หมือน 4. นางสาวสชุ าดา ดเี หมือน การศกึ ษา : ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 4 บ๎านกูดหมากไฟ ตาบลอบู มงุ อาเภอหนองววั ซอ จังหวดั อดุ รธานี ปัจจุบนั ประกอบอาชพี : ทานา ประวตั ผิ ู้เรยี บเรยี งภมู ิปัญญาศกึ ษา ช่ือ : นางสาวรัตติยา วาดไธสง เกดิ : 5 เดือน มีนาคม พ.ศ.2529 ภมู ลิ าเนาและที่อยู่ปัจจบุ นั : บา๎ นเลขที่ 948/1 หมํทู ี่ 17 ตาบลวังสมบูรณ๑ อาเภอวังสมบรู ณ๑ จังหวัดสระแก๎ว สถานภาพ : โสด การศึกษา : ปริญญาตรี สาขาวิชาเคมี มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั วไลย อลงกรณ๑ในพระบรมราชปู ถัมภ๑ ปจั จุบนั ประกอบอาชพี : ขา๎ ราชการครู โรงเรียนเทศบาลมติ ร สัมพันธ๑วิทยา เทศบาลเมืองวังน้าเย็น อาเภอวงั น้าเย็น จังหวดั สระแก๎ว

ภาพประกอบการจดั ทาภูมิปญั ญาศกึ ษา เรอ่ื ง การนวดจับเส้นเพอ่ื สขุ ภาพ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook